น่าน
ขึ้นเป็น “พระเจ้านครนา่ น” เปน็ พระเจ้านครนา่ น ดว้ ยสะตาย (ปนู ขาวผสมยางไม)้ กลมเหมอื นกอ้ นศลิ า
องค์แรก ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ขดุ หลมุ ลกึ ๑ วา แล้วอาราธนาพระมหาชินธาตุเจา้
เจ้าอยู่หวั (รัชกาลที่ ๗) ภายหลงั การเปลย่ี นแปลง ประดษิ ฐานในหลุมนั้น ก่อเจดีย์ สงู ๑ วา ทับไวอ้ กี
การปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ รฐั บาลประกาศให้ ยกเลกิ ชนั้ หนง่ึ ” ซง่ึ แตกตา่ งจากลกั ษณะของพระเจดยี ธ์ าตุ
ต�ำแหน่งผู้ปกครองเมอื งตา่ ง ๆ และใหแ้ ตล่ ะจังหวัด ในปัจจุบนั
ขน้ึ ตอ่ กระทรวงมหาดไทย จงึ มกี ารแตง่ ตงั้ ผวู้ า่ ราชการ ชาวนา่ นไดจ้ ดั งานประเพณี “หกเปง็ ไหวส้ า
จงั หวัดไปปกครอง จนถึงปจั จบุ ัน พระมหาธาตุแชแ่ ห้ง” ข้ึน ทกุ วัน ขึ้น ๙ - ๑๕ ค�่ำ
จากประวตั คิ วามเปน็ มาอนั ยาวนาน มากมาย เดือน ๖ เหนือ (ตรงกับเดือน ๔ ภาคกลาง) มีการ
ดว้ ยเรอ่ื งราวอนั ยงิ่ ใหญ่ สง่ ผลให้ นา่ น มแี หลง่ เรยี นรู้ ปฏิบัติธรรมสวดเจริญพระพุทธมนต์ และจุดบ้ังไฟ
ทางประวัติศาสตรใ์ นท้องถ่นิ ทน่ี ่าสนใจ เช่น ถวายเปน็ พุทธบูชา
พระธาตแุ ชแ่ หง้ ประดษิ ฐานอยทู่ วี่ ดั พระธาตุ วดั พญาวดั ตง้ั อยทู่ บ่ี า้ นพญาวดั อ�ำเภอเมอื ง
แชแ่ หง้ ภายในบา้ นหนองเตา่ อ�ำเภอภเู พยี ง องคพ์ ระธาตุ ภายในวัดมีสถูปเจดีย์ สร้างด้วยศิลาแลง ลักษณะ
ตง้ั อยบู่ นเนนิ เขา เปน็ สที องสกุ ปลงั่ สามารถมองเหน็ เจดีย์มีฝีมือช่างหลายสมัยผสมผสานกัน กล่าวคือ
ไดแ้ ตไ่ กล มขี นาดสงู ถงึ ๕๕.๕ ลกั ษณะเปน็ เจดยี ท์ รง สร้างข้ึนในสมัยพระนางจามเทวี เป็นเจดีย์ทรงซุ้ม
ระฆงั ควำ่� ตง้ั อยบู่ นฐาน สเี่ หลยี่ มจตั รุ สั กวา้ งดา้ นละ สเ่ี หลยี่ มซอ้ นกนั แตล่ ะชนั้ ประดษิ ฐานพระพทุ ธรปู ยนื
๒๒.๕ เมตร บุดว้ ยทองจงั โก ลักษณะคลา้ ยพระธาตุ ซงึ่ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากศลิ ปะสโุ ขทยั แตบ่ รเิ วณยอดซมุ้
หริภุญชัย ทางเดนิ ข้นึ สงู่ องค์พระธาตนุ นั้ จะเปน็ ตัว กอ่ อฐิ วงโค้ง เป็นรูปแบบการก่อสรา้ งที่นิยมในสมยั
พญานาค หน้าบันเหนือทางเข้าเป็นลายนาคเกี้ยว พระเจา้ ตโิ ลกราช กษตั รยิ แ์ หง่ ลา้ นนา แสดงใหเ้ หน็ วา่
เอกลักษณ์เฉพาะช่างเมืองน่าน พระธาตุแช่แห้ง มกี ารบรู ณะในสมยั นนั้ ซงึ่ เปน็ สมยั ทอ่ี ทิ ธพิ ลของศลิ ปะ
เป็นหลักฐานแสดงความสัมพันธ์อันดีระหว่างนคร ล้านนาได้เข้ามาแทนท่ีศิลปะสุโขทัยแล้ว ภายใน
นา่ นกบั สโุ ขทยั พงศาวดารน่าน บันทึกวา่ เม่ือ พ.ศ. พระอโุ บสถประดิษฐาน “พระเจ้าฝนแสนห่า” หรือ
๑๘๙๖ พระยาการเมอื ง เจา้ ผคู้ รองวรนคร (เมอื งปวั ) “พระเจ้าสายฝน” ซ่ึงชาวเมืองเคยน�ำมาแห่ขอฝน
ได้เสด็จไปร่วมสร้างวัดกับพระมหาธรรมราชาท่ี ๑ ใหต้ กต้องตามฤดกู าล
(พญาลไิ ท) ทก่ี รงุ สโุ ขทยั เมอื่ สรา้ งวดั เสรจ็ พญาลไิ ท ภายในวดั มี ธรรมาสน์ ฝมี อื ชา่ งพนื้ เมอื งนา่ น
ไดม้ อบพระบรมสารรี กิ ธาตจุ �ำนวนมากใหแ้ กพ่ ระยา ลักษณะคล้ายบุษบก ฐานเป็นปูนก่อติดกับพ้ืน
การเมอื ง เม่ือกลับมาถงึ เมอื ง พระยาการเมอื งจงึ ได้ ตวั ธรรมาสนเ์ ปน็ ไมแ้ กะสลัก มีทรงลุ้ง ด้านบนผาย
สร้างพระเจดีย์ขึ้นเพ่ือเป็นท่ีประดิษฐานพระบรม ด้านล่างสอบเข้า เป็นแบบฝาตัด ลงรัก เขียนลาย
สารีริกธาตุดังกล่าว โดยเจดีย์ในยุคแรกที่สร้างนั้น รดนำ�้ ปดิ ทอง สรา้ งขนึ้ เพอ่ื ใชใ้ สพ่ ระคมั ภรี ท์ างศาสนา
บันทึกว่า “ประจุลงในเต้าปูนทองส�ำริด แล้วพอก
50 แหลง่ เรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ในทอ้ งถนิ่ ๗๗ จังหวดั ทั่วไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
นา่ น
วดั ภมู นิ ทร์ ตงั้ อยทู่ บี่ า้ นภมู นิ ทร์ อ�ำเภอเมอื ง ๒๔๔๖ เปน็ อาคารกอ่ อฐิ ถอื ปนู ๒ ชนั้ หลงั คามงุ ดว้ ย
ตามพงศาวดารเมอื งนา่ น ระบวุ า่ วดั ภมู นิ ทรส์ รา้ งขน้ึ ไม้แปน้ เกล็ด เม่อื เจา้ มหาพรหมสุรธาดา เจา้ ผ้คู รอง
เม่ือปี พ.ศ. ๒๑๓๙ โดย เจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ นครนา่ นองค์สุดทา้ ยถงึ พริ าลยั ทายาทมอบอาคาร
เจา้ ผู้ครองเมืองน่าน เป็นผู้สรา้ งวดั นีข้ ้ึน ภายในวัด ให้แก่ราชการเพ่ือใช้เป็นอาคารศาลากลางจังหวัด
มีพระอุโบสถ ศลิ ปะช่างฝมี อื เมืองนา่ น ทรงจตุรมุข เมอื่ มกี ารสรา้ งศาลากลางหลงั ใหม่ ในปี พ.ศ. ๒๕๑๗
มีประตูเข้าท้ังสี่ทิศ ประตูท้ังส่ีเป็นบานไม้แกะสลัก กรมศลิ ปากรจงึ ไดข้ อรบั มอบอาคารเพอื่ ใชเ้ ปน็ สถานที่
ลวดลาย โครงสร้างของหลังคาถูกค้�ำด้วยเสาไม้สัก ตัง้ พิพธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาติ นา่ น ภายในพพิ ธิ ภัณฑ์
๑๒ ต้น ลงรักปดิ ทองเคลือบเงาเป็นรปู ดอกไม้และ มกี ารจัดแสดงเรือ่ งราวเกยี่ วกบั กล่มุ ชาตพิ ันธตุ์ ่าง ๆ
ชา้ ง ใจกลางของพระอโุ บสถ ประดษิ ฐานพระพทุ ธรปู ทอี่ าศยั อยใู่ นบรเิ วณจงั หวดั นา่ น ประวตั ศิ าสตรแ์ ละ
ปางมารวิชัย ศลิ ปะสโุ ขทัย ๔ องค์ พระพักตร์หันไป เรอื่ งราวความเปน็ มาของเมอื งนา่ น โบราณวตั ถสุ �ำคญั
ดา้ นประตทู งั้ สี่ หนั เบอื้ งพระปฤษฏางค์ (หลงั ) ชนกนั เช่น งาช้างด�ำ เป็นวัตถุมงคล เก่าแก่คู่เมืองน่าน
ประทับนงั่ บนฐานชกุ ชี ลกั ษณะเปน็ งาชา้ ง ๑ กง่ิ สอี อกนำ้� ตาล มคี รฑุ แกะสลกั
วัดภูมินทร์ได้รับการปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ จากไมส้ กั ท้ังท่อน ฝมี อื ช่างเมืองนา่ น แบกงาช้างอยู่
ในรัชสมัยเจ้าอนันตวรฤทธิเดช เม่ือ พ.ศ.๒๔๑๐ งาชา้ งกง่ิ นม้ี ตี �ำนานเลา่ สบื ตอ่ มาระบวุ า่ อดตี เจา้ ผคู้ รอง
(ตรงกบั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั นครนา่ นไดม้ าจากเมอื งเชยี งตงุ เพอ่ื แสดงมติ รไมตรี
รัชกาลท่ี ๕) ในคร้ังนี้ ได้มีการวาดภาพจิตรกรรม ระหวา่ งสองเมอื ง นอกจากนี้ ศลิ าจารกึ หลกั ท่ี ๖๔ (จารกึ
ฝาผนังพระอุโบสถ เมื่อพิจารณาจากผลงานที่พบ ปู่ขุนจิดขุนจอด) เป็นจารึกอักษรสุโขทัย กล่าวถึง
คลา้ ยกบั ภาพทวี่ ดั หนองบวั อ�ำเภอทา่ วงั ผา จงึ เชอ่ื วา่ ความเปน็ สมั พนั ธมติ ร และความสมั พนั ธเ์ ชงิ เครอื ญาติ
เป็นฝีมือของ “หนานบัวผัน” ช่างวาดฝีมือช้ันครู ระหวา่ งกษัตรยิ ์สุโขทยั และผคู้ รองนครน่าน
ชาวไทลอ้ื เนอื้ หาสว่ นใหญเ่ ปน็ นทิ านชาดก สอดแทรก
ภาพวิถีชีวิตของชาวน่านในอดีต เช่น วัฒนธรรม พระพทุ ธรปู ไม้ วดั มหาโพธิ์ อยทู่ อ่ี �ำเภอเมอื ง
การแตง่ กาย การทอผา้ การเกย้ี วพาราสขี องหนมุ่ สาว ในสมัยของพระยาสมุ นเทวราช เจ้าผคู้ รองนครนา่ น
สมัยนั้น การติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติในสมัย ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า
รตั นโกสนิ ทร์ อทิ ธพิ ลของชาวตา่ งชาติ เปน็ “ฮปู แตม้ ” นภาลัย (รัชกาลท่ี ๒) เกดิ เหตุการณ์ไฟไหมค้ มุ้ หลวง
(ภาพวาด) ท่ไี ดร้ บั การยอมรับวา่ มชี วี ติ ชีวา ปราณตี และวัดพระแกว้ ได้รับความเสียหายมาก เมอื่ เพลงิ
ฝมี ือโดดเด่นมาก สงบเหลอื เพยี งเถา้ ถา่ น ชาวบา้ นพบวา่ พระพทุ ธรปู ไม้
องคห์ นง่ึ ไมถ่ กู ไฟไหมด้ ว้ ย ชาวบา้ นเกดิ ความศรทั ธา
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน ต้ังอยู่ จึงท�ำความสะอาดและน�ำไปฝากไว้ท่ีวัดเชียงแข็ง
บรเิ วณใจกลางเมอื งนา่ น เปน็ พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ เกรงจะถูกโจรกรรม จึงน�ำมาฝากไว้ที่วัดมหาโพธิ์
ประจ�ำจงั หวดั นา่ น แตเ่ ดมิ เปน็ ทปี่ ระทบั ของ พระเจา้ และประดษิ ฐานเปน็ พระประธานในอโุ บสถวดั มหาโพธิ์
สรุ ยิ พงษผ์ รติ เดช ผคู้ รองนครนา่ น สรา้ งขน้ึ เมอื่ พ.ศ. จวบจนปจั จุบัน
แหล่งเรยี นร้ทู างประวัติศาสตร์ในท้องถน่ิ ๗๗ จังหวดั ทวั่ ไทย 51
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ)
น่าน
พระพทุ ธรปู องคน์ ้ี เปน็ พระพทุ ธรปู ไมแ้ กะสลกั ในอดตี เกลอื ถอื เปน็ สง่ิ ทมี่ คี า่ มคี วามส�ำคญั
ปางประทบั ยนื ทรงเครอ่ื ง ใสม่ งกฎุ และสวมเครอ่ื งทรง ตอ่ การถนอมอาหาร จดั เปน็ อาวธุ ยทุ ธปจั จยั ปรากฏ
แบบกษัตริย์ ชาวน่านนับถือในความศักด์ิสิทธ์ิและ หลักฐานท้ังของเมืองน่านและล้านนาว่า บ่อเกลือ
ความอศั จรรย์ สนิ เธาว์นี้ เปน็ เหตใุ หพ้ ระเจา้ ติโลกราช แห่งล้านนา
ยกทพั มายดึ เมอื งนา่ น เมอ่ื ปี พ.ศ. ๑๙๙๓ และภายหลงั
วดั นำ�้ ลอ้ ม อยทู่ อี่ �ำเภอเมอื งนา่ น ไมป่ รากฏ ทล่ี า้ นนาถกู ยดึ ครองดว้ ยพมา่ กป็ รากฏจารกึ วา่ บอ่ เกลอื
หลักฐานแน่ชัดว่าใครเป็นผู้สร้างวัด แต่มีสมุดข่อย ดงั กลา่ ว ถกู ยดึ ครองตอ่ โดยพมา่ และสง่ ผลใหเ้ มอื งนา่ น
บนั ทึกว่า เมือ่ ประมาณ ปี พ.ศ. ๒๓๐๐ วัดแห่งน้ี อยภู่ ายใตอ้ ทิ ธพิ ลการปกครองของลา้ นนา และพมา่
เป็นเกาะกลางหนองน�้ำ มีน�้ำล้อมรอบ ชาวบ้าน เปน็ เวลาหลายร้อยปี
ได้ช่วยกันสร้างอาศรม เป็นเรือนไม้มุงด้วยหญา้ คา ท้ังนี้ ชาวบ่อเกลอื มีพธิ ีกรรมและความเชื่อ
แล้วนิมนต์พระสงฆ์มาจ�ำพรรษา ต่อมาในปี พ.ศ. เก่ยี วกับการผลิตเกลือสนิ เธาว์ เช่น จะไมผ่ ลติ เกลือ
๒๔๒๙ เจา้ มหาพรหมสรุ ธาดา เจ้าผู้ครองนครนา่ น ในชว่ งเข้าพรรษา หรอื ในวนั แรม ๘ ค�ำ่ ของเดอื น ๕
ทรงสร้างวิหารถวายเป็นพุทธบูชา สร้างแล้วเสร็จ จะปิดหมู่บ้าน ห้ามผู้คนเข้าออก เพื่อบวงสรวง
ในปี พ.ศ. ๒๔๓๔ มีการเฉลิมฉลองวิหารใหญ่โต “เจา้ หลวงบอ่ ” มีการเล้ยี งเจ้า เลี้ยงผี เพ่อื ขอบคณุ
และได้รับการประกาศให้เป็นวัดเม่อื ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ได้ปกปักคุ้มครอง และให้เกลือเป็น
ภายในวัด มีพิพิธภัณฑ์พระพุทธรูปไม้ศักดิ์สิทธิ์ ทรัพยากรเพื่อใช้ เล้ียงชีพมาตลอดเวลาหนึ่งปี
ซ่ึงพระพุทธรูปไม้ หรือ พระเจา้ ไม้ ถือไดว้ า่ เป็นวตั ถุ ทผ่ี า่ นมา ปจั จบุ นั บอ่ เกลอื เมอื งนา่ น เปน็ แหลง่ เรยี นรู้
ทเี่ ป็นเอกลักษณ์โดดเดน่ ของเมืองน่าน และของถ่ิน ประวตั ิศาสตร์ ประเพณี วัฒนธรรม ท่ีนกั ท่องเท่ียว
ลา้ นนา และมกี ารสรา้ งสบื ทอดจนกลายเปน็ ประเพณี ใหค้ วามสนใจมาก
พพิ ิธภัณฑแ์ ห่งนี้ มพี ระพุทธรปู ไม้จัดแสดง จ�ำนวน
๒๒๑ องค์ องคท์ มี่ อี ายเุ กา่ แกท่ ส่ี ดุ สรา้ งขนึ้ ในปี พ.ศ. โฮงเจา้ ฟองคำ� เปน็ บา้ นของยคุ เจา้ นาย ตง้ั อยู่
๒๒๘๑ ตรงกบั สมัยอยธุ ยา บา้ นพระเกดิ อ�ำเภอเมอื ง ค�ำวา่ โฮง เปน็ ค�ำชาวนา่ น
ที่ใช้เรียกหมู่เรือนขนาดใหญ่ มีความหมายเหมือน
บอ่ เกลอื ภเู ขา ตงั้ อย่ทู อ่ี �ำเภอบอ่ เกลอื หรอื ค�ำวา่ “คมุ้ ” ของชาวล้านนา แต่ท้งั น้ีกม็ ไิ ดใ้ ช้ค�ำว่า
แตเ่ ดมิ เรยี กวา่ “เมอื งบอ่ ” พน้ื ทน่ี เ้ี ปน็ แหลง่ ผลติ เกลอื “เฮือน” หรือ เรือน ที่มักใช้เรียกท่ีพักอาศัยของ
สนิ เธาวข์ นาดใหญ่ เคยมบี อ่ เกลอื สนิ เธาวม์ ากถงึ ๙ บอ่ ชาวบ้านท่ัวไป เดมิ เปน็ คมุ้ เจ้าศรตี มุ มา (หลานของ
จากการส�ำรวจเชงิ ธรณวี ทิ ยา พบวา่ อ�ำเภอบอ่ เกลอื เจ้ามหาวงศ์ เจ้าผู้ครองนครน่าน) ตกทอดมาถึง
มชี นั้ หนิ เกลอื อยใู่ ตด้ นิ เมอื่ นำ�้ จดื ไหลไปละลายเกลอื เจา้ บญุ ยนื ผเู้ ปน็ ธดิ า เจา้ ฟองค�ำ และทายาท ตามล�ำดบั
และดนั ออกมาตามพนื้ ผวิ เกดิ เปน็ แหลง่ นำ�้ เคม็ ส�ำหรบั เกา่ เเก่ อายมุ ากกวา่ ๒๐๐ ปี ลกั ษณะอาคาร เปน็ อาคาร
ท�ำเกลอื สินเธาว์ เรือนไมส้ ักทัง้ หลกั ใต้ถนุ สงู รูปแบบลา้ นนาโบราณ
52 แหลง่ เรียนรทู้ างประวัตศิ าสตร์ในทอ้ งถ่นิ ๗๗ จงั หวดั ทั่วไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉียงเหนอื )
น่าน
หลังคาทรงจั่ว ที่แต่เดิม หลังคามุงด้วยแป้นเกล็ด ในวรรณคดี ฉลลุ วดลาย ทาสี ตดิ กระด่ิง หรอื พ่หู าง
(ไมเ้ กลด็ ) ตอ่ มาปรบั เปลย่ี น มงุ ดว้ ยกระเบอ้ื งดนิ เผา สว่ นล�ำตวั เรอื ทาสสี ด ลวดลายสวยงาม สว่ นหางเรอื
(ดินขอ) ประกอบด้วยกลุ่มเรอื นหลายหลงั แบ่งเป็น แกะสลกั เปน็ รปู หางพญานาค งอนสงู ทงั้ น้ี เชอ่ื กนั วา่
หอ้ ง ๆ เชน่ หอ้ งนอน หอ้ งรบั แขก หอ้ งครวั เชอ่ื มตอ่ กนั พญานาคมีความศักด์ิสิทธ์ิ จะดลบันดาลให้ฝนฟ้า
ดว้ ยนอกชานและทางเดนิ บนั ไดทางขน้ึ บา้ นอยดู่ า้ นหนา้ อุดมสมบูรณ์
มหี ลงั คาคลมุ ใชเ้ ทคนคิ เชงิ ชา่ งในการประกอบตวั บา้ น ประเพณีการแข่งเรอื เเฝงไปดว้ ยกศุ โลบาย
ดว้ ยการเจาะไมแ้ ละเขา้ ไมโ้ ดยใชส้ ลกั ไม้ ส�ำหรบั ไมส้ กั ในการสรา้ งความรกั ความสามคั คี การรรู้ กั ษาทรพั ยากร
ทใ่ี ชส้ รา้ งบา้ น ใชว้ ธิ ีการผา่ การซอ้ มถากดว้ ยขวาน ธรรมชาติ การสืบทอดภมู ปิ ัญญา
และมดี เพราะในสมยั นัน้ ไมม่ ีเลอ่ื ยใหญ่
ปจั จุบนั ยังใช้เปน็ ทีพ่ กั อาศยั และไดจ้ ัดเป็น ตงุ คา่ คงิ ชมุ ชนบา้ นพระเกดิ ตงุ คา่ คงิ หรอื
พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น เพ่ือแสดงวิถีชีวิตในอดีตและ ออกเสยี งตามส�ำเนยี งชาวนา่ นวา่ ตงุ กา้ คงิ เปน็ พธิ กี รรม
รวมถึง เคร่ืองใช้โบราณที่มีคุณค่า เช่น เคร่ืองเงิน ทก่ี ระท�ำเพ่ือหวงั สะเดาะเคราะห์ สบื ชะตา ปัดเป่า
และผ้าทอพ้นื เมือง เรอ่ื งรา้ ย ๆ ทกุ ขโ์ ศก โรคภยั เสนยี ดจญั ไร ภยนั ตราย
ให้หมด เป็นพิธีกรรมที่ท�ำเพ่ือสร้างความสบายใจ
ประเพณีแข่งเรือเมืองน่าน เป็นประเพณี ความสุข โดยปกติแล้ว ตุง (ธง) ถูกท�ำขึ้นเพ่ือใช้
เกา่ แก่มาแตโ่ บราณ ไม่ปรากฏหลักฐานลายลกั ษณ์ ในงานทางพุทธศาสนา ท้ังงานมงคลและอวมงคล
อักษรบันทึกถึงประวัติของการแข่งเรือ พบเพียง มีรูปทรงลวดลายรายละเอียดของวัสดุที่ต่างกันไป
ภาพจิตรกรรมฝาผนังตามวัด และต�ำนานที่เล่าถึง โดยส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
“เรือท้ายหล้า เรือตาตอง” ท่ีเจ้าผู้ครองนครให้ขุด หนา้ แคบแตย่ าว การใช้งานจะใชแ้ ขวนห้อยท้ิงชาย
จากไม้ตะเคียนเพ่ือให้เป็นต้นแบบในการสร้างเรือ จดุ ประสงคใ์ นการท�ำตงุ นอกจากถวายเปน็ พทุ ธบชู า
เพอื่ น�ำไปใชใ้ นการแขง่ ขนั และเปน็ ประเพณวี า่ จะมี เเละ ยงั เชอ่ื กนั วา่ การท�ำตงุ ถวายจะชว่ ยขจดั ภยั พบิ ตั ิ
การแขง่ เรอื ทกุ ครงั้ ทมี่ กี ารจดั งานตานกว๋ ยสลาก หรอื สะเดาะเคราะหใ์ ห้หมดไปจากภตู ผีปศี าจ
ถวายทานสลากภตั หมบู่ า้ นใดจดั งานตานกว๋ ยสลาก ชาวชมุ ชนบา้ นพระเกดิ รวมตวั กนั จดั กจิ กรรม
ก็ให้มีการเช้ือเชิญหมู่บ้านใกล้เคียงให้น�ำเรือมา การท�ำตงุ คา่ คงิ ขน้ึ เพอื่ ใหผ้ สู้ นใจเยาวชน คนในพนื้ ท่ี
แขง่ ขนั กนั ปจั จบุ นั ไดถ้ อื เอางานตานกว๋ ยสลากของ ไดท้ �ำบญุ สบื ชะตาตามธรรมเนยี มลา้ นนา พรอ้ มไดเ้ รยี นรู้
วดั พระธาตชุ า้ งคำ้� วรวหิ าร ซง่ึ เปน็ วดั หลวงกลางเวยี ง สืบต่อภูมิปัญญาการท�ำตุงของบรรพบุรุษ ในการน้ี
เปน็ การเปดิ สนามการแขง่ ขนั เรอื ของนา่ น ราวปลายเดอื น ชาวบา้ นได้จดั เตรยี มวสั ดอุ ุปกรณ์ในการท�ำตุงค่าคงิ
กนั ยายนในแต่ละปี ไว้ให้ พรอ้ มภูมิปญั ญาชาวบ้านคอยบอกสอน ชแี้ นะ
เรือแข่งเมืองน่าน มีเอกลักษณ์อันโดดเด่น วธิ กี ารท�ำ เปน็ การอนรุ กั ษแ์ ละสบื สานความเชอื่ มรดก
คอื ล�ำเรอื มกั ท�ำจากไมต้ ะเคยี น หวั เรอื ลกั ษณะคลา้ ย ทางภมู ปิ ัญญาของบรรพบรุ ุษไดอ้ ยา่ งดงี าม
หวั พญานาค อ้าปาก ชูเขยี้ ว โขนเรอื ท�ำเปน็ รูปสตั ว์
แหล่งเรียนรูท้ างประวตั ศิ าสตร์ในทอ้ งถน่ิ ๗๗ จังหวัดท่ัวไทย 53
(ภาคเหนือเเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื )
พะเยา
พะเยา
แหลง่ เรยี นรทู้ างประวัติศาสตรใ์ นท้องถ่นิ ๗๗ จงั หวดั ทว่ั ไทย 55
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
พะเยา
พะเยา
กว๊านพะเยาแหลง่ ชวี ติ เมือ่ ถึงสมยั รตั นโกสนิ ทร์ พระบาทสมเดจ็
ศักด์สิ ิทธ์พิ ระเจ้าตนหลวง พระนง่ั เกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลท่ี ๓) โปรดฯ ให้ฟื้นฟู
บวงสรวงพ่อขุนง�ำเมือง เมืองพะเยาข้ึนใหม่ เพ่ือให้เป็นเมืองหน้าด่านเพ่ือ
งามลอื เลือ่ งดอยบษุ ราคมั ตา้ นทพั พมา่ ทอ่ี ยเู่ มอื งเชยี งแสน ในเวลาตอ่ มา ถกู ตงั้
พะเยา ต้ังอยู่ในพ้ืนท่ีภาคเหนือตอนบน ให้เป็น อ�ำเภอพะเยา อยู่ภายใต้จังหวัดเชียงราย
พื้นที่ติดสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จนกระทงั่ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ได้รบั การยกขึ้นเปน็
ภมู ปิ ระเทศสว่ นใหญเ่ ปน็ ทรี่ าบสงู และภเู ขา มลี �ำนำ้� องิ จงั หวดั พะเยา
ไหลผ่าน ปรากฏหลักฐานการอยู่อาศัยของมนุษย์ จากการเปน็ เมอื งเกา่ มปี ระวตั คิ วามเปน็ มา
ดินเเดนเเห่งนี้ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ มีร่องรอย อันยาวนาน ส่งผลให้ พะเยา มีแหล่งเรียนรู้
การสรา้ ง เวยี งโบราณ โดยท�ำคคู นั ดิน หรอื ก�ำแพง ทางประวตั ศิ าสตรใ์ นทอ้ งถน่ิ ท่นี ่าสนใจ ดังนี้
ล้อมล้อมรอบ กระจายในหลายพ้นื ที่ ชุมชนโบราณ อนุสาวรีย์พญาง�ำเมือง ประดิษฐานอยู่
หลายแหล่ง มีร่องรอยความเจริญด้านเทคโนโลยี ท่ีสวนสาธารณะเทศบาลเมืองพะเยา หน้ากว๊าน
และการเป็นแหลง่ อตุ สาหกรรม จากต�ำนาน จารึก เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ เสร็จเม่ือปี พ.ศ.
ต่าง ๆ ระบุวา่ เมอ่ื ปี พ.ศ. ๑๖๓๙ พญาจอมธรรม ๒๕๒๗ พญาง�ำเมอื ง เปน็ กษตั รยิ แ์ หง่ พะเยา องคท์ ี่ ๙
เป็นราชบุตรองค์หน่ึงจากเมืองหิรัญนครเงินยาง ต�ำนานกล่าวว่า ในคร้ังทรงพระเยาว์ ได้ไปศึกษา
เชยี งแสน ไดเ้ ลือกท�ำเลรอบกว๊านพะเยาในปัจจบุ ัน เล่าเรียนท่ีส�ำนักสุกันตฤาษี กรุงละโว้ จึงได้รู้จัก
เป็นที่สร้างเมืองใหม่ ให้ช่ือเมือง ภูกามยาว หรือ คนุ้ เคยกบั พอ่ ขนุ รามค�ำแหงมหาราช แหง่ กรงุ สโุ ขทยั
พะยาว หรอื พยาว ตอ่ จากนน้ั เมอื งพะยาวกม็ กี ษตั รยิ ์ และ พญามงั ราย แหง่ อาณาจกั รลา้ นนา กลา่ วกนั วา่
ปกครองสบื ทอดมาอกี หลายพระองค์ เชน่ พญาเจอื งฟา้ พระองคเ์ ปน็ พระมหากษตั รยิ ท์ ที่ รงศรทั ธาเเละเลอ่ื มใส
ธรรมมกิ ราช ผู้สามารถรบเอาชนะบา้ นเมืองต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนายึดถือทศพิธราชธรรม ครั้งหน่ึง
ในลา้ นนา ลา้ นชา้ ง และเมอื งแกว้ (เวยี ดนาม) และมี พญามังราย คิดยกทัพตีเมืองพะเยา พญาง�ำเมือง
พญาง�ำเมอื ง สหายรว่ มสัตย์ กบั พญามังราย แหง่ ล่วงรู้เหตุการณ์ก่อน กลับให้เสนาอ�ำมาตย์ต้อนรับ
อาณาจักรล้านนา และ พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราช โดยดี จนพญามังรายคดิ เลิกการท�ำสงคราม อีกทั้ง
แห่งสุโขทัย เมืองพะเยารุ่งเรืองและมีอ�ำนาจมาก ได้มีการกระชับสัมพันธไมตรีระหว่าง พญาง�ำเมือง
ในสมัยของพระองค์ พญามงั ราย และพ่อขุนรามค�ำแหงมหาราช ท้งั สาม
พระองค์ได้ตั้งสัตยาธิษฐานที่จะเป็นมิตรสหายกัน
แหล่งเรยี นรทู้ างประวตั ิศาสตร์ในท้องถิ่น ๗๗ จังหวัดทั่วไทย 57
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ)
พะเยา
ณ ริมฝั่งแม่น�้ำขุนภู ภายหลังจึงเรียกแม่น้�ำนั้นว่า เมืองลอ เป็นชื่อเรียกกันมาต้ังแต่พุทธศตวรรษท่ี
แม่น�้ำองิ ๒๑ แล้ว
ปจั จบุ นั ทกุ วนั ที่ ๕ มนี าคม ของทกุ ปี จะมี ปัจจุบัน กรมศิลปากรได้ท�ำการขุดแต่ง
การจดั พธิ ีบวงสรวงพญาง�ำเมือง ทอี่ นสุ าวรีย์แห่งนี้ โบราณสถานเมืองเวียงลอ พบเจดีย์ท่ีสร้างขึ้นสมัย
พญาลอ เปน็ เจดยี ท์ รงระฆงั ขนาดใหญร่ ปู แบบศลิ ปะ
เตาเผาโบราณบา้ นบวั หรอื แหลง่ เตาเวยี งบวั ลา้ นนา - สโุ ขทยั สภาพสมบรู ณ์ มวี ดั และกู่ มากกวา่
ต้ังอยู่ท่ีบ้านเวียงบัว อําเภอเมือง เป็นสถานท่ีพบ ๔๐ แหง่ จงึ สนั นษิ ฐานกนั วา่ ในสมยั ลา้ นนา เวยี งลอ
เตาเผาเครอื่ งถว้ ยชามเคลอื บ ทม่ี เี นอื้ แกรง่ มลี วดลาย นา่ จะเปน็ เมอื งส�ำคญั ทอ่ี ยรู่ ะหวา่ งเสน้ ทางคมนาคม
เปน็ เอกลกั ษณเ์ ฉพาะถนิ่ เชอ่ื ไดว้ า่ แหลง่ เตาเวยี งบวั น้ี ระหว่างเมืองเชยี งแสน เมืองเชยี งของ เมืองพะเยา
เป็นแหล่งเตาเผาที่มีเทคโนโลยีและเทคนิคข้ันสูง เมืองเทิง เมืองน่าน และล้านชา้ ง
ในการผลิตเคร่ืองถ้วยเคลือบ รู้จักวิธีการออกแบบ
เตาเผา การควบคุมความร้อน การจัดวางภาชนะ ศูนย์วัฒนธรรมไทลื้อ ตั้งอยู่ที่วัดหย่วน
ในเตาเผาครง้ั ละมาก ๆ มีเทคนิคการสรา้ งลายดว้ ย อ�ำเภอเชียงค�ำ ไทลือ้ คอื กลมุ่ ชาตพิ ันธทุ์ ่ีพดู ภาษา
แม่พิมพ์ประทับ ซ่ึงลวดลายที่พบในแหล่งเตาเผา ตระกลู ไท ภมู ิล�ำเนาเดมิ อยูแ่ คว้นสิบสอง - ปนั นา
แหง่ น้ี ไมพ่ บในทอี่ น่ื ๆ เชน่ ลายปลาคู่ สงิ ห์ ชา้ ง นกยงู ทางตอนใต้ของมณฑลยูนาน ประเทศสาธารณรัฐ
ดวงอาทิตย์ ลายก้านขดและลายก้านขดผสมลาย ประชาชนจนี ชมุ ชนชาวไทลอื้ อ�ำเภอเชยี งค�ำ อพยพ
ปลา ก�ำหนดอายกุ ารตงั้ เวยี งอยใู่ นชว่ งพทุ ธศตวรรษ มาจากเมอื งพง เมอื งหยว่ น เมอื งมาง เมอื งยง้ั เมอื งเงนิ
ที่ ๒๐ - ๒๑ และ สันนิษฐานวา่ บา้ นเวยี งบัว นา่ จะ เมอื งเชยี งคาน โดยใชช้ อ่ื เมอื งทอี่ ยเู่ ดมิ เปน็ ชอ่ื หมบู่ า้ น
เป็นเมืองส�ำคัญของพะเยา ในแง่เป็นเมืองที่ข้ึนชื่อ เชน่ บา้ นหยว่ น บา้ นมาง บา้ นเชยี งคาน เปน็ กลมุ่ ชน
ด้านการผลติ เครอ่ื งปน้ั ดนิ เผาเชงิ อุตสาหกรรม ท่ียังใช้และรักษาวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของ
บรรพบุรุษได้เป็นอย่างดี เช่น การแต่งกาย ศิลปะ
โบราณสถานเมอื งเวยี งลอ อยูท่ ี่อ�ำเภอจนุ และประเพณตี ่าง ๆ
สันนิษฐานว่าเคยเป็นท่ีตั้งของเมืองโบราณ ท่ีชื่อ ศนู ยว์ ฒั นธรรมไทลอื้ ตงั้ ขน้ึ เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๓๖
เมืองเวียงลอ ลักษณะผังเมืองเป็นรูปค่อนข้างกลม โดยพระครูสุภัทร พรหมคุณ เจ้าอาวาสวัดหย่วน
แนวก�ำแพงเมอื งเป็นคนั ดนิ ไมส่ ูงนกั บางส่วนมกี าร เพอ่ื อนรุ กั ษแ์ ละฟน้ื ฟกู ารทอผา้ ทเ่ี ปน็ อตั ลกั ษณท์ าง
ก่ออิฐเสริมเข้าไป ภายในตัวเมือง มีบ่อน�้ำกรุอิฐ ภมู ปิ ญั ญาของชาวไทลือ้ ซ่งึ เป็นผา้ ทม่ี ีลวดลายและ
จ�ำนวนมาก แต่เดมิ เวยี งลอ มีวดั รา้ งกว่า ๕๐ วดั สสี นั สดใส เชน่ ลายดอกขอเครอื ลายดอกขอ ลายมา้
พบพระพุทธรูปหินทราย พระพุทธรูปทองส�ำริด ลายดอกต้งั เป็นตน้ ภายในอาคารพพิ ธิ ภณั ฑ์ ได้จัด
ภายในวดั จ�ำนวนมาก นอกจากนี้ ศลิ าจารกึ ทว่ี ดั ใหม่ แสดงวสั ดอุ ปุ กรณ์ ขนั้ ตอน กระบวนการวธิ กี ารทอผา้
ซง่ึ เปน็ วดั รา้ งในเวยี งลอ บนั ทกึ ไวว้ า่ เวยี งลอ มคี เู มอื ง รูปแบบของผา้ ชนดิ ต่างๆ ความเชือ่ เก่ยี วกับเรื่องผ้า
ก�ำแพงเมืองล้อมรอบอย่างน้อยสองช้ัน และช่ือ และวิถีชีวติ ของชาวไทลอ้ื
58 แหลง่ เรียนร้ทู างประวัตศิ าสตรใ์ นทอ้ งถิ่น ๗๗ จงั หวัดทั่วไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื )
พจิ ติ ร
พิจิตร
แหลง่ เรียนรทู้ างประวตั ศิ าสตร์ในท้องถิ่น ๗๗ จงั หวดั ท่ัวไทย 59
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
พจิ ติ ร
พิจิตร
เมื่ออาณาจักรสุโขทัยอิทธิพลลงทางใต้ เมืองพิจิตร
ถน่ิ ประสตู ิพระเจา้ เสอื แขง่ เรอื ยาวประเพณี จึงตกอยู่ในอ�ำนาจการปกครองของสุโขทัย และ
พระเครอื่ งดหี ลวงพอ่ เงนิ เพลดิ เพลินบึงสไี ฟ เม่ือกรุงศรีอยุธยาเรืองอ�ำนาจข้ึน เมืองพิจิตรจึงข้ึน
ศนู ยร์ วมใจหลวงพอ่ เพชร รสเด็ดส้มท่าขอ่ ย กับกรงุ ศรอี ยธุ ยา ซ่ึงในสมัยอยุธยานี้ พิจิตร มฐี านะ
ข้าวเจ้าอรอ่ ยลือเล่ือง ต�ำนานเมอื งชาละวัน เป็นหัวเมืองชั้นตรี มีต�ำแหน่งเจ้าเมือง มีศักดินา
๕,๐๐๐ ไร่ ซง่ึ ถือว่าเปน็ ขุนนางบรรดาศกั ดร์ิ ะดับสงู
แสดงให้เห็นถึงความส�ำคัญของเมืองนี้ต่ออยุธยา
พิจิตร ต้ังอยู่ทางภาคเหนือตอนล่างของ นอกจากน้ี พจิ ติ รยงั เปน็ ทปี่ ระสตู ขิ องพระมหากษตั รยิ ์
ประเทศไทย พน้ื ทโ่ี ดยทว่ั ไปเปน็ ทรี่ าบลมุ่ มแี มน่ ำ�้ ยม คอื สมเดจ็ พระสรรเพชญท์ ี่ ๘ (พระเจา้ เสอื ) และเปน็
แมน่ ำ้� นา่ น และแมน่ ำ้� พจิ ติ ร ไหลผา่ นจากเหนอื ลงใต้ บา้ นเกดิ ของราชบณั ฑติ สมยั อยธุ ยา คอื พระโหราธบิ ดี
มีพ้ืนท่ีป่าสงวนและวนอุทยานแห่งชาติกระจายอยู่ มหาราชครสู มยั สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
ท่ัวพ้ืนที่ จากความอุดมสมบูรณ์ดังกล่าว ส่งผลให้ ตอ่ มาในสมยั รตั นโกสนิ ทร์ พระบาทสมเดจ็
พบหลักฐานการต้ังถิ่นฐานของมนุษย์ยุคสมัยก่อน พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลท่ี ๕) โปรดให้
ประวัตศิ าสตร์ อายปุ ระมาณ ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ ปี ยา้ ยเมืองพจิ ิตรไปสรา้ งบนพืน้ ทใ่ี หม่ ทบ่ี ้านปากทาง
พบโบราณวัตถุและภาพถ่ายทางอากาศท่ีแสดง และไดย้ า้ ยอกี ครงั้ ไปพน้ื ทบ่ี า้ นทา่ หลวง ต�ำบลในเมอื ง
ร่องรอยคูน้�ำคันดินของการชุมชนโบราณ มากกว่า อนั เปน็ ทตี่ ง้ั เมอื งในปจั จบุ นั ซง่ึ ตอ่ มาไดร้ บั การยกขน้ึ
๑๐ แห่ง ในพ้ืนที่หลายอ�ำเภอ เช่น บ้านเมืองเก่า เปน็ จงั หวัด มีผู้วา่ ราชการจงั หวดั เป็นผู้ปกครอง
อ�ำเภอเมอื ง บา้ นโคกใต้ อ�ำเภอบางมลู นาก บา้ นทงุ่ โพธ์ิ จากประวัติความเป็นมา พัฒนาการของ
อ�ำเภอโพธป์ิ ระทบั ชา้ ง บา้ นปมุ่ ประดู่ อ�ำเภอตะพานหนิ ชุมชนโบราณ สกู่ ารเปน็ เมือง เปน็ จังหวดั สง่ ผลให้
บา้ นทบั คล้อ อ�ำเภอทบั คลอ้ เมืองไชยบวร อ�ำเภอ พิจิตร มีแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ในท้องถ่ิน
โพทะเล เป็นตน้ ที่นา่ สนใจ เช่น
พงศาวดารเมอื งเหนอื ในเรอื่ งพระยาแกรก
กล่าวถึงการสร้างเมืองพิจิตร พระยาโคตมเทวราช วดั ทา่ หลวง ตงั้ อยตู่ �ำบลในเมอื ง หรอื เดมิ ชอ่ื
กษัตริย์ชนพื้นเมืองลุ่มน้�ำเจ้าพระยา ยุคก่อนหน้า ต�ำบลท่าหลวง อยู่ริมแม่น้�ำน่านฝั่งตะวันตก เป็น
การต้ังกรงุ ศรีอยุธยา ตอ่ มาประมาณ พ.ศ. ๑๖๐๑ พระอารามหลวง สร้างข้ึนประมาณ พ.ศ. ๒๓๘๘
เจ้ากาญจนกุมาร (พระยาโคตระบอง) ราชบุตร ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้สร้างเมืองพิจิตรขึ้นบริเวณริมฝั่งแม่น้�ำน่าน (รัชกาลที่ ๓) มีพระพุทธรูปเก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง
แหลง่ เรยี นรูท้ างประวัตศิ าสตรใ์ นท้องถน่ิ ๗๗ จังหวัดท่วั ไทย 61
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื )
พจิ ติ ร
พจิ ติ ร คือ หลวงพ่อเพชร เปน็ ประธานพระอโุ บสถ ของพระยาโคตระบอง ซึ่งชาวบา้ นเรยี กว่า “พอ่ ปู่”
ลกั ษณะเปน็ พระพทุ ธรปู ปางมารวชิ ยั สมยั เชยี งแสน และมี ถ�ำ้ ชาละวนั ทีพ่ บจากวรรณคดีเรื่องไกรทอง
หลอ่ ดว้ ยทองส�ำรดิ มพี ทุ ธลกั ษณะสวยสดงดงามมาก บทพระราชนพิ นธใ์ นพระบาสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้
มีต�ำนานเล่าว่า ในสมัยอยุธยา เกิดขบถจอมทอง นภาลัย (รัชกาลที่ ๒) ถำ้� นี้มลี ักษณะเป็นชอ่ งขดุ ลึก
เมืองเชียงใหม่ กองทพั กรุงศรอี ยธุ ยาจึงได้ยกทพั ไป ลงไปในดิน ที่ชาวบ้านเช่ือกันว่าเป็นถ้�ำชาละวัน
ปราบขบถ โดยแวะพักทพั ทีเ่ มืองพิจติ ร ก่อนยกทัพ ปัจจุบัน ดินพังทลายทับถมจนต้ืนเขิน ทางจังหวัด
ตอ่ ไปเชยี งใหมน่ น้ั เจา้ เมอื งพจิ ติ รไดป้ รารภกบั แมท่ พั ไดส้ รา้ งรปู ปน้ั ไกรทองและชาละวนั ไวท้ บ่ี รเิ วณปากถำ้�
ว่า ถา้ ปราบขบถส�ำเรจ็ ขอใหห้ าพระพทุ ธรูปงาม ๆ
มาฝากสักองค์หนึ่ง เม่ือปราบขบถส�ำเร็จเรียบร้อย วดั เขารปู ชา้ ง ตง้ั อยทู่ างตอนใตข้ องตวั เมอื ง
แมท่ พั ไดอ้ ญั เชญิ หลวงพอ่ เพชร จากจอมทอง ลงแพ พิจิตร ต�ำบลดงป่าด�ำ โบราณสถานของวัดเเห่งน้ี
ลูกบวบล่องมาทางแม่น้�ำปิง โดยได้ประดิษฐานไว้ ทมี่ องเหน็ เดน่ เปน็ สงา่ คอื เจดยี แ์ บบลงั กา ตงั้ อยบู่ น
ณ อโุ บสถวัดนครชมุ เมืองพจิ ิตรกอ่ น แล้วจงึ ย้ายมา เขาหินสีขาวซ้อนกัน มองดูคล้ายช้าง นอกจากนี้
ประดษิ ฐานท่ีพระอุโบสถวัดท่าหลวง จนถึงปจั จุบัน มีมณฑป แบบจตุรมขุ เกา่ เเก่ อยู่ใกลโ้ บสถห์ ลงั ใหม่
ภายในมณฑปเปน็ ทปี่ ระดษิ ฐานพระพทุ ธบาทส�ำรดิ
อทุ ยานเมอื งเกา่ พจิ ติ ร ตง้ั อยทู่ ตี่ �ำบลโรงชา้ ง ทฝี่ าผนงั มภี าพเขยี น เรอ่ื งไตรภมู พิ ระรว่ งดว้ ย อยใู่ นเขต
อ�ำเภอเมอื ง จากหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ เชอ่ื ไดว้ า่ ต�ำบลดงปา่ ค�ำ อ�ำเภอเมอื ง มเี จดยี แ์ บบลงั กา ตงั้ อยู่
คอื ทต่ี ง้ั ของเมอื งพจิ ติ รเกา่ สรา้ งสมยั พระยาโคตรบอง บนยอดเขาที่มีหินสีขาวแต่เดิมเป็นเจดีย์เก่า มีการ
ประมาณปี พ.ศ. ๑๖๐๑ โดยปรากฏรอ่ งรอย การตงั้ บรู ณะปฏิสังขรณข์ ึ้นใหม่
ชมุ ชนโบราณ คือ มกี �ำแพงเมือง คูเมอื ง ล้อมรอบ มเี จดยี เ์ กา่ อยอู่ กี องคห์ นงึ่ เปน็ เจดยี แ์ บบลงั กา
พนื้ ทกี่ วา่ ๔๐๐ ไร่ ปรากฏซากโบราณสถานและเจดยี ์ ตัวระฆังเป็นกลีบมะเฟือง ยอดเจดีย์หักหมดแล้ว
เก่าภายในพนื้ ที่น้ัน ซง่ึ สถานท่ที คี่ วรศึกษา เช่น วัด สันนิษฐานว่าเจดีย์นี้สร้างสมัยอยุธยา นอกจากนี้
มหาธาตุ ถอื เป็นวดั เก่าแก่คูบ่ ้านคเู่ มอื งพจิ ติ ร ตงั้ อยู่ มีมณฑปหลังหนง่ึ เปน็ มณฑปจตรุ มุข ยอดมณฑป
ทางฝง่ั ตะวนั ออกของแมน่ ำ�้ นา่ นเกา่ มพี ระธาตเุ จดยี ์ เปน็ เจดยี แ์ บบลงั กา เปน็ ทรงเหลย่ี มยอ่ มมุ ไมส้ บิ สอง
เปน็ เจดยี ท์ รงลงั กา กอ่ ดว้ ยอฐิ บนฐานสเี่ หลยี่ มทรงสงู ภายในมณฑปประดิษฐานพระพุทธรูปส�ำริด ทผ่ี นงั
ล้อมรอบด้วยแนวก�ำแพงใหญ่ มีเจดียร์ราย และ ของมณฑปมีจติ รกรรมฝาผนงั เรื่องไตรภูมิพระรว่ ง
ใบเสมา ๒ ช้ัน
นอกจากน้ี ภายในอุทธยานเมอื งเกา่ พจิ ติ ร วดั โพธปิ์ ระทบั ชา้ ง ตง้ั อยรู่ มิ แมน่ ำ้� นา่ นเกา่
มี ศาลหลักเมอื ง ทสี่ ร้างเมือ่ พ.ศ. ๒๕๒๐ เป็นท่ตี ้ัง อ�ำเภอโพธปิ์ ระทบั ชา้ ง เปน็ วดั เกา่ แก่ ปรากฏหลกั ฐาน
ของศาลหลกั เมอื งพจิ ติ ร และเปน็ ทป่ี ระดษิ ฐานรปู ปน้ั การสร้างในพระราชพงศาวดารอยุธยาว่า สร้างข้ึน
62 แหลง่ เรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตรใ์ นทอ้ งถ่นิ ๗๗ จังหวดั ท่ัวไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
พจิ ติ ร
โดยสมเดจ็ พระสรรเพช็ ญที่ ๘ (พระเจา้ เสอื ) กษตั รยิ ์ จนั ทา ถาวโร สรา้ งขนึ้ รปู ปน้ั จ�ำลองขนาดเทา่ องคจ์ รงิ
แห่งกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. ๒๒๔๒ - ๒๒๔๔ ของหลวงปจู่ นั ทา ถาวโร และแมว้ า่ หลวงปจู่ นั ทา ถาวโร
เพ่ือเป็นที่ระลึกว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่ประสูติของ ได้มรณภาพไปแลว้ แต่หลักท�ำ ค�ำสอน วตั รปฏิบัติ
พระองค์ มบี นั ทกึ ว่า สมัยของสมเดจ็ พระนารายณ์ ของทา่ นกย็ ังควรค่าแกก่ ารเรยี นรู้และปฏบิ ัตติ าม
มหาราช พระองคไ์ ดเ้ สดจ็ ไปนมสั การ พระพทุ ธชนิ ราช
และพระพุทธชินสีห์ที่เมืองพิษณุโลก ในครั้งนั้น พิพิธภัณฑ์และการจัดแสดงวิถีชีวิตของ
สมเดจ็ พระเพทราชา ขณะด�ำรงต�ำแหนง่ จางวางชา้ ง ชาวไทยพวน อยู่ที่บ้านป่าแดง อ�ำเภอตะพานหิน
ได้ตามเสด็จ น�ำภรรยาพระราชทานที่ในขณะน้ัน ช่ือ บ้านป่าแดง มาจากในอดีต มีต้นไม้ใบสีแดง
มีครรภ์แก่ไปด้วย ปรากฏว่า เมื่อมาถึงหมู่บ้าน ขน้ึ อยา่ งหนาแนน่ ในหมบู่ า้ นบรรพบรุ ษุ ของชาวบา้ น
ริมฝ่งั แม่น�้ำน่านน้ี นางเกดิ เจบ็ ครรภแ์ ละคลอดบตุ ร ป่าแดง เป็นชาวไทยพวน ท่ีอพยพโยกย้ายมาจาก
ท่ีใต้ต้นมะเดื่อใหญ่ บุตรคนน้ีจึงได้ช่ือว่า เจ้าเดื่อ เมอื งพวน (ปจั จุบัน อยทู่ ี่สาธารณรฐั ประชาธิปไตย
ส่วนขบวนช้างพระที่น่ังได้หยุดรออยู่ต้นโพธิใหญ่ ประชาชนลาว) ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จ
และต่อมา เม่ือเจ้าเดื่อ ได้เสด็จข้ึนครองราชย์เป็น พระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลท่ี ๓) ทีแรกอยู่ที่
สมเด็จพระสรรเพช็ ญที่ ๘ (พระเจ้าเสือ) อ�ำเภอบ้านหม่ี จังหวัดลพบุรี ต่อมาจึงได้ย้ายมา
ตงั้ ถนิ่ ฐานทหี่ มบู่ า้ นปา่ แดง อ�ำเภอตะพานหนิ จนถงึ
หลวงปู่จันทา ถาวโร แห่งวัดป่าเขาน้อย ปัจจบุ นั
อ�ำเภอวงั ทรายพนู หลวงปจู่ นั ทา ถาวโร เปน็ พระเถระ ชาวไทยพวนบ้านป่าแดง ยังด�ำรงวิถีชีวิต
ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบท่ีชาวพิจิตรและประชาชน ความเช่ือ ประเพณี วัฒนธรรม แบบท่ีบรรพบุรุษ
ทั่วไปให้การเคารพ นับถือ ได้ด�ำเนินสืบต่อกันมา เป็นกลุ่มชนท่ีมีภาษาพูด
วัดป่าเขาน้อย สรา้ งขน้ึ เมอื่ ปี พ.ศ. ๒๕๒๘ และภาษาเขียนเป็นของตัวเอง ผู้คนในชุมชนยัง
โดย หลวงปูจ่ นั ทา ถาวโร และ หลวงป่อู �ำ่ ธัมกาโม สื่อสารกันด้วย ภาษาพวน และยังมีผู้ที่สามารถ
ได้มาจ�ำพรรษาในพ้ืนที่ป่าเขาน้อยนี้ แล้วร่วมกัน ใช้อกั ษรตัวธรรม และอกั ษรไทยนอ้ ย ได้ ภูมิปญั ญา
พัฒนาเป็นส�ำนักสงฆ์ แบบธรรมยุติกนิกาย ต่อมา ที่เด่นชัด ได้รับการอนุรักษ์อย่างดี คือ ภูมิปัญญา
ชาวบา้ นจงึ ไดม้ ารว่ มสรา้ งอาคาร เสนาสนะใหม้ นั่ คง การทอผ้า ซึ่งผ้าทอของไทยพวนมีความโดดเด่น
ถาวร และไดร้ บั ประกาศใหเ้ ปน็ วดั เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๓๘ ทลี่ วดลายอันวิจิตร
ปจั จบุ นั เปน็ สถานทปี่ ฏบิ ตั ธิ รรม และแหลง่ บม่ เพาะ เพื่ออนุรักษ์ สืบทอดความเชื่อ ภูมิปัญญา
คุณธรรมแก่ชาวบ้านและเยาวชน มีแหล่งเรียนรู้ วิถีชีวิตของบรรพบุรุษ ชาวชุมชนบ้านป่าแดงจึงได้
ภายในวัด เชน่ หลวงพ่อด�ำศักด์สิ ทิ ธิ์ ถ�้ำมหาสมบตั ิ ร่วมกันตั้ง พิพิธภัณฑ์และการจัดแสดงวิถีชีวิต
อุโบสถกลางนำ้� ภาพวาด รปู ปน้ั ตา่ ง ๆ ทห่ี ลวงปู่ ของชาวไทยพวน โดยใช้พ้ืนที่ของเทศบาลต�ำบล
แหล่งเรียนรู้ทางประวตั ิศาสตร์ในท้องถนิ่ ๗๗ จังหวัดทว่ั ไทย 63
(ภาคเหนือเเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ)
พจิ ติ ร
หนองพยอม ลักษณะเป็นอาคารพิพิธภัณฑ์ ท่ีมี จากเมืองพวน มายงั พ้นื ทอ่ี �ำเภอบา้ นหมี่ ภมู ิปัญญา
การรวบรวมองค์ความรู้ สง่ิ ของเคร่อื งใช้ ทแ่ี สดงถึง การทอผา้ การใชส้ มนุ ไพร การเพาะปลกู การละเลน่
ความเป็นชาวไทยพวน บ้านป่าแดง มีการจัดหุ่น พ้ืนบ้าน มีการจัดแสดงเครื่องมือเคร่ืองใช้โดย
จ�ำลองแสดงประวัติความเป็นมาของชาวไทยพวน จัดหมวดหมู่ชัดเจน
บ้านป่าแดง ต้ังแต่การอพยพ การตั้งถ่ินฐานท่ีอยู่
64 แหลง่ เรียนรู้ทางประวตั ิศาสตรใ์ นทอ้ งถิน่ ๗๗ จงั หวัดทั่วไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ)
พษิ ณโุ ลก
พษิ ณโุ ลก
แหล่งเรียนรทู้ างประวัตศิ าสตรใ์ นท้องถิน่ ๗๗ จงั หวัดทวั่ ไทย 65
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื )
พษิ ณโุ ลก
พิษณุโลก
พระพทุ ธชนิ ราชงามเลิศ ทางดา้ นฝัง่ ตะวนั ตกของแม่น้ำ� น่าน มีเมืองอีกเมอื ง
ชื่อ “เมืองชัยนาท” ซึ่งในสมัยสุโขทัยตอนปลาย
ถ่ินก�ำเนิดพระนเรศวร เป็นช่วงเวลาเดียวกับเร่ิมก่อต้ังอาณาจักรอยุธยา
สองฝงั่ น่านลว้ นเรือนแพ พระมหากษตั รยิ ข์ องสโุ ขทยั ไดย้ า้ ยมาประทบั ทเ่ี มอื ง
หวานฉำ่� แทก้ ลว้ ยตาก สองแคว หรอื ชยั นาท ส่งผลใหเ้ มืองนมี้ คี วามส�ำคญั
ถ�ำ้ และน้ำ� ตกหลากตระการตา กวา่ เมอื งสโุ ขทยั เมอื งสองแควถกู รวมเขา้ กบั อาณาจกั ร
อยธุ ยาในสมยั สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ
ในสมยั อยธุ ยา หลงั สมยั พระบรมไตรโลกนาถ
พษิ ณโุ ลก เปน็ จงั หวดั ทม่ี เี นอ้ื ทเ่ี ปน็ เทอื กเขา พิษณุโลกเป็นศูนย์กลางการปกครองของอยุธยา
และที่ราบสูงทางตอนเหนือ เป็นท่ีราบลุ่มทางใต้ ในหัวเมืองเหนือ บางยุค มีพระมหาอุปราชซ่ึงเป็น
มแี มน่ ำ้� นา่ นและแมน่ ำ้� ยม เปน็ แมน่ ำ้� สายหลกั ส�ำคญั พระราชโอรสครองเมอื ง บางยคุ เปน็ เมืองหนา้ ด่าน
มอี าณาเขตบางสว่ นตดิ กบั สาธารณรฐั ประชาธปิ ไตย ส�ำคัญ เช่นเมื่อคร้ังท่ีพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง
ประชาชนลาว เปน็ จงั หวดั ทม่ี เี รอ่ื งราวและความส�ำคญั แห่งพม่ายกทัพมาประชิดเมืองพิษณุโลก ใน พ.ศ.
ทางประวตั ศิ าสตรม์ าอยา่ งตอ่ เนอ่ื งยาวนาน พบหลกั ฐาน ๒๑๐๖ พระมหาธรรมราชายอมจ�ำนนต่อพระเจ้า
การอยู่อาศัยของมนุษย์ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ บเุ รงนอง น�ำไปสกู่ ารเสยี กรงุ ศรอี ยธุ ยา ครงั้ ท่ี ๑ และ
เป็นภาพสลักบนหินในถ�้ำและหน้าผา สันนิษฐาน ในปี พ.ศ. ๒๑๓๖ เมอื งพษิ ณโุ ลกเปลย่ี นฐานะจากเมอื ง
อายปุ ระมาณ ๔,๐๐๐ ปี มรี อ่ งรอยของการตงั้ ชมุ ชน ของพระมหาอุปราชมาเป็นเมืองช้ันเอกฝ่ายเหนือ
โบราณขนาดใหญ่ โดยพบพระปรางคส์ มยั ขอมโบราณ ของอยธุ ยาคกู่ บั เมอื งนครศรธี รรมราชทเี่ ปน็ เมอื งเอก
มอี ายปุ ระมาณพทุ ธศตวรรษที่ ๑๕ กอ่ นสมยั สโุ ขทยั ฝา่ ยใต้ มขี นุ นางเปน็ เจา้ เมอื ง ภายหลงั การเสยี กรงุ ศรี
มเี มอื งทตี่ งั้ อยรู่ ะหวา่ งแมน่ ำ้� นา่ นและแมน่ ำ�้ แควนอ้ ย อยุธยา คร้ังที่ ๒ เมืองพิษณุโลกถูกปกครองโดย
ปรากฏชอ่ื ในจารกึ วดั ศรชี มุ สมยั สโุ ขทยั วา่ เมอื งสองแคว ชุมนุมพิษณุโลกต่อมา และ ชุมนุมเจ้าพระฝาง
อยภู่ ายใตก้ ารปกครองของสโุ ขทยั สมยั พอ่ ขนุ รามค�ำแหง ตามล�ำดบั สดุ ทา้ ยอยภู่ ายใตก้ ารปกครองของกรงุ ธนบรุ ี
มหาราช ตอ่ มา พระมหาธรรมราชาท่ี ๑ (พญาลไิ ท) เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยกทัพมาปราบ
ไดท้ รงย้ายเมอื งไปอยทู่ ฝี่ งั่ ตะวันออกของแมน่ ้�ำนา่ น ชุมชนเจ้าพระฝางได้ เมื่อถึงสมัยรัตนโกสินทร์
(บรเิ วณเมอื งพษิ ณุโลกในปจั จุบัน) ปรากฏหลักฐาน ครั้งศึกสงครามเก้าทัพ พม่ายึดเมืองพิษณุโลกได้
ความรงุ่ เรือง เชน่ การสรา้ งวัดพระศรรี ัตนมหาธาตุ และขาดการท�ำนบุ �ำรุงกว่ายีส่ บิ ปี ในปี พ.ศ. ๒๔๓๗
วรมหาวหิ าร (วดั ใหญ)่ และพระราชวงั จนั ทน์ นอกจากนี้ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลที่ ๕)
แหล่งเรียนรูท้ างประวตั ิศาสตร์ในทอ้ งถ่ิน ๗๗ จังหวดั ทัว่ ไทย 67
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
พษิ ณโุ ลก
โปรดยกฐานะเมอื งพิษณุโลกขน้ึ เปน็ มณฑล เรียกว่า พระพทุ ธรปู ส�ำรดิ ข้ึน ๓ องค์ ได้แก่ พระพทุ ธชนิ ราช
มณฑลพษิ ณโุ ลก เเละตอ่ มาเมอ่ื ยกเลกิ การปกครอง พระพทุ ธชินสีห์ และพระศรีศาสดา
แบบมณฑล พษิ ณโุ ลกจงึ มฐี านะเปน็ จงั หวดั เรอ่ื ยมา พระพทุ ธชนิ ราช เปน็ พระเเบบปางมารวชิ ยั
จนปัจจบุ นั นั่งขัดสมาธิ พระเกศรัศมียาวเป็นเปลวเพลิง
จากเร่ืองราวทางประวัติศาสตร์ที่เกิดข้ึน พระเกศาขดเป็นก้นหอยขนาดใหญ่ วงพระพักตร์
บนแผน่ ดนิ พษิ ณโุ ลก เปน็ เรอื่ งราวทเี่ กย่ี วขอ้ งสมั พนั ธ์ ค่อนข้างกลมไม่ยาวรี เช่นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย
กบั ประวตั ศิ าสตรช์ าติ สง่ ผลให้ พษิ ณโุ ลก มแี หลง่ เรยี นรู้ ปลายนวิ้ พระหัตถ์ทั้ง ๔ ยาวเสมอกนั เป็นลักษณะ
ทางประวตั ศิ าสตรใ์ นทอ้ งถนิ่ ทค่ี วรศกึ ษาเรยี นรู้ เชน่ เฉพาะของพระพุทธรูปสกุลช่างเมืองพิษณุโลก
มีซุ้มเรือนแก้วและสลักด้วยไม้สัก ลงรักปิดทอง
วดั พระศรรี ตั นมหาธาตวุ รมหาวหิ าร หรอื ประดบั เบอื้ งพระปฤษฎางค์ ปราณตี ออ่ นชอ้ ยงดงาม
วัดใหญ่ ต้ังอยู่ริมฝั่งแม่น�้ำน่านด้านทิศตะวันออก ในพระวหิ ารหลวงมบี านประตปู ระดบั มกุ ๒ บานคู่
ในพื้นที่อ�ำเภอเมือง เป็นพระอารามหลวง ช้ันเอก กวา้ ง ๑ เมตร สูง ๔ เมตร เป็นบานประตปู ระดบั มกุ
ชนิดวรมหาวิหาร เป็นวัดหลวงเก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง นอกจากน้ี ยงั มี พระวหิ ารพระอฏั ฐารส หรอื
ไม่ปรากฏหลักฐานการสร้างที่ชัดเจน แต่จารึก เนนิ วหิ ารเกา้ ห้อง เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปยนื
สมยั สโุ ขทัยบนั ทึกวา่ พ่อขุนศรีนาวน�ำถม ทรงสร้าง ปางหา้ มญาติ สงู ประมาณ ๑๐ เมตร สนั นษิ ฐานว่า
พระทันตธาตุสุคนธเจดียข์ ้ึน พงศาวดารเมอื งเหนือ สร้างในสมยั เดียวกบั พระพุทธชนิ ราช
ระบุว่าพระมหาธรรมราชาท่ี ๑ (พญาลิไท) ให้
สร้างวัดพระศรีรัตนมหาธาตุขึ้น โดยในปี พ.ศ. พระราชวงั จนั ทน์ ตงั้ อยตู่ ดิ กบั คา่ ยสมเดจ็
๒๔๕๘ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระนเรศวรมหาราช กองทัพภาคท่ี ๓ อ�ำเภอเมือง
(รัชกาลท่ี ๖) ทรงพระกรุณาโปรดฯ ให้ยกขึ้นเป็น ในอดีตเป็นที่ต้ังของโรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม
พระอารามหลวงช้ันเอก ชนิดวรมหาวิหาร และ เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ โรงเรยี นจะก่อสร้างอาคารเรียน
เรียกชอ่ื วา่ วดั พระศรรี ัตนมหาธาตุวรมหาวหิ าร จึงมีการปรับแต่งพ้ืนที่ ระหว่างท่ีขุดหลุมจะฝังเสา
ภายในวดั มวี ิหารหลวง เปน็ ทป่ี ระดิษฐาน ไดพ้ บซากอฐิ เกา่ จงึ ไดม้ กี ารยา้ ยโรงเรยี นไปตงั้ ทใี่ หม่
พระพุทธชินราช ตัวพระวิหารสร้างมาต้ังแต่สมัย และกรมศิลปากรได้ขุดค้น พบซากก�ำแพงและ
สุโขทัย ประตูทางเข้าเดิมเป็นประตูไม้สลักลาย อาคารลักษณะการสร้างทับซ้อนกันในหลายยุค
ในปี พ.ศ. ๒๒๙๙ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ สันนิษฐานว่า เป็นพระราชวังโบราณสมัยอยุธยา
ให้ช่างหลวงสร้างบานประตูขนาดใหญ่ ท�ำด้วยมุก แบ่งเป็นสามชนั้ คอื พระราชวงั ชน้ั นอก พระราชวัง
ถวายเป็นพุทธบูชาองค์พระพุทธชินราช ถือกันว่า ชั้นกลาง พระราชวังช้ันใน ในส่วนของพระราชวัง
เปน็ พระพทุ ธรปู ทงี่ ดงามทสี่ ดุ องคห์ นงึ่ ในโลกทไ่ี ดร้ บั ช้ันกลาง มีร่องรอยของพระที่นั่งท้องพระโรง
การสร้างข้ึนเม่ือคราวท่ีพระมหาธรรมราชาที่ ๑ เขตพระราชวังชั้นใน เห็นโครงสร้างพระราชฐาน
(พญาลิไท) โปรดให้สร้างวัดแห่งน้ี โปรดให้สร้าง และอาคารตา่ ง ๆ
68 แหลง่ เรยี นร้ทู างประวัติศาสตรใ์ นท้องถน่ิ ๗๗ จังหวัดทว่ั ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ)
พษิ ณโุ ลก
พระราชวงั จนั ทนน์ ี้ เปน็ สถานทปี่ ระทบั ของ นภุ าพ สนั นิษฐานว่าเมอื งบางยางคือ เมอื งนครไทย
องคพ์ ระมหากษตั รยิ ์ พระมหาอปุ ราช หลายพระองค์ ในปัจจบุ นั และพระราชพงศาวดารกรุงเกา่ ระบวุ า่
เช่น สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระองค์เสด็จ เมอื งบางยางไดเ้ ปลยี่ นชอื่ เปน็ “นครไทย” เมอ่ื ปี พ.ศ.
มาประทับท่ีพระราชวังจันทน์ จนสวรรคต เพราะ ๒๐๒ ในรัชสมยั ของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
ในเวลาน้ัน พิษณุโลกถือเป็นเมืองหน้าด่านส�ำคัญ
ระหว่างที่อยุธยาท�ำสงครามกับล้านนา นอกจากน้ี วดั หนา้ พระธาตุ หรอื วดั เหนอื อยทู่ างทศิ เหนอื
เป็นสถานท่ีก�ำเนิดของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ของตัวเมืองนครไทย เป็นวัดเก่าสมัยสุโขทัย ท่ีมี
สมเด็จพระเอกาทศรถ และพระสุพรรณกัลยา ขนาดพื้นท่ีใหญ่ที่สุดของเมืองนครไทย ในวัดพบ
สมัยพระราชบิดา คือ สมเด็จพระมหาธรรมราชา โบราณวัตถุท่ีส�ำคัญคือ พระพุทธรูปแกะสลักเป็น
เป็นอุปราชครองเมืองพิษณุโลก และ สมเด็จ ภาพนูนสูงบนแผ่นหินทรายรูปใบเสมา จ�ำนวน
พระนเรศวรมหาราช ทรงประทับท่ีนี่ ระหว่าง สององค์ สันนิษฐานว่า เคลื่อนย้ายมาจากแหล่ง
ทรงครองเมืองเป็นพระมหาอุปราช สะสมก�ำลัง ก�ำเนิดเดิมทางภาคอีสาน แผ่นหนึ่งด้านหลังมีภาพ
กู้เอกราชจากการเสยี กรุงศรีอยุธยา คร้งั ท่ี ๑ แกะสลกั เป็นรปู สถปู ศิลปะสมยั ทวาราวดี อายุราว
พุทธศตวรรษที่ ๑๗ - ๑๘ ส่วนด้านหน้าสลักเป็น
พระบรมราชานสุ าวรยี พ์ อ่ ขนุ ศรอี นิ ทราทติ ย์ พระพุทธรูป ปางขัดสมาธิเพชร ศิลปะสมัยสุโขทัย
ตั้งอยู่บริเวณบริเวณหนองปู่ตา อ�ำเภอนครไทย ผสมศลิ ปะล้านนา สันนิษฐานว่า สร้างขึ้นภายหลงั
สร้างข้ึนเพ่ือน้อมส�ำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของ ชาวนครไทยเรยี ก “หลวงพอ่ เพชร” และ แผ่นศิลา
ปฐมบรมกษตั รยิ แ์ หง่ กรุงสุโขทัย เม่ือ พ.ศ. ๒๕๕๕ อกี แผน่ หนง่ึ สลกั เปน็ พระพทุ ธรปู ยนื ฝมี อื ชา่ งพนื้ บา้ น
กรมศิลปากรได้ออกแบบและด�ำเนินการก่อสร้าง
เป็นพระบรมรูป ขนาดความสูง ๒ เท่าครึ่งของ วัดตาปะขาวหาย ต้ังอยู่ท่ีริมแม่น้�ำน่าน
พระองค์จริง ฉลองพระองค์แบบกษัตริย์สมัย ฝ่งั ตะวนั ออก ในพ้ืนท่ขี องต�ำบลหวั รอ อ�ำเภอเมือง
สุโขทัยโบราณ พระหัตถ์ถือพระแสงขรรค์ชัยศรี เปน็ วดั เกา่ แก่ ไมป่ รากฏหลกั ฐานการสรา้ ง สนั นษิ ฐานวา่
สวมพระมงกุฎทรงเทรดิ สรา้ งขึน้ ในสมัยสุโขทยั ตอนตน้ เเละจากการที่ตง้ั อยู่
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ระบุว่า รมิ ฝง่ั แมน่ ำ�้ นา่ น ทมี่ กี ระแสนำ�้ ไหลเชย่ี ว กดั เซาะตลงิ่
ก่อนตั้งเมืองสุโขทัย พ่อขุนบางกลางหาว เป็นผู้น�ำ ส่งผลให้วัดจมลงในแม่น้�ำน่านสองคร้ังมาแล้ว
ของผู้คนชาวเมืองบางยาง ได้รว่ มกับพอ่ ขนุ ผาเมือง หลกั ฐาน คอื ปรากฏใบเสมา และใบอุโบสถ จมอยู่
เจา้ เมืองราด ขับไล่ขอมซงึ่ แผ่อิทธิพลอยู่ในขณะนัน้ กลางแม่น�้ำน่าน วัดแห่งน้ี เกี่ยวข้องกับต�ำนาน
และยดึ ครองพนื้ ทสี่ โุ ขทยั เเลว้ ตอ่ มาไดป้ ราบดาภเิ ษก การสร้างพระพุทธชินราช
เป็นพระมหากษัตริย์ ทรงพระนามว่า “พ่อขุน แต่เดิม วัดน้ีเรียกช่ือว่า วัดเตาไห เพราะ
ศรีอินทราทิตย์” เป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์พระร่วง ต้ังอยู่บนพื้นที่ชุมชนโบราณท่ีเป็นหมู่บ้านท่ีผลิต
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชา เคร่อื งปัน้ ดนิ เผา จ�ำพวก เคร่อื งถ้วยไถ มกี ารขดุ พบ
แหลง่ เรยี นร้ทู างประวัติศาสตรใ์ นท้องถิน่ ๗๗ จังหวดั ทวั่ ไทย 69
(ภาคเหนือเเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ)
พษิ ณโุ ลก
เตาเผาโบราณ บริเวณริมฝั่งแม่น้�ำน่าน พบเตาเผา จะต้องไม่ใส่รองเท้า ไม่สวมหมวก ไม่แต่งกาย
โบราณอย่ใู ตด้ นิ ประมาณ ๑๐๐ เตา และมกี ารพบ ในชดุ สแี ดง ไมใ่ ชน้ ว้ิ แตะนำ้� เกลอื ในบอ่ มาชมิ ไมบ่ ว้ น
เศษภาชนะที่มีรูปร่างและลักษณะคล้ายกับในซาก นำ�้ ลาย และไมส่ ่งั นำ�้ มกู ลงไปในบรเิ วณบอ่ และจะมี
เรือจมท่ีอ่าวไทย จึงสันนิษฐานว่าแหล่งเตาเผานี้ ประเพณีบุญปราสาทผึ้ง และประเพณีเลี้ยงเจ้าปู่
เป็นแหล่งผลิตเครื่องปั้นดินเผาเพ่ือขายท้ังภายใน ซ่งึ ส�ำคัญต่อชาวบ้านบอ่ โพธิม์ าก
และต่างประเทศ เป็นแหล่งผลิตเคร่ืองปั้นดินเผาที่
ส�ำคญั ของเมืองพษิ ณโุ ลก วดั นางพญา อยใู่ นพนื้ ทเ่ี ดยี วกบั วดั ราชบรู ณะ
อ�ำเภอเมือง เป็นวัดขนาดเล็กที่ไม่มีพระอาราม
บอ่ เกลือพนั ปี บา้ นบ่อโพธ์ิ ใกล้ล�ำน�้ำเฟ้ยี สันนิษฐานว่าถูกสร้างข้ึนโดย พระวิสุทธิกษัตริย์ตรี
ในพน้ื ทห่ี มบู่ า้ นบอ่ โพธ์ิ อ�ำเภอนครไทย พนื้ ทหี่ มบู่ า้ น พระอัครชายาของสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช
บ่อโพธิ์ต้ังอยู่ในหุบเขา ของเทือกเขาที่เป็นรอยต่อ กษตั รยิ แ์ หง่ กรงุ ศรอี ยธุ ยา ผเู้ ปน็ พระราชมารดาของ
ระหว่างจังหวัดเลยกับพิษณุโลก สภาพภูมิอากาศ สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเอกาทศรถ
หน้าร้อนร้อนจัด หน้าหนาวหนาวจัด เเต่สภาพ และพระสพุ รรณกลั ยา ประมาณปี พ.ศ. ๒๐๙๐ -
พ้ืนท่ีจะไม่เหมาะสมต่อการอยู่อาศัย ก็ปรากฏ ๒๑๐๐ ซึ่งในขณะนั้น ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จ
การอพยพโยกย้ายของผู้คนมาต้ังรกรากในพ้ืนท่ีนี้ พระมหาจกั รพรรดิ พษิ ณโุ ลกมศี กั ดเิ์ ปน็ เมอื งลกู หลวง
ตั้งแต่สมัยยุคก่อนประวัติศาสตร์ ด้วยเพราะที่นี่ ของกรุงศรอี ยุธยา สมเดจ็ พระมหาธรรมราชาธิราช
มีแหล่งเกลือสินเธาว์ พบบ่อเกลือโบราณ จ�ำนวน ทรงพระอิสริยยศเป็นพระอุปราช และพระวิสุทธิ
๓๒ บ่อ กระจายอย่รู ิมแมน่ ำ�้ เฟยี้ ในอดีต ชาวบา้ น กษัตริยต์ รี ด�ำรงพระอสิ ริยยศเปน็ แมเ่ มืองสองแคว
ได้ใช้บ่อเกลือเหล่านี้ผลิตเกลือ แล้วน�ำไปค้าขาย มีการบูรณะวัดข้ึนอีกครั้ง พระวิสุทธิกษัตริย์ตรี
แลกเปลี่ยนกับข้าว อาหาร และส่ิงของต่าง ๆ ได้ทรงสร้างเจดีย์ขึ้น พร้อมกับสร้างพระพุทธรูป
ปจั จุบนั เหลอื บอ่ เกลอื เพียงบอ่ เดยี ว คือ บ่อโพธ์ิ เนอื้ ดนิ เผา “พระนางพญา” บรรจใุ นองค์พระเจดีย์
ซ่ึงมีขนาดเสน้ ผา่ ศนู ย์กลาง ประมาณ ๒.๕๐ เมตร ตามคติความเชื่อแต่โบราณ หลังจากนั้น วัดนี้ก็
ลกึ ๓ เมตร นอกจากน้ี สันนษิ ฐานว่า ในสมยั สุโขทัย ถูกทิง้ รา้ งไป
คงมีชุมชนตั้งอยู่บริเวณบ่อเกลือแห่งน้ีเพ่ือท�ำเกลือ เมอ่ื ถึงในปี พ.ศ. ๒๔๔๔ พระบาทสมเดจ็
สง่ ไปยงั ชมุ ชนตา่ ง ๆ ใชบ้ รโิ ภค และคงมกี ารท�ำเกลอื พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลที่ ๕) ไดป้ ระพาส
จนถงึ สมัยอยธุ ยาตอนกลาง ตน้ หวั เมอื งฝา่ ยเหนอื ทางจงั หวดั จะเตรยี มศาลาเลก็ ๆ
ชาวบา้ นบอ่ โพธ์ิ มคี วามเชอ่ื พธิ กี รรมเกย่ี วกบั เป็นปะร�ำ ไว้เผ่ือการเสด็จ ระหว่างท่ีขุดเสาเตรียม
การท�ำเหลือและบ่อเกลือ โดยยึดถือสืบทอดกันมา ปะร�ำได้พบพระนางพญา จ�ำนวนมากฝังอยู่ภายใต้
อยา่ งตอ่ เนอื่ ง เชน่ บอ่ เกลอื ทอ่ี ยใู่ นหมบู่ า้ นเปน็ สถานที่ ซากปรักหักพัง จึงมีการทูลเกล้าฯ ถวายองค์พระ
ศักด์ิสิทธิ์ มี “เจ้าปู่หลวง” คอยรักษาบ่อเกลือ แด่พระองค์
เพ่ือแสดงความเคารพเจ้าปู่ ผู้ที่จะเข้าไปในพ้ืนท่ี
70 แหลง่ เรียนรูท้ างประวตั ิศาสตร์ในทอ้ งถ่นิ ๗๗ จงั หวัดท่ัวไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื )
เพชรบรู ณ์
เพชรบรู ณ์
แหลง่ เรียนรทู้ างประวตั ศิ าสตร์ในทอ้ งถ่นิ ๗๗ จงั หวัดทั่วไทย 71
(ภาคเหนือเเละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื )
เพชรบรู ณ์
เพชรบรู ณ์
เมอื งมะขามหวาน อทุ ยานนำ้� หนาว ในสมยั ตอ่ มา เพชรบรู ณ์ เปน็ หวั เมอื งส�ำคญั
ศรเี ทพเมอื งเกา่ เขาคอ้ อนสุ รณ์ ของอาณาจกั รอยธุ ยา เจา้ เมอื งมศี กั ดนิ าเปน็ พระยา
นครพอ่ ขนุ ผาเมอื ง และเปน็ แหลง่ รวบรวมไพรพ่ ลเพอื่ รว่ มรบกบั ทพั หลวง
เช่น เม่ือครั้งท่ีสมเด็จพระนเรศาวรมหาราช เป็น
พระมหาอุปราชครองเมืองพิษณุโลก ยกทัพไปตี
เพชรบรู ณ์ เปน็ จงั หวดั ทม่ี พี นื้ ทขี่ นาดใหญ่ ทพั เขมร ตอ่ เนอื่ งมาถงึ สมยั ธนบรุ ี ทเ่ี จา้ พระยาจกั รี
ตง้ั อยใู่ จกลางประเทศ อยรู่ ะหวา่ งภาคเหนอื ภาคกลาง ได้มาพักทัพและสะสมเสบียงที่น่ี เพ่ือรบกับทัพ
และภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ภมู ปิ ระเทศมที วิ เขาสงู อะแซหวนุ่ กี้
เนนิ เขา และทรี่ าบสลบั กนั ไป มแี มน่ ำ้� ปา่ สกั เปน็ แมน่ ำ�้
สายใหญใ่ หค้ วามอดุ มสมบรู ณ์ เหมาะแกก่ ารอยอู่ าศยั เขา้ สสู่ มยั รตั นโกสนิ ทร์ ปรากฏหลกั ฐานวา่
และประกอบอาชพี พบรอ่ งรอยหลกั ฐานการอาศยั เมืองเพชรบูรณ์ และ เมืองสีเทพ (ศรีเทพ) เป็น
ของผู้คนมาอย่างต่อเนื่องยาวนานนับแต่สมัยยุค หวั เมอื งขนึ้ ของอาณาจกั ร ซงึ่ ตอ่ มาไดม้ กี ารยกฐานะ
กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ โดยพบหลกั ฐาน จ�ำพวกเครอ่ื งมอื ของเมอื งและเปลย่ี นชอ่ื เมอื ง จาก ศรเี ทพ เปน็ วเิ ชยี รบรุ ี
เครอื่ งใชท้ ที่ �ำจากหนิ ขดั ก�ำหนดอายรุ าว ๓,๐๐๐ - สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
๔,๐๐๐ ปี ทอี่ �ำเภอชนแดน รวมถงึ แหลง่ โบราณคดี (รัชกาลที่ ๕) ปกครองรูปแบบมณฑลเทศาภิบาล
ท่ีเคยเป็นชุมชนโบราณยุคต้นประวัติศาสตร์ อายุ โดยรวบรวมหัวเมืองตามชายแดนส�ำคัญต้ังเป็น
๒,๐๐๐ ปี บรเิ วณลมุ่ แมน่ ำ้� ปา่ สกั ทเี่ มอื งโบราณศรเี ทพ เขตการปกครองใหม่ ซง่ึ มณฑลเพชรบรู ณ์ ถกู ตงั้
พบหลกั ฐานชมุ ชนสมยั ขอม สมยั ทวารดี และอทิ ธพิ ล เปน็ อสิ ระเพราะทอ้ งทมี่ ภี เู ขาลอ้ มรอบ การคมนาคม
ของพระพทุ ธศาสนาบนดนิ แดนแถบน้ี กบั มณฑลอนื่ ไมส่ ะดวก ชว่ งปลายสงครามโลก ครงั้ ท่ี ๒
ปรากฏหลกั ฐานวา่ อาณาจกั รสโุ ขทยั แผอ่ �ำนาจ ราวปี พ.ศ. ๒๔๘๖ รฐั บาลจอมพล ป. พบิ ลู สงคราม
มาถึงพ้ืนที่เพชรบูรณ์ เช่น ข้อความจารึกสุโขทัย วางแผนการจดั สรา้ ง นครบาลเพชรบรู ณ์ เพอ่ื ใหเ้ ปน็
ทเี่ อย่ ถงึ ชอ่ื เมอื ง “ลมุ บาจาย” (เมอื งหลม่ เกา่ ) และ เมืองหลวงแห่งใหม่ของประเทศ แต่แล้วโครงการ
“วชั ชปรุ ะ” (เมอื งเพชรบรู ณ)์ กลา่ วถงึ พอ่ ขนุ ผาเมอื ง กล็ ม้ เลกิ ไป
พอ่ เมอื งราด (เมอื งหลม่ สกั ) พบโบราณสถานและ นอกจากนี้ ในระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๕๑๐ - ๒๕๒๕
โบราณวตั ถุ ศลิ ปะสโุ ขทยั เชน่ เจดยี ท์ รงพมุ่ ขา้ วบณิ ฑ์ พนื้ ทเ่ี ขาคอ้ ซง่ึ เปน็ เทอื กเขารอยตอ่ ระหวา่ งเพชรบรู ณ์
เครอ่ื งสงั คโลก พษิ ณโุ ลก และ เลย เคยเปน็ สมรภมู กิ ารรบระหวา่ ง
กองทพั ไทยกบั สมาชกิ พรรคคอมมวิ นสิ ตแ์ หง่ ประเทศไทย
ทต่ี อ้ งการยดึ อ�ำนาจ เปลย่ี นแปลงรปู แบบการปกครอง
แหล่งเรยี นรู้ทางประวัตศิ าสตรใ์ นท้องถิ่น ๗๗ จังหวัดท่ัวไทย 73
(ภาคเหนือเเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ)
เพชรบรู ณ์
แตป่ จั จบุ นั แปรเปลยี่ นเปน็ สถานทท่ี อ่ งเทย่ี วทไ่ี ดร้ บั พ่อขุนบางกลางหาวก็ได้สถาปนาราชวงศ์พระร่วง
ความนยิ มแหง่ หนง่ึ ของประเทศ และอาณาจกั รสโุ ขทยั มกี ษตั รยิ ป์ กครองสบื มาอกี
จากเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้น หลายพระองค์
ในพน้ื ทแ่ี หง่ น้ี ซงึ่ เปน็ เรอื่ งราวทเี่ กย่ี วเนอื่ งกบั กลมุ่ คน เพื่อระลึกถึงเกียรติคุณ ความดี วีรกรรม
ทหี่ ลากหลาย เชอ่ื มโยงกบั ประวตั ศิ าสตรช์ าติ สง่ ผลให้ ความกลา้ หาญ ความเสียสละของ พ่อขนุ ผาเมือง
เพชรบรู ณม์ แี หลง่ เรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตรใ์ นทอ้ งถนิ่ ชาวหล่มสักจึงได้ร่วมเเรงร่วมใจสร้างอนุสาวรีย์
ทน่ี า่ สนใจ เชน่ พอ่ ขนุ ผาเมอื ง ในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ โดยมกี รมศลิ ปากร
ออกแบบและด�ำเนินการสร้าง เป็นพระรูปของ
อนสุ าวรยี พ์ อ่ ขนุ ผาเมอื งและพพิ ธิ ภณั ฑพ์ อ่ ขนุ พอ่ ขนุ ผาเมอื งทต่ี งั้ อยใู่ นอริ ยิ าบถยนื พระหตั ถข์ วา
ผาเมอื ง อยบู่ รเิ วณสแ่ี ยกพอ่ ขนุ ผาเมอื ง อ�ำเภอหลม่ สกั ทรงดาบปักลงดิน พระหัตถ์ซ้ายชี้ลงพ้ืน พระรูป
ชอ่ื ของ พอ่ ขนุ ผาเมอื ง ปรากฏในจารกึ สโุ ขทยั หลกั ท่ี ๒ ท�ำดว้ ยโลหะ ในบรเิ วณเดยี วกนั มี พพิ ธิ ภณั ฑพ์ อ่ ขนุ
(จารกึ วดั ศรชี มุ ) ซง่ึ เปน็ จารกึ ทบี่ อกเลา่ ความเปน็ มา ผาเมือง จัดแสดงจารึกสุโขทัย หลักท่ี ๒ (จารึก
ของอาณาจกั รสโุ ขทยั หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ วดั ศรชี มุ ) ขนาดเทา่ จรงิ ประวตั แิ ละความส�ำคญั ของ
กล่าวถึง พ่อขุนผาเมือง ว่าเป็นพระราชโอรสของ เมอื งราด เรอื่ งเลา่ ต�ำนานและประเพณที เ่ี กยี่ วกบั
พอ่ ขนุ ศรนี าวน�ำถม เเหง่ แควน้ สโุ ขทยั - ศรสี ชั นาลยั พอ่ ขนุ ผาเมอื ง รวมถงึ ความเปน็ มาของเมอื งหลม่ สกั
ดังนั้น พ่อขุนผาเมือง จึงมีฐานะเป็นราชบุตรแห่ง
ราชอาณาจกั ร ตอ่ มา ขอมสบาดโขลญล�ำพง ไดน้ �ำ อทุ ยานประวตั ศิ าสตรศ์ รเี ทพ อยทู่ อี่ �ำเภอ
ทพั ขอมเขา้ ยดึ เมอื งสโุ ขทยั พอ่ ขนุ ผาเมอื ง จงึ ไดเ้ สดจ็ ศรเี ทพ มพี นื้ ทคี่ รอบคลมุ โบราณสถานในเมอื งเกา่
ไปครองอยเู่ มอื งราด สนั นษิ ฐานวา่ อยใู่ นพนื้ ทเี่ มอื ง ศรเี ทพ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาด�ำรง
หลม่ สกั ในปจั จบุ นั ราชานภุ าพไปตรวจราชการมณฑลเพชรบรู ณเ์ เละ
ตอ่ มา พอ่ ขนุ ผาเมอื ง ไดร้ ว่ มมอื กบั พอ่ ขนุ พบเมอื งโบราณแหง่ นี้ และไดท้ รงเรยี กเมอื งเสยี ใหมว่ า่
บางกลางหาว ขบั ไลข่ อมทกี่ อ่ การจลาจลใหอ้ อกไป “เมอื งศรเี ทพ” หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรร์ ะบวุ า่
จากเมอื งสโุ ขทยั แตพ่ ระองคไ์ ม่ทรงข้นึ ครองราชย์ ทตี่ งั้ ของเมอื งศรเี ทพ หรอื ชอื่ เมอื งเดมิ คอื “เมอื งอภยั
เป็นกษัตริย์สุโขทัยต่อจากพระราชบิดา หากแต่ สาล”ี อยบู่ นเสน้ ทางการคมนาคมทางบกทส่ี �ำคญั
ทรงมอบราชสมบตั ิ พระนาม พระแสงขรรคไ์ ชยศรี สมัยขอมเรืองอ�ำนาจ จากการที่เป็นพ้ืนท่ีชุมทาง
เปน็ เครอ่ื งแสดงสทิ ธอิ �ำนาจใหพ้ อ่ ขนุ บางกลางหาว จึงเกิดการรับและแลกเปล่ียนวัฒนธรรมอย่าง
เหตเุ พราะมคี วามใกลช้ ดิ กบั ทางราชส�ำนกั เขมร และมี หลากหลาย เกดิ ความเจรญิ รงุ่ เรอื งอยา่ งมาก
พระชายาพระราชทานเปน็ พระราชธดิ าในกษตั รยิ ข์ อม เมอื งศรเี ทพ มเี นอ้ื ทป่ี ระมาณ ๒,๐๐๐ ไร่
นอกจากนี้ ยงั ไดม้ อบนอ้ งสาว คอื นางเสอื ง ใหเ้ ปน็ ลักษณะเป็นเมืองซ้อนเมืองขนาดใหญ่ มีก�ำแพง
พระมเหสขี องพอ่ ขนุ บางกลางหาว ซงึ่ ในเวลาตอ่ มา ท่ีก่อด้วยอิฐล้อมรอบ มีคูเมืองนอกก�ำแพง และ
74 แหล่งเรยี นรู้ทางประวตั ิศาสตรใ์ นทอ้ งถิ่น ๗๗ จงั หวัดทวั่ ไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื )
เพชรบรู ณ์
มีประตูเมืองส่ีทิศ ส่วนในมีประตูเข้าออก ๖ ทาง ศรสี นิ ทร มหาวชริ าลงกรณพระวชริ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั
มีสระน้�ำ หนองน�้ำกระจายอยู่โดยท่ัว โดยภายใน (รชั กาลที่ ๑๐) ครง้ั ด�ำรงพระอสิ รยิ ยศสมเดจ็ พระบรม
พบซากโบราณสถาน ผสมผสานศิลปะขอมและ โอรสาธริ าชฯ สยามมกฎุ ราชกมุ าร ทรงแสดงพระปรชี า
ศิลปะทวารวดี เเละในส่วนของนอกก�ำแพงเมือง สามารถทางด้านการทหาร ดว้ ยความกล้าหาญยงิ่
มสี ระนำ้� ขนาดใหญ่ จ�ำนวน ๒ สระ โบราณสถาน ทรงน�ำทพั บกุ ตะลยุ ฝา่ สมรภมู ริ บทด่ี เุ ดอื ด ดว้ ยพระสติ
และโบราณวตั ถชุ ว่ ยใหส้ นั นษิ ฐานวา่ เมอื งศรเี ทพสรา้ ง มนั่ คง จนฝา่ ยคอมมวิ นสิ ตต์ อ้ งยอมลา่ ถอยกลบั
ในยคุ ทข่ี อมเรอื งอ�ำนาจ มอี ายไุ มต่ ำ่� กวา่ ๑,๐๐๐ ปี เพอื่ เตอื นใจถงึ ความขดั แยง้ ระหวา่ งคนไทย
และเจรญิ สงู สดุ ราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๑ - ๑๖ ด้วยกันเอง และระถึงถึงวีรกรรมอันกล้าหาญและ
โบราณสถานทค่ี วรศกึ ษา เชน่ ปรางคศ์ รเี ทพ คณุ งามความดขี องผกู้ ลา้ ทหารหาญ ๑,๑๗๑ ชวี ติ
ปรางคส์ องพน่ี อ้ ง สระแกว้ สระขวญั โบราณสถาน ประชาชนได้ร่วมกันบริจาคเงินเพ่ือสร้างอนุสรณ์
เขาคลงั ใน เขาคลงั นอก ถำ�้ เขาถมอรตั น์ นอกจากนี้ สถานผเู้ สยี สละเขาคอ้ มจี ารกึ ไวก้ บั องคอ์ นสุ รณว์ า่
มี “ศูนย์บริการข้อมูล” ซ่ึงเป็นอาคารท่ีจัดแสดง “จงอยา่ ใหเ้ กดิ เหตกุ ารณเ์ ชน่ นอ้ี กี ” และในวนั ที่ ๒๐
นิทรรศการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และโบราณคดี กมุ ภาพนั ธ์ ของทกุ ปี ทางจงั หวดั เพชรบรู ณ์ ไดจ้ ดั งาน
ของเมอื งโบราณศรเี ทพ รวบรวมขอ้ มลู เรอ่ื งราว และ สมโภชอนสุ รณส์ ถานผเู้ สยี สละเขาคอ้
น�ำเสนอไดอ้ ยา่ งนา่ สนใจ
เฮียนเสายองหิน หรือ บ้านเสายองหิน
อนสุ รณส์ ถานผเู้ สยี สละเขาคอ้ ตงั้ อยทู่ บี่ า้ น เปน็ รปู แบบทางสถาปตั ยกรรมการสรา้ งทอ่ี ยอู่ าศยั
สมิ ารกั ษ์ อ�ำเภอเขาคอ้ ทซ่ี งึ่ ครง้ั หนงึ่ เคยเปน็ สมรภมู ิ ของ “ชาวไทหลม่ ” ซงึ่ ชาวไทหลม่ คอื กลมุ่ คนท่ี
การสรู้ บระหวา่ งกองทพั ไทย และพรรคคอมมวิ นสิ ต์ บรรพบรุ ษุ อพยพโยกยา้ ยมาจากเมอื งหลวงพระบาง
แหง่ ประเทศไทยทต่ี อ้ งการยดึ อ�ำนาจและเปลย่ี นแปลง (ลาวหลวงพระบาง) เวียงจันทน์ (ลาวเวียง) หรือ
การปกครอง จงึ เปน็ การสูร้ บระหวา่ งผทู้ มี่ ีแนวคดิ เชียงขวาง (ไทพวน) ได้ต้ังถิ่นฐานในพื้นที่อ�ำเภอ
ทางการเมอื งทแี่ ตกตา่ งกนั หลม่ เกา่ อ�ำเภอหลม่ สกั มสี �ำเนยี งการพดู ประเพณี
ในระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๕๑๐ - ๒๕๒๕ สมาชกิ วฒั นธรรม วถิ ชี วี ติ ทเ่ี ปน็ เอกลกั ษณ์
พรรคคอมมวิ นสิ ตแ์ หง่ ประเทศไทย ยดึ พนื้ ทบ่ี รเิ วณ เฮยี นเสายองหนิ พบในพนื้ ทบี่ า้ นศลิ า ต�ำบล
พนื้ ทรี่ อยตอ่ ๓ จงั หวดั (เพชรบรู ณ์ พษิ ณโุ ลก และเลย) ศลิ า บา้ นแกง่ โตน บา้ นนาซ�ำ บา้ นนาบง ต�ำบลนาซ�ำ
เพ่ือเป็นฐานท่ีม่ัน มีการเกล้ียกล่อมชาวบ้านใน บา้ นภผู กั ไซ่ ต�ำบลหนิ ฮาว พนื้ ทอ่ี �ำเภอหลม่ เกา่ ค�ำวา่
พื้นท่ีน้ันให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ “ยอง” หมายถงึ “บน” ค�ำวา่ “เฮยี น” หมายถงึ บา้ น
และรฐั บาลใชเ้ วลากวา่ ๑๔ ปเี ศษ จงึ ไดร้ บั ชยั ชนะ ดังน้นั เฮยี นเสายองหิน หมายถึง บา้ นไม้ ทมี่ เี สา
ซงึ่ ระหวา่ งเหตกุ ารณน์ น้ั เมอ่ื วนั ท่ี ๑๓ กมุ ภาพนั ธ์ ลอยอยเู่ หนอื พน้ื ดนิ ไมฝ่ งั ลงดนิ มแี ผน่ หนิ กอ้ นหนิ
พ.ศ. ๒๕๒๐ พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรรามาธบิ ดี รองรับ เป็นภูมิปัญญาในการสร้างท่ีอยู่อาศัยของ
แหลง่ เรยี นรทู้ างประวตั ิศาสตรใ์ นทอ้ งถ่นิ ๗๗ จังหวดั ทวั่ ไทย 75
(ภาคเหนือเเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื )
เพชรบรู ณ์
ชาว “ไทหลม่ ” ทง้ั น้ี มกี รรมวธิ ี ตงั้ แตก่ ารเตรยี มพน้ื ท่ี ขอ้ ดขี องการสรา้ งบา้ นลกั ษณะน้ี คอื เปน็
สรา้ งบา้ น ทจ่ี ะตอ้ งอดั พนื้ ดนิ ใหแ้ นน่ มกี ารก�ำหนด รูปแบบบ้านท่ีเหมาะกับสภาพภูมิประเทศและ
จดุ จะวางเสา การเลอื กหนิ เพอื่ น�ำมารองเสาทจี่ ะตอ้ ง ภูมิอากาศของพ้ืนที่ ท่ีเป็นเทือกเขาและมีฝนตก
มีผิวเรียบท้ังสองด้าน การสร้างตัวบ้านใช้เทคนิค สม�่ำเสมอ การตั้งเสาบนก้อนหิน เมื่อเกิดลมแรง
การตอกล่ิมท่ีท�ำจากไม้เน้ือแข็ง ไม่ใช้ตะปู คานที่ หรอื แผน่ ดนิ ไหวจะทนทานได้ เพราะมคี วามยดื หยนุ่ กวา่
สอดทะลุเสาทุกต้นต้องวางในจุดที่ก�ำหนดตอกยึด ดแู ลรกั ษาเสาเรอื นท�ำไดง้ า่ ยกวา่ การปลกู เสาทฝ่ี งั ลงดนิ
ใหแ้ นน่ หนา เพราะถอื เปน็ โครงสรา้ งหลกั ในการยดึ โยง อยา่ งไรกต็ าม การสรา้ งบา้ นลกั ษณะนี้ ไดร้ บั ความนยิ ม
ขน้ึ เปน็ เรอื น นอ้ ยลง เหลอื เพยี งบา้ นเกา่ ทไี่ ดร้ บั การอนรุ กั ษไ์ วเ้ ทา่ นน้ั
76 แหลง่ เรยี นรูท้ างประวตั ิศาสตรใ์ นท้องถิน่ ๗๗ จงั หวัดทว่ั ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื )
เเพร่
แพร่
แหล่งเรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตรใ์ นท้องถิ่น ๗๗ จงั หวดั ทัว่ ไทย 77
(ภาคเหนือเเละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื )
เเพร่
เเพร่
หมอ้ ห้อมไมส้ กั ถิ่นรกั พระลอ ๒๑๐๑ - ๒๓๑๐ อาณาจกั รลา้ นนาตอ้ งตกอยภู่ ายใต้
อ�ำนาจของพมา่ นครรฐั แพรก่ อ็ ยภู่ ายใตอ้ �ำนาจของพมา่
ช่อแฮศรีเมอื ง ลือเล่ืองแพะเมอื งผี ในฐานะประเทศราชเช่นกัน จนกระทั้ง สมเด็จ
คนแพร่นใี้ จงาม พระเจ้าตากสนิ มหาราชสามารถขับไล่พมา่ ออกจาก
ลา้ นนาไดส้ �ำเร็จ ในปี พ.ศ. ๒๓๑๓ ก็เป็นเมืองขึ้น
ของกรุงธนบุรี จนกระทั่งถึงสมัยพระบาทสมเด็จ
แพร่ เป็นจังหวัดในภาคเหนือที่รายล้อม พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลท่ี ๕) มีการ
ไปด้วยภูเขาทั้งส่ีทิศ มีแม่น้�ำยมเป็นสายน�้ำส�ำคัญ ปรบั เปลยี่ นบทบาทการปกครองของเจา้ ผคู้ รองนคร
เป็นพ้ืนท่ีที่มีทรัพยากรทางธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ คือ ใหเ้ จา้ หลวงผ้คู รองนครมีบาทบาทในการก�ำกบั
ส่งผลให้มีการอยู่อาศัยและอพยพของผู้คนเพ่ือมา ดูแลกิจการบ้านเมืองทุกประการ โดยมีข้าหลวง
ต้ังรกรากในพ้ืนท่ีนี้เสมอ มีการพบร่องรอยการ ท่ไี ดร้ บั การแต่งตั้งจากกรงุ เทพมหานครไปร่วมดูแล
อยู่อาศัยของมนุษย์ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ซงึ่ ในทางปฏบิ ตั ิ สยามกไ็ มเ่ คยเขา้ มาปกครองลา้ นนา
ในพ้ืนท่ีอ�ำเภอลองและอ�ำเภอวังช้ิน สันนิษฐานว่า โดยตรง และนครแพร่จึงมีอ�ำนาจในการปกครอง
มีอายุมากกว่า ๔,๐๐๐ ปี และยังพบร่องรอย ตนเอง จนกระท่ังปี พ.ศ. ๒๔๔๕ กลมุ่ ไทใหญ่ หรือ
การต้ังชุมชนโบราณท่ีมีคูน้�ำคันดิน และลักษณะ เง้ียว ได้ท�ำการก่อจลาจล เพื่อต่อต้านอ�ำนาจของ
การต้ังชุมชนของคนกลมุ่ น้อยกระจายอยู่ทุกอ�ำเภอ ขา้ หลวงสว่ นกลาง เกดิ ความไมส่ งบขน้ึ ในเมอื งนครแพร่
ในจังหวัด หลายแห่ง มีการพบซากเจดีย์โบราณ ข้าหลวงจากส่วนกล่างถูกกลุ่มกบฏฆ่าตาย และ
พระธาตุ ท่ีแสดงให้เห็นถึงการรับพระพุทธศาสนา เจ้าเมืององค์สุดทา้ ยองคน์ ้ัน ไดไ้ ปใชช้ ีวิตบน้ั ปลายท่ี
เขา้ มาในดินแดนแถบน้ี เมอื งหลวงพระบาง จงึ เปน็ การสนิ้ สดุ ของเจา้ ผคู้ รอง
นครรัฐแพร่ กอ่ ตง้ั ประมาณปี พ.ศ. ๑๓๗๑ นครแพร่ ต่อมามีการยกเป็นจังหวัด และปกครอง
พญาพลราช นัดดาแห่งกษัตริย์น่านเจ้า ได้อพยพ โดยผู้วา่ ราชการจงั หวัดจนถงึ ปัจจุบัน
ผู้คนมาสร้างเมืองบนที่ราบฝั่งแม่น�้ำยม ให้ช่ือว่า จากเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ท่ียาวนาน
“เมืองพลนคร” มีผู้ครองนครสืบต่อกันมาอีก มคี วามเกยี่ วขอ้ งสมั พนั ธก์ บั กลมุ่ ชนมากมายทเ่ี ขา้ มา
หลายสิบองค์ จนกระทั่งถึงสมัยพระเจ้าติโลกราช อยู่อาศัย ตัง้ รกราก ท�ำมาหากนิ ในพ้ืนทนี่ ้ี สง่ ผลให้
แหง่ ลา้ นนา ผเู้ รอื งอ�ำนาจ นครรฐั แพรถ่ กู ผนวกใหอ้ ยู่ แพร่ มีแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ในท้องถิ่น
ภายใต้อ�ำนาจของล้านนา ต่อมา ระหว่างปี พ.ศ. ท่นี ่าสนใจ เช่น
แหลง่ เรยี นรู้ทางประวตั ศิ าสตรใ์ นทอ้ งถน่ิ ๗๗ จงั หวดั ทั่วไทย 79
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื )
เเพร่
วัดจอมสวรรค์ ตั้งอยู่ในพ้ืนท่ีอ�ำเภอเมือง สนั นษิ ฐานวา่ สรา้ งขนึ้ ในสมยั กรงุ ธนบรุ ตี อ่ เนอื่ งสมยั
เป็นวัดท่ีเกิดจากแรงศรัทธาของชาวไทใหญ่ท่ีได้ กรุงรตั นโกสนิ ทร์ตอนต้น แม้จะไมป่ รากฏหลักฐาน
มาท�ำมาหากินและค้าขายในเมืองแพร่ ในรัชสมัย ทแี่ นช่ ดั แตจ่ ากหลกั ฐานทพ่ี บถอื วา่ อยใู่ นชว่ งรอยตอ่
ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ชาวล้านนาร่วมกบั สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
(รัชกาลท่ี ๕) ในสมัยที่การสัมปทานป่าไม้เฟื่องฟู ขบั ไล่พมา่ และเร่ิมมกี ารพลิกฟนื้ อารยธรรมลา้ นนา
บางส่วนได้เข้าไปท�ำงานในบริษัทอีสต์เอเซียติค ให้กลับมามีบทบาทในการพัฒนาบ้านเมืองและ
เป็นบรษิ ัทของชาวยโุ รป เมอื่ มฐี านะมงั่ คั่ง และดว้ ย การค้ำ� ชูพระพทุ ธศาสนา
ความศรัทธาในพระพุทธศาสนา พ่อเฒ่าค�ำอ่อง ในยคุ ตน้ รตั นโกสทิ นร์ วดั แหง่ นี้ เปน็ ศนู ยก์ ลาง
และ พ่อฮ่อยกันตี คหบดีชาวไทใหญ่จึงได้ร่วมกัน ในการท�ำกจิ กรรมทางพระพทุ ธศาสนาและเปน็ แหลง่
สร้างวดั นี้ เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๔๓๗ และไดร้ บั การบูรณะ ศกึ ษาเลา่ เรยี นทม่ี ชี อื่ เสยี งของลา้ นนา ครบู า บณั ฑติ
โดยกลุ่มคหบดีชาวไทใหญ่ในจังหวัดเร่ือยมา นักปราชญ์ ท้ังบรรพชิตและคฤหัสถ์ล้วนเคยมา
จุดเด่นของวัด คือ มีอารามท่ีเป็นท้ังโบสถ์ วิหาร ศึกษาเรียนรู้ท่ีวัดแห่งนี้ ซึ่ง พระผู้พัฒนาวัด คือ
และกฏุ ิ ลกั ษณะอาคารไมส้ กั ทง้ั หลงั เปน็ ศลิ ปะแบบ ครูบากญั จนอรญั ญวาสีมหาเถร หรือ ครูบามหาเถร
ไทใหญ่ เพดานมลี วดลายการฉลุไม้และการประดับ พระมหาเถระ ผู้ที่ได้รับการยกย่องจากชาวล้านนา
กระจกสี เสาไมล้ งรกั ปดิ ทอง ประดบั กระจกสวยงาม สมัยต้นรัตนโกสินทร์ และเป็นเจ้าอาวาสวัดสูงเม่น
ภายในประดิษฐานพระประธานปางคันธราฐศิลปะ ในขณะน้ัน ได้จาริกแสวงบุญไปยังที่ต่าง ๆ และ
ไทใหญ่ ไดเ้ กบ็ รวมรวม รกั ษา คมั ภรี ใ์ บลานไวท้ ว่ี ดั วดั สงู เมน่
นอกจากนี้ มีวตั ถุโบราณอ่นื ๆ ทน่ี า่ สนใจ จงึ เปน็ ตักศิลา แหลง่ รวบรวมคมั ภรี ธ์ รรมะตา่ ง ๆ
ได้แก่ คัมภีร์โบราณท�ำจากงาช้าง ปืนคาบศิลา เพอ่ื อนรุ กั ษค์ มั ภรี ใ์ บลาน ทางวดั มปี ระเพณี
ดอกไมห้ นิ หลวงพอ่ สาน เปน็ พระพทุ ธรปู ทสี่ รา้ งโดย ท่ีจัดสืบทอดกันมา คือ ประเพณี “ตากธรรม
ใช้ไม้ไผ่สานแล้วลงรัก ปิดทอง พระพุทธรูปงาช้าง ตานขา้ วใหม่ หงิ ไฟพระเจา้ ” จดั ขนึ้ ในเดอื นมกราคม
ศลิ ปะแบบพมา่ คมั ภรี ป์ าตโิ มกข์ เปน็ คมั ภรี ท์ ท่ี �ำจาก ซึ่ง ตากธรรม หมายถึง การน�ำคัมภีร์ธรรมใบลาน
งาช้าง โดยน�ำงาช้างมาบดแล้วอัดเป็นแผ่นบาง ๆ ที่เก็บรักษาไว้ในหอไตร ออกมาตากแดดเพื่อไล่
เขียนลงรักแดง จารกึ เปน็ อกั ษรพม่าบุษบกลวดลาย ความช้ืน การตานข้าวใหม่ หมายถึง การท�ำบุญ
วจิ ิตรงดงาม ประดิษฐานพระพทุ ธรูปหินออ่ น หลงั ฤดกู าลเก็บเกย่ี ว ดว้ ยขา้ วท่เี กบ็ เกีย่ วใหม่ และ
การหิงไฟพระเจา้ คือ ประเพณีการไม้ฟนื มาจุดเผา
วัดสูงเม่น ตั้งอยู่ในอ�ำเภอสูงเม่น ปรากฏ ผงิ ให้พระพุทธรปู คลายหนาว ด้วยสภาพภูมิอากาศ
บนั ทกึ ในคัมภีร์ธรรม ว่าชอื่ “วัดสงุ่ เมน้ แก้วกว้าง” อันหนาวเย็นมากของภาคเหนือ หากใครได้กระท�ำ
เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองแพร่มาหลายร้อยปี จะไดอ้ านิสงสแ์ รงกลา้
80 แหลง่ เรยี นรู้ทางประวัติศาสตรใ์ นท้องถน่ิ ๗๗ จงั หวัดทวั่ ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉียงเหนอื )
เเพร่
แหล่งโบราณคดีบ้านนาตอง ครอบคลุม รว่ มโดยขา้ หลวงทไ่ี ดร้ บั การแตง่ ตง้ั จากกรงุ เทพมหานคร
บริเวณถ้�ำรันตู ถ้�ำพระ ถ้�ำปู่ปันตาหมี และถ้�ำ ซึ่งใน พ.ศ.๒๔๔๐ พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้
ขนาดเล็กอื่น ๆ ในพ้ืนท่ีบ้านนาตอง อ�ำเภอเมือง เจ้าอย่หู วั (รัชกาลที่ ๕) โปรดเกลา้ ฯ แตง่ ตงั้ พระยา
เป็นพื้นที่ที่มาการค้นพบร่องรอยการอยู่อาศัยและ ไชยบูรณ์ เปน็ ขา้ หลวง
แหล่งฝังศพของมนุษย์ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ต่อมา ในปี พ.ศ.๒๔๔๕ พวกเงย้ี วกอ่ กบฏ
ก�ำหนดอายปุ ระมาณ ๕,๐๐๐ – ๖,๐๐๐ ปี โบราณวตั ถุ ตอ่ ตา้ นสยามโดยประเทศราชลา้ นนา ยดึ สถานตี �ำรวจ
ที่พบ ได้แก่ ขวานหินขัดประเภทบัคซอนเนียน ศาลากลางจังหวัด ปล้นเงนิ คลงั และปลอ่ ยนกั โทษ
โครงกระดกู มนษุ ยโ์ บราณ “นาตองแมน” เครอื่ งมอื ออกจากคกุ พระยาไชยบรู ณถ์ กู พวกเงยี้ วจบั ตวั และ
เคร่ืองใช้ท่ีท�ำจากหินกระเทาะ ถือเป็นการค้นพบ บังคับให้ยกเมืองให้ แต่พระยาไชยบูรณ์ไม่ยินยอม
ชุมชนโบราณยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่แรก จึงถูกจับประหารชีวิต เมื่อความทราบถึงพระนคร
ของแพร่ จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาสุรศักด์ิมนตรีน�ำทัพ
นอกจากน้ี ภายในหมู่บ้านยังมีการจัดต้ัง เขา้ ปราบเง้ยี วจนราบคาบ
พิพิธภัณฑ์บ้านนาตอง จัดแสดงชิ้นส่วนเครื่องมือ วีรกรรมของพระยาไชยบูรณ์ ควรได้รับ
ทที่ �ำจากหนิ และวตั ถโุ บราณทขี่ ดุ คน้ พบจากถำ้� บา้ นนา การยกยอ่ งและเอาเปน็ เยย่ี งอยา่ ง รบั ผดิ ชอบตอ่ หนา้ ท่ี
ตองหรือถ�้ำปู่ปันตาหยี และถ้�ำอ่ืน พิพิธภัณฑ์เป็น ยอมสละชีวิตของตนเพ่ือบ้านเมือง มีความรักชาติ
ความรว่ มมอื ระหวา่ งชมุ ชนและกรมศลิ ปากร ในการ กลา้ หาญสมกบั เปน็ ผนู้ �ำ ไมค่ ดิ หนเี อาตวั รอดแตเ่ พยี ง
ถา่ ยทอดเรอ่ื งราวประวตั ศิ าสตรท์ เ่ี กดิ ขน้ึ ในพนื้ ทหี่ มบู่ า้ น ผู้เดียว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ให้แกเ่ ด็กและเยาวชน รวมถงึ ผู้ที่สนใจได้มาศึกษา (รชั กาลท่ี ๕) ได้พระราชทานยศแก่พระยาไชยบรู ณ์
ขนึ้ เปน็ พระยาราชฤทธานนทพ์ หลภกั ดี และใหส้ รา้ ง
อนุสาวรีย์พระยาไชยบูรณ์ ตั้งอยู่ต�ำบล อนสุ าวรยี พ์ ระยาไชยบรู ณข์ ้ึนบรเิ วณทเ่ี สียชวี ิต
นาจกั ร อ�ำเภอเมอื ง วรี กรรมซงึ่ เปน็ ทม่ี าของการสรา้ ง
อนสุ าวรยี พ์ ระยาไชบรู ณ์ สมั พนั ธก์ บั ประวตั ศิ าสตรแ์ พร่ คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่ ตั้งอยู่ใจกลาง
ในสมยั รตั นโกสนิ ทร์ กลา่ วคอื แตเ่ ดมิ มานน้ั เวยี งโกสยั เมืองแพร่ เป็นที่พักของเจ้าหลวงพิริยะเทพวงศ์
หรือ เมืองแพร่ มีผู้ครองนครสืบต่อกันโดยตลอด เจา้ เมืองแพร่องคส์ ุดทา้ ย เรม่ิ สร้างในปี พ.ศ. ๒๔๓๕
จนกระท่งั ถงึ สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ ลักษณะเป็นอาคารสถาปัตยกรรมไทยผสมยุโรป
เจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบ ที่เรียกว่า “ทรงขนมปังขิง” ซึ่งได้รับความนิยม
การปกครอง โดย เจา้ พริ ยิ เทพวงศ์ เจา้ ผคู้ รองเมอื งแพร่ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
องค์ท่ี ๑๘ มีบทบาทเป็น เจ้าหลวง ก�ำกับเมือง เจ้าอยู่หัว (รัชกาลท่ี ๕) เป็นอาคารปูนสองช้ันที่มี
แหล่งเรียนร้ทู างประวัตศิ าสตรใ์ นท้องถิน่ ๗๗ จังหวัดทั่วไทย 81
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื )
เเพร่
มคี วามสงา่ งาม ประดบั ไมแ้ กะฉลสุ ลกั ลวดลายอยา่ ง ปัจจุบัน เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ให้
ประณีตสวยงาม มปี ระตหู น้าตา่ งท้งั หมด ๗๒ บาน ผู้สนใจเข้าชม โดยมีการจัดแสดงสิ่งของเคร่ืองใช้
เป็นไม้ฉลุลายอยู่ด้านบนปั้นลม และชายคาน�้ำ ของคุม้ เจา้ หลวง ห้องนอนบตุ ร - ธิดาของเจา้ หลวง
สิ่งที่แปลกตา คือ ท่ีใต้ถุนอาคารเป็นคุกท่ีใช้ เมอื งแพร่ และหอ้ งนอนแมบ่ วั ไหล ชายาของเจา้ หลวง
คุมขงั ทาส ท่ถี กู ใช้มายาวนานกว่า ๕๐ ปี เมอื งแพร่
82 แหล่งเรียนรทู้ างประวัติศาสตรใ์ นทอ้ งถ่ิน ๗๗ จงั หวดั ทั่วไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื )
เเมฮ่ อ่ งสอน
แมฮ่ อ่ งสอน
แหลง่ เรียนรู้ทางประวัตศิ าสตร์ในท้องถิ่น ๗๗ จังหวดั ทัว่ ไทย 83
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ)
เเม่ฮอ่ งสอน
แมฮ่ อ่ งสอน
หมอกสามฤดู กองมเู สยี ดฟ้า อดุ มสมบูรณ์ มีหมปู า่ มากินดินโปง่ จึงตง้ั ชือ่ หมูบ่ ้าน
และเลอื ก พะกาหมอ่ ง ใหเ้ ปน็ ผนู้ �ำ เมอื่ มาถงึ หมบู่ า้ น
ป่าเขียวขจี ผู้คนดี ประเพณีงาม อกี แหง่ พบวา่ มรี อ่ งนำ�้ เหมาะแกก่ ารฝกึ ชา้ งปา่ ตง้ั ชอ่ื
ลือนามถน่ิ บวั ตอง หมบู่ า้ นว่า “แมฮ่ อ่ งสอน” หมายถึง พื้นที่ทม่ี ีรอ่ งนำ้�
ใชส้ �ำหรับฝึกช้าง (ภาษาไทใหญ่ ค�ำวา่ ฮอ่ ง หมายถงึ
ร่องน�้ำ) แล้วให้ แสนโกม บตุ รเขยของพะกาหม่อง
แมฮ่ อ่ งสอน อยตู่ อนบน ปลายสดุ ดา้ นตะวนั ตก เป็นผู้น�ำ ซ่ึงต่อมาพะกาหม่องและแสนโกม ได้ท�ำ
ของภาคเหนอื ของไทย มีดนิ แดนติดกับสาธารณรฐั ไม้ขอนสักส่งไปขายที่เมืองมะละแหม่ง ได้เงินมา
แหง่ สหภาพเมยี นมาร์ แมม้ แี หลง่ ทรพั ยากรธรรมชาติ ก็เกบ็ แบ่งถวายพระเจ้ามโหตรประเทศทกุ ปี
ท่อี ุดมสมบูรณ์ คือ ทรัพยากรปา่ ไมแ้ ละแรธ่ าตจุ าก ต่อมา “ชานกะเล” ได้อพยพมาอยู่ที่บ้าน
ทวิ เขาถนนธงชยั และทรพั ยากรนำ้� จากแมน่ ำ้� สาละวนิ ปางหมูกบั พะกาหม่อง เม่ือขายไม้สกั กบั บรษิ ทั ฝรั่ง
แม่น�้ำเมย แม่น้�ำเงา แต่ด้วยพ้ืนท่ีโดยส่วนใหญ่ ในประเทศพม่า สง่ รายได้ไปถวายเจา้ เมอื งเชียงใหม่
เปน็ ภเู ขาสงู ทสี่ ลบั ซบั ซอ้ น จงึ มปี ระชากรเบาบางทสี่ ดุ ตลอดมา พระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนคร
ในประเทศ แม่ฮ่องสอนในอดีต เคยเป็นถ่ินท่ีอยู่ เชียงใหม่ ได้ยกบ้านแม่ฮ่องสอนขึ้นเป็นเมือง
ของมนุษยม์ าต้งั แต่ยุคกอ่ นประวตั ศิ าสตร์ หลกั ฐาน แมฮ่ ่องสอน และ ได้ตงั้ ใหช้ านกะเลข้นึ เปน็ เจ้าเมือง
ท่ีพบในถ�้ำ แถบอ�ำเภอปางมะผ้า เช่น เมล็ดพืช แม่ฮ่องสอน มีบรรดาศักด์ิเป็นพญาสิงหนาทราชา
โครงกระดกู มนษุ ยโ์ บราณในโลงผแี มน ลกู ปดั ท�ำให้ เจ้าเมืองแม่ฮ่องสอนเป็น คนแรก ต่อมาจึงเปล่ียน
เข้าใจได้ว่าสถานท่ีน้ีเป็นแหล่งวัฒนธรรมที่เก่าแก่ เป็น จังหวัดแม่ฮ่องสอน ขึ้นกับมณฑลพายัพ โดย
ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สมัยก่อน มีพระศรสุรราช (เปล้ือง) เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด
กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ พน้ื ท่ีแมฮ่ ่องสอนเป็นเพียงชมุ ชน แม่ฮอ่ งสอนคนแรก
บา้ นปา่ มชี มุ ชนชาตพิ นั ธต์ุ า่ ง ๆ อาศยั อยอู่ ยา่ งบางเบา จากประวตั คิ วามเปน็ มาของการสรา้ งเมอื ง
กระจายอยู่ทั่วพื้นท่ี กระท่ัง สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ การอพยพโยกย้ายเพื่อตั้งถ่ินฐานที่อยู่ของผู้คน
ประมาณปี พ.ศ. ๒๓๗๔ พระเจ้ามโหตรประเทศ บนดินแดนที่สภาพภูมิประเทศเต็มไปด้วยภูเขาสูง
ผคู้ รองเมอื งเชยี งใหมอ่ งคท์ ่ี ๕ ไดใ้ ห้ เจา้ แกว้ เมอื งมา สลับซับซ้อนส่งผลให้ แม่ฮ่องสอน มีแหล่งเรียนรู้
เป็นแม่กองหน้าหาช้างป่า เพ่ือน�ำมาใช้งานที่นคร ทางประวัตศิ าสตร์ในท้องถ่ินท่นี า่ สนใจ ดงั นี้
เชียงใหม่ เจา้ แกว้ เมืองมา พบหม่บู ้านเลก็ ที่มคี วาม
แหล่งเรยี นรู้ทางประวัตศิ าสตรใ์ นทอ้ งถ่นิ ๗๗ จังหวดั ทวั่ ไทย 85
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
เเม่ฮอ่ งสอน
แหลง่ โบราณคดเี พงิ ผาถำ้� ลอด อยใู่ นพนื้ ที่ มาท�ำศาลาครอบไว้ ต่อมา ราวปี พ.ศ. ๒๕๑๗
ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่าถ�้ำน้�ำลอด อ�ำเภอ - ๒๕๑๘ ไดม้ กี ารบูรณะ ดว้ ยการน�ำปูนมาพอกทับ
ปางมะผา้ จากการส�ำรวจโบราณคดี พบวา่ ทต่ี งั้ ของ รอยพระบาทเดิมจนมิด จนกระท่ังเกิดเหตุการณ์
เพิงผาถ้�ำลอดมคี วามเหมาะสมส�ำหรับการอย่อู าศยั ไฟไหม้ศาลาและรอยพระพุทธบาท ปูนที่พอทับไว้
ของมนุษย์ในอดีต เพราะเพดานถ�้ำค่อนข้างจะสูง กะเทาะออก จึงเห็นรอยพระพุทธบาทบนเน้ือหิน
เพงิ ผาปอ้ งกนั แดดฝนไดด้ ี ใกลก้ บั แหลง่ นำ�้ ธรรมชาติ ชัดเจน ชาวบ้านจึงได้ร่วมกันสร้างศาลาครอบ
คอื ล�ำนำ้� ลาง ซงึ่ ไหลลอดภเู ขาไปทะลอุ อกอกี ดา้ นหนง่ึ รอยพระพุทธบาทข้ึนใหม่ เพ่ือรักษาไว้ให้เป็น
ภายในถ�้ำ พบหลักฐานที่แสดงว่ามีมนุษย์อาศัยอยู่ ปูชนยี สถานสืบไป ทั้งน้ี มีเรื่องเล่าต�ำนานเกีย่ วขอ้ ง
หลายยุคหลายสมัย ได้แก่ พบหลักฐานของผู้คน กับรอยพระพุทธบาทน้ีว่า เม่ือครั้งที่พระสัมมา
ยุค ๓๐,๐๐๐ - ๑๐,๐๐๐ ปีล่วงมาแลว้ เป็นการต้งั สัมพุทธเจ้าเสด็จมาสุวรรณภูมิ มาที่บ้านเมืองแปง
ถิ่นฐานของสังคมท่ีเก็บของป่า ล่าสัตว์ หลักฐาน ซึ่งในสมัยนั้นชื่อว่า เมืองทาผาน้อย ได้เสด็จพัก
ทพี่ บ เชน่ เครอ่ื งมอื หนิ กะเทาะ เมลด็ พชื กระดกู สตั ว์ เหนือก้อนหนิ ก้อนหนึง่ มรี อยประทบั อยู่จนทกุ วนั นี้
เครื่องมอื หิน โครงกระดกู มนษุ ย์ รวมถงึ โลงผีแมน โดยชาวบ้านเรียกท่ีนี่ว่า ห้วยพระนอน พอรุ่งข้ึน
เป็นตน้ และพบหลกั ฐานของผู้คน ยคุ ๑๐,๐๐๐ ปี ก่อนเสด็จกลับ ได้ทรงประทับรอยพระบาทไว้ที่
ล่วงมาแลว้ เช่น เคร่อื งมอื หินกะเทาะ กระดูกสตั ว์ เหนอื กอ้ นหนิ อกี กอ้ นหนงึ่ เกดิ เปน็ รอยพระพทุ ธบาท
เศษภาชนะดินเผา เมืองแปงแหง่ นี้
การพบ โลงผแี มน ซงึ่ มลี กั ษณะเปน็ ทอ่ นไม้
ขดุ ตรงสว่ นกลางออกเปน็ รอ่ งคลา้ ยเรอื มหี ลายขนาด วดั จองคำ� อยขู่ า้ งหนองจองค�ำ อ�ำเภอเมอื ง
โดยโลงขนาดใหญ่จะถูกวางอยู่บนคานโดยใช้เสา เปน็ วดั แรกของแมฮ่ อ่ งสอน สรา้ งเมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๔๓๐
๔ - ๖ ตน้ ต้งั กบั พื้นถ�้ำ และเสาแต่ละคจู่ ะถูกเจาะ สถาปตั ยกรรมของอาราม โบสถ์ วหิ าร เจดยี ์ ภายใน
เป็นช่องเพือ่ สอดใส่คานไวว้ างพาดโลงผแี มน ท�ำให้ วัดเป็นศิลปะแบบไทใหญ่ เรียกช่ือ “วัดจองค�ำ”
เข้าใจความเช่ือ วิถีชีวิตของมนุษย์ยุคสมัยก่อน ตามลักษณะของเสาวัดท่ีประดับด้วยทองค�ำเปลว
ประวัตศิ าสตรช์ ดั เจนข้ึน จนเหลืองอร่าม เอกลักษณ์วัดศิลปะไทใหญ่ คือ
หลงั คาทรงปราสาท ๙ ชน้ั เชอ่ื วา่ เปน็ สถานทศี่ กั ดส์ิ ทิ ธ์ิ
รอยพระพทุ ธบาทเมอื งแปง ต้ังอยภู่ ายใน สร้างส�ำหรับพระมหากษัตริย์ เพ่ือเป็นศานสถาน
วัดเมืองแปง หรือ วัดศรีดอนชัย อ�ำเภอปาย เท่านั้น ส่ิงทน่ี ่าสนในภายในวัด เช่น เจดยี ์วดั จองค�ำ
รอยพระพทุ ธบาทนี้ กวา้ ง ๖๗ เซนตเิ มตร ยาว ๑๐๗ หรอื ทชี่ าวไทใหญเ่ รยี ก กองมู เปน็ เจดยี ท์ รงจฬุ ามณี
เซนติเมตร มีเรื่องเล่าท่ีไม่มีการอ้างอิงเวลาแน่ชัด ฐานส่ีเหล่ยี มมมี ขุ ๔ ดา้ น พรอ้ มสงิ ห์ด้านละหนง่ึ ตัว
ว่า นายพรานบุญ ได้ค้นพบรอยพระพุทธบาทน้ี สร้างเมอื่ ปี พ.ศ. ๒๔๕๖ โดยคหบดชี าวแม่ฮอ่ งสอน
โดยบงั เอิญ ขณะล่าสตั ว์ จงึ ได้กลบั ไปบอกชาวบ้าน ภายในบรรจพุ ระบรมสารรี กิ ธาตุ ในสว่ นของอโุ บสถ
86 แหล่งเรยี นรูท้ างประวตั ศิ าสตร์ในทอ้ งถนิ่ ๗๗ จงั หวัดทัว่ ไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉียงเหนอื )
เเมฮ่ ่องสอน
เป็นอาคารรปู ทรงมณฑป รปู สเ่ี หลีย่ มผืนผา้ หลังคา กก๊ มนิ ตง๋ั กลมุ่ หนงึ่ ตอ้ งอพยพหนภี ยั การเปลยี่ นแปลง
ทรงพระเจดยี ์ ๕ ยอด ภายในเขียนภาพพทุ ธประวตั ิ การปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ กลุ่มทหาร
นอกจากนี้ มีวิหารหลวงพ่อโต เป็นท่ีประดิษฐาน อพยพกลุ่มน้ีได้น�ำก�ำลังมาหลบภัยทางการเมือง
ของหลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุด บรเิ วณแนวชายแดนไทย ได้เลือกตั้งรกรากทต่ี �ำบล
ของแม่ฮ่องสอน ช่างไทใหญ่ได้จ�ำลองแบบมาจาก หมอกจ�ำแป่นี้ ดว้ ยพบว่าพืน้ ทใี่ นขณะนนั้ สว่ นใหญ่
พระศรศี ากยมุนี (หลวงพอ่ โต) แห่งวิหาร วัดสทุ ศั น เป็นป่าหญ้าคาสลับป่าเบญจพรรณ ปกคลุมยอด
เทพวรารามราชวรมหาวิหาร กรงุ เทพมหานคร เขาสงู อยู่ท่วั ไป ไม่มีคนอาศยั อยมู่ ากนัก จึงได้สรา้ ง
ชมุ ชนและเจริญสืบมาเปน็ ล�ำดบั
บา้ นรักไทย ต�ำบลหมอกจ�ำแป่ อ�ำเภอเมอื ง ความนา่ สนใจของชุมชนนี้ คือ เป็นชุมชน
เป็นหมู่บ้านที่อยู่บริเวณชายแดนไทย - เมียนมาร์ ทสี่ ามารถรกั ษาอตั ลกั ษณแ์ ละเอกลกั ษณข์ องชมุ ชน
เมอ่ื ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๙๒ พรรคคอมมวิ นสิ ต์จนี ชาวจนี ฮอ่ หรอื จนี ยนู นาน ไดอ้ ยา่ งเหนยี วแนน่ เชน่
เข้าควบคุมประเทศจีนได้ ท�ำให้พรรคก๊กมินต๋ัง อตั ลักษณด์ า้ นเครื่องแต่งกาย ภาษา สถาปัตยกรรม
ซึ่งมีประธานาธิบดีเจียงไคเช็คเป็นหัวหน้าพรรค บา้ นเรอื นทสี่ รา้ งดว้ ยดนิ เหนยี วผสมขา้ วฟาง รวมถงึ
ต้องลภ้ี ยั ไปอยเู่ กาะไต้หวัน และ ทหารจนี คณะชาติ อาหารขาหมูหม่ันโถว ฯลฯ
แหลง่ เรยี นรู้ทางประวัตศิ าสตรใ์ นทอ้ งถ่ิน ๗๗ จังหวัดท่ัวไทย 87
(ภาคเหนือเเละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื )
ลำ�ปาง
ลำ�ปาง
แหล่งเรยี นรทู้ างประวัติศาสตร์ในท้องถิ่น ๗๗ จงั หวัดท่ัวไทย 89
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
ลำ�ปาง
ล�ำปาง
ถ่านหนิ ลอื ชา รถมา้ ลือลนั่ เมอื งประเทศราชของพมา่ และเมืองเชยี งใหม่ ตอ่ มา
เครอื่ งปัน้ ลอื นาม งามพระธาตลุ อื ไกล เจ้าทิพย์ช้าง สามารถขับไล่กองทัพพม่าได้ส�ำเร็จ
ได้รับการสถาปนาเปน็ “พระยาสวุ ลอื ไชยสงคราม”
ฝึกชา้ งใช้ลือโลก ปกครองนครล�ำปาง ในปี พ.ศ. ๒๒๗๙ ล�ำปาง
ลำ� ปาง ตง้ั อยใู่ นแอง่ ทรี่ าบ ทรี่ ายลอ้ มไปดว้ ย ได้ประกาศเป็นจังหวัด ในสมัยพระบาทสมเด็จ
ภเู ขา ใจกลางของภาคเหนอื ของไทย มลี กั ษณะคลา้ ย พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลท่ี ๕) น้ีเอง
แอ่งกะทะ มีภูเขารายล้อมทุกด้าน จึงมีทรัพยากร ที่ล�ำปาง มีความส�ำคัญเป็นเมืองศูนย์กลางการค้า
ปา่ ไมท้ ่อี ดุ มสมบรู ณ์ มแี มน่ ำ�้ สายหลัก คือ แมน่ �ำ้ วงั ทางนำ�้ เชอื่ มตอ่ สจู่ งั หวดั ตา่ ง ๆ ในภาคเหนอื ตอนบน
มเี กาะกลางแม่นำ้� ส่งผลล�ำปางเป็นเมอื งศนู ย์กลาง และในสมัยนั้น ไม้สักเป็นสินค้าออกส�ำคัญ จึงเกิด
การคมนาคม ขนสง่ และการคา้ ปรากฏรอ่ งรอยภาพ การท�ำสัมปทานป่าไม้ ล�ำปางมีฐานะเป็นเมืองท่า
เขียนสีจ�ำนวนมาก และโครงกระดูกมนุษย์โบราณ ล่องซุง ไม้สกั ท่ีส�ำคญั ของบริษัทรบั สมั ปทานไม้
ทแี่ สดงใหเ้ หน็ ถงึ การอยอู่ าศยั ของผคู้ นบนดนิ แดนน้ี จากประวตั คิ วามเปน็ มาอนั ยาวนาน การอพยพ
มาตง้ั แตส่ มยั ยคุ กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ หลกั ฐาน ต�ำนาน โยกยา้ ยของผคู้ นเพอ่ื ตง้ั ถนิ่ ฐานบา้ นเรอื นทห่ี ลากหลาย
พงศาวดารหลายฉบบั กลา่ วถงึ ต�ำนานการสรา้ งเมอื ง บนดินแดนนี้ ส่งผลให้ ล�ำปาง มีแหล่งเรียนรู้ทาง
ล�ำปาง และมีการเรียกช่ือเมืองที่หลากหลาย เช่น ประวัติศาสตร์ทนี่ ่าสนใจ เช่น
กุกกุฏนคร ลัมภกับปะนคร ศรีนครชัย นครเวียง วดั พระธาตลุ ำ� ปางหลวง อยบู่ า้ นล�ำปางหลวง
คอกวัว เวยี งดิน เขลางค์นคร นครล�ำปางค�ำเขลางค์ อ�ำเภอเกาะคา เป็นวัดเก่าแก่ คู่บ้านคู่เมืองล�ำปาง
อาลมั ภางค์ เมอื งลคร และนครล�ำปาง ความเกา่ แก่ มาต้ังแต่โบราณกาล ตัววัดตั้งอยู่บนเนิน มีบันได
ของล�ำปาง ถกู กลา่ วไวใ้ นพงศาวดารโยนกวา่ เมอ่ื พ.ศ. นาคทอดขึ้นสู่ตัววัด ถือเป็นวัดไม้ท่ีสมบูรณ์ท่ีสุด
๑๒๒๓ สุพรหมฤาษี สร้างเมืองเพื่อให้เจา้ อนนั ตยศ แหง่ หนง่ึ ของไทย ตามต�ำนาน ระบวุ า่ พระนางจามเทวี
โอรสพระนางจามเทวี ครองคู่กับ เมืองหริภุญชัย เคยเสด็จมานมัสการและท�ำการบูรณะซ่อมแซม
(ล�ำพนู ) ให้ช่อื เมอื งวา่ “นครเขลางค”์ ต่อมาเปล่ียน องค์พระธาตุอยู่เสมอ ภายในวัดมีโบราณสถานที่
เป็น “นครอัมภางค์” และเปลี่ยนชื่อเป็น “นคร ส�ำคัญ เช่น พระธาตุล�ำปาง เป็นเจดีย์ขนาดใหญ่
ล�ำปาง” ในภายหลัง ในสมัยธนบุรี ดินแดนน้ีเป็น หุ้มด้วยแผ่นทองเหลือง ฐานส่ีเหลีย่ มยอ่ มมุ ด้วยบัว
มาลยั สามชน้ั ฉลลุ ายทองจงั โก เปน็ ทบี่ รรจพุ ระบรม
แหลง่ เรียนรทู้ างประวัตศิ าสตรใ์ นท้องถิน่ ๗๗ จงั หวดั ท่วั ไทย 91
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื )
ลำ�ปาง
สารรี กิ ธาตุ พระเกศา พระอฐั ธิ าตุ พระนลาฏขา้ งขวา ปงสนกุ ” ท่ีอยู่เชยี งแสนมาต้งั ถ่นิ ฐานที่เมืองล�ำปาง
ของพระพุทธเจ้า กุฏิพระแก้ว เป็นที่ประดิษฐาน โดยเลอื กท�ำเลอย่ใู กล้วดั แห่งนี้ ไดน้ �ำชือ่ หมู่บา้ นเดิม
“พระแกว้ ดอนเตา้ ” หรอื พระแกว้ มรกต พระพทุ ธรปู มาเรยี กขานชมุ ชนแหง่ ใหม่ จงึ เรยี กชอื่ วดั และชมุ ชน
คู่บ้านค่เู มอื งของล�ำปาง เป็นพระพทุ ธรปู ปางสมาธิ วา่ ปงสนกุ นับแต่น้นั มา
ศิลปะล้านนา สลักด้วยหยกสีเขียว ประมาณอายุ ในวัด สถานทคี่ วรศกึ ษา เช่น เสาหลกั เมอื ง
ไม่ต่ำ� กวา่ ๔๐๐ ปี วิหารหลวง เป็นวหิ ารประธาน เสาแรกของเขลางค์นคร วิหารพระเจ้าพันองค์ ซ่ึง
ของวัด ภายในมีซุ้มปราสาททองเป็นที่ประดิษฐาน เปน็ วิหารโถงทรงจตั รุ มุขท่ีมอี ายุกวา่ ๑๒๐ ปี วหิ าร
พระเจา้ ลา้ นทอง วหิ ารพระพทุ ธ ภายในประดษิ ฐาน พระเจา้ พันองค์ มพี ระพุทธรูปไมเ้ กา่ แก่จ�ำนวนมาก
พระพุทธรูปปูนปั้นปิดทอง ปางมารวิชัยองค์ใหญ่ ภาพพระบฎ เขยี นเรื่องพระเวสสันดรบนผืนผ้าและ
ศิลปะแบบสุโขทัย บันไดทางขึ้นด้านหนา้ ออกแบบ กระดาษสา พพิ ธิ ภณั ฑห์ บี ธรรมรตั นานรุ กั ษอ์ นสุ รณ์
รูปมังกรคายพญานาคทั้งสองข้างบันได เชิงบันได ซง่ึ จดั แสดงหบี ธรรมโบราณ หรอื หบี ทใี่ ชส้ �ำหรบั เกบ็
มรี ปู สงิ หป์ นู ปน้ั ขนาดใหญส่ องตวั สรา้ งในสมยั พระเจา้ คมั ภรี ์พระไตรปฏิ ก
ดวงทพิ ย์ เจา้ ผคู้ รองนครล�ำปาง เมอื่ ประมาณ ปี พ.ศ.
๒๓๓๑ ประตูโขง ท�ำเป็นซ้มุ ยอดแหลม เป็นชนั้ ๆ วดั เวยี ง อยทู่ อี่ �ำเภอเถนิ ในพน้ื ทอี่ �ำเภอเถนิ
มสี ที่ ิศ ตกแต่งดว้ ยลวดลาย ปนู ปัน้ รูปดอกไม้ และ มรี อ่ งรอยของเมอื งโบราณ คอื มคี นู ำ้� คนั ดนิ ลอ้ มรอบ
สัตวห์ ิมพานต์ พ้ืนท่ี เรียกช่ือเมืองว่า “เวียงเถิน” มี “วัดเวียง”
เปน็ จดุ ศนู ยก์ ลาง ปจั จบุ นั คคู นั ดนิ ดงั กลา่ วเลอื นหาย
วัดปงสนุก หรือ วัดปงสนุกเหนือ ต้ังอยู่ ไปหมด อันเน่ืองมาจากน�้ำเซาะและการขยายตัว
ในเขตอ�ำเภอเมอื ง เป็นวดั ส�ำคัญคู่กบั จังหวัดล�ำปาง ของชมุ ชน มพี งศาวดารเมอื งเถนิ ระบวุ า่ พระมหาเถร
มาชา้ นาน สนั นิษฐานวา่ สร้างในสมัยท่เี จ้าอนันตยศ สงั ฆทิตย์ สรา้ งวัดนี้ข้ึน เมอื่ พ.ศ. ๒๑๙๒ ภายในวัด
ราชบุตรของพระนางจามเทวี แห่งเมืองหริภุญชัย มีพระธาตุ ที่ตามต�ำนานเล่าว่า บรรจุพระบรม
ผู้เสด็จมาสรา้ งเมอื งเขลางคน์ คร (ล�ำปาง) เมือ่ พ.ศ. สารีริกธาตุ (พระนขา - เลบ็ มือ) ของพระพุทธเจ้าไว้
๑๒๒๓ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ก่อนหน้า วัดนี้ถูกทิ้งร้าง แต่ในสมัยที่พม่าสามารถปกครอง
พ.ศ. ๒๓๕๒ เรยี กวัดแห่งนดี้ ้วยช่ือที่แตกต่างกนั ไป ดนิ แดนลา้ นนา มกี ารท�ำนบุ �ำรงุ วดั ดว้ ยทราบวา่ เปน็
เช่น วัดศรีจอมไคล วัดเชียงภูมิ วัดดอนแก้ว และ ทป่ี ระดษิ ฐานพระบรมสารรี กิ ธาตุ จนกระทงั่ ถงึ สมยั
วดั พะยาว (พะเยา) ส�ำหรับชือ่ ปงสนุกเปน็ ชอ่ื ล่าสดุ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลท่ี ๔)
ทพี่ บหลักฐาน ชือ่ “ปงสนกุ ” มาจากการท่ีเม่อื คร้ัง โปรดให้บูรณะซ่อมแซม วัดวาอารามทั่วประเทศ
พญากาวลิ ะ แหง่ เชยี งใหม่ ยกทพั โจมตเี มอื งเชยี งแสน ปู่หลวงแสนค�ำ ได้มาบรู ณะซอ่ มแซมและได้ย้ายมา
ซ่งึ เป็นทต่ี งั้ ของพม่าส�ำเรจ็ ได้กวาดต้อน “ชาวบา้ น ประจ�ำที่วัดเวยี ง ภายในวดั มสี ถาปัตยกรรมลา้ นนา
92 แหล่งเรียนรู้ทางประวัตศิ าสตร์ในท้องถิ่น ๗๗ จงั หวัดทั่วไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ)
ลำ�ปาง
ท่ีควรศึกษา เช่น เจดีย์และพระพุทธรูป ศิลปะ อนุสาวรีย์และศาลเจ้าพ่อขุนตาน ต้ังอยู่
สมยั เชียงแสน ซ้มุ ประตูโขง ที่ไดอ้ ทิ ธิพลรปู มาจาก บรวิ ณด้านหนา้ อุโมงคร์ ถไฟขุนตาน อ�ำเภอห้างฉัตร
ประตูโขงของวัดพระธาตุล�ำปางหลวง วิหารเก่าแก่ เจา้ พอ่ ขนุ ตาน หรอื พญาเบกิ เปน็ ราชบตุ ร ของพญา
ที่มีซุ้มพระพุทธรูป หรือ มฑฑป ที่คล้ายประตูโขง ยีบา กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งอาณาจักรหริภุญชัย
มีเสาวหิ ารหลักแปดตน้ ขนาดของเสน้ ผา่ ศูนย์กลาง คร้ังที่ พญายีบาครองเมืองนครหริภุญชัย ได้ให้
ประมาณหน่ึงคนโอบ มีการเขียนลายลักษณ์สีทอง พญาเบกิ ราชบตุ ร ไปครองเมอื งเขลางคน์ คร (ล�ำปาง)
บนพ้นื แดง เป็นรูปกินรแี ละรูปสงิ หล์ วดลายไทย จนกระทงั่ ปี พ.ศ. ๑๘๒๔ พญามงั ราย กษตั ริย์แหง่
ล้านนา ได้ยกไพร่พลมาตีเมืองหริภุญชัยแตก และ
ศาลเจ้าพ่อพญาวัง อยู่ที่อ�ำเภอวังเหนือ ยึดเมืองได้ พญายีบา จึงเสด็จหนีไปพ่ึง พญาเบิก
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ระบุว่า เจ้าพ่อ ทเี่ มอื งเขลางคน์ คร ในเวลาตอ่ มา พญาเบกิ ไดส้ ะสม
พญาวัง เป็นเจ้าเมืองวัง (เมืองโบราณพ้ืนที่อ�ำเภอ ไพร่พลเพื่อยึดเมืองหริภุญชัยคืนให้พระราชบิดา
วงั เหนอื ) ระหวา่ งปี พ.ศ. ๑,๗๐๐ - ๑,๘๐๐ เปน็ สร้างเมืองใหม่เพื่อเตรียมต้านศึก เรียกเมืองนั้นว่า
พระญาติของพระเจ้าไชยสิริ แห่งเมืองไชยปราการ เวียงตา้ น (ต�ำบลเวียงตาล อ�ำเภอหา้ งฉัตร ปจั จบุ นั )
ไชยปราการถูกเจ้าเสือข่านฟ้า แห่งอาณาจักร แตส่ ดุ ทา้ ย พญาเบิกกม็ ิอาจสู้รบกับทพั พญามงั ราย
เมืองมาวหลวงยึด พญาวังพาไพร่พลหนีการไล่ล่า ถูกปลงพระชนม์ในที่สุด เพื่อระลึกถึงวีรกรรมและ
มาต้ังถิ่นฐานท่ีเมืองวังแห่งน้ี และสถาปนาตนเอง คุณธรรมที่น่าเคารพนับถือ จึงได้มีการสร้างศาล
ขน้ึ เป็น พญาวงั โดยมคี วามรุง่ เรอื งจากการคา้ ขาย เจา้ พ่อขนุ ตาล (พญาเบกิ ) ที่หม่บู ้านห้างฉตั รเหนือ
และผลิตสินค้า จ�ำพวก ถ้วยชามเครื่องปั้นดินเผา อ�ำเภอห้างฉตั ร จังหวดั ล�ำปาง และสร้างอนสุ าวรยี ์
ผางประทีป ท่ีมาจากเตาเผาสันก�ำแพง เชียงใหม่ หนิ อ่อน ประดิษฐานเหนืออุโมงคร์ ถไฟขนุ ตาน
เตาเผาพาน เชียงราย หรือ เตาเผา วังเหนือและ
เวียงกาหลง ต่อมา มีกองโจรขนาดใหญ่รวมตัวกัน อาคารหม่องโง่ยซ่ิน ต้ังอยู่ที่กาดกองต้า
ออกปล้นสะดมชาวบ้านในพื้นท่ีเมืองวัง พญาวัง ยา่ นตลาดเกา่ ทีข่ นานกบั ล�ำน้�ำวัง พืน้ ที่อ�ำเภอเมอื ง
ได้น�ำไพร่พลออกต่อสู้กับกองโจรเต็มก�ำลังความ ได้รับการยกย่องว่าเป็นอาคารขนมปังขิงริมถนน
สามารถ ไม่อาจต้านทานกองโจร เพราะกองโจร ท่ีงดงามท่ีสุดในประเทศไทย สร้างขึ้นราว ปี พ.ศ.
มีก�ำลังมากกว่า พญาวังถูกล้อมจับตัวได้หัวหน้า ๒๔๕๑ โดย หมอ่ งโงย่ ซนิ่ เป็นบตุ รชายของ หมอ่ ง
กองโจรส่ังให้ประหารชีวติ ส่วยอัตถ์ คหบดีบริษัทท�ำไม้ในล�ำปาง ในยุคอดีต
เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งคุณความดีที่พญาวัง ท่ีล�ำปางเป็นศูนย์กลางการค้าทางน้�ำที่รุ่งเรือง
ได้ท�ำต่อประชาชน ชาววังเหนือจึงไดร้ ่วมกันตง้ั ศาล แม่น้�ำวังเป็นเส้นแม่น้�ำส�ำคัญของประวัติศาสตร์
เจ้าพ่อพญาวังและจัดท�ำรูปหล่อพญาวงั ขนึ้ เป็นท่าซุงไม้สักของต่างชาติท่ีได้รับสัมปทาน
ท�ำกิจการป่าไม้ ท�ำรายได้มากมาย เปน็ แหล่งสะสม
ทนุ หลักของพ่อค้าในล�ำปาง
แหลง่ เรียนรทู้ างประวัติศาสตร์ในท้องถ่ิน ๗๗ จังหวัดทั่วไทย 93
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื )
ลำ�ปาง
ลักษณะอาคารหม่องโง่ยซ่ิน เป็นเรือน เช่น ลายพรรณพฤกษา ลายก้านขด ลายประดษิ ฐ์
ขนมปงั ขงิ หลงั คาทรงมะนลิ า สงู สองชนั้ ครงึ่ ลกั ษณะ ฝ้าเพดานบุด้วยแผ่นดีบุกดุนลาย ลักษณะเหมือน
คร่ึงปูนคร่ึงไม้ มีการประดับด้วยลายไม้ฉลุท่ัวไป วัดในพมา่
94 แหลง่ เรียนรู้ทางประวัติศาสตรใ์ นท้องถ่นิ ๗๗ จงั หวดั ท่วั ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื )
ลำ�พูน
ลำ�พูน
แหลง่ เรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตร์ในท้องถิ่น ๗๗ จงั หวดั ท่ัวไทย 95
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
ลำ�พูน
ล�ำพนู
พระธาตเุ ด่น พระรอดขลัง ปรากฏในหนังสือหมานซูของจีนยุคราชวงศ์ถัง
ล�ำไยดัง กระเทียมดี ประเพณีงาม เม่ือกลา่ วถึงนครหริภญุ ชยั วา่ เปน็ “อาณาจักรของ
สมเดจ็ พระราชินีนาถ” จนกระทัง่ ถึงสมยั พญายบี า
จามเทวศี รีหริภุญไชย จงึ ไดเ้ สยี การปกครองให้แก่ พญามงั ราย ผู้รวบรวม
ลำ� พนู เป็นจังหวดั ทม่ี พี ้นื ทข่ี นาดเล็กท่สี ดุ เมอื งต่าง ๆ ของทางเหนอื เขา้ เป็นอาณาจกั รลา้ นนา
ในภาคเหนือ ภูมิประเทศเป็นภูเขาสลับที่ราบ อย่างไรก็ตาม แม้อยภู่ ายใตก้ ารปกครองของลา้ นนา
มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน ปรากฏ แต่อิทธิพลทางศิลปะและวัฒนธรรมของอาณาจักร
การอยู่อาศัยของคนสมัยยุคก่อนประวัติศาสตร์ หริภุญชัยมีความส�ำคัญ เห็นได้จากการพบโบราณ
ในพนื้ ที่ล�ำพูน เม่ือประมาณ ๒,๘๐๐ - ๓,๐๐๐ ปี สถานศลิ ปะหรภิ ุญชัยทเ่ี ด่นชัด ในพื้นทเ่ี วียงกุมกาม
ล่วงมาแล้ว โดยพบโครงกระดูกมนุษย์โบราณ เมอื งเชยี งใหม่ และเมอื งเชยี งราย
เคร่ืองมือเคร่ืองใช้ เคร่ืองประดับที่ท�ำจากส�ำริด ในสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสิน
ในพื้นท่ีแม่น้�ำปิง พบภาพเขียนสีในถ�้ำก�ำหนด มหาราช สามารถรวบรวมเมอื งตา่ ง ๆ ของอาณาจกั ร
อายุ ๑,๐๐๐ - ๔,๐๐๐ ปี ทอ่ี �ำเภอแม่ทา อ�ำเภอลี้ ลา้ นนา ซงึ่ รวมถงึ ล�ำพูน ให้อยู่ภายใต้การปกครอง
ล�ำพูน เป็นท่ีตั้งของอาณาจักรโบราณท่ีรุ่งเรือง ของกรุงธนบุรีได้ ในสมัยรัตนโกสินทร์ ภายหลัง
คือ อาณาจักรหริภุญชัย ต�ำนานจามเทวีวงศ์ การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ใน พ.ศ. ๒๔๗๕
กล่าวถึงการสร้างเมืองหริภุญชัยว่า ฤๅษีวาสุเทพ เมื่อเจ้าผู้ครองนครล�ำพูนองค์สุดท้าย คือ พลตรี
เปน็ ผู้สร้างเมืองหรภิ ุญชัย ทลู เชิญ พระนางจามเทวี เจ้าจักรค�ำขจรศักด์ิ ถึงแก่พิราลัย มีการแต่งต้ัง
เจ้าหญิงแห่งอาณาจักรละโว้ ข้ึนมาครองเมือง ผวู้ า่ ราชการจังหวดั ให้เปน็ ผูป้ กครอง
หริภุญชัย ในครั้งน้ันพระนางจามเทวีน�ำพระภิกษุ จากการทม่ี ปี ระวตั คิ วามเปน็ มาอนั ยาวนาน
นกั ปราชญ์ และชา่ งฝมี อื ศลิ ปะตา่ ง ๆ มาจากเมอื งละโว้ เป็นท่ีต้ังถ่ินฐานของผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์
เป็นจ�ำนวนมาก พระนางจามเทวีได้ท�ำนุบ�ำรุงและ ส่งผลให้ ล�ำพูน มีแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์
สร้างบ้านเมือง ท�ำให้เมืองหริภุญชัยน้ันเป็นแหล่ง ในท้องถิน่ ทีน่ ่าสนใจ เช่น
ศิลปวัฒนธรรมที่เจริญรุ่งเรืองย่ิง ต่อมาพระนาง วดั พระพทุ ธบาทผาหนาม อยทู่ บี่ า้ นผาหนาม
ได้สร้างเขลางค์นคร (ล�ำปาง) ขึ้น อีกเมืองหน่ึง อ�ำเภอลี้ แตเ่ ดมิ เคยเป็นวดั รา้ ง ไม่ปรากฏหลกั ฐาน
ใหเ้ ปน็ เมอื งส�ำคญั ความเกง่ กลา้ สามารถของพระนาง การสร้าง มเี พียงซากปรักหักพังของสงิ่ ก่อสร้างและ
รอยพระพทุ ธบาท ใน พ.ศ. ๒๔๗๐ ครบู าอภชิ ยั ขาวปี
แหล่งเรียนรู้ทางประวตั ิศาสตรใ์ นทอ้ งถ่ิน ๗๗ จังหวัดทว่ั ไทย 97
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉียงเหนอื )
ลำ�พนู
ศิษย์เอกครูบาศรีวิชัย ได้ร่วมกับชาวบ้านผาหนาม สถานที่ส�ำคัญภายในวัด ได้แก่ หมู่เจดีย์
อพยพหนีน้�ำท่วมมาจากอ�ำเภอฮอด ได้ร่วมกัน ๕ องค์ มเี จดยี ์ประธาน องค์ใหญ่ ๑ องค์ ล้อมด้วย
สร้างวัดขึ้นท่ีเชิงดอยผาหนาม ครูบาอภิชัยขาวปี เจดยี ์องคเ์ ลก็ ๔ องค์ อยทู่ ่ีมุมสท่ี ิศ มีต�ำนานเลา่ วา่
พัฒนาวัดให้เจริญ รุ่งเรือง เป็นที่ปฏิบัติธรรมและ พระนางจามเทวี ผู้ครองเมืองหริภุญชัย ได้ยินว่า
ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้าน สิ่งส�ำคัญภายในวัด ราษฎรเมอื งลี้ พบดวงแกว้ จ�ำนวน ๕ ดวง ลอยปรากฏ
ไดแ้ ก่ รอยพระพทุ ธบาท ประดิษฐานอยูท่ ย่ี อดดอย ให้เห็นอยู่บ่อยคร้ัง พระนางจึงได้เสด็จมาดูด้วย
ผาหนาม ลกั ษณะพระบาทเป็นรอยคอ่ นขา้ งชดั เจน พระองคเ์ อง เมอ่ื ไดพ้ บดวงแกว้ สอบถาม ไดค้ วามวา่
เหยยี บประทบั ไว้บนแผน่ หนิ มมี ณฑปเจดียค์ รอบไว้ เปน็ พระเมโตธาตุ หรอื นำ�้ ไคลมอื ของพระพทุ ธเจา้
จากต�ำนานเลา่ วา่ เปน็ รอยพระพทุ ธบาทของพระสมั มา ทเี่ คยลา้ งพระหตั ถ์ และนำ้� กไ็ หลผา่ นปลายนว้ิ ทงั้ หา้
สัมพุทธเจ้าท่ีได้ประทับ กดเศียรของนาคราชยักษ์ ลงพื้นดิน พระนางเกิดศรัทธาจึงได้สร้างพระธาตุ
ที่อาศัยอยู่ในถ้�ำใต้ดอยผาหนามให้เลิกเบียดเบียน ครอบไว้
ทรงประทานศีลให้นาคราชสมาทาน ด้วยอานิสงส์ นอกจากนี้ ภายในพน้ื ทว่ี ดั ยงั มี วหิ ารเกา้ ครบู า
แหง่ ศลี จงึ ไดเ้ กดิ เปน็ รกุ ขเทวดารกั ษาพระพทุ ธบาท เปน็ อาคารประดษิ ฐานพระรปู ครบู า จ�ำนวน ๙ รูป
อยจู่ นทกุ วันนี้ ผู้ได้มาปฏิบัติธรรม บ�ำเพ็ญภาวนา ดูแลรักษา
นอกจากน้ี ภายในวดั มรี ปู หล่อขนาดใหญ่ รวมถึงบรู ณปฏสิ งั ขรณ์วดั พระธาตุหา้ ดวงนี้
ของครบู าอภชิ ยั ขาวปี อย่ทู ่ีบรเิ วณเชงิ ดอยผาหนาม
มหี อปราสาทรักษาศพ เกบ็ พระสรีระร่างของครบู า พระธาตุดอยห้างบาตร ต้ังอยู่ภายในวัด
อภชิ ยั ขาวปี ทีย่ ังไม่เน่าเปอ่ื ย ซึง่ ทกุ วันที่ ๓ มนี าคม พระธาตุดอยห้างบาตร อ�ำเภอบ้านธิ ภายในวัด
มปี ระเพณเี ปลยี่ นผา้ หอ่ สรรี ะของทา่ น มีพระธาตุ ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงจตุรมุข สีขาว
มีฉัตรทองประดับอยู่ที่ยอดเจดีย์ มีต�ำนานเล่า
พระธาตเุ จดยี ห์ า้ ดวง หรอื เวยี งเจดยี ห์ า้ หลงั เก่ียวกับพระธาตุว่า ในสมัยที่พระพุทธเจ้าเสด็จ
เป็นเจดีย์หมู่ ๕ องค์ ต้งั อยู่ในบรเิ วณท่ีสันนิษฐานวา่ มายังดอยห้างบาตร ได้เตรียมเสด็จออกบิณฑบาต
เป็นเวยี งเก่าล้ี เพราะปรากฏซากก�ำแพงและคเู มอื ง เพื่อโปรดสัตว์ จึงปรากฏร่องรอยการเตรียมบาตร
ไมป่ รากฏปีท่ีสรา้ งวัดแน่ชัด พงศาวดารล้ี บนั ทึกว่า เปน็ หลมุ ลกึ ลงไปหนิ การเตรยี มบาตร ภาษาพน้ื เมอื ง
เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๓๖๔ - ๒๓๖๘ เจา้ หลวงเศรษฐีค�ำฝน้ั เรยี กวา่ ห้างบาตร ได้มีการสร้างมณฑปครอบรอย
ผู้ครองนครล�ำพูน ได้น�ำบริวารมาร่วมกันซ่อมแซม ดังกล่าวไว้ เพ่ือเป็นท่ีเคารพ สักการะ ของชาวบา้ น
องค์พระธาตุ และมคี รูบาอีกหลายรปู มาดูแลรักษา
บรู ณะพระธาตแุ ห่งน้ี
98 แหล่งเรยี นรูท้ างประวัติศาสตรใ์ นทอ้ งถิ่น ๗๗ จังหวัดทัว่ ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื )
ลำ�พนู
วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ตั้งอยู่ที่บ้าน ชาวยองใหเ้ ปน็ เจา้ อาวาสวดั อกี ทงั้ ชาวบา้ นไดร้ ว่ มกนั
พระบาทห้วยต้ม อ�ำเภอล้ี เป็นวัดประจ�ำหมู่บ้าน ปลูกมะม่วงรอบหมู่บ้าน รอบวัด หลายร้อยต้น
ชาวปาเกอะญอ อ�ำเภอลี้ ปรากฏในต�ำนานพระเจ้า ซง่ึ เมลด็ ทใี่ ชป้ ลกู นนั้ ไดจ้ ากมะมว่ งทน่ี �ำตดิ ตวั มาจาก
เลียบโลก เป็นต�ำนานเล่าถึงการท่ีพระพุทธเจ้า เมอื งยอง เพ่ือใชเ้ ป็นเสบียง ในปจั จุบนั มตี น้ มะม่วง
ได้เสด็จมาเยือนดินแดนล้านนา ว่า พระพุทธเจ้า อายเุ กนิ กวา่ ๒๔๐ ปี อยทู่ หี่ นา้ โรงเรยี นบา้ นประตปู า่
เสด็จมาท่ีเมืองล้ี พบกับชาวลัวะซึ่งน�ำเอาอาหาร ภายในวัด มีอาคารท่ีมีสถาปัตยกรรม
มาถวาย เหลา่ พระอรหนั ตแ์ ละพระเจา้ อโศกมหาราช ฝีมือช่างชาวยองฝีมือวิจิตร เช่น หอพระไตรปิฏก
กราบทูลขอพระเกศาธาตุ พระองค์ไมพ่ ระราชทาน ขนาดเสา ๒๔ ต้น สร้างจากไม้สักทั้งหลัง วิหาร
เนื่องจากเห็นว่าเป็นเมืองเล็ก ๆ จะไม่มีผู้เอาใจใส่ เปน็ รปู ทรงศลิ ปะลา้ นนา มหี นา้ บนั แกะสลกั ไมป้ ดิ ทอง
ดูแลพระธาตุ ทรงเหยียบรอยพระบาทไว้ให้เคารพ ประดับกระจก เสาวิหารไม้ รดน�้ำปิดทอง เจดีย์
บูชาแทน ซ่ึงปรากฏว่ามีผู้พบรอยพระบาทอยู่จริง ศลิ ปะชา่ งชาวยอง หมุ้ ทองจงั โก้ ยอดเจดยี ร์ ปู หมอ้ ควำ่�
ตามต�ำนาน ครบู ามหาอนิ ทร์ เจา้ คณะอ�ำเภอลี้ จงั หวดั เป็นตน้
ล�ำพนู ไดเ้ ชิญชวนชาวบา้ นรว่ มกนั บูรณปฏสิ งั ขรณ์ วัดม่วงโตน เปน็ วัดประจ�ำหม่บู า้ นมว่ งโตน
และสรา้ งมณฑปครอบไว้ และมกี ารบรู ณปฏสิ งั ขรณ์ อ�ำเภอบา้ นโฮง่ สรา้ งเมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๓๖๙ แตไ่ มแ่ นช่ ดั
สบื มา นอกจากวิหารพระพุทธบาท ภายในวัด ยงั มี ว่าผู้สร้างคือใคร ครูบาโถ สุมงฺคโล ได้เริ่มพัฒนา
วิหารท่ีประดิษฐานสรีระหลวงปู่ชัยยะ วงศาพัฒนา วัดน้ี เม่ือปี พ.ศ. ๒๔๗๖ เมื่อท่านมรณภาพ ในปี
(พระครูพัฒนากิจจานุรักษ์) พระเกจิผู้พัฒนา พ.ศ. ๒๕๑๓ พระครูวรปัญโญภาส ได้มาพัฒนา
วัดแห่งนี้ เจดีย์ขาวทรงเหลี่ยม เจดีย์ทอง หอเก็บ วัดนี้ต่อจนถึงปัจจุบัน ภายในวัดมีปูชนียวัตถุ เช่น
พระไตรปิฏก เป็นตน้ พระประธานวหิ ารหลวงวดั ม่วงโตน เปน็ พระก่ออฐิ
วัดประตูป่า หรือ วัดป่าม่วงจุมหัวเวียง ถือปนู ทาสปี ิดทองทบั สร้างโดย พอ่ น้อยยอด (สล่า
หริภุญชัย ตั้งอยู่ที่ต�ำบลประตูป่า อ�ำเภอเมือง ยอด) ช่างพื้นบ้านฝีมือชั้นครู จากบ้านทาขุมเงิน
วัดแห่งน้ีสร้างขึ้นประมาณ ปี พ.ศ. ๒๓๐๑ โดย อ�ำเภอแมท่ า พระธาตุวัดม่วงโตน ลักษณะพระธาตุ
เจ้านายฝ่ายในนครหริภุญชัยท่ีได้อพยพหลบภัย เป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่�ำ บรรจุพระธาตุ พระธรรม
กองทพั พมา่ ไดม้ าอาศยั อยแู่ ถบบรเิ วณปากล�ำเหมอื ง ใบลาน แก้วแหวนเงนิ ทอง และวัตถมุ งคลของมคี ่า
ไม้แดง แล้วสรา้ งวดั ขึ้น เมอ่ื เวลาผา่ นไป วัดน้ีถูกท้งิ ต่างๆ รวมถึงหอไตร ที่สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๘
ให้ร้าง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๔๘ มีกลุ่มชาวยอง เป็นอาคารขนาดเลก็ ศิลปะลา้ นนา ใตถ้ นุ สงู ชนั้ บน
(ปัจจุบัน เป็นอ�ำเภอหนึ่งของสหภาพเมียนมาร์) เป็นเครือ่ งไม้ ก้ันฝาทบึ ไม่มีชอ่ งหนา้ ตา่ ง มีระเบยี ง
อพยพมาตงั้ ถนิ่ ฐานในพนื้ ทใี่ กลว้ ดั รา้ งปากล�ำเหมอื ง ลอ้ มรอบ สว่ นหลงั คาเปน็ ทรงไทยลดชน้ั มงุ กระเบอื้ ง
ปา่ ไมแ้ ดงแหง่ นี้ และไดน้ มิ นตค์ รบู าเหลก็ พระเถระ
แหลง่ เรยี นร้ทู างประวตั ิศาสตรใ์ นทอ้ งถิน่ ๗๗ จังหวดั ท่ัวไทย 99
(ภาคเหนือเเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ)