๔๐ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือกันต่าง ๆ ตลอดจนการนับถือกันเป็นพี่น้อง เป็นต้น อันเป็น พื้นเพภูมิหลังของสังคมไทยมาแต่เดิม ในขณะเดียวกัน สังคมไทยก็จะต้องพัฒนาวัฒนธรรมในการแสวงปัญญา คือ ความใฝ่รู้ เข้าถึงความจริง และการคิดหาทางแก้ไขปัญหาในสิ่งต่าง ๆ เพื่อที่จะสามารถ ด ารงสังคมอยู่ได้ในโลกแห่งการแข่งขันในปัจจุบัน การที่คนไทยจะก้าวไปสู่ทิศทางที่ก าหนดไว้ได้นั้น ท่านเห็นว่า “คนไทยจะต้องมี ปัญญาที ่เข้มแข็ง จะมองเรื่องอะไรต้องมองให้ชัด จะศึกษาอะไรต้องให้รู้เข้าใจชัด โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนของเรา จะต้องให้เขาพัฒนาตัวขึ้นมาชนิดที่ได้ปัญญาที่แท้ ไม่ใช่อยู่แค่สักแต่ว่าความโก้ แต่จะต้องกระจ่าง แจ่มแจ้ง เรียนรู้อะไรต้องชัดเจน ให้เกิด ปัญญาที่แท้จริง แล้วเราก็จะมาช่วยแก้ปัญหาสร้างสรรค์สังคมได้จริง สังคมก็จะเดินหน้า ไปได้” การพัฒนาสังคมไทยที่จะก้าวไปสู่การเป็น “ประเทศไทย ๔.๐” เพื่อพัฒนา ประเทศให้มีศักยภาพเพื่อก้าวไปสู่การแข่งขันกับนานาชาติ หรือการที่จะก้าวไปสู่การเป็น ผู้น าในเวทีโลก จึงจ าเป็นที่จะต้องน าเอาหลักธรรมและแนวคิดทางพระพุทธศาสนามา ปรับใช้ อย่างน้อยก็จะต้องปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมใหม่ โดยหันมาเน้นในการสร้าง วัฒนธรรมแห่งความใฝ่รู้และสู้สิ่งที่ยาก ซึ่งวัฒนธรรมดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้นั้น ก็ด้วย การศึกษาหรือพัฒนาคนให้มีคุณภาพและศักยภาพนั่นเอง ๑๘ ๒.๗ สรุป สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ท่านในฐานะนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาใน ปัจจุบัน ได้น าเสนอไว้ว่า ถ้ามองจากปัญหาสังคมไทย ที่ขาดวัฒนธรรมอุตสาหกรรมและ วัฒนธรรมวิทยาศาสตร์ตามแบบอย่างตะวันตก สิ่งที่ต้องด าเนินการด่วน ก็คือ จะต้อง สร้างคนไทยให้มีวัฒนธรรมของความใฝ่รู้ สู้สิ่งยากขึ้นมาเพื่อพัฒนาประเทศให้เจริญ ก้าวหน้าต่อไป โดยการสร้างจิตใจของนักผลิตและนักสร้างสรรค์ขึ้นมา นั่นก็คือการสร้าง คนไทยให้มีจิตใจวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมวิทยาศาสตร์ อันเป็นลักษณะของความใฝ่รู้ รักความจริง ชอบเหตุผลนิยมปัญญา ชอบค้นคว้า แสวงหาสืบสาว ตรวจสอบ และการ ทดลองจนค้นพบความจริง และจิตใจของนักเทคโนโลยีที่ใฝ่สร้างสรรค์ และจิตใจแห่งนัก อุตสาหกรรมที่เพียรบากบั่นสู้สิ่งยาก ๑๘สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) อ้างใน, ผศ.ธนภณ สมหวัง, ส านักวิชาศึกษา ทั่วไป มหาวิทยาลัยศรีปทุม, พุทธศาสนากับการพัฒนาไทยแลนด์ ๔.๐, ๒๕๖๔, หน้า ๖-๗.
๔๑ นอกจากจะต้องหันมาสร้างวัฒนธรรมแห่งความใฝ่รู้สู้สิ่งยากแล้ว ท่านยังเห็นว่า คนไทยยังจะต้องมีวัฒนธรรมแห่งการมองกว้าง คิดไกล และใฝ่รู้ อีกด้วย นั่นก็คือ คนไทย จะต้องไม่มองเห็นเฉพาะประโยชน์ของตัวเอง ของพวกพ้อง หรือมองเห็นเฉพาะประโยชน์ เฉพาะหน้าเท่านั้น แต่จะต้องมองให้กว้างออกไปในสังคม โลก และธรรมชาติ ซึ่งมิได้ จ ากัดขอบเขตอยู่กับเพียงสังคมใดสังคมหนึ่ง และจะต้องมองในลักษณะของการสร้างสรรค์ วัฒนธรรมอีกด้วย นั่นคือ การที่จะสร้างสรรค์ได้จะต้องมีความใฝ่รู้ในสิ่งต่าง ๆ อยู่เสมอ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยเรื่องศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้น าเชิงพุทธของ ผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา อ าเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (การบริหาร การศึกษา) พระอภิรัตน์ ฐิตวิริโย (ดาประโคน) สุทธิพงษ์ ศรีวิชัย สิน งามประโคน วิธีการ พัฒนาคุณลักษณะการบริหารงานตามหลักทุติยปาปณิกสูตรของผู้บริหารโรงเรียน มัธยมศึกษา อ าเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พบว่า ผู้บริหารต้องเป็นผู้มี วิสัยทัศน์กว้างไกล มีการวางแผน มีความรอบคอบ กล้าตัดสินใจ มีความคิดสร้างสรรค์ วิเคราะห์และก าหนดทิศทาง มีทักษะด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ มีประสบการณ์ มีความ ขยันหมั่นเพียรในการฝึกฝน ตั้งใจอดทน ให้ความช่วยเหลือ มองโลกในแง่บวก สร้าง ความสัมพันธ์ มีจิตอาสา ซื่อสัตย์ จริงใจ มีสัจจะ ค ามั่นสัญญา มีจิตใจเป็นกลาง กระจาย อ านาจ ส่งเสริมการศึกษา น าหลักธรรมมาใช้มีเหตุและผล มีความรอบคอบ ใส่ใจ ประเมินผล สร้างศรัทธาและความเชื่อมั่นด้วยการแนะ แนวทางการพัฒนาคุณลักษณะ การบริหารงานตามหลักทุติยปาปณิกสูตรส าหรับผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา อ าเภอ บางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประกอบด้วยองค์ประกอบที่ส าคัญ ๓ ด้าน ดังนี้คือ ๑) ด้านจักขุมา คือ การมีวิสัยทัศน์กว้างไกล มองการไกล ประกอบด้วย สร้างวิสัยทัศน์ใน องค์การมีความรู้ความสามารถ มีการวางแผน มีแนวความคิดใหม่ ๆ ๒) ด้านวิธูโร คือ จัดการธุระได้ดี มีความเชี่ยวชาญในงาน ประกอบด้วย ความหมั่นเพียรในการฝึกฝน มี เทคนิคและความถนัด มีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์การท างาน มีทักษะความช านาญ ในงานมีความตั้งใจ อดทนต่อการท างาน ๓) ด้านนิสสยสัมปันโน คือ การมีมนุษยสัมพันธ์ ประกอบด้วย ความสุภาพอ่อนโยน เอาใจใส่ กระตือรือร้น มีใจผูกพันอยู่กับงาน สร้าง มิตรภาพ การให้ความช่วยเหลือผู้อื่นการยกย่องให้เกียรติผู้อื่น
๔๒ ๒.๘ เอกสารอ้างอิงประจ าบท คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. วรรณคดีบาลี. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๐. จ านง อดิวัฒนสิทธิ์. สังคมวิทยาตามแนวพุทธศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร: ส านักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๕๕. มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโต). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์. พิมพ์ครั้งที่ ๑๑. กรุงเทพมหานคร: บริษัท เอส. อาร์. พริ้นติ้ง แมส โปรดักส์ จ ากัด, ๒๕๕๑. พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). “ประวัติ พัฒนาการ และอิทธิพลของพระไตรปิฎก”. พุทธจักร. ปีที่ ๔๖ ฉบับที่ ๙ (กันยายน ๒๕๕๕). พระอมรมุนี (จับ จิตธฒฺโม). น าเที่ยวในพระไตรปิฎก. กรมการศาสนา กระทรวง วัฒนธรรม, ๒๕๕๖. ไพฑูรย์ สินลารัตน์. การศึกษา ๔.๐ เป็นยิ่งกว่าการศึกษา. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๙. วิโรจน์ สารรัตนะ และคณะ. ภาวะผู้น าส ารับศตวรรษที่ ๒๑. Journal of Education. มหาวิทยาลัยนเรศวร, ๒๕๖๔. วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครล าปาง, ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๒, พฤษภาคม-สิงหาคม ๒๕๖๒. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) อ้างใน, ผศ.ธนภณ สมหวัง. ส านักวิชาศึกษา ทั่วไป มหาวิทยาลัยศรีปทุม. พุทธศาสนากับการพัฒนาไทยแลนด์ ๔๐, ๒๕๖๔.
บทที่ ๓ การบูรณาการภาวะผู้น าทางการศึกษา ********* ๓.๑ ความน า คุณลักษณะของผู้น ำตำมหลักพระพุทธศำสนำ และภำวะผู้น ำเชิงพุทธเป็น กระบวนกำรอิทธิพลที่ผู้น ำมีต่อบุคคลหรือกลุ่มเพื่อน ำไปสู่ควำมส ำเร็จ ตำมจุดหมำย หรือเป้ำประสงค์ (Goals) ที่ทุกคนเต็มใจและพึงพอใจร่วมกันโดยกำรปฏิสัมพันธ์ถ่ำยทอด แนวคิดไปสู่กำรปฏิบัติอย่ำงต่อเนื่องของกระบวนกำรที่เกี่ยวข้องและมีอิทธิพลต่อกัน ระหว่ำงผู้น ำ (Leaders) ผู้ตำม (Follows) และสถำนกำรณ์/งำน ล้วนแล้วแต่มีควำมส ำคัญ ต่อกำรพัฒนำคน พัฒนำประเทศสรุปว่ำ ภำวะผู้น ำ ก็คือ คุณสมบัติ เช่น สติปัญญำควำม ดีงำม ควำมรู้ ควำมสำมำรถของบุคคล ที่ชักน ำให้คนทั้งหลำยมำประสำนกันและพำกัน ไปสู่จุดหมำยที่ดีงำมและกล่ำวถึงลักษณะผู้น ำไว้ ๓ ข้อ คือ มองกว้ำง คิดไกล และใฝ่สูง หำกพิจำรณำถึงสังคมของประเทศไทยพระพุทธศำสนำถือเป็นศำสนำหลัก ประจ ำชำติกำรน ำเอำหลักธรรมค ำสั่งสอนของพระพุทธศำสนำมำประยุกต์ใช้ก็น่ำจะ เอื้อกับวัฒนธรรมไทยไม่มำกก็น้อย กำรน ำหลักธรรมมำประยุกต์ใช้ก็เพื่อกำรเป็นผู้น ำที่ดี และค ำสั่งสอนที่ส ำคัญ ๆ ของพระพุทธองค์ที่แสดงให้เห็นถึงลักษณะของผู้น ำที่ดีหรือ วิถีทำงของกำรที่จะเป็นผู้น ำที่ดีเพื่อใช้ส ำหรับเป็นแนวทำงที่จะน ำไปปฏิบัติได้แก่ ทศพิธรำชธรรม ๑o ประกำร, อธิษฐำนธรรม ๔, พรหมวิหำรธรรม ๔, อคติ ๔, คหิสุข ๔, สังคหะวัตถุ ๔, ขันติโสรัจจะ หิริโอตตัปปะ, อิทธิบำท ๔, เวสำรัธชกรณะ ๕, ยุติธรรม ๕, อปริหำนิยธรรม ๗, นำถกรณธรรม ๑o, กัลยำณมิตรธรรม ๗ และบำรมี ๑o ประกำร (ทศบำรมี) ซึ่งสำมำรถน ำมำประยุกต์ใช้กับกำรบริหำรและจัดกำรเป็นพุทธบูรณำกำร ภำวะผู้น ำทำงกำรศึกษำสมัยใหม่ได้๑ ตำมล ำดับหัวข้อ ดังนี้ ๓.๑ ควำมน ำ ๓.๒ ควำมหมำยของภำวะผู้น ำ ๓.๓ กำรปรับกระบวนทัศน์ใหม่กับกำรพัฒนำภำวะผู้น ำ พระธรรมปิฎก (ป .อ. ปยุตโต), ภาวะผู้น า: ความส าคัญต่อการพัฒนาคนพัฒนาประเทศ, (กรุงเทพมหำนคร: ส ำนักพิมพ์ธรรมสภำ, ๒๕๕๖), หน้ำ ๑๓.
๔๔ ๓.๔ กลยุทธ์กำรบูรณำกำรพัฒนำภำวะผู้น ำ ๓.๕ เทคนิคกำรบูรณำกำรพัฒนำภำวะผู้น ำ ๓.๖ กระบวนกำรบูรณำกำรพัฒนำภำวะผู้น ำ ๓.๗ สรุป ๓.๒ ความหมายของภาวะผู้น า ภำวะผู้น ำเป็นสิ่งส ำคัญยิ่งส ำหรับผู้น ำในกำรที่จะบริหำรองค์กำรต่ำง ๆ เพรำะ ผู้น ำต้องอำศัยภำวะผู้น ำเป็นปัจจัยขับเคลื่อนในกำรพัฒนำองค์กำรนั้น ๆ และใน ขณะเดียวกันผู้น ำควรเป็นผู้ที่มีหลักธรรมในกำรบริหำรชุมชนหรือองค์กำรให้มีควำมสุข ไม่ให้เกิดควำมขัดแย้ง และเป็นผู้ที่สำมำรถไกล่เกลี่ยข้อพิพำทต่ำง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ คุณลักษณะของบุคคลที่มีภำวะผู้น ำจะต้องมีคือ คุณลักษณะภำยนอก คุณลักษณะภำยใน และมีควำมแตกต่ำงจำกบุคคลอื่น มีควำมสำมำรถท ำให้ผู้อื่นคล้อยตำม เคำรพเชื่อฟัง และพร้อมที่จะให้ควำมร่วมมือในกำรปฏิบัติงำนมีรูปแบบ โดยใช้วิธีกำรบริหำรที่ สอดคล้องกับ หลักธรรมทำงพระพุทธศำสนำที่ถือว่ำหลักธรรมที่สมเด็จพระสัมมำสัมพุทธ เจ้ำทรงค้นพบเป็นหลัก ปฏิบัติที่สำมำรถน ำมำใช้พัฒนำภำวะผู้น ำได้เป็นอย่ำงดี ดังนั้น ผู้น ำทำงพระพุทธศำสนำควรเป็นผู้รู้จักและควรประยุกต์ใช้หลักธรรมต่ำง ๆ ที่เกี่ยวกับผู้ปกครองหรือผู้น ำที่ปรำกฏในพระไตรปิฎก รวมทั้งควรมีควำมอดทนอดกลั้น มีจิตใจหนักแน่นมั่นคง เป็นผู้น ำที่เน้นคุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม ควำมซื่อสัตย์ มีควำม ละอำยแก่ใจตนเอง โดยไม่ท ำควำมชั่วและเกรงกลัวผลของควำมชั่ว ยอมรับฟังควำม คิดเห็นของคนอื่น โดยมุ่งให้เกิดประโยชน์สุขแก่ปวงชนหรือหมู่คณะ เป็นผู้เสียสละเพื่อ ประโยชน์ส่วนรวม๒ ค ำว่ำ ผู้น ำ เป็นกำรมองเน้นที่ตัวบุคคล มักจะได้ยินค ำพูดที่ใช้เรียกแทนผู้น ำไป ในทิศทำงที่ต่ำงกันและมีขอบเขตที่กว้ำงขวำงตำมทัศนะของผู้พบเห็น เพื่อควำมเข้ำใจ ควำมหมำยเกี่ยวกับผู้น ำให้ชัดเจน นักวิชำกำรได้ให้นิยำมควำมหมำยไว้หลำยท่ำนพอ สังเขป ดังต่อไปนี้ ๒ บรรจบ บรรณรุจิ, “ภำวะผู้น ำเชิงพุทธของผู้บริหำรสถำนศึกษำ”, วารสารครุศาสตร์ ปริทรรศน์ฯ – ๖๐, ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๒ พฤษภำคม-สิงหำคม ๒๕๕๙, หน้ำ 1.
๔๕ คุณลักษณะผู้น า หมำยถึงองค์ประกอบทั้งภำยนอกและภำยในที่ผู้น ำควรมี เช่น องค์ประกอบภำยนอก เช่น บุคลิกภำพที่แสดงออก องค์ประกอบภำยใน เช่น กำรมี วิสัยทัศน์กว้ำงไกล บทบาทผู้น า หมำยถึง สิ่งที่ผู้น ำแสดงออกมำในกำรบริหำร และกำรจัดกำรต่ำง ๆ ภำยในองค์กรเพื่อให้องค์กรปฏิบัติภำรกิจได้ตำมเป้ำหมำยที่ตั้งไว้ กำรน ำหลักธรรมของพระพุทธศำสนำ เพื่อน ำไปใช้ในกำรด ำรงชีวิตประจ ำวัน ตำมลักษณะของปัญหำตำมสติปัญญำ และควำมประสงค์ของแต่ละบุคคล ดังนั้นระดับ ค ำสอนของพระพุทธศำสนำจึงมีหลำยระดับทั้งที่เป็นสัจธรรมเบื้องต้นเบื้องกลำงและ เบื้องสูง มีทั้งส่วนที่เรียกว่ำ เป็นโลกิยธรรมและโลกุตรธรรม เป็นต้น๓ กำรน ำหลักธรรมมำใช้กับกำรแก้ปัญหำของสังคมถือ เป็นสิ่งส ำคัญในสังคมไทย ปัจจุบัน ในสังคมทุก ๆ สังคมย่อมมีผู้น ำซึ่งเป็นผู้มีควำมรู้และควำมสำมำรถในกำรน ำ สมำชิกไปสู่เป้ำหมำยที่ได้วำงเอำไว้ร่วมกัน สังคมไทยก็เช่นเดียวกัน ย่อมมีผู้น ำที่มีภำวะ ผู้น ำเชิงพุทธ หมำยถึง ผู้ที่มีควำมรอบรู้รอบคอบ มีวิสัยทัศน์ มีควำมรู้ควำมสำมำรถ รับผิดชอบในกำรท ำงำน มีทักษะด้ำนควำมสัมพันธ์ระหว่ำงบุคคล มองผู้ใต้บังคับบัญชำ ในแง่ดี มีควำมยุติธรรม มีหัวใจพระพรหม รู้รักสำมัคคี มีควำมเสียสละ ไม่มีมำนะทิฐิ ปรำศจำกอคติ ซึ่งคุณธรรมต่ำง ๆ เหล่ำนี้จะต้องมีอยู่ในตัวของผู้น ำที่จะท ำให้เกิด ประโยชน์และประสิทธิภำพสูงสุดในกำรท ำงำน ด้วยกำรบริหำรตน กำรบริหำรคน และ กำรบริหำรงำนใน องค์กรตำมแนวทำง ของ พระพุทธศำสนำถือว่ำกำรที่จะเป็นผู้น ำที่มี ภำวะ ผู้น ำเชิงพุทธที่ดีนั้น ต้องมีคุณสมบัติตำมหลักพุทธธรรม ผู้น ำที่มีภำวะผู้น ำเชิง พุทธที ่จะน ำบุคคลอื่นนั้น ตำมรอยพระพุทธศำสนำถือว่ำเป็นผู้ที่มีควำมส ำคัญมำก ยิ่งองค์กรมีขนำดใหญ่เท่ำใด ควำมส ำคัญของผู้น ำที่มีภำวะผู้น ำเชิงพุทธ ที่มีต่อสมำชิกใน องค์กรก็ยิ่งทวีควำมส ำคัญมำกขึ้นองค์กรใดได้ผู้น ำที่มีภำวะผู้น ำเชิงพุทธที่ดีองค์กรนั้นก็ จะดีไปด้วย ในทำงตรงกันข้ำมองค์กรใดได้ผู้น ำที่ไม่มีภำวะผู้น ำเชิงพุทธ องค์กรนั้นก็ต้อง ประสบกับควำมยำกล ำบำกในกำรบริหำรงำนขององค์กรนั้น ๆ ในระบบกำรบริหำรงำน ของทุก ๆ องค์กร กลไกส ำคัญที่จะท ำให้ด ำเนินกำรไปสู่ จุดหมำยที่ดีงำมก็คือ “ผู้น ำ” ๓ สมบูรณ์ สุขส ำรำญ, “พุทธศำสนำกับกำรเมือง”, วารสารสังคมศาสตร์, (ตุลำคม-ธันวำคม ๒๕๔๓): ๒๕๕๓, หน้ำ ๘.
๔๖ ทั้งนี้ เนื่องจำกผู้น ำมีบทบำทในกำรก ำหนดนโยบำยกำรบริหำร กำรจัดกำรรวมถึง ควำมคิดริเริ่มในกำรวำงแผน กำรบริหำรก ำกับกำรและด ำเนินกำรปรับปรุงแก้ไข ปัญหำ ต่ำง ๆ ให้สัมฤทธิ์ผลตำมเป้ำหมำยขององค์กร ผู้น ำจึงเป็นผู้มีอิทธิพลที่สำมำรถส่งผล กระทบต่อควำมเป็นไปในองค์กรในทุก ๆ ด้ำน ไม่ว่ำจะเป็นด้ำนที่เกี่ยวกับกำรบริหำรและ งำนบุคคล ภำวะผู้น ำหรือควำมเป็นผู้น ำ (Leadership) นั้นเป็นกระบวนกำรที่ผู้บริหำรจะ มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมผู้อื่น ปัจจัยที่ส ำคัญยิ่ง อย่ำงหนึ่งแห่งควำมส ำเร็จของกำรท ำหน้ำที่ ผู้น ำ ก็คือ กำรเป็นผู้ประกอบด้วยภำวะผู้น ำที่ดีเหมำะสม ถูกต้อง ดังนั้น ในทุกองค์กรจึงจ ำเป็นต้องมีผู้น ำที่ดี กำรบริหำรสถำนศึกษำ ให้เกิด ประสิทธิภำพตำมควำมมุ่งหมำยของพระรำชบัญญัติกำรศึกษำแห่งชำติ ผู้บริหำรต้อง ใช้ภำวะผู้น ำ กระจำยควำมรับผิดชอบอย่ำงเป็นธรรมไปสู่ผู้ใต้บังคับบัญชำในหน่วยงำน ของตน ผู้บริหำรในยุคโลกำภิวัตน์จึงจ ำเป็นต้องใช้ภำวะ ผู้น ำให้เหมำะสมกับกำร เปลี่ยนแปลงต่ำง ๆ โดยต้องสำมำรถปรับตัว และแก้ไขปัญหำที่เกิดขึ้นให้ได้อย่ำง เหมำะสมกับทุกสถำนกำรณ์ และใช้ควำมรู้ควำมสำมำรถของตนให้เกิดประโยชน์แก่ กำรบริหำรงำนอย่ำงมีประสิทธิผลด้วย ผู้บริหำรที่ดีควรมีควำมสำมำรถในกำรบริหำรงำน โดยให้บุคลำกรร่วมมือปฏิบัติงำนด้วยควำมเต็มใจและ เต็มควำมสำมำรถ ผู้บริหำรต้องมี ควำมสำมำรถ สร้ำงขวัญและก ำลังใจให้ผู้ปฏิบัติงำนเกิดควำม พึงพอใจในงำน เกิดควำม รักควำมศรัทธำในหน่วยงำน เสียสละเพื่องำน ทุ่มเทก ำลังกำย ก ำลังใจ ก ำลังควำมคิด สติปัญญำ หำทำงปรับปรุงให้งำนนั้นเจริญก้ำวหน้ำยิ่งขึ้น๔ ผู้บริหำรองค์กำรจึงจ ำเป็นที่จะต้องมีภำวะผู้น ำ ทั้งนี้เนื่องจำกภำวะผู้น ำจะเป็น ภำวะ ที่มีอิทธิพลเหนือบุคคลอื่น ๆ ในองค์กำรซึ่ง บุคลำกรในองค์กำรจะให้ควำม ร่วมมือปฏิบัติงำน จนบรรลุเป้ำหมำยได้มำกน้อยเพียงใดผู้น ำที่ดีจึง ต้องใช้ภำวะผู้น ำของ ตนในกำรอ ำนวยกำรให้ภำรกิจ หน้ำที่ด ำเนินไปด้วยควำมเรียบร้อยบรรลุวัตถุประสงค์ สมกับที่ว่ำให้ได้ทั้งผลงำนและให้ได้ทั้งใจ ดังนั้นภำวะผู้น ำจึงเป็นปัจจัยที่ส ำคัญยิ่งต่อ กำรบริหำรงำนเพรำะผลงำนด้ำนต่ำง ๆ ขององค์กำร มีส่วนสัมพันธ์กับคุณภำพของควำม เป็นผู้น ำควำมเป็นผู้น ำจะเป็นสิ่งส ำคัญยิ่งส ำหรับควำมส ำเร็จของงำนต่ำง ๆ ขององค์กำร เพรำะถ้ำหำกองค์กำรใดได้ผู้บริหำรหรือผู้น ำที่มีคุณภำพเข้ำไปบริหำรงำนแล้วย่อมเป็น ๔ กมล รักสวน, “ควำมพึงพอใจในกำรท ำงำนของอำจำรย์ในมหำวิทยำลัย”. วิทยานิพนธ์ ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยำลัย: จุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย, ๒๕๕๔), หน้ำ ๔๒.
๔๗ หลักประกันได้ว่ำ องค์กำรนั้นต้องได้รับกำรพัฒนำและเจริญรุ่งเรืองแน่นอนผู้น ำเป็น ดุจดวงประทีปขององค์กำรเป็น ตัวแทนขององค์กำรและเป็นจุดรวมพลังของคนในองค์กำร ดังนั้น ผู้น ำจะต้องรับผิดชอบทั้งบุคลำกรในองค์กำรและผลงำนที่เกิดขึ้นโดยกำร ปรับตัวเพื่อเผชิญกับกำรเปลี่ยนแปลงหรือเพื่อรักษำสถำนภำพและบทบำทของตัวเองให้ ชัดเจน ผู้บริหำรในสถำนศึกษำมีตั้งแต่ ระดับพื้นฐำน ระดับต้นไปสู่ระดับสูง แต่ละระดับ ย่อมมีควำมส ำคัญทั้งสิ้น เปรียบเสมือนผู้ควบคุม กลไกขับเคลื่อนสิ่งต่ำง ๆ ไปทุกส่วน ดังนั้น ผู้บริหำรทุกระดับจึงมีควำมส ำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งบุคคลเหล่ำนี้นอกจำกจะมีลักษณะ ต่ำง ๆ ที่บ่งบอกถึงควำมเป็นผู้บริหำรทั้งด้ำนบุคลิกภำพ ควำมรู้ควำมสำมำรถ มีบำรมี มีอ ำนำจที่น่ำเกรงขำม เป็นผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้อำวุโสก็ตำมแต่สิ่งที่ขำดไม่ได้เลยก็คือ ภำวะผู้น ำที่จะต้องน ำพำสถำนศึกษำ ครูและบุคลำกรที่เกี่ยวข้องไปสู่กำรพัฒนำเพื่อให้ บรรลุผลตำมเป้ำหมำยของ กำรศึกษำชำติ๕ ๓.๓ การปรับกระบวนทัศน์ใหม่กับการพัฒนาภาวะผู้น า ศำสตร์ว่ำด้วยกำรพัฒนำภำวะผู้น ำ ส ำหรับประเทศไทยนั้นยังอยู่ในระหว่ำง เปลี่ยนผ่ำนเหมือนกระบวนทัศน์อีกหลำย ๆ อย่ำงที่ยังไม่ตกผลึกในด้ำนปรับกระบวนทัศน์ และยังมีแนวคิดที่ไม่ชัดเจนพลเมืองทุกคนมีควำมรู้สึกยำกล ำบำกและก่อให้เกิดควำม ขัดแย้ง และเมื่อถึงวิธีกำรจัดกำรควำมขัดแย้งในกระบวนกำรที่ใช้กระบวนกำรแก้ปัญหำ ข้อพิพำททำงเลือกหรือกำรเจรจำไกล่เกลี่ยคนกลำงก็เป็นทั้งศำสตร์และศิลป์ใหม่ที่สังคม ยังไม่ค่อยเข้ำใจ และก็ไม่ใช่วิทยำศำสตร์ที่จะสำมำรถท ำกำรทดลองช้ำ โดยใคร ๆ ก็ได้ เพื่อให้ได้ผลมำเหมือนกัน แต่เป็นกระบวนกำรทำงสังคมที่ต้องกำรทักษะเฉพำะตัวที่ต้อง ฝึกฝนเหมือนกับกระบวนทัศน์ทำงกีฬำ ทำงดนตรี และอีกหลำยๆ อย่ำง ดังนั้น ส ำหรับ กำรแก้ไขปัญหำดังกล่ำว จึงจ ำเป็นต้องพัฒนำบทบำทของผู้น ำแต่ละองค์กรให้ดียิ่งขึ้น เพื่อสร้ำงผู้น ำที่เป็นคนกลำงที่มีทั้งศำสตร์และศิลป์ในกระบวนทัศน์ใหม่ โดยมุ่งพัฒนำ แก่นส ำคัญ ประกอบด้วย ระบบคุณธรรม ระบบผลงำน และระบบสมรรถนะ โดยผู้น ำ องค์กรที่เป็นคนกลำงนั้น จะต้องประกอบไปด้วยบทบำทส ำคัญ ได้แก่ กำรมีวิสัยทัศน์ ๕ ธงชัย สันติวงษ์, องค์การและการบริหารการศึกษาการจัดการแผนใหม่, (กรุงเทพมหำนคร: ไทยวัฒนำพำนิช, ๒๕๕๙), หน้ำ ๔๐๓.
๔๘ กำรมีกำรวำงกลยุทธ์กำรมีศักยภำพเพื่อน ำกำรปรับเปลี่ยนควำมสำมำรถต่อกำรควบคุม ตนเอง และกำรใช้อ ำนำจแก่ผู้อื่น ควำมเป็นผู้น ำที่ให้คุณค่ำกับศักยภำพและกำรพัฒนำ “ด้ำนใน” เพื่อก้ำวข้ำม มำยำคติ ควำมคิด และควำมเชื่อเดิม ๆ ของผู้น ำเชิงอ ำนำจ หันกลับมำพัฒนำควำมสำมำรถ เชิงกำรสะท้อนย้อนมองตนเอง กำรเชื่อมโยงกับสรรพสิ่ง กำรเรียนรู้ใหม่และเปลี่ยนแปลง ตนเอง และควำมรับผิดชอบ ทั้งต่อตนเอง ผู้อื่น สังคม และสิ่งแวดล้อมรอบตัว สภำวะ กำรน ำแห่งอนำคตจึงเน้นควำมเป็นผู้น ำแบบรวมหมู่และหลำกหลำยที่ต้องใช้ทั้งศำสตร์ และศิลป์มีจิตส ำนึกและควำมประพฤติที่ซื่อตรง มุ่งประโยชน์สุขของส่วนรวม และ สำมำรถขับเคลื่อนกำรเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นอย่ำงมีพลัง ทั้งในระดับบุคคล องค์กร และ สังคม ผู้น ำแห่งอนำคต โดยสมรรถนะของผู้น ำสมัยใหม่จะแตกต่ำงจำกสมรรถนะของ ผู้น ำแบบเก่ำ โดยเฉพำะด้ำนควำมเชื่อเกี่ยวกับมนุษย์ โดยแบบเก่ำจะเชื่อว่ำมนุษย์ขำด ควำมรับผิดชอบ จ ำเป็นต้องควบคุมให้ท ำงำน มนุษย์มีควำมเป็นปัจเจกชนสูง สำมำรถ ท ำงำนได้แต่ละบุคคล ส่วนกระบวนทัศน์ใหม่ หรือผู้น ำแบบใหม่มีควำมเชื่อว่ำมนุษย์เป็นผู้ ที่มีควำมรับผิดชอบและมีควำมเป็นปัจเจกชนน้อย ต้องท ำงำนเป็นกลุ่มจึงจะท ำให้ท ำงำน ได้อย่ำงมีประสิทธิภำพสูงสุด จำกฐำนคติดังกล่ำวและอำศัยแนวควำมคิดจำก Deming’s System of Profound Knowledge 5 Scholes จึงเสนอสมรรถนะของผู้น ำสมัยใหม่ เป็น 4 ประกำรคือ สมรรถนะที่ ๑ มีควำมสำมำรถในกำรคิดเกี่ยวกับระบบและมีควำมรู้ในกำรน ำ ระบบ สมรรถนะที่ ๒ ควำมสำมำรถในควำมเข้ำใจควำมแปรปรวนของงำนที่จะต้อง วำงแผนและแก้ปัญหำ สมรรถนะที่ ๓ เข้ำใจวิธีกำรเรียนรู้ กำรพัฒนำ และกำรปรับปรุง เพื่อกำรเรียนรู้ และกำรปรับปรุงที่แท้จริง สมรรถนะที่ ๔ เข้ำใจคนและเหตุผลของพฤติกรรม ดังนั้น กำรพัฒนำผู้น ำและภำวะกำรน ำกระบวนทัศน์ใหม่ ที่สำมำรถรับมือกับ ควำมเปลี่ยนแปลงอย่ำงพลิกผันทำงสังคม มีควำมอดทนอดกลั้นต่อสถำนกำรณ์ ยำกล ำบำก และมีพลังน ำพำสังคมให้ฟื้นตัวกลับสู่ควำมปกติสุขอย่ำงรวดเร็วและมั่นคง (Resilient Society) “ผู้น ำและภำวะกำรน ำกระบวนทัศน์ใหม่” จึงทวีควำมส ำคัญมำก
๔๙ ยิ่งขึ้นในสภำวกำรณ์ปัจจุบันซึ่งกำรศึกษำครั้งนี้จะท ำให้ทรำบกำรแก้ไขปัญหำดังกล่ำวที่ เป็นสมรรถนะที่จ ำเป็นต่อกำรพัฒนำบทบำทของผู้น ำแต่ละองค์กรให้ดียิ่งขึ้น เพื่อสร้ำง ผู้น ำที่เป็นคนกลำงที่มีทั้งศำสตร์และศิลป์ในกระบวนทัศน์ใหม่ โดยมุ่งพัฒนำแก่นส ำคัญ ด้ำนต่ำง ๆ อย่ำงต่อเนื่อง๖ ความเป็นมาของบทบาทผู้น าในกระบวนทัศน์ใหม่ สภำวะควำมเป็นผู้น ำที่ให้คุณค่ำกับศักยภำพและกำรพัฒนำ “ด้ำนใน” (SelfLeadership) เพื่อก้ำวข้ำมมำยำคติ ควำมคิด และควำมเชื่อเดิม ๆ ของผู้น ำเชิงอ ำนำจหัน กลับมำพัฒนำควำมสำมำรถเชิงกำรสะท้อนย้อนมองตนเอง (Reflexivity) กำรเชื่อมโยง กับสรรพสิ่ง (Connectivity) กำรเรียนรู้ใหม่และเปลี่ยนแปลงตนเอง (Renewability) และควำมรับผิดชอบ (Responsibility) ทั้งต่อตนเอง ผู้อื่น สังคม และสิ่งแวดล้อมรอบตัว สภำวะกำรน ำแห่งอนำคตจึงเน้นควำมเป็นผู้น ำแบบรวมหมู่และหลำกหลำย (Collective หรือ Ecology of Leadership) ที่ต้องใช้ทั้งศำสตร์และศิลป์มีจิตส ำนึกและควำมประพฤติ ที่ซื่อตรง มุ่งประโยชน์สุขของส่วนรวม (Ethical Leadership) และสำมำรถขับเคลื่อนกำร เปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นอย่ำงมีพลัง (Transformative Leadership) ทั้งในระดับบุคคล องค์กร และสังคม “ผู้น ำแห่งอนำคต” จึงจะต้องประกอบด้วยภำรกิจ ๓ ด้ำนคือ ๑) สำนพลังมุ่งมั่นและเรียนรู้ร่วมกัน (Synergy of Network and Platform) โดยผู้น ำแห่งอนำคตจะต้องท ำกำรเชื่อมโยงให้องค์กรหันมำสนใจเรื่องกำรพัฒนำศักยภำพ ในหลำยระดับและมิติ โดยมุ่งเน้นกำรร่วมหำรือและพัฒนำเจตจ ำนงร่วมกันในกำรสร้ำง เครือข่ำยควำมร่วมมือด้ำนกำรพัฒนำและภำวะกำรน ำเพื่อฟื้นฟูและสร้ำงสรรค์ โดย กิจกรรมที่ส ำคัญส ำหรับผู้น ำในกระบวนทัศน์ใหม่ คือ กำรสร้ำงเสริมศักยภำพกำรน ำ กระบวนทัศน์ใหม่ในบริบทต่ำง ๆ ของสังคม รวมทั้งจัดท ำชุดสำระควำมรู้เพื่อกำรท ำงำน พัฒนำในระยะยำว และหนุนเสริมให้ทุกบุคคลในองค์กรสำมำรถเชื่อมโยงเป็นเครือข่ำย เพื่อพัฒนำงำนร่วมกันต่อไปในอนำคต ๒) กำรจัดกำรองค์ควำมรู้และนวัตกรรม (Knowledge Creation and Innovation) ผู้น ำในกระบวนทัศน์ใหม่ที่มีศักยภำพนั้น ควรเป็นบุคคลที่มีกำรรวบรวม สังเครำะห์ และพัฒนำองค์ควำมรู้ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นผู้น ำและภำวะกำรน ำกระบวน ทัศน์ใหม่ที่เหมำะสมสอดคล้องกับกำรฟื้นฟูและสร้ำงสรรค์สังคมในปัจจุบันและอนำคต ๖ Locke, H., & Dearden; Thomas, & Ely; Mills; Eddy, & Van Der Linden, 2006.
๕๐ ผ่ำนกำรทบทวนวรรณกรรมทั้งจำกโลกตะวันตกและตะวันออก เพื่อประมวลองค์ควำมรู้ พื้นฐำนที่เกี่ยวข้อง กำรส ำรวจข้อมูลและสร้ำงแผนที่ของหลักสูตร องค์กร ชุมชนและกลุ่ม วิชำชีพต่ำง ๆ ที่สนใจกำรขับเคลื่อนและพัฒนำประเทศด้วยกระบวนทัศน์ใหม่โดยเฉพำะ กลุ่มบุคคลองค์กรที่มีบทบำทส ำคัญในกำรขับเคลื่อนสังคม เช่น สื่อมวลชนภำคธุรกิจ สถำบันกำรศึกษำ องค์กรประชำสังคม หน่วยงำนรัฐ หน่วยงำนสำธำรณสุขพระสงฆ์ นักพัฒนำ และภำคีเครือข่ำยของ สสส. เป็นต้น รวมทั้งถอดบทเรียนและสังเครำะห์ องค์ควำมรู้เกี่ยวกับกำรพัฒนำผู้น ำ จำกเครือข่ำยองค์กรภำคีและเครือข่ำยผู้จัดท ำ หลักสูตรพัฒนำผู้น ำทั้งในและต่ำงประเทศนอกจำกนี้ ยังมีกำรสร้ำงเครือข่ำยนักวิจัยรุ่น ใหม่ และกำรจัดประชุมวิชำกำร ที่ออกแบบให้มีกระบวนกำรเรียนรู้ร่วมกันระหว่ำง เครือข่ำย เพื่อส่งเสริมให้ประยุกต์ใช้องค์ควำมรู้จำกกำรท ำงำนเป็นเครื่องมือกระตุ้นให้ ชุมชนวิชำกำรตื่นตัวเรื่องผู้น ำและภำวะกำรน ำกระบวนทัศน์ใหม่ ๓) กำรสื่อสำรเพื่อสร้ำงจินตนำกำรใหม่ (Creative Communication for Social Change) โดยสื่อสำรแนวคิดเรื่องผู้น ำและภำวกำรณ์น ำกระบวนทัศน์ใหม่เพื่อ ฟื้นฟูและสร้ำงสรรค์สังคมออกไปในวงกว้ำง เพื่อสร้ำงจินตนำกำรใหม่ให้พลเมืองทุกภำค ส่วนตระหนักถึงควำมส ำคัญของเรื่องนี้ ผ่ำนกำรสร้ำงคณะท ำงำนเชิงยุทธศำสตร์และ เครือข่ำยผู้น ำด้ำนสื่อและกำรสื่อสำรเชิงสร้ำงสรรค์ เพื่อแสวงหำแนวทำงส่งเสริมให้ สื่อมวลชนเข้ำใจเรื่องภำวะกำรน ำกระบวนทัศน์ใหม่ และสำมำรถพัฒนำตนเองให้เป็น ผู้น ำของสังคมด้วยศักยภำพดังกล่ำว ดังนั้น อำจกล่ำวได้ว่ำ กำรสนับสนุนกำรผลิตสื่อสำธำรณะเพื่อสร้ำงจิตส ำนึกให้ สมำชิกสังคมเห็นคุณค่ำของกำรมีบทบำทร่วมเปลี่ยนแปลงและฟื้นฟูประเทศชำติ นอกจำกภำรกิจทั้ง ๓ ด้ำนแล้ว “ผู้น ำแห่งอนำคต” ควรเป็นผู้น ำที่มุ่งหวังให้เกิดองค์กรที่ ด ำเนินงำนเรื่องนี้ต่อเนื่องระยะยำว เพื่อท ำหน้ำที่ส่งเสริมและสนับสนุนกำรศึกษำและ พัฒนำองค์ควำมรู้ รวมทั้งกำรปฏิบัติงำนด้ำนผู้น ำและภำวะกำรน ำกระบวนทัศน์ใหม่ใน สังคม เพื่อเป็นเสำหลักหนึ่งในกำรพัฒนำ ฟื้นฟู และสร้ำงสรรค์ประเทศอย่ำงยั่งยืนต่อไป๗ ๗ ดวงตำ รำชอำษำ, “บทบำทของผู้น ำในกระบวนทัศน์ใหม่”, วารสารวิชาการแพรวา กาฬสินธุ์มหำวิทยำลัยกำฬสินธุ์ ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๒ พฤษภำคม - สิงหำคม ๒๕๕๙, หน้ำ ๘๐.
๕ ๓.๔ กลยุทธ์การบูรณาการพัฒนาภาวะผู้น า ภำวะผู้น ำเชิงกลยุทธ์ คือควำมสำมำรถในกำรมีอิทธิพลต่อผู้อื่นในกำรตัดสินใจ โดยสมัครใจเพื่อเพิ่มโอกำสในกำรประสบควำมส ำเร็จในระยะยำวขององค์กร โดยยังคง รักษำควำมมั่นคงทำงกำรเงินในระยะยำว แนวทำงกำรเป็นผู้น ำที่แตกต่ำงกันมีผลต่อ วิสัยทัศน์และทิศทำงกำรเติบโตและควำมส ำเร็จที่อำจเกิดขึ้นขององค์กร เพื่อให้กำร จัดกำรเปลี่ยนแปลงได้ส ำเร็จ ผู้บริหำรทั้งหมดจ ำเป็นต้องมีทักษะและเครื่องมือในกำร ก ำหนดกลยุทธ์และกำรด ำเนินงำน กำรบริหำรกำรเปลี่ยนแปลงและควำมคลุมเครือต้อง ใช้ผู้น ำทำงยุทธศำสตร์ ที่ไม่เพียงแต่ให้ควำมล่วงรู้ของทิศทำง แต่ยังสำมำรถสร้ำงควำม เป็นเจ้ำของ และกำรจัดต ำแหน่งภำยในกลุ่มงำนของตนเพื่อด ำเนินกำรเปลี่ยนแปลง ภำวะผู้น ำกลยุทธ์นั้นเป็นภำวะที่ผู้น ำแสดงออกในลักษณะสร้ำงแรงจูงใจแก่ ผู้ร่วมงำนให้ใช้ควำมสำมำรถที่มีอยู่มำท ำงำนเพื่อให้บรรลุผลส ำเร็จของทีมและองค์กำร โดยผู้น ำจะมีเทคนิคกำรจูงใจอย่ำงเหมำะสม โดยเลือกใช้วิธีจูงใจอย่ำงหลำกหลำย และมี ประสิทธิผลเพื่อให้กำรท ำงำนประสบผลส ำเร็จ อีกทั้งแสดงออกถึงกำรตัดสินใจ และกำร ควบคุมกำรปฏิบัติงำนเพื่อให้บรรลุถึงวิสัยทัศน์ พันธกิจ และวัตถุประสงค์ขององค์กำร ก ำหนดบทบำทและทิศทำงขององค์กำรได้อย่ำงชัดเจน ดังงำนวิจัยหลำยเรื่อง พบว่ำ ปัจจัยภำวะผู้น ำกลยุทธ์เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อกำรพัฒนำคุณภำพขององค์กำร เพรำะ ผู้บริหำรต้องมีวิสัยทัศน์ มีกำรก ำหนดทิศทำงขององค์กำร วำงแผนกลยุทธ์ และมีกำรใช้ ควำมคิดเชิงกลยุทธ์ ตลอดจนมีกำรควบคุมอย่ำงมีกลยุทธ์ ซึ่งจะท ำให้เป้ำหมำยองค์กำร ส ำเร็จ รวมถึงใช้สื่ออีเล็กทรอนิกส์ในกำรสื่อสำรกับผู้ร่วมงำน ให้ควำมร่วมมือเพื่อบรรลุ เป้ำหมำยของกำรท ำงำนด้วยกันภำวะผู้น ำกลยุทธ์จะต้องมีกำรใช้ควำมคิดเชิงกลยุทธ์ เพื ่อเปลี่ยนแปลงหรือพลิกแพลงได้ตำมสถำนกำรณ์ที ่เปลี่ยนไปเพื ่อให้บรรลุตำม วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ อีกทั้งมีกำรสื่อสำรและกำรเจรจำต่อรองเพื่อท ำให้กำรปฏิบัติงำน เกิดควำมชัดเจน ทุกคนสำมำรถท ำงำนด้วยควำมมั่นใจ ตลอดจนกำรแก้ปัญหำและกำร ตัดสินใจที่ถูกต้องและรวดเร็ว ๑) ควำมหมำยของภำวะผู้น ำกลยุทธ์ ภำวะผู้น ำกลยุทธ์เป็นกำรท ำงำนหลำยหน้ำที่ที่ต้องเกี่ยวข้องกับผู้อื่น และเป็น กำรช่วยเหลือองค์กำรในกำรจัดกำรกำรเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในยุคโลกำภิวัตน์ มีมุมมอง ระยะยำวและสร้ำงควำมยืดหยุ่นให้องค์กำรบรรลุเป้ำหมำย มีกำรสื่อสำรที่มีประสิทธิภำพ โดยมีขอบเขตควำมรับผิดชอบทั้งองค์กำรเน้นกำรใช้แรงจูงใจและมีเทคนิคกำรจูงใจอย่ำง
๕๒ เหมำะสม โดยเลือกใช้วิธีจูงใจอย่ำงหลำกหลำย และมีประสิทธิผลเพื่อให้กำรท ำงำน ประสบผลส ำเร็จ รวมถึงเป็นบุคคลที่ใช้กำรสื่อสำรอย่ำงสม่ ำเสมอ หลำกหลำยและเน้น แบบสองทำงท ำงำนโดยเน้นกระบวนกำรในกำรก ำหนดทิศทำงและกำรกระตุ้นสร้ำงแรง บันดำลใจให้แก่องค์กำร ในกำรริเริ่มสร้ำงสรรค์สิ่งต่ำง ๆ เพื่อให้องค์กำรอยู่รอดต่อไปได้ รวมถึงควำมสำมำรถในกำรท ำนำยอนำคตด้วยมีสำยตำที่กว้ำงไกล รักษำควำมยืดหยุ่น และใจกว้ำงพอที่จะให้อ ำนำจหรือรับฟังบุคคลอื่นในกำรสร้ำงสรรค์และเปลี่ยนแปลง เชิงกลยุทธ์เท่ำที่จ ำเป็น กำรวำงแผนกลยุทธ์และกำรใช้ควำมคิดเชิงกลยุทธ์น ำไปสู่ จุดมุ่งหมำยปลำยทำงที่ตั้งใจไว้ ผู้น ำกลยุทธ์มีควำมสนใจต่อสภำพแวดล้อมภำยนอกที่มี ผลกระทบต่อกำรก ำหนดกลยุทธ์ ภำวะผู้น ำกลยุทธ์มีควำมส ำคัญมำกต่อควำมส ำเร็จของกิจกำรขององค์กำร ช่วย ให้ผู้บริหำรสำมำรถมองเห็นภำพรวมและขอบเขตได้กว้ำงขวำงและชัดเจนเป็นรูปธรรม มำกขึ้น เพรำะกำรด ำเนินงำนเชิงกลยุทธ์จะมีควำมลึกซึ้งในกำรวิเครำะห์ปัญหำในระดับที่ มีนัยส ำคัญต่ออนำคตขององค์กำรซึ่งสำมำรถกล่ำวได้ว่ำภำวะผู้น ำกลยุทธ์ช่วยจะส่งเสริม และสนับสนุนกำรก ำหนดและกำรด ำเนินกิจกรรมต่ำง ๆ ภำยในองค์กำรตำมทิศทำงที่ ชัดเจนและเป็นเครื่องน ำทำงที่เป็นรูปธรรมส ำหรับสมำชิก โดยช่วยให้สมำชิกเข้ำใจใน วิสัยทัศน์ วัตถุประสงค์และทิศทำงที่แน่นอนขององค์กำร ไม่ก่อให้เกิดควำมสับสนหรือ ควำมขัดแย้งในกำรท ำงำน ท ำให้องค์กำรสำมำรถบรรลุเป้ำหมำยและวัตถุประสงค์ที่ ต้องกำรอย่ำงมีประสิทธิภำพ เป็นประโยชน์ต่อองค์กำรในกำรสร้ำงควำมเข้ำใจระหว่ำง กำรท ำงำนและบุคคลทุกฝ่ำยที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพำะผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น บุคลำกร ชุมชน กลุ่มผลประโยชน์ และ หน่วยงำนรำชกำรที่สำมำรถติดตำมตรวจสอบกำรด ำเนินงำนและควำมส ำเร็จในกำรบรรลุ เป้ำหมำยขององค์กำรช่วยให้องค์กำรสำมำรถด ำเนินงำนและใช้ทรัพยำกรในกำรแข่งขัน อย่ำงมีประสิทธิภำพและได้ผลส ำเร็จดีกว่ำกำรบริหำรงำนตำมปกติ เนื่องจำกกำร ด ำเนินงำนเชิงกลยุทธ์จะมีกำรศึกษำ วิเครำะห์ และจัดระบบควำมสัมพันธ์เชิง กลยุทธ์ ขององค์กำรอย่ำงรัดกุมและชัดเจน ท ำให้กำรด ำเนินงำนและกำรจัดสรรทรัพยำกรเป็นไป อย่ำงมีระบบและมีประสิทธิภำพ สำมำรถวำงแผนกำรเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับบริบท
๕๓ ของสังคม มีเทคนิคหรือกลยุทธ์กำรด ำเนินงำนให้ประสบผลส ำเร็จ โดยเฉพำะกำร แก้ปัญหำและกำรตัดสินใจและดูแลผู้รับบริกำรอย่ำงใกล้ชิด๘ กลยุทธ์บูรณาการในการแก้ปัญหาของผู้น า ในชีวิตประจ ำวันทุกคนต้องเผชิญกับปัญหำต่ำง ๆ ซึ่งปัญหำที่เกิดนั้นอำจเป็น ปัญหำที่แก้ได้ง่ำยหรือเป็นปัญหำที่ไม่สำมำรถแก้ได้ในทันที ต้องอำศัยควำมรู้ควำมเข้ำใจ ขั้นตอน/วิธีกำร และประสบกำรณ์มำช่วยแก้ปัญหำ ถ้ำมีควำมรู้หรือแหล่งควำมรู้ที่ เพียงพอ เข้ำใจกระบวนกำรแก้ปัญหำ มีขั้นตอน/วิธีกำรที่เหมำะสม จะท ำให้สำมำรถ แก้ปัญหำได้ดีขึ้น ควำมส ำเร็จในกำรแก้ปัญหำนั้น ได้แบ่งประเภทของกลยุทธ์ในกำร แก้ปัญหำ พอสรุปได้ ดังนี้๙ ๑. กำรค้นหำรูปแบบ เป็นกำรวิเครำะห์ปัญหำและค้นหำควำมสัมพันธ์ของ ข้อมูลที่มีลักษณะเป็นระบบหรือเป็นรูปแบบในสถำนกำรณ์ปัญหำนั้น ๆ แล้วคำดเดำ ค ำตอบ ซึ่งค ำตอบที่ได้จะถูกยอมรับว่ำเป็นค ำตอบที่ถูกต้องเมื่อผ่ำนกำรตรวจสอบยืนยัน กลยุทธ์นี้มักจะใช้ในปัญหำที่เกี่ยวกับเรื่องจ ำนวนและเรขำคณิต ๒. กำรสร้ำงตำรำง เป็นกำรจัดระบบข้อมูลใส่ในตำรำง ตำรำงที่สร้ำงขึ้นจะช่วย ในกำรวิเครำะห์หำควำมสัมพันธ์อันจะน ำไปสู่กำรค้นพบรูปแบบหรือข้อชี้แนะอื่น ๆ ตลอดจนช่วยให้ไม่หลงลืมหรือสับสนในกรณีใดกรณีหนึ่ง เมื่อต้องแสดงกรณีที่เป็นไปได้ ทั้งหมดของปัญหำ ๓. กำรเขียนภำพหรือแผนภำพ เป็นกำรอธิบำยสถำนกำรณ์และแสดง ควำมสัมพันธ์ของข้อมูลต่ำง ๆ ของปัญหำด้วยภำพหรือแผนภำพ ซึ่งกำรเขียนภำพหรือ แผนภำพจะช่วยให้เข้ำใจปัญหำได้ง่ำยขึ้น และบำงครั้งสำมำรถหำค ำตอบของปัญหำได้ โดยตรงจำกภำพหรือแผนภำพนั้น ๔. กำรคำดเดำและตรวจสอบ เป็นกำรพิจำรณำข้อมูลและเงื่อนไขต่ำง ๆ ที่ ปัญหำก ำหนด ผสมผสำนกับประสบกำรณ์เดิมที่เกี่ยวข้องมำสร้ำงข้อควำมคำดกำรณ์ แล้วตรวจสอบควำมถูกต้องของข้อควำมคำดกำรณ์นั้น ถ้ำกำรคำดเดำไม่ถูกต้องก็คำดเดำ ใหม่ โดยอำศัยประโยชน์จำกควำมไม่ถูกต้องของกำรเดำในครั้งแรก ๆ เป็นกรอบในกำร ๘ Feldman, Harriet R.& Others. Nursing Leadership, New York: Springer, 2018, P. 14.๙ Elliott, Stephen N.; et al. Educational Psychology: Effective Teaching, Effective Learning. 3rd. ed. Boston: Mc-Graw Hill. 2000, P. 21.
๕๔ คำดเดำค ำตอบของปัญหำครั้งต่อไป ควรคำดเดำอย่ำงมีเหตุผลและมีทิศทำงเพื่อให้สิ่งที่ คำดเดำนั้นเข้ำใกล้ค ำตอบที่ต้องกำรมำกที่สุด ๕. กำรคิดแบบย้อนกลับ เป็นกำรวิเครำะห์ปัญหำที่พิจำรณำจำกผลย้อนกลับ ไปสู่เหตุ โดยเริ่มจำกข้อมูลที่ได้ในขั้นตอนสุดท้ำย แล้วคิดย้อนขั้นตอนกลับมำสู่ข้อมูลที่ได้ ในขั้นตอนเริ่มต้น กำรคิดแบบย้อนกลับใช้ได้ดีกับกำรแก้ปัญหำที่ต้องกำรอธิบำยถึง ขั้นตอนกำรได้มำซึ่งค ำตอบ ๖. กำรเปลี่ยนมุมมอง เป็นกำรเปลี่ยนกำรคิดหรือมุมมองให้แตกต่ำงไปจำกที่ คุ้นเคยหรือที่ต้องท ำตำมขั้นตอนทีละขั้นเพื่อให้แก้ปัญหำได้ง่ำยขึ้น กลยุทธ์นี้มักใช้ในกรณี ที่แก้ปัญหำด้วยกลยุทธ์อื่นไม่ได้แล้ว สิ่งส ำคัญของกลยุทธ์นี้ก็คือ กำรเปลี่ยนมุมมองที่ แตกต่ำงไปจำกเดิม๑๐ ๓.๕ เทคนิคการบูรณาการพัฒนาภาวะผู้น า องค์กำรหรือหน่วยงำนต่ำง ๆ ผู้น ำ จัดเป็นบุคคลที่มีควำมส ำคัญมำกที่สุดต่อ ควำมส ำเร็จหรือล้มเหลวขององค์กำร เพรำะผู้น ำเป็นผู้ที่มีอ ำนำจและมีอิทธิพลต่อกำร บังคับบัญชำ กำรมอบหมำยงำนให้กับผู้ใต้บังคับบัญชำในก ำกับดูแลให้เป็นไปตำม เป้ำหมำยขององค์กำร ผู้น ำต้องเป็นผู้ที่ประสำนควำมต้องกำรของบุคคล ควำมต้องกำร ของงำน และควำมต้องกำรขององค์กำรเข้ำด้วยกัน มีนักวิจัยและนักวิชำกำรได้ ท ำกำรศึกษำถึงภำวะผู้น ำอย่ำงเป็นระบบเป็นระยะเวลำนำน โดยที่พยำยำมค้นคว้ำถึง คุณลักษณะ (Traits) ควำมสำมำรถ (Abilities) พฤติกรรม (Behaviors) แหล่งที่มำของ อ ำนำจ (Sources of Power) และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับภำวะผู้น ำ โดยได้ค้นหำวิธีกำรที่ ผู้น ำสำมำรถมีอิทธิพลเหนือผู้ตำม และสำมำรถท ำงำนให้บรรลุผลส ำเร็จตำมวัตถุประสงค์ ที่ตั้งไว้ได้ ตลอดจนพิจำรณำว่ำเพรำะเหตุใดคนบำงคนจึงมีลักษณะเป็นผู้น ำ ปัจจัยใดเป็น ตัวก ำหนดวิธีกำรของผู้น ำ รวมทั้งประสิทธิผลของภำวะผู้น ำ ดังนั้นจึงได้มีกำรให้ค ำนิยำม ของค ำว่ำ ผู้น ำ และ ภำวะผู้น ำไว้อย่ำงหลำกหลำยกันดังต่อไปนี้ นักวิชำกำรและนักกำรศึกษำได้ให้ควำมหมำยของแนวคิดเกี่ยวกับภำวะผู้น ำและ ควำมหมำยของผู้น ำ ค ำว่ำ “ผู้น ำ” ไว้อย่ำงหลำกหลำยดังนี้ ๑๐กัณฑ์กณัฐ สุวรรณรัชภูม์และคณะ, ภาวะผู้น ากลยุทธ์ : รูปแบบของผู้น ายุคใหม่, (กรุงเทพมหำนคร: ปัญญำชน, ๒๕๖๔), หน้ำ ๙.
๕๕ ชัยเสฏฐ์ พรหมศรีได้ให้ควำมหมำยของภำวะผู้น ำ ไว้ว่ำ ผู้น ำ หมำยถึง บุคคล ที่มีหน้ำที่ในกำรดูแลกิจกรรมของบุคคลอื่น หรือเปรียบเสมือนผู้ควบคุมวงดนตรีให้ บรรเลงได้อย่ำงไพเรำะและถูกต้องตำมตัวโน้ต ผู้น ำต้องให้ในสิ่งที่กลุ่มต้องกำรเพื่อ ตอบสนองต่อควำมต้องกำรในกำรท ำงำน และกำรบรรลุเป้ำหมำยของกลุ่มและองค์กำร๑๑ เนตรพัณณา ยาวิราช ได้ให้ควำมหมำยของภำวะผู้น ำ ไว้ว่ำ ผู้น ำ หมำยถึง บุคคลที่ได้รับกำรยอมรับ และยกย่องจำกบุคคลอื่น เป็นผู้ท ำให้บุคคลอื่นไว้วำงใจ และให้ ควำมร่วมมือกับผู้น ำ เป็นผู้อ ำนวยกำรหรือสั่งกำร บังคับบัญชำ ประสำนงำนโดยอำศัย อ ำนำจหน้ำที่ (Authority) เพื่อให้กิจกำรงำนบรรลุผู้ส ำเร็จตำมวัตถุประสงค์ และ เป้ำหมำยที่ต้องกำร๑๒ พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) ได้ให้ควำมหมำยของภำวะผู้น ำ ไว้ว่ำผู้น ำ หมำยถึง ผู้ชักพำให้คนอื่นเคลื่อนไหว หรือกระท ำกำรในทิศทำงที่ผู้น ำก ำหนด เป้ำหมำยไว้๑๓ วิโรจน์ สารรัตนะ ให้ควำมหมำยของภำวะผู้น ำไว้ว่ำ ผู้น ำ หมำยถึง ผู้มุ่ง ก่อให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงเชิงนวัตกรรม ในทิศทำงที่ถูกต้อง (Do the right thing) ควำมมีประสิทธิผล (Effectiveness) และมีควำมสำมำรถจูงใจให้ผู้ปฏิบัติเกิดแรงบันดำล ใจใช้ควำมสำมำรถพิเศษได้อย่ำงเต็มที่๑๔ ราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ควำมหมำยของ ภำวะผู้น ำ ไว้ว่ำหมำยถึง คุณลักษณะ บำรมี คุณธรรม ควำมเชี่ยวชำญ และสถำนกำรณ์ของบุคคลหรือต ำแหน่ง ที่มีอิทธิพลเชิง สร้ำงสรรค์ต่อผู้อื่น ท ำให้เกิดควำมร่วมมือยินยอม โดยใช้กำรบริหำรกำรเปลี่ยนแปลงและ ด ำเนินกิจกรรมเพื่อบรรลุเป้ำหมำยของกลุ่มหรือองค์กำร๑๕ ๑๑ชัยเสฏฐ์ พรหมศรี, ภาวะผู้น าร่วมสมัย, (กรุงเทพมหำนคร: ปัญญำชน, ๒๕๕๗), หน้ำ ๒๔.๑๒เนตร์พัณณำ ยำวิรำช, ภาวะผู้น าและผู้น าเชิงกลยุทธ์, (กรุงเทพมหำนคร: ปัญญำชน, ๒๕๕๙), หน้ำ ๙.๑๓พระธรรมโกศำจำรย์(ประยูร ธมฺมจิตฺโต), พุทธวิธีบริหาร, (กรุงเทพมหำนคร: โรงพิมพ์ มหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย, ๒๕๕๙), หน้ำ ๒๖.๑๔วิโรจน์ สำรรัตนะ, การบริหาร หลักการ ทฤษฎี และประเด็นทางการศึกษา, (กรุงเทพมหำนคร: ทิพยวิสุทธิ์, ๒๕๕๒), หน้ำ ๑๗๗. ๑๕รำชบัณฑิตยสถำน, ศัพท์ศึกษาศาสตร์, (กรุงเทพมหำนคร: อรุณกำรพิมพ์, ๒๕๕๕), หน้ำ ๓๒๓.
๕๖ สัมมา รธนิธย์ได้ให้ควำมหมำยของ ภำวะผู้น ำ ไว้ว่ำหมำยถึง กำรใช้อิทธิพลของ บุคคลหรือของต ำแหน่ง จูงใจให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคล ปฏิบัติตำมควำมคิดเห็นควำม ต้องกำรของตนด้วยควำมเต็มใจ ยินดีที่จะให้ควำมร่วมมือเพื่อจะน ำไปสู่กำรบรรลุ วัตถุประสงค์ของกลุ่มตำมที่ก ำหนดไว้ ภำวะผู้น ำเป็นควำมสำมำรถในกำรชักจูงหรือโน้ม น้ำวผู้อื่นให้ค้นหำหนทำงที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ที่ก ำหนดให้อย่ำงกระตือรือร้น และเป็น กำรผูกมัดหรือหลอมรวมกลุ่มเข้ำเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้วกระตุ้นให้ด ำเนินไปสู่ เป้ำหมำย๑๖ วิเชียร วิทยอุดม ได้ให้ควำมหมำยของ ภำวะผู้น ำ ไว้ว่ำหมำยถึง ลักษณะส่วนตัว ของบุคคลที่จะแสดงพฤติกรรมออกมำเมื่อได้มีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่ม เป็นควำมสำมำรถที่ เกิดขึ้นระหว่ำงที่มีกำรท ำงำนร่วมกัน หรือร่วมอยู่ในเหตุกำรณ์เดียวกัน ในอันที่จะท ำให้ กิจกรรมของกลุ่มด ำเนินไปสู่เป้ำหมำยและประสบควำมส ำเร็จ ภำวะผู้น ำจะมีมำกหรือ น้อยขึ้นอยู่กับประสบกำรณ์ และกำรฝึกฝนของแต่ละบุคคล๑๗ พะยอม วงศ์สารศรีได้ให้ควำมหมำยของ ภำวะผู้น ำ ไว้ว่ำหมำยถึง กระบวนกำรที่ บุคคลหนึ่ง (ผู้น ำ) ใช้อิทธิพลและอ ำนำจของตนกระตุ้นชี้น ำให้บุคคลอื่น (ผู้ตำม) มีควำมกระตือรือร้น เต็มใจท ำในสิ่งที่เขำต้องกำร โดยมีเป้ำหมำยขององค์กำรเป็น จุดหมำยปลำยทำง๑๘ สรุปได้ว่ำ ภำวะผู้น ำ หมำยถึง บุคคลที่ได้รับกำรยอมรับจำกบุคคลอื่นเพื่อให้มี หน้ำที่ดูแลกิจกรรมของบุคคลที่อยู่ภำยใต้กำรบังคับบัญชำ ผู้น ำเป็นผู้อ ำนวยกำร สั่งกำร และต้องตอบสนองต่อควำมต้องกำรของผู้ใต้บังคับบัญชำ ตอบสนองควำมต้องกำรในกำร ท ำงำนเพื่อให้บรรลุเป้ำหมำยขององค์กำร ที่ส ำคัญผู้น ำต้องมีควำมสำมำรถในกำรจูงใจให้ ผู้ใต้บังคับบัญชำเกิดแรงบันดำลใจในกำรใช้ควำมสำมำรถในกำรปฏิบัติอย่ำงเต็มก ำลัง ควำมสำมำรถของเขำ ๑๖สัมมำ รธนิธย์, หลัก ทฤษฎีและปฏิบัติการบริหารการศึกษา, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหำนคร: ข้ำวฟ่ำง, ๒๕๕๓), หน้ำ ๒๔๙.๑๗วิเชียร วิทยอุดม, ภาวะผู้น า, พิมพ์ครั้งที่ ๔, (กรุงเทพมหำนคร: ธีระฟิล์มและไซเท็กซ์, ๒๕๕๐), หน้ำ ๓.๑๘พะยอม วงศ์สำรศรี, องค์การและการจัดการ, (กรุงเทพมหำนคร: สุภำ, ๒๕๔๒), หน้ำ ๑๙๖.
๕๗ อีกประกำรหนึ่ง ภำวะผู้น ำไม่ได้เกิดจำกพรสวรรค์ แต่เกิดจำกกำรพัฒนำตัวเอง ให้เกิดกำรเรียนรู้ เตรียมควำมพร้อมเพื่อน ำไปใช้กับหน้ำที่และบทบำทของตัวเองอยู่เสมอ กำรมีภำวะผู้น ำที่สมบูรณ์จะต้องประกอบไปด้วยควำมพร้อมทำงด้ำนองค์ควำมรู้ กำรกล้ำ ตัดสินใจกำรน ำเสนอและกำรบริหำรทีมงำนอย่ำงมืออำชีพเพรำะกำรพัฒนำภำวะผู้น ำ เปรียบเสมือนกำรเริ่มต้นสร้ำงเมล็ดพันธุ์ดี ที่พร้อมที่จะ เติบโตอย่ำงมีคุณภำพ จ ำเป็นต้อง มีเทคนิคส ำคัญเพื่อน ำไปพัฒนำกระบวนกำรต่ำง ๆ ที่จ ำเป็นให้มีประสิทธิภำพมำกยิ่งขึ้น เทคนิคกำรพัฒนำภำวะผู้น ำ ๕ ประกำร ได้แก่ ๑. กำรหำเมล็ดพันธุ์ เลือกรูปแบบหรือตัวอย่ำงของกำรเป็นผู้น ำที่เรำชื่นชอบ ศึกษำวิธีกำร เทคนิคกำร แบบอย่ำงที่ท ำให้ประสบควำมส ำเร็จ หรือกำรเก็บข้อมูลของ ผู้คนที่หลำกหลำย เพื่อน ำมำประยุกต์ได้อย่ำงเหมำะสม ๒. กำรหำดิน เมื่อพบตัวตนของตัวเองแล้วว่ำ ต้องกำรมีภำวะผู้น ำแบบไหน ควร พำตัวเองเข้ำไปคลุกคลีกับ ผู้คน กิจกรรม เพื่อให้เข้ำใจถึงพฤติกรรม วิธีกำรให้เกิดควำม เข้ำใจและเข้ำถึงควำมส ำคัญของกำรมีตัวตนในแบบผู้น ำที่ดี ๓. กำรรดน้ ำพรวนดิน คือกำรพัฒนำตัวเอง ฝึกฝน แก้ไข หำข้อดีข้อเสีย ฝึกสร้ำง วิธีกำรใหม่ ๆ เพื่อให้เกิดประสิทธิภำพในกำรท ำงำนรวมถึงน ำมำปรับใช้กับทีมงำนของ ตัวเอง ประเมินผลที่เกิดขึ้น หำกยังไม่ดีพอค่อยหำวิธีใหม่ โดยกำรเพิ่มกำรเรียนรู้เพื่อให้ เกิดองค์ควำมรู้ที่มำกขึ้นรวมถึงควำมกล้ำในกำรริเริ่มและกำรตัดสินในอย่ำงเฉียบขำด ๔. กำรก ำจัดศัตรูพืช ค้นหำข้อด้อยของตัวเอง เพื่อเปลี่ยนเป็นข้อเด่น เช่น เป็น คนขำดควำมมั่นใจในตัวเอง อันเนื่องมำจำกควำมคิดในใจที่เรำสร้ำงขึ้นมำเอง คิดว่ำคน อื่นเก่งกว่ำ ท ำได้ดีกว่ำ ฝึกตัวเองให้มีควำมเชื่อมั่นในตัวเอง ปรับวิธีคิด ควำมรู้ใหม่ ๆ บุคลิกภำพ กำรพูด เพื่อลบข้อด้อยที่เป็นเหมือนอุปสรรคท ำให้ขำดกำรพัฒนำตัวเองได้ น้อยลง ๕. กำรพัฒนำสำยพันธุ์ใหม่ นอกจำกกำรพัฒนำตัวเองให้มีศักยภำพเชิงผู้น ำแล้ว สิ่งส ำคัญจะต้องสำมำรถน ำศักยภำพที่มีตัวเองไปพัฒนำผู้อื่น เช่น ลูกน้อง ทีมงำน ให้มี คุณภำพด้วยเช่นกัน ไม่ว่ำจะเป็นกำรบริหำรพนักงำนในระดับต่ำง ๆ กำรจัดกำรปัญหำให้ ผ่ำนไปด้วยควำมรำบรื่น รวมถึงกำรถ่ำยทอดประสบกำรณ์แก่ผู้น ำสำยพันธุ์ใหม่และกำร ตำมเทรนด์ของโลกให้ทัน เพื่อน ำมำปรับใช้และพัฒนำตัวเองอยู่ตลอดเวลำ
๕๘ ๓.๖ กระบวนการบูรณาการพัฒนาภาวะผู้น า ถ้ำเปรียบเทียบถึงเมล็ดพันธุ ก็หมำยถึงกำรคัดเลือกเล็ดพันธุที่ดี กำรคัดเลือกดิน ที่สมบูรณ์ กำรรดน้ ำพรวนดินและรวมไปถึง กำรก ำจัด "แมลง" ที่เป็นศัตรูพืช สิ่งแรกสุดที่ เรำจะต้องท ำในกำรพัฒนำ ภำวะ ผู้น ำ คือ ๑) กำรหำรูปแบบ (Model) ๒) คลุกคลีกับ สภำพแวดล้อม ผู้น ำ โดยมีกระบวนกำรพัฒนำภำวะผู้น ำ ดังนี้ ๑. ก ำหนดรูปแบบของผู้น ำที่เรำต้องกำร ๒. สภำพแวดล้อมกำรพัฒนำ ภำวะผู้น ำ ๓. กำรฝึกฝนและเรียนรู้อย่ำงสม่ ำเสมอ ๔ รู้วิธีกำรขจัดปัญหำ และอุปสรรค ๕. พัฒนำภำวะ ผู้น ำ และยกระดับอย่ำงต่อเนื่องตลอดเวลำ ๖. พัฒนำวิธีกำรแรงจูงใจในกำรสร้ำงภำวะผู้น ำ ๗. วำงเป้ำหมำยให้ชัดเจน ศักยภำพภำวะผู้น ำ ไม่ได้สำมำรถท ำได้ภำยในชั่วข้ำมคืน แต่ต้องอำศัยกำรพัฒนำ ฝึกฝน ปรับปรุง แก้ไขและเปลี่ยนแปลง อยู่ตลอดเวลำ ขณะที่เรำศึกษำภำวะกำรเป็นผู้น ำ เรำควรจะต้องสังเกตดู จดจ ำ เปลี่ยนแปลง และแก้ไข ให้เป็นในกำรฝึกฝนเรียนรู้ กำรเป็นอยู่ ภำวะผู้น ำ หรือสภำพแวดล้อมใหม่ๆ อุปสรรคในการพัฒนาผู้น า ส่วนมำกแล้วอุปสรรค ภำวะผู้น ำนั้น ไม่ใช่อุปสรรคภำยนอกแต่มักเกิดจำก อุปสรรค ภำยในนั้นคือ ตัวบุคคลผู้น ำนั้นเอง คือ กำรขำดควำมมั่นใจในตัวเอง คนหลำย คนมีศักยภำพในกำรเป็นผู้น ำที่ดีได้แต่มักขำดควำมเชื่อมั่นในตนเอง และ ชอบคิดว่ำคน อื่นดีกว่ำและบำงครั้งก็ไปให้ ควำมสนใจต่อสิ่งแวดล้อมภำยนอกมำกเกินไปคนที่ไม่กล้ำ พูดต่อหน้ำชุมชน เพรำะคิดไปก่อนว่ำ คนฟังจะเก่งกว่ำเรำ หรือกลัวจะพูดผิดบ้ำง กลัวจะ พูดไม่ได้ดีบ้ำง ดังนั้น ศัตรูของกำรพัฒนำศักยภำพผู้น ำที่ส ำคัญคือตัวเรำเอง คือ ควำมคิดที่ คิดกลัวในสิ่งที่บั่นทอน ควำมมั่นใจของเรำนั้นเองคนที่มีภำวะผู้น ำที่ดี มิได้หมำยถึงบุคคล ที่มีลักษณะเป็นผู้น ำเพียงอย่ำงเดียว แต่จะต้องเป็นคนที่มีกำรพัฒนำศักยภำพของตนเอง อยู่ตลอดเวลำ สำมำรถดูแลปกครองระดับล่ำงได้ และต้องพัฒนำตัวเองให้สำมำรถปกครอง ในระดับสูงได้ เช่นกันภำวะผู้น ำจะต้องมีกำรปรับเปลี่ยนให้เข้ำกับสถำนกำรณ์ที่
๕๙ เปลี่ยนแปลงไป ถ้ำผู้น ำตำมโลกทัศน์ไม่ทัน หรือตำมคนที่เป็นผู้ตำมไม่ทัน โอกำสที่ผู้น ำจะ ตกมำเป็นผู้ตำมก็มีสูง กำรพัฒนำตนเองเพื่อเป็นผู้น ำประเภทนี้ เกี่ยวข้องกับทักษะ บุคลิกลักษณะ และ ปัจจัยอื่นอีกหลำยอย่ำง ได้แก่ ๑) จริยธรรม (Ethics) ผู้น ำที่แท้จริง คือผู้น ำที่มีจริยธรรมและไม่เคย ประนีประนอมในควำมถูกผิด ๒) อ ำนำจ (Power) ผู้น ำทุกคนมีอ ำนำจ แต่ผู้น ำที่แท้จริง รู้ว่ำจะใช้อ ำนำจที่ ถูกต้องเพื่อทีมงำนและเป้ำหมำยที่ต้องกำรบรรลุได้อย่ำงไร ผู้น ำที่แท้จริง จะเลือกใช้ อ ำนำจที่เกิดจำกควำมศรัทธำของทีมงำนที่เฝ้ำมองควำมเป็นผู้รู้ (Expert power) ของ ผู้น ำ ผู้น ำที่แท้จริง ใช้อ ำนำจด้วยกำรท ำตัวให้เป็นตัวอย่ำง (Leading by example) เมื่อผู้น ำท ำอย่ำงที่พูด พวกเขำก็จะได้รับควำมเคำรพและควำมชื่นชมจำกทีมงำน ผู้น ำที่ แท้จริง ไม่เพียงแต่รู้ว่ำจะใช้อ ำนำจประเภทไหนในแต่ละสถำนกำรณ์ พวกเขำยังรู้ว่ำ อ ำนำจมำจำกไหนและจะใช้อ ำนำจนั้นอย่ำงไร ๓) กำรสื่อสำร (Communication) ผู้น ำที่แท้จริง เป็นนักสื่อสำรชั้นยอด พวก เขำใช้กลยุทธ์กำรสื่อสำรมำกมำยหลำยอย่ำงในกำรส่งผ่ำนคุณค่ำ สร้ำงแรงบันดำลใจ ออกค ำสั่งที่ชัดเจน ผู้น ำที่แท้จริง มักใช้กำรเล่ำเรื่อง (Storytelling) เป็นเครื่องมือในกำร สื่อสำรเรื่องรำวที่ส ำคัญ กำรเล่ำเรื่องสำมำรถสร้ำงแรงบันดำลใจให้ทีมงำนทุ่มเทตนเพื่อ กำรท ำงำนมำกขึ้น และถ้ำผู้น ำมีศิลปะกำรเล่ำเรื่องที่ดีอำจถึงขั้นท ำให้เรื่องที่เล่ำนั้น กลำยเป็นวิถีปฏิบัติหรือวัฒนธรรมองค์กรก็เป็นได้ กำรสื่อสำรเกี่ยวข้องกับทั้งกำรให้และกำรรับ ผู้น ำที่แท้จริง จะเป็นผู้ฟังผู้อื่น อย่ำงตั้งใจและยอมรับค ำแนะน ำที่ดีๆ ไม่ว่ำค ำแนะน ำนั้นจะมำจำกที่ใดหรือจำกใคร โดย ปกติแล้วเป็นเรื่องยำกที่ผู้น ำจะได้รับข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) ที่เป็นข้อเท็จจริงเพื่อ น ำมำใช้ในกำรปรับปรุงงำน ส่วนมำกข้อมูลที่ได้มักเป็นข้อมูลประจบประแจง แต่ผู้น ำ ที่แท้จริง จะท ำงำนอย่ำงหนักเพื่อสร้ำงวัฒนธรรมกำรสื่อสำรแบบเปิดให้ทีมงำนเต็มใจที่ จะเล่ำข้อเท็จจริงเช่นนั้นให้ทรำบ ๔) องค์กร (The Organization) เรำอำจจะเคยเห็นผู้น ำที่คิดถึงแต่ตัวเองแทนที่ คิดถึงองค์กรและทีมงำนหรือผู้ตำมของเขำ แต่ผู้น ำที่แท้จริง ไม่เคยลืมว่ำพวกเขำมีภำระ ควำมรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ พวกเขำให้ควำมส ำคัญกับคนและองค์กรของเขำเป็นล ำดับ
๖๐ แรก เป้ำหมำยของผู้น ำควรสอดคล้องกับเป้ำหมำยขององค์กร เพรำะหำกเป้ำหมำย ทั้งสองไม่สอดคล้องกัน กำรให้ควำมส ำคัญกับเป้ำหมำยขององค์กรจะถูกลิดรอนออกไป ผลที่ตำมมำคือควำมสั่นคลอนของควำมเชื่อถือ ผู้น ำที่แท้จริง รู้ว่ำอะไรที่เป็นตัวขับเคลื่อนองค์กรและทีมงำนของเขำ ซึ่งท ำให้ เขำรู้ได้ทันทีว่ำมีอะไรที่ผิดพลำดถ้ำองค์กรหรือทีมงำนท ำงำนไม่ได้ตำมที่คำดหวัง คุณ พร้อมที่จะพัฒนำตนเองให้เป็นผู้น ำที่แท้จริงแล้วหรือยัง๑๙ สรุปได้ว่ำ ผู้น ำอำจจะเป็นบุคคลที่มีต ำแหน่งอย่ำงเป็นทำงกำรหรือไม่เป็นทำงกำร ก็ได้ ซึ่งเรำมักจะรับรู้เกี่ยวกับผู้น ำที่ไม่เป็นทำงกำรอยู่เสมอ เนื่องจำกบุคคลนั้นมีลักษณะ เด่นเป็นที่ยอมรับของสมำชิกในกลุ่ม ท ำให้สมำชิกแสดงพฤติกรรมที่มีน้ ำหนักและเป็น เอกภำพ โดยเขำจะใช้ภำวะผู้น ำในกำรปฏิบัติกำรและอ ำนวยกำรโดยใช้กระบวนกำร ติดต่อสัมพันธ์กัน เพื่อมุ่งบรรลุเป้ำหมำยของกลุ่ม ๓.๗ สรุป สรุปวิเครำะห์ภำวะผู้น ำที่มีประสิทธิผล คือสิ่งส ำคัญในกำรขับเคลื่อนประเทศชำติ องค์กำรหรือธุรกิจไปสู่ควำมส ำเร็จ กำรไร้สภำพของภำวะผู้น ำส่งผลกระทบต่อองค์กำร ในหลำย ๆ ด้ำน เช ่น กำรไร้ทิศทำงเพื ่อมุ ่งสู ่กำรปฏิบัติตำมพันธกิจและกำรบรรลุ วิสัยทัศน์ งำนวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกำรบริหำรองค์กำรส่วนมำก ให้ควำมส ำคัญต่อกำร ตัดสินใจต่อสภำพแวดล้อมทั้งภำยในและภำยนอกขององค์กำร เพรำะเชื่อว่ำกำรตัดสินใจ ที่ถูกต้องเหมำะสม และถูกเวลำจะท ำให้องค์กำรขับเคลื่อนไปสู่ควำมส ำเร็จ ถึงอย่ำงไรก็ ตำมกำรตัดสินใจโดยล ำพังไม่สำมำรถเปลี่ยนแปลงองค์กำรได้ เพรำะหลังจำกที่มี กำรตัดสินใจแล้ว องค์กำรยังต้องเผชิญหน้ำกับปัญหำของกำรน ำเอำกำรตัดสินใจไปสู่ กำรปฏิบัติ ในขั้นตอนนี้เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ว่ำ ผู้น ำจะใช้อ ำนำจในกำรโน้มน้ำว พฤติกรรม เพื่อปรับเปลี่ยนสถำนกำรณ์และเอำชนะแรงต่อต้ำนที่มีในองค์กำรได้ ดังนั้น ภำวะผู้น ำหรือควำมเป็นผู้จึงมีควำมส ำคัญต่อกำรน ำเอำกำรตัดสินไปปฏิบัติให้ประสบ ควำมส ำเร็จ ๑๙พระธรรมปิฎก. (ป.อ. ปยุตโต), ภาวะผู้น า: ความส าคัญต่อการพัฒนาคนพัฒนาประเทศ, (กรุงเทพมหำนคร: ส ำนักพิมพ์ธรรมสภำ, ๒๕๕๔), หน้ำ ๒๐-๒๑.
๖ ในองค์กำรผู้บริหำรหรือผู้น ำจะน ำพำองค์กำรไปสู่เป้ำหมำยที่วำงไว้ได้ขึ้นอยู่กับ ภำวะผู้น ำของผู้บริหำรหรือผู้น ำ กำรด ำเนินกิจกรรมหรือกำรเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในสังคม เกิดจำกกำรที่สมำชิกคนใดคนหนึ่งใช้อิทธิพลหรืออ ำนำจที่มีอยู่จูงใจให้สมำชิกภำยในกลุ่ม คล้อยตำม เพื่อปฏิบัติกิจกรรมให้บรรลุเป้ำหมำยร่วมกัน พลังของกลุ่มจะท ำงำนส ำเร็จ ได้มำกน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับควำมสำมำรถของผู้น ำกลุ่มที่จะท ำให้สมำชิกซึ่งเป็นผู้ ตำมในขณะนั้นเกิดควำมศรัทธำยอมรับ และพร้อมที่จะร่วมปฏิบัติกิจกรรมต่ำง ๆ ให้ ส ำเร็จได้ กำรด ำเนินงำนเพื่อบรรลุเป้ำหมำยต้องอำศัยภำวะผู้น ำ ในกำรโน้มน้ำวบุคลำกร หรือกลุ่มในองค์กำรให้ท ำงำนร่วมกันเพื่อบรรลุเป้ำหมำยขององค์กำร ซึ่งบุคคลที่ใช้ ควำมสำมำรถนี้ก็คือ ผู้น ำที่ต้องมีทักษะทำงด้ำนมนุษยสัมพันธ์เป็นอย่ำงดี เพื่อท ำให้ บุคลำกรท ำงำนร่วมกันได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ ดังนั้นทักษะทำงด้ำนมนุษยสัมพันธ์จึงมี ควำมส ำคัญต่อกำรพัฒนำควำมเป็นผู้น ำองค์กำร ซึ่งสอดคล้องกับกำรวิจัยของปำรณีย์ เปี้ยทำ, สุทธิพงษ์ศรีวิชัย, และระวิง เรืองสังข์ในหัวข้อว่ำพุทธบูรณำกำรกำรบริหำรสถำนศึกษำสู่ องค์กรสมรรถนะสูง ส ำหรับ สถำนศึกษำ สังกัดส ำนักงำนเขตพื้นที่กำรศึกษำประถมศึกษำ* ผลกำรวิจัยศึกษำหลักธรรม และกำรบูรณำกำรกำรบริหำรสถำนศึกษำสู่องค์กรสมรรถนะสูง ส ำหรับสถำนศึกษำ สังกัดส ำนักงำนเขตพื้นที่กำรศึกษำประถมศึกษำ พบว่ำ . หลักพุทธธรรมส ำหรับกำร บริหำรสถำนศึกษำ ใช้หลักอปริหำนิยธรรม ๗ มำบูรณำกำรใน กำรบริหำรสถำนศึกษำ ได้แก่ ) หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ ๒) พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิก ประชุม ๓) ไม่ตั้งกฎระเบียบที่ขัดต่อระเบียบเดิม ๔) มีควำมเคำรพนับถือต่อผู้บังคับบัญชำ ๕) ให้ควำมเคำรพ ต่อเพศสตรี ๖) ให้ควำมเคำรพต่อสถำนที่ ๗) ให้ควำมดูแลเอำใจใส่ต่อ ท่ำนผู้มำเยือน โดยบูรณำกำรหลักธรรมเข้ำกับกำรบริหำรงำน ๔ ฝ่ำย ได้แก่ . กำร บริหำรงำนวิชำกำร ใช้หลักธรรมสัปปุริสธรรม ๗ กล่ำวคือเป็นหลักธรรมที่สำมำรถพัฒนำ มนุษย์ ได้แก่ ) ธัมมัญญุตำ รู้จักหลักกำร รู้จักเหตุผล ๒) อัตถัญญุตำ รู้ควำมมุ่งหมำย และรู้จักผล ๓) อัตตัญญุตำ รู้จักตนตำมควำมเป็นจริง ๔) มัตตัญญุตำ กำรรู้จักประมำณ ในกำรบริโภค กำรใช้จ่ำย ทรัพย์สิน ๕) กำลัญญุตำ รู้กำลเวลำอันสมควร ๖) ปริสัญญุตำ กำรรู้จักชุมชน สังคม ๗) ปุคคลัญญุตำ กำรรู้บุคคล และเข้ำใจควำมแตกต่ำงของบุคคล ๒. กำรบริหำรงำนแผนงำนและงบประมำณ ใช้หลักธรรมสุจริต ๓ กล่ำวคือเน้นในเรื่อง ของกำร โปร่งใสในกำรบริหำรปรำศจำกกำรทุจริตคดโกง มีสินบน ได้แก่ ) กำยสุจริต ๒) วจีสุจริต ๓) มโนสุจริต ๓. กำรบริหำรงำนบุคคล ใช้หลักธรรมอคติ ๔ กล่ำวคือกำรท ำ
๖๒ อะไรมักจะคิดถึงประโยชน์ของ ตนเองหรือพวกพ้องก่อนเสมอ ท ำให้เกิดควำมล ำเอียงขึ้น ได้แก่ . ฉันทำคติ ๒. โทสำคติ ๓. ภยำคติ๔. โมหำคติ๔. กำรบริหำรงำนทั่วไป ใช้หลักธรรมสังคหวัตถุ ๔ กล่ำวคือเป็นหลักธรรมที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว จิตใจบุคคล และเป็นกำรช่วยเหลือกัน ได้แก่ . ทำน ๒. ปิยวำจำ ๓. อัตถจริยำ ๔. สมำนัตตตำ ๒. กำรบูรณำกำรกำรบริหำรสถำนศึกษำสู่องค์กรสมรรถนะสูง ส ำหรับสถำนศึกษำใช้ กำร บริหำรแบบจตุรภำคของเคน วิลเบอร์ (Ken Wilber) มี ๔ ด้ำนด้วยกัน ได้แก่ ) จิต (I) คือ กำรเข้ำใจ กำรตระหนัก กำรมีควำมรู้สึกรับรู้ ๒) พฤติกรรม (IT) คือ กำรหำควำมรู้/ ปฏิบัติเอง กำรค้นคว้ำ กำรวำงแผน ในกำรท ำงำน ให้ควำมร่วมมือที่ดีกับเพื่อนร่วมงำน ๓) วัฒนธรรม (WE) คือ ควำมร่วมมือของคนในครอบครัว ท้องถิ่น ชุมชน ร่วมอนุรักษ์ วัฒนธรรม ประเพณีอันดีงำมให้คงไว้ ๔) เศรษฐกิจและสังคม (ITS) คือ ทันต่อกำร เปลี่ยนแปลงทำงเศรษฐกิจและสังคม ทันต่อควำมก้ำวหน้ำทำงเทคโนโลยีผลกำรตรวจสอบ แนวทำงพุทธบูรณำกำรกำรบริหำรสถำนศึกษำสู่องค์กรสมรรถนะสูง ดังนั้นภำวะผู้น ำเป็นกำรใช้อิทธิพลที่มีอยู่ตำมต ำแหน่งหน้ำที่ ตำมอ ำนำจที่มีอยู่ ในกำรสร้ำงสรรค์ สร้ำงศรัทธำ รวมถึงควำมร่วมมือร่วมใจให้เกิดขึ้นระหว่ำงผู้ร่วมงำน เพื่อให้ปฏิบัติงำนไปในทิศทำงที่ผู้บริหำรต้องกำรเพื่อให้บรรลุเป้ำหมำยหรือวัตถุประสงค์ ขององค์กำร นอกจำกนี้ผู้น ำยังมีควำมส ำคัญต่อกำรขับเคลื่อนองค์กำรไปสู่ควำมส ำเร็จ ดังนั้นทุกองค์กำรจึงต้องกำรผู้น ำที่มีประสิทธิภำพคือ มีภำวะควำมเป็นผู้น ำสูง
๖๓ ๓.๘ เอกสารอ้างอิงประจ าบท กมล รักสวน. “ควำมพึงพอใจในกำรท ำงำนของอำจำรย์ในมหำวิทยำลัย”. วิทยานิพนธ์ ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต. บัณฑิตวิทยำลัย: จุฬำลงกรณมหำวิทยำลัย, ๒๕๕๔. กัณฑ์กณัฐ สุวรรณรัชภูม์และคณะ. ภาวะผู้น ากลยุทธ์ : รูปแบบของผู้น ายุคใหม่. กรุงเทพมหำนคร: ปัญญำชน, ๒๕๖๔. ชัยเสฏฐ์ พรหมศรี. ภาวะผู้น าร่วมสมัย. กรุงเทพมหำนคร: ปัญญำชน, ๒๕๕๗. ดวงตำ รำชอำษำ. “บทบำทของผู้น ำในกระบวนทัศน์ใหม่”. วารสารวิชาการแพรวา กำฬสินธุ์ มหำวิทยำลัยกำฬสินธุ์. ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๒ พฤษภำคม - สิงหำคม ๒๕๕๙. ธงชัย สันติวงษ์. องค์กรและการบริหารการศึกษาการจัดการแผนใหม่. กรุงเทพมหำนคร: ไทยวัฒนำพำนิช, ๒๕๕๙. บรรจบ บรรณรุจิ. “ภำวะผู้น ำเชิงพุทธของผู้บริหำรสถำนศึกษำ”. วารสารครุศาสตร์ ปริทรรศน์ฯ – ๖๐. ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๒ พฤษภำคม-สิงหำคม ๒๕๕๙. พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต). ภาวะผู้น า: ความส าคัญต่อการพัฒนาคนพัฒนาประเทศ. กรุงเทพมหำนคร: ส ำนักพิมพ์ธรรมสภำ, ๒๕๔๖. พระธรรมโกศำจำรย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต). พุทธวิธีบริหาร. กรุงเทพมหำนคร: โรงพิมพ์ มหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย, ๒๕๔๙. พยอม วงศ์สำรศรี. องค์การและการจัดการ. กรุงเทพมหำนคร: สุภำ, ๒๕๕๒. รำชบัณฑิตยสถำน. ศัพท์ศึกษาศาสตร์. กรุงเทพมหำนคร: อรุณกำรพิมพ์, ๒๕๕๕. วิเชียร วิทยอุดม. ภาวะผู้น า. พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพมหำนคร: ธีระฟิล์มและไซเท็กซ์, ๒๕๕๐. วิโรจน์ สำรรัตนะ. การบริหารหลักการทฤษฎีและประเด็นทางการศึกษา. กรุงเทพมหำนคร: ทิพยวิสุทธิ์, ๒๕๕๒. สมบูรณ์ สุขส ำรำญ. พุทธศำสนำกับกำรเมือง. วารสารสังคมศาสตร์. (ตุลำคม-ธันวำคม ๒๕๔๓): ๒๕๕๓. สัมมำ รธนิธย์. หลักทฤษฎีและปฏิบัติการบริหารการศึกษา. พิมพ์ครั้งที ่ ๒. กรุงเทพมหำนคร: ข้ำวฟ่ำง, ๒๕๕๓.
๖๔ Burrow, J. Jleindl, B. & Everard, K.E. Business: principles and management. 12th ed., (Mason, OH: Thomson, 2008), p. 29. อ้ำงใน ชัยเสฏฐ์ พรหมศรี, ภำวะผู้น ำร่วมสมัย, หน้ำ ๑๔. Elliott, Stephen N.; et al. Educational Psychology: Effective Teaching. Effective Learning. 3rd. ed. Boston: Mc-Graw Hill. 2000. Feldman, Harriet R.& Others. Nursing Leadership. New York: Springer. 2008. Fulmer, R., Stumpf, S., & Bleak, J. The strategic development of high potential leaders. Strategy & Leadership, 37(3), 17-22. 2009. Locke, H., & Dearden, P. 2005; Thomas, & Ely. 1996; Mills 2005; Eddy. & Van Der Linden, 2006.
บทที่ ๔ คุณลักษณะผู้น ำตำมหลักพระพุทธศำสนำ ********* ๔.๑ ควำมน ำ พระพุทธศาสนามุ่งขัดเกลาอบรมบุคลากรหรือสมาชิกในขององค์การให้มีความ พร้อมอยู่เสมอ และพร้อมที่จะท างานเพื่ออุทิศตน และมีความเสียสละประโยชน์สุข ให้แก่มหาชน เหมือนกับพระพุทธองค์ และเหล่าพระอรหันตสาวกที่เสียสละประโยชน์ สุขส่วนตนเพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนมากนี้เป็นคุณลักษณะเด่นของผู้น าตามหลัก พระพุทธศาสนา แม้ว่าภาวะผู้น าเป็นสิ่งที่ท าได้ยากยิ่ง แต่ก็จ าเป็นจะต้องมีกระบวนการฝึกฝน อบรมขัดเกลาเพื่อสร้างพระสงฆ์ให้ตระหนักถึงภาวะผู้น าของตนเอง อันจะน าความสุข ไปสู่ประชาชนที่ให้การอุปถัมภ์ดูแลพระพุทธศาสนา และท าให้พระพุทธศาสนาสถิต มั่นคงชั่วกาลนาน ดังนั้น เพื่อให้เข้าใจในภาวะผู้น าในพระพุทธศาสนา แนวคิดเกี่ยวกับ ภาวะ เป็นแนวคิดที่มีความส าคัญอย่างยิ่งในการบริหารงาน เพราะบรรดาปัจจัยต่าง ๆ ในการบริหารงานซึ่งประกอบด้วย คน เงิน วัสดุ อุปกรณ์ ตลอดจนการจัดการต่าง ๆ นั้น ปัจจัยคนนับว่าเป็นองค์ประกอบที่ส าคัญที่สุด เพราะคนเป็นผู้ท าให้ทุกอย่างเกิดขึ้น ไม่ ว่าจะเป็นการบริหารงานหรือการจัดการใด ๆ ก็ตาม คนเป็นผู้จัดการงานซึ่งรวมถึงการ ริเริ่มการวางแผนการบริหารการก ากับการตลอดถึงการด าเนินการและคอยปรับปรุงงาน อย่างไรก็ตาม ในการบริหารงานต่าง ๆ นั้น ความส าคัญทั้งปวงที่จะพึงเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความส าเร็จในส่วนที่เกี่ยวกับปัจจัยคนนั้น เป็นปัจจัยที่ส าคัญอย่าง ยิ่งยวดต่อการน าไปสู่ผลส าเร็จในการบริหารงาน เพราะผู้น าเป็นศูนย์รวมแห่งการรวม พลังของบุคคลในองค์กรเป็นแกนกลางที่จะใช้อ านาจหรืออิทธิพลในอันที่จะปฏิบัติการ เพื่อให้เกิดความร่วมมือประสานงานกัน เพื่อที่จะท าให้งานบรรลุวัตถุประสงค์ด้วยดี ทั้งนี้คุณภาพ และภาวะผู้น าย่อมมีส่วนส าคัญ และมีความใกล้ชิดกับคุณภาพของสถาบัน และมีผลสะท้อนต่อผลงาน ตลอดจนวิธีปฏิบัติงานขององค์การแต่ละแห่งเป็นอย่างมาก ผู้น าจึงเปรียบเสมือนหนึ่งแกนกลางหรือหลักชัยในอันที่จะให้การด าเนินงานของผู้ตาม
๖๖ ตลอดจนผลงานส่วนรวมขององค์การก้าวไปสู่ความส าเร็จตามเป้าหมายไปได้ด้วยดี๑ ตามรายละเอียด ดังนี้ ๔.๑ ความน า ๔.๒ ความส าคัญของผู้น าตามหลักพระพุทธศาสนา ๔.๓ คุณลักษณะของผู้น าที่ดีตามแนวพุทธ ๔.๔ คุณลักษณะผู้น ากับการเปลี่ยนในยุคโลกาภิวัตน์ ๔.๕ คุณลักษณะผู้น ากับธรรมหลักสังคหวัตถุ ๔ ๔.๖ คุณลักษณะผู้น ากับประโยชน์ของสังคหวัตถุ ๔ ๔.๗ สรุป ๔.๒ ควำมส ำคัญของผู้น ำตำมหลักพระพุทธศำสนำ ความส าคัญของผู้น าตามหลักพระพุทธศาสนา เป็นคุณสมบัติส่วนตัวของ ผู้น า การที่ผู้น าขององค์การให้อิทธิพลต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใต้บังคับบัญชาร่วมมือกันปฏิบัติ หน้าที่ให้บรรลุถึงจุดประสงค์ขององค์การ อิทธิพลดังกล่าวอาจเป็นไปได้ทั้งในทางบวก และทางลบภาวะผู้น า หมายถึง ผู้มีความรู้ ความสามารถในการชักน าให้ผู้อื่นหรือผู้ ปฏิบัติตามท างานด้วยความเต็มใจ กระตือรือร้น เพื่อความส าเร็จตามเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ ภาวะผู้น ามีหลายมิติ ทั้งในองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน และในกองทัพ ส าหรับภาวะผู้น า ตามหลักพระพุทธศาสนานั้น ในพระไตรปิฎกได้กล่าวถึง และให้รายละเอียดความ เป็นมาของภาวะผู้น าอยู่มาก แต่ไม่ได้ระบุโดยตรง แต่สามารถจับประเด็นแนวคิด เกี่ยวกับภาวะผู้น าตามแนวพระพุทธศาสนาที่จัดประเภทผู้น าในพระพุทธศาสนา ที่กล่าว ประเภทพระราชาเป็นชนชั้นปกครองไว้ ๒ ประเภท คือ ๑. ธรรมราชา (Leader) หมายถึง ผู้น าหรือนักปกครองที่ทรงธรรม มีการใช้ หลัก ธรรมาภิบาลเป็นนโยบายในการปกครองประเทศ ท าให้อาณาประชาราษฎร์มี ความอยู่ดีกินดีมีความสุข ประเทศมีความสงบร่มเย็น หลักธรรมที่ถูกน าไปใช้ในปกครอง เช่น ทศพิธราชธรรม อคติ ๔ จักรวัตติธรรม ๒. เทวราชา (Boss) หมายถึง การยกย่อง นับถือพระราชาเทียบเทพเจ้าผู้มีศักดิ์ ใหญ่ หรือ สมมติให้เป็นเทวดา อันเนื่องมาจากการถูกครอบง า หรือพัฒนาการแนวคิด ลักษณะส าคัญของเทวราชาจากพราหมณ์ คือ มีอ านาจเบ็ดเสร็จ มีอ านาจยิ่งใหญ่ในการ ๑ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), ภำวะผู้น ำควำมส ำคัญต่อกำรพัฒนำคนพัฒนำประเทศ, (กรุงเทพมหานคร: ธรรมสภา, ๒๕๔๖), หน้า ๒๐.
๖๗ ดูแลประเทศ ปราบปรามเหตุการณ์ให้อยู่ในความสงบ ถ้าปกครองโดยธรรม ประเทศ ย่อมสงบสุข แต่ถ้าหลงระเริงในอ านาจ ย่อมท าให้ประเทศชาติเดือนร้อน๒ พระธรรมโกศำจำรย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) ได้กล่าวไว้ว่า นักบริหารจะท า หน้าที่ส าเร็จลุล่วงไปด้วยดี ถ้ามีคุณลักษณะ ๓ ประการ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ทุติย ปาปณิกสูตร๓ ดังนี้ ๑. จกฺขุมา หมายถึง มีปัญญามองการณ์ไกล เช่น ถ้าเป็นพ่อค้า หรือนัก บริหารธุรกิจนั้นจะต้องรู้ว่าสินค้าไหนได้ราคาถูก แล้วน าไปขายที่ไหนจะได้ราคาแพง ใน สมัยนี้ต้องรู้ว่าหุ้นจะขึ้นหรือจะตก ถ้าเป็นนักบริหารทั่วไป ต้องสามารถวางแผน และ ฉลาดในการใช้คน คุณลักษณะข้อแรกนี้ ตรงกับภาษาอังกฤษ ว่า Conceptual Skill คือ ความช านาญในการใช้ความคิด ๒. วิธูโร หมายถึง การจัดธุระได้ดี มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น พ่อค้า เพชร ต้องดูออกว่าเป็นเพชรแท้หรือเพชรเทียม แพทย์หัวหน้าคณะผ่าตัด ต้องเชี่ยวชาญ การผ่าตัด คุณลักษณะทั้งสองนี้ตรงกับค าว่า Technical Skill คือ ความช านาญด้าน เทคนิค ๓. นิสฺสยสมฺปนฺโน หมายถึง พึ่งพาอาศัยคนอื่นได้ เพราะเป็นคนมีมนุษย สัมพันธ์ดี เช่น พ่อค้าเดินทางไปค้าขายต่างเมืองก็มีเพื่อนพ่อค้าในเมืองนั้น ๆ ให้ที่พัก อาศัยอาศัย หรือให้กู้ยืมเงินเพราะมีเครดิตดี นักบริหารที่ดีต้องผูกใจคนไว้ได้ คุณลักษณะที่สามนี้ส าคัญมาก“นกไม่มีขน คนไม่มีเพื่อน ขึ้นสู่ที่สูงไม่ได้” ข้อนี้ตรงกับค า ว่า Human Relation Skill คือ ความช านาญด้านมนุษย์สัมพันธ์ พระพรหมคุณำภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้เสนอคุณสมบัติอีก ๕ ประการคือ ๑. ผู้น าจะต้องมีคุณสมบัติภายในตนเอง เป็นจุดเริ่ม และเป็นแกนกลางไว้ ๒. ผู้ตามโยงด้วยคุณสมบัติที่สัมพันธ์กับผู้ตาม ๓. จุดหมาย โยงด้วยคุณสมบัติที่สัมพันธ์กับจุดหมาย ๔. หลักการ และวิธีการ โยงด้วยคุณสมบัติที่สัมพันธ์กับหลักการ และวิธีการที่ จะท าให้ส าเร็จผลบรรลุจุดหมาย ๒ สุรศักดิ์ ม่วงทอง, “พุทธธรรมกับภาวะผู้น าที่พึงประสงค์ ศึกษาเฉพาะกรณีก านัน ผู้ใหญ่บ้านจังหวัดนครศรีธรรมราช”, วิทยำนิพนธ์อักษรศำสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๕๓), หน้า ๒๑.๓ พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต), พุทธวิธีในกำรบริหำร, (กรุงเทพมหานคร: โรง พิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๙), หน้า ๓๘ – ๓๙.
๖๘ ๕. สถานการณ์ โดยด้วยคุณสมบัติที่สัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม หรือสิ่งที่จะ ประสบ ซึ่งอยู่ภายนอกข้อความที่กล่าวมาเป็นองค์ประกอบส าคัญที่เกี่ยวข้องกับผู้น าที่ ต้องพัฒนาตนเองให้ถึงพร้อม๔ และได้ให้แนวคิด และความหมายไว้ว่า ภาวะผู้น า คือ คุณสมบัติพิเศษ เช่น สติปัญญา ความดีงาม ความรู้ความสามารถของบุคคลที่ชักน าให้คนทั้งหลายมา ประสานกัน และพากันไปสู่จุดหมายที่ดีงาม และกล่าวถึงคุณลักษณะของภาวะผู้น าไว้ ดังนี้๕ ๑. เป็นความสามารถที่จะมีอิทธิพลเหนือผู้อื่นในด้านการกระท าตามที่ผู้น า ต้องการสามารถ จูงใจบุคคลอื่นให้กระท ากิจกรรมที่ช่วยให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ ได้ ๒. เป็นกระบวนการความเป็นผู้น าจากการใช้อิทธิพลที่จะควบคุม ประสานงาน กิจกรรม ของสมาชิกกลุ่มให้บรรลุเป้าหมาย ๓. เป็นลักษณะความสัมพันธ์ทางอ านาจอย่างหนึ่งของผู้น าจนได้รับการยอมรับ นับถือพฤติกรรมของเขาจากสมาชิกกลุ่ม และกลุ่มอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๔. อิทธิพลในตัวของผู้น าที่น ามาใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ โดยการชี้แนะผ่าน กระบวนสื่อสารเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ๕. การกระท าร่วมกันระหว่างบุคคลโดยมีบุคคลหนึ่งท าหน้าที่ในการชี้น าการ กระท าดังกล่าวท าให้บุคคลอื่น ๆ เชื่อมั่นในผลงานของเขา ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้จาก ลักษณะการแสดงออก ในการชี้แนะตามที่เขาได้แนะน าไว้ ๖. ความคิดริเริ่ม และการรักษาสภาพของความเชื่อถือ ในการปฏิบัติการ ร่วมกัน ๗. การที่บุคคลที่มีอิทธิพลมากท าให้เกิดการยอมรับเกี่ยวกับการบริหารงานใน องค์การ ๘. เป็นกระบวนการในการใช้อิทธิพลที่มีต่อการด าเนินงานของกลุ่มให้บรรลุ วัตถุประสงค์ขององค์การ และมีการจูงใจให้เกิดพฤติกรรมในการท างาน เพื่อให้บรรลุ วัตถุประสงค์ตลอดจนใช้อิทธิพลให้กลุ่มธ ารงไว้ซึ่งวัฒนธรรมของตน ๔ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), ภำวะผู้น ำควำมส ำคัญต่อกำรพัฒนำคนพัฒนำ ประเทศ, (กรุงเทพมหานคร: ส านักพิมพ์ธรรมสภา, ๒๕๕๖), หน้า ๔ - ๑๓.๕ ดูรายละเอียดใน, องฺ.เอกก. (ไทย) ๒๐/๒๐/๑๖๔.
๖๙ สรุปว่า ความส าคัญของผู้น าตามหลักพระพุทธศาสนา หมายถึง คุณลักษณะ ความดี ความงาม อันประกอบไปด้วย คุณธรรมทางพระพุทธศาสนา เพื่อส่งเสริม คุณลักษณะภาวะผู้น าของผู้บริหารที่ดี ๔.๓ คุณลักษณะของผู้น ำที่ดีตำมแนวพุทธ คุณลักษณะของผู้น าที่ดีตามแนวพุทธ หมายถึง การศึกษาเรื่องคุณลักษณะของ ผู้น าที่ดีที่ด าเนินกิจกรรมทุกอย่างอย่างเป็นธัมมิกธรรมทั้ง อัตตหิตประโยชน์ และปรหิต ประโยชน์ในที่นี้จะมุ่งไปที่คุณลักษณะของผู้น าตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ที่ท่านได้แสดงไว้มาหลักในการพิจารณา มีสาระส าคัญพอสรุปได้ ดังนี้ ๑. ผู้น าที่ดีพึงยึดหลักพรหมวิหาร ๔ ได้แก่ ในทางปฏิบัติเพื่อให้ผู้น าสามารถ ประสานงาน ประสานคนได้อย่างมีดุลยภาพ ท าให้สามารถด าเนินกิจการงานได้อย่างมี ประสิทธิภาพ และบรรลุผลส าเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ ๒. ผู้น าที่ดีพึงยึดหลักธรรมาธิปไตย ได้แก่ ความไม่มีอคติ เป็นผู้มีความยุติธรรม เที่ยงตรงในการด าเนินกิจการงานเพื่อประโยชน์สุขแก่มวลชน สังคม และประเทศชาติ อย่างยั่งยืนตลอดไป ๓. ผู้น าที่ดีพึงยึดธรรมของสัตตบุรุษ คือ สัปปุริสธรรม ๗ อันเป็นธรรมที่มี คุณสมบัติครบถ้วนแห่งการมีคุณสมบัติของการเป็นผู้น าที่ดีพร้อมทุกประการ คือ รู้หลักการ รู้จุดหมาย รู้ตน รู้ประมาณ รู้กาล รู้ชุมชน และรู้บุคคล ผู้น าที่ยึดตามหลักสัปปุริสธรรม ๗ ประการ ย่อมเป็นผู้น าที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล รู้เป้าหมายการท างานอย่างชัดเจน รู้การพัฒนาตนเองอย่างสม่ าเสมอ รู้ความพอเหมาะ พอดี ในการด าเนินกิจกรรมทุกอย่างอย่างเหมาะสม รู้จักการประสานงานกับบุคคล ต่าง ๆ อย่างถูกต้อง รู้การวางแผนงานให้เหมาะสมกับสถานการณ์โลก มีคุณธรรม จริยธรรมในการท างานเพื่อประโยชน์สุขของมวลชน สังคม และประเทศชาติตลอดไป นอกจากนี้ พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) ได้กล่าวถึง การเป็นผู้น าที่ ดีตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนาไว้ ๕ ประการ มีสาระส าคัญพอสรุปได้ ดังนี้ ๑. ผู้น าที่ดีพึงมีคุณลักษณะ ๓ ประการ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในทุติยปาปณิก สูตร คือ (๑) จักขุมา เป็นผู้มีปัญญามองการณ์ไกล (๒) วิธูโร เป็นผู้รอบรู้ในการจัดการ กิจการงานทุกอย่างอย่างถูกต้อง และ (๓) นิสสยสัมปันโน คือ เป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี คุณสมบัติทั้ง ๓ ข้อนี้ย่อมท าให้ผู้น าสามารถด าเนินกิจการงานทุกอย่างได้อย่างมี ประสิทธิภาพเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
๗๐ ๒. ผู้น าที่ดีพึงยึดหลักธรรมาธิปไตย เพื่อมุ่งบ าเพ็ญประโยชน์สุขให้เกิดแก่ มวลชน สังคม ประเทศชาติอย่างมั่นคงและยั่งยืนตลอดไป ๓. ผู้น าที่ดีพึงยึดหลักพละ ๔ คือ (๑) ปัญญาพละ เพื่อให้เกิดการพัฒนาปัญญา ให้รอบรู้ในทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านตน ด้านคน และด้านงานอย่างถูกต้องในการปฏิบัติงาน (๒) วิริยพละ เพื่อให้เกิดความมุ่งมั่นพากเพียร ไม่ท้อถอยในกิจการงานทุกอย่าง เพื่อให้ สามารถท ากิจการงานให้บรรลุผลส าเร็จตามเป้าหมายได้ (๓) อนวัชชพละ เพื่อให้สามารถ ปฏิบัติงานในหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลักส าคัญ ในการท างาน และ (๔) สังคหพละ เพื่อให้เป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อบุคคลทั้งหลาย ท าให้เกิดการประสานงานที่ดีในทุก ๆ ฝ่าย ฉะนั้น ผู้น าที่ดีพึงยึดหลักพละ ๔ ในการ ปฏิบัติตนเพื่อให้สามารถด าเนินกิจการงานทุกอย่างให้บรรลุผลส าเร็จตามเป้าหมาย เพื่อประโยชน์สุขแห่งมวลชน สังคม และประเทศชาติอย่างมั่นคง ยั่งยืน ตลอดไป ๔. ผู้น าที่ดีพึงยึดหลักพรหมวิหาร ๔ เพื่อให้เกิดมนุษยสัมพันธ์ที่ดีในการด าเนิน กิจการทุกอย่างให้บรรลุผลส าเร็จตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ ๕. ผู้น าที่ดีพึงยึดหลักสังคหวัตถุ ๔ เพื่อให้เกิดมนุษยสัมพันธ์ที่ดีในการ ประสานงานกับบุคคลทั้งหลายให้กิจการงานทุกอย่างบรรลุผลส าเร็จตามเป้าหมายที่ได้ วางไว้ กล่าวโดยสรุปได้ว่า คุณลักษณะของผู้น าที่ดีตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนา คือ ผู้น าที่รู้จักน้อมน าหลักธรรมข้อที่ว่าด้วย พรหมวิหาร ๔ สัปปุริสธรรม ๗ พละ ๔ สังคหวัตถุ ๔ และหลักธรรมาธิปไตย มาเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติเพื่อเป็น แบบอย่างที่ดีของคนในองค์กร เป็นคุณลักษณะส าคัญของการปฏิบัติหน้าที่ของตน เพื่อให้กิจการงานทุกอย่างบรรลุผลส าเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยมุ่งที่จะให้เกิด ประโยชน์สุขแก่มวลชน สังคม และประเทศชาติอย่างมั่นคง และยั่งยืน ตลอดไป ๔.๔ คุณลักษณะผู้น ำกับกำรเปลี่ยนในยุคโลกำภิวัตน์ ในภาวะสังคมยุคปัจจุบันย่อมมีปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการเจริญขึ้น และเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ผู้น าจึงควรเป็นผู้มีวิสัยทัศน์คิดกว้างมองไกล และใส่ ใจต่อการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพื่อพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แม้หลักธรรมค า สอนของพระพุทธเจ้าจะมีความเป็น อกาลิโก คือ ไม่เป็นไปตามกาล กล่าวคือ กาลเวลา จะเปลี่ยนไปอย่างไรธรรมะก็ยังคงเข้ากันได้กับทุกยุคสมัย ผู้น าที่ดีพึงก าหนดรู้วิธีที่จะ น้อมน าไปปฏิบัติให้เหมาะสมกับตนและเหมาะสมกับงาน ดังนี้
๗๑ ๑. ก าหนดมาตรฐานผู้น าที่พึงประสงค์ ในการก าหนดมาตรฐานผู้น าที่พึง ประสงค์ได้พิจารณาตามหลักครองตน ครองคน ครองงาน ตามหลักสัปปุริสธรรม ๗ ใน พระพุทธศาสนา ย่อมท าให้ได้มาตรฐานที่สมบูรณ์แบบ ในการพัฒนาผู้น าให้มีคุณภาพ สมบูรณ์แบบทั้งทางด้านความรู้และความสามารถ และทางด้านจิตใจ ทั้ง ๓ ด้าน คือ ๑.๑ มาตรฐานในการครองตน หมายถึง กระบวนการพัฒนาตนเองให้มีทั้ง คุณภาพทางด้านความรู้ความสามารถ และคุณภาพทางด้านจิตใจอย่างสมบูรณ์ ซึ่งการ พัฒนาตนเองให้มีคุณภาพทางด้านความรู้ความสามารถย่อมท าให้ผู้น านั้นมีคุณสมบัติ ของผู้น าตามที่กล่าวมาข้างต้น เช่น เป็นผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีความรู้ความสามารถในระบบการบริหารอย่างดี เป็นต้น ส่วนการพัฒนาตนเองให้มี คุณภาพด้านจิตใจย่อมท าให้ผู้น านั้นเป็นผู้มีคุณธรรม มีจริยธรรม มีความซื่อสัตย์ และ เห็นประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลักดังคุณสมบัติของผู้น าที่กล่าวมาแล้ว ฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่า มาตรฐานในการครองตนย่อมต้องประกอบด้วยคุณภาพทางด้านความรู้ความสามารถดี และคุณภาพทางด้านจิตใจควบคู่กันไปจึงจะสมบูรณ์แบบ ๑.๒ มาตรฐานในการครองคน หมายถึง กระบวนการพัฒนาคุณภาพทั้ง ด้านความรู้ความสามารถ และคุณภาพทางด้านจิตใจให้กับผู้ร่วมงานหรือบุคลากรใน องค์กร เพื่อให้เขาเหล่านั้นเป็นผู้มีคุณภาพที่สมบูรณ์ ทั้งทางด้านความรู้ความสามารถ และทางด้านจิตใจที่จะสามารถปฏิบัติงานตามที่มอบหมายให้อย่างถูกต้อง และเป็นไป ตามเป้าหมายแห่งวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ดังนั้น ในมาตรฐานการครองคนนั้น ผู้น าจ าเป็น ต้องพิจารณาถึงการพัฒนาบุคลากรของตนให้มีคุณภาพอย่างสม่ าเสมอทั้งคุณภาพ ทางด้านความรู้ความสามารถ และคุณภาพด้านจิตใจอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้เขาเหล่านั้น สามารถปฏิบัติงานอย่างถูกต้อง และเป็นไปตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ ๑.๓ มาตรฐานในการครองงาน หมายถึง กระบวนการพัฒนาการบริหารงาน ในองค์กรให้มีคุณภาพเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ เพื่อให้สามารถปรับปรุงองค์กรให้มี ความเหมาะสมกับยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเช่นยุคโลกาภิวัตน์นี้ ดังนั้น ใน มาตรฐานการครองงานนั้น ผู้น าที่ดีจ าเป็นต้องพิจารณาปรับปรุงการบริหารงานด้าน ต่าง ๆ ให้มีคุณภาพอย่างสม่ าเสมอเพื่อให้เหมาะสมกับยุคโลกาภิวัตน์ กล่าวโดยสรุป การก าหนดมาตรฐานผู้น าที่พึงเปลี่ยนแปลงตามหลักครองตน ครองคน ครองงานนั้น ผู้น านั้นจะต้องมีกระบวนการพัฒนาคุณภาพทั้งทางด้านความรู้ ความสามารถ และคุณภาพทางด้านจิตใจของตนเอง และของบุคลากรทุกส่วนงานใน องค์กรให้มีประสิทธิภาพอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้เกิดกระบวนการพัฒนาการบริหารงานใน
๗๒ องค์กรที่มีคุณภาพเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้อย่างสมบูรณ์แบบ เพื่อน าพาหมู่คณะ องค์กร ไปสู่เป้าหมายวัตถุประสงค์ที่ได้วางไว้ ๒. ก าหนดมาตรฐานด้านเป้าหมายของผู้น า ในการก าหนดเป้าหมายของผู้น าที่ พึงประสงค์ตามหลักครองตน ครองคน ครองงานนั้น สามารถแบ่งเป้าหมายเป็น ๓ ประการ คือ ๒.๑ เป้าหมายในการครองตน เป้าหมายส าคัญของผู้น าในการครองตนนั้น สามารถแบ่งย่อยได้ ๒ ประการ ได้แก่ ๑) เป้าหมายในการพัฒนาตนให้มีคุณภาพทางด้านความสามารถ กล่าวคือ เป็นการพัฒนาตนให้เป็นผู้มีความรอบรู้ในด้านต่าง ๆ อย่างดี เช่น ระบบการ บริหาร สถานการณ์โลก หลักความรู้พื้นฐานทางกฎหมาย เศรษฐกิจ เป็นต้น เพื่อให้ผู้น า นั้นสามารถน าพาหมู่คณะและองค์กรไปสู่ความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืนตลอดไป ๒) เป้าหมายในการพัฒนาตนให้มีคุณภาพทางด้านจิตใจ กล่าวคือ เป็นการพัฒนาตนให้เป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรม มีศีลธรรมประจ าใจ มีความซื่อสัตย์ สุจริต เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง ดังนั้น เมื่อผู้น า นั้นสามารถพัฒนาตนให้เป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรมอย่างถูกต้องแล้ว ก็ย่อมจะเป็นที่ ยอมรับ นับถือ ศรัทธาจากบุคคลทั้งหลายทั้งภายในและภายนอกองค์กร และย่อม สามารถน าพาหมู่คณะและองค์กรไปสู่ความเจริญก้าวหน้าตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ ๒.๒ เป้าหมายในการครองคน เป้าหมายส าคัญของผู้น าในการครองคนนั้น สามารถแบ่งย่อยได้ ๒ ประการ ได้แก่ ๑) เป้าหมายในการพัฒนาคนให้มีคุณภาพด้านความสามารถ กล่าวคือ ผู้น ามุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากรในองค์กรให้เป็นผู้มีความรอบรู้ในการงานด้านต่าง ๆ อย่างดี เช่น ระบบการท างาน หลักความรู้พื้นฐานทางเศรษฐกิจ ทางการปกครอง เป็นต้น เพื่อให้บุคลากรทุกฝ่ายในองค์กรเป็นผู้มีความรอบรู้ ท าให้สามารถปฏิบัติงานได้ ถูกต้องตามที่มอบหมายงานได้ และเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ๒) เป้าหมายในการพัฒนาคนให้มีคุณภาพด้านจิตใจ กล่าวคือ ผู้น า มุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากรทุกคนในองค์กรให้เป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรม มีศีลธรรม ประจ าใจ มีความซื่อสัตย์สุจริต เห็นประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก ดังนั้น บุคลากรที่ได้รับ การพัฒนาคุณภาพด้านจิตใจ ย่อมเป็นผู้ที่ปฏิบัติงานได้อย่างเต็มก าลังความสามารถของ ตน เพื่อให้องค์กรสามารถด าเนินไปด้วยความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืนตามเป้าหมายที่ วางไว้
๗๓ ๒.๓ เป้าหมายในการครองงาน เป้าหมายส าคัญของผู้น าในการครองงานก็ คือ การพัฒนาระบบการบริหารงานด้านต่าง ๆ ขององค์กรให้มีคุณภาพ เป็นองค์กรแห่ง การเรียนรู้ โดยมุ่งเน้นการแก้ปัญหาที่ใช้องค์ความรู้เป็นฐาน (knowledge-based problem) ท าให้บุคลากรเป็นผู้รอบรู้ มีการคิดอย่างเป็นระบบ มีโมเดลการคิด มีทีมการ เรียนรู้ ตลอดจนมีวิสัยทัศน์ร่วมกันในระบบการบริหารงานทุก ๆ ส่วน เพื่อให้สามารถ สร้างองค์กรที่มั่นคงและมีความเหมาะ สมในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ กล่าวโดยสรุปได้ว่า เป้าหมายของผู้น าที่พึงประสงค์ในยุคโลกาภิวัตน์ก็คือ การพัฒนาตน การพัฒนาคน และการพัฒนาระบบงาน ให้มีคุณภาพที่สมบูรณ์แบบ ทั้งทางด้านความสามารถและทางด้านจิตใจ เพื่อท าให้องค์กรเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ และสามารถปรับปรุงองค์กรให้มีความเหมาะสมอยู่เสมอกับยุคที่มีการเปลี่ยนแปลง ๔.๕ คุณลักษณะผู้น ำกับธรรมหลักสังคหวัตถุ ๔ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสถึงความหมายของ สังคหวัตถุ ๔ ไว้ว่าภิกษุทั้งหลาย สังคหวัตถุ (ธรรมเครื่องยึดเหนี่ยว) ๔ ประการนี้ สังคหวัตถุ ๔ ประการ อะไรบ้าง คือ ๑. ทาน (การให้) ๒. เปยยวัชชะ (วาจาเป็นที่รัก) ๓. อัตถจริยา (การประพฤติประโยชน์) ๔. สมานัตตตา (การวางตนสม่ าเสมอ) ภิกษุทั้งหลาย สังคหวัตถุ ๔ ประการนี้แล ทาน เปยยวัชชะ อัตถจริยาในโลกนี้และสมานัตตตาในธรรมนั้น ๆ ตามสมควร สังคหวัตถุ ธรรมเหล่านี้แลช่วยอุ้มชูโลกเหมือนลิ่มสลักที่ยึดดุมรถซึ่งแล่นไปไว้ได้ฉะนั้น ถ้าไม่พึงมี ธรรมเหล่านี้ มารดาหรือบิดาก็ไม่พึงได้การนับถือหรือการบูชาเพราะบุตรเป็นเหตุแต่ เพราะบัณฑิตเล็งเห็นความส าคัญของสังคหวัตถุเหล่านี้ ฉะนั้น บัณฑิตเหล่านั้นจึงถึง ความเป็นใหญ่และเป็นผู้น่าสรรเสริญ๖ บทว่า ทาน ได้แก่ การให้ตามสมควร. บทว่า เปยฺยวชฺช ได้แก่ พูดน่ารักตามสมควร. บทว่า อตฺถจริยา ได้แก่ การท าความเจริญ ด้วยท ากิจที่ควรท าในที่นั้น ๆ และ ด้วยการสั่งสอนสิ่งที่ควรท าและไม่ควรท า. บทว่า สมานตฺตตา ได้แก่ ความเป็นผู้มีตนเสมอ คือมีความเสมอไม่ถือตัว. อธิบายว่า มีประมาณตน คิดประมาณตน. ชื่อว่า สมานตฺโต เพราะอรรถว่ามีตน เสมอคนอื่น ความเป็นผู้มีตนเสมอ ชื่อว่าสมานัตตตา ๖ ดูรายละเอียดใน, องฺ.จตุกฺก.(ไทย) ๒๑/๓๒, ๒๕๖/๕๐-๕๑, ๓๗๓.
๗๔ อธิบายว่า การคิดประมาณตนว่า ผู้นี้เลวกว่าเรา ผู้นี้เสมอเรา ผู้นี้ดีกว่าเราแล้ว ประพฤติ คือท าตามสมควรแก่บุคคลนั้น๗ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้ให้ความหมายของค าว่า สังคหวัตถุ ๔ หมายถึง ธรรมเครื่องยึดเหนี่ยวใจบุคคล และประสานหมู่ชนไว้ในสามัคคี หลักสงเคราะห์ มี ๔ ๘ คือ ๑. ทาน การให้ คือ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เสียสละ แบ่งปัน ช่วยเหลือกันด้วย สิ่งของตลอดจนให้ความรู้และแนะน าสั่งสอน ๒. ปิยวาจา วาจาเป็นที่รัก วาจาดูดดื่มน้ าใจ หรือวาจาซาบซึ้งใจ คือกล่าวค า สุภาพไพเราะอ่อนหวานสมานสามัคคี ให้เกิดไมตรีและความรักใคร่นับถือ ตลอดถึงค า แสดงประโยชน์ประกอบด้วยเหตุผล เป็นหลักฐานจูงใจให้นิยมยอมตาม ๓. อัตถจริยา การประพฤติประโยชน์ คือขวนขวายช่วยเหลือกิจการ บ าเพ็ญ สาธารณประโยชน์ตลอดถึงค าช่วยแก้ไขปรับปรุงส่งเสริมในทางจริยธรรม ๔. สมานัตตตา ความเสมอต้นเสมอปลาย คือท าตนเสมอต้นเสมอปลายปฏิบัติ สม่ าเสมอกันในชนทั้งหลาย และเสนอในสุข ทุกข์ โดยร่วมรับรู้ร่วมแก้ไขตลอดถึงวางตน เหมาะแก่ฐานะภาวะบุคคล เหตุการณ์และสิ่งแวดล้อม ถูกต้องตามธรรมในแต่ละกรณี พุทธทำสภิกขุ ได้กล่าวถึงหลักการบริหารคนว่า การบริหารคนนี้ยังมีสิ่งลึกลับ อีกอย่างหนึ่ง คือ เครื่องยึดเหนี่ยวน้ าใจ เราไว้ใจเขา เขาไว้ใจเรา เราหวังดีต่อเขา เขา หวังดีต่อเรา อย่างนี้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ าใจ คงได้ยินได้ฟังมาแล้วจากหนังสือธรรมะ ทั่ว ๆ ไปเรื่อง สังคหวัตถุ ๔ ๙ - การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ - การพูดจาไพเราะ - การบ าเพ็ญประโยชน์ - การท าตัวให้เป็นเกลอ หรือเป็นเพื่อนมากกว่าที่จะเป็นนายหรือเรียกว่าความ งดงามในความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน อันเป็นเครื่องหน่วงเหนี่ยวให้เกิดความร่วมมือกันได้ สมเด็จพระมหำวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร) ได้ให้ความหมายตามหลักจริยศาสตร์ สังคมของพระพุทธศาสนา เรื่อง สังคหวัตถุ ๔ หรือหลักปฏิบัติตนตามหลักจิตวิทยา ๗ ดูรายละเอียดใน, ขุ.ป.อ. (ไทย) ๓๑/๗๒/๑๒๑.๘ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนำนุกรมพุทธศำสตร์ ฉบับประมวลธรรม, (กรุงเทพมหานคร: พิมพ์ที่โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑), หน้า ๑๔๒.๙ พุทธทาสภิกขุ, บริหำรธุรกิจแบบพุทธ, (กรุงเทพมหานคร: อตัมมโย, มปป.) ธรรมสภา, ๒๕๔๖. หน้า ๑๕.
๗๕ สังคมเพื่อให้เกิดความนิยมชมชอบและเคารพนับถือแก่ผู้อื่นหรือสังคมของชุมชนต่าง ๆ คือ๑๐ ๑. ทาน หรือ การให้ปันสิ่งของแก่ผู้อื่นที่ควรปันเพราะทาน หมายถึง - ธรรมทาน หรือการบริจาคทางจิตใจ - อามิสทาน หรือการบริจาคทางวัตถุ ๒. ปิยวาจา หรือการเจรจาด้วยค าพูดของตนต่อผู้อื่นด้วยความสุภาพอ่อนโยน ให้เหมาะสมแก่กาลเทศะและเหมาะแก่สังคมชุมชนทุกชั้น เพื่อให้ชุมชนหรือบุคคล เหล่านั้นเคารพนับถือ ปิยวาจา นี้ใช้กับมิตรสหายของตน ย่อมจะท าให้มิตรสหาย เหล่านั้นรักใคร่ รู้จักเจรจาสุภาพอ่อนโยนกับครูอาจารย์ การใช้หลักจริยศาสตร์สังคมใน เรื่อง ปิยวาจานั้นผู้ใช้จ าต้องมีสติควบคุมตนเอง และสามารถบังคับจิตใจตนเองได้ ทุกขณะ (Minds control or control) ๓. อัตถจริยา หมายถึง การสอนให้บุคคลนั้น มีหน้าที่ทางมนุษย์สัมพันธ์ทุก ระดับชั้นมีหน้าที่ช่วยเหลืออุปการะหรือสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน ๔. สมานัตตตา หมายถึง การปรับปรุงบุคลิกภาพของตนเองอย่างสม่ าเสมอ โดยไม่ถือตัวและให้เข้ากับสังคมของชุมชนได้ทุกชั้น พระวีรวัฒน์ รอดสุโข ได้ให้ความหมายว่าสังคหวัตถุ ๔ เป็นหลักธรรมในศาสนา พุทธ ซึ่งใช้ในการสงเคราะห์ผู้อื่น อันจะเป็นเครื่องผูกไมตรีประสานหมู่ชนเข้าด้วยกัน ค าว่า “สังคหวัตถุ” มาจากค าว่า “สังคห” ซึ่งแปลว่า สงค์เคราะห์ กับค าว่า “วัตถุ” ซึ่งแปลว่า เรื่องรวมความแล้วสังคหวัตถุ แปลว่า เรื่องการสงเคราะห์หรือธรรมอันเป็น หลักในการสงเคราะห์ ซึ่งมีหลักใหญ่ ๆ อยู่ ๔ ข้อด้วยกัน ดังที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัม พุทธเจ้าทรงตรัสสั่งสอนแก่ภิกษุ ในกาลครั้งหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า สังคหวัตถุ ๔ ๑๑ คือ ๑. ทาน หมายถึง การให้ การเฉลี่ยเผื่อแผ่แก่กันและกัน ซึ่งเป็นข้อส าคัญ เพราะว่าทุก ๆ คนนั้นย่อมต้องการความช่วยเหลือกันอยู่ในด้านต่าง ๆ ในด้านวัตถุ ทรัพย์สินเงินทอง เครื่องอุปโภคต่าง ๆ ในด้านก าลังกาย ช่วยกระท ากิจการของกันและ ๑๐สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร), ธรรมะสร้ำงเยำวชน, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑), หน้า ๑๓.๑๑พระวีรวัฒน์ รอดสุโข, “เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความคงทนในการ เรียนรู้วิชาพระพุทธศาสนา เรื่อง สังคหวัตถุ ๔ พรหมวิหาร ๔ ไตรลักษณ์ ๓ กลุ่มสร้างเสริมลักษณะ นิสัย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ระหว่างการสอนด้วยหนังสือการ์ตูนและการสอนตามปกติ”, วิทยำนิพนธ์ปริญญำกำรศึกษำดุษฎีบัณฑิต สำขำวิชำหลักสูตรและกำรสอน (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, ๒๕๕๐), หน้า ๒๑.
๗๖ กันทางกาย ในด้านวาจา พูดจาช่วยเหลือกันในเรื่องที่ควรพูด ในด้านสติปัญญา ช่วยให้ ความรู้ให้การแนะน าในข้อที่ควรจะแนะน าต่าง ๆ การให้ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ทุกคนทั้ง ผู้ใหญ่และผู้น้อยต่างก็ควรจะมีทาน ๒. ปิยวาจา หมายถึง การเจรจาถ้อยค าที่ไพเราะ ซึ่งเป็นที่รักเป็นที่จับใจแก่กัน และกันอันเป็นถ้อยค าสุภาพ เพราะวาจาที่พูดออกไปนั้น ถ้าเป็นวาจาที่ไม่สุภาพไม่เป็นที่ รักที่พอใจก็เป็นวาจาที่อาจเสียดแทงน้ าใจของผู้อื่น ท าให้ผู้อื่นเกิดความเสียใจ ควบคุม การพูดของเราให้ไพเราะก็คือสตินั้นเอง ดังนั้นการพูดหรือการแสดงออกทุกครั้งต้องมีสติ อยู่เสมอ ๓. อัตถจริยา หมายถึง การประพฤติประโยชน์กันและกัน คือการท าสิ่งที่เป็น ประโยชน์ต่อสถาบัน เช่น โรงพยาบาล มหาวิทยาลัย สังคมที่ตนอาศัยอยู่ตลอดถึง ประเทศชาติสิ่งใดที่เป็นโทษก็ควรละเว้นไม่กระท า การประพฤติตนให้เป็นประโยชน์ สามารถปฏิบัติได้ทั้งกาย วาจา ใจ ในทุกเวลาและทุกโอกาส ๔. สมานัตตตา หมายถึง ความเป็นผู้วางตนสม่ าเสมอ หรือเสมอต้นเสมอปลาย ซึ่งหมายถึงการรักษาระเบียบวินัยอันใดที่ทุกคนพึงปฏิบัติทั้งผู้ใหญ่ทั้งผู้น้อยตามหน้าที่ ที่บัญญัติเอาไว้เป็นระเบียบของสถานที่ ของหน่วยงาน เช่น กฎระเบียบของ สถาบันการศึกษา กฎระเบียบของสถานที่ราชการต่าง ๆ เป็นต้น ตลอดถึงกฎหมาย บ้านเมือง ในพระพุทธศาสนาก็คือ พระวินัยบัญญัติส าหรับพระภิกษุทั้งหลายนั้นเอง อรศิริ เกตุศรีพงษ์ ได้ให้ความหมายว่า สังคหวัตถุ ๔ คือ สิ่งที่เป็นเครื่อง สงเคราะห์และยึดเหนี่ยวน้ าใจซึ่งกันและกัน ๔ ประการ คือ๑๒ ๑. ทาน คือ การแบ่งปันวัตถุสิ่งของ รวมถึงอุปกรณ์ในการท างานหรือเอกสารที่ ใช้ในการท างาน เช่น หากเพื่อนรวมงานขาดเหลืออุปกรณ์สิ่งของก็น ามาแบ่งปันกันใช้ การเริ่มต้นด้วยการแบ่งปันวัตถุสิ่งของภายนอกจะช่วยสร้างนิสัยให้บุคลากรในหน่วยงาน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกันมีการให้การรับ (Give and Take) เพราะนอกเหนือจากการ แบ่งปันเรื่องของความรู้ประสบการณ์อันเป็นความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (Tacit Knowledge) แล้วการแบ่งปันสิ่งของต่าง ๆ ที่ใช้ในการท างานก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้วงจรของ ความรู้มีการขับเคลื่อน โดยเป็นการแบ่งปันความรู้ที่เป็นการให้ที่เป็นความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) ด้วย ๑๒อรศิริ เกตุศรีพงษ์, “สังคหวัตถุ ๔: วัฒนธรรมองค์กรที่เอื้อต่อการจัดการความรู้”, วำรสำร Productivity World เพื่อกำรเพิ่มผลผลิต, ปีที่ ๑๒ ฉบับที่ ๖๘, (พฤษภาคม–มิถุนายน ๒๕๕๐), หน้า ๔๓-๔๖.
๗๗ ๒. ปิยวาจา คือ การแบ่งปันค าพูดดีๆ ค าพูดที่ไพเราะ พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เหมาะสมกับกาลเทศะ พูดให้ก าลังใจกัน ซึ่งในมุงมองของผู้เขียนเห็นว่า “ปิยวาจา” มี ความส าคัญมากต่อการจัดการความรู้ในองค์การเพราะการจะน าเครื่องมือต่าง ๆ มาใช้ ในกระบวนการจัดการความรู้เพื่อที่จะดึงความรู้ที่ฝังอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) ออกมาแลกเปลี่ยนกันนั้นต้องใช้ลักษณะของการ “พูดแลกเปลี่ยนกัน” เป็นหลัก ๓. อัตถจริยา คือ การแบ่งปันความรู้ การให้ความช่วยเหลือในสิ่งที่เป็นประโยชน์ แก่ผู้อื่น การแบ่งปันความรู้และประสมการณ์ที่เป็นความรู้ที่ฝังอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) เป็นสิ่งที่ต้องท าได้ยากกว่าการแบ ่งปันความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) ดังนั้น หากองค์กรใดสามารถปลูกฝังให้บุคลากรในองค์กรมี “อัตถจริยา” แล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปที่จะท าให้คนในองค์กรมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน รวมทั้งท าให้การแลกเปลี่ยนเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของการท างาน เพราะเมื่อเพื่อนร่วมงาน ขาดความรู้ในเรื่องใด หรือต้องการแลกเปลี่ยนความรู้ในเรื่องใด ผู้ที่มีความรู้ก็จะแบ่งปัน ให้โดยไม่หวงความรู้ หรือถ้าไม่ขาดความรู้แต่ขาดก าลังคนเพื่อนคนอื่น ๆ ก็ยินดีที่จะเข้า ไปช่วยให้งานส าเร็จ หรืออาจเรียนได้ว่าท าให้พนักงานในองค์การเป็นกัลยาณมิตรซึ่งกัน และกัน ๔. สมานัตตตา คือ การมีความประพฤติเสมอต้นเสมอปลาย การเป็นผู้มีความ สม่ าเสมอจริงใจต่อกันความเสมอต้นเสมอปลายจะช่วยให้เกิดความรู้สึกปลอดภัย ไม่ ระแวงกันและเป็นการสร้างความไว้วางใจกันเชื่อใจกัน (Trust) เพราะคนในองค์การไม่มี ความไว้วางใจกัน หรือไม่เชื่อใจกันพนักงานก็จะไม่อยากน าความรู้ประสบการณ์ เทคนิค ในการท างานต่าง ๆ มาแบ่งปันแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ดังนั้น จึงถือได้ว่า “สมานัตตตา” เป็นแรงกระตุ้นในระยะยาวที่จะผลักดันให้คนในองค์การเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่าง ต่อเนื่อง นอกจากนี้ การเป็นผู้มีความสม่ าเสมอในการร่วมแบ่งปันความรู้ต่าง ๆ จะช่วย ให้การจัดการความรู้ “มีชีวิต”อยู่เสมอ การที่ผู้ให้บริการในองค์การเป็นผู้ที่มีใจเป็นทาน พร้อมที่จะให้ ให้ความช่วยเหลือ ด้วยความตั้งใจดีปรารถนาดี คอยไต่ถามความทุกข์ร้อน ด้วยใจที่มีเมตตา พร้อมปลอบประโลมใจด้วยถ้อยค าแสดงความปรารถนาให้พ้นทุกข์ พร้อมคอยให้เกิดความรู้สึกปลอดภัยไว้วางใจมีความสม่ าเสมอ อย่างเสมอต้นเสมอปลาย จริงใจต่อผู้รับบริการ เคยช่วยเหลืออย่างไรดูแลแบบไหนก็ปฏิบัติเหมือนเคย คอย สอบถามติดตามผลผู้รับบริการด้วยความห่วงใยให้เกิดความเท่าเทียมกัน ถือเป็นนิสัย ความรับผิดชอบอย่างหนึ่ง กล่าวคือ ในการบริการหากงานที่ท าประสบผลส าเร็จก็จะไม่ เกิดการขัดแย้งกันเอาความดีความชอบว่าเป็นผู้บริการท างานนั ่นเอง หรือหากมี
๗๘ ข้อผิดพลาดเกิดขึ้นผู้ให้บริการก็จะไม่มีการกล่าวโทษกัน แต่จะช่วยกันแก้ไขปรับปรุงให้ ดียิ่งขึ้น การบริการที่มีความร่วมแรงร่วมใจก็จะเกิดขึ้น ผู้ให้บริการจะมีความรู้สึกว่าการ แบ่งปันแลกเปลี่ยนเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งที่ท าให้งานบริการของตนเองและองค์การดีขึ้น ผู้ให้บริการที่ท าตัวดีอยู่ที่ไหนก็เป็นที่รักของผู้รับบริการจาก คาถามหาเสน่ห์ ตาม หลักสังคหวัตถุ ๔ คำถำมหำเสน่ห์ ท าตัวดีอยู่ที่ไหนก็น่ารักหรือเรียกว่า “สังคหวัตถุ ๔” ๑๓ ๑. เจือจาน หรือทาน แปลว่าการให้ คือให้รอยยิ้ม เพื่อแสดงถึงความมีน้ าใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อุดหนุนจุนเจือผู้อื่นด้วยการยินดีให้สิ่งต่าง ๆ ตามสมควรทั้งอามิสทาน คือให้สิ่งของและธรรมทาน คือ ให้ข้อคิดหรือความรู้ในโอกาสอันควร ไม่เป็นคนตระหนี่ถี่ เหนียว พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงสอนว่า“ททมาโน ปิโย โหติ. ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก” อยาก มีเสน่ห์ให้คนรักจึงต้องรู้จักเจือจาน ๒. ปากหวาน หรือปิยวาจา แปลว่า การพูดจาน่ารัก คือ ต้องพูดจากับผู้อื่นด้วย ถ้อยค าที่ไพเราะอ่อนหวานหรือภาษาดอกไม้ แสดงความอ่อนน้อมมีมิตรไมตรี ปรารถนา ดีต่อกัน เช่น พูดจามีหางเสียงนะค่ะ นะครับ ได้คะ พูดมีน้ าใจ ไม่เป็นไรครับ ผมช่วย ไหมครับ ยินดีช่วยคะ พูดจามีสัมมาคารวะ สวัสดีคะ ยินดีที่รู้จักครับ ไปไหนมาค่ะ ของ อนุญาตนะครับ พูดจามีความปรารถนาดี โชคดีนะครับ ยินดีด้วยนะคะ ไม่เป็นไรนะค่ะ ขอให้ประสบความส าเร็จนะครับ ดังนี้เป็นต้น เพราะปกติของคนโดยทั่วไป ไม่มีใครชอบ ให้คนอื่นพูดค าหยาบกับตน แม้เราก็เป็นเช่นนั้นเหมือนบทกลอนสุนทรภู่ ที่ว่า “อันอ้อย ตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย” อยากให้คนรักนับหน้านับถือ ก็ต้องปากหวานเข้าไว้และมีความจริงใจด้วย ๓. ช่วยงาน หรืออัตถจริยา แปลว่า การบ าเพ็ญประโยชน์ คือ สิ่งใดที่เป็น ประโยชน์ส าหรับผู้อื่น โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นงานเป็นการ เราไม่ควรนิ่งดูดายจะต้องช่วย ขวนขวายตามสมควรแม้นเป็นหน้าที่ของเขาหากช่วยได้ก็ควรช่วยยิ่งในคราวที่เขา ต้องการความช่วยเหลือด้วยแล้ว ต้องให้ความช่วยเหลือทันท่วงที โดยไม่ได้หวังให้เขารัก หรืออยากให้เกิดเสน่ห์แก่ตน แต่ผลของความไม่เห็นแก่ตัวเอาตัวเข้าช่วยงานเขานั้น ย่อมท าให้เกิดความรักความหวังดีขึ้นโดยธรรมชาติ ๔. สมานตน หรือสมานัตตตา แปลว่า การวางตนเสมอ คือ วางตนให้เสมอภาค เข้ากับเขาได้หากมีบางอย่างที่เข้ากันไม่ได้ต้องสมาน ปรับเปลี่ยน ปรับปรุงให้ลงรอยกัน ๑๓ประพัฒน์ ศรีกูลกิจ, พระไตรปิฎกวิเครำะห์ ฉบับแก้ไข, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (พิษณุโลก: บริษัท โฟกัส พริ้นตริ้ง จ ากัด, ๒๕๕๗), หน้า ๓๕๗.
๗๙ ทั้งด้านพฤติกรรมและความคิดเห็น ไม่แสดงอาการโอ้อวด ถือดี ยกตนข่มท่าน อีกนัย หนึ่งหากอยู่ในฐานะผู้น้อยก็คือวางตนให้เหมาะสมกับฐานะ มีสัมมาคารวะ นอบน้อม ถ่อมตนเสมอต้นเสมอปลายผู้ประพฤติได้ดังนี้ ย่อมเป็นที่รักของคนทั้งหลายแน่นอน สรุปได้ว่า คาถามหาเสน่ห์ของสังคหวัตถุ ๔ ได้แก่ เจือจาน หรือทาน แปลว่า การให้ คือให้รอยยิ้ม เพื่อแสดงถึงความมีน้ าใจด้วยการยินดีให้สิ่งต่าง ๆ ตามสมควร ปากหวาน หรือปิยวาจา แปลว่า การพูดจาน่ารัก คือ ต้องพูดกับผู้อื่นด้วยถ้อยค าที่ ไพเราะอ่อนหวานหรือภาษาดอกไม้ แสดงความอ่อนน้อมมีมิตรไมตรี ปรารถนาดีต่อกัน ช่วยงาน หรืออัตถจริยา แปลว่า การบ าเพ็ญประโยชน์ คือ สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ส าหรับ ผู้อื่นสมานตน หรือสมานัตตตา แปลว่า การวางตนเสมอ คือ วางตนให้เสมอภาคเข้ากับ เขาได้หากมีบางอย่างที่เข้ากันไม่ได้ต้องสมาน ปรับเปลี่ยน ปรับปรุงให้ลงรอยกัน ทั้งด้าน พฤติกรรมและความคิดเห็นหลักการบริการที่ดีต้องให้ความช่วยเหลือ สงเคราะห์กับผู้ที่ ประสบความทุกข์ยาก ล าบาก จะท าให้ได้รับความนิยมชมชอบเป็นที่ยอมรับนับถือจาก ผู้ขอรับบริการ จึงถือได้ว่าหลักสังคหวัตถุ ๔ นี้ เป็นคาถามหาเสน่ห์สามารถน ามา ส่งเสริมงานบริการเพื่อจะช่วยสร้างความประทับใจต่อผู้รับบริการได้เป็นอย่างดี ๔.๖ คุณลักษณะผู้น ำกับประโยชน์ของสังคหวัตถุ ๔ ประโยชน์ของสังคหวัตถุ ๔ มีนักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายของ ประโยชน์ของสังคหวัตถุ ๔ ซึ่งผู้ศึกษาขอน ามาเสนอในหัวข้อของ ทาน ปิยวาจา อัตถ จริยา และสมานัตตตา ดังนี้ ๔.๖.๑ ประโยชน์ของทำน (กำรให้) หมายถึง การให้ ในทางพุทธศาสนา กล่าวถึง การให้ทานมีอานิสงส์มากเพราะผู้ที่ให้ทานจะเป็นที่รักของคนทั่วไป ซึ่งการ ให้บริการจะต้องอาศัยหลักสังคหวัตถุในข้อนี้เพราะทานคือ การให้ ในการให้บริการเป็น การให้การต้อนรับ ให้น้ าใจ ให้ความประทับใจ แก่ผู้มารับบริการ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรง แสดงทานไว้ ๒ ประเภทคือ ๑. อามิสทาน การให้สิ่งของเป็นทานคือการให้วัตถุสิ่งของ การให้ปัจจัย ๔ ได้แก่ เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค ๒. ธรรมทาน การให้ธรรมเป็นทานคือ การให้ค าแนะน าสั่งสอนให้รู้ดีรู้ชั่ว หรือ การแสดงธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศแล้ว อันเป็นเหตุสิ้นทุกข์และน าสุขมาให้ ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เพื่อจะให้เป็นประโยชน์แก่คนอื่น ๆ๑๔ ๑๔ดูรายละเอียดใน, ขุ.อิติ.อ. (ไทย).๒๒/๔๔/๓๕-๓๖.
๘๐ วศิน อินทสระกล่าวเกี่ยวกับเรื่องทานไว้ว่า๑๕ ทาน ตามตัวอักษรแปลว่า การให้ จ าแนกเป็นการให้สิ่งของเครื่องอุปโภค เรียกว่า อามิสทาน การให้ธรรม ค าแนะน า สั่งสอน ชักจูงในทางที่ดีเรียกว่า ธรรมทาน การให้อภัยไม่ถือโทษล่วงเกินของผู้อื่น โดยเฉพาะเมื่อเขารู้ส านึกผิดแล้วมาขอโทษ เรียกว่า อภัยทาน การงดเว้นไม้เบียดเบียน ชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่นก็เป็นอภัยทานเหมือนกันอามิสทาน การให้วัตถุสิ่งของเครื่อง อุปโภคบริโภครวมเรียกว่า ปัจจัย ๔ นั้นเป็นความจ าเป็นส าหรับผู้อยู่ร่วมกันตั้งแต่ ๒ คน ขึ้นไปเป็นการแสดงน้ าใจต่อกัน ท าให้ผู้มีใจผูกพันกันในด้านความส านึกคุณ การให้ด้วย วัตถุ ๓ อย่าง การให้วัตถุสิ่งของผู้ให้ย่อมมีวัตถุประสงค์ต่างกัน ให้เพื่ออนุเคราะห์บ้าง ให้เพื่อสงเคราะห์บ้าง ให้เพื่อบูชาคุณบ้าง การให้บริการแก่คนล าบากยากจนแร้นแค้นที่ บากหน้ามาพึ่งพิงขอความช่วยเหลือ ให้เขาพ้นจากความล าบากด้วยความกรุณาเรียกว่า ให้เพื่ออนุเคราะห์ การให้แก่คนเสมอกันเพื่อรักษาไมตรีและน้ าใจกันไว้เป็นการแบ่งปัน เอื้อเฟื้อช่วยเหลือกันตามโอกาสที่มาถึงเขาเรียกว่า ให้เพื่อสงเคราะห์ ทาน ๓ ประเภท หรือทายก ๓ จ าพวก ๑) ทานทาสะ บางทีเรียก ทาสทาน ท่านหมายถึงการให้ของเลวเป็นทาน ค าว่า เลวนั้นหมายถึงเลวกว่าที่ตนบริโภคใช้สอยเอง ที่ท่านเรียกทาสทานเพราะอธิบายว่าตก เป็นทาสของความตระหนี่ ๒) ทานสหาย บางที่เรียกสหายทาน หมายถึง การให้ของที่เสมอกันอย่าง เดียวกันกับที่ตนบริโภคใช้สอยตนบริโภคใช้สอยอย่างไร เมื่อถึงคราวจะให้ผู้อื่นก็ให้อย่าง นั้น เหมือนการให้แก่เพื่อนฝูง ผู้ให้ของเช่นนั้นท่านเรียกว่าทานสหาโย ๓) ทานสามี บางที่เรียก สามีทาน การให้ของที่ดีกว่าตนบริโภคใช้สอยส่วนมาก เมื่อจะให้แก่ผู้ควรเคารพ ทายกมักให้ของดีเท่าที่ตนจะหาได้ เช่น ของที่น าไปให้มารดา บิดา ครูอาจารย์ พระสงฆ์หรือนักพรตผู้ประพฤติธรรม ประเภทของอามิสทาน อามิสทาน คือ การให้วัตถุสิ่งของเครื่องอุปโภครวม เรียกว่าปัจจัย ๔ มีความจ าเป็นส าหรับคนที่อยู่ร่วมกันตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป เป็นการแสดง น้ าใจต่อกันท าให้มีจิตผูกพันกันในด้านความส านึกคุณ ก็เป็นสาราณียธรรมข้อหนึ่งใน ๖ ต าราทางพระพุทธศาสนาบอกเราว่า การท าบุญจะให้มีผลมากนั้นต้องประกอบด้วย สัมปทาคุณ ๔ ประการ สัมปทา ๔ ความถึงพร้อมแห่งองค์ประกอบ ซึ่งจะท าให้ทานที่ บริจาคแล้วมีผลยอดเยี่ยม ๑๕วศิน อินทสระ, กำรท ำบุญให้ทำน, (กรุงเทพมหานคร: ส านักพิมพ์สร้างสรรค์บุ๊คส์ บจก, ๒๕๕๔), หน้า ๑๑.
๘๑ ๑) วัตถุสัมปทา ความพร้อมแห่งวัตถุในที่นี้หมายถึงผู้รับ (ปฏิคาหก) หรือ ทักขิไณยบุคคลเป็นผู้พรั่งพร้อมด้วนคุณธรรมสูงมากเท่าใดย่อมท าให้ทานที่บริจาคแล้วมี ผลมากขึ้นเท่านั้น ๒) ปัจจัยสัมปทา ความพร้อมแห่งปัจจัย ในที่นี้หมายถึง สิ่งของที่ท า ยกน ามา ท าบุญ (ไทยธรรม) นั้นได้มาโดยทางบริสุทธิ์ชอบธรรม ๓) เจตนาสัมปทา ความพร้อมแห่งเจตนา ในที่นี้หมายถึง มีเจตนาดีเพื่อ อนุเคราะห์หรือบูชาคุณโดยบริสุทธิ์ใจ มิได้หวังลาภยศหรือชื่อเสียงมีเจตนาดีทั้ง ๓ กาล คือ ก่อนให้ ก าลังให้ หลังจากให้แล้วรักษาเจตน าอันเป็นกุศลไว้ได้ นอกจากนี้ยัง ประกอบด้วยปัญญาในการให้มิใช่ให้ด้วยความเขลา ๔) คุณาติเรกสัมปทา ความพร้อมแห่งคุณพิเศษของปฏิคาหก คือผู้รับมีคุณ พิเศษ ท่านระบุไว้ในต าราว่า ทักขิไณยบุคคลออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ เช่น พระสารี บุตรบ้าง พระโมคคัลลานะบ้าง พระมหากัสสปะบ้าง ออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ ๆ ก าลัง หิว พิจารณาหาคนที่ท่านควรจะไปโปรดในวันนั้น เพราะเมื่อท่านไปรับอาหารจากท่าน ผู้ใดในวันนั้น เขาจะต้องได้สมบัติเป็นอันมาก ท่านจึงมักไปสงเคราะห์คนจนเพื่อให้เขาได้ มีความสุขขึ้นท่านแสดงอานิสงส์ของการให้ “วัตถุทาน” เหล่านี้ว่า (๑) การให้ข้าว น้ า ชื่อว่า ให้ก าลังวังชาแก่ผู้รับ (๒) การให้เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ชื่อว่า ให้ผิวพรรณวรรณะ (๓) การให้ยานพาหนะ ชื่อว่า ให้ความสุข (๔) การให้ประทีปโคมไฟ ชื่อว่า ให้ดวงตา (๕) การให้ที่อยู่อาศัย ชื่อว่า ให้ทุกอย่าง ก าลัง ผิวพรรณ ความสุข ดวงตา การให้วัตถุ ๓ อย่าง คือ การให้วัตถุสิ่งของ ผู้ให้มีวัตถุประสงค์ต่างกัน การให้ เพื่ออนุเคราะห์บ้าง การให้เพื่อบูชาคุณบ้าง การให้แก่คนล าบากยากจนแร้งแค้นบาก หน้ามาพึ่งพิงขอความช่วยเหลือ การให้แก่ผู้น้อย ช่วยเหลือเขาให้พ้นจากความล าบาก ด้วยความกรุณา การให้อย่างนี้เรียกว่า ให้เพื่ออนุเคราะห์ การให้แก่คนที่เสมอกัน เพื่อรักษาไมตรีและน้ าใจกันไว้เป็นการแบ่งปันเอื้อเฟื้อช่วยเหลือกันตามโอกาสที่มาถึง เรียกว่า ให้เพื่อการสงเคราะห์ การให้สิ่งของแก่บิดามารดา อุปัชฌายะ อาจารย์หรือครูผู้ สั่งสอนเรา นักพรตผู้ประพฤติธรรมด้วยส านึกคุณของท่านที่มีต่อเราอย่างนี้เรียกว่าให้ เพื่อบูชาคุณ ประเภทของอามิสทาน กล่าวโดยย่อที่สุดมี ๒ ประเภท ๑) ทานที่เจาะจงบุคคลที่จะให้ เรียกว่า ปฏิบุคลิกทาน ๒) ทานที่ไม่เจาะจงบุคคล เรียกว่า สังฆทาน เป็นการให้แก่สงฆ์หรือให้แก่หมู่ คณะหรือพระรูปเดียวก็ได้แต่ว่าไม่ได้เจาะจงอย่างพระที่มาบิณฑบาตหน้าบ้านองค์ไหน มาก็ใส่องค์นั้นนี่ก็เป็นสังฆทาน คนส่วนมากเข้าใจสังฆทานผิดไป คือไปเข้าใจสังฆทาน
๘๒ ตามพิธีการ คือจัดเครื่องไทยธรรมให้ครบตามประเพณีนิยม เช่น ต้องมีข้าวของอะไรบ้าง จึงเรียกว่า สังฆทานพระพุทธเจ้าเคยตรัสกับพระอานนท์ว่า ปฏิปุคลิกทานก็จะมีผล มากกว่าสังฆทานไม่ได้เลยไม่ว่าในกรณีใด ๆ เพราะมันเป็นเรื่องของยกระดับจิต เช่น ถวายแก่พระพุทธเจ้าเป็นการเจาะจงมีอานิสงส์สู้ถวายสังฆทานไม่ได้ แต่ต้องเป็นสังฆทาน ที่ถูกต้องและเป็นสงฆ์ที่มีศีลธรรม แม้จะถวายเจาะจงพระพุทธเจ้าก็สู้ถวายสังฆทาน ไม่ได้ สรุปได้ ว่าประโยชน์ของทาน คือ การให้ ให้ความช่วยเหลือ ดูแลเอาใจใส่ ให้ น้ าใจ ไมตรี ให้ความประทับใจ ให้ความพึงพอใจ เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ตกทุกข์ได้ ยาก เช่นให้ข้าว ให้น้ า ให้เสื้อผ้า ให้เครื่องนุ่งห่ม ให้อาหาร ให้ที่อยู่อาศัย และให้ยา รักษาโรคด้วยประโยชน์การสงเคราะห์ แบ่งปัน เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ เพื่อให้ผู้รับบริการรู้สึก คลายความทุกข์ ความวิตกกังวล การให้ธรรมเป็นประโยชน์ในการให้ค าแนะน าสั่งสอน ให้รู้ทางที่ถูกที่ควร การให้ธรรมจึงเป็นการให้บริการอย่างหนึ่ง จะเห็นได้ว่าประโยชน์ ของทานต่อการให้บริการท าให้ผู้รับบริการที่ตกทุกข์ได้ยาก ได้รับความช่วยเหลือให้พ้น ความล าบากด้วยเมตตาจิต เรียกว่าให้บริการเพื่ออนุเคราะห์ การให้เพื่อรักษาน้ าใจไมตรี ต่อกันเอื้อเฟื้อช่วยเหลือกันตามโอกาสเรียกว่า ให้บริการเพื่อประโยชน์ซึ่งกันและกัน ๔.๖.๒ ประโยชน์ของปิยวำจำ หมายถึง การพูดจา สุภาพ ไพเราะ อ่อนหวาน ผู้ให้บริการจ าเป็นจะต้องใช้ถ้อยค าเหล่านี้ เพื่อแสดงให้ผู้รับบริการได้ฟังแล้วเกิด ความรู้สึกเป็นกันเอง เกิดความสบายใจที่จะขอความช่วยเหลือความประทับของ ผู้รับบริการท าให้อยากที่จะกลับมาขอรับบริการอีก ในครั้งต่อไป การพูดจาแสดงความ เป็นกันเอง ความเป็นมิตรไมตรีต่อผู้มารับบริการ จะช่วยให้งานบริการขององค์กร สะดวกไม่ก่อให้เกิดปัญหา และเกิดความรักและสามัคคีในองค์กร พระพุทธองค์ ทรงแสดงวาจาสุภาษิตว่าประกอบด้วยองค์ ๔ คือ ๑) กล่าวแต่วาจาที่ดี ไม่กล่าววาจาชั่ว ๒) กล่าวเป็นธรรม ไม่กล่าวค าที่ไม่เป็นธรรม ๓) กล่าววาจาน่ารัก ไม่กล่าววาจาอันไม่น่ารัก ๔) กล่าวค าจริง ไม่กล่าวค าเหลาะแหละ๑๖ นันทิวิสำลชำดก กล่าวว่า "บุคคลควรพูดแต่ค าที่น่าพอใจเท่านั้น ไม่ควรพูดค า ที่ไม่น่าพอใจเมื่อพราหมณ์พูดค าที่น่าพอใจ โคนันทิวิสาลได้ลากสัมภาระอันหนักได้ ทั้ง ยังท าให้พราหมณ์ผู้นั้นได้ทรัพย์อีกด้วย ส่วนตนเองก็เป็นผู้ปลื้มใจ เพราะการช่วยเหลือ ๑๖ดูรายละเอียดใน, ขุ.สุ.(ไทย) ๒๕/๔๕๓/๔๑๑.
๘๓ นั้นด้วย"๑๗ อานิสงส์แห่งการใช้ ปิยวาจาผู้มีปัญญา ย่อมไม่พูดพล่อยๆ เพราะเหตุแห่ง คนอื่นหรือตนเอง ผู้นั้นย่อมมีผู้บูชาในท่ามกลางชุมชน แม้นภายหลังเขาย่อมไปสู่สุคติ วำจำสุภำษิต วาจาประกอบด้วยองค์ ๕ ประการ เป็นวาจาสุภาษิต ไม่เป็น ทุพภาษิตและเป็นวาจาไม่มีโทษ วิญญูชนไม่ติเตียนคือ ๑) เป็นวาจาที่กล่าวถูกกาล ๒) เป็นวาจาที่กล่าวเป็นสัจ ๓) เป็นวาจาที่กล่าวอ่อนหวาน ๔) เป็นวาจาที่กล่าวประกอบด้วยประโยชน์ ๕) เป็นวาจาที่กล่าวประกอบด้วยเมตตาจิต อีกนัยหนึ่ง วาจาอันประกอบด้วยองค์ ๔ เป็นวาจาสุภาษิต ไม่เป็นทุพภาษิต เป็นวาจาไม่มีโทษและวิญญูชนไม่พึงติเตียน ๑) ย่อมกล่าวแต่ค าที่เป็นสุภาษิต ไม่กล่าวค าที่เป็นทุพภาษิต ๒) ย่อมกล่าวค าที่เป็นธรรม ไม่กล่าวค าที่ไม่เป็นธรรม ๓) ย่อมกล่าวแต่ค าอันเป็นที่รัก ไม่กล่าวค าอันไม่เป็นที่รัก ๔) ย่อมกล่าวแต่ค าสัตย์ ไม่กล่าวค าเหลาะแหละ พระพุทธเจ้าได้กล่างถึง สังคหวัตถุ ๔ คือ การให้ การพูดจาอ่อนหวาน การ ประพฤติตนให้เป็นประโยชน์และความเป็นผู้มีตนเสมอต้นเสมอปลาย ผู้ปฏิบัติจะไปสู่ สุคติโลกสวรรค์เบื้องหน้าเมื่อจุติจากโลกสวรรค์ย่อมได้เฉพาะซึ่งมหาปุริสลักษณะ ทั้ง ๒ นี้ คือ พระหัตถ์และพระบาทมีพื้นอ่อนนุ่ม และมีพระหัตถ์และพระบาทมีลาย ดังว่าร่างข่ายพระมหาบุรุษสมบูรณ์ด้วยลักษณะทั้ง ๒ นั้น ถ้าอยู่ครองเรือนจะได้เป็น พระเจ้าจักรพรรดิมีบริวารชนอันพระองค์ทรงสงเคราะห์แล้วเป็นอย่างดี ถ้าพระมหาบุรุษ นั้นออกจากเรือนทรงผนวชเป็นบรรพชิต จะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า๑๘ สรุปได้ว่า ประโยชน์ของปิยวาจา คือ การกล่าวถ้อยค าสุภาพ ไพเราะ อ่อนหวาน ด้วยเมตตาจิต การให้บริการจากความรู้สึกที่ดีปรารถนาดีอย่างมีมิตรไมตรีเป็นประโยชน์ ต่อผู้รับบริการเป็นอย่างมาก การใช้ถ้อยค าที่ก่อให้เกิดความรักใคร่นับถือจากผู้ให้บริการ เมื่อได้ฟังแล้วเกิดความรู้สึกประทับใจ ตลอดถึงค าพูดที่แสดงความ ปรารถนาดีต่อ ผู้รับบริการ เป็นการจูงใจให้เกิดความนิยมชมชอบ สร้างความพึงพอใจต่อผู้รับบริการ ก่อให้เกิดความรักความปรารถนาดีเป็นค าพูดที่ไพเราะน่าฟัง การกล่าวธรรมปลอบ ๑๗ดูรายละเอียดใน, ขุ.ชา.อ.(ไทย) ๓/๑/๓๐๙-๓๑๑.๑๘ดูรายละเอียดใน, ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๔๐/๑๖๗.
๘๔ ประโลมใจเป็นค าพูดที่ประกอบด้วยเมตตาปรารถนาให้มีความสุข เป็นที่รักของ ผู้รับบริการและคนทั่วไป และยังช่วยให้การปฏิบัติงานในองค์กรมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ๔.๖.๓ ประโยชน์ของอัตถจริยำ หมายถึง การประพฤติประโยชน์ต่อการ ให้บริการส าหรับผู้ให้บริการจะต้องอาศัยหลักธรรมในข้อนี้ เพื่อให้เกิดความปรารถนาดี เกิดความประทับใจ ต่อผู้มารับบริการ ซึ่งพระพุทธองค์ได้ตรัสว่าสังคหวัตถุ ๔ (ธรรม เครื่องยึดเหนี่ยว) ๔ ประการนี้ สังคหวัตถุ ๔ ประการอะไรบ้าง คือ ๑. ทาน (การให้) ๒. เปยยวัชชะ (วาจาเป็นที่รัก) ๓. อัตถจริยา (การประพฤติประโยชน์) ๔. สมานัตตตา (การวางตนสม่ าเสมอ) ภิกษุทั้งหลาย สังคหวัตถุ ๔ ประการนี้แลทาน เปยยวัชชะ อัตถ จริยาในโลกนี้และสมานัตตตาในธรรมนั้น ๆ ตามสมควรสังคหธรรมเหล่านี้แลช่วย อุ้มชูโลกเหมือนลิ่มสลักที่ยึดคุมรถซึ่งแล่นไปไว้ได้ถ้าไม่มีธรรมเหล่านี้ มารดาหรือบิดาก็ ไม่พึงได้การนับถือหรือการบูชาเพราะบุตรเป็นเหตุแต่เพราะบัณฑิตเล็งเห็นความส าคัญ ของสังคหธรรมเหล่านี้ บัณฑิตเหล่านั้นจึงถึงความเป็นใหญ่และเป็นผู้น่าสรรเสริญ๑๙ พระธรรมปิฏก (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้อธิบายเกี่ยวกับ อรรถหรือประโยชน์ ดังนี้ ๒๐ ๑) อัตตัตถะ ประโยชน์ตน คือการบรรลุจุดหมายแห่งชีวิต คือ ทิฏฐธัมมิกัตถะ สัมปรายิกัตถะและปรมัตถะ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตนเองเป็นผลที่เกิดกับตนโดยเฉพาะ เน้นการพึงตนเองได้ทุกระดับ เพื่อไม่ต้องเป็นภาระผู้อื่นหรือถ่วงหมู่คณะและเพื่อความ เป็นผู้พร้อมที่จะช่วยเหลือผู้อื่น บ าเพ็ญกิจต่าง ๆ อย่างได้ผลดีเพื่อการบรรลุประโยชน์นี้ คือ ปัญญาและบ าเพ็ญไตรสิกขา ในแง่ของการพัฒนาตนเองให้ดีบริบูรณ์ ๒) ปรัตถะ ประโยชน์ผู้อื่นหรือประโยชน์ท่าน คือ การช่วยเหลือเกื้อกูล สนับสนุนผู้อื่นให้บรรลุประโยชน์ หรือเข้าถึงจุดหมายแห่งชีวิต คือ ทิฏฐธัมมิกัตถะ สัมปรายิกัตถะและปรมัตถะ ประคับประคองให้เขาสามารถพึ่งตนเองได้ เช่น เดียวกับ ตนจึงนับเป็นการท าประโยชน์แก่ผู้อื่นผลเกิดขึ้นกับคนอื่นนอกจากเรา ๓) อุภยัตถะ ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย คือ ประโยชน์ร่วมกันของตนเองและผู้อื่น กล่าวคือ ทิฏฐธัมมิกัตถะ สัมปรายิกัตถะ และปรมัตถะ ได้เกิดขึ้นในสังคมโดยรวม โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมและความเป็นอยู่ที่เอื้ออ านวยแก่การปฏิบัติเพื่อบรรลุ อัตตัตถะ และการบ าเพ็ญปรัตถะของทุก ๆ คน คุณธรรมที่เป็นแกนน าให้บรรลุจุดมุ่งหมายนี้คือ วินัยและความสามัคคี หลักธรรมค าสอนที่จะน ามาปฏิบัติ คือ สาราณียธรรม ๖ และ อปริหานิยธรรม ๗ ๑๙ดูรายละเอียดใน, องฺ.จตุกฺก.(ไทย) ๒๑/๓๒, ๒๕๖/๕๐-๕๑, ๓๗๓.๒๐พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), หน่วยกำรศึกษำที่ ๓ คุณค่ำและควำมหมำยของชีวิต, (กรุงเทพมหานคร: ธรรมสภา, ๒๕๔๖), หน้า ๑๕.
๘๕ ประเภทของประโยชน์ ๓ อย่ำง หรืออรรถประโยชน์ คือ ๑) ทิฏฐธัมมิกัตถะ คือ ประโยชน์ปัจจุบัน เป็นจุดมุ่งหมายขั้นต้น ๒) สัมปรายิกุตถะ คือ ประโยชน์ภพหน้า เป็นประโยชน์ด้านคุณค่าของชีวิต ๓) ปรมัตถะ คือ ประโยชน์อย่างยิ่ง เป็นประโยชน์สูงสุดเป็นประโยชน์ที่เป็น สาระแท้จริงของชีวิต สรุปได้ว่า ประโยชน์ของอัตถจริยา คือ การให้บริการประพฤติประโยชน์ โดย ช่วยเหลือเกื้อกูลกันด้วยน้ าใสใจจริงด้วยความปรารถนาดีต่อผู้รับบริการ การบ าเพ็ญ ประโยชน์แก่ส่วนรวม รวมถึงการขวนขวายช่วยเหลือผู้รับบริการต่อกิจการบ าเพ็ญ สาธารณประโยชน์แก่ผู้รับบริการให้ส าเร็จประโยชน์เป็นการให้บริการที่ผู้รับบริการไม่ เดือดร้อนไม่เบียดเบียนประโยชน์ของบุคคลอื่น การท าตนให้เป็นประโยชน์ ด้วยการ ให้บริการที่เป็นประโยชน์และผู้รับบริการได้รับในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นการให้บริการ อย่างมีคุณค่าสร้างประโยชน์ในสังคมที่ตนอาศัยอยู่ท าให้สังคมน่าอยู่มากขึ้น ๔.๖.๔ ประโยชน์ของสมำนัตตตำ หมายถึง การปฏิบัติตนอย่างเสมอต้นเสมอ ปลายไม่เปลี่ยนแปลง การให้บริการด้วยความเสมอภาค จะท าให้ผู้รับบริการเกิดความ ประทับใจ อยากมาใช้บริการบ่อยครั้ง ท าให้เกิดความไม่ถือตัวของผู้ให้บริการ พระพุทธ องค์ได้ทรงแสดงสังคหวัตถุ ๔ ประการไว้ ผู้นี้ควรสงเคราะห์ด้วยทาน ก็สงเคราะห์ด้วย ทานผู้นี้ควรสงเคราะห์ด้วยวาจาอ่อนหวานก็สงเคราะห์ด้วยวาจาอ่อนหวาน ผู้นี้ควร สงเคราะห์ด้วยการประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์ ก็สงเคราะห์ด้วยการประพฤติสิ่งที่เป็น ประโยชน์ ผู้นี้ควรสงเคราะห์ด้วยการวางตัวเสมอ ก็สงเคราะห์ด้วยการวางตัวเสมอ สมานัตตตา แปลได้หลายนัยและความหมายดีๆ ทั้งนั้น เช่น ความไม่ถือตัว คือไม่หยิ่งทะนงตัว การวางตนเหมาะสมแก่ฐานะ ความเป็นผู้เสมอกันในสุขและทุกข์ คือ ร่วมสุขร่วมทุกข์ การประพฤติตนให้เหมาะสมแก่ภาวะบุคคลและเหตุการณ์ การยึด เหนี่ยวน้ าใจกันเสมอต้นเสมอปลาย การวางตนได้เหมาะสมมีความหมาย ๒ ประการคือ ๑) วางตนได้เหมาะสมกับฐานะที่ตนมีอยู่ในสังคม เช่น เป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นบิดามารดา เป็นครูอาจารย์ เป็นเพื่อนบ้าน เป็นต้น ตนอยู่ในฐานะอะไรก็วางตนให้ เหมาะสมแก่ฐานะที่เป็นอยู่ และท าได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ๒) ปฏิบัติตนอย่างสม่ าเสมอต่อคนทั้งหลายให้ความเสมอภาค ไม่เอารัดเอา เปรียบผู้อื่นเสมอในสุขทุกข์คือร่วมสุขร่วมทุกข์ ร่วมรับปัญหาและร่วมแก้ปัญหาเพื่อ ประโยชน์ของสังคม คุณธรรมข้อนี้จะช่วยให้เราเป็นคนมีจิตใจหนักแน่นไม่โลภ รวมทั้ง ยังเป็นการสร้างความนิยม และไว้วางใจให้แก่ผู้อื่นอีกด้วย
๘๖ พระพุทธองค์ได้ตรัสว่าธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวในสังคหวัตถุ ๔ คือ ทาน ๑ เปยยวัชชะ ๑ อัตถจริยา ๑ สมานัตตตา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทานเลิศกว่าทาน ทั้งหลาย การแสดงธรรมบ่อย ๆ แก่บุคคลผู้ต้องสดับนี้เลิศกว่าการพูดถ้อยค าอันเป็นที่รัก การชักชวนคนผู้ไม่มีศรัทธาให้ตั้งมั่นด ารงอยู่ในศรัทธาสัมปทา การชักชวนผู้ทุศีลให้ ตั้งมั่นด ารงอยู่ในศีลสัมปทา การชักชวนผู้ตระหนี่ให้ตั้งมั่นด ารงอยู่ในจาคสัมปทา การชักชวนผู้มีปัญญาทรามให้ตั้งมั่นด ารงอยู่ในปัญญาสัมปทานี้เลิศกว่าประโยชน์ทั้งหลาย พระโสดาบันมีตนเสมอกับพระโสดาบัน พระสกทาคามีมีตนเสมอกับพระสกทาคามีพระ อนาคามีมีตนเสมอกับพระอนาคามีพระอรหันต์มีตนเสมอกับพระอรหันต์ นี้เลิศกว่า ความมีตนเสมอทั้งหลาย นี้เรียกว่าก าลัง คือ การสงเคราะห์๒๑ สรุปได้ว่า ประโยชน์ของสมานัตตา คือการปฏิบัติตนอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เปลี่ยนแปลงด้วยความเสมอภาค ท าให้ผู้รับบริการเกิดความประทับใจ ท าให้เกิด ความไม่ถือตัวของผู้ให้บริการผู้ให้บริการที่การวางตนเหมาะสมแก่ฐานะ มีความเสมอ ภาคเท่าเทียมกันในสุขและทุกข์ บริการด้วยการร่วมสุขร่วมทุกข์ไม่หยิ่งทะนงตัวต่อ ผู้รับบริการประพฤติตนให้บริการอย่างเหมาะสมแก่ภาวะและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ อย่างเหมาะสมให้ความเสมอภาคเท่าเทียมกันและไว้วางใจให้แก่ผู้รับบริการ ๔.๗ สรุป คุณลักษณะผู้น าตามหลักพระพุทธศาสนา ถือว่าเป็นสิ่งที่จ าเป็นและมี ความส าคัญเป็นอย่างยิ่งต่อสังคมไทยอย่างต่อเนื่องทุกทุกสมัย ตั้งแต่ยุคกรุงสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ ในปัจจุบัน มีความส าคัญยิ่งต่อการบริหารจัดการ องค์การให้เข้ากับสถานการณ์ในอดีต และสภาพปัจจุบันตั้งแต่เกิดจนกระทั่งอวสานแห่ง ชีวิตก็ว่าได้ ก็เนื่องด้วยผู้น าองค์การหรือสถาบัน ด ารงตนอยู่ในคุณธรรม และจริยธรรม อันดีงาม จะท าให้ยุคสมัยนั้นเจริญรุ่งเรือง มีความก้าวหน้าในด้านต่าง ๆ น าความสุข สถาพรมาสู่องค์การ และสมาชิกขององค์การมีแบบอย่างให้เห็นเป็นประวัติศาสตร์ หากผู้น าไร้ศักยภาพหรือขาดภาวะผู้น าที่ห่างไกลหลักพระพุทธศาสนาอย่างที่ไม่ควรจะ เป็น ยุคนั้นย่อมประสบกับความเสื่อมความเดือดร้อนองค์การและสมาชิกในองค์การ ย่อมระส่ าระสาย ไม่มีธรรมาภิบาลและความสามัคคีปรองดองกัน เข้าหลักที่ว่า “หาก ศีลธรรมไม่กลับมาโลกาจะวินาศ หากศีลธรรมกลับมาโลกาจะร่มเย็น” ๒๑ดูรายละเอียดใน, องฺ.นวก. (ไทย) ๒๓/๒๐๙/๓๗๗.
๘๗ การวิจัยเรื่องนี้สอดคล้องกับงานวิจัยการพัฒนาคุณลักษณะภาวะผู้น าเชิงพุทธ ของผู้บริหารโรงเรียนวิถีพุทธ วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ฯ ๒๘๖ – ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๑ (มกราคม-เมษายน) ๒๕๖๔ ควรมีการส่งเสริมคุณลักษณะภาวะผู้น าเชิงพุทธของผู้บริหาร โรงเรียนวิถีพุทธในประเทศไทย เป็นการบูรณาการหลักไตรสิกขาใช้ในการบริหารโรงเรียน วิถีพุทธ ๒ ขั้นตอน คือ ขั้นการจัดสภาพและองค์ประกอบ และขั้นการด าเนินการพัฒนา บุคลากรตามระบบไตรสิกขา ซึ่งมีจุดเน้นของการพัฒนาผู้เรียนตามระบบไตรสิกขาที่เป็น ลักษณะการบูรณาการทั้งในกิจกรรมการเรียนการสอนตามหลักสูตรและกิจกรรมวิถีชีวิต ต่าง ๆ ตลอดจน กิจกรรมที่ส่งเสริม “การกิน อยู่ ดู ฟังเป็น ส่งเสริมการพัฒนาผู้เรียน ตามหลักไตรสิกขาทั้งด้านศีล สมาธิ ปัญญา เช่น ๑) ศีล (พฤติกรรม) ได้แก่ มี กิริยามารยาท กิน อยู่ ดู ฟังเป็น รู้จักพิจารณาเลือกเสพสิ่งบริโภคและสื่อต่างๆ ให้เกิด ประโยชน์ด้วยปัญญา รู้จักความพอดีพอประมาณ ในการแสวงหา บริโภค สะสมสิ่ง ต่างๆ ปฏิบัติตามระเบียบ กฎเกณฑ์ภายนอกที่ถูกต้องเพื่อให้เกิด วินัยในตนเอง ไม่ เบียดเบียนตนเอง และผู้อื่นโดยมีศีล ๕ เป็นพื้นฐานในการด าเนินชีวิต และมีชีวิตที่ สัมพันธ์ด้วยดีกับบุคคล ครอบครัว ชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ๒) จิตใจ (สมาธิ) ได้แก่ มีสมรรถภาวะที่ดี คือ มีสมาธิ มีความตั้งมั่น เข้มแข็ง มุ่งมั่นท าดี ด้วย จิตใจกล้าหาญ อดทน สู้สิ่งยาก ขยันหมั่นเพียร ไม่ย่อท้อสามารถ ฟันผ่าอุปสรรคผ่าน ความยากล าบากไปได้ พึ่งตนเองได้ มีคุณภาวะ คือ มีความกตัญญูรู้คุณ มีจิตใจเมตตา กรุณาโอบอ้อมอารีมีน้ าใจ ละอายชั่ว กลัวบาป ซื่อสัตย์ รับผิดชอบ กล้ารับผิด เกิดจิตที่ เป็นกุศลอย่างสม่ าเสมอ และมีสุขภาวะที่ดี คือ มีความสุข ความร่าเริง เบิกบาน มองโลก ในแง่ดี มีก าลังใจ เกิดแรงบันดาลใจในการ เรียนรู้ ในการร่วมกิจกรรมต่าง ๆ เป็นต้น ๓) ปัญญา ได้แก่ มีศรัทธาเลื่อมใสและมีความเข้าใจในพระรัตนตรัย ในกฎแห่งกรรม และในหลักบาปบุญคุณโทษ มีทักษะและอุปนิสัยในการเรียนรู้ที่ดี จูงใจ ใฝ่รู้ รู้จักการ ค้นคว้า การสอนควรเน้นการจัดสภาพทุกๆ ด้าน เช่น มีจัดการเรียนรู้บูรณาการพุทธ ธรรมหรือไตรสิกขาใน ทุกกลุ่มสาระเน้นให้ผู้เรียนได้ความรู้หลักธรรมที่เป็นความรู้ มี ศรัทธาเห็นคุณค่าแท้ของสิ่งที่เรียนและได้ฝึก ปฏิบัติจริงและในการสอนนั้น ครูต้องสอน ผู้เรียนให้ได้ครบทั้งไตรสิกขา คือ พฤติกรรม จิตใจ และปัญญา ๒. ส่งเสริมการเรียนรู้ ของผู้เรียนที่สะท้อนการพัฒนาการกิน อยู่ ดู ฟัง ๓. ส่งเสริมการกิน อยู่ ดู ฟังเป็น ที่จะ น าไปสู่การพัฒนาชีวิตที่สมบูรณ์ในที่สุด ทั้งนี้จะต้องพัฒนาผู้บริหารและครูตามระบบ ไตรสิกขาด้วย เช่น มีการส่งเสริมให้ครูพัฒนาตนเองเป็นแบบอย่างที่ดีในชีวิตจริงแก่ ผู้เรียนในด้านการ กิน อยู่ ดูฟังเป็นเพื่อการบริหารโรงเรียนวิถีพุทธอย่างยั่งยืนสืบไป
๘๘ ๔.๘ เอกสำรอ้ำงอิงประจ ำบท ประพัฒน์ ศรีกูลกิจ. พระไตรปิฎกวิเครำะห์ ฉบับแก้ไข. พิมพ์ครั้งที่ ๒. พิษณุโลก: บริษัท โฟกัส พรินตริ้ง จ ากัด. ๒๕๕๗. พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต). ภำวะผู้น ำ. กรุงเทพมหานคร: ธรรมสภา, ๒๕๔๖. ______. พจนำนุกรมพุทธศำสตร์ ฉบับประมวลธรรม. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑. ______. หน่วยกำรศึกษำที่ ๓ คุณค่ำและควำมหมำยของชีวิต. กรุงเทพมหานคร: ธรรมสภา, ๒๕๔๖. พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต). พุทธวิธีในกำรบริหำร. กรุงเทพมหานคร: โรง พิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๙. พุทธทาสภิกขุ. บริหำรธุรกิจแบบพุทธ. กรุงเทพมหานคร: อตัมมโย, มปป. ธรรมสภา, ๒๕๔๖. พระวีรวัฒน์ รอดสุโข. “เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความคงทนในการ เรียนรู้วิชาพระพุทธศาสนา เรื่อง สังคหวัตถุ ๔ พรหมวิหาร ๔ ไตรลักษณ์ ๓”. วิทยำนิพนธ์ปริญญำกำรศึกษำดุษฎีบัณฑิต สำขำวิชำหลักสูตรและกำรสอน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, ๒๕๕๐. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎก ฉบับภำษำไทย. โรงพิมพ์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. วศิน อินทสระ. กำรท ำบุญให้ทำน. กรุงเทพมหานคร: สร้างสรรค์บุ๊คส์ บจก, ๒๕๕๔. สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร). ธรรมะสร้ำงเยำวชน. กรุงเทพมหานคร: โรง พิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑. สุรศักดิ์ ม่วงทอง. “พุทธธรรมกับภาวะผู้น าที่พึงประสงค์ ศึกษาเฉพาะกรณีก านัน ผู้ใหญ่บ้านจังหวัดนครศรีธรรมราช”. วิทยำนิพนธ์อักษรศำสตรดุษฎีบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๕๓. อรศิริ เกตุศรีพงษ์. “สังคหวัตถุ ๔: วัฒนธรรมองค์กรที่เอื้อต่อการจัดการความรู้”. วำรสำร Productivity World เพื่อกำรเพิ่มผลผลิต. ปีที่ ๑๒ ฉบับที่ ๖๘, (พฤษภาคม–มิถุนายน ๒๕๕๐).
บทที่ ๕ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามแนวพุทธ ********* ๕.๑ ความน า การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์แนวพุทธ เป็นการพัฒนามนุษย์โดยบูรณาการหลัก พุทธธรรม มาเป็นฐานความคิดให้เกิดทักษะ ความรู้ทางศีลธรรม จริยธรรม มีความเป็น เลิศทั้งทางด้านพฤติกรรม จิตใจ และปัญญา โดยผ่านกระบวนการให้การศึกษาบูรณาการ กับหลักหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาหรือหลักกรรมฐาน การพัฒนาบูรณาการกับหลัก ไตรสิกขา และการอบรมบูรณาการกับหลักมหาสติปัฎฐาน จนพัฒนามนุษย์ไปสู่ความ เป็นเลิศและ สมบูรณ์ น าองค์การไปสู่ความมั่นคงและความส าเร็จที่พึงประสงค์ภายใต้ หลักการ หลักเกณฑ์ และหลักธรรม ที่เป็นไปเพื่อความสันติสุขแก่สังคมโดยส่วนรวม เป็นปริโยสาร การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการท างานขององค์การ และของบุคลากร เพื่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้าภายในองค์การ และเพื่อพัฒนาศักยภาพ ของบุคลากรให้เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ มีทักษะ และมีวิสัยทัศน์ที่กว้างขวางขึ้นอีกทั้ง ยังเป็นการเตรียมบุคลากรเพื่อก้าวไปสู่ระดับที่สูงขึ้น สามารถแข่งขันกับเวทีโลกในยุค โลกาภิวัตน์ได้อย่างเท่าเทียม ดังนั้น จึงจ าเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยบูรณาการหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาควบคู่ไปกับศาสตร์สมัยใหม่ การพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์ในทางพระพุทธศาสนานั้นเกิดขึ้นตลอดเวลา นับตั้งแต่องค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้อนุตรสัมโพธิญาณ จนกระทั่งตัดสินพระทัยที่จะเผยแผ่ พระพุทธศาสนาให้ปรากฎแก่ชาวโลก พระองค์ทรงจัดตั้งองค์กรสงฆ์ขึ้นภายหลังจากการ บรรลุธรรม ของเหล่าปัญจวัคคีย์ ซึ่งนับว่าเป็นองค์กรที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ปัจจุบันองค์กรสงฆ์ด ารงอยู่เรื่อยมาและมีหลักประพฤติปฏิบัติที่ไม่เคยเสื่อมคลาย แสดง ให้เห็นถึงศักยภาพขององค์กรและหลักในการประพฤติปฏิบัติที่มั่นคงจนสามารถ ยึดเหนี่ยวให้องค์กร สงฆ์ยั่งยืนอยู่ได้อย่างงดงามน่าศรัทธาเลื่อมใสมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าจะผ่านมานานนับพันปีโดนมรสุมทางการเมือง สังคม และถูกบีบบังคับด้วยวิธีการ ต่าง ๆ จนสูญเสียฐานที่มั่นอันเป็นแดนเกิดขององค์กรทางพระพุทธศาสนา แต่ก็สามารถ เจริญงอกงามในหลายๆ ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา ดังนั้น พระพุทธศาสนาจึงให้ ความส าคัญกับขั้นตอนกระบวนการต่าง ๆ ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเจตจ านงของการจัดตั้งองค์กรสงฆ์นั้นเพื่อให้องค์กรดังกล่าวท าหน้าที่พัฒนา