The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

1S2C_ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ภาคเหนือ ภาคอีสาน_แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ในท้องถิ่น
.
บรรณาธิการกิจและ Published :ส.ส้ม กิตยาภรณ์ ประยูรพรหม K.PRAYOONPROM
.
ผลงานและลิขสิทธิ์ของ สถาบันสังคมศึกษา สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by zom Kityaporn OBEC, 2021-02-15 13:28:08

zom_ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น_1S2C_เหนือ_อีสาน

1S2C_ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ภาคเหนือ ภาคอีสาน_แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ในท้องถิ่น
.
บรรณาธิการกิจและ Published :ส.ส้ม กิตยาภรณ์ ประยูรพรหม K.PRAYOONPROM
.
ผลงานและลิขสิทธิ์ของ สถาบันสังคมศึกษา สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ

Keywords: academic.obec,COOL_sungkom,1S2C_obechistory

หนองคาย

ปจั จบุ นั ทกุ วนั ขน้ึ ๑๕ คำ่� เดอื น ๔ ของทกุ ปี โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี จัดวัดน้ีให้เป็นสถานที่
ทางจงั หวดั ไดจ้ ดั งานนมสั การหลวงพอ่ พระเจา้ องคต์ อื้ ปฏิบัตธิ รรมของภิกษุสงฆ์ แมช่ ี และผู้แสวงบญุ
เปน็ ประเพณีสืบทอดกนั มา นอกจากนี้ ภายในวดั มหี ลกั หนิ และเสมาหนิ
ซง่ึ มอี ายเุ กา่ แกอ่ ยใู่ นกอ่ นสมยั ประวตั ศิ าสตรต์ อนปลาย
วัดหินหมากเป้ง อยู่ท่ีบ้านไทยเจริญ ถงึ สมยั ประวตั ศิ าสตรต์ อนตน้ อยา่ งไรกต็ าม หลกั หนิ
อ�ำเภอศรีเชียงใหม่ เป็นวัดท่ีส�ำคัญของพระสาย และเสมาหนิ แหลา่ น้ี ไมไ่ ดพ้ บในพนื้ ทว่ี ดั หนิ หมากเปง้
วิปัสสนากรรมฐาน สร้างข้ึนโดยพระอาจารย์หล้า แตอ่ ยา่ งใด มกี ารขนยา้ ยมาจากบรเิ วณ วดั อรญั ญา หรอื
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒ มกี ารพัฒนาขน้ึ อย่างมากในสมยั วดั ดงนาค�ำ อ�ำเภอโพธต์ิ าก แสดงใหเ้ หน็ วา่ พน้ื ทเ่ี เหง่ นนั้
หลวงปเู่ ทสก์ เทสรงั สี (พระราชนโิ รธรงั สคี มั ภรี ปญั ญา น่าจะเป็นชุมชนที่มีการอยู่อาศัยอย่างต่อเน่ือง
วศิ ษิ ฏ)์ ซง่ึ เปน็ ลกู ศษิ ยร์ ปู หนง่ึ ของหลวงปมู่ นั่ ภรู ทิ ตั โต มาต้ังแต่สมัยกอ่ นประวัตศิ าสตร์ตอนปลาย

200 แหล่งเรยี นรทู้ างประวัตศิ าสตรใ์ นท้องถิน่ ๗๗ จังหวัดทวั่ ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ)

หนองบัวลำ�ภู

หนองบวั ลำ�ภู

201แหลง่ เรียนรู้ทางประวัตศิ าสตรใ์ นท้องถ่นิ ๗๗ จงั หวดั ทัว่ ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื )



หนองบัวลำ�ภู

หนองบวั ลำ� ภู

ศาลสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช มหาราช เจา้ สริ บิ ุญสาร แหง่ เมอื งเวยี งจันทน์ ยกทัพ
มาตพี ระวอและพระตาทเี่ มอื ง “นครเขอื่ นขนั ธก์ าบแกว้
อทุ ยานแหง่ ชาตภิ เู ก้า ภพู านค�ำ บวั บาน” (ชอื่ จงั หวดั หนองบวั ล�ำภใู นสมยั นน้ั ) พระตา
แผ่นดินธรรมหลวงปู่ขาว ตายในสนามรบ พระวอจงึ ขอพง่ึ พระบรมโพธสิ มภาร
เดน่ สกาวถ�ำ้ เอราวณั ของสมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราช โดยใหเ้ จา้ พระยา
นครเขอ่ื นขันธก์ าบแก้วบัวบาน จกั รยี กทพั ไปปราบปรามเจา้ สริ บิ ญุ สารจนไดช้ ยั ชนะ
เวียงจันทน์จึงตกเป็นประเทศราชของธนบุรี
เมอื ง “นครเขอ่ื นขนั ธก์ าบแกว้ บวั บาน” กเ็ ปน็ เมอื งขนึ้
หนองบวั ลำ� ภู ตงั้ อยใู่ นพน้ื ทภ่ี าคตะวนั ออก อยกู่ บั กรงุ ธนบรุ ี และ กรงุ เทพมหานคร สบื ทอดตอ่ เนอ่ื ง
เฉียงเหนือตอนบน แม้จะเป็นจังหวัดท่ีต้ังข้ึนใหม่ มาในสมยั รตั นโกสนิ ทร์ พ.ศ. ๒๔๕๐ มกี ารรวมเมอื งตา่ ง ๆ
แยกตัวออกมาจากอุดรธานี เม่ือ พ.ศ. ๒๕๓๖ บริเวณบ้านหมากแข้ง ตั้งเป็นเมืองจัตวา เรียกว่า
แต่พบหลักฐานการอยู่อาศัยในพื้นที่หนองบัวล�ำภู “เมืองอุดรธานี” ส่วนเมืองในสังกัดบริเวณนี้ให้มี
มาต้ังแต่สมัยยุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยปรากฏ ฐานะเป็นอ�ำเภอ เมืองหนองบัวล�ำภู จึงกลายเป็น
โครงกระดูกมนุษย์ ก�ำไลส�ำริด ก�ำไลหิน ลูกปดั แก้ว อ�ำเภอหนองบวั ล�ำภู ของจังหวัดอดุ รธานี และในปี
อายุประมาณ ๒,๕๐๐ ปี ท่ีเชิงเขาภูพานทางด้าน พ.ศ. ๒๕๓๖ มีประกาศตงั้ เปน็ จงั หวัด
ตะวันตกและเชิงเขาภูเก้า พบวัตถุสมัยทวารวดี จากหลกั ฐานการตงั้ ถน่ิ ฐานทอ่ี ยขู่ องมนษุ ย์
ในพนื้ ที่อ�ำเภอนากลางและอ�ำเภอสวุ รรณคูหา และ บนพ้ืนท่ีนี้ ที่มีมาอย่างสืบเน่ือง ยาวนาน ส่งผลให้
พบโบราณสถาน ศลิ ปะขอม หนองบวั ล�ำภู อยภู่ ายใต้ หนองบัวล�ำภู มีแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์
อิทธพิ ลของอาณาจักรลา้ นช้าง และรบั ศาสนาพทุ ธ ทนี่ ่าสนใจ เชน่
นิกายเถรวาท นับตั้งแต่สมัยน้ัน ในสมัย พระไชย
เชษฐาธิราช กษตั รยิ แ์ หง่ กรุงเวยี งจันทน์ ซง่ึ ตรงกับ ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ต้ังอยู่
สมัยอยุธยา ได้มีการอพยพไพร่พลมาตั้งบ้านเรือน ที่ต�ำบลหนองบัว อ�ำเภอเมือง เป็นท่ีประดิษฐาน
ในพ้ืนท่ีเมืองร้างสมัยขอม สร้างบ้านแปงเมือง พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ยกฐานะเป็นเมอื ง ชื่อวา่ “เวยี งจ�ำปานครกาบแกว้ ประทบั ยนื พระหตั ถซ์ า้ ยทรงพระแสงดาบ ชาวเมอื ง
บวั บาน” ถอื เปน็ เมอื งหนา้ ดา่ นของเมอื งเวยี งจนั ทน์ หนองบัวล�ำภูร่วมใจสร้างข้ึน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๑
คนทัว่ ไปนยิ มเรยี กว่า “หนองบัวล่มุ ภ”ู ตอ่ มา ในปี เพ่ือเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
พ.ศ. ๒๓๒๑ ตรงกบั ตน้ สมยั สมเด็จพระเจา้ ตากสนิ ที่คร้ังหนึ่งพระองค์ท่านได้เคยเสด็จมาประทับแรม

203แหลง่ เรียนรูท้ างประวตั ิศาสตรใ์ นท้องถิน่ ๗๗ จงั หวัดทัว่ ไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื )

หนองบวั ลำ�ภู

ที่หนองบัวล�ำภูนี้ เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๑๗ พงศาวดาร แวดนิ เผา หนิ บดยา เครอ่ื งมอื เหลก็ และเครอื่ งประดบั
สมัยอยุธยาบันทึกเร่อื งราวไว้วา่ เม่อื ปี พ.ศ. ๒๑๑๒ ส�ำรดิ อายุประมาณ ๒,๕๐๐ ปมี าแลว้
ภายหลังเหตุการณ์การเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ ๑ ในแหลง่ โบราณคดหี ลายแหง่ พบภาพเขยี นสี
ให้แก่พม่า พระเจ้าบุเรงนอง กษัตริย์กรุงหงสาวดี ภาพสลักบนหน้าผา ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์
ได้มีหมายเกณฑ์ให้สมเด็จพระมหาธรรมราชา เช่น แหล่งโบราณคดีถ้�ำเสือตก ที่ต�ำบลโคกม่วง
กษตั รยิ แ์ หง่ กรุงศรอี ยธุ ยา ไปชว่ ยตเี มืองเวยี งจนั ทน์ พบภาพเขียนทางสี เป็นลายลายเส้นและภาพมือ
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซ่ึงมีพระชนมายุ ๑๙ รวมทั้งภาพสลัก เปน็ ภาพลายเสน้ แหลง่ โบราณคดี
พรรษา ได้ร่วมเสด็จไปในกองทัพพระราชบิดาด้วย ถ้�ำจันได ต�ำบลโคกม่วง ภาพเขียนสีด้วยสีแดง
เมื่อยกทัพไปถงึ หนองบวั ล�ำภู ซึ่งเป็นเมืองหนา้ ด่าน แบบเงาทึบเป็นภาพคล้ายหมี ภาพต้นข้าว หรือที่
ทางใต้ของเวียงจันทร์ ได้หยุดพักแรมที่นี่ เพราะ แหลง่ โบราณคดถี ำ�้ มม้ึ ต�ำบลนคิ มพฒั นา มภี าพเขยี นสี
หนองนำ้� ปา่ ไม้ ทอ่ี ดุ มสมบรู ณ์ เหมาะแกก่ ารพกั แรมของ และภาพสลกั ปะปนกนั ลกั ษณะปลกี ยอ่ ย ภาพเขยี น
กองทพั ขนาดใหญ่ ตอ่ มาสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช และภาพสลักดังกล่าวเป็นภาพลายเส้น และภาพ
ทรงพระประชวรดว้ ยไข้ทรพิษ พระเจา้ กรุงหงสาวดี รูปทรงเรขาคณติ
จึงใหย้ กทพั กลบั กรุงศรีอยธุ ยา จากหลักฐานโบราณคดีที่พบในแหล่ง
ทุกปี ชาวหนองบัวล�ำภูจัดพิธีบวงสรวง โบราณสถานตา่ ง ๆ สนั นษิ ฐานวา่ พนื้ ทอี่ �ำเภอโนนสงั
ดวงพระวิญญาณสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เคยเป็นท่อี ยู่อาศัยของมนุษยย์ ุคกอ่ นประวตั ศิ าสตร์
เพอ่ื น้อมร�ำลึกถึงพระมหากรณุ าธิคุณของพระองค์ เป็นชุมชนโบราณขนาดใหญ่ รู้จักการใช้สี ใช้โลหะ
การวาดภาพเพื่อการสือ่ สาร
แหล่งโบราณคดี ในพ้ืนท่ีอ�ำเภอโนนสัง
ปรากฏแหลง่ โบราณคดที ม่ี รี อ่ งรอยการอยอู่ าศยั ของ วดั ถำ้� สวุ รรณคหู า อยทู่ อี่ �ำเภอสวุ รรณคหู า
มนุษย์ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ กระจายอยู่ใน เป็นวดั ท่มี ถี ํา้ จ�ำนวนมากกวา่ ๔๐ แห่ง จากจารกึ
หลายพน้ื ทท่ี วั่ อ�ำเภอ เชน่ แหลง่ โบราณคดโี นนดอนกลาง วดั ถ�้ำสุวรรณคูหา บนั ทกึ ไวว้ า่ วัดแห่งน้ีสรา้ งข้ึนในปี
บา้ นกดุ กวางสรอ้ ย อยบู่ รเิ วณเชงิ เขาภเู กา้ ชาวบา้ นพบ พ.ศ. ๒๑๐๖ โดยพระไชยเชษฐาธิราช พระองค์
เศษโบราณวตั ถุ ภาชนะเครอื่ งปน้ั ดนิ เผา ก�ำไลส�ำรดิ ได้ทรงสรา้ งวัด พระพุทธรูปขนึ้ พรอ้ มยกท่ดี นิ เเละ
ก�ำไลหนิ ลกู ปดั แกว้ รวมถงึ เครอื่ งมอื เหลก็ ซง่ึ หาพบได้ บา่ วไพรใ่ หแ้ กว่ ดั นเ้ี พอื่ ถวายเปน็ พทุ ธบชู า นอกจากน้ี
ทว่ั ไปในหมบู่ า้ น ลกั ษณะของโบราณวตั ถแุ ละศลิ ปวตั ถุ ภายในวดั ยงั มหี ลวงพอ่ พระไชยเชษฐา เปน็ พระพทุ ธรปู
ท่ีพบคล้ายกับหลักฐานโบราณคดี ในยุคบ้านเชียง ประธาน ประจ�ำพระอโุ บสถลกั ษณะเปน็ แบบศลิ ปะ
แหล่งโบราณคดีโนนสัง ท่ีต�ำบลกุดดู่พบเนินดิน ล้านช้าง ชาวบ้านเช่ือในความศักดิ์สิทธิ์ เเละได้จัด
ขนาดใหญ่ ขดุ พบโครงกระดกู มนษุ ยโ์ บราณ ภาชนะ ประเพณปี ดิ ทองไหวพ้ ระเปน็ ประจ�ำทกุ ปี ทกุ เดอื น ๓
ดนิ เผา ท้งั แบบเรียบ และแบบเขียนสี วาดลวดลาย ของปี

204 แหลง่ เรียนรทู้ างประวตั ศิ าสตร์ในท้องถ่ิน ๗๗ จงั หวดั ทวั่ ไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ)

อุดรธานี

อดุ รธานี

205แหล่งเรยี นรูท้ างประวัตศิ าสตร์ในทอ้ งถิ่น ๗๗ จงั หวดั ท่ัวไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื )



อดุ รธานี

อดุ รธานี

กรมหลวงประจักษ์สร้างเมือง “บา้ นหมากแขง้ ” หรอื “บา้ นเดอื่ หมากแขง้ ” ซงึ่ เคยเปน็
ชุมชนด้ังเดิมของอุดรธานี ต่อมาเกิดกรณีพิพาท
ลือเล่ืองแหลง่ ธรรมมะ ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖) สยามเสยี ดนิ แดนฝ่ังซา้ ย
อารยธรรมห้าพนั ปี ธานผี า้ หมี่ขดิ แม่น�้ำโขงให้แก่ฝร่ังเศส ตามสนธิสัญญา ห้ามไม่ให้
ธรรมชาตเิ นรมิตทะเลบวั แดง ตัง้ กองทหารและป้อมปราการในรศั มี ๒๕ กโิ ลเมตร
แรงศรัทธาศรสี ุทโธปทุมมาค�ำชะโนด จากฝง่ั แมน่ ำ้� โขง กรมหมน่ื ประจกั ษศ์ ลิ ปาคม ซง่ึ เปน็
ขา้ หลวงใหญ่ จงึ เคลอื่ นยา้ ยกองก�ำลงั ทหารไทย และ
ศูนย์กลางมณฑลลาวพวน ท่ีแต่เดิมตั้งประจ�ำอยู่ท่ี
อดุ รธานี อยทู่ างตอนบนของภาคตะวนั ออก หนองคาย มาท่ี บ้านเดื่อหมากแข้ง ในเวลาต่อมา
เฉยี งเหนอื พน้ื ทโี่ ดยทวั่ ไปเปน็ ทร่ี าบสงู สลบั ทรี่ าบลมุ่ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลที่ ๕)
บรเิ วณแมน่ ำ�้ ตา่ ง ๆ มเี ทอื กเขาภพู านทอดเปน็ แนวยาว โปรดเกลา้ ฯ ใหต้ ง้ั “มณฑลอดุ ร” ขนึ้ ทบ่ี า้ นหมากแขง้ นี้
ตง้ั แต่เขตเหนือสุดของจงั หวดั ส่งผลให้พืน้ ท่มี ีความ จนกระทงั่ มกี ารยกเลิกการปกครองรูปแบบมณฑล
อดุ มสมบรู ณ์ ปรากฏหลกั ฐานการอยอู่ าศยั ของมนษุ ย์ เทศาภิบาล มณฑลอุดร จงึ ถกู เปล่ยี นเปน็ “จังหวดั
ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ที่แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง อุดรธาน”ี นบั แตน่ ัน้ มาปัจจุบัน
อ�ำเภอหนองหาน และทถ่ี ำ�้ ในอ�ำเภอบา้ นผอื และยงั พบ จากหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรท์ ห่ี ลากหลาย
การตงั้ ชมุ ชนเมอื งโบราณ สมยั ทวารวดี สมยั ลพบรุ ี บรเิ วณ และเรื่องราวความเป็นมาที่น่าภาคภูมิใจ ส่งผลให้
เทอื กเขาภพู าน เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๑๑๗ ชอื่ ของเมอื งหนงึ่ อดุ รธานี มแี หลง่ เรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตรใ์ นทอ้ งถน่ิ
ในอดุ รธานี ปรากฏในพงศาวดารของกรงุ ศรอี ยุธยา ท่ีน่าสนใจ เชน่
พระเจา้ กรงุ หงสาวดที รงเกณฑก์ องทพั ไทยใหไ้ ปชว่ ยตี
กรงุ เวยี งจนั ทร์ สมเดจ็ พระมหาธรรมราชากบั สมเดจ็ พิพิธภัณฑ์เมืองอุดรธานี ต้ังอยู่ใกล้กับ
พระนเรศวรมหาราชยกทพั ไปชว่ ยรบ และไดพ้ กั ทพั วดั โพธสิ มภรณ์ อ�ำเภอเมอื ง อาคารพพิ ธิ ภณั ฑเ์ ดมิ เปน็
ที่เมืองหนองบัวล�ำภู (หรือ จังหวัดหนองบัวล�ำภู โรงเรยี นราชนิ ทู ศิ สมยั พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้
ในปจั จุบัน ซ่งี เคยเป็นอ�ำเภอหน่ึงของอุดรธาน)ี เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลท่ี ๖) จดั แสดงเรอื่ งราวตา่ ง ๆ เกย่ี วกบั
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า จังหวัดอดุ รธานี เก่ยี วกับประวตั ศิ าสตร์ โบราณคดี
เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลท่ี ๕) มบี นั ทกึ วา่ เพอื่ ไปปราบปรามฮอ่ ศลิ ปวฒั นธรรม วิถชี วี ติ พน้ื ถนิ่ และ พระประวตั ิและ
ท่ีรุกรานมณฑลลาวพวนและฝั่งซ้ายแม่น�้ำโขง พระเกยี รตคิ ณุ ของพระเจา้ นอ้ งยาเธอ พลตรี พระเจา้
พระเจา้ นอ้ งยาเธอ พลตรี พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมนื่ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมนื่ ประจกั ษศ์ ลิ ปาคม ผกู้ อ่ ตงั้ เมอื ง
ประจกั ษศ์ ลิ ปาคม ไดน้ �ำทพั ผา่ นหมบู่ า้ นเลก็ ๆ ชอื่ วา่ อุดรธานี เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๓๖

207แหล่งเรียนรทู้ างประวัติศาสตรใ์ นท้องถ่นิ ๗๗ จงั หวัดทั่วไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื )

อุดรธานี

แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ตั้งในพื้นท่ี ธรรมชาติให้กลายเป็นศาสนสถาน ตามรูปแบบของ
อ�ำเภอหนองหาน พ้ืนทโี่ ดยรอบประมาณ ๔๐๐ ไร่ วัฒนธรรมทวารวดี ลพบุรี มีการใช้ศาสนสถานนี้
เป็นสถานที่ท่ีมีการค้นพบร่องรอยการอยู่อาศัย สืบต่อกันถึงสมัยวัฒนธรรมล้านช้าง แสดงให้เห็น
ของมนษุ ยใ์ นสมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ กวา่ ๕,๐๐๐ ปี พน้ื ทน่ี มี้ กี ารตง้ั ถน่ิ ฐานชมุ ชน มมี นษุ ยอ์ าศยั อยอู่ ยา่ ง
ลว่ งมาแลว้ มกี ารพบโบราณวตั ถุ เชน่ ภาชนะดนิ เผา ตอ่ เนอ่ื ง ยาวนาน นบั ตง้ั แตอ่ ดตี จนปจั จบุ นั ภายในถำ�้
ลายเชือกทาบ ลายขูดขีดสีแดง เคลือบน้�ำโคลน และเพิงหินต่าง ๆ ที่กระจายอยู่ท่ัวบริเวณอุทยาน
สีแดง เครื่องมือเคร่ืองใช้เคร่ืองประดับส�ำริด ประวตั ศิ าสตรภ์ พู ระบาท เชน่ ถำ�้ ลายมอื ถำ�้ โนนสาวเอ้
กลองมโหระทกึ โครงกระดูกมนุษย์โบราณ เป็นตน้ ถำ้� คน ถำ�้ ววั แดง พบภาพเขยี นสี รปู ลายลกั ษณะตา่ ง ๆ
จากหลกั ฐานทางโบราณคดี แสดงใหเ้ หน็ พฒั นาการ เชน่ รปู คน รปู มอื รปู สตั ว์ และ รปู ลายทรงเรขาคณติ
อยรู่ ว่ มกนั เปน็ หมบู่ า้ น เชน่ ประเพณฝี งั ศพ การรจู้ กั สันนิษฐานวา่ อาจเปน็ ทพ่ี �ำนกั ของมนุษยส์ มัยหนิ
ปลูกข้าวและเลี้ยงสัตว์ เทคโนโลยีการผลิตภาชนะ นอกจากนี้ ภายในพนื้ ที่ อทุ ยานประวตั ศิ าสตร์
ดนิ เผา การผลติ เครอ่ื งมอื เครอ่ื งใชท้ �ำดว้ ยโลหะ ท�ำให้ ภพู ระบาท เปน็ ทต่ี งั้ วดั พระพทุ ธบาทบวั บก ซงึ่ ใชเ้ ปน็
ได้รถู้ งึ การด�ำรงชวี ิต สรา้ งสงั คมวัฒนธรรม ความรู้ ทปี่ ระดษิ ฐานรอยพระพทุ ธบาท ลกั ษณะเปน็ แอง่ ลกึ
และภูมิปัญญา ลักษณะ “วัฒนธรรมบ้านเชียง” ๖๐ เซนตเิ มตร เปน็ รอยปรากฏพน้ื หนิ ยาว ๑.๙๓ เมตร
และสนั นษิ ฐานไดว้ า่ บรเิ วณพนื้ ทน่ี ม้ี มี นษุ ยอ์ ยอู่ าศยั กวา้ ง ๙๐ เซนติเมตร มกี ล่มุ เสมาหนิ ทรายท่ี จ�ำหลกั
อย่างหนาแน่นมาตั้งแต่หลายพันปีแล้ว และมีการ ภาพบุคคลลักษณะต่าง ๆ ปักไว้ ๘ ทิศ ซ้อนกัน
แผข่ ยายวฒั นธรรมบา้ นเชยี ง ไปพน้ื ทแี่ หลง่ โบราณคดอี น่ื ๆ ๒ หลกั บางหลกั ถกู ท�ำใหล้ ม้ หลายหลกั ถกู ดนิ ทบั ถม
ในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื หลายรอ้ ยแห่ง เหตนุ ี้ จ�ำนวนรวม ๓๑ หลกั ลกั ษณะศลิ ปกรรมสมยั ทวารวดี
องค์การยูเนสโกสหประชาชาติ (UNESCO) จึงได้ ตอนปลาย - ลพบุรีตอนต้น ในสมัยประวัติศาสตร์
ข้ึนบัญชี แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง เป็นมรดกโลก จากหลกั ฐานทางโบราณคดีท่ีพบ เช่อื วา่ พื้นทแี่ หง่ น้ี
ทางวฒั นธรรม เม่อื พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นชุมชนขนาดใหญ่ มีความอุดมสมบูรณ์สงบสุข
สามารถสรา้ งงานศลิ ปกรรม ประตมิ ากรรมจากหนิ ทราย
อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ต้ังอยู่ ขนาดใหญท่ ว่ี จิ ติ รงดงามได้ แตต่ อ่ มา ชมุ ชนคงรา้ งไป
พน้ื ทเ่ี ชงิ เขาภพู าน อ�ำเภอบา้ นผอื สภาพภมู ปิ ระเทศ เเละต่อมาเม่ือถึงสมัยพระไชยเชษฐาธิราช ชุมชน
ส่วนใหญ่เป็นหินทราย ท่ีถูกขัดเกลาจากขบวนการ ท่หี นศี กึ พม่า พระเจ้าหงสาวดเี เละบเุ รงนอง อาจมา
กัดกร่อนทางธรรมชาติจึงเกิดเป็นโขดหินน้อยใหญ่ อาศัยอยู่ท่ีบริเวณนี้ ซ่ึงปรากฏร่องรอยศิลปกรรม
พบภาพเขียนสีโบราณ สมัยก่อนยุคประวัติศาสตร์ สถาปตั ยกรรมลา้ นชา้ ง เชน่ พระพทุ ธรปู ไม้ มณฑปครอบ
จ�ำนวนกวา่ ๓๐ แหง่ อายปุ ระมาณ ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ ปี รอยพระพทุ ธบาท ฯลฯ
และปรากฏรอ่ งรอยการดัดแปลงโขดหนิ และเพงิ ผา

208 แหล่งเรียนรทู้ างประวตั ิศาสตร์ในทอ้ งถ่นิ ๗๗ จังหวดั ท่ัวไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ)

อุดรธานี

หนองประจกั ษ์ ตง้ั อยทู่ างทศิ ตะวนั ตกของ หลวงตามหาบวั ญาณสัมปันโน เปน็ เถระ
ตัวเมืองอุดรธานี เป็นหนองน้�ำขนาดใหญ่ มีพื้นที่ วปิ สั สนา ลกู ศษิ ยพ์ ระอาจารยม์ น่ั ภรู ทิ ตั โต ไดพ้ ฒั นา
ทัง้ หมด ๓๒๘ ไร่ โดยเปน็ พ้ืนเกาะประมาณ ๖๘ ไร่ วดั นเ้ี ปน็ สถานทป่ี ฏบิ ตั ธิ รรม ผคู้ นทว่ั ไปเคารพศรทั ธา
มีต้ังแต่ก่อนตั้งเมืองอุดรธานี เดิมเรียกว่า “หนอง เลอ่ื มใส ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ประเทศไทยประสบ
นาเกลือ” ต่อมาเปล่ียนช่ือเป็น “หนองประจักษ์” ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ หรือ ช่วงวิกฤติต้มย�ำกุ้ง
เพ่ือเป็นเกียรติประวัติแก่ พระเจ้านอ้ งยาเธอ พลตรี หลวงตามหาบวั ญาณสมั ปนั โน จดั ท�ำโครงการทองค�ำ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหม่ืนประจักษ์ศิลปาคม ช่วยชาติ ขอบริจาคเงินและทองค�ำมอบให้รัฐบาล
ผทู้ รงกอ่ ตงั้ เมอื งอดุ รธานี มกี ารปรบั ปรงุ และขดุ ลอก เยยี วยาทนุ ส�ำรองของประเทศทเ่ี สยี หาย หลงั จากนน้ั
หนองน้ำ� แหง่ นหี้ ลายครัง้ เช่น เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๖ ชอ่ื ของทา่ นก็เป็นทรี่ ูจ้ กั มากขนึ้
ขุนศุภกิจวเิ ลขการ ขา้ หลวงประจ�ำจังหวดั อดุ รธานี ภายในวัด ไม่มีสิ่งก่อสร้างใหญ่โต มีเพียง
ได้ขอให้กรมชลประทานเป็นผู้ด�ำเนินการขุดลอก ศาลาการเปรียญ เป็นศาลาไม้ เป็นที่ประดิษฐาน
ใหล้ กึ ย่ิงขึ้น หรือ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๐ เทศบาลเมือง ของพระพุทธรูป พระประธานของวัด และอัฐิธาตุ
อดุ รธานี ไดท้ �ำการปรบั ปรงุ หนองประจกั ษค์ รงั้ ใหญ่ ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ของครูบาอาจารย์
เพ่ือถวายเป็นราชสักการะเเด่พระบาทสมเด็จ องคอ์ น่ื ๆ รวมถงึ ของหลวงตามหาบวั ญาณสมั ปนั โน
พระบรมชนกาธเิ บศร มหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชมหาราช วัดโพธิสมภรณ์ ตั้งอยู่ที่ ต�ำบลหมากแข้ง
บรมนาถบพติ ร (รชั กาลที่ ๙) เนอื่ งในวโรกาสทรงเจรญิ อ�ำเภอเมอื ง เรมิ่ สรา้ งประมาณปลายสมัยพระบาท
พระชนมพรรษาครบ ๕ รอบ ปจั จบุ นั เปน็ แหล่งน�ำ้ สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕)
เพอื่ การอปุ โภคบรโิ ภค เปน็ สถานทพ่ี กั ผอ่ นหยอ่ นใจ โดยมหาอ�ำมาตย์ตรี พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร
จดั กจิ กรรมงานประเพณตี า่ ง ๆ ของจงั หวดั และเปน็ (โพธิ์ เนตโิ พธ์ิ) สมุหเทศาภบิ าลมณฑลอดุ ร ชักชวน
สถานทีท่ ่องเทยี่ วท่มี ีชื่อเสียง ชาวบ้านหมากแข้งสร้างวัด เพราะเห็นว่าแต่เดิม
วัดป่าบ้านตาด มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ในพนื้ ทเ่ี มอื งอดุ รธานี มวี ดั มชั ฌมิ าวาส เพยี งวดั เดยี ว
วัดเกษรศลี คุณ ต้งั อยูท่ ีต่ �ำบลบา้ นตาด อ�ำเภอเมือง สมควรที่จะสร้างวัดขึ้นอีกแห่ง ซ่ึงชาวบ้านนิยม
เริ่มก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๘ โดยชาวบ้านตาดและ เรยี ก วดั ใหม่ ในเวลาตอ่ มา สมเด็จพระสงั ฆราชเจ้า
ผ้มู ีจติ ศรทั ธาได้ร่วมกันบรจิ าคทดี่ นิ และกอ่ สรา้ งวดั สมัยน้ัน ทรงประทานนามว่า “วัดโพธิสมภรณ์”
พร้อมกบั นมิ นต์ให้ หลวงตามหาบวั ญาณสมั ปันโน เพ่ือเป็นอนุสรณ์แก่มหาอ�ำมาตย์ตรีพระยาศรีสุริย
(พระธรรมวสิ ทุ ธมิ งคล) มาพ�ำนกั เพอ่ื เปน็ ทพี่ งึ่ ทางใจ ราชวรานวุ ตั ร (โพธิ์ เนตโิ พธ์ิ) ผู้สร้างวดั นี้ ภายในวดั
ของชาวบ้าน และถูกประกาศเป็นวัดเมื่อปี พ.ศ. ยงั มสี ถานท่ีนา่ สนใจต่าง ๆ อาทิ เช่น พระบรมธาตุ
๒๕๑๓ เพอ่ื ให้เปน็ สถานทปี่ ฏิบตั ธิ รรม ธรรมเจดีย์ พระเจดีย์พิพิธภัณฑ์ ศาลามงคลธรรม
พระระเบียงพระเจดีย์

209แหลง่ เรยี นรูท้ างประวัตศิ าสตรใ์ นท้องถิน่ ๗๗ จังหวดั ท่ัวไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ)

อดุ รธานี

ศาลหลกั เมอื งอดุ รธานี อยบู่ รเิ วณทงุ่ ศรเี มอื ง ทีท่ รดุ โทรมไป ตัวอาคารของศาลหลักเมืองรปู เเบบ
อ�ำเภอเมอื ง เปน็ สญั ลกั ษณข์ องเมอื งอดุ รธานี สรา้ งขน้ึ สถาปตั ยกรรมอสี าน - ไทยประยกุ ต์ เเละได้อญั เชญิ
เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๐๒ โดยอญั เชญิ ดวงพระวญิ ญาณของ ทา้ วเวสสวุ รรณ ตลอดจนภตู ผปี ศี าจทงั้ หลายอนั เปน็
พระเจา้ นอ้ งยาเธอ พลตรี พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมนื่ สญั ลกั ษณข์ องอดุ รธานี มาประดษิ ฐานทศี่ าลหลกั เมอื ง
ประจกั ษศ์ ลิ ปาคม ผทู้ รงกอ่ ตงั้ เมอื งอดุ รธานี มาสถติ หลงั ใหมน่ ด้ี ว้ ย เเละในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ พระบาทสมเดจ็
ณ เสาหลกั เมือง องค์เสาหลกั เมือง ลกั ษณะเปน็ เสา พระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ
ท่ีท�ำจากไมค้ ูณ ยาว ๕ เมตร และฝังลกึ ลงไปในดนิ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลท่ี ๑๐) ทรงเสด็จ
๓ เมตร บรรจแุ ผน่ ยนั ตแ์ ละแกว้ แหวน เงนิ ทองตา่ ง ๆ พระราชด�ำเนินมาท�ำพิธีเปิดศาลหลักเมืองประจ�ำ
ไวใ้ ตฐ้ านเพอ่ื ความเปน็ สริ มิ งคล ตอ่ มาปี พ.ศ. ๒๕๔๒ จังหวดั อุดรธานี
ได้มีการสร้างศาลหลักเมืองหลังใหม่แทนหลังเดิม

210 แหล่งเรียนรทู้ างประวัติศาสตรใ์ นทอ้ งถ่ิน ๗๗ จังหวดั ทวั่ ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ)

อบุ ลราชธานี

อุบลราชธานี

211แหล่งเรียนร้ทู างประวัตศิ าสตรใ์ นท้องถน่ิ ๗๗ จงั หวัดท่วั ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉียงเหนอื )



อบุ ลราชธานี

อบุ ลราชธานี

เมอื งดอกบวั งาม แมน่ ำ�้ สองสี คนแรก ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ชุมชนท่ีตั้ง
มปี ลาแซบ่ หลาย หาดทรายแกง่ หนิ อยู่ท่ีดอนมดแดงถูกน�้ำท่วมหลายครั้ง พระปทุม
ถน่ิ ไทยนกั ปราชญ์ ทวยราษฎรใ์ ฝธ่ รรม ราชวงศาขอพระบรมราชานุญาตยา้ ยที่ต้งั เมืองใหม่
งามลำ�้ เทยี นพรรษา ผาแตม้ กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ ไปที่เมืองอุบลราชธานี ในปัจจุบัน เกิดความเจริญ
ร่งุ เรืองตามล�ำดบั
ฉลาดภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ
ดนิ แดนอนสุ าวรยี ค์ นดศี รอี บุ ล จากประวตั คิ วามเปน็ มาอนั ยาวนาน สง่ ผลให้
อุบลราชธานีมีแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ใน
ท้องถิ่น ท่ีนา่ สนใจ เช่น

อุบลราชธานี ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกสุด วัดทุ่งศรีเมือง อยู่ทางทิศตะวันออกของ
ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นเมืองใหญ่ริมฝั่ง ทงุ่ ศรเี มอื ง บรเิ วณถนนหลวง อ�ำเภอเมอื ง สนั นษิ ฐาน
แมน่ ำ้� มลู ทมี่ ีประวตั คิ วามเป็นมายาวนาน ๒๐๐ ปี สรา้ งโดยพระเจา้ พรหมราชวงศา (กทุ องสวุ รรณกฏู )
เล่ากันว่า บุตรสองคนของอดีตเจ้านายนครเชียงรุ้ง เจ้าเมืองอบุ ลราชธานี คนท่ี ๓ เม่ือประมาณปี พ.ศ.
คอื พระวรราชภักดี (พระวอ) เสนาบดีเวียงจันทน์ ๒๓๕๖ หรือ ตรงกับ รัชสมัยของพระบาทสมเด็จ
และ นอ้ งชาย (พระตา) ขดั แยง้ กบั พระเจา้ สริ บิ ญุ สาร พระพุทธเลิศหลา้ นภาลัย (รัชกาลที่ ๒)
ผคู้ รองนครเวียงจันทน์ อพยพครอบครัวพร้อมด้วย ภายในวดั มี หอไตรกลางนำ�้ เกา่ แก่ สรา้ งขนึ้
บรวิ าร หลบลหี้ นภี ยั มาตง้ั ถนิ่ ฐาน มาตามลมุ่ แมน่ ำ้� ชี เพื่อใชเ้ ป็นที่เกบ็ รกั ษาพระไตรปิฏก
จนพบท�ำเลดี จงึ ไดล้ งหลกั ปกั ฐานในทแ่ี หง่ นนั้ ตงั้ ชอ่ื ลักษณะหอไตรวัดทุ่งศรีเมือง เป็นอาคาร
ชมุ ชนใหมน่ วี้ า่ “บา้ นสงิ หท์ า่ สงิ หโ์ คก” และไดม้ กี าร เรือนไม้ ผังรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ยกพ้ืน ใต้ถุนโปร่ง
โยกย้ายท่ีอยู่อีกครั้ง เลียบล�ำน้ำ� มูล ตง้ั ชมุ ชนใหมท่ ี่ ผนงั เปน็ แปน้ ฝาไมแ้ บบเรยี บ เครอื่ งสบั ฝาแบบฝาประกน
“ดอนมดแดง”ตอ่ มา พระเจา้ สริ บิ ญุ สาร ไดท้ ราบขา่ ว อยา่ งเรอื นไทยภาคกลาง มหี นา้ ตา่ งโดยรอบ ๑๔ ชอ่ ง
การตงั้ ชมุ ชนใหม่ ใหท้ หารยกทพั ปราบปราม พระวอ หลงั คาทรงจวั่ ศลิ ปะไทยผสมพมา่ คลา้ ยศลิ ปะเชยี งรงุ้
พระตา เสยี ทถี กู ทหารฆา่ ตายในศกึ ครานนั้ ทา้ วค�ำผง หนา้ บนั ไมจ้ �ำหลกั ลายแบบไทย เชน่ ลายดอกพดุ ตาน
ลูกชายของพระตา ได้ขอพ่ึงพระบรมโพธิสมภาร ลายกระจังรวน ลายประจ�ำยามก้ามปู เป็นหอไตร
สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราช พระองคส์ ง่ กองก�ำลงั ที่สวยงามและสมบูรณ์มากแห่งหน่ึงของประเทศ
ไปปราบปรามเจา้ นครเวียงจนั ทน์ และโปรดแตง่ ตงั้ นอกจากน้ี ภายในวดั มี พระอโุ บสถ หรอื หอพระพทุ ธบาท
ทา้ วค�ำผง เปน็ “พระปทมุ ราชวงศา” เจา้ เมอื งอบุ ล เป็นท่ีประดิษฐานพระพุทธบาทจ�ำลอง โดยจ�ำลอง

213แหล่งเรยี นร้ทู างประวตั ศิ าสตร์ในท้องถ่ิน ๗๗ จังหวัดท่ัวไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)

อุบลราชธานี

แบบมาจากวดั สระเกศราชวรวหิ าร กรงุ เทพมหานคร เรียงรายอย่ตู ามแนวหน้าผาริมโขง เช่นพื้นที่ ผาเจ๊ก
หอพระพุทธบาท เป็นอาคารสถาปัตยกรรมแบบ โหงน่ แตม้ ผาเมย ผาขาม ผาแตม้ เปน็ ภาพเขยี นสี
อสี านพน้ื บา้ นประยกุ ต์ มี วหิ ารศรเี มอื ง ประดษิ ฐาน ท่ีมีความสมบูรณ์ ภาพทั้งหมดเรียงกันประมาณ
พระเจ้าใหญ่ศรีเมือง พระพุทธรูปปางมารวิชัย ๑๘๐ เมตร รวมจ�ำนวนมากกวา่ ๓๐๐ ภาพ แบง่ เปน็
ที่เกา่ แก่ ๔ กลมุ่ ใหญ่ คือ ภาพมอื คนและคน (ผู้ชาย ผ้หู ญิง)
ภาพสตั ว์ (เชน่ ช้าง หมา ปลาบึก สตั วป์ ีก) ภาพวัตถุ
วัดสปุ ฏั นารามวรวิหาร อยู่ทถ่ี นนวัดสุปฏั น์ (กา้ งปลา เครอ่ื งมอื จบั ปลาอสี าน) และ ภาพลวดลาย
อ�ำเภอเมือง เป็นวัดธรรมยุติกนิกายแห่งแรกของ เรขาคณติ (ลวดลายยกึ ยอื รปู ทรงเสน้ สายสามเหลยี่ ม
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและจังหวัดอุบลราชธานี และสเี่ หลย่ี ม) ถอื เปน็ ภาพเขยี นสโี บราณจ�ำนวนมาก
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลท่ี ๔) ท่ีสุดเท่าท่ีเคยค้นพบในประเทศไทย สันนิษฐานว่า
โปรดฯ ให้พระพรหมราชวงศา (กุทอง สวุ รรณกฏู ) เป็นฝมี อื ของมนุษยย์ คุ กอ่ นประวตั ศิ าสตร์
สร้างวัดนี้ข้ึน โดยได้ด�ำเนินการก่อสร้าง ระหว่างปี นอกจากน้ี ยงั มเี สาเฉลยี ง เปน็ หนิ ตง้ั ซอ้ นกนั
พ.ศ. ๒๓๙๓ - ๒๓๙๖ เเละได้พระราชทานนามวา่ โดยธรรมชาติ มลี กั ษณะคลา้ ยดอกเหด็ เรยี งรายกนั อยู่
วัดสุปัฏนาราม อันหมายถึง “วัดที่มีสถานท่ีตั้ง มากมาย หนิ ดังกล่าวจะปรากฏเห็นซากเปลอื กหอย
เหมาะสมเป็นท่าเรือที่ดี” ภายในวัดมีพระอุโบสถ กรวด ทราย อยู่ในแผ่นดินขนาดใหญ่ สันนิษฐาน
เปน็ สถาปตั ยกรรมผสมผสาน คอื มหี ลงั คา เปน็ ศลิ ปะ ไดว้ า่ พนื้ ท่ีน้ี เม่อื ประมาณลา้ นกว่าปมี าแล้ว อาจจะ
แบบไทย ตัวพระอุโบสถ เป็นศิลปะแบบเยอรมัน เคยเป็นทะเลมากอ่ น
และฐานของพระอโุ บสถ เปน็ ศลิ ปะแบบขอมโบราณ
พพิ ธิ ภณั ฑช์ มุ ชนวดั ภถู ำ้� พระศลิ าทอง ตง้ั อยู่
อุทยานแห่งชาติผาแต้ม อยู่ในเขตพื้นที่ พนื้ ทส่ี �ำนกั สงฆว์ ดั ภถู ำ้� พระศลิ าทอง บา้ นนาหนองเชอื ก
อ�ำเภอโขงเจยี ม อ�ำเภอศรเี มืองใหม่ อ�ำเภอโพธ์ไิ ทร อ�ำเภอเขมราฐ เปน็ พพิ ธิ ภณั ฑท์ อ้ งถนิ่ และศนู ยเ์ รยี นรู้
มีพื้นท่ีประมาณ ๑๔๐ ตารางกิโลเมตร ได้รับการ ด้านวัฒนธรรมของชุมชน ท่ีพระสงฆ์และชาวบ้าน
ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๔ นาหนองเชอื กไดร้ ว่ มกนั จดั ตงั้ ขนึ้ จากการทค่ี รง้ั หนง่ึ
สภาพภมู ปิ ระเทศเปน็ ทรี่ าบสงู และเนนิ เขา มหี นา้ ผา ทางวดั ไดท้ �ำการขดุ พนื้ ทเ่ี พอ่ื กอ่ สรา้ งศาลาการเปรยี ญ
สูงชันซึ่งเกิดจากการแยกตัวของผิวโลก สภาพป่า ไดพ้ บเศษภาชนะดนิ เผา และเศษโครงกระดกู มนษุ ย์
โดยทว่ั ไปเปน็ ปา่ เตง็ รงั มหี นิ ทรายลกั ษณะ แปลกตา จ�ำนวนมาก รวมถงึ ในบรเิ วณใกลเ้ คยี ง พบก�ำไลขอ้ มอื
กระจายอยู่ทั่วบริเวณ มีพันธุ์ไม้ดอกท่ีสวยงามข้ึน ลายเกลียวเชือก กลองมโหระทึก ขวานส�ำริด
อย่ตู ามลานหนิ เคร่ืองปั้นดินเผา เเละการฝั่งศพในภาชนะดินเผา
ภายในพนื้ ทอี่ ทุ ยาน พบภาพเขยี นสโี บราณ ทรงกลมขนาดใหญ่ กรมศิลปากร ก�ำหนดอายุเป็น
บนหนา้ ผา มลี กั ษณะเปน็ ภาพสแี ดง พบกระจดั กระจาย แหลง่ โบราณคดสี มยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ และคาดวา่

214 แหลง่ เรียนร้ทู างประวตั ิศาสตรใ์ นท้องถนิ่ ๗๗ จังหวัดทวั่ ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื )

ในพ้ืนทีน่ ี้ เคยมีมนษุ ย์อาศยั อยู่ เมอ่ื กวา่ ๒,๓๐๐ - อุบลราชธานี
๑,๕๐๐ ปมี าแลว้ โดยสิง่ ของทงั้ หมดทขี่ ดุ คน้ พบได้
ท�ำการเก็บรกั ษาและจดั แสดงไวท้ ่พี พิ ธิ ภณั ฑแ์ หง่ นี้ ปราสาทบ้านเบญจ์ ตั้งอยู่ท่ีบ้านเบญจ์
ปราสาทธาตุนางพญา หรือ คูห้วยธาตุ อ�ำเภอทุ่งศรีอุดม ลักษณะเป็นอาคารทรงปรางค์
ตง้ั อยบู่ า้ นธาตนุ างพญา อ�ำเภอบณุ ฑรกิ เปน็ โบราณ สรา้ งด้วยอฐิ จ�ำนวน ๓ หลงั ตง้ั อยูบ่ นฐานศลิ าแลง
สถานที่ก่อด้วยศิลาแลง ต้ังอยู่กลางลานโล่งกว้าง ลอ้ มรอบดว้ ยแนวก�ำแพงศลิ าแลง เสาประดบั กรอบ
เป็นอาคารทรงปรางค์เดี่ยว แผนผังเป็นส่ีเหลี่ยม ประตูสลักจากหินทราย ทับหลังสลักจากหินทราย
จตั ุรสั ยอ่ มุม มปี ระตูทางเข้าดา้ นเดียว อกี สามดา้ น ลายต่าง ๆ เช่น ทับหลังพระอินทร์ทรงชา้ งเอราวณั
เป็นประตูหลอก ทางด้านหน้าองค์ปรางค์ก่อฐาน ทบั หลังเทพนพเคราะห์ ทบั หลงั พระอนิ ทรท์ รงชา้ ง
ยน่ื เปน็ มขุ ท�ำเปน็ ชอ่ งบนั ไดทางขน้ึ ระหวา่ งโคปรุ ะกบั เอราวณั สภาพสมบรู ณ์มาก ปัจจุบนั เก็บรกั ษาและ
บนั ไดทางขน้ึ ปราสาทปพู นื้ อฐิ เปน็ ทางเดนิ ก�ำแพงแกว้ จดั แสดงไวท้ ี่ พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ อบุ ลราชธานี
ก่อด้วยศิลาแลง นอกก�ำแพง มีบารายขนาดใหญ่ จากสถาปัตยกรรมและภาพสลักบนทับหลังท่ีพบ
สนั นษิ ฐานวา่ สรา้ งขน้ึ ในชว่ งพทุ ธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๗ ก�ำหนดอายปุ ราสาทนี้ ประมาณปลายพทุ ธศตวรรษ
ตามแบบศิลปะเขมรท่ีแผ่อิทธิพลเหนือดินแดนนี้ ที่ ๑๕ - ๑๖
เวลาน้นั มคี วามเชอ่ื เลา่ สบื ตอ่ กันว่า ปราสาทแห่งน้ี
มี “แมย่ า่ ธาต”ุ เปน็ สง่ิ ศกั ดส์ิ ทิ ธท์ิ คี่ อยคมุ้ ครองรกั ษา พพิ ธิ ภณั ฑแ์ หลง่ โบราณคดบี า้ นกา้ นเหลอื ง
จึงนิยมมาบูชา บนบานศาลกล่าว และทุกวันที่ ตั้งอยูใ่ นบริเวณวัดบ้านก้านเหลอื ง ต�ำบาลขามใหญ่
๑๒ - ๑๔ มกราคม ของทกุ ปี จะมงี านสมโภชปราสาท อ�ำเภอเมือง เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๓๔ ระหว่างการขุดไถ
ธาตนุ างพญา ปรับพ้ืนที่เพื่อท�ำบ้านจัดสรร ได้พบโบราณวัตถุ
ปราสาททองหลาง ตง้ั อยู่ทบ่ี ้านทา่ โพธ์ิศรี กรมศิลปากรจึงได้ท�ำการขุดค้น ในปี พ.ศ.๒๕๓๕
อ�ำเภอเดชอุดม เป็นปรางค์ท่ีก่อด้วยอิฐ ๓ หลัง พบโบราณวัตถุ เช่น ลกู ปดั พวยกาดินเผา แวดนิ เผา
ตั้งเรียงกันแนวเหนือ - ใต้ บนฐานศิลาเดียวกัน กระพรวนส�ำรดิ ขวานเหล็ก แกลบข้าวจ�ำนวนมาก
หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ปราสาทหลังกลาง สนั นษิ ฐานวา่ ชมุ ชนโบราณแหง่ นี้ เปน็ ทอี่ ยอู่ าศยั ของ
ขนาดใหญ่กว่าปราสาทอีกสองหลังที่ขนาบข้าง ผคู้ นยคุ สมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ เมอื่ ๑,๕๐๐ - ๒,๕๐๐
จากลกั ษณะรปู แบบทางสถาปตั ยกรรม สนั นษิ ฐานวา่ ปีมาแล้ว รู้จักการเพาะปลูกและการถลุงโลหะ
ปราสาททองหลางมอี ายรุ าวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๗ โบราณวัตถุส�ำคัญได้น�ำไปเก็บรักษา และจัดแสดง
เทียบได้กับศิลปะเขมรแบบบาปวน (พ.ศ. ๑๕๕๐ ท่ีพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี และ
- ๑๖๒๐) โบราณวัตถุส่วนหน่ึงถูกเก็บไว้ในศาลาไหว้พระ
และพพิ ธิ ภณั ฑ์ของทางวดั

215แหล่งเรียนรทู้ างประวัตศิ าสตร์ในท้องถิ่น ๗๗ จงั หวดั ท่ัวไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื )



อำ�นาจเจรญิ

อำ�นาจเจริญ

217แหลง่ เรียนรทู้ างประวัตศิ าสตรใ์ นทอ้ งถ่นิ ๗๗ จังหวดั ท่วั ไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ)



อำ�นาจเจรญิ

อำ� นาญเจรญิ

พระมงคลมิง่ เมอื ง จนกระท่ังถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ปรากฏ
หลักฐานว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๐๑ พระบาทสมเด็จ
แหลง่ ร่งุ เรอื งเจ็ดลุม่ น้ำ� พระจอมเกลา้ เจา้ อย่หู ัว (รัชกาลที่ ๔) โปรดเกล้าฯ
งามล้ำ� ถ้ำ� ศักดิ์สทิ ธ์ิ ใหย้ กฐานะ บ้านคอ้ ใหญ่ ข้นึ เปน็ เมอื งอ�ำนาจเจรญิ
เทพนมิ ิตพระเหลา ใหท้ า้ วจนั ทบรุ ม (เสอื ) เปน็ พระอมรอ�ำนาจ เจา้ เมอื ง
เกาะแกง่ เขาแสนสวย ขนึ้ กบั เมอื งเขมราฐธานี ในสมยั การปกครองรปู แบบ
เลอคา่ ดว้ ยผา้ ไหม มณฑลเทศาภิบาล เมอื งอ�ำนาจเจริญข้นึ กับหัวเมือง
ราษฎรเ์ ล่อื มใสใฝธ่ รรม ลาวกาว ต่อมามีการเปลี่ยนฐานะเมอื งอ�ำนาจเจริญ
เปน็ อ�ำเภออ�ำนาจเจรญิ เเละมกี ารยา้ ยไปขน้ึ กบั เมอื ง
ยโสธร และ อบุ ลราชธานี ตามล�ำดบั จนกระทงั่ ไดร้ บั
อำ� นาจเจรญิ เปน็ จงั หวดั ในภาคตะวนั ออก การประกาศจดั ตง้ั เปน็ จงั หวดั อ�ำนาจเจรญิ เมอื่ วนั ท่ี
เฉยี งเหนอื ตอนลา่ ง ทต่ี ้ังข้นึ ใหม่เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๓๖ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๖
โดยแยกตัวออกมาจากอุบลราชธานี แต่พ้ืนท่ีน้ี จากเรอื่ งราวทางประวัติศาสตรท์ ีไ่ ด้เกดิ ขึน้
มีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี สะท้อนผ่านหลักฐานทางโบราณคดีท่ีมีมายาวนาน
ทย่ี าวนาน มีการค้นพบหลกั ฐานการตัง้ ถิน่ ฐานของ สง่ ผลให้ อ�ำนาจเจรญิ มแี หลง่ เรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตร์
มนษุ ยย์ คุ สมัยกอ่ นประวัติศาสตร์ เชน่ โบราณวตั ถุ ในทอ้ งถ่นิ ท่ีน่าสนใจ ดงั น้ี
จ�ำพวกส�ำริด พบร่องรอยของวัฒนธรรมทวารวดี
เชน่ มชี ุมชนโบราณที่ตั้งอยบู่ นเนินดนิ มคี ูน�ำ้ คนั ดิน แหลง่ โบราณคดเี ปอื ยหวั ดง อยทู่ บี่ า้ นหวั ดง
ลอ้ มรอบ พบใบเสมา ธรรมจักร พระพุทธรูป และ อ�ำเภอลอื อ�ำนาจ ซึ่งเป็นหมู่บ้านทีต่ ้ังอยูบ่ นเนนิ ดนิ
พบรอ่ งรอยของวัฒนธรรมลา้ นชา้ ง ทส่ี นั นษิ ฐานว่า เนนิ หนง่ึ ทา่ มกลางเนนิ ดนิ หลายเนนิ ในพนื้ ท่ี เนนิ ดนิ
น่าจะสืบเนื่องและสัมพันธ์กับกลุ่มคนไทย - ลาว ในหมบู่ า้ นพบภาชนะเผาลายเชอื กทาบ พระพทุ ธรปู
ทอ่ี พยพมาตงั้ ถนิ่ ฐานทอี่ ยู่ เมอ่ื ประมาณ พ.ศ. ๒๒๕๔ สมยั ทวารวดตี อนปลาย และกลมุ่ ใบเสมาศลิ ปะแบบ
- ๒๒๖๓ ได้แก่ กลุ่มท่ีมาจากกรุงศรีสัตนาคนหุต ทวารวดี เสมาหนิ ทพ่ี บแบง่ เปน็ ๓ กลมุ่ คอื กลมุ่ เสมา
เวยี งจนั ทน์ พรอ้ มกบั พระครโู พนเสมด็ กลมุ่ ทอ่ี พยพ หินทรายในเขตวัดโพธิ์ศิลา กลุ่มเสมาหิน ศิลาแลง
หนภี ยั สงครามกลมุ่ เจา้ พระวอ พระตา (พ.ศ. ๒๓๑๓ วดั ปา่ เรไร และ กลมุ่ เสมาหนิ ทรายหลงั โรงเรยี นชมุ ชน
- ๒๓๑๙) จากเมอื งหนองบวั ล�ำภู และกลมุ่ ท่ีอพยพ เปอื ยหัวดง ก�ำหนดอายโุ บราณวตั ถุทีพ่ บ ประมาณ
เข้ามาเนอื่ งจากกบฏเจา้ อนุวงศเ์ เห่งเวยี งจนั ทน์ พุทธศตวรรษท่ี ๑๑ - ๑๓ สนั นษิ ฐานว่า พน้ื ทแ่ี ห่งน้ี

219แหลง่ เรยี นรู้ทางประวตั ศิ าสตรใ์ นท้องถนิ่ ๗๗ จังหวดั ท่วั ไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ)

อำ�นาจเจริญ

เคยเป็นชุมชนโบราณสมัยทวารวดีมาก่อน เเละมี วดั ศรโี พธช์ิ ยั อยทู่ บ่ี า้ นปลาคา้ ว อ�ำเภอเมอื ง
การนับถือพุทธศาสนาอยา่ งต่อเน่อื งในพ้นื ที่น้ี เป็นแหล่งเรยี นรทู้ ่นี ่าสนใจ มีพระอุโบสถสร้างตาม
แบบศลิ ปะลา้ นช้าง ผสานฝีมือชา่ งทอ้ งถนิ่ หลงั คา
วดั พระเหลาเทพนมิ ติ ตง้ั อยใู่ นอ�ำเภอพนา ซ้อนสามช้ันมีภาพจิตรกรรมด้านนอกพระอุโบสถ
เปน็ วัดเกา่ แก่ท่สี ร้างข้ึนตงั้ แต่สมยั อยุธยา ประมาณ ตามคติท้องถิ่นอีสาน ซึ่งเขียนด้วยฝีมือช่างท้องถิ่น
ปี พ.ศ. ๒๒๖๓ โดยบรรพบรุ ษุ ผสู้ รา้ งหมูบ่ า้ นพนา เร่ืองราวพุทธประวัติ ในพระอุโบสถประดิษฐาน
ได้อพยพมาตั้งบ้านเรือน อยู่บริเวณดงสูง ริมกุด พระพทุ ธรปู พทุ ธศลิ ปล์ า้ นชา้ ง นอกจากน้ี ยงั มวี หิ าร
บงึ ใหญ่ หรอื กดุ พระเหลา ในปัจจบุ นั “พระครูธิ” ผสมผสานศิลปะแบบเวียดนามยุคอาญานิคม กับ
ชักชวนให้ร่วมกันสร้างวัดบริเวณท่ีกุดบึงใหญ่ ฝีมือช่างท้องถิ่นและศิลปะล้านช้าง ลักษณะของ
และใหช้ ่อื วดั แห่งนว้ี า่ “วดั ศรีโพธิชยารามคามวดี” วิหาร มีระเบียงรอบเสาค�้ำเป็นซุ้มโค้งล้อมรอบ
และมกี ารสรา้ งพระอโุ บสถ ศาลาการเปรยี ญ ตามแบบ สีด่ ้าน บนั ไดทางข้ึนอยู่ทางดา้ นข้างอุโบสถ หลงั คา
ศลิ ปะลา้ นชา้ ง ภายในพระอโุ บสถประดษิ ฐาน พระเหลา เปน็ เครอ่ื งไมเ้ ดมิ เคยมงุ ดว้ ยกระเบอ้ื งดนิ เผา ปจั จบุ นั
เทพนนิ ติ ร พระพุทธรูปปนู ป้นั ปางมารวชิ ยั ลกั ษณะ มีสภาพช�ำรุดเปล่ียนเป็นหลังคาสังกะสี ปั้นลม
ขดั สมาธริ าบ พทุ ธศลิ ปแ์ บบลา้ นชา้ ง ถอื เปน็ พระพทุ ธรปู และเชิงชายเป็นไม้แกะสลักลายฉลุ เหนือประตู
ศักดสิ์ ทิ ธค์ิ ่บู า้ นค่เู มือง ทางเข้ามจี ารึกเป็นตัวเลขไทย และตัวเลขญวนบอก
ทง้ั นี้ ในเวลาตอ่ มา วดั ศรโี พธชิ ยารามคามวดี พ.ศ. ๒๓๗๘
ทใี่ ชเ้ ปน็ ทปี่ ระดษิ ฐานองคพ์ ระเหลา ไดเ้ ปลย่ี นชอ่ื เรยี ก
ตามความนิยมในตวั องคพ์ ระ เป็น วัดพระเหลา



220 แหล่งเรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตร์ในทอ้ งถิน่ ๗๗ จังหวัดทว่ั ไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉียงเหนอื )

ดัชนี

221แหล่งเรียนร้ทู างประวตั ศิ าสตร์ในท้องถน่ิ ๗๗ จงั หวดั ทวั่ ไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื )



ก�ำแพงเพชร, ๒๓
• อทุ ยานประวัตศิ าสตร์กำ� แพงเพชร, ๒๕ - ๒๖ • วัดพระบรมธาตุ นครชุม, ๒๖ • โบราณสถานวดั เขานางทอง, ๒๖ - ๒๗
• วัดพระแกว้ , ๒๗ • บา้ นพะโป้, ๒๗ - ๒๘
เชยี งราย, ๒๙
• อนุสาวรยี พ์ ญามังราย, ๓๑ - ๓๒ • วดั พระแกว้ , ๓๒ • เมืองโบราณเชียงแสน, ๓๒ - ๓๓
• พพิ ธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ เชียงแสน, ๓๓ - ๓๔ • วถิ ีชวี ิตชาตพิ นั ธุอ์ ่าข่า ดอยแสนใจ, ๓๔
เชียงใหม,่ ๓๕
• วัดเจดยี ห์ ลวงวรวิหาร, ๓๘ • วดั แม่สาหลวง, ๓๘ • พระธาตดุ อยสุเทพ, ๓๘ • วัดปา่ ดาราภิรมย์, ๓๙
• วดั เจด็ ยอด, ๓๙ • วดั พระธาตุสบฝาง, ๓๙ • วดั พระธาตดุ อยนอ้ ย, ๓๙ - ๔๐ • เวยี งกมุ กาม, ๔๐
• วดั พระเจา้ องค์ด�ำ, ๔๐ • เวียงท่ากาน, ๔๑ • กำ� แพงเมอื งเชยี งใหม,่ ๔๑ • พิพธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม,่ ๔๑ - ๔๒
ตาก, ๔๓
• ศาลเจ้าพ่อพระวอ, ๔๕ - ๔๖ • วดั พระบรมธาตบุ า้ นตาก, ๔๖ • ผาสามเงา, ๔๖ • วดั แมซ่ อดน่าดา่ น, ๔๖
น่าน, ๔๗
• พระธาตุแช่แห้ง, ๕๐ • วดั พญาวดั , ๕๐ • วดั ภมู นิ ทร,์ ๕๑ • พิพิธภณั ฑสถานเเห่งชาติ นา่ น, ๕๑
• พระพทุ ธรปู ไม้ วดั มหาโพธ,์ิ ๕๑ - ๕๒ • วดั นาํ้ ลอ้ ม, ๕๒ • บอ่ เกลือภเู ขา, ๕๒ • โฮงเจ้าฟองคำ� , ๕๒ - ๕๓
• ประเพณเี เขง่ เรอื เมอื งนา่ น, ๕๓ • ตงุ ค่าคงิ ชมุ ชนบา้ นพระเกดิ , ๕๓
พะเยา, ๕๕
• อนุสาวรยี พ์ ญางำ� เมอื ง, ๕๗ - ๕๘ • เตาเผาโบราณบา้ นบวั , ๕๘ • โบราณสถานเมอื งเวยี งลอ, ๕๘
• ศนู ยว์ ฒั นธรรมไทลอื้ , ๕๘
พจิ ติ ร, ๕๙
• วดั ทา่ หลวง, ๖๑ • อทุ ยานเมอื งเกา่ พจิ ติ ร, ๖๒ • วดั เขารปู ชา้ ง, ๖๒ • วดั โพธปิ์ ระทบั ชา้ ง, ๖๒ - ๖๓
• หลวงปจู่ นั ทา ถาวโร, ๖๓ • พพิ ิธภัณฑ์เเละการจัดเเสดงวิถชี วี ติ ของชาวไทยพวน, ๖๓ - ๖๔
พิษณุโลก, ๖๕
• วดั พระศรรี ตั นมหาธาตวุ รมหาวหิ าร, ๖๘ • พระราชวงั จนั ทน,์ ๖๘ - ๖๙ • พระบรมราชานสุ าวรยี พ์ อ่ ขนุ ศรอี นิ ทราทติ ย,์ ๖๙
• วัดหนา้ พระธาตุ (วดั เหนอื ), ๖๙ • วดั ตาปะขาวหาย, ๖๙ - ๗๐ • บอ่ เกลือพันปี บา้ นบอ่ โพธิ,์ ๗๐ • วดั นางพญา, ๗๐
เพชรบรู ณ,์ ๗๑
• อนสุ าวรยี พ์ อ่ ขนุ ผาเมอื ง เเละ พพิ ิธภณั ฑพ์ อ่ ขนุ ผาเมอื ง, ๗๔ • อุทยานประวัตศิ าสตร์ศรเี ทพ, ๗๔ - ๗๕
• อนุสรณ์สถานผ้เู สียสละเขาค้อ, ๗๕ • เฮยี นเสายองหนิ , ๗๕ - ๗๖
แพร่, ๗๗
• วัดจอมสวรรค์, ๘๐ • วดั สงู เมน่ , ๘๐ • แหลง่ โบราณคดบี า้ นนาตอง, ๘๑
• อนสุ าวรยี พ์ ระยาไชยบรู ณ,์ ๘๑ • คมุ้ เจา้ หลวงเมอื งเเพร,่ ๘๑ - ๘๒
เเมฮ่ ่องสอน, ๘๓
• แหลง่ โบราณคดเี พงิ ผาถาํ้ ลอด, ๘๖ • รอยพระพทุ ธบาทเมอื งเเปง, ๘๖
• วดั จองคำ� , ๘๖ - ๘๗ • บา้ นรกั ไทย, ๘๗
ล�ำปาง, ๘๙
• วดั พระธาตุลำ� ปางหลวง, ๙๑ - ๙๒ • วดั ปงสนกุ , ๙๒ • วดั เวียง, ๙๒ - ๙๓ • ศาลเจา้ พอ่ พญาวัง, ๙๓
• อนสุ าวรยี ์และศาลเจ้าพ่อขุนตาน, ๙๓ • อาคารหม่องโงย่ ซิ่น, ๙๓ - ๙๔
ลำ� พนู , ๙๕
• วดั พระพทุ ธบาทผาหนาม, ๙๗ - ๙๘ • พระธาตเุ จดีย์ห้าดวง, ๙๘ • พระธาตดุ อยหา้ งบาตร, ๙๘
• วัดพระบาทห้วยต้ม, ๙๙ • วดั ประตูปา่ , ๙๙ • วัดมว่ งโตน, ๙๙
• พพิ ิธภัณฑ์พ้ืนบ้านชาวยอง วดั ต้นเเกว้ , ๑๐๐ • บา้ นน้าํ บอ่ น้อย, ๑๐๐

223แหลง่ เรียนรู้ทางประวัตศิ าสตร์ในทอ้ งถ่นิ ๗๗ จังหวัดทัว่ ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)

สุโขทัย, ๑๐๑
• อุทยานประวตั ิศาสตร์ศรีสชั นาลัย, ๑๐๓ - ๑๐๔ • อทุ ยานประวตั ิศาสตร์สโุ ขทัย (เมืองเก่าสุโขทัย), ๑๐๔ - ๑๐๕
• ปรางค์เขาปู่จ่า, ๑๐๕ - ๑๐๖ • ชมุ ชนไทยพวนบา้ นหาดเส้ยี ว, ๑๐๖
อตุ รดติ ถ์, ๑๐๗
• บอ่ เหลก็ น�ำ้ พี้, ๑๐๙ - ๑๑๐ • อนสุ รณส์ ถานบ้านเกดิ พระยาพชิ ัยดาบหัก, ๑๑๐ • วดั พระบรมธาตทุ งุ่ ยง้ั , ๑๑๐
อุทยั ธานี, ๑๑๑
• เมืองโบราณบึงคอกช้าง, ๑๑๓ - ๑๑๔ • วดั อโุ ปสถาราม, ๑๑๔ • เเหล่งทอผา้ พน้ื เมืองบา้ นโคกหมอ้ , ๑๑๔
• วัดสงั กสั รตั นคีรี, ๑๑๔ • เมอื งโบราณการงุ้ , ๑๑๔
กาฬสนิ ธ,ุ์ ๑๑๕
• พระธาตยุ าคู, ๑๑๗ - ๑๑๘ • เมอื งฟา้ แดดสงยาง, ๑๑๘ • วัดดอนก,ู่ ๑๑๘ • พทุ ธสถานภูปอ, ๑๑๘
• วัดพทุ ธนมิ ิตภคู า่ ว, ๑๑๘ - ๑๑๙ • อนุสาวรยี พ์ ระยาชยั สนุ ทร, ๑๑๙ • อนุสาวรียพ์ ระธเิ บศรว์ งศา (กอ), ๑๑๙
• พพิ ธิ ภณั ฑ์สริ ินธร, ๑๑๙ • ศูนย์ศลิ ปวัฒนธรรมผไู้ ทย ผ้าไหมแพรวาบ้านโพน, ๑๒๐
ขอนแกน่ , ๑๒๑
• พระธาตขุ ามแกน่ , ๑๒๓ - ๑๒๔ • เมอื งโบราณดงเมอื งแอม, ๑๒๔ • เมอื งไชยวาน, ๑๒๔ • ปราสาทเปอื ยนอ้ ย, ๑๒๔ - ๑๒๕
• วดั ศรพี มิ ลบา้ นโตน้ , ๑๒๕ • วดั โพธไิ์ ชย, ๑๒๕ • วัดมัชฌิมวิทยาราม, ๑๒๕ • สมิ วดั สระบวั แกว้ , ๑๒๕
• สมิ วดั ไชยศรี, ๑๒๖ • ศาลเจา้ พ่อมเหสกั ข,์ ๑๒๖
ชยั ภูมิ, ๑๒๗
• อนสุ าวรียพ์ ระยาภกั ดีชุมพล (แล), ๑๒๙ - ๑๓๐ • ปรางคก์ ู่ บา้ นหนองบวั เมอื งเกา่ , ๑๓๐ • ใบเสมาบา้ นกดุ โงง้ , ๑๓๐
• พระเจา้ องคต์ อื้ , ๑๓๐ • เมอื งโบราณนครกาหลง, ๑๓๑ • ปรางคก์ บู่ า้ นเเทน่ , ๑๓๑ • อนสุ าวรยี พ์ ระไกรสงิ หนาท, ๑๓๑
• พระธาตกุ ดุ จอก, ๑๓๑ - ๑๓๒ • พระงา้ ง, ๑๓๒ • วดั ปทมุ ชาต,ิ ๑๓๒
นครพนม, ๑๓๓
• พระธาตพุ นม, ๑๓๕ - ๑๓๖ • พระธาตมุ หาชยั , ๑๓๖ • พระธาตศุ รคี ณุ , ๑๓๖ • พระธาตเุ รณ,ู ๑๓๖ • พระธาตทุ า่ อเุ ทน, ๑๓๖
• พระธาตปุ ระสทิ ธ,ิ์ ๑๓๗ • พระพทุ ธบาทจำ� ลองพระธาตนุ คร, ๑๓๗ • พพิ ธิ ภณั ฑห์ ลวงปตู่ อื้ อจลธมโฺ ม, ๑๓๗
• อนสุ าวรยี พ์ ระยอดเมอื งขวาง, ๑๓๗ • ชมุ ชนเผา่ ไทโส,้ ๑๓๘ • ชมุ ชนบา้ นทา่ เรอื , ๑๓๘
นครราชสมี า, ๑๓๙
• อนสุ าวรยี ท์ า้ วสรุ นาร,ี ๑๔๒ • อนสุ รณส์ ถานวรี กรรมทงุ่ สมั ฤทธ,์ิ ๑๔๒ • อทุ ยานประวตั ศิ าสตรป์ ราสาทหนิ พมิ าย, ๑๔๒ - ๑๔๓
• แหลง่ โบราณคดบี า้ นโนนวดั , ๑๔๓ • แหลง่ โบราณคดบี า้ นปราสาท, ๑๔๓ • เมอื งเสมา, ๑๔๓ - ๑๔๔
• สระแกว้ , ๑๔๔ • หลกั ศิลาจารึกรัชกาลที่ ๕, ๑๔๔ • ปรางคค์ รบรุ ,ี ๑๔๔ - ๑๔๕ • ปราสาทเมอื งแขก, ๑๔๕
• ปราสาทเมอื งเกา่ , ๑๔๕ • วดั หนา้ พระธาต,ุ ๑๔๕
บงึ กาฬ, ๑๔๗
• วดั เจตยิ าคีรวี ิหาร, ๑๔๙ • วดั อาฮงศิลาวาส และ แก่งอาฮง, ๑๕๐ • วัดสว่างอารมณ์, ๑๕๐ • หลวงพ่อพระใหญ่, ๑๕๐
บุรีรมั ย,์ ๑๕๑
• อทุ ยานประวตั ศิ าสตรพ์ นมรงุ้ , ๑๕๓ - ๑๕๔ • วดั เขาองั คาร, ๑๕๔ • ปราสาทหนิ เมอื งตำ�่ , ๑๕๔ • ปรางค์กู่สวนแตง, ๑๕๔
• วนอทุ ยานเขากระโดง, ๑๕๕ • เมอื งตะลงุ (เมอื งโบราณประโคนชยั ), ๑๕๕ • แหล่งเตาเผาโบราณ บา้ นกรวด, ๑๕๕
มหาสารคาม, ๑๕๗
• กมู่ หาธาตุ, ๑๕๙ - ๑๖๐ • นครจัมปาศรี, ๑๖๐ • กสู่ ันตรัตน,์ ๑๖๐ • พระธาตุนาดูน, ๑๖๐
• พระพทุ ธมงคล และ พระพทุ ธมง่ิ เมอื ง, ๑๖๑ • พพิ ธิ ภณั ฑว์ ดั มหาชยั , ๑๖๑ • แหลง่ โบราณคดบี า้ นเชยี งเหยี น, ๑๖๑
• ศาลหลกั เมืองมหาสารคาม, ๑๖๒

224 แหลง่ เรยี นรทู้ างประวัติศาสตรใ์ นทอ้ งถ่นิ ๗๗ จงั หวัดท่ัวไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ)

มกุ ดาหาร, ๑๖๓
• วัดศรีมงคลใต,้ ๑๖๕ • วัดมโนภริ มย,์ ๑๖๕ • วดั บรรพตคีรี (ภจู อ้ กอ้ ), ๑๖๖ • วดั ศรบี ญุ เรือง, ๑๖๖
• วัดพจิ ิตรสงั ฆาราม, ๑๖๖ • วดั มชั ฌมิ าวาส, ๑๖๖
ยโสธร, ๑๖๗
• โบราณสถานดงเมอื งเตย, ๑๖๙ - ๑๗๐ • พระธาตุกู่จาน, ๑๗๐ • วดั พระพุทธบาทยโสธร, ๑๗๐
• หอไตรวัดสระไตรนรุ กั ษ์, ๑๗๐ • พพิ ิธภัณฑบ์ ้ังไฟของจังหวดั ยโสธร, ๑๗๐
รอ้ ยเอด็ , ๑๗๑
• บึงพลาญชัย, ๑๗๓ - ๑๗๔ • ปรางค์ก,ู่ ๑๗๔ • กูก่ าสิงห์, ๑๗๔ • กูโ่ พนวิท, ๑๗๔ • กู่พระโกนา, ๑๗๔
เลย, ๑๗๕
• พระธาตุศรสี องรกั , ๑๗๗ • อุทยานเทิดพระเกียรติบ้านหมากแข้ง, ๑๗๘
• วดั โพธชิ์ ยั , ๑๗๘ • พิพธิ ภัณฑ์ใบเสมาหนิ ทราย วัดพัทธสีมาราม, ๑๗๘
ศรีสะเกษ, ๑๗๙
• ปราสาทวดั สระก�ำแพงใหญ่, ๑๘๑ - ๑๘๒ • สวนพระยาไกรภกั ดีศรีนครล�ำดวน (ตากะจะ), ๑๘๒
• กู่แก้วสีท่ ศิ กแู่ กว้ บ้านหว้าน, ๑๘๒ - ๑๘๓ • ปราสาทตาเลง็ , ๑๘๓
• ปราสาทโดนตวล, ๑๘๓ • ปราสาทตำ� หนกั ไทร, ๑๘๓
สกลนคร, ๑๘๕
• พระธาตุเชงิ ชมุ , ๑๘๘ • พระธาตนุ ารายณ์เจงเวง, ๑๘๘ • พพิ ธิ ภัณฑ์พระอาจารย์มัน่ ภูริทัตโต, ๑๘๘
• เจดยี พ์ พิ ธิ ภณั ฑ์หลวงปูห่ ลุย จนั ทสาโร, ๑๘๙ • พิพธิ ภัณฑพ์ ระอาจารยฝ์ ้นั อาจาโร, ๑๘๙
• เจดีย์พิพิธภณั ฑพ์ ระราชนิโรธรังสี (เทสก์ เทสรังส)ี , ๑๘๙ • พระต�ำหนักภพู านราชนเิ วศน์, ๑๘๙
• ภาพรอยสลักผาสามพันปีทภ่ี ูผายล, ๑๘๙ - ๑๙๐ • ทะเลสาบหนองหาร, ๑๙๐
สรุ นิ ทร,์ ๑๙๑
• ปราสาทภูมโิ ปน, ๑๙๓ - ๑๙๔ • ปราสาทศีขรภมู ,ิ ๑๙๔ • กล่มุ ปราสาทตาเมือน, ๑๙๔
• วดั ธาตุ บา้ นสนม, ๑๙๔ • หมบู่ า้ นทอผา้ ไหม กลมุ่ ทอผา้ ยกทองจนั ทรโ์ สมา, ๑๙๔
หนองคาย, ๑๙๕
• อนสุ าวรยี ์ปราบฮอ่ , ๑๙๘ • หลวงพอ่ พระใส, ๑๙๘ • พระธาตุบงั พวน, ๑๙๘ - ๑๙๙ • วัดพระแก้วเดิม, ๑๙๙
• พระธาตุกลางน้�ำ, ๑๙๙ • หลวงพ่อพระเจา้ องค์ตือ้ , ๑๙๙ - ๒๐๐ • วัดหินหมากเปง้ , ๒๐๐
หนองบัวลำ� ภู, ๒๐๑
• ศาลสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช, ๒๐๓ - ๒๐๔ • แหลง่ โบราณคดี ในพื้นทีอ่ �ำเภอโนนสงั , ๒๐๔
• วดั ถำ้� สวุ รรณคหู า, ๒๐๔
อดุ รธานี, ๒๐๕
• พพิ ธิ ภณั ฑเ์ มอื งอดุ รธาน,ี ๒๐๗ • แหล่งโบราณคดีบา้ นเชยี ง, ๒๐๘ • อทุ ยานประวัตศิ าสตร์ภพู ระบาท,​๒๐๘
• หนองประจกั ษ,์ ๒๐๙ • วดั ป่าบา้ นตาด, ๒๐๙ • วัดโพธิสมภรณ,์ ​๒๐๙ • ศาลหลักเมืองอดุ รธานี, ๒๑๐
อุบลราชธาน,ี ๒๑๑
• วดั ท่งุ ศรเี มอื ง, ๒๑๓ - ๒๑๔ • วัดสปุ ฏั นารามวรวิหาร, ๒๑๔ • อุทยานเเห่งชาตผิ าแตม้ , ๒๑๔
• พิพธิ ภณั ฑ์ชมุ ชนวัดภถู ำ้� พระศลิ าทอง, ๒๑๔ - ๒๑๕ • ปราสาทธาตุนางพญา, ๒๑๕ • ปราสาททองหลาง, ๒๑๕
• ปราสาทบ้านเบญจ์, ๒๑๕ • พพิ ธิ ภณั ฑแ์ หล่งโบราณคดบี ้านก้านเหลือง, ๒๑๕
อ�ำนาจเจรญิ , ๒๑๗
• แหลง่ โบราณคดีเปอื ยหัวดง, ๒๑๙ - ๒๒๐ • วดั พระเหลาเทพนิมติ , ๒๒๐ • วัดศรีโพธชิ์ ยั , ๒๒๐

225แหล่งเรยี นรู้ทางประวัตศิ าสตร์ในทอ้ งถ่ิน ๗๗ จงั หวัดท่ัวไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ)

คณะผจู้ ดั ทำ�

ทปี่ รึกษา เลขาธิการคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน
นายอ�ำ นาจ วชิ ยานวุ ตั ิ ผอู้ ำ�นวยการสำ�นักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา
นางสาวรัตนา แสงบัวเผอื่ น ผเู้ ชี่ยวชาญพิเศษ
นางเบญจลักษณ์ น้ําฟา้ สำ�นักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พื้นฐาน


คณะผเู้ ขยี น อาจารย์ประจำ� คณะศิลปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล
รองศาสตราจารยป์ รดี ี พศิ ภมู วิ ถิ ี ข้าราชการบำ�นาญ
รอ้ ยโทหญิงสุดาวรรณ เครอื พานชิ ขา้ ราชการบำ�นาญ
นางกาญจนา พตุ ฉาย ข้าราชการบำ�นาญ
นางเกษราภรณ์ ไชยมาตย ์ ข้าราชการบำ�นาญ
นางนอ้ ยประนอม เคยี นทอง ขา้ ราชการบ�ำ นาญ
นางบังอร ควรประสงค์ ข้าราชการบ�ำ นาญ
นางประภสั สร โกศัลวัฒน ์ ข้าราชการบ�ำ นาญ
นายประหยัด รอดแสน ขา้ ราชการบำ�นาญ
นายปรีชา เดือนนลิ ขา้ ราชการบ�ำ นาญ
นางปวณี า ปานยิ้ม ข้าราชการบ�ำ นาญ
นางวรยา พลายเล็ก ขา้ ราชการบ�ำ นาญ
นางวนั เพญ็ ศิรคิ ง ขา้ ราชการบำ�นาญ
นางวภิ า อัมระรงค ์ ขา้ ราชการบ�ำ นาญ
นายวริ ตั น์ บรรจง ข้าราชการบ�ำ นาญ
นางวิไลวรรณ เหมือนชาต ิ ขา้ ราชการบ�ำ นาญ
นางวไิ ลวรรณ โอรส ขา้ ราชการบ�ำ นาญ
นางสาวอัญชลี เกษสรุ ิยงค์ ศกึ ษานเิ ทศก์ ส�ำ นักงานศกึ ษาธกิ ารจังหวดั ขอนแกน่
นายเสรี ชงั ภัย ศกึ ษานิเทศก์ สำ�นกั งานศกึ ษาธิการจังหวดั จนั ทบรุ ี
นายแกลว้ กล้า ศรีหนารถ

226 แหลง่ เรยี นรทู้ างประวตั ิศาสตรใ์ นทอ้ งถน่ิ ๗๗ จังหวัดท่วั ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)

นายสมคิด ศรีปราชญ ์ ศกึ ษานิเทศก์ สำ�นกั งานศกึ ษาธกิ ารจงั หวัดปราจนี บุรี
นางยอดอนงค์ จอมหงษ์พิพัฒน์ ศกึ ษานิเทศก์ ส�ำ นกั งานศึกษาธกิ ารจงั หวดั อุบลราชธานี
นางสาวสมลกั ษณ์ วิจบ ศึกษานิเทศก์
ส�ำ นกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาชยั ภูมิ เขต ๓
นายสมานชยั สวุ รรณอ�ำ ไพ ศึกษานเิ ทศก์
ส�ำ นกั งานเขตพื้นท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษานครพนม เขต ๒
นางพงศศ์ กั ด์ิ กาญจนภกั ด์ิ ศึกษานิเทศก์
ส�ำ นกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษานครศรธี รรมราช เขต ๔
นางประพิณ จินตวรรณ ศกึ ษานิเทศก์
ส�ำ นักงานเขตพนื้ ที่การศึกษาประถมศกึ ษาศรสี ะเกษ เขต ๔
นายไพบลู ย์ ประเสรฐิ สรรค ์ ศึกษานเิ ทศก์
ส�ำ นักงานเขตพน้ื ท่กี ารศกึ ษาประถมศึกษาสระแกว้ เขต ๒
นางสาวประเสริฐศรี ศรีวลิ ยั ศกึ ษานิเทศก์
สำ�นกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษาสระแก้ว เขต ๒
นางเยาวภา รตั นบัลลงั ค์ ศกึ ษานิเทศก์
ส�ำ นักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษาสิงห์บรุ ี
นายประจกั ษ์ พุฒพิมพ ์ ศกึ ษานเิ ทศก์
ส�ำ นกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาอบุ ลราชธานี เขต ๔
นางหัทยา เข็มเพชร ศึกษานเิ ทศก์
สำ�นักงานเขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต ๕
นางเบญ็ จมาศ มณเฑยี ร ศกึ ษานิเทศก์
สำ�นักงานเขตพน้ื ท่กี ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต ๓๗
นายสิทธิชยั คงนวน ครูโรงเรยี นวัดเทพนมิ ิตวนาราม
ส�ำ นกั งานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษาชุมพร เขต ๒
นายขจรศักด์ิ สอนแพร ครโู รงเรยี นวัดดอนไก่เตี้ย
ส�ำ นักงานเขตพื้นทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต ๑

227แหล่งเรียนรทู้ างประวัตศิ าสตรใ์ นท้องถิน่ ๗๗ จงั หวัดทวั่ ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื )

นางสาวสุมนพัสร์ ป้องกัน ครูโรงเรยี นสิงหพาหุ “ประสานมิตรอุปถมั ภ”์
ส�ำ นกั งานเขตพน้ื ท่กี ารศึกษามธั ยมศึกษา เขต ๕
นางสาวธัญนันท์ แกว้ เกดิ ผอู้ �ำ นวยการกลุ่มโครงการพิเศษ
สำ�นักพัฒนานวัตกรรมการจดั การศกึ ษา
นางสาวกติ ยาภรณ์ ประยรู พรหม นกั วชิ าการศึกษา สำ�นักวชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา
นางสาววันนาอีมาห์ ตาเยะ นักวชิ าการศึกษา ส�ำ นักวชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา
ว่าทร่ี ้อยตรีหญิงภูษณศิ า สังขช์ ว่ ย เจา้ หน้าท่ี ส�ำ นกั วิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา

จัดพมิ พ์ต้นฉบบั พนกั งานบนั ทกึ ขอ้ มลู ส�ำ นกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา
นางสาวมณฑาทพิ ย์ มรกต
นางสาวพรชนัน บุญประเสรฐิ

วาดภาพประกอบ
นายดิศนล นวลมณี

พสิ ูจน์อักษร เจา้ หนา้ ท่ี ส�ำ นกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา
นางสาวสชุ าดา อรา่ มเรือง นกั วชิ าการศกึ ษา สำ�นกั วิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา
ผู้อำ�นวยการกลุ่มโครงการพเิ ศษ
บรรณาธกิ ารกจิ ส�ำ นักพฒั นานวัตกรรมการจดั การศกึ ษา
นางสาวกติ ยาภรณ์ ประยรู พรหม
นางสาวธัญนนั ท์ แกว้ เกดิ


228 แหล่งเรียนรทู้ างประวัตศิ าสตร์ในท้องถน่ิ ๗๗ จังหวัดทว่ั ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ)

แหล่งเรยี นร้ทู างประวตั ศิ าสตร์ในทอ้ งถน่ิ ๗๗ จังหวัดท่วั ไทย 1
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ)


Click to View FlipBook Version