The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

1S2C_ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ภาคเหนือ ภาคอีสาน_แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ในท้องถิ่น
.
บรรณาธิการกิจและ Published :ส.ส้ม กิตยาภรณ์ ประยูรพรหม K.PRAYOONPROM
.
ผลงานและลิขสิทธิ์ของ สถาบันสังคมศึกษา สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by zom Kityaporn OBEC, 2021-02-15 13:28:08

zom_ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น_1S2C_เหนือ_อีสาน

1S2C_ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ภาคเหนือ ภาคอีสาน_แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ในท้องถิ่น
.
บรรณาธิการกิจและ Published :ส.ส้ม กิตยาภรณ์ ประยูรพรหม K.PRAYOONPROM
.
ผลงานและลิขสิทธิ์ของ สถาบันสังคมศึกษา สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ

Keywords: academic.obec,COOL_sungkom,1S2C_obechistory

บงึ กาฬ

ภูทอก โดยไดร้ ่วมแรงร่วมใจช่วยกนั สร้างบนั ไดและ วัดแห่งน้ีขึ้น บรรยากาศโดยรอบมีความร่มรื่น
สะพานรอบเขา ปลกู สรา้ งเสนาสนะส�ำหรบั พระสงฆ์ ปกคลุมด้วยต้นไม้ สถานท่ีส�ำคัญภายในวัด ได้แก่
สรา้ งท�ำนบกน้ั นำ้� เพอื่ เปน็ แหลง่ นำ้� ใชข้ องวดั ปจั จบุ นั โบสถ์ ต้งั อยู่บนกอ้ นหิน มีหลืบถ�ำ้ ซึง่ ด้านล่างเปน็ ที่
มีสถานที่จดั การเรียนการสอนพระปรยิ ตั ธิ รรม และ ประดิษฐานพระพุทธรูป ปางปรินิพพาน ด้านบน
เจดยี พ์ ิพธิ ภัณฑพ์ ระอาจารย์จวน กลุ เชฏโฐ โขดหิน มีเจดยี ์ทรงระฆงั ควำ�่ เปน็ จุดชมววิ ทวิ ทัศน์
สามารถเหน็ สาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว
วัดอาฮงศิลาวาส และ แก่งอาฮง ต้ังอยู่ เหตทุ เี่ รยี กวา่ วดั ถำ�้ ศรธี น สนั นษิ ฐานวา่ อาจเคยเปน็
ริมฝั่งแม่น�้ำโขง อ�ำเภอเมืองบึงกาฬ บริเวณวัด ทีต่ งั้ เมืองโบราณในอดตี คือ เมอื งเปงจานนครราช
มีความสวยงาม สงบและร่มร่ืน ภายในมีอุโบสถ ซึง่ มที า้ วศรธี น เปน็ เจา้ เมือง
หนิ ออ่ น ตง้ั อยบู่ นพน้ื ทเี่ นนิ จดุ เดน่ คอื มบี นั ไดทางขน้ึ
ที่มีปูนปั้นรูปพญานาค ทอดตัวยาวไปจนเกือบถึง หลวงพอ่ พระใหญ่ เปน็ พระพทุ ธรปู ศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ
ตัววิหาร ภายในอุโบสถมีพระประธานนามว่า คบู่ า้ นคเู่ มืองบึงกาฬ อยทู่ ีว่ ดั โพธาราม บา้ นทา่ ไคร้
พระพุทธควานันท์ศาสดา มีพุทธลักษณ์คล้ายกับ อ�ำเภอเมือง เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะ
พระพทุ ธชนิ ราช จังหวดั พิษณุโลก สมัยลา้ นชา้ ง เปน็ พระพทุ ธรูปโลหะทม่ี กี ารฉาบปนู
ชาวบ้านมีความเช่ือว่า ล�ำน�้ำโขงบริเวณ และทาสีทับ ตามต�ำนานและค�ำบอกเล่าของผู้เฒ่า
หนา้ วดั เปน็ จดุ ทล่ี กึ ทสี่ ดุ ในแมน่ ำ�้ โขง หรอื เรยี กกนั วา่ ผู้แก่เล่าว่า ในอดตี กวา่ ๒๐๐ ปมี าแล้ว มีกลุ่มคน
สะดือแม่น�้ำโขง และมีความเช่ือเก่ียวกับพญานาค อพยพมาจากเมืองยศ (เมืองยโสธร ในปัจจุบัน)
ในชว่ งเดอื นมนี าคมถงึ พฤษภาคมของทกุ ปี เมอ่ื นำ้� ลด มาตั้งถ่ินฐานในพื้นท่ีบริเวณที่เป็นบ้านท่าไคร้
จะมองเห็นแก่งหินกลางล�ำน�้ำโขง ชาวบ้านเรียก ในปจั จบุ นั ไดร้ ว่ มกนั ถากถางปา่ ทร่ี กทบึ เพอื่ ใหเ้ ปน็
แก่งหินนี้ว่า “แก่งอาฮง” ซ่ึงเป็นแหล่งท่องเท่ียว ที่อยู่อาศัยและที่ท�ำมาหากิน จึงได้พบพระพุทธรูป
ส�ำคัญของจังหวดั ท่ีมีเถาวัลย์พันรอบองค์พระเกตุมาลา นอกจากนี้
ยังพบเศษเคร่ืองปั้นดินเผา โอ่งโบราณ และ
วดั สว่างอารมณ์ หรอื วัดถ้�ำศรีธน อยใู่ น เครอื่ งใชโ้ บราณอน่ื ๆ ในพนื้ ทห่ี มบู่ า้ น ชาวบา้ นจงึ ได้
พื้นท่ีอ�ำเภอปากคาด เป็นวัดส�ำคัญของจังหวัด ร่วมกันพัฒนาสถานที่ สร้างเป็นวัดโพธาราม
ซ่ึงพระอธิการด่อน อินทสาโร หรือ หลวงปู่ด่อน ในปจั จบุ นั
ที่ชาวปากคาดให้การเคารพนับถือ เป็นผู้พัฒนา

150 แหลง่ เรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ในทอ้ งถน่ิ ๗๗ จงั หวัดทว่ั ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ)

บุรรี ัมย์

บรุ รี มั ย์

151แหล่งเรียนรู้ทางประวตั ิศาสตร์ในทอ้ งถิ่น ๗๗ จังหวดั ทั่วไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉียงเหนอื )



บุรีรัมย์

บรุ รี มั ย์

เมอื งปราสาทหิน ถนิ่ ภูเขาไฟ ทอ่ี ยใู่ กลเ้ คยี งกบั นางรอง ไดแ้ ก่ เมอื งเขมรปา่ ดง ตะลงุ
สรุ นิ ทร์ สงั ขะ และขขุ นั ธ์ มารว่ มสวามภิ กั ดต์ิ อ่ กรงุ ธนบรุ ี
ผ้าไหมสวย รวยวฒั นธรรม รวมเมอื งตา่ ง ๆ เหลา่ นเี้ ขา้ ดว้ ยกนั เรยี กวา่ “เมอื งแปะ”
เลศิ ลำ้� เมอื งกฬี า สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราชทรงแตง่ ตง้ั “บรุ รี มย”์
บตุ รเจา้ เมอื งผไทสมนั (พทุ ไธสง) ขน้ึ เปน็ ผปู้ กครอง
เมอื งใหมแ่ หง่ นกี้ เ็ จรญิ รงุ่ เรอื งเรอื่ ยมา และพระบาท
บรุ รี มั ย์ ตงั้ อยทู่ างตอนลา่ งของภาคตะวนั ออก สมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลที่ ๔) โปรด
เฉยี งเหนอื พนื้ ทต่ี ดิ กบั ประเทศกมั พชู า ลกั ษณะพน้ื ที่ พระราชทานชื่อใหม่ว่า “เมืองบุรีรัมย์” ในสมัยที่
มคี วามหลากหลาย เปน็ ทรี่ าบสงู และภเู ขาทางตอนใต้ ปกครองรูปแบบมณฑลเทศาภิบาล บุรีรัมย์ข้ึนกับ
เปน็ พน้ื ทลี่ กู คลนื่ ลอนตน้ื เกดิ จากภเู ขาไฟในตอนกลาง มณฑลนครราชสมี า และในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ มกี ารจดั
เปน็ ทร่ี าบลมุ่ แมน่ ำ้� มลู ทางตอนเหนอื จากความหลากหลาย ระเบยี บบรหิ ารราชการสว่ นภมู ภิ าคออกเปน็ จงั หวดั
ของภมู ปิ ระเทศ สง่ ผลใหม้ ที รพั ยากรทางธรรมชาติ และอ�ำเภอ เมอื งบรุ รี มั ยจ์ งึ มฐี านะเปน็ จงั หวดั บรุ รี มั ย์
ทอ่ี ดุ มสมบรู ณ์ เหมาะสมแกก่ ารตง้ั ถนิ่ ฐานบา้ นเรอื น จากหลักฐานท่ีแสดงถึงการต้ังถ่ินฐานบน
พบรอ่ งรอยการตงั้ ชมุ ชนนบั แตส่ มยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ ดินแดนแห่งนี้มาอย่างยาวนาน ส่งผลให้บุรีรัมย์
สมยั ทวารวดี และทพี่ บมาก คอื รอ่ งรอยการแผข่ ยาย มแี หลง่ เรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตรใ์ นทอ้ งถนิ่ ทน่ี า่ สนใจ
อ�ำนาจของอารยธรรมเขมรเหนอื ดนิ แดนแหง่ น้ี กลา่ วคอื ควรศกึ ษาเรยี นรู้ เชน่
มกี ารพบปราสาทหนิ ปราสาทอฐิ ตามแบบวฒั นธรรม
เขมรโบราณมากกวา่ ๖๐ แหง่ การพบแหลง่ เตาเผา อทุ ยานประวตั ศิ าสตรพ์ นมรงุ้ หรอื ปราสาทหนิ
ภาชนะดนิ เผาและเครอื่ งถว้ ยแบบเขมร อายเุ กา่ แก่ พนมรงุ้ ตงั้ อยทู่ อี่ �ำเภอเฉลมิ พระเกยี รติ ปราสาทหนิ
ประมาณยคุ พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๕ - ๑๘ เปน็ ตน้ พนมรงุ้ เปน็ หนงึ่ ในปราสาทหนิ ขอมของไทยทม่ี ชี อ่ื เสยี ง
ไมป่ รากฏหลกั ฐานแนช่ ดั วา่ ชมุ ชนทอ่ี าศยั มากทส่ี ดุ ในมติ ปิ ระวตั ศิ าสตร์ เปน็ ปราสาทหนิ ทอ่ี ยู่
อยใู่ นพน้ื ทบ่ี รุ รี มั ยน์ ี้ เรยี กชอ่ื วา่ อยา่ งไร มเี พยี งหลกั ฐาน ในกลมุ่ ราชมรรคา คอื กลมุ่ ปราสาททอี่ ยบู่ นเสน้ ทาง
สมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยาทกี่ ลา่ วถงึ เมอื งนางรอง เมอื งพทุ ไธสง จากนครธมไปยงั เมอื งตา่ ง ๆ รอบพระราชอาณาจกั ร
และเมอื งประโคนชยั เปน็ ชอ่ื อ�ำเภอในปจั จบุ นั ในสมยั ลกั ษณะเปน็ กลมุ่ อาคารทส่ี รา้ งจากหนิ ทรายสชี มพู
ธนบรุ ี พระยานางรองไดก้ อ่ การกบฏ สมเดจ็ พระเจา้ ประกอบดว้ ย ตวั ปราสาท ทม่ี ปี ราสาทประธาน สะพาน
ตากสินมหาราช ให้เจ้าพระยาจักรี เป็นแม่ทัพมา นาคราช พลบั พลาเปลอ้ื งเครอ่ื ง และบรเิ วณรายรอบ
ปราบปราม เมอื่ ด�ำเนนิ การส�ำเรจ็ ไดโ้ นม้ นา้ วใหเ้ มอื ง

153แหล่งเรียนรทู้ างประวตั ิศาสตรใ์ นทอ้ งถ่นิ ๗๗ จงั หวัดท่วั ไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ)

บุรีรมั ย์

สนั นษิ ฐาน แตแ่ รก ปราสาทหนิ พนมรงุ้ สรา้ งขนึ้ ปราสาทอฐิ ศลิ ปะขอมโบราณ จ�ำนวน ๕ องค์ ตง้ั อยู่
เกย่ี วกบั ศาสนาฮนิ ดู ลทั ธไิ ศวะ ซงึ่ นบั ถอื พระศวิ ะ บนศลิ าแลงฐานเดยี วกนั เรยี งเปน็ ๒ แถว ตามแนว
เปน็ เทพเจา้ สงู สดุ ดงั นน้ั เขาพนมรงุ้ จงึ เปรยี บเสมอื น ทศิ เหนอื ใต้ แถวหนา้ ๓ องค์ องคก์ ลาง มขี นาดใหญ่
เขาไกรลาส ทป่ี ระทบั ของพระศวิ ะ ตอ่ มามกี ารบรู ณะ กวา่ ปรางคอ์ น่ื สว่ นแถวหลงั มปี รางคอ์ ฐิ จ�ำนวน ๒ องค์
กอ่ สรา้ งเพม่ิ เตมิ ตอ่ เนอ่ื งกนั มาหลายสมยั ตง้ั แตป่ ระมาณ วางต�ำแหนง่ ให้อยู่ระหว่างช่องของปรางค์ ๓ องค์
พุทธศตวรรษท่ี ๑๕ ถึงพุทธศตวรรษท่ี ๑๗ และ ในแถวแรก ท�ำใหส้ ามารถมองเหน็ ปรางคท์ ง้ั ๕ องค์
ในพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ สมัยพระเจ้าชัยวรมันท่ี ๗ สนั นษิ ฐานวา่ สรา้ งขน้ึ ในพทุ ธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๗
แห่งอาณาจักรขอมเปล่ียนมานับถือศาสนาพุทธ เพอื่ เปน็ ศาสนสถานในศาสนาฮนิ ดู ถวายพระศวิ ะ
นกิ ายมหายาน เทวสถานแหง่ นจ้ี งึ ไดร้ บั การดดั แปลง
เปน็ วดั มหายาน ปรางคก์ สู่ วนแตง อยทู่ บี่ า้ นดงยาง อ�ำเภอ
บา้ นใหมไ่ ชยพจน์ พระปรางคเ์ ปน็ ปรางคอ์ ฐิ ๓ องค์
วดั เขาองั คาร ตง้ั อยบู่ า้ นเจรญิ สขุ อ�ำเภอ สรา้ งเปน็ แนวยาวเรยี งกนั บนฐานศลิ าแลงเดยี วกนั
เฉลมิ พระเกยี รติ บน “เขาองั คาร” ซง่ึ เปน็ ภเู ขาไฟ อาคารทง้ั หมดหนั หนา้ ไปทางทศิ ตะวนั ออก มปี ระตเู ขา้
ที่ดับสนทิ เขาอังคารเกิดจากการปะทขุ องภูเขาไฟ เพยี งประตเู ดยี ว อกี สามดา้ น สลกั เปน็ ประตหู ลอก
ยุคควอเทอร์นารี หรือประมาณเจ็ดแสนปีท่ีแล้ว ทปี่ รางคป์ ระธาน มที บั หลงั เปน็ รปู ศวิ ะนาฏราช และ
ภายในบริเวณวัดเคยมีการพบใบเสมาหินทราย เทพองคอ์ น่ื เลน่ ดนตรปี ระกอบ สว่ นทบั หลงั ดา้ นอน่ื ๆ
สลกั ภาพบคุ คล สถปู ดอกบวั ธรรมจกั ร ศลิ ปะแบบ สลกั เปน็ รปู เทวต�ำนานตา่ ง ๆ
ทวารวดี ใน พ.ศ. ๒๕๒๐ พระอาจารยป์ ญั ญา วฒุ โิ ธ จากรอ่ งรอยหลกั ฐานทปี่ รากฏ สนั นษิ ฐานวา่
สร้างวัดเขาอังคารบนยอดเขา เป็นสถาปัตยกรรม สรา้ งเพอื่ ใชเ้ ปน็ สถานทปี่ ระกอบศาสนกจิ ในศาสนาฮนิ ดู
แบบผสมผสานสวยงามแปลกตา สงิ่ ทนี่ า่ สนใจในวดั ตง้ั แตร่ ชั สมยั พระเจา้ สรุ ยิ วรมนั ท่ี ๒ แตพ่ อมาถงึ รชั สมยั
เชน่ ใบเสมาหนิ บะซอลท์ ศลิ ปะทวารวดี ซงึ่ มอี ายุ พระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ พระองคท์ รงนบั ถอื ศาสนาพทุ ธ
ประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๓ - ๑๔ หรอื ประมาณ นกิ ายมหายานพระปรางคอ์ งคน์ จี้ งึ เปน็ ทป่ี ระกอบศาสนกจิ
๑,๓๐๐ ปี เปน็ หลกั ฐานทท่ี �ำใหเ้ หน็ วา่ บนยอดเขานี้ ในศาสนาพทุ ธนอกจากนี้จากภาพสลกั บนทบั หลงั ทงั้ หมด
เคยเปน็ ทตี่ ง้ั ของพทุ ธสถานในสมยั โบราณ มลี กั ษณะตรงกบั ศลิ ปะขอมแบบนครวดั จงึ ก�ำหนดอายุ
ของกสู่ วนแตงวา่ อยใู่ นราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๗
ปราสาทหินเมืองต�่ำ ตั้งอยู่บ้านโคกเมือง ปรางค์กู่สวนแตง เป็นโบราณสถานท่ีเคย
อ�ำเภอประโคนชยั ค�ำวา่ “เมอื งตำ�่ ” ไมใ่ ชช่ อื่ ดง้ั เดมิ ถกู ระเบดิ จนปรางคพ์ งั ลงมา เพอ่ื โจรกรรมชนิ้ สว่ น
แตเ่ ปน็ ชอ่ื ทชี่ าวบา้ นเรยี กโบราณสถานแหง่ นี้ เพราะ ไปขาย ภายหลงั กรมศลิ ปากรไดบ้ รู ณะใหม่ จนมคี วาม
ปราสาทแหง่ นต้ี งั้ อยบู่ นพน้ื ราบ มลี กั ษณะเปน็ กลมุ่ สมบรู ณ์ และประกาศขน้ึ ทะเบยี นเปน็ โบราณสถาน

154 แหลง่ เรยี นรู้ทางประวัติศาสตรใ์ นท้องถิน่ ๗๗ จังหวดั ทัว่ ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ)

บรุ รี มั ย์

วนอทุ ยานเขากระโดง ตง้ั อยทู่ บี่ า้ นนำ้� ซบั ทไ่ี หลมาจากภอู งั คาร ภพู นมรงุ้ ซงึ่ เปน็ ภเู ขาศกั ดสิ์ ทิ ธิ์
อ�ำเภอเมอื ง เดมิ ชาวบา้ นเรยี กเขากระโดงวา่ “พนม แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความส�ำคญั ของเมอื งตะลงุ น้ี ทแ่ี มจ้ ะ
เขากระดอง” เปน็ ภาษาเขมรแปลวา่ “ภเู ขากระดอง ไมพ่ บวา่ มศี าสนสถานส�ำคญั ตงั้ อยใู่ นพนื้ ทเ่ี ลยกต็ าม
(เตา่ )” เพราะมรี ปู ลกั ษณค์ ลา้ ยกระดองเตา่ ตอ่ มา
จงึ เพยี้ นเปน็ “กระโดง” ลกั ษณะเปน็ ภเู ขาไฟทดี่ บั สนทิ แหลง่ เตาเผาโบราณ บา้ นกรวด ตง้ั อยทู่ ี่
แลว้ มปี ากปลอ่ งทะลเุ หน็ ไดช้ ดั เจน รอบบรเิ วณแวดลอ้ ม โรงเรยี นบา้ นกรวดวทิ ยาคาร อ�ำเภอบา้ นกรวด ซงึ่ ใน
ดว้ ยปา่ ไมท้ อี่ ดุ มสมบรู ณ์ เปน็ แหลง่ อาศยั ของสตั วป์ า่ บรุ รี มั ย์ คน้ พบแหลง่ เตาเผาโบราณ จ�ำนวนมากกวา่
ขนาดเลก็ โดยเฉพาะนกนานาชนดิ บนเขากระโดง ๓๐๐ เตา กระจายอยู่บริเวณเชิงเขาดงรัก ตั้งแต่
มโี บราณสถานสมยั ขอม รอยพระพทุ ธบาทจ�ำลอง อ�ำเภอเฉลิมพระเกยี รติ อ�ำเภอละหานทราย และ
ซง่ึ ตระกลู สงิ หเ์ สนยี น์ �ำมาประดษิ ฐานไวใ้ นองคป์ รางค์ อ�ำเภอบา้ นกรวด ลกั ษณะของเตาเผา มกี ารกนั้ แบง่ ออก
ทส่ี รา้ งไวแ้ ตเ่ ดมิ ตง้ั เเตส่ มยั สโุ ขทยั โดยสรา้ งมณฑป เปน็ หอ้ ง ๆ ใชค้ นั ดนิ กน้ั แตล่ ะหอ้ ง เพอื่ เผาเครอื่ งปน้ั
ครอบทบั และยงั มี พระสภุ ทั รบพติ ร พระพทุ ธรปู ดนิ เผาแตล่ ะชนดิ เครอื่ งปน้ั ดนิ เผาทผ่ี ลติ จากเตาน้ี
องค์ใหญ่ คู่เมืองบุรีรัมย์ เป็นที่เคารพสักการะ สว่ นมากเปน็ เครอ่ื งเคลอื บสนี ำ้� ตาล สขี าวนวล และ
ของคนในทอ้ งถน่ิ สเี ขยี วออ่ น ขนาดและชนดิ ตา่ งกนั กระปกุ บางชนดิ
ท�ำเปน็ รปู ผลไมแ้ ละรปู สตั ว์ กระปกุ และไหบางชนดิ
เมืองตะลุง หรอื เมอื งโบราณประโคนชยั มกี ารเคลอื บสองสใี นใบเดยี วกนั และมเี ครอ่ื งประดบั
อยทู่ บ่ี า้ นตะลงุ เกา่ ต�ำบลโคกมา้ อ�ำเภอประโคนชยั ประกอบอาคาร ไดแ้ ก่ กระเบอื้ งเคลอื บมงุ หลงั คา
เปน็ ทตี่ งั้ ของเมอื งโบราณทเ่ี รยี กวา่ เมอื งตะลงุ ปรากฏ กระเบอื้ งชายคามลี วดลาย เปน็ ตน้
รอ่ งรอยคนู ำ้� คนั ดนิ แสดงถงึ การตงั้ ถนิ่ ฐานของชมุ ชน เตาเผาในพนื้ ทบ่ี รุ รี มั ย์ ผลติ เครอื่ งถว้ ยเขมร
โบราณ สนั นษิ ฐานวา่ มกี ารเพมิ่ ของจ�ำนวนประชากร เพ่ือเป็นสินค้าให้กับเมืองต่าง ๆ ในกัมพูชา และ
จึงมีการขยายแนวคูน�้ำคันดินนี้ จากเดิมท่ีเป็น ในภูมิภาคน้ี โดยท�ำเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
ทรงวงกลม ขยายออกเปน็ วงรที ก่ี วา้ งขนึ้ เชอ่ื ไดว้ า่ พบกระจายอยทู่ ว่ั ไปตามเมอื งโบราณ ในพนื้ ทข่ี อง
เปน็ แหลง่ ทอ่ี ยอู่ าศยั สมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ จากการ ลมุ่ แมน่ ำ�้ มลู แมน่ ำ้� ชี และแมน่ ำ้� โขง เตาทพ่ี บทโ่ี รงเรยี น
พบเศษภาชนะทใี่ ชใ้ นพธิ กี รรมการฝงั ศพ และยงั พบ บา้ นกรวดวทิ ยาคารนี้ ไดแ้ ก่ เตาเผานายเจยี น และ
การขดุ แนวสระนำ�้ เปน็ รปู สเี่ หลยี่ ม เพอื่ รบั กบั แนวล�ำนำ้� เตาเผาสวาย เปน็ เครอื ขา่ ยของอตุ สาหกรรมน้ี

155แหล่งเรยี นร้ทู างประวตั ศิ าสตรใ์ นท้องถนิ่ ๗๗ จังหวดั ท่ัวไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื )



มหาสารคาม

มหาสารคาม

157แหล่งเรียนร้ทู างประวตั ิศาสตร์ในท้องถ่นิ ๗๗ จงั หวดั ท่วั ไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)



มหาสารคาม

มหาสารคาม

พุทธมณฑลอสี าน ถนิ่ ฐานอารยธรรม เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลที่ ๔) ทา้ วมหาชยั (กวด) ผเู้ ปน็ เหลน
ของเจา้ เมอื งรอ้ ยเอด็ อพยพไพรพ่ ลจากเมอื งรอ้ ยเอด็
ผ้าไหมลำ�้ เลอคา่ ตักสิลานคร มุ่งหน้าทางทิศตะวันตก เลือกท�ำเลเพื่อต้ังถิ่นฐาน
ไดม้ กี ารยา้ ยชมุ ชนหลายครง้ั จนในทส่ี ดุ พบวา่ พน้ื ที่
ใกลล้ �ำหว้ ยตะคางมคี วามอดุ มสมบรู ณ์ เหมาะแกก่ าร
มหาสารคาม ต้ังอยู่ตอนกลางของภาค อยอู่ าศยั จงึ ลงหลกั ปกั ฐานสรา้ งบา้ นแปงเมอื ง เรยี กพน้ื ท่ี
ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ภมู ปิ ระเทศเปน็ ทรี่ าบสลบั ทสี่ งู ชมุ ชนใหมน่ ว้ี า่ บา้ นลาดกดุ ยางใหญ่ ขนึ้ ตรงตอ่ เมอื ง
มีแม่น้�ำชี เป็นแม่น้�ำเส้นใหญ่ท่ีไหลผ่าน ท�ำให้เกิด ร้อยเอ็ด พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ความอดุ มสมบรู ณ์ เหมาะแกก่ ารตง้ั ถน่ิ ฐาน โดยเฉพาะ (รัชกาลที่ ๔) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกขึ้น
ในพน้ื ทรี่ าบลมุ่ แมน่ ้ำ� ชี มีการคน้ พบซากโบราณวตั ถุ เปน็ เมอื ง ใหช้ อ่ื วา่ “เมอื งมหาสารคาม” ใหม้ เี จา้ เมอื ง
พระพมิ พด์ นิ เผา และพระบรมสารรี กิ ธาตุ สนั นษิ ฐาน รงั้ ต�ำแหนง่ “พระเจรญิ ราชเดช” ตอ่ มาสมยั พระบาท
มอี ายรุ าวสมยั ทวารวดี พบโบราณสถาน โบราณวตั ถุ สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลท่ี ๕)
เชน่ เทวรปู เครอื่ งปน้ั ดนิ เผา ศลิ ปะสมยั ขอมโบราณ ปรบั มาใชร้ ปู แบบการปกครองแบบมณฑลเทศาภบิ าล
กระจายอยู่ท่ัวท้ังพื้นท่ี แสดงให้เห็นถึงการรับคติ เมืองมหาสารคาม ต้องขึ้นกับมณฑลร้อยเอ็ด
ความเชอื่ ของศาสนาพราหมณ์ ผา่ นอารยธรรมเขมร เม่อื เปล่ยี นการปกครองมาเป็นรูปแบบภมู ิภาคและ
จากโบราณสถานท่พี บจ�ำนวนมาก จึงสนั นิษฐานวา่ จงั หวดั จงึ ถกู เปลย่ี นฐานะเปน็ “จงั หวดั มหาสารคาม”
พื้นท่ีมหาสารคามในอดีต น่าจะเป็นเมืองที่มีความ จากประวตั คิ วามเปน็ มาอนั ยาวนาน ปรากฏ
ส�ำคัญในสมัยทวารวดจี นถงึ สมยั ขอมเรอื งอ�ำนาจ การตง้ั ถนิ่ ฐานของผคู้ นหลายยคุ หลายสมยั สง่ ผลให้
ไม่ปรากฏหลักฐานการตั้งถิ่นฐานชุมชน มหาสารคามมแี หลง่ เรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตรใ์ นทอ้ งถนิ่
ทแ่ี นช่ ดั แตม่ กี ลมุ่ ชาตพิ นั ธอ์ุ าศยั อยอู่ ยา่ งหลากหลาย ที่น่าสนใจ ควรศกึ ษา เชน่
ในพื้นท่ีมหาสารคามน้ี เช่น ชาวไทยพื้นเมืองท่ีพูด
ภาษาอสี าน ชาวไทยญอ้ และชาวผ้ไู ท ท�ำการเกษตร ก่มู หาธาตุ หรอื ปรางค์กบู่ ้านเขวา ต้ังอยู่
เพื่อการยังชีพ ใช้ชีวิตท่ีเรียบง่าย มีการไปมาหาสู่ บ้านเขวา อ�ำเภอเมอื ง เป็นอาคารทรงปราสาทขอม
ติดต่อ พึ่งพาอาศัยกัน มีขนบธรรมเนียมประเพณี ปรางคป์ ระธานท�ำดว้ ยศลิ าแลง สงู ๘ เมตร ฐานกวา้ ง
ท่ีคล้ายคลึงกัน หลักฐานท่ีบันทึกถึงการตั้งเมือง ๕ เมตร ภายในมีเทวรูปป้ัน ท�ำจากดนิ เผา ๒ องค์
มหาสารคามทชี่ ดั เจน คอื หลกั ฐานสมยั รตั นโกสนิ ทร์ มีทางเข้าเพียงทางเดียว เป็นประตูหลอกสามด้าน
ทบี่ นั ทกึ ไวว้ า่ ราวสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ ทบั หลงั และเสาประดบั กรอบประตทู �ำจากหนิ ทราย

159แหลง่ เรยี นรทู้ างประวัตศิ าสตรใ์ นท้องถ่ิน ๗๗ จงั หวดั ทว่ั ไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)

มหาสารคาม

มีบรรณาลัยอยู่ในด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ และมี ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีก�ำแพงแก้วท�ำด้วย
ก�ำแพงแก้วท�ำด้วยศิลาแลงล้อมรอบ จากลักษณะ ศิลาแลง มีประตูทางเข้าหน่ึงทาง อีกสามทางเป็น
สถาปัตยกรรมและโบราณวัตถุท่ีพบ สันนิษฐานว่า ประตหู ลอก พจิ ารณารายละเอยี ดแลว้ สนั นษิ ฐานวา่
ถูกสรา้ งขน้ึ ราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ กู่สันตรัตน์ยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ มีการเว้น
สว่ นหนา้ บนั ไว้ และแผน่ หนิ ทรายทใ่ี ชเ้ ปน็ แผน่ ทบั หลงั
นครจัมปาศรี ตั้งอยู่ในพ้ืนท่ีอ�ำเภอนาดูน ยงั ไมม่ กี ารสลกั ลวดลาย เสาทอี่ ยตู่ ดิ กรอบประตยู งั เปน็
เป็นชุมชนโบราณ ที่มีหลักฐานการตั้งถิ่นฐานของ แท่งหินทรายเรียบ ๆ และจุดประสงค์ในการสร้าง
ผู้คนตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ต่อเน่ืองจนถึง เพื่อประดิษฐานรูปเคารพส�ำหรับประกอบพิธีกรรม
สมยั พุทธศตวรรษที่ ๑๒ และมีรอ่ งรอยเมอื งโบราณ ทางศาสนาและให้เป็นอโรคยาศาลา สร้างโดย
ขนาดใหญ่สมัยทวารวดี ลักษณะเป็นเมืองโบราณ พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ กษัตริย์แห่งอาณาจักรเขมร
รปู วงรี ตามแนวทศิ เหนอื ทศิ ใต้ มคี นู ำ้� คนั ดนิ สองชน้ั
คูน�้ำมีความกว้างถึง ๒๐ เมตร ภูมิประเทศทั่วไป พระธาตุนาดูน เป็นปูชนียสถานที่ได้รับ
เป็นคันดนิ สงู ๆ ต่�ำ ๆ มี ล�ำน้�ำ หนองน้�ำ หรอื กดุ การขนานนามว่า “พุทธมณฑลแห่งอีสาน” อยู่ท่ี
ในภาษาอีสาน จึงสันนิษฐานว่า ชาวนครจัมปาศรี อ�ำเภอนาดูน ซ่ึงพ้ืนที่นี้มีการค้นพบหลักฐาน
ได้ขุดกุด เพ่ือใช้เป็นแหล่งกักน้�ำในการบริโภค โบราณคดีที่แสดงให้เห็นการสร้างบ้านแปงเมือง
ภายในพ้นื ทเี่ มอื งโบราณ พบโบราณสถาน ทีส่ �ำคญั เกิดเป็นเมืองโบราณที่เจริญรุ่งเรืองในอดีต คือ
ได้แก่ สถูปเจดีย์ สถูปสัมฤทธิ์ กู่สันตรัตน์ กู่น้อย เมืองโบราณนครจัมปาศรี มีการขุดค้นพบสถูป
ศาลานางขาว ศลิ ปะขอม แบบบายน ศาสนสถาน บรรจพุ ระบรมสารีริกธาตุ ในผอบ ๓ ชน้ั ทีท่ �ำจาก
ฝ่ายมหายาน โบราณวัตถุ เช่น หลักศิลาจารึก ทองค�ำ เงนิ และส�ำรดิ พบพระพทุ ธรปู พระพมิ พล์ าย
ความยาว ๑๔ บรรทัด ขุดพบท่ีศาลานางขาว หลายรปู แบบ จ�ำนวนมาก สนั นษิ ฐานวา่ มอี ายปุ ระมาณ
พระเคร่อื งดินเผา เศษกระเบื้อง เศษดินเผา จ�ำพวก พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๓ - ๑๕ ราวสมัยทวาราวดี
หม้อไหแตกกระจายอยู่ทั่วไป และปรากฏบันทึก จากการค้นพบสถูปพระบรมสารีริกธาตุ
เรื่องนครจัมปาศรีในหนังสือก้อม (หนังสือใบลาน ทอี่ �ำเภอนาดนู จงึ ไดส้ รา้ งพระธาตนุ าดนู ขนึ้ ในบรเิ วณ
โบราณ) ของวัดหนองทุ่ม แสดงให้เห็นว่าชุมชนน้ี ทข่ี ดุ พบสถปู โดยเรม่ิ กอ่ สรา้ งใน พ.ศ. ๒๕๓๐ เปน็ การ
เปน็ ชมุ ชนใหญ่ มีความเจรญิ รงุ่ เรืองเปน็ อยา่ งมาก จ�ำลองแบบจากสถปู ส�ำรดิ ทบ่ี รรจพุ ระบรมสารรี กิ ธาตุ
ฐานประยกุ ตศ์ ลิ ปะทวารวดี องคพ์ ระธาตแุ บง่ ออกเปน็
กสู่ นั ตรตั น์ สรา้ งขน้ึ ดว้ ยหนิ ทราย ศลิ ปะขอม ๑๖ ชั้น ความสูงประมาณ ๕๐ เมตร พืน้ ท่ีโดยรอบ
แบบบายน ปรางค์ประธาน เป็นรปู สีเ่ หลย่ี มจตรุ มขุ องค์พระธาตุมีพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมจัมปาศรี เป็น
มีมุขด้านหน้าย่ืนไปทางทิศตะวันออก มีบรรณาลัย สถานทเี่ กบ็ รกั ษาและจดั แสดงโบราณวตั ถุ ศลิ ปวตั ถุ

160 แหล่งเรียนรูท้ างประวตั ศิ าสตร์ในท้องถิน่ ๗๗ จังหวัดท่วั ไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื )

มหาสารคาม

และเปน็ แหลง่ ขอ้ มลู เกย่ี วกบั เมอื งโบราณนครจ�ำปาศรี เป็นจ�ำนวนมาก ด้วยความหวงแหนในสมบัติของ
นอกจากนยี้ งั มี สวนรกุ ขชาติ สวนสมนุ ไพร อยใู่ นพนื้ ที่ ท้องถิ่นและประเทศชาติ จึงได้ร่วมมือกับนายก
๙๐๒ ไร่ ชว่ งวนั มาฆบชู า หรอื ชว่ งเดอื น ๓ ของทกุ ปี เทศมนตรเี ทศบาลเมอื งมหาสารคาม ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั
จะมีงานนมัสการพระธาตุนาดูน โดยจัดกิจกรรม เกบ็ รวบรวมโบราณวตั ถจุ ากชาวบา้ น ตอ่ มามกี ารสรา้ ง
เวยี นเทยี นรอบองคพ์ ระบรมธาตุ การบวงสรวงองค์ อาคารพิพิธภัณฑ์ ภายในจัดแสดงชีวประวัติบุคคล
พระบรมธาตุ ตลอดจน การแสดงประวตั คิ วามเปน็ มา ของพระอรยิ านวุ ตั ร ววิ ฒั นาการของศลิ ปกรรมอสี าน
ของเมืองโบราณนครจัมปาศรี ประเพณีท้องถิ่น ๑๒ เดือน โบราณวัตถุและ
เอกสารโบราณตา่ ง ๆ ทรี่ วบรวมในพน้ื ทมี่ หาสารคาม
พระพุทธมงคล และ พระพุทธม่ิงเมือง นอกจากนี้ ในพพิ ธิ ภณั ฑม์ กี ารจดั แสดงคมั ภรี ใ์ บลาน
ประดิษฐานอยู่ท่ีวัดพุทธมงคล อ�ำเภอกันทรวิชัย วรรณกรรมอีสานที่จารไว้ในใบลาน ตู้พระธรรม
เป็นพระพุทธรปู เก่า ค่เู มอื งกนั ทรวชิ ัย ลกั ษณะเป็น แบบโบราณ หบี พระธรรม ฯลฯ
พระพุทธรูปหินทราย ศิลปะทวารวดี สันนษิ ฐานว่า
พระสององค์นี้ถูกสร้างขึ้นพร้อมกัน ตามต�ำนาน แหล่งโบราณคดีบ้านเชียงเหียน ต้ังอยู่ท่ี
เลา่ วา่ ในสมัยหนงึ่ เกดิ ฝนแลง้ ชาวบา้ นจึงไดร้ ว่ มกนั บา้ นเชียงเหียน ต�ำบลเขวา อ�ำเภอเมือง มลี กั ษณะ
สรา้ งพระพทุ ธรปู ขน้ึ มาเพอ่ื ขอฝน โดยผชู้ ายชว่ ยกนั เปน็ เมืองโบราณขนาดใหญ่ ตามแบบเมืองทวารวดี
สร้างพระพุทธรูปมิ่งเมือง และผู้หญิงช่วยกันสร้าง ผังเป็นวงรี เส้นผา่ ศูนยก์ ลางประมาณ ๑ กโิ ลเมตร
พระพทุ ธมงคลขน้ึ แลว้ เสรจ็ พรอ้ มกนั จงึ จดั งานฉลอง มีคูน้�ำคันดินล้อม ๓ ชั้น ด้านนอกตัวเมืองโบราณ
นับแต่น้ันมาฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล เกิดความ มเี นินดิน อกี ๕ แหง่ ไดแ้ ก่ ดอนขา้ วโอ ดอนปู่ตา
อดุ มสมบรู ณ์กบั ทอ้ งทน่ี เี้ ป็นอนั มาก จึงเปน็ ท่เี คารพ ดอนย่าเฒ่า ดอนยาคู และหอนาง จากการขุดค้น
ศรทั ธาและเปน็ ทพ่ี ง่ึ ทางจติ ใจ มกี ารบนบานศาลกลา่ ว พบร่องรอยของมนุษย์ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์
พระพุทธรูปทั้งสองเป็นประจ�ำ ก�ำหนดอายุประมาณ ๓,๓๐๐ - ๒,๐๐๐ ปี เช่น
โครงกระดูกมนุษย์ เครื่องมือเคร่ืองใช้ท�ำจากส�ำริด
พิพิธภัณฑ์วัดมหาชัย หรือ พิพิธภัณฑ์ เครอื่ งมอื เหลก็ ในชนั้ ดนิ ทตี่ นื้ ขนึ้ มา พบรอ่ งรอยของ
ทอ้ งถน่ิ ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ตง้ั อยทู่ วี่ ดั มหาชยั มนุษย์สมยั ประวัตศิ าสตร์ อายุ ๒,๐๐๐ - ๑,๕๐๐ ปี
อ�ำเภอเมือง ผู้ก่อต้ัง คือ พระอริยานุวัตร (อารีย์ เช่น การพบภาชนะดนิ เผาเนื้อแกรง่ ภาชนะดินเผา
เขมจารี) เจ้าอาวาสรูปที่ ๑๙ ของวัดมหาชัย เนื้อหยาบ แสดงให้เห็นว่าพ้ืนท่ีบ้านเชียงเหียน
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๗ จากจุดเร่ิมต้นที่พบเห็นว่า เปน็ ทตี่ ง้ั ชมุ ชนและทอี่ ยขู่ องมนษุ ยส์ บื เนอื่ ง ยาวนาน
มชี าวตา่ งชาตมิ าตดิ ตอ่ ขอซอื้ โบราณวตั ถจุ ากชาวบา้ น นบั แตโ่ บราณกาล

161แหลง่ เรยี นร้ทู างประวตั ศิ าสตรใ์ นท้องถ่นิ ๗๗ จังหวดั ทว่ั ไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ)

มหาสารคาม

ศาลหลักเมืองมหาสารคาม อยู่ติดถนน กรงุ เทพมหานครเสยี กอ่ น เพอ่ื ซบึ ซบั วธิ กี ารปกครอง
นครสวรรค์ หน้าโรงเรียนหลักเมืองมหาสารคาม บา้ นเมอื ง เมื่อครบ ๖ ปี คือ ปี พ.ศ. ๒๔๐๘ ทรงมี
จากประวตั ขิ องมหาสารคาม ทวี่ า่ ทา้ วมหาชยั (กวด) พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกข้ึนเป็นเมือง ให้ช่ือว่า
ผเู้ ปน็ เหลนของ พระขตั ยิ วงศา (จนั ) เจา้ เมอื งรอ้ ยเอด็ “เมืองมหาสารคาม” ให้มีเจ้าเมือง รั้งต�ำแหน่ง
ได้อพยพไพร่พลจากเมืองร้อยเอ็ด มาต้ังถ่ินฐานที่ “พระเจริญราชเดช”
บ้านลาดกดุ ยางใหญ่ แต่ยงั ข้นึ ตรงต่อเมืองร้อยเอ็ด แตเ่ ดมิ ประเพณกี ารตง้ั หลกั เมอื งเพอื่ ใหเ้ ปน็
ในปี พ.ศ. ๒๔๐๒ พระขัติยวงศา (จัน) มีใบบอก สิ่งศักดิ์สิทธ์ิประจ�ำเมืองน้ัน ไม่ใช่ธรรมเนียมของ
กราบบงั คมทลู พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทางอีสาน แต่เป็นธรรมเนียมของไทยภาคกลาง
(รัชกาลที่ ๔) ขอตั้งบ้านลาดกุดนางใยเป็นเมือง มคี วามเปน็ ไปไดว้ า่ ทา้ วมหาชยั (กวด) น�ำธรรมเนยี ม
มหาสารคาม และขอให้ท้าวมหาชัย (กวด) การต้ังศาลหลักเมืองมาจากเม่ือคร้ังไปเรียนรู้วิชา
บุตรอุปฮาด (สิงห์) เมืองร้อยเอ็ด เป็นเจ้าเมือง การปกครองทพี่ ระนคร ปจั จบุ นั ถอื วา่ ศาลหลกั เมอื ง
มหาสารคามคนแรก พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เป็นสงิ่ ศักดิ์สิทธ์คิ บู่ า้ นค่เู มือง เป็นทีเ่ คารพสกั การะ
เจา้ อย่หู ัว (รัชกาลที่ ๔) โปรดให้ท้าวมหาชัย (กวด) ของชาวมหาสารคาม
อยู่เรียนรู้วิชาการปกครอง “เรียนเมือง” ที่

162 แหล่งเรยี นร้ทู างประวัตศิ าสตร์ในท้องถิน่ ๗๗ จงั หวดั ทั่วไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉียงเหนอื )

มุกดาหาร

มกุ ดาหาร

163แหล่งเรยี นร้ทู างประวัตศิ าสตรใ์ นทอ้ งถ่ิน ๗๗ จงั หวดั ทัว่ ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ)



มุกดาหาร

มุกดาหาร

เจ้าจันทกินรี เป็น พระยาจันทรศรีสุราช อุปราชา
หอแกว้ สูงเสยี ดฟ้า ภูผาเทิบแก่งกะเบา มันธาตรุ าช เจา้ เมอื งมุกดาหารคนแรก
แปดเผ่าชนพื้นเมือง ลอื เล่อื งมะขามหวาน จากเรือ่ งราว ประวตั คิ วามเป็นมาของเมือง
กลองโบราณลำ้� เลิศ ถิน่ กำ� เนิดล�ำผญา มุกดาหาร ส่งผลใหม้ แี หลง่ เรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตร์
ตระการตาชายโขง เช่ือมโยงอนิ โดจนี ในท้องถน่ิ ที่น่าสนใจ เช่น


วัดศรีมงคลใต้ ต้ังอยู่ริมแม่น้�ำโขง พ้ืนท่ี
มกุ ดาหาร เปน็ จงั หวดั ชายแดนทมี่ แี มน่ ำ้� โขง อ�ำเภอเมอื ง เปน็ วดั เกา่ แกค่ เู่ มอื งมกุ ดาหาร ต�ำนานเลา่ วา่
เป็นพรมแดนก้ันกับสาธารณรัฐประชาธิปไตย ราว พ.ศ. ๒๓๑๐ เม่อื คร้งั ทีเ่ จ้าจนั ทกนิ รใี หไ้ พร่พล
ประชาชนลาว มีความอุดมสมบูรณ์จากเทือกเขา ถากป่าเพื่อสร้างเมือง ได้พบพระพุทธรูปสององค์
ภพู านทอี่ ยทู่ างตะวนั ตก และจากแมน่ ำ้� โขงทอ่ี ยทู่ าง จึงได้สร้างวัดข้ึนในบริเวณท่ีพบองค์พระนั้น ต่อมา
ตะวนั ออก หลักฐานลา้ นชา้ ง บนั ทึกถงึ การต้งั ชุมชน มีการสร้างวัดธรรมยุตขึ้นในพ้ืนที่ต�ำบลศรีมงคล
บนดินแดนนว้ี ่า ราวสมัยอยุธยาตอนกลาง คอื ในปี ชาวบา้ นโดยทว่ั ไป เรยี ก วดั ศรมี งคลเหนอื และเรยี ก
พ.ศ. ๒๒๕๖ ทา่ นพระครโู พนเสมด็ กบั เจา้ หนอ่ กมุ าร วดั เดมิ นวี้ า่ วดั ศรมี งคลใต้ วดั แหง่ นม้ี คี วามส�ำคญั คอื
(ต่อมาคือ เจ้าสรอ้ ยศรีสมุทรพุทชางกรู เจา้ ผ้คู รอง เปน็ สถานทใี่ ชป้ ระกอบพธิ ดี มื่ นำ้� พพิ ฒั นสตั ยาประจ�ำ
นครจ�ำปาศกั ด์ิ) ไดอ้ พยพบรวิ ารลงมาตามล�ำน้�ำโขง ปีของเมืองมกุ ดาหาร
เพอ่ื หาท�ำเลตง้ั ถนิ่ ฐาน บรวิ ารทม่ี าดว้ ย ตา่ งเลอื กชยั ภมู ิ
ทีเ่ หมาะสม เจ้าจันทร์สุรยิ วงษ์ ได้เลือกพน้ื ท่บี ริเวณ วัดมโนภิรมย์ ตั้งอยู่ท่ีบ้านชะโนด อ�ำเภอ
เมอื งหลวงโพนสมิ เปน็ ทตี่ ง้ั ชมุ ชน เมอ่ื เจา้ จนั ทรส์ รุ ยิ วงษ์ หว้านใหญ่ สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา ประมาณปี
ถงึ แกก่ รรม เจา้ จนั ทกนิ รไี ดร้ บั การแตง่ ตงั้ เปน็ เจา้ เมอื งตอ่ พ.ศ. ๒๒๓๐ โดยท้าวค�ำสงิ ห์ และได้รบั การบูรณะ
ได้อพยพไพร่พลมายังบริเวณฝั่งขวาแม่น�้ำโขง มาโดยตลอด ภายในวดั มี พระอโุ บสถศลิ ปะลา้ นชา้ ง
ทป่ี ากหว้ ยมกุ ตง้ั ชอื่ เมอื งใหมน่ วี้ า่ “เมอื งมกุ ดาหาร” ผสมศลิ ปะไทย หนา้ บนั เปน็ ไมแ้ กะสลกั ลายวจิ ติ รงดงาม
ในสมัยธนบุรี พ.ศ. ๒๓๒๑ เกดิ เหตุการณ์ เสาพระอุโบสถสลักลายฉลุปิดทอง ซุ้มประตูเป็น
วิวาทระหว่างเจ้าผู้ครองนครเวียงจันทน์ สมเด็จ ปนู ปั้น พระประธานเป็นอฐิ ฉาบปูน นอกจากนี้ ยังมี
พระเจา้ ตากสนิ มหาราชไดใ้ หเ้ จ้าพระยาจกั รี ยกทพั พระพทุ ธรปู อนื่ ๆ เชน่ พระองคต์ อื้ เปน็ พระทองสมั ฤทธิ์
ไปปราบปรามและนครเวียงจันทน์ หลังปราบปราม พระองคแ์ สน เปน็ พระพทุ ธรปู สมยั เชยี งแสนหลอ่ ดว้ ย
ส�ำเร็จ ได้รวบเมืองต่าง ๆ รวมถึงเมืองมุกดาหาร ทองสมั ฤทธิ์ พระงา ซง่ึ เปน็ พระพทุ ธรปู งาชา้ งแกะสลกั
ให้ขึ้นตรงกับกรงุ ธนบุรีในการนี้ โปรดเกลา้ ฯ ตง้ั ให้

165แหล่งเรยี นรู้ทางประวัติศาสตร์ในท้องถ่นิ ๗๗ จงั หวดั ทัว่ ไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ)

มุกดาหาร

วดั บรรพตครี ี (ภจู อ้ กอ้ ) ตัง้ อยูบ่ นภูจอ้ กอ้ มาพร้อมกันด้วย เม่ือสรา้ งวดั ประจ�ำเมอื งเเล้วเสร็จ
ในพน้ื ที่บ้านแวง อ�ำเภอหนองสงู เป็นวดั ธรรมยุติก จึงอัญเชิญพระพุทธสิงห์สองมาประดิษฐาน
นกิ าย เคยเปน็ ทจ่ี �ำพรรษาของหลวงปหู่ ลา้ เขมปตั โต ไว้ท่ีพระอุโบสถวัดศรีบุญเรืองพระพุทธสิงห์สอง
พระเถราจารยท์ ชี่ าวบา้ นศรทั ธา ใหค้ วามเคารพนบั ถอื เป็นพระพุทธรูปทองส�ำริด พุทธศิลป์แบบล้านช้าง
วดั เเหง่ นีส้ ร้างขึ้นประมาณ ปี พ.ศ. ๒๔๘๔ วัดนี้จึงเป็นแหล่งเรียนรู้เก่ียวกับพระพุทธรูป
โดยพระอาจารยข์ าว ภกิ ษจุ ากจงั หวดั ล�ำปาง ธดุ งคม์ า พทุ ธศิลปล์ า้ นชา้ งทีน่ า่ ศึกษา
ปฏบิ ตั ธิ รรมทถ่ี ำ�้ ภจู อ้ กอ้ ไดช้ กั ชวนใหช้ าวบา้ นรว่ มกนั
สรา้ งพระพทุ ธรปู ปนู ขาวไวท้ หี่ นา้ ถำ้� ตอ่ มาในปี พ.ศ. วดั พจิ ติ รสงั ฆาราม ตงั้ อยทู่ บ่ี า้ นโนนยาง อ�ำเภอ
๒๕๐๐ ชาวบา้ นรว่ มกนั นมิ นตห์ ลวงปหู่ ลา้ เขมปตั โต หนองสูง สร้างข้นึ เม่อื ปี พ.ศ. ๒๔๖๓ มเี อกลกั ษณ์
ให้มาจ�ำพรรษาที่วัดนี้ หลวงปู่ได้พัฒนาวัดแห่งน้ี ท่สี �ำคัญ คอื ธรรมาสน์เสาเดียว โดยตัง้ อยบู่ นเสาไม้
ให้เป็นศาสนสถานเพื่อเจริญสติกรรมฐาน ท่านได้ หนงึ่ ตน้ แกะสลกั ลายกนก ลงรกั อยา่ งสวยงามหลงั คา
จ�ำพรรษาที่ภูจอ้ กอ้ จนมรณภาพ เม่อื ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ทรงปราสาทซ้อนกนั ๕ ชน้ั สะทอ้ นภาพจ�ำลองของ
ภายในวัด มี พระเจดีย์ “เขมปัตต เจดีย์ จักรวาลตามความเชื่อพระพุทธศาสนา สร้างข้ึน
หลวงปหู่ ลา้ เขมปตั โต” ทคี่ ณะศษิ ยานศุ ษิ ยไ์ ดส้ รา้ งขน้ึ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ โดย จารคสู สี กุ นอ้ ยทรง ชา่ งพนื้ บา้ น
เพื่อบรรจุอัฐิและจัดแสดงเครื่องอัฐบริขารให้เป็น
แหล่งเรียนรู้เก่ียวกับประวัติ วัตรปฏิบัติอันงดงาม วัดมัชฌิมาวาส ตั้งอยู่ท่ีอ�ำเภอดอนตาล
ของหลวงปู่หล้า เขมปตั โต เดิมเรียก วัดกลาง ในวัดมี สิม หรือ โบสถ์อีสาน
สร้างขนึ้ ระหวา่ ง พ.ศ. ๒๔๖๕ - ๒๔๗๕ เปน็ อาคาร
วัดศรีบุญเรือง อยู่ในเขตเมืองมุกดาหาร ก่ออิฐถือปูน หลังคาลดช้ัน ๒ ช้ัน มุงด้วยสังกะสี
สันนิษฐานว่าสร้างข้ึนสมัยเดียวกับท่ีสร้างเมือง มบี นั ไดทางขนึ้ ๓ ทาง กอ่ ผนังทบึ ๔ ดา้ น ราวบนั ได
มุกดาหาร โดยเจ้าจันทกินรี เจ้าเมืองมุกดาหาร และซุ้มประตูต่าง ๆ ประดับด้วยปูนปั้นสวยงาม
คนแรก เมอื่ ครงั้ ทอี่ พยพผคู้ นจากฝง่ั ลาวมาตง้ั ถน่ิ ฐาน เเละ มีหอกลอง เป็นอาคารไม้ เพอ่ื ใช้เก็บรวบรวม
ในพ้ืนทน่ี ี้ เจ้าจนั ทกนิ รีไดอ้ ัญเชญิ พระพุทธสิงหส์ อง กลองส�ำรดิ กลองมโหระทกึ สมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์

166 แหล่งเรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตร์ในทอ้ งถนิ่ ๗๗ จังหวดั ทว่ั ไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉียงเหนอื )

ยโสธร

ยโสธร

167แหลง่ เรยี นรทู้ างประวตั ิศาสตร์ในท้องถ่ิน ๗๗ จังหวดั ทั่วไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ)



ยโสธร

ยโสธร

เมืองบ้งั ไฟโก้ แตงโมหวาน โพธสิ มภารสมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราช พระองค์
สง่ กองก�ำลังไปปราบปรามเจา้ นครเวยี งจันทน์ และ
หมอนขวานผ้าขิด แหลง่ ผลติ โปรดต้ังท้าวค�ำผงเป็น “พระปทุมสุรราช” สมัย
ขา้ วหอมมะลิ กรุงรัตนโกสินทร์ ชุมชนที่ดอนมดแดงถูกน้�ำท่วม
หลายคร้งั พระปทมุ สรุ ราชขอพระบรมราชานุญาต
ย้ายไปที่เมืองอุบลราชธานี ในปัจจุบัน น้องชาย
ยโสธร อยู่ทางตอนล่างของภาคตะวันออก ของท่าน คือ ท้าวหน้า น�ำไพร่พลไปตั้งชุมชนที่
เฉียงเหนือ บนลุ่มแม่น�้ำชี พบร่องรอยคันน้�ำคูดิน บา้ นสงิ หท์ ่าสิงหโ์ คกตามเดมิ เกิดความเจริญรงุ่ เรอื ง
แสดงถงึ การสรา้ งชมุ ชนโบราณสมยั ทวารวดี บรเิ วณ ตามล�ำดับ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
อ�ำเภอมหาชนะชัย อ�ำเภอค้อวงั นอกจากนี้ มีการ (รชั กาลที่ ๓) โปรดยก บ้านสงิ หท์ ่าสงิ ห์โคก ข้นึ เปน็
คน้ พบจารกึ โบราณทเี่ ก่ยี วขอ้ งกับอาณาจกั รเจนละ เมอื งยโสธร ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้
ว่ามีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๕ จากจารึก เจ้าอยู่หัว (รัชกาลท่ี ๕) ให้มีการปกครองรูปแบบ
ปรากฏข้อมูลบอกเล่าความสัมพันธ์ของกษัตริย์ มณฑลเทศาภิบาล ยโสธร ขึ้นตรงกับอุบลราชธานี
แห่งอาณาจักรเจนละกับอาณาจักรขอมเรื่องราว ภายหลังการยกเลิกรูปแบบการปกครองดังกล่าว
การสร้างพระธาตุแสดงความเชื่อและศรัทธาใน กถ็ อื เปน็ อ�ำเภอ เเละขึน้ ตรงกบั จงั หวัดอบุ ลราชธานี
พระพุทธศาสนาของกลุ่มคนทอี่ าศยั ในดนิ แดนนี้ จนกระท่ังปี พ.ศ. ๒๕๑๕ มีการยก อ�ำเภอยโสธร
ความเป็นมาในการก่อต้ังเมืองยโสธร ข้ึนเปน็ จงั หวัดยโสธร
สัมพันธ์กับประวัติของเมืองอุบลราชธานี กล่าวคือ จากประวตั คิ วามเปน็ มาทบ่ี อกเลา่ เรอื่ งราว
บุตรสองคนของอดีตเจ้านายนครเชียงรุ้ง ได้แก่ การกลุ่มชนในพื้นที่ และการค้นพบโบราณวัตถุ
พระวรราชภักดี (พระวอ) กับ น้องชาย (พระตา) โบราณสถานสมยั ตา่ ง ๆ ท�ำให้ ยโสธร มแี หลง่ เรยี นรู้
ขัดแย้งกับ พระเจ้าสิริบุญสาร ผู้ครองเวียงจันทน์ ทางประวัตศิ าสตร์ในท้องถน่ิ ทน่ี ่าสนใจ ดงั น้ี
อพยพครอบครัวพร้อมบริวาร มาตั้งถิ่นฐาน
ตามลุ่มแม่น�้ำชี พบท�ำเลดี จึงลงหลักปักฐาน โบราณสถานดงเมอื งเตย อยใู่ นพน้ื ทช่ี มุ ชน
ตั้งชื่อชุมชนว่า “บ้านสิงห์ท่าสิงห์โคก” ต่อมาย้าย โบราณดงเมอื งเตย บา้ นดงเมอื งเตย อ�ำเภอค�ำเขอื่ นแกว้
ไปตั้งชุมชนใหม่ท่ี “ดอนมดแดง” ความทราบถึง ปัจจุบัน บริเวณรอบชุมชนโบราณดงเมืองเตย
พระเจ้าสิริบุญสาร จึงการต้ังชุมชนใหม่ ได้ยกทัพ เปน็ ปา่ โปรง่ และเปน็ ทต่ี ง้ั ส�ำนกั สงฆด์ งเมอื งเตย ไมม่ ี
มาปราบ พระวอ พระตา เสยี ทถี กู ฆา่ ตายในศกึ ครานน้ั บา้ นเรอื นผคู้ นอาศยั อยู่ จากการขดุ คน้ ทางโบราณคดี
ท้าวค�ำผง ลูกชายของพระตาได้ขอพ่ึงพระบรม ปรากฏหลักฐานการตั้งถ่ินฐานในพื้นที่นี้นานกว่า

169แหล่งเรียนรู้ทางประวตั ิศาสตร์ในท้องถน่ิ ๗๗ จงั หวดั ทัว่ ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื )

ยโสธร

๒,๕๐๐ ปี พบเศษตะกรนั โลหะ อารยธรรมยคุ ส�ำริด นอกจากนี้ ภายในวัดมี เจดีย์มหาชัยชนะ
และนา่ จะมกี ารขยายตวั เปน็ ชมุ ชนทใี่ หญข่ นึ้ ในชว่ ง เป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่�ำ สูง ๔๕ เมตร ชั้นบนสุด
พุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๖ โดยได้รบั อิทธิพล ทั้งจาก เปน็ ทป่ี ระดษิ ฐานพระบรมสารรี กิ ธาตุ พระธาตชุ นั้ อนื่ ๆ
วฒั นธรรมทวารวดีและวัฒนธรรมเขมร เปน็ สถานทจ่ี ดั แสดงหนุ่ ขผี้ งึ้ รปู เหมอื นของบรู พาจารย์
โบราณสถานดงเมอื งเตย ลกั ษณะเปน็ อาคาร
ก่ออิฐไม่สอปูน ตามแบบศิลปะเขมร ผังสี่เหล่ียม หอไตรวดั สระไตรนรุ กั ษ์ อยวู่ ดั สระไตรนรุ กั ษ์
ผืนผ้า ส่วนฐานอาคารเป็นส่วนเดียวที่ยังคงเหลือ บา้ นนาเวยี ง อ�ำเภอทรายมลู เปน็ วดั เกา่ แก่ เชอ่ื กนั วา่
เศษซาก สนั นษิ ฐานวา่ มอี ายุราวกลางพทุ ธศตวรรษ สรา้ งขน้ึ เมือ่ ปี พ.ศ. ๒๓๑๙ โดยพระครูหลักค�ำ (ชา)
ท่ี ๑๒ ภิกษุชาวลาวร่วมกับชาวบ้านท่ีมาจากเวียงจันทน์
พร้อมกบั พระวอ พระตา ภายในวัด มีหอไตรเกา่ แก่
พระธาตุกู่จาน ต้ังอยู่ที่วัดกู่จาน อ�ำเภอ ใชเ้ กบ็ ธรรมคมั ภรี ท์ น่ี �ำมาจากเวยี งจนั ทน์ เปน็ อาคารไม้
ค�ำเข่ือนแก้ว สันนิษฐานว่าสร้างเมื่อพุทธศตวรรษ อยกู่ ลางนำ้� ผงั สเ่ี หลยี่ ม ตงั้ อยบู่ นเสาไม้ จ�ำนวน ๓๐ ตน้
ที่ ๑๒ รว่ มสมยั กบั พระธาตุพนม จงั หวดั นครพนม บานประตไู มส้ ลกั ลายพรรณพฤกษา หลงั คาทรงปนั หยา
ลักษณะเป็นเจดีย์รูปทรงบัวเหล่ียม กว้างประมาณ ซ้อนช้ันลดหลั่นกันความโดดเด่นของหอไตรน้ี คือ
๕ เมตร สงู ๑๕ เมตร ประดับตกแตง่ ด้วยลวดลาย ใชเ้ ทคนคิ การสรา้ งเเละประกอบอาคารไมแ้ บบโบราณ
ประณีต ยอดพระธาตุทรงเหลี่ยมรองรับกับฉัตร ทคี่ วรศกึ ษา
มกี �ำแพงแกว้ ลอ้ มองคพ์ ระธาตุ สรา้ งขน้ึ เพอื่ ใชบ้ รรจุ
พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า พพิ ิธภัณฑ์บง้ั ไฟของจงั หวดั ยโสธร อย่ใู น
ทุกวันเพ็ญเดือน ๖ ของทุกปี ชาวบ้านจะท�ำพิธี เขตโรงเรยี นเทศบาล ๑ (สขุ วทิ ยาคารตงั้ ตรงจติ ร ๑๕)
สรงนำ�้ พระธาตุ เพือ่ ความเปน็ สิรมิ งคล และเพอื่ ให้ อ�ำเภอเมือง เป็นแหล่งรวบรวมภูมิปัญญาท้องถ่ิน
ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล เกย่ี วกบั การท�ำบง้ั ไฟ ซงึ่ เปน็ ความรู้ เทคนคิ ความเชอ่ื
ประเพณี พธิ กี รรม ทสี่ บื ทอดกนั ตง้ั แตส่ มยั บรรพบรุ ษุ
วดั พระพทุ ธบาทยโสธร ตง้ั อยบู่ นเนนิ ทราย จนมาถึงปัจจุบัน ซ่ึงการท�ำบ้ังไฟโบราณน้ี ท�ำข้ึน
รมิ ฝั่งแม่น�ำ้ ชี ในพนื้ ทอ่ี �ำเภอมหาชนะชยั ภายในวัด เพอื่ ใช้ในการจดั งานประเพณี “บญุ บง้ั ไฟ” ในจารีต
มีรอยพระพุทธบาท ท่ีอยู่บนเนินทรายขาวสูง เดอื นหก ตาม “ฮตี สบิ สอง คลองสบิ ส”่ี ท่ถี ือปฏิบตั ิ
มีพระพุทธรูปปางนาคปรก ท�ำจากศิลาแลง และ และยึดมั่นเสมอมา เป็นประเพณีท่ีแสดงให้เห็น
หลักศิลาจารึก ท่ีบันทึกเรื่องราวความเป็นมาของ ความสามคั คที มี่ ตี อ่ กนั การตอ่ สกู้ บั สภาพภมู อิ ากาศ
โบราณวัตถุ ท้ังสามชิ้นนี้ว่า พระมหาอุตตปัญญา อนั แหง้ แลง้ ของทอ้ งถนิ่ อสี าน เพอื่ ขอฝน จากพญาแถน
และสิทธวิ หิ าริกน�ำมาจากกรงุ ศรีอยธุ ยา เมอ่ื ปี พ.ศ. จะได้สามารถประกอบการเกษตรได้อยา่ งราบรนื่
๑๓๗๘ ท่ีอุโบสถ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป
ท�ำจากหยกขาว ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ

170 แหล่งเรยี นรทู้ างประวัตศิ าสตรใ์ นทอ้ งถ่ิน ๗๗ จังหวัดทัว่ ไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื )

รอ้ ยเอ็ด

รอ้ ยเอ็ด

171แหล่งเรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตร์ในทอ้ งถ่นิ ๗๗ จงั หวดั ท่วั ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)



รอ้ ยเอ็ด

รอ้ ยเอด็

กมุ าร (ตอ่ มาคอื เจา้ สรอ้ ยศรสี มทุ รพทุ ธางกรู ผคู้ รอง
นครจ�ำปาศกั ด)ิ์ ไดอ้ พยพบรวิ ารกวา่ สามพนั คน ลงมา
สิบเอด็ ประตเู มอื งงาม ตามล�ำนำ�้ โขง เพอ่ื หาท�ำเลตง้ั ถน่ิ ฐานทอ่ี ยู่ หนง่ึ ในนน้ั
เรืองนามพระสูงใหญ่ คอื ทา้ วแกว้ มงคล หรอื อาจารยแ์ กว้ ไดม้ าสรา้ งเมอื ง
ผ้าไหมสาเกต บุญผะเหวดประเพณี ข้นึ ใหม่ เรียกว่า เมืองทุ่ง (พ้นื ท่อี �ำเภอสวุ รรณภูมิ
มหาเจดีย์ชยั มงคล ในปจั จบุ นั ) จนกระทงั่ ถงึ สมยั สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ
งามนา่ ยลบงึ พลาญชัย มหาราช ดนิ แดนแถบอสี านไดต้ กอยภู่ ายใตก้ ารดแู ล
เขตกวา้ งไกลทงุ่ กลุ า ของกรงุ ธนบรุ ี ผคู้ รองเมอื งทงุ่ คอื ทา้ วเชยี ง ขอยา้ ย
โลกลือชาขา้ วหอมมะลิ เมอื งไปยงั ทแี่ หง่ ใหม่ และไดร้ บั พระราชทานเมอื งใหม่
วา่ “เมอื งสวุ รรณภมู ”ิ โปรดยกบา้ นกมุ่ ฮา้ ง เปน็ “เมอื ง

ร้อยเอ็ด” สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
ร้อยเอ็ด ต้ังอยู่ตอนกลางของภาคตะวัน เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลท่ี ๕) จากการปกครองรปู แบบมณฑล
ออกเฉยี งเหนอื พบหลกั ฐานการตงั้ ชมุ ชนของมนษุ ย์ เทศาภบิ าล รอ้ ยเอด็ ขน้ึ ตรงกบั เมอื งอบุ ลราชธานี
สมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตรท์ แี่ หลง่ โบราณคดบี า้ นเมอื งบวั และไดย้ กฐานะขน้ึ เปน็ จงั หวดั ในสมยั พระบาทสมเดจ็
ลกั ษณะของชมุ ชนและโบราณวตั ถสุ มยั ทวารวดี สมยั พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลท่ี ๖)
พทุ ธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๕ เชน่ รอ่ งรอยชมุ ชนโบราณ จากประวตั คิ วามเปน็ มาอนั ยาว แสดงใหเ้ หน็
ทม่ี คี นู ำ�้ คนั ดนิ ลอ้ มรอบ เจดยี ์ ใบเสมา พระพมิ พด์ นิ เผา ความรงุ่ เรอื ง ยง่ิ ใหญข่ องพนื้ ทแ่ี หง่ น้ี มแี หลง่ เรยี นรู้
จากหลกั ฐาน ต�ำนานอรุ งั คธาตุ ระบวุ า่ กอ่ น ทางประวตั ศิ าสตรใ์ นทอ้ งถนิ่ ทน่ี า่ สนใจ เชน่
ยคุ ขอมแผอ่ �ำนาจมาเหนอื ดนิ แดนแหง่ นี้ เดมิ มเี มอื ง
โบราณ ชอื่ “เมอื งสาเกตนคร” ซงึ่ เมอื งนมี้ คี วามเจรญิ บงึ พลาญชยั อยบู่ รเิ วณกลางเมอื งรอ้ ยเอด็
รงุ่ เรอื งมาก มปี ระตเู มอื งมากถงึ หนง่ึ รอ้ ยเอด็ ประตู เปน็ สญั ลกั ษณข์ องจงั หวดั รอ้ ยเอด็ มเี นอ้ื ท่ี ประมาณ
ตอ่ มาเมอื งเสอ่ื มอ�ำนาจและกลายเปน็ เมอื งรา้ ง เพราะถกู ๕๐ ไร่ แตเ่ ดมิ เรยี กวา่ บงึ พระลานชยั ในปี พ.ศ.
พญาขอมธรรมิกราช แห่งอาณาจักรขอมบุกโจมตี ๒๔๖๙ อ�ำมาตยเ์ อก พระยาสนุ ทรเทพกจิ จารกั ษ์ (ทอง
และภายหลัง ต้นกุ่มขึ้นมากบริเวณนี้ เมืองร้างนี้ จนั ทรางศ)ุ ขา้ หลวงจงั หวดั รอ้ ยเอด็ เหน็ วา่ บงึ แหง่ นี้
จงึ ถกู เรยี กอกี ชอ่ื หนง่ึ วา่ “บา้ นกมุ่ ฮา้ ง” เป็นแหล่งน้�ำกินน้�ำใช้ส�ำคัญของชาวเมือง แต่ถูก
ชอ่ื เมอื งรอ้ ยเอด็ ปรากฏในเอกสารหลกั ฐาน ทง้ิ รา้ งจนเกดิ ความตน้ื เขนิ ไมส่ ามารถใชป้ ระโยชนไ์ ด้
ของอาณาจักรล้านช้าง ราวสมัยอยุธยาตอนกลาง จงึ ระดมก�ำลงั ชาวบา้ น กวา่ ๔๐,๐๐๐ คน จากทกุ อ�ำเภอ
คอื ปี พ.ศ. ๒๒๕๖ ทา่ นพระครโู พนเสมด็ พระเกจิ มารว่ มลงแรงขดุ ลอกบงึ โดยไดด้ �ำเนนิ การขดุ ลอกบงึ
ทไี่ ดร้ บั ความเคารพนบั ถอื จากชาวบา้ น กบั เจา้ หนอ่ ทงั้ กลางวนั และกลางคนื เปน็ เวลากวา่ ๒ ปี จงึ แลว้ เสรจ็

173แหล่งเรียนรู้ทางประวตั ศิ าสตรใ์ นท้องถ่นิ ๗๗ จงั หวดั ท่ัวไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)

ร้อยเอด็

ภายในบึงพลาญชัยมีสิ่งท่ีน่าสนใจคือ ประมาณ ๒๐๐ เมตร ปจั จบุ นั มสี ภาพรกรา้ ง แตจ่ าก
ศาลเจา้ พอ่ หลกั เมอื ง พระพทุ ธรปู ปางลลี าขนาดใหญ่ การขดุ พบโบราณวตั ถุ เชน่ ภาชนะดนิ เผาใสก่ ระดกู
พานรัฐธรรมนูญ นาฬิกาดอกไม้ และหอโหวด แบบประเพณกี ารฝงั ศพครงั้ ท่ี ๒ ในกลมุ่ วฒั นธรรม
ชมเมอื งรอ้ ยเอด็ ทงุ่ กลุ ารอ้ งไห้ สนั นษิ ฐานวา่ พนื้ ทแ่ี หง่ นี้ เเตเ่ ดมิ นา่ จะเปน็
ทต่ี ง้ั ของชมุ ชนโบราณ ทอ่ี าศยั สบื เนอื่ งมาตง้ั แตส่ มยั
ปรางคก์ ู่ หรอื ปราสาทหนองกู่ ตง้ั อยอู่ �ำเภอ กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ เเละยงั พบชน้ิ สว่ นสถาปตั ยกรรม
ธวัชบุรี ลักษณะเป็นอาคารทรงปรางค์ สร้างด้วย หนิ ทรายและศลิ าแลงตกอยทู่ วั่ ไปบนเนนิ ดนิ โบราณสถาน
ศลิ าแลง ปรางคป์ ระธานหลงั คา ๓ ชน้ั สภาพสมบรู ณ์ ทเี่ ดน่ ชดั ทสี่ ดุ คอื กโู่ พนวทิ ซงึ่ มฐี านปราสาทแบบเขมร
มบี รรณาลยั มกี �ำแพงแกว้ พรอ้ มซมุ้ ประตลู อ้ มรอบ กอ่ ดว้ ยศลิ าแลง ภายใน มฐี านรปู เคารพหลายขนาด
ก�ำแพง มีทับหลังหินทราย สลักเป็นภาพบุคคล ประติมากรรมรูปบุรุษ (ทวารบาล) แท่นฐานโยนี
น่ังบนหลังช้างหรือวัว ภายในซุ้มเรือนแก้วหน้า ท่ีมีช่องเดือยรูปแปดเหลี่ยม เช่ือว่ากู่โพนวิทน้ี
กาล เปน็ ทบั หลงั หนา้ ประตมู ขุ ของปรางคป์ ระธาน สรา้ งเพอ่ื อทุ ศิ แดพ่ ระนารายณ์ กอ่ นถกู ปรบั เปลย่ี น
มเี สากรอบประตู ๒ ชน้ิ ชนิ้ หนง่ึ มภี าพสลกั รปู ฤาษี เปน็ เทวาลยั พระอศิ วร
ทโ่ี คนเสาศวิ ลงึ คข์ นาดใหญพ่ รอ้ มฐานทไ่ี ดจ้ ากทงุ่ นา
ดา้ นนอกออกไป และชน้ิ สว่ นบวั ยอดปรางค์ ถกู ดดั แปลง กพู่ ระโกนา ตงั้ อยภู่ ายในวดั กพู่ ระโกนา อ�ำเภอ
เป็นฐานของพระสังกัจจายน์ปูนปั้น และมีสระน้�ำ สวุ รรณภมู ิ เปน็ กลมุ่ โบราณสถาน สถาปตั ยกรรมเขมร
นอกก�ำแพง สรา้ งราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ สนั นษิ ฐานวา่ สนั นษิ ฐานวา่ นา่ จะสรา้ งขนึ้ ราว พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๖
ใชเ้ ปน็ อโรคยาศาลา (โรงพยาบาล หรอื ทพ่ี กั คนเดนิ ทาง) เพื่ออุทิศแด่เทพเจ้าท้ังสาม ในลัทธิตรีมูรติ ได้แก่
พระอศิ วร พระพรหม และพระนารายณ์
กกู่ าสงิ ห์ ตง้ั อยทู่ ว่ี ดั บรู พากกู่ าสงิ ห์ อ�ำเภอ กู่พระโกนา ประกอบด้วย อาคารปรางค์
เกษตรวสิ ัย โบราณสถานสถาปัตยกรรมแบบเขมร ๓ หลงั สรา้ งจากหนิ ทรายและอฐิ ปรางคอ์ งคก์ ลาง
ยังอยู่ในสภาพดี สันนิษฐานว่าสร้างข้ึนระหว่างปี ปจั จบุ นั ถกู แปลงสภาพเปน็ เจดยี ท์ รงมณฑป ยอ่ มมุ ไม้
พ.ศ. ๑๕๖๐ - ๑๖๓๐ เพอื่ เปน็ เทวสถานอทุ ศิ ถวายแด่ สิบสอง มีซุ้มโค้งประดิษฐานพระพุทธรูปมารวิชัย
พระอศิ วร ประกอบดว้ ยปรางค์ ๓ องค์ ตง้ั อยบู่ นฐาน ทง้ั สดี่ า้ น เหนอื มณฑปเปน็ ชนั้ ลดเรยี งหลนั่ กนั ขนึ้ ไป
ศลิ าเเลงเดยี วกนั มวี หิ ารหรอื อาคารสเ่ี หลยี่ มผนื ผา้ ๕ ชนั้ บรเิ วณมมุ ของชน้ั ลดประดบั กลบี ขนนุ ตอ่ จากชนั้
เรียกว่าบรรณาลัยอยู่ทางด้านหน้าล้อมรอบด้วย ลดเปน็ ระฆงั ขนาดเลก็ เหนอื ขน้ึ ไปเปน็ ปลอ้ งไฉน ปลยี อด
ก�ำแพงซง่ึ มซี มุ้ ประตทู ง้ั ๔ ทศิ ถดั ออกไป เปน็ คนู ำ�้ ปรางคท์ างเหนอื สรา้ งกฏุ สิ มยั ใหมท่ บั บนฐานปรางคเ์ ดมิ
รปู เกอื กมา้ ลอ้ มรอบอกี ชนั้ หนง่ึ และปรางค์ทางทิศใต้ มีสภาพด้ังเดิมสมบูรณ์ที่สุด
พบทบั หลงั เสาประดบั กรอบประตทู �ำดว้ ยหนิ ทราย
กโู่ พนวทิ ตง้ั อยใู่ นเขตบา้ นกกู่ าสงิ ห์ อ�ำเภอ บรรณาลยั ปรากฏเฉพาะสว่ นฐาน มกี ารสรา้ งหอระฆงั
เกษตรวิสัย อยู่บนเนินดินใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลาง ทบั ดา้ นบน

174 แหลง่ เรียนรูท้ างประวัติศาสตร์ในทอ้ งถ่นิ ๗๗ จังหวัดทัว่ ไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ)

เลย

เลย

175แหลง่ เรียนรทู้ างประวัตศิ าสตร์ในทอ้ งถิ่น ๗๗ จงั หวัดทว่ั ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื )



เลย

เลย

ควรตั้งเป็นเมือง เพื่อประโยชน์ในการปกครอง
เมอื งแห่งทะเลภูเขา สุดหนาวในสยาม โปรดเกล้าฯ ให้จัดต้ังเป็นเมือง เรียกชื่อตามนาม
ดอกไม้งามสามฤดู ถ่นิ ท่ีอยู่อริยสงฆ์ ของแม่น�้ำเลยว่า “เมืองเลย”
มนั่ คงความสะอาด
จากเรอ่ื งราวความเปน็ มาในอดตี อนั ยาวนาน
สง่ ผลให้ เลย มแี หลง่ เรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตรใ์ นทอ้ งถน่ิ
ทน่ี า่ สนใจ เชน่
เลย อยใู่ นภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ตอนบน
พน้ื ทตี่ ดิ กบั ภาคเหนอื และสาธารณรฐั ประชาธปิ ไตย พระธาตุศรีสองรัก ตัง้ อยู่รมิ ฝง่ั แมน่ �้ำหมัน
ประชาชนลาว มีแม่น้�ำโขงและแม่น้�ำเหืองไหลเป็น อ�ำเภอด่านซ้าย อยู่ในบริเวณวัดพระธาตุศรีสองรัก
เเมน่ ้ําส�ำคญั เเละเป็นพรมแดนธรรมชาติ ส่วนใหญ่ เป็นวัดท่ีไม่มีพระภิกษุพ�ำนักอยู่ เป็นเจดีย์ก่อด้วย
เป็นเทือกเขาสูง มีพ้ืนท่ีราบลุ่มไม่กว้างนัก มีการ อิฐถือปูน ยอ่ มุมไมส้ บิ สอง องค์ระฆงั ทรง บวั เหลย่ี ม
ขุดพบเครื่องมือเครื่องใช้ท่ีท�ำจากหิน ยุคสมัยก่อน รูปทรงลักษณะศิลปกรรมแบบล้านช้าง ฐานกว้าง
ประวัติศาสตร์ เป็นส่ิงแสดงให้เห็นการตั้งถิ่นฐาน ดา้ นละ ๑๑ เมตร สงู ๙.๕๙ เมตร สรา้ ง พ.ศ. ๒๑๐๓
ของชมุ ชนทดี่ �ำรงชวี ติ ดว้ ยวถิ เี กษตรกรรมกวา่ ๙,๐๐๐ ปี เเลว้ เสรจ็ พ.ศ. ๒๑๐๖ โดยสมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดิ
และพบใบเสมา สมยั ทวารวดที กี่ �ำหนดอายปุ ระมาณ แหง่ กรงุ ศรอี ยธุ ยา และ พระเจา้ ไชยเชษฐาธริ าช แหง่ กรงุ
๑,๐๐๐ - ๒,๐๐๐ ปี ปรากฏหลกั ฐานวา่ บรรพบรุ ษุ ของ ศรสี ตั นาคนหตุ ในยคุ นน้ั อาณาจกั รพมา่ เรอื งอ�ำนาจ
ชาวเมืองเลย อพยพจากอาณาจักรโยนกเชียงแสน มีการรุกรานดินแดนต่าง ๆ เพื่อขยายอาณาเขต
พร้อมกับพ่อขุนบางกลางหาวและพ่อขุนผาเมือง สมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดแิ ละพระเจา้ ไชยเชษฐาธริ าช
เลอื กชยั ภมู ฝิ ง่ั ซา้ ยของล�ำนำ�้ หมนั สรา้ งบา้ นดา่ นซา้ ย ไดก้ ระท�ำสตั ยาธษิ ฐานรว่ มกนั วา่ จะไมล่ ว่ งลำ้� ดนิ แดน
(พน้ื ทห่ี มบู่ า้ นเกา่ อ�ำเภอดา่ นซา้ ย ในปจั จบุ นั ) พอ่ ขนุ ของกนั และกัน จะช่วยเหลือซ่งึ กนั และกัน รว่ มสูร้ บ
บางกลางหาวได้พาไพร่พลอพยพอีกหลายคร้ัง กับพม่า เพือ่ เป็นสกั ขีพยานของไมตรี จึงไดร้ ว่ มกัน
จนไปอยู่ท่ีเมืองบางยาง ในทีส่ ุด ได้ต้งั เมอื งด่านซา้ ย สรา้ งพระธาตศุ รสี องรกั นขี้ น้ึ ทกี่ ง่ึ กลางระหวา่ งแมน่ ำ�้
เปน็ เมอื งหนา้ ดา่ นของเมอื งบางยาง บรรพบรุ ษุ อกี กลมุ่ นา่ นและแมน่ ำ้� โขง ซงึ่ เปน็ รอยตอ่ ของสองราชอาณาจกั ร
คือ ชาวโยนกทอ่ี พยพหนีภัยสงคราม ไดเ้ ลือกท�ำเล ปจั จบุ นั ทกุ วนั ขน้ึ ๑๕ คำ่� เดอื นหก ของทกุ
ทรี่ าบรมิ เเมน่ า้ํ เซไลตงั้ ชอื่ หมบู่ า้ น “บา้ นแห”่ (บา้ นแฮ)่ ชาวเมอื งเลยจดั พธิ สี มโภชบชู าพระธาตุ มกี ารท�ำพธิ ี
ตอ่ มา ในปี พ.ศ. ๒๓๖๙ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ บชู าพระธาตุ สรงธาตุ พิธีสขู่ วัญธาตุ พธิ ีเวยี นเทียน
เจ้าอย่หู ัว (รชั กาลท่ี ๔) พจิ ารณาเหน็ วา่ หมบู่ ้านแฮ่ และถวายต้นผึ้ง ชาวบ้านจะพร้อมกันน�ำต้นผึ้ง
อยรู่ มิ ฝง่ั หว้ ยนำ้� หมานและใกลแ้ มน่ ำ�้ เลย ผคู้ นมากขนึ้ “ต้นดอกเผง่ิ ” บชู าถวายองค์พระธาตเุ พอ่ื ขอพร

177แหลง่ เรียนรู้ทางประวัตศิ าสตร์ในทอ้ งถ่ิน ๗๗ จังหวดั ทวั่ ไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ)

เลย

อทุ ยานเทดิ พระเกยี รตบิ า้ นหมากแขง้ ตงั้ อยู่ ถือปูน หนั หนา้ ไปทิศเหนือ มีประตูทางเขา้ ๓ ทาง
ท่ีบ้านหมากแข้ง อ�ำเภอด่านซ้าย เป็นพิพิธภัณฑ์ ที่ประตูทัง้ สามทศิ มสี ัตวห์ ิมพานต์ หมอบอย่ดู ้านละ
ทส่ี รา้ งขน้ึ เพอื่ เปน็ การเทดิ พระเกยี รติ พระบาทสมเดจ็ ๑ คู่ ผนังอีกด้านก่ออิฐทึบ หลังคาทรงจั่ว มุงด้วย
พระปรเมนทรรามาธบิ ดีศรสี นิ ทรมหาวชริ าลงกรณ ไม้แป้นเกล็ด มีชายคาปีกนก รองรับด้วยเสาไม้
พระวชริ เกลา้ เจา้ อย่หู ัว (รัชกาลท่ี ๑๐) ที่ทรงเสดจ็ หลังคาวิหารคลุมต�่ำมาก แบบเฉพาะของท้องถิ่น
มายังบ้านหมากแข้ง เเละได้บัญชาการรบในการ เมอื งเลย อาคารทตี่ ำ่� น้ี ชว่ ยรกั ษาสภาพของจติ รกรรม
ตอ่ สรู้ ะหวา่ งกองทพั ไทยกบั ผกู้ อ่ การรา้ ยคอมมวิ นสิ ต์ ฝาผนงั
อทุ ยานเทดิ พระเกยี รติ ประกอบดว้ ยอาคาร “ฮปู แตม้ ” หรอื ภาพจติ รกรรมฝาผนงั ฝมี อื
พิพิธภัณฑ์แสดงร่องรอยฐานท่ีมั่น เร่ืองราวการรบ ชา่ งพนื้ ถน่ิ ทงั้ ทผี่ นงั ดา้ นในและผนงั ดา้ นนอก ดา้ นใน
ตลอดระยะเวลา ๑๔ ปี ในช่วงท่ีลัทธิคอมมิวนิสต์ เขยี นเรอ่ื งพทุ ธประวตั ิ และพระเวสสนั ดรชาดก ดา้ นนอก
ขยายตวั พรรคคอมมิวนิสต์ไดใ้ ชอ้ าวธุ สงครามตอ่ สู้ เขยี นเรอ่ื งเนมริ าชชาดก สงั ขศ์ ลิ ปช์ ยั ภาพชวี ติ ชาวบา้ น
กับกองทัพไทยและได้เกลี้ยกล่อมประชาชนให้เป็น ภาพรถไฟ จักรยาน การแต่งกายของเหล่าทหาร
พรรคพวก ในเวลานน้ั บา้ นหมากแขง้ เปน็ หมบู่ า้ นเดยี ว ข้าราชบริพารในราชสานกั ฯลฯ สะท้อนใหเ้ หน็ ชีวิต
ในพนื้ ท่ี ทไ่ี มเ่ ขา้ รว่ ม ถกู โจมตอี ยา่ งหนกั ท�ำใหเ้ จา้ หนา้ ท่ี ความเปน็ อยู่ และการนบั ถอื ศาสนาของชาวบา้ นนาพงึ
และชาวบา้ นเสยี ชวี ติ จ�ำนวนมาก สถานการณร์ นุ แรง ในสมัยอยุธยาและสมัยรัตนโกสินทร์ ลักษณะของ
ในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ พระบาทสมเดจ็ พระมหาภมู ิพล ลายเส้นและการใช้สีบ่งบอกถึงความมีอิสระและ
อดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลท่ี ๙) เป็นศิลปะพื้นถิ่น
และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ
พระบรมราชชนนีพันปีหลวงเสด็จฯ เย่ียมราษฎร พพิ ธิ ภณั ฑใ์ บเสมาหนิ ทราย วดั พทั ธสมี าราม
บา้ นหมากแขง้ และวนั ท่ี ๕ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๕๑๙ อย่ทู ี่บ้านหนองบวั ทอง อ�ำเภอวงั สะพุง เป็นสถานที่
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทร เก็บรักษาและจัดแสดงใบเสมาท่ีพบในพื้นท่ีอ�ำเภอ
มหาวชริ าลงกรณ พระวชริ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลท่ี ๑๐) วงั สะพงุ เกือบร้อยใบ ส่วนใหญเ่ ป็นหินทรายสีขาว
ซงึ่ ในขณะนนั้ ด�ำรงพระยศเปน็ รอ้ ยเอกสมเดจ็ พระบรม บางส่วนเป็นหินทรายสีแดง มีหลากหลายขนาด
โอรสาธริ าชฯ สยามกฎุ ราชกมุ าร ไดเ้ สดจ็ พระราชด�ำเนนิ ลักษณะศิลปะทวารวดี มีการสลักลวดลายรูปบัว
ปฏบิ ตั หิ นา้ ทค่ี มุ้ ครองหมบู่ า้ นทรงบญั ชาการรบดว้ ย สลกั เปน็ หมอ้ ปรู ณฆฏะ มสี ถปู ตอนบน บา้ งกป็ ระกอบ
พระองค์เอง สถานการณ์เร่ิมสงบในเวลาต่อมา ด้วยลายพรรณพฤกษา ใบเสมานี้ มีอายุประมาณ
ยังความร่มเยน็ เปน็ สุข ดว้ ยพระบารมีจนถึงปจั จบุ ัน ๙๐๐ - ๑,๒๐๐ ปี ใบเสมาบางใบ มจี ารกึ อกั ษรปลั ลวะ
จากลักษณะอักษร สันนิษฐานว่ามีอายุประมาณ
วดั โพธชิ์ ยั ตงั้ อยทู่ บี่ า้ นนาพงึ อ�ำเภอนาแหว้ ชว่ งพทุ ธศตวรรษ ที่ ๑๔ - ๑๖ จากการค้นพบกลุ่ม
เปน็ วดั เกา่ ทมี่ มี ากอ่ นการตง้ั หมบู่ า้ นนาพงึ ภายในวดั ใบเสมาน้ี ท�ำให้เห็นว่าพระพุทธศาสนาได้แผยแพร่
มวี หิ ารเก่าแก่ เปน็ อาคารสีเ่ หลีย่ มผืนผ้า ผนังกอ่ อฐิ มายังชมุ ชนแหง่ น้ี นับแต่ ๙๐๐ - ๑,๒๐๐ ปี ท่ีแลว้

178 แหลง่ เรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตรใ์ นทอ้ งถ่ิน ๗๗ จังหวดั ทว่ั ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)

ศรีสะเกษ

ศรสี ะเกษ

179แหล่งเรียนรทู้ างประวัตศิ าสตรใ์ นท้องถิน่ ๗๗ จงั หวดั ท่วั ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉียงเหนอื )



ศรีสะเกษ

ศรสี ะเกษ

หลวงพอ่ โตคบู่ ้าน ถน่ิ ฐานปราสาทขอม ช้างเผือกกลับไปกรุงศรีอยุธยาได้ จึงได้รับความดี
ขา้ ว หอม กระเทียมดี ความชอบ โปรดเกลา้ ฯ พระราชทานบรรดาศกั ดใิ์ หเ้ ปน็
“หลวงแกว้ สวุ รรณ” ตอ่ มา ในปี พ.ศ. ๒๓๐๖ โปรดเกลา้ ฯ
มสี วนสมเดจ็ เขตดงล�ำดวน ยกฐานะหมบู่ า้ นปราสาทสเี่ หลย่ี มโคกล�ำดวน ขน้ึ เปน็
หลากล้วนวฒั นธรรม เลศิ ล้ำ� สามัคคี “เมอื งขขุ ันธ์” เลือ่ นบรรดาศกั ดเ์ิ ปน็ “พระไกรภักดี
ศรสี ะเกษ ตงั้ อยใู่ นภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ศรีนครล�ำดวน” เจ้าเมอื งขุขันธค์ นแรก
ทางตอนลา่ งลกั ษณะภมู ปิ ระเทศเปน็ ภเู ขาสงู คอ่ ยๆลาดตำ่� ในสมัยธนบุรี เมืองขุขันธ์ มีบทบาทเป็น
สลู่ มุ่ แมน่ ำ�้ มลู ปรากฏการตง้ั ถนิ่ ฐานของชมุ ชนโบราณ กองก�ำลงั ส�ำคญั เมอ่ื ครงั้ สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราช
บนดนิ เเดนแหง่ นน้ี บั ตง้ั แตส่ มยั ยคุ กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ ส่งทพั หลวงไปปราบปรามผ้คู รองนครเวยี งจนั ทน์
โบราณสถานหลายแหง่ แสดงใหเ้ หน็ ถงึ การแผอ่ ทิ ธผิ ล ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
ของอาณาจกั รขอมครอบคลมุ พนื้ ทแี่ หง่ น้ี เชน่ การพบ เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลที่ ๕) มกี ารยา้ ยเมอื งไปยงั บริเวณ
ปราสาทหนิ ปรางค์กู่ เมืองเก่า (ต�ำบลเมืองเหนือ อ�ำเภอเมืองศรีสะเกษ
ความเป็นมาของเมืองศรีสะเกษ ชัดเจน ในปัจจุบนั ) แตเ่ รยี กชือ่ เมอื งขขุ ันธ์ ตามเดิม ใน พ.ศ.
ในสมัยอยุธยาตอนปลาย หลักฐานประวัติศาสตร์ ๒๔๕๙ ไดม้ กี ารยกฐานะเปน็ จงั หวดั ขขุ นั ธ์ และในปี
บันทึกว่า ในปี พ.ศ. ๒๓๐๒ สมัยสมเด็จพระทนี่ ่ัง พ.ศ. ๒๔๘๑ ได้เปล่ยี นชอ่ื เป็น จังหวัดศรสี ะเกษ
สุริยาศน์อมรินทร์ เกิดเหตุ พระยาช้างเผือกของ จากประวตั กิ ารตง้ั ถน่ิ ฐานทอ่ี ยขู่ องผคู้ นมากมาย
พระมหากษัตรยิ ์ ได้แตกโรง หนีออกไปจากโรงชา้ ง บนดนิ แดนแหง่ น้ี ทสี่ บื ทอดตอ่ เนอื่ งมายาวนาน นบั แต่
มงุ่ หนา้ ไปทางทศิ ตะวนั ออก เขา้ สพู่ นื้ ทแี่ นวเทอื กเขา ยคุ กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ จนถงึ ปจั จบุ นั ท�ำใหศ้ รสี ะเกษ
พนมดงรกั “ตากะจะ” ผเู้ ปน็ หวั หนา้ ของชาวเขมรปา่ ดง มแี หลง่ เรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตรใ์ นทอ้ งถน่ิ ทนี่ า่ ศกึ ษา
แห่งหมู่บ้านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกล�ำดวน ซึ่งเป็น เชน่
ชาวชุมชนดั้งเดิมเมืองขุขันธ์ เป็นผู้มีวิชาอาคม ปราสาทวัดสระก�ำแพงใหญ่ ต้ังอยู่ต�ำบล
เกง่ กลา้ เชยี่ วชาญวชิ าคชศาสตร์ การจบั เเละฝกึ ชา้ ง สระก�ำแพงใหญ่ อ�ำเภออุทุมพรพิสัย ลักษณะเป็น
สื่อสารกับช้างได้ ได้รับการขอร้องให้ช่วยติดตาม กลุ่มปราสาทอิฐและบรรณาลัย ศิลปะแบบเขมร
พระยาชา้ งเผอื ก ตากะจะ พรอ้ มดว้ ยน้องชาย คือ จ�ำนวน ๖ หลงั ตัง้ อยบู่ นพ้นื ทท่ี เ่ี ช่อื ไดว้ ่าเป็นชุมชน
เชยี งพนั ธ์ และสมัครพรรคพวก จงึ ไดร้ ว่ มกันอาสา โบราณขนาดใหญ่ เพราะไม่ไกลจากท่ีต้ังปราสาท
ตดิ ตามพระยาชา้ งเผอื ก จนสามารถจบั และน�ำพระยา มีสระน้�ำ รูปส่ีเหล่ียมขนาดใหญ่ ช่ือ สระก�ำแพง
สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างข้ึนร่วมสมัยกับปราสาท

181แหลง่ เรียนรู้ทางประวตั ิศาสตรใ์ นทอ้ งถิ่น ๗๗ จังหวัดทั่วไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื )

ศรีสะเกษ

และยงั มลี �ำหว้ ยเลก็ ๆ ชอ่ื หว้ ยตาเหมา ทอ่ี าจจะเปน็ ในเวลาตอ่ มา นอกจากสร้างอนุสาวรีย์ ทางจังหวัด
แหลง่ นำ�้ ส�ำคญั ในการอปุ โภคบรโิ ภค จากโบราณวตั ถุ ยังได้ปรับปรุงภูมิทัศน์สถานที่โดยรอบให้เป็น
และซากโบราณสถานทีพ่ บ เทวรูปนนั ทเิ กศวร เปน็ สวนสาธารณะ มกี ารท�ำซมุ้ ประตู หรอื โคปรุ ะ ศลิ ปะ
เทวรูปประจ�ำเทวาลัยพระอิศวร ทับหลังท่ีสลัก แบบเขมร ประดับสถานท่ีอย่างสวยงาม และในปี
ภาพบคุ คลเลา่ เรอื่ งราวตา่ ง ๆ เกยี่ วขอ้ งกบั ความเชอื่ พ.ศ. ๒๕๕๒ มกี ารสรา้ งศาลหลกั เมอื งขขุ นั ธแ์ หง่ ใหม่
ตามคตศิ าสนาฮินดู จงึ สันนษิ ฐานวา่ ปราสาทแหง่ นี้ ขนึ้ ในบรเิ วณเดยี วกนั ทดแทนศาลหลกั เมอื งแหง่ เดมิ
สร้างข้ึนตามความเชื่อศาสนาฮินดู ศาสนาพุทธ มขี นาดคบั แคบ
แบบมหายาน เพ่ือใช้เป็นที่ประดิษฐานเทวรูป และ ปัจจุบัน ชาวขุขันธ์พื้นที่สวนพระยาไกร
ก�ำหนดอายุได้ราวช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ภกั ดศี รนี ครล�ำดวน (ตากะจะ) จดั งานประเพณี เชน่
การประกอบพิธีแซนโฎนตา ซ่ึงเป็นงานประจ�ำปี
สวนพระยาไกรภกั ดศี รนี ครลำ� ดวน (ตากะจะ) ท่ียิ่งใหญ่
และ ศาลหลักเมืองใหม่เมืองขุขันธ์ เป็นสวน
ขนาดใหญท่ ต่ี งั้ อยใู่ จกลางอ�ำเภอขขุ นั ธ์ ใกลท้ วี่ า่ การ กู่แก้วสี่ทิศ กู่แก้วบ้านหว้าน ต้ังอยู่ที่
อ�ำเภอขขุ นั ธ์ ภายในมสี ถานทส่ี �ำคญั ไดเ้ เก่ อนสุ าวรยี ์ บ้านหวา้ น อ�ำเภอราษไี ศล เป็นโบราณสถานเก่าเเก่
พระยาไกรภักดีศรีนครล�ำดวน หรือ ตากะจะ ผเู้ ป็น เป็นท่ีเคารพของชาวต�ำบลหว้านค�ำและประชาชน
เจา้ เมอื งขขุ นั ธค์ นแรก และเปน็ ทตี่ ง้ั ศาลหลกั เมอื งใหม่ พื้นท่ีใกล้เคียง ลักษณะเป็นซากอาคารทรงปรางค์
เมืองขุขันธ์ ทางราชการและชาวขุขันธ์ได้ร่วมแรง ท่ีสร้างอยู่บนเนินดิน มีคูน�้ำและคันดินล้อมรอบ
รว่ มใจพฒั นาสวนสาธารณะเพอื่ เทดิ ทนู ความกลา้ หาญ ๒ ชน้ั โดยก่อคันดนิ ลอ้ มรอบคูนำ�้ ดา้ นนอก อีกชนั้
คณุ ความดขี องพระยาไกรภกั ดศี รนี ครล�ำดวน (ตากะจะ) จากลักษณะดังกล่าวสันนิษฐานว่าพ้ืนท่ีแห่งน้ี
เป็นสัญลักษณ์เเละให้เยาวชนรุ่นหลังได้ระลึกถึง เคยเป็นที่ต้ังชุมชนโบราณ เพราะมีส่ิงก่อสร้าง
ประวัติศาสตร์ของเมืองขุขันธ์และความดีงามของ ทีน่ า่ จะเปน็ ศาสนสถาน มใี บเสมา เพือ่ ใช้ประกอบ
บรรพบุรุษ ในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ มีการวางศิลาฤกษ์ สังฆกรรม มีคูน�้ำคันดิน เพื่อใช้กักเก็บน�้ำในการ
อนุสาวรีย์พระยาไกรภักดีศรีนครล�ำดวน พร้อมท�ำ อุปโภคบริโภคของชุมชน ซากโบราณสถานที่พบ
รปู หลอ่ ครอบครวั พระยาชา้ งเผอื กมงคลมาตงั้ ประดบั เช่น กู่แก้วส่ีทิศ เป็นซากอาคารทรงเจดีย์สี่เหล่ียม
เพอื่ บอกเลา่ เรอื่ งราวความเปน็ มาวา่ ผนู้ �ำชมุ ชนเขมร กอ่ ดว้ ยอฐิ มกี �ำแพงแกว้ กนู่ อ้ ย เปน็ เจดยี ท์ รงหกเหลยี่ ม
ป่าดง แหง่ หม่บู ้านปราสาทสีเ่ หล่ียมโคกล�ำดวน คือ ก่อด้วยอิฐ กู่ใหญ่ เจดีย์ทรงส่ีเหล่ียม ก่อด้วยอิฐ
ตากะจะ เปน็ ผ้ทู ี่มคี วามเชี่ยวชาญในวิชาคชศาสตร์ สภาพสมบูรณ์ และหลุมกรุด้วยอิฐ เป็นเนินดิน
สามารถติดตามพระยาช้างเผือกของกษัตริย์ท่ี ที่มีหลุมลึก ๔ เมตร ขอบบ่อก่ออิฐ จากศิลปะ
หนีจากโรงเล้ียงช้างจนพบ และน�ำกลับไปถวายที่ สมยั ทวารวดที ปี่ รากฏบนโบราณวตั ถแุ ละโบราณสถาน
กรงุ ศรอี ยธุ ยาไดส้ �ำเรจ็ และรบั พระราชทานบรรดาศกั ด์ิ สนั นษิ ฐานวา่ ชมุ ชนโบราณและสถานทแ่ี หง่ น้ี มอี ายุ

182 แหลง่ เรียนรทู้ างประวตั ศิ าสตรใ์ นทอ้ งถ่ิน ๗๗ จังหวดั ทัว่ ไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉียงเหนอื )

ศรสี ะเกษ

ประมาณ ๑,๒๐๐ ปี ปจั จุบัน โบราณสถานพงั ทลาย จากฐานถึงคร่ึงผนังเรือนธาตุ แล้วก่อต่อด้วย
ลงไปมาก เนอื่ งจากการถกู ลกั ลอบขดุ หาวตั ถโุ บราณ อิฐไม่สอปูนจนถึงยอด หลังคา น่าจะเป็นเคร่ืองไม้
และโบราณวัตถทุ พ่ี บ เกบ็ รักษาไวท้ ่ีวดั บ้านหว้าน มุงกระเบ้ืองเพราะมีการเซาะร่องโครงสร้างหลังคา

และขอบกระเบอ้ื งไว้ มเี สาสเี่ สาดา้ นหนา้ สนั นษิ ฐาน
ปราสาทตาเล็ง อยทู่ ีบ่ า้ นปราสาท อ�ำเภอ ว่าใช้รองรับหลังคาห้องโถง หรือที่เรียกว่า มณฑป
ขขุ นั ธ์ เปน็ อาคารทรงปรางค์ ศลิ ปะเขมร อยกู่ ลางปา่ และมซี มุ้ ประตู หรอื โคปรุ ะ มสี ระนำ�้ ลกั ษณะกอ่ เปน็
นอกเขตหมบู่ า้ น ใกลก้ บั สระนำ�้ ขนาดใหญอ่ าคารชอื่ วา่ คนั ดนิ มนี ำ�้ ขงั ประการส�ำคญั คอื มกี ารคน้ พบ อกั ษรจารกึ
ตระเปยี งละเบกิ หรอื หนองละเบกิ ลกั ษณะเปน็ อาคาร ทก่ี รอบประตู ดว้ ยอกั ษรขอมโบราณ เปน็ ภาษาเขมร
ปรางค์เดี่ยว ก่อด้วยหินทรายอิฐบนฐานศิลาแลง เเละภาษาสนั สกฤตจ�ำนวน๑ดา้ นมี๓บรรทดั ระบวุ นั เวลา
ต้ังอยู่บนฐานส่ีเหล่ียม ย่อมุมไม้สิบสอง มีประตู ทส่ี ร้างปราสาทแหง่ นี้ คือ มหาศักราช ๙๒๔ ซึ่งตรง
เข้าทางเดียว สามด้านเป็นประตูหลอก ปัจจุบัน กบั พ.ศ. ๑๕๔๕
สภาพเหลอื เพยี งผนงั ดา้ นหนา้ และผนงั ขา้ งบางสว่ น
เสามีการแกะสลกั ลายอยา่ งสวยงาม เช่น ลายก้าน ปราสาทตำ� หนกั ไทร หรอื ปราสาททามจาน
ลายหงส์ ลายกลบี บวั ลายใบไม้ รปู นาคหา้ เศยี ร โดยที่ อยู่บ้านต�ำหนักไทร อ�ำเภอขุนหาญ พื้นที่ต้นนํ้า
รอบตวั ปราสาทมหี นิ มเี เละสว่ นประกอบของปราสาท ห้วยทา เขาพนมดงเร็ก ชายแดนประเทศกัมพูชา
ตกอยู่หลายชิ้น เช่น ชิ้นส่วนหน้าบันท่ีมีการสลัก ลกั ษณะเป็นปรางคเ์ ด่ยี ว ก่อด้วยอฐิ ฐานศิลาทราย
เปน็ รปู พระอนิ ทรท์ รงชา้ งเอราวณั ยนื อยบู่ นหวั ยกั ษ์ ทรงสี่เหล่ียมจัตุรัส ย่อมุมไม้สิบสอง มีประตูเข้า
ทว่ี จิ ติ รมาก ชนิ้ สว่ นทบั หลงั แกะสลกั ภาพพระอนิ ทร์ ด้านเดียว สามด้านเป็นประตูหลอก โดยสลักเป็น
ทรงช้าง ในเรือนแก้วหน้ากาลมีภาพใบหน้าเทวรูป รปู บานประตลู งในเนอ้ื อฐิ บรเิ วณทางเขา้ มสี งิ หจ์ �ำหลกั
นอกจากน้ี พบแนวคนั ดนิ คลา้ ยถนน ตดั เปน็ แนวตรง สองตัว เฉพาะด้านหน้ากรอบประตูเป็นหินทราย
ไปสู่ตระเปียงละเบิก ซ่ึงเป็นแหล่งน้�ำเพื่อใช้สอย แต่เดิมเคยมีทับหลังพระนารายณ์บรรทมสินธุ์
ของชาวบา้ นในชมุ ชนรอบ ๆ ปราสาท กรมศลิ ปากร พระชายาลกั ษมี นงั่ อยทู่ ปี่ ลายพระบาท มพี ระพรหม
สนั นษิ ฐานวา่ ปราสาทตาเลง็ สรา้ งขนึ้ ตามศลิ ปะเขมร ผดุ มาจากพระนาภี สองขา้ งพระพรหมเปน็ รปู ฤาษแี ละ
แบบปาปวน อายปุ ระมาณพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๖ - ๑๗ บคุ คลนง่ั ในซมุ้ เรอื นแกว้ ปจั จบุ นั ทบั หลงั ชนิ้ ส�ำคญั น้ี

ถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย
ปราสาทโดนตวล ตงั้ อยใู่ กลก้ บั บา้ นภมู ซิ รอล จากโบราณวตั ถุ ลกั ษณะของศิลปะ ประตมิ ากรรม
อ�ำเภอกนั ทรลกั ษ์ อยใู่ นพน้ื ทเี่ ขตอทุ ยานแหง่ ชาตเิ ขา ที่พบ สันนิษฐานว่าปราสาทแห่งน้ีน่าจะมีอายุราว
พระวหิ าร ตงั้ อยรู่ มิ หนา้ ผาสงู บนเทอื กเขาพนมดงรกั พุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๖
เปน็ ปรางคเ์ ดย่ี ว รปู แบบศลิ ปะเขมร กอ่ ดว้ ยศลิ าแลง

183แหลง่ เรยี นร้ทู างประวตั ิศาสตร์ในทอ้ งถ่นิ ๗๗ จงั หวดั ทว่ั ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื )



สกลนคร

สกลนคร

185แหล่งเรยี นรทู้ างประวัตศิ าสตรใ์ นท้องถนิ่ ๗๗ จังหวดั ทั่วไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ)



สกลนคร

สกลนคร

พระธาตเุ ชงิ ชมุ คู่บา้ น สดุ ท้าย สรา้ งเมืองใหม่ท่ี ริมหนองหานหลวง และ
ใหช้ อ่ื เมอื งว่า “เมืองหนองหานหลวง” ชุมชนแหง่ น้ี
พระตำ� หนกั ภพู านคู่เมือง มเี จา้ ปกครองเรอ่ื ยมา ถงึ สมยั พระยาสวุ รรณภงิ คาระ
งามลือเล่ืองหนองหาร เกดิ ทพุ ภกิ ขภยั ฝนแลง้ ขา้ วยากหมากแพง เจา้ ผคู้ รองเมอื ง
แลตระการปราสาทผงึ้ อพยพไพรพ่ ล เมอื งหนองหานหลวง กลบั เขมร หนองหาน
สวยสดุ ซงึ้ สาวภูไท จงึ เปน็ เมอื งรา้ งอยรู่ ะยะหนงึ่ เมอื่ อทิ ธพิ ลขอมเสอ่ื มลง
ถิน่ มั่นในพทุ ธธรรม อาณาจักรล้านช้างรุ่งเรือง เมืองหนองหานหลวง
จงึ ตกไปอยูใ่ นความปกครองของอาณาจกั รลา้ นช้าง
ไดช้ อื่ ใหมว่ า่ “เมอื งเชยี งใหมห่ นองหาน” จนกระทงั่
สกลนคร เปน็ จงั หวดั ทต่ี ง้ั อยใู่ นภาคตะวนั ออก ถงึ สมัยรัตนโกสินทร์ ปรากฏเหตกุ ารณ์ท่ีเจ้าอนวุ งศ์
เฉยี งเหนอื ตอนบน บรเิ วณ แอง่ สกลนคร มเี ทอื กเขา กษัตริย์แห่งเวียงจันทน์ ต้องการปลดแอกออกจาก
ภพู าน แมน่ ำ�้ สงครามและล�ำนำ�้ สาขา ทะเลสาบหนองหาน การเปน็ ประเทศราชสยาม ครงั้ นนั้ พระบาทสมเด็จ
เปน็ แหลง่ ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละความอดุ มสมบรู ณ์ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลท่ี ๓) ทรงโปรดให้
ส่งผลให้พื้นที่เเห่งน้ีเหมาะแก่การตั้งถิ่นฐานท่ีอยู่ เจา้ พระยาบดนิ ทรเดชา (สงิ ห์ สงิ หเสน)ี ยกทพั ไปปราบ
จากการส�ำรวจพ้ืนที่แอ่งสกลนคร โดยเฉพาะพ้ืนท่ี ในครานน้ั พระบรมราชา (มง่ั ) ผเู้ ปน็ เจา้ เมอื งสกลทวาปี
ลมุ่ แม่น�้ำสงคราม พบว่า มแี หลง่ โบราณคดยี คุ กอ่ น ไม่ได้เตรียมก�ำลังป้องกันเมือง เอาใจไปเข้าข้าง
ประวตั ศิ าสตร์ จ�ำนวนมากถงึ ๘๓ แหง่ สนั นษิ ฐานวา่ เจ้าอนุวงศ์ จึงถูกประหารชีวิต ด้วยขัดขืนอ�ำนาจ
เปน็ ชมุ ชนโบราณทมี่ กี ารรวมตวั กนั เปน็ ชมุ ชน สงั คม อาญาศึก พรอ้ มกวาดตอ้ นผคู้ นชาวเมืองสกลทวาปี
ขนาดใหญ่ จึงกล่าวได้ว่า พื้นท่ีสกลนครนี้ มีการ ไปอยู่ที่เมืองกบินทร์บุรีเเละ เมืองประจันตคาม
ต้ังถ่ินฐานที่อยู่ของผู้คนอย่างต่อเนื่อง สืบทอดกัน ทงิ้ ใหเ้ ปน็ เมอื งรา้ งไป
มายาวนาน นบั แต่ยุค ๖๐๐ ปีก่อนพุทธกาล จนถึง เวลาต่อมา ราชวงศ์ค�ำ แห่งเมืองมหาไชย
พุทธศตวรรษท่ี ๘ หรือ ประมาณ ๓,๐๐๐ - ๑,๘๐๐ กองแก้ว เชื้อสายเจ้าเมืองนครพนม ได้อพยพขา้ ม
ปีมาแลว้ แม่น้�ำโขงขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ขอตั้งถิ่นฐาน
ประวตั เิ เละความเปน็ มาของเมอื งสกลนคร สรา้ งเมอื งทส่ี กลทวาปี พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้
ในยคุ ปจั จบุ นั มตี �ำนานเลา่ วา่ ราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๖ เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลที่ ๓) โปรดเกลา้ ฯ เเตง่ ตงั้ ใหร้ าชวงศค์ �ำ
อาณาจักรขอมเรืองอ�ำนาจเหนือภูมิภาคน้ี ขุนขอม เปน็ พระยาประเทศธานี (ค�ำ) ด�ำรงต�ำแหนง่ เจา้ เมอื ง
ราชบตุ ร เจา้ เมอื งอนิ ทปตั ถนคร ไดอ้ พยพครอบครวั สกลทวาปี ทรงเปลีย่ นช่ือเมือง เปน็ เมืองสกลนคร
และบ่าวไพร่ชาวเขมร หาท�ำเลเพ่ือต้ังถ่ินฐานท่ีอยู่

187แหลง่ เรียนรู้ทางประวตั ิศาสตรใ์ นท้องถ่ิน ๗๗ จงั หวัดท่วั ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ)

สกลนคร

จากประวตั ศิ าสตรค์ วามเปน็ มาอนั ยาวนาน พระธาตุนารายณ์เจงเวง ตั้งอยู่ภายใน
ปรากฏหลักฐานการต้ังถ่ินฐานของผู้คนบนดินแดน บริเวณวดั พระธาตุนารายณเ์ จงเวง ต�ำบลธาตนุ าเวง
ท่อี ุดมสมบรู ณ์นี้ ส่งผลให้ สกลนคร มีแหลง่ เรียนรู้ อ�ำเภอเมอื ง ลกั ษณะเปน็ ปรางค์องคเ์ ดียว สร้างดว้ ย
ทางประวตั ศิ าสตร์ในท้องถิน่ ทน่ี า่ สนใจ เชน่ หินทราย บนฐานศิลาแลงขนาดใหญ่ สลักลวดลาย
ลงบนเนื้อหิน มีทับหลังจ�ำหลักภาพพระกฤษณะ
พระธาตุเชิงชุม ประดิษฐานที่วัดพระธาตุ ฆ่าสิงห์ ในรปู แบบศลิ ปะเขมร ลวดลายสลักหนิ บน
เชิงชุมวรวิหาร เทศบาลเมืองสกลนคร เป็นเจดีย์ ซุ้มประตู หน้าต่างมีลักษณะสมบูรณ์ รูปแบบและ
กอ่ อฐิ ถอื ปนู ฐานรปู เหล่ียม สูงประมาณ ๒๔ เมตร ศิลปะก�ำหนดอายรุ าวพทุ ธศตวรรษ ที่ ๑๖
สว่ นบนเปน็ ทรงบวั สเี่ หลยี่ ม ซมุ้ ยอดประตมู ลี กั ษณะ เมอ่ื ครงั้ ปี พ.ศ. ๒๔๔๙ สมเดจ็ กรมพระยาด�ำรง
เป็นยอดปราสาท สรา้ งด้วยศิลาแลง หนิ ทรายแดง ราชานภุ าพครงั้ ทรงด�ำรงต�ำแหนง่ เสนาบดกี ระทรวง
มีซุ้มประตูทางเข้าหน่ึงด้านทิศตะวันออก และ มหาดไทย พระองค์ไดเ้ สด็จมาตรวจราชการมณฑล
ซมุ้ ประตูหลอก ซง่ึ สนั นษิ ฐานว่า แตเ่ ดมิ อาจจะเปน็ นครราชสีมา และมณฑลอุดรอีสาน ได้นิพนธ์ไว้ใน
ปราสาทหินทราย ตามแบบศิลปะเขมร ดังทปี่ รากฏ หนังสอื เร่ือง “เที่ยวท่ีต่าง ๆ ภาคที่ ๔” วา่ “...วันที่
ในจารกึ พระธาตเุ ชงิ ชมุ ทบ่ี นั ทกึ ดว้ ยอกั ษรขอมโบราณ ๑๕ มกราคม ข่มี า้ ไปบ้านนาเวง ระยะทาง ๑๕ เสน้
ก�ำหนดอายรุ าวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๖ แตอ่ งคพ์ ระธาตุ ไปตามถนนขอมสร้างไว้แต่ดึกด�ำบรรพ์ มีสพานหิน
ในปจั จบุ นั เปน็ ศลิ ปะลา้ นชา้ ง เนอ่ื งจากชว่ งทอ่ี ทิ ธพิ ล เปนสพานศิลาแลง ฝีมือขอมท�ำดีน่าดูอยู่แห่ง ๑
อาณาจักรล้านช้างเข้ามาบริเวณภาคตะวันออก เป็นของสมัยเดียวกันกับเทวสถาน ท่ีต�ำบลนาเวง
เฉียงเหนอื ของไทย ในสมัยพทุ ธศตวรรษที่ ๑๙ มีเทวสถานเรียกว่า “อรดีมายานารายณ์เจงเวง”
พระธาตุเชิงชุมมีต�ำนานว่า ตามประเพณี ตั้งอย่บู นเนนิ ซึ่งมีซมุ้ ไมร้ ม่ ร่ืนดี...”
พระพุทธเจ้าในอดีตทุกพระองค์จะต้องมาประชุม
รอยพระพุทธบาท เเละโปรดสัตว์ที่ดินแดนแห่งนี้ พพิ ิธภัณฑ์พระอาจารย์มนั่ ภรู ิทัตโต และ
ตง้ั แต่ พระกกสุ นั ธะ พระโกนาคมนะ พระกสั สปะ และ เจดยี พ์ ิพิธภัณฑห์ ลวงปู่หลุย จันทสาโร ตงั้ อยู่ภายใน
พระโคตมะ รวมกนั เปน็ จ�ำนวน ๔ พระองค์ และนยั วา่ วดั ปา่ สทุ ธาวาส อ�ำเภอเมอื ง ทวี่ ดั แห่งน้ี เป็นสถานที่
พระพทุ ธเจา้ องคท์ ่ี ๕ “พระศรอี รยิ เมตไตรยพทุ ธเจา้ ” ในการละสังขารของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ
จะตอ้ งมาประทบั รอยพระบาท ณ ทแ่ี หง่ นใี้ นอนาคต มีการสร้างพิพิธภัณฑ์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ
เช่นกัน ตวั อาคารพพิ ธิ ภณั ฑ์ เปน็ สถาบตั ยกรรมเเบบไทยประยกุ ต์
ชาวสกลนครจัดงานประเพณีนมัสการ ภายในมรี ปู หลอ่ ของพระอาจารยม์ นั่ ภรู ทิ ตั โต พรอ้ มอฐั ิ
พระธาตุเชิงชุม ประจ�ำทุกปี ช่วงวันข้ึน ๑๑ ค�่ำ ของท่านทแี่ ปรสภาพเปน็ พระธาตใุ สสขี าว เเละยงั มี
ถงึ ๑๕ ค่�ำ เดอื นย่ี การจดั แสดงประวตั ิ ชวี ติ ผลงาน และเครอื่ งอฐั บรขิ าร
ของทา่ น

188 แหล่งเรยี นรู้ทางประวัติศาสตร์ในท้องถน่ิ ๗๗ จงั หวัดทวั่ ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ)

สกลนคร

เจดีย์พิพิธภัณฑ์หลวงปู่หลุย จันทสาโร อัฐบริขาร ใกล้กนั นนั้ มกี ฏุ เิ ดิมของพระอาจารยฝ์ ั้น
หรอื “จันทสาร เจตยิ านุสรณ์” สรา้ งขึน้ เพ่ือบรรจุ อาจาโร ซึ่งเป็นผู้ก่อต้ังวัด และต่อมาหลวงปู่เทสก์
อฐั ธิ าตขุ องหลวงปหู่ ลยุ จนั ทสาโร ผเู้ ปน็ ศษิ ยเ์ อกของ ได้มาจ�ำพรรษาที่กุฏิหลังดังกล่าวจนละสังขารในปี
พระอาจารยม์ นั่ ภรู ทิ ตั โต ไดร้ บั พระราชทานรปู แบบ พ.ศ. ๒๕๓๗
เจดีย์ จากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร
มหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร (รชั กาล พระตำ� หนกั ภพู านราชนเิ วศน์ เปน็ พระต�ำหนกั
ท่ี ๙) ภายในเจดีย์ มหี นุ่ ขผ้ี ึ้งรปู เหมอื นหลวงปหู่ ลยุ ท่สี ร้างขน้ึ บนเทือกเขาภูพาน ในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ โดย
จันทสาโร รวมถึงเคร่ืองอัฐบริขารของท่าน มีการ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพล
จัดแสดงนิทรรศการทางพุทธศาสนามีส่ือประกอบ อดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลท่ี ๙)
ท่ีน่าสนใจ ทนั สมยั เหมาะแก่การเรียนรู้และการฝกึ เป็นสถานที่ประทับของพระราชวงศ์ ในคราวเสด็จ
ปฏิบตั ธิ รรม แปรพระราชฐานเย่ียมพสกนิกรในภาคตะวันออก
เฉียงเหนือ ภายในประกอบด้วยพ้ืนที่พระต�ำหนัก
พพิ ธิ ภัณฑพ์ ระอาจารยฝ์ ้นั อาจาโร อยทู่ ี่ พื้นท่ีการทรงงาน และพน้ื ท่เี พ่ือการค้นคว้า ทดลอง
วดั ปา่ อดุ มพร อ�ำเภอพรรณนานคิ ม พระอาจารยฝ์ น้ั ด�ำเนนิ งานของโครงการอนั เนอ่ื งมาจากพระราชด�ำริ
อาจาโร พระสายวิปัสนาเป็นผู้สร้าง ท่านเป็นศิษย์ บริเวณโดยรอบมีป่าไม้ร่มรื่น มีไม้ดอกไม้ประดับ
พระอาจารย์มั่น ภรู ิทัตโต อาคารพิพิธภณั ฑ์ท�ำเป็น ตกแต่งไวอ้ ย่างสวยงาม
รูปเจดีย์ฐานกลม แต่ละด้านก่อปูนเป็นรูปกลีบบัว
ซอ้ นสามชั้น ภายในอาคารมีรูปปน้ั พระอาจารยฝ์ ้นั ภาพรอยสลักผาสามพนั ปที ภ่ี ผู ายล อยู่ใน
อาจาโร ขนาดเทา่ กบั องคจ์ รงิ มกี ารจดั แสดงประวตั ิ พน้ื ท่ีบ้านนาผาง อ�ำเภอเมือง ภูผายลเปน็ เทือกเขา
การด�ำเนนิ ชวี ติ มตี กู้ ระจกบรรจอุ ฐั ิ และแสดงเครอ่ื ง ทไี่ มส่ งู นกั พน้ื ทเี่ ปน็ ปา่ ทอี่ ดุ มสมบรู ณ์ มลี �ำนำ�้ สองสาย
อฐั บรขิ าร ไหลผา่ น ได้เเก่ ล�ำหว้ ยแหนง่ และ ล�ำหว้ ยปลาก้อน
ไหลมาบรรจบกบั ล�ำน้ำ� พุง เหมาะแกก่ ารตงั้ ถิน่ ฐาน
เจดยี พ์ ิพิธภัณฑพ์ ระราชนิโรธรังสี (เทสก์ จากเหตุผลดังกล่าว ปรากฏร่องรอยการตั้งถ่ินฐาน
เทสรงั ส)ี อยใู่ นบรเิ วณวดั ถำ�้ ขาม อ�ำเภอพรรณานคิ ม ทอ่ี ยู่ของมนุษยย์ คุ ก่อนประวตั ศิ าสตรใ์ นพืน้ ท่นี ้ี คอื
วดั แหง่ น้ี ตงั้ อยบู่ นเทอื กเขาภพู าน เปน็ สถานทท่ี ห่ี ลวงปู่ ปรากฏภาพแกะสลกั บนหนา้ ผาหนิ เปน็ รปู ภาพตา่ ง ๆ
เทสก์ เทสรงั สี หรอื พระราชนโิ รธรงั สี เลอื กใชเ้ ปน็ ที่ แสดงชีวิตความเป็นอยู่ผู้คนยุคก่อนประวัติศาสตร์
ละสงั ขาร อาคารพพิ ธิ ภณั ฑ์ เปน็ เจดยี ศ์ ลิ ปกรรมอสี าน เชน่ ภาพคน ควาย ไรน่ า เเละสตั วต์ า่ ง ๆ ภาพสลกั ลาย
ผสมอยุธยา ภายในมรี ูปหลอ่ ส�ำรดิ ของหลวงปูเ่ ทสก์ ทพ่ี บบนหนา้ ผาแหง่ น้ี สนั นษิ ฐานวา่ นา่ จะมอี ายปุ ระมาณ
เทสรงั สี พรอ้ มจดั แสดงประวตั ิ ผลงาน และเครอื่ ง ๓,๕๐๐ ปี ล่วงมาแล้ว แตกต่างจากภาพของมนษุ ย์

189แหลง่ เรียนรู้ทางประวตั ศิ าสตรใ์ นทอ้ งถิ่น ๗๗ จังหวดั ท่ัวไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ)

สกลนคร

ยุคก่อนประวัติศาสตร์ท่ีเคยพบในที่อ่ืนๆ ของไทย การก่อสร้างเป็นศาสนสถาน ท่ีกระจายอยู่โดยทั่ว
คอื ภาพสลกั ลายทภี่ ผู ายลน้ี สรา้ งภาพโดยใชเ้ ทคนคิ รอยพระพุทธบาท สลักรอยพระพุทธบาทมงคล
ท่ีการใช้โลหะแข็งขูดขีดไปบนพื้นผิววัตถุ จึงแสดง ๑๐๘ สันนิษฐานว่าเป็นรอยพระพุทธบาท ในสมัย
ใหเ้ หน็ ถงึ ความรเู้ รอ่ื งการผลติ และใชเ้ ครอื่ งมอื โลหะ รตั นโกสนิ ทร์ หรอื ทบี่ รเิ วณดอนสวนหมาก มกี ารพบ

เศษภาชนะดนิ เผา มที ง้ั ชนดิ ลายเชอื กทาบ ลายขดู ขดี
ทะเลสาบหนองหาร หรอื หนองหารหลวง และแบบเรียบ ทาสลับสีมี ความหนาต่าง ๆ กัน
เป็นทะเลสาบน้�ำจืดท่ีมีช่ือเสียงเเละมีขนาดใหญ่ หลายชน้ิ มลี กั ษณะรว่ มสมยั กบั บา้ นเชยี งและบางชน้ิ
ทสี่ ดุ ของภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื และใหญเ่ ปน็ อนั ดบั ๒ กน็ ่าจะอย่ใู นสมัยทวารวดี นอกจากนี้ ท่ีบา้ นท่าลาด
ของประเทศ รองจากบึงบอระเพด็ ครอบคลุมพ้นื ท่ี อ�ำเภอเมอื ง มกี ารพบเครอื่ งปน้ั ดนิ เผาลายเชอื กทาบ
อ�ำเภอเมืองและอ�ำเภอโพนนาแก้ว จากการท่ีเป็น แบบหยาบ เเละคน้ พบเนนิ ดนิ ทมี่ กี ารสรา้ งศาสนสถาน
แหลง่ นำ�้ ขนาดใหญ่ นำ�้ เตม็ อยตู่ ลอดปี จงึ เปน็ สถานท่ี แบบศิลปะทวารวดีตอนปลาย เนินดินมีเสมาหิน
ท่ีอดุ มสมบูรณ์ เหมาะแกก่ ารตั้งถ่ินฐานทีอ่ ยู่ เกดิ มี ปกั ลอ้ ม บรเิ วณวดั ทา่ วดั เหนอื จากการพบหลกั ฐานทาง
ชุมชนโบราณรอบพ้ืนที่ทะเลสาบ โดยปรากฏ ประวตั ศิ าสตรห์ ลากหลายยคุ สมยั จงึ สนั นษิ ฐานไดว้ า่
หลกั ฐาน เชน่ บนเกาะดอนสวรรคใ์ หญ่ เปน็ ดอนใหญ่ มกี ารตงั้ ชมุ ชนโบราณ บรเิ วณรอบทะเลสาบหนองหารน้ี
ที่สุดในหนองหาร พบศาสนสถานโบราณ ก่อด้วย มาตง้ั แต่ยคุ โบราณกาล จนถงึ ปัจจบุ ัน
ศิลาแลง มีเศษฐานศิลาแลง แสดงถึงมีร่องรอย

190 แหล่งเรยี นร้ทู างประวัตศิ าสตรใ์ นทอ้ งถิ่น ๗๗ จังหวัดทว่ั ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื )

สรุ นิ ทร์

สรุ นิ ทร์

191แหล่งเรยี นร้ทู างประวัตศิ าสตรใ์ นทอ้ งถ่ิน ๗๗ จงั หวดั ทัว่ ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ)



สุรนิ ทร์

สุรนิ ทร์

สุรินทร์ ถ่นิ ช้างใหญ่ ผ้าไหมงาม เปน็ ผทู้ มี่ วี ชิ าอาคมเกง่ กลา้ เชย่ี วชาญในวชิ าคชศาสตร์
ไดร้ บั การขอรอ้ งใหต้ ดิ ตามพระยาชา้ งเผอื ก ตากะจะ
ประค�ำสวย รำ่� รวยปราสาท ผักกาดหวาน และสมคั รพรรคพวก ซง่ึ รวมถงึ “เชยี งปมุ ” หวั หนา้ ชมุ ชน
ข้าวสารหอม งามพรอ้ มวัฒนธรรม เมอื งที ไดร้ ว่ มกนั พรอ้ มอาสาออกตดิ ตามพระยาชา้ งเผอื ก
น�ำพระยาชา้ งเผอื กกลบั ไปยงั กรงุ ศรอี ยธุ ยาได้ เชยี งปมุ
ไดร้ บั พระราชทานบรรดาศกั ดใิ์ หเ้ ปน็ “หลวงสรุ นิ ทร
สรุ นิ ทร์ ต้ังอยู่ในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ ภกั ด”ี ตอ่ มาในปี พ.ศ. ๒๓๐๖ ไดข้ อพระบรมราชานญุ าต
ตอนล่าง มีเทือกเขาพนมดงรักทอดยาวตามแนว ยา้ ยหมบู่ า้ นจากเมอื งที ซงึ่ มคี วามคบั แคบ ไปอยทู่ บ่ี า้ น
เขตแดนไทย - กัมพชู า มชี ่อื เสียงระดบั โลกในดา้ น คปู ระทาย หรือ บา้ นคูประทายสมันต์ ซ่ึงเป็นทีต่ ัง้
การเลย้ี งชา้ ง การทอผา้ ไหม ขา้ วหอมมะลิ เปน็ พน้ื ท่ี สุรินทร์ในปัจจุบัน และได้เดินทางไปกรุงศรีอยุธยา
ทีร่ วมผคู้ นหลายชาติพนั ธุ์ เชน่ ไทยอีสาน ลาว เขมร เพื่อส่งเครื่องราชบรรณาการตามประเพณี ได้รับ
สว่ ย หรอื กยู ปรากฏหลกั ฐานการอยอู่ าศยั ของผคู้ น บรรดาศกั ดแิ์ ตง่ ตงั้ ใหเ้ ปน็ พระสรุ นิ ทรภ์ กั ดศี รณี รงค์
บนดินแดนแหง่ นี้ นบั ต้งั แตส่ มยั ก่อนประวัตศิ าสตร์ จางวาง ยก บา้ นคปู ระทาย เปน็ เมอื งประทายสมนั ต์
โดยพบร่องรอยชุมชนโบราณมีคูน้�ำคันดินล้อมรอบ สมยั รตั นโกสนิ ทร์ ในปี พ.ศ. ๒๓๒๙ พระบาทสมเดจ็
พ้นื ท่เี ขตเมืองเกา่ ของเมืองสรุ นิ ทร์ และพื้นทอ่ี ื่น ๆ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช (รชั กาลที่ ๑) ทรง
กระจายอยู่ทั่วจังหวัดเกือบ ๖๐ แห่ง และยังพบ พระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ใหเ้ ปล่ยี นชอ่ื เมืองประทาย
ลกั ษณะของชมุ ชนโบราณวฒั นธรรมทวารวดี ทม่ี อี ายุ สมนั ต์ เปน็ เมอื งสรุ นิ ทร์
ประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ - ๑๖ คอื การพบชมุ ชน จากประวตั เิ รอื่ งราวความเปน็ มาอนั ยาวนาน
ทมี่ คี นู ำ้� คนั ดนิ ก�ำเเพงลอ้ มรอบ มใี บเสมา พระพทุ ธรปู ส่งผลให้ สุรินทร์ มีแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์
พระพมิ พด์ นิ เผา นอกจากน้ี ยงั มรี อ่ งรอยอทิ ธพิ ลของ ในท้องถ่นิ ท่ีนา่ ศกึ ษา เช่น
อาณาจกั รเขมร ทม่ี อี �ำนาจรงุ่ เรอื งบนพนื้ ทแ่ี ถบนใี้ นชว่ ง
พุทธศตวรรษท่ี ๑๒ - ๑๓ พบปราสาทศลิ ปะเขมร ปราสาทภูมิโปน อยู่ทบ่ี ้านภมู ิโปน อ�ำเภอ
ขนาดเล็กใหญ่ ทุกอ�ำเภอ หลักฐานประวัติศาสตร์ สงั ขะ ค�ำวา่ ภมู โิ ปน หมายถงึ หมบู่ า้ นแหง่ การหลบซอ่ น
บนั ทกึ วา่ สมยั อยธุ ยา ตอนปลาย พ.ศ. ๒๓๐๒ ในสมยั เปน็ กลมุ่ โบราณสถาน ๔ หลงั มกี ารกอ่ สรา้ งอยา่ งนอ้ ย
สมเด็จพระท่ีนั่งสุริยาศน์อมรินทร์ เกิดเหตุการณ์ ๒ สมัย คือ ปราสาทก่ออิฐหลังใหญ่และหลังทาง
พระยาช้างเผือกของพระมหากษัตริย์ ได้แตกโรง ทิศเหนือสุด นับเป็นปราสาทแบบศิลปะเขมรที่มี
หนอี อกจากโรงชา้ ง มงุ่ หนา้ ไปทางทศิ ตะวนั ออก เขา้ สู่ อายเุ กา่ ทสี่ ดุ ในประเทศไทย คอื พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๓
แนวเทือกเขาพนมดงรัก “ตากะจะ” เป็นหัวหน้า ส่วนปราสาทอิฐหลังเลก็ ที่ตั้งตรงกลางและปราสาท
เขมรป่าดงหมู่บ้านปราสาทสี่เหล่ียมโคกล�ำดวน ทีม่ ีฐานท�ำจากศิลาแลงดา้ นทิศใต้ น่าจะถกู สร้างขนึ้

193แหล่งเรียนรู้ทางประวตั ศิ าสตร์ในท้องถ่นิ ๗๗ จงั หวัดท่ัวไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ)

สรุ นิ ทร์

ในสมัยหลัง สันนิษฐานว่า สร้างตามคติความเชื่อ ปราสาทตาเมอื นธม เปน็ โบราณสถานทใ่ี หญ่
ทางศาสนาฮินดู ท้งั นีไ้ ม่พบรูปเคารพ ซึง่ ควรจะเป็น ท่ีสุด ก่อด้วยหินทรายสองหลัง ตัวปราสาทตั้งอยู่
ศวิ ลงึ คอ์ ยภู่ ายในบรเิ วณองคป์ รางค์ แตท่ ป่ี รางคอ์ งคใ์ หญ่ บนเนนิ เขา สร้างคร่อมโขดหนิ ธรรมชาตทิ ศ่ี กั ดิ์สิทธิ์
มีการท�ำท่อโสมสูตร หรือ ท่อน้�ำมนต์ที่ต่อออกมา ในรปู ของสมยั ภศู วิ ลงึ ค์ มบี รรณาลยั ศลิ าแลง สรา้ งเพอื่
จากแท่นฐานรูปเคารพในห้องกลาง ติดอยู่ที่ผนัง อทุ ศิ ใหพ้ ระเปน็ เจา้ สงู สดุ ของคตติ รมี รู ติ ในศาสนาฮนิ ดู
ในระดับพ้นื หอ้ ง
วัดธาตุ บ้านสนม อยู่ท่ีอ�ำเภอสนม เปน็ วัด
ปราสาทศีขรภูมิ หรือ ปราสาทระแงง เก่าแก่ สันนิษฐานว่าสร้างข้ึนเม่ือปี พ.ศ. ๒๔๒๗
อยู่ท่ีวัดบ้านปราสาท อ�ำเภอศีขรภูมิ ลักษณะเป็น โดยหลวงจินดานุรักษ์ (ท้าวอุดทา หรือ ท้าวอุทา)
องคป์ รางคห์ มู่ ๕ องค์ กอ่ อฐิ ถอื ปนู อยบู่ นตวั ฐานเดยี วกนั ผกู้ อ่ สรา้ งบา้ นสนม เดมิ เปน็ ทตี่ งั้ ของปราสาทโบราณ
ฐานก่อด้วยศิลาแลง มีคูน้�ำกว้างล้อมรอบสามด้าน พบซากของอาคารเก่าแก่ที่สร้างด้วยศิลาแลงและ
โดยเวน้ ดา้ นตะวนั ออก เปน็ ทางเขา้ ไว้ ปรางคป์ ระธาน หนิ ทราย สภาพช�ำรุดทรดุ โทรม ปรักหกั พัง รอบ ๆ
ทับหลงั เป็นภาพพระศวิ นาฏราชสบิ กร ทรงฟอ้ นร�ำ ซากปราสาท มีสระน้�ำเรยี งรายสีด่ า้ น กรมศลิ ปากร
อยู่เหนือเกียรติมุข ภายใต้วงโค้งลายท่อนมาลัย สนั นษิ ฐานวา่ อาจจะสรา้ งเพอื่ ใชเ้ ปน็ อโรคยาศาลา สรา้ งขน้ึ
ซ่ึงสลักเป็นภาพพระคเณศ พระพรหม พระวิษณุ ในสมยั พระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ กษัตรยิ แ์ ห่งเขมร
และพระอุมา ถอื เปน็ ทับหลังทมี่ คี วามสวยงามและ
สมบรู ณท์ ส่ี ดุ ชน้ิ หนงึ่ ของไทย บรเิ วณเสากรอบประตู หมู่บ้านทอผ้าไหม กลุ่มทอผ้ายกทอง
สลกั เปน็ รูปนางอัปสรถอื ดอกบวั และทวารบาลยืน จนั ทรโ์ สมา อยทู่ บ่ี า้ นทา่ สวา่ ง อ�ำเภอเมอื ง ทอผา้ ไหม
กมุ กระบอง สนั นษิ ฐานวา่ สรา้ งขนึ้ ราวพทุ ธศตวรรษ มอี ตั ลกั ษณ์ เทคนคิ วธิ กี ารทม่ี คี วามโดดเดน่ แตกตา่ ง
ที่ ๑๗ ตามคตลิ ทั ธไิ ศวนกิ าย ตอ่ มา ในพทุ ธศตวรรษ จากการทอผ้าท่ีอืน่ ๆ ทง้ั ข้ันตอนการผลิต ลวดลาย
ท่ี ๒๒ มกี ารบรู ณะเพม่ิ เตมิ ทอี่ งคป์ ราสาท ดว้ ยศลิ ปะ และรปู แบบ โดยมี อาจารย์วีรธรรม ตระกูลเงินไทย
แบบล้านช้าง พร้อมมีการจารึกอักษรธรรม ได้รับ เป็นแกนน�ำและเป็นผู้ชักชวนชาวบ้าน เพอื่ อนรุ กั ษ์
การยกยอ่ งวา่ เปน็ ปราสาททงี่ ดงามทส่ี ดุ ของสรุ นิ ทร์ และฟน้ื ฟกู ารทอผา้ ยกทองชน้ั สงู แบบราชส�ำนกั ไทย
โบราณ และไดผ้ สมผสาน พฒั นาลวดลายการทอแบบ
กลมุ่ ปราสาทตาเมือน เทอื กเขาพนมดงรัก ราชส�ำนักกับเทคนิคการทอผ้าแบบพื้นบ้าน ได้รับ
อ�ำเภอพนมดงรกั เปน็ กลมุ่ ปราสาทหนิ สามหลงั เรยี ง การยกย่องว่าเป็น “การทอผ้าไหม หน่ึงพันส่ีร้อย
ล�ำดับจากขนาดเลก็ ไปขนาดใหญ่ คือ สบิ หกตะกอ” คือ มคี วามละเอยี ดและปราณตี มาก
ปราสาทตาเมอื น เปน็ โบราณสถานขนาดเลก็ มีการออกแบบลวดลายสลับซับซ้อนงดงามและ
ท่ีสดุ กอ่ ดว้ ยศลิ าแลง มีลกั ษณะเปน็ ห้องยาว ศกั ด์สิ ิทธ์ิ ครั้งหนง่ึ ไดท้ อผา้ ยกทอง ทูลเกล้าฯ ถวาย
ปราสาทตาเมือนโต๊ด เป็นโบราณสถานท่ี สมเดจ็ พระนางเจา้ สริ กิ ติ ิ์ พระบรมราชนิ นี าถ พระบรม
มีขนาดกลาง ก่อด้วยศิลาแลง มีก�ำแพงล้อมรอบ ราชชนนีพันปีหลวง และต่อมาได้รับการสนับสนุน
มีสระน�ำ้ ขนาดเลก็ อยทู่ างทศิ เหนอื หนึง่ สระ จากส�ำนักพระราชวงั ในการอนุรักษ์ผลงาน

194 แหลง่ เรียนรูท้ างประวัติศาสตร์ในทอ้ งถิน่ ๗๗ จงั หวัดทั่วไทย
(ภาคเหนือเเละภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)

หนองคาย

หนองคาย

195แหล่งเรียนรู้ทางประวตั ศิ าสตรใ์ นท้องถิน่ ๗๗ จังหวัดทัว่ ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ)



หนองคาย

หนองคาย

วีรกรรมปราบฮอ่ หลวงพ่อพระใส วัดถ�้ำสุวรรณคูหา อ�ำเภอสุวรรณคูหา ระบุศักราช
การสรา้ ง พ.ศ. ๒๑๐๖ กลา่ วถงึ พระเจา้ ไชยเชษฐา
สะพานไทย - ลาว ธิราช ได้อุทศิ ขา้ ทาสและท่ีดนิ แก่วดั ถ้�ำสวุ รรณคหู า
ใหแ้ กพ่ ระพุทธศาสนา
จนกระทงั่ ถงึ สมยั ธนบรุ ี กองทพั ของสมเดจ็
หนองคาย ตงั้ อยใู่ นภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื พระเจ้าตากสินมหาราช ได้รับชัยชนะเหนือนคร
ตอนบน บนแอง่ สกลนคร เปน็ พนื้ ทรี่ าบ มคี วามแคบยาว เวยี งจนั ทน์ อยา่ งไรกต็ าม หวั เมอื งหนองคายกย็ งั อยู่
เรียงตัวทอดไปตามฝั่งแม่น้�ำโขง และมีแม่น้�ำโขงน้ี ภายใตอ้ �ำนาจของเวียงจันทน์เช่นเดิม ตอ่ มาถึงสมยั
เป็นพรมแดนธรรมชาติกั้นเขตเเดน สาธารณรัฐ พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั (รชั กาลท่ี ๓)
ประชาธิปไตยประชาชนลาว จากการที่มีเทือกเขา เจ้าอนุวงศ์ กษัตริย์แห่งเวียงจันทน์ได้คิดปลดแอก
เลก็ นอ้ ยทางด้านตะวนั ตก และมแี ม่น้�ำโขงไหลผ่าน จากการเป็นประเทศราช กรงุ เทพฯ ได้ส่งทพั หลวง
เกือบทุกอ�ำเภอของจังหวัด ส่งผลให้เป็นพื้นที่ที่มี ไปปราบ มเี จา้ พระยาบดนิ ทรเดชา (สิงห์ สงิ หเสนี)
ป่าไม้สมบูรณ์ อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมเอ้ือต่อ ผเู้ ปน็ แมท่ ัพ เม่ือปราบส�ำเรจ็ แล้ว จึงไดอ้ พยพผูค้ น
การตง้ั ถน่ิ ฐานทอี่ ยู่ ปรากฏหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ มาฝั่งภาคอีสาน ยุบเมืองเวียงจันทน์ปล่อยให้เป็น
มากมาย แสดงถงึ การตง้ั ชมุ ชนโบราณในพน้ื ทแี่ หง่ นี้ เมืองร้าง ชาวเมืองเวียงจันทน์บางส่วนก็อพยพมา
เเละหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรท์ ก่ี ลา่ วถงึ ความเปน็ มา ภาคกลางและบางส่วนก็อยู่ท่ีบริเวณเมืองเวียงคุก
ของเมืองหนองคายอย่างชัดเจน คือ หลักฐานของ เมอื งปะโค (พนื้ ทเ่ี มอื งหนองคาย ในปจั จบุ นั ) พระบาท
อาณาจักรล้านช้าง ซึ่งเป็นอาณาจักรที่มีอ�ำนาจ สมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลที่ ๓) โปรดฯ ยก
เหนอื ดนิ แดนแหง่ น้ี พงศาวดารล้านชา้ งหลายฉบบั บ้านไผ่ (ละแวกเดียวกับเมืองปะโค เมืองเวียงคุก)
เรียกพืน้ ที่แถบนว้ี ่า เมอื งเวียงคุก เมอื งปะโค เมือง เปน็ เมอื งหนองคาย ให้ ทา้ วสวุ อเปน็ “พระปทมุ เทวา
ปากห้วยหลวง (หรือ อ�ำเภอโพนพิสัย ในปัจจุบัน) ภิบาล” เป็นเจ้าเมืองคนแรก และได้รับการยกขึ้น
จารึกส�ำคัญของกษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านช้าง เปน็ จงั หวดั ในสมยั พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้
ถูกบันทึกขึ้นในดินแดนน้ี เช่น จารึกวัดจอมมณี เจา้ อยู่หัว (รัชกาลที่ ๖)
พ.ศ. ๒๐๙๘ จารกึ วัดศรีเมือง พ.ศ. ๒๑๐๙ จารึก จากประวตั คิ วามเปน็ มาทย่ี าวนาน สมั พนั ธ์
วัดศรีบุญเรือง พ.ศ. ๒๑๕๑ เป็นต้น นอกจากนี้ เก่ียวเนอ่ื งกับการอพยพ โยกยยา้ ย ตง้ั ถน่ิ ฐานทอี่ ยู่
พบโบราณสถานอิทธิพลล้านช้างจ�ำนวนมาก เช่น ของผู้คน ส่งผลให้ หนองคาย มีแหล่งเรียนรู้ทาง
พระธาตุบังพวน สร้างก่อน พ.ศ. ๒๑๐๖ จารึก ประวตั ิศาสตรใ์ นท้องถ่นิ ทน่ี า่ ศึกษา เช่น


197แหล่งเรยี นรู้ทางประวตั ศิ าสตร์ในท้องถิน่ ๗๗ จังหวดั ทวั่ ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ)

หนองคาย

อนุสาวรยี ์ปราบฮ่อ ตงั้ อยู่หน้าศาลากลาง หลวงพอ่ พระใส ประดษิ ฐานอยทู่ ว่ี ดั โพธช์ิ ยั
จงั หวดั หลงั เกา่ อ�ำเภอเมอื ง เปน็ อนสุ าวรยี ท์ สี่ รา้ งขนึ้ พระอารามหลวง แหง่ เมอื งหนองคาย องค์หลวงพ่อ
เพอื่ ร�ำลึกถงึ วีรกรรม เทิดทนู ความดขี องทหารหาญ พระใสนี้ เปน็ พระพทุ ธรปู ส�ำคญั คเู่ มอื ง ลกั ษณะเปน็
เเละผู้กล้าของชาติ ท่ีได้เสียสละชีวิต เพื่อป้องกัน พระพทุ ธรปู ขดั สมาธริ าบ ปางมารวชิ ยั หลอ่ ดว้ ยทอง
ประเทศในการปราบพวกฮ่อ เมือ่ ร.ศ. ๑๐๕ หรือ สีสุก มพี ุทธลักษณะงดงาม ตามแบบศิลปะล้านชา้ ง
พ.ศ. ๒๔๒๙ หรือในสมัยของพระบาทสมเด็จ ตามต�ำนานเลา่ สบื ตอ่ กนั มาวา่ พระธดิ า ๓ องค์ แหง่
พระจุลจอมเกลา้ เจ้าอย่หู วั (รชั กาลท่ี ๕) กษัตริย์ล้านช้างเป็นผู้สร้าง บ้างก็ว่าพระราชธิดา
สมัยน้ันที่ประเทศจีน กองก�ำลังชาวจีนที่ ของพระไชยเชษฐาธริ าช ไดห้ ลอ่ พระพทุ ธรปู ๓ องค์
ตอ่ ตา้ นราชวงศช์ งิ (แมนจ)ู ไดก้ อ่ กบฏ เรยี กตวั เองวา่ ขนานนามพระพทุ ธรูปตามนามตนเองวา่ พระเสริม
กบฏไท่ผิงเทียนก๋ัว เพ่ือปลดปล่อยตนเองออกจาก พระสุก และพระใสตอ่ มา เมอื่ พ.ศ. ๒๓๒๑ พระเจ้า
การปกครองราชวงศ์แมนจูที่เป็นใหญ่ยึดครอง ธรรมเทววงศ์ได้อัญเชิญไปไว้ ณ เวียงจันทน์ เเละ
ประเทศจีนอยู่ในขณะนั้น จนเกิดการรบพุ่งกัน ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในเวลาต่อมา ปรากฏว่า กบฏไท่ผิงเทียนก๋ัว (รัชกาลที่ ๓) ภายหลงั การปราบเจ้าอนุวงศ์ กษัตรยิ ์
ไดส้ ลายลง แตบ่ รรดาเหลา่ นกั รบและผคู้ นทเี่ ขา้ รว่ ม แหง่ เวียงจนั ทน์ ไดอ้ ญั เชิญพระ ๓ องค์ มาฝง่ั ไทย
ตา่ งกระจดั กระจายหนกี ารไลล่ า่ ตอ่ มา สมยั พระบาท แตเ่ กดิ พายุ พระสกุ จมนำ�้ อยทู่ ป่ี ากล�ำนำ้� งมึ สว่ นพระเสรมิ
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลท่ี ๕) และพระใส ประดษิ ฐานทว่ี ดั โพธชิ์ ยั และวดั หอกลอ่ ง
ราวปี พ.ศ. ๒๔๑๘ ปรากฏวา่ มชี าวจนี กลมุ่ ฮอ่ ธงเหลอื ง ตามล�ำดับ ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
ได้ท�ำการปล้นสะดมในเขตสิบสองจุไทเมืองพวน เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลท่ี ๔ ) โปรดฯ ใหอ้ ญั เชญิ พระเสรมิ
ตั้งคา่ ยที่ทงุ่ เชียงค�ำ และยกทพั มาท่เี วยี งจันทนแ์ ละ และพระใส ลงมาประดิษฐานยังกรุงเทพมหานคร
หลวงพระบาง ดงั นน้ั เพอื่ ปกปอ้ งบา้ นเมอื งและดนิ แดน แตป่ รากฏวา่ พระใส แสดงปาฏิหารย์จนเกวียนหกั
ของสยาม ซึ่งในครั้งน้ันยังครอบครองถึงดินแดน ไมส่ ามารถอัญเชิญได้ จงึ ประดษิ ฐานอยทู่ ว่ี ดั โพธ์ชิ ยั
หลวงพระบาง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า จนถึงปจั จุบัน
เจ้าอยู่หวั (รัชกาลที่ ๕) จงึ โปรดฯ ใหก้ องทัพสยาม ในวันเพ็ญ เดือน ๗ ของทุกๆ ปี ชาวเมือง
กะเกณฑ์ไพร่พลไปช่วยป้องกันเมืองหลวงพระบาง หนองคายจะมีงานประเพณีบูชาหลวงพ่อพระใส
การรบพุ่งกันอยู่หลายครงั้ จนท้ายท่ีสุด ในปี พ.ศ. แหง่ วดั โพธช์ิ ยั เปน็ ประจ�ำ
๒๔๒๘ จึงปราบปรามพวกฮ่อได้ส�ำเรจ็
ปัจจุบัน ทุกวันที่ ๑๐ มีนาคม ของทุกปี พระธาตุบังพวน อยู่วัดพระธาตุบังพวน
หนองคายจะประกอบพธิ บี วงสรวง ดวงวญิ ญาณของ บา้ นดอนหมู อ�ำเภอเมอื ง เปน็ เจดยี ์ ทช่ี าวหนองคาย
ทหาร นักรบไทยท่ีเสียสละชีวิตในสงครามครั้งน้ัน เคารพสักการะมาช้านาน องค์พระธาตุเดิมเป็น
พร้อมกับมีการแสดงมหรสพเฉลิมฉลองสมโภช เจดีย์สรา้ งดว้ ยอิฐเผา รูปทรงสถาปัตยกรรมท้องถ่ิน
อยา่ งยิง่ ใหญ่ ตามต�ำนานอุรังคธาตุ เล่าถึงประวัติการสร้าง

198 แหล่งเรียนรู้ทางประวัตศิ าสตรใ์ นท้องถิน่ ๗๗ จงั หวัดทัว่ ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื )

หนองคาย

พระธาตอุ งคน์ ไี้ วว้ า่ สรา้ งขน้ึ ในสมยั ของเจา้ จนั ทนบ์ รุ ี กษตั ริยแ์ หง่ เวียงจันทน์ ไดส้ ร้างวัดหอพระแก้วและ
ผู้ครองนครเวียงจันทน์ เพ่ือประดิษฐานพระธาตุ ถวายสงิ่ ของ ผู้คน ไว้แก่วัด เพ่ือเป็นพุทธบูชา
หวั เหนา่ ของพระพทุ ธเจา้ และไดม้ กี ารบรู ณะอกี ครง้ั
สมยั พระเจา้ ไชยเชษฐาธริ าช แหง่ อาณาจกั รลา้ นชา้ ง พระธาตกุ ลางนำ้� หรอื พระธาตหุ นองคาย
ก่อพระเจดีย์ใหญ่ครอบองค์พระธาตุ พ.ศ. ๒๕๑๓ หรอื พระธาตหุ ลา้ หนอง เดมิ เปน็ พระธาตขุ นาดใหญ่
เกดิ ภยั ธรรมชาตทิ �ำใหพ้ ระธาตพุ งั ทลายลงมา เเละในปี อยรู่ มิ ฝง่ั แมน่ ำ้� โขง จากหนงั สอื อรุ งั คธาตุ หรอื ต�ำนาน
พ.ศ. ๒๕๒๐ กรมศลิ ปากรไดท้ �ำการปฏสิ งั ขรณข์ นึ้ ใหม่ พระธาตพุ นม กลา่ ววา่ พระอรหนั ต์ ๕ องค์ ไดอ้ ญั เชญิ
ตามรูปแบบเดิม พระธาตุองค์ปัจจุบัน มีลักษณะ พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าจากประเทศ
เป็นปรางค์ส่ีเหลี่ยมต่อกันเป็นบัวปากระฆัง ๕ ชั้น อินเดีย และได้สร้างพระธาตุขึ้น ๖ แห่ง เพ่ือเป็น
ชนั้ ท่ี ๖ เปน็ รปู ระฆงั ควำ่� ชน้ั ท่ี ๗ เปน็ รปู ดาวปลี และ ทปี่ ระดษิ ฐาน หนง่ึ ในนนั้ คอื พระธาตหุ ลา้ หนอง สรา้ งขนึ้
เหนือข้ึนไปมีฉัตรและบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ ในพน้ื ทวี่ ดั ธาตุ หรอื วดั สริ มิ หากจั จายน์ พ.ศ. ๒๑๐๙
รวมความสูงถงึ ยอดฉตั ร ๓๔.๒๕ เมตร พระเจา้ ไชยเชษฐาธริ าช กษตั รยิ แ์ หง่ อาณาจกั รลา้ นชา้ ง
ได้สร้างมหาเจดีย์ครอบองค์ธาตุไว้ และ หนังสือ
วดั พระแก้วเดิม ตั้งอยู่ริมแม่น�้ำโขง ในเขต ประชุมพงศาวดารภาค ๗๐ บันทึกว่า “พระธาตุ
อ�ำเภอศรเี ชยี งใหม่ วดั แห่งนีอ้ ยู่ในพื้นทเี่ มอื งโบราณ เมืองหนองคายได้เพ (พงั ) เม่อื วนั ขึน้ ๙ ค่ำ� เดือน ๙
“เมอื งพานพรา้ ว” เดมิ เปน็ ชมุ ชนสว่ นหนงึ่ ของเวยี งจนั ทน์ ปพี ทุ ธศักราช ๒๓๙๐” ปจั จุบนั องคพ์ ระธาตจุ มอยู่
ปรากฏรอ่ งรอยคนั นำ�้ คดู นิ ทตี่ งั้ เดมิ ของเมอื งโบราณ กลางแมน่ ำ�้ โขง หา่ งจากฝง่ั ไทย ประมาณ ๑๘๐ เมตร
แตเ่ ลอื นลางไปมาก เมอื่ ถงึ สมยั ธนบรุ ี ราวปี พ.ศ. ๒๓๒๑ มฐี านเหลย่ี มมมุ ฉากโผลข่ น้ึ มาเหนอื นำ้� เพยี งครงึ่ ฐาน
เกิดเหตุการณ์วิวาทระหว่างผู้ครองนครเวียงจันทน์
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ให้เจ้าพระยาจักรี หลวงพอ่ พระเจา้ องคต์ อื้ ประดษิ ฐานอยวู่ ดั
น�ำทัพมาตามข้ามแม่น้�ำโขง เข้าปราบปรามเมือง ศรชี มภอู งคต์ อื้ อ�ำเภอทา่ บอ่ เปน็ พระพทุ ธรปู ทองค�ำ
นครจ�ำปาศกั ดแิ์ ละนครเวียงจันทน์ เมอื งพานพร้าว ปางมารวิชัย ฝีมือของช่างล้านช้าง เปน็ พระพุทธรูป
จงึ เปน็ เมอื งยทุ ธศาสตรท์ างทหารทส่ี �ำคญั ถกู ใชเ้ ปน็ ท่ีงดงาม ประชาชนสองฝั่งแม่น้�ำโขงเคารพนับถือ
ค่ายทหารที่มั่นช่ัวคราว และภายหลังตีเวียงจันทน์ หลักฐานศลิ าจารกึ ไดบ้ ันทกึ ไวว้ า่ “พระเจา้ องคต์ อื้ ”
ได้ส�ำเร็จ เจ้าพระยาจักรีได้อัญเชิญพระแก้วมรกต สรา้ งใน พ.ศ. ๒๑๐๕ โดยพระไชยเชษฐาธริ าชกษตั รยิ ์
และพระบางมาประดษิ ฐานไวท้ ค่ี า่ ยพานพรา้ วแหง่ น้ี แหง่ อาณาจกั รลา้ นชา้ ง พรอ้ มดว้ ยพระโอรส พระธดิ า
โดยสรา้ งหอพระแกว้ ขน้ึ เพอื่ เปน็ สถานทป่ี ระดษิ ฐาน และบรวิ าร ชว่ ยกนั หลอ่ องคพ์ ระจากทองค�ำ ทองเหลอื ง
พระแกว้ ถูกประดิษฐานไว้ท่ีวดั นี้ ประมาณ ๓ เดอื น และเงนิ ผสมกนั รวมนำ�้ หนกั ได้ ๑ ตอื้ (มาตราโบราณ
กอ่ นจะมกี ารอญั เชญิ พระแกว้ มรกตกลบั กรงุ ธนบรุ ตี อ่ ไป ของอสี าน) แตห่ ลอ่ เทา่ ไรกไ็ มส่ �ำเรจ็ ตอ่ มาพระอนิ ทร์
จากจารกึ วดั หอพระแกว้ ทพี่ บบนฐานวหิ ารภายในวดั และเทพยดา จ�ำนวน ๑๐๘ องค์ มาชว่ ยหลอ่ จงึ ส�ำเรจ็
ระบวุ า่ ในระหวา่ ง พ.ศ. ๒๓๕๓ - ๒๓๕๕ เจา้ อนวุ งศ์ ใช้เวลาในการสร้างรวมเวลา ๗ ปี ๗ เดือน

199แหล่งเรยี นรู้ทางประวตั ศิ าสตรใ์ นทอ้ งถิ่น ๗๗ จังหวัดทว่ั ไทย
(ภาคเหนอื เเละภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ)


Click to View FlipBook Version