The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ภาวะผู้นำทางการศึกษาบนพื้นฐานแนวคิดจากพระไตรปิฏก
รองศาสตราจารย์ ดร. สุทธิพงษ์ ศรีวิชัย
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 24-Chinaporn Nakorn, 2023-06-16 11:07:10

ภาวะผู้นำทางการศึกษาบนพื้นฐานแนวคิดจากพระไตรปิฏก

ภาวะผู้นำทางการศึกษาบนพื้นฐานแนวคิดจากพระไตรปิฏก
รองศาสตราจารย์ ดร. สุทธิพงษ์ ศรีวิชัย
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

ภาวะผู้น าทางการศึกษาบนพื้นทางแนวคิด จากพระไตรปิฎก Leadership for Education Concept according to Tipitaka รองศาสตราจารย์ ดร. สุทธิพงษ์ ศรีวิชัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ภาวะผู้้�นำทางการศึึกษาบนพื้้�นฐานแนวคิิด จากพระไตรปิิฎก


ภาวะผู้น าทางการศึกษาบนพื้นทางแนวคิดจากพระไตรปิฎก Leadership for Education Concept according to Tipitaka รศ.ดร.สุทธิพงษ์ ศรีวิชัย พิมพ์ครั้งที่ : ๑ พ.ศ. ๒๕๖๖ จ ำนวน ๑๐๐ เล่ม สงวนลิขสิทธิ์ตำมกฎหมำย ข้อมูลทางบรรณานุกรมของหอสมุดแห่งชาติ รศ.ดร.สุทธิพงษ์ ศรีวิชัย ภำวะผู้น ำทำงกำรศึกษำบนพื้นทำงแนวคิดจำกพระไตรปิฎก จ ำนวน ๒๐๘ หน้ำ รำคำ ๒๔๐ บำท พระนครศรีอยุธยำ: โรงพิมพ์มหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย, ๒๕๖๖ ISBN ๙๗๘-๖๑๖-๕๙๘-๓๘๓-๙ r พิิมพ์์ที่่� ห้้างหุ้้�นส่่วนจำกััด เชน ปริ้้�นติ้้�ง ๗/๔๑๔ ม.๕ ต.บางใหญ่่อ.บางใหญ่่จ.นนทบุุรีี ๑๑๑๔๐ โทร. ๐๘๑-๔๘๙-๔๑๖๑ E-mail: chenprinting@hotmail.com ISBN 978-616-603-364-9 พิิมพ์์ครั้้�งแรก มิิถุุนายน ๒๕๖๖ จำนวน ๕๐๐ เล่่ม สงวนลิิขสิิทธิ์์�ตามกฎหมาย จััดพิิมพ์์โดย รศ.ดร.สุุทธิิพงษ์์ศรีีวิิชััย ๔๖๔/๖ หมู่่บ้้านธีีริินทร์์เพชรเกษม ๔๘ แขวงบางด้้วน เขตภาษีีเจริิญ กรุุงเทพมหานคร ๑๐๑๖๐ E-mail : suddi1603@gmail.com โทร. ๐๘๔-๑๐๔-๔๒๗๓ ภาวะผู้้�นำทางการศึึกษาบนพื้้�นฐานแนวคิิดจากพระไตรปิิฎก สุุทธิิพงษ์์ศรีีวิิชััย. ภาวะผู้้นำทางการศึึกษาบนพื้้�นฐานแนวคิิดจากพระไตรปิิฎก.-- นนทบุุรีี : เชน ปริ้้�นติ้้�ง, ๒๕๖๖. ๒๑๘ หน้้า. ๑. ภาวะผู้้นำทางการศึึกษา. ๒. ผู้้นำทางการศึึกษา. ๓. พระไตรปิิฎก. I. ชื่่�อเรื่่�อง. ๓๗๑.๒๐๑ ISBN 978-616-603-364-9 ข้้อมููลทางบรรณานุุกรมของหอสมุุดแห่่งชาติิ


ก ค ำน ำ หนังสือ ภาวะผู้น าทางการศึกษาบนพื้นทางแนวคิดจากพระไตรปิฎก Leadership for Education Concept according to Tipitaka เล่มนี้เป็นรายวิชาหนึ่ง ของภาควิชาบริหารการศึกษา ครุศาสตรมหาบัณฑิต ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ที่ก าหนดกรอบเนื้อหาให้ศึกษาไว้๓ ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ ๑ (องค์ความรู้ภาวะผู้น าทางการศึกษา/พระไตรปิฎก) ตั้งแต่ บทที่ ๑ ภาวะผู้น าทาง การศึกษาในยุคใหม่, บทที่ ๒ ภาวะผู้น าทางการศึกษาจากพระไตรปิฎก, บทที่ ๓ พุทธบูรณา การภาวะผู้น าทางการศึกษา, ส่วนที่ ๒ (กระบวนการพัฒนาภาวะผู้น าทางการศึกษา) ตั้งแต่ บทที่ ๔ การพัฒนาภาวะผู้น าทางการศึกษาในยุคใหม่, บทที่ ๕ กระบวนการพัฒนาภาวะ ผู้น าทางการศึกษาจากพระไตรปิฎก, บทที่ ๖ พุทธภาวะผู้น าทางการศึกษากับศาสตร์ สมัยใหม่, ส่วนที่ ๓ (การประยุกต์ภาวะผู้น าทางการศึกษาจากพระไตรปิฎก) ตั้งแต่ บทที่ ๗ การประยุกต์ภาวะผู้น าทางการศึกษาจากพระไตรปิฎก, บทที่ ๘ ประเมินภาวะผู้น าทาง การศึกษา, บทที่ ๙ บทสรุป เพื่อการอนุเคราะห์อย่างบูรณาการ, และตลอดถึงพุทธธรรม ในพระไตรปิฎก อรรถกถาและคัมภีร์วรรณกรรมในพระพุทธศาสนา การอธิบายหลัก พุทธธรรมร่วมสมัย เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่นิสิตผู้ศึกษาค้นคว้า และพุทธศาสนิกชน ทั่วไป รายละเอียดที่ปรากฏในบทเรียนหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนได้ท าการวิเคราะห์อย่างมี เหตุผลและหลักการ เท่าที่สามารถจะรวบรวมมาเป็นธรรมบรรณวิทยาการได้ ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเล่มนี้ จักอ านวยประโยชน์ให้เกิดกับผู้ที่ เกี่ยวข้องตามวัตถุประสงค์ของสถาบันพอสมควร จึงขอขอบคุณคณะผู้ให้การสนับสนุน เจ้าของผลงานที่ได้อ้างอิงไว้ในเชิงอรรถและบรรณนานุกรม ที่ได้มีส่วนร่วมจัดท าหนังสือ เล่มนี้ให้ส าเร็จสมบูรณ์เป็นเล่มได้ อนึ่ง หากยังมีข้อบกพร่องผิดพลาดกรณีใด ๆ ในหนังสือนี้ ต้องขออภัยและถ้าหากจะมีความดีใด ๆ เกิดขึ้น ขอให้คุณความดีนั้น จงอ านวยเป็นอิทธิ วิบูลย์ผลแก่สรรพสัตว์ทั่วไปเทอญ. ผู้จัดท า รองศาสตราจารย์ ดร. สุทธิพงษ์ ศรีวิชัย ๒๕๖๖ หนัังสืือ ภาวะผู้้นำทางการศึึกษาบนพื้้�นฐานแนวคิิดจากพระไตรปิิฎก


ข ข สารบัญ เรื่อง หน้า ค าน า ก สารบัญ ข ค าอธิบายสัญลักษณ์และอักษรย่อ ฉ บทที่ ๑ ภาวะผู้น าทางการศึกษาในยุคใหม่ ๑ ๑.๑ ความน า ๑ ๑.๒ ความหมายของภาวะผู้น าทางพุทธศาสตร์ ๒ ๑.๓ ความหมายของผู้น าตามหลักทศพิธราชธรรม ๓ ๑.๔ หลักพุทธธรรมกับภาวะผู้น า ๕ ๑.๕ ผู้น าการศึกษายุคใหม่ตามแนวพุทธ ๙ ๑.๖ ความสัมพันธ์ของภาวะผู้น าการศึกษาและวิชาชีวิตในยุคใหม่ ๑๓ ๑.๗ สรุป ๑๘ ๑.๘ เอกสารอ้างอิงประจ าบท ๒๐ บทที่ ๒ ภาวะผู้น าทางการศึกษาจากพระไตรปิฎกร่วมสมัย ๒๑ ๒.๑ ความน า ๒๑ ๒.๒ ความหมายของพระไตรปิฎก ๒๒ ๒.๓ ขอบข่ายภาวะผู้น าการศึกษาในพระไตรปิฎก ๒๕ ๒.๔ การปรับตัวของสถานศึกษาในยุคไทยแลนด์ ๔.๐ ๓๐ ๒.๕ การบริหารการศึกษาของวัดในยุคไทยแลนด์ ๔.๐ ๓๖ ๒.๖ แนวโน้มการบริหารการศึกษาในยุคไทยแลนด์ ๔.๐ ๓๘ ๒.๗ สรุป ๔๐ ๒.๘ เอกสารอ้างอิงประจ าบท ๔๒ คำอธิิบายสััญลัักษณ์์และคำย่่อ


ค บทที่ ๓ การบูรณาการภาวะผู้น าทางการศึกษา ๔๓ ๓.๑ ความน า ๔๓ ๓.๒ ความหมายของภาวะผู้น า ๔๔ ๓.๓ การปรับกระบวนทัศน์ใหม่กับการพัฒนาภาวะผู้น า ๔๗ ๓.๔ กลยุทธ์การบูรณาการพัฒนาภาวะผู้น า ๕๑ ๓.๕ เทคนิคการบูรณาการพัฒนาภาวะผู้น า ๕๔ ๓.๖ กระบวนการบูรณาการพัฒนาภาวะผู้น า ๕๘ ๓.๗ สรุป ๖๐ ๓.๘ เอกสารอ้างอิงประจ าบท ๖๓ บทที่ ๔ คุณลักษณะผู้น าตามหลักพระพุทธศาสนา ๖๕ ๔.๑ ความน า ๖๕ ๔.๒ ความส าคัญของผู้น าตามหลักพระพุทธศาสนา ๖๖ ๔.๓ คุณลักษณะของผู้น าที่ดีตามแนวพุทธ ๖๙ ๔.๔ คุณลักษณะผู้น ากับการเปลี่ยนในยุคโลกาภิวัตน์ ๗๐ ๔.๕ คุณลักษณะผู้น ากับธรรมหลักสังคหวัตถุ ๔ ๗๓ ๔.๖ คุณลักษณะผู้น ากับประโยชน์ของสังคหวัตถุ ๔ ๗๙ ๔.๗ สรุป ๘๖ ๔.๘ เอกสารอ้างอิงประจ าบท ๘๘ บทที่ ๕ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามแนวพุทธ ๘๙ ๕.๑ ความน า ๘๙ ๕.๒ แนวคิดและหลักการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามแนวพุทธ ๙๐ ๕.๓ ความหมายของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามแนวพุทธ ๙๔ ๕.๔ หลักการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามแนวพุทธ ๙๖ ๕.๕ หลักพุทธธรรมส าหรับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามแนวพุทธ ๙๘ ๕.๖ รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้น าตามแนวพุทธ ๑๐๑ ๕.๗ สรุป ๑๐๖ ๕.๘ เอกสารอ้างอิงประจ าบท ๑๐๘ ค


ง บทที่ ๖ พุทธภาวะผู้น าทางการศึกษากับศาสตร์สมัยใหม่ ๑๐๙ ๖.๑ ความน า ๑๐๙ ๖.๒ พุทธภาวะผู้น าทางการศึกษากับศาสตร์สมัยใหม่ ๑๑๐ ๖.๓ ความส าคัญของพุทธภาวะกับศาสตร์สมัยใหม่ ๑๑๒ ๖.๔ ความสัมพันธ์พุทธภาวะกับศาสตร์สมัยใหม่ ๑๑๖ ๖.๕ บูรณาพุทธศาสนาการศึกษากับศาสตร์สมัยใหม่ ๑๒๑ ๖.๖ วิเคราะห์พุทธศาสตร์กับศาสตร์สมัยใหม่ ๑๒๓ ๖.๗ สรุป ๑๒๗ ๖.๘ เอกสารอ้างอิงประจ าบท ๑๓๐ บทที่ ๗ การพัฒนาภาวะผู้น าตามหลักธรรมพุทธศาสนา ๑๓๑ ๗.๑ ความน า ๑๓๑ ๗.๒ หลักอิทธิบาท ๔ ส าหรับการพัฒนาภาวะผู้น า ๑๓๒ ๗.๓ หลักพรหมวิหาร ๔ ส าหรับการพัฒนาภาวะผู้น า ๑๓๔ ๗.๔ หลักไตรสิกขาส าหรับการพัฒนาภาวะผู้น า ๑๓๖ ๗.๕ หลักภาวนา ๔ ส าหรับการพัฒนาภาวะผู้น า ๑๓๙ ๗.๖ หลักศีล ๕ ส าหรับการพัฒนาภาวะผู้น า ๑๔๑ ๗.๗ สรุป ๑๔๙ ๗.๘ เอกสารอ้างอิงประจ าบท ๑๕๐ บทที่ ๘ การประเมินภาวะผู้น าทางการศึกษาตามแนวพุทธ ๑๕๓ ๘.๑ ความน า ๑๕๓ ๘.๒ ความหมายของการประเมินการศึกษา ๑๕๕ ๘.๓ ความเป็นมาของการวัดและประเมินผล ๑๖๐ ๘.๔ ผู้น าการศึกษาของพระสงฆ์ในสถานการณ์ใหม่ ๑๖๒ ๘.๕ ผู้น าการศึกษาของพระสงฆ์ในแบบเดิม ๑๖๓ ๘.๖ ผู้น าทางการศึกษาของพระสงฆ์เชิงบูรณาการในประเทศไทย ๑๖๗ ๘.๗ สรุป ๑๗๑ ๘.๘ เอกสารอ้างอิงประจ าบท ๑๗๒ ง


จ บทที่ ๙ สรุปวิเคราะห์ภาวะผู้น า ๑๗๓ ๙.๑ ความน า ๑๗๓ ๙.๒ พระไตรปิฎกต้นแบบพุทธธรรมกับภาวะผู้น า ๑๗๔ ๙.๓ พระไตรปิฎกกับลักษณะของภาวะผู้น าตามหลักพุทธธรรม ๑๗๘ ๙.๔ วิเคราะห์แนวคิดของชาวพุทธตามระบอบประชาธิปไตย ๑๘๒ ๙.๕ วิเคราะห์ภาวะผู้น าเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา ๑๘๖ ๙.๖ สรุปบทความเกี่ยวกับภาวะผู้น า ๑๘๗ ๙.๗ สรุป ๑๙๒ ๙.๘ เอกสารอ้างอิงประจ าบท ๑๙๔ บรรณานุกรม ๑๙๕ ดัชนี ๒๐๓ ประวัติผู้เขียน ๒๐๕ จ ดััชนีีคำหลััก


ฉ ค ำอธิบำยสัญลักษณ์และค ำย่อ ค ำย่อชื่อคัมภีร์พระไตรปิฎก ในหนังสือเล่มนี้ได้อ้างอิงข้อมูลจากคัมภีร์พระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับมหา จุฬาเตปิฏกํ ๒๕๐๐ และภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พุทธศักราช ๒๕๓๙ โดย ใช้อักษรย่อแทนชื่อเต็มคัมภีร์ตามระบบอ้างอิง เช่น เล่ม/ข้อ/หน้า ตัวอย่าง ที.สี. (บาลี) ๙/๑๙/๒๙. หมายถึง ทีฆนิกาย สีลขนฺธวคฺคปาลิ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๙ ข้อ ๑๙ หน้า ๒๙ เป็นต้น ที.สี. (ไทย) ๙/๑๙/๕๐. หมายถึง ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค พระไตรปิฎก เล่มที่ ๙ ข้อ ๑๙ หน้า ๕๐ เป็นต้น อรรถกถำ การอ้างอิงอรรถกถาภาษาบาลีฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย รูปแบบการอ้างอิงจะขึ้นต้นด้วยอักษรย่อชื่อคัมภีร์แล้วตามด้วย เช่น เล่ม/ข้อ/หน้า ตัวอย่าง ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๒๐/๒๐. หมายถึง ทีฆนิกาย สุมงฺคลวิลาสินี สีลขนฺธวคฺคอฏฺฐกถา เล่มที่ ๑ ข้อ ๑๓ หน้า ๒๐ กรณีที่อรรถกถาเล่มใดไม่มีเลขข้อ รูปแบบการอ้างอิงจะขึ้นต้น ด้วยอักษรย่อชื่อคัมภีร์ แล้วตามด้วยเล่ม/หน้า ตัวอย่าง อภิ.สงฺ.อ. (บาลี) ๑/๑๗๒ หมายถึง อภิธมฺมปิฏก ธมฺมสงฺคณี อฏฺฐ สาลินีอฏฺฐกถา เล่มที่ ๑ หน้า ๑๗๒ บางคัมภีร์มีจํานวนเล่ม เดียว ใช้วิธีการอ้างข้อ/หน้า ตัวอย่าง ขุ.ม.อ. (บาลี) ๒/๔. หมายถึง ขุทฺทกนิกาย สทฺธมฺมปฺ ปชฺโชติกา มหานิทฺเทสอฏฺฐกถา ข้อ ๒ หน้า ๔ เป็นต้น ฎีกำ การอ้างอิงฎีกาภาษาบาลีฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย รูปแบบการ อ้างอิงจะ ขึ้นต้นด้วยอักษรย่อชื่อคัมภีร์แล้วตามด้วย เช่น เล่ม/ข้อ/หน้า ตัวอย่าง ที.ม.ฏีกา (บาลี) ๑/๓/๕ หมายถึง ทีฆนิกาย นีลตฺถปฺปกาสินี มหาวคฺคฏีกา เล่มที่ ๑ ข้อ ๓ หน้า ๕ บางคัมภีร์มีจํานวนเล่มเดียว ใช้ วิธีการอ้างข้อ/หน้า ตัวอย่าง วชิร.ฏีกา (บาลี) ๕/๒๓. หมายถึง วชิรพุทฺธิฏีกา ข้อ ๕ หน้า ๒๓ เป็น ต้น บางกรณีใช้ ที.สี.ฏีกา (บาลี) ๔๐๔ หมายถึง ทีฆนิกาย สีลขนฺธวคฺคฏีกา หน้า ๔๐๔ ปกรณ์วิเสส การอ้างอิงปกรณวิเสสภาษาบาลีฉบับฉบับมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย รูปแบบการอ้างอิงจะขึ้นต้นด้วยอักษรย่อชื่อคัมภีร์แล้วตามด้วยเล่ม/หน้า ตัวอย่าง วิสุทธิ. (บาลี) ๑/ ๑๐ หมายถึง วิสุทธิมคฺคปกรณ เล่มที่ ๑ หน้า ๑๐ ฎีกำปกรณวิเสส การอ้างอิงฎีกาปกรณวิเสสภาษาบาลีฉบับฉบับมหาจุฬาลง กรณราช วิทยาลัย รูปแบบการอ้างอิงจะขึ้นต้นด้วยอักษรย่อชื่อคัมภีร์แล้วตามด้วยข้อ/หน้า ตัวอย่าง วิภา วินี.ฏีกา (บาลี) ๒๐/๒๐ หมายถึง อภิธมฺมตฺถวิภาวินีฏีกา ข้อ ๒๐ หน้า ๒๐ ฉ


ช พระวินัยปิฎก วิ.มหา. (บาลี) = วินยปิฏก มหาวิภงฺคปาลิ (ภาษาบาลี) วิ.มหา. (ไทย = วินัยปิฎก มหาวิภังค์ (ภาษาไทย) วิ.ม. (ไทย) = วินัยปิฎก มหาวรรค (ภาษาไทย) วิ.จู. (ไทย) = วินัยปิฎก จูฬวรรค (ภาษาไทย) พระสุตตันตปิฎก ที.สี. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก ทีฆนิกาย สีลขนฺธวคฺคปาลิ (ภาษาบาลี) ที.สี. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค (ภาษาไทย) ที.ม. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค (ภาษาไทย) ที.ปา. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค (ภาษาไทย) ม.มู. (ไทย) = สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ (ภาษาไทย) ม.ม. (ไทย) = สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ (ภาษาไทย) สํ.ส. (ไทย) = สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค (ภาษาไทย) สํ.นิ. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก สงฺยุตฺตนิกาย นิทานวคฺคปาลิ (ภาษาบาลี) สํ.นิ. (ไทย) = สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค (ภาษาไทย) สํ.ข. (ไทย) = สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค (ภาษาไทย) สํ.สฬา. (ไทย) = สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค (ภาษาไทย) องฺ.เอกก.(บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก องฺคุตฺตรนิกาย เอกกนิปาตปาลิ(ภาษาบาลี) องฺ.เอกก. (ไทย) = สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกกนิปาต (ภาษาไทย) องฺ.ติก. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก องฺคุตฺตรนิกาย ติกนิปาตปาลิ (ภาษาบาลี) องฺ.ติก. (ไทย) = สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต (ภาษาไทย) องฺ.จตุกฺก.(ไทย) = สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิปาต (ภาษาไทย) องฺ.สตฺตก.(ไทย) = สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต (ภาษาไทย) องฺ.ทสก. (ไทย) = สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสกนิปาต (ภาษาไทย) ขุ.ธ. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ธรรมบท (ภาษาไทย) ขุ.อุ. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน (ภาษาไทย) ขุ.อิติ. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก (ภาษาไทย) ขุ.สุ. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบา (ภาษาไทย) ขุ.เถร. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา (ภาษาไทย) ขุ.ชา. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก (ภาษาไทย) ช


ซ ขุ.ม. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส (ภาษาไทย) ขุ.ป. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค (ภาษาไทย) พระอภิธรรมปิฎก อภิ.ปุ. (บาลี) = อภิธมฺมปิฏก ปุคคลปญฺญตฺติปาลิ (ภาษาบาลี) อภิ.ปุ. (ไทย) = อภิธัมมปิฎก ปุคคลปัญญัตติ (ภาษาไทย) อภิ.ก. (บาลี) = อภิธมฺมปิฏก กถาวตฺถุปาลิ (ภาษาบาลี) อภิ.ก. (ไทย) = อภิธัมมปิฎก กถาวัตถุ (ภาษาไทย) อภิ.ย. (บาลี) = อภิธมฺมปิฏก ยมกปาลิ (ภาษาบาลี) อภิ.ย. (ไทย) = อภิธัมมปิฏก ยกม (ภาษาไทย) อรรถกถำวินัยปิฎก วิ.อ.(บาลี) = วินยปิฏก สมนฺตปาสาทิกา ปาราชิกกณฺฑ-สํฆาทิเสสาทิ- มหาวคฺคาทิอฏฺฐกถา (บาลี) อรรถกถำพระสุตตันตปิฎก ที.สี.อ. (บาลี) = ทีฆนิกาย สุมงฺคลวิลาสินี สีลกฺขนฺธวคฺคอฏฺฐกถา (ภาษาบาลี) ม.มู.อ.(บาลี) = มชฺฌิมนิกาย ปปญฺจสูทนี มูลปณฺณาสกอฏฺฐกถา (บาลี) องฺ.ติก.อ.(บาลี) = องฺคุตฺตรนิกาย มโนรถปูรณี ติกนิปาตอฏฺกถา (ภาษาบาลี) ขุ.ธ.อ. (บาลี) = ขุทฺทกนิกาย ธมฺมปทอฏฺฐกถา (ภาษาบาลี) ขุ.ชา.อ. (บาลี) = ขุทฺทกนิกาย ชาตกอฏฺฐกถา (บาลี) อรรถกถําพระอภิธรรมปิฎก ฎีกำพระสุตตันตปิฎก ที.สี.ฏีกา (บาลี) = ทีฆนิกาย สีลขนฺธวคฺคฏีกา (บาลี) ซ


บทที่ ๑ ภาวะผู้น าทางการศึกษาในยุคใหม่ ********* ๑.๑ ความน า หลักธรรมค ำสั่งสอนตำมหลักพระพุทธศำสนำนั้นเป็นสิ่งที่ทันสมัยอยู่เสมอ เป็น วิทยำศำสตร์ และสำมำรถน ำมำปรับใช้ได้กับกำรด ำรงชีวิต และกำรท ำงำนในปัจจุบัน โดยเฉพำะเรื่องของภำวะผู้น ำหลักธรรมค ำสั่งสอนขององค์พระสัมมำสัมพุทธเจ้ำนั้น เกี่ยวข้องกับผู้น ำที่สำมำรถน ำมำประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ ำวันของแต่บุคคลได้อย่ำงไม่ต้อง สงสัย หลักผู้น ำจำกพระพุทธศำสนำประกำรแรก คือ บทบำทของผู้น ำกับกำรสื่อสำร โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งในสถำนกำรณ์ปัจจุบัน ไม่ว่ำจะจำกปัญหำทำงด้ำนกำรเมือง เศรษฐกิจ ผู้น ำขององค์กรต่ำง ๆ ต้องให้ควำมส ำคัญกับกำรสื่อสำรทั้งภำยในและภำยนอกองค์กร โดยผู้บริหำรต้องใช้หลักกัลยำณมิตรธรรมหรือธรรมของกัลยำณมิตร ๗ ประกำร คือ วัตตำ หรือเป็นผู้รู้จักพูด โดยกำรที่จะเป็นนักพูดที่ดีนั้นต้องพูดให้ผู้อื่นสำมำรถเข้ำใจได้ พูดให้ผู้อื่นได้ประโยชน์ หรือพูดให้ผู้อื่นช่วยกันสร้ำงสรรค์ประโยชน์ ไม่ใช่กำรพูดเพื่อหำ ประโยชน์ให้แก่ตนเอง โดยพระพุทธเจ้ำได้ทรงแสดง ลักษณะของนักสื่อสำร หรือนักพูด ที่ดีไว้ ๔ ประกำรด้วยกัน ได้แก่ พูดแจ่มแจ้ง (อธิบำยให้เข้ำใจได้ชัดเจน) พูดจูงใจ (พูดจน คนยอมรับและอยำกจะลงมือท ำ) พูดเร้ำใจ (พูดให้เกิดควำมคึกคัก กระตือรือร้น) และพูด ให้ร่ำเริง(พูดให้เกิดควำมร่ำเริง มีควำมหวัง ในผลดีและทำงที่จะส ำเร็จ) กำรเป็นผู้รู้จักพูด ตำมหลักกำรข้ำงต้น สำมำรถน ำมำปรับใช้กับกำรพูดเนื่องในโอกำสต่ำง ๆ ไม่จ ำเป็นแต่ ต้องเป็นกำรพูดของผู้น ำเท่ำนั้น แม้กระทั่งครูบำอำจำรย์ที่สอนหนังสือเอง ก็ต้องรู้จัก พูดให้แจ่มแจ้ง จูงใจ เร้ำใจ และ ร่ำเริง เพื่อให้ผู้เรียนได้มีควำมเข้ำใจ กระตือรือร้น และ สนใจที่จะเรียนหนังสือ ส ำหรับตัวผู้น ำนอกเหนือจำกกำรรู้จักที่จะพูดแล้วยังต้องรู้จักที่จะฟังด้วย โดย ท่ำนใช้ค ำว่ำ วจนักขโม แปลว่ำ ควรทนหรือฟังต่อถ้อยค ำของคนอื่นด้วย ไม่ใช่ว่ำเอำแต่ พูดแก่เขำอย่ำงเดียวโดยไม่ยอมรับฟังใคร ซึ่งกำรเป็นผู้ฟังที่ดีนั้น ถือเป็นสิ่งที่ยำกและ ท้ำทำยส ำหรับผู้น ำหลำย ๆ ท่ำน เนื่องจำกผู้น ำจ ำนวนมำกมักจะชอบพูดมำกกว่ำฟัง โดยเฉพำะกำรรับฟังจำกผู้ที่ต่ ำกว่ำหรือเป็นลูกน้อง นอกจำกนี้ ยังมีหลักธรรมว่ำไว้ว่ำ คัมภีรัญจะ กะถัง กัตตำ แปลว่ำ รู้จักแถลงเรื่องรำวต่ำง ๆ ที่ลึกซึ้ง โดยประเด็นหรือ เรื่องรำวต่ำง ๆ ที่ส ำคัญ ก็ต้องสำมำรถอธิบำย ท ำให้ผู้ที่ร่วมงำนมีควำมเข้ำใจตำมล ำดับ ดังนี้


๒ ๑.๑ ควำมน ำ ๑.๒ ควำมหมำยของภำวะผู้น ำทำงพุทธศำสตร์ ๑.๓ ควำมหมำยของผู้น ำตำมหลักทศพิธรำชธรรม ๑.๔ หลักพุทธธรรมกับภำวะผู้น ำ ๑.๕ ผู้น ำกำรศึกษำยุคใหม่ตำมแนวพุทธ ๑.๖ ควำมสัมพันธ์ของภำวะผู้น ำกำรศึกษำและวิชำชีวิตในยุคใหม่ ๑.๗ สรุป ๑.๒ ความหมายของภาวะผู้น าทางพุทธศาสตร์ ผู้น ำตำมแนวพระพุทธศำสนำ และผู้น ำตำมแนวพระพุทธศำสนำประกำรแรก คือ บทบำทของผู้น ำกับกำรสื่อสำร โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งในสถำนกำรณ์ปัจจุบัน ไม่ว่ำจะ จำกปัญหำทำงด้ำนกำรเมือง เศรษฐกิจ ท ำให้ผู้น ำขององค์กรต่ำง ๆ ต้องให้ควำมส ำคัญ กับกำรสื่อสำรทั้งภำยในและภำยนอกองค์กร โดยภำยใต้หลักกัลยำณมิตรธรรมหรือธรรม ของกัลยำณมิตร ๗ ประกำรนั้น มีอยู่ข้อหนึ่ง คือ วัตตา หรือเป็นผู้รักจักพูด โดยกำรที่จะ เป็นนักพูดที่ดีนั้นต้องพูดให้ผู้อื่นสำมำรถเข้ำใจได้ พูดให้ผู้อื่นได้ประโยชน์ หรือพูดให้ผู้อื่น ช่วยกันสร้ำงสรรค์ประโยชน์ ไม่ใช่กำรพูดเพื่อหำประโยชน์ให้แก่ตนเอง โดยพระพุทธเจ้ำ ได้ทรงแสดง ลักษณะของนักสื่อสำร หรือนักพูดที่ดีไว้ ๔ ประกำรด้วยกัน ได้แก่ พูด แจ่มแจ้ง (อธิบำยให้เข้ำใจได้ชัดเจน) พูดจูงใจ (พูดจนคนยอมรับและอยำกจะลงมือท ำ) พูดเร้ำใจ (พูดให้เกิดควำมคึกคัก กระตือรือร้น) และพูดให้ร่ำเริง (พูดให้เกิดควำมร่ำเริง มีควำมหวัง ในผลดีและทำงที่จะส ำเร็จ)๑ หลักผู้น ำจำกพระพุทธศำสนำประกำรที่สอง คือหลักพรหมวิหำร ๔ ประกำร ซึ่งถือเป็นคุณธรรมพื้นฐำนที่ผู้บริหำรจะต้องมีอยู่ประจ ำในจิตใจ เพื่อน ำไปสู่กำรแสดงออก ที่ดีและเหมำะสม ส ำหรับตัวผู้น ำ ถ้ำสำมำรถแสดงออกได้อย่ำงดีและเหมำะสมแล้ว ก็จะ น ำไปสู่ศรัทธำจำกบุคคลต่ำง ๆ ในองค์กร และท ำให้สำมำรถน ำพำทุกคนไปในทิศทำง เดียวกันได้ พรหมวิหำร ๔ นั้นประกอบด้วย เมตตำ ควำมเป็นมิตรไมตรีต่อผู้อื่น มีน้ ำใจ ปรำรถนำดีต่อผู้อื่น กรุณำ คือ ควำมต้องกำรช่วยเหลือให้ผู้อื่นพ้นจำกควำมทุกข์ ควำม เดือดร้อน โดยเมื่อผู้อื่นมีทุกข์นั้นผู้น ำจะต้องมีกรุณำ ช่วยบ ำบัดทุกข์ให้ มุทิตำ คือ เมื่อ พนักงำน เพื่อนร่วมงำนมีควำมสุข ควำมส ำเร็จมำกขึ้น ผู้น ำก็จะต้องพลอยยินดี ช่วย ๑ บรรจบ บรรณรุจิ, กำรจัดค ำสอนของพระพุทธเจ้ำเป็นหมวดหมู: พระไตรปิฎก นิกำย และ วรรค, งานวิจัยสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์, มหำวิทยำลัยมหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย, ๒๕๕๕, หน้ำ ๔.


๓ ส่งเสริมสนับสนุน และสุดท้ำย คือ อุเบกขำ คือ กำรรักษำควำมเป็นกลำง ไม่ล ำเอียง ไม่เข้ำข้ำงใดข้ำงหนึ่ง หลักพรหมวิหำรสี่นั้นเป็นสิ่งที่ผู้น ำควรจะยึดเป็นหลักธรรมในกำร บริหำรงำนเป็นระจ ำวันทั่วไป โดยเฉพำะกับผู้อื่น ไม่ว่ำจะเป็นเพื่อนร่วมงำน ลูกน้อง หรือ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่ำง ๆ กับองค์กร โดยเมื่อบุคคลอื่นมีปัญหำ มีทุกข์ เดือดร้อน ผู้น ำก็ต้องมีควำมกรุณำที่จะแก้ไข ปัญหำ ในขณะเดียวกัน เมื่อบุคคลอื่นประสบควำมส ำเร็จ มีควำมสุข ก็ต้องมีมุทิตำ ที่จะ ช่วยส่งเสริมสนับสนุน และยินดีในควำมส ำเร็จของผู้อื่น ในช่วงสถำนกำรณ์ปกตินั้นก็ต้อง คอยดูแล เอำใจใส่ให้บุคคลต่ำง ๆ ในองค์กรมีควำมสุขในกำรท ำงำน และสุดท้ำย ในกำร บริหำรงำนทุกอย่ำงผู้น ำจะต้องมีและสำมำรถรักษำควำมเป็นกลำง ไม่ล ำเอียง เข้ำข้ำงใด ข้ำงหนึ่ง ซึ่งหลักของอุเบกขำนั้นจะคุมเมตตำ กรุณำ มุทิตำ ไว้อีกด้วย โดยกำรปฏิบัติ หรือช่วยเหลือผู้อื่นนั้น ก็จะต้องมีควำมเป็นกลำง ไม่ล ำเอียง ปัจจุบันเรำรับอิทธิพลใน แนวคิดทำงด้ำนกำรบริหำรจำกโลกตะวันตกมำมำกขึ้น ท ำให้เรำมักจะละเลยกำรน ำ หลักธรรมตำมค ำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ำมำปรับใช้กับกำรน ำองค์กรของเรำ แต่จริง ๆ แล้ว กำรน ำหลักธรรม ค ำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ำมำปรับใช้กับกำรบริหำรองค์กรนั้น น่ำจะเหมำะกับบริบทของประเทศไทยมำกกว่ำกำรน ำหลักของตะวันตกมำใช้แต่เพียง อย่ำงเดียว๒ ๑.๓ ความหมายของผ ู้น าตามหลักทศพิธราชธรรม ทศพิธรำชธรรม ๑o ประกำร คือ จริยวัตร ๑๐ ประกำรที่พระเจ้ำแผ่นดินทรง ประพฤติเป็นหลักธรรม ประจ ำพระองค์ หรือเป็นคุณธรรมประจ ำตนของผู้ปกครอง บ้ำนเมือง ให้มีควำมเป็นไปโดยธรรมและยังประโยชน์สุขให้เกิดแก่ประชำชนจนเกิดควำม ชื่นชมยินดี ซึ่งควำมจริงแล้วไม่ได้จ ำเพำะเจำะจงส ำหรับพระเจ้ำแผ่นดินหรือผู้ปกครอง แผ่นดินเท่ำนั้น บุคคลธรรมดำที่เป็นผู้บริหำรระดับสูงในทุกองค์กรก็พึงใช้หลักธรรมทั้งสิบ เหล่ำนี้ ๑. ทำน มีจิตในเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักแบ่งปัน คือ ผู้น ำหรือผู้ปกครองต้องไม่มี ควำมอยำกและควำมติดยึดในควำมมั่งคั่งและทรัพย์สมบัติ แต่จักต้องจ ำหน่ำยจ่ำยแจก ควำมมั่งคั่งและทรัพย์สมบัตินั้นเพื่อควำมเป็นอยู่ในกำรกินดีอยู่ดีของประชำชน ข้อนี้ก็ยัง ๒ พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตฺโต), ธรรมนูญชีวิต, กรุงเทพมหำนคร: มูลนิธิพุทธธรรม, ๒๕๕๑, หน้ำ ๒๑.


๔ มีหมำยถึงกำรจัดสรรค่ำนิยมทำงสังคมอย่ำงยุติธรรม อันจะส่งผลให้เกิดกำรกระจำย ควำมมั่งคั่งไปทั่วทั้งทุกภำคส่วนของสังคม ๒. ศีล มีลักษณะทำงศีลธรรมที่สูง คือ ผู้น ำหรือผู้ปกครองอย่ำงน้อยต้องรักษำ ศีล ๕ ให้ได้ กล่ำวคือ ๑. เว้นจำกกำรฆ่ำสัตว์ตัดชีวิต ให้มีเมตตำธรรมเสมอ ๒. เว้นจำกกำรถือเอำทรัพย์สิ่งของที่เจ้ำของเขำไม่ได้ให้ ให้มีกำรประกอบ สัมมำชีพ เลี้ยงชีวิตชอบ ๓. เว้นจำกกำรประพฤติผิดในกำม ให้มีกำรสังวรในสิ่งที่คนอื่นรักและ หวงแหน ๔. เว้นจำกกำรพูดปด ให้มีกำรพูดควำมจริง เรียกว่ำมีสัจจะ ๕. เว้นจำกกำรดื่มเครื่องดองของเมำทุกอย่ำง ให้มีสติเสมอ ๓. ปริจจำคะ กำรเสียสละได้ทุกสิ่ง เพื่อควำมดีของประชำชน คือ ผู้น ำหรือ ผู้ปกครองจักต้องเตรียมตัวที่จะเสียสละควำมสะดวกสบำย เสียสละชื่อเสียง เกียรติภูมิ ส่วนตนทุกสิ่งทุกอย่ำง และแม้กระทั่งยอมเสียชีวิตเพื่อผลประโยชน์และควำมสุขของ ประชำชน ๔. อำชชวะ มีควำมชื่อตรงด ำรงสัตย์ คือ ผู้น ำหรือผู้ปกครอง จักต้องปลอดพ้น จำกกำรกลัวหรือมีอคติใด ๆ ในกำรปฏิบัติหน้ำที่กำรงำน จักต้องมีควำมจริงใจในกำร ท ำงำน และจักต้องไม่หลอกลวงประชำชน ๕. มัททวะ มีควำมกรุณำและควำมสุภำพ คือ ผู้น ำหรือผู้ปกครองจักต้องมี ควำมอ่อนโยนละมุนละไม ไม่ท ำตัวเป็นคนแข็งกระด้ำงต่อคนอื่น แสดงตนออกมำในทำง กร่ำง วำงกล้ำมจนถึงกลับน่ำเกลียด ๖. ตปะ มีควำมแผดเผำจิตใจให้คลำยจำกควำมชั่ว คือ ผู้น ำหรือผู้ปกครองจัก ต้องด ำเนินชีวิตแบบง่ำยๆ จักต้องไม่ด ำเนินชีวิตแบบฟุ้งเฟ้อ จักต้องรู้จักควบคุมตนเองใน เรื่องนี้ให้ได้ ๗. อักโกธะ ไม่โกรธ ไม่ประสงค์ร้ำย ไม่เป็นปฏิปักษ์ คือ ผู้น ำหรือผู้ปกครองจัก ต้องไม่โกรธแค้น ไม่อำฆำตมำตรร้ำยต่อผู้ใด ๘. อวิหิงสำ กำรไม่ใช้ควำมรุนแรง คือ ผู้น ำหรือผู้ปกครองจะต้องไม่เพียงแต่จะ ไม่ท ำร้ำยผู้อื่นเท่ำนั้น แต่จักต้องพยำยำมส่งเสริมสันติภำพด้วยกำรงดเว้นกำรใช้สงครำม เป็นเครื่องมือในนโยบำยต่ำงประเทศและป้องกันมิให้เกิดสงครำม ตลอดจนทุกสิ่งทุกอย่ำง ที่เกี่ยวข้องกับควำมรุนแรงและกำรท ำลำยล้ำงชีวิต


๕ ๙. ขันติ ควำมอดทน ควำมอดกลั้น ควำมเข้ำอกเข้ำใจผู้อื่น คือ ผู้น ำหรือ ผู้ปกครองจะต้องมีควำมอดทนต่อควำมยำกล ำบำกและรวมไปถึงกำรค ำพูดด่ำว่ำแดกดัน ที่ออกมำจำกปำกของผู้อื่นให้ได้ ๑o. อวิโนธนะ ควำมไม่ขัดขวำง ควำมไม่เป็นอุปสรรค คือ ผู้น ำหรือผู้ปกครอง จักต้องไม่ขัดขวำงเจตจ ำนงของประชำชน จักต้องไม่ขัดขวำงมำตรกำรใดๆ อันจะน ำไปสู่ สวัสดิภำพของประชำชน กล่ำวอีกนัยหนึ่ง คือจักต้องปกครองโดยสอดประสำนเป็น อันหนึ่งอันเดียวกับประชำชนเท่ำนั้นหำกประเทศชำติใดมีผู้น ำหรือผู้ปกครองที่ปฏิบัติตำม หลักทศรำชธรรม หรือ ทศพิธรำชธรรมข้ำงต้น ก็เป็นที่หวังได้ว่ำประเทศชำติบ้ำนเมือง นั้นก็จะมีแต่ควำมร่มเย็นเป็นสุข หลักกำรที ่กล ่ำวมำนี้ไม ่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อเลื ่อนลอย เพรำะในอดีตก็เคยมีกษัตริย์หรือผู้น ำหลำยพระองค์/หลำยคนที่สำมำรถปฏิบัติตำม ธรรมะนี้ได้ส ำเร็จ อย่ำงเช่น พระเจ้ำอโศกซึ่งได้ทรงสถำปนำอำณำจักรของพระองค์ใน ประเทศอินเดียบนหลักกำรของทศพิธรำชธรรมนี้๓ ๑.๔ หลักพุทธธรรมกับภาวะผู้น า ผู้น ำตำมหลักพุทธธรรม มีที่มำจำกกำรเลือกสรรสมำชิกในสังคม โดยกำรมอบ อ ำนำจให้แก่บุคคลที่มีคุณสมบัติพิเศษ ต่ำงจำกบุคคลอื่น เช่น มีผิวพรรณวรรณะดี มีร่ำงกำยแข็งแรง นั่นหมำยถึง ศักยภำพในกำรใช้อ ำนำจซึ่งเป็นพื้นฐำนส ำหรับปกครอง หมู่คณะ กำรใช้อ ำนำจตำมที่ปรำกฏในหลักพุทธธรรมมีวิธีกำรต่ำง ๆ เพื่อสนองตำม วัตถุประสงค์ของกำรใช้อ ำนำจตำมลักษณะตำมผู้น ำ อ ำนำจจึงมิใช่สิ่งสมบูรณ์ในตัวเอง แต่เป็นวิถีทำง (Means) ไปสู่จุดหมำย (Purposes) จึงเป็นไปเพื่อประโยชน์โดยรวมของ มวลสมำชิก ดังนี้ ๑. เพื่อท ำลำยอธรรม ควำมชั่วร้ำย หรือ ปัญหำต่ำง ๆ ที่เกิดขึ้นจำกสมำชิกใน สังคม จึงมีกำรลงโทษเพื่อเป็นกำรหยุดยั้งควำมชั่วที่เกิดขึ้น ๒. เพื่อรักษำควำมเป็นธรรมของมวลสมำชิกในสังคม ถือเป็นแนวทำงที่ดีงำม เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมและสนับสนุนควำมถูกต้องในรูปของกฎระเบียบของสังคม ๓. เพื่อสร้ำงควำมสงบสุข และควำมเจริญให้เกิดขึ้นในสังคมทั้งทำงวัตถุและ จิตใจ ๓ พระธรรมปิฎก. (ป.อ. ปยุตโต), ภาวะผู้น า: ความส าคัญต่อการพัฒนาคน พัฒนาประเทศ, (กรุงเทพมหำนคร: ส ำนักพิมพ์ธรรมสภำ, ๒๕๕๖), หน้ำ ๓๑-๓๒.


๖ อ ำนำจของผู้น ำ ตำมที่ปรำกฏในพุทธธรรม แสดงให้เห็นถึงที่มำอันส ำคัญของ อ ำนำจดังกล่ำวจำกควำมยินยอม สละอ ำนำจของสมำชิกในสังคมนั้น ๆ ได้รับรอง ควำมชอบของอ ำนำจผู้น ำสังคม จึงมีสิทธิ์ใช้อ ำนำจในฐำนะผู้น ำ ดังปรำกฏออกมำในรูป ของกำรเมือง โดยเนื้อหำก็คือกำรบริหำรท ำให้เกิดควำมสงบและผำสุกในรูปกำรปกครอง โดยเนื้อหำก็คือ กำรยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่มวลชน ดังนั้น อ ำนำจสิทธิ์ขำดและกำร ยอมรับกำรใช้อ ำนำจของผู้น ำ จึงเป็นสิ่งที่มวลสมำชิกได้ท ำกำรตกลงร่วมกันแล้ว สิ่งที่ ผู้น ำปฏิบัติจะต้องเป็นไปโดยชอบธรรม ค ำนึงถึงสมำชิกในสังคม ขณะเดียวกันก็มุ่งหวังให้ เกิดประโยชน์แก่มวลสมำชิก อ ำนำจดังกล่ำวนี้จึงขึ้นอยู่กับเงื่อนไขส ำคัญคือ ควำมเชื่อ ศรัทธำของสมำชิก ที่มีต่อตัวผู้น ำและกำรใช้อ ำนำจของผู้น ำแบบต่ำง ๆ จะเห็นว่ำ กำรใช้ อ ำนำจของผู้น ำมีควำมเชื่อมโยงระหว่ำงควำมสัมพันธ์ของผู้น ำกับมวลสมำชิกในสังคม ดังปรำกฏข้อควำมว่ำ อย่ำกระนั้นเลย พวกเรำควรสมมุติสัตว์ผู้หนึ่งให้เป็นผู้ว่ำกล่ำวผู้ที่ควรว่ำกล่ำวได้ โดยชอบให้เป็นผู้ติเตียน ผู้ที่ควรติเตียนได้โดยชอบให้เป็นผู้ขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่ได้โดยชอบ ส่วนพวกเรำจัดแบ่งส่วนข้ำวสำลีให้แก่ให้ผู้นั้น ดังนี้ ดูก่อนวำเสฏฐะและภำรทวำชะ ครั้น เมื่อสัตว์เหล่ำนั้นพำกันไปหำสัตว์ที่สวยงำมกว่ำ น่ำดูน่ำชมกว่ำและน่ำเกรงขำมมำกกว่ำ สัตว์ทุกตัว แล้วจึงแจ้งเรื่องนี้ว่ำ ข้ำแต่ท่ำนผู้เจริญมำเถิดพ่อคุณ ขอพ่อว่ำกล่ำวผู้ที่ควรว่ำ กล่ำว จงติเตียนผุ้ที่ควรติเตียน จงขับผู้ที่ควรขับไล่โดยชอบเถิด ส่วนพวกข้ำพเจ้ำจักเฉลี่ย กันแบ่งส่วนข้ำวสำลีให้พ่อ ดูก่อนวำเสฏฐะและภำรทวำชะสัตว์ผู้นั้นและรับค ำของสัตว์ เหล่ำนั้นแล้ว จงว่ำกล่ำวผู้ที่ควรว่ำกล่ำว ติเตียนผู้ที่ควรติเตียน ขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่โดย ชอบ ส่วนสัตว์เหล่ำนั้น ต่ำงก็เฉลี่ยแบ่งส่วนข้ำวสำลี ให้แก่สัตว์ที่เป็นหัวหน้ำนั้น แม้ว่ำผู้น ำจะด ำรงฐำนะกษัตริย์ต้องฟังเสียงของประชำชนด้วย ดังตัวอย่ำงใน เวสสันดรชำดก จะเห็นได้จำกกำรที่พระเวสสันดร ซึ่งขณะนั้นด ำรงพระยศเป็นพระโอรส ของพระเจ้ำสัญชัย กษัตริย์ พระรำชทำนพญำช้ำงคู่บ้ำนคู่เมืองให้แก่พวกพรำหมณ์ต่ำง เมืองทั้ง ๙ คนที่มำของพญำช้ำงคู่บ้ำนคู่เมือง ท ำให้ประชำชนเมืองสีพีทั้งหลำยโกรธเป็น อันมำก พำกันเข้ำมำเฝ้ำพระเจ้ำสัญชัยทูลให้ขับไล่พระเวสสันดรพระรำชโอรสออก นอกเมือง พระเจ้ำสัญชัยก็ต้องท ำตำมดังใจควำมที่ชำวเมืองสีพีทูลแก่พระเจ้ำสัญชัยว่ำ “พระองค์อย่ำได้รับสั่งให้ฆ่ำพระเวสสันดรนั้นด้วยท่อนไม้หรือศำสตรำเลยทั้งพระเวสสันดร นั้น ก็ไม่ควรแก่เครื่องพันธนำกำร แต่จงทรงขับไล่พระเวสสันดรเสียจำกแว่นแคว้น” จงไปอยู่ที่เขำวงกตเถิด ถึงแม้ว่ำพระนำงผุสดีซึ่งเป็นพระมเหสีของพระเจ้ำสัญชัยจะทัด ทำน ดังที่ปรำกฏในพระเวสสันดรชำดกว่ำ ข้ำแต่มหำรำชเพรำะฉะนั้นเกล้ำกระหม่อมฉัน ขอกรำบทูลพระองค์ว่ำประโยชน์อย่ำได้ล่วงพระองค์ไปเสียเลย ขอพระองค์อย่ำทรงขับไล่


๗ พระรำชโอรสผู้ไม่มีควำมผิดเพรำะถ้อยค ำของชำวนครสีพีเลย เรำท ำควำมย ำเกรงพระ รำชประเพณี จึงขับไล่พระโอรสผู้เป็นชำวสีพี เรำจ ำต้องขับไล่ลูกของตน ถึงแม้จะเป็นที่ รักยิ่งกว่ำชีวิตของเรำ กำรที่กษัตริย์หรือผู้น ำที่ปกครองบ้ำนเมืองโดยธรรม จะสำมำรถใช้อ ำนำจนั้น ยำวนำนและเป็นขวัญใจของอำณำประชำรำษฎร จะได้รับกำรสดุดีถวำยพระนำมว่ำ “รำชำ” ซึ่งหมำยถึง ผู้ที่ยังชนให้สุขใจได้โดยธรรม ดังข้อควำมที่ปรำกฏในพระสูตรกล่ำว ยืนยันว่ำ ดูก่อน วำเสฏฐะและภำรทวำชะ เพรำะเหตุผู้ที่เป็นหัวหน้ำสมมุติ ดังนี้แล อักษร ที่มหำชนสมบัติ จึงอุบัติขึ้นเป็นอันดับแรก เพรำะเหตุที่เป็นหัวหน้ำมหำสมบัติ ดังนี้แล อักษรที่ว่ำมหำชนสมบัติ จึงอุบัติขึ้นเป็นอันดับแรก เพรำะเหตุที่เป็นหัวหน้ำเป็นใหญ่ยิ่ง แห่งแผ่นดินทั้งหลำย ดังนี้ และอักษรว่ำ “กษัตริย์” จึงอุบัติขึ้นอันดับที่สอง เพรำะเหตุที่ผู้ เป็นหัวหน้ำยังชนเหล่ำอื่นให้สุขใจได้โดยธรรม ดังนี้แล อักษรว่ำ รำชำ รำชำจึงอุบัติขึ้น เป็นอันดับที่สำม ดูก่อนวำเสฏฐะและภำรทวำชะ ด้วยประกำรดังนี้ กำรบังเกิดขึ้นแห่ง พวกกษัตริย์นั้นมีขึ้นได้๔ เนื่องจำกอ ำนำจกษัตริย์ดังกล่ำว เป็นไปในลักษณะกำรยินยอมพร้อมใจของ สมำชิกที่จะสละอ ำนำจส่วนบุคคลให้แก่ผู้น ำคือกษัตริย์ ผู้มีอิสระในกำรใช้อ ำนำจในกำร ปกครองได้เต็มที่เพื่อรักษำควำมชอบธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม แต่ก็ยังอยู่ในกำรควบคุม ดูแลของประชำชนผู้เป็นเจ้ำของอ ำนำจเดิมเพรำะถ้ำกษัตริย์ประพฤติอธรรม หรือไม่มี คุณสมบัติพอก็จะถูกถอดถอนลงและหำผู้ที่เหมำะสมกว่ำเป็นแทน กำรใช้อ ำนำจในทำง พระพุทธศำสนำต้องมีธรรมก ำกับ เพรำะควำมคิดทำงพระพุทธศำสนำยกย่องกษัตริย์ คุณธรรม เป็นธรรมรำชำหรือกษัตริย์ผู้เอำชนะด้วยมำกกว่ำกษัตริย์ผู้ทรงปรำบโลกด้วย ก ำลัง หรือกล่ำวอีกนัยหนึ่งว่ำ กำรปกครองของกษัตริย์ในพระพุทธศำสนำมีอยู่อย่ำงเดียว คือ อ ำนำจธรรม จะเห็นได้ว่ำพุทธธรรมที่ปรำกฏในค ำสอนส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับผู้น ำและ สมำชิกในสังคมนั้น ได้เน้นถึงตัวผู้น ำ หรือผู้ใช้อ ำนำจในเชิงระบอบ แต่พุ่งเป้ำไปที่ตัวผู้ใช้ อ ำนำจนั้น ประกอบกับกำรใช้อ ำนำจไปตำมวัตถุประสงค์ หรือจุดหมำยรวมกันของมวล สมำชิกจึงเป็นกำรอธิบำยของคุณธรรม และกำรใช้อ ำนำจโดยธรรมลักษณะวิธีกำรใช้ อ ำนำจของผู้น ำที่มีควำมเป็นใหญ่ตำมหลักพุทธธรรม ได้แสดงออก เป็น ๓ ลักษณะของ กำรใช้อ ำนำจ ดังต่อไปนี้ ๔ มิลินทปัญหำ, พระไตรปิฎก พระสุตตันปิฎกสังยุตตนิกำย มหำวรรค เล่มที่ ๕ ภำคที่ ๒, มหำมกุฎรำชวิทยำลัย, ๒๕๕๑, หน้ำ ๒๐-๒๑.


๘ ๑. อัตตำธิปไตย (Supremacy of Self) หมำยถึง กำรถือตนเองเป็นใหญ่ คือ ถือ ตนเองเป็นศูนย์กลำงของกำรตัดสินใจ เขำเชื่อมั่นตนเองสูงมำก คิดว่ำตัวเองฉลำดกว่ำใคร จึงไม่รับฟังควำมคิดเห็นใคร เขำไม่อดทนต่อกำรวิพำกษ์วิจำรณ์ เขำนิยมใช้พระเดช มำกกว่ำพระคุณ เมื่อบริหำรงำนนำน ๆ ไปจะไม่มีคนกล้ำคัดค้ำนหรือทัดทำน ลงท้ำยนัก บริหำรประเภทนี้มักเผด็จกำร วิธีกำรบริหำรแบบนี้ท ำให้ได้งำนแต่เสียคนนั่นคืองำนเสร็จ เร็วทันใจนักบริหำร แต่ไม่ถูกใจคนร่วมงำน เขำผูกใจคนไม่ได้ เขำได้ควำมส ำเร็จของงำน แต่เสียเรื่องกำรครองใจคน ๒. โลกำธิปไตย (Supremacy of the World) หมำยถึง กำรถือคนอื่นเป็นใหญ่ นักบริหำรประเภทนี้ มีวิธีท ำงำนที่ตรงกันข้ำมกับประเภทแรก นั่นคือ นักบริหำร โลกำธิปไตยไม่มีจุดยืนเป็นของตัวเอง เขำขำดควำมเชื่อมั่นในตนเอง ไม่สำมำรถตัดสินใจ อะไร ถ้ำนั่งเป็นประธำนอยู่ในที่ประชุมเขำจะฟังทุกฝ่ำยก็จริง แต่เมื่อฝ่ำยต่ำง ๆ พูด ขัดแย้งกัน เขำจะไม่ตัดสินชี้ขำด แต่เปิดโอกำสให้ทุกฝ่ำยทุ่มเถียงทะเลำะกันเอง ใคร เสนอควำมคิดเห็นอะไรมำเขำเห็นคล้อยตำมด้วย จนไม่ยอมตัดสินใจเด็ดขำดลงไปว่ำฝ่ำย ไหนถูกหรือผิดในที่สุดลูกน้องต้องวิ่งเต้นเข้ำหำนักบริหำรประเภทนี้อยู่เรื่อยไป ผลลงเอย ด้วยลูกน้องตีกันเอง เพรำะนักบริหำรไม่ยอมวินิจฉัยชี้ขำดว่ำจะท ำตำมข้อเสนอของ ใคร อนึ่ง นักบริหำรประเภทนี้ได้คน แต่เสียงำนนั่นคือทุกคนเป็นคนของเขำ เพรำะ เขำเป็นคนอ่อนไม่เคยต ำหนิใครลูกน้องจะท ำงำนหรือทิ้งงำนก็ได้ เขำไม่กล้ำลงโทษ เขำ สุภำพกับทุกคน แต่องค์กรยังวุ่นวำย ไร้ระเบียบและไม่มีผลงำน ๓. ธรรมำธิปไตย (Supremacy of the Dharma) หมำยถึง กำรถือธรรมหรือ หลักกำรเป็นส ำคัญ นักบริหำรประเภทนี้ถือหลักกำร ควำมจริง ควำมถูกต้อง ควำมดีงำม เหตุผลเป็นใหญ่กระท ำกำรด้วยปรำรภสิงที่ได้ศึกษำตรวจสอบตำมข้อเท็จจริง และควำม คิดเห็นที่รับฟังอย่ำงกว้ำงขวำงแจ้งชัดและพิจำรณำอย่ำงดีที่สุด เต็มขีดแห่งสติปัญญำจะ มองเห็นได้ด้วยควำมบริสุทธิ์ใจว่ำ เป็นไปโดยชอบธรรม และเพื่อควำมดีงำม เป็นปริมำณ อย่ำงสำมัญ ได้แก่ ท ำกำรด้วยควำมเคำรพหลักกำร กฎ ระเบียบ กติกำ๕ วิธีกำรใช้อ ำนำจของผู้น ำ ไม่ว่ำจะด ำรงอยู่ต ำแหน่งใดถือเป็นผู้ที่มีฐำนะสูงกว่ำ สมำชิกในแง่ของอ ำนำจ และกำรใช้อ ำนำจคือ คุณธรรมและควำมชอบธรรมที่มีรำกฐำน มำจำกควำมศรัทธำของสมำชิกต่อตัวผู้น ำ คือคุณธรรมของควำมเป็นผู้น ำ หรือภำวะที่ ๕ พระธรรมโกศำจำรย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต), โลกทัศน์ชาวพุทธ, กรุงเทพมหำนคร: โรงพิมพ์ มหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย, ๒๕๕๘, หน้ำ ๙-๑๐.


๙ แสดงถึงควำมเป็นผู้น ำที่ดีที่พึงประสงค์ ขณะเดียวกัน สมำชิกก็จะต้องได้รับประโยชน์ตำม จุดหมำยที่ได้ตกลงกันไว้อันเป็นควำมผำสุกของชีวิต ฉะนั้น ลักษณะวิธีกำรใช้อ ำนำจที่ ถูกต้องชอบธรรม จึงขึ้นอยู่กับเกณฑ์แห่งธรรมทั้งผู้น ำและมวลสมำชิก ที่ต้องประสำนให้ สอดคล้องสมดุลกันในทุก ๆ บริบทของสังคมชุมชนผู้ที่จะเป็นผู้น ำสังคมที่ดี ต้องเข้ำใจใน กฎเกณฑ์หรือหลักอันเป็นธรรมชำติของสิ่งเหล่ำนั้น เริ่มต้นด้วยกำรศึกษำตัวเองก่อนว่ำมี จุดอ่อน จุดแข็ง ข้อดีและข้อเสียอย่ำงไร เช่น กำรที่เป็นผู้น ำแบบอัตตำธิปไตย (Autocratic Leaders) ในแง่ที่ถือตัวเองเป็นใหญ่ มีควำมเชื่อมั่นยึดมั่นในตัวเองมำกไม่ยอมรับฟังควำม คิดเห็นจำกใคร ผลลัพธ์ที่ออกมำคือกำรท ำงำนล้มเหลวหรือ ไม่ได้รับควำมร่วมมือจำก ผู้ใต้บังคับบัญชำอำจจะท ำงำนได้บ้ำงแต่ก็ไม่ดีเท่ำที่ควร ก็จะต้องวิเครำะห์หรือพิจำรณำที่ ตัวเองเป็นปัจจัยภำยในก่อนมิใช่จะคอยมุ่งที่จะจับผิดผู้อื่นโดยมิได้พิจำรณำว่ำตัวเองตั้งมั่น สิ่งที่ควรแล้วเพียงใด ในกรณีนี้เมื่อเข้ำใจตัวเองแล้วว่ำเป็นผู้น ำแบบอัตตำธิปไตยอุปทำน แล้ว ก็คือควำมยึดมั่นถือตัวตนเองอย่ำงสูง (The Ego belief) มำกเกินไปใจแคบไม่ ยอมรับฟังควำมคิดเห็นจำกผู้อื่น จนขำดลักษณะควำมเป็นผู้น ำที่ดีในแง่ที่จะต้องมีจิตใจ กว้ำง ไม่ปฏิเสธที่จะรับฟังควำมคิดใหม่ ๆ (Open minded) เมื่อผู้น ำเข้ำใจดังนี้แล้ว จะเป็นวิธีกำรใช้อ ำนำจของผู้น ำที่พึงประสงค์ของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชำหรือมวลสมำชิกใน สังคม๖ ๑.๕ ผู้น าการศึกษายุคใหม่ตามแนวพุทธ แนวคิดเกี่ยวกับลักษณะกำรท ำงำนของภำวะผู้น ำยุคใหม่ตำมหลักพุทธธรรมมี วิธีกำรท ำงำนของผู้น ำแบบต่ำง ๆ มีควำมแตกต่ำงกันไม่ว่ำผู้น ำนั้นจะปฏิบัติงำนหรือ แสดงพฤติกรรมออกมำ โดยอำศัยหลักของกำรท ำงำนแบบใดก็ตำม ใช้วิธีกำรที่ยึด สถำบันเป็นหลัก (The Nomothetic Leaders) ยึดตัวบุคคลเป็นหลัก (The Ideograph Leaders) ผู้น ำแบบอำศัยแรงจูงใจ (The Persuasive Leaders) และผู้น ำที่อำศัยกำร ประสำนประโยชน์ วิธีกำรท ำงำนย่อมยังผลให้เกิดงำนและกิจกรรมต่ำง ๆ วิธีกำรท ำงำน ของผู้น ำแบบยึดสถำบัน จ ำเป็นต้องมีกฎระเบียบต่ำง ๆ เพื่อประสิทธิภำพของกำรท ำงำน ของหน่วยงำนหรือสังคม ต่ำงจำกผู้น ำแบบยึดตัวบุคคลจ ำต้องอำศัยควำมสำมำรถ ๖ พระครูสิริจันทนิวิฐ (บุญจันทร์ เขมกำโม), ภาวะผู้น าเชิงพุทธ, กรุงเทพมหำนคร: นิติธรรม กำรพิมพ์, ๒๕๕๘, หน้ำ ๑๒.


๑๐ ลักษณะพิเศษเฉพำะด้ำนบุคคล ผู้น ำแบบประสำนประโยชน์ มุ่งที่ประสิทธิภำพของกำร ท ำงำนโดยกำรปรับองค์กรในหน่วยงำนให้เกิดประสิทธิภำพสูงสุด วิธีกำรท ำงำนของผู้น ำตำมหลักธรรมได้แสดงออกมำหลำยรูปแบบ ไม่ตำยตัว แต่ ได้อำศัยหลักส ำคัญเสมือนเป็นเป้ำหมำยโดยรวม คือ ธรรม ได้แก่คุณธรรมของผู้น ำ และ คุณธรรมของมวลสมำชิก มุ่งไปสู่ควำมเป็นผู้มีธรรม ดังหลักส ำคัญในกำรท ำงำนของผู้น ำ ๖ ประกำร ได้แก่ ๑. ควำมอดทน (ขันติ) ๒. ควำมตื่นตัว (ชำคริยะ) ๓. ควำมขยันหมั่นเพียร (อุฏฐำนะ) ๔. อัธยำศัย เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ (สังวิภำค) ๕. จิตใจเอ็นดู (ทยำ) ๖. เอำใจใส่ตรวจตรำ (อิกขนำ) อำจกล่ำวได้ว่ำ เป็นวิธีกำรท ำงำนตำมเงื่อนไข หรือลักษณะงำน ที่มุ่งประโยชน์ ส่วนรวมเป็นส ำคัญมิตำยตัวอยู่กับโครงสร้ำงของสังคม ตำมแนวคิดของ Hersey และ Boa chard อธิบำยลักษณะของผู้น ำเชิงโครงสร้ำง ในลักษณะที่นักสังคมวิทยำอย่ำง Murray G.Rross และ Charles Hendry ท่ำนได้กรุณำอธิบำยถึงคุณลักษณะของควำม เป็นผู้มีภำวะผู้น ำว่ำ จะต้องขึ้นอยู่กับสถำนกำรณ์(Situations)๗ แนวคิดวิธีการใช้อ านาจของนักรัฐศาสตร์ตามหลักพุทธธรรม ๑. หลักอัตตำธิปไตย หมำยถึง ผู้ที่ปรำรภควำมเดือดร้อนที่ตนเองได้รับเมื่อครั้ง ยังอยู่ในฐำนะประชำชน เมื่อได้โอกำสมำท ำงำนกำรเมืองรับใช้ประชำชน ก็จะใช้อ ำนำจ กำรเมืองที่ตนเองได้รับกำรบ ำบัดทุกข์บ ำรุงสุขให้รำษฎร เนื่องจำกก่อนมำเป็นนักกำรเมือง (Politicians) เป็นผู้ที่ค้นพบสัจธรรมควำมจริงแท้ มีลักษณะกล่ำวคือ ๑.๑. เห็นทุกขเวทนำที่เกิดจำก ควำมเกิด (ชำติ) ควำมแก่ (ชรำ) ควำมตำย (มรณะ) ๑.๒ เห็นทุกขเวทนำที่เกิดจำกกำรดิ้นรนแสวงหำทรัพย์ แม้จะถูกควำม ทุกขเวทนำทั้งสองเบียดเบียนอยู่ ก็สำมำรถด ำรงตนท ำมำหำกินด้วยควำมซื่อสัตย์ สุจริต ได้ แต่กลับประสบทุกข์ ๑.๓. กำรรีดนำทำเร้นจำกผู้บริหำรบ้ำนเมืองโดยมิชอบ ๗ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, กรุงเทพมหำนคร: โรงพิมพ์มหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย, ๒๕๕๑. หน้ำ ๒๐.


๑๑ ก็เพรำะทุกขเวทนำทั้ง ๓ นี้เอง ที ่บีบคั้นให้เข้ำมำมีส่วนร่วมในกำรบริหำร บ้ำนเมือง ที่มำเล่นกำรเมืองจึงมิได้หวังเพื่อมำกอบโกย คดโกงใครแต่ตั้งใจมำท ำงำน กำรเมืองเพื่อท ำให้ประชำชนและอกุศล ท ำแต่กุศลกรรมต ำแหน่งทำงกำรเมืองที่ได้มำนี้ จะน ำมำเป็นอุปกรณ์ในกำรสร้ำงบุญสร้ำงกุศลคุณงำมควำมดี เพื่อให้บังเกิดควำมสงบสุข ร่มเย็นแก่ประชำรำษฎรเมื่อได้แนวคิดและวิธีกำรใช้อ ำนำจทำงกำรเมือง จึงควรใช้หลัก ดังนี้ มีควำมเพียร ท ำงำนให้ประสบผลส ำเร็จโดยไม่ย่อท้อหวั่นเกรงต่ออุปสรรคขวำก หนำมมุ่งมั่นแน่วแน่แก้ไขปัญหำรำษฎร มีสติแน่วแน่ แก้ไขงำนที่ได้รับมอบหมำยอย่ำงครบถ้วน รอบคอบไม่แสวงหำ ผลประโยชน์ไม่ลืมเลือนตน ไม่บ้ำยศ ไม่บ้ำอ ำนำจ ไม่มีควำมล ำเอียง ไม่ปล่อยปละละเลย งำนที่รับผิดชอบทุ่มเทก ำลังกำย ก ำลังใจ ทุกหยดทุกหยำดเพื่อประชำชน เพรำะตระหนัก รู้ว่ำประชำชนฝำกควำมหวัง เหมือนครั้งก่อนๆ ที่ตนเคยฝำกควำมหวังไว้กับนักกำรเมือง มีจิตตั้งมั่นเป็นสมำธิไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรมทั้ง ๘ คือ ลำภ สักกำระ ยศ สรรเสริญ สุข ควำมเสื่อมลำภ เสื่อมยศ นินทำ และทุกข์ ๒. หลักโลกำธิปไตย นักรัฐศำสตร์ที่ถือโลกเป็นใหญ่ จึงเป็นผู้ที่ค ำนึงถึงหลัก ดังต่อไปนี้ ควำมลับไม่มีในโลก โกหกคนอื่นได้แต่โกหกตนเองไม่ได้ อย่ำดูถูกตนเอง บุคคลที่ มีศักยภำพในกำรท ำควำมดี แต่ไม่ท ำ ซ้ ำกลับไปท ำควำมชั่ว ได้ชื่อว่ำเป็นผู้ดูหมิ่นตนเอง กำรปกปิดควำมชั่วที่ตนเองท ำไว้ ทวยเทพเทวดำพรหมย่อมรู้เห็น มนุษย์ผู้มีปัญญำก็รู้เห็น รู้เท่ำทัน จึงไม่ควรคิดว่ำประชำชนไม่รู้ ร้ำยที่สุดคนที่มีส่วนร่วมท ำควำมชั่วก็รู้ ถ้ำวันใดเขำ เปลี่ยนใจพลิกลิ้นเปิดเผยควำมจริงขึ้นมำควำมชั่วก็ย่อมปรำกฏต่อสำธำรณะชนโดย กฎเกณฑ์ตำมหลักสมมติสัจวำจำ โลกำธิปไตยนี้ เป็นหลักธรรมเตือนสติให้นักรัฐศำสตร์ทั้งหลำยใช้ปัญญำวิเครำะห์ ปัญหำ คิดอะไรก็ให้รอบคอบด้วยควำมสุขุมเยือกเย็นไม่ประมำทในควำมคิดของผู้อื่นแต่ ห้ำมใช้ปัญญำควำมรอบรู้โดยขำดสติ ๓. หลักธรรมำธิปไตย นักรัฐศำสตร์ ที่ยึดธรรมำธิปไตยเป็นผู้ที่เยือนตนเองว่ำท ำ อะไรจะยึดถือกฎเกณฑ์ มิใช่กฎเรำเรำโดยกำรเลี่ยงบำลีเอำสีข้ำงเข้ำถู ที่ส ำคัญระลึกเสมอ ว่ำ เรำอำจหลีกเลี่ยงกฎหมำย กฎเกณฑ์กติกำของสังคมได้แต่ไม่อำจหลีกเลี่ยงกฎแห่ง กรรม ซึ่งเป็นกฎเหล็กของวัฏฏสงสำรได้ กฎหมำย กฎของสังคมอำจปรับเปลี่ยนได้ แต่กฎ แห่งกรรมไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไม่ว่ำจะรู้หรือไม่รู้ก็ตำม เมื่อละเมิดกฎแห่งกรรมก็ต้องได้รับ วิบำกผลของกรรม เพรำะฉะนั้นจะท ำอะไร ถ้ำนึกถึงกรรมดีกรรมชั่วก็จะเพียรละกรรมที่มี


๑๒ โทษ จึงควรรักษำตนให้บริสุทธิ์ บ ำเพ็ญกุศลกรรม เมื่อมำท ำงำนกำรเมืองจึงควรยึดหลัก กฎแห่งกรรม มิใช่เอำพวกมำกลำกไป แต่ให้เอำควำมดีและศีลธรรมน ำประเทศไปยังรัฐ ธรรมำภิบำล (Good Governance) จึงจะประสบควำมเจริญรุ่งเรืองนักรัฐศำสตร์ที่ยึด ธรรมเป็นใหญ่ จึงเป็นผู้ประพฤติตำมกฎระเบียบประเพณี โดยเฉพำะกฎแห่งกรรม ต้อง ยึดถือเป็นหลักในกำรด ำเนินชีวิตเป็นส ำคัญ๘ ควำมหมำยในธรรมะข้อนี้หมำยถึง ให้ผู้น ำปรำรภตัวเองว่ำในเมื่อได้ตั้งใจที่จะ บ ำบัดทุกข์บ ำรุงสุข ให้ประชำชนเกิดควำมร่มเย็นเป็นสุขก็ต้องใช้หลักทศพิธรำชธรรม ซึ่ง เป็นธรรมะส ำหรับผู้ที่จะเป็นผู้น ำทุกคน เพรำะกำรเป็นผู้น ำก็คือกำรมีโอกำสได้สร้ำงควำม ดีเหนือกว่ำคนอื่น ในกำรสะสมบำรมีให้สูงยิ่งขึ้นไป เมื่อมีโอกำสจะได้ท ำบุญถวำยมหำ กุศลแล้วท ำไมจะเบี่ยงเบนไปจำกเป้ำหมำยอันสูงยิ่งกว่ำคนธรรมดำ ธรรมข้อนี้ เป็นข้อคิดที่บรรดำผู้น ำทั้งหลำย จะได้ยึดถือเป็นต้นแบบแห่งกำรใช้ หลักธรรมของสมเด็จพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำเป็นหลักในกำรด ำรงชีวิต ตั้งเป้ำหมำยในชีวิต ให้สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป เป็นยุทธศำสตร์ ในกำรบริหำรและปฏิบัติตนเจริญรอยตำมพระบรม ศำสดำ ควำมหมำยของพระสูตรนี้ มีควำมลึกซึ้งที่ทรงสอนให้มนุษย์ใช้สติน ำหน้ำ ใช้ ปัญญำเป็นตัวปฏิบัติ และใช้ธรรมะเป็นหลักยึดไม่ให้ซวนเซหรือ ล้มลง ตรงกับค ำพูดที่ เรียกว่ำ “สติปัญญำ” ซึ่งเท่ำกับเป็นกำรเตือนมนุษย์ให้มีสติก่อนที่จะใช้ปัญญำเพรำะ เหตุร้ำยและควำมผิดพลำดในโลกนี้ที่เกิดขึ้นมักจะเกิดจำกกำรใช้ปัญญำเป็นตัวน ำหน้ำใช้ ควำมเก่งควำมกล้ำควำมสำมำรถโดยไม่ได้ใช้สติไตร่ตรองก่อน ไม่สงบในโลกนี้เกิดขึ้นก็เกิดจำกเหตุนี้แหละ กำรใช้ปัญญำควำมรู้รอบในทำงไม่ ชอบเพื่อน ำหน้ำในกำรแข่งขันในกำรท ำกำรค้ำ ในกำรรุกรำน ครอบครองดินแดน ในกำร ติดยึดควำมเจริญทำงวัตถุ กำรแข่งขันทำงวัตถุ กำรใช้ดัชนีตัวเลขเป็นตัวชี้วัดควำมส ำเร็จ ทำงกำรเมือง ควำมส ำเร็จทำงเศรษฐกิจ ควำมส ำเร็จทำงธุรกิจ สิ่งที่เป็นควำมไม่สงบใน โลกนี้เกิดขึ้นก็เกิดจำกเหตุนี้แหละ สิ่งที่มนุษย์ทั้งโลกโดยเฉพำะผู้ยิ่งใหญ่ขำดก็คือ สติซึ่ง เป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งใจ และที่ส ำคัญคือกำรขำดธรรมะของพุทธองค์เป็นหลักเป็นแก่นใน กำรตัดสินใจ เป็นเกำะยึดของจิตใจไม่ให้ไขว้เขวตกต่ ำ ผู้น ำของประเทศของโลกที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรไปด้วยควำมสำมำรถปัญญำเฉียบ แหลมจะมีประโยชน์อะไรถ้ำขำดสติหรือเสียสติ และไม่ยึดหลักธรรมในกำรปกครอง ๘ พระภำวนำวิริยคุณ (เสริมชัย ชยมงฺคโล), รัฐศาสตร์เชิงพุทธ, กรุงเทพมหำนคร: ดอกหญ้ำ กรุ๊ป, ๒๕๕๙, หน้ำ ๑๙-๒๐.


๑๓ บริหำรประเทศควำมส ำเร็จที่ได้มำไม่ว่ำยุคใดสมัยใด ถ้ำขำดองค์ประกอบดังกล่ำวนี้จะ เป็นควำมส ำเร็จที่ไม่ยั่งยืนย่อมสำมำรถเสื่อมสลำยได้ ยิ่งเจริญสูงส่งทำงด้ำนวัตถุขึ้นเท่ำใด ก็ยิ่งมีโอกำสเสื่อมสลำยเร็วขึ้นเท่ำนั้น หำกสังคมมนุษย์ไม่ด ำรงอยู่ในหลักพุทธธรรม ก็ไม่ สำมำรถแก้ปัญหำควำมขัดแย้งของสังคมมนุษย์ได้ เพรำะหลักพุทธธรรมนั้นจะด ำเนินกำร แก้ปัญหำควำมขัดแย้งในสังคมมนุษย์ ด้วยเหตุผลและสติปัญญำอย่ำงยั่งยืน๙ ๑.๖ ความสัมพันธ์ของภาวะผู้น าการศึกษาและวิชาชีวิตในยุคใหม่ กำรก้ำวสู่กำรเป็นผู้น ำที่ดี อย ่ำงที่ทุกองค์กรต้องกำร ไม่ว่ำจะเป็นประเทศ กองทัพ วงออเครสตร้ำ หรือแม้แต่หน่วยสังคมเล็ก ๆ อย่ำงครอบครัว ก็ล้วนแล้วแต่ ต้องกำร “ผู้น ำ (Leader)” ที่ดีที่จะพำทุกคนไปสู่เป้ำหมำยที่ตั้งไว้ องค์กรก็เช่นกัน กำรมี ผู้น ำที่ดีไม่ว่ำจะเป็นระดับสูงหรือแม้แต่ระดับหน่วยย่อยอย่ำงแผนกก็ย่อมพำองค์กรให้ ประสบควำมส ำเร็จได้ดีขึ้นด้วย นับจำกอดีตมำจนถึงปัจจุบันบนโลกใบนี้มีผู้น ำเกิดขึ้น มำกมำย แน่นอนว่ำมันมีทั้งดีและแย่ หลำยคนถูกสรรเสริญเยินยอในควำมสำมำรถ หลำย คนถูกประณำมในควำมไร้ประสิทธิภำพ หลำยคนกลำยเป็นตัวอย่ำงผู้น ำที่ดี ขณะที่หลำย คนกลำยเป็นผู้น ำที่โลกไม่จดจ ำ๑๐ ใช่แล้วล่ะ ควำมเป็นผู้น ำนั้นมันคือ พฤติกรรม กำรกระท ำ รวมไปถึงวิสัยทัศน์ ไม่ใช่เรื่องของต ำแหน่งหน้ำที่แต่อย่ำงใด นั่นเป็นหนึ่งในโคตรค ำพูดดี ๆ เกี่ยวกับกำรเป็น ผู้น ำที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ แต่ส ำหรับโคตรนี้มันแฝงไปด้วยพื้นฐำนของควำมเป็นจริงไม่ว่ำ จะใช้กับวงกำรไหนก็ตำม จริงอยู่ว่ำผู้น ำหลำยต่อหลำยคนได้รับกำรแต่งตั้งให้มีต ำแหน่งเพื่อที่จะได้แสดง ศักยภำพของตน แต่ก็ใช่ว่ำผู้ที่ได้รับต ำแหน่งในกำรเป็นผู้น ำจะมีควำมเป็นผู้น ำที่ดีเสมอไป ในทำงตรงกันข้ำมผู้น ำบำงคนอำจกลำยมำเป็นผู้น ำได้เพรำะพฤติกรรมและกำรกระท ำ ของตนที่ท ำให้ผู้ตำมเกิดควำมเชื่อถือและไว้ใจ และบำงครั้งเขำเหล่ำนั้นก็ไม่ได้มีต ำแหน่ง ใด ๆ เลย กำรท ำงำนองค์กรก็เช่นกัน ภำวะผู้น ำนั้นอำจเกิดขึ้นได้ทั้งสองรูปแบบพร้อม ๆ กัน แต่สิ่งส ำคัญอำจอยู่ที่ว่ำผู้น ำนั้นมีศักยภำพในกำรท ำงำนให้ส ำเร็จรวมถึงสำมำรถครอง ใจให้ผู้ตำมหรือลูกน้องยอมรับนับถือได้มำกเพียงไร ๙ พระพรหมคุณำภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย, พิมพ์ครั้งที่ ๓๙, กรุงเทพมหำนคร: โรงพิมพ์มหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย, ๒๕๕๗, หน้ำ ๔.๑๐Bass. B.M. and Avolio B.J. Transformational Leadership Development, Californian: Consulting Psychologists Press, 2020, P 31.


๑๔ บ่อยครั้งที่ควำมล้มเหลวเกิดขึ้นจำกกำรขำดผู้น ำที่มีประสิทธิภำพ แล้วบ่อยครั้งที่ กำรก้ำวขึ้นเป็นผู้น ำก็ไม่ได้มำจำกควำมเหมำะสมเสมอไป กำรขึ้นมำเป็นผู้น ำด้วยภำวะที่ ไม่เหมำะไม่ควร หรือขำดคุณสมบัติในกำรเป็นผู้น ำที่ดีนั้นย่อมน ำมำซึ่งปัญหำนำนับประกำร ท ำให้กำรท ำงำนไม่มีประสิทธิภำพได้ในที่สุด หรือแม้แต่กำรน ำพำเดินไปผิดทำง ซึ่ง แน่นอนว่ำมันจะน ำมำซึ่งผลลัพธ์ที่แย่ตำมมำด้วย ดังนั้นกำรเลือกผู้น ำควรพิจำรณำให้ดี และไม่ควรเลือกผู้น ำจำกภำวะดังต่อไปนี้ ๑) ภาวะความอาวุโส องค์กรในยุคก่อนมักให้ควำมส ำคัญกับควำมอำวุโสเป็น หลัก มักมีควำมเชื่อว่ำยิ่งอำยุมำก ยิ่งแก่ประสบกำรณ์ ยิ่งเหมำะแก่ต ำแหน่งที่สูงขึ้น หรือ เหมำะที่จะเป็นผู้น ำ หลำยองค์กรก็เลยขยับต ำแหน่งจำกควำมอำวุโสและอำยุกำรท ำงำน แต่ภำวะควำมเป็นผู้น ำที่ดีนั้นก็ไม่ได้มำจำกเรื่องอำยุหรือประสบกำรณ์เสมอไป แต่อีกมุม หนึ่งก็ต้องยอมรับเช่นกันว่ำอำยุและประสบกำรณ์ก็มีส่วนท ำให้คนก้ำวขึ้นมำเป็นผู้น ำได้ ดีกว่ำเช่นกัน ทั้งนี้ต้องดูควำมเหมำะสมในกำรเป็นผู้น ำมำกกว่ำพิจำรณำตำมควำมอำวุโส ๒) ภาวะอ านาจ จริงอยู่ที่ผู้น ำนั้นควรสำมำรถปกครองผู้อื่นได้ แต่กำรขึ้นมำเป็น ผู้น ำโดยใช้อ ำนำจ บังคับ กดขี่ ก็อำจไม่ใช่ผู้น ำที่ดีเสมอไป กำรขึ้นมำเป็นผู้น ำได้เพรำะ อ ำนำจแต่ไม่ได้ขึ้นมำจำกควำมสำมำรถนั้นอำจน ำไปสู่สถำนกำรณ์แย่ๆ ก็เป็นได้ หรือผู้น ำ ที่ได้มำด้วยกำรบีบบังคับให้คนอื่นยอมรับก็อำจเป็นผู้น ำที่นักเลงมำกกว่ำกำรเป็นผู้น ำที่มี ประสิทธิภำพในกำรท ำงำนให้ส ำเร็จ ๓) ภาวะความรับผิดชอบ ในสังคมเรำมีคนที่มีนิสัยขำดควำมรับผิดชอบอยู่ใน สังคมค่อนข้ำงเยอะ บำงครั้งกำรเลือกผู้น ำจึงมักเกิดควำมเกี่ยงงอนกัน เพรำะมองว่ำจะมี ภำระให้รับผิดชอบตำมมำอีกมำกมำย กำรเลือกผู้น ำนั้นก็ไม่ใช่จะไปโยนควำมรับผิดชอบ ให้ใครโดยที่ไม่มีใครอยำกรับ เพรำะหำกมำเป็นผู้น ำโดยควำมไม่ชอบตั้งแต่ต้นแล้ว ก็อำจ ท ำให้กำรปฏิบัติหน้ำที่ย่ ำแย่ได้ ๔) ภาวะทุจริต หลำยคนมีควำมกระหำยอยำกจะเป็นผู้น ำมำก เพรำะผลพลอย ได้ที่ตำมมำนั้นมีมำกมำย อย่ำงน้อยก็ช่วยส่งเสริมประวัติของตนเองที่ดี หลำยคนจึงมักใช้ เงินซื้อต ำแหน่ง ใช้กำรคอรัปชั่น ใช้กำรทุจริตต่ำง ๆ นำนำ เพื่อที่จะให้ได้มำซึ่งต ำแหน่ง หรือกำรเป็นผู้น ำ หำกเรำได้ผู้น ำที่ไม่ซื่อสัตย์ แน่นอนว่ำเขำอำจใช้ต ำแหน่งหรือควำมเป็น ผู้น ำไปในทำงที่ผิดได้ เกิดผลเสียกับองค์กรได้ ๕) ภาวะเสี่ยงดวง ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ตลก แต่ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงเสมอๆ เมื่อเลือกผู้น ำไม่ลงตัว ก็สรุปจบโดยกำรเสี่ยงดวงรูปแบบต่ำง ๆ อย่ำงเช่น กำรจับฉลำก, จับไม้สั้นไม้ยำว, หรือแม้กระทั่งเป่ำยิงฉุบ กำรเสี่ยงดวงนี้ไม่ใช่เรื่องดีหรือเหมำะสมเสมอ


๑๕ ไป หำกเป็นงำนที่ต้องกำรผู้น ำที่เก่งและดี กำรสุ่มเลือกโดยวิธีนี้ท ำให้เรำไม่รู้เลยว่ำจะได้ คนแบบไหนมำเป็นผู้น ำ ๖) ภาวการณ์เป็นคนตามใจคนอื่น ลูกน้องหลำยคนมีนิสัยขี้เกียจ หรือเจ้ำนำย บำงคนก็ไม่อยำกได้ลูกน้องที่ขยันจนเพิ่มงำนให้ตัวเอง ก็อำจเลือกผู้น ำที่มีควำมเป็นผู้ตำม ตำมใจคนอื่นไปเสียหมด ใครว่ำอะไรก็ว่ำตำมกันไป ยอมเพื่อที่จะไม่ให้เกิดควำมขัดแย้ง ก็อำจท ำให้เป็นผู้น ำที่ไม่เหมำะสม ไม่มีภำวะผู้น ำที่ดี หรือบำงครั้งผู้น ำที่ตำมใจลูกน้องไป เสียทุกเรื่อง หลำยคนอยำกได้ผู้น ำแบบนี้ เพรำะจะได้ตำมใจในสิ่งที่ตนอยำกท ำ แต่ผู้น ำที่ ไม่มีหลักยึดเป็นแกนของตัวเอง หรือท ำตำมแต่ใจผู้อื่นตลอดเวลำ ก็อำจท ำให้เกิดปัญหำ ในกำรบริหำรได้ ๗) ภาวะเสียสละ นิสัยคนไทยมักขำดควำมกล้ำ หรือไม่อยำกท ำตัวเด่นเดี๋ยวจะ เป็นภัย บ่อยครั้งที่มีกำรเลือกผู้น ำกลุ่มจำกกำรเสนอตัวจึงมักไม่มีใครกล้ำเสนอตนเอง ใน ขณะเดียวกันก็มีหลำยครั้งในสถำนกำรณ์นี้ที่มีคนเสนอตนเองเสียสละในกำรเป็นผู้น ำ กำร เสียสละนี้ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป หำกผู้เสียสละไม่มีควำมสำมำรถจริง ๆ ก็ท ำให้กำรเป็นผู้น ำ ไม่เป็นผล ผู้ที่เสียสละแล้วไม่มีภำวะผู้น ำที่จะน ำทีมได้ ก็ยิ่งท ำให้สถำนกำรณ์โดยรวมเกิด ควำมย่ ำแย่ได้เช่นกัน ๘) ภาวะท างานเก่ง บำงครั้งคนที่เก่งก็ไม่ใช่คนที่เหมำะจะเป็นผู้น ำเสมอไป ต้องท ำควำมเข้ำใจว่ำผู้น ำนั้นไม่ได้เอำควำมสำมำรถในทักษะมำเป็นหลัก แต่ต้องเอำ ควำมสำมำรถในกำรบริหำรจัดกำรคน ควบคุมดูแลลูกน้อง ตลอดจนบริหำรงำนให้เกิด ประสิทธิภำพไปพร้อมกันด้วย กำรที่เลือกจำกคนที่เก่งอย่ำงเดียวแต่ไม่มีภำวะกำรเป็น ผู้น ำเลยก็อำจท ำให้งำนเสียกระบวน เป็นผลเสียแทนผลดีก็ได้ ๙) ภาวะบุคลิกภาพดีแน่นอนว่ำหลำยคนชอบผู้น ำที่มีบุคลิกภำพดี น่ำเชื่อถือ แต่หำกขำดควำมสำมำรถในกำรท ำงำน ก็ท ำให้กำรเป็นผู้น ำนั้นล้มเหลวได้ หรืออำจเป็น แค่ผู้น ำหุ่นเชิดของผู้อื่น กำรเลือกผู้น ำนั้นไม่ควรดูที่บุคลิกลักษณะภำยนอกเพียงอย่ำง เดียว แต่ให้มุ่งไปที่ศักยภำพของกำรเป็นผู้น ำที่แท้จริงมำกกว่ำ เพรำะคนที่มีควำมสำมำรถ จะเป็นผู้น ำที่มีศักยภำพได้ในที่สุด คุณสมบัติของผู้น าที่ดีไม่ใช่ว่ำใครจะขึ้นมำเป็นผู้น ำได้เสมอไป แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ใช่ว่ำทุกคนจะเรียนรู้ตลอดจนพัฒนำตนเองให้เปิดผู้น ำไม่ได้ ทุกโอกำสสำมำรถเกิดขึ้น ได้เสมอ ทุกคุณสมบัติก็สำมำรถที่จะเรียนรู้และน ำมำใช้ได้เช่นกัน แล้วกำรเป็นผู้น ำที่ดีนั้น ก็ควรมีคุณสมบัติเหล่ำนี้ ๑) ต้องมีผู้ตามที่ดีมีคนกล ่ำวเสมอว ่ำกำรที ่จะเป็น “ผู้น ำ” ได้ย ่อมต้องมี “ผู้ตำม” เสมอ เพรำะกำรเป็นผู้น ำไม่ได้อยู่หรือท ำงำนเพียงคนเดียว ผู้น ำที่สร้ำงควำม


๑๖ น่ำเชื่อถือ ท ำให้คนอื่นเคำรพนับถือ หรือยอมเชื่อฟังได้ ก็ย่อมมีสภำวะผู้น ำที่ดี และเมื่อมี ผู้ตำมที่ดี มีควำมสำมำรถ ก็จะสะท้อนได้ว่ำเป็นผู้น ำที่ดี มีควำมสำมำรถ ได้เช่นกัน ๒) สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นได้ผู้น ำต้องสำมำรถสร้ำงแรงบันดำลใจ ตลอดจน กระตุ้นให้คนอื่นเกิดแรงใจในกำรท ำงำนได้ สำมำรถที่จะผลักดันให้งำนนั้นก้ำวหน้ำได้ดี และท ำให้งำนประสบควำมส ำเร็จได้ง่ำยขึ้นด้วย ผู้น ำที่สำมำรถสร้ำงแรงบันดำลใจที่ดี ให้กับผู้ตำมได้ จะท ำให้ผู้ตำมเกิดควำมเชื่อมั่น ท ำงำนได้อย่ำงไม่กังวล และมีคนอยู่เคียง ข้ำงเขำเสมอ ๓) ต้องเป็นผู้ตามที่ดีกำรเป็นผู้ตำมที่ดีย่อมท ำให้เข้ำใจกำรเป็นบทบำทผู้น ำที่ดี ได้เช่นกัน กำรเป็นผู้ตำมมำก่อนจะท ำให้เข้ำใจฐำนะเบื้องล่ำง เมื่อก้ำวไปสู่ควำมเป็นผู้น ำ ก็จะเข้ำใจผู้ตำมได้มำกขึ้น ตัดสินใจอะไรให้เหมำะสมกับทุกฝ่ำยได้ ขณะเดียวกันกำรเป็น ผู้ตำมที่ดีก็อำจหมำยถึงกำรรับฟังที่ดีด้วย หำกลูกน้องเสนอในสิ่งที่ดีกว่ำ แก้ปัญหำได้ มำกกว่ำ กำรเป็นผู้ตำมที่ดี รับฟังคนอื่น จะท ำให้เรำน ำทำงเลือกที่ดีกว่ำมำปฏิบัติให้เห็น ผลดีได้ แต่หำกเรำไม่ยอมที่จะเป็นผู้ตำม เอำควำมคิดของตนเองเป็นใหญ่ ก็อำจมองไม่ เห็นหนทำงอื่นที่ดีกว่ำ เพรำะปิดกั้นตั้งแต่ต้น ๔) มีเป้าหมายที่ชัดเจน ผู้น ำที่ดีควรมีกำรวำงเป้ำหมำยเป็น และชัดเจนใน เป้ำหมำย ผู้น ำที่มีเป้ำหมำยชัดเจนจะสำมำรถสื่อสำรกับลูกน้องให้มองเห็นเป้ำหมำย เดียวกันได้ และน ำลูกน้องไปสู่เป้ำหมำยได้ดี ประสบควำมส ำเร็จในกำรบรรลุเป้ำหมำย ผู้น ำที่ขำดเป้ำหมำยที่ชัดเจน ก็เหมือนเรือที่แล่นอยู่ในมหำสมุทรอย่ำงไร้จุดหมำยและ ทิศทำง ๕) สร้างให้เกิดความร่วมมือ กำรท ำงำนเป็นทีมนั้นส ำคัญ กำรเป็นผู้น ำที่ดีนั้น ควรสำมำรถสร้ำงให้ทุกคนเกิดควำมร่วมมือกันได้ เมื่อทุกคนร่วมแรง ร่วมใจ ร่วมมือ ก็จะ ท ำให้กำรท ำงำนประสบควำมส ำเร็จได้ หำกผู้น ำที่มีแต่กำรบ้ำอ ำนำจ ไม่มีพลังในกำร สร้ำงควำมร่วมมือ กำรท ำงำนก็จะไปคนละทิศคนละทำง ไม่มีทิศทำงร่วมที่ชัดเจน ควำมส ำเร็จก็เลือนรำงไปได้ ๖) มีวิสัยทัศน์และรักการเรียนรู้สิ่งใหม่ผู้น ำที่ดีนอกจำกจะมีเป้ำหมำยที่ชัดเจน แล้วควรมีวิสัยทัศน์ที่กว้ำงไกล กำรมีวิสัยทัศน์ที่ดีและกว้ำงไกลนั้นจะท ำให้สำมำรถน ำทีม ตลอดจนพำลูกน้องไปในทิศทำงที่ดีและเหมำะสมได้ เห็นอนำคตที่ไกลว่ำ และท ำให้ทีม ก้ำวหน้ำได้ไกลกว่ำ ผู้น ำที่ขำดวิสัยทัศน์ก็อำจท ำให้กำรท ำงำนของทีมย่ ำอยู่กับที่ได้ หรือ กำรท ำงำนไม่เกิดประโยชน์ในระยะยำว หรือแม้แต่มองไม่เห็นหนทำงในกำรพัฒนำ ตลอดจนท ำสิ่งที่ตนรับผิดชอบอยู่ให้ประสบควำมส ำเร็จหรือดีขึ้นได้ กำรเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ก็ท ำให้เรำค้นพบวิธีกำรท ำงำนใหม่ ๆ ค้นพบวิธีกำรแก้ปัญหำใหม่ ๆ ผู้น ำที่รักกำรค้นหำ


๑๗ สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลำ เปิดรับควำมรู้แบบไม่จ ำกัด รักที่จะเรียนรู้อย่ำงสม่ ำเสมอ ก็ย่อมท ำ ให้เกิดกำรพัฒนำตัวเองและรักควำมก้ำวหน้ำอยู่เสมอ ในขณะเดียวกันก็จะช่วยบริกำรงำน ตลอดจนท ำให้ผู้ตำมเปิดโลกใหม่ๆ ได้เสมอเช่นกัน ๗) กล้าเปลี่ยนแปลง หนึ่งในคุณสมบัติที่ดีของผู้น ำก็คือกำรกล้ำเปลี่ยนแปลง ไปสู่สิ่งใหม่ ไม่ยึดติดกับสิ่งเดิม ๆ เปลี่ยนให้ทันยุคทันสมัย เปลี่ยนไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น เมื่อเรำ กลัวกำรเปลี่ยนแปลงเรำก็อำจจะไม่ก้ำวไปข้ำงหน้ำเลย ผู้น ำที่ดีต้องกล้ำที่จะท ำอะไร ใหม่ ๆ กล้ำที่จะทดลอง กล้ำที่จะลองผิดลองถูก แต่ก็กล้ำที่จะรับผิดชอบและช่วยเหลือ เมื่อเกิดควำมผิดพลำดด้วยเช่นกัน ๘) มีความรับผิดชอบ ผู้น ำที่ดีต้องมีควำมรับผิดชอบสูง ทั้งในส่วนของงำนที่ ตนเองต้องท ำ และงำนของลูกน้องที่ตนดูแล เมื่อเกิดควำมผิดพลำดก็ต้องกล้ำที่จะรับผิด ในขณะเดียวกันก็ต้องรีบหำทำงแก้ไขปัญหำที่เกิดขึ้นให้ได้ไวที่สุด กำรเป็นคนมีควำม รับผิดชอบจะท ำให้เรำท ำงำนได้อย่ำงมีวินัยด้วย และท ำให้งำนนั้นรำบรื่น ประสบ ควำมส ำเร็จ ๙) ช่วยเหลือเกื้อกูล ผู้น ำที่ดีต้องมีควำมช่วยเหลือเกื้อกูล รู้จักแบ่งปัน และคอย ช่วยเหลือลูกน้องเวลำเกิดควำมผิดพลำด ไม่ปล่อยให้ผู้ตำมเผชิญควำมผิดพลำดโดยล ำพัง กำรช่วยกันนั้นเป็นคุณสมบัติที่ดีอย่ำงหนึ่งของกำรท ำงำนร่วมกัน และเป็นส่วนส ำคัญที่จะ ท ำให้กำรท ำงำนแบบองค์กรหรือแบบทีมนั้นประสบควำมส ำเร็จได้สูง ๑๐) มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีมนุษยสัมพันธ์เป็นสิ่งส ำคัญมำกในกำรเป็นผู้น ำ สิ่งนี้ เป็นเครื่องมือที่จะสร้ำงควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกันได้ดี หำกหัวหน้ำมีควำมเก่งกำจในทุก ด้ำน แต่ชำติมนุษยสัมพันธ์ ก็ท ำให้ไม่สำมำรถท ำงำนร่วมกับคนอื่นได้ หรือเข้ำใจคนอื่นได้ อำจส่งผลให้เกิดปัญหำในกำรท ำงำนได้ ในขณะเดียวกันหัวหน้ำที่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีจะ สำมำรถเชื่อมทุกคนให้อยู่ร่วมกันได้ดี สร้ำงควำมน่ำเชื่อถือได้ สร้ำงควำมเคำรพนับถือต่อ กันได้ และท ำให้ผู้ตำมยินดีที่จะเป็นลูกน้อง ร่วมกันท ำงำนให้บรรลุเป้ำหมำย ๑๑) รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ผู้น ำที่ไม่เปิดใจ หรือผู้น ำที่เอำตนเองเป็นใหญ่ ไม่รับฟังควำมคิดเห็นของผู้อื่น เห็นแต่ควำมคิดเห็นของตนเป็นหลักเท่ำนั้น ก็อำจท ำให้ เกิดปัญหำในกำรท ำงำนได้ หรือผู้ตำมไม่กล้ำเสนอควำมคิดเห็น และทำงแก้ที่ดีกว่ำออกมำ ได้ ดังนั้นผู้น ำที่ดีควรจะต้องเปิดใจยอมรับควำมคิดเห็นของผู้อื่น รับฟัง และร่วมกันหำทำง แก้ปัญหำให้ดีที่สุด ๑๒) มีความยุติธรรม คุณสมบัติที่ส ำคัญที่สุดของผู้น ำก็คือควรมีควำมเป็นธรรม มีควำมยุติธรรม ไม่โอนเอียงไปฝ่ำยใดฝ่ำยหนึ่ง ให้ควำมส ำคัญกับทุกคนเท่ำเทียมกัน พื้นฐำนในเรื่องควำมยุติธรรมนั้นจะช่วยให้ทุกคนไว้วำงใจ เชื่อถือ และกล้ำท ำในสิ่งที่


๑๘ ถูกต้อง เหมำะสม ในขณะเดียวกันก็ใครที่ท ำผิด ท ำไม่ดี ก็ย่อมต้องได้รับผลตำมเหตุที่ควร เช่นกัน กำรที่ผู้น ำมีควำมยุติธรรมนั้นมีส่วนที่ช่วยท ำให้กำรปกครองตลอดจนกำรท ำงำน ต่อกันง่ำยและรำบรื่นขึ้น ทุกคนให้ควำมเคำรพในกำรท ำงำนตลอดจนเคำรพซึ่งกันและ กันมำกขึ้นด้วย และกำรมีควำมยุติธรรมมีส่วนท ำให้กำรตัดสินใจมีประสิทธิภำพมำกยิ่งขึ้น ด้วย ๑๓) มีภาวะในการตัดสินใจที่ดีหนึ่งในภำระกิจส ำคัญของกำรเป็นผู้น ำก็คือกำร ตัดสินใจ ผู้น ำที่ดีต้องกล้ำตัดสินใจ ยอมรับในกำรตัดสินใจของตน และตัดสินใจได้อย่ำง รวดเร็วบนพื้นฐำนควำมรอบคอบ บำงครั้งกำรตัดสินใจที่ช้ำ หรือตัดสินใจแบบขอไปที ก็อำจท ำให้เกิดปัญหำได้ กลำยเป็นกำรตัดสินใจที่ผิดพลำดได้ กำรตัดสินใจที่เฉียบขำด รวดเร็ว รอบคอบ และแหลมคม นั้นเป็นคุณสมบัติที่ดีที่ผู้น ำควรมีเช่นกัน ๑๔) มีการสื่อสารที่ดีผู้น ำที่ดีต้องสื่อสำรเป็น สื่อสำรให้ถูกกำลเทศะ สื่อสำรให้ เหมำะสมกับแต่ละบุคคลรวมถึงแต่ละระดับ กำรสื่อสำรที่มีประสิทธิภำพ ตลอดจนกำร เข้ำใจวิธีกำรสื่อสำรที่ดี จะท ำให้เกิดกำรเข้ำใจกันได้ดี เข้ำใจสำรที่ต้องกำรจะสื่อ เข้ำใจ วัตถุประสงค์ของกำรสื่อสำร และไม่ท ำให้เกิดปัญหำในกำรสื่อสำร เพรำะบ่อยครั้งปัญหำ ที่เกิดขึ้นกลับไม่ได้มำจำกเรื่องงำนหรือเรื่องคนเป็นหลัก แต่กลับมำจำกกำรสื่อสำรที่ ผิดพลำดนั่นเอง ๑๕) รู้จักควบคุมอารมณ์และมีสติบ่อยครั้งที่อำรมณ์เป็นตัวท ำลำยทุกอย่ำง เมื่อเรำเจอสภำวะที่กดดัน เครียด หรือท ำงำนผิดพลำด เรำมักจะเกิดอำรมณ์ที่ไม่ดี แต่ ผู้น ำที่ดีต้องรู้จักควบคุมอำรมณ์ รู้จักแสดงอำรมณ์ที่เหมำะที่ควร รู้จักบริหำรอำรมณ์ และ ไม่ระบำยอำรมณ์ใส่ลูกน้องหรือผู้ตำมที่จะท ำให้เกิดผลเสีย เมื่อเรำควบคุมอำรมณ์ได้ เรำ ก็จะมีสติในกำรไตร่ตรอง คิดถ้วนถี่ และท ำให้กำรตัดสินใจไม่พลำด หรือไม่ท ำลำยมนุษย สัมพันธ์ต่อกัน๑๑ ๑.๗ สรุป กำรเป็นผู้น ำที่ดีนั้นมีหลำยปัจจัยรวมกัน และภำวะผู้น ำนั้นไม่ได้หมำยถึงควำม อำวุโสหรือกำรมีต ำแหน่งหน้ำที่ แต่หมำยถึงภำวะที่เกิดขึ้นจริงที่มีประโยชน์ต่อกำร บริหำรงำน บริหำรคน น ำพำองค์กรให้ไปสู่ควำมส ำเร็จได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ องค์กรเอง ควรส่งเสริมคนที่มีภำวะในควำมเป็นผู้น ำให้ขึ้นมำเป็นผู้น ำ มำกกว่ำที่จะส่งเสริมจำกควำม ๑๑Ordway Tead, The A of Leadership, New York: McGraw Hill Book Companying, 1956, p.19.


๑๙ อำวุโสหรืออำยุงำนเป็นหลัก หำกเลือกคนที่เหมำะสมจะท ำให้กำรเป็นผู้น ำมีประสิทธิภำพ มำกขึ้นได้ และองค์กรก็จะประสบควำมส ำเร็จได้ง่ำยเช่นกัน เหมือนกับค ำพูดประโยคนี้ที่ เป็นหนึ่งในโคตรดังสำมำรถบ่งบอกภำวะ ควำมเป็นผู้น ำได้อย่ำงดีที่สุด ประเด็นส ำคัญ คือ ผู้น ำที่ดีต้องมีเป้ำหมำยที่ชัดเจน มีวิสัยทัศน์ที่กว้ำงไกล น ำพำผู้ตำมให้ก้ำวไปข้ำงหน้ำ และสร้ำงควำมร่วมมือให้ทุกคน สำมำรถบรรลุเป้ำหมำยสู่ควำมส ำเร็จได้ ภำวะผู้น ำไม่ได้เกิดจำกควำมอำวุโส อำยุกำร ท ำงำน หรือต ำแหน่งงำน ผู้น ำที่ดีจะช่วยเพิ่มศักยภำพของผู้ ตำมให้ดียิ่งขึ้น และ สนับสนุนให้ผู้ตำมกลำยเป็นผู้น ำที่ดีได้ในอนำคต ภำวะผู้น ำทำงกำรศึกษำในยุคใหม่ สอดคล้องกับแนวคิดแนวทำงส่งเสริมกำร ปฏิบัติธรรมของคฤหัสถ์ในยุคฐำนวิถีชีวิตใหม่ ส ำหรับส ำนักปฏิบัติธรรมจังหวัดกำญจนบุรี ของนำงสำวนัฏธนัน ภู่นิเทศ, รศ ดร.สุทธิพงษ์ ศรีวิชัย, พระครูสถิตบุญวัฒน์, ดร. ๒๗/๐๖/๒๐๒๒ ส่วนงำนจัดกำรศึกษำ : ครุศำสตรมหำบัณฑิต (ค.ม.)ระดับปริญญำโท สำขำวิชำพุทธบริหำรกำรศึกษำ มหำวิทยำลัยมหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย ก.ค. ๒๕๖๕ ด้วยกำรส่งเสริมกำรปฏิบัติธรรมของคฤหัสถ์ในยุคฐำนวิถีชีวิตใหม่ ส ำหรับส ำนักปฏิบัติ ธรรมจังหวัดกำญจนบุรีภำพรวมทุกด้ำน ผู้ปฏิบัติธรรมมีควำมคิดเห็น อยู่ในระดับที่มำก ที่สุด โดยเรียงจำกมำกไปหำน้อย ได้แก่ด้ำนหลักปฏิบัติ(สติปัฏฐำน ๔) รองลงมำ ด้ำน สถำนที่ด้ำนวิปัสสนำจำรย์ด้ำนฐำนวิถีชีวิตใหม่ และด้ำนกำรบริหำรจัดกำร ตำมล ำดับ แนวทำงกำรส่งเสริมกำรปฏิบัติธรรมของคฤหัสถ์ในยุคฐำนวิถีชีวิตใหม่ ส ำหรับส ำนัก ปฏิบัติธรรมจังหวัดกำญจนบุรีได้แก่ด้ำนหลักปฏิบัติ(สติปัฏฐำน ๔) ควรเน้นผู้ปฏิบัติฝึก เสริมสร้ำงสติให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลำ ด้ำนสถำนที่ควรจัดให้มีแสงสว่ำงและน้ ำภำยในวัด ให้เพียงพอต่อกำรปฏิบัติด้ำนวิปัสสนำจำรย์ผู้สอนควรแบ่งกลุ่มผู้ปฏิบัติใหม่และเก่ำ เพื่อให้เหมำะสมกับควำมสำมำรถของแต่ละบุคคลและเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ปฏิบัติ มำกที่สุด ด้ำนกำรบริหำรจัดกำร ควรจัดแจงเวลำ เนื้อหำให้เหมำะสมต่อผู้ปฏิบัติและกำร บริหำรจัดกำรแก้ไขปัญหำต่ำง ๆ ที่เกิดขึ้นให้ว่องไวและตรงประเด็น ควรจัดให้มีกำร ประชำสัมพันธ์ในกำรปฏิบัติธรรมทุกครั้ง ด้ำนฐำนวิถีชีวิตใหม่ ควรมีอุปกรณ์สื่อสำร เทคโนโลยีที่เพียงพอต่อกำรปฏิบัติและฝึกให้ผู้ปฏิบัติเกิดควำมช ำนำญในกำรใช้อุปกรณ์ เทคโนโลยี


๒๐ ๑.๘ เอกสารอ้างอิงประจ าบท บรรจบ บรรณรุจิ. กำรจัดค ำสอนของพระพุทธเจ้ำเป็นหมวดหมู: พระไตรปิฎก นิกำย และวรรค. งานวิจัยสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์. มหำวิทยำลัยมหำจุฬำลงกรณรำช วิทยำลัย, ๒๕๕๕. พระพรหมคุณำภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย. พิมพ์ครั้งที่ ๓๙. กรุงเทพมหำนคร: โรงพิมพ์มหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย, ๒๕๕๗. พระธรรมปิฎก. (ป.อ. ปยุตโต). ภาวะผู้น า: ความส าคัญต่อการพัฒนาคน พัฒนา ประเทศ. กรุงเทพมหำนคร: ส ำนักพิมพ์ธรรมสภำ, ๒๕๕๖. _______. พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลธรรม. กรุงเทพมหำนคร: โรงพิมพ์ มหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย, ๒๕๕๑. _______. ธรรมนูญชีวิต. กรุงเทพมหำนคร: มูลนิธิพุทธธรรม, ๒๕๕๑. พระธรรมโกศำจำรย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต). โลกทัศน์ชาวพุทธ. กรุงเทพมหำนคร: โรงพิมพ์ มหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย, ๒๕๕๘. พระภำวนำวิริยคุณ (เสริมชัย ชยมงฺคโล). รัฐศาสตร์เชิงพุทธ. กรุงเทพมหำนคร: ดอกหญ้ำกรุ๊ป, ๒๕๕๙. พระครูสิริจันทนิวิฐ (บุญจันทร์ เขมกำโม). ภาวะผู้น าเชิงพุทธ. กรุงเทพมหำนคร: นิติธรรมกำรพิมพ์, ๒๕๕๘. มิลินทปัญหำ. พระไตรปิฎก พระสุตตันปิฎกสังยุตตนิกำย มหำวรรค เล่มที่ ๕ ภำคที่ ๒. มหำมกุฎรำชวิทยำลัย, ๒๕๕๑. รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์, คณะพำณิชยศำสตร์และกำรบัญชี จุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย [ออนไลน์], แหล่งที่มำ: http://www.onab.go.th. (๑๘ เมษำยน ๒๕๖๔). Bass. B.M.andAvolio B.J. Transformational Leadership Development. Califormia: Consulting Psychologists Press, 2020. Ordway Tead. The A of Leadership. New York: McGraw Hill Book Company. Inc., 1956.


บทที่ ๒ ภาวะผู้น าทางการศึกษาจากพระไตรปิฎกร่วมสมัย ********* ๒.๑ ความน า ภาวะทางการศึกษาจากพระไตรปิฎกและผู้น าในต้นศตวรรษที่ ๒๑ เป็นต้น ศตวรรษแห ่งการตื ่นตัวเพื ่อการเปลี ่ยนแปลงในหลากหลายสาขาวิชาการ และใน หลากหลายกระบวนทัศน์ ดังกรณีสาขาวิชาการเกี่ยวกับภาวะผู้น า มีนักวิชาการและ หน่วยงานให้ความสนใจต่อ การน าเสนอคุณลักษณะภาวะผู้น าส าหรับศตวรรษที่ ๒๑ ซึ่งผู้เขียนได้น ามาสังเคราะห์ พบว่า มีคุณลักษณะที่ส าคัญ ดังนี้ คือ มีวิสัยทัศน์เพื่อการ เปลี่ยนแปลง มีความร่วมมือ มีการเสริมพลังอ านาจ มีการให้และการบริการ มีจินตนาการ และนวัตกรรม มีการเรียนรู้ด้วยกัน มีการสร้างชุมชน มีการสร้างเครือข่าย มีการน า ร่วมกัน มีการ สื่อสารที่เข้มแข็ง มีการบริหารความก้าวหน้าส่วนบุคคลหรือในวิชาชีพ มีความยืดหยุ่น เหล่านี้เป็นคุณลักษณะที่ สะท้อนให้เห็นถึงความหมายของภาวะผู้น าใน เชิงบูรณาการระหว่างความหมายที่มีพื้นฐานความคิดเพื่อบรรลุ ความส าเร็จด้วยคนอื่น และความหมายที่มีพื้นฐานความคิดเพื่อการเปลี่ยนแปลงและเพื่ออนาคตที่ดีกว ่า เป็นคุณลักษณะที่จะต้องมีคู่กันกับคุณลักษณะการบริหารจัดการ ช่วยเสริมกันและกัน ไม่แยกออกจากกัน เพราะจะ สร้างปัญหามากกว่าจะแก้ปัญหาและมีความเชื่อมโยงกับ พระไตรปิฎกได้ด้วยดี๑ ตามล าดับประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ ๒.๑ ความน า ๒.๒ ความหมายของพระไตรปิฎก ๒.๓ ขอบข่ายภาวะผู้น าการศึกษาในพระไตรปิฎก ๒.๔ การปรับตัวของสถานศึกษาในยุคไทยแลนด์ ๔.๐ ๒.๕ การบริหารการศึกษาของวัดในยุคไทยแลนด์ ๔.๐ ๒.๖ แนวโน้มการบริหารการศึกษาในยุคไทยแลนด์ ๔.๐ ๒.๗ สรุป ๑ วิโรจน์ สารรัตนะ และคณะ, ภาวะผู้น าส าหรับศตวรรษที่ ๒๑, Journal of Education, มหาวิทยาลัยนเรศวร, ๒๕๖๔, หน้า ๙-๑๐.


๒๒ ๒.๒ ความหมายของพระไตรปิฎก พระไตรปิฎก หมายถึง คัมภีร์หลักที ่มีความส าคัญที่สุดต่อพระพุทธศาสนา เพราะได้ประมวลพระพุทธพจน์อันเป็นสัจธรรมค าสอนของพระพุทธเจ้าไว้อย่างครบถ้วน และสมบูรณ์ที่สุดยิ่งกว่าคัมภีร์อื่นใด นอกจากนี้ พระไตรปิฎก ยังเป็นหลักฐานทาง ประวัติศาสตร์ชิ้นส าคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถใช้เป็น เครื่องยืนยันถึงวัสสายุกาล ของพระพุทธศาสนาว่าได้อุบัติขึ้น และด ารงอยู่สืบต่อกันมาเป็นเวลายาวนาน เพียงใด ดังนั้น พระไตรปิฎก จึงนับเป็นมรดกอันล้ าค่าที่พุทธศาสนิกชนทุกหมู่เหล่าทั้งที่ เป็นบรรพชิต และ คฤหัสถ์ควรจะได้ช่วยกันเชิดชู ทะนุบ ารุง และหมั่นศึกษาพระปริยัติ สัทธรรม (ปริยัติ ปฏิบัติติ ปฏิเวธ) ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ภายหลังพระพุทธองค์เสด็จดับ ขันธ์ปรินิพพานแล้ว เหล่าพระอรหันต์ทั้งหลายซึ่งมีพระมหากัสสปะ เป็นต้น ได้ประชุม สงฆ์เพื่อรวบรวมค าสอนของพระพุทธองค์ให้เป็นหมวดหมู่เรียกว่า “การสังคายนา” เป็นเหตุ ให้เกิดคัมภีร์พระพุทธศาสนาในการสังคายนาพระธรรมวินัยในครั้งต่อ ๆ มา ก็คือ “พระไตรปิฎก” แปลว่า คัมภีร์ที่บรรจุพระพุทธพจน์ (และเรื่องราวชั้นเดิมของ พระพุทธศาสนา) ๓ ชุด หรือ ประมวลแห่งคัมภีร์ที่รวบรวม พระธรรมวินัย ๓ หมวด กล่าวคือ วินัยปิฎก สุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก๒ พระอรรถกถาจารย์ผู้ทราบพุทธาธิบาย ทั้งโดยอรรถและพยัญชนะแห่งพระพุทธ วจนะ เพราะการศึกษาจ าต้องสืบต่อกันมาตามล าดับ ต้องมีฉันทะอุตสาหะอย่างสูงมาก ได้อรรถาธิบายพระพุทธวจนะในพระไตรปิฎกส่วนที่ยากแก่การเข้าใจ ให้เกิดความเข้าใจ ง่ายขึ้นส าหรับผู้ศึกษาและปฏิบัติ ความส าคัญแห่ง คัมภีร์ในพระพุทธศาสนาจึงมีลดหลั่น กันลงมา คือ ๑. พระสูตร คือพระพุทธวจนะที่เรียกว่า พระไตรปิฎก ทั้งพระวินัยปิฎก พระ สุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก ๒. สุตตานุโลม คือคัมภีร์ที่พระอรรถกถาจารย์รจนาขึ้น อธิบายข้อความที่ยากใน พระไตรปิฎก ๓. อาจริยวาท วาทะของอาจารย์ต่าง ๆ ตั้งแต่ชั้นฎีกา อนุฎีกา และบุรพาจารย์ ในรุ่นหลัง ๔. อัตโนมติ ความคิดเห็นของผู้พูด ผู้แสดงธรรมในพระพุทธศาสนา กาลต่อมามี การอธิบายธรรมประเภทอาจริยวาท คือถือตามที่อาจารย์ของตนสอนไว้กับอัตโนมติ ว่าไปตามมติของตนกันมากขึ้น ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะคัมภีร์พระพุทธศาสนาที่เป็นหลัก ๒ วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครล าปาง, ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๒ (พฤษภาคม-สิงหาคม ๒๕๖๒) หน้า ๓.


๒๓ ส าคัญ คือ พระไตรปิฎกและอรรถกถามีไม่แพร่หลาย อรรถกถาส่วนมากยังคงเป็นภาษา บาลี คนมีฉันทะในภาษาบาลีน้อยลง ส านวนภาษาบาลีที่แปลออกมาแล้วยากต่อการ ท าความเข้าใจของคนที ่ไม่ได้ศึกษามาก่อนและขาดกัลยาณมิตรที ่เป็นสัตบุรุษใน พระพุทธศาสนาเป็นต้น อีกทั้งการอธิบายธรรมที่เป็นผลจากการตรัสรู้ของพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นอันตรายมากเพราะโอกาสที่จะเข้าใจผิดพูดผิดปฏิบัติผิดก็มีได้ พระไตรปิฎกเป็นเหมือนรัฐธรรมนูญ ที่กฎหมายอื่นใดทั่วไปจะขัดแย้งกับ กฎหมายรัฐธรรมนูญไม่ได้ฉันใด การอธิบายธรรมขัดแย้งกับพระไตรปิฎก พุทธศาสนิกชน ที่ดีย่อมถือว่าท าไม่ได้เช่นกันฉันนั้น และเมื่อพระพุทธวจนะอันปรากฏในพระไตรปิฎก แพร่หลายออกมานั้น จึงเกิดมีการแปลพระไตรปิฎกและอรรถกถาขึ้นในรูปภาษาไทย เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจพระพุทธศาสนา ตรงตามหลักที่ปรากฏในพระไตรปิฎกและที่ พระอรรถกถาจารย์ อธิบายไว้ และเพื่อให้เกิดทิฐิสามัญญตา ความเสมอกันในด้านททิฐิ และสีลสามัญญตา ความเสมอกันในด้านศีลของชาวพุทธทั้งฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์ คัมภีร์อรรถกถา คือ หนังสือคู่มือการศึกษาพระไตรปิฎกที่โบราณาจารย์ตั้งแต่สมัย พุทธกาล เป็นต้น มาได้รจนาขึ้นเพื่ออธิบายความหมายของค าศัพท์ที่เข้าใจยาก และ ความหมายของวลีประโยค หรือข้อความที่มีนัยสลับซับซ้อน อาจท าให้เข้าใจผิดและแปล ความหมายผิดไปจากพระพุทธประสงค์ในบริบทนั้น ๆ ได้ คัมภีร์อรรถกถา เป็นคัมภีร์ที่รวมค าอธิบายเกี่ยวกับพระไตรปิฎกที่โบราณ ท่านอาจารย์ได้อธิบายขยายความไว้ โดยการยกเอาศัพท์บ้าง วลีบ้าง ประโยคบ้าง ในพระไตรปิฎกที่เห็นว่าควรอธิบายเพิ่มเติม หรือที่เนื้อความยัง ไม่กระจ่างชัด มาตั้งเป็น หัวข้อหรือบทตั้ง แล้วอธิบายขยายความเท่าที่เห็นว่าควรอธิบาย หรือเพิ่มเติม เรื่องราวที่ เกี่ยวข้องกับศัพท์ วลี หรือประโยคนั้นให้ชัดเจนขึ้น เพื่อผู้ศึกษาพระไตรปิฎกในส่วนนั้นจะ ได้เข้าใจ๓ หรือได้รู้เรื่องราวประกอบละเอียดพิสดารขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการเข้าใจ ธรรมะ เรื่องราว เหตุการณ์อันเป็นที่มาหรือเกี่ยวข้องกับธรรมะข้อนั้นในพระไตรปิฎกได้ การะจ่างแจ้งยิ่งขึ้น ฉะนั้น คัมภีร์อรรถกถา หรือ เรียกสั้น ๆ ว่า อรรถกถา จึงมีประโยชน์ ต่อการอ่าน หรือการศึกษาพระไตรปิฎกเป็นอย่างมาก เพราะช่วยไขความในส่วนที่เป็น ปัญหา และช่วยเพิ่มเติมเรื่องราวเนื้อหาบางเรื่องบางตอนที่อาจจะไม่ได้บันทึกไว้ใน พระไตรปิฎกให้สมบูรณ์ขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน คัมภีร์อรรถกถาก็มิได้มีเฉพาะค าอธิบาย ๓ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์, พิมพ์ ครั้งที่ ๑๑, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท เอส. อาร์. พริ้นติ้ง แมส โปรดักส์ จ ากัด, ๒๕๕๑), หน้า ๑๑๐.


๒๔ ศัพท์ วลี หรือ ประโยคต่าง ๆ พระไตรปิฎกเท่านั้น แต่ท่านอรรถกถาจารย์ทั้งหลายยังได้ แสดงทรรศนะทางธรรมและอื่น ๆ ของท่านมากบ้างน้อยบ้างไว้ในคัมภีร์นั้น ๆ ด้วย ฉะนั้น คัมภีร์อรรถกถาจึงเป็นแหล่งความรู้ทางพระพุทธศาสนาที่ส าคัญรองลงมาจาก พระไตรปิฎก และใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงกันอย่างแพร่หลายในการศึกษาพระพุทธศาสนา เช่น ในอรรถกถาชาดก “ชาดกใน พระไตรปิฎกนั้นเป็นตัวแก่นของชาดก ได้แก่ พุทธพจน์ และค าโต้ตอบกันก็เป็นพุทธพจน์ ไม่มีเรื่องเล่า ประกอบเหมือนในอรรถกถาชาดก” ๔ ชาดกในพระไตรปิฎกจ าต้องอาศัยอรรถกถาเพื่ออธิบายเนื้อเรื่องของชาดกให้สมบูรณ์มี รายละเอียดและเพิ่มสุนทรียะในการอ่านเพื่อท าความเข้าใจในหลักธรรมที่สอดแทรกมา กับเรื่องได้มากขึ้นในหมู่พุทธศาสนิกชน “อรรถกถาดังกล่าวข้างต้นนี้ เรียกว่า อรรถกถา ชาดก เชื่อกันว่าเป็นผลงานของพระพุทธโฆสาจารย์ที่แต่งตามค าอาราธนาของพระอัตถ ทัสสี พระพุทธมิตตะและพระพุทธปิยะ” ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความฟั่นเฟือนเลือนหายแห่ง พระสัทธรรม ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฟือน ไม่เลือนหายแห่งพระสัทธรรม ๒ อย่างเป็นไฉน ? ๔ บทพยัญชนะที่ตั้งไว้ดี ๑ อรรถที่น ามาดี ๑ แม้เนื้อความแห่งบทพยัญชนะที่ตั้งไว้ ดีแล้วก็ย่อมเป็นอันน ามาดี ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฟือน ไม่เลือนหายแห่งสัทธรรม” และพระสูตรที่ว่า “ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพวกที่ คัดค้านอรรถและธรรมโดยสูตรซึ่งตนเรียนไว้ไม่ดี ด้วยพยัญชนะปฏิรูปนั้น ชื่อว่าปฏิบัติ แล้วเพื่อมิใช่ประโยชน์แก่ชนเป็นอันมากเพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุ นั้นยังจะประสบบาปเป็นอันมาก และทั้งชื่อว่า ท าสัทธรรมนี้ให้อันตรธานไปอีกด้วย ภิกษุ ทั้งหลาย ภิกษุพวกที่อนุโลมอรรถและธรรมโดยสูตรซึ่งตนเรียนได้ดีด้วยพยัญชนะปฏิรูป นั้นชื่อว่าปฏิบัติแล้ว เพื่อประโยชน์ของชนมาก เพื่อความสุขของชนมาก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุข แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุพวกนั้นประสบบุญเป็นอันมาก ทั้งชื่อว่า ด ารงสัทธรรม นี้ไว้อีกด้วย” พระพุทธวจนะว่าโดยสภาพแห่งธรรมแล้ว เป็นธรรมที่ลึกซึ้งรู้ได้ยาก ดังปรากฏ พุทธด ารัสว่า “อธิคโต โข มฺยาย ธมฺโม คมฺภีโร ทุทฺทโส ทุรานุโพโธ สนฺโต ปณีโต อตกฺ ๔ พระเทพเวที ( ประยุทธ์ ปยุตฺโต), “ประวัติพัฒนาการและอิทธิพลของพระไตรปิฎก”, พุทธจักร, ปีที่ ๔๖ ฉบับที่ ๙ (กันยายน ๒๕๕๕): หน้า ๗ – ๘.


๒๕ กาวจโร นิปุโณ ปณฺฑิตเวทนีโย ธรรม ที่เราได้บรรลุแล้วนี้ ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต ไม่เป็นวิสัยแห่งตรรกะ ละเอียด บัณฑิตจึง จะรู้ได้” ๕ พระอรรถกถาจารย์ผู้รู้พุทธาธิบายทั้งโดยอรรถและพยัญชนะแห่ง พระพุทธ วจนะ ได้อรรถาธิบายพระพุทธวจนะที่เป็นบาลีพระไตรปิฎกส่วนที่ยากต่อการเข้าใจให้ เกิดความเข้าใจง่ายขึ้นส าหรับผู้ศึกษา จึงเกิดล าดับคัมภีร์อธิบายลดหลั่นกันลงมา ตามล าดับชั้น จัดเป็นคัมภีร์ส าคัญทางพระพุทธศาสนาเถรวาท คือ พระไตรปิฎก อรรถ กถา ฎีกา อนุฎีกา โยชนา ทีปนี ปกรณ์วิเสส และคัมภีร์สัททาวิเสส ดังนั้น ด้วยความส าคัญของการศึกษาคัมภีร์อรรถกถาดังกล่าวมา ผู้วิจัยจึงเห็น ความจ าเป็นใน การศึกษาประมวลองค์ความรู้คัมภีร์อรรถกถาพระไตรปิฎก และเลือกบท เนื้อหาในพระไตรปิฎกและในคัมภีร์อรรถกถา เพื่อก าหนดเป็นกรณีตัวอย่างในการศึกษา วิเคราะห์หาความส าคัญมาก าหนดเป็นประเด็นปัญหา โดยอาศัยสาระส าคัญที่ปรากฏใน คัมภีร์อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา และคัมภีร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในการวิเคราะห์ อันจะเป็น ข้อมูลส าคัญในการพัฒนาการศึกษาที่เกี่ยวกับคัมภีร์อรรถกถาของผู้ศึกษาต่อไป สรุปได้ว่า คุณลักษณะและความส าคัญของคัมภีร์พระไตรปิฎก หมายถึง คัมภีร์ หลักที่มีความส าคัญที่สุดต่อพระพุทธศาสนา เพราะได้ประมวลพระพุทธพจน์อันเป็น สัจธรรมค าสอนของพระพุทธเจ้าไว้อย่างครบถ้วน และสมบูรณ์ที่สุดยิ่งกว่าคัมภีร์อื่นใด นอกจากนี้ พระไตรปิฎก ยังเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นส าคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถใช้เป็นเครื่องยืนยันถึงวัสสายุกาลของพระพุทธศาสนาว่าได้อุบัติขึ้น และด ารง อยู่สืบต่อกันมาเป็นเวลายาวนาน ๒.๓ ขอบข่ายภาวะผู้น าการศึกษาในพระไตรปิฎก ตามแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการศึกษาคัมภีร์พระไตรปิฎก หมายถึง คัมภีร์ทาง ศาสนา คือข้อความที่บรรจุค าสั่งสอนของพระศาสดาและบรรดาของพระสาวกส าคัญหรือ ข้อความบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับศาสนาที่ท่องจ ากันไว้แล้วจดจารึกเป็นลาย ลักษณ์อักษร ค าสอนของฝ่ายอเทวนิยมเรียกว่า พระธรรมวินัย ก็บรรจุอยู่ในคัมภีร์ทาง ศาสนาซึ่งจัดไว้เป็นหมวดหมู่ตามลักษณะของแต่ละศาสนา ในเทวนิยม พระคัมภีร์นอกจากจะเป็นภาชนะรองรับพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ยังเป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ และเผ่าพันธุ์ของพระเจ้าไว้อย่างไม่ขาด ตอน เช่น พระคัมภีร์ไบเบิลภาคแรก ว่าด้วยประวัติศาสตร์ของชาวโลกและมนุษย์ชาติใน ๕ ดูรายละเอียดใน, ทุก.อ. (ไทย) ๒๐/๙๒/๒๙๒.


๒๖ ยุคต่อ ๆ มา เริ่มตั้งแต่พระเจ้าสร้างโลก สร้างมนุษย์คู่แรก คือ อาดัมกับอีวา พระเวทก็ถือ ว่าเป็นวรรณกรรมชุดแรกของโลกที่สืบต่อกันมาไม่ขาดตอนเป็นเวลาหลายพันปี ส่วนในอเทวนิยมโดยเฉพาะพระพุทธศาสนาคัมภีร์ต่างไปจากคัมภีร์ในศาสนา เทวนิยม กล่าวคือ พระไตรปิฎก เป็นภาชนะรองรับพุทธวจนะที่ว่าด้วยธรรมชาติของโลก และชีวิตล้วน ๆ โดยอธิบายสภาวะธรรมชาติและการกระท าของมนุษย์ เช่น เรื่องอริยสัจ ไตรลักษณ์ ปฎิจจสมุปบาท สังสารวัฎ เป็นต้น ไม่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์หรือการเมืองของ ชนชาติใดโดยเฉพาะ๖ คัมภีร์พุทธศาสนาที่บันทึกหลักธรรมค าสอนทางพุทธศาสนา ในยุคก่อนจะบันทึก เป็นลายลักษณ์อักษร ใช้วิธีท่องจ า (มุขปาฐะ) โดยใช้วิธีการแบ่งให้สงฆ์หลาย ๆ กลุ่ม รับผิดชอบท่องจ าในแต่ละเล่ม เป็นเครื่องมือช่วยในการรักษาความถูกต้องของหลักค าสอน จวบจนได้ถือก าเนิดอักษรเขียนที่เลียนแบบเสียงเกิดขึ้นมาซึ่งสามารถรักษาความถูกต้อง ของค าสอนเอาไว้ได้แทนอักษรภาพแบบเก่าที่รักษาความถูกต้องไม่ได้ จึงได้มีการบันทึก พระธรรมและพระวินัยเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นภาษาบาลีรักษาไว้ในคัมภีร์เรียกว่า "พระไตรปิฎก" ซึ่งสามารถแยกออกได้เป็น ๓ หมวดหลัก ได้แก่ ๑. พระวินัยปิฎก ว่าด้วยวินัยหรือศีลของ ภิกษุ ภิกษุณี ๒. พระสุตตันตปิฎก ว่าด้วยพระธรรมทั่วไป และเรื่องราวต่าง ๆ ๓. พระอภิธรรมปิฎก ว่าด้วยธรรมะที่เป็นปรมัตถ์ธรรม หรือธรรมะที่แสดงถึง สภาวะธรรมล้วน ๆ ไม่มีการสมมติ๗ คัมภีร์ส าคัญของพระพุทธศาสนา คือ คัมภีร์พระไตรปิฎก พระไตรปิฎก แปลว่า "ปิฎกสาม" ปิฎก แปลตามศัพท์ว่ากระจาดหรือตะกร้า อันเป็นภาชนะส าหรับใส่รวมของ ต่าง ๆ เข้าไว้น ามาใช่ในความหมายว่าเป็นที่รวบรวมค าสอนในพระพุทธศาสนาที่จัดเป็น หมวดหมู่แล้วโดยในนี้ไตรปิฎกจึงแปลว่าคัมภีร์ที่บรรจุพุทธพจน์ ๓ ชุดหรือประมวลแห่ง คัมภีร์ที่รวบรวมพระธรรมวินัย ๓ หมวด กล่าวคือ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และ พระอภิธรรมปิฎก๘ ๖ คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, วรรณคดีบาลี, (กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๐), หน้า ๑๔๙ – ๑๖๔.๗ พระอมรมุนี (จับ จิตธฒฺโม), น าเที่ยวในพระไตรปิฎก, (กรุงเทพมหานคร: กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม, ๒๕๕๖), หน้า ๓-๘. ๘ อ้างแล้ว.


๒๗ พระไตรปิฎก เป็นคัมภีร์หรือต าราทางพระพุทธศาสนา ซึ่งรวบรวมค าสั่งสอน ของพระพุทธเจ้า ไว้เป็นหมวดหมู่ แบ่งออกเป็น ๓ ปิฎก ด้วยกันคือ ๑. พระวินัยปิฎก ว่าด้วยวินัยหรือศีลของ ภิกษุและภิกษุณี ๒. พระสุตตันตปิฎก ว่าด้วยพระธรรมเทศนาโดยทั่วไป มีประวัติและท้องเรื่อง ประกอบ ๓. พระอภิธรรมปิฎก ว่าด้วยธรรมะล้วน ไม่มีประวัติ และท้องเรื่องประกอบ๙ หมวดหมู่พระไตรปิฎก มีอยู่ ๕ หมวด คือ ก. พระวินัยปิฎก ประกอบด้วย ๑. มหาวิภังค์ ว่าด้วยข้อห้าม หรือวินัยที่เป็นหลักใหญ่ ๆ ของพระภิกษุเป็นศีล ของภิกษุที่มาในปาติโมกข์ ๒. ภิกษุณีวิภังค์ ว่าด้วยข้อห้าม หรือวินัย ของพระภิกษุณี ๓. มหาวัคค์ ว่าด้วยพุทธประวัติตอนแรก และพิธีกรรมทางพระวินัย แบ่งออกเป็น ขันธกะ ๑๐ หมวด ๔. จุลลวัคค์ ว่าด้วยพิธีกรรมทางพระวินัย ความเป็นมาของพระภิกษุณีและ ประวัติการท าสังคายนา แบ่งออกเป็นขันธกะ ๑๒ หมวด ๕. บริวาร ว่าด้วยข้อเบ็ดเตล็ดทางพระวินัย เป็นการย่อหัวข้อสรุปเนื้อความ วินิจฉัยปัญหาใน ๔ เรื่องข้างต้น๑๐ ข. พระสุตตันตปิฎก มีอยู่ ๕ หมวด ประกอบด้วย ๑. ทีฆนิกาย ว่าด้วยพระสูตร หรือพระธรรมเทศนาขนาดยาว มี ๓๔ สูตร ๒. มัชฌิมนิกาย ว่าด้วยพระสูตร หรือพระธรรมเทศนาขนาดกลาง ไม่ยาวและไม่ สั้นเกินไปมี ๑๕๒ สูตร ๓. สังยุตตนิกาย ว่าด้วยพระสูตร หรือพระธรรมเทศนา ที่ประมวลธรรมะไว้เป็น พวก ๆ เรียกว่า สังยุต เช่น กัสสปสังยุต ว่าด้วยเรื่องของพระมหากัสสป โกศลสังยุต ว่า ด้วยเรื่องในแคว้นโกศล มัคคสังยุต ว่าด้วยเรื่องมรรคคือข้อปฎิบัติ เป็นต้น มี ๗,๗๖๒ สูตร ๔. อังคุตตรนิกาย ว่าพระพระสูตร หรือพระธรรมเทศนาเป็นข้อ ๆ ตามล าดับ จ านวน เช่น ธรรมะหมวด ๑ ธรรมะหมวด ๒ ธรรมะหมวด ๑๐ แต่ละข้อก็มีจ านวน ธรรมะ ๑, ๒, ๑๐ ตามหมวดนั้น มี ๙,๕๕๗ สูตร ๙ อ้างแล้ว.๑๐อ้างแล้ว.


๒๘ ๕. ขุททกนิกาย ว่าด้วยพระสูตร หรือพระธรรมเทศนาเบ็ดเตล็ด รวมทั้งภาษิต ของพระสาวก ประวัติต่าง ๆ และชาดก รวบรวมหัวข้อธรรมที่ไม่จัดเข้าใน ๔ หมวด ข้างต้น แบ่งเป็นหัวข้อใหญ่มี ๑๕ เรื่อง ค. พระอภิธรรมปิฎก แบ่งออกเป็น ๗ เรื่อง คือ ๑. ธัมมสังคณี ว่าด้วยธรรมะ รวมเป็นหมวดเป็นกลุ่ม ๒. วิภังค์ ว่าด้วยธรรมะแยกเป็นข้อ ๆ ๓. ธาตุกถา ว่าด้วยธรรมะจัดระเบียบความส าคัญโดยถือธาตุเป็นหลัก ๔. ปุคคลบัญญัติ ว่าด้วยบัญญัติ ๖ ชนิด และแสดงรายละเอียดเฉพาะบัญญัติอัน เกี่ยวกับบุคคล ๕. กถาวัตถุ ว่าด้วยค าถามค าตอบในหลักธรรม จ านวนหนึ่งประมาณ ๒๑๙ หัวข้อเพื่อถือเป็นหลักในการตัดสินพระธรรม ๖. ยมก ว่าด้วยธรรมะที่รวมเป็นคู่ ๆ ๗. ปัฏฐาน ว่าด้วยปัจจัย คือสิ่งที่เกื้อกูลสนับสนุน ๒๔ อย่าง๑๑ ความเป็นมาของพระไตรปิฎก มีล าดับที่มาและการอ้างอิงเป็นหลักฐานเชื่อมโยง ประกอบด้วย ๑. พระพุทธเจ้าทรงแนะน าให้ร้อยกรองพระธรรมวินัย สมัยเมื่อนิครนถ์นาฎบุตร เจ้าลัทธิส าคัญคนหนึ่งสิ้นชีพ พวกสาวกเกิดแตกกัน พระจุนทเถระเกรงจะเกิดเหตุการณ์ เช่นนั้น ในพระพุทธศาสนา จึงพร้อมกับพระอานนท์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์ได้ทรง ตรัสบอกพระจุนทะ ให้รวบรวมธรรมภาษิตของพระองค์และท าสังคายนา คือจัดระเบียบ ทั้งโดยอรรถและพยัญชนะ เพื่อให้พรหมจรรย์ตั้งมั่นต่อไป ๒. พระสารีบุตรแนะน าให้ร้อยกรองพระธรรมวินัย ในห้วงเวลาเดียวกันนั้น ค่ า วันหนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคแสดงธรรมจบแล้ว ได้มอบหมายให้พระสารีบุตรแสดงธรรม ต่อพระสารีบุตรได้แนะน าให้รวบรวม ร้อยกรองพระธรรมวินัย โดยจัดหมู่ธรรมะเป็นข้อ ๆ ตั้งแต่ข้อ ๑ ถึงข้อ ๑๐ ว่ามีธรรมะใดบ้างอยู่ในหมวดนั้น ๆ พระผู้มีพระภาคทรงรับรองว่า เป็นเรื่องที่ถูกต้อง เห็นว่าบรรดาพระภิกษุทั้งหลายยังใคร่จะฟังธรรมต่อไปอีก พระองค์จึง ได้มอบหมายให้พระสารีบุตร แสดงธรรมแทน พระสารีบุตรได้ แนะน าให้รวบรวมร้อย กรองพระธรรมวินัย โดยจัดหมวดหมู่ธรรมะเป็นข้อ ๆ ตั้งแต่ข้อ ๑ ถึงข้อ ๑๐ ว่ามีธรรมะ ใดบ้างอยู่หมวด ๑ หมวด ๒ จนถึงหมวด ๑๐ ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงรับรองว่าเป็นเรื่องที่ ถูกต้อง ๑๑อ้างแล้ว.


๒๙ ๓. พระมหากัสสปะ เป็นผู้ริเริ่มให้มีการสังคายนา จัดระเบียบพระพุทธวจนะให้ เป็นหมวดหมู่ ๔. พระอานนท์ เป็นผู้ที ่ทรงจ าพระพุทธวรนะไว้ได้มาก เป็นพุทธอุปัฏฐาก ได้ขอพร หรือขอรับเงื่อนไขจาก พระพุทธเจ้า ๘ ประการ ในเงื่อนไขประการที่ ๗ และประการที่ ๘ มีส่วนช่วยในการ สังคายนาพระธรรมวินัยมาก กล่าวคือ ประการที่ ๗ ถ้าความสงสัยของข้าพระองค์เกิดขึ้นเมื่อใดขอให้ได้เข้าเฝ้าทูลถามเมื่อนั้น ประการที่ ๘ ถ้าพระองค์แสดงข้อความอันใด ในที่ลับหลังข้าพระองค์ ครั้นเสด็จมาแล้ว จักตรัสบอก ข้อความอันนั้น แก่ข้าพระองค์ ทั้งนี้โดยเฉพาะประการที่ ๘ อันเป็นข้อสุดท้ายมีเหตุผลว่า ถ้ามีใครถามท่านในที่ลับหลัง พระพุทธเจ้าว่า คาถานี้ สูตรนี้ ชาดกนี้ พระผู้มีพระภาค แสดงที่ไหน ถ้าพระอานนท์ตอบไม่ได้ ก็จะมีผู้กล่าวว่า พระอานนท์ตามเสด็จพระศาสดา ไปดุจเงาตามตัว แม้เพียงเรื่องเท่านี้ก็ไม่รู้ดังนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระ อานนท์จึงได้รับหน้าที่ตอบค าถามเกี่ยวกับพระธรรม ในคราวสังคายนาครั้งแรก หลังพุทธ ปรินิพพาน ๓ เดือนในสมัยที่ยังไม่มีการจดจารึกเรื่องราวไว้ เป็นตัวอักษรอย่างกว้างขวาง เช่นในปัจจุบัน มนุษย์จึงต้องอาศัยความจ าเป็นเครื่องส าคัญ ในการบันทึกเรื่องราวนั้น ๆ ไว้ แล้วบอกเล่าต่อ ๆ กันมา การทรงจ าและบอกต่อ ๆ กันมาด้วยปากนี้ เรียกว่า มุขปาฐะ ๕. พระอุบาลี เป็นผู้ที่สนใจและจดจ าพระธรรมพระวินัยได้เป็นพิเศษ มีความ เชี่ยวชาญในพระวินัย ในการท าสังคายนาครั้งแรก พระอุบาลีได้รับมอบหมายให้เป็น ผู้ตอบค าถามเกี่ยวกับ พระวินัยปิฎก ๖. พระโสณกุฎิกัณณะ เป็นผู้ที่ทรงจ าได้ดีมาก เคยท่องจ าบางส่วนของพระ สุตตันตปิฎก เฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ได้รับสรรเสริญว่าทรงจ าได้ดีมากรวมทั้ง ท่วงท านองในการกล่าว ว่าไพเราะ สละสลวย แสดงให้เห็นถึง การท่องจ าพระธรรมวินัย ได้มีมาตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้า๑๒ นอกจากนี้ยังมียังมีต าราพุทธศาสนาที่แสดงค าสอนเป็นล าดับ ได้แก่ ๑. อรรถกถา เป็นต าราอธิบายพระไตรปิฎกซึ่งแต่งโดยอาจารย์ ในกาลต่อมา ที่เรียกว่า พระอรรถกถาจารย์ เป็นเนื้อความสอนชั้นที่ ๒ รองจากพระไตรปิฎก ๒. ฎีกา เป็นต าราอธิบายขยายความอรรถกถา ซึ่งแต่งโดยอาจารย์ที่เรียกว่า พระฎีกาจารย์ ถือเป็นต าราชั้นที่ ๓ ๑๒อ้างแล้ว.


๓๐ ๓. อนุฎีกา เป็นต าราอธิบายขยายความฎีกา หรือเรื่องเกร็ดย่อยเบ็ดเตล็ด ซึ่งเขียนโดยอาจารย์ที่เรียกว่า พระอนุฎีกาจารย์ เป็นต าราชั้นที่ ๔ ๑๓ นอกจากนั้นยังมีเพิ่มเข้าอีก ๕ คัมภีร์ คือ ๑. มธุ ได้แก่ คัมภีร์ปรับปรุงใหม่ให้มีรสหวานปานน าผึ้ง ๒. กนิษฐคันถะ ได้แก่ คัมภีร์นิ้วก้อย ซึ่งเป็นฎีกาอรรถกถานิ้วก้อย ๓. คัณฐิ ได้แก่ คัมภีร์ชี้เงื่อนหรือปมส าคัญ ๔. คันถันตระ ได้แก่ คัมภีร์นอกสายพระไตรปิฎก ๕. โยชนา ได้แก่ คัมภีร์แสดงการสร้างประโยคและแปลความหมายของภาษา บาลี ๑๔ สรุปได้ว่า ความหมายของคัมภีร์ หมายถึง คัมภีร์ทางศาสนา มีพระไตรปิฎก เป็นต้นคือข้อความที่บรรจุค าสั่งสอนของพระศาสดาและบรรดาของพระสาวกส าคัญหรือ ข้อความบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ เป็น “อกาลิกธรรม” มีความยึดหยุ่นที่เกี่ยวกับศาสนาที่ ท่องจ ากันไว้แล้วจดจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร ค าสอนของฝ่ายอเทวนิยมเรียกว่า พระ ธรรมวินัยก็บรรจุอยู่ในคัมภีร์ทางศาสนาซึ่งจัดไว้เป็นหมวดหมู่ตามลักษณะของแต่ละ ศาสนาและสามารถบูรณาการกับการปรับตัวของสถานศึกษาในไทยได้ทุกยุคสมัย ๒.๔ การปรับตัวของสถานศึกษาในยุคไทยแลนด์ ๔.๐ การศึกษาไทยในยุคปัจจุบัน เป็นการศึกษาในยุคสังคมแห่งการเรียนรู้ การศึกษา ช่วยพัฒนาศักยภาพหรือเสริมสร้างพลังที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน ซึ่งสามารถท าได้ตั้งแต่ จุดแรกเริ่มและตลอดชั่ววัยของชีวิต ซึ่งเป็นการอบรมบ่มนิสัยในมนุษย์สามารถประพฤติ ตน เพื่อที่จะอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นในสังคม ด ารงชีวิตและการประกอบอาชีพในอนาคต และสามารถร่วมสร้างประโยชน์ให้กับสังคมที่ตนอาศัยอยู่ จึงถือได้ว่า การพัฒนาคุณภาพ มนุษย์ทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย ด้านจิตใจ ด้านสติปัญญา คุณธรรม ค่านิยม ความคิด ครูก็เป็นคนส าคัญในการสร้างเยาวชนที่ดี และสร้างอนาคตของชาติด้วย ดังนั้น จึงมีการจัดการบริหารการศึกษา ที่มีเป้าหมายชัดเจนเพื่อให้ระบบ การศึกษาของไทยมีมาตรฐาน มีทิศทางในทางที่ดี มีคุณภาพ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เรียนมี อิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรมต่าง ๆ รัฐบาลจึง ๑๓มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย, (กรุงเทพมหานคร: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙), หน้า ๑๔.๑๔พระอมรมุนี (จับ จิตธฒฺโม), น าเที่ยวในพระไตรปิฎก, หน้า ๓-๘.


๓๑ ต้องมีกฎระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการศึกษาออกมาอย่างชัดเจน เพื่อที่ผู้ปกครองจะต้อง น าบุตรหลานของท่านไปเข้าเรียน คือการก าหนดภาคบังคับที่ประเทศไทยก าหนด ตั้งแต่ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่งถึงหกจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่สาม เป็นการศึกษาภาค บังคับ แต่ถ้าเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐาน ก็จะเป็นระดับ ชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่งถึงหก จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หนึ่งถึงหก การศึกษาขั้นพื้นฐานมักใช้เวลาประมาณ ๑๒ ปี เป็น ส่วนใหญ่ ส่วนในระดับอุดมศึกษา เมื่อส าเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้เรียนที่มุ่งศึกษาต่อก็ อาจเข้าศึกษาในสถาบันการศึกษา อาจจะเป็นการศึกษาปริญญาตรีต ่อเนื ่อง หรือ การศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย การจัดการศึกษาในทุกระดับมีจุดมุ่งหมายในการพัฒนาศักยภาพของคน เมื่อ ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ “ไทยแลนด์ ๔.๐” สถาบันการศึกษาต่าง ๆ ควรมีการจัดการศึกษา ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้เรียนที่เปลี่ยนไปและสอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศและทิศทางแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๔ ซึ่ง ประกอบด้วยจุดมุ่งหมาย ๓ ประการ ได้แก่ ๑. คนไทยเป็นพลเมืองดี มีคุณลักษณะและทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 และสมรรถนะที่สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ ยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี และยุทธศาสตร์ประเทศไทย ๔.๐ ๒. สังคมไทยเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ และคุณธรรม จริยธรรม รู้รักสามัคคี และ ร่วมมือผนึกก าลังมุ่งสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง ๓. ประเทศไทยก้าวข้ามกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลางและความเหลื่อมล้ า ภายในประเทศลดลง โดยการขับเคลื่อนภายใต้ ๗ ยุทธศาสตร์ประการ อันได้แก่การพัฒนาในด้าน ต่าง ๆ ดังนี้ ๑. การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานหลักสูตร การเรียนการสอน กระบวนการ เรียนรู้ การวัดและประเมินผล ๒. การยกระดับคุณภาพมาตรฐานวิชาชีพครู อาจารย์ และบุคลากรทางการ ศึกษา ๓. การผลิตและพัฒนาก าลังคน การวิจัย และนวัตกรรมรองรับความต้องการ ของตลาดงานและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ๔. การพัฒนาระบบข้อมูล สารสนเทศและเทคโนโลยีดิจิตอล ๕. การพัฒนาคุณภาพของคนทุกช่วงวัย และการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้


๓๒ ๖. การพัฒนาระบบบริหารจัดการและการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของทุก ภาคส่วน ๗. การพัฒนาระบบการเงินเพื่อการศึกษา๑๕ จากยุทธศาสตร์ทั้งหมดนี้ ถ้าเราสามารถน ามาวิเคราะห์จากแนวทางปฏิรูปของ กระทรวงศึกษาธิการแล้ว เราก็สามารถสร้างสรรค์การศึกษาในยุคไทยแลนด์ ๔.๐ ได้โดย ใช้แนวคิดด้วยการส่งเสริมการศึกษาดังต่อไปนี้ ๑. ส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนโดยใช้สองภาษาทุกวันนี้ ภาษาอังกฤษเข้ามา มีบทบาทอย่างมาก การสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ ที่มีความสอดคล้องกันทั้งสองภาษา จะท าให้ผู้เรียนใช้ภาษาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และเคยชินกับการใช้ภาษามาขึ้น มี ความกล้าที่จะใช้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาของผู้เรียน เพราะภาษา โดยเฉพาะ ภาษาต่างประเทศจะช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้มากขึ้น ท าให้มีโลกทัศน์กว้างขึ้น ๒. ใช้ STEM เข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี การเรียนรู้แบบ STEM คือการน าเอาศาสตร์ทั้ง ๔ ด้าน ได้แก่ วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) และ คณิตศาสตร์ (Mathematics) มาบูรณาการรวมกันเพื่อแก้ไขปัญหาหรือสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ขึ้นมาตาม โจทย์ที่ผู้เรียนที่มีความสนใจการเรียนรู้แนวใหม่ ซึ่งวิธีการนี้จะช่วยให้ผู้เรียนรู้จักคิด วิเคราะห์ และใช้ศาสตร์แห่งความรู้ทั้ง ๔ ด้าน มาประยุกต์ใช้ให้ได้องค์ความรู้หรือ นวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมา ซึ่งนับว่าเป็นหัวใจหลักของการเรียนรู้หรือการศึกษาในยุค Thailand ๔.๐ ๓. ส่งเสริมทักษะ EF ในการพัฒนาทักษะการด าเนินชีวิต EF (Executive Functions) เป็นกระบวนการทางความคิด ในสมองส่วนหน้า ที่เกี่ยวข้องกับการคิด ความรู้สึก และการกระท า เช่น การยั้งใจคิดไตร่ตรอง การควบคุมอารมณ์ การยืดหยุ่น ทางความคิด และการตั้งเป้าหมาย รวมถึงการจัดล าดับความส าคัญของเรื่องต่าง ๆ ซึ่งนับว่าเป็นทักษะที่จ าเป็นอย่างมากในโลกยุคปัจจุบันนี้ ๔. การเรียนรู้แบบโครงการส่งเสริมกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ การเรียนรู้ แบบโครงการ จะช่วยให้ผู้เรียนก าหนดปัญหา สมมติฐาน ได้ร่วมมือกันวางแผนและใช้ ความคิดอย่างเป็นระบบตามหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดองค์ความรู้ใหม่ ๆ จากข้อสรุปต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นและน าไปสู่การน าเสนอแบบโครงการเรียนรู้ที่สร้างสรรค์ ๑๕ไพฑูรย์ สินลารัตน์, การศึกษา ๔.๐ เป็นยิ่งกว่าการศึกษา, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๙), หน้า ๑๘.


๓๓ ๕. ใช้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการจัดการเรียนการสอน โดยเน้นให้ผู้เรียนใช้ เทคโนโลยีอย่างมีวิจารณญาณและเกิดประโยชน์ ส่งเสริมการเรียนการสอนและมุ่งหมาย ให้ผู้เรียนเกิดองค์ความรู้ใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นได้ด้วยตัวเอง ๖. เน้นการก้าวสู่ขั้นของกระบวนการเรียนรู้แบบ Active learning กระบวนการ เรียนรู้แบบ Active Learning คือ กระบวนการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียน ได้เกิดการเรียนรู้ ด้วยการลงมือปฏิบัติ โดยมีครูคอยเป็นพี่เลี้ยงหรือเป็นโค้ชให้มากกว่าจะถ่ายทอดความรู้ ด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นขั้นที่ท าให้ผู้เรียนมีความคงทนในความรู้ได้ถึงกว่า ๑๐๐% เพราะเป็น ขั้นตอนของการเรียนรู้ที่ผู้เรียนนั้นเกิดองค์ความรู้ได้ด้วยตัวเองจากการกระท าต่าง ๆ ซึ่งองค์ความรู้ใหม่ที่ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้นี้เอง ซึ่งจะท าให้ผู้เรียนเกิดการสร้างสรรค์ นวัตกรรมเพิ่มมากยิ่งขึ้น จากยุทธศาสตร์การส่งเสริมสร้างสรรค์ทั้ง ๖ ข้อนี้คือรูปแบบการเรียนการ สอนที่สอดคล้องกับแนวคิดการศึกษาในยุคไทยแลนด์ ๔.๐ ที่ข้าพเจ้ามองว่า สามารถ น าไปประยุกต์ใช้ได้ไม่ยากนัก แม้ว่าการก้าวสู่ยุค ๔.๐ นั้นยังไม่มีสิ่งใดรับรองหรือการันตี ได้ว่า การเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดผลทางบวกหรือทางลบกับประเทศไทย แต่อย่างไรก็ ต้องยอมรับว่า กระแสการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของยุคสมัยนี้ ย่อมเป็นความกดดันที่เรา จะต้องรีบเปลี่ยนถ่ายสังคมไทย จากยุค ๓.๐ ให้ไปสู่ยุคไทยแลนด์ ๔.๐ ให้เร็วที่สุด เพื่อเพิ่มอ านาจการต่อรองกับนานาอารยประเทศในเรื่องต่าง ๆ ยิ่งเราเปลี่ยนถ่ายช้า การเติบโตของประเทศก็จะช้าไปด้วย ซึ่งไม่เป็นผลดีเลย กับโลกที่อยู่ในยุคสมัยแห่ง ความเจริญรวดเร็วเช่นนี้๑๖ ส าหรับมุมมองของ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช กล่าวว่า มิจฉาทิฐิที่ก่อความเสียหาย ที่สุดคือการเรียนรู้แบบตื้นยึดมั่นถือมั่นกับ วิชาหรือความรู้ (knowledge) การศึกษาหรือ การเรียนรู้สมัยใหม่ต้องไปให้ถึงการพัฒนาทักษะ (Skills) ที่เรียกรวม ๆ ว่าทักษะแห่ง ศตวรรษที่ 21 ย้ าว่าการศึกษา ...เปลี่ยนจากเน้นการสอนเป็นเน้นการเรียนและเน้นการ เรียนโดยการลงมือท า (Learning by Doing) และเรียนเป็นกลุ่มหรือเป็นทีม เพื่อพัฒนา ทักษะการท างานเป็นทีมและทักษะความร่วมมือกับผู้อื่น ทักษะการอยู่กับความแตกต่าง หลากหลาย ทักษะในการค้นคว้าหาความรู้มาลองใช้ เป็นต้น ซึ่งมหาวิทยาลัยยุคใหม่ก็ จ าเป็นต้องเน้นการจัดการศึกษาเพื่อ ออกไปท างานประกอบสัมมาชีพ เป็นพลเมืองดีของ สังคม บัณฑิตเหล่านี้ต้องมีทั้ง ความรู้วิชาที่เป็นแกน บวกกับทักษะอีก ๓ กลุ่ม คือ (๑) ทักษะชีวิตและทักษะอาชีพ ๑๖เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๐-๒๑.


๓๔ (๒) ทักษะการเรียนรู้ (๓) ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี โดยการเรียนรู้ศาสตร์สมัยใหม่ ต้องเรียนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตนเองจนเกิด ภาวะผู้น า มีทักษะในการน าการเปลี่ยนแปลง (Change Agent) ศตวรรษ 21 นี้ ผู้เรียนต้องมีความรู้ ใฝ่รู้ อยากเรียนรู้ รู้วิธีการเรียนรู้ ดังนั้น ต้องมีทักษะ "วิถีสร้างการเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์ในศตวรรษที่ 21" โดย ศ. นพ. วิจารณ์ พานิช มีดังนี้๑. ทักษะการเรียนรู้ (Learning skills) ๒. ทักษะการใช้ชีวิต (Life skills) ความรู้ของนักศึกษาในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย ๑. ความรู้ในสาระวิชาหลัก ประกอบด้วย ๑.๑ ภาษาแม่และภาษาส าคัญของโลก ๑.๒ ศิลปะ ๑.๓ คณิตศาสตร์ ๑.๔ เศรษฐศาสตร์ ๑.๕ ภูมิศาสตร์ ๑.๖ ประวัติศาสตร์ ๑.๗ รัฐและความเป็นพลเมืองที่ดี ๒. ความรู้ส าคัญในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย ๒.๑ ความรู้เกี่ยวกับโลก ๒.๒ ความรู้ด้านการเงิน เศรษฐศาสตร์ ธุรกิจและการเป็นผู้ประกอบการ ๒.๓ ความรู้ด้านการเป็นพลเมืองที่ดี ๒.๔ ความรู้ด้านสุขภาพ ๒.๕ ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม ๓. ทักษะส าคัญ ประกอบด้วย ๓.๑ ทักษะชีวิตและการท างาน คือ ๓.๑.๑ ความยืดหยุ่นและการปรับตัว ๓.๑.๒ การริเริ่มสร้างสรรค์และเป็นตัวของตัวเอง ๓.๑.๓ ทักษะด้านสังคมและทักษะข้ามวัฒนธรรม ๓.๑.๔ การเป็นผู้สร้างหรือผลิต และความรับผิดชอบเชื่อถือได้ ๓.๑.๕ ภาวะผู้น าและความรับผิดชอบ ๓.๒ ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม คือ ๓.๒.๑ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และนวัตกรรม


๓๕ ๓.๒.๒ การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา ๓.๒.๓ การสื่อสารและความร่วมมือ ๓.๓ ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี ๓.๓.๑ การใช้และประเมินสารสนเทศได้อย่างเท่าทัน ๓.๓.๒ วิเคราะห์และเลือกใช้สื่อได้อย่างเหมาะสม ๓.๓.๓ ใช้เทคโนโลยีใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้การเรียนรู้ต่าง ๆ ประสบความส าเร็จ จ าเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐาน ๔ ด้าน คือ ๑. มาตรฐานและการประเมินในศตวรรษที่ 21 ๒. หลักสูตรและการเรียนการสอนส าหรับศตวรรษที่ 21 ๓. การพัฒนาครุในศตวรรษที่ 21 ๔. สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเรียนรู้เดิม ศตวรรษที่ 21 เป้าหมาย ความรู้ ทักษะ การเรียนการสอน ครูเป็นหลัก นักเรียนเป็นหลัก Project Based Learning (PBL) ดังนั้น การบริหารการศึกษาศตวรรษที่ 21 ผู้บริหารต้องสามารถบริหารจัดการได้ เช่น สามารถจัดท าหลักสูตร ตารางเรียนที่บูรณาการเชื่อมโยงได้ พูดจูงใจให้ผู้สอนจัด กระบวนการเรียนรู้และท างานเป็นทีมได้ดี มีการสื่อสารกัน ทุกคนรู้เรื่องในสถานศึกษา พร้อมกันหมด ส าหรับ ระบบการนิเทศ (Supervision) เป็นลักษณะ Peer Supervision คือ เพื่อนนิเทศเพื่อน ให้มีลักษณะเป็นการช่วยเหลือแบบพี่เลี้ยง (Mentor) ระบบ Peer Supervision หรือ Mentor จะเน้นการเป็นเพื่อน ซึ่งความหมายของกัลยาณมิตรนิเทศ นั้นเป็นการนิเทศที่มุ่งการพัฒนาคนมากกว่าการพัฒนาเอกสารและผลงาน สูตรของ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ประเวศ วะสี ในการพัฒนาผู้สอนประกอบด้วย INN (Information/Node/Network) คือ ๑) การพัฒนา Information คือพัฒนาความรู้ข่าวสารข้อมูลต่าง ๆ ให้แก่ ผู้สอน ๒) การสร้าง Node คือจุดที่จะกระจายความรู้ Fop node ที่จะช่วยแบ่ง เบาภาระของผู้บริหาร เช่น กลุ่มผู้สอนที่ช านาญในเรื่องต่าง ๆ พร้อมที่จะกระจายการ ปฏิรูปการเรียนรู้ภายในสถานศึกษาต่อไป ๓) การสร้าง Network คือ การขยายเครือข่ายออกไปให้มาก ถ้าเราใช้สูตร INN ของ นพ.ประเวศ ก็จะท าให้ผู้บริหารสถานศึกษา ไม่รวมศูนย์อยู่ที่ผู้บริหาร แต่


๓๖ กระจายลักษณะการนิเทศออกไปสู่กลุ่มต่าง ๆ ในสถานศึกษาและครอบคลุมผู้สอนทั้ง สถานศึกษา (ทดสอบ)๑๗ ๒.๕ การบริหารการศึกษาของวัดในยุคไทยแลนด์ ๔.๐ โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญ จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติพ.ศ. ๒๕๔๒ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕ และ(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๒ กล่าวไว้ว่านอกเหนือจากรัฐ เอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ บุคคลครอบครัวองค์กรชุมชนองค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถาน ประกอบการและสถาบันสังคมอื่น มีสิทธิในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทั้งนี้ให้เป็นไป ตามที่ก าหนดในกฎกระทรวง และก าหนดไว้ด้วยว่าการจัดการศึกษามีทั้งการศึกษาใน ระบบ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ซึ่งต้องเน้นความส าคัญทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้และบูรณาการตามความเหมาะสมของแต่ละระดับการศึกษา ในขณะที่สังคมไทยมีวัดในทางพระพุทธศาสนา ที่มีบทบาทส าคัญอย่างยิ่งต่อวิถีชีวิตของ คนไทยทั้งในอดีตและปัจจุบัน วัดสามารถจัดการศึกษาตามแนวสากลผสมผสานกับ การศึกษาตามแนวดั้งเดิม ในพระพุทธศาสนาได้เป็นอย่างดีดังเช่นการจัดการศึกษาใน รูปแบบของโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา ที่ท าหน้าที่จัดการศึกษาส าหรับ พระภิกษุสามเณรในวัดส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (๒๕๖๐) ทั่วประเทศมี โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษามากกว่า ๔๐๙ แห่ง และมีครูประจ าการ ๒,๓๒๒ รูป/คน ท าหน้าที่อบรมสั่งสอนพระภิกษุสามเณร ด้านวิชาการทางโลกควบคู่ไป กับการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม ภายใต้การสังกัดส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เนื่องจากโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา เป็นโรงเรียนที่จัดตั้งขึ้นใน วัด และผู้มีอ านาจในการบริหารจัดการเป็นพระภิกษุหรือเจ้าอาวาสวัด การจัดการเรียน การสอนยังใช้รูปแบบเดิม ๆ สอนตามคู่มือครูและยังขาดการน าเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนใน การจัดการเรียนการสอน ส่วนด้านบุคลากรมีการย้ายเข้าย้ายออกอยู่บ่อยครั้ง ไม่มั่นคงท า ให้การจัดการเรียนการสอนไม่ต่อเนื่อง สอดคล้องกับงานวิจัยของ โกศล เพียสา (๒๕๕๕) ได้เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาแนวทางการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนพระ ปริยัติธรรม จากการสัมภาษณ์จ าแนก ๓ ด้าน คือ ด้านปัจจัย ด้านกระบวนการ และด้าน ผลผลิต มีดังนี้ ๑๗จ านง อดิวัฒนสิทธิ์, สังคมวิทยาตามแนวพุทธศาสตร์, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร: ส านักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๕๕), หน้า ๒๓-๒๔.


๓๗ ๑.๑ ด้านปัจจัย ได้แก่ มาตรฐานที่ ๘ ครูมีคุณลักษณะ/ความรู้ความสามารถ ตรงกับงานที่รับผิดชอบและมีครูเพียงพอ โดยมีแนวทางในการพัฒนา ดังนี้ ๑) การจัดครูผู้สอนให้ตรงตามวิชาเอกวิชาโท หรือความถนัด โดยเชิญ บุคคลภายนอกมาสอนร่วม และรับครูให้ตรงกับสาขา ให้มีการอบรมครูที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อพัฒนาสมรรถภาพงานที่รับผิดชอบ ๒) พัฒนาครูในวิชาที่สอนตามที่คุรุสภาก าหนด โดยสนับสนุนให้มีการศึกษา ค้นคว้าแสวงหาความรู้และเทคนิคใหม่ๆ ในการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเองและส่งเข้าร่วม ประชุม สัมมนาอบรม หรือร่วมกิจกรรมทางวิชาการ การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในที่ ประชุม ๓) พัฒนาครูให้มีจ านวนครูตามเกณฑ์ โดยอาจเชิญบุคคลภายนอกมาสอน จ้างครูพิเศษในรายวิชาที่ขาด และดึงศิษย์เก่ามาช่วยสอน ๑.๒ ด้านกระบวนการ ได้แก่ มาตรฐานที่ ๑๒ โรงเรียนมีการจัดกิจกรรมและ การเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ โดยมีแนวทางในการพัฒนา ดังนี้ ๑) พัฒนาโรงเรียนให้มีการจัดสภาพแวดล้อมและการบริการที่ส่งเสริมให้ ผู้เรียนพัฒนาตามธรรมชาติเต็มศักยภาพ โดยมีการปรับภูมิทัศน์ เพื่อให้สถานที่พร้อม รองรับการจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสม และมีการไปศึกษานอกสถานที่ ๒) พัฒนาโรงเรียนให้มีการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ เริ่มจัดส่งครูไปศึกษาดูงาน ร่วมกับโรงเรียนภายนอก ท าวิจัยในชั้นเรียน และใช้กิจกรรม เพื่อให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ ๓) พัฒนาโรงเรียนให้มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมคุณภาพผู้เรียนอย่าง หลากหลาย โดยมีการจัดกิจกรรมเชิญบุคคลมาให้ความรู้และมีการออกไปทัศนะศึกษา ๑.๓ ด้านผลผลิต ได้แก่ มาตรฐานที่ ๓ ผู้เรียนมีสุนทรียภาพ และลักษณะนิสัย ด้านศิลปะดนตรีและกีฬา โดยมีแนวทางในการพัฒนา ดังนี้ ๑) พัฒนาให้ผู้เรียนมีความสนใจและเข้าร่วมกิจกรรมของสงฆ์โดยเป็น หน้าที่ความรับผิดชอบ และเป็นสิ่งที่ต้องท าและมีกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาก็จะ ให้สามเณร เข้าไปมีส่วนร่วมกิจกรรมสงฆ์ ๒) พัฒนาให้ผู้เรียนสนใจและเข้าร่วมกิจกรรมศิลปวัฒนธรรม และประเพณี ที่ดีงามของท้องถิ่นและของไทย ส่งเสริมสนับสนุนให้สามเณรไปช่วยงานกิจกรรมของ ท้องถิ่น และมอบหมายงานให้ต้องเข้าร่วมกิจกรรมศิลปวัฒนธรรม และประเพณีที่ดีงาม ของท้องถิ่น


๓๘ ๓) พัฒนาให้ผู้เรียน มีความสนใจและเข้าร่วมกิจกรรมด้านศิลปะ ก็จะมีการ เชิญวิทยากรมาบรรยายเพื่อให้เด็กมีหลักการด้านศิลปะ ส่งเสริมให้มีกิจกรรม และมีการ ส่งผลงานศิลปะเข้าไปประกวด เพื่อให้โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษาก้าวทันการเปลี่ยนแปลง และ พัฒนาศักยภาพการจัดการศึกษาตามนโยบายไทยแลนด์๔.๐ ต้องพัฒนาโดยน าขบวนการ หรือเทคนิคสมัยใหม่เข้ามาแก้ปัจจัย ๓ ด้านที่มีผลต่อการพัฒนาคือ ด้านปัจจัย ด้าน กระบวนการและด้านผลผลิต ให้มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ๒.๖ แนวโน้มการบริหารการศึกษาในยุคไทยแลนด์ ๔.๐ เมื่อมองถึงพัฒนาการของสังคมไทย ผ่านความเป็นประเทศไทย ๑.๐ ๒.๐ และ ๓.๐ ซึ่งถูกก าหนดแนวทางการพัฒนาด้วยแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมา ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๔ จะพบว่า แม้ว่าในบางช่วงของแผนจะประสบความส าเร็จในการ พัฒนา เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในแผนฉบับแรก ๆ และการสร้างความเจริญ เติบโต และรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพในแผน ฉบับที่ ๖-๗ แต่ปัญหาที่ส าคัญที่สุดประการหนึ่งของการพัฒนาสังคมไทย ก็คือการพัฒนาคน ให้มีศักยภาพในการที่จะพัฒนาประเทศ จะเห็นได้ว่าในแผนฉบับที่ ๘ เป็นต้นมา จะเน้น การพัฒนาที่มุ่งให้ “คนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา” และใช้เศรษฐกิจเป็นเครื่องมือช่วย พัฒนาคนให้มีความสุข และมีคุณภาพชีวิตที่ดี รวมทั้งการพัฒนาที่บูรณาการแบบองค์รวม เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เมื่อพิจารณาในแง่มุมของพระพุทธศาสนาในฐานะสถาบันหลักหนึ่งในสังคมไทย ที่ได้เข้ามามีบทบาทต่อการพัฒนาสังคมไทย ก็จะพบว่า ในอดีตพระพุทธศาสนาประสบ ความส าเร็จในการสร้างความอยู่ดีมีสุขให้กับสังคมไทย จนคนไทยมีลักษณะนิสัยที่ เด่นชัด คือ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ชอบสนุกและชอบท าบุญ ซึ่งนับเป็นความวิเศษอย่าง หนึ่งของวัฒนธรรมไทย ที่สามารถบูรณาการความสนุกกับแนวคิดทางพระพุทธศาสนา ในเรื่องบุญเข้าด้วยกัน ดังปรากฏในประเพณีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานบวชนาค งานแต่งงาน งานวันสงกรานต์ เป็นต้น ต่อมาเมื่อสังคมไทยได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการพัฒนาประเทศ โดยมุ่งการ พัฒนาที่เน้นวัตถุตามแบบอย่างตะวันตก พระพุทธศาสนาก็เริ่มสูญเสียบทบาทที่มีต่อการ พัฒนาประเทศอย่างที่เคยเป็นมา เนื่องจากสังคมไทยไปต้อนรับวัฒนธรรมตะวันตก สังคมไทยเริ่มมีปัญหามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการรับเอาความเจริญก้าวหน้าแบบตะวันตก


๓๙ เข้ามา ทั้งนี้เพราะสังคมไทยไม่ได้มีภูมิหลังและรากฐานความเจริญทางสังคมอุตสาหกรรม และไม่มีวัฒนธรรมอุตสาหกรรมแบบตะวันตก ท าให้สังคมไทยมีสภาพที่นักวิชาการ เรียกว่า “ทันสมัยแต่ไม่พัฒนา-Modernization Without Development" คือการที่ ประเทศไทยมีความทันสมัยจริงแต่ภายนอก แต่ในเนื้อหาแล้วไม่ได้พัฒนาให้เกิดขึ้นใน สังคมของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นระบบการศึกษา การเมืองการปกครอง ระบบเศรษฐกิจ เป็นต้น สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) วัดญาณเวศกวัน ได้วิเคราะห์ไว้ว่า การที่สังคมไทยได้รับเอาความเจริญแบบตะวันตกเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดทางด้าน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ระบบอุตสาหกรรม ท าให้สังคมไทยรับเอาความเจริญตาม แบบอย่างตะวันตกอย่างเต็มที่ แต่การรับเอาวัฒนธรรมดังกล่าวนั้น ไม่สอดคล้องกับภูมิ หลังของสังคมไทย เพราะคนไทยมักจะรับในเข้ามาในแง่ของการเสพบริโภค หรือรับเอา แต่สิ่งที่เป็นเครื่องอ านวยความสะดวกสบาย ท าให้คนไทยที่แต่เดิมมีวัฒนธรรมแบบ เกษตรกรรม และมีความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายอยู่แล้ว กลับเสพติดความสบายจาก วัฒนธรรมตะวันตกมากยิ่งขึ้นและกลายเป็นคนมักง่ายมากยิ่งขึ้น โดยขาดพื้นฐานของ วัฒนธรรมวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมอุตสาหกรรมที่เป็นวัฒนธรรมแห่งการใฝ่รู้และสู้ สิ่งยาก นอกจากนี้แล้ว ลักษณะเดิมของสังคมไทยที่มีวัตถุพรั่งพร้อม (ในน้ ามีปลา ในนา มีข้าว) ไม่มีความบีบรัดทางเศรษฐกิจ มีความเป็นอยู่ที่สุขสบาย เพราะมีวัตถุเสพบริโภคที่ พรั่งพร้อมที่จะบ ารุงบ าเรอร่างกาย ลักษณะเช่นนี้ไปกันได้ด้วยดีกับการรับเอาเทคโนโลยี จากต่างชาติ ที่เข้ามาพร้อมกับกระแสบริโภคนิยม และสอดคล้องกับกระแสความเชื่อใน เรื่องไสยศาสตร์ในสังคมไทยที่มีมาแต่เดิม เกิดเป็นวัฒนธรรมเทคโนโลยีผสานไสยศาสตร์ คือ การพึ่งพาสิ่งภายนอก โดยที่ไม่ต้องลงมือท าการ สังคมไทยจึงเป็นสังคมที่รอผลดล บันดาล พึ่งพาอ านาจภายนอกต่าง ๆ สังคมไทยจึงตกอยู่ในสภาพความอ่อนแอ ขาดความ เข้มแข็งที่จะไปพัฒนาประเทศ กระบวนทัศน์ในการพัฒนาประเทศภายใต้ “ประเทศไทย ๔.๐” ซึ่งเป็นนโยบายที่ เป็นการวางรากฐานการพัฒนาประเทศในระยะยาว เป็นจุดเริ่มต้นในการขับเคลื่อนไปสู่ การเป็นประเทศที่มั่งคั่ง มั่นคง และยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์รัฐบาลนั้น สาระส าคัญที่สุด ย่อม อยู่ที่การพัฒนาคนให้มีศักยภาพหรือคุณภาพในการที่จะไปพัฒนาในภาคส่วนต่าง ๆ ให้เป็นไปตามนโยบายที่วางไว้นั่นเอง สิ่งที่สังคมไทยจะต้องด าเนินการอีกประการหนึ่งก็คือ การรักษาวัฒนธรรมแห่ง เมตตาให้คงอยู่อย่างยั่งยืน ได้แก่ การรักษาความมีน้ าใจ ความรัก ความปรารถนาดี


Click to View FlipBook Version