The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ภาวะผู้นำทางการศึกษาบนพื้นฐานแนวคิดจากพระไตรปิฏก
รองศาสตราจารย์ ดร. สุทธิพงษ์ ศรีวิชัย
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 24-Chinaporn Nakorn, 2023-06-16 11:07:10

ภาวะผู้นำทางการศึกษาบนพื้นฐานแนวคิดจากพระไตรปิฏก

ภาวะผู้นำทางการศึกษาบนพื้นฐานแนวคิดจากพระไตรปิฏก
รองศาสตราจารย์ ดร. สุทธิพงษ์ ศรีวิชัย
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

๑๔๐ ๓) จิตภาวนา (การเจริญจิต, พัฒนาจิต, การฝึกอบรมจิตใจให้เข้มแข็ง มั่นคง เจริญงอกงาม ด้วยคุณธรรมทั้งหลาย เช่น มีเมตตา กรุณา ขยันหมั่นเพียร อดทนมีสมาธิ และสดชื่นเบิกบาน เป็นสุขผ่องใสเป็นต้น และ ๔) ปัญญาภาวนา (การเจริญปัญญา, พัฒนาปัญญา, การฝึกอบรมปัญญา ให้รู้ เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง รู้เท่าทันเห็นโลกและชีวิตตามสภาวะ สามารถท าจิตใจให้ เป็นอิสระ ท าตนให้บริสุทธิ์จากกิเลส และปลอดพ้นจากความทุกข์ แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ได้ด้วยปัญญา๑๘ มนุษย์ต้องมีการฝึกพัฒนาตนทั้งทางกายและจิต จนเกิดองค์คุณธรรมภายในตน ตามหลักการพัฒนาตน หรือภาวนา ๔ และการพัฒนาจะต้องด าเนินไปพร้อม ๆ กัน ๔ ทาง คือ ๑. การพัฒนาทางด้านกายภาพ (Physical development) เป็นกระบวนการ สร้างความเจริญงอกงามทางร่างกาย การฝึกอบรมร่างกายให้รู้จักติดต่อกับสิ่งภายนอก ด้วยดี และปฏิบัติต่อสิ่งภายนอกเหล่านั้นในทางที่เป็นคุณ มิให้เกิดโทษ ให้กุศลธรรมเจริญ งอกงามและก าจัดให้อกุศลธรรมเสื่อมสูญไป สิ่งภายนอกที่มีบทบาทต่อชีวิตมนุษย์ก็ คือ อารมณ์ภายนอกทั้ง ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส จุดมุ่งหมายของการพัฒนาในข้อนี้ ก็คือการท าให้บุคคลรู้จักวิธีการเกี่ยวข้องกับอารมณ์ภายนอกทั้ง ๕ อย่างนี้อย่างถูกต้อง เหมาะสมและเป็นคุณประโยชน์ต่อการพัฒนาชีวิตให้เจริญก้าวหน้าสูงขึ้น ๒. การพัฒนาทางด้านศีลธรรม (Moral development) เป็นกระบวนการ ฝึกอบรมบุคคลให้มีศีล ให้ตั้งอยู่ในระเบียบวินัย ไม่เบียดเบียนบุคคลอื่น สามารถอยู่ ร่วมกับบุคคลอื่นได้เป็นอย่างดีมีความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลต่อบุคคลอื่น ๓. การพัฒนาทางด้านจิตใจหรือทางด้านอารมณ์ (Spiritual or emotional development) เป็นความพยายามที่จะฝึกอบรมจิตใจให้เข้มแข็ง ให้มีความมั่นคง และมี ความเจริญงอกงามด้วยคุณธรรมทั้งหลาย เช่น มีเมตตากรุณา มีความขยันหมั่นเพียร มีความอดทน มีสมาธิ มีความสดชื่นเบิกบาน มีความสงบสุข แจ่มใส เป็นต้น การพัฒนา ทางด้านจิตใจที่บางทีเรียกว่า การพัฒนาอารมณ์ ๔. การพัฒนาทางด้านสติปัญญา (Intellectual development) เป็น กระบวนการในการฝึกอบรมให้รู้และเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง ผู้ที่มีความ รู้เท่าทัน เห็นแจ้งโลกและชีวิตตามสภาพของมัน สามารถท าจิตใจให้เป็นอิสระ และ ๑๘พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, พิมพ์ ครั้งที่ ๑๒, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑), หน้า ๗๐.


๑๔๑ บริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลสเศร้าหมอง และท าตนให้ปลอดพ้นจากความทุกข์ ท าตนให้มี ความสุข สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถท าตนให้อยู่ เหนือปัญหา เหนือความขัดแย้ง และพัฒนาส่วนรวมให้มีความสงบ มีความเสมอภาคและ มีความเป็นประชาธิปไตยอย่างมีคุณภาพ๑๙ สรุปได้ว่า ภาวนา ๔ เป็นหลักธรรมที่ผู้ปฏิบัติผู้ได้ปฏิบัติตามได้แล้วจะมีผลดีทั้งสิ้น โดยการปฏิบัติสีลภาวนา สมาธิภาวนา ปัญญาภาวนา และกายภาวนา จากการท างาน ทุกอาชีพนั้นต้องมีหลักต้องมีทั้ง สีล สมาธิ ปัญญา และกาย ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้การท างาน ต่าง ๆ ก็ไม่อาจประสบผลส าเร็จก็เป็นไปได้ ๗.๖ หลักศีล ๕ ส าหรับการพัฒนาภาวะผู้น า หลักศีล ๕ หรือเบญจศีลซึ่งจะคู่กับเบญจธรรมเสมอส าหรับการพัฒนาภาวะ ผู้น าในการพัฒนา หมายถึง การปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างให้ดีขึ้น โดยอาจเป็นสิ่งที่ยังไม่ดีให้กลายเป็นดีหรือสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนา ตนเอง ซึ่งอาจมองได้เป็น ๒ ทาง คือ การพัฒนาตนให้เป็นคนดี กับ การพัฒนาตนให้เป็น คนเก่ง พระพุทธศาสนามีหลักธรรมที่ส่งเสริมให้มนุษย์สามารถพัฒนาตนให้เป็นทั้งคนดี และคนเก่ง อยู่มากมาย เป็นคนมีคุณธรรมและจริยธรรม หลักธรรมส าหรับการพัฒนาตน ให้เป็นคนดีได้แก่ ศีล ๕ ศีล (Morality) ตามความหมายในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จุฬนิเทส ดังที่พระสารีบุตรได้กล่าวถึงศีลว่า “ศีล” หมายถึง การปฏิบัติของภิกษุที่มีความส ารวมใน โอวาทปาฏิโมกข์ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร เห็นภัยในโทษทั้งหลายแม้มีประมาณ เล็กน้อย สมาทานอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ความส ารวม ความระวัง ความไม่ก้าวล่วง ในสิกขาบททั้งหลาย ซึ่งหมายถึงการส ารวมกาย วาจา ใจ๒๐ และ ในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พระสารีบุตรได้ให้ความหมายไว้ว่า ศีล คือ เจตนาเป็นศีล เจตสิกเป็นศีล ความส ารวมเป็นศีล ความไม่ก้าวล่วงเป็นศีล๒๑ ๑๙จ านงค์ อดิวัฒนสิทธิ์,สังคมวิทยาตามแนวพุทธศาสตร์, (กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๕), หน้า ๑๖๓-๑๖๔.๒๐ดูรายละเอียดใน, ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๙๒/๒๐.๒๑ดูรายละเอียดใน, ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๘๙/๓๔.


๑๔๒ ศีลขั้นพื้นฐานส าหรับมนุษย์ ได้แก่ ศีล ๕ มีสาระมุ่งไปเพื่อการไม่เบียดเบียน ซึ่งเป็นขั้นเริ่มต้นของการสร้างสภาพแวดล้อมทางสังคมที่เกื้อกูลศีล ต่อจากนั้นจะเป็นการ เน้นการเกื้อกูลสิ่งแวดล้อมและความเป็นอยู่ส่วนตัว และการฝึกหัดขัดเกลา (กิเลส) ตนเอง การรักษาศีลมีเป้าหมายหลัก ๒ ประการ คือ ขัดเกลากิเลสพัฒนาตนเองให้เป็นคนดี สามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างสันติสุข และเพื่อเกื้อกูลประโยชน์ต่อผู้อื่นและต่อ สังคม๒๒ การพัฒนาระบบของศีล เป็นการพัฒนาในขั้นศีล ได้แก่ การเว้นชั่ว ประพฤติดี ปฏิบัติเพื่อความปกติสงบเรียบร้อยไม่ท าให้ตนและผู้อื่นเดือนร้อน ข้อปฏิบัติเหล่านี้เรียกว่า ศีลสิกขา แปลว่า สิ่งที่ควรศึกษาอบรม เป็นขั้นศีล พัฒนสรณ เกียรติฐิติคุณ ได้ศึกษาเรื่อง “รูปแบบการบูรณาการหลักพุทธธรรม ในการพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เทศกิจ กรุงเทพมหานคร” พบว่า มีการบูรณาการหลักพุทธธรรมในการปฏิบัติงานโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณา โดยเรียงตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย พบว่า การบูรณาการหลักศีลในการจัดระเบียบ เพื่อควบคุมพฤติกรรมทั้งทางกาย วาจา ใจ ในการปฏิบัติงาน เพื่อให้เป็นไปตามนโยบาย การจัดระเบียบเมืองให้ทุกคนสามารถใช้ที่สาธารณะร่วมกันอย่างปลอดภัย โดยการควบคุม ภายในตนของเจ้าหน้าที่๒๓ การน าหลักศีลมาพัฒนา เพื่อการฝึกฝนพัฒนาด้านพฤติกรรม หมายถึง การ พัฒนาพฤติกรรมทางกายและวาจาให้มีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมอย่างถูกต้องมีผลดี สิ่งแวดล้อมที่เราเกี่ยวข้องสัมพันธ์ มี ๒ ประเภทคือ ๑) สิ่งแวดล้อมทางสังคม ได้แก่ เพื่อนมนุษย์ รวมทั้งสัตว์อื่น ๒) สิ่งแวดล้อมทางวัตถุ ได้แก่ ปัจจัย ๔ เครื่องใช้วัสดุ อุปกรณ์ต่าง ๆ รวมทั้งเทคโนโลยี และสิ่งทั้งหลายที่มีในธรรมชาตินอกจากนี้ขอบเขต ของศีลไม่ได้มีเฉพาะขอบเขตทางกายและวาจาที่ปรากฏภายนอก คือถ้าภายนอก เรียบร้อยตามวินัย แม้ใจจะเสียไปบ้างก็ไม่นับว่าเสียในส่วนศีล ๒๒พระเมธีวราภรณ์ (สุทัศน์ วรทสฺสี), เบญจศีลเบญจธรรม: อุดมชีวิตของมนุษย์, (กรุงเทพมหานคร: ส านักพิมพ์ต้นบุญ, ๒๕๕๑), หน้า ๔๒-๔๓.๒๓พัฒนสรณ เกียรติฐิติคุณ, “รูปแบบการบูรณาการหลักพุทธธรรมในการพัฒนาประสิทธิภาพ การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เทศกิจกรุงเทพมหานคร”, ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชา รัฐประศาสนศาสตร์, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๘), บทคัดย่อ.


๑๔๓ ดังนั้น ศีล จึงหมายถึง ข้อก าหนดหรือข้อปฏิบัติเบื้องต้นในการเว้นจากท าชั่วโดย การรักษา กายและวาจาให้เป็นปรกติ เพื่อช่วยให้กิจกรรมของสังคมด าเนินไปได้อย่าง ปรกติสุขทังส่วนปัจเจกบุคคลและสังคมโดยส่วนรวม ศีล ๕ นั้นประกอบด้วย ๑. ปาณาติปาตา เวรมณี เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ๒. อทินฺนาทานา เวรมณี เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการลักทรัพย์ ๓. กาเมสุ มิจฺฉาจารา เวรมณี เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการประพฤติผิด ในกาม ๔. มุสาวาทา เวรมณี เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการพูดเท็จ ๕. สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณี เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการดื่ม น้ าเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท๒๔ การน าหลักศีล ๕ มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาภาวะผู้น าเพื่อให้เป็นแบบอย่างที่ดี แก่ผู้อื่นและสังคม มีจิตอาสา มีความเสียสละในการท างาน ซึ่งผู้วิจัยได้สังเคราะห์จาก เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง มีความสอดคล้องกับหลักศีล ๕ สามารถสรุปได้ดังนี้ ณัฐชนันตร์ อยู่สีมารักษ์ได้ศึกษาเรื่อง “รูปแบบการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตาม หลักพุทธธรรมของสถานศึกษาของรัฐสังกัดกรุงเทพมหานคร” พบว่า รูปแบบการพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์ด้านศีล เน้นพัฒนาบุคลากรให้มีความดีและความเก่ง แต่ขอให้ดีน าหน้า เพราะคนดีสามารถพัฒนาได้ คนเก่งอาจไม่ดี ถ้าดีน าก่อนก็จะดีในทุก ๆ อย่างในการ บริหารเพื่อการพัฒนาคน ต้องใช้ทั้งหลักปรัชญาและศาสตร์ ความสามารถในการบริหาร ต้องทั้งฉลาดและเฉลียว มีการวางแผนการพัฒนาทางความรู้ในทางพุทธศาสนามีวัฒนธรรม องค์กร มีบริบทต่าง ๆ ต้องดูหลาย ๆ อย่าง น าหลักปรัชญามาช่วยในการบริหารจัดการ ก็จะช่วยในการส่งเสริมให้ข้าราชการครูมีพฤติกรรมดีและความรู้ดีอีกด้วย๒๕ อัจฉรา หล่อตระกูล ได้ศึกษาเรื่อง “การพัฒนาสมรรถนะพนักงานมหาวิทยาลัย ของรัฐ” พบว่า การพัฒนาสมรรถนะด้านคุณธรรมและจริยธรรมแก่พนักงานมหาวิทยาลัย ของรัฐด้วยศีลธรรม คือข้อปฏิบัติส าหรับฝึกอบรมในทางความประพฤติ การพัฒนา ๒๔ดูรายละเอียดใน, ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๒๘๖/๒๒๕.๒๕ณัฐชนันตร์ อยู่สีมารักษ์, “รูปแบบการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามหลักพุทธธรรมของ สถานศึกษาของรัฐสังกัดกรุงเทพมหานคร”, ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐ ประศาสนศาสตร์, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๙), หน้า ๒๓๑.


๑๔๔ สมรรถนะด้านการยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรม โดยใช้ศีล คือ รู้จักการด ารงชีวิตโดย น าหลักศีลธรรม เป็นแนวทางในการปฏิบัติตน๒๖ วีรชัย อนันต์เธียร ได้วิจัยเรื่อง “กลยุทธ์การพัฒนาจริยธรรมสาหรับเยาวชนไทย” ผลการศึกษา พบว่า ควรสร้างกิจกรรมที่น่าสนใจให้กับเยาวชน เพื่อให้เยาวชนเกิดความ สนใจและให้ความร่วมมือในการท ากิจกรรม โดยใช้กิจกรรมนอกหลักสูตร เช่น ให้เยาวชน มีโอกาสเรียนรู้ธรรมะผ่านกิจกรรมอย่างสนุกและมีสาระ โดยสร้างส านึกที่ดีให้เกิดกับ จิตใจด้วยศีล ๕ หิริโอตตัปปะ พรหมวิหาร ๔ ฝึกให้เยาวชนได้ท าความดีทุกวันโดยใช้ มงคล ๓๘ ประการ กระตุ้นให้เยาวชนด าเนินชีวิตอย่างมีทิศทางและเป้าหมาย โดยใช้ หลักอิทธิบาท ๔ สร้างวินัยในการด าเนินชีวิตประจ าวันด้วยไตรสิกขา เบญจศีล เบญจธรรม และสังคหวัตถุ ๔ สอนให้เยาวชนส านึกรู้บุญคุณคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บิดา มารดา ครู อาจารย์ ด้วยหลักของกตัญญูกตเวทีหรือการบวชสามเณร หรือเข้าค่ายต่าง ๆ ซึ่งจะท า ให้เยาวชนมีโอกาสได้ปฏิบัติจริงและเพิ่มความสนใจของกิจกรรมนั้น และจัดกิจกรรม “บวร” โดยจะทาให้การสอนธรรมะให้กับเยาวชนมีความต่อเนื่องกันระหว่างบ้าน วัด และ โรงเรียน๒๗ เฉลียว รอดเขียว และคณะ ได้วิจัยเรื่อง “การประยุกต์หลักพุทธธรรมในการ พัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวบ้านในชุมชนตลาดวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ อ าเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก” ผลการศึกษา พบว่า มีการน าหลักธรรมเข้ามาปรับประยุกต์ใช้ในการ ด าเนินชีวิตของชาวบ้าน เช่น เบญจศีล เบญจธรรม สุจริต ๓ เป็นต้น ซึ่งเมื่อน าไปประยุกต์ ใช้ส่วนใหญ่ชาวบ้านพยายามหลีกเลี่ยงพฤติกรรม การดื่มสุราและของมึนเมา การเที่ยว เตร่ในเวลากลางคืน การเล่นการพนันในรูปแบบต่าง ๆ และการคบเพื่อนที่มีลักษณะ พฤติกรรมไม่ดีละเว้นการกระท าละเมิดกรรมสิทธิ์ในร่างกายผู้อื่น สัตว์อื่น พูดเท็จ โกหก หลอกลวงผู้อื่น๒๘ ๒๖อัจฉรา หล่อตระกูล, “การพัฒนาสมรรถนะพนักงานมหาวิทยาลัยของรัฐ”, ปริญญาพุทธ ศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย, ๒๕๕๙), หน้า ๒๐๐.๒๗วีรชัย อนันต์เธียร, “กลยุทธ์การพัฒนาจริยธรรมสาหรับเยาวชนไทย”, พุทธศาสตรดุษฎี บัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย, ๒๕๕๘).๒๘เฉลียว รอดเขียว และคณะ, “การประยุกต์หลักพุทธธรรมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของ ชาวบ้านในชุมชนตลาดวัดพระศรีรัตนมหาธาตุอ าเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก”, รายงานการวิจัย, (สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๙), หน้า ๙๙ – ๑0๑.


๑๔๕ สรุปได้ว่า การน าศีล ๕ มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาภาวะผู้น า สามารถพัฒนา สมรรถนะทางกาย และทางวาจา ให้มีความสงบ เรียบร้อย การปฏิบัติอยู่ในกฎระเบียบที่ สวยงาม ไม่เบียดเบียนเพื่อนร่วมงาน ไม่ทุจริตในหน้าที่ มาปฏิบัติงานตรงเวลา เป็น แบบอย่างที่ดีของผู้อื่น ไม่พูดเท็จ ตั้งใจท างานอย่างมีความสุข น าไปสู่การยอมรับของ บุคคลทั่วไป ซึ่งมีผลต่อการยกย่องสรรเสริญในทางปฏิบัติบุคคลนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็น บรรพชิตหรือคฤหัสถ์ หากสามารถที่จะฝึกปฏิบัติสมาทานรักษาศีลในระดับของตน ก็ย่อมมีผลในทางบวกได้ เช่น พฤติกรรมที่สังคมยอมรับมีความกล้าหาญ มีความมั่นใจใน การท ากิจกรรมร่วมกันบุคคลอื่น ๆ เพราะเมื่อผู้ที่รักษาศีลได้อย่างครบถ้วนได้ส ารวจ ตรวจสอบตนเองและไม่พบข้อบกพร่องในตนเอง ก็ย่อมมีความภาคภูมิใจเกิดความอิ่มใจ อยู่เนื่องนิจ ๗.๖.๑ หลักสังคหวัตถุ๔ ส าหรับการพัฒนาภาวะผู้น า สังคหวัตถุ ๔ เป็นหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนาเป็นหลักธรรมที่มีคุณค่าและ ประโยชน์มากมาย ซึ่งมีทั้งหลักธรรมที่ใช้ส าหรับประพฤติปฏิบัติของแต่ละบุคคล และ หลักธรรมที่ใช้ส าหรับการอยู่ร่วมกันของกลุ่มคนให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข โดยเฉพาะหลักสังคหวัตถุ ๔ แปลว่าวิธีสงเคราะห์ หมายถึง วิธีปฏิบัติเพื่อยึดเหนี่ยวน้ าใจ คนอื่นที่ยังไม่เคยรักใคร่นับถือ หรือที่รักใคร่นับถืออยู่แล้วให้สนิทแนบยิ่งขึ้น มี๔ ประการ ดังนี้ สังคหวัตถุ ซึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในสูตร สูตรที่ว่าด้วยสังคหวัตถุ ไว้ว่า ภิกษุทั้งหลายสังคหวัตถุ ๔ (ธรรมเครื่องยึดเหนี่ยว) ประการแล ทาน เปยยวัชชะ อัตถจริยา ในโลกนี้ และ สมานัตตาในธรรมนั้น ๆ ตามสมควร สังคหธรรมเหล่านี้แลจัก ช่วยอุ้มชูโลกไว้แบบ โอบอ้อมอารี มีวจีเพราะ สงเคราะห์ผู้คนและวางตนเหมาะสมไว้ ตราบนานเท่านาน๒๙ การที่น าหลักสังคหวัตถุ ๔ มาประยุกต์ใช้กับการให้ท างานเป็นทีมนั้นประกอบด้วย ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา และสมานัตตา อันเป็นหัวใจส าคัญในการให้การท างานเป็นทีม เพื่อให้เกิดความพอใจของผู้ร่วมงานด้วย ซึ่งปัจจัยส าคัญก็คือบุคลากรของโรงเรียนพระ ปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ต้องมีคุณธรรม ๔ ประการ คือ ๑. ทาน (Giving; Generosity; Charity) การให้การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เสียสละ แบ่งปันช่วยเหลือกัน หรือให้ความรู้ แนะน า ด้วยน้ าใจไมตรี จะช่วยผูกใจคนไว้ได้ ๒๙ดูรายละเอียดใน, องฺ. จตุกฺก.(ไทย) ๒๑/๓๒/๕๐-๕๑


๑๔๖ การท าทานไม่สูญเปล่า ผู้ให้สิ่งที่น่าพอใจ ย่อมได้รับส่งที่ดีตอบแทน ดังพุทธพจน์ที่ว่า “มนาปทายี ลภเต มนาปํ” ๓๐ อามิสทาน ให้สิ่งของแก่เพื่อนหรือผู้อื่นที่ด้อยกว่าในวันและเวลาอันสมควร ธรรมทานหรือวิทยาทาน การให้ธรรม การให้ความรู้และแนะน าสั่งสอนให้รู้ดีรู้ชั่วหรือ การแนะน าให้รู้ศิลปวิทยาในการประกอบสัมมาชีพ ธรรมทานนั้นเป็นเลิศกว่าทาน ทั้งหลาย อามิสทานช่วยค้ าจุนชีวิตท าให้เขามีที่พึ่งอาศัย แต่ธรรมทานช่วยให้เขารู้จักพึง ตนเองได้ต่อไป๓๑ ๒. ปิยวาจา (Kindy Speech) ความเป็นผู้น่ารัก พูดอย่างรักกัน วาจาที่รัก คือ วาจาไพเราะอ่อนหวาน มีหางเสียง สมานสามัคคี ซาบซึ้งใจ ท าให้เกิดไมตรีรักใคร่นับถือ๓๒ จะเห็นได้ว่า การให้แต่เพียงอย่างเดียวนั้นไม่สามารถที่จะท าให้เป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจ ของคนทั่วไปได้ จึงต้องรู้จักปราศรัยให้ไพเราะนุ่มนวลน่าฟัง เมื่อฟังแล้วเกิดก าลังใจที่ จะท าความดียิ่ง ๆ ขึ้นไป เปรียบเสมือนน้ าทิพย์ชโลมใจ ประสานใจทุก ๆ ดวงให้เป็นดวง เดียวกัน ๓. อัตถจริยา (Useful Conduct; Rendering Services; Life of Services; Doing Good) การประพฤติประโยชน์ ท าประโยชน์แก่เขา หลักธรรมข้อนี้มุ่งสอนตน ๒ ด้าน คือ การท าตนให้เป็นประโยชน์และการท าในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ตลอดถึงช่วย แก้ไขปรับปรุง ส่งเสริมในด้านคุณธรรมและจริยธรรมให้เป็นประโยชน์แก่สังคม เป็นต้น การท าตนให้เป็นประโยชน์คือ ท าตนให้มีคุณค่าในสังคมที่ตนอาศัยอยู่ด้วยการตั้งใจ ศึกษาเล่าเรียน ฝึกฝนอบรมตนให้เป็นคนเจริญด้วยความรู้ ความสามารถ มีคุณธรรม การท าในสิ่งที่เป็นประโยชน์ คือ เมื่อท าตนให้เป็นประโยชน์แล้วก็ต้องสร้างตนให้เป็น ประโยชน์กับผู้อื่นด้วยการให้ความช่วยเหลือเกื้อกูล ไม่นิ่งดูดาย มีน้ าใจไมตรีต่อกัน บ าเพ็ญสาธารณประโยชน์ตามสติก าลังความสามารถ ๔. สมานัตตตา (Even and Equal Treatment; Equality Consisting in impartiality, Participation and Behaving Oneself Properly In All Circumstances) เอาตัวเข้าสมาน คือการท าตนเสมอต้นเสมอปลาย ตลอดถึงวางตน เหมาะสมแก่ฐานะภาวะ บุคคลเหตุการณ์ และสิ่งแวดล้อมในเวลานั้น๓๓ การวางตนให้สม ๓๐ดูรายละเอียดใน, องฺ.ปญฺจก.(บาลี) ๒๒/๔๔/๔๕.๓๑พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑), หน้า ๗๑.๓๒ดูรายละเอียดใน, ขุ.อิติ. (ไทย) ๒๕/๙๘/๔๗๓.๓๓เรื่องเดียวกัน, หน้า ๗๑.


๑๔๗ กับฐานะที่ตนมีอยู่ในสังคมและท าอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ปฏิบัติตนอย่างสม่ าเสมอต่อ คนทั้งหลาย ให้ความเสมอภาค ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น เสมอในสุขและทุกข์ ร่วมรับรู้ ปัญหา และร่วมแก้ปัญหาเพื่อประโยชน์ของสังคมและประเทศชาติ๓๔ เจตนย์ ศรีวังพล ได้ศึกษาเรื่อง “การประยุกต์หลักพุทธธรรมในการท างานจิต อาสาของอาสาสมัคร สวพ. ๙๑” พบว่า หลักพุทธธรรมเกี่ยวกับจิตอาสาในพุทธศาสนา พบหลักธรรมที่ใช้ คือ ๑) พรหมวิหาร ๔ หลักธรรมประจ าใจ ได้แก่ เมตตา อุเบกขา ๒) สังควัตถุ ๔ หลักธรรมเพื่อการสงเคราะห์สังคม ได้แก่ ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา สมานัตตตา มาสงเคราะห์สังคมเพื่อให้คนในสังคมได้รับประโยชน์ ทั้งประโยชน์ตนคือ ความสุขใจ คือเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจ ท าให้เห็นถึงสัจธรรมของชีวิต ให้อภัย มากขึ้นทุกข์น้อยลง๓๕ พัฒนสรณ์ เกียรติฐิติคุณ ได้ศึกษาเรื่อง “รูปแบบการบูรณาการหลักพุทธธรรม ในการพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เทศกิจ กรุงเทพมหานคร” พบว่า การน าหลักสังคหวัตถุมาบูรณาการการพัฒนาเจ้าหน้าที่เทศกิจกรุงเทพมหานคร เช่น ปยวาจา หมายถึง การพูดจาสุภาพอ่อนน้อม จริงใจ แนะน าสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้ความรู เหมาะเวลา สร้างมนุษย์สัมพันธ์กับผู้พบเห็นด้วยความยิ้มแย้ม มีอัธยาศัยดีสามารถ ประชาสัมพันธ์แนะน าเส้นทางและสถานที่ส าคัญต่าง ๆ ให้กับนักท่องเที่ยวและประชาชน ผู้สัญจรไปมาให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวด้วยความเต็มใจประดุจญาติมิตร มีความรู เกี่ยวกับวัฒนธรรมไทย และ อัตถจริยา หมายถึง จิตอาสา ความกระตือรือร้น ต่อบทบาท หน้าที่ การมีจิตส านึกในการปฏิบัติงาน ขวนขวายต้องการช่วยเหลือ โดยการจัดเวรออก ตรวจเป็นระยะสม่ าเสมอเพื่อคอยสอดส่องดูแล ประชาชนในพื้นที่ที่ต้องการความช่วยเหลือ และมีความกระตือรือร้นในการประสานความร่วมมือกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง เช่น สถานี ต ารวจ การไฟฟ้า การประปา ดับเพลิง หน่วยรถพยาบาลเคลื่อนที่ เป็นต้น๓๖ ๓๔พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ. ปยุตฺโต), ธรรมนูญชีวิต, พิมพ์ครั้งที่ ๘๐, (กรุงเทพมหานคร: บริษัทพิมพ์สวย จ ากัด, ๒๕๕๐), หน้า ๙.๓๕เจตนย์ ศรีวังพล, “ศึกษาการประยุกต์หลักพุทธธรรมในการท างานจิตอาสาของอาสาสมัคร สวพ.๙๑”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย, ๒๕๖๐), บทคัดย่อ.๓๖พัฒนสรณ เกียรติฐิติคุณ, “รูปแบบการบูรณาการหลักพุทธธรรมในการพัฒนาประสิทธิภาพ การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เทศกิจกรุงเทพมหานคร”, ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชา รัฐประศาสนศาสตร์, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๘), หน้า ๒๓๙-๒๔๐.


๑๔๘ พระมหาสมบัติ ธนปัญโญ ได้ให้ทรรศนะว่า ยุทธศาสตร์การท างานเป็นทีมการ บริหารงานในสถานศึกษาเป็นเรื่องของบุคลากรทุกคนในสถานศึกษา มิใช่เป็นเรื่องของคน ใดคนหนึ่ง และไม่ใช่เป็นการด าเนินงานแบบต่างคนต่างท า แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนจะต้อง ท างานร่วมกันอย่างต่อเนื่องและมีความเชื่อมโยงระหว่างงานในด้านต่าง ๆ ของสถานศึกษา ไม่ว่าจะเป็นงานวิชาการ งานงบประมาณ งานบริหารงานบุคคลและงานงานบริหารทั่วไป เพื่อให้การด าเนินงานบรรลุเป้าหมายหรือมาตรฐานด้านการศึกษา จะต้องร่วมกันก าหนด เป้าหมาย วางแผนการท างาน ออกแบบการประเมินตนเอง เพื่อพัฒนาการด้านการศึกษา ถึงแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้บริหารหรือบุคลากรบางคน ก็ยังสามารถด าเนินการ ต่อไปได้เพราะทีมงานยังอยู่ เพราะอาศัยหลักพุทธธรรม คือ หลัก “สังคหวัตถุ ๔” และ หลักธรรมาภิบาล๓๗ สรุปได้ว่า การให้ท างานเป็นทีมของบุคลากรในองค์กร ต้องค านึงถึงความเสียสละ ส่วนรวม รู้จักพูดเชื่อมสามัคคีในการท างานเป็นทีม รู้จักวางตนให้เหมาะสม และท างานให้ เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม รู้จักยอมรับความคิดเห็นของเพื่อนร่วมงานอย่างเต็มใจ การน า หลักธรรมสังคหวัตถุ ๔ มาประยุกต์ใช้ในการท างานเป็นทีม จะได้ท าให้เกิดประสิทธิภาพ งานการท างานมากขึ้น จากหลักพุทธธรรมที่ได้น ามาอธิบายในเบื้องต้นนั้น ผู้วิจัยได้คัดเลือกหลักอิทธิบาท ๔ เพื่อน ามาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาสมรรถนะหลักของบุคลากรของโรงเรียนพระปริยัติ ธรรม แผนกสามัญศึกษา เนื่องจากหลักอิทธิบาท ๔ มีความสอดคล้องกับสมรรถนะ หลักทั้ง ๕ ด้าน ได้แก่ การมุ่งผลสัมฤทธิ์ การบริการที่ดี การพัฒนาตนเอง คุณธรรม และจริยธรรม และการท างานเป็นทีม ผู้วิจัยได้สังเคราะห์กรอบการจัดท าเครื่องมือการ วิจัย ไว้ ๕ ด้าน ดังนี้ ด้านที่ ๑ การมุ่งผลสัมฤทธิ์ตามหลักอิทธิบาท ๔ หมายถึง ความมุ่งมั่นจะปฏิบัติ ภาระตามหน้าที่ให้ดีมีคุณภาพ ถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์โดยมี การวัดผล การปฏิบัติงานด้วยตัวชี้วัดอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ ด้านที่ ๒ การบริการที่ดีตามหลักพรหมวิหาร ๔ หมายถึง การที่บุคลากรของ โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา มีความตั้งใจ พยายาม ยินดีปรับปรุงระบบ บริการให้มีประสิทธิภาพ เพื่อสนองความต้องการและความพึงพอใจต่อผู้รับบริการโดย เสมอภาค ๓๗พระมหาสมบัติ ธนปญฺโญ, “ยุทธศาสตร์เชิงพุทธในการบริหารโรงเรียน พระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา”, ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพุทธบริหารการศึกษา, (บัณฑิต วิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๘), หน้า ๓๐๐.


๑๔๙ ด้านที่ ๓ การพัฒนาตนเองตามหลักไตรสิกขา หมายถึง การที่บุคลากรขององค์กร รักการศึกษา ขยันหมั่นเพียร ตั้งใจค้นคว้า หาความรู้ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเองให้ดีขึ้น และสามารถด าเนินกิจกรรมตรงตามเป้าหมาย ด้านที่ ๔ คุณธรรมและจริยธรรมตามหลักศีล ๕ หมายถึง แนวปฏิบัติของบุคลากร ในองค์กร ซึ่งตั้งใจจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม มุ่งมั่นท าประโยชน์ ต่อตนเอง ผู้อื่นสังคมและ องค์กร ด้านที่ ๕ การท างานเป็นทีมตามหลักสังคหวัตถุ ๔ หมายถึง การปฏิบัติงานร่วมกัน ขององค์กร ให้ส าเร็จสมบูรณ์ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ร่วมกัน โดยใช้ความสามารถของแต่ละ บุคคลให้ท างานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อผลประโยชน์ของหน่วยงาน ๗.๗ สรุป การพัฒนาภาวะผู้น าตามหลักธรรมพุทธศาสนา เป็นสิ่งส าคัญยิ่งสาหรับผู้น าใน การที่จะบริหารองค์การต่าง ๆ เพราะผู้น าต้อง อาศัยภาวะผู้น าเป็นปัจจัยขับเคลื่อนใน การพัฒนาองค์การนั้น ๆ และในขณะเดียวกันผู้น าควรเป็นผู้ที่มี หลักธรรมในการบริหาร ชุมชนหรือองค์การให้มีความสุข ไม่ให้เกิดความขัดแย้ง และเป็นผู้ที่สามารถ ไกลเกลี่ยข้อ พิพาทที่เกิดขึ้นได้คุณลักษณะของบุคคลที่มีภาวะผู้น าจะต้องมีคือ คุณลักษณะภายนอก คุณลักษณะภายใน และมีความแตกต่างจากบุคคลอื่น มีความสามารถท าให้ผู้อื่นคล้อยตาม เคารพเชื่อ ฟัง และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงานมีรูปแบบ โดยใช้วิธีการ บริหารที่สอดคล้องกับ หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่ถือว่าหลักธรรมที่สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบเป็นหลัก ปฏิบัติที่สามารถน ามาใช้พัฒนาภาวะผู้น าได้เป็น อย่างดีดังนั้น ผู้น าทางพระพุทธศาสนาควรเป็นผู้รู้จัก และควรประยุกต์ใช้หลักธรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับผู้ปกครองหรือผู้น าที่ปรากฏในพระไตรปิฎก รวมทั้ง ควรมีความอดทนอดกลั้นมี จิตใจหนักแน่นมั่นคง เป็นผู้น าที่เน้นคุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม ความ ซื่อสัตย์ มีความ ละอายแก่ใจตนเอง โดยไม่ท าความชั่วและเกรงกลัวผลของความชั่วยอมรับฟังความคิดเห็น ของคนอื่น โดยมุ่งให้เกิดประโยชน์สุขแก่ปวงชนหรือหมู่คณะ เป็นผู้เสียสละเพื่อประโยชน์ ส่วนรวม ตามสมรรถนทั้ง ๕ ด้าน คือ การมุ่งผลสัมฤทธิ์ การบริการที่ดี การพัฒนาตนเอง คุณธรรมและจริยธรรม และการท างานเป็นทีม การพัฒนาภาวะผู้น าตามหลักพุทธศาสนาสอดคล้องกับการศึกษาแนวทางการ พัฒนาภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์ตามหลักพุทธบริหารการศึกษาส าหรับผู้บริหารสังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอ่างทอง ๑. นางสาวนันท์นภัส บุญญะสิทธิ์ ๒ พระครูสถิตบุญวัฒน์, ดร. ๓. รศ. ดร.สุทธิพงษ์ ศรีวิชัย การพัฒนาภาวะผู้น าเชิง


๑๕๐ สร้างสรรค์ตามหลักพุทธบริหารการศึกษาส าหรับผู้บริหารสังกัดส านักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาอ่างทอง การพัฒนาภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์ตามหลักพุทธบริหาร การศึกษาส าหรับผู้บริหาร สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ประกอบด้วย ๑) ส่งเสริมให้มีการจัดสรรอุปกรณ์ เครื่องมือ สื่อการสอน และเทคโนโลยีสารสนเทศทาง การศึกษาให้เพียงพอและเหมาะสมกับสถานศึกษา ๒) ควรมีการสนับสนุนส่งเสริมการ พัฒนาศักยภาพผู้บริหารสถานศึกษาโดยใช้รูปแบบเชิงพุทธสร้างภาวะผู้น าให้มีความพร้อม ในการบริหารงานวิชาการ บริหารงานบุคคล บริหารงานงบประมาณ และบริหารงาน ทั่วไป และ ๓) ควรจัดท าแนวทางปฏิบัติสู่ประสิทธิภาพของโรงเรียน เพื่อส่งเสริมและ สนับสนุนให้บุคลากรสามารถปฏิบัติงานตามวิสัยทัศน์ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาอ่างทอง ได้อย่างเต็มก าลังความรู้ความสามารถ ส่งผลให้ประสบความส าเร็จ ตามวิสัยทัศน์ และเป้าหมาย ๗.๘ เอกสารอ้างอิงประจ าบท คติยา อายุยืน. การพัฒนาสมรรถนะการสั่งสมความเชี่ยวชาญในงานอาชีพตามหลัก พุทธธรรม. ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๘. จ านงค์ อดิวัฒนสิทธิ์. สังคมวิทยาตามแนวพุทธศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๕. เจตนย์ ศรีวังพล. “ศึกษาการประยุกต์หลักพุทธธรรมในการท างานจิตอาสาของอาสาสมัคร สวพ. ๙๑”. วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๖๐. เฉลียว รอดเขียว และคณะ. “การประยุกต์หลักพุทธธรรมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของ ชาวบ้านในชุมชนตลาดวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ อ าเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก”. รายงานการวิจัย. สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย, ๒๕๕๙. ณัฐชนันตร์ อยู่สีมารักษ์, “รูปแบบการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามหลักพุทธธรรมของ สถานศึกษาของรัฐสังกัดกรุงเทพมหานคร”. ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย, ๒๕๕๙. บุญมี แท่นแก้ว. จริยศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: โอเดียนสโตร์, ๒๕๕๙.


๑๕๑ พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต). ธรรมนูญชีวิต. พิมพ์ครั้งที่ ๘๐. กรุงเทพมหานคร: บริษัทพิมพ์สวย จ ากัด, ๒๕๕๐. พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๙. พระเมธีวราภรณ์ (สุทัศน์ วรทสฺสี). เบญจศีลเบญจธรรม: อุดมชีวิตของมนุษย์. กรุงเทพมหานคร: ส านักพิมพ์ต้นบุญ, ๒๕๕๑. พระมหาสมบัติ ธนปญฺโญ. “ยุทธศาสตร์เชิงพุทธในการบริหารโรงเรียน พระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา”. ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพุทธบริหาร การศึกษา. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๘. พุทธทาส อินทปัญโญ. คู่มือมนุษย์. กรุงเทพมหานคร: ธรรมสภา, ๒๕๕๙. พัฒนสรณ์ เกียรติฐิติคุณ. “รูปแบบการบูรณาการหลักพุทธธรรมในการพัฒนาประสิทธิภาพ การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เทศกิจกรุงเทพมหานคร”. ปริญญาพุทธศาสตร ดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์, บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๖๐. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎก ฉบับภาษาไทย.กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. ______. พระไตรปิฎก ฉบับภาษาบาลี เตปิฏก . กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. มยุรี ค าปาเชื้อ. “รูปแบบการบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อการพัฒนาบุคลากรสาย สนับสนุนวิชาการของมหาวิทยาลัยราชภัฏในกรุงเทพมหานคร”. ปริญญาพุทธ ศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพุทธบริหารการศึกษา. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๙. วาสิตา เกิดผลประสพศักดิ์. “แบบจ าลองการบริหารเชิงพุทธบูรณการขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ ่น”. ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสน ศาสตร์. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๘. วีรชัย อนันต์เธียร. “กลยุทธ์การพัฒนาจริยธรรมสาหรับเยาวชนไทย”. ปริญญาพุทธ ศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๘. สุรพล สุยะพรหมและคณะ. พื้นฐานการจัดการ. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๕.


๑๕๒ สุปรียา ธีรสิรานนท์. “การศึกษาวิเคราะห์พัฒนาการการเรียนรู้ในกรอบของไตรสิกขากับ ทฤษฎีการเรียนรู้ของสกินเนอร์”. ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชา พระพุทธศาสนา. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๘. อากาศ อาจสนาม. “รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะพยาบาลเชิงพุทธบูรณาการของ พยาบาลสังกัดกรมแพทย์ทหารเรือ”. ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย, ๒๕๕๘. อัจฉรา หล่อตระกูล. การพัฒนาสมรรถนะพนักงานมหาวิทยาลัยของรัฐ. ปริญญาพุทธ ศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์, บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๙.


บทที่ ๘ การประเมินผลภาวะผู้น าทางการศึกษาตามนวพุทธ ********* ๘.๑ ความน า ประเมินภาวะผู้น าทางการศึกษาตามนวพุทธ หรือพุทธธรรมเป็นหลักพื้นฐานใน การด าเนินชีวิตของคนไทยมาตั้งแต่ อดีตจนถึงปัจจุบัน ช่วยให้สังคมไทยด าเนินไปอย่าง สันติสุข หลักธรรมค าสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหลักแห่งความเป็นจริงที่ สามารถ น ามาใช้ได้ทุกยุคทุกสมัยกับคนทุกระดับชั้นโดยเฉพาะการ บริหารโรงเรียนผู้บริหาร สามารถน ามาประยุกต์ใช้กับทฤษฎี หรือศาสตร์ที่เกี่ยวข้องได้เป็นอย่างดี ผู้น าทางการศึกษาที่ดีจะต้องเป็นผู้ที่ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับทุกคน คือจะต้องเป็นผู้ที่สามารถครองตน คือ สามารถประพฤติตนตามหลักพุทธธรรมให้เป็น แบบอย่างที่ดีแก่ผู้อื่น สามารถครองคน คือ ครองจิตใจของคนให้สามารถปฏิบัติงานด้วย ความพอใจ เต็มใจ มิใช่มาจากการบังคับบัญชาตามบทบาทหน้าที่แต่เพียงอย่างเดียว เท่านั้น ภาวะผู้น าทางการศึกษาตามแนวพุทธที่พึงประสงค์ในยุคโลกาภิวัตน์จะเป็น แบบอย่างการเป็นผู้น าที่ดีตามหลักพุทธธรรม ผู้น าที่ดีนั้นจะต้องยึดหลัก "ธรรม" เช่น พรหมวิหาร ๔ ธรรมาธิปไตย พละ ๔ และสัปปุริสธรรม ๗ เป็นต้น ภาวะผู้น าเชิงพุทธ จึงเป็นกระบวนการใช้ยุทธวิธีของผู้น าโดยน าหลักธรรมมาใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในการ บริหารงานให้ส าเร็จ ลุล่วงและการเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้อื่น ภาวะผู้น าทางการศึกษาตามนวพุทธเป็นคุณสมบัติของผู้น าอันประกอบไปด้วย สติปัญญา ความดีงาม ความรู้ความสามารถโดยน าหลักธรรมมาใช้เป็นแนวทางในการ ปฏิบัติตน เพื่อชักน าให้คนทั้งหลายมาประสานกันและพากันไปสู่จุดหมายที่ดีงาม หลักธรรมที่ควรน ามาใช้เป็นแนวทางในการบริหารงานให้ส าเร็จ คือ พรหมวิหารธรรม สังคหวัตถุ เป็นต้นพฤติกรรมในการ บริหารงานของผู้บริหารแต่ละคนย่อมมีความ แตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ อาจจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ ด้าน การศึกษาถึงปัจจัยต่าง ๆ จึงมีความจ าเป็นและส าคัญต่อการพัฒนาองค์การหรือโรงเรียนให้สามารถด าเนินกิจ กรรมการบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจาก การมีภาวะผู้น าผู้บริหารนั้นจะส่งผล ต่อการปฏิบัติงาน ความรู้สึกหรือ ทัศนคติของครูในทิศทางใดทิศหนึ่งเสมอ พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต), มองสันติภาพโลกผ่านภูมิหลังอารยธรรมโลกาภิวัตน์, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท ธรรมสาร จ ากัด, ๒๕๕๐), หน้า ๕.


๕๔ การมีสัมพันธภาพที่ดีต่อกันระหว่างผู้บริหารและบุคลากรที่เป็นผู้ปฏิบัติของจะ ส่งผลดีต่อความทุ่มเทในการท างาน ความขยัน ขันแข็งการไม่ขาดงาน การยอมรับและ รักษาสภาพการเป็นสมาชิกที่ ดีขององค์การซึ่งหมายถึงผู้ปฏิบัติงานมีความผูกพันต่อ องค์การนั่นเอง ความผูกพันต่อองค์การของครูเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อความอยู่รอดและ ประสิทธิภาพในการท างานของโรงเรียน พฤติกรรมของครูจะแสดงออกหรือเป็นตัวบ่งชี้ แห่งความรัก ความภาคภูมิใจ ยอมรับและยึดมั่นในจุดมุ่งหมายและอุดมการณ์อันเป็นผล ท าให้ครูมีความเต็มใจที่จะท างานเพื่อความก้าวหน้าและประโยชน์ของโรงเรียนการมี ภาวะผู้น าทางการศึกษาตามแนวพุทธของผู้บริหารมีความสัมพันธ์ในทางบวกกับความ ผูกพันของครู พฤติกรรมการบริหารงานตามแนวพุทธธรรมของผู้น าทางการศึกษาจะ ส่งผลต่อความผูกพันของครูเสมอ การที่ผู้น าทางการศึกษาตามนวพุทธบริหารโดยใช้หลักพุทธธรรมจะเป็นที่ ยอมรับของผู้ใต้บังคับบัญชาและบุคคลทั่ว ๆ ไปท าให้สามารถติดต่อสื่อสารสัมพันธ์กับ ผู้อื่น สามารถจูงใจให้เกิดการยอมรับและให้ความ ร่วมมือการมีภาวะผู้น าผู้เชิงพุทธของ ผู้บริหาร จากความเป็นมาและความส าคัญที่กล่าวมาข้างต้น การมีภาวะผู้น าเชิงพุทธของ ผู้บริหารมักจะมีความเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับพฤติกรรมการท างานของครูเสมอ และ พฤติกรรมบางอย่างของผู้บริหารก็ยังส่งผลดีต่อความผูกพันของครู ท าให้ครูมีความผูกพัน ทั้ง ต่อโรงเรียน ต่องานมากขึ้น การได้ทราบถึงระดับความสัมพันธ์ของ ภาวะผู้น าที่ส่งผล ต่อความผูกพันของครูก็จะท าให้ ได้ข้อมูลการปกครองการพัฒนาแนวทางในการพัฒนา ตนเองของผู้บริหาร ซึ่งจะ ส่งผลดีต่อประสิทธิภาพการท างานของครูมากขึ้นตามไปด้วย เช่นกัน๒ ดังรายละเอียดประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ ๘. ความน า ๘.๒ ความหมายของการประเมินการศึกษา ๘.๓ ความเป็นมาของการวัดและประเมินผล ๘.๔ ผู้น าการศึกษาของพระสงฆ์ในสถานการณ์ใหม่ ๘.๕ ผู้น าการศึกษาของพระสงฆ์ในแบบเดิม ๘.๖ ผู้น าทางการศึกษาของพระสงฆ์เชิงบูรณาการในประเทศไทย ๘.๗ สรุป ๒ ธงชัย สันติวงษ์, พฤติกรรมองค์การ, พิมพ์ครั้งที่ ๓, (กรุงเทพมหานคร: ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๕๐), หน้า ๘.


๕๕ ๘.๒ ความหมายของการประเมินการศึกษา การประเมินผลการศึกษา หมายถึง กระบวรการเก็บรวบรวมข้อมูลใด ๆ และ สารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับการด าเนินการหรือโครงการใด ๆ มาท าการวิเคราะห์และ น าผลไปใช้เกี่ยวกับการด าเนินการหรือโครงการนั้น ๆ ทั้งเพื่อก าหนดทางเลือก เพื่อ ด าเนินงาน เพื่อปรับปรุงแผนการด าเนินการหรือโครงการส่วนใดส่วนหนึ่งหรือทั้งหมด และประเมินความส าเร็จของการด าเนินการหรือโครงการนั้น ๆ โดยเริ่มจากการวาง แผนการด าเนินการหรือโครงการ จากนั้นจะมีวิธีการทดลองหรือโครงการน าร่อง เพื่อดู การปฏิบัติการตามแนวทางที่วางไว้ เพื่อปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ มากขึ้น จากนั้นจึงเริ่มด าเนินการตามแผน และจัดให้มีการประเมินผลการด าเนินการหรือ โครงการควบคู่ไปกับการด าเนินการหรือหลังจากที่โครงการสิ้นสุดแล้ว นอกจากนี้ การประเมินผลอาจน ามาใช้ควบคู่กับค าว่า “การวิจัย” ซึ่งท าให้ ความหมายครอบคลุมถึงการน าระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์ มาใช้ประเมินเป็นสิ่งป้อนเข้า กระบวนการ ผลลัพธ์ และผลกระทบ โดยการประเมินผล ทางการศึกษา อย่างไรก็ตาม ในทางการศึกษา การประเมินผล (Evaluation) หมายถึง กระบวนการตีความหมายและตัดสินคุณค่าจากสิ่งที่วัดได้ ซึ่งต้องอาศัยวิธีการที่มีระบบ แบบแผนในการรวบรวมขอมูลและมีผลในการตัดสิน โดยไม่ได้มุ่งเน้นในการค้นหาสะสม ความรู้ แต่มุ่งไปหาสิ่งที่โครงการได้ด าเนินการไปแล้วว่าสิ่งใดควรด าเนินการต่อไปและสิ่ง ใดควรปรับปรุง เพื่อน าไปสู่การบรรลุเป้าหมายของโครงการ๓ สรุปได้ว่า การประเมินผล หมายถึง ขั้นตอนหนึ่งในการด าเนินการหรือด าเนิน โครงการ ซึ่งมีการเก็บรวบรวมข้อมูลมาท าการวิเคราะห์และประมวลผล เพื่อจุดประสงค์ ๒ ประการ คือ เพื่อปรับปรุงการด าเนินการ และเพื่อประเมินความส าเร็จของการ ด าเนินการโดยเป็นขั้นตอน สามารถท าควบคู่ไปกับการด าเนินโครงการ หรือท าเมื่อ โครงการส าเร็จแล้วก็ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่มุ่งเน้นในการประเมินผลการด าเนินการหรือ โครงการนั้น ๆ อีกประการหนึ่ง ความหมายของการวัดและประเมินผลนั้นถูกใช้มาตาม สภาพการณ์ต่าง ๆ ตั้งแต่สมัยโบราณ ในแถบเอเชีย ชาวจีนใช้การสอบจอหงวน เพื่อคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการ ส านักดาบหลายแห่งเจ้าส านักต่าง ๆ จะทดสอบ ๓ ปุรชัย เปี่ยมสมบูรณ์, การวิจัยประเมินผล: หลักการและกระบวนการรวมเล่ม, (กรุงเทพมหานคร: การพิมพ์พระนคร, ๒๕๕๙), หน้า ๗.


๕๖ ความสามารถหรือทดสอบคุณลักษณะบางประการของบุคคลก่อนรับเข้าเป็นศิษย์ใน ส านัก ในปัจจุบันการวัดและการประเมินได้เป็นส่วนหนึ่งที่มีบทบาทส าคัญในกิจกรรม และสถานการณ์เกือบทุกชนิด เช่น การคัดเลือกบุคคลเข้าร่วมทีมฟุตบอล จะต้องมีการวัด และประเมินความสามารถของผู้สมัครก่อนการตัดสินใจคัดเลือก ในแง่มุมของการศึกษา การวัดผลเป็นสิ่งส าคัญที่จะช่วยบอกว่าผู้เรียนได้เรียนรู้ตามจุดประสงค์ที่ครูได้ก าหนด หรือไม่ การตัดสินบุคคลเข้าเรียนในสาขาวิชาต่าง ๆ ต้องการข้อมูลจากการวัดผลของแต่ ละบุคคล การวัดเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยวิธีการต่าง ๆ และก าหนดตัวเลขให้กับสิ่งที่ ต้องการวัด (Assign number) การเก็บรวบรวมข้อมูลอาจต้องใช้เครื่องมือช่วยเช่น การวัดความยาวของห้องต้องใช้ตลับเมตรเป็นเครื่องมือในการวัด การวัดความสนใจใน ดนตรีอาจใช้เครื่องมือที่เป็นแบบวัดความสนใจในดนตรี การวัดความสามารถในการอ่าน ของนักเรียน อาจใช้แบบทดสอบความสามารถในการอ่าน เพื่อที่จะให้ได้ข้อมูลที่บอกได้ ว่านักเรียนมีความสามารถมากน้อยเพียงใด การวัดผลทางการศึกษาเป็นกระบวนการวัด ทางสมอง มีลักษณะเป็นนามธรรมและลักษณะต่างจากการวัดสิ่งที่เป็นรูปธรรม การวัด คุณลักษณะที่เป็นนามธรรมจ าเป็นที่จะต้องก าหนดขอบข่ายโครงสร้างหรือคุณลักษณะ ของสิ่งที่ต้องการวัด เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเลขที่ได้จากการวัดนั้นเป็นจ านวนที่เป็นตัวแทนของ ความสามารถหรือคุณลักษณะที่ต้องการวัดอย่างแท้จริง การวัด (Measurement) เป็นกระบวนการเชิงปริมาณหรือ การก าหนดตัวเลข ให้กับสิ่งที่ปฏิบัติ การให้คะแนนจึงเป็นตัวเลขที่อธิบายถึงความสามารถในการปฏิบัติ ตัวอย่างของการวัดในห้องเรียนเกิดขึ้นเมื่อครูให้คะแนนการสอบ คะแนนจะอธิบายถึง การปฏิบัติ เช่น ศักดิ์ชัยท าได้ถูก ๗ ข้อ จาก ๒๐ ข้อจากแบบทดสอบวิชาวิทยาศาสตร์ ศักดิ์ดาท าแบบทดสอบวิชาคณิตศาสตร์ได้ ๖๕ เปอร์เซ็นต์ เป็นต้น เคอร์เจอร์ และคณะ (Kerlinger and others) ได้ให้ค านิยาม การวัดว่าเป็น การก าหนดตัวเลขให้กับวัตถุหรือเหตุการณ์ ตามกฎเกณฑ์๔ ธอร์นไดค์และคณะ (Thorndike and others) ได้อธิบายว่า เมื่อท าการวัด หมายถึงการวัดคุณภาพหรือคุณลักษณะของสิ่งของหรือบุคคลไม่ใช่มุ่งวัดสิ่งของหรือตัว บุคคลโดยตรงเช่นวัดความยาวของโต๊ะ เป็นการวัดด้านคุณลักษณะด้านความยาวของวัตถุ ที่ต้องการวัด หรือการวัดความฉลาดของนักเรียนเป็นการวัดคุณสมบัติในตัวของนักเรียน ๔ Kerlinger and others, Leadership Vision and Strategic Direction, Leadership Theory and Practice, (Harcourt brace College Publisher, Copyright, 1999), P. 139.


๕๗ ด้านความฉลาด เป็นต้น ดังนั้นเมื่อจะวัดคุณลักษณะที่เป็นนามธรรมจึงต้องให้นิยาม คุณลักษณะของสิ่งที่จะวัดก่อน๕ โดยสรุป การวัด หมายถึง กระบวนการหรือวิธีการเพื่อให้ได้จ านวนตัวเลขซึ่งมี ความหมายแทนปริมาณหรือขนาดหรือคุณสมบัติของสิ่งที่ต้องการวัด การประเมิน (Assessment) เป็นกระบวนการเก็บรวบรวม สังเคราะห์และ ตีความข้อมูลเพื่อการตัดสินผลโดยใช้กิจกรรมต่าง ๆ เช่น การสัมภาษณ์ การสังเกต การ สะสมงาน หรือการท าโครงงาน กิจกรรมดังกล่าวจึงเป็นองค์ประกอบส าคัญที่น ามาใช้ ประเมิน กระบวนการประเมินมีความเกี่ยวข้องกับผู้เรียนมากกว่าการให้คะแนนและการ ให้ระดับคะแนนของการทดสอบข้อมูลที่ครูรวบรวมในห้องเรียนเพื่อช่วยให้ครูเข้าใจและ ติดตามการเรียนการสอน การประเมินผล (Evaluation) เป็นการตักสินคุณภาพการปฏิบัติหรือตัดสิน คุณภาพกิจกรรมในหลักสูตรของผู้เรียน การอธิบายค าดังกล่าว แอราเซี่ยน (Airasian, 1997) สรุปไว้ดังนี้ แบบทดสอบ (Test) เป็นชุดของค าถามที่สร้างขึ้นอย่างเป็นระบบแบบแผนเพื่อ ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล การวัด (measurement) เป็นกระบวนการเชิงปริมาณหรือการก าหนดตัวเลข ให้กับสิ่งที่ปฏิบัติหรือสิ่งที่ต้องการวัด การประเมิน (Assessment) เป็นการเก็บรวบรวมสังเคราะห์ และตีความหมาย ข้อมูล เพื่อช่วยครูในการตัดสินใจ เช่น ช่วยวินิจฉัยปัญหาการเรียนของนักเรียน หรืออาจ ประเมินผลเพื่อจุดประสงค์เฉพาะบางประการ การประเมินผล (Evaluation) เป็นการตัดสินใจเกี่ยวกับคุณภาพ หรือ ความดี ของการปฏิบัติของผู้เรียนหรือของกิจกรรมในหลักสูตร๖ แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการวัดผลและประเมินผล หมายถึงว่า ในการจัดการ เรียนการสอนนั้น จ าเป็นต้องศึกษาหลักสูตรเป็นอันดับแรก ทั้งนี้เพราะหลักสูตรเป็น กรอบหรือแนวทางที่บอกให้ทราบว่าจะสอนอะไร หรือควรจัดโอกาสการเรียนรู้ให้กับ ผู้เรียนในลักษณะใด หลักสูตรส่วนมาจะบอกถึงจุดประสงค์และจุดหมายตลอดจน ลักษณะของเนื้อหากิจกรรม การวัดและประเมินผลจึงเป็นกิจกรรมส าคัญที่จะน าไปใช้ ๕ Thorndike and others, Organizational culture and leadership, (San Francisco: Jossey-Bass, 1985), P. 23.๖ อังศุมาลีบ ารุงราษฏร์, โปรแกรมวิชาเทคโนโลยีและนวัตกรรมากศึกษา, (มหาวิทยาลัย ราชภัฎนครราชสีมา, ๒๕๖๐), หน้า ๒.


๕๘ เพื่อบ่งบอกถึงความมากน้อยของผลส าเร็จในการจัดการเรียนการสอน ดังนั้น หลักสูตร จุดหมาย กิจกรรมการเรียนการสอน การวัดและการประเมินผลจึงมีความสัมพันธ์ ต่อเนื่องกันในวงจรของการจัดการศึกษา จากวงจรการจัดการศึกษา หลักสูตร (Curriculum) เป็นกรอบกว้าง ๆ ซึ่งก าหนด คุณลักษณะต่าง ๆ ที่ต้องการ ก าหนดเนื้อหาประสบการณ์ที่ผู้เรียนควรเรียนรู้ หลักสูตรที่ ใช้ในโรงเรียนส่วนใหญ่อาจแบ่งได้เป็น ๒ ระดับคือหลักสูตรระดับประเทศ หมายถึง หลักสูตรที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้โรงเรียนทั่วประเทศได้น าไปใช้ เช่น หลักสูตรประถมศึกษา หลักสูตรมัธยมศึกษา หลักสูตรอาชีวศึกษา ซึ่งโรงเรียนในสังกัดทั่วประเทศได้น าไปใช้เป็น หลักในการจัดการเรียนการสอน การติดตามและประเมินผลหลักสูตรระดับนี้เป็นการ ตรวจสอบคุณภาพการศึกษาในภาพรวม โดยยึดจุดหมายหลักของหลักสูตรเป็นส าคัญ วิธีประเมินหลักสูตรระดับนี้ประเมินโดยการสร้างเครื่องมือวัดกลุ่มสมรรถภาพส าคัญซึ่ง วิเคราะห์มาจากหลักสูตร และน าผลการประเมินเป็นข้อมูลไปปรับปรุงกระบวนการ จัดการศึกษาของฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยทั่วไปแล้ว หน่วยงานที่ติดตามและประเมินคุณภาพการศึกษาได้แก่ กรม วิชาการ กรมเจ้าสังกัดหรือท้องถิ่นเป็นผู้ด าเนินงาน การจัดการศึกษาในภาพรวม โรงเรียนควรจัดให้สอดคล้องตามจุดหมายของหลักสูตร หรือเป้าหมายเฉพาะอื่น ๆ ที่ โรงเรียนมุงเน้น ทั้งนี้อาจใช้ผลจากการประเมินของหน่วยงานที่รับผิดชอบเพื่อการปรับปรุง และพัฒนาการจัดการศึกษาของโรงเรียนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นก็ได้หลักสูตรระดับ ห้องเรียนเป็นการที่ครูผู้สอนน าหลักสูตรรายวิชามาจัดท าวัตถุประสงค์เฉพาะของรายวิชา นั้น ๆ มาจัดกิจกรรมการเรียนการสอนจริงให้เหมาะสมกับนักเรียนที่จะเรียนรู้ การ ประเมินผลหลักสูตรระดับนี้จะประเมินเป็นรายวิชาโดยครูผู้สอน เป็นการประเมินใน ระดับการสอนซึ่งสามารถน าผลมาใช้ทั้งเพื่อการปรับปรุงการเรียนการสอนและตัดสินผล การเรียน และถือเป็นเรื่องส าคัญส าหรับครูผู้สอนแต่ละคนในการที่จะน าไปใช้พัฒนา หลักสูตรและการเรียนการสอนในห้องเรียน การจัดท าหลักสูตรนี้จึงควรศึกษาให้เข้าใจถึง หลักการและจุดหมายที่ระบุในหลักสูตรเมื่อจะน ามาใช้จริงในห้องเรียน จุดหมาย (Objectives) เป็นเป้าหมายกว้าง ๆ ที่หลักสูตรก าหนดและต้องการให้ ผู้เรียนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยปกติผู้สอนจะต้องปรับเขียนจุดหมายที่ก าหนด ในหลักสูตรให้เป็นจุดประสงค์เฉพาะวิชา หรือ วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมเพื่อใช้เป็น แนวทางในการจัดการเรียนการสอนเป็นเป้าหมายที่จะให้ผู้เรียนบรรลุ และเป็นเป้าหมาย ที่จะใช้ในการวัดและประเมินผล ดังนั้นวัตถุประสงค์จึงเป็นสิ่งส าคัญที่ผู้สอนต้องก าหนด ไว้ก่อนอื่นหมด การก าหนดจุดมุ่งหมายในลักษณะของวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมจะท าให้ สามารถจัดการเรียนการสอนตลอดจนวัดและประเมินผลได้ง่ายขึ้น


๕๙ การเรียนการสอน (Learning) เป็นการด าเนินการหรือการจัดประสบการณ์โดย ใช้กิจกรรมในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ ก าหนด การเรียนการสอนจะมีประสิทธิภาพ ผู้สอนจะต้องท าแผนการสอนเป็นอย่างดี และด าเนินการสอนตามแผนการสอนที่เตรียมไว้ การวัดและประเมินผล (Measurement and evaluation) เป็นกระบวนการ ต่อเนื่องจากการเรียนการสอน แต่ต้องมีความสัมพันธ์และสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ และ กับการเรียนการสอนกล่าวคือ การวัดผลจะต้องวัดจากวัตถุประสงค์การเรียน และวัดใน สิ่งที่ผู้สอนได้จัดกิจกรรมการเรียนการสอน ผลจากการวัดจะให้ข้อมูลแก่ผู้สอนและบุคคล ที่เกี่ยวข้องเพื่อการปรับปรุงแก้ไขกิจกรรมการเรียนการสอน และเพื่อให้ทราบว่าผู้เรียน และกิจกรรมการเรียนการสอนก็เป็นสิ่งก าหนดรูปแบบของการวัดให้เหมาะสมด้วย ส่วนจุดมุ่งหมายของการประเมิน จึงหมายถึง การประเมินมีจุดมุ่งหมายหลาย ประการ เช่น ประเมินเพื่อวินิจฉัยจุดเด่นจุดด้อยของผู้เรียนเพื่อตัดสินเกี่ยวกับการปฏิบัติ ของผู้เรียน เพื่อให้ผลย้อนกลับ เพื่อจัดระดับผู้เรียน เพื่อวางแผนการสอบ หรือประเมิน เพื่อเป็นข้อมูลในการจัดการความสมดุลทางด้านสังคมของผู้เรียนในห้องเรียน โดยทั่วไปการประเมินผล (Evaluation) ส่วนมากอาศัยการวัด การเก็บรวบรวม ข้อมูลด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งหรือหลายวิธีและน าข้อมูลที่ได้มาพิจารณาตัดสินคุณค่า ดังนั้นก่อนการประเมินผล ผู้ประเมินจึงจ าเป็นต้องก าหนดเกณฑ์ซึ่งจะใช้เปรียบเทียบกับ ข้อมูลก่อนที่จะตัดสินคุณค่า เวอร์เธน และคณะ ได้ให้ความหมายของ การประเมินผลว่า เป็นการพิจารณา หรือก าหนดคุณค่าเพื่อตรวจสอบหรือตัดสิน เขาได้อธิบายการ ประเมินโครงการว่าเป็น วิธีสืบค้น ตัดสิน และสรุปเพื่อ ( ) พิจารณามาตรฐานหรือเกณฑ์ส าหรับตัดสินคุณภาพ และพิจารณาว่าเกณฑ์ดังกล่าวควรเป็นเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องหรือไม่ (๒) รวบรวมข้อมูลที่ เกี่ยวข้อง (๓) ใช้เกณฑ์มาตรฐานเพื่อตัดสินคุณค่า คุณภาพ คุณประโยชน์ หรือ ประสิทธิภาพที่เกี่ยวข้องตามวัตถุประสงค์๗และเขาได้อธิบายว่า การประเมินผล เป็นการตัดสินคุณค่าของบางสิ่งบางอย่าง โดยสรุปได้ว่า การประเมินผล เป็นการตัดสินคุณค่าของสิ่งที่ต้องการศึกษาโดย อาศัยข้อมูลและเปรียบเทียบกับเกณฑ์ ๗ Worthen and others, Leadership Research Finding, and Skills,5 th e d. Boston: (Houghton Mifflincompany, 2010), p. 391.


๖๐ ๘.๓ ความเป็นมาของการวัดและประเมินผล ในยุค ๒ ๐ ปีก่อนคริสตกาลในสมัยราชวงค์ ฮั่น (HAN) จีนได้มีระบบการสอน เพื่อคัดเลือกบุคลเข้ารับราชการเป็นครั้งแรก โดยการให้ค าตอบค าถามด้วยความเรียง และแต่งร้อยกรอง การสอบถามแบบนี้ค่อย ๆ มีอิทธิพลน้อยลงเนื่องจากไม่ครอบคลุมทุก ประเภทของงานและไม่สามารถตอบสนองเกี่ยวกับเทคโนโลยีตะวันตกหรือเทคโนโลยี ใหม่ๆ ที่เข้ามามีอิทธิพลในชีวิตประจ าวันได้ ในยุโรปศตวรรษที่ 14 พ่อค้าในเมืองทีวีโซ (Treviso) ประเทศอิตาลีต้องการ ความมั่นใจว่าลูกของเขาจะสามารถบริหารธุรกิจของพ่อต่อไปได้ จึงได้ก าหนดเงินเดือน ครูระดับการสอบ ในหลักสูตรยุคนั้นซึ่ง ใช้การสอบปากเปล่า วิธีดังกล่าวเป็นตัวอย่าง ของการสอบที่ประเมินความสามรถผู้สอนโดยใช้คะแนนสอบของนักเรียนถือได้ว่าเป็นการ จ่ายเงินตามผลที่ได้ การปฏิบัติเหล่านี้เกิดจากความคิดพื้นฐานที่ว่านักเรียน สามารถเรียน ได้ถ้าได้รับการเรียนที่เหมาะสม คะแนนสอบจึงบ่งบอกถึงความสามารถของผู้สอนด้วย การสอบปากเปล่าได้ถูกน ามาใช้ในยุโรปเรื่อยมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 ถึงศตวรรษที่ 20 โดยใช้ค าถามสอบถามความรู้ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับศาสนา ค าตอบจะได้รับการ ประเมินถูก หรือผิดซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่เป็นทางการมากนัก สมัยต่อมาจึงได้มีการประเมิน แบบเป็นทางการมากขึ้น พัฒนาการของการสอบในยุโรป เริ ่มมีการสอบข้อเขียนในศตวรรษที ่ 14 การสอบข้อเขียนแพร่ขยายกว้างขวางเมื่อสามารถหากระดาษมาใช้ได้สะดวกมากขึ้น ศตวรรษที่ 18 ระบบการสอบด้วยข้อเขียนจึงได้แพร่เข้ามาสู่โรงเรียนในยุโรป มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์และออกซ์ฟอร์ด ได้น าเอาการสอข้อเขียนมาใช้ทดสอบในวิชา คณิตศาสตร์เพื่อให้การสอบมีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ปลายศตวรรษที่ 18 ได้เริ่มมีพัฒนาการของการสอบวัดในสาขาจิตวิทยาในอเมริกา ปี ค.ศ. 1845 ฮอแรซแมน ได้ใช้ข้อสอบความเรียงแทนการสอบปากเปล่าในโรงเรียนในเมืองบอสตัน ในฝรั่งเศส รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาได้ขอให้นักจิตวิทยาชื่อ อัลเฟรด บิเนต์ ท าแบบทดสอบเพื่อแยกแยะเด็กที่มีสมองช้ากว่าปกติ เช่นไม่สามรถนับเงินหรือแยกแยะ สิ่งของได้ บิเนต์ทดลองใช้แบบทดสอบที่พัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกโดยใช้การตรวจสอบทาง จิตวิทยาในอังกฤษ แฟรงซิส แกลตัน ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับ คาร์ล เพียร์สัน และในเยอรมัน วุนดท์ ได้น าแบบทดสอบของ บิเนต์ไปใช้ แต่แบบทดสอบนี้ยังไม่ประสบความส าเร็จมาก นัก บิเนต์ได้หาวิธีใหม่ และได้จัดระบบของงานที่ต้องท าเพื่อทดสอบตามอายุของสมอง พัฒนาของแบบทดสอบถึงขั้นสามารถน าผลการสอบมาบ่งบอกถึงอายุสมองตามอายุ ปฏิทินเพื่อค้นหาความสามารถของเชาว์ปัญญา


๖ ต่อมาในปี ค.ศ. 1916 เธอร์แมน ได้ปรับปรุงและหาค่าปกติพิสัยแบบทดสอบ ของบิเนต์ใหม่ เพื่อใช้กับเด็กอเมริกันเรียกว่าแสตนฟอร์ด บิเนต์ แบบทดสอบเพื่อวัด ความสามารถของเชาว์ปัญญานี้จึงกลายเป็นการทดสอบในระบบอเมริกัน ซึ่งใช้ทดสอบ และให้คะแนนเป็นรายบุคคลและแปลความหมายโดยนักจิตวิทยาที่ได้รับการฝึกมาแล้ว แบบทดสอบทางสมองได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว เพื่อน าไปให้บริการแก่กองทัพในสงครามโลก ครั้งที่ ผู้น าทางการทหารได้สนับสนุนให้สามคมจิตวิทยาอเมริกันสร้างเครื่องมือที่ เหมาะสม อาปา ได้ตั้งคณะกรรมการซึ่งมีอาเทอร์ ออทิส เป็นหัวหน้ารับผิดชอบงาน เกี่ยวกับการทดสอบเชาว์ปัญญา แบบทดสอบเชาว์ปัญยาฉบับแรกจึงใช้การทดสอบเป็น กลุ่มและประสบความส าเร็จคือ อารืมี อัลฟา ใช้ทดสอบผู้ที่จะเป็นทหารกว่า ๒ ล้านคน โดย ออทิส เป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับการปรับปรุงเครื่องมือวัดส าหรับใช้ในโรงเรียน๘ องค์ประกอบหลายประการที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบและมีบทบาทส าคัญในการ พัฒนาการประเมินผลในระยะแรก ได้แก่การเสนอแนะวิธีการทางวิทยาศาสตร์ของ จอห์น สเตาร์ท มิล ทฤษฎีของเขาได้รับการต้อนรับสนับสนุนในศาสตร์ต่าง ๆ รวมทั้ง การศึกษาและสังคมศาสตร์ แกลตัน และ วุ้นดท์ได้จัดตั้งห้องทดลองทางจิตวิทยาและได้ ศึกษาพบเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างบุคคลกับระยะเวลาในการตอบสนอง การทดลอง ดั้งกล่าวต้องอาศัยการวัดเช่นเดียวกัน องค์ประกอบประการที่สองที่ท าให้การสอบวัดเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น ได้แก่ การจัดการทางธุรกิจและอุตสาหกรรม เนื่องจากคนเป็นองค์ประกอบส าคัญในการผลิต และให้บริการนักเรียนถูกมองว่าเป็นวัตถุดิบที่จะต้องผ่านกระบวนการในโรงเรียน การทดสอบจึงมีบทบาทมากขึ้น ในปี ค.ศ. 1908 นับเป็นปีที่เริ่มบุกเบิกและตีพิมพ์ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ในโรงเรียนโดยมี แบบทดสอบเลขคณิต เป็นครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1992 ได้มีการตีพิมพ์ชุดของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ แสตนฟอร์ด และได้มีการ พิมพ์แบบทดสอบอื่น ๆ ต่อมา ในปี ค.ศ. 1993 แบบทดสอบ Eight Year Study ได้ถูก น ามาใช้ในรงเรียนมัธยมเพื่อศึกษาว่า ในแต่ละช่วงของ ๔ ปี หลักสูตรซึ่งนักเรียนได้เรียนประสบความส าเร็จหรือไม่ ซึ่งต่อมา ไทเลอร์ ได้เก็บรวบรวมข้อมูลจากการทดสอบและได้เสนอแนะการประเมิน โครงการขึ้น เป็นการประเมินตามจุดประสงค์ในโครงการ ผลจากการประเมินนอกจากจะ ให้ข้อมูลซึ่งสามารถน ามาวิเคราะห์จุดเด่นจุดด้อยได้แล้วยังสามารถใช้เพื่อเป็นแนวทางใน การปรับปรุงโครงการหรือเรียกว่าเป็นการประเมินผลย่อย เว้นแต่ผลซึ่งจะต้องปรากฏ ๘ ปุรชัย เปี่ยมสมบูรณ์, การวิจัยประเมินผล: หลักการและกระบวนการรวมเล่ม, หน้า ๘.


๖๒ หลังจากสิ้นสุดโครงการ ในปี ค.ศ. 1926 คณะกรรมการสอบเข้าเรียนต่อในสถาบันอุดม ศึกษา ได้เริ่มน ารูปแบบการสอบแบบเลือกตอบมาใช้ ๘.๔ ผู้น าการศึกษาของพระสงฆ์ในสถานการณ์ใหม่ การประเมินผู้น าการศึกษาแนวพุทธในสถานการณ์ใหม่ หมายถึง ผู้น าทางการ ศึกษาของพระสงฆ์ในสถานการณ์ใหม่เป็นการน าเสนอบทความที่ผู้เขียนเชื่อว่าตัวแปรที่ ส าคัญส าหรับการเปลี่ยนแปลงการศึกษาสงฆ์ให้ก้าวทันกระแสโลกได้ คือภาวะผู้น าของ พระสงฆ์ผู้มีหน้า บริหารจัดการศึกษาในวัดจะพบว่า ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันการศึกษา สงฆ์ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องตาม สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปโดยอาศัยภาวะผู้น าของพระสงฆ์ที่ มีความสามารถดังนี้ . ภาวะผู้น าทางการศึกษาของพระสงฆ์แบบเดิมในสมัยพุทธกาล ๒. ภาวะผู้น าทางการศึกษาของพระสงฆ์แบบเดิมมาจัดการศึกษาตามสถานการณ์ใหม่ หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ๓. ภาวะผู้น าทางการศึกษาของพระสงฆ์เชิงบูรณาการ ในประเทศไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้นและ ๔. ภาวะผู้น าทาง การศึกษาของพระสงฆ์ใน สถานการณ์ใหม่ตามมุมมองของผู้น าสงฆ์ในยุคปัจจุบัน ผลแห่ง การศึกษาเรื่องนี้ชี้ให้เห็นภาวะผู้น าของพระสงฆ์ ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลในการจัดการ พระพุทธศาสนาแก่พระภิกษุ สามเณรเพื่อสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืน มั่นคง ตลอดไป ค าว่า สงฆ์ หมายถึง ภิกษุ บางทีก็ใช้ควบกับค าพระ หรือ ภิกษุ เป็น พระสงฆ์ หรือภิกษุสงฆ์ เช่น นิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ มีภิกษุสงฆ์มารับบิณฑบาต มี ลักษณะนามว่า รูป หรือองค์ เช่น ภิกษุสงฆ์๒ รูป พระสงฆ์ ๔ องค์ (ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๕๖: ๕๕) นอกจากนี้ “สงฆ์” ยังหมายถึง หมู่เป็นที่รวมกันแห่ง ส่วนย่อยโดยไม่ แปลกกัน มีความเห็นและศีลเสมอกัน (พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช), ๒๕๕ : ๖๕๐ – ๖๕ ) ในขณะที่พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) (๒๕๕๔: ๓๔๙) ได้ให้ ความหมายของค าว่า “สงฆ์” ว่าหมายถึง หมู่ สาวกของพระพุทธเจ้า เรียกว่า สาวกสงฆ์ ต่างจาก ภิกขุสงฆ์ คือ หมู่แห่งภิกษุหรือชุมนุมภิกษุหมู่หนึ่งตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ดังนั้นจึง กล่าวได้ว่า “สงฆ์” คือการอยู่ร่วมกันของกลุ่มบุคคลผู้มีความคิดเห็นและกฎเกณฑ์ที่ เท่าเทียมกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่มีความแปลกแยกแตกต่างเป็นสังคมหรือชุมชน ๙ พระครูสุจิตตานันท์หิตจิตฺโต (ทินโพธิ์วงศ์), ภาวะผู้น าทางการศึกษาของพระสงฆ์ใน สถานการณ์ใหม่, (กรุงเทพมหานคร: ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๖๐), หน้า ๒๓.


๖๓ อารยะ มีอิสระอย่างแท้จริงและ เป็นแม่พิมพ์หรือต้นแบบของสังคมในอุดมคติเป็นชุมชน ของผู้ด าเนินชีวิตอันประเสริฐ ค าว่า ใหม่ การให้ค านิยามคงยาก คงต้องใช้วิธีการตีความ ว่า อะไรใหม่ อย่าง เหตุการณ์บางเรื่องที่ไม่เคยเห็น หรือ ไม่เคยได้ยินมาก่อน เรียกว่า ใหม่ เช่น โรคโควิด ๙ ที่ระบาดใหม่ไปทั่วโลก และมีผลกระทบต่อ วิถีชีวิตอย่างมาก ก็เรียกว่า เหตุการณ์ใหม่ที่ เกิดขึ้น คือติดต่อกันง่าย รักษายากมีผลกระทบเร็วมาก ของโรคนี้จากเหตุการณ์นี้เรียกว่า โรคใหม่ ที่แพทย์ พยาบาล ท าการรักษายากมาก ยาก็ไม่มีโดยตรง นอกจากนั้นโลกต้องการผู้น าแบบใหม่ โดยมีคุณสมบัติ คือ เก่ง ดี มีความสามารถ มีความรู้ ตามเกณฑ์ที่ก าหนดด้านใดบ้าง ก็อยู่ที่ความต้องการของสังคม หรือหน่วยงาน องค์กร ภาวะผู้น าแบบใหม่ ควรเป็นอย่างไร ลักษณะอย่างนี้ถือว่า การก าหนดเกณฑ์ใหม่ ด้วยการตีความ วิเคราะห์ใหม่ ส่วนจะใหม่แบบใด ก็ขอให้ไปนิยาม วิเคราะห์ และ ตีความ ตามทัศนคติ และบทความนี้ผู้เขียนใช้บริบทแนวใหม่ ส าหรับภาวะผู้น าทาง การศึกษาของพระสงฆ์ในสถานการณ์ใหม่ ผู้เขียนขอก าหนดประเด็นในการ น าเสนอไว้ ๔ ประการ คือ . ภาวะผู้น าทางการศึกษาของพระสงฆ์แบบเดิม ๒. ภาวะผู้น าทาง การศึกษาของพระสงฆ์แบบเดิมมาจัดการศึกษาตามสถานการณ์ใหม่ ๓. ภาวะผู้น าทาง การศึกษาของพระสงฆ์เชิงบูรณาการ ๔. ภาวะผู้น าทางการศึกษาของพระสงฆ์ใน สถานการณ์ใหม่ การศึกษาภาวะผู้น าทางการศึกษา มีผู้ศึกษาเป็นจ านวนมากทั้งในและ ต่างประเทศ แต่การศึกษาภาวะผู้น าของพระสงฆ์ทางการศึกษายังมีไม่มากนัก โดยเฉพาะ การเขียนหนังสือ ต ารา หรือบทความเกี่ยวกับภาวะผู้น าของพระสงฆ์คงต้องช่วยกันเขียน ให้หลากหลายแง่มุมเพื่อพัฒนาภาวะผู้น าของพระสงฆ์ทางการศึกษามากขึ้นซึ่งแนวคิด แต่ละประเด็นต่อไป ๘.๕ ผู้น าการศึกษาของพระสงฆ์ในแบบเดิม ผู้น าทางการศึกษาของพระสงฆ์แบบเดิม ภาวะผู้น าทางการศึกษาสงฆ์แบบเดิม ในสมัยพระพุทธกาลนั้นมีมุมมองที่สามารถแยกได้ ๒ ประการ คือ . ภาวะผู้น าของ พุทธสาวกกลุ่มเสขะ ๒. ภาวะผู้น าของพุทธสาวกกลุ่มอเสขะ ภาวะผู้น าทั้ง ๒ ชุดนี้ มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง พฤติกรรมทั้งทางกาย วาจา และใจ การปฏิบัติก็


๖๔ แตกต่างกันในแง่ความคิด การกระท า เพราะคุณสมบัติภาวะผู้น าของพระสงฆ์นั่นเอง ซึ่งขอน าเสนอในแง่มุมแต่ละกลุ่มเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน ดังนี้ ๐ ๑. ภาวะผู้น าของพุทธสาวกกลุ่มเสขะ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) (๒๕๕๕: ๔๐๙) ได้กล่าวว่า ภาวะผู้น าของพุทธสาวกกลุ่มเสขะ หมายถึงพระสงฆ์ผู้ที่ยัง ต้องศึกษา ละกิเลสได้ยังไม่หมด เรียกว่า พระอริยะสงฆ์ยังมีกิเลส โดยมีคุณสมบัติมี ๓ ประเภท คือ ) พระโสดาบัน ผู้ถึงกระแสคือ เข้าสู่มรรค เดินทางถูกต้องอย่างแท้จริง หรือ ปฏิบัติถูกต้องตาม อริยมรรคอย่างแท้จริง เป็นผู้ท าได้บริบูรณ์ในขั้นศีล ท าได้พอประมาณ ในสมาธิ และท าได้พอประมาณใน ปัญญา ละสังโยชน์ได้ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส ๒) พระสกทาคามีผู้กลับมาสู่โลกนี้อีกครั้งเดียวก็จะก าจัดทุกข์ได้สิ้น เป็นผู้ท าได้ บริบูรณ์ในขั้นศีล ท าได้พอประมาณในสมาธิ และท าได้พอประมาณในปัญญา นอกจากละ สังโยชน์ ๓ ข้อต้นได้แล้ว ยังท าราคะ โทสะ และโมหะ ให้เบาบางลงไปอีกต่อจากขั้นของ พระโสดาบัน ๓) พระอนาคามีผู้จะปรินิพพาน ไม่เวียนกลับมาอีก เป็นผู้ท าได้บริบูรณ์ในศีล ท า ได้บริบูรณ์ในสมาธิแต่ท าได้พอประมาณในปัญญา ละสังโยชน์ได้อีก ๒ ข้อ คือ กามราคะ และปฏิฆะ (รวมเป็นละสังโยชน์เบื้องต่ า ได้ครบ ๕ ข้อ) พระสงฆ์ทั้ง ๓ ประเภทนี้ยังไม่ บรรลุพระอรหันต์ ยังต้องศึกษาพระธรรมวินัยให้ลึกซึ้งแล้วน ามาฝึกหัด และพัฒนาตนให้ หลุดพ้นจากกิเลสให้หมด เรียกว่า ภาวะผู้น าของพุทธสาวกกลุ่มเสขะ พระที่ยังต้องศึกษา หลัก ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ และปัญญาต่อไป ๒. ภาวะผู้น าของพุทธสาวกกลุ่มอเสขะ พระอเสขะ หมายถึง กลุ่มผู้ไม่ต้อง ศึกษา หรือ อนุปาทิเสสบุคคล (ผู้ไม่มีเชื้อคืออุปาทานเหลืออยู่เลย) คือ พระอรหันต์ผู้ควร แก่ทักขิณาหรือการบูชาพิเศษ หรือ ผู้หักก าแห่งสังสารจักรได้แล้ว เป็นผู้สิ้นอาสวะ เป็นผู้ท าได้บริบูรณ์ในสิกขาทั้งสาม คือ ศีล สมาธิ และปัญญา ละสังโยชน์เบื้องสูงได้อีกทั้ง ๕ ข้อ (รวมเป็นละ สังโยชน์หมดทั้ง ๐) การศึกษาสมัยพุทธกาลจะไม่มีแบบการศึกษาที่ชัดเจน เมื่อพระสงฆ์ได้บวชแล้ว พระพุทธเจ้าจะเป็น ครูสอนแบบมุขปาถะ ด้วยปากเปล่า รูปแบบการสอนคือ บรรยาย สนทนา ถาม-ตอบ เมื่อเข้าใจชัดแล้ว ให้น าหลักค าสอนไปปฏิบัติอย่างจริงจัง โดยมี ๐สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส, พระมหาสมณนิยมในการบริหาร การคณะสงฆ์, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๓), หน้า -๓.


๖๕ เป้าหมายชัดเจน คือหลุดพ้นจากกิเลส ผลการเรียนรู้ของพระสงฆ์ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้ามีเกณฑ์การประเมินผลด้วยพระองค์ โดยเน้นการประเมินเป็นปัจเจกบุคคล เป็นรายบุคคล หลังจากนั้นพระองค์จะประกาศผลว่า พระภิกษุรูปใดได้บรรลุธรรมระดับ ใดทั้ง ๔ ระดับ ดังกล่าว ข้างต้น เมื่อพระพุทธเจ้าประกาศผลให้ทราบผลแต่ละองค์แล้ว น าผลนั้นไปพัฒนาตนเอง ต่อให้บรรลุธรรมสูงสุดเป็นพระอรหันต์สังเกตว่า พระสงฆ์สมัยพุทธกาลมีหลักการเรียนดี มาก . ตั้งใจฟังการเรียนรู้สูงมาก ๒. มีความขยัน อดทน ทุกสถานการณ์ ๓. มีจิตใจ ไตร่ตรอง คิดวิเคราะห์ ทบทวนค าสอนของพระพุทธเจ้า ๔. ไม่เข้าใจขั้นใด ข้อไหน มีการ ซักถาม สนทนาตลอดเวลา ๕. ใช้ปัญญาคิดด้วยเหตุและผลผ่านสื่อธรรมชาติช่วย เปรียบเทียบค าสอนจนเข้าใจชัดตามความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าสอน การศึกษาของพระภิกษุสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงวางกฎระเบียบในการ ปกครองพระสงฆ์ เรียกว่า พระวินัย หมายถึง ข้อที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติเกี่ยวกับ ระเบียบปฏิบัติ ขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีชีวิต และวิธีด าเนินกิจการต่าง ๆ ของภิกษุ สงฆ์๘ เท่ากับว่าระเบียบ วินัยในการเรียนรู้และการปฏิบัตินั้น และมีการลงโทษหนัก เบา แล้วแต่กรณีการท าผิดเรื่องนี้ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) (๒๕๔๓ : ๔๔๙ – ๔๕๐) ได้กล่าวถึงความหมาย อย่างง่าย ๆ ของพระวินัย โดยแบ่งออกเป็น ๒ อย่าง คือ . การฝึกให้มีความประพฤติ และความเป็นอยู่เป็นระเบียบแบบแผน หรือการ บังคับควบคุมตนให้อยู่ ในระเบียบแบบแผน รวมทั้งการใช้ระเบียบแบบแผนต่าง ๆ เป็น เครื่องจัดระเบียบความประพฤติ ความเป็นอยู่ของคนและกิจการของหมู่ชน ๒. ระเบียบแบบแผน กฎเกณฑ์ ข้อบังคับต่าง ๆ ที่วางลงไว้เป็นหลักหรือเป็น มาตรฐานส าหรับใช้ฝึกคน หรือใช้บังคับควบคุมคนตลอดจนเป็นเครื่องจัดระเบียบความ ประพฤติ ความเป็นอยู่ของคนและกิจการของหมู่ชนให้เรียบร้อยดีงาม นอกจากนี้ด้านการศึกษาของพระสงฆ์พระพุทธองค์วางพระวินัยไว้อย่างไร พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้กล่าวว่า วินัยที่เอื้อต่อการศึกษาของพระสงฆ์ไว้ว่า . อาทิพรหมจริยกาสิกขา หมายถึง หลักการศึกษาอบรมในฝ่ายบทบัญญัติ หรือข้อปฏิบัติอันเป็น เบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้เป็นพุทธอาณา (อ านาจปกครองของพระพุทธเจ้า หรือ อ านาจปกครองฝ่ายพุทธจักร) เพื่อป้องกันความ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), ธรรมวินัยในการบริหารการคณะสงฆ์, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๓), หน้า ๔๙- ๕๐.


๖๖ ประพฤติเสียหายของพระภิกษุและวางโทษผู้ล่วงละเมิด โดย ปรับอาบัติสถานหนักบ้าง เบาบ้าง ตามสมควรแก่ความผิด และให้พระสงฆ์สวดทุกกึ่งเดือน เรียกว่า พระปาฏิโมกข์ ๒. อภิสมาจาริกาสิกขา หมายถึง หลักการศึกษาอบรมในฝ่ายขนบธรรมเนียม เกี่ยวกับมารยาท และความประพฤติความเป็นอยู่อันดีงามของพระภิกษุ อันน ามาซึ่ง ความเคารพศรัทธาเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชน จากการศึกษาพบว่า พระวินัยเป็นบทบัญญัติที่จะช่วยปกครองพระสงฆ์ให้ปฏิบัติ ตามพระธรรมวินัย อย่างเคร่งครัดเพื่อการเรียนรู้และการปฏิบัติตามค าสอนของ พระพุทธเจ้าไม่ให้ผิดพลาด ข้อนี้เป็นจุดแข็งของ กฎระเบียบในการเป็นภาวะผู้น าของ พระสงฆ์ส าหรับการจัดการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายที่แท้จริง อนึ่ง ผู้น าทางการศึกษาของพระสงฆ์แบบเดิมมาจัดการศึกษาตามสถานการณ์ใหม่ ภาวะผู้น าของพระสงฆ์ในการจัดการศึกษาหลังพระพุทธกาล หมายถึง การศึกษาของ พระสงฆ์หลังจาก พระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระพุทธสาวกในสมัยนั้นก็ถือเป็นภาวะกิจ จัดการศึกษา หลังจากพระพุทธกาล นิพพานใหม่ ๆ นั้นเกิดปัญหาทางการจัดการศึกษา แก่พระสงฆ์เรื่องหนึ่ง คือจะสอนอย่างไร เอาต ารา หนังสือ แบบเรียนที่ไหนมาเป็นคู่มือใน การจัดการศึกษาให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันทั้งหมด นึกถึงค าสอนของ พระพุทธเจ้าที่ พระพุทธเจ้าทรงยกย่องให้เป็นผู้เชียวชาญแต่ละเรื่องซึ่งค าสอนนั้นอยู่ในตัวบุคคลแบบ กระจัด กระจาย ประเด็นของภาวะผู้น าทางการศึกษาของพระสงฆ์แบบเดิมมาจัด การศึกษาตามสถานการณ์ใหม่แบ่งเป็น ๓ ประเด็น . ภาวะผู้น าของพระสงฆ์ที่เชียวชาญเฉพาะบุคคล หมายถึง ภาวะผู้น าของ พระสงฆ์ที่เชียวชาญเฉพาะบุคคล หมายถึงพระสงฆ์ที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่องให้เป็น เอตทัคคะในแต่ละสาขาของศาสตร์ ยกตัวอย่าง พระมหากัสสปะ เป็นเอตทัคคะ ที่ทรงยก ย่องและให้ถือเป็น แบบอย่างในด้านผู้ทรงธุดงค์ เป็นประธานในการปฐมสังคายนาวิสัชนา พระอภิธรรม พระอุบาลีเถระหลัง พุทธปรินิพพาน ท่านจึงได้รับต าแหน่งให้เป็นผู้วิสัชนา พระวินัยปิฎกในการปฐมสังคายนาเพื่อรวบรวมพระธรรม วินัยของพระพุทธเจ้า เอตทัคคะ ผู้เลิศในทางผู้ทรงพระวินัย และพระอานนท์ เป็นพระอรหันต์สาวกของ พระโคตมพุทธเจ้า ทรงยกย่องท่านว่าเป็นเอตทัคคะผู้เลิศกว่าพระภิกษุสาวกทั้งหลาย คือ เป็นพหูสูต และ เป็นพุทธอุปัฏฐากในการปฐมสังคายนาวิสัชนาพระสูตร ผลจากการปฐมสังคายนาครั้งนั้น ถือว่าได้หลักสูตรใหม่ใน การจัดการศึกษาพระพุทธศาสนาเรียกว่า พระไตรปิฎก คือ พระสูตร พระวินัยและพระอภิธรรม แต่ความรู้นั้น ยังอยู่ในตัวบุคคล ยังไม่ได้จัดพิมพ์เป็น รูปเล่ม ดังนั้นตัวแทนพระสูตร คือ พระอานนท์ ตัวแทนพระวินัยคือ พระอุบาลี และ ตัวแทนพระอภิธรรม คือ พระมหากัสสปะเถระ เป็นต้น ภาวะผู้น าของพระสงฆ์ด้านการ


๖๗ จัดการศึกษาในสมัยนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากเพื่อสืบต่ออายุ พระพุทธศาสนาให้ ก้าวหน้าเดินต่อไปได้ ๒. ภาวะผู้น าทางการศึกษาของพระสงฆ์เป็นตามสถานการณ์ใหม่ ค าว่า สถานการณ์ใหม่ หมายถึง พระสงฆ์ที่อยู่ในสมัยนั้น มองเห็นว่าพระสงฆ์บางกลุ่มเมื่อขาด ผู้น าอย่าง พระพุทธเจ้า ท าให้พระบางองค์แสดงอาการที่ไม่เหมาะสมเป็นเหตุให้พระ มหากัสสปะตัดสินใจเรียกประชุม สงฆ์แสดงให้เห็นภาวะผู้น าของพระมหากัสสปะเถระ ที่ต้องการแก้ปัญหาการศึกษาและการปฏิบัติของคณะสงฆ์ให้ปฏิบัติตามค าสอนของ พระพุทธเจ้า หลังพระพุทธเจ้าทรงนิพพานใหม่ๆ สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปหลังการ สังคายนาเสร็จแล้ว พระสงฆ์ทั้งหลายได้แนวทางในการศึกษาและการปฏิบัติที่ถูกต้องใน สถานการณ์ใหม่ที่ ไม่มีพระพุทธเจ้าเป็นผู้น าแบบเดิม สามารถน าพาพระสงฆ์หมู่ใหญ่ เดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นใจ ๓. ภาวะผู้น าของพระสงฆ์ที่สามารถจัดการศึกษาในภาวการณ์เปลี่ยนแปลง ตามสถานการณ์ สืบต่อจากสถานการณ์เปลี่ยนเมื่อพระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานแล้ว พระสงฆ์ที่เป็นผู้อาวุโส เป็นที่เคารพนับถือของคณะสงฆ์ทั้งหลายและศิษย์ได้แสดงภาวะ ผู้น าที่เห็นชัด ตั้งแต่เริ่มจัดปฐมสังคายนา โดยการรวมค าสอนให้เป็นชุดหมวดหมู่ที่ เรียกว่าพระไตรปิฎกสมัยต่อมา ชุดพระไตรปิฎก ทั้ง ๓ หมวดนี้ ถือเป็นคู่มือการเรียนรู้ ของพระพุทธสาวก และถ้ามีปัญหาข้อสงสัยเกี่ยวกับพระธรรมวินัย ก็ใช้พระเถระผู้ทรง องค์ความรู้ แต่ละศาสตร์ตัดสินใจถูกหรือผิดในการปกครองคณะสงฆ์ให้เรียบร้อย ได้แก่ พระมหากัสสปะ สอนและแนะน าเกี่ยวกับเนื้อหาสาระของพระอภิธรรม พระอานนท์ ท าหน้าที่ทรงจ าค าสอน การเทศน์ ของพระพุทธเจ้า ได้มากที่สุดให้ค ายืนยันหลักค าสอน พุทธธรรม เรียกว่า พระสูตร และการให้ค าตัดสินการปฏิบัติตามหลักค าสอนของ พระพุทธเจ้า ได้แก่ พระอุบาลี ทรงเชี่ยวชาญ พระวินัย ภาวะผู้น าของพระสงฆ์ในการจัด การศึกษาให้ลูกศิษย์ในส านักต่าง ๆ ในสมัยนั้นเรียกว่ามอบอ านาจให้พระอุปัชฌาย์จัด การศึกษา แสดงให้เห็นบทบาทของภาวะผู้น าของพระสงฆ์จัดการศึกษาในสถานการณ์ ใหม่ หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานและสามารถอบรมสั่งสอนศิษย์ทั้งหลายด้วยดี ๘.๖ ผู้น าทางการศึกษาของพระสงฆ์เชิงบูรณาการในประเทศไทย ผู้น าของพระสงฆ์เกี่ยวกับการจัดการศึกษาในประเทศไทย พบว่าภาวะผู้น าของ พระสงฆ์มีบทบาทดีมากที่ท าหน้าที่ให้การศึกษาในยุคต้นๆ ในสมัยสุโขทัย พระนครศรีอยุธยา


๖๘ และธนบุรี ค าว่าบทบาท หมายถึง การท าตามหน้าที่ที่ก าหนดไว้เพื่อให้ท าหน้าที่ รับ ธุระ การจัดการ ศึกษาแก่พระภิกษุ สามเณร ๒ ธุระ หมายถึง หน้าที่ ภารกิจหรือเรื่องที่จะต้องรับผิดชอบกิจในทางพระพุทธศาสนา แสดงไว้ใน อรรถกถา ๒ อย่างคือ คันถธุระ และวิปัสสนาธุระ . คันถธุระ หมายถึง งานเกี่ยวกับการศึกษาเล่าเรียนพระพุทธพจน์อันเป็นค าสั่ง สอนของพระพุทธเจ้า โดยการเล่าเรียนพระพุทธพจน์บทใดบทหนึ่งหรือพระไตรปิฎกทั้งหมด ตามความสามารถแห่งสติปัญญาของตน แล้วท่องบ่น ทรงจ า สอนกันบอกกันต่อ ๆ ไป เพื่อรักษาพระพุทธพจน์ไว้ รวมถึงการแนะน าสั่งสอนเผยแผ่ พระพุทธพจน์แก่บุคคลทั่วไป ตลอดทั้งการจัดท าและการรักษาต าราและคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาไว้ด้วย ๓ ๒. วิปัสสนาธุระ หมายถึง งานที่มุ่งอบรมปัญญาให้เกิด โดยการปล่อยวางภาระ ทั้งปวง ท ากายใจให้เบา ยินดีในเสนาสนะที่สงบเงียบ พิจารณาถึงความเสื่อมไป สิ้นไปใน สังขารร่างกายจนเห็นสามัญลักษณะคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้ชัดเจน เจริญอบรม วิปัสสนาต่อเนื่องไปไม่ขาดสายจนถึงหลักชัยคือคว้าอรหัตผลได้ ๔ ดังนั้น บทบาทของพระสงฆ์ หรือธุระ จึงหมายถึง หน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตนตามที่ พระพุทธองค์ทรง ก าหนดไว้ ๒ ประการ คือ คันถธุระ ได้แก่ การศึกษาเล่าเรียน ทรงจ า สอน เผยแผ่พุทธพจน์ส่วนวิปัสสนาธุระ ได้แก่ การเจริญวิปัสสนาอบรมปัญญาของตนเพื่อ การหลุดพ้น ส าหรับพระสงฆ์ไทยในปัจจุบัน มีหน้าที่และบทบาทที่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งได้รับ การแต่งตั้งโดยตรง และเป็นหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติดังนี้ . ด้านการปกครองคณะสงฆ์ ได้แก่ งานด้านการบริหารพระภิกษุสามเณร ซึ่งพระสงฆ์ที่มีความรู้ความสามารถจะได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะต่าง ๆ ต าแหน่งสังฆราช เป็นต าแหน่งสูงที่สุด รองลงมาได้แก่ เจ้าคณะหน เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะ อ าเภอ เจ้าคณะต าบล เจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส และ เลขานุการแต่ละเจ้าคณะ เป็นต าแหน่งสุดท้าย, มหาเถรสมาคม ถือว่าเป็นองค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์ ทั้งสองนิกาย ๒ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, (กรุงเทพมหานคร: นานมีบุ๊คส์ พับลิเคชั่นส์, ๒๕๕๖), หน้า ๖๔๙. ๓พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดีสุรเตโช), พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ “ค าวัด”, พิมพ์ครั้งที่ ๓, (กรุงเทพมหานคร: ธรรมสภาและสถาบันบันลือธรรม, ๒๕๕ ), หน้า ๗. ๔เรื่องเดียวกัน, หน้า ๙ ๓.


๖๙ ๒. ด้านการจัดการศึกษาแก่พระภิกษุสามเณรและประชาชนทั่วไป ได้แก่ งาน บริหารและเป็นอาจารย์สอนตามสถาบันการศึกษาของสงฆ์ที่มีอยู่ ได้แก่ มหาวิทยาลัย สงฆ์ โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกธรรม – บาลี และแผนกสามัญศึกษา ๓. ด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ได้แก่การสอน การอบรม การแสดงธรรม การปาฐกถาธรรม และ การเขียนต ารา และการปฏิบัติธรรม โดยเผยแผ่ผ่านสื่อต่าง ๆ เช่นวิทยุโทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์เป็นต้น ๔. ด้านการก่อสร้างและการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม หมายถึง การเป็น ผู้ดูแลการสร้างวัดวา อาราม และรักษาบูรณะซ่อมแซม ๕. ด้านการบ าเพ็ญสาธารณประโยชน์แก่สังคม ได้แก่ การมีส่วนร่วมในการท า ประโยชน์แก่สังคมด้านต่าง ๆ เช่น การจัดการศึกษาแก่เด็กด้อยโอกาส การต่อต้านยาเสพ ติด การบริจาคเงินทุนแก่หน่วยงานต่าง ๆ และการส่งเสริมวิชาชีพต่าง ๆ เป็นต้น จากภารกิจของพระสงฆ์ที่ต้องท าหน้าที่ทางการศึกษาทั้งสองแบบ พบว่า ภาวะ ผู้น าของพระสงฆ์ต้อง ใช้วิธีการแบบเดิมและแบบใหม่ตามสถานการณ์ใหม่เรียกว่าใช้การ จัดการศึกษาเชิงบูรณาการให้สอดคล้องกับบริบทของสังคมไทย อย่างไรก็ดี ภาวะผู้น าทางการศึกษาของพระสงฆ์ในสถานการณ์ใหม่ที่เปลี่ยนแปลง การศึกษาทางโลก เมื่อย้อนหลังค าสอนของพระพุทธเจ้าในระยะเวลา ๒๕๖๒ กว่าปี พบว่า ค าสอนในพระพุทธศาสนา ยังคงทันสมัยเสมอ ชี้ให้เห็นชัดว่าหลักค าสอนใน พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญาทางวิทยาศาสตร์จริง ๆ ดังค ากล่าวของ อัลเบิร์ต ไอสไตล์ ว่า If there is any religion that could cope with modern scientific needs it would be (Albert Einstein, 1930) นี้เป็นการยืนยันว่า ถ้าจะมีศาสนาใดที่ รับมือได้กับความ ต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ปัจจุบัน ศาสนานั้นก็ควรเป็น พระพุทธศาสนา เมื่อสถานการณ์โลก เปลี่ยนแปลง ภาวะผู้น าทางการศึกษาของพระสงฆ์ ก็ต้องก้าวให้ทันกระแสโลกในเชิงหลักคิด นวัตกรรมใหม่ ๆ และรูปแบบ แต่เนื้อหาสาระ ทางพระพุทธศาสนาถือว่าดีแล้ว ประเด็นภาวะผู้น าทางการศึกษาของพระสงฆ์ใน สถานการณ์ใหม่ที่เปลี่ยนแปลงการศึกษาทางโลก ขอเสนอแนวคิดไว้ ๓ ประการ คือ . ภาวะผู้น าทางการศึกษาของพระสงฆ์ในสถานการณ์ใหม่ด้านการพัฒนาตน การพัฒนาตนเองให้เป็นคนดี เก่ง มีความรู้ ความสามารถ หลักการพัฒนาตนให้ มีภาวะผู้น าชั้นสูงของพระสงฆ์มี ๒ สาย คือ การศึกษาหาความรู้ในรูปแบบของพระสงฆ์ ได้แก่ การศึกษาแผนกนักธรรม แผนกบาลี และแผนกปริยัติสามัญศึกษา และอีกแผนก หนึ่งคือการศึกษาสายการปฏิบัติ คือการปฏิบัติวิปัสสนา ขัดเกลา จิตใจ ผู้ที่กล่าวหน้าที่ พระสงฆ์ต้องศึกษาคันถธุระ และ วิปัสสนาธุระให้ลึกซึ้ง จนสามารถเผยแพร่ความรู้แก่ ประชาชนให้เข้าใจตามที่ถูกต้อง


๗๐ นอกจากนั้นภาวะผู้น าของพระสงฆ์ในสถานการณ์ใหม่ต้องเรียนรู้การใช้สื่อ สมัยใหม่ให้สามารถใช้การ ได้ เช่น การใช้สื่อเทคโนโลยี และการเรียนรู้ภาษาของโลก ยุคใหม่ เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ญี่ปุ่น ฯลฯ เพื่อพัฒนาตนให้มีความพร้อมในการ เปลี่ยนแปลงตนเองให้สอดคล้องกับแนวคิดใหม่ ในยุคศตวรรษที่ ๒ และ บริบทของ ประเทศไทย ๔.๐ คือการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ในการจัดการศึกษาสงฆ์ให้ เหมาะสมกับยุค สมัยใหม่ ภาวะผู้น าทางการศึกษามีอุดมการณ์ที่ชัดเจนมาก คือเริ่มจาก การพัฒนาตนให้ดีและเก่งแล้วต่อไป ต้องช่วยกันพัฒนาคนอื่นต่อไป ๒. ภาวะผู้น าทางการศึกษาของพระสงฆ์ในสถานการณ์ใหม่ด้านการพัฒนาคน ตามโครงสร้างการศึกษาเริ่มจากผู้บริหาร ครู อาจารย์ และผู้เรียน ดังนั้นการ พัฒนาคน หมายถึงคนที่ อยู่ในสถานศึกษาตามโครงสร้างดังกล่าว แนวคิดในบทความนี้ คือผู้บริหารสนับสนุนพัฒนาผู้ใต้บังคับบัญชา ครูมุ่งพัฒนานักเรียนของตน ดังนั้นพระสงฆ์ เป็นผู้น าในการจัดการศึกษาสงฆ์จะเป็นผู้มีภาวะผู้น าอย่างไร และจะพัฒนาคนอื่นอย่างไร ในสถานการณ์ใหม่ของโลกในปัจจุบัน หลักการจัดการศึกษาอย่างมืออาชีพเสนอ ประเด็น ไว้ดังนี้ ) การพัฒนาตามหลักพระธรรมวินัย ๒) หลักยุทธศาสตร์แห่ง ๒๐ ปีเกี่ยวข้อง ตรงไหน ๓) แผนการศึกษาแห่งชาติมุ่งพัฒนาครู อาจารย์อย่างไร ๔) กรอบแนวคิด ยุคใหม่ในศตวรรษที่ ๒ และประเทศ ไทย ๔.๐ ๕) นโยบายการจัดการศึกษาสงฆ์เป็น อย่างไร เมื่อประมวลภาพชัดเจนแล้วด าเนินการพัฒนาคนต่อไป เพื่อเป้าหมายงาน ประเภทใดต้องชัดเจน ๓. ภาวะผู้น าทางการศึกษาของพระสงฆ์ในสถานการณ์ใหม่ด้านการพัฒนางาน เมื่อพัฒนาตน และพัฒนาคนได้ตามเป้าหมายแล้ว ถ้าถามว่า ตอบโจทย์งาน ของคณะสงฆ์ได้ตามความ ประสงค์แล้วหรือยัง ถ้าจะถามว่า คณะสงฆ์มีภาระงาน เกี่ยวกับกิจการของสงฆ์อะไรบ้าง โดยหลักใหญ่ ได้แก่ ) การรักษาความเรียบร้อยดีงาม ๒) การศาสนศึกษา ๓) การศึกษาสงเคราะห์๔) การเผยแผ่พระพุทธศาสนา ๕) การ สาธารณูปการ ๖) การสาธารณสงเคราะห์ ๗) การนิคหกรรม และลักษณะงานแต่ละ แผนกมีงาน ส่วนย่อยอีกมากหมาย งานเหล่านี้ล้วนต้องการคนท างานที่มีความรู้และ ปฏิบัติงานด้วยความจริงใจต่อหน้าที่ งานจึงจะเดินหน้าต่อไปได้ตามเป้าหมาย และ ระยะเวลาที่ก าหนด ดังนั้น ภาวะผู้น าของพระสงฆ์ผู้ได้รับ มอบหมายให้ด าเนินการจัด การศึกษาต้องมีความสามารถรอบรู้ในหน้าที่ของกรอบงานที่ได้รับมอบหมาย โดยเฉพาะ การปฏิบัติงานในสถานการณ์ใหม่ ต้องรอบรู้และจริงใจในการท างาน งานจึงจะออกผล ตามเป้าหมายและเป็นที่พอใจทุกฝ่าย ภาวะผู้น าที่เก่งและฉลาดต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ บริบท สังคมแบบใหม่ วัฒนธรรมใหม่ที่สะดวกและรวดเร็วในการสื่อสาร แตกต่างจากรูป แบบเดิมมา


๗ ๘.๗ สรุป การประเมินภาวะผู้น าทางการศึกษาตามแนวพุทธ หมายถึง ผู้น าทางการศึกษา ของพระสงฆ์เป็นส่วนใหญ่ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ในสถานการณ์ใหม่ พบว่า พระสงฆ์มี คุณสมบัติที่ดี มีสติปัญญา สามารถจัดการศึกษาแก่พระภิกษุ สามเณรได้ทันยุคสมัยและ เหมาะสมตามสถานการณ์ของภูมิประเทศและ สภาพแวดล้อมของสังคมนั้น ๆ ผู้เขียน ขอเสนอแนวคิดให้เห็นบริบทของภาวะผู้น าทางการศึกษาของพระสงฆ์ตั้ง สมัยพุทธกาล จนถึงสถานการณ์ในปัจจุบันดังนี้ . ภาวะผู้น าทางการศึกษาของพระสงฆ์แบบเดิม ๒. ภาวะผู้น าทางการศึกษาของพระสงฆ์แบบเดิมมาจัดการศึกษาตามสถานการณ์ใหม่ ๓. ภาวะผู้น าทางการศึกษาของพระสงฆ์เชิงบูรณาการ ๔. ภาวะผู้น าทางการศึกษาของ พระสงฆ์ในสถานการณ์ใหม่ ภาวะผู้น าทางการศึกษาของพระสงฆ์ ได้พยายามสืบต่ออายุ พระพุทธศาสนาด้วยการให้การศึกษาแก่ พระภิกษุ สามเณรจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง เพื่อให้การศึกษาสงฆ์ได้พัฒนาศาสนาทายาทได้รักษา พระพุทธศาสนาให้มั่นคง ยั่งยืน สืบต่อไป สอดคล้องกับงานวิจัยของพระอภิรัตน์ ฐิตวิริโย (ดาประโคน), สุทธิพงษ์ ศรีวิชัย ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้น าเชิงพุทธของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา อ าเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งมีผลการวิจัยพบว่า ) การศึกษา คุณลักษณะการบริหารงานตามหลักทุติยปาปณิกสูตรของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา อ าเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พบว่า โดยภาพรวม มีความคิดเห็นอยู่ใน ระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก เรียงล าดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านนิสสยสัมปันโน ด้านวิธูโร ด้านจักขุมา ๒) การศึกษาหลักและวิธีการพัฒนาคุณลักษณะการบริหารงานตามหลักทุติยปาปณิก สูตร พบว่า ผู้บริหารต้องเป็นผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีการวางแผน มีความรอบคอบ กล้าตัดสินใจ มีความคิดสร้างสรรค์ วิเคราะห์และก าหนดทิศทาง มีทักษะด้านเทคโนโลยี ใหม่ๆ มีประสบการณ์ มีความขยันหมั่นเพียรในการฝึกฝน ตั้งใจอดทน ให้ความช่วยเหลือ มองโลกในแง่บวก สร้างความสัมพันธ์ มีจิตอาสา ซื่อสัตย์ จริงใจ มีสัจจะ ค ามั่นสัญญา มี จิตใจเป็นกลาง กระจายอ านาจ ส่งเสริมการศึกษา น าหลักธรรมมาใช้มีเหตุและผล มี ความรอบคอบ ใส่ใจประเมินผล สร้างศรัทธาและความเชื่อมั่น ๓) แนวทางการ พัฒนาคุณลักษณะการบริหารงานตามหลักทุติยปาปณิกสูตรส าหรับผู้บริหารโรงเรียน มัธยมศึกษา ประกอบด้วยองค์ประกอบที่ส าคัญ ๓ ด้าน ดังนี้คือ ) ด้านจักขุมา คือ การมีวิสัยทัศน์กว้างไกล มองการไกล ประกอบด้วย สร้างวิสัยทัศน์ในองค์การมีความรู้ ความสามารถ มีการวางแผน มีแนวความคิดใหม่ ๆ ๒) ด้านวิธูโร คือ จัดการธุระได้ดี มี ความเชี่ยวชาญในงาน ประกอบด้วย ความหมั่นเพียรในการฝึกฝน มีเทคนิคและความ


๗๒ ถนัดมีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์การท างาน มีทักษะความช านาญในงานมีความ ตั้งใจ อดทนต่อการท างาน ๓) ด้านนิสสยสัมปันโน คือ การมีมนุษยสัมพันธ์ ประกอบด้วย ความสุภาพอ่อนโยน เอาใจใส่ กระตือรือร้น มีใจผูกพันอยู่กับงาน สร้างมิตรภาพการให้ ความช่วยเหลือผู้อื่นการยกย่องให้เกียรติผู้อื่น ๘.๘ เอกสารอ้างอิงประจ าบท ปุรชัย เปี่ยมสมบูรณ์. การวิจัยประเมินผล: หลักการและกระบวรการ รวมเล่ม. กรุงเทพมหานคร: การพิมพ์พระนคร, ๒๕๕๙. พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). มองสันติภาพโลกผ่านภูมิหลังอารยธรรมโลกาภิวัตน์. กรุงเทพมหานคร: บริษัทธรรมสารจ ากัด, ๒๕๔๐. พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดีสุรเตโช). พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ “ค าวัด”. (พิมพ์ครั้งที่ ๓). กรุงเทพมหานคร: ธรรมสภาและสถาบันบันลือธรรม, ๒๕๕ . พระครูสุจิตตานันท์ หิตจิตฺโต (ทินโพธิ์วงศ์). ภาวะผู้น าทางการศึกษาของพระสงฆ์ใน สถานการณ์ใหม่. กรุงเทพมหานคร: ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๖๐. ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. กรุงเทพมหานคร: นานมีบุ๊คส์ พับลิเคชั่นส์, ๒๕๕๖. ธงชัย สันติวงษ์. พฤติกรรมองค์การ. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพมหานคร: ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๕๐. สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส. พระมหาสมณนิยมในการบริหาร การคณะสงฆ์. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๓. อังศุมาลี บ ารุงราษฏร์. โปรแกรมวิชาเทคโนโลยีและนวัตกรรมากศึกษา. มหาวิทยาลัย ราชภัฎนครราชสีมา, ๒๕๖๐. Kerlinger and others. Leadership Vision and Strategic Direction. Leadership Theory and Practice. (Harcourt brace College Publisher, Copyright 1999), P. 139. Thorndike and others. Organizational culture and leadership. San Francisco: Jossey-Bass, 1985. Worthen and others. Leadership Research Finding, and Skills. 5 th ed. Boston: (Houghton Mifflin company, 2010).


บทที่ ๙ สรุปวิเคราะห์ภาวะผู้น า ********* ๙.๑ ความน า ภาวะผู้น าเป็นกระบวนการที่ผู้น าหรือผู้ที่มีภาวะผู้น า เป็นผู้ที่ชักน า จูงใจ ชี้น า ใช้อิทธิพลหรืออ านาจที่มีอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ ท าให้หรือกระตุ้นให้หรือชี้น าให้เพื่อน ร่วมงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชาให้ยินดี เต็มใจ พร้อมใจ ยินดีในการกระท าการ ให้มีความ กระตือรือร้นหรือร่วมด าเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้น าต้องการหรือตามที่ผู้น า สรุปสาระส าคัญของบทความได้ดังนี้ภาวะผู้น าเป็นกระบวนการที่ผู้น าหรือผู้ที่มี ภาวะผู้น า เป็นผู้ที่ชักน า จูงใจ ชี้น า ใช้อิทธิพลหรืออ านาจที่มีอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ ท าให้ หรือกระตุ้นให้หรือชี้น าให้เพื่อนร่วมงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชาให้ยินดี เต็มใจ พร้อมใจ ยินดีในการกระท าการ ให้มีความกระตือรือร้นหรือร่วมด าเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ ผู้น าต้องการหรือตามที่ผู้น าต้องการให้มีพฤติกรรมไปในทิศทางที่เขาชักน าในการท างาน หรือด าเนินกิจกรรมที่ผู้น านั้นรับผิดชอบหรือตามที่ผู้น านั้นต้องการ ซึ่งสิ่งที่ผู้น าในโรงเรียน ในอนาคต ควรมีเพื่อเป็นฐานในการพัฒนาภาวะผู้น า อย่างน้อยน่าจะประกอบด้วยสิ่ง ส าคัญเหล่านี้ ๑) ความสามารถเชิงวิสัยทัศน์ การวางแผนและการก าหนดเป้าหมายขององค์การ ๒) ความสามารถในการท างานแบบมีส่วนร่วม ๓) ความสามารถในการสื่อสารแบบมีประสิทธิผล ๔) ความสามารถในกาสร้างทีมงาน ๕) ความสามารถในการด าเนินกระบวนการตัดสินใจแบบมีส่วนร่วม ๖) ความสามารถในการจัดการกับปัญหา ๗) ความสามารถในเรื่องการสร้างสรรค์นวัตกรรมความคิดสร้างสรรค์และการ ริเริ่มในการเปลี่ยนแปลงองค์การ สรุปได้ว่า การบริหารงานในปัจจุบันนี้ผู้บริหารทุกคนจ าเป็นต้องใช้ภาวะ การเป็นผู้น าเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะจะสามารถได้ใช้หรือพยายามชี้ความสามารถของ ผู้ใต้บังคับบัญชา หรือพนักงานออกมาในการปฏิบัติงานให้มากที่สุด พึงระลึกไว้เสมอว่า พนักงานทุกคนมีความส าคัญอย่างมากในการปฏิบัติงาน เป็นผู้ที่ผลักดันให้งานทุกอย่าง ของกิจการนั้นสามารถด าเนินการไปได้อย่างราบรื่น การบริหารงานที่ดีจะต้องมีผู้บริหารที่


๑๗๔ มีภาวะ ความเป็นผู้น าและเก่งงาน เก่งคน เก่งคิด เก่งการด าเนินชีวิตไปพร้อม ๆ กัน๑ ตามประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ ๙.๑ ความน า ๙.๒ พระไตรปิฎกต้นแบบพุทธธรรมกับภาวะผู้น า ๙.๓ พระไตรปิฎกกับลักษณะของภาวะผู้น าตามหลักพุทธธรรม ๙.๔ วิเคราะห์แนวคิดของชาวพุทธตามระบอบประชาธิปไตย ๙.๕ วิเคราะห์ภาวะผู้น าเชิงกลยุทธของผู้บริหารสถานศึกษา ๙.๖ สรุปบทความเกี่ยวกับภาวะผู้น า ๙.๗ สรุป ๙.๒ พระไตรปิฎกต้นแบบพุทธธรรมกับภาวะผู้น า พระไตรปิฎกต้นแบบพุทธธรรมกับภาวะผู้น า หมายถึง ผู้น าตามหลักพุทธธรรม มีที่มาจากการเลือกสรรสมาชิกในสังคม โดยการมอบอ านาจให้แก่บุคคลที่มีคุณสมบัติ พิเศษต่างจากบุคคลอื่น เช่น มีผิวพรรณวรรณะดี มีร่างกายแข็งแรง นั่นหมายถึง ศักยภาพ ในการใช้อ านาจซึ่งเป็นพื้นฐานส าหรับปกครองหมู่คณะ การใช้อ านาจตามที่ปรากฏใน หลักพุทธธรรมมีวิธีการต่าง ๆ เพื่อสนองตามวัตถุประสงค์ของการใช้อ านาจตามลักษณะ ตามผู้น า อ านาจจึงมิใช่สิ่งสมบูรณ์ในตัวเอง แต่เป็นวิถีทาง (Means) ไปสู่จุดหมาย (Purposes) จึงเป็นไปเพื่อประโยชน์โดยรวมของมวลสมาชิก ดังนี้ ๑. เพื่อท าลายอธรรม ความชั่วร้าย หรือ ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากสมาชิกใน สังคม จึงมีการลงโทษเพื่อเป็นการหยุดยั้งความชั่วที่เกิดขึ้น ๒. เพื่อรักษาความเป็นธรรมของมวลสมาชิกในสังคม ถือเป็นแนวทางที่ดีงาม เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมและสนับสนุนความถูกต้องในรูปของกฎระเบียบของสังคม ๓. เพื่อสร้างความสงบสุข และความเจริญให้เกิดขึ้นในสังคมทั้งทางวัตถุและ จิตใจอ านาจของผู้น า ตามที่ปรากฏในพุทธธรรม แสดงให้เห็นถึงที่มาอันส าคัญของอ านาจดังกล่าวจาก ความยินยอม สละอ านาจของสมาชิกในสังคมนั้น ๆ ได้รับรองความชอบของอ านาจผู้น า สังคม จึงมีสิทธิ์ใช้อ านาจในฐานะผู้น า ดังปรากฏออกมาในรูปของการเมือง โดยเนื้อหาก็ คือการบริหารท าให้เกิดความสงบและผาสุกในรูปการปกครอง โดยเนื้อหาก็คือ การยัง ๑ ศิริภัสษร อ้อยน้อย ไถวฤทธิ์, สรุปความเกี่ยวกับภาวะผู้น า, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ ชันด้า, ๒๕๕๓), หน้า ๖๔.


๑๗๕ ประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่มวลชน ดังนั้น อ านาจสิทธิ์ขาดและการยอมรับการใช้อ านาจ ของผู้น า จึงเป็นสิ่งที่มวลสมาชิกได้ท าการตกลงร่วมกันแล้ว สิ่งที่ผู้น าปฏิบัติจะต้อง เป็นไปโดยชอบธรรม ค านึงถึงสมาชิกในสังคม ขณะเดียวกันก็มุ่งหวังให้เกิดประโยชน์ แก่มวลสมาชิก อ านาจดังกล่าวนี้จึงขึ้นอยู่กับเงื่อนไขส าคัญคือ ความเชื่อศรัทธาของ สมาชิก ที่มีต่อตัวผู้น าและการใช้อ านาจของผู้น าแบบต่าง ๆ จะเห็นว่า การใช้อ านาจของ ผู้น ามีความเชื่อมโยงระหว่างความสัมพันธ์ของผู้น ากับมวลสมาชิกในสังคม ดังปรากฏ ข้อความว่า๒ อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรสมมุติสัตว์ผู้หนึ่งให้เป็นผู้ว่ากล่าวผู้ที่ควรว่ากล่าวได้ โดยชอบให้เป็นผู้ติเตียน ผู้ที่ควรติเตียนได้โดยชอบให้เป็นผู้ขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่ได้โดยชอบ ส่วนพวกเราจัดแบ่งส่วนข้าวสาลีให้แก่ให้ผู้นั้น ดังนี้ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นเมื่อสัตว์เหล่านั้นพากันไปหาสัตว์ที่สวยงามกว่า น่าดูน่าชมกว่าและน่าเกรงขาม มากกว่าสัตว์ทุกตัว แล้วจึงแจ้งเรื่องนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญมาเถิดพ่อคุณ ขอพ่อว่ากล่าว ผู้ที่ควรว่ากล่าว จงติเตียนผุ้ที่ควรติเตียน จงขับผู้ที่ควรขับไล่โดยชอบเถิด ส่วนพวก ข้าพเจ้าจักเฉลี่ยกันแบ่งส่วนข้าวสาลีให้พ่อ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะสัตว์ผู้นั้นและ รับค าของสัตว์เหล่านั้นแล้ว จงว่ากล่าวผู้ที่ควรว่ากล่าว ติเตียนผู้ที่ควรติเตียน ขับไล่ผู้ที่ ควรขับไล่โดยชอบ ส่วนสัตว์เหล่านั้นต่าง ๆ ก็เฉลี่ยแบ่งส่วนข้าวสาลี ให้แก่สัตว์ที่เป็น หัวหน้านั้น แม้ว่าผู้น าจะด ารงฐานะกษัตริย์ต้องฟังเสียงของประชาชนด้วย ดังตัวอย่างใน เวสสันดรชาดก จะเห็นได้จากการที่พระเวสสันดร ซึ่งขณะนั้นด ารงพระยศเป็นพระโอรส ของพระเจ้าสัญชัย กษัตริย์ พระราชทานพญาช้างคู่บ้านคู่เมืองให้แก่พวกพราหมณ์ต่าง เมืองทั้ง ๙ คนที่มาของพญาช้างคู่บ้านคู่เมือง ท าให้ประชาชนเมืองสีพีทั้งหลายโกรธเป็น อันมาก พากันเข้ามาเฝ้าพระเจ้าสัญชัยทูลให้ขับไล่พระเวสสันดรพระราชโอรสออกนอก เมือง พระเจ้าสัญชัยก็ต้องท าตามดังใจความที่ชาวเมืองสีพีทูลแก ่พระเจ้าสัญชัยว ่า “พระองค์อย ่าได้รับสั่งให้ฆ่าพระเวสสันดรนั้นด้วยท่อนไม้หรือศาสตราเลยทั้งพระ เวสสันดรนั้น ก็ไม่ควรแก่เครื่องพันธนาการ แต่จงทรงขับไล่พระเวสสันดรเสียจากแว่น แคว้น” จงไปอยู่ที่เขาวงกตเถิด ถึงแม้ว่าพระนางผุสดีซึ่งเป็นพระมเหสีของพระเจ้าสัญชัย จะทัดทาน ดังที่ปรากฏในพระเวสสันดรชาดกว่า ข้าแต่มหาราชเพราะฉะนั้นเกล้ากระหม่อม ฉันขอกราบทูลพระองค์ว่าประโยชน์อย่าได้ล่วงพระองค์ไปเสียเลย ขอพระองค์อย่าทรงขับ ไล่พระราชโอรสผู้ไม่มีความผิดเพราะถ้อยค าของชาวนครสีพีเลย เราท าความย าเกรง ๒ พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต), โลกทัศน์ชาวพุทธ, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๘), หน้า ๑๕-๑๖.


๑๗๖ พระราชประเพณี จึงขับไล่พระโอรสผู้เป็นชาวสีพี เราจ าต้องขับไล่ลูกของตน ถึงแม้จะ เป็นที่รักยิ่งกว่าชีวิตของเรา การที่กษัตริย์หรือผู้น าที่ปกครองบ้านเมืองโดยธรรม จะสามารถใช้อ านาจนั้น ยาวนานและเป็นขวัญใจของอาณาประชาราษฎร จะได้รับการสดุดีถวายพระนามว่า “ราชา” ซึ่งหมายถึง ผู้ที่ยังชนให้สุขใจได้โดยธรรม ดังข้อความที่ปรากฏในพระสูตรกล่าว ยืนยันว่า เนื่องจากอ านาจกษัตริย์ดังกล่าว เป็นไปในลักษณะการยินยอมพร้อมใจของ สมาชิกที่จะสละอ านาจส่วนบุคคลให้แก่ผู้น าคือกษัตริย์ ผู้มีอิสระในการใช้อ านาจในการ ปกครองได้เต็มที่เพื่อรักษาความชอบธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม แต่ก็ยังอยู่ในการควบคุมดูแล ของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอ านาจเดิมเพราะถ้ากษัตริย์ประพฤติอธรรม หรือไม่มี คุณสมบัติพอก็จะถูกถอดถอนลงและหาผู้ที่เหมาะสมกว่าเป็นแทน การใช้อ านาจในทาง พระพุทธศาสนาต้องมีธรรมก ากับ เพราะความคิดทางพระพุทธศาสนายกย่องกษัตริย์ คุณธรรม เป็นธรรมราชาหรือกษัตริย์ผู้เอาชนะด้วยมากกว่ากษัตริย์ผู้ทรงปราบโลกด้วย ก าลัง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า การปกครองของกษัตริย์ในพระพุทธศาสนามีอยู่อย่างเดียว คือ อ านาจธรรม จะเห็นได้ว่าพุทธธรรมที่ปรากฎในค าสอนส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับผู้น าและ สมาชิกในสังคมนั้น ได้เน้นถึงตัวผู้น าหรือผู้ใช้อ านาจในเชิงระบอบ แต่พุ่งเป้าไปที่ตัวผู้ใช้ อ านาจนั้น ประกอบกับการใช้อ านาจไปตามวัตถุประสงค์ หรือจุดหมายรวมกันของมวล สมาชิกจึงเป็นการอธิบายของคุณธรรม และการใช้อ านาจโดยธรรมลักษณะวิธีการใช้ อ านาจของผู้น าที่มีความเป็นใหญ่ตามหลักพุทธธรรม ได้แสดงออก เป็น ๓ ลักษณะของ การใช้อ านาจ ดังต่อไปนี้ ๑. อัตตาธิปไตย (Supremacy of self) หมายถึง การถือตนเองเป็นใหญ่ คือ ถือตนเองเป็นศูนย์กลางของการตัดสินใจ เขาเชื่อมั่นตนเองสูงมาก คิดว่าตัวเองฉลาดกว่า ใครจึงไม่รับฟังความคิดเห็นใคร เขาไม่อดทนต่อการวิพากษ์วิจารณ์ เขานิยมใช้พระเดช มากกว่าพระคุณ เมื่อบริหารงานนาน ๆ ไปจะไม่มีคนกล้าคัดค้านหรือทัดทาน ลงท้ายนัก บริหารประเภทนี้มักเผด็จการ วิธีการบริหารแบบนี้ท าให้ได้งานแต่เสียคนนั่นคืองานเสร็จ เร็วทันใจนักบริหาร แต่ไม่ถูกใจคนร่วมงาน เขาผูกใจคนไม่ได้ เขาได้ความส าเร็จของ งาน แต่เสียเรื่องการครองใจคน ๒. โลกาธิปไตย (Supremacy of the world) หมายถึง การถือคนอื่นเป็นใหญ่ นักบริหารประเภทนี้ มีวิธีท างานที่ตรงกันข้ามกับประเภทแรก นั่นคือ นักบริหาร โลกาธิปไตยไม่มีจุดยืนเป็นของตัวเอง เขาขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ไม่สามารถตัดสินใจ อะไร ถ้านั่งเป็นประธานอยู่ในที่ประชุมเขาจะฟังทุกฝ่ายก็จริง แต่เมื่อฝ่ายต่าง ๆ พูด ขัดแย้งกัน เขาจะไม่ตัดสินชี้ขาด แต่เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายทุ่มเถียงทะเลาะกันเอง ใคร


๑๗๗ เสนอความคิดเห็นอะไรมาเขาเห็นคล้อยตามด้วย จนไม่ยอมตัดสินใจเด็ดขาดลงไปว่าฝ่าย ไหนถูกหรือผิดในที่สุดลูกน้องต้องวิ่งเต้นเข้าหานักบริหารประเภทนี้อยู่เรื่อยไป ผลลง เอยด้วยลูกน้องตีกันเอง เพราะนักบริหารไม่ยอมวินิจฉัยชี้ขาดว่าจะท าตามข้อเสนอ ของใคร นักบริหารประเภทนี้ได้คน แต่เสียงานนั่นคือทุกคนเป็นคนของเขา เพราะเขาเป็น คนอ่อนไม่เคยต าหนิใครลูกน้องจะท างานหรือทิ้งงานก็ได้ เขาไม่กล้าลงโทษ เขาสุภาพกับ ทุกคน แต่องค์กรยังวุ่นวาย ไร้ระเบียบและไม่มีผลงาน ๓. ธรรมาธิปไตย (Supremacy of the dharma) หมายถึง การถือธรรมหรือ หลักการเป็นส าคัญ นักบริหารประเภทนี้ถือหลักการ ความจริง ความถูกต้อง ความดีงาม เหตุผลเป็นใหญ่กระท าการด้วยปรารภสิงที่ได้ศึกษาตรวจสอบตามข้อเท็จจริง และความ คิดเห็นที่รับฟังอย่างกว้างขวางแจ้งชัดและพิจารณาอย่างดีที่สุด เต็มขีดแห่งสติปัญญาจะ มองเห็นได้ด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า เป็นไปโดยชอบธรรม และเพื่อความดีงาม เป็นปริมาณ อย่างสามัญ ได้แก่ ท าการด้วยความเคารพหลักการ กฎ ระเบียบ กติกา วิธีการใช้อ านาจของผู้น า ไม่ว่าจะด ารงอยู่ต าแหน่งใดถือเป็นผู้ที่มีฐานะสูงกว่า สมาชิกในแง่ของอ านาจ และการใช้อ านาจคือ คุณธรรมและความชอบธรรมที่มีรากฐาน มาจากความศรัทธาของสมาชิกต่อตัวผู้น า คือคุณธรรมของความเป็นผู้น า หรือภาวะที่ แสดงถึงความเป็นผู้น าที่ดีที่พึงประสงค์ ขณะเดียวกัน สมาชิกก็จะต้องได้รับประโยชน์ตาม จุดหมายที่ได้ตกลงกันไว้อันเป็นความผาสุกของชีวิต ฉะนั้น ลักษณะวิธีการใช้อ านาจ ที่ถูกต้องชอบธรรม จึงขึ้นอยู่กับเกณฑ์แห่งธรรมทั้งผู้น าและมวลสมาชิก ที่ต้องประสานให้ สอดคล้องสมดุลกันในทุก ๆ บริบทของสังคมชุมชนผู้ที่จะเป็นผู้น าสังคมที่ดี ต้องเข้าใจใน กฎเกณฑ์หรือหลักอันเป็นธรรมชาติของสิ่งเหล่านั้น เริ่มต้นด้วยการศึกษาตัวเองก่อนว่ามี จุดอ่อน จุดแข็ง ข้อดีและข้อเสียอย่างไร เช่น การที่เป็นผู้น าแบบอัตตาธิปไตย (Autocratic Leaders) ในแง่ที่ถือตัวเองเป็นใหญ่ มีความเชื่อมั่นยึดมั่นในตัวเองมากไม่ยอมรับฟังความ คิดเห็นจากใคร ผลลัพธ์ที่ออกมาคือการท างานล้มเหลวหรือ ไม่ได้รับความร่วมมือจาก ผู้ใต้บังคับบัญชาอาจจะท างานได้บ้างแต่ก็ไม่ดีเท่าที่ควร ก็จะต้องวิเคราะห์หรือพิจารณาที่ ตัวเองเป็นปัจจัยภายในก่อนมิใช่จะคอยมุ่งที่จะจับผิดผู้อื่นโดยมิได้พิจารณาว่าตัวเองตั้งมั่น สิ่งที่ควรแล้วเพียงใด ในกรณีนี้เมื่อเข้าใจตัวเองแล้วว่าเป็นผู้น าแบบอัตตาธิปไตยอุปทาน แล้ว ก็คือความยึดมั่นถือตัวตนเองอย่างสูง (The Ego belief) มากเกินไปใจแคบไม่ ยอมรับฟังความคิดเห็นจากผู้อื่น จนขาดลักษณะความเป็นผู้น าที่ดีในแง่ที่จะต้องมีจิตใจ กว้าง ไม่ปฏิเสธที่จะรับฟังความคิดใหม่ ๆ (Open minded) เมื่อผู้น าเข้าใจดังนี้แล้ว


๑๗๘ จะเป็นวิธีการใช้อ านาจของผู้น าที่พึงประสงค์ของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาหรือมวลสมาชิกใน สังคม๓ ๙.๓ พระไตรปิฎกกับลักษณะของภาวะผู้น าตามหลักพุทธธรรม วิธีการท างานของผู้น าแบบต่าง ๆ มีความแตกต่างกันไม่ว่าผู้น านั้นจะปฏิบัติงาน หรือแสดงพฤติกรรมออกมา โดยอาศัยหลักของการท างานแบบใดก็ตาม ใช้วิธีการที่ยึด สถาบันเป็นหลัก (The Nomothetic Leaders) ยึดตัวบุคคลเป็นหลัก (The Ideograph Leaders) ผู้น าแบบอาศัยแรงจูงใจ (The Persuasive Leaders) และผู้น าที่อาศัยการ ประสานประโยชน์ วิธีการท างานย่อมยังผลให้เกิดงานและกิจกรรมต่าง ๆ วิธีการท างาน ของผู้น าแบบยึดสถาบัน จ าเป็นต้องมีกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อประสิทธิภาพของการท างาน ของหน่วยงานหรือสังคม ต่างจากผู้น าแบบยึดตัวบุคคลจ าต้องอาศัยความสามารถลักษณะ พิเศษเฉพาะด้านบุคคล ผู้น าแบบประสานประโยชน์ มุ่งที่ประสิทธิภาพของการท างาน โดยการปรับองค์กรในหน่วยงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด วิธีการท างานของผู้น าตามหลักธรรมได้แสดงออกมาหลายรูปแบบ ไม่ตายตัว แต่ได้อาศัยหลักส าคัญเสมือนเป็นเป้าหมายโดยรวม คือ ธรรม ได้แก่ คุณธรรมของผู้น า และคุณธรรมของมวลสมาชิก มุ่งไปสู่ความเป็นผู้มีธรรม ดังหลักส าคัญในการท างานของผุ้ น า ๖ ประการ ได้แก่ ๑. ความอดทน (ขันติ) ๒. ความตื่นตัว (ชาคริยะ) ๓. ความขยันหมั่นเพียร (อุฏฐานะ) ๔. อัธยาศัย เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ (สังวิภาค) ๕. จิตใจเอ็นดู (ทยา) ๖. เอาใจใส่ตรวจตรา (อิกขนา)๔ อาจกล่าวได้ว่า เป็นวิธีการท างานตามเงื่อนไข หรือลักษณะงาน ที่มุ่งประโยชน์ ส่วนรวมเป็นส าคัญมิตายตัวอยู่กับโครงสร้างของสังคม ตามแนวคิดของ Hersey และ Boa chard อธิบายลักษณะของผู้น าเชิงโครงสร้าง ในลักษณะที่นักสังคมวิทยาอย่าง Murray Garros และ Charles Hendry ท่านได้กรุณาอธิบายถึงคุณลักษณะของความ เป็นผู้มีภาวะผู้น าว่า จะต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ (Situations) ๓ พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต), พุทธวิธีการบริหาร, (กรุงเทพมหานคร: โรง พิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๙), หน้า ๑๐-๑๑.๔ ดูรายละเอียดใน, ขุ.ธ. ๒๕/๑๕/๓๑.


๑๗๙ ๙.๓.๑ แนวคิดวิธีการใช้อ านาจของนักรัฐศาสตร์ตามหลักพุทธธรรม ๑. หลักอัตตาธิปไตย หมายถึง ผู้ที่ปรารภความเดือดร้อนที่ตนเองได้รับเมื่อ ครั้งยังอยู่ในฐานะประชาชน เมื่อได้โอกาสมาท างานการเมืองรับใช้ประชาชน ก็จะใช้ อ านาจการเมืองที่ตนเองได้รับการบ าบัดทุกข์บ ารุงสุขให้ราษฎร เนื่องจากก่อนมาเป็น นักการเมือง (Politicians) เป็นผู้ที่ค้นพบสัจธรรมความจริงแท้ มีลักษณะกล่าวคือ ๑.๑. เห็นทุกขเวทนาที่เกิดจาก ความเกิด (ชาติ) ความแก่ (ชรา) ความ ตาย (มรณะ)๕ ๑.๒ เห็นทุกขเวทนาที่เกิดจากการดิ้นรนแสวงหาทรัพย์ แม้จะถูกความ ทุกขเวทนาทั้งสองเบียดเบียนอยู่ ก็สามารถด ารงตนท ามาหากินด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ได้แต่กลับประสบทุกข์ ๑.๓. การรีดนาทาเร้นจากผู้บริหารบ้านเมืองโดยมิชอบ ก็เพราะทุกขเวทนา ทั้ง ๓ นี้เอง ที่บีบคั้นให้เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารบ้านเมือง ที่มาเล่นการเมืองจึงมิได้ หวังเพื่อมากอบโกย คดโกงใครแต่ตั้งใจมาท างานการเมืองเพื่อท าให้ประชาชนและอกุศล ท าแต่กุศลกรรมต าแหน่งทางการเมืองที่ได้มานี้จะน ามาเป็นอุปกรณ์ในการสร้างบุญสร้าง กุศลคุณงามความดี เพื่อให้บังเกิดความสงบสุขร่มเย็นแก่ประชาราษฎรเมื่อได้แนวคิด และวิธีการใช้อ านาจทางการเมือง จึงควรใช้หลักดังนี้ มีความเพียร ท างานให้ประสบผลส าเร็จโดยไม่ย่อท้อหวั่นเกรงต่ออุปสรรค ขวากหนามมุ่งมั่นแน่วแน่แก้ไขปัญหาราษฎร มีสติแน ่วแน่ แก้ไขงานที ่ได้รับมอบหมายอย ่างครบถ้วน รอบคอบไม่ แสวงหาผลประโยชน์ไม่ลืมเลือนตน ไม่บ้ายศ ไม่บ้าอ านาจ ไม่มีความล าเอียง ไม่ปล่อย ปละละเลยงานที่รับผิดชอบทุ่มเทก าลังกาย ก าลังใจ ทุกหยดทุกหยาดเพื่อประชาชน เพราะตระหนักรู้ว่าประชาชนฝากความหวัง เหมือนครั้งก่อนๆ ที่ตนเคยฝากความหวังไว้ กับนักการเมือง มีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรมทั้ง ๘ คือ ลาภ สักการะ ยศ สรรเสริญ สุข ความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา และทุกข์ ๒. หลักโลกาธิปไตย นักรัฐศาสตร์ที่ถือโลกเป็นใหญ่ จึงเป็นผู้ที่ค านึงถึงหลัก ดังต่อไปนี้ ความลับไม่มีในโลก โกหกคนอื่นได้แต่โกหกตนเองไม่ได้ อย่าดูถูกตนเอง บุคคลที่มีศักยภาพในการท าความดี แต่ไม่ท า ซ้ ากลับไปท าความชั่ว ได้ชื่อว่าเป็นผู้ดูหมิ่น ตนเอง การปกปิดความชั่วที่ตนเองท าไว้ ทวยเทพเทวดาพรหมย่อมรู้เห็น มนุษย์ผู้มี ๕ พระภาวนาวิริยคุณ (เสริมชัย ชยมงฺคโล), รัฐศาสตร์เชิงพุทธ, (กรุงเทพมหานคร: ดอกหญ้ากรุ๊ป, ๒๕๕๙), หน้า ๘-๙.


๑๘๐ ปัญญาก็รู้เห็น รู้เท่าทัน จึงไม่ควรคิดว่าประชาชนไม่รู้ ร้ายที่สุดคนที่มีส่วนร่วมท าความชั่ว ก็รู้ ถ้าวันใดเขาเปลี ่ยนใจพลิกลิ้นเปิดเผยความจริงขึ้นมาความชั่วก็ย่อมปรากฏต ่อ สาธารณะชนโดยกฎเกณฑ์ตามหลักสมมติสัจวาจา โลกาธิปไตยนี้ เป็นหลักธรรมเตือนสติ ให้นักรัฐศาสตร์ทั้งหลายใช้ปัญญาวิเคราะห์ปัญหา คิดอะไรก็ให้รอบคอบด้วยความสุขุม เยือกเย็นไม่ประมาทในความคิดของผู้อื่นแต่ห้ามใช้ปัญญาความรอบรู้โดยขาดสติ ๓. หลักธรรมธิปไตย นักรัฐศาสตร์ ที่ยึดธรรมาธิปไตยเป็นผู้ที่เยือนตนเองว่า ท าอะไรจะยึดถือกฎเกณฑ์ มิใช่กฎเราเราโดยการเลี่ยงบาลีเอาสีข้างเข้าถู ที่ส าคัญระลึก เสมอว่า เราอาจหลีกเลี่ยงกฎหมาย กฎเกณฑ์กติกาของสังคมได้ แต่ไม่อาจหลีกเลี่ยง กฎแห่งกรรม ซึ่งเป็นกฎเหล็กของวัฏฏสงสารได้ กฎหมาย กฎของสังคมอาจปรับเปลี่ยน ได้ แต่กฎแห่งกรรมไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม เมื่อละเมิดกฎแห่งกรรมก็ ต้องได้รับวิบากผลของกรรม เพราะฉะนั้นจะท าอะไร ถ้านึกถึงกรรมดีกรรมชั่วก็จะเพียร ละกรรมที่มีโทษ จึงควรรักษาตนให้บริสุทธิ์ บ าเพ็ญกุศลกรรม เมื่อมาท างานการเมืองจึง ควรยึดหลักกฎแห่งกรรม มิใช่เอาพวกมากลากไป แต่ให้เอาความดีและศีลธรรมน า ประเทศไปยังรัฐธรรมาภิบาล (Good Governances) จึงจะประสบความเจริญรุ่งเรือง นักรัฐศาสตร์ที่ยึดธรรมเป็นใหญ่ จึงเป็นผู้ประพฤติตามกฎระเบียบประเพณี โดยเฉพาะกฎ แห่งกรรม ต้องยึดถือเป็นหลักในการด าเนินชีวิตเป็นส าคัญ ความหมายในธรรมะข้อนี้หมายถึง ให้ผู้น าปรารภตัวเองว่าในเมื่อได้ตั้งใจที่จะ บ าบัดทุกข์บ ารุงสุข ให้ประชาชนเกิดความร่มเย็นเป็นสุขก็ต้องใช้หลักทศพิธราชธรรม ซึ่งเป็นธรรมะส าหรับผู้ที่จะเป็นผู้น าทุกคน เพราะการเป็นผู้น าก็คือการมีโอกาสได้สร้าง ความดีเหนือกว่าคนอื่น ในการสะสมบารมีให้สูงยิ่งขึ้นไป เมื่อมีโอกาสจะได้ท าบุญถวาย มหากุศลแล้วท าไมจะเบี่ยงเบนไปจากเป้าหมายอันสูงยิ่งกว่าคนธรรมดา ธรรมข้อนี้เป็น ข้อคิดที่บรรดาผู้น าทั้งหลายจะได้ยึดถือเป็นต้นแบบแห่งการใช้หลักธรรมของสมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลักในการด ารงชีวิต ตั้งเป้าหมายในชีวิตให้สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไปเป็น ยุทธศาสตร์ ในการบริหารและปฏิบัติตนเจริญรอยตามพระบรมศาสดา ความหมายของพระสูตรนี้ มีความลึกซึ้งที่ทรงสอนให้มนุษย์ใช้สติน าหน้า ใช้ปัญญาเป็นตัวปฏิบัติ และใช้ธรรมะเป็นหลักยึดไม่ให้ซวนเซหรือ ล้มลง ตรงกับค าพูดที่ เรียกว่า “สติปัญญา” ซึ่งเท่ากับเป็นการเตือนมนุษย์ให้มีสติก่อนที่จะใช้ปัญญาเพราะ เหตุร้ายและความผิดพลาดในโลกนี้ที่เกิดขึ้นมักจะเกิดจากการใช้ปัญญาเป็นตัวน าหน้าใช้ ความเก่งความกล้าความสามารถโดยไม่ได้ใช้สติไตร่ตรองก่อน ความไม่สงบในโลกนี้เกิดขึ้นก็เกิดจากเหตุนี้แหละ การใช้ปัญญาความรู้รอบ ในทางไม่ชอบเพื่อน าหน้าในการแข่งขันในการท าการค้า ในการรุกราน ครอบครอง ดินแดน ในการติดยึดความเจริญทางวัตถุ การแข่งขันทางวัตถุ การใช้ดัชนีตัวเลขเป็น


๑๘๑ ตัวชี้วัดความส าเร็จทางการเมือง ความส าเร็จทางเศรษฐกิจ ความส าเร็จทางธุรกิจ สิ่งที่ เป็นความไม่สงบในโลกนี้เกิดขึ้นก็เกิดจากเหตุนี้แหละ สิ่งที่มนุษย์ทั้งโลกโดยเฉพาะผู้ ยิ่งใหญ่ขาดก็คือ สติซึ่งเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งใจ และที่ส าคัญคือการขาดธรรมะของพุทธองค์ เป็นหลักเป็นแก่นในการตัดสินใจ เป็นเกาะยึดของจิตใจไม่ให้ไขว้เขวตกต่ า ผู้น าของประเทศของโลกที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรไปด้วยความสามารถปัญญาเฉียบ แหลมจะมีประโยชน์อะไรถ้าขาดสติหรือเสียสติ และไม่ยึดหลักธรรมในการปกครอง บริหารประเทศความส าเร็จที่ได้มาไม่ว่ายุคใดสมัยใด ถ้าขาดองค์ประกอบดังกล่าวนี้จะ เป็นความส าเร็จที่ไม่ยั่งยืนย่อมสามารถเสื่อมสลายได้ ยิ่งเจริญสูงส่งทางด้านวัตถุขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งมีโอกาสเสื่อมสลายเร็วขึ้นเท่านั้น หากสังคมมนุษย์ไม่ด ารงอยู่ในหลักพุทธธรรม ก็ไม่ สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งของสังคมมนุษย์ได้ เพราะหลักพุทธธรรมนั้นจะด าเนินการ แก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมมนุษย์ ด้วยเหตุผลและสติปัญญาอย่างยั่งยืน สรุปได้ว่า หลักพุทธธรรม มิได้มีจุดหมายเพื่อการพัฒนาองค์กรหรือเป็นทฤษฎี ขององค์กร หรือในหน่วยงาน แต่หลักพุทธธรรมได้ให้ความหมายส าคัญของสมาชิกทุกคน ในสังคมที่ร่วมอยู่ด้วยกันนั้น คือพุทธธรรมมุ่งหมายให้มนุษย์ไม่ว่าจะด ารงตนอยู่ในฐานะ ใดจะเป็นผู้น าหรือสมาชิกภายใต้การน าของกษัตริย์ ผู้ปกครอง หรือคณะบุคคลต่าง ๆ สามารถพัฒนาตนในทางคุณธรรม ดังนั้นโดยวิธีการท างานของภาวะผู้น าตามค านิยาม พุทธธรรม ได้แสดงออกมาโดยธรรมที่ควรประพฤติควรที่จะมุ่งไปให้ถึงสภาวะอันสูงสุด ต่อปัญหา อุปสรรคขององค์กรที่ผู้น าขาด ทั้งองค์ความรู้ความสามารถก็เจริญไม่ได้ กล่าว ในทางหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ได้แก่ ความไม่รู้ คือ อวิชชา ผลออกมาคือความ เดือดร้อนต่อองค์กรที่เป็นภัยตนเอง ยิ่งผู้น าไม่มีความรู้ด้านหลักธรรมทางพุทธศาสนา ก็ย่อมเกิดปัญหามาก ด้วยเหตุนี้ จ าเป็นต้องเข้าใจหลักธรรม หรือรอบรู้ในเรื่องของศาสนาบ้าง การที่ผู้น าไม่มี วิสัยทัศน์ในการแก้ไขปัญหา ก็ไม่สามารถมองคน มองงาน มององค์กร ให้กระจ่างแจ่ม แจ้งได้ก็จะก่อให้เกิดปัญหาตามมา ผู้น าจะต้องรู้จักสร้างความสามัคคีในหมู่คณะให้จงได้ สร้างองค์ความรู้ความสามารถในการบริการจัดการองค์กรผู้น าเชิงพุทธ พบว่า ผู้น า จ าเป็นต้องเอาความรู้ ความคิด ความสามารถและคุณธรรมมาสู่ภาคปฏิบัติเริ่มจากการ ท างานได้ ท างานดี ท างานเป็น จนเกิดความช านาญอันสืบเนื่องมาจากความรอบรู้ ในหลายๆ ด้าน เช่นการงบประมาณ แผนการรักษาศิลปะขนบธรรมเนียม แผนงานที่มี ความจ าเป็น และรู้จักใช้เมตตาธรรมหลักธรรมาภิบาล หลักการรู้จักยกย่องผู้อื่น และให้มี การลงโทษแก่ผู้ที่ท าผิดล่วงละเมิดกฎหมายโดยไม่มีอคติแอบแฝงอยู่ในใจ สมควรตาม โทษานุโทษ


๑๘๒ นอกจากนั้น หากเราพิจารณาตามหลักค าสอนในพระพุทธศาสนา สรรพสิ่งจะ ด ารงอยู่ได้โดยอาศัยซึ่งกันและกันเท่านั้นจะอยู่แบบอิสระตามล าพังไม่ได้ นี่คือหัวใจของ กฎธรรมชาติที่เรียกว่าธรรมนิยามอันครอบคลุมถึงความสัมพันธ์กันและความอิงอาศัยกัน ของสิ่งทั้งปวง ซึ่งรู้จักกันดีกว่าเป็นกฎของธรรมชาติตามหลักปฏิจจสมุปบาทในทาง พระพุทธศาสนา ตามทัศนะสังคมของชาวพุทธที่มองเห็นโลก ในฐานะซึ่งเป็นสิ่งที่อิงอาศัยกันและ กันแล้วก็จะพัฒนาความรู้สึกรับผิดชอบ กตัญญูและกรุณาต่อกฎแห่งธรรมชาติเพื่อปลูกฝั่ง ให้สังคมมนุษย์มีการอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติทั้งมวล แบบกลมกลืนกัน และแบบสันติซึ่ง จะต้องพัฒนา หลักจริยธรรม ศีลธรรมและคุณธรรมขึ้นไว้ในใจอย่างมั่นคง ด้วยหลัก พุทธธรรม ๓ ประการกล่าวคือ ๑. ปัญญา หมายถึงความรู้ตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างอยู่ในโลกล้วนอาศัยซึ่ง กันและกันเกิดขึ้นทั้งสิ้น ๒. สุทธิ หมายถึงความบริสุทธิ์ซึ่งเป็นสภาวะที่ใจปราศจากความโลภเป็นตัว ก่อให้เกิดมลภาวะทางด้านสิ่งแวดล้อม และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติมากเกินไป ๓. กรุณา หมายถึง ความเห็นอกเห็นใจที่มีต่อบรรดาเหล่าสัตว์และสิ่งแวดล้อม ทางธรรมชาติ เพราะพระพุทธศาสนามุ่งสอนให้กายกรรมเต็มเปี่ยมด้วยความกรุณา มีใจ กตัญญูต่อธรรมชาติทั้งมวลโดยแท้๖ ๙.๔ วิเคราะห์แนวคิดของชาวพุทธตามระบอบประชาธิปไตย แนวความคิดของชาวพุทธเกี่ยวกับการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย สืบเนื่องจากเหตุผลที่ว่าพระพุทธศาสนาเป็นวิถีแห่งชีวิตโดยแท้เพราะเป็นศาสนาที่มิได้ จ ากัดตัวเองอยู่เฉพาะในด้านปรัชญาที่สูงส่งที่จะท าให้บุคคลบรรลุถึงเป้าหมายสูงสุดคือ การหลุดพ้นจากทุกข์เท่านั้น แต่พระพุทธศาสนาได้ให้การพิจารณาในเรื่องสวัสดิภาพทาง สังคม เศรษฐกิจและการเมืองแก่มวลมนุษยชาติด้วย พระศากยมุนีพุทธเจ้า มิได้เป็น นักการเมือง แต่ในเทศนาของพระองค์ที่อยู่ในพระสูตรต่าง ๆ มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับ การเมืองและเป็นค าสอนที่เกื้อกูลต่อสันติภาพและความสุขของโลกเป็นการส่วนรวม พระธรรมเทศนาและเรื่องในชาดก (เรื่องที่เกี่ยวกับอดีตชาติของพระองค์) เต็มไปด้วยค า สอนและค าแนะน าของพระพุทธเจ้าที่ให้แก่ผู้ปกครองทั้งหลายในการที่จะสถาปนาสังคม ๖ พระครูสิริจันทนิวิฐ (บุญจันทร์ เขมกาโม), ภาวะผู้น าเชิงพุทธ, (กรุงเทพมหานคร: นิติธรรม การพิมพ์, ๒๕๕๘), หน้า ๒๐.


๑๘๓ มนุษย์ที่มีสันติภาพและสร้างความพึงพอใจ ซึ่งมีคุณค่าในทางปฏิบัติอันยิ่งใหญ่อันจะ ก่อให้เกิดผลดีอย่างหาที่สุดมิได้ พระพุทธเจ้าทรงสอนในเรื่องความมีเมตตาและความมีกรุณาต่อสิ่งที่มีชีวิต ทั้งหลาย ส าหรับพระองค์แล้วความสุขจะมีขึ้นมาไม่ได้หากปราศจากเสียซึ่งการด าเนิน ชีวิตที่บริสุทธิ์ที่ตั้งอยู่บนรากฐานของหลักการทางศีลธรรมและจิตวิญญาณ พระองค์ทรง เชื่ออย่างแน่วแน่ว่าชีวิตในแบบดังกล่าวจะเป็นไปได้ก็จะต้องให้ชีวิตอยู่ภายใต้เงื่อนไขทาง สังคมและทางการเมืองที่มีความเกื้อกูล และเมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขที่ดีเช่นนี้แล้วบุคคลก็ จะสามารถบรรลุถึงเป้าหมายที่สูงส่งและประเสริฐยิ่งขึ้นไปอีกได้ มีบางคนมีความเห็นว่าค าสอนของพระพุทธเจ้าเป็นไปแง่มุมทางจริยาศาสตร์และ ทางปรัชญายิ่งกว่าอย่างอื่น มีค าสอนทางจริยศาสตร์จ านวนหนึ่งมีอยู่ในอินเดียก่อนสมัย ของพระพุทธเจ้าก็จริง แต่พระพุทธเจ้านี่เองที่ได้ทรงตั้งกฎเกณฑ์ทางจริยศาสตร์ที่เป็น ระบบแบบแผนขึ้นมา และพระพุทธเจ้าได้ทรงเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้มาอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นพระองค์จึงได้ชื่อว่าเป็นศาสดาของศาสนาที่มีลักษณะในทางจริยศาสตร์และทาง ปรัชญาที่ไม่เหมือนศาสดาองค์ใด โดยที่พระองค์ได้สอนให้เอาชนะความชั่วด้วยความดี ให้ชนะความชั่วร้ายด้วยความมีคุณธรรม ให้ได้มาซึ่งคุณธรรมด้วยความมีไมตรีและมิใช่ โดยความเป็นปฏิปักษ์กัน และทรงสอนประชาธิปไตยที่ไร้ของเขตให้แก่มวลมนุษย์ พระพุทธเจ้าทรงเป็นนักประชาธิปไตยเป็นอย่างมาก จนถึงกับได้ทรงประกาศว่า หลังจากที่พระองค์ปรินิพพานแล้ว ธรรมะและวินัยจะเป็นศาสดาแทนพระองค์ และ พระองค์ก็มิได้ทรงแต่งตั้งให้ผู้ใดเป็นผู้สืบทอดอ านาจต่อจากพระองค์ด้วย กิจกรรมของ ทางคณะสงฆ์ได้ถูกด าเนินโดยคณะสงฆ์และมิใช่โดยพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง การด าเนินการ เช่นนี้ก็ได้ประสบความส าเร็จ กล่าวคือ คณะสงฆ์ที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาโดยพระองค์ได้สืบต่อ พระพุทธศาสนามาเป็นเวลายาวนาน ๒๕๐๐ ปี โดยที่ยังคงรักษาความบริสุทธิ์เดิมเอาไว้ ได้ แนวค าสอนทางจริยศาสตร์ของพระพุทธเจ้าได้แสดงไว้ใน พระธรรมบท พระคาถาที่ ๕ ที่ว่า น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจน อเวเรน จ สมฺมนฺติ เอส ธมฺโม สนนฺตโน.๗ ในโลกนี้ แต่ไหนแต่ไรมา เวรระงับด้วยการจองเวรไม่ได้ มีแต่จะระงับได้ด้วยการ ไม่จองเวรข้อนี้เป็นหลักการแต่ปางบรรพ์. ๗ ดูรายละเอียดใน, ขุ.ธ. (บาลี) ๒๕/๑๕.


๑๘๔ นอกจากนี้แล้ว พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ด้วยว่า จะไม่สามารถมีสันติและความสุข ส าหรับมนุษย์ได้ ตราบเท่าที่มนุษย์ยังปรารถนาและกระหายที่จะอาชนะและปราบปราม ผู้อื่น ดังที่พระองค์ได้ตรัสใน พระธรรมบท พระคาถาที่ ๒๐๑ ว่า ชย เวร ปสวติ ทุกฺข เสติ ปราชิโต อุปสนฺโต สุข เสติ หิตฺวา ชยปราชย .๘ ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ยอมนอนเป็นทุกข์บุคคลเมื่อละความชนะและความแพ้ เสียแล้วก็จะมีจิตสงบนอนเป็นสุข. ด้วยเหตุนี้ อุดมคติตามหลักค าสอนของพระพุทธเจ้า จึงมีลักษณะอย ่างใน พระธรรมบท พระคาถาที่ ๒๒๓ ที่ว่า อกฺโกเธน ชิเน โกธ อสาธุ สาธุนา ชิเน ชิเน กทริย ทาเนน สจฺเจนาลิกวาทิน .๙ พึงชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ พึงชนะความชั่วด้วยความดีพึงชนะความ ตระหนี่ด้วยการให้พึงชนะค าพูดเหลาะแหละด้วยค าพูดจริง. อย่างที่กล่าวไว้แล้วในข้างต้นว่า มีพระธรรมเทศนาเป็นจ านวนมากในพระ สุตตันตปิฎก ที่ได้สอนถึงแนวความคิดทางด้านประชาธิปไตย ดังจะได้ยกมาให้เห็นสัก ๒ ตัวอย่าง คือ ใน กูฏทันทสูตร (ทีฆนิกาย) พระพุทธเจ้าได้ทรงอธิบายว่าในการที่จะขจัด หรือท าให้ลดน้อยลงไปซึ่งอาชญากรรม ก็จะต้องใช้วิธีปรับปรุงเงื่อนไขทางเศรษฐกิจของ ประชาชน สัมพันธภาพระหว่างนายจ้างและลูกจ้างจะเป็นไปด้วยดีได้นั้นฝ่ายนายจ้างต้อง ให้ค่าจ้าง ของขวัญและโบนัสอย่างเพียงพอแก่ลูกจ้าง บรรดาผู้น าจะต้องน าเรื่องนี้มา พิจารณาและท าให้ประชาชนมีความสุขและมีความพึงพอใจ ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะส่งผลให้ ประเทศชาติมีสันติและปลอดจากอาชญากรรม ส่วนใน จักกวัตติสีหนาทสูตร พระพุทธเจ้าได้อธิบายไว้อย่างชัดแจ้งว่า เนื่องจาก ผู้น าปฏิเสธมวลชนที่มีความยากจน อาชญากรรมการ เช่น ลักขโมยและอาชญากรรม ร้ายแรงอื่น ๆ ก็จะระบาดอยู่ในสังคมและประเทศชาติก็จะตกอยู่ในสถานการณที่มีปัญหา หากมวลชนที่ยากจนในทุกภาคส่วนของสังคมได้รับการดูแลเป็นอย่างดีแล้ว ความล าบาก ทางเศรษฐกิจขั้นพื้นฐานของบรรดาผู้น าก็จะได้รับการเยียวยาแก้ไขและจะท าให้ปัญหา ทางสังคมค่อยๆหมดไปได้นอกจากนี้แล้วใน จักกวัตติสีหนาทสูตร ก็ยังได้ให้ความกระจ่าง ถึงบุคลิกของบรรดาผู้น าที่มีคุณธรรมไว้ด้วยว่า จะต้องไม่เพียงแต่ให้ความมั่นคงปลอดภัย ๘ ดูรายละเอียดใน, ขุ.ชา.มหา. (บาลี) ๒๘/๔๑๕.๙ ดูรายละเอียดใน, ขุ.ธ. (บาลี) ๒๕/๔๕.


๑๘๕ แก่มนุษย์เท่านั้น แต่จะต้องให้ความมั่นคงและความปลอดภัยแก่บรรดาสิงสาราสัตว์และ วิหคนกกาทั้งหลายด้วย มีความแนบแน่นระหว่างพระพุทธเจ้ากับประชาธิปไตย ในอินเดียในศตวรรษที่ ๖ ก่อนคริสตกาล ในสมัยพุทธกาลนั้น รัฐต่าง ๆ มีความซับซ้อนและมีหลายรูปแบบ ซึ่งมีทั้งรัฐใหญ่และรัฐเล็ก และมีผู้น าหลากหลายประเภทเป็นผู้ปกครอง ในขณะเดียวกัน นั้นก็มีรัฐอัตตาธิปไตย หรือราชาธิปไตยอยู่เป็นจ านวนมาก ซึ่งรัฐอัตตาธิปไตยหรือราชา ธิปไตยเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็เป็นรัฐศักดินา พระบิดาของพระพุทธเจ้าคือพระเจ้าสุทโธทนะ ทรงเป็นผู้ปกครองแคว้นศากยะซึ่งเป็นเมืองขึ้นของแคว้นโกศล และกล่าวกันว่าเจ้าชาย สิทธัตถะทรงเป็นกษัตริย์ของแคว้นศากยะอยู่นานถึง ๑๖ ปีก่อนที่จะทรงออกผนวช นอกจากนั้นแล้ว ในอินเดียในสมัยพุทธกาลก็ยังมีระบบสาธารณรัฐ อย่างเช่น สาธารณรัฐของกษัตริย์ลิจฉวี ซึ่งถูกปกครองโดยคณะของผู้อาวุโสที่มีหัวหน้าเรียกชื่อว่า กษัตริย์(หรือราชา) ในขณะที่ค าสอนของพระพุทธเจ้าเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลแบบ อัตตาธิปไตย หรือราชาธิปไตยนั้น พระพุทธเจ้าก็มักจะทรงชื่นชอบและตรัสถึงในทางที่ดี ของระบอบสาธารณรัฐซึ่งมีลักษณะของความเป็นประชาธิปไตยไม่มากก็น้อยในระบบการ ปกครองแบบนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจที่จะตั้งข้อสังเกตไว้ ณ ที่นี้ว่า พระพุทธเจ้าในขณะที่ ประทับอยู่ ณ สรันทกเจติยะในกรุงเวสาลีนั้น พระองค์ได้ทรงสอนกษัตริย์ลิจฉวีเกี่ยวกับ หลักปฏิบัติที่ป้องกันความเลื่อม หรือที่เรียกว่า อปริหานิยธรรม โดยพระองค์ได้ตรัสถาม พระอานนท์ว่า เจ้าลิจฉวียังปฏิบัติตามหลักอปริยหานิยธรรมอยู่หรือไม่ เมื่อพระอานนท์ กราบทูลว่าพวกเจ้าลิจฉวียังปฏิบัติตามหลักอปริหานิยธรรมอยู่ พระองค์ได้ตรัสว่า “ดูก่อนอานนท์ ตราบใดที่เจ้าลิจฉวียังมีการประชุมกันอยู่ เนือง ๆ พวกเขาก็จะมีแต่ความเจริญและไม่มีความเสื่อม อยู่ตราบนั้น “ดูก่อนอานนท์ ตราบใดที่เจ้าลิจฉวีเมื่อประชุมก็พร้อมเพรียงกันประชุมและเมื่อเลิกประชุมก็พร้อมเพรียง กันกันเลิก และร่วมกันด าเนินกิจการต่าง ๆ ด้วยความพร้อมเพรียงกัน พวกเขาก็จะมีแต่ ความเจริญและไม่มีความเสื่อมอยู่ตราบนั้น “(มหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย) ข้อนี้ได้แสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าทรงมีคุณูปการเป็นอย่างมากต่อหลักการของ ประชาธิปไตยว่าเป็นศิลปะของการปกครองประเทศเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษยชาติใน การที่จะเคารพในเจตจ านงของประชาชนนั้น จึงมีความจ าเป็นที่ประชาชนจะต้องประชุม กันอย่างสม่ าเสมอ ในข้อนี้พระพุทธเจ้าได้ทรงเน้นย้ าไว้ในหลายเหตุการณ์โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งข้อแนะน าที่ทรงคุณค่าที่พระองค์ทรงประทานแก่พวกเจ้าลิจฉวีดังกล่าวข้างต้น ในปฎิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ(the United Nations Universal Declaration of Human Rights) มีข้อความตอนหนึ่งว่า “ทุกคนมีสิทธิใน อิสรภาพของความเห็นและการแสดงออก” อิสรภาพของจิตใจเป็นหลักส าคัญของค าสอน


๑๘๖ ของพระพุทธเจ้า ดังนั้นทั้งอิสรภาพของจิตใจและประชาธิปไตยก็จึงเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว และเป็นที่ปรารถนาของพวกเราและเราก็พึงเข้าใจไว้ด้วยว ่า พระพุทธศาสนามิได้ สนับสนุนเสรีภาพของจิตใจว่าเป็นเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา หากแต่เสรีภาพ ของจิตใจนี้เพียงแค่เป็นบันไดที่จะให้บรรลุถึงเป้าหมายสูงสุดที่แท้จริงคือการหลุดพ้นจาก ความทุกข์อย่างสมบูรณ์ กล่าวคือ อันติมสัจจะ ได้แก่ พระนิพพาน๑๐ ๙.๕ วิเคราะห์ภาวะผู้น าเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา แผนการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๗๕ ได้ระบุบทบาทของผู้บริหารว่า เป็นผู้มีภาวะผู้น า มีคุณธรรมจริยธรรม มีความสามารถทั้งด้านบริหารและวิชาการตาม สมรรถนะ และมาตรฐานต าแหน่งและ บริหารงานอย่างมีธรรมมาภิบาล สอดคล้องกับ คุรุสภาที่ได้ระบุมาตรฐานการปฏิบัติงานของผู้บริหาร ในมาตรฐานที่ ๑๑ ด้านเป็นผู้น า และสร้างผู้น าว่าต้องเป็นผู้บริหารมืออาชีพสร้างวัฒนธรรมขององค์กรด้วย การพูดน า ปฏิบัติน า และจัดระบบงานให้สอดคล้องกับวัฒนธรรม โดยการให้รางวัลแก่ผู้ที่ท างาน ได้ส าเร็จแล้ว จนน าไปสู่การพัฒนาตนเอง คิดได้เอง ตัดสินใจได้เอง พัฒนาได้เองของ ผู้ร่วมงานทุกคน๑๑ การพัฒนาภาวะผู้น าของผู้บริหารโรงเรียนถือเป็นหัวใจส าคัญในการขับเคลื่อน การเปลี่ยนแปลง เนื่องจากภาวะผู้น าเป็นองค์ประกอบส าคัญที่ท าให้การเปลี่ยนแปลงนั้น เกิดผลลัพธ์เชิงประจักษ์ซึ่ง ความส าเร็จขององค์การอย่างมีประสิทธิภาพหรือประสิทธิผล ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับภูมิปัญญา ความคิด อ่าน และแนวปฏิบัติที่สร้างสรรค์ของผู้น าใน องค์การทั้งสิ้น ทั้งนี้ ผู้บริหารโรงเรียนต้องปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการ ปรับเปลี่ยนลักษณะ ภาวะผู้น าให้มีความสอดคล้อง เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างท้าทาย ซึ่งผู้บริหารองค์การควรมีคุณลักษณะส าคัญประการหนึ่ง คือ ภาวะผู้น าเชิงกลยุทธ์ ซึ่งนับว่าเป็นภาวะผู้น าอีกรูปแบบหนึ่งที่มีความส าคัญในยุคปฏิรูปการศึกษา โดยผู้บริหาร ที่มีภาวะผู้น ากลยุทธ์จะสามารถวางแผนกลยุทธ์ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ มีกลยุทธ์ในการ สร้างแรงจูงใจ และสร้างมนุษย์สัมพันธ์เพื่อให้บุคลากรปฏิบัติหน้าที่เต็ม ก าลังความสามารถ รวมถึงมีความสามารถในการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ เน้นการมีส่วนร่วมวางแผน ๑๐Danister I Fernando, The Buddhist concept of democratic governance, (New York: McGraw Hill Book Companying, 1956), p. 19. ๑๑ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, แผนการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๗๙, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท พริกหวานกราฟฟิค จ ากัด, ๒๕๖๐), หน้า ๕๖.


๑๘๗ ปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง อันเป็นพื้นฐานส าคัญในการพัฒนาโรงเรียน ปฏิรูปโรงเรียน เปลี่ยนแปลงและ พัฒนาโรงเรียนไปสู่ความทันสมัย ทั้งนี้รัฐบาลได้ประกาศขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การศึกษาภายใต้โครงการสานพลัง ประชารัฐ ซึ่ง เป็นการผสานพลังทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม โดยมี ความเชื่อพื้นฐานว่า “คนไทยทุก คน คือ ประชาชนของชาติ” ซึ่งถือเป็นพลังอ านาจที่ ส าคัญในการเปลี่ยนแปลง ด้วยเจตนารมณ์ดังกล่าวจึงเป็นที่มาของโครงการสานพลัง ประชารัฐ และมีการบันทึกข้อตกลงสานพลังประชารัฐ ด้านการศึกษา พื้นฐานและการ พัฒนาผู้น าที่จะใช้ขับเคลื่อนและยกระดับการศึกษาของประเทศไทย โดยการขับเคลื่อน ยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติผ่านโครงการผู้น าเพื่อการพัฒนาการศึกษาที่ยั่งยืนตามพื้นที่ โดยมี วิสัยทัศน์เพื่อลด ความเหลื่อมล้ าพัฒนาคุณภาพคนและเพิ่มขีดความสามารถในการ แข่งขันต่อไป๑๒ ๙.๖ สรุปบทความเกี่ยวกับภาวะผู้น า บทความที่ ๑ ภาวะผู้น าส าหรับผู้บริหารสถานศึกษาในอนาคต เป็นสรุป สาระส าคัญของบทความที่ผู้น าเป็นกระบวนการที่ผู้น าหรือผู้ที่มีภาวะผู้น า เป็นผู้ที่ชักน า จูงใจ ชี้น า ใช้อิทธิพลหรืออ านาจที่มีอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ ท าให้หรือกระตุ้นให้หรือชี้น าให้ เพื่อนร่วมงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชาให้ยินดี เต็มใจ พร้อมใจ ยินดีในการกระท าการ ให้มี ความกระตือรือร้นหรือร่วมด าเนินการอย่าใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้น าต้องการหรือตามที่ผู้น า ต้องการให้มีพฤติกรรมไปในทิศทางที่เขาชักน าในการท างานหรือด าเนินกิจกรรมที่ผู้น านั้น รับผิดชอบหรือตามที่ผู้น านั้นต้องการ ซึ่งสิ่งที่ผู้น าในโรงเรียนในอนาคต ควรมีเพื่อเป็นฐาน ในการพัฒนาภาวะผู้น า อย่างน้อยน่าจะประกอบด้วยสิ่งส าคัญเหล่านี้ ๑) ความสามารถ เชิงวิสัยทัศน์ การวางแผนและการก าหนดเป้าหมายขององค์การ ๒) ความสามารถในการ ท างานแบบมีส่วนร่วม ๓) ความสามารถในการสื่อสารแบบมีประสิทธิผล ๔) ความสามารถ ในกาสร้างทีมงาน ๕) ความสามารถในการด าเนินกระบวนการตัดสินใจแบบมีส่วนร่วม ๖) ความสามารถในการจัดการกับปัญหา ๗) ความสามารถในเรื่องการสร้างสรรค์นวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์และการริเริ่มในการเปลี่ยนแปลงองค์การ เป็นบทความที่อธิบายถึง บทบาทและแนวทางในการปฏิบัติของผู้บริหารสถานศึกษาในอนาคตที่ควรน ามาพิจารณา ๑๒ธัญญลักษณ์ เหล่าจันทร์, “การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างบทบาทผู้น าทางการศึกษา กับกระบวนการวางแผนกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษา พระนครศรีอยุธยา เขต ๑ และเขต ๒, วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต, (มหาวิทยาลัยราชภัฏ พระนครศรีอยุธยา), ๒๕๕๙.


๑๘๘ ในการบริหารงานในสถานศึกษาว่ามีความสามารถในแต่ละด้านแล้วหรือยัง ซึ่งความสามารถ เหล่านั้นเป็นความสามารถที่ ถ้าผู้บริหารคนใดมีมากก็จะท าให้บริหารงานในหน่วยงาน ของตนได้ดี การน าไปประยุกต์ใช้ในหน่วยงาน จากบทความภาวะผู้น าส าหรับผู้บริหาร สถานศึกษาในอนาคตนี้ แนวทางในการน าไปประยุกต์ใช้คือ น าเอาองค์ความรู้นี้ไป วิเคราะห์ว่ามีประเด็นใดที่สามารถจะด าเนินการได้ก่อน-หลังตามล าดับและน าไปส่งเสริม ให้บุคลากรในสถานศึกษามีความสามารถในแต่ละด้านที่กล่าวถึง เพราะการเป็นผู้น านั้น ไม่ได้หมายถึงเฉพาะผู้ที่เป็นผู้บริการสถานศึกษาเท่านั้น แต่บุคลากรทุกคนในสถานศึกษา จะต้องมีความรู้และความสามารถดังกล่าวด้วย เพราะในบางสถานการณ์ก็ต้องเป็นผู้น าใน บางเรื่องเช่นเดียวกัน ตามทฤษฎีการบริหารตามสถานการณ์ เพื่อการท างานที่คล่องตัว และมีประสิทธิภาพต่อไป๑๓ บทความที่ ๒ ชื่อบทความบทความภาวะผู้น า (Leadership) การเป็นผู้น านั้น เป็นได้ไม่ยาก แต่การที่จะเป็นผู้น าที่ดีให้ได้นั้นต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ของการบังคับ บัญชา ภาวะผู้น ามีอยู่หลากหลายแบบ อาทิ ภาวะผู้น าในยามวิกฤต ภาวะผู้น าในภาวะ ปกติ ภาวะผู้น าทางการเมือง ภาวะผู้น าในเศรษฐกิจ ภาวะผู้น าในสถานการณ์ที่มีการ เปลี่ยนแปลง ฯลฯ หากจะถามว่าผู้น าคืออะไร ถ้าจะให้ง่ายต่อการจดจ า นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความหมายของผู้น าไว้ว่า "ผู้น าคือ คนที่คิด คนที่พูด คนที่ท าอะไรแล้วคนอื่นเชื่อถือ อยากท าตาม อยากช่วยเหลือ อยากสนับสนุน" หลายคนยังมีความสับสนระหว่างค าว่า "ผู้บริหาร" กับ "ผู้น า" ผู้บริหารคือ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นแบบทางการที่องค์การได้ ก าหนดไว้ ส่วนผู้น าเป็นผู้แสดงบทบาทส าคัญในการเชื่อมโยงกับบรรดาสมาชิกในองค์กร เข้าด้วยกัน โดยไม่จ าเป็นต้องเป็นผู้บริหารดังนั้น ภาวะผู้น าที่ส าคัญต้องมีคุณลักษณะของ ผู้น ามี ๒ ประการคือ ๑. To Lead is to Serve การจะเป็นผู้น าที่ยิ่งใหญ่ขึ้นอยู่กับการบริการ การให้ การช่วยคนอื่น เพราะถ้าใครคิดช่วยเหลือคนอื่นก่อน โดยเฉพาะเกิดมาต่ าต้อยด้อย โอกาส ยิ่งต้องช่วยเหลือเขา และใครที่เกิดมามีน้อยในชีวิต ควรจะได้มาก ๆ โดยกฎหมาย ซึ่งศิลปะของการเป็นผู้น าต้องเป็นผู้ให้ ไม่จ าเป็นต้องเป็นเงินหรือสิ่งของเสมอไป ๒. To Lead is to Follow การที่จะน าต้องรู้จักตาม ค าว่า Follow ก็คือในเรื่อง ที่เกี่ยวกับชีวิต จิตใจ ความรู้สึก อารมณ์ และเหตุผลของเขา สุภาษิตจีนได้สอนคนจีนมา ๑๓รศ. ดร.อุทัย บุญประเสริฐ, วิชาภาวะผู้น า, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ชันด้า, ๒๕๖๓), หน้า ๒๕.


๑๘๙ หลายร้อยปีแล้ว ได้บอกว่า "ผู้น าที่ดีเยี่ยมนั้น คือคนที่ท างานส าเร็จแล้วจะหายตัวไป หากเกิดปัญหาขึ้นอีกเมื่อใด เขาจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง" Leadership ไม่ใช่อยู่ที่ป้ายต าแหน่งหน้าห้อง แต่ผู้น าคือคนที่พูดอะไร คิดอะไร ท าอะไรแล้วมีคนอยากร่วมท างานและสนับสนุน ซึ่งภาวะผู้น านี้ จะมีการผสมผสานกันอยู่ หลายอย่าง บางอย่างเกิดจากการมีฐานะดี ดูแลคนอื่นได้ เกิดจากการมีความรู้ดีสามารถ ช่วยเหลือคนอื่นได้ หรืออาจเกิดจากการปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างสม่ าเสมอ แล้วเกิดการ ยอมรับ อย่างไรก็ตาม ในโลกสมัยใหม่ ผู้น าต้องเป็นผู้สร้างแรงจูงใจให้สมาชิกในองค์กรมี ขวัญและก าลังใจในการท างานแบบทุ่มเท หมดสมัยแล้วที่จะควบคุมสั่งการบังคับบัญชา ให้ท าตามแบบพิมพ์เขียว ซึ่งจะท าให้คุณภาพงานออกมาไม่ดีรวมทั้งจะไม่มีใครท าตามใน สิ่งที่ไม่เชื่อ ไม่ศรัทธา และไม่ได้มีส่วนร่วมอีกต่อไป บทความที่ ๓ ชื่อบทความภาวะผู้น ากับการเป็นผู้บริหารที่ดีการบริหารเป็น เรื่องที่เกี่ยวกับคนและงาน เป็นสิ่งที่มีความส าคัญต่อการบริหารงานดังนั้นจึงต้องใช้การ ปกครองอย่างมี ศิลปะ เพื่อให้สามารถครองใจคนและได้ผลงานที่มีประสิทธิภาพเกิด คุณภาพ ถือว่าเป็นศาสตร์และศิลป์ในการท างานให้ส าเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์และ เป้าหมายที่วางไว้ การดูแล การจูงใจจะต้องน าก่อนท าเป็นตัวอย่างตลอดจนสร้าง ภาพลักษณ์ขององค์กรให้เป็นที่ชื่นชมยินดี ประเภทของผู้น าประกอบด้วย ๑) ผู้น าแบบเผด็จการ เป็นผู้น าที่มีความเด็ดขาดในตัวเองถือเรื่องระเบียบวินัย กฎเกณฑ์ข้อบังคับเป็นหลัก ในการด าเนินงานการตัดสินใจต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับผู้น าแต่เพียง ผู้เดียวเท่านั้น ในแง่การบริหารงานทางด้านวิชาการด้านธุรกิจจะเปรียบเสมือนกิจการที่ เป็นเจ้าของบุคคลเดียวที่มีการด าเนินการและตัดสินใจเฉพาะผู้ที่เป็นเจ้าของกิจการ เท่านั้น ๒) ผู้น าแบบประชาธิปไตย ถือว่าเป็นบุคคลที่มีความส าคัญในโลกปัจจุบัน ให้สิทธิ์ในการออกความคิดเห็น สิทธิในการเรียกร้อง รวมไปถึงการเคารพสิทธิของผู้อื่น ด้วยการเป็นประชาธิปไตยจึงเป็นลักษณะหนึ่ง ที่สังคมค่อนข้างจะยอมรับกันมากกว่าผู้น า ประเภทอื่น ๆ ๓) ผู้น าแบบตามสบาย เป็นผู้น าที่ไปเรื่อย ๆ มีความอ่อนไหวไปตามสถานการณ์ที่ เกิดขึ้น เป็นผู้น าที่เป็นที่รักของผู้ร่วมงานอย่างมาก ผู้น าประเภทนี้จึงมีมากมายตามแต่ละ กิจกรรมต่าง ๆ บางครั้งอาจมองว่าเป็นบุคคลที่ไม่มีจุดยืนเป็นของตัวเอง หรือมองโลกใน แง่ดีซึ่งผู้ใต้บังคับบัญชาที่ขยันอาจจะไม่ชอบลักษณะผู้น า ประเภทนี้


Click to View FlipBook Version