The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

1S2C_ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ภาคเหนือ ภาคอีสาน_แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ในท้องถิ่น
.
บรรณาธิการกิจและ Published :ส.ส้ม กิตยาภรณ์ ประยูรพรหม K.PRAYOONPROM
.
ผลงานและลิขสิทธิ์ของ สถาบันสังคมศึกษา สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by zom Kityaporn OBEC, 2021-02-15 13:28:08

zom_ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น_1S2C_เหนือ_อีสาน

1S2C_ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ภาคเหนือ ภาคอีสาน_แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ในท้องถิ่น
.
บรรณาธิการกิจและ Published :ส.ส้ม กิตยาภรณ์ ประยูรพรหม K.PRAYOONPROM
.
ผลงานและลิขสิทธิ์ของ สถาบันสังคมศึกษา สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ

Keywords: academic.obec,COOL_sungkom,1S2C_obechistory

แหล่งเรยี นร้ทู างประวตั ศิ าสตร์ในทอ้ งถน่ิ ๗๗ จังหวัดท่วั ไทย 1
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ)

แหลง่ เรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตรใ์ นทอ้ งถน่ิ
๗๗ จงั หวดั ทว่ั ไทย

(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื )

สถาบันสงั คมศึกษา สำ�นกั วชิ าการเเละมาตรฐานการศกึ ษา
สำ�นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน

แหลง่ เรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ในท้องถิ่น ๗๗ จังหวดั ท่วั ไทย 1
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื )

แหลง่ เรยี นรูท้ างประวัตศิ าสตร์ในทอ้ งถนิ่
๗๗ จังหวดั ท่วั ไทย

(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื )

ISBN : 978-616-564-067-1

ปที ่ีพมิ พ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ จ�ำ นวนพมิ พ์ ๓๐,๐๐๐ เลม่

ผู้จดั พมิ พ์เผยแพร่

สถาบนั สงั คมศกึ ษา ส�ำ นักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา
ส�ำ นกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน
กระทรวงศึกษาธกิ าร
ถนนราชดำ�เนินนอก เขตดสุ ติ กรุงเทพฯ ๑๐๓๐๐

พมิ พ์ท่ี

โรงพมิ พอ์ งคก์ ารสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ในพระบรมราชปู ถมั ภ์
เลขที่ ๒/๙ ซอยกรุงเทพฯ - นนทบุรี ๓๑ เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร ๑๐๘๐๐
โทรศัพท์ ๐-๒๙๑๐-๗๐๐๑-๒ โทรสาร ๐-๒๕๘๕-๖๔๖๖

คณะผเู้ ขยี นและบรรณาธกิ าร ขออภยั ทม่ี อิ าจแจง้ แหลง่ ทมี่ าของขอ้ มลู ไดอ้ ยา่ งครบถว้ น
และขอขอบคณุ เจา้ ของผลงานทง้ั ขอ้ ความ ภาพ และอน่ื ๆ ทน่ี �ำ มาใชใ้ นเอกสารฉบบั นี้

ทั้งนี้ เพอ่ื ประโยชน์แก่การศึกษาโดยรวมของชาติ
แม้จะมิไดม้ หี นังสอื ขออนุญาตเปน็ ลายลกั ษณ์อกั ษรก็ตาม

2 แหลง่ เรียนรทู้ างประวัติศาสตรใ์ นท้องถ่ิน ๗๗ จงั หวัดท่วั ไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)

สมเดจ็ พระนางเจ้าสริ กิ ติ ์ิ พระบรมราชินนี าถ 3
พระบรมราชชนนีพนั ปหี ลวง

แหล่งเรยี นรทู้ างประวัตศิ าสตร์ในท้องถน่ิ ๗๗ จงั หวดั ทวั่ ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ)

“...ประวตั ิศาสตร์ของแต่ละชาติทกุ ชาติเขากท็ ะนถุ นอม
และเขาก็เรียนของเขากัน แม้แต่คนต่างประเทศไปเรียน
ในประเทศเขาก็ต้องเรียนประวัติศาสตร์ของเขาด้วย อันน้ี
ก็แปลกท่ีเราไม่มีประวัติศาสตร์ชาติไทย เหมือนอย่างว่า
แผ่นดินนี้ได้มาอย่างง่าย ๆ ไม่ต้องคิดถึงพระเดชพระคุณ
ของปู่ ย่า ตา ยายท่ีบุกบั่นฝ่าฟันมา แม้แต่ชีวิตจะสละให้
เพ่ือท่ีจะเป็นหลักประกันของคนไทย ความจริงแล้ว การที่มี
แผน่ ดนิ เปน็ ของตนเองเปน็ การประกนั คอ่ นขา้ งจะปลอดภยั ...”

พระราชดํารสั สมเด็จพระนางเจ้าสริ กิ ติ ิ์ พระบรมราชนิ ีนาถ
พระบรมราชชนนพี นั ปีหลวง

พระราชทานเนอ่ื งในวโรกาสให้คณะบุคคลต่าง ๆ
เขา้ เฝา้ ฯ ถวายพระพรชยั มงคล

เน่อื งในวันเฉลมิ พระชนมพรรษา ๑๒ สงิ หาคม ๒๕๔๓

4 แหลง่ เรียนรู้ทางประวตั ศิ าสตร์ในทอ้ งถน่ิ ๗๗ จังหวดั ทั่วไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ)

แหล่งเรยี นร้ทู างประวตั ศิ าสตร์ในทอ้ งถน่ิ ๗๗ จังหวัดท่วั ไทย 5
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ)



คำ�นำ�

ท่ามกลางการเปล่ียนแปลงของเทคโนโลยี ผลกระทบจากสถานการณ์โรคระบาด และวิกฤต
เศรษฐกิจทเ่ี กิดในยคุ ปัจจุบัน การพฒั นาผเู้ รยี นใหม้ คี วามรู้ ทักษะ สมรรถนะทจ่ี ำ�เปน็ ในศตวรรษที่ ๒๑
มคี วามส�ำ คญั อยา่ งยง่ิ ตอ่ การด�ำ รงอยขู่ องประเทศ อยา่ งไรกต็ าม การสรา้ งความมน่ั คงทางจติ ใจใหผ้ เู้ รยี น
พรอ้ มเปน็ ก�ำ ลงั ส�ำ คญั ในการพฒั นาชาติ ดว้ ยความรกั และภาคภมู ใิ จในประเทศ ถอื เปน็ สง่ิ ทส่ี �ำ คญั เชน่ กนั
ดงั พระบรมราโชบายดา้ นการศกึ ษาของพระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรรามาธบิ ดศี รสี นิ ทรมหาวชริ าลงกรณ
พระวชริ เกล้าเจ้าอย่หู ัว ทมี่ ใี จความส�ำ คัญวา่ “...การศกึ ษาตอ้ งมุ่งสร้างพน้ื ฐานใหแ้ ก่ผเู้ รียนใน ๒ ด้าน
ค ือ สง่ เสรมิ ใหน้ ักเรียนมีทศั นคติทถี่ กู ต้อง และม่งุ สร้างพื้นฐานชีวิตหรอื อปุ นสิ ัยท่มี ่นั คง...”
การจดั การเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตร์ เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นไดร้ จู้ กั ความเปน็ มา รากเหงา้ ของตนเอง ทอ้ งถน่ิ
และประเทศชาติ ให้ได้เรียนรู้แบบอย่างการทำ�ดีเพ่ือส่วนรวมจากวีรกรรมของบรรพบุรุษ ให้ได้รู้จัก
และเข้าใจแนวคดิ ความฉลาดหลักแหลม ที่แฝงอยูเ่ บ้ืองหลงั ประเพณี วัฒนธรรมและภูมิปญั ญาท่ีสั่งสม
สืบทอดกันมา ถือเป็นแนวทางหน่ึงในการสร้างความภาคภูมิใจให้เกิดในตัวผู้เรียน นำ�ไปสู่การมีจิตใจ
ท ่เี ขม้ แข็ง ม่นั คง พร้อมเป็นก�ำ ลังในการพฒั นาประเทศตอ่ ไป
ในการนี้ สำ�นักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน รับใส่เกล้าฯ กระแสพระราชดำ�รัส
สมเดจ็ พระนางเจา้ สริ กิ ติ ์ิ พระบรมราชนิ นี าถ พระบรมราชชนนพี นั ปหี ลวง ทแ่ี สดงความหว่ งใยตอ่ การเรยี น
การสอนวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย ได้ดำ�เนินกิจกรรม “การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านแหล่งเรียนรู้
ทางประวัติศาสตร์ในท้องถ่ิน ตามแนวพระราชดำ�ริฯ” โดยส่งเสริมให้สถานศึกษาทุกแห่งจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านแหล่งเรียนรู้ในท้องถ่ิน เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบัน
พระมหากษตั รยิ แ์ ละปลกู ฝงั ผเู้ รยี นใหเ้ กดิ ความรกั และภาคภมู ใิ จในทอ้ งถน่ิ และประเทศชาติ และไดจ้ ดั ท�ำ
ชดุ เอกสาร “การเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตรผ์ า่ นแหลง่ เรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตรใ์ นทอ้ งถนิ่ ” ขน้ึ ประกอบไปดว้ ย
เอกสาร จำ�นวน ๓ เลม่ ไดแ้ ก่
๑. เอกสาร “แนวทางการจดั กจิ กรรมการเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตรผ์ า่ นแหลง่ เรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตร์
ในทอ้ งถ่นิ ”
๒. เอกสาร “แหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ในท้องถ่ิน ๗๗ จังหวัดท่ัวไทย (ภาคเหนือและ
ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื )”
๓. เอกสาร “แหลง่ เรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตรใ์ นทอ้ งถน่ิ ๗๗ จงั หวดั ทว่ั ไทย (ภาคกลางและภาคใต)้ ”

หวงั เปน็ อยา่ งยงิ่ วา่ ชดุ เอกสารฉบบั นจ้ี ะเปน็ ประโยชนต์ อ่ ครแู ละผทู้ สี่ นใจการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้
ประวัติศาสตร์ผ่านแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ในท้องถิ่น ที่นำ�ไปสู่การเสริมสร้างทักษะ สมรรถนะ
ความรกั และความภาคภูมใิ จในรากเหงา้ ทอ้ งถ่นิ และประเทศชาติ

ส�ำ นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน

แหลง่ เรียนรู้ทางประวัตศิ าสตร์ในท้องถน่ิ ๗๗ จงั หวัดทว่ั ไทย 7
(ภาคเหนือเเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ)

สารบญั

แหลง่ เรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตร์ในท้องถิน่ ๗๗ จังหวัดท่วั ไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ)

ส่วนท่ี ๑

๑๑ความเป็นมาและความสำ�คญั

ส่วนที่ ๒
แหลง่ เรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตรใ์ นทอ้ งถนิ่
๗๗ จังหวัดทว่ั ไทย
๑๙

ภาคเหนอื ๔๕๖๒๓๔๕๒๕๗๙๕๓๕๙๓ เพชรบรู ณ ์ ๙๑๘๗๑๗๑๘๐๐๑๓๙๕๑๗๑๗๑
แพร่
กำ�แพงเพชร แมฮ่ อ่ งสอน
เชียงราย ลำ�ปาง
เชยี งใหม่ ลำ�พนู
ตาก สโุ ขทยั
นา่ น อุตรดติ ถ์
พะเยา อุทยั ธานี
พจิ ิตร
พิษณโุ ลก

8 แหล่งเรียนรทู้ างประวัตศิ าสตรใ์ นทอ้ งถิ่น ๗๗ จงั หวดั ทว่ั ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื )

ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื

กาฬสนิ ธ ุ์ ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๒๓๔๕๓๕๖๖๒๑๕๓๗๗๗๗๙๓๑๑ ร้อยเอ็ด ๒๑๒๒๒๑๑๑๑๑๗๗๙๘๙๗๐๑๑๐๕๗๙๕๕๑๕๑๑๑
ขอนแก่น เลย
ชัยภมู ิ ศรีสะเกษ
นครพนม สกลนคร
นครราชสีมา สุรนิ ทร์
บงึ กาฬ หนองคาย
บุรีรมั ย์ หนองบัวลำ�ภ ู
มหาสารคาม อุดรธานี
มกุ ดาหาร อุบลราชธาน ี
ยโสธร อำ�นาจเจรญิ

ดัชนี ๒๒๑

แหลง่ เรยี นรทู้ างประวตั ิศาสตร์ในทอ้ งถิน่ ๗๗ จงั หวัดทว่ั ไทย 9
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ)



ส่วนที่ ๑

ความเปน็ มาและความสำ�คญั

แหลง่ เรยี นรทู้ างประวัตศิ าสตร์ในทอ้ งถน่ิ ๗๗ จงั หวัดทว่ั ไทย 11
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ)



การเรียนรู้ประวตั ิศาสตรผ์ ่านแหล่งเรียนรู้ทางประวตั ศิ าสตร์ในทอ้ งถนิ่

การจัดกิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใช้หอ้ งเรียน แหล่งการเรียนรู้ หมายถึง แหล่งข้อมูล
เปน็ ฐาน (การเรยี นรใู้ นชนั้ เรยี น) เปน็ หนง่ึ ในกระบวน ข่าวสาร ความรู้ และประสบการณ์ท้ังหลายท่พี ร้อม
การเรยี นการสอนทจี่ ะน�ำไปสกู่ ารบรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ ให้ผู้เรียนได้เข้าไปศึกษาค้นคว้า เรียนรู้ด้วยตนเอง
การเรยี นรทู้ ต่ี ง้ั ไว้ แตเ่ พยี งการบรรยาย อธบิ าย หรอื จากการลงมอื ปฏบิ ตั ิ หรอื เขา้ รว่ มกจิ กรรมและท�ำงาน
การจัดกิจกรรมผ่านสื่อการเรียนรู้ในชั้นเรียน ร่วมกับผู้อ่ืน จนเกิดกระบวนการเรียนรู้และสร้าง
อยา่ งเดยี วนนั้ ยงั ไมเ่ พยี งพอ ทจ่ี ะท�ำใหผ้ เู้ รยี น ไดร้ บั รู้ องค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง แหล่งเรียนรู้ อาจเป็นได้
ได้สัมผัส เกิดประสบการณ์ตรงจากสถานการณ์ ทั้ง “สถานท่ี” “บุคคล” “ทรัพยากรธรรมชาติ”
หรือพ้ืนที่จริง น�ำไปสู่การวิเคราะห์และสังเคราะห์ หรือ “กิจกรรมทางสงั คม ประเพณี และ ความเชอื่ ”
องคค์ วามรไู้ ดด้ ว้ ยตนเอง การจดั กิจกรรมการเรยี น ซ่ึงการเรียนรนู้ อกหอ้ งเรยี นทแี่ หลง่ เรียนร้นู ้ี ช่วยให้
การสอนภายนอกหอ้ งเรยี น หรอื การจดั การเรยี นรู้ ผเู้ รยี นไดเ้ รยี นรอู้ ยา่ งมคี วามสขุ เกดิ ความสนกุ สนาน
โดยใช้แหล่งเรียนรู้ จึงเป็นทางเลือกในการพัฒนา ความสนใจทจ่ี ะเรยี น บรรยากาศการเรยี นในสถานที่
การเรยี นการสอนในทกุ รายวชิ า โดยเฉพาะ กลมุ่ สาระ แปลกใหม่ช่วยใหไ้ มเ่ กดิ ความเบื่อหน่าย นอกจากน้ี
การเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม ซง่ึ เนอื้ หา ยงั ชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นไดร้ บั การปลกู ฝงั ใหร้ จู้ กั และรกั ทอ้ งถน่ิ
การเรียนรู้เอ้อื ตอ่ การจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน ของตน มองเหน็ คณุ คา่ ตระหนกั ถงึ ปญั หาในทอ้ งถนิ่
นอกห้องเรียนอย่างย่ิง ด้วยธรรมชาติวิชาเนื้อหา พรอ้ มทจ่ี ะเปน็ สมาชกิ ทด่ี ขี องทอ้ งถน่ิ และเปน็ พลเมอื ง
“สงั คมศกึ ษา” คอื สาระวชิ าทว่ี า่ ดว้ ยการศกึ ษาเรอื่ ง ที่ดีของประเทศ ท้งั ในปจั จบุ ันและอนาคต
มนษุ ย์ ชมุ ชน สงั คม และประเทศชาติ การจดั กจิ กรรม
การเรียนรู้ท่ีหลากหลาย ท้ังภายในและภายนอก
หอ้ งเรยี น ยอ่ มจะท�ำใหน้ กั เรยี นไดร้ บั ประโยชนส์ งู สดุ

แหล่งเรยี นรทู้ างประวัติศาสตรใ์ นท้องถิ่น ๗๗ จงั หวัดทั่วไทย 13
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื )

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี สบื ทอดกนั มา ถอื เปน็ แนวทางหนงึ่ ในการสรา้ งความ
ผลกระทบจากสถานการณ์โรคระบาด และวิกฤต ภาคภมู ใิ จใหเ้ กดิ ในตวั ของผเู้ รยี น น�ำไปสกู่ ารมจี ติ ใจ
เศรษฐกิจท่ีเกิดในยุคปัจจุบัน การพัฒนาผู้เรียน เขม้ แขง็ มน่ั คง พรอ้ มเปน็ พลงั ในการพฒั นาประเทศ
ให้มีความรู้ ทักษะ สมรรถนะที่จ�ำเป็นในศตวรรษ ตอ่ ไป ทั้งนี้ การที่ผเู้ รยี นไดเ้ รียนรู้ “ประวัตศิ าสตร”์
ท่ี ๒๑ มีความส�ำคัญอย่างย่ิงต่อการด�ำรงอยู่ของ ซงึ่ มเี นอื้ หาทก่ี ลา่ วถงึ เหตกุ ารณท์ เ่ี กดิ ขนึ้ แลว้ ในอดตี
ประเทศ อยา่ งไรกต็ าม การสรา้ งความมนั่ คงทางจติ ใจ อาจท�ำให้ผเู้ รยี นรู้สกึ วา่ เหตุการณ์นัน้ ๆ ไมส่ ัมพนั ธ์
ให้ผู้เรียนพร้อมเป็นก�ำลังส�ำคัญในการพัฒนาชาติ กับตนเอง เป็นเร่ืองไกลตัว เกิดความเบื่อหน่าย
ด้วยความรักและภาคภมู ใิ จในประเทศ ถอื เป็นสงิ่ ท่ี ไม่สนใจ การพาผู้เรียนไปสัมผัสสถานที่เกิดเหตุ
ส�ำคัญเช่นกัน ดังพระบรมราโชบายด้านการศึกษา ไปพดู คยุ กบั บคุ คลทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั เหตกุ ารณ์ ไดล้ งมอื
ของพระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรรามาธบิ ดศี รสี นิ ทร ทดลองปฏิบัติชิ้นงานที่ผ่านการคิดสร้างสรรค์โดย
มหาวชิราลงกรณ พระวชริ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั มใี จความ บรรพบุรุษ จะช่วยท�ำให้ผู้เรียนรู้และตระหนักว่า
ส�ำคญั วา่ “...การศกึ ษาตอ้ งมุ่งสรา้ งพน้ื ฐานให้แก่ เรื่องราวท่ีได้เรียนรู้ในห้องเรียนน้ัน เป็นเหตุการณ์
ผ้เู รยี นใน ๒ ดา้ น คอื ส่งเสริมใหน้ กั เรยี นมีทัศนคติ ที่เคยเกิดขึ้นจริง และผลท่ีเกิดจากเหตุการณ์ไม่ใช่
ที่ถูกต้อง และมุ่งสร้างพ้ืนฐานชีวิตหรืออุปนิสัย เรอื่ งไกลตวั หรอื ไมเ่ กยี่ วขอ้ งสมั พนั ธก์ บั ตน โดยเฉพาะ
ทม่ี ่นั คง...” เมอื่ เปน็ เรอื่ งราวทางประวตั ศิ าสตรใ์ นทอ้ งถนิ่ หลกั ฐาน
การจดั การเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตร์ เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี น รอ่ งรอยทปี่ รากฏอยใู่ น แหลง่ เรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตร์
ได้รู้จักความเป็นมา รากเหง้าของตนเอง ท้องถ่ิน ในท้องถ่ิน เป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ นอกจากการที่
และประเทศชาติ ให้ได้เรียนรู้แบบอย่างการท�ำดี ผู้เรียนจะได้เรียนรู้จากการได้เห็น ได้ฟัง ได้สัมผัส
เพื่อส่วนรวมจากวีรกรรมของบรรพบุรุษ ให้ได้รู้จัก ยงั สง่ ผลใหเ้ กดิ ความผกู พนั รกั หวงแหน และภาคภมู ใิ จ
และเข้าใจแนวคดิ ความฉลาดหลกั แหลม ทแี่ ฝงอยู่ ในรากเหง้าตัวตน และในสิ่งที่บรรพชนได้สั่งสม
เบอ้ื งหลงั ประเพณี วฒั นธรรมและภมู ปิ ญั ญาทสี่ ง่ั สม ไวใ้ ห้

14 แหล่งเรยี นรูท้ างประวัตศิ าสตรใ์ นท้องถน่ิ ๗๗ จงั หวดั ทั่วไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ)

แหลง่ เรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตร์ในทอ้ งถน่ิ หมายถงึ สถานที่ส�ำคญั ในท้องถ่ิน ทมี่ ปี ระวตั ิศาสตร์
ความเปน็ มา พฒั นาการของสถานที่ บุคคล ฯลฯ ให้เห็นเปน็ การเฉพาะและสามารถสบื ค้นได้ เชน่ โรงเรยี น
วัด มัสยิด โบสถ์ อนุสาวรีย์ ตลาด ย่านการค้า ชุมชนโบราณ ป้ายจารึก พิพิธภัณฑ์ในท้องถ่ิน วิถีชีวิต
การประกอบอาชีพ วัฒนธรรม ประเพณี ความเชือ่ แหล่งทอ่ งเท่ียว ปราชญ์ ผ้รู ู้ - ภมู ิปญั ญาทอ้ งถ่ิน บุคคล
ส�ำคัญในท้องถิ่น เปน็ ตน้
ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน
ไดจ้ ดั หมวดหมู่ แหล่งเรียนร้ทู างประวัติศาสตรใ์ นท้องถนิ่
ออ ก เป็น ๘ ประเภท ดังนี้
๑. วัดและพระสงฆ์ส�ำคัญท่ีเปน็ ทเี่ คารพนบั ถือ

๒. โบราณสถาน
๓. โบราณวตั ถุ
๔. เมอื งเกา่ และชุมชนโบราณ
๕. บุคคลส�ำคัญทางประวัติศาสตร์
๖. ภมู ิปญั ญาไทย
๗. ประเพณี พธิ กี รรม ความเช่อื
๘. สถานทที่ อ่ งเทย่ี วทางธรรมชาตทิ มี่ ปี ระวตั ศิ าสตร์

แหล่งเรียนรทู้ างประวตั ศิ าสตรใ์ นท้องถ่นิ ๗๗ จังหวดั ทวั่ ไทย 15
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ)

จากบริบทของสถานศึกษาที่หลากหลาย ส่งผลให้แต่ละพื้นที่มีแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์
ในทอ้ งถน่ิ ทแ่ี ตกตา่ งกนั ซงึ่ แหลง่ เรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตรแ์ ตล่ ะประเภทนนั้ มรี ปู แบบ กระบวนการ วธิ กี าร
จัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเป็นเอกลักษณ์ ดังน้ัน เพ่ือให้ครูผู้สอน หรือผู้น�ำกิจกรรมการเรียนรู้ มีแนวทาง
ในการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านแหล่งเรียนรู้ในท้องถ่ิน ที่มีประสิทธิภาพ บ่มเพาะ ปลูกฝังผู้เรียน
ให้เกิดความรักและภาคภูมิใจในท้องถ่ินและประเทศชาติ ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน
จงึ พฒั นา ชดุ เอกสาร “การเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตรผ์ า่ นแหลง่ เรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตรใ์ นทอ้ งถนิ่ ” ขนึ้ ประกอบ
ไปด้วยเอกสาร จ�ำนวน ๓ เลม่ ไดแ้ ก่
๑. เอกสาร “แนวทางการจดั กจิ กรรมการเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตรผ์ า่ นแหลง่ เรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตร์
ในท้องถิน่ ”
๒. เอกสาร “แหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ในท้องถิ่น ๗๗ จังหวัดท่ัวไทย (ภาคเหนือและ
ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื )”
๓. เอกสาร “แหลง่ เรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตรใ์ นทอ้ งถนิ่ ๗๗ จงั หวดั ทว่ั ไทย (ภาคกลางและภาคใต)้ ”

เอกสาร “แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์
ในทอ้ งถนิ่ ” น�ำเสนอ แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนร้ปู ระวัติศาสตร์ ต้งั แต่ ข้นั ตอนวธิ ีการเตรียมการ
กอ่ นลงพน้ื ที่ ขนั้ การศกึ ษาแหลง่ เรยี นรู้ ขน้ั สรปุ และน�ำเสนอผลการเรยี นรู้ การประเมนิ ผล ขอ้ ควรระวงั ตา่ ง ๆ
เป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้ ด้วย “วิธีการทางประวัติศาสตร์” ท่ีมุ่งเน้นกระบวนการฝึกฝน “ทักษะ
ทางประวัติศาสตร์” และ “ทักษะส�ำคัญในศตวรรษท่ี ๒๑” ในส่วนของ เอกสาร “แหล่งเรียนรู้
ทางประวัติศาสตร์ในทอ้ งถ่ิน ๗๗ จังหวดั ทัว่ ไทย (ภาคเหนอื และภาคตะวันออกเฉียงเหนอื )” และ เอกสาร
“แหลง่ เรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตรใ์ นทอ้ งถน่ิ ๗๗ จงั หวดั ทว่ั ไทย (ภาคกลางและภาคใต)้ ” น�ำเสนอ ฐานขอ้ มลู
เบื้องต้นเกยี่ วกับแหลง่ เรียนร้ทู างประวัติศาสตรใ์ นทอ้ งถ่ิน ทใี่ กล้ตัวผเู้ รียน/ ใกลโ้ รงเรียน
16 แหล่งเรียนร้ทู างประวัตศิ าสตรใ์ นทอ้ งถ่ิน ๗๗ จังหวดั ทัว่ ไทย

(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉียงเหนอื )

ฐานข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ในท้องถิ่น ที่ปรากฏใน เอกสาร
“แหล่งเรียนรทู้ างประวัติศาสตร์ในท้องถนิ่ ๗๗ จงั หวัดทัว่ ไทย (ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ)”
และ เอกสาร “แหลง่ เรยี นร้ทู างประวัติศาสตรใ์ นท้องถน่ิ ๗๗ จังหวดั ทว่ั ไทย (ภาคกลางและภาคใต้)” น้ี
เป็นผลจากการท่ี ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน รับใส่เกล้าฯ กระแสพระราชด�ำรัส
สมเดจ็ พระนางเจา้ สริ กิ ติ ิ์ พระบรมราชนิ นี าถ พระบรมราชชนนพี นั ปหี ลวง ทแี่ สดงความหว่ งใยตอ่ การเรยี น
การสอนวชิ าประวตั ศิ าสตรช์ าตไิ ทย ไดด้ �ำเนนิ โครงการการพฒั นาการจดั การเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตรช์ าตไิ ทย
ตามแนวพระราชด�ำริฯ “การเสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์ผ่านกิจกรรม Active Learning
การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย” โดยด�ำเนินกิจกรรม “การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านแหล่งเรียนรู้
ทางประวตั ศิ าสตรใ์ นทอ้ งถนิ่ ตามแนวพระราชดำ� รฯิ ” และก�ำหนดให้ “เดอื นสงิ หาคม : เดอื นแหง่ การเรยี นรู้
ประวัตศิ าสตร์ผ่านแหล่งเรียนรูท้ างประวตั ิศาสตร์ ตามแนวพระราชดำ� รฯิ ”
เพอ่ื ขบั เคลอ่ื นการด�ำเนนิ โครงการดงั กลา่ ว ส�ำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐานไดส้ ง่ เสรมิ
และสนับสนุนให้สถานศึกษาทุกแห่งในสังกัดส�ำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาและมัธยมศึกษา
จัดกิจกรรมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านแหล่งเรียนรู้ในท้องถ่ิน และให้นับเวลาเป็นส่วนหนึ่งของเวลา
เรยี นปกติ ในการนี้ สำ� นักงานเขตพ้ืนท่กี ารศึกษาทุกเขต ได้คดั เลือก สถานศกึ ษาแกนนำ� การจัดกจิ กรรม
การเรยี นร้ปู ระวตั ิศาสตร์ชาตไิ ทย เขตละ ๕ โรงเรยี น สถานศกึ ษาแกนน�ำกลุ่มนี้ไดจ้ ดั กจิ กรรมการเรียนรู้
ทางประวัติศาสตร์ผ่านแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ที่อยู่ในท้องถ่ิน ปรากฏผลการด�ำเนินกิจกรรมและ
ผลการสบื คน้ ขอ้ มลู ทางประวตั ศิ าสตรท์ นี่ า่ สนใจ ส�ำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน พจิ ารณาแลว้
เห็นประโยชน์ทเี่ กิดจากการขบั เคลื่อนนโยบายสกู่ ารปฏบิ ตั ิ จึงสงั เคราะหข์ ้อมลู แหล่งเรยี นรทู้ ีส่ ถานศึกษา
แกนน�ำได้ไปจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แล้วพัฒนาเป็น “ฐานข้อมูลเบ้ืองต้นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์
ในทอ้ งถน่ิ ” ดงั รายละเอยี ดทป่ี รากฏอยใู่ น เอกสาร “แหลง่ เรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตรใ์ นทอ้ งถน่ิ ๗๗ จงั หวดั
ทว่ั ไทย (ภาคเหนอื และภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื )” และ เอกสาร “แหลง่ เรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตรใ์ นทอ้ งถน่ิ
๗๗ จังหวัดทั่วไทย (ภาคกลางและภาคใต้)” เพื่อใช้ประกอบแนวทางการจัดการเรียนรู้ ตามเอกสาร
“แนวทางการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ประวตั ิศาสตร์ผ่านแหล่งเรยี นรู้ทางประวตั ศิ าสตร์ในทอ้ งถ่นิ ”
แมแ้ หลง่ เรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตรใ์ นทอ้ งถน่ิ บางแหลง่ อาจไมใ่ ชส่ ถานทที่ ม่ี ชี อ่ื เสยี ง หรอื เปน็ ทร่ี จู้ กั
ในวงกว้าง แตเ่ ปน็ เครอื่ งสะท้อนว่าชมุ ชน ทอ้ งถิ่นต่าง ๆ ทกุ แห่ง มคี วามส�ำคญั มเี อกลกั ษณ์ มีอตั ลักษณ์
ทนี่ า่ สนใจทค่ี นในทอ้ งถน่ิ ควรสบื คน้ ศกึ ษาเรยี นรู้ เขา้ ใจรากเหงา้ ความเปน็ มา เกดิ ความตระหนกั รกั ถน่ิ ฐาน
และภูมใิ จว่าประวัตศิ าสตร์ของท้องถ่นิ ตนนน้ั เปน็ ส่วนส�ำคัญสว่ นหนึ่งของประวตั ิศาสตรช์ าติไทย

แหล่งเรียนรทู้ างประวัตศิ าสตรใ์ นท้องถ่นิ ๗๗ จังหวดั ทวั่ ไทย 17
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ)



ส่วนท่ี ๒

แหลง่ เรยี นรทู้ างประวัติศาสตร์ในทอ้ งถ่นิ
๗๗ จงั หวัดทัว่ ไทย

แหล่งเรยี นรู้ทางประวัตศิ าสตร์ในทอ้ งถิ่น ๗๗ จังหวดั ทัว่ ไทย 19
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื )



สว่ นท่ี ๒
แหล่งเรยี นรู้ทางประวัติศาสตร์ในทอ้ งถนิ่
๗๗ จงั หวดั ทั่วไทย

แหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ในท้องถ่ิน ท่ีปรากฏ
ในเอกสารนี้ เป็นฐานข้อมูลที่ส�ำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา
ทั่วประเทศ จ�ำนวน ๒๒๕ เขต ได้เสนอให้เป็นข้อมูลส�ำคัญ
เพอื่ การจดั การเรยี นการสอนประวตั ศิ าสตร์ ซง่ึ ประกอบไปดว้ ย
แหล่งเรยี นรทู้ างประวัตศิ าสตร์ โบราณคดี วฒั นธรรม ฯลฯ
การน�ำเสนอฐานข้อมูลเบื้องต้นเก่ียวกับแหล่งเรียนรู้
ทางประวตั ศิ าสตรใ์ นทอ้ งถนิ่ นี้ ไดแ้ บง่ กลมุ่ ขอ้ มลู ตามกลมุ่ จงั หวดั
และจดั ท�ำเปน็ เอกสาร จ�ำนวน ๒ เลม่ ไดแ้ ก่ ๑.) เลม่ กลมุ่ ภาคเหนอื
และภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื กับ ๒.) เลม่ กลุ่มภาคกลางและ
ภาคใต้ ท้ังน้ี เป็นการเรยี งล�ำดับตวั อกั ษร จาก ก - ฮ

แหล่งเรยี นรู้ทางประวัติศาสตรใ์ นท้องถ่ิน ๗๗ จงั หวดั ทั่วไทย 21
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉียงเหนอื )



กำ�แพงเพชร

กำ�แพงเพชร

แหลง่ เรียนรทู้ างประวัตศิ าสตรใ์ นท้องถ่นิ ๗๗ จงั หวัดทวั่ ไทย 23
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ)



กำ�แพงเพชร

กำ� แพงเพชร

กรุพระเครอื่ ง เมอื งคนแกรง่ ความเกยี่ วเนอ่ื งกบั ดนิ แดนทงั้ สามแหง่ จงึ มกี ารตอ่ ยอด
ลกั ษณะทางศิลปะ ผสมผสานแสดงออกในรูปแบบ
ศลิ าแลงใหญ่ กลว้ ยไขห่ วาน ของสกุลช่างเมืองก�ำแพงเพชรได้อย่างสวยงาม
น้ำ� มันลานกระบอื เลื่องลอื มรดกโลก ถอื เปน็ เอกลักษณ์ท่ี โดดเด่นและชดั เจน
จากการทเ่ี ปน็ เมอื งโบราณเกา่ แก่ มหี ลกั ฐาน
ลายลกั ษณอ์ กั ษรและโบราณสถานทบี่ อกเลา่ เรอ่ื งราว
กำ� แพงเพชร อยใู่ นพน้ื ทภี่ าคกลางตอนบน ความเปน็ มาอนั ยาวนาน ท�ำให้ก�ำแพงเพชรมีแหลง่
ภมู ปิ ระเทศสว่ นใหญเ่ ปน็ พน้ื ทรี่ าบลมุ่ แมน่ ำ้� ยม แมน่ ำ�้ เรียนรทู้ างประวัติศาสตรใ์ นทอ้ งถิ่นท่นี ่าสนใจ ดังนี้
น่าน ตอ่ เน่อื งไปถึงท่ีราบลมุ่ แมน่ �้ำปา่ สกั มภี ูเขาทาง
ทศิ เหนอื และตะวนั ตก มคี วามอดุ มสมบรู ณ์ เหมาะแก่ อุทยานประวัติศาสตรก์ ำ� แพงเพชร อยูร่ ิม
การตงั้ ถน่ิ ฐาน ปรากฏร่องรอยการต้ังถ่ินฐานชุมชน ฝง่ั แมน่ ำ�้ ปงิ ในเขตอ�ำเภอเมอื งก�ำแพงเพชร เปน็ แหลง่
โบราณ ตง้ั แตส่ มยั ยคุ กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ สนั นษิ ฐาน โบราณสถานทไี่ ดร้ บั การประกาศเปน็ แหลง่ มรดกโลก
ว่าอาจเป็นชุมชนพักสินค้าเพื่อเปล่ียนรูปแบบการ โดยยูเนสโก ร่วมกับอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย
คมนาคมจากท่ีราบสู่เขตภูเขาที่ขึ้นไปทางทิศเหนือ และศรสี ชั นาลยั ครอบคลุมพ้ืนที่ ๒,๑๑๔ เป็นเขต
และทางทศิ ตะวนั ตก ยคุ ประวตั ศิ าสตร์ ก�ำแพงเพชร ก�ำแพงเมอื ง จ�ำนวน ๕๐๓ ไร่ ผงั เมอื งเปน็ รปู สเี่ หลยี่ ม
เป็นดินแดน ทีม่ ีความส�ำคัญทางด้านการทหาร เป็น คางหมู วางตัวเป็นแนวขนานไปกับแม่น�้ำปิง จาก
ยทุ ธศาสตรก์ ารสงคราม เพราะเปน็ ดนิ แดนทอี่ ยรู่ ะหวา่ ง ร่องรอยก�ำแพงเมืองเดิม มีลักษณะเป็นคันดินและ
เมอื งสุโขทัย กรุงศรอี ยุธยา และลา้ นนา คูน�้ำสามชั้น แล้วมีร่องรอยการต่อเติมก�ำแพงเมือง
ในสมัยทวารวดี ดนิ แดนแถบนม้ี ีการติดตอ่ เปน็ ศลิ าแลง เชงิ เทนิ กอ่ เปน็ รปู ใบเสมา มปี อ้ มบรเิ วณ
ค้าขายและรับอิทธิพลทางวัฒนธรรมมาจากอินเดีย มมุ เมอื งทง้ั ๔ มมุ มปี ระตโู ดยรอบ จ�ำนวน ๑๐ ประตู
ในสมัยต่อมา ก�ำแพงเพชรยังถือเป็นดินแดนที่มี นอกจากน้ี พบรอ่ งรอยคเู มอื ง กวา้ งประมาณ ๓๐ เมตร
ความส�ำคญั ทางยทุ ธศาสตรก์ ารทหาร เปน็ จดุ เชอ่ื มตอ่ เป็นหลกั ฐานความกา้ วหนา้ ด้านเทคโนโลยี ส�ำหรับ
ระหว่างเมืองสุโขทัยกับกรุงศรีอยุธยาและล้านนา จดั การนำ้� สมยั นนั้ คอื ขดุ คนู ำ้� เพอื่ ทดนำ้� จากแมน่ ำ้� ปงิ
มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ท่ีแสดงให้เห็นว่าเป็น แล้วน�ำน�้ำเข้าสู่คูเมืองบริเวณมุมหัวเมือง หากมี
เมอื งทมี่ คี วามส�ำคญั ทางประวตั ศิ าสตรม์ ากมาย เชน่ น�้ำล้นคูเมืองเกินความจ�ำเป็น ก็ระบายออกท่ีด้าน
ก�ำแพงเมือง คูเมือง ป้อมปราการ วัดโบราณ ซ่ึง มุมทา้ ยเมือง ลงสู่ล�ำคลองธรรมชาติ
หลักฐานทพ่ี บ ในเมอื งก�ำแพงเพชรนนั้ แสดงให้เหน็

แหลง่ เรียนรทู้ างประวตั ศิ าสตร์ในทอ้ งถิน่ ๗๗ จงั หวดั ท่วั ไทย 25
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื )

กำ�แพงเพชร

พนื้ ทภ่ี ายในเมอื งและนอกเมอื งก�ำแพงเพชร ดอกบวั ตมู ซง่ึ เปน็ รปู แบบทนี่ ยิ มในสมยั สโุ ขทยั จาก
มซี ากอาคารศาสนสถานโบราณขนาดใหญ่ ตามลทั ธิ จารึกที่ปรากฏระบุว่า พญาลิไทได้สร้างพระเจดีย์
เถรวาทแบบลงั กาวงศ์ มวี ดั พระแกว้ วดั พระธาตุ เปน็ สามองค์น้ี ข้ึนเพื่ออุทิศถวายพ่อขุนศรีอินทราทิตย์
วัดหลวงคู่เมือง คือเป็นวัดที่มีเฉพาะเขตพุทธาวาส พ่อขุนรามค�ำแหง และสร้างเป็นพระเจดีย์ประจ�ำ
ไมม่ พี ระภิกษจุ �ำพรรษา มี สระมน ท่ีเชอ่ื กนั วา่ เป็น รชั กาล โดยภายในองคก์ ลางของพระเจดยี ์ ไดอ้ ญั เชญิ
พน้ื ทว่ี งั โบราณ และเทวสถานศาลพระอศิ วร ทสี่ รา้ งใน พระบรมสารรี กิ ธาตุ ๙ องค์ บรรจุไว้ ในภาชนะเงนิ
สมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา ในพน้ื ทกี่ วา่ สองพนั ไรข่ องอทุ ยาน รูปส�ำเภา
ประวตั ศิ าสตรก์ �ำแพงเพชรมวี ดั โบราณ โบราณสถาน ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๔๑๔ พญาตะก่า คหบดี
ทม่ี ลี กั ษณะสถาปตั ยกรรมทใี่ ชศ้ ลิ าแลงเปน็ วสั ดหุ ลกั ชาวกะเหรี่ยง มีศรัทธาประสงค์จะบูรณปฏิสังขรณ์
ในการกอ่ สรา้ ง และมคี วามงดงามตามแบบศลิ ปกรรม องคพ์ ระเจดยี ์ ดงั นน้ั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้
ของสกลุ ชา่ งเมอื งก�ำแพงเพชร ตวั อยา่ งโบราณสถาน เจ้าอยู่หัว (รัชกาลท่ี ๕) ได้พระราชทานพระบรม
เชน่ วดั พระนอน วดั ปา่ มดื วดั พระสอ่ี ริ ยิ าบถ วดั สงิ ห์ ราชานุญาตร้ือเจดีย์ท่ีพังทลายลง สร้างพระเจดีย์
วัดอาวาสใหญ่ วัดก�ำแพงงาม วัดนาคเจ็ดเศียร แบบมอญสวมทบั ดงั ทปี่ รากฏในปจั จบุ ัน ซ่งึ ต่อมา
วดั เตาหม้อ วดั ชา้ งรอบ และวัดฆ้องชัย พระองค์เสด็จประพาสต้นเมืองก�ำแพงเพชรและ
นอกจากนี้ บรเิ วณฝง่ั ตะวนั ตกของแมน่ ำ�้ ปงิ เสดจ็ มาสักการะพระบรมธาตุเจดีย์ ท่วี ัดแหง่ นีด้ ว้ ย
หรือฝั่งตรงข้ามกับเมืองก�ำแพงเพชร เป็นที่ต้ังของ นอกจากนี้ ภายในวัดมีสิง่ ส�ำคัญอีกสิง่ คือ
เมืองโบราณเมอื งหนึ่ง คอื เมอื งนครชุม เปน็ เมอื งท่ี ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งชาวก�ำแพงเพชรเช่ือกันว่า
มีความร่งุ เรืองมากในสมยั สุโขทยั ปัจจบุ นั ตวั เมือง เป็นต้นพระศรีมหาโพธ์ิที่พญาลิไททรงปลูกเม่ือครั้ง
ถูกท�ำลายไปมากจากการกัดเซาะของแม่น�้ำปิงและ สรา้ งวัด เปน็ ตน้ โพธิข์ นาดใหญ่ ขนาด ๙ คนโอบ
จากการขยายตวั ของชมุ ชนปจั จบุ นั
โบราณสถานวดั เขานางทอง อยใู่ นเขตเมอื ง
วดั พระบรมธาตุ นครชมุ อยใู่ นต�ำบลนครชมุ โบราณบางพาน พื้นท่ีของอ�ำเภอพรานกระต่าย
อ�ำเภอเมือง เป็นวัดเก่าแก่ จารึกนครชุมบันทึกว่า ในสมยั สโุ ขทยั เมอื งบางพานเปน็ เมอื งทมี่ คี วามส�ำคญั
วัดแหง่ น้ี เป็นวัดเก่าแกค่ ู่บ้านคูเ่ มอื งโบราณนครชุม เห็นได้จากข้อความตามหลักศิลาจารึกหลักท่ี ๒
สรา้ งขนึ้ โดยพระมหาธรรมราชาลไิ ทย หรอื พญาลไิ ท หรอื จารกึ นครชมุ ทบี่ นั ทกึ ไวว้ า่ พระมหาธรรมราชา
กษตั ริยแ์ หง่ กรุงสุโขทยั สรา้ งข้ึนราว ปี พ.ศ. ๑๙๐๐ ลิไทย หรอื พญาลิไท กษตั ริยแ์ หง่ อาณาจักรสุโขทยั
เพื่อเป็นวัดประจ�ำเมือง ภายในวัดมีพระบรมธาตุ ได้อัญเชิญรอยพระพุทธบาทมาประดิษฐานท่ีเมือง
เจดีย์ จ�ำนวนสามองคต์ ัง้ เรียงกันอยบู่ นฐานเดยี วกนั บางพาน เหนือยอดเขานางทอง การเลือกเมือง
เป็นเจดีย์เก่าแก่สมัยสุโขทัย สร้างขึ้นมาพร้อมกับ บางพานเป็นสถานท่ีประดิษฐานรอยพระพุทธบาท
การสร้างวัด ลักษณะทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ คือ คล้าย จ�ำลองนั้น แสดงให้เห็นถึงความส�ำคัญและรุ่งเรือง

26 แหลง่ เรียนรทู้ างประวตั ิศาสตร์ในทอ้ งถิ่น ๗๗ จังหวัดท่ัวไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ)

กำ�แพงเพชร

ของเมืองในสมัยสุโขทัยได้ป็นอย่างดี นอกจากนี้ ด้านหน้าของพ้ืนที่วัด มีวิหารขนาดใหญ่ ยกพื้นสูง
จากจารึกฐานพระอิศวรส�ำริดเมืองก�ำแพงเพชร ทีฐ่ านชุกชี ปรากฏรอ่ งรอยของพระพทุ ธรปู ท�ำจาก
ทีเ่ ขยี นขนึ้ เมอื่ พ.ศ. ๒๐๕๓ กล่าวว่าเมืองบางพาน ศลิ าแลง ดา้ นหลังวหิ าร เปน็ อาคารท่ีสนั นษิ ฐานว่า
เจริญขนาดมีถนนพระร่วงตัดผ่าน และมีการขุด อาจเปน็ มณฑป ถดั จากนนั้ เปน็ ฐานบษุ บกยอ่ มมุ ๓ ชน้ั
“ท่อปพู่ ระยารว่ ง” เพ่อื ล�ำเลียงนำ�้ จากก�ำแพงเพชร สันนิษฐานว่าเคยประดิษฐานพระแก้วมรกต และ
ไปเลี้ยงเมืองบางพานเพ่ือการเกษตรกรรม เป็น เจดยี ป์ ระธาน ทรงระฆงั ฐานท�ำเปน็ ซมุ้ คหู าโดยรอบ
การจัดการน้�ำเพ่ือให้สามารถปลูกข้าวได้ตลอดปี มรี ูปสิงห์อยใู่ นซ้มุ แตช่ �ำรุดหมด มวี หิ ารประดษิ ฐาน
แสดงให้เหน็ ถงึ วิทยาการทก่ี ้าวหน้ามาก พระพทุ ธรปู ขนาดใหญ่ ๓ องค์ เปน็ พระพทุ ธรปู ไสยาสน์
ลกั ษณะของโบราณสถาน สว่ นดา้ นบนสงู สดุ ๑ องค์ พระพุทธรูปมารวิชัย ๒ องค์ พระพักตร์
เป็นเจดีย์ใหญ่ทรงดอกบัวตูม หรือ พุ่มข้าวบิณฑ์ ของพระพทุ ธรปู เปน็ พระพกั ตรเ์ หลย่ี ม ตามลกั ษณะ
ฐานเจดีย์ กว้าง ๑๒ เมตร ก่อด้วยอิฐปนศิลาแลง ศิลปะอยุธยาตอนต้น ด้านหลังวัด พบกลุ่มเจดีย์
สว่ นบนเปน็ ศลิ าแลง ถดั มาเปน็ เจดยี อ์ งคเ์ ลก็ ๓ องค์ ที่องค์เจดีย์ประธานมีฐานช้างล้อมรอบ เรียกกันว่า
กว้าง ๒ เมตร เทา่ กนั ทกุ องค์ และยังมวี หิ าร ๔ ตอน เจดยี ช์ า้ งเผอื ก จากการส�ำรวจพนื้ ทขี่ องกรมศลิ ปากร
สว่ นดา้ นทา้ ยสดุ คลา้ ยทตี่ งั้ บษุ บก เปน็ ทป่ี ระดษิ ฐาน พบวา่ มกี ารพบฐานเจดีย์ รวมกนั มากถงึ ๓๕ ฐาน
รอยพระพทุ ธบาท และยังมีร่องรอยของโบสถ์และวิหารจ�ำนวนมาก
ซึ่งลักษณะของโบราณสถานนี้ พระบาท จึงท�ำให้เช่ือได้ว่า วัดแห่งน้ี ในอดีตอาจเคยเป็นวัด
สมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจ้าอย่หู ัว (รัชกาลที่ ๖) ทรงมี ขนาดใหญแ่ ละมคี วามส�ำคัญ และเมอื งก�ำแพงเพชร
พระราชาธิบายเกี่ยวกับเขานางทองไว้ในหนังสือ น่าจะเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ
“เทย่ี วเมอื งพระรว่ ง” เชน่ กนั สว่ นรอยพระพทุ ธบาท มีแรงงานที่สามารถกะเกณฑ์ได้และที่ส�ำคัญ คือ
ทพี่ ญาลไิ ทไดอ้ ญั เชญิ มาประดษิ ฐาน เปน็ ศลิ ปะสโุ ขทยั มเี ทคโนโลยที ก่ี า้ วหนา้ ในการกอ่ สรา้ งอาคารดว้ ยศลิ า
ท�ำจากหนิ ชนวน ยาว ๑.๗๓ เมตร กวา้ ง ๑๑.๓๕ เมตร
บนรอยพระพุทธบาทมลี วดลายแกะสลกั หินท่วี จิ ิตร บา้ นพะโป้ หรอื เรยี กทว่ั ไปวา่ บา้ นหา้ ง ร. ๕
ปจั จบุ นั ถกู เกบ็ ไวท้ พี่ พิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ พระนคร ตงั้ อยทู่ ร่ี มิ คลองสวนหมาก ซง่ึ ในอดตี ปากคลองแหง่ นี้
เป็นท�ำเลในการชักลากและล�ำเลียงไม้จากป่า
วัดพระแกว้ ตัง้ อยูก่ ลางเมืองก�ำแพงเพชร สง่ ลงไปยงั เมอื งนครสวรรค์ เปน็ ศนู ยก์ ลางการคา้ ไม้
ภายในอุทยานประวัติศาสตร์ก�ำแพงเพชร เป็นวัด ท่ีใหญ่ท่ีสุดของภาคเหนือตอนล่าง พะโป้ ผู้เป็น
คู่เมือง สร้างติดก�ำแพงเมืองเช่นเดียวกับขนบการ เจา้ ของบา้ น เปน็ พอ่ คา้ ไมแ้ ละคหบดใี หญช่ าวกะเหรย่ี ง
สรา้ งบา้ นแปงเมอื งโบราณ เชน่ วดั พระศรสี รรเพชญ์ และยังเป็นผู้บูรณปฏิสังขรณ์องค์พระเจดีย์นครชุม
ที่กรุงศรีอยุธยา หรือวัดมหาธาตุ แห่งเมืองสุโขทัย ต�ำบลนครชุม ต่อจาก พญาตะก่า ผู้เป็นพี่ชาย
ภายในมีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ ท�ำด้วยศิลาแลง ตวั บา้ น เปน็ อาคารไม้ สองชน้ั สรา้ งดว้ ยไมส้ กั ทงั้ หลงั

แหล่งเรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตร์ในท้องถน่ิ ๗๗ จังหวดั ทวั่ ไทย 27
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ)

กำ�แพงเพชร

รูปแบบไทยผสมตะวันตก ประดับด้วยไม้ฉลุลาย พระราชนิพนธ์เร่ืองเสด็จประพาสต้น คร้ังที่ ๒
อยา่ งประณตี ในอดตี บ้านแหง่ น้ี ได้ใชเ้ ป็นสถานที่ และมีภาพตัวบ้านในอัลบั้มภาพทรงถ่าย ปัจจุบัน
รับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว บ้านพะโป้ มสี ภาพทรุดโทรม แตย่ ังปรากฏรอ่ งรอย
(รชั กาลที่ ๕) คราวเสดจ็ ประพาสตน้ เมอื งก�ำแพงเพชร ความยิง่ ใหญ่ รุง่ เรือง สวยงาม
เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ มีชื่อใน

28 แหลง่ เรียนรูท้ างประวัตศิ าสตร์ในท้องถนิ่ ๗๗ จังหวดั ทว่ั ไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ)

เชียงราย

เชยี งราย

แหล่งเรียนรทู้ างประวัตศิ าสตรใ์ นท้องถิน่ ๗๗ จงั หวัดทวั่ ไทย 29
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื )



เชียงราย

เชียงราย

เหนอื สดุ ในสยาม ได้ย้ายเมืองหลวงของอาณาจักรไปท่ีเชียงใหม่ แต่
ชายแดนสามแผ่นดนิ เชยี งรายกอ็ ยภู่ ายใตก้ ารปกครองของลา้ นนาเรอ่ื ยมา
ถน่ิ วัฒนธรรมลา้ นนา รวมถึงสมัยที่ล้านนาตกอยู่ภายใต้การปกครอง
ล�้ำคา่ พระธาตดุ อยตงุ ของพม่า นับแต่ปี พ.ศ. ๒๑๐๑ จนถึงสมัยธนบุรี
ท่ีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชร่วมกับชาวเมือง
เชยี งราย เปน็ จงั หวดั ท่ีตง้ั อยเู่ หนอื สดุ ของ สามารถขบั ไลพ่ มา่ ออกจากลา้ นนาไดส้ �ำเรจ็ ในสมยั
ประเทศไทย มอี าณาเขตตดิ ตอ่ กบั สหภาพเมยี นมาร์ รตั นโกสนิ ทร์ พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั
และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (รชั กาลที่ ๓) โปรดใหเ้ จา้ หลวงเชยี งใหมฟ่ น้ื ฟเู ชยี งราย
ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศเปน็ เทอื กเขาสงู และมที รี่ าบลมุ่ ขน้ึ ใหม่ และมกี ารพฒั นาบ้านเมอื ง รุง่ เรอื งสืบมา
แม่น�้ำในตอนกลางของพ้ืนท่ี เป็นต้นก�ำเนิดของ จากประวัติความเป็นมาอันยาวนานและ
แม่น�้ำส�ำคญั คอื แม่น�้ำแมก่ ก แมอ่ ิง และล�ำน�ำ้ โขง ย่ิงใหม่ของเชียงราย ส่งผลให้มีแหล่งเรียนรู้ทาง
มกี ารพบรอ่ งรอยการอยอู่ าศยั ของมนษุ ยน์ บั แตส่ มยั ประวัตศาสตร์ในท้องถิ่นทน่ี า่ สนใจ เชน่
ยุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยพบเคร่ืองมือเคร่ืองใช้ อนสุ าวรยี พ์ ญามงั ราย ตง้ั อยบู่ รเิ วณใจกลาง
ทท่ี �ำจากหนิ กะเทาะในพนื้ ทแ่ี หลง่ โบราณคดี ถำ้� พระ เมอื งเชยี งราย สรา้ งขน้ึ เพอ่ื ระลกึ ถงึ พระปรชี าสามารถ
และยงั มรี อ่ งรอยโบราณสถาน ทสี่ อดคลอ้ งกบั ต�ำนาน ของพญามงั ราย ปฐมกษตั รยิ แ์ หง่ อาณาจกั รล้านนา
พน้ื เมือง เล่าถงึ การตง้ั ชุมชน เมือง และอาณาจกั ร และผสู้ รา้ งเมอื งเชยี งราย เปน็ ราชโอรสของพญาลาวเมง็
โบราณ ในพน้ื ท่นี ้ี นับแตย่ ุคอาณาจกั รโยนกไชยบุรี แห่งราชวงศ์ลัวะจักราช ผู้ครองหิรัญนครเงินยาง
ศรีช้างแส่น หรือ แคว้นโยนก ที่รุ่งเรืองประมาณ กบั นางเทพค�ำขยาย พระราชธดิ าของทา้ วรงุ่ แกน่ ชาย
ช่วง ปี พ.ศ. ๑๒๐๐ - ๑๖๕๐ เมอื่ อาณาจกั รโยนก กษตั รยิ แ์ หง่ เมอื งเชยี งรงุ่ สบิ สองพนั นา พระองคป์ ระสตู ิ
ลม่ สลาย มกี ารสถาปนาอาณาจกั รหริ ญั นครเงนิ ยาง ปี พ.ศ. ๑๗๘๑
เชียงลาว (เชียงแสนในปัจจุบัน) พัฒนาอาณาจักร พญามังรายทรงเป็นผู้กอบกู้และรวบรวม
จนเจริญรุ่งเรือง แล้วพญามังราย บุตรของพญา ชาวไทย เมืองใหญน่ ้อยทั้งหลายเขา้ เปน็ อาณาจกั ร
ลาวเมง็ ผคู้ รองนครหริ ญั นครเงนิ ยาง ไดย้ า้ ยราชธานี เดยี วกัน เพอ่ื ความสงบสขุ ของอาณาประชาราษฎร์
จากเมอื งหริ ญั นครเงนิ ยางมาสรา้ งราชธานแี หง่ ใหม่ จึงมีใบบอกไปยังเมืองต่าง ๆ ที่ต้ังตัวเป็นอิสระ
รมิ แม่น�้ำกก สถาปนาอาณาจกั รลา้ นนา โดยตอ่ มา เมืองใดแข็งข้อก็ส่งกองทัพไปปราบตีได้เมืองมอบ
เป็นเมืองแรก ต่อมาได้เมืองไร เมืองเชียงค�ำ

แหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตรใ์ นทอ้ งถน่ิ ๗๗ จังหวัดทว่ั ไทย 31
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉียงเหนอื )

เชยี งราย

ให้ถอดเจ้าผู้ครองนครออกแล้วแต่งตั้งขุนนาง ตอ่ มา รกั ไดก้ ะเทาะออก จงึ เหน็ พระพทุ ธรปู สเี ขยี ว
อยรู่ ง้ั เมอื งแทน แตน่ นั้ มาหวั เมอื งใหญน่ อ้ ยทงั้ หลาย ทสี่ รา้ งดว้ ยหยก ซง่ึ กค็ อื พระแกว้ มรกต หลงั จากนน้ั
ตา่ งพากนั มาสวามภิ กั ดโ์ิ ดยสนิ้ เชงิ เมอื่ รวบรวมหวั เมอื ง มีการอัญเชิญพระแก้วมรกตไปประดิษฐานไว้ที่
ฝ่ายเหนือได้แล้ว ก็คิดจะยกทัพไปปราบหัวเมือง เมอื งตา่ ง ๆ ไดเ้ เก่ ล�ำปาง เชยี งใหม่ หลวงพระบาง
ฝ่ายใต้ต่อไป ในปี พ.ศ. ๑๘๐๕ ขณะยกทัพไปถึง เวยี งจนั ทน์ กรงุ ธนบรุ ี และกรงุ เทพมหานคร ตามล�ำดบั
เมอื งลาวกเู่ ตา้ และประทบั อยทู่ นี่ นั่ ชา้ งทรงของพระองค์ ปัจจุบัน วัดพระแก้ว เป็นที่ประดิษฐาน
ซง่ึ ทอดไวท้ ปี่ า่ หวั ดอยทางทศิ ตะวนั ออก หลดุ พลดั ไป องค์พระหยกซ่ึงสร้างข้ึนใหม่ ในวโรกาสที่สมเด็จ
พระองค์จึงเสดจ็ ตามรอยชา้ งไปจนถึงดอยจอมทอง พระศรีนครินทราบรมราชชนนี เจริญพระชนมายุ
ริมฝั่งแม่น้�ำกก ทอดพระเนตรเห็นภูมิประเทศเป็น ครบ ๙๐ พรรษา เม่อื ปี พ.ศ. ๒๕๓๓
ชยั ภมู ทิ ดี่ ี จงึ ไดโ้ ปรดใหส้ รา้ งพระนครขน้ึ โดยกอ่ ก�ำแพง
โอบรอบ เอาดอยจอมทองไว้ภายในขนานนามว่า เมอื งโบราณเชยี งแสน อยทู่ อี่ �ำเภอเชยี งแสน
เมืองเชียงราย แล้วให้ย้ายราชธานีจากเมือง เป็นเมืองโบราณที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดเมืองหนึ่งของ
หิรัญนครเงินยาง มาตั้งอยู่ท่ีเชียงรายนับแต่นั้นมา อาณาจกั รลา้ นนา มอี าณาเขตครอบคลมุ พน้ื ทปี่ จั จบุ นั
ในปี พ.ศ. ๑๘๑๙ พญาเมง็ รายไดย้ กกองทพั ไปประชดิ คอื ดอยเชยี งเม่ียง เเละบ้านสบรวก เขตสขุ าภิบาล
เมอื งพะเยา พญาง�ำเมืองผคู้ รองเมืองพะเยาออกมา เวยี งเชยี งแสน และเขตบา้ นเชยี งแสนนอ้ ย ต�ำบลเวยี ง
รับเสด็จด้วยไมตรีและยกต�ำบลบ้านปากน�้ำให้แก่ อ�ำเภอเชยี งแสน มชี ยั ภูมดิ ี คอื ตั้งอยู่ริมฝ่ังตะวันตก
พญามังรายแล้วปฏิญาณเป็นมิตรกัน ต่อมาอีกราว ของแมน่ ้ำ� โขง เหมาะสมต่อการตงั้ ถน่ิ ฐานบา้ นเรอื น
๔ ปี พอ่ ขนุ รามค�ำแหงมหาราช แหง่ อาณาจกั รสโุ ขทยั การคมนาคมและการค้าขาย ปรากฏหลักฐาน
พญาง�ำเมอื ง และพญามงั ราย ไดก้ ระท�ำสตั ยป์ ฏญิ าณ การตงั้ ถนิ่ ฐานของมนษุ ยใ์ นสมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์
เป็นพระสหายกัน ต�ำนานหลายฉบบั บนั ทกึ การสรา้ งเมอื งของพระเจา้
สิงหนวัติ (สิงหนติ) ที่อพยพมาสร้างเมืองบริเวณ
วดั พระแกว้ ตงั้ อยถู่ นนไตรรตั น์ อ�ำเภอเมอื ง ทร่ี าบลมุ่ แมน่ ำ้� กก ชอ่ื วา่ “โยนกนาคพนั ธสงิ หนวตั ”ิ
เคยเป็นทปี่ ระดิษฐาน พระแกว้ มรกตหรอื พระพุทธ มีกษัตริย์ปกครองต่อเน่ืองยาวนานมากกว่า ๔๕
มหามณรี ตั นปฏมิ ากร ซงึ่ ในปจั จบุ นั ไดป้ ระดษิ ฐานอยทู่ ่ี พระองค์ จนกระทง่ั สมยั ของพระเจา้ พรหม สามารถ
วดั พระศรรี ตั นศาสดาราม (วดั พระเเกว้ ) กรงุ เทพมหานคร รวบรวมบา้ นเมอื ง และขยายขอบเขตของแควน้ โยนก
ตามต�ำนานเลา่ ว่า เมื่อปี พ.ศ. ๑๙๗๗ ซง่ึ เปน็ สมัย ออกไปไดห้ ลายพน้ื ที่ ไดเ้ เก่ เมอื งไชยปราการ (พน้ื ท่ี
ของพระเจา้ สามฝง่ั แกน เจา้ เมอื งผคู้ รองเชยี งใหมน่ นั้ อ�ำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่) เมืองไชยนารายณ์
เกิดเหตุการณ์ฟ้าผ่าพระเจดีย์ร้างองค์หน่ึง จึงพบ (เขตอ�ำเภอเวยี งชยั จงั หวดั เชยี งราย) และเวยี งพางค�ำ
พระพทุ ธรปู ลงรกั ปดิ ทองอยภู่ ายในเจดยี น์ น้ั ในเวลา (เขตอ�ำเภอแมส่ าย จงั หวดั เชยี งราย) ซงึ่ ในเวลาตอ่ มา

32 แหลง่ เรยี นรทู้ างประวัตศิ าสตร์ในท้องถ่นิ ๗๗ จงั หวดั ทั่วไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื )

เชยี งราย

อาณาจักรโยนกก็ล่มสลายลง ท�ำให้เมืองเชียงแสน เม่ือปี พ.ศ. ๒๕๐๐ จงึ ยกฐานะเป็นอ�ำเภอหน่งึ ของ
มีฐานะเป็นเมืองลูกหลวงของอาณาจักรล้านนา จงั หวดั เชยี งราย
เรื่อยมา จนถึงสมัยพระเจ้าติโลกราช กองทัพของ โบราณสถานที่ปรากฏเป็นร่องรอยความ
กรุงศรีอยุธยาเข้ายึดเมืองเชียงใหม่ อาณาจักร รุ่งเรืองของเมืองเชียงแสน เช่น วัดเจดีย์หลวง
ล้านนาได้ ได้ส่งผลให้ เมืองเชียงแสนต้องตกอยู่ ซ่ึงสันนิษฐานว่าคือ “วัดพระหลวง” ในอดีต เป็น
ภายใต้อ�ำนาจการปกครองของอยุธยาด้วยเช่นกัน วัดส�ำคัญที่สุดวัดหนึ่งของเมืองโบราณเชียงแสน
แตห่ ลงั จากนนั้ ไมน่ าน ลา้ นนากต็ อ้ งตกอยใู่ นอ�ำนาจ ปรากฏหลักฐานว่าพระเจ้าแสนภู พระราชนัดดา
ของพมา่ ของพญามงั ราย สรา้ งขนึ้ เมอื่ พ.ศ. ๑๘๘๗ ภายในวดั
ในสมยั ธนบรุ ี ปี พ.ศ. ๒๓๑๗ พระยาจา่ บา้ น มีเจดีย์องค์ใหญ่สูง ๘๘ เมตร ตั้งอยู่บนฐานกว้าง
(วิเชียรปราการ) ร่วมกับพระยากาวิละ ด้วยการ ๒๔ เมตร ถือเปน็ เจดยี ท์ รงระฆังลา้ นนาทใ่ี หญท่ ่ีสดุ
สนบั สนุนจากกองทัพจากกรงุ ธนบรุ ี สามารถกอบกู้ ในเชยี งแสน และมกี �ำแพงเมอื งโบราณ สรา้ งลอ้ มรอบ
เมืองเชียงใหม่ได้ส�ำเร็จ แต่พม่าก็ยังตั้งมั่นที่เมือง พน้ื ทเ่ี มอื งโบราณทเี่ ปน็ ลกั ษณะรปู สเี่ หลย่ี มดา้ นเทา่
เชียงแสน ในปี พ.ศ.๒๓๔๗ พระยากาวิละได้ให้ มกี �ำแพงเมอื งและคเู มอื งลอ้ มทง้ั ๓ ดา้ น ยกเวน้ ดา้ น
พระยาอุปราช (อนุชา) ยกก�ำลังเข้าไปขับไล่พม่า ทิศตะวันออกซึ่งติดแม่น�้ำโขง ก�ำแพงเมืองคูเมือง
เเละขับไล่ได้ส�ำเร็จ ได้เผาท�ำลายเมือง เเละอพยพ ด้านทิศเหนือยาว ๙๕๐ เมตร ทิศตะวันตกยาว
ผคู้ นออกจากเมอื งเชยี งแสนไปไวใ้ นทตี่ า่ ง ๆ ในเมอื ง ๒,๕๐๐ เมตร ทิศใตย้ าว ๘๕๐ เมตร
ล้านนา
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ เชยี งแสน ตง้ั อยู่
เจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) มีกลุ่มชาวพม่า ลื้อ เขิน ศาลาหลังเก่าของวัดเจดีย์หลวง ในเขตต�ำบลเวียง
จากเมอื งเชยี งตงุ อพยพเขา้ มาตง้ั ถนิ่ ฐานอย่ภู ายใน อ�ำเภอเชียงแสน เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
เมืองเชยี งแสน โปรดเกลา้ ฯ ให้เจ้าอินตะ๊ น�ำราษฎร ทีเ่ ก่าแก่ท่สี ดุ ในภาคเหนือ เป็นสถานท่เี กบ็ รวบรวม
ชาวเมอื งล�ำพนู เชยี งใหม่ เขา้ มาตง้ั บา้ นเรอื นในเมอื ง จัดแสดงโบราณวัตถุ ที่ได้จากการส�ำรวจขุดแต่ง
เชียงแสน จ�ำนวน ๑,๕๐๐ ครวั เรือน ฟ้ืนฟเู ชียงแสน โบราณสถานเมอื งเชยี งแสน รวมถงึ บริเวณใกลเ้ คยี ง
ให้รงุ่ เรืองอีกครัง้ เป็นแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่นที่มีคุณค่าต่อการศึกษา
เมื่อมีการจดั ระบบการปกครองแบบมณฑล ประวตั ิศาสตร์ทอ้ งถน่ิ
เทศาภิบาล เมืองเชียงแสนได้ข้ึนกับมณฑลพายัพ พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ เชยี งแสน จดั แสดง
ต่อมาเปล่ียนการบริหารการปกครองส่วนภูมิภาค เรือ่ งราวการอยูอ่ าศัยของมนุษยใ์ นดนิ แดนนี้ นับแต่
เป็นจงั หวัด เมอื งเชยี งแสนจึงมฐี านะเปน็ กิง่ อ�ำเภอ สมัยยุคกอ่ นประวัตศิ าสตร์ ความเป็นมาเป็นไปของ
เชียงแสนหลวง ข้ึนอยู่กับอ�ำเภอแม่จัน จนกระทั่ง การสรา้ งเมอื งเชยี งแสน จดั แสดงจารกึ ทพี่ บในเมอื ง

แหล่งเรียนรทู้ างประวตั ศิ าสตรใ์ นท้องถิน่ ๗๗ จงั หวดั ทั่วไทย 33
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉียงเหนอื )

เชียงราย

เชยี งแสนและพนื้ ทใ่ี กลเ้ คยี ง ภมู ปิ ญั ญาลวดลายปนู ปน้ั ปฏบิ ตั ติ ลอดทง้ั ปี มกี ารปลกู ขา้ วและผกั เลย้ี งไก่ หมู
ท่ีเป็นเอกลักษณ์จากวัดป่าสัก พัฒนาการของ เพอื่ ใชบ้ รโิ ภคในครวั เรอื น มกี ารปลกู พชื ไรแ่ ละท�ำสวน
เครอ่ื งถว้ ยลา้ นนาในจงั หวดั เชยี งราย รวมถงึ เรอ่ื งราว ผลไม้ เชน่ ล้ินจี่ ขา้ วโพด ท�ำสวนยางพารา ปลูกขิง
ชวี ิตความเป็นอยขู่ องกลุม่ ชนแถบลุ่มแม่นำ�้ โขง เพื่อเป็นรายได้ มีการพัฒนาพ้ืนที่ป่าชุมชน ให้เป็น
ปา่ ต้นนำ้� เป็นแหล่งอาหารและแหล่งสมนุ ไพร
วถิ ชี วี ติ ชาตพิ นั ธอ์ุ า่ ขา่ ดอยแสนใจ ชมุ ชน นอกจากน้ี เพอ่ื เปน็ การอนรุ กั ษข์ นมธรรมเนยี ม
บ้านแสนใจพัฒนา เป็นชนเผา่ อ่าข่า กลมุ่ อู่โล้อา่ ข่า ประเพณขี องชาวอา่ ขา่ ไว้ โรงเรยี นดอยแสนใจ (ตชด.
อยู่ที่ต�ำบลแม่สลองใน อ�ำเภอแม่ฟ้าหลวง จาก อนุสรณ์) ได้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์ศูนย์วัฒนธรรมอาข่า
ค�ำบอกเล่าของผู้อาวุโสของชนเผ่า เล่าว่า เมื่อปี จดั นทิ รรศการบอกเลา่ เรอ่ื งราว ประวตั ิ ความเปน็ มา
พ.ศ. ๒๔๕๘ แสนอนุ่ เรอื น ไดน้ �ำกลมุ่ ชาวอา่ ขา่ อพยพ และจดั แสดงวถิ ชี วี ติ ของชาวอา่ ขา่ เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นและ
เข้ามาตั้งถิ่นฐานในพ้ืนท่ีดอยตุง จังหวัดเชียงราย ผสู้ นใจทว่ั ไปไดเ้ รยี นรู้ และมกี ารเผยแพรป่ ระเพณขี อง
ตอ่ มาในปี พ.ศ. ๒๕๔๔ แสนใจ (ทแู่ ส้) ผู้เปน็ หลาน ชาวอ่าข่าสสู่ ังคมภายนอก เชน่ การจัดงานประจ�ำปี
ได้แยกมาต้ังบ้านเรือนบริเวณบ้านแสนใจเก่า หรือ ประเพณโี ลช้ งิ ชา้ หรอื ภาษาอาขา่ เรยี กวา่ “แยข้ อู่ า่ เผว่ ”
แสนใจพัฒนา หมู่ที่ ๒๒ มนี ายหลา้ (ทกู อ่ จือเปาะ) ความภาคภมู ใิ จสงู สดุ ของกลมุ่ ชาวอา่ ขา่ คอื พระบาท
หรือ จ่าหล้า ไทยนุรักษ์ (นามสกุลพระราชทาน) สมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช
เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก มหาราชบรมนาถบพติ ร (รชั กาลท่ี ๙) เคยเสดจ็ เยย่ี ม
ชาวบา้ นด�ำรงชวี ติ โดยพง่ึ พาอาศยั ธรรมชาติ ชมุ ชนชาวอา่ ขา่ หลายครง้ั และมกี ารพระราชทานโค
เปน็ หลกั มคี วามเชอ่ื เรอื่ งผบี รรพบรุ ษุ และมปี ระเพณี และแกะให้แกช่ าวบา้ นดว้ ย
ท่ีมีความเก่ียวข้องกับความเชื่อเร่ืองผีท่ีต้องยึดถือ

34 แหล่งเรียนรู้ทางประวตั ิศาสตรใ์ นท้องถิ่น ๗๗ จงั หวัดทัว่ ไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื )

เชียงใหม่

เชยี งใหม่

แหลง่ เรยี นรู้ทางประวตั ศิ าสตร์ในทอ้ งถ่นิ ๗๗ จังหวดั ท่วั ไทย 35
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ)



เชยี งใหม่

เชียงใหม่

ดอยสุเทพเป็นศรี ตอ่ เนอ่ื ง มากกว่า ๒๐๐ ปี กษตั รยิ อ์ งคส์ �ำคญั เช่น
ประเพณเี ป็นสงา่ พญากือนา พญาสามฝั่งแกน พญาติโลกราช หรือ
บปุ ผาชาติล้วนงามตา พระเจ้าติโลกราช ซึ่งในสมัยพระเจ้าติโลกราช
นามลำ�้ ค่านครพิงค์ เป็นอีกสมัยหนึ่งท่ีเมืองเชียงใหม่มีความรุ่งเรือง
เชียงใหม่ เป็นจังหวัดท่ีมีขนาดใหญ่ที่สุด มีการขยายอาณาจักร สังคายนาพระไตรปิฎก
ในภาคเหนอื พน้ื ทส่ี ว่ นใหญม่ ลี กั ษณะเปน็ ภเู ขาและ ในสมยั น้ี ราชวงศม์ งั รายสน้ิ สุดลงเมอื่ พมา่ สามารถ
ดอยสงู พน้ื ทสี่ งู เหลา่ นเี้ ปน็ ปา่ ตน้ นำ้� ล�ำธาร มที รี่ าบลมุ่ ยึดครองเชียงใหม่ได้ในสมัยพระเจ้าบุเรงนอง
เชิงเขาและที่ราบลุ่มแม่น�้ำ บริเวณลุ่มแม่น�้ำปิง และเชียงใหม่ก็อยู่ภายใต้การปกครองของพม่า
พบร่องรอยของมนุษย์ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ อีกกว่า ๒๐๐ ปี จนกระทั่ง สมัยธนบุรี ขุนนาง
เชน่ ภาพเขยี นบนหนา้ ผา เครอื่ งมอื เครอ่ื งใชท้ ที่ �ำจาก เมืองเชียงใหม่ ได้ขอความช่วยเหลือไปยังสมเด็จ
หินกะเทาะ หินขัด โครงกระดูกมนุษย์ ท่ีอ�ำเภอ พระเจ้าตากสินมหาราช มีการส่งกองทัพมาช่วย
จอมทอง อ�ำเภอดอยเตา่ อ�ำเภอสนั ก�ำแพง ปรากฏ และขับไล่พม่าออกไปได้ส�ำเร็จ ในปี พ.ศ. ๒๓๑๗
การตั้งชุมชนโบราณสมัยประวัติศาสตร์ตั้งแต่ก่อน สมยั รตั นโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟา้
การสถาปนาอาณาจกั รลา้ นนา ซงึ่ ลกั ษณะเปน็ เมอื ง จฬุ าโลกมหาราช (รชั กาลท่ี ๑) โปรดเกลา้ ฯ สถาปนา
หรือชุมชนโบราณท่ีต้ังอยู่บริเวณลุ่มแม่น�้ำ เช่น พระยากาวิละ ข้นึ เป็นพระบรมราชาธบิ ดี ปกครอง
เวียงฝาง เวยี งสที อง เวียงท่ากาน เปน็ ต้น นครเชียงใหม่เป็นประมุขแห่งราชวงศ์ทิพย์จักร
ปรากฏชอื่ “เชยี งใหม่” ในต�ำนานพ้นื เมอื ง (ราชวงศ์เจ้าเจ็ดตน) ต่อมาเจ้านายซ่ึงเป็นเช้ือสาย
เชยี งใหม่ วา่ “นพบรุ สี รนี ครเชยี งใหม”่ เปน็ ราชธานี ของพระเจ้ากาวิละก็ได้ปกครองเมืองเชียงใหม่
ของอาณาจักรล้านนา ผู้ก่อตั้งโดย พญามังราย และหวั เมอื งตา่ ง ๆ สบื ตอ่ มา ในสมยั พระบาทสมเดจ็
ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงค์มังราย เมื่อ พ.ศ.๑๘๙๓ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั (รชั กาลที่ ๕) ปกครอง
พญามังรายได้สร้างบ้านแปงเมือง ท�ำค่ายคูประตู แบบมณฑลเทศาภิบาล เรียกว่า “มณฑลพายัพ”
หอรบ อุปถัมภ์พระศาสนา สร้างความเจรญิ ร่งุ เรือง และในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ มกี ารปรบั รปู แบบการปกครอง
ให้แก่เชียงใหม่เเละอาณาจักรล้านนา ภายหลังส้ิน และยกฐานะขนึ้ เปน็ “จงั หวดั ” จนถึงปจั จบุ นั
พญามังราย เมืองเชียงใหม่ได้มีกษัตริย์ปกครอง จากประวตั ิ เรอ่ื งราว ความเปน็ มาอนั ยง่ิ ใหญ่
ยาวนานของเมอื งเชยี งใหม่ สง่ ผลให้ เชยี งใหม่ มแี หลง่
เรยี นรู้ทางประวตั ศิ าสตร์ในท้องถ่นิ ท่ีน่าสนใจ เช่น

แหล่งเรียนร้ทู างประวัติศาสตรใ์ นท้องถิ่น ๗๗ จงั หวดั ท่ัวไทย 37
(ภาคเหนือเเละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ)

เชียงใหม่

วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร ตั้งอยู่ใจกลางเมอื ง นอกจากนี้ มี พระธาตุเจดีย์ ลักษณะเป็น
เชียงใหม่ เป็นที่ประดิษฐานเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดของ สเ่ี หลีย่ มซ้อนลดหลน่ั กันเป็นชน้ั ๆ ๕ ช้นั แตล่ ะชั้น
เชียงใหม่ สรา้ งขึน้ ในสมัยของ พระเจ้าแสนเมอื งมา ประดิษฐานพระพุทธรูปในซุ้ม ด้านละสามซุ้ม
กษตั ริยอ์ งค์ที่ ๗ แหง่ ราชวงศม์ ังราย ตอ่ มา พระเจา้ ยอดบนสดุ ประดบั ดว้ ยฉตั รสที อง คลา้ ยเจดยี เ์ หลยี่ ม
ตโิ ลกราช กษตั รยิ แ์ หง่ ลา้ นนา โปรดใหช้ า่ งขยายเจดยี ์ แห่งเวียงกุมกาม สันนิษฐานว่าน่าจะได้รับอิทธิพล
ให้สงู และกวา้ งกว่าเดิม แล้วเสรจ็ เม่อื พ.ศ. ๒๐๒๔ จากการสร้างเจดียข์ องอาณาจักรหริภุญชยั
และไดม้ กี ารอญั เชญิ พระแกว้ มรกต มาประดษิ ฐานไว้
ทว่ี ดั แหง่ น้ี ระหวา่ ง พ.ศ. ๒๐๑๑ - ๒๐๙๑ ตอ่ มาในปี พระธาตดุ อยสเุ ทพ ตง้ั อยบู่ นยอดดอยสเุ ทพ
พ.ศ. ๒๐๐๘ ตรงกบั สมยั พระนางจริ ประภามหาเทวี ในพน้ื ทอี่ ทุ ยานแหง่ ชาตดิ อยสเุ ทพ - ปยุ เปน็ วดั ส�ำคญั
ได้เกิดแผ่นดินไหว ท�ำให้ยอดของเจดีย์หักโค่นลง ของเมอื งเชยี งใหม่ เปน็ เจดยี ท์ รงเชยี งแสน พทุ ธศลิ ป์
กรมศิลปากรได้ท�ำการบูรณปฏิสังขรณ์ แบบลา้ นนา ตงั้ บนฐานสงู ยอ่ มมุ ระฆงั ทรงแปดเหลย่ี ม
พระเจดยี ห์ ลวงขนึ้ ระหวา่ ง ปี พ.ศ. ๒๕๓๓ - ๒๕๓๕ ปิดดว้ ยทองเหลอื ง (ทองจังโก) ๒ ชนั้ ลานเจดีย์เป็น
โดยรักษารปู ทรงทีเ่ หลืออยูจ่ ากคร้งั เมอ่ื แผน่ ดินไหว จดุ ชมทิวทัศนเ์ มืองเชยี งใหม่ ทางข้นึ เป็นบันไดนาค
ใหม้ นั่ คงยงิ่ ขนึ้ และไดเ้ สรมิ เตมิ สว่ นทม่ี รี อ่ งรอยอยเู่ ดมิ เจ็ดเศียร สร้างโดย พญากือนา กษัตริย์องค์ท่ี ๖
ใหส้ มบูรณ์ เช่น ต่อเติมช้ินสว่ นของชา้ งทงั้ ๘ เชือก แหง่ ราชวงศม์ งั ราย ซงึ่ เป็นผมู้ ศี รัทธาอย่างแรงกลา้
ท่อี ยูร่ อบพระเจดีย์ ในพระพทุ ธศาสนา โปรดใหอ้ าราธนาพระสมุ นเถระ
จากกรงุ สโุ ขทัยมาอาณาจักรล้านนา และไดอ้ ญั เชิญ
วัดแม่สาหลวง ตั้งอยู่ที่บ้านแม่สาหลวง พระบรมสารีริกธาตุไปประดิษฐานบนดอยสุเทพ
อ�ำเภอแม่ริม สร้างข้ึนเม่ือปี พ.ศ. ๒๓๗๕ แต่เดิม เหตทุ เ่ี ลอื กพนื้ ทดี่ อยสเุ ทพ เพอื่ ประดษิ ฐาน พระบรม
ชาวบ้านเรียกวา่ “วดั ดอยน้อย” หรอื “วดั สมเด็จ สารีริกธาตุนั้น เพราะมีการเส่ียงทายโดยช้างมงคล
ดอยนอ้ ย” ตอ่ มายา้ ยวดั หลายครงั้ และไดย้ า้ ยมาอยู่ เมอื่ ชา้ งมงคลท�ำประทกั ษณิ สามรอบทพ่ี น้ื ทด่ี อยสเุ ทพ
ทบ่ี า้ นแมส่ าหลวง เปล่ยี นชอื่ เป็น “วดั แมส่ าหลวง” พระองคโ์ ปรดเกลา้ ฯ ใหอ้ ญั เชญิ พระบรมสารรี กิ ธาตุ
จนถึงปัจจุบัน ภายในวัดมีสถาปัตยกรรมล้านนา ลงประดิษฐานที่ดอยสุเทพ แล้วจึงก่อพระเจดีย์สูง
ท่ีน่าเรียนรู้ ได้แก่ พระอุโบสถช้างล้อมลายค�ำ ๕ วา ครอบบนน้นั ตอ่ มาในปี พ.ศ. ๒๐๘๑ สมยั
ซ่ึงตัวอาคารก่ออิฐถือปูน ศิลปะล้านนาโบราณ พระเมอื งเกษเกลา้ กษตั รยิ อ์ งคท์ ่ี ๑๒ โปรดฯ ใหเ้ สรมิ
หลงั คากระเบอื้ งดนิ เผา ประกอบเครอ่ื งไม้ ราวบนั ได ความสูงพระเจดีย์ให้มากขึ้นพร้อมท�ำรูปดอกบัว
มีประติมากรรมพญานาคสีขาว และมียักษ์สองตน ทองค�ำเพื่อประดับบนยอดเจดีย์ในสมัยเจ้าท้าว
เฝ้าอยู่บริเวณทางเข้า งานไม้ท่ีประดับพระวิหารนี้ ซายค�ำ (ทา้ วทรายค�ำ) ราชโอรส ไดท้ รงให้ตีทองค�ำ
นับตงั้ แต่ชอ่ ฟ้า ใบระกา หางหงส์ หนา้ บนั ซุ้มประตู เปน็ แผ่นติดทพี่ ระบรมธาตุ
ถูกแกะสลักด้วยช่างพ้ืนบ้านล้านนาฝีมือช้ันครู
ท่ปี ระณตี วจิ ิตรมาก

38 แหล่งเรียนร้ทู างประวตั ศิ าสตร์ในทอ้ งถ่นิ ๗๗ จงั หวัดทัว่ ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ)

ในปี พ.ศ. ๒๑๐๐ พระมหาญาณมงคลโพธ์ิ เชยี งใหม่
วัดอโศการาม เมืองล�ำพูน ได้สร้างบันไดนาคหลวง
ทง้ั ๒ ข้าง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๗๗ ครบู าศรวี ชิ ัย ในปี พ.ศ. ๒๐๒๐ ทรงเลอื กใช้วดั แหง่ นี้เป็นสถานที่
ได้น�ำชาวบ้านร่วมกันตัดถนนขึ้นสู่ดอยสุเทพ สังคยานาพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นการสังคายนา
เพ่ือให้ประชาชนขนึ้ ไปสักการะไดส้ ะดวกขึน้ พระไตรปฎิ ก ครง้ั ท่ี ๘ ของโลก นอกจากนี้ ยงั มเี จดยี ์
ทรงปราสาท ได้บรรจพุ ระอฐั ิของพระเจา้ ติโลกราช
อยภู่ ายในบรเิ วณวัดด้วย

วดั ปา่ ดาราภริ มย์ ตงั้ อยตู่ �ำบลรมิ ใต้ อ�ำเภอ วดั พระธาตสุ บฝาง อยบู่ นยอดดอยสบฝาง
แมร่ มิ บนั ทกึ เลา่ วา่ ในปี พ.ศ. ๒๔๗๑ พระอาจารยม์ น่ั บริเวณท่ีแม่น้�ำฝาง ได้ไหลมาบรรจบกับ ล�ำน�้ำกก
ภูริทัตโต พระกรรมฐานผู้ยึดม่ันการถือธุดงควัตร พื้นที่อ�ำเภอแม่อาย เป็นวัดเก่าแก่มีอายุมากกว่า
ได้รับการอาราธนาจาก พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ ๑,๓๐๐ ปี ถือเป็นพระธาตุเจดีย์ท่ีมีความเก่าแก่
(จันทร์ สริ ิจนโฺ ท) เจ้าอาวาสวดั เจดียห์ ลวงวรวหิ าร ท่ีสุดองค์หนึ่งของล้านนา สร้างโดยพระเจ้าพรหม
มาจ�ำพรรษาท่ีวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร เพื่อเผยแพร่ มหาราช กษัตริย์เวียงไชยปราการ ขณะที่พระองค์
พระพทุ ธศาสนา ภายหลงั ชว่ งออกพรรษา พ.ศ. ๒๔๗๓ ก�ำลังเดินทางมาสร้างเมืองเวียงไชยปราการ ได้น�ำ
พระอาจารย์มน่ั ภูริทตั โต ได้จารกิ มาอ�ำเภอแมร่ ิม พระบรมสารีริกธาตุ พระนลาฏของพระพุทธเจ้า
เเละพกั อยทู่ ป่ี า่ ชา้ รา้ ง บา้ นตน้ กอก ตดิ กบั พระต�ำหนกั มาบรรจุไวใ้ นเจดียพ์ ระธาตุ นอกจากน้ี โปรดฯ ให้
ดาราภริ มยข์ องพระราชชายาเจา้ ดารารศั มี ในพระบาท ช่างหล่อพระพุทธรูปด้วยทองสัมฤทธิ์จ�ำนวนมาก
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั (รชั กาลที่ ๕) เพอื่ ถวายกบั วดั นแี้ ละวดั อนื่ ๆ ทท่ี รงสรา้ งไวใ้ นเมอื ง
ทายาทของพระราชชายาเจา้ ดารารศั มที ราบ ไชยปราการ เจดยี แ์ หง่ นถ้ี กู ทง้ิ รา้ งไปนาน จนกระทง่ั
จึงได้ถวายท่ีดินอันเป็นพื้นท่ีเขตพระราชฐานของ พ.ศ. ๒๔๖๗ ครบู าศรวี ชิ ยั ไดธ้ ดุ งคไ์ ปเมอื งเชยี งแสน
พระต�ำหนกั ดาราภริ มย์ เเละสวนเจา้ สบาย จ�ำนวน ๖ ไร่ ระหวา่ งทางแวะพกั ระหวา่ งดอยสบฝาง พบเหน็ องคเ์ จดยี ์
เพื่อให้สร้างวัด และเพ่ือถวายเป็นพระราชกุศลแก่ เก่าแกท่ รุดโทรม จึงไดบ้ รู ณปฏิสงั ขรณ์พระธาตุใหม่
พระราชชายาเจ้าดารารัศมี ผู้มีคุณูปการต่อเมือง ทงั้ องค์ เปลยี่ นยอดฉตั รพระเจดยี ใ์ หส้ มบรู ณ์ พรอ้ มทงั้
นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ โดยให้ช่ือวัดแห่งน้ีว่า ไดส้ รา้ งบนั ไดนาคจ�ำนวน ๗๑๖ ข้นั
“วดั ป่าดาราภริ มย”์ วดั พระธาตดุ อยนอ้ ย อยบู่ นเขาตดิ ล�ำนำ้� ปงิ
วดั เจด็ ยอด อยทู่ ต่ี �ำบลชา้ งเผอื ก อ�ำเภอเมอื ง ในพนื้ ทตี่ �ำบลดอยหลอ่ อ�ำเภอจอมทอง เปน็ สถานที่
พระเจ้าตโิ ลกราช กษตั ริยอ์ งคท์ ี่ ๙ ราชวงศ์มงั ราย ประดษิ ฐานพระบรมธาตเุ จดยี ์ ทตี่ ามต�ำนานกลา่ ววา่
โปรดใหท้ รงสร้างข้นึ เมื่อปี พ.ศ. ๑๙๙๘ ภายในวดั พระนางจามเทวีได้ทรงสร้างขึ้น ระหว่างท่ีเสด็จ
มีพระเจดีย์ สร้างด้วยศิลาแลง ยอดตั้งอยู่บนเรือน ตามล�ำนำ�้ ปงิ เพอื่ จะไปครองเมอื งหรภิ ญุ ชยั (ล�ำพนู )
ธาตุส่ีเหล่ียมถึงเจ็ดยอด ประดับลวดลายปูนปั้น ตามค�ำเชิญของสุเทวฤาษี ราวปี พ.ศ. ๑๒๐๑
คล้ายมหาโพธิเจดีย์พุทธคยา ที่ประเทศอินเดีย เม่ือมาถึงพ้ืนท่ีน้ี มองจากล�ำน้�ำ เห็นพ้ืนที่เป็นเนิน

แหล่งเรยี นรูท้ างประวตั ศิ าสตรใ์ นท้องถ่นิ ๗๗ จงั หวัดทั่วไทย 39
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)

เชยี งใหม่

เขียวชะอุ่ม จึงได้ท�ำการอธิษฐานยิงธนู หากลูกธนู แหล่งความรู้ในการศึกษารูปแบบของเร่ืองราวทาง
ตกลงทใ่ี ด จะสรา้ งพระธาตเุ พอื่ ประดษิ ฐานพระบรม สถาปัตยกรรมและศิลปกรรม ตลอดจนวัฒนธรรม
สารรี ิกธาตุทนี่ �ำมาจากละโว้ ลกู ธนไู ด้ตกลงบนพืน้ ท่ี ล้านนา ท่ีมกี ารบรู ณะมาอยา่ งต่อเนือ่ ง และถอื เป็น
ดอยน้อย พระนางจงึ ได้สร้างพระธาตดุ อยนอ้ ยขนึ้ สถานทที่ อ่ งเทยี่ วทสี่ �ำคญั แหง่ หนง่ึ ของเมอื งเชยี งใหม่
โบราณสถาน โบราณวัตถุที่ส�ำคัญ ได้แก่
พระบรมธาตเุ จดยี ์ โข่งพระ (กรพุ ระ) อโุ บสถ วหิ าร วัดพระเจ้าองค์ด�ำ ตั้งอยู่ท่ีอ�ำเภอสารภี
และพระพุทธรูปหินออ่ นแกะสลกั องค์เลก็ องคใ์ หญ่ เปน็ หนงึ่ ในวดั รา้ งของเวยี งกมุ กาม ซง่ึ กอ่ นการขดุ แตง่
ปจั จบุ นั ทกุ ปี ในวนั ขน้ึ ๑๕ คำ�่ เดอื น ๘ เหนอื ของกรมศลิ ปากร พ้ืนที่แถวนม้ี ลี ักษณะเป็นเนินดนิ
(เดือน ๖ ภาคกลาง) ทางวัดได้จัดงานประเพณี ขนาดใหญ่ อยใู่ นพนื้ ทส่ี วนล�ำไยของชาวบา้ น ชาวบา้ น
สรงน�้ำพระธาตุ เรียกว่า “เนินพญามังราย” และ “เนนิ พระเจา้ ด�ำ”
ภายหลงั จากการขดุ แตง่ จงึ แยกออกเปน็ วดั พระเจา้
เวยี งกมุ กาม ตง้ั อยทู่ ต่ี �ำบลทา่ วงั ตาล อ�ำเภอ องค์ด�ำและวัดพญามังราย ซ่ึงชื่อวัดพระองค์ด�ำน้ี
สารภี เปน็ เมืองที่ พญามงั ราย กษัตริย์แหง่ ราชวงศ์ ได้มาจากช่ือที่ชาวบ้านเรียก เน่ืองจากมีการพบ
มังราย มีด�ำริสร้างขึ้น แต่พระองค์ก็สร้างไม่เสร็จ พระพทุ ธรูปส�ำรดิ ทถ่ี กู ไฟไหมจ้ นเปน็ สีด�ำ
เพราะเวียงกุมกามประสบปัญหาน�้ำท่วมทุกปี โบราณสถานวดั พระเจา้ องคด์ �ำ ประกอบดว้ ย
พญามังรายจึงโปรดให้ย้ายไปสร้างเมืองแห่งใหม่ เจดีย์ ซ่ึงปรากฏเหลือเพียงส่วนฐานเขียงตอนล่าง
คือ นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ ซึ่งมีชัยภูมิดีกว่า ในผังรูปสี่เหล่ียมจัตุรัส จากลวดลายปูนปั้นท่ีพบ
อย่างไรก็ตาม เวียงกุมกาม ยังถือเป็นเมืองบริวาร สนั นษิ ฐานวา่ นา่ จะเปน็ เจดยี ท์ รงปราสาทยอดระฆงั
มีความใกล้ชิด และมีความส�ำคัญต่อเวียงเชียงใหม่ วิหาร และยงั พบรอ่ งรอยของวิหาร ที่เปน็ วิหารโถง
จนกระทั้งสิ้นราชวงศ์มังราย ช่ือของเวียงกุมกาม ที่เห็นเฉพาะส่วนฐาน มีร่องรอยฐานชุกชี มีบันได
จงึ ค่อย ๆ ลบเลอื นไปจากหน้าประวัตศิ าสตร์ อยทู่ างดา้ นหนา้ วหิ าร และพบชน้ิ สว่ นลวดลายปนู ปน้ั
เวียงกุมกามล่มสลายลง เพราะถูกน�้ำท่วม บรเิ วณฐานเจดยี แ์ ละวหิ าร ประกอบดว้ ยลวดลายทใี่ ช้
ครงั้ ใหญ่ ระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๑๐๑ - ๒๓๑๗ นำ้� ไหลบาก ประดบั ซมุ้ จระน�ำ ลายกระหนกปลายซมุ้ ลายพันธ์ุ
เอาดินโคลนจากแม่น�้ำปิงมาทับถมเมือง วัดและ พฤกษา ประติมากรรมรูปคนแคระและสิงห์แบก
โบราณสถานท่ีส�ำคัญจมอยู่ดินในระดับความลึก เป็นต้น โบราณวตั ถทุ ี่พบ ไดแ้ ก่ พระพทุ ธรูปส�ำรดิ
จากพื้นดินลงไปประมาณ ๑ - ๒ เมตร ท�ำให้ แบบลา้ นนาพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ - ๒๑ พระพทุ ธรปู
เวียงกุมกามฝังจมใต้ตะกอนดินจนยากจะฟื้นฟู นาคปรกทรงเครอ่ื งส�ำริดศิลปะลพบุรี พระพุทธรปู
จนกระทง่ั เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๒๗ กรมศิลปากร ปูนปั้นและพิมพ์ดินเผาแบบสามหอมที่ท�ำสืบเน่ือง
ขดุ แตง่ บรู ณะวดั รา้ ง คอื วหิ ารกานโถม ณ วดั ชา้ งคำ้� กันมาต้งั แต่สมัยหรภิ ญุ ชยั
จึงไดเ้ หน็ วา่ เวียงกมุ กามยงั มีความสมบรู ณ์ และเปน็

40 แหลง่ เรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตร์ในทอ้ งถ่นิ ๗๗ จงั หวัดทว่ั ไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื )

เชยี งใหม่

เวียงท่ากาน อยูท่ ่ตี �ำบลบา้ นกลาง อ�ำเภอ แลว้ กอ่ อฐิ ขนาบสองขา้ งกนั ดนิ พงั ทลาย ขา้ งบนของ
สันป่าตอง เป็นที่ตั้งของชุมชนเมืองในสมัยโบราณ ก�ำแพง ปอู ฐิ ตลอดแนว ท�ำเสมาไวบ้ นก�ำแพงทกุ ดา้ น
ลักษณะเป็นเมืองรูปส่ีเหลี่ยมผืนผ้า เป็นเนินดิน และประตูเมืองอีกสี่แห่ง หลังจากท่ีเชียงใหม่ได้รับ
ที่มีคูน�้ำคันดินล้อมรอบ ขนาดกว้าง ๔๖๐ เมตร อสิ รภาพจากพมา่ เจา้ กาวลิ ะไดร้ บั การสถาปนาเปน็
ยาว ๗๔๐ เมตร ความกว้างของคูน้�ำประมาณ เจา้ หลวงเชยี งใหมอ่ งคแ์ รก กโ็ ปรดใหบ้ รู ณะก�ำแพงเมอื ง
๘ เมตร มลี �ำเหมอื งสายเล็ก ๆ น�ำน้�ำจากน�้ำแม่ขาน เป็นครั้งใหญ่ เป็นก�ำแพงอฐิ ทีม่ ีความมั่นคงทนทาน
มายังคูเมืองทางทิศใต้ และมีล�ำเหมืองขนาดเล็ก ประตเู มอื งเชยี งใหมท่ เี่ หน็ ในปจั จบุ นั เปน็ ประตเู มอื ง
ชกั นำ้� เขา้ มาใชภ้ ายในเมอื งทางทศิ ตะวนั ออก สนั นษิ ฐาน ของก�ำแพงชนั้ ในซึ่งมีประตูทง้ั หมด ๕ ประตู ได้แก่
ว่าน่าจะเป็นระบบชลประทานท่ีสืบเนื่องมาต้ังแต่ ประตชู ้างเผือก ประตเู ชยี งใหม่ ประตูทา่ แพ ประตู
สมัยโบราณ สวนดอก และ ประตสู วนปรงุ สว่ นประตเู มอื งชน้ั นอก
ต�ำนานพน้ื เมอื งเชยี งใหม่ ต�ำนานมลู ศาสนา เปน็ ประตขู องก�ำแพงเมอื งชนั้ นอก มที งั้ หมด ๔ ประตู
พงศาวดารโยนก เรยี กเวยี งทา่ กาน วา่ “พนั นาทะการ” ได้แก่ ประตูท่าแพ ประตูหล่ายแกง ประตูขัวก้อม
สนั นษิ ฐานวา่ เปน็ เมอื งทมี่ คี วามส�ำคญั เพราะ เมอ่ื ครงั้ และ ประตูไหยา นอกจากนี้ ยังมี แจ่งเมืองเชียงใหม่
พญามงั ราย โปรดตงั้ เมอื งเชยี งใหม่ แลว้ ใหน้ �ำตน้ โพธ์ิ หรือ ปอ้ มปราการของเมือง ประจ�ำอยู่ท่มี ุมก�ำแพง
ทไี่ ดม้ าจากลงั กาไปปลกู ตามหวั เมอื งจ�ำนวน ๔ เมอื ง ไดแ้ ก่ แจง่ ศรภี มู ิ แจง่ กะ๊ ตำ้� หรอื แจง่ ขะตำ�๊ แจง่ กเู่ ฮอื ง
รวมถงึ เมืองพนั นาทะการด้วย และแจง่ หัวลนิ
จากหลักฐานทางโบราณวัตถุท่ีคน้ พบ เชน่ การแบง่ พน้ื ที่ มีความส�ำคัญ คอื พื้นที่ของ
พระพิมพ์ดินเผา พระพุทธรูปดิน เผาพระพุทธรูป เมืองชั้นในนี้ ถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางการปกครอง
ส�ำริดพระโพธิสัตว์ พระบุทองค�ำ ศิลปะหริภุญชัย เพราะเปน็ ทอ่ี ยขู่ องกษตั ริย์และเจา้ นาย รวมท้ังเปน็
จึงสันนิษฐานได้ว่าเมืองแห่งน้ี มีอายุช่วงหริกุญชัย ที่ต้ังของวัดส�ำคัญ ส่วนช้ันที่สอง คือ ส่วนก�ำแพง
ลงมาถงึ ลา้ นนา และพระพทุ ธศาสนาไดเ้ ผยแพรม่ ายงั เมืองชั้นนอก จะเป็นที่อยู่ของช่างและพ่อค้า หรือ
ดนิ แดนแหง่ น้อี ยา่ งม่นั คง เป็นกลุ่มชาติพนั ธต์ุ า่ ง ๆ

ก�ำแพงเมืองเชียงใหม่ หรือ ก�ำแพงเวียง พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ เชยี งใหม่ ตง้ั อยู่
เชยี งใหม่ ค�ำวา่ ก�ำแพงเวยี ง ในทน่ี ี้ หมายถงึ ก�ำแพง ใกลก้ บั วดั เจด็ ยอด อ�ำเภอเมอื ง เปน็ พพิ ธิ ภณั ฑสถาน
เมืองช้ันในของเวยี งเชียงใหม่ ซง่ึ ค�ำวา่ ก�ำแพงเมอื ง ระดบั ภมู ภิ าค จดั ตง้ั ขน้ึ เพอื่ เปน็ ศนู ยก์ ลางการศกึ ษา
ชน้ั นอก คอื แนวก�ำแพงดนิ ของก�ำแพงเมอื งเชยี งใหม่ การอนรุ ักษ์และเผยแพร่ศิลปวฒั นธรรมของลา้ นนา
ถกู สรา้ งขนึ้ พรอ้ มกบั การสถาปนาอาณาจกั รลา้ นนา สถาปตั ยกรรมของอาคารพพิ ธิ ภณั ฑ์ เปน็ อาคารจตั รุ มขุ
โดย พญามังราย เพ่ือเป็นเมืองหลวงของล้านนา ทรงไทยประยกุ ต์ สองช้ัน ยอดจัว่ ประดบั ด้วยกาแล
โดยในช้ันแรก ได้ขุดคูเมืองเป็นรูปส่ีเหล่ียมจัตุรัส ซึ่งเปน็ แบบศิลปะตกแต่งพน้ื เมอื งล้านนา
น�ำดินจากการขุดคูเมืองไปถมเป็นแนวก�ำแพง

แหลง่ เรียนรู้ทางประวัติศาสตรใ์ นท้องถนิ่ ๗๗ จงั หวดั ทั่วไทย 41
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ)

เชียงใหม่

ภายในพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงการตั้งถิ่นฐาน ศลิ ปวฒั นธรรมของภาคเหนอื เชน่ พระพทุ ธรปู สกลุ
ของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ในพ้ืนที่ภาคเหนือ ช่างสมัยล้านนาต่าง ๆ พระพุทธรูปสมัยเชียงแสน
เร่ืองราวของเผ่าลัวะและหริภุญไชย รัฐแรกของ เครื่องไม้แกะสลัก เครื่องถ้วยภาคเหนือ เครื่องใช้
ภาคเหนอื การสถาปนานครเชียงใหม่ ความร่งุ เรอื ง ในชีวิตประจ�ำวันของชาวล้านนาและชาวเขา
และความเส่ือมของราชอาณาจักรล้านนา ยุคของ ภาพถา่ ยประวตั ศิ าสตรข์ องเชยี งใหม่ เปน็ ประโยชน์
นครเชยี งใหมภ่ ายใตก้ ารปกครองของอาณาจกั รสยาม อยา่ งยิ่งส�ำหรบั ผู้ทีส่ นใจศึกษาประวัติศาสตร์
การคา้ และเศรษฐกจิ รวมถงึ จดั แสดงสง่ิ ของเกยี่ วกบั

42 แหล่งเรยี นรูท้ างประวัติศาสตรใ์ นทอ้ งถิ่น ๗๗ จงั หวัดท่ัวไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ)

ตาก

ตาก

แหลง่ เรียนรทู้ างประวัตศิ าสตร์ในทอ้ งถิ่น ๗๗ จงั หวัดทว่ั ไทย 43
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื )



ตาก

ตาก

ธรรมชาตินา่ ยล ภูมพิ ลเขือ่ นใหญ่ กรงุ ศรอี ยธุ ยา และเปน็ ทที่ ที่ พั หลวงใชช้ มุ นมุ พลเพอ่ื
พระเจา้ ตากเกรยี งไกร เมอื งไม้และปา่ งาม ท�ำศึกกับล้านนา ช่ือสถานท่ีที่ปรากฏในพระราช
ตาก ตงั้ อยทู่ างดา้ นตะวนั ตกของภาคเหนอื พงศาวดาร ได้เเก่ ด่านแม่ละเมา เมืองตาก (เก่า)
พ้ืนที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูง มีเทือกเขาถนนธงชัย บา้ นปา่ มะมว่ ง บา้ นระแหง ภายหลงั รชั สมยั ของสมเดจ็
ท่ีสูงและสลับซับซ้อน เป็นพรมแดนธรรมชาติ พระนเรศวรมหาราช อยธุ ยาวา่ งเวน้ การศกึ จากพมา่
กนั้ กับสหภาพเมียนมาร์ มีแมน่ ้ำ� ปิง แม่นำ�้ เเมก่ ลอง เมอื งตากกส็ งบสขุ เรอื่ ยมา จนกระทงั่ ถงึ คราสงคราม
แมน่ ำ�้ วงั เปน็ แหลง่ นำ�้ ส�ำคญั แมส้ ภาพภมู ปิ ระเทศท่ี การเสยี กรงุ ศรอี ยธุ ยา ครง้ั ที่ ๒ กองทพั พมา่ ยกทพั มา
เปน็ เขาสูงอาจจะไม่เหมาะตอ่ การอยู่อาศัย แตด่ ้วย ทางเชยี งใหม่ ไดเ้ ขา้ ตเี มอื งตาก ทหารชาวตากไมอ่ าจ
มีทรัพยากรทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ จึงท�ำให้ ตา้ นทพั พมา่ ได้ บา้ นเมอื งถกู เผาท�ำลาย และกลายเปน็
พื้นที่น้ีมีร่องรอยการอยู่อาศัยของมนุษย์มาตั้งแต่ เมอื งรา้ ง เมอ่ื เขา้ สสู่ มยั ธนบรุ ี มศี กึ กบั พมา่ หลายครงั้
สมยั ยคุ กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ โดยพบเครอื่ งมอื เครอื่ งใช้ และเมืองตากก็มีบทบาทเป็นเมืองหน้าด่านส�ำคัญ
ทท่ี �ำจากหนิ เครอ่ื งมอื ทท่ี �ำจากเหลก็ เศษภาชนะดนิ เผา เฉกเช่นในสมัยอยธุ ยา อย่างไรก็ตาม เมอ่ื เขา้ สู่สมยั
เศษภาชนะส�ำริด ในพ้ืนที่แหล่งโบราณคดีบริเวณ รตั นโกสนิ ทร์ ภายหลงั สงครามเกา้ ทพั ทเ่ี กดิ ขนึ้ ในสมยั
เทอื กเขาถนนธงชยั และสนั นษิ ฐานวา่ นา่ จะมกี ารตง้ั ของพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช
ชุมชนมอญโบราณในพื้นท่ีน้ี กอ่ นการตั้งอาณาจักร (รชั กาลที่ ๑) ไมเ่ กิดศกึ ทเ่ี มอื งตากอกี เลย บ้านเมือง
สุโขทัย เม่ือถึงสมัยอาณาจักรสุโขทัยเรืองอ�ำนาจ คอ่ ย ๆ ฟน้ื ฟู พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั
เมอื งตากมบี ทบาทเปน็ หวั เมอื งส�ำคญั ของอาณาจกั ร (รัชกาลท่ี ๒) โปรดให้ย้ายเมืองตาก มาอยู่ท่ีเมือง
จารกึ สุโขทัยบนั ทกึ ช่อื “เมอื งฉอด” วา่ เป็นสมรภมู ิ ในปจั จบุ ัน ข้าหลวงจากสว่ นกลางมาปกครองเมือง
ยทุ ธหตั ถรี ะหวา่ ง พอ่ ขนุ ศรอี ทิ ราทติ ยก์ บั ขนุ สามชน และมผี ูว้ ่าราชการจงั หวดั ปกครอง ตามล�ำดบั
ซงึ่ พบ เจดยี ์ ศลิ ปะสโุ ขทยั ประมาณอายสุ มยั สโุ ขทยั จากการทเ่ี ป็นเมืองชายแดน มีความส�ำคญั
ตอนตน้ ในพนื้ ทอี่ �ำเภอบา้ นตาก เชอื่ กนั วา่ นา่ จะเปน็ ทง้ั ในดา้ นความมน่ั คง การคา้ และความสัมพันธ์กบั
เจดีย์ยุทธหัตถีที่ระลึกที่พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราช ประเทศเพื่อนบ้าน เป็นสถานที่เกิดเร่ืองราวทาง
ชนช้างชนะขุนสามชนในคร้ังน้ัน ในสมัยอยุธยา ประวัตศิ าสตร์ทส่ี �ำคัญ ส่งผลให้จงั หวัดตาก มแี หลง่
เมืองตากมคี วามส�ำคญั ตอ่ ราชอาณาจกั ร เป็นเมือง เรียนรทู้ างประวตั ศิ าสตร์ทีน่ า่ สนใจ เช่น
หน้าด่าน บนเส้นทางเดินทัพของพม่าเพื่อไปสู่ ศาลเจ้าพ่อพะวอ ตั้งอยู่ที่อ�ำเภอแม่สอด
เปน็ สถานทศี่ กั ดสิ์ ทิ ธคิ์ เู่ มอื งแมส่ อด ทช่ี าวเมอื งตากให้
การเคารพสกั การะ ชอื่ เจา้ พอ่ พะวอ เปน็ ภาษากะเหรยี่ ง

แหลง่ เรียนรทู้ างประวัติศาสตร์ในท้องถิน่ ๗๗ จังหวดั ทัว่ ไทย 45
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื )

ตาก

ค�ำน�ำหนา้ วา่ พะ หมายถงึ นาย และค�ำวา่ วอ อาจจะ ผาสามเงา อยใู่ นต�ำบลย่านรี อ�ำเภอเมือง
แผลงมาจาก วา แปลวา่ ขาว พะวอ หมายถงึ นายขาว ลักษณะเป็นช่อง ที่ถูกเจาะเข้าไปในภูเขา ๓ ช่อง
(ชายผู้มีผิวขาว) เร่ืองเล่าสืบต่อกันว่า พระวอเป็น แต่ละช่องประดิษฐานพระพุทธรูปปิดทอง มีบันได
นกั รบชาวกะเหรย่ี งทส่ี มเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราช ให้สามารถขึ้นไปนมัสการพระพุทธรูปได้ สามารถ
ทรงแต่งต้ัง ให้เป็นนายด่านท่ีด่านแม่ละเมา เพ่ือ มองเหน็ ไดแ้ ตไ่ กลจากอ�ำเภอสามเงา ชาวบา้ นจงึ เรยี ก
คอยดแู ลรกั ษา หาขา่ วแจง้ เหตุ ปอ้ งกนั ขา้ ศกึ มใิ หข้ า้ ม หนา้ ผาแห่งนวี้ า่ ผาสามเงา
เขา้ มาถงึ เมอื งตากได้ พระวอไดต้ อ่ สกู้ บั พมา่ ทร่ี กุ ราน มีต�ำนานเร่ืองเล่าเกี่ยวกับหน้าผาแห่งนี้ว่า
เข้ามาทางด่านแม่ละเมา ได้สู้รบและยอมสละชีวิต เม่ือประมาณปี พ.ศ. ๑๒๐๖ พระนางจามเทวี ไดร้ ับ
เพื่อรักษาดินแดนประเทศชาติ ชาวเเม่สอดจึงได้ มอบหมายใหไ้ ปครองเมอื งหรภิ ญุ ชยั โดยเสด็จทาง
ตง้ั ศาลเจา้ พอ่ พะวอ เพอื่ ร�ำลกึ ถงึ วรี กรรมอนั กลา้ หาญ ชลมารค มาตามล�ำนำ้� ปงิ ปรากฏวา่ เมอ่ื มาถงึ บรเิ วณ
และความเสียสละทพี่ ระวอมีตอ่ ประเทศชาติ หน้าผาแห่งนเ้ี กดิ เหตุมหศั จรรย์ มฝี นและพายุใหญ่
พัดกระหน�่ำจนเรือไม่สามารถแล่นทวนน�้ำข้ึนไปได้
วัดพระบรมธาตุบ้านตาก ต้ังอยู่ท่ีอ�ำเภอ และปรากฏเงาพระพทุ ธรปู สามองคท์ ห่ี นา้ ผารมิ นำ้� ปงิ
บ้านตาก ฝั่งตะวันตกของแม่น�้ำปิง พ้ืนท่ีบริเวณนี้ แหง่ นี้ พระนางจงึ สงั่ ใหเ้ จาะหนา้ ผาและสรา้ งพระพทุ ธรปู
แต่เดิมเป็นตัวเมืองตากเก่า ก่อนท่ีจะมีการย้าย บรรจุไว้ในช่อง ช่องละองค์ ด้วยเหตุนี้จึงได้ช่ือว่า
ตวั เมอื งไปอยทู่ ี่ ต�ำบลระแหง (ตวั เมอื งตาก ในปจั จบุ นั ) ผาสามเงา สืบมา
ชื่อ วัดพระบรมธาตุบ้านตาก ปรากฏอยู่ในต�ำนาน
พระนางจามเทวี บนั ทกึ วา่ เมอ่ื ครงั้ พระนางจามเทวี วัดแม่ซอดน่าด่าน ตั้งอยู่บ้านเง้ียวหลวง
ลอ่ งเรอื เสดจ็ ไปเมอื งล�ำพนู ไดห้ ยดุ พกั ทบี่ รเิ วณแหง่ น้ี อ�ำเภอแมส่ อด ชาวบา้ นนยิ มเรยี กวา่ “วดั เงย้ี วหลวง”
พบวา่ เปน็ เมอื งรา้ ง จงึ ไดส้ งั่ ใหม้ กี ารฟน้ื ฟบู รู ณะเมอื ง หรอื “วดั หลวง” เปน็ วดั ทสี่ รา้ งตามแบบสถาปตั ยกรรม
แห่งนี้ จนกลายเป็นชุมชนเมืองตากในเวลาต่อมา ไทยใหญ่ สันนษิ ฐานว่าสร้างขน้ึ เม่อื ปี พ.ศ. ๒๔๐๐
นอกจากน้ี ยงั ปรากฏในศลิ าจารกึ ของพอ่ ขนุ รามค�ำแหง สร้างโดยกลุ่มชาวไทยใหญ่ท่ีเดินทางมาจากรัฐฉาน
เม่ือครั้งทรงกระท�ำยุทธหัตถี ชนะศึกเจ้าเมืองฉอด เพ่ือมาค้าขายในฝั่งไทย เม่ือการค้าขายรุ่งเรืองข้ึน
ซ่ึงเหตุการณ์คร้ังนั้นเกิดขึ้นบริเวณเนินเขา ใกล้กับ มีการต้ังบ้านเรือนเป็นหลักแหล่งมากข้ึน กลุ่มชาว
พระบรมธาตุ ไทยใหญ่จึงได้ร่วมใจกันจัดสร้างวัดนี้ โดยได้นิมนต์
ภายในวัด ยังมี พระเจ้าทันใจ พระพุทธรปู พระอูปิ่นญา มาจากรัฐฉาน เพื่อให้เป็นเจ้าอาวาส
ท่ีเป็นท่ีเคารพนับถือ และเป็นที่พึ่งทางจิตใจของ รูปแรก และต่อมาได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา
ชาวบา้ น ในปี พ.ศ. ๒๔๓๘ เปน็ วดั ทม่ี คี ณุ คา่ ทางประวตั ศิ าสตร์
และสถาปตั ยกรรมอย่างยิ่ง

46 แหลง่ เรยี นรทู้ างประวตั ิศาสตรใ์ นทอ้ งถ่นิ ๗๗ จังหวดั ทัว่ ไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื )

นา่ น

น่าน

แหลง่ เรียนรทู้ างประวัตศิ าสตรใ์ นทอ้ งถน่ิ ๗๗ จงั หวดั ทัว่ ไทย 47
(ภาคเหนือเเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื )



น่าน

น่าน

แข่งเรอื ลอื เลอื่ ง เมอื งงาชา้ งดำ� กนั วา่ จะชว่ ยเหลอื กนั ยามศกึ สงคราม ตอ่ มา เมอ่ื สโุ ขทยั
จติ รกรรมวัดภมู นิ ทร์ แดนดนิ ส้มสีทอง ถกู ผนวกเขา้ กบั อาณาจกั รอยธุ ยา กเ็ ปน็ ยคุ เดยี วกบั ท่ี
อาณาจกั รลา้ นนาเรอื งอ�ำนาจ เมอื งนา่ นถกู ผนวกเขา้ กบั
เรืองรองพระธาตุแช่แห้ง อาณาจักรลา้ นนา ในรชั สมัยของ พระเจา้ ติโลกราช
นา่ น อยทู่ างทศิ ตะวนั ออกรมิ สดุ ของภาคเหนอื แหง่ ลา้ นนาเรอื่ ยมา ในปี พ.ศ. ๑๙๙๓ และเปน็ หวั เมอื ง
ชายแดนตดิ สาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว ของลา้ นนา จนกระท่ังถงึ ปี พ.ศ. ๒๑๐๑ เมอ่ื พมา่
ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศสว่ นใหญเ่ ปน็ ภเู ขาสงู สลบั ซบั ซอ้ น ยดึ เมอื งเชยี งใหม่ได้ เมอื งนา่ นก็ตอ้ งขนึ้ ตรงต่อพมา่
มที ร่ี าบเลก็ นอ้ ย ในบรเิ วณแอง่ ทร่ี าบ นา่ น - เวยี งสา ไปดว้ ย เข้าถึงสมัยธนบรุ ี ในปี พ.ศ. ๒๓๑๗ สมเด็จ
ตอนกลางของจงั หวดั เปน็ แหลง่ ตน้ นำ�้ ของแมน่ ำ้� นา่ น พระเจ้าตากสินมหาราช สามารถโจมตีขับไล่พม่า
จากความอดุ มสมบรู ณ์ สง่ ผลใหเ้ มอื งนา่ น เปน็ พนื้ ที่ ออกจากลา้ นนาไดส้ �ำเรจ็ แตเ่ มอื งนา่ นกย็ งั ตกอยกู่ บั
อยอู่ าศยั ของมนษุ ยม์ าตง้ั แตส่ มยั ยคุ กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ ฝ่ายพม่า และทัพพม่าได้กวาดต้อนชาวน่านไปอยู่
ปรากฏหลักฐาน พบกลองมโหระทกึ เครื่องประดับ ทีเ่ มืองเชยี งแสน ท้งิ ใหเ้ มืองนา่ นร้างไป
ทท่ี �ำจากทองค�ำ พรอ้ มโครงกระดกู มนษุ ยท์ อี่ �ำเภอบอ่ เกลอื เมอื่ ถงึ สมัยรตั นโกสินทร์ ในปี พ.ศ. ๒๓๒๘
พบเครอื่ งมอื หนิ กระเทาะ ในพน้ื ทขี่ องดอยภซู าง อายุ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ประมาณ ๔,๐๐๐ - ๘,๐๐๐ ปี ท่ีแลว้ และเชอื่ วา่ ทรงแตง่ ตงั้ ใหเ้ จา้ มงคลวรยศ หลานเจา้ พญาหลวงตนิ๋
นา่ จะเปน็ แหลง่ ผลติ เครอ่ื งมอื หนิ กะเทาะทใี่ หญท่ ส่ี ดุ มหาวงศ์ มาปกครองเมอื งนา่ นทรี่ กรา้ งวา่ งเปลา่ และ
ในเอเชยี หรือของโลก ขบั ไลท่ พั พมา่ ไดส้ �ำเรจ็ นบั แตน่ น้ั เมอื งนา่ นกร็ วมเขา้ กบั
ประมาณปลายพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๘ กลมุ่ ชน สยาม ชาวเมอื งน่านได้ชว่ ยราชการบ้านเมืองสยาม
ท่เี รยี กตวั เองว่า กาวหรือลาวกาว สถาปนานครรฐั ครงั้ ส�ำคัญหลายครัง้ เชน่ ชว่ ยราชการสงครามเมือง
ท่ีตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น�้ำน่าน ช่ือ “นันทบุรี” เชียงแสน ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า
มศี นู ยก์ ลางการปกครองอยทู่ ่ี เมอื งยา่ ง มผี ปู้ กครอง จฬุ าโลกมหาราช (รชั กาลที่ ๑) ชว่ ยในการปราบกบฏ
สืบทอดกันมา และมีการสร้างเมืองใหม่ในพ้ืนท่ี เจ้าอนุวงศ์ แห่งเวียงจันทน์ ในสมยั พระบาทสมเดจ็
แมน่ ำ�้ นา่ นอกี จารกึ หลายฉบบั กลา่ วถงึ ความสมั พนั ธ์ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลท่ี ๓) และชว่ ยราชการ
ของเมืองน่านกับราชวงศ์พระร่วง แห่งอาณาจักร สงครามเเหง่ เชยี งตงุ สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้
สโุ ขทยั วา่ สมั พนั ธก์ นั รปู แบบเครอื ญาติ มกี ารสญั ญา เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลที่ ๔) ตอ่ มาในสมยั พระบาทสมเดจ็
พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั (รชั กาลที่ ๕) โปรดเกล้า
ใหส้ ถาปนาเจา้ สรุ ยิ พงษผ์ ลติ เดชฯ เลอื่ นยศฐานนั ดร

แหลง่ เรยี นรทู้ างประวัตศิ าสตรใ์ นท้องถน่ิ ๗๗ จังหวัดทวั่ ไทย 49
(ภาคเหนือเเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื )


Click to View FlipBook Version