๙๐ จิตใจมนุษย์ในสังคมโลกให้พ้นจากความทุกข์ ในขณะเดียวกันก็พัฒนา บุคลากรภายใน องค์กรสงฆ์ให้เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ เป็นผู้มีศักยภาพพร้อมจะท างานเพื ่อ พระพุทธศาสนาและพร้อมที่จะเป็นผู้น าทางจิตวิญญาณต่อไป การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในทางโลกนั้น เป็นเรื่องของการบริหารจัดการคนใน องค์กร โดยมุ่งเน้นกิจกรรมเป็นหลัก เช่น การให้การศึกษา การฝึกอบรม การพัฒนา เป็นต้น ซึ่งได้จากการศึกษาค้นคว้าจากแนวคิดและทฤษฎีต่าง ๆ มากมาย แต่ถ้าองค์กรใด น าหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาบูรณาการควบคู่ไปกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ แล้ว องค์กรนั้นจะเกิดประโยชน์สูงสุดและประสบความส าเร็จอย่างแน่นอน การพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์แนวพุทธเพื่อบูรณาการหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาประยุกต์กับการ พัฒนาทรัพยากรมนุษย์อันเป็นศาสตร์สมัยใหม่ให้องค์กรหรือหน่วยงานที่ประสงค์ ความเจริญก้าวหน้า ประสบความส าเร็จสามารถน าไปประยุกต์ใช้ได้อย่างถาวร๑ตาม รายละเอียดประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ ๕.๑ ความน า ๕.๒ แนวคิดและหลักการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามแนวพุทธ ๕.๓ ความหมายของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามแนวพุทธ ๕.๔ หลักการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามแนวพุทธ ๕.๕ หลักพุทธธรรมส าหรับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามแนวพุทธ ๕.๖ รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้น าตามแนวพุทธ ๕.๗ สรุป ๕.๒ แนวคิดและหลักการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามแนวพุทธ แนวคิดและหลักการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามแนวพุทธ หมายถึง การเป็นผู้น า ที่มีประสิทธิผลสามารถที่จะน าพาองค์การไปสู่เป้าหมายที่ก าหนดไว้ได้นั้น ย่อมมี องค์ประกอบต่าง ๆ ที่หลากหลายมาบูรณาการสร้างความเป็นผู้น าขึ้นมา ซึ่งองค์ประกอบ เหล่านั้นบางอย่าง บางประเภทสามารถที่จะเรียนรู้ ฝึกฝนและพัฒนาตนเองให้ดีมี ประสิทธิภาพขึ้นมาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพการณ์ปัจจุบันที่สังคมเกิดการ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และตลอดเวลา จึงมีความจ าเป็นอย่างยิ่งที่ผู้น าองค์การทุกคน ๑ หลักสูตรพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการเชิงพุทธ คณะสังคมศาสตร์, มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๓๘๘ ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๒ (ฉบับพิเศษ) พฤษภาคม-สิงหาคม ๒๕๕๙, หน้า ๑๕.
๙๑ จะต้องพัฒนาตนเองให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก ซึ่งรวมถึงผู้น าในสถาบัน ศาสนา คือ เจ้าอาวาส เจ้าส านัก ครูใหญ่ หรือครูผู้สอนในโรงเรียนพระปริยัติธรรมด้วย ทั้งนี้ เนื่องจากวัดเป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชน ถ้าผู้น าศาสนาที่กล่าวเบื้องตนนั้นไม่มี ภาวะผู้น าที่สอดคล้องกับสังคมปัจจุบัน ย่อมจะท าให้เกิดช่องว่างใน ชุมชน และสังคมได้ ดังนั้น การเป็นผู้น าจึงมิได้เป็นมาแต่ก าเนิดเพียงอย่างเดียว ย่อมสามารถเรียนรู้ และ พัฒนาได้ถ้ามีความปรารถนาจะเป็นผู้น าที่ดีก็ควรจะเรียนรู้ และพัฒนาคุณสมบัติต่อไปนี้ ให้เกิดกับตนเอง๒ ดังนี้คือ ๑. รู้หลักการ คือการรู้งาน รู้หน้าที่ รู้กฎเกณฑ์กติกาที่เกี่ยวข้อง ผู้ที่น าต้องรู้ต้อง ชัด และก็ตั้งมั่นตั้งตนอยู่ในหลักการนั้นให้ได้ ๒. รู้จุดหมาย คือจะต้องรู้จุดหมายอย่างชัดเจน เพื่อน าตนได้ และมีความมุ่งมั่น แน่วแน่ที่จะไปถึงจุดหมายให้ได้ โดยไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคที่เข้ามากระทบกระทั่ง ๓. รู้ตน คือ มีสติเสมอรู้ว่าตนเองคือใคร อยู่สภาวะใด มีคุณสมบัติมีความพร้อม มีความถนัด มีสติปัญญา และความสามารถเพียงใด มีก าลังแค่ไหน มีจุดอ่อนจุดแข็ง อย่างไร ซึ่งจะต้องตรวจสอบตนเอง และเตือนตนเองได้อยู่เสมอ เพื่อการปรับปรุงตัวเอง ให้มีความสามารถยิ่งๆ ขึ้นไป ๔. รู้ประมาณ คือรู้จักความพอดี ต้องรู้จักขอบเขตขีดขั้นความพอเหมาะที่จะ จัดท าในเรื่องต่าง ๆ ให้ได้สัดส่วนพอดี และต้องรู้ว่าในการกระท ากิจกรรมนั้น ๆ มี องค์ประกอบหรือมีปัจจัยอะไรบ้างที่เกี่ยวข้อง และจัดให้ลงตัวพอเหมาะพอดี ๕. รู้กาล คือรู้จักเวลา ได้แก่ การรู้ล าดับ ระยะ จังหวะ ปริมาณ ความเหมาะสม ของเวลาว่าเรื่องนี้จะลง มือท าตอนไหน เวลาไหน และจะท าอะไร อย่างไรจึงจะเหมาะกับ สถานการณ์นั้น ๖. รู้ชุมชน คือ รู้จักสังคมตั้งแต่ในขอบเขตที่กว้างขวาง เช่น รู้จักสังคมโลก รู้ สังคมของประเทศชาติ ว่าอยู่ในสถานการณ์อย่างไร มีปัญหาอะไร มีความต้องการอย่างไร เมื่อรู้ความต้องการก็จะสามารถตอบสนองความต้องการได้ถูกต้องหรือแก้ปัญหาได้ตรงจุด ๗. รู้บุคคล คือ รู้จักบุคคลที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะคนที่มาร่วมงานกัน และคนที่เรา ไปให้บริการตามความแตกต่างเฉพาะตัว เพื่อปฏิบัติต่อผู้อื่นได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และได้ผลตลอดจนสามารถให้ความช่วยเหลือได้ตรงตามความต้องการของบุคคลนั้น ๒ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต), พุทธวิธีในการสอน, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์สหธรรมิก, ๒๕๕๐), หน้า ๑๒-๑๓.
๙๒ ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ได้กล่าวถึงคุณสมบัติพื้นฐานของผู้น าไทยในอนาคตไว้ว่า ควรจะมีส่วนส าคัญ ๕ ประการ คือ๓ ๑. สภาพจิตใจมีความมั่นคงหรือมีความกล้าในระดับหนึ่ง ๒. เป็นผู้มีความเมตตากรุณา รักความถูกต้อง และรู้จักเสียสละ ๓. เป็นผู้มีทัศนคติ มุ่งไปข้างหน้า มุ่งไปในทางสร้าง มุ่งไปในทางแก้ มุ่งไปในทาง น า คือ มีวิธีมองโลก วิธีมองคนในเชิงบวกมากกว่าเชิงลบ ๔. เป็นผู้มีความสามารถในด้านการพูด การแสดงออก เนื่องจากผู้น าต้องพูดกับ คนต้องเกี่ยวกับคน ๕. เป็นผู้ท าอะไรให้ได้ผลจริงจัง มีผลงาน จะบริหารงานก็บริหารได้ ท าอะไรเอง ก็ท าได้ และต้องแก้ปัญหาก็แก้ได้ สิปปนนท์ เกตุทัต กล่าวว่า ผู้ที่มีศักยภาพที่จะประสบความส าเร็จในหน้าที่การ งานได้นั้น ต้องประกอบด้วยพื้นฐาน ๙ ประการ๔ ดังนี้ ๑. ต้องเป็นคนเก่ง คือ มีความแม่นย า เที่ยงตรง ซื่อสัตย์สุจริตในวิชาชีพ และ วิชาการ ๒. เป็นคนดี จะต้องมีวินัยในตนเอง และมีความรับผิดชอบ ๓. ท างานร่วมกับผู้อื่นได้ โดยมุ่งที่เป้าหมาย และมุ่งผลงานส่วนรวม ๔. มีความกล้า คือ กล้าพึ่งตนเองด้วยความมั่นใจ มีความเป็นตัวของตัวเอง ๕. กล้าหาญทางจริยธรรม ๖. อดทน และรับฟังค าวิจารณ์ ต่ออุปสรรคปัญหา และมีความมุมานะพากเพียร ๗. บริหารจัดการเป็น โดยอาศัยพื้นฐานจากการเข้าใจระบบ วางแผนเป็น และ รู้จักวางล าดับ และประมาณงานเป็น ๘. ตัดสินใจอย่างมีวิจารณญาณ ทั้งโดยมีมุมมองในระดับกว้างไกล และลึกซึ้ง ๙. มีส านึกรับผิดชอบต่อสังคม ๑๐. เคยประสบความส าเร็จมาพอสมควร จะช่วยให้เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง การพัฒนาภาวะผู้น าในโรงเรียนพระปริยัติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับผู้บริหาร ซึ่งหมายถึงเจ้าอาวาส เจ้าส านักเรียน ครูใหญ่ ที่ปฏิบัติหน้าที่ผิดชอบทั้งด้านการบริหาร จัดการ การปกครองบุคลกรภายในวัด การให้การศึกษาอบรมสั่งสอน พระสงฆ์สามเณร ๓ ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม, ภาวะผู้น าของไทยในอนาคต: ภาวะผู้น า ความส าคัญต่ออนาคต ไทย, (กรุงเทพมหานคร: ส านักพิมพ์พิมพ์ไทย, ๒๕๖๐), หน้า ๙๖.๔ สิปปนนท์ เกตุทัต, วิสัยทัศน์กว้างไกลปฏิบัติได้ผลจริง: ภาวะผู้น า ความส าคัญต่อ อนาคตไทย, (กรุงเทพมหานคร: ส านักพิมพ์พิมพ์ไทย, ๒๕๖๐), หน้า ๔๕.
๙๓ บุคลากรในวัด และชุมชน จึงมีความส าคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้แนวคิดทฤษฎี เกี่ยวกับภาวะผู้น า โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะผู้น าตามหลักพุทธจริยธรรม น ามาฝึกปฏิบัติ เรียนรู้ และพัฒนาเชื่อมโยงจากประสบการณ์ของผู้อื่น ก ่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์ของ องค์ประกอบ ๒ ประการคือ ๑) หลักการหรือทฤษฎี และ ๒) ประสบการณ์หรือการปฏิบัติ ซึ่งจ าเป็นต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น แล้วจึงถ่ายโยงมาเป็นประสบการณ์ของ ตนเอง ๕ ดังภาพประกอบ ภาพแสดงองค์ประกอบหลักของการพัฒนาภาวะผู้น า ที่มา: เสริมศักดิ์ วิศาลาภรณ์, ๒๕๓๖: ๒๙. ภาวะผู้น า. โดยสรุป การพัฒนาภาวะผู้น าเป็นกระบวนการที่จะเพิ่มความสามารถของบุคคล ซึ่งท าหน้าที่ในการบริหารงานทั้งในส่วนที่เป็นบทบาทของภาวะผู้น า การพัฒนา ความสามารถของแต่ละบุคคลให้มีประสิทธิผล โดยมีความเชื่อว่าบุคคลสามารถพัฒนา ความสามารถเป็นผู้น าได้ โดยสมมติฐานว่าบุคคลสามารถเรียนรู้ เติบโต และเปลี่ยนแปลงได้ แม้ว่า ความสามารถของการเป็นผู้น าจะมีพื้นฐานบางส่วนที่น ามาจากพันธุกรรม แต่ก็เป็นที่ ยอมรับว่าความสามารถบางส่วนมาจากการพัฒนาในวัยเด็ก และบางส่วนมาจาก ประสบการณ์ในวัยผู้ใหญ่ สิ่งส าคัญคือ ในวัยผู้ใหญ่สามารถพัฒนาความสามารถที่ส าคัญ ซึ่งเอื้อต่อการเกิดประสิทธิผลของผู้น าได้ ดังนั้นผู้น าจะต้องสร้างคุณสมบัติที่ดีให้เกิดขึ้นใน ตนเอง ทั้งตระหนักถึงความส าคัญของหลักการพื้นฐานในการเรียนรู้ และพยายามน ามาใช้ สร้างสมรรถนะในการปฏิบัติงาน ซึ่งเกิดจากความสามารถในการประยุกต์ความรู้ ทฤษฎี ๕ Adair, อ้างถึงใน เสริมศักดิ์ วิศาลาภรณ์, ในประมวลสาระชุดวิชาทฤษฎีและแนวปฏิบัติ ในการบริหารการศึกษา, (นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๕๖), หน่วยที่ ๕ - ๘. หลักการหรือทฤษฎี ตัวอย่างของคนอื่น การเป็นผู้น า หลักการหรือทฤษฎี ประสบการณ์หรือการ ปฏิบัติของตนเอง ประสบการณ์ของตน
๙๔ และประสบการณ์ จนน าไปใช้ในการแก้ปัญหาหรือสร้างสรรค์ให้เกิดการพัฒนาทั้งทางด้าน ความรู้ ความสามารถ ทักษะ เจตคติ พฤติกรรม ค่านิยมหรือคุณธรรม ซึ่งผู้บริหารจะมี สมรรถนะในด้านต่าง ๆ แตกต่างกัน ผู้บริหารที่มีสมรรถนะสูงจะเป็นบุคคลที่ประสบ ความส าเร็จในการบริหารองค์การ ดังนั้น การพัฒนาผู้น าจะต้องด าเนินการอย่างเป็น ระบบ และต่อเนื่อง จึงจะสร้างผลงานได้อย่างมีคุณค่าสูงสุด ๕.๓ ความหมายของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามแนวพุทธ ดนัย เทียนพุฒิ๖ ได้กล่าวถึง แนวคิดการพัฒนาศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ว่า ในยุคโลกาภิวัตน์นี้ว่าทรัพยากรมนุษย์ เป็นกุญแจไขสู่ความส าเร็จของชาติ ถ้าหาก ประเทศใดประเทศหนึ่งมีทรัพยากรมนุษย์ที่มีศักยภาพคุณภาพ และจริยธรรมสูง เชื่อว่า เราคงก้าวเข้าไปแข่งขันในโลกไร้พรมแดนได้อย่างไม่ยากเย็นนัก มุมมองใหม่ในการ พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ตามกรอบแนวคิดการ พัฒนาศักยภาพของมนุษย์ เพื่อให้ธุรกิจ สามารถน าไปเป็นรูปแบบเพื่อพัฒนาองค์การที่น าไปสู่ ความส าเร็จได้ทั้งองค์การและ ประเทศชาติมี ดังนี้ ๑) ระดับจุลภาค เป็นระดับการเรียนรู้ในองค์การซึ่งมีอยู่ ๓ ระดับ คือ ๑.๑) การเรียนรู้ของบุคคล (Individual Learning) หัวใจส าคัญอยู่ที่การ เรียนรู้เกี่ยวกับแนวคิดในการท างานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๒) การเรียนรู้ของทีม (Team Learning) เป็นรูปแบบการพัฒนาการ ท างานเป็นทีมที่มีลักษณะข้ามฝ่ายงาน การสั่งตนเอง และการจัดการ ความคิดที่แตกต่าง ๑.๓) องค์การแห่งการเรียนรู้ (Organizational Learning) เป็นการเรียนรู้ ระดับ สูงสุดในองค์การ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากการเกิดมีการเรียนรู้ การพัฒนาองค์การให้เป็น องค์การแห่งการ เรียนรู้นี้จะเน้นเรื่องการเรียนรู้ในสถานที่ท างาน การมีความคิดแบบเป็น ระบบหรือบูรณาการ การพัฒนาตนเองเป็นบุคคลผู้รอบรู้การมีเป้าหมายร่วมกัน และ การบูรณาการเพื่อจัดการทรัพยากรอย่าง มีประสิทธิภาพ ๒) ระดับมหภาค เมื่อสามารถพัฒนาคนในองค์การให้เกิดการเรียนรู้ได้ ระดับ หนึ่งแล้ว ก็จะก้าวไปสู่การพัฒนาระดับมหภาคต่อไป ซึ่งมีอยู่ ๓ ระดับเช่นกัน คือ ๖ ดนัย เทียนพุฒิ, กลยุทธ์การพัฒนาคน: ส าหรับนักฝึกอบรมมืออาชีพโปรแกรม: การ จัดท าแบบฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากร, (กรุงเทพมหานคร: บุ๊คแบงก์,๒๕๖๐), หน้า ๕๕. วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ 389.
๙๕ ๒.๑) การพัฒนาระดับ ชุมชนหรือประเทศ เป็นการพัฒนาองค์ความรู้หรือ เทคโนโลยีของเราเอง มีลักษณะที่เรียกว่า ภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่เป็นสติปัญญาหรือ มันสมองให้กับสังคมหรือประเทศชาติ ๒.๒) การพัฒนาระดับภูมิภาค เป็นการพัฒนาด้านวัฒนธรรมหรือการข้าม วัฒนธรรมที่จะเตรียมเข้าแข่งขันในระดับโลก พร้อมกับการพัฒนาความสามารถในการคิด เชิงกลยุทธ์ที่จะเข้าแข่งขันในธุรกิจที่รุนแรงระดับภูมิภาค ๒.๓) การพัฒนาสู่ระดับโลก เป็นระดับสุดยอดของการพัฒนา คือ สามารถ บูรณาการทั้งการ เรียนรู้และการพัฒนาเข้ามาเป็นหนึ่งเดียว จนท าให้ประเทศของเรา ก้าวหน้าไปสู่เวทีโลกระดับนานาชาติแบบนักกลยุทธ์ระดับโลกที่มีความพร้อมด้านศักยภาพ ของคน เทคโนโลยี การจัดการและทุนเป็นต้น พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต)๗ ได้กล่าวว่า การพัฒนาทรัพยากร มนุษย์ คือ การศึกษาอบรมในพระพุทธศาสนาโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ดังจะเห็นได้ จากการจัดการเรียน การสอนให้สอดคล้องกับการพัฒนาการและวุฒิภาวะของผู้เรียน โดยที่พระพุทธเจ้าทรงเทียบความ พร้อมในการศึกษาเล่าเรียนของบุคคลเข้ากับบัวสี่เหล่า และทรงจ าแนกประเภทของบุคคลที่จะเข้ารับการศึกษาอบรมไปตามจริต ๖ และที่ส าคัญ คือ พระพุทธเจ้ามุ่งให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ตัวอย่างเช่น การบริหารงานบุคคล ในพระพุทธศาสนา เริ่มตั้งแต่การรับเข้ามาบวชที่ต้องมีการ กลั่นกรองโดยคณะสงฆ์ พระพุทธเจ้าทรงมอบความเป็นใหญ่ให้คณะสงฆ์ในการให้การอุปสมบทแก่ กุลบุตร เมื่อบวชเข้ามาแล้ว พระบวชใหม่จะต้องได้รับการฝึกหัดอบรมและการศึกษาเล่าเรียนจาก พระอุปัชฌาย์โดยอยู่ภายใต้การปกครองดูแลของท่านจนพรรษาครบ ๕ พรรษา Filippo ให้ความหมายว่า การพัฒนาบุคลากร หมายถึง การเพิ่มทักษะด้วยการ ฝึกอบรมเพื่อให้ปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้อง๘ Pace. RW. Smith ได้ให้ความหมายว่า การพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์ หมายถึง กิจกรรมที่จะน ามา ซึ่งคุณภาพและความสามารถในการผลิตของพนักงาน และน ามาซึ่ง ความพอใจงานระหว่างพนักงาน หัวหน้างานและพนักงานอื่น ๆ โดยการพัฒนาต้องท าทั้ง ๗ พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต), พุทธวิธีการบริการ, (มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๙), หน้า ๓๙.๘ Flippo. Edwin B, Management: A Behavioral Approach, (Boston: Allyn & bacon, 1971). ๓๙๐ ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๒ (ฉบับพิเศษ) พฤษภาคม-สิงหาคม ๒๕๕๙.
๙๖ ระดับปัจเจกบุคคล (Individual Development) ระดับองค์การ (Organization Development) การพัฒนาอาชีพ (Career Development)๙ ๕.๔ หลักการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามแนวพุทธ หลักการของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามแนวพุทธ สามารถจ าแนกออกเป็น ๓ แนวทางใหญ่ ๆ คือ๑๐ ๑. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นการด าเนินงานให้บุคลากรได้รับประสบการณ์ และการเรียนรู้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อนามาปรับปรุงความสามารถในการท างานโดย วิธี ๓ ประการ คือ ๑) การฝึกอบรม (Training) เป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ มุ่งเน้น เกี่ยวกับงานที่ปฏิบัติอยู่ในปัจจุบัน เป้าหมายคือการยกระดับความรู้ ความสามารถ ทักษะของพนักงานใน ขณะนั้นให้สามารถท างานในต าแหน่งนั้น ๆ ได้ ผู้ที่ผ่านการอบรม ไปแล้วสามารถน าความรู้ไปใช้ได้ทันที ๒) การศึกษา (Education) การศึกษานับว่าเป็นวิธีการพัฒนาทรัพยากร มนุษย์โดยตรง เพราะการให้การศึกษาเป็นการเพิ่มพูนความรู้ ทักษะ ทัศนคติ ตลอดจน เสริมสร้าง ความสามารถในการปรับตัวในทุก ๆ ด้านให้กับบุคคล ถ้าพิจารณาในแง่ องค์การแล้ว การศึกษาจะ เน้นการเตรียมพนักงานให้มีความพร้อมที่จะท างานตาม ความต้องการขององค์การในอนาคต หรืออีกกรณีหนึ่ง การให้การศึกษาสามารถใช้เพื่อ เตรียมพนักงานเพื่อการเลื่อนต าแหน่งงานใหม่ซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลานาน ๓) การพัฒนา (Development) เป็นกระบวนการปรับปรุงองค์การให้มี ประสิทธิภาพ เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่ไม่ได้มุ้งเน้นที่ตัวงาน แต่มีจุดเน้นเพื่อให้เกิดการ เปลี่ยนแปลง ตามที่องค์การต้องการ การพัฒนาองค์การนั้นเป็นการเตรียมความพร้อม ให้กับองค์การเพื่อการ ปฏิบัติงานขององค์การในอนาคต เพื่อให้สอดคล้องกับเทคโนโลยี รวมทั้งสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ที่ เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ๒. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นการน ากิจกรรมที่มีการก าหนดและวางรูป แบบอย่างมีระบบมาใช้เพื่อเพิ่มพูนความรู้ ความสามารถ ทักษะและปรับปรุงพฤติกรรม ของพนักงานให้ดีขึ้น โดยมุ่งเน้นการพัฒนาใน ๓ ส่วน คือ ๙ Pace. RW. Smith, Human Resource Development, (New Jersey: Prentlice Hall, 1991), p 7. ๑๐นิสดารก์ เวชยานนท์, บทความทางวิชาการ HR, (กรุงเทพมหานคร: คณะรัฐประศาสน ศาสตร์, สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, ๒๕๕๘), หน้า ๒๐ – ๔๐.
๙๗ ๑) การพัฒนาบุคคล (Individual Development) ความจ าเป็นในระดับ บุคคล ในการเรียนรู้และการพัฒนาตามที่ Barrow and Loughlin กล่าวว่า องค์การ จ าเป็นจะต้องให้พนักงาน เพิ่มพูนความรู้และความสามารถในสิ่งต่อไปนี้ คือ ประการแรก ควรให้การศึกษาแก่พนักงานเพื่อให้พนักงานสามารถปฏิบัติงาน ให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างมีประสิทธิผล และให้เขาเกิดความเข้าใจใน บทบาทของตนที่พึงอุทิศให้กับองค์การและสามารถตัดสินใจในการท างานได้อย่าง เหมาะสม ประการที่สอง องค์การต้องให้พนักงานมีการเพิ่มพูนความรู้และทักษะ ใหม่ ๆ และมีความสามารถในการปรับตัวได้ทันต่อสภาวะการเปลี่ยนแปลง โดยการ เรียนรู้ การพัฒนาความสามารถของตนเองและจะต้องมีการพัฒนาทักษะต่าง ๆ อย่าง ต่อเนื่อง และทันสมัยอยู่เสมอ ประการที่สาม องค์การต้องให้พนักงานมีความสามารถในการท างานใน โครงสร้างแบบแบนราบและ มีสายการบังคับบัญชาที่สั้นกระชับ การท างานที่มีการ ควบคุมดูแลไม่มากนัก การมีวัตถุประสงค์และการตรวจสอบการท างานของตนเอง ตลอดจนการปรับปรุงแก้ไขข้อผิดพลาดด้วยตนเอง ประการที่สี่ องค์การต้องให้พนักงานมีความสามารถในการติดต่อสื่อสารกับ ลูกค้า การประสานงานระหว่างแผนกต่าง ๆ และมีทักษะทางด้านมนุษยสัมพันธ์ที่ดี นอกจากนั้น บุคลากรในองค์การยังจ าเป็นต้อง มีความยืดหยุ่นในการท างาน มีความ สามารถในการจัดการเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น และด าเนินการจัดการกับงาน ใหม่ ๆ อีกทั้งบุคลากรจะต้องมีความรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ตนเองให้มากขึ้นอีกด้วย โดยจะต้องพัฒนาตนเองให้มีลักษณะเป็นผู้ที่สามารถท างานได้ทันที ๒) การพัฒนาสายอาชีพ (Career Development) เป็นหน้าที่ของทั้งฝ่าย องค์การ และฝ่ายพนักงาน ในส่วนของพนักงานแต่ละคนจะต้องยอมรับว่าตนมีหน้าที่ใน การพัฒนาสายงาน อาชีพของตนด้วย โดยต้องคอยประเมินตนเองอยู่เสมอและปฏิบัติ ตามขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้ตนเอง ก้าวขึ้นไปในสายงานอาชีพ การพัฒนาสายงานอาชีพ จะเน้นโอกาสในงานอาชีพที่ตอบสนองความ สนใจและความต้องการส่วนบุคคล และ ความต้องการขององค์การให้สอดคล้องกัน โดยที่องค์การจะต้องก าหนดแผนพัฒนาสาย งานและการจัดการสายงานของบุคลากร โดยอาศัยแผนปฏิบัติการ ทรัพยากรมนุษย์ที่ ได้รับการวางแผนไว้เรียบร้อยแล้วมาเป็นแนวทางการด าเนินการ อย่างไรก็ดี การพัฒนา สายงานอาชีพจะมีความแตกต่างกับการพัฒนาบุคคลเพราะการพัฒนาสายงานอาชีพเน้น ที่ประสิทธิภาพของงานระยะยาวและมุ่งความส าเร็จของบุคคลเป็นส าคัญ กล่าวได้ว่า การพัฒนาสายงานอาชีพ คือการพัฒนาส่งเสริมให้พนักงานพัฒนาตนเองตลอดชีวิตการ
๙๘ ท างาน ดังนั้น การเลือกอาชีพงานจึงต้องจัดท าเป็นกระบวนการไม่ว่าจะมีโอกาสก้าวหน้า หรือไม่ก็ตาม บุคคลจะต้องพัฒนาสายงานอาชีพทุกขั้นตอนตลอดชีวิตการท างาน ซึ่งเมื่อ บุคคลเข้าเป็นสมาชิกในองค์การก็ย่อม ต้องการความเจริญก้าวหน้าในสายงานอาชีพของ ตนเอง จะเห็นได้ว่าการพัฒนาสายงานอาชีพ จึงเป็นความรับผิดชอบและความมุ่งหมาย ร่วมกันทั้งองค์การและบุคลากร ๓. การพัฒนาองค์การ (Organization Development) การพัฒนาองค์การ มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพและปรับปรุงสุขภาพขององค์การให้แข็งแรงสมบูรณ์ ยิ่งกว่าเดิม นอกจากนี้การพัฒนาองค์การจะต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้เกิดขึ้นใน จุดใดจุดหนึ่ง แต่จะต้องเป็นไปทั่วทั้งระบบขององค์การ และการพัฒนาองค์การจะต้อง ค านึงถึงการปรับเปลี่ยนค่านิยมและวัฒนธรรม ซึ่งจะต้องเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงที่ ความคิดของคนในองค์การเสียก่อน เมื่อคนในองค์การเปลี่ยนแปลงความคิดแล้วย่อมจะ ช่วยส่งผลเชื่อมโยงไปยังการปรับเปลี่ยนโครงสร้างในการท างานและปรับเปลี่ยนการใช้ เทคโนโลยี ๔. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development) คือ การพัฒนาองค์การให้เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) ซึ่งหลักการ นี้จะเป็นการบูรณาการระหว่างการเรียนรู้และงานเข้าด้วยกันซึ่งสามารถรวมกันได้อย่าง ต่อเนื่องและเป็น ระบบใน ๓ ส่วน คือ ในระดับบุคคล (Individual) ระดับกลุ่ม หรือทีม ผู้ปฏิบัติงาน (Work Groups or Teams) และระดับระบบโดยรวม (System) และ กระบวนการเรียนรู้แบ่งออกเป็น ๓ ประเภท คือ ๑) การเรียนรู้จากประสบการณ์ ๒) การเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบัน ๓) การเรียนรู้เพื่อเตรียมตัวส าหรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ๕.๕ หลักพุทธธรรมส าหรับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามแนวพุทธ ๕.๕.๑ หลักกรรมฐาน เป็นการศึกษาเรื่องงานที่ท าให้จิตใจสูงขึ้น ให้จิตใจ ประเสริฐยิ่งขึ้น ไม่ปล่อยจิตใจให้ว่างงาน ไม่ปล่อยให้เป็นทาสของกิเลส ดังนั้น การพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์จึงจ าเป็นต้องพัฒนาควบคู่ไปกับการศึกษาหลักกรรมฐาน ๒ ประการคือ ๕.๕.๑.๑ หลักสมถะกรรมฐาน หมายถึง อุบายที่ยังกิเลสมีนิวรณ์ทั้งหลายให้ สงบระงับ จนท าให้เกิดจิตที่เป็นสมาธิ โดยก าหนดอารมณ์ของสมถะกรรมฐาน ๔๐ ได้แก่ กสิณ ๑๐ อันเป็นวัตถุส าหรับเพ่งเพื่อยังจิตให้เป็นสมาธิ ซึ่งประกอบด้วย ๑) ปฐวีกสิณ กสิณ คือ ดิน ๒) อาโปกสิณ กสิณ คือ น้ า ๓) เตโชกสิณ กสิณ คือ ไฟ ๔) วาโยกสิณ
๙๙ กสิณ คือ ลม ๕) นีลกสิณ กสิณ คือ สีเขียว ๖) ปีตกสิณ กสิณ คือ สีเหลือง ๗) โลหิตกสิณ กสิณ คือ สีแดง ๘) โอทาตกสิณ กสิณ คือ สีขาว ๙) อาโลกกสิณ กสิณ คือ แสงสว่าง ๑๐) อากาสกสิณ กสิณ คือ ที่ว่างเปล่า๑๑ อสุภะ ๑๐ เป็นสภาพที่ไม่งาม ซากศพในสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วย ๑) อุทธุมาตกะ ซากศพที่เน่าพองขึ้นอืด ๒) วินีลกะ ซากศพที่มีสีเขียวคล้ าคละด้วยสีต่างๆ ๓) วิปุพพกะ (ซากศพที่มีน้ าเหลืองไหลเยิ้มอยู่ตามที่ที่แตกปริออก ๔) วิจฉิททกะ ซากศพ ที่ขาดจากกันเป็น ๒ ท่อน ๕) วิกขายิตกะ ซากศพที่ถูกสัตว์ เช่น แร้ง กา สุนัข จิกทึ้ง กัดกินแล้ว ๖) วิกขิตตกะ ซากศพที่กระจุยกระจาย มือเท้าศีรษะหลุดออกไปข้างๆ ๗) หตวิกขิตตกะ ซากศพที่ถูกสับฟันบั่นเป็นท่อนๆ กระจายออกไป ๘) โลหิตกะ ซากศพ ที่มีโลหิต ไหลอาบเรี่ยราดอยู่ ๙) ปุฬุวกะ ซากศพที่มีหนอนคลาคล่ าเต็มไปหมด ๑๐) อัฏฐิกะ ซากศพที่ยัง เหลืออยู่แต่ร่างกระดูกหรือกระดูกท่อน๑๒ อนุสติ ๑๐ เป็นอารมณ์ที่ควรระลึกถึงเนือง ๆ ซึ่งประกอบด้วย ๑) พุทธานุสติ ระลึกถึงพระพุทธเจ้า คือ น้อมจิตระลึกถึงและพิจารณาคุณของ พระองค์ ๒) ธัมมานุสติ ระลึกถึงพระธรรม คือ น้อมจิตระลึกถึงและพิจารณาคุณของพระธรรม ๓) สังฆานุสติ ระลึกถึงพระสงฆ์ คือ น้อมจิตระลึกถึงและพิจารณาคุณของพระสงฆ์ ๔) สีลานุสติ ระลึก ถึงศีล คือ น้อมจิตระลึกพิจารณาศีลของตนที่ได้ประพฤติปฏิบัติบริสุทธิ์ไม่ด่างพร้อย ๕) จาคานุสติระลึกถึงการบริจาค คือ น้อมจิตระลึกถึงทานที่ตนได้บริจาคแล้ว และ พิจารณาเห็นคุณธรรมคือความเผื่อแผ่เสียสละนี้ที่มีในตน ๖) เทวตานุสติ ระลึกถึง เทวดา คือ น้อมจิตระลึกถึงเทวดาทั้งหลายที่ตน เคยรู้และพิจารณาเห็นคุณธรรมอันท า บุคคลให้เป็นเทวดานั้น ๆ ตามที่มีอยู่ในตน ๗) มรณสติ ระลึก ถึงความตายอันจะต้องมี มาถึงตนเป็นธรรมดา พิจารณาที่จะให้เกิดความไม่ประมาท ๘) กายคตาสติสติอันไปใน กาย คือ ก าหนดพิจารณากายนี้ ให้เห็นว่าประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ อันไม่สะอาด ไม่งาม น่ารังเกียจ เป็นทางรู้เท่าทันสภาวะของกายนี้ มิให้หลงใหลมัวเมา ๙) อานาปานสติ สติ ก าหนดลมหายใจเข้าออก ๑๐) อุปสมานุสติ ระลึกถึงธรรมเป็นที่สงบ คือ ระลึกถึงและ พิจารณาคุณของพระนิพพาน อันเป็นที่ระงับกิเลสและความทุกข์๑๓ พรหมอัปปมัญญา ๔ เป็นธรรมที่ประเสริฐประจ าใจ ซึ่งประกอบด้วย ๑) เมตตา ความรักใคร่ ปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข มีจิตอันแผ่ไมตรีและคิด ท าประโยชน์แก่ มนุษย์สัตว์ทั่วหน้า ๒) กรุณา ความสงสาร คิดช่วยให้พ้นทุกข์ ใฝ่ใจในอันจะปลดเปลื้อง ๑๑ดูรายละเอียดใน, วิสุทธิ. (ไทย) ๑/๓๑๕/๑๕๐-๒๑๗. ๑๒ดูรายละเอียดใน, วิสุทธิ. (ไทย) ๑/๓๓๖/๒๒๖.๑๓ดูรายละเอียดใน, องฺ.เอก. (ไทย) ๒๐/๑๗๙-๑๘๐/๓๙-๔๐.
๑๐๐ บ าบัดความทุกข์ยากเดือดร้อนของปวงสัตว์ ๓) มุทิตา ความยินดี ในเมื่อผู้อื่นอยู่ดีมีสุข มีจิตผ่องใสบันเทิง กอปรด้วยอาการแช่มชื่นเบิกบานอยู่เสมอ ต่อสัตว์ทั้งหลายผู้ด ารงใน ปกติสุข พลอยยินดีด้วยเมื่อเขาได้ดีมีสุข เจริญงอกงามยิ่งขึ้นไป ๔) อุเบกขา ความวางใจ เป็นกลาง อันจะให้ด ารงอยู่ในธรรมตามที่พิจารณาเห็นด้วยปัญญา คือมีจิตเรียบตรงเที่ยง ธรรมดุจตราชั่ง ไม่เอนเอียงด้วยรักและชัง พิจารณาเห็นกรรมที่สัตว์ทั้งหลายกระท าแล้ว อันควรได้รับผลดีหรือชั่ว สมควรแก่เหตุอันตน ประกอบพร้อมที่จะวินิจฉัยและปฏิบัติไป ตามธรรม รวมทั้งรู้จักวางเฉยสงบใจมองดู ในเมื่อไม่มีกิจที่ควรท า เพราะเขารับผิดชอบ ตนได้ดีแล้ว เขาสมควรรับผิดชอบตนเอง หรือเขาควรได้รับผลอันสมกับความรับผิดชอบ ของตน อาหาเรปฏิกูลสัญญา เป็นการก าหนดพิจารณาความเป็นปฏิกูล ในอาหารจตุธาตุ วัฏฐาน เป็นการก าหนดพิจารณาธาตุ ๔, พิจารณาเห็นร่างกายของตนโดยสักว่า เป็นธาตุ ๔ แต่ละอย่าง ๆ และ รูป หรือ อารูป ๔ หมายถึง ฌานมีรูปธรรมเป็นอารมณ์ คือ อรูป ฌาน ภพของสัตว์ผู้เข้าถึงอรูปฌาน ภพของอรูปพรหม ๑) อากาสานัญจายตนะ ฌาน อันก าหนด อากาศ คือ ช่องว่างหาที่สุดมิได้เป็นอารมณ์หรือภพของผู้เข้าถึงฌานนี้ ๒) วิญญาณัญจายตนะ ฌานอันก าหนดวิญญาณหาที่สุดมิได้เป็นอารมณ์ หรือภพของผู้ เข้าถึงฌานนี้ ๓) อากิญจัญญายตนะ ฌานอันก าหนดภาวะที่ไม่มีอะไรๆ เป็นอารมณ์ หรือ ภพของผู้เข้าถึงฌานนี้ ๔) เนวสัญญานาสัญญายตนะ ฌานอันเข้าถึงภาวะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ หรือภพของผู้เข้าถึงฌานนี้๑๔ ๕.๕.๑.๒ หลักวิปัสสนากรรมฐาน เป็นอุบายและเป็นเครื่องเรืองปัญญา กรรมฐานที่ท าให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งรู้จริง ซึ่งประกอบด้วย ขันธ์ ๕๑๕ อายตนะ ๑๒๑๖ ธาตุ ๑๘๑๗ อินทรีย์๒๒๑๘ อริยสัจ ๔๑๙ ปฏิจจสมุปบาท ๑๒๒๐ ๕.๕.๒ หลักไตรสิกขา เป็นข้อที่ต้องศึกษาส าหรับการพัฒนากาย วาจา จิตใจ และ ปัญญา ให้บรรลุจุดมุ่ง หมายสูงสุดคือพระนิพพาน ซึ่งหลักไตรสิกขานี้ประกอบด้วย ๑) อธิสีลสิกขา หมายถึง สิกขาคือศีลอันยิ่ง เป็นข้อปฏิบัติส าหรับการพัฒนา ทางความประพฤติอย่าง สูง ๑๔ดูรายละเอียดใน, ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๒๓๕/๒๓๕. 394๑๕ดูรายละเอียดใน, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๑/๑. ๑๖ดูรายละเอียดใน, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๙๙/๘๕.๑๗ดูรายละเอียดใน, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๑๒๔/๑๐๘.๑๘ดูรายละเอียดใน, วินย. (ไทย) ๔/๑๔/๑๘.๑๙ดูรายละเอียดใน, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๒๗๔/๑๘๕.๒๐ดูรายละเอียดใน, ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๒๒๘/๒๓๑.
๑๐๑ ๒) อธิจิตตสิกขา หมายถึง สิกขาคือจิตอันยิ่ง เป็นข้อปฏิบัติส าหรับการ พัฒนาจิตใจให้เกิด คุณธรรมอย่างสูงสุด ๓) อธิปัญญาสิกขา หมายถึง สิกขาคือปัญญาอันยิ่ง เป็นข้อปฏิบัติส าหรับ พัฒนาปัญญา เพื่อให้เกิดความรู้แจ้งอย่างสูง ซึ่งทั้ง ๓ ข้อข้างต้นสามารถเรียกง่ายๆ ว่า ศีล สมาธิปัญญา๑๘ ๕.๕.๓ หลักมหาสติปัฎฐาน เป็นหลักการก าหนดพิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รู้เห็น ตามสภาพความเป็นจริง โดยการก าหนดด้วยสติ ซึ่งประกอบด้วย ๑) กายานุปัสสนา สติปัฏฐาน เป็นการ ใช้สติก าหนดพิจารณากายให้รู้ตาม ความเป็นจริงว่าเป็นแต่เพียงกาย ไม่ใช่ตัวตนของเรา โดยท่าน จ าแนกการปฏิบัติไว้หลาย อย่าง คือ การก าหนดลมหายใจ การก าหนดรู้ทันอิริยาบถ การสร้าง สัมปชัญญะในการ กระท าความเคลื่อนไหวทุกอย่าง การพิจารณาส่วนประกอบอันไม่สะอาดทั้งหลายที่ ประชุมเข้าเป็นร่างกายนี้ การพิจารณาเห็นร่างกายของตนโดยสักว่าเป็นธาตุแต่ละอย่างๆ การพิจารณาซากศพในสภาพต่าง ๆ ๒) เวทนานุปัสสนา สติปัฏฐาน การตั้งสติก าหนดพิจารณาเวทนา ให้รู้เห็น ตามเป็นจริงว่าเป็นแต่เพียงเวทนา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเรา มีสติรู้ชัดเวทนาอันเป็นสุขก็ดี ทุกข์ก็ดีเฉย ๆ ก็ดี ทั้งที่เป็นสามิส และเป็นนิรามิสตามที่เป็นไปอยู่ในขณะนั้น ๆ ๓) จิตตานุปัสสนา สติปัฏฐาน การตั้งสติก าหนดพิจารณาจิต ให้รู้เห็นตาม เป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงจิต ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัวตนเราเขา คือ มีสติรู้ชัดจิตของตนที่มีราคะ ไม่มีราคะ มีโทสะ ไม่มีโทสะ มีโมหะ ไม่มีโมหะ เศร้า หมองหรือผ่องแผ้ว ฟุ้งซ่านหรือเป็น สมาธิ ฯลฯ อย่างไร ๆ ตามที่เป็นไปอยู่ในขณะนั้น ๆ ๔) ธัมมานุปัสสนา สติปัฏฐาน การตั้งสติก าหนดพิจารณาธรรม ให้รู้เห็นตาม เป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา มีสติรู้ชัดธรรมทั้งหลาย ได้แก่ นิวรณ์ ๕ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ โพชฌงค์ ๗ อริยสัจ ๔ ว่าคืออะไร เป็นอย่างไร มีในตน หรือไม่ เกิดขึ้น เจริญบริบูรณ์ และดับไปได้ อย่างไร เป็นต้น ตามที่เป็นจริงของมันอย่าง นั้น ๆ ๒๑ ๕.๖ รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้น าตามแนวพุทธ ส าหรับรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้น าตามแนวพุทธและสอดคล้องตามหลักพุทธ จริยธรรมของเจ้าอาวาส เจ้าส านักเรียน ครูใหญ่ และครูผู้สอนนั้น นอกจากจะมีปัจจัย ๒๑ดูรายละเอียดใน, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๗๓-๓๐๐/๓๒๕-๓๕๑
๑๐๒ บริบททางสังคมแล้ว ยังมีปัจจัยด้านบุคลิกลักษณะ (Characteristic) หรือคุณลักษณะ (Trait) ที่จะต้องท าการพัฒนาควบคู่ไปกับการพัฒนาทางด้านวิชาการ และทักษะฝีมือ การเลือกหลักสูตรการพัฒนา และรูปแบบการพัฒนา จะต้องมีความเหมาะสม และเกิด ประโยชน์ทั้งต่อผู้เข้ารับการพัฒนา ชุมชน และสังคม ซึ่งมีนักวิชาการได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับ วิธีการพัฒนาไว้ ดังนี้ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้กล่าวถึงการเป็นผู้น าที่ดีตามแนวพุทธไว้ สรุป ได้ ดังนี้ ๑. คุณธรรมพื้นฐานที่ผู้น าที่ดีตามแนวพุทธควรมี เพื่อให้สามารถประสานงาน ประสานคนได้อย่างมีดุลยภาพท าให้สามารถด าเนินกิจการงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และบรรลุผลส าเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ต้องมีพรหมวิหารธรรม ที่เป็นคุณธรรมชั้นสูง ๔ ประการ ประกอบด้วย ๑) เมตตา ในสถานการณ์ที่เขาอยู่เป็นปกติ ผู้น าก็มีเมตตา คือ ความเป็น มิตรไมตรี ความมีน้ าใจปรารถนาดี ต้องการให้เขามีความสุข ซึ่งหมายถึงความปรารถนาดี ต่อผู้อื่น ทั้งแต่ละคน ๆ ที่เราเกี่ยวข้องขยายออกไปจนถึงความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ หรือต่อสังคมทั้งหมดทั่วทั้งโลก เมตตานี้เป็นคุณธรรมพื้นใจประการแรกที่ต้องมี ซึ่งใช้ใน ยามปกติคือเมื่อคนอื่นเขาอยู่กันเป็นปกติ มีเมตตาปรารถนาดี คิดหาทางสร้างสรรค์ ความสุขความเจริญให้แก่เขาเรื่อยไป ๒) กรุณา ในสถานการณ์ที่เขาตกต่ าเดือดร้อน ผู้น าก็มีกรุณา คือ ความ พลอยรู้สึกไหวตามความทุกข์ ความเดือดร้อนหรือปัญหาของเขา และต้องการช่วยเหลือ ปลดเปลื้องให้เขาพ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อนนั้น ใฝ่ใจช่วยบ าบัดทุกข์ให้ ๓) มุทิตา ในสถานการณ์ที ่เขาขยับสูงขึ้นไปในความดีงาม ความสุข ความส าเร็จ ผู้น าก็มีมุทิตา คือเมื่อเขาเปลี่ยนไปในทางขึ้นสูง ได้ดีมีสุขท าสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ประสบความส าเร็จ ก็พลอยยินดีด้วย ช่วยส่งเสริมสนับสนุนให้มากขึ้น ๔) อุเบกขา ในสถานการณ์ที่เขาท าผิดหลักหรือละเมิดธรรม ผู้น าต้องมี อุเบกขา หมายความว่า เมื ่อใดเขาท าอะไรไม่ถูกต้องโดยละเมิดธรรมคือละเมิดต ่อ หลักการ หรือละเมิดต่อความถูกต้อง ท าให้เสียหลัก เสียกฎเกณฑ์ เสียความเป็นธรรม เสียความชอบธรรม ท าลายกติกา เป็นต้น ผู้น าจะต้องตั้งอยู่ในหลักที่เรียกว่าอุเบกขา รักษาความเป็นกลาง ไม่ล าเอียง ไม่เข้าข้าง หยุดการขวนขวายในการที่จะปฏิบัติตามข้อ ๑-๒-๓ คือ จะต้องเอาธรรมเป็นใหญ่แล้วก็รักษาหลักการ กฎเกณฑ์กติกา หรือรักษาตัว ธรรมไว้ อุเบกขานี้เป็นตัวรักษาดุล เป็นตัวจ ากัดหรือคุมการปฏิบัติตามข้อ ๑-๒-๓ (เมตตา-กรุณา-มุทิตา) ไม่ให้เกินขอบเขตไปจนกลายเป็นเสียธรรม คือ การปฏิบัติต่อคน
๑๐๓ หรือช่วยเหลือคนจะต้องไม่ให้เสียความเป็นธรรม ไม่ให้เป็นการท าลายหลักการ ไม่ให้เป็น การละเมิดต่อกฎเกณฑ์กติกาที่ชอบธรรม ๒. ผู้น าที่ดีตามแนวพุทธพึงยึดหลักธรรมาธิปไตยไม่มีอคติเป็นผู้มีความยุติธรรม เที่ยงตรงในการด าเนินกิจการงานเพื่อประโยชน์สุขแก่มวลชนสังคม และประเทศชาติ อย่างยั่งยืนตลอดไปอธิปไตย ๓ ความเป็นใหญ่ภาวะที่ถือเอาเป็นใหญ่ของผู้น าองค์กรใน พุทธธรรมประกอบด้วย ๑) อัตตาธิปไตย ความมีตน ถือตนเป็นใหญ่กระท าการด้วยปรารภตนเป็น ประมาณ ๒) โลกาธิปไตย ความมีโลกเป็นใหญ่ถือโลกเป็นใหญ่กระท าการด้วยปรารภ นิยมของโลกเป็นประมาณ ๓) ธัมมาธิปไตยความมีธรรมเป็นใหญ่ถือธรรมเป็นใหญ่กระท าการด้วย ปรารภความถูกต้อง เป็นจริง สมควรตามธรรม เป็นประมาณ๒๒ ๓. ผู้น าที่ดีตามแนวพุทธพึงยึดธรรมของสัตบุรุษ คือ สัปปุริสธรรม ๗ อันเป็น ธรรมที่มีคุณสมบัติครบถ้วนแห่งการมีคุณสมบัติของการเป็นผู้น าที่ดีพร้อมทุกประการ คือ “รู้หลักการ รู้จุดหมาย รู้ตน รู้ประมาณ รู้กาล รู้ชุมชน และรู้บุคคล ดังนั้น ผู้น าที่ยึด หลักสัปปุริสธรร ๗ ย่อมเป็นผู้น าที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลรู้เป้าหมายการท างานอย่างชัดเจน รู้การพัฒนาตนเองอย่างสม่ าเสมอรู้ความพอเหมาะพอดีในการด าเนินกิจกรรมทุกอย่าง อย่างเหมาะสมรู้จักการประสานงานกับบุคคลต่าง ๆ อย่างถูกต้องรู้การวางแผนงานให้ เหมาะสมกับสถานการณ์โลก มีคุณธรรมจริยธรรมในการท างานเพื่อประโยชน์สุขของ มวลชนสังคม และประเทศชาติตลอดไป” ๒๓ หลักสัปปุริสธรรม มี ๗ ประกอบด้วย ๑) รู้หลักการ เมื่อด ารงต าแหน่ง มีฐานะ หรือจะท าอะไรก็ตาม ต้องรู้หลักการ รู้งาน รู้หน้าที่ รู้กฎเกณฑ์กติกาที่เกี่ยวข้อง เช่นอย่างผู้ปกครองประเทศขาติก็ต้องรู้หลัก รัฐศาสตร์ และรู้กฎกติกาของรัฐ คือกฎหมาย ตั้งแต่รัฐธรรมนูญลงมา แล้วก็ยืนในหลักการ ตั้งตนอยู่ในหลักการให้ได้ ชุมชน สังคม องค์กร หรือกิจการอะไรก็ตามก็ต้องมีหลักการ มีกฎ มีกติกา ที่ผู้น าจะต้องรู้ต้องชัด แล้วก็ตั้งมั่นอยู่ในหลักการนั้น ๒) รู้จุดหมาย ผู้น าถ้าไม่รู้จุดหมายก็ไม่รู้ว่าจะน าคน และกิจการไปไหน นอกจากรู้จุดหมาย มีความชัดเจนในจุดหมายแล้ว จะต้องมีความแน่วแน่มุ่งมั่นที่จะไปให้ ถึงจุดหมายด้วย ข้อนี้เป็นคุณสมบัติที่ส าคัญมาก เมื่อใจมุ่งจุดหมาย แม้มีอะไรมา ๒๒ดูรายละเอียดใน, ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๒๒๘/๒๓๑; ๒๓พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), ภาวะผู้น า: ความส าคัญต่อการพัฒนาคนพัฒนาประเทศ, (กรุงเทพมหานคร: ธรรมสภาและสถาบันบันลือธรรม, ๒๕๔๖), หน้า ๖-๒๘.
๑๐๔ กระทบกระทั่งก็จะไม่หวั่นไหว อะไร ไม่เกี่ยวข้องไม่เข้าเป้า ไม่เข้าแนวทาง ก็ไม่วุ่นวาย ใครจะพูดจาว่าด่าเหน็บแนม เมื่อไม่ตรงเรื่อง ก็ไม่มัวถือสา ไม่เก็บเป็นอารมณ์ ไม่ยุ่งกับ เรื่องจุกจิกไม่เป็นเรื่อง เอาแต่เรื่องที่เข้าแนวทางสู่จุดหมาย ใจมุ่งสู่เป้าหมายอย่างชัดเจน และมุ่งมั่นแน่วแน่ ๓) รู้ตน คือ ต้องรู้ว่าตนเองคือใคร มีภาวะเป็นอะไร อยู่ในสถานะใด มีคุณสมบัติ มีความพร้อม มีความถนัด สติปัญญา ความสามารถอย่างไร มีก าลังแค่ไหน มีข้อยิ่งข้อหย่อน จุดอ่อนจุดแข็งอย่างไร ซึ่งจะต้องส ารวจตนเอง และเตือนตนเองอยู่เสมอ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาปรับปรุงตัวเองให้มีคุณสมบัติมีความสามารถยิ่ง ๆ ขึ้นไป ไม่ใช่ว่าเป็นผู้น าแล้วจะเป็นคนสมบูรณ์ไม่ต้องพัฒนาตนเอง ยิ่งเป็นผู้น าก็ยิ่งต้องพัฒนา ตนเองตลอดเวลาให้น าได้ดียิ่งขึ้นไป ๔) รู้ประมาณ คือ รู้จักความพอดี หมายความว่า ต้องรู้จักขอบเขตขีดขั้น ความพอเหมาะที่จะจัดท าให้เรื่องต่าง ๆ ท่านยกตัวอย่างเช่น ผู้ปกครองบ้านเมืองรู้จัก ประมาณในการลงทัณฑ์อาชญา และการเก็บภาษี เป็นต้น ไม่ใช่เอาแต่จะให้ได้อย่างใจ และต้องรู้จักว่าในการกระท านั้น ๆ หรือในเรื่องราวนั้น ๆ มีองค์ประกอบ หรือมีปัจจัย อะไรเกี่ยวข้องบ้าง ท าแค่ไหนองค์ประกอบของมันจะพอดี ได้สัดส่วน พอเหมาะ การท า การต่าง ๆ ทุกอย่างต้องพอดี ถ้าไม่พอดีก็พลาด ความพอดีจึงจะท าให้เกิดความส าเร็จที่ แท้จริง ฉะนั้น จะต้องรู้องค์ประกอบ และปัจจัยที่เกี่ยวข้อง และจัดให้ลงตัวพอเหมาะพอดี ๕) รู้กาล คือ รู้จักเวลา เช่น รู้ล าดับ ระยะ จังหวะ ปริมาณ ความเหมาะของ เวลา ว่าเรื่องนี้จะลงมือตอนไหน เวลาไหนจะท าอะไรอย่างไรจึงจะเหมาะ ดังจะเห็นว่า แม้แต่การพูดจาก็ต้องรู้จักกาลเวลา ตลอดจนรู้จักวางแผนงานในการใช้เวลาซึ่งเป็นเรื่อง ใหญ่ เช่น การวางแผนว่าสังคมมีแนวโน้มจะเป็นอย่างนี้ในเวลาข้างหน้าเท่ากัน และ เหตุการณ์ท านองนี้จะเกิดขึ้น เราจะวางแผนรับมือกับสถานการณ์นั้นอย่างไร ๖) รู้ชุมชน คือ รู้สังคมตั้งแต่ในขอบเขตที่กว้างขวาง คือรู้สังคมโลก รู้สังคม ของประเทศชาติ ว่าอยู่ในสถานการณ์อย่างไร มีปัญหาอะไร มีความต้องการอย่างไร โดยเฉพาะถ้าจะช่วยเหลือเขาก็ต้องรู้ปัญหา รู้ความต้องการของเขา แม้แต่ชุมชนย่อย ๆ ถ้าเราจะช่วยเหลือเขา เราก็ต้องรู้ความต้องการของเขาเพื่อสนองความต้องการได้ถูกต้อง หรือแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด ๗) รู้บุคคล คือ รู้จักบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคนที่มาร่วมงาน ร่วมการ ร่วมไปด้วยกัน แบละคนที่เราไปให้บริการตามความแตกต่างเฉพาะตัวเพื่อปฏิบัติต่อเขาได้ ถูกต้องเหมาะสม และได้ผล ตลอดจนสามารถท าบริการให้ความช่วยเหลือได้ตรงตาม ความต้องการ รู้ว่าจะใช้วิธีสัมพันธ์พูดจาแนะน าติชม หรือจะให้เขายอมรับได้อย่างไร โดยเฉพาะในการใช้คน ซึ่งต้องรู้ว่าคนไหนเป็นอย่างไร มีความถนัด อัธยาศัย ความสามารถ
๑๐๕ อย่างไร เพื่อใช้คนให้เหมาะกับงาน นอกจากนั้นก็รู้ประโยชน์ที่เขาพึงได้ เพราะว่าในการ ท างานนั้นไม่ใช่ว่าจะเอาเขามาเป็นเพียงเครื่องมือท างานให้แต่จะต้องให้คนที่ท างานทุก คนได้ประโยชน์ได้พัฒนาตัวเอง ผู้น าควรรู้ว่าเขาควรได้ประโยชน์อะไรเพื่อความเจริญงอก งามแห่งชีวิตที่แท้จริงของเขาด้วย๒๔ วศิน อินทสระ ได้กล่าวถึงว่า พุทธวิธีการประกาศค าสอนสังคมศึกษาที่ พระพุทธเจ้าทรงสอนพุทธบริษัททั้ง ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบสก อุบาสิกา หรือบุคคลทั่วไป ทั้งเทวดาหรือมนุษย์ หมายถึง วิธีการที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพุทธบริษัททั้ง ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณีอุบสก อุบาสิกา หรือบุคคลทั่วไปทั้งเทวดาหรือมนุษย์ตามพระนามที่ได้รับยก ย่องว่า สตฺถา เทวมนุสฺสาน ทรงเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย จุดมุ่งหมาย ในการที่ทรงสอน ๓ อย่าง๒๕ ๑) อภิญญายธรรมเทศนา ทรงสอนเพื่อให้ผู้ฟังรู้จริงเห็นแจ้งในสิ่งที่ควรรู้ควรเห็น หมายความว่า สิ่งที่ทรงรู้แล้ว เห็นแล้ว แต่เมื่อทรงว่าไม่จ าเป็นส าหรับสาวกนั้น ๆ เหมือน ครูที่มีความรู้สูงมาก แต่ถึงกระนั้นก็ย่อมน าเอาเฉพาะความรู้เท่าที่จ าเป็นแก่ศิษย์ในขั้น นั้น ๆ มาสอนเท่าที่ศิษย์จะรับได้เพื่อประโยชน์แก่ศิษย์อนึ่งเหมือนบิดา/มารดา แม้มี ทรัพย์มากปานใดก็ย่อมให้ทรัพย์แก่บุตรตามควรแก่วัย และความจ าเป็นของบุตรนั้น ๒) สนิธรรมเทศนา จุดมุ่งหมายในการสอน คือ เพื่อให้ผู้ฟังตรองตามแล้วเห็นจริง ได้ทรงแสดงธรรมอย่างมีเหตุผลที่ผู้ฟังพอตรองตามให้เห็นด้วยตนเอง เพราะพระธรรม เทศนาของพระพุทธองค์ไม่ยากเกินไปจนถึงกับตรองตามแล้วก็ไม่เห็นและไม่ง่ายเกินไปจน ไม่ต้องตรองขบคิดก็เห็นได้ พุทธวิธีในการสอนจึงอยู่ท่ามกลางระหว่างความยากเกินไป กับความง่ายเกินไป ส่วนใหญ่ทรงสอนให้ใช้ปัญญาพิจารณาด้วยตนเอง เป็นต้น ๓) ปาฏิหาริยธรรมเทศนา เพื่อให้ผู้ฟังได้รับผลแห่งการปฏิบัติตามสมควร ทรงแสดงธรรมมีคุณเป็นอัศจรรย์ สามารถยังผู้ปฏิบัติตามให้ได้รับผลตามสมควรแก่ ก าลังแห่งการปฏิบัติของตนๆ ในบรรดาปาฏิหาริย์ทั้ง ๓ นั้น พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญ อนุศาสนียปาฏิหาริย์ว่าดีที่สุด ประณีตที่สุดและเป็นประโยชน์ที่สุด ข้อนี้เป็นความจริง อย่างยิ่ง พระพุทธศาสนาที่ด ารงเป็นประโยชน์แก่มหาชนมาจนกระทั้งบัดนี้ก็ด้วย อานุภาพของอนุศาสนีปาฏิหาริย์นั่นเอง ทรงเน้นการปฏิบัติตาม ค าสั่งสอนของพระพุทธ องค์เพื่อประโยชน์ของผู้ปฏิบัติว่าเป็นการบูชาพระองค์อย่างยิ่ง มีเรื่องราวที่เป็นหลักฐาน ในสมัยพุทธกาลนั้น ๒๔ดูรายละเอียดใน, องฺ.ติก. (ไทย) ๒๐/๔๗๙/๑๘๖. ๒๕วศิน อินทสระ, จุดมุ่งหมายในการที่ทรงสอนของพระพุทธองค์, (กรุงเทพมหานคร: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๕๘), หน้า ๘-๓๗.
๑๐๖ สรุปได้ว่า รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้น าตามแนวพุทธ คือ ผู้ที่มีหลักธรรมเป็น บริบท มีแนวคิดเชิงพัฒนา มีกลยุทธ์ และมีองค์ความรู้ในศาสตร์หลาย ๆ ศาสตร์ เพื่อ ประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และมีวิสัยทัศน์ ในการพัฒนาศึกษาและการปฏิบัติ ทั้งระบบอย่างบูรณาการ ๕.๗ สรุป การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามแนวพระพุทธศาสนา เป็นกระบวนการในการ พัฒนา มนุษย์ในองค์การโดยการน าค าสอนของพระพุทธเจ้ามาเป็นฐานคิด ให้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญใน การปฏิบัติงาน มีความเจริญเติบโตทั้งทางด้านพฤติกรรม จิตใจ และ ปัญญา ซึ่งสามารถบูรณาการหลักพุทธธรรมกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สรุปได้ ดังต่อไปนี้ ๕.๗.๑ การศึกษา (Education) เป็นการเพิ่มพูนความรู้ ความสามารถ ทักษะ ทัศนคติตลอดจนสร้างความเชี่ยวชาญ ช านาญให้กับบุคคลในทุก ๆ ด้านการศึกษา จะเน้นการเตรียม บุคลากรให้พร้อมที่จะปฏิบัติงานตามความต้องการขององค์การ เมื่อบุคลากรได้รับการศึกษาอย่างแท้จริง โดยการน าหลักกรรมฐานอันประกอบด้วย หลักสมถะ และหลักวิปัสสนามาเป็นเครื่องมือ วิธีการในการศึกษาจะท าให้บุคลากรเป็นผู้ มีความพร้อมด้วยสติและปัญญาที่สมบูรณ์ สามารถน าองค์การไปสู่ความส าเร็จได้ในที่สุด ๕.๗.๒ การพัฒนา (Development) เป็นการพัฒนาองค์การให้มีประสิทธิภาพ เน้นเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามที่องค์การต้องการ การพัฒนาองค์การนั้นเป็นการ เตรียมความพร้อม ให้กับองค์การโดยการพัฒนาในรูปแบบบูรณาการหลักไตรสิกขาอัน ประกอบด้วย ศีล สมาธิ และ ปัญญา เพื่อให้บุคลากรมีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจที่ เป็นเลิศ สามารถทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกและสามารถน าองค์การไปสู่การแข่งขัน กับเวทีโลกได้อย่างเท่าเทียม ๕.๗.๓ การอบรม (Training) เป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ มุ่งเน้นเกี่ยวกับ งานที่ปฏิบัติอยู่ในปัจจุบัน การอบรมโดยการบูรณาการหลักมหาสติปัฎฐาน พิจารณา ก าหนดรู้เท่าทันกับ สภาวะความเป็นจริง ท าให้บุคลากรในองค์การเป็นผู้มีความมั่นคง ทางอารมณ์ ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสมบูรณ์ สามารถท าให้ผู้ที่ผ่านการ อบรมไปแล้วน าความรู้ไปใช้ได้ทันที การพัฒนานวัตกรรมการเสริมสร้างเยาวชนต้นแบบตามนโยบายผลการศึกษา ส าหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายโดย ยุทธนา ขวัญเมือง สุทธิพงษ์ ศรีวิชัย Jun ๓๐, ๒๐๑๙ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พบว่าสภาพการเสริมสร้างคุณลักษณะ
๑๐๗ เยาวชนต้นแบบตามนโยบายการปฏิรูปการศึกษาทั้ง ๔ ด้าน พบว่า มีความคิดเห็นโดยรวม อยู่ในระดับมาก เรียงโดยเฉลี่ยจากมากไปน้อย มีสติ อดกลั้น รักประเทศชาติ มีคุณธรรม มีความพร้อมทั้งกายและใจ เป็นคนเก่ง คนดี มีจริยธรรม มีจิตอาสาพัฒนาสังคม ด้านมี ความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อและรอบรู้มีไหวพริบและเฉลียวฉลาดเพื่อศึกษานวัตกรรมการ เสริมสร้างเยาวชนต้นแบบตามนโยบายการปฏิรูปการศึกษา ได้แก่ รายวิชาสังคมศึกษา การจัดการเรียนการสอน) เน้นกิจกรรม สื่อ/กิจกรรมที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ได้แก่ การ ยืนตรงเคารพธงชาติ ร้องเพลงชาติใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง ทั้งการพูด การแต่งกาย เครื่องใช้ การด ารงชีวิตแบบไทย รักชาติ มีคุณธรรม มีความพร้อมทั้งกายและใจ เป็นคนดี คนเก่ง การประเมินผล : ประเมินนักเรียนที่มีความคิดสร้างสรรค์ รายวิชา วิทยาศาสตร์ การเรียนการสอน) ได้แก่ สะเต็มศึกษา สื่อ/กิจกรรมรวมถึงการศึกษาสถานการณ์ วิเคราะห์สถานการณ์ กลุ่มส ารวจ อุปกรณ์ที่ครูเตรียม Brainstorming สรุปผล/ คุณลักษณะที่ได้รับ) ได้แก่ ความรู้ ไหวพริบ สติปัญญา และสติ ความเพียร ความอดกลั้น การวัดผล การประเมิน รวมถึงแนวคิดใหม่ ๆ รายวิชาเศรษฐกิจพอเพียง บูรณาการ การศึกษาสู่เศรษฐกิจพอเพียง สื่อ/กิจกรรม ได้แก่ ครูชี้แจง กิจกรรมสะเต็มศึกษา อภิปราย ทบทวนความรู้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ชาวบ้านสาธิตการปฏิบัติด้วยวัสดุ ในชุมชน นักเรียนฝึกวิเคราะห์ผลที่ได้จากการปฏิบัติ ผลลัพธ์/คุณลักษณะที่ได้รับ ได้แก่ ความมุ่งมั่น ไม่แน่นอน การประเมิน การประเมินผล) รวมถึงคุณค่าทางเศรษฐกิจ เสนอ นวัตกรรมสร้างเยาวชนต้นแบบตามนโยบายปฏิรูปการศึกษาส าหรับนักเรียนมัธยมศึกษา รักชาติ มีคุณธรรม มีความพร้อมทั้งกายและใจ เป็นคนเก่ง คนดี มีจริยธรรม มีจิตอาสา พัฒนาสังคม เปิดสอนวิชาสังคมศึกษา) รวมถึงกิจกรรมสื่อ/กิจกรรมที่เน้นผู้เรียนเป็น ส าคัญ) ได้แก่ การยืนตรงเคารพธงชาติ ร้องเพลงชาติ ใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง ทั้งการพูด การแต่งกาย เครื่องใช้ การด ารงชีวิตแบบไทย รักชาติ มีคุณธรรม มีความพร้อมทั้งกาย และใจ เป็นคนเก่ง คนดี การประเมิน : ประเมินนักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์ด้วย ความรู้ ไหวพริบ สติ สัมปชัญญะ มั่นคง ในรายวิชาวิทยาศาสตร์ การเรียนการสอน) รวมทั้งสะ เต็มศึกษา สื่อ/กิจกรรม เสวนาทบทวนความรู้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ชาวบ้าน สาธิตการปฏิบัติด้วยวัสดุในชุมชน นักเรียนฝึกวิเคราะห์ผลที่ได้จากการปฏิบัติ ผลลัพธ์/ คุณลักษณะที่ได้รับคือการก าหนด ไม่จ ากัด การวัดผล การประเมิน) ได้แก่ มูลค่าทาง เศรษฐกิจ นวัตกรรม การพัฒนาเยาวชน ซึ่งต้นแบบทั้ง ๒ แบบสามารถปฏิบัติได้ตาม CIACE MODEL
๑๐๘ ๕.๘ เอกสารอ้างอิงประจ าบท ดนัย เทียนพุฒิ. กลยุทธ์การพัฒนาคน: ส าหรับนักฝึกอบรมมืออาชีพโปรแกรม: การ จัดท าแบบฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากร. กรุงเทพมหานคร: บุ๊คแบงก์. ๒๕๕๐, หน้า ๕๕. วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ ๓๘๙. นิสดารก์ เวชยานนท์. บทความทางวิชาการ HR. กรุงเทพมหานคร: คณะรัฐประศาสน ศาสตร์. สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, ๒๕๕๘. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎก ฉบับภาษาไทย. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์หมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต). ภาวะผู้น า: ความส าคัญต่อการพัฒนาคนพัฒนาประเทศ. กรุงเทพมหานคร: ธรรมสภา และสถาบันบันลือธรรม, ๒๕๔๖. _________. พุทธวิธีในการสอน. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์สหธรรมิก, ๒๕๕๐. พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต). พุทธวิธีการบริการ. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๙. ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม. ภาวะผู้น าของไทยในอนาคต: ภาวะผู้น า ความส าคัญต่อ อนาคตไทย. กรุงเทพมหานคร: ส านักพิมพ์พิมพ์ไทย, ๒๕๖๐. วศิน อินทสระ. จุดมุ่งหมายในการที่ทรงสอนของพระพุทธองค์. กรุงเทพมหานคร: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๕๘. สิปปนนท์ เกตุทัต. วิสัยทัศน์กว้างไกลปฏิบัติได้ผลจริง: ภาวะผู้น าความส าคัญต่อ อนาคตไทย. กรุงเทพมหานคร: ส านักพิมพ์พิมพ์ไทย, ๒๕๖๐. หลักสูตรพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการเชิงพุทธ คณะสังคมศาสตร์, มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๓๘๘ ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๒ (ฉบับพิเศษ) พฤษภาคม-สิงหาคม ๒๕๕๙. Adair, อ้างถึงใน เสริมศักดิ์ วิศาลาภรณ์, ในประมวลสาระชุดวิชาทฤษฎี และแนว ปฏิบัติในการบริหารการศึกษา. นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๓๖), หน่วยที่ ๕ - ๘. Filippo. Edwin B. Management: A Behavioral Approach, (Boston: Allyn & bacon, 1971). ๓๙๐ ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๒ (ฉบับพิเศษ) พฤษภาคม-สิงหาคม ๒๕๕๙. Pace. RW. Smith. Human Resource Development. New Jersey: Prentlice Hall, 1991.
บทที่ ๖ พุทธภาวะผู้น าทางการศึกษากับศาสตร์สมัยใหม่ ********* ๖.๑ ความน า ผู้น ำตำมหลักธรรมที่พบได้ในพระสูตรเป็นผู้น ำในฐำนะผู้เปี่ยมบำรมี อันเกิดจำก บำรมีธรรมคุณธรรม ตัวอย่ำงผู้น ำตำมหลักธรรมที่พบได้ในพระสูตร มีแบบอย่ำงมำจำก พระพุทธเจ้ำ ทั้งทำงด้ำนบุคลิกทำงกำย ลักษณะกำรพูด และใจที่บริสุทธิ์งดงำม อันเกิด จำกกำรขัดเกลำตนเองเพื่อละพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ เช่น กรรมกิเลส ๔ เป็นต้น และ พัฒนำพฤติกรรมที่พึงประสงค์ ๔ ด้ำน คือ ๑) ด้ำนบุคลิกภำพทำงกำยและบุคลิกภำพทำง วำจำ ๒) ด้ำนควำมรู้และควำมคิดด้วยกำรศึกษำเรียนรู้เพื่อให้รู้จักตนเอง เข้ำใจผู้อื่น เข้ำใจชุมชน สิ่งแวดล้อมรอบตัว ๓) ด้ำนคุณธรรม ทศบำรมี และ ๔) ด้ำนกำรบริหำร องค์กรและควำมสัมพันธ์ทำงสังคม กำรมีพุทธภำวะผู้น ำทำงกำรศึกษำกับศำสตร์สมัยใหม่สู่สังคมไทยนั้น ควรมีกำร น ำส่วนดีจำกทุกทำงมำประยุกต์ใช้ แนวทำงหนึ่งที่น่ำสนใจก็คือ กำรจัดท ำเป็นหลักสูตร อบรมภำวะผู้น ำตำมหลักพุทธปรัชญำ โดยบูรณำกำรเข้ำกับส่วนดีของกำรบริหำรในแบบ สำกล ซึ่งอำจจะเกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นหำกรู้จักประยุกต์ใช้ให้ทันยุคทันสมัย ใส่ใจใน เทคโนโลยีของยุคระบบดิจิทัล หำกท ำเช่นนี้ได้เรำจะสำมำรถสร้ำงเป็นแบบจ ำลองหลักสูตร ภำวะผู้น ำเชิงพุทธส ำหรับพัฒนำคุณภำพชีวิตผู้น ำ มีกำรน ำเอำส่วนที่เป็นหลักธรรมส ำหรับผู้น ำ ไปปรับใช้ในองค์กรทำงด้ำนบริหำร มีกำรแก้ปัญหำเกี่ยวกับกำรบริหำรโดยน ำหลักค ำสอนของพระพุทธเจ้ำไปช่วยแก้ที่ใจคน โดยเน้นไปที่กำรพัฒนำปัจเจกบุคคล มำกกว่ำกำรสร้ำงระบบ ส่วนระบบที่มีอยู่นั้นก็ให้ ปรับไปตำมยุคสมัยเพื่อเอื้อต่อกำรพัฒนำชีวิตคนท ำงำนในองค์กรทั้งภำครัฐและเอกชน๑ ตำมประเด็นต่ำง ๆ ดังนี้ ๖.๑ ควำมน ำ ๖.๒ พุทธภำวะผู้น ำทำงกำรศึกษำกับศำสตร์สมัยใหม่ ๖.๓ ควำมส ำคัญของพุทธภำวะกับศำสตร์สมัยใหม่ ๑ มนตรี ธีรธรรมพิพัฒน์, “จริยธรรมกับภำวะผู้น ำ: ศึกษำทัศนะของนักวิชำกำรรัฐศำสตร์ใน มหำวิทยำลัยแห่งประเทศไทยที่มีต่อผู้น ำทำงกำรเมือง”, วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยำลัย: มหำวิทยำลัยมหิดล, ๒๕๖๐), บทคัดย่อ.
๑๑๐ ๖.๔ ควำมสัมพันธ์พุทธภำวะกับศำสตร์สมัยใหม่ ๖.๕ บูรณำพุทธศำสนำกำรศึกษำกับศำสตร์สมัยใหม่ ๖.๖ วิเครำะห์พุทธศำสตร์กับศำสตร์สมัยใหม่ ๖.๗ สรุป ๖.๒ พุทธภาวะผู้น าทางการศึกษากับศาสตร์สมัยใหม่ ส ำหรับเรื่องพุทธศำสนำกับศำสตร์สมัยใหม่นี้ นับว่ำเป็นเรื่องที่น่ำสนใจศึกษำ ค้นคว้ำเพื่อหำค ำตอบเป็นอย่ำงยิ่ง เพรำะในปัจจุบันศำสตร์ต่ำง ๆ ที่มนุษย์ได้ประดิษฐ์ คิดค้นนั้นได้มีกำรปรับเปลี่ยนไปอย่ำงมำก กล่ำวคือบำงศำสตร์ที่มนุษย์ประยุกต์ใช้กับ ชีวิตก็ได้ยังคงอยู่มำจนถึงปัจจุบัน แต่ก็มีบำงศำสตร์ที่สูญหำยไปตำมกำลเวลำหรือเป็น ศำสตร์ที่มนุษย์ไม่ได้ใช้ประโยชน์และมองไม่ เห็นคุณค่ำ แม้กระทั่งศำสตร์บำงศำสตร์ที่ มนุษย์ยังแสวงหำค ำตอบไม่ได้ในอดีตจวบจนถึงปัจจุบันก็ยังเป็นศำสตร์ที่มนุษย์ต้อง เพียร พยำยำมหำค ำตอบอยู่ต่อไป ดังนั้น เมื่อกล่ำวถึงศำสตร์สมัยใหม่จึงนับว่ำเป็นค ำกล่ำวที่กว้ำงมำกและเป็น ค ำกล่ำวที่ใคร ๆ ก็มักนึกถึงวิทยำศำสตร์หรือศำสตร์ที่เกี่ยวกับสิ่งสัมผัสแตะต้องได้เท่ำนั้น เป็นหลัก ส่วนที่เป็นนำมธรรมหรือเป็นเรื่องภำยจิตใจก็เป็นอีกเรื่อง หนึ่งที่เข้ำใจกันเป็น ส่วนใหญ่โดยเฉพำะคนยุคนี้ว่ำไม่เกี่ยวข้องกับศำสตร์สมัยใหม่หรือวิทยำศำสตร์เลย แล้ว ในท้ำยที่สุด กำรกล่ำวเช่นนี้จะเป็นควำมจริงได้มำกเพียงใดส ำหรับพัฒนำกำรของมนุษย์ ในยุคนี้ ซึ่งเป็นยุคที่สรรพสิ่งต้องยอมเดินตำมวิทยำศำสตร์ เรียกกันว่ำหำกอะไร ๆ ในสรรพสิ่งขัดแย้งหรือไม่สอดคล้องกับวิทยำศำสตร์แล้ว กำรได้รับกำรยอมรับจำกผู้คนใน ยุคนี้ย่อมเป็นไปได้ยำกหรือแทบเป็นไปไม่ได้เลย ด้วยเหตุผลดังกล่ำวมำ พุทธศำสนำซึ่งเป็นศำสนำหนึ่งในบรรดำหลำย ๆ ศำสนำ ในโลก นี้ที่มนุษย์ยอมรับนับถือจะมีควำมเป็นไปได้ที่ไม่ขัดแย้งและมีควำมสอดคล้องกับ ศำสตร์สมัยใหม่อย่ำงเช่น วิทยำศำสตร์หรือเทคโนโลยี สมัยใหม่ได้มำกเพียงใด จึงจัดว่ำ เป็นโจทย์ที่ น่ำสนใจหำค ำตอบเป็นที่สุด๒ กล่ำวส ำหรับพุทธศำสนำแล้ว มีนักปรัชญำและนักวิทยำศำสตร์ผู้มีนำมโด่งดัง ระดับโลกกล่ำวถึงไว้ดังนี้ ๒ พระมหำมฆวินทร์ ปุริสุตฺตโม, “พุทธศำสนำกับศำสตร์สมัยใหม่”, วารสารปัญญา, ปีที่ ๒๕ ฉบับที่ ๑ (มกรำคม – มิถุนำยน ๒๕๖๑) หน้ำ ๒.
๑๑๑ เบอร์ทรันด์ รัสเซล (ค.ศ. 1872-1970) ได้กล่ำวว่ำ “พระพุทธศำสนำเป็นกำร รวมกันของปรัชญำแบบพินิจควำมจริงกับวิทยำศำสตร์ ศำสนำนั้นสนับสนุนวิธีกำรทำง วิทยำศำสตร์และติดตำมวิธีกำรนั้นจนถึงที่สุด ซึ่งอำจเรียกได้ว่ำเป็นศำสนำแห่งเหตุผล ในพระพุทธศำสนำเรำจะได้พบค ำตอบที่น่ำสนใจ เช่น จิตใจกับวัตถุคืออะไร? ระหว่ำง จิตใจกับวัตถุนั้นอย่ำงไหนส ำคัญมำกกว่ำกัน? เอกภพเคลื่อนไปหำจุดหมำยปลำยทำง หรือไม่? พระพุทธศำสนำพูดถึงเรื่องที่ วิทยำศำสตร์ยังหำน ำทำงไปได้ไม่ เพรำะควำม จ ำกัดแห่งเครื่องมือของวิทยำศำสตร ์ชัยชนะของพระพุทธศำสนำเป็นชัยชนะทำง จิตใจ” อัลเบิร์ต ไอนสไตน์(ค.ศ. 1879- 1955) ได้กล่ำวว่ำ “ศำสนำในอนำคตจะต้อง เป็นศำสนำสำกล ศำสนำนั้นควรอยู่เหนือ พระเจ้ำที่มีตัวตนและควรจะเว้นค ำสอนแบบ สิทธันต์ (คือเป็นแบบส ำเร็จรูปที่ให้เชื่อตำมเพียงอย่ำงเดียว) และแบบเทววิทยำ (คืออ้ำง เทวดำเป็นหลักใหญ่) ศำสนำนั้นเมื่อครอบคลุมทั้งธรรมชำติและจิตใจ จึงควรมีรำกฐำน อยู่บนควำมส ำนึกทำงศำสนำที่ เกิดขึ้นจำกประสบกำรณ์ต่อสิ่งทั้งปวงคือทั้ง ธรรมชำติ และจิตใจอย่ำงเป็นหน่วยรวมที่มีควำมหมำย พระพุทธศำสนำตอบข้อก ำหนดนี้ได้ ถ้ำจะมี ศำสนำใดที่รับมือได้กับควำมต้องกำรทำงวิทยำศำสตร์สมัยปัจจุบัน ศำสนำนั้นก็ควรเป็น พระพุทธศำสนำ” เจ.โรเบิร์ต ออพเพนไฮเมอร์(ค.ศ. 1904- 1976) ได้กล่ำวว่ำ “ขอยกตัวอย่ำง เช่นเรำถำมว่ำฐำนะของอิเล็กตรอนเป็นอันเดียวกันใช่หรือไม่? เรำจะต้องตอบว่ำไม่ ถ้ำเรำ ถำมว่ำ ฐำนะของอิเล็กตรอนเปลี่ยนไปพร้อมกับกำลเวลำใช่หรือไม่? เรำจะต้องตอบว่ำไม่ ถ้ำถำมว่ำอิเล็กตรอนหยุดพักใช่หรือไม่? เรำจะต้องตอบว่ำไม่ ถ้ำเรำถำมว่ำมันเคลื่อนไหว ใช่หรือไม่? เรำจะต้องตอบว่ำไม่ พระพุทธเจ้ำก็ได้ประทำนค ำตอบเช่นเดียวกัน เมื่อทรง ได้รับค ำถำมเกี่ยวกับสถำนกำรณ์ของตัวตนของมนุษย์ภำยหลังควำมตำย แต่ค ำตอบ เหล่ำนั้นมิใช่ค ำตอบที่คุ้นกับจำรีตประเพณีของวิทยำศำสตร์ สมัยศตวรรษที่ 17 และ 18” ๓ ตำมที่กล่ำวมำข้ำงต้นก็พอจะเห็นได้ว่ำวิธีกำรแสวงหำค ำตอบของมนุษย์ในยุคนี้ ล้วนใช้วิทยำศำสตร์หรือศำสตร์สมัยใหม่ที่อยู่ในรูปแบบสัมผัสได้เท่ำนั้นเป็นเครื่องมือ ซึ่งเมื่อใช้มำตรฐำนนี้ในตอบค ำถำมเกี่ยวกับชีวิต และสังคมแล้วจึงท ำให้เกิดควำมคิดว่ำ ทุกอย่ำงที่เห็นและเป็นอยู่ในขณะนี้หำกไม่ตอบโจทย์หรือไม่สอดคล้องกับหลักกำรของ ศำสตร์สมัยใหม่แล้วย่อมจะได้รับควำมน่ำเชื่อถือน้อยลงและสูญหำยไปจำกชีวิตมนุษย์ ๓ วัดเจ็ดเสมียน, พระพุทธเจ้าในสายตานักปราชญ์โลก, (กรุงเทพมหำนคร: โอ. เอส. พริ้นตริ้ง เฮำส์, ๒๕๖๐), หน้ำ ๒๔.
๑๑๒ และสังคมในที่สุด ส่วนเนื้อหำของพุทธศำสนำนั้นให้คุณค่ำต่อปัจจัยภำยในหรือ จิตใจของ มนุษย์มำกกว่ำวัตถุภำยนอกเป็นหลักนั้นจะยังคงมีควำมมั่นคงต่อลักษณำกำรของมนุษย์ และสังคมแบบสมัยใหม่ได้มำกน้อยเพียงใด จึงจัดว่ำเป็นโจทย์ใหญ่ส ำหรับพุทธศำสนำ เป็นอย่ำงยิ่ง ดังนั้น กำรวิเครำะห์ถึงพุทธศำสนำกับศำสตร์สมัยใหม่นี้คำดว่ำจะเป็นประเด็นที่ จะก่อให้เกิดประโยชน์และมีคุณค่ำต่อวงกำรศึกษำและสังคมได้เป็นอย่ำงดี ๖.๓ ความส าคัญของพุทธภาวะกับศาสตร์สมัยใหม่ ควำมส ำคัญของพุทธภำวะผู้น ำทำงกำรศึกษำกับศำสตร์สมัยใหม่ หมำยถึง พุทธ ศำสนำนั้นเป็นศำสนำที่เน้นในกำรพัฒนำภำยในหรือจิตใจของบุคคลเป็นหลัก โดยให้ ควำมส ำคัญกับภำยนอกหรือวัตถุน้อยมำก สืบเนื่องจำกที่พุทธศำสนำเองมองว่ำวัตถุภำย นอกนั้นจะเป็นอย่ำงไรก็ตำมก็หำมีอิทธิพลมำกเท่ำกำรที่จิตใจอยู่ในสภำพแบบใดไม่กล่ำว คือ หำกจิตใจดีหรือได้รับกำรพัฒนำอย่ำงเหมำะสมแล้วสิ่งอื่น ๆ ย่อมจะได้รับ อำนิสงส์ พร้อมไปด้วย สมดังภำษิตกถำที่ว่ำ (มโนปุพฺพงฺคมำ ธมฺมำ มโนเสฏฺฐำ มโนมยำ มนสำ เจ ปสนฺเนน ภำ สติ วำ กโรติ วำ ตโต น สุขมนฺเวติ ฉำยำ ว อนุปำยินี. แปลว่ำ ธรรมทั้งหลำย มีใจเป็น หัวหน้ำ มีใจเป็นใหญ่ ส ำเร็จแล้วด้วยใจ ถ้ำบุคคลมีใจผ่องใสแล้ว พูดอยู่ก็ดี ท ำอยู่ก็ดีควำมสุขย่อมไปตำมเขำเพรำะเหตุนั้น เหมือนเงำไปตำมตัวฉะนั้น๔ ส่วนศำสตร์สมัยใหม่หรือวิทยำศำสตร์นั้นหำให้ควำมส ำคัญกับภำยในหรือจิตใจ ของบุคคลไม่ เพรำะพื้นฐำนของศำสตร์สมัยใหม่เน้นให้ควำมส ำคัญกับกำรปรับปรุงพัฒนำ ภำยนอกหรือวัตถุที่สัมผัสได้เป็นหลัก ดังนั้น แนวทำงของศำสตร์สมัยใหม่จึงไม่สนใจ พัฒนำจิตใจ เน้นเพียงกำรได้มีควำมสุขกับกำรมีจ ำนวนวัตถุสิ่งของมำก ๆ ควำมทุกข์และ ควำมสุขที่แต่ละบุคคลมีเป็นเพียงกำรเกิดขึ้นต่อเนื่องจำกกำรที่กำรมีวัตถุน้อยหรือมำก เท่ำนั้น ศำสตร์สมัยใหม่จะไม่สนใจมองว่ำที่บุคคลมีควำมสุขหรือมีควำมทุกข์นั้นเป็น เพรำะภำยในหรือจิตใจยังไม่ได้รับกำรพัฒนำอย่ำงเหมำะสม แต่ในที่สุดศำสตร์สมัยใหม่ก็ต้องเผชิญกับควำมเป็นจริงที่ว่ำ เมื่อมนุษย์ได้รับกำร พัฒนำให้มีสิ่งของจ ำนวนมำกมำย แต่มนุษย์ซึ่งได้รับกำรพัฒนำมำตำมแบบศำสตร์ สมัยใหม่ก็ยังมีควำมล ำบำกหรือทุกข์อยู่เหมือนเดิม โดยถึงแม้ศำสตร์สมัยใหม่ อย่ำงเช่น วิทยำศำสตร์กำยภำพ ฟิสิกส์ ชีวภำพ จิตวิทยำ เทคโนโลยีเป็นต้น เหล่ำนี้ได้สนองตอบ ๔ ดูรำยละเอียดใน, ขุ.ธ. (บำลี) ๒๕/๑๑/๕.
๑๑๓ ต่อควำมต้องกำรของมนุษย์อย่ำงมำกแล้วก็ตำม จนในปัจจุบันนักวิทยำศำสตร์ นักวิชำกำร นักศึกษำในตะวันตกเริ่มสนใจพระพุทธศำสนำ โดยเฉพำะกำรปฏิบัติสมำธิ (สมถะและวิปัสสนำกรรมฐำน) เพรำะกำรปฏิบัติเช่นนี้เป็นวิธีเดียวที่เข้ำใจกำรท ำงำน ของจิตได้ดีที่สุด นักจิตวิทยำ (DR.BRIAN WEISS) ที่มีชื่อเสียงในกำรสะกดจิตเพื่อบ ำบัดโรคได้ รักษำผู้ป่วยหลำยร้อยรำย ท่ำนได้สรุปว่ำ จิตวิญญำณของมนุษย์ไม่ได้สูญหำยไป มันคง อยู่ชั่วนิรันดร์ ท่ำนได้ค้นพบเรื่องเหตุกำรณ์ชำติต่ำง ๆ ของผู้ป่วยมำกมำยและยังได้ พิสูจน์เป็นรูปธรรมอีกด้วย แต่เสียดำยที่ท่ำนไม่ได้ศึกษำพุทธศำสนำจะได้รู้ว่ำจิตวิญญำณ จะไม่อยู่ตลอดไปถ้ำเข้ำถึงพระนิพพำน ระยะเวลำผ่ำนไปนักวิทยำศำสตร์รุ่นใหม่เริ่ม ค้นพบสิ่งต่ำง ๆ ที่เกี่ยวพันกับหลักค ำสอนของพระพุทธศำสนำมำกขึ้นทุกทีเป็นกำรยืนยัน ถึงคุณค่ำและควำมจริงของกำรตรัสรู้ของพระองค์ที่ท่ำนได้ค้นพบ ด้วยกำรวิจัยอยู่ ๖ ปี ก่อนกำรตรัสรู้ เช่น ปรมำณู กำรวิวัฒนำกำรของเด็กในครรภ์มำรดำ อวัยวะ ๓๒ วิถี จิต กฎแห่งกรรม อธิบำยจิต เจตสิก และรูปในร่ำงกำยมนุษย์กำรแพทย์ปัจจุบันยอมรับว่ำ ถ้ำมีสุขภำพจิตดีจะมีผลต่อร่ำงกำย (PSYCHOSOMATIE ORDER AND DISORDER) นี่เป็นวิจัยที่ยอมรับจิตวิญญำณ เคยมีผู้วัดคลื่นสมองขณะนั่งสมำธิ และพบว่ำถ้ำจิตสงบ จะปรำกฏคลื่นอัลฟ่ำ ซึ่งดีมำกต่อระบบสมองและร่ำงกำยต่ำง ๆ สิ่งที ่นักวิทยำศำสตร์ค้นพบเป็นกำรยืนยันและเสริมควำมเชื่อศรัทธำของ พุทธศำสนิกชนและนักบวชได้เป็นอย่ำงดีว่ำ พระพุทธศำสนำคือศำสตร์แห่งเหตุและผล ใครท ำได้เป็นวิทยำศำสตร์ แต่วิทยำศำสตร์ก็ไม่ใช่พุทธศำสนำทั้งหมด กล่ำวคือ๕ ๑. มุ่งเข้ำใจปรำกกฎกำรณ์ทำงธรรมชำติหลักกำรทำงวิทยำศำสตร์มุ่งเข้ำใจ ปรำกฏกำรณ์ต่ำง ๆ ที่เกิดขึ้น ต้องกำรรู้ว่ำอะไรเป็นสำเหตุอะไรเป็นผลที่ตำมมำ เช่น เมื่อเกิดฟ้ำผ่ำ ต้องรู้อะไรคือสำเหตุของฟ้ำผ่ำ และผลที่ตำมมำหลังจำกฟ้ำผ่ำแล้วจะเป็น อย่ำงไร หลักกำรพระพุทธศำสนำก็มุ่งเข้ำใจปรำกฏกำรณ์ต่ำง ๆ เช่นเดียวกัน แต่ต่ำง ตรงที่พระพุทธศำสนำเน้นเป็นพิเศษเกี่ยวกับวิถีชีวิตของมนุษย์มำกกว่ำกฎเกี่ยวกับสิ่งที่ไร้ ชีวิต จุดหมำยปลำยทำงของพระพุทธศำสนำคือสอนให้คนเป็นคนดีขึ้นพัฒนำขึ้น สมบูรณ์ ขึ้น ๒. ต้องกำรเรียนรู้กฎธรรมชำติหลักกำรทำงวิทยำศำสตร์ต้องกำรเรียนรู้กฎ ธรรมชำติและหำทำงควบคุมธรรมชำติหรือเอำชนะธรรมชำติ พูดอีกอย่ำงหนึ่งก็คือ ๕ วัชระ งำมจิตรเจริญ, พระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์, (กรุงเทพมหำนคร: ส ำนักพิมพ์ แห่งมหำวิทยำลัยธรรมศำสตร์, ๒๕๖๐), หน้ำ ๓๒.
๑๑๔ วิทยำศำสตร์เน้นกำรควบคุมธรรมชำติภำยนอกมุ่งแก้ปัญหำภำยนอกวิทยำศำสตร์ถือว่ำ กำรพิสูจน์ทดลองทำงวิทยำศำสตร์เป็นสิ่งที่น ำมำแสดงให้สำธำรณชนประจักษ์ชัด เป็นหลักฐำน ยืนยันในสิ่งที่ค้นพบนั้นได้ จึงจะเป็นกำรยอมรับในวงกำรวิทยำศำสตร์ หลักกำรพระพุทธศำสนำเป็นกำรทดสอบควำมรู้สึกทุกข์หรือไม่เป็นทุกข์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ ประจักษ์ชัดในจิตใจเฉพำะตน ไม่สำมำรถตีแผ่ให้สำธำรณชนประจักษ์ด้วยสำยตำ แต่พิสูจน์ทดลองได้ด้วยควำมรู้สึกในจิตใจ และหลักกำรพระพุทธศำสนำไม่ได้เน้นในเรื่อง ให้สำธำรณชนยอมรับหรือไม่ยอมรับ มุ่งให้ศึกษำเข้ำไปในจิตใจตนเอง แต่มุ่งแสวงหำ ควำมจริงจำกทั้งภำยนอกและภำยในตัวมนุษย์อันเป็นเหตุที่ท ำให้เกิดปัญหำ ทำงด้ำนจิต วิญญำณอันเป็นผลกระทบต่อกำรด ำรงชีวิตและต่อคุณภำพชีวิต สอนให้คนควบคุมภำยใน จิตใจตัวเอง ล ำพังแต่ควำมสำมำรถที่ควบคุมธรรมชำติได้ไม่อำจท ำให้ควำมสงบสุขเกิดขึ้น ในโลกมนุษย์ มนุษย์ต้องรู้จักควบคุมตนเอง ให้มีจิตใจดีงำมด้วย สันติสุขที่แท้จริงจึง จะเกิดขึ้นได้ และสอนมนุษย์ให้รู้จักกำรด ำรงชีวิตให้สอดคล้องกลมกลืนกับธรรมชำติ สิ่งแวดล้อม ๓. ยอมรับโลกแห่งสสำร (Matter) สสำร หมำยถึง ธรรมชำติและสรรพสิ่ง ทั้งหลำยที่มีอยู่จริง รวมทั้งปรำกฏกำรณ์และควำมเป็นจริงตำมภำวะวิสัย (Objective Reality) ด้วย ซึ่งสรรพสิ่งเหล่ำนี้มีอยู่ต่ำงหำกจำกตัวเรำเป็นอิสระจำกตัวเรำ และเป็น สิ่งที่สะท้อนขึ้นในจิตส ำนึกของคนเรำเมื่อได้สัมผัสมันอันท ำให้ได้รับรู้ถึงควำมมีอยู่ของสิ่ง นั้น ๆ กล่ำวโดยทั่วไปแล้วสสำรมีคุณลักษณะ ๓ ประกำรคือ ๑) เคลื่อนไหว (Moving) อยู่เสมอ ๒) เปลี่ยนแปลง (Changing) อยู่เสมอ ๓) กำรเคลื่อนไหวและกำรเปลี่ยนแปลง ดังกล่ำวนั้นมิใช่เป็นกำรเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอย่ำงส่งเดช แต่หำกเป็นกำรเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงอย่ำงมีกฎเกณฑ์ที่ เรียกกันว่ำ กฎแห่งธรรมชำติ (Laws of Natures) วิทยำศำสตร์ยอมรับโลกแห่งสสำรซึ่งเทียบได้กับ “รูปธรรม”ในควำมหมำยของ พระพุทธศำสนำ อันหมำยถึงสิ่งที่มีอยู่จริงทำงภำวะวิสัย ที่อวัยวะสัมผัสของมนุษย์สัมผัส ได้วิทยำศำสตร์มุ่งศึกษำด้ำนสสำรและพลังงำน ยอมรับโลกแห่งสสำรที่รับรู้ด้วยประสำท สัมผัสทั้ง ๕ ว่ำมีจริง โลกที่อยู่พ้น จำกนั้นวิทยำศำสตร์ไม่ยอมรับส่วนแนวคิดทำง พระพุทธศำสนำนี้ชี้ว่ำสัจธรรมสูงสุด (นิพพำน) ซึ่งเป็นสภำวะที่ประสำทสัมผัสของ มนุษย์ ปุถุชนที่เต็มไปด้วยกิเลสตัณหำ ไม่สำมำรถรับรู้ได้ พระพุทธศำสนำแบ่งสิ่งที่มีอยู่จริงของ สองพวกใหญ่ ๆ คือ “สังขตธรรม” (สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง) ได้แก่ สสำร และ “อสังขต ธรรม” (สิ่งที่ปัจจัยมิได้ปรุงแต่ง) คือ นิพพำน วิทยำศำสตร์ยอมรับว่ำสังขตธรรมมีจริง แต่อสังขตธรรมอยู่เหนือกำรรับรู้ของ วิทยำศำสตร์
๑๑๕ สัจธรรมในพระพุทธศำสนำนั้นมีทั้งที่ สำมำรถแสดงให้เห็นประจักษ์เป็น สำธำรณะได้และไม่สำมำรถแสดงให้ประจักษ์เป็นสำธำรณะได้ แต่แสดงโดยกำรประจักษ์ ในตนเองได้ (หมำยถึงมีทั้งที่สำมำรถรับรู้ด้วยประสำทสัมผัสและรับรู้ด้วยใจ) ควำมจริง ระดับต้น ๆ และระดับกลำง ๆ ใคร ๆ ก็อำจเข้ำใจและเห็นจริงได้ เช่น คนโลภมำก ๆ อิจฉำมำก ๆ ไม่มีควำมสงบสุขแห่งจิตใจ อย่ำงไรบ้ำง คนที่มีเมตตำ ไม่ปรำรถนำร้ำยต่อ ใคร ๆ มีควำมสุข ไม่มีเวร ไม่มีภัย อย่ำงไรบ้ำง ควำมจริงเหล่ำนี้ ล้วนสำมำรถแสดงให้ ประจักษ์ได้ ชี้ให้ดูตัวอย่ำงได้ แต่ปรมัตถธรรมอันสูงสุดนั้นผู้ที่ได้พบแล้วยำกจะ อธิบำยให้ คนอื่นเข้ำใจได้ เป็นสภำวะที่ผู้รู้เองเห็นเองจะพึงประจักษ์เฉพำะตัว ๔. มุ่งควำมจริงมำตีแผ่ วิทยำศำสตร์นั้นแสวงหำควำมรู้จำกธรรมชำติและจำกกฎ ธรรมชำติที่มีอยู่ภำยนอกตัวมนุษย์ (มุ่งเน้นทำงวัตถุหรือสสำร) ไม่ได้สนใจเรื่องศีลธรรม เรื่องควำมดีควำมชั่ว สนใจเพียงค้นคว้ำเอำควำมจริงมำตีแผ่ให้ประจักษ์เพียงด้ำนเดียว เช่น วิทยำศำสตร์พบเรื่องกำรระเบิด แต่ควรระเบิดอะไร ไม่ควรระเบิดอะไร ไม่อยู่ใน ขอบข่ำยของวิทยำศำสตร์ กำรค้นพบทำงวิทยำศำสตร์จึงมีทั้งคุณอนันต์และมีโทษมหันต์ กระบวนกำรผลิตทำงวิทยำศำสตร์ก ่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ค ำสอนทำง พระพุทธศำสนำนั้นเน้นเรื่องศีลธรรม ควำมดีควำมชั่ว มุ่งให้มนุษย์มีควำมสุข เป็นล ำดับ ขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงควำมสงบสุขอันสูงสุดคือนิพพำน ฉะนั้น กระบวนกำรปฏิบัติธรรมใน พุทธศำสนำจึงส่งเสริมให้มนุษย์อนุรักษ์ธรรมชำติ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม๖ ดังนั้น ตำมที่กล่ำวมำทั้งหมดสำมำรถสรุปได้ว่ำพุทธศำสนำกับศำสตร์สมัยใหม่ นั้นมีแนวทำงที่สอดคล้องกันในหลำย ๆ เรื่อง กล่ำวคือมุ่งให้มนุษย์พบกับควำมสุข ห่ำงไกล ควำมทุกข์ยำกล ำบำก แต่เมื่อสืบสำวรำวเรื่องตั้งแต่ต้นทำงจนสุดทำงแล้ว ก็พบว่ำศำสตร์สมัยใหม่ อย่ำงเช่น เทคโนโลยีก็ให้ควำมสุข สะดวกสบำยกับมนุษย์เพียง เป็นเครื่องมือ น ำพำมนุษย์ไปสู่ควำมต้องกำรที่อยำกจะได้อยำกจะมีเท่ำนั้น มิหน ำซ้ ำ เทคโนโลยีที่มนุษย์ใช้ไม่เป็นหรือใช้อย่ำงไม่เข้ำใจได้กลับมำเป็นอุปกรณ์ท ำลำยมนุษย์ให้ ได้รับควำมทุกข์เพิ่มขึ้นอีก วิทยำศำสตร์กำยภำพฟิสิกส์และชีวภำพก็ไม่แตกต่ำงกันมำกนัก เพรำะศำสตร์สมัยใหม่เหล่ำนี้ก็เป็นเครื่องมือ ช่วยให้มนุษย์ได้ในวัตถุสิ่งของที่ต้องกำร เท่ำนั้น แต่วัตถุสิ่งของที่มนุษย์ได้มำก็ไม่ได้สร้ำงควำมเจริญก้ำวหน้ำให้กับมนุษย์ได้อย่ำง ยั่งยืน ๖ พิมพิลัย หงษำค ำ, หลักการพระพุทธศาสนากับหลักการวิทยาศาสตร์, (กรุงเทพมหำนคร: ส ำนักพิมพ์แห่งจุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย, ๒๕๖๔), หน้ำ ๖๔.
๑๑๖ กล่ำวคือมนุษย์เมื่อได้สิ่งที่ปรำรถนำจำกกำรสรรสร้ำงของศำสตร์สมัยใหม่แล้ว มนุษย์ก็ยังจบปลักอยู่กับควำมทุกข์ยำก ควำมเครียด ควำมล ำบำกอยู่เรื่อยมำ ด้วย สภำพกำรณ์เช่นนี้เอง พุทธศำสนำที่นับว่ำเป็นศำสตร์แห่งควำมจริงได้เข้ำมำอธิบำย หรือเติมเต็มให้ควำมเป็นมนุษย์สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพรำะหลักกำรของพุทธศำสนำนั้นได้ อธิบำย ไปถึงแก่นแท้ของชีวิตมนุษย์ หมำยควำมว่ำ พุทธศำสนำยอมรับกำรมีควำม ปรำรถนำวัตถุ สิ่งของภำยนอกของมนุษย์ได้ แต่พุทธศำสนำได้บอกต่อไปอีกว่ำแค่มนุษย์ ได้วัตถุสิ่งของตำมควำมต้องกำรนั้นยังไม่ใช่ค ำตอบสุดท้ำยของชีวิต เพรำะค ำตอบที่ควรให้ ควำมส ำคัญมำกกว่ำคือกำรให้ควำมส ำคัญกับกำรพัฒนำจิตใจหรือภำยในของมนุษย์ซึ ่ง เรื่องนี้เองที่วิทยำศำสตร์ในยุคเริ่มแรกไม่สนใจและมองว่ำเป็นเรื่องงมงำยหรือไร้เหตุผล ด้วยไม่สำมำรถยืนยันด้วยประสำทสัมผัสทั้ง ๕ ได้แต่ในที่สุดวิทยำศำสตร์ในยุคนี้ก็ได้ให้ ควำมสนใจเรื่องจิตใจมำกขึ้น ดังจะเห็นได้จำกที่นักวิทยำศำสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกได้ หันมำให้ควำมสนใจหลักค ำสอนในพุทธศำสนำ ซึ่งเป็นศำสนำที่ให้ควำมส ำคัญกับศำสตร์ แห่งจิตใจเป็นหลักเรียกว่ำพุทธศำสนำไม่ได้ปฏิเสธควำมจริงแบบศำสตร์สมัยใหม่อย่ำงเช่น วิทยำศำสตร์ แต่พุทธศำสนำกลับตั้งค ำถำมกับศำสตร์สมัยใหม่ว่ำควำมจริงที่ศำสตร์ สมัยใหม่มีให้กับมนุษย์นั้นเพียงพอแล้วหรือยัง หำกยังไม่เพียงพอก็ควรได้ให้ควำมส ำคัญ กับควำมจริงของชีวิตอีกแบบหนึ่งที่สมเหตุสมผล อย่ำงเช่นเรื่องกฎแห่งกรรม จึงถือว่ำใน สถำนกำรณ์แบบนี้เป็นผลบวกต่อพุทธศำสนำได้เลย ๖.๔ ความสัมพันธ์พุทธภาวะกับศาสตร์สมัยใหม่ ควำมสัมพันธ์พุทธภำวะกับศำสตร์สมัยใหม่ หมำยถึง กำรแสดงเนื้อหำเกี่ยวกับ ควำมสอดคล้องและไม่สอดคล้องของพุทธศำสนำที่มีต่อศำสตร์ต่ำง ๆ ในโลกสมัยใหม่ (Globalizations) โดยเฉพำะวิทยำศำสตร์ ซึ่งนับว่ำเป็นศำสตร์เดียวที่เป็นจุดศูนย์กลำง ของกำรอธิบำยควำมสมเหตุสมผลของสรรพสิ่งทั้งในโลกนี้และในจักรวำล กล่ำวคืออะไร ๆ ก็แล้วแต่ในยุคนี้ก็มักอธิบำยเชื่อมโยงกับวิทยำศำสตร์เป็น หลักจึงจะได้รับกำรยอมรับจำกคนในยุคนี้ มิได้มีกำรยกเว้นแม้แต่กำรอธิบำยหลักค ำสอน ในศำสนำก็ต้องอธิบำยให้เข้ำกันได้กับวิธีกำรทำงวิทยำศำสตร์เท่ำนั้นจึงจะได้รับกำร ยอมรับนับถือจำกพุทธศำสนิกชนและศำสนิกชนอื่น ๆ ที่สนใจ ดังนั้น คนในยุคนี้จึงเป็นยุคที่ยอมรับอะไร ๆ ได้ง่ำยมำก หำกเป็นสิ่งที่สอดคล้อง กับและเข้ำกับหลักกำรทำงวิทยำศำสตร์ และก็ตรงกันข้ำมเช่นกันที่คนในยุคนี้ก็เชื่อ อะไร ๆ ได้ยำกเหมือนกัน หำกสิ่งนั้น ๆ ไม่มีควำมสมเหตุสมผลและไม่มีควำมเป็นเหตุเป็น ผลตำมหลักวิทยำศำสตร์ที่พวกเขำคุ้นชิน ยิ่งเรื่องศำสนำด้วยแล้วยิ่งเป็นเรื่องยำกที่คนใน
๑๑๗ ยุควิทยำศำสตร์จะยอมรับได้ง่ำยเหมือนยุคก่อน ๆ เพรำะศำสนำโดยส่วนใหญ่จะพูดเรื่อง โลกหลังควำมตำยหรือพูดเรื่องนำมธรรมเป็นหลักกำรเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ วิทยำศำสตร์ไม่ยอมรับ ตั้งแต่เบื้องต้นแล้ว แต่ในที่สุดวิทยำศำสตร์หรือศำสตร์สมัยใหม่ ต่ำง ๆ ก็ได้เดินมำถึงทำงตันคือศำสตร์สมัยใหม่ตอบโจทย์ได้แค่เพียงแก้ปัญหำภำยนอกตัว มนุษย์และเป็นทำงวัตถุที่จับต้องสัมผัสได้แบบหยำบ ๆ เท่ำนั้น และที่ยิ่งเลวร้ำยไปกว่ำ นั้นคือศำสตร์สมัยใหม่กลับสร้ำงปัญหำใหม่ขึ้นมำมำกมำย อย่ำงเช่นปัญหำสิ่งแวดล้อม ปัญหำสังคม ปัญหำกำรก่อกำรร้ำย ปัญหำมลพิษต่ำง ๆ ที่เป็นจำกกำรผลิตวัตถุขึ้นมำ ตอบสนองควำมสะดวกสบำยภำยนอก ดังนั้น ช่องว่ำงที่ศำสตร์สมัยใหม่ไปไม่ถึงก็คือเรื่องภำยในหรือจิตใจที่ทำงฝั่ง ศำสนำโดยเฉพำะศำสนำพุทธเชื่อว่ำมีผลเป็นอย่ำงมำกต่อควำมเป็นไปของสรรพสิ่ง ด้วย กำรที่ศำสตร์สมัยใหม่สร้ำงปัญหำขึ้นมำ เช่นนี้เองจึงนับว่ำเป็นโอกำสที่พุทธศำสนำที่จะได้ น ำหลักกำร หลักเกณฑ์ และหลักธรรมที่สมควรแก่ธรรม มำเติมเต็มให้กับศำสตร์สมัยใหม่ จนกลำยเป็นเครื่องมือสร้ำงสุขและสร้ำงปัญญำญำณให้กับมนุษย์มำกขึ้น โดยทั้ง พระพุทธศำสนำและศำสตร์สมัยใหม่ต้องมีกำรเชื่อมโยงระหว่ำงกันและกันดังนี้ ๑. ร่วมมือขยำยขอบฟ้ำแห่งควำมรู้ ในขณะที่มนุษย์และสังคมเผชิญหน้ำ ประเด็นปัญหำทำงวิชำกำรหรือวิกฤติกำรณ์ต่ำง ๆ วิทยำกำรหรือศำสตร์ต่ำง ๆ มิสำมำรถ ที่จะผลักให้ให้เป็นภำระของศำสตร์ใดศำสตร์หนึ่งรับมือหรือตอบโจทย์แต่เพียงล ำพัง ด้วยเหตุนี้พระพุทธศำสนำกับวิทยำกำรสมัยใหม่สำขำต่ำง ๆ จ ำเป็นอย่ำงยิ่งที่จะต้องร่วม คิดค้นและออกแบบเครื่องมือเครื ่องมือโดยกำรบูรณำกำรและสร้ำงชุดควำมรู้หรือ เครื่องมือแบบสหวิทยำกำรเพื่อน ำจุดเด่นของวิทยำกำรต่ำง ๆ มำเป็นฐำนรองรับ โดยกำร สร้ำงแบบจ ำลอง อธิบำยและตีควำมให้สอดรับกับประเด็นปัญหำและวิกฤติกำรณ์ต่ำง ๆ บนสถำนกำรณ์ที่เป็นจริงและเอื้อต่อสถำนกำรณ์มำกยิ่งขึ้น นอกจำกนี้พระพุทธศำสนำกับวิทยำกำรสมัยใหม่สำมำรถร่วมมือกันเพื่อสร้ำง ควำมรู้ที่กำรน ำสิ่งที่แยกกันมำรวมเข้ำเป็นอัน เดียวกันจนเกิดองค์รวม (The whole) โดยกำรน ำแนวคิดและเนื้อหำจำกสำขำวิชำมำบูรณำ กำรโดยไม่เน้นกำรเรียงล ำดับเนื้อหำ แต่เน้นกำรเชื่อมโยงเนื้อหำ จุดเด่นในประเด็นนี้คือกำรท ำงำนร่วมกับในเชิงบูรณำกำร แบบสหวิทยำกำรอยู่ที่กำรเชื่อมโยงสำขำวิชำต่ำง ๆ เข้ำด้วยกันอันเป็นกำรท ำงำนร่วมกัน แบบส่วนรวม (Holistic Approach) ซึ่งเรำสำมำรถประเมิน ได้จำกกำรเปิดพื้นที่ของกำร ค้นพบในวิทยำกำรและศำสตร์กำรเรียนรู้ใหม่ๆ เช่น พุทธเศรษฐศำสตร์ รัฐศำสตร์แนวพุทธ สังคมวิทยำ เชิงพุทธศำสนำแบบสันติวิธีเพื่อสังคม
๑๑๘ ๒. กำรเป็นสะพำนเชื่อมสมำนระหว่ำงกันและกัน หำกเป้ำหมำยของศำสนำอยู่ที่ กำรปลดปล่อยมนุษย์ออกจำกพันธนำกำรแห่งตัณหำอุปำทำน (Bondage of Egocentric cravings) มนุษย์มักจะมีควำมยึดมั่นในตัวเอง (อัตตวำทุปำทำน) และ ควำมคิดของตัวเอง (ทิฏฐุปำทำน) ว่ำตัวเองหรือควำมคิดของตัวเองส ำคัญที่สุด จึงท ำให้ไม่สำมำรถเรียนรู้ และเข้ำใจผู้อื่นในสังคม แต่ในควำมเป็นจริงมนุษย์เปรียบประดุจเศษ เสี้ยวธุลีดิ้นใน จักรวำล ไอนสไตน์มองว่ำฐำนส ำคัญประกำรหนึ่งในกำรที่จะท ำให้มนุษย์พ้นหลุดรอดจำก พันธนำกำรคือกำรคิดแบบมีเหตุผล ซึ่งเขำได้พิสูจน์ทรำบจำกวิถีชีวิตกำรท ำงำนของตัวเอง ด้วยเหตุนี้เขำจึงมองเห็นแนวทำงในกำรที่จะใช้เหตุผลเป็นตัวแปรในกำรเชื่อมสมำนมนุษย์ ไปสู่กำรพัฒนำคุณค่ำภำยในตำมหลักของศำสนำ โดยเขำชี้ว่ำ “ถ้ำเป้ำหมำยหนึ่งของ ศำสนำอยู่ที่กำรปลดปล่อย มนุษยชำติให้เป็นอิสระมำกที่สุดเท่ำที่จะเป็นไปได้จำกตัณหำ และภยำคติที่มีรำกฐำนอยู่บนอัตตำ กำรคิดแบบมีเหตุผลทำง วิทยำศำสตร์สำมำรถช่วย ศำสนำให้บรรลุเป้ำหมำยนั้นได้อีกทำงหนึ่ง” คุณค่ำของกำรคิดแบบมีเหตุผลของ วิทยำศำสตร์ถือว่ำเป็นสะพำนเชื่อมโยงไปสู่หลักกำรที่ปรำกฏใน เกสปุตติสูตร ที่มุ่งเน้น กำรใช้ปัญญำคิดวิเครำะห์เหตุผลอย่ำงรอบด้ำนแล้วจึงตัดสินใจเชื่อ และน ำไปสู่กำรปฏิบัติ เพื่อปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจำกตัณหำ มำนะ และทิฐิ ๓. วิทยำกำรสมัยใหม่เสริมสร้ำงควำมฉลำด พระพุทธศำสนำหยิบยื่นควำมสงบ วิทยำกำรสมัยใหม่พัฒนำศักยภำพของมนุษย์ให้มีควำมฉลำดในกำรแสวงหำควำมอยู่รอด ทำงร่ำงกำย แต่ไม่สำมำรถท ำให้มนุษย์เกิดควำมสุขสงบทำงจิตใจ กล่ำวคือมุ่งเน้น พัฒนำ ทักษะให้เกิดควำมช ำนำญและเชี่ยวชำญในกำรแสวงหำสิ่งเสพเพื่อสนองตอบต่อควำม อยำกรู้อยำกเห็นและอยำกมีอยำกเป็นของตัวมนุษย์เอง แต่พระพุทธศำสนำจะท ำให้ มนุษย์เข้ำใจควำมรู้สึกและควำมต้องกำรของตัวเองว่ำไม่สำมำรถแสวงหำหำสิ่งต่ำง ๆ มำ ปรนเปรอเพื่อสนองตอบต่อควำมอยำกของตัวเองได้ดังที่ ซำร์ต นักปรัชญำชำวฝรั่งเศส ได้อธิบำยว่ำ “มนุษย์เป็นควำมปรำรถนำที่ไร้ควำมส ำรำญ” (Man is a useful passion) เหตุที่เป็นเช่นนี้เพรำะ “มนุษย์คือควำมขำดหำย ควำมบกพร่อง หรือช่องว่ำง” ซึ่งสอดรับ กับหลักกำรทำงพระพุทธศำสนำที่เน้นว่ำ “นตฺถิ ปญฺหำ สมำ นที, แม่น้ ำเสมอด้วยตัณหำ ย่อมไม่มี” กำรเข้ำใจธรรมชำติของจิตใจในลักษณะเช่นนี้จะท ำให้มนุษย์แสวงหำหำวัตถุ และสิ่งเสพในฐำนะเป็นสิ่งจ ำเป็น (Necessity) มำกยิ่งขึ้น มำกกว่ำกำรใช้กำยของตัวเอง ไปมุ่งเน้นแสวงหำคุณค่ำเทียมจำกสิ่งเสพต่ำง ๆ ที่เข้ำมำยั่วยวนและหลอกล่อจิตใจของ มนุษย์ ๔. กำรเชื่อมประสำนพลังแห่งศรัทธำกรุณำและปัญญำ ในขณะที่จุดเด่นของ วิทยำกำรหรือศำสตร์สมัยใหม่มุ่งเน้นไปที่กำรแสวงหำปัญญำอันเกิดจำกกำรพัฒนำ
๑๑๙ ควำมรู้และแสวงหำควำมจริง แต่สิ่งที่ขำดหำยไปคือวัฒนธรรมแห่งควำมเชื่อมั่นในกำร กระท ำอันเกิดจำกฐำนของศีลธรรม จึงท ำให้ปัญญำขำดมิติแห่งศรัทธำที่เชื่อมั่นอยู่ใน คุณธรรมควำมดีจำกตัวแปรดังกล่ำวจึงท ำให้พระพุทธศำสนำได้เข้ำไปปิดจุดอ่อนดังกล่ำว จึงได้น ำ “ศรัทธำ” ไปเติมเต็มให้แก่ “ปัญญำ” เพื่อให้พลังอันเกิดจำกกำรคิดหำเหตุผลมี ควำมนุ่มนวล (Soft Power) ปัญญำที่ขำดศรัทธำจะท ำให้เป็นปัญญำที่ขำดควำมสุขุมลุ่ม ลึก บุ่มบ่ำมและขำดควำมเฉลียวใจและยั้งคิดอย่ำงรอบด้ำน ในขณะเดียวกัน ปัญญำอัน เกิดจำกกำรศึกษำเรียนรู้และคิดหำเหตุผลตำมกรอบของวิทยำกำรสมัยใหม่ ไม่ว่ำจะเป็น วิทยำศำสตร์ หรือมิติแห่งกำรรัฐศำสตร์และนิติศำสตร์ หำกขำดมิติแห่งควำมกรุณำย่อม ท ำให้มนุษย์เอำรัดเอำเปรียบแก่งแย่ง และแข็งขันซึ่งกันและกัน มุ่งหวังควำมอยู่รอดของ ตัวเองโดยไม่ได้ใส่ใจต่อควำมสุขหรือควำมทุกข์ของเพื่อนร่วมโลก ๕. วิทยำกำรสมัยใหม่เน้นศึกษำโลกภำยนอก พระพุทธศำสนำมุ่งศึกษำโลก ภำยในพระพุทธเจ้ำทรงศึกษำวิทยำกำรหรือศำสตร์ต่ำง ๆ ทั้ง ๑๘ ศำสตร์ แต่พบควำม จริงว่ำ ศำสตร์เหล่ำนั้นเป็นกำรเรียนรู้เพื่อให้เข้ำใจโลกภำยนอกได้ชัดเจนมำกยิ่งขึ้น อีกทั้งพระองค์ได้ทรงใช้ศำสตร์เหล่ำนั้นเป็นเครื่องมือในกำรด ำเนินชีวิตที่สัมพันธ์กับโลก ภำยนอก ถึงกระนั้นกำรเรียนรู้ศำสตร์ ภำยนอกเป็นประดุจค ำถำมปลำยเปิดที่ไม่ สำมำรถแสวงหำจุดบรรจบและสนองตอบต่อควำมอยู่รอดและควำมสว่ำงไสวทำงจิตใจ และปัญญำ จึงท ำให้พระองค์ตระหนักรู้ว่ำกำรที่จะท ำให้ชีวิตค้นพบจุดจบอย่ำงแท้จริงนั้น คือกำรศึกษำเพื่อให้เข้ำใจโลกภำยใน ซึ่งเครื่องมือที่พระองค์ทรงคุณพบคือ “ไตรสิกขำ” กล่ำวคือศีล สมำธิ และปัญญำ กำรศึกษำ หรือ “สิกขำ” ตำมกรอบพระพุทธศำสนำ เป็นกำรตระหนักรู้และเห็นควำมทุกข์ สำเหตุแห่งทุกข์กำรดับทุกข์ และหนทำงแห่งกำร ดับทุกข์ด้วยจิตใจของตัวเอง ฉะนั้นปริญญำที่พระองค์ ได้รับมิใช่ปริญญำตำมที่ชำวโลก ยึดถือ หำกแต่เป็นกำรปริญญำคือควำมรู้รอบตำมกรอบของ อริยสัจ ๔ และมีโยนิโส มนสิกำรเป็นอำภรณ์ประดับสติปัญญำของผู้เรียน ๖. วิทยำกำรสมัยใหม่มุ่งควำมจริง พระพุทธศำสนำมุ่งศีลธรรม สัจธรรมที่มนุษย์ แสวงหำมี ๓ อย่ำง คือ ควำมจริง (Truth) ควำมดี (Goodness) ควำมงำม (Beauty) และควำมสุข ( Happiness) วิทยำกำรสมัยใหม่ในประเด็นที่เกี่ยวข้องวิทยำศำสตร์นั้น เป็นศำสตร์มุ่งแสวงหำควำมควำมจริงและพิสูจน์ควำมจริง ในขณะที่พระพุทธศำสนำเป็น ศำสตร์ที่มุ่งเน้นในกำรแสวงหำควำมดีควำมงำม และควำมสุขให้แก่มนุษย์ในเชิงปัจเจก และสังคมโดยรวม ในขณะเดียวกันหำกมอง “ควำมจริง” ในมิติของวิทยำศำสตร์และ พระพุทธศำสนำนั้นมีจุดร่วมที่ส ำคัญประกำรหนึ่งคือ “ควำมจริงตำมกฎเกณฑ์ของ ธรรมชำติ” พระพุทธศำสนำมีจุดยืนที่ ชัดเจนว่ำไม่ว่ำพระพุทธเจ้ำจะถือก ำเนิดหรือไม่ก็
๑๒๐ ตำม ควำมจริงตำมธรรมชำตินั้นเป็นสิ่งที่ปรำกฏและมีอยู่แล้ว พระองค์เป็นเพียงผู้เข้ำถึง กฎเกณฑ์ธรรมชำติและน ำกฎเกณฑ์ดังกล่ำวมำน ำเสนอแก่มนุษยชำติ ในขณะที่ วิทยำศำสตร์พยำยำมแสวงหำเครื่องมือเพื่อเข้ำถึงควำมจริงและ เปิดเผยควำมจริงตำม กระบวนกำรและขั้นตอนของวิทยำศำสตร์ อย่ำงไรก็ตำมจุดที่เป็นข้อกังวลซึ่งวิทยำศำสตร์ไม่สำมำรถตอบ โจทย์ได้คือ วิทยำศำสตร์สนใจเฉพำะกำรค้นหำและเปิดเผยควำมจริง แต่ไม่ได้มุ่งแสวงหำควำมดี พระพุทธศำสนำจึงมีควำมจ ำเป็นที่จะเข้ำมำช่วยเติมเต็มให้ศำสตร์หรือวิทยำกำรทั้งหลำย สมบูรณ์ทั้งมิติภำยนอกและมิติภำยในแสวงหำคุณค่ำภำยนอกและภำยใน พัฒนำทั้งจิต ภำพสมบูรณ์คู่กับกำรพัฒนำด้ำนกำยภำพ ไอน์สไตน์เข้ำใจถึงข้อกังวลในลักษณะเช่นนี้ อย่ำงแจ่มชัด เขำจึงพยำยำมจะออกไปน ำเสนอแนวทำงเพื่อปิดช่องโหว่ดังกล่ำวว่ำ “วิทยำศำสตร์ควรมุ่งแสวงหำและพิสูจน์ควำมจริง ส่วนศำสนำควรมุ่งแสวงหำควำมดีและ ศึกษำเรื่องศีลธรรม กำรน ำเสนอเช่นนี้ดูประหนึ่งจะมุ่งหวังที่จะ เสนอว่ำพระพุทธศำสนำ และวิทยำศำสตร์หรือวิทยำกำรต่ำง ๆ ควรน ำเสนอจุดเด่นที่มีคุณค่ำของตัวเองแก่มนุษย์ และสังคม โดยไม่เข้ำข้ำมพรมแดนไปผูกขำดควำมจริงหรือปิด ช่องทำงมิให้ศำสตร์อื่น ๆ ได้ท ำหน้ำที่ของตัวเองอย่ำงเต็มศักยภำพแห่งภูมิปัญญำที่มี ดังนั้น จำกแนวทำงดังกล่ำวมำนับว่ำเป็นกำรมอบหมำยภำระหน้ำที่ทำงด้ำน ศีลธรรมให้แก่ศำสนำหรือพระพุทธศำสนำ เพื่อให้ศำสนำได้เข้ำมำช่วยวำงกรอบและ ก ำกับมิให้ศำสตร์ต่ำง ๆ ได้ด ำเนินกำรพัฒนำมนุษย์ไปในทิศทำงของตัวเองโดยมิได้สนใจที่ จะน ำศำสตร์อื่น ๆ มำร่วมบูรณำกำรแบบสหวิทยำกำร เพื่อให้องค์ควำมรู้หรือชุดควำมรู้ และกิจกรรมมีควำมหลำกหลำยและเอื้อต่อกำรพัฒนำมนุษย์และสังคมให้สำมำรถเข้ำถึง ควำมจริง ควำมดี ควำมงำมและควำมสุขได้อย่ำงมีภูมิคุ้มกันและยั่งยืนต่อไปอย่ำงสันติสุข ๗. ควำมอยู่รอดระหว่ำงพระพุทธศำสนำกับวิทยำกำรสมัยใหม่ กำรที่พระพุทธ ศำสนำซึ่งมำจำกองค์ประกอบต่อไปนี้ คือ พระศำสดำ ศำสนธรรม ศำสน บุคคล ศำสนพิธี และศำสนสถำน จะสำมำรถด ำรงสถำนะในฐำนะเป็นที่พึ่งตำมกรอบของ รัตนตรัย คือ “พระพุทธ พระธรรม และ พระสงฆ์” ได้นั้น จ ำเป็นอย่ำงยิ่งที่จะต้อง พัฒนำประยุกต์ธรรมให้ร่วมสมัยและสอดรับกับควำมต้องกำรมำกยิ่งขึ้น ไม่ว่ำจะเป็นกำร พัฒนำและตีควำมหลักธรรมให้เอื้อต่อกำรตอบค ำถำมทำงวิชำกำรที่ไปสัมพันธ์กับ วิทยำกำรหรือศำสตร์ต่ำง ๆ เข้ำมำท้ำทำยต่อพระพุทธศำสนำ ดังที่พระธรรมโกศำจำรย์ ได้เสนอว่ำ “ธรรมะเกี่ยวข้องกับทุกกิจกรรมของชีวิต ธรรมจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวแต่อย่ำงใด ผู้ที่น ำธรรมไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ ำวันอย่ำงสม่ ำเสมอย่อมจะเห็นคุณค่ำของ พระพุทธศำสนำ ประโยชน์นั่นแหละจะรักษำพระพุทธศำสนำให้อยู่คู่กับสังคมไทย
๑๒๑ ตลอดไป และประโยชน์นั่นแหละจะรักษำวิชำพระพุทธศำสนำให้อยู่คู่หลักสูตรกำรศึกษำ ของประเทศไทยแบบสัมมำปฏิบัติตลอดกำล” ๗ เหตุดังนั้น พุทธศำสนำกับศำสตร์สมัยใหม่จึงเป็นเรื่องที่น่ำสนใจศึกษำเป็น อย่ำงยิ่ง เพรำะทิศทำงหรือแนวโน้มของทั้งสองศำสตร์ดูเหมือนจะไปด้วยกันไม่ได้ แต่เมื่อ พิจำรณำถึงเป้ำหมำยแล้ว พุทธศำสนำและศำสตร์สมัยใหม่ก็เป็นอุปกรณ์ให้มนุษย์ได้ เข้ำถึงควำมเป็นจริงเพื่อกำรเป็นอยู่อย่ำงมีควำมสุขเหมือนกัน แต่จุดที่ท ำให้ศำสตร์ สมัยใหม่ต้องหันหลังกลับมำดูก็คือเมื่อศำสตร์สมัยใหม่ได้เป็นหลักกำรและวิธีกำรให้กับ มนุษย์แล้ว มนุษย์และสังคมโลกก็ยังเต็มไปด้วยปัญหำ ทั้งปัญหำในระดับบุคคล สังคม และโลก ดังนั้น พุทธศำสนำที่นับว่ำเป็นศำสตร์หนึ ่งที่ยืนอยู ่อีกฟำกหนึ่งของศำสตร์ สมัยใหม่จึงได้โอกำสเข้ำมำเติมเต็มให้มนุษย์และสังคมมีควำมสมบูรณ์มำกยิ่งขึ้น เพรำะ ตำมหลักกำรเบื้องต้นแล้วทั้งสองศำสตร์ล้วนเป็นศำสตร์ที่มีเหตุผลที่ตั้งอยู่บนกฎธรรมชำติ นั่นเอง จึงท ำให้พุทธศำสนำถึงแม้จะเป็นศำสตร์แห่งจิตใจหรือนำมธรรมก็ยังมีควำม เป็นไปได้เสมอกับศำสตร์สมัยใหม่ และที่น่ำสนใจยิ่งกว่ำคือศำสตร์สมัยใหม่ที่ว่ำก็เป็น ศำสตร์ที่พัฒนำต่อยอดมำจำกศำสตร์ยุคก่อน ๆ และก็เป็นไปได้อีกว่ำศำสตร์สมัยใหม่ ที่ว่ำดีที่สุดในยุคนี้ก็จะถูกลบเหลี่ยมโดยศำสตร์สมัยใหม่ยุคต่อ ๆ ไปอีก ตรงกันข้ำมกับ หลักพุทธศำสนำที่ดูเหมือนจะมีที่ยืนยำกขึ้นเรื่อย ๆ ในยุควิทยำศำสตร์คล้ำยกับหลำย ๆ ศำสนำในปัจจุบัน แต่กลับกลำยเป็นว่ำยิ่งศำสตร์สมัยใหม่ก้ำวหน้ำไปมำกเท่ำใด เนื้อหำ ของศำสตร์สมัยใหม่ดังกล่ำวยิ่งเข้ำใกล้เนื้อหำของพุทธศำสนำมำกยิ่งขึ้นตำมไปด้วย ๖.๕ บูรณาพุทธศาสนาการศึกษากับศาสตร์สมัยใหม่ อย่ำงไรก็ตำมเมื่อศำสตร์สมัยใหม่และพุทธศำสนำ สำมำรถเชื่อมโยงระหว่ำงกัน และกันได้ จึงนับว่ำเป็นเรื่องบวกส ำหรับพุทธศำสนำที่จะท ำให้คนในยุคนี้ โดยเฉพำะ เยำวชนได้หันกลับมำสนใจพุทธศำสนำมำกขึ้น เพรำะคนในยุคนี้อะไร ๆ ก็ต้องอธิบำย เทียบเคียงกับวิทยำศำสตร์หรือศำสตร์สมัยใหม่เป็นหลักเท่ำนั้นจึงจะยอมรับคือหำก ศำสตร์อะไรขัดแย้งหรือไปด้วยกันไม่ได้กับหลักวิทยำศำสตร์แล้ว เป็นไปได้ยำกที่คนในยุค นี้จะยอมรับนับถือ ดังนั้นเมื่อพุทธศำสนำและศำสตร์สมัยใหม่ไปด้วยกันได้อย่ำงเหมำะสม ๗ พระมหำหรรษำ ธมฺมหำโส, พระพุทธศาสนากับวิทยาการสมัยใหม่: ตัวแบบวิธีวิทยาว่า ด้วยพุทธบูรณาการและพุทธสหวิทยาการ, (พระนครศรีอยุธยำ: โรงพิมพ์มหำจุฬำลงกรณรำช วิทยำลัย, ๒๕๖๐), หน้ำ ๒๗.
๑๒๒ ลงตัวแล้วจึงท ำให้เกิดควำมน่ำสนใจว่ำจะน ำหลักพุทธศำสนำไปประยุกต์ใช้หรือบูรณกำร ร่วมกับศำสตร์สมัยใหม่อย่ำงไรเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับมนุษย์ เพรำะกำรบูรณำ กำรนั้นเป็นเรื่องยำกอยู่มิใช่น้อยหำกทั้งสองศำสตร์ที่จะมำบูรณำกำรร่วมกันมีจุดยืนที่ แตกต่ำงกัน๘ แต่ด้วยควำมที ่พุทธศำสนำมีหลักค ำสอนที่พัฒนำมำจำกหลักกำรพื้นฐำน เกี่ยวกับกฎธรรมชำติจึงท ำให้พุทธศำสนำไปด้วยกันได้กับศำสตร์สมัยใหม่ง่ำยขึ้น โดยวิธีกำรกำรบูรณำกำรพุทธศำสนำกับศำสตร์สมัยใหม่นั้นสำมำรถท ำได้๒ วิธี ดังนี้ ๑. วิธีกำรบูรณำกำรแบบพุทธวิทยำ (Battology) ซึ่งเริ่มต้นจำกกำรก ำหนด หรือแสวงหำประเด็น (Issues) และปัญหำ (Problems) ทำงวิชำกำรหรืองำนวิจัยที่มี กำรถกเถียงหรือแสวงหำทำงออกที่ควรจะเป็นต่อประเด็นต่ำง ๆ ที่มนุษย์ ชุมชน หรือ สังคมสนใจหลังจำกนั้นจึงน ำพระพุทธศำสนำมำเป็นฐำนในกำรอธิบำยขั้นตอนต่อไปจึง เข้ำสู่กระบวนกำรของกำรน ำวิทยำกำรหรือศำสตร์สมัยใหม่มำอธิบำยเสริม โดยมี เจตนำรมณ์เพื่ออธิบำยสนับสนุนให้พระพุทธศำสนำทันสมัย มีเหตุผลและสอดรับกับวิถี ควำมเป็นไปของชีวิตและสังคมมำกยิ่งขึ้น ซึ่งวิธีกำรเช่นนี้ มิได้เจตนำที่จะก่อให้เกิด สัทธรรมปฏิรูปหรือท ำให้พระพุทธศำสนำสูญเสียจุดยืนของตัวเอง ๒. วิธีกำรบูรณำกำรแบบธรรมวิทยำ (Dhamology) วิธีกำรนี้มีจุดเริ่มต้น เช่นเดียวกันกับวิธีกำรของ (๑) กำรบูรณำกำร จะเริ่มต้นจำกกำรก ำหนดหรือแสวงหำ ประเด็น (Issues) และปัญหำ (Problems) ทำงวิชำกำรหรืองำนวิจัยที่มีกำรถกเถียง หรือ แสวงหำทำงออกที่ควรจะเป็นต่อประเด็นต่ำง ๆ ที่ มนุษย์ ชุมชน หรือสังคมสนใจ ขั้นตอนต่อไป คือกำรน ำวิทยำกำรหรือศำสตร์สมัยใหม่มำเป็นตัวตั้ง แต่จุดเด่นในวิธีกำรที่ ๒ คือ กำรน ำหลักธรรมะในพระพุทธศำสนำตำมที่ปรำกฏใน พระวินัย พระสูตร และพระ อภิธรรมมำเป็นฐำนในกำรประยุกต์ใช้ตีควำม อธิบำย วิเครำะห์ บูรณำกำร และสังเครำะห์ ออกเป็นชุดอธิบำย ชุดควำมคิด หรือชุดควำมรู้ต่ำง ๆ อย่ำงกลมกลืนไปด้วยกัน อนึ่ง จำกวิธีกำรบูรณำกำรทั้งสองวิธีข้ำงต้นท ำให้เห็นได้ว่ำควำมสอดคล้อง ระหว่ำงพุทธศำสนำกับศำสตร์สมัยใหม่นั้นเป็นไปได้ทั้งเชิงน ำหลักกำรทำงพุทธศำสนำ เป็นหลักแล้วตำม ด้วยศำสตร์สมัยใหม่หรือน ำศำสตร์สมัยใหม่เป็นหลักแล้วตำม ด้วยพุทธ ศำสนำซึ่งทั้งสองวิธีนี้ขึ้นอยู่กับควำมเหมำะสมหรือสภำพกำรณ์ของปัญหำเป็นหลัก หมำยควำมว่ำกำรใช้หลักกำรทำงพุทธศำสนำหรือศำสตร์สมัยใหม่เป็นตัวตั้งต้นนั้นไม่ ๘ กีรติ บุญเจือ, วิธีการศึกษาทั่วไปแบบบูรณาการ: มนุษย์รู้อย่างไร, (กรุงเทพมหำนคร: ไทยวัฒนำพำนิช, ๒๕๕๕), หน้ำ ๑๒-๑๓.
๑๒๓ ส ำคัญเท่ำกับบริบทของปัญหำที่ต้องกำรน ำศำสตร์ทั้งสองไปบูรณำกำรใช้นั่นเอง เพรำะ บำงปัญหำอำจเหมำะสมที่จะเริ่มตั้งต้นด้วยศำสตร์สมัยใหม่ นัยตรงข้ำมบำงปัญหำอำจไม่ เหมำะสม ดังนั้น กำรบูรณำกำรจึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จึงไม่ใช่เป็นเรื่องที่กล่ำวกันเพียง แค่ในวงวิชำกำรเท่ำนั้น แต่ควรเป็นเรื่องที่สำมำรถน ำไปประยุกต์ใช้ได้จริง สรุปได้ว่ำ กำรเปลี่ยนแปลงที่มีอยู่สังคมโลกล้วนเป็นผลมำจำกควำมเปลี่ยนแปลงที่ เกิดขึ้นมำจำกศำสตร์สมัยใหม่ที่มีกำรปรับเปลี่ยนมำตำมยุคสมัย แต่กำรเปลี่ยนแปลง เหล่ำนี้ทั้งหมดล้วนท ำให้เกิดควำมชัดเจนในหลักพุทธศำสนำต่อประชำคมโลกมำกขึ้น จึง นับว่ำเป็นเรื่องที่ดีส ำหรับบรรยำกำศโดยรวมของพุทธศำสนำที่จะเป็นทำงเลือกให้กับผู้คน ในศตวรรษที่ ๒๑ หรือในยุคโลกำภิวัตน์นี้ ๖.๖ วิเคราะห์พุทธศาสตร์กับศาสตร์สมัยใหม่ กำรวิเครำะห์พุทธศำสตร์กับศำสตร์สมัยใหม่ในทัศนะของพระพุทธศำสนำ ผู้จะ ท ำหน้ำที่ผู้น ำต้องได้รับกำรพัฒนำทั้งกำย วำจำ และใจ ต้องวิเครำะห์พุทธศำสตร์จนมี ควำมสำมำรถยอมรับหลักกำรและปฏิบัติตำมคุณธรรมของผู้น ำได้ด้วยตนเองก่อน ดังพุทธพจน์ว่ำ เมื่อฝูงโคว่ำยข้ำมน้ ำไป ถ้ำโคจ่ำฝูงไปคดเคี้ยว โคทั้งฝูงก็ไปคดเคี้ยวตำม กัน ในเมื่อโคจ่ำฝูงไปคดเคี้ยว ในหมู่มนุษย์ก็เหมือนกัน ผู้ใดได้รับแต่งตั้งให้เป็นใหญ่ ถ้ำผู้ นั้นประพฤติไม่ เป็นธรรมประชำชนชำวเมืองนั้นก็จะประพฤติไม่เป็นธรรมตำมไปด้วย หำกผู้น ำไม่ตั้งอยู่ในธรรมเมื่อฝูงโคข้ำมน้ ำไปถ้ำโคจ่ำฝูงไปตรงโคทั้ง ฝูงก็ไปตรงตำมกันใน เมื่อโคจ่ำฝูงไปตรง ในหมู่มนุษย์ก็เหมือนกัน ผู้ใดได้รับแต่งตั้งให้เป็นใหญ่ ถ้ำผู้นั้นประพฤติ ชอบธรรมประชำชนชำวเมืองนั้นก็จะประพฤติชอบธรรมตำมไปด้วยหำกผู้น ำตั้งอยู่ใน ธรรมชำวเมืองนั้นก็เป็นสุข๙ กำรวิเครำะห์พุทธศำสตร์กับศำสตร์สมัยใหม่ในกำรสร้ำงลักษณะควำมเป็นผู้น ำ ให้กับตนเองเป็นพื้นฐำนเป็นสิ่งส ำคัญ โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งกำรวำงตนให้เหมำะสม เอำชนะ อกุศลในใจตนได้ มีธรรมประจ ำตนก็สำมำรถยึดเหนี่ยวน้ ำใจของผู้ใต้ปกครองได้ จึงเป็น มรรควิธีน ำไปสู่เป้ำหมำยกำรปกครองค ำสอนที่กล่ำวเกี่ยวกับลักษณะของผู้น ำใน พระพุทธศำสนำประกอบด้วย ลักษณะ ดังนี้คือ ๑. จักขุมำ มีปัญญำมองกำรณ์ไกล เป็นผู้มีวิสัยทัศน์กว้ำงไกล มองสภำพเหตุกำรณ์ ออกวำงแผนเตรียมรับหรือรุกได้ ๙ ดูรำยละเอียดใน, องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๗๐/๑๑๕- ๑๑๖.
๑๒๔ ๒. วิธูโร จัดกำรธุระได้ดี เป็นผู้ช ำนำญในงำน รู้จักวิธีกำรไม่บกพร่องในหน้ำที่ที่ ตนได้รับผิดชอบ ๓. นิสสยสัมปันโน พึ่งพำอำศัยคนอื่นได้เพรำะเป็นผู้ที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดีและ ได้รับควำมเชื่อถือจำกผู้อื่น จะเห็นได้ว่ำกำรเป็นผู้น ำนั้นต้องเป็นผู้มีปัญญำ มีประสบกำรณ์ เข้ำใจบุคคลหรือผู้ใต้บังคับบัญชำได้เป็นอย่ำงดี๑๐ กำรวิเครำะห์พุทธศำสตร์กับศำสตร์สมัยใหม่กับหลักกำรที่ผู้บริหำรน ำหลักพุทธ ธรรมมำใช้ในกำรบริหำรกำรศึกษำเป็นกำรสร้ำงควำมเชื่อถือให้กำรยอมรับจำกสังคม สร้ำงควำมพึงพอใจให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชำภำยในสถำนศึกษำ ในกำรที่จะสร้ำงศรัทธำท ำ ให้องค์กรต่ำง ๆ ในสถำนศึกษำขับเคลื่อนหรือพัฒนำไปในทิศทำงที่ต้องกำรได้ หลักพุทธ ธรรมที่ผู้บริหำรเลือกสรรและน ำมำประยุกต์ใช้ในกำรบริหำรสถำนศึกษำ ในกำรปฏิบัติตน ที่ส่งผลต่อสมรรถนะที่ส ำคัญและจ ำเป็นของผู้บริหำรสถำนศึกษำ กำรปฏิบัติงำนของครู และบุคลำกรทำงกำรศึกษำได้อย่ำงมีประสิทธิภำพและเกิดประสิทธิผลสูงสุด ทั้งนี้ คุณธรรมทำงพระพุทธศำสนำที่เป็นหลักในกำรปฏิบัติของผู้บริหำรโรงเรียน โดยแบ่ง คุณธรรมออกเป็น ๓ หมวดคือ คุณธรรมที่ใช้ในกำรครองตนครองคนและครองงำนของ ผู้บริหำรไว้กับพุทธศำสตร์กับศำสตร์สมัยใหม่๑๑ ได้แก่ ๑. คุณธรรมในกำรครองตน ได้แก่ สัปปุริสธรรม ๗ ธรรมคุ้มครองโลก ธรรมมี อุปกำระมำก อริยสัจ ๔ ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ควำมสุขของคฤหัสถ์ ศีล ๕ โดยเฉพำะ สัปปุริส ธรรม ๗ เป็นธรรมที่ครอบคลุมข้อธรรมอื่น ๆ ในหมวดกำรครองตนได้เป็นอย่ำงดี ๒. คุณธรรมในกำรครองคน ได้แก่ พรหมวิหำร ๔ สังคหวัตถุ ๔ ทศพิธรำชธรรม ทิศ ๖ หลักธรรมในเรื่องกำรครองตนนั้น พรหมวิหำร ๔ เป็นธรรมที่ครอบคลุมหลักธรรม ข้ออื่น ๆ ได้ดีและถือว่ำพรหมวิหำร ๔ เป็นธรรมส ำหรับนักปกครอง ๓. คุณธรรมในกำรครองงำน ได้แก่ ฆรำวำสธรรม และอิทธิบำท ๔ ส ำหรับ อิทธิบำท ๔ เป็นคุณธรรมในกำรครองงำนเป็นธรรมที่ส ำคัญที่สุด เพรำะหำกมีคุณธรรม ข้อนี้แล้วกำรด ำเนินงำนต่ำง ๆ จะประสบควำมส ำเร็จ สำมำรถครองงำนไว้ได้ ถือได้ว่ำ ฆรำวำสธรรมครอบคลุมคุณธรรมในกำรครองงำนได้ดีที่สุด ดังนั้น เมื่อวิเครำะห์พุทธศำสตร์ กับศำสตร์สมัยใหม่หลักพุทธธรรมที่สอดคล้องกับ หลักกำรบริหำรกำรศึกษำด้ำนครองตน มีจ ำนวน ๑๙ หลักธรรม หลักพุทธธรรมที่สอดคล้องกับ หลักกำรบริหำรกำรศึกษำด้ำน ๑๐ดูรำยละเอียดใน, องฺ.ติก. (ไทย) ๒๐/๒๐/๑๖๓.๑๑นิติรัฐ วรรณวิริยวัตร, “กำรบริหำรงำนแบบพุทธวิธีของโรงเรียนพระปริยัติธรรม อ ำเภอ เมือง เชียงใหม่”, วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยำลัย: มหำวิทยำลัย เชียงใหม่, ๒๕๖๒).
๑๒๕ ครองคน มีจ ำนวน ๑๕ หลักธรรม และหลักพุทธธรรมที่สอดคล้อง กับหลักกำรบริหำร กำรศึกษำด้ำนครองงำน มีจ ำนวน ๑๙ หลักธรรม ดังนี้ ๑ . วิเครำะห์พุทธศำสตร์กับศำสตร์สมัยใหม่ กับหลักกัลยำณมิตตตำ ควำมมี กัลยำณมิตร คือ มีผู้แนะน ำสั่งสอน ที่ปรึกษำ เพื่อนที่คบหำและบุคคลผู้แวดล้อมที่ดี ๒. วิเครำะห์พุทธศำสตร์กับศำสตร์สมัยใหม่ กับโยนิโสมนสิกำร เป็นกำรใช้ ควำมคิดถูกวิธีคือ กำรท ำในใจโดยแยบคำย ๓. วิเครำะห์พุทธศำสตร์กับศำสตร์สมัยใหม่กับหลักธรรมคุ้มครองโลก ๒ ธรรมที่ ช่วยให้โลกมีควำมเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่เดือดร้อน และสับสนวุ่นวำย มีข้อธรรม ๒ ข้อ คือ หิริ คือ ควำมละอำยต่อบำป ละอำยใจต่อกำรท ำควำมชั่ว โอตตัปปะ คือ ควำมเกรง กลัวต่อบำป เกรงกลัวต่อควำมชั่ว ๔. วิเครำะห์พุทธศำสตร์กับศำสตร์สมัยใหม่กับหลักธรรมท ำให้งำม ๒ มีข้อธรรม ๒ ข้อคือ ขันติคือ ควำมอดทน และโสรัจจะคือ ควำมเสงี่ยม ๕. วิเครำะห์พุทธศำสตร์กับศำสตร์สมัยใหม่ กับหลักธรรมมีอุปกำระมำก ๒ ธรรมที่ เกื้อกูลในกิจหรือในกำรท ำควำมดีทุกอย่ำง มีข้อ ธรรม ๒ ข้อคือ สติคือ ควำม ระลึกได้ นึกได้ส ำนึกอยู่ไม่เผลอ และสัมปชัญญะคือ ควำมรู้ชัด รู้ชัดสิ่งที่นึกได้ ตระหนัก เข้ำใจชัดตำมควำมเป็นจริง ๖. วิเครำะห์พุทธศำสตร์กับศำสตร์สมัยใหม่ กับหลักกุศลมูล ๓ รำกเหง้ำของ กุศล ต้นตอของควำมดี มีข้อธรรม ๓ ข้อคือ อโลภะ คือควำมไม่โลภ อโทสะคือ ควำมไม่ คิดประทุษร้ำย อโมหะคือ ควำมไม่หลง ๗. วิเครำะห์พุทธศำสตร์กับศำสตร์สมัยใหม่ กับหลักสุจริต ๓ ควำมประพฤติดี ประพฤติชอบมีข้อธรรม ๓ ข้อ คือ กำยสุจริต กำรประพฤติชอบด้วยกำย วจีสุจริต กำรประพฤติชอบด้วยวำจำ และมโนสุจริต กำรประพฤติชอบด้วยใจ ๘. วิเครำะห์พุทธศำสตร์กับศำสตร์สมัยใหม่ กับหลักสันโดษ ๓ ควำมยินดี ควำม พอใจ ควำมรู้จักอิ่มรู้จักพอ มีข้อธรรม ๓ ข้อคือ ยถำ ลำภสันโดษ ยินดีตำมที่ได้ ยินดี ตำมที่พึงได้ ยถำ พลสันโดษ ยินดีตำมก ำลัง ยถำสำรุปปสันโดษ ยินดีตำมสมควร ๙. วิเครำะห์พุทธศำสตร์กับศำสตร์สมัยใหม่ กับหลักอธิปไตย ๓ ควำมเป็นใหญ่ มีข้อ ธรรม ๓ ข้อคือ อัตตำธิปไตย ควำมมีตนเป็นใหญ่ โลกำธิปไตย ควำมมีโลกเป็นใหญ่ ถือโลกเป็นใหญ่ ธัมมำธิปไตย ควำมมีธรรมเป็นใหญ่ ๑๐. วิเครำะห์พุทธศำสตร์กับศำสตร์สมัยใหม่ กับหลักฆรำวำสธรรม ๔ ธรรม ส ำหรับ ฆรำวำสธรรมส ำหรับกำรครองเรือน หลักกำรครองชีวิตของคฤหัสถ์ มีข้อธรรม
๑๒๖ ๔ ข้อคือ สัจจะ คือ ควำมจริง ซื่อตรง ซื่อสัตย์ จริงใจ พูดจริง ท ำจริงทมะคือ กำรฝึกฝน กำรข่มใจ ฝึกนิสัย ปรับตัว ขันติคือ ควำมอดทน จำคะคือ ควำม เสียสละ ๑๑. วิเครำะห์พุทธศำสตร์กับศำสตร์สมัยใหม่ กับหลักพรหมวิหำร ๔ ธรรม ประจ ำใจ อันประเสริฐ หลักควำมประพฤติที่ประเสริฐ บริสุทธิ์มีข้อธรรม ๔ ข้อคือ เมตตำคือควำมรัก ปรำรถนำดีอยำกให้เขำมีควำมสุข กรุณำคือควำมสงสำร คือช่วยให้พ้น ทุกข์ มุทิตำคือควำม ยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี อุเบกขำคือ กำรวำงเฉย มีใจเป็นกลำง ๑๒. วิเครำะห์พุทธศำสตร์กับศำสตร์สมัยใหม่กับหลักสังคหวัตถุ ๔ ธรรมยึด เหนี่ยวใจ บุคคลและประสำนหมู่ชนไว้ในสำมัคคี หลักกำร สงเครำะห์ มีข้อธรรม ๔ ข้อคือ ทำนคือ กำรให้ ปิยวำจำคือ กำรใช้วำจำเป็นที่รัก อัตถจริยำคือ กำรประพฤติประโยชน์ และสมำนัตตำ คือควำมเสมอต้นเสมอปลำย ๑๓. วิเครำะห์พุทธศำสตร์กับศำสตร์สมัยใหม่ กับหลักอธิษฐำนธรรม ๔ ธรรม เป็นที่มั่น ธรรมอันเป็นฐำนที่มั่นคงของบุคคล มีข้อธรรม ๔ ข้อคือ ปัญญำคือ ควำมรู้ชัด หยั่งรู้ในเหตุผล สัจจะคือ ควำมจริง จำคะคือ ควำม เสียสละ และอุปสมะคือ ควำมสงบ ๑๔. วิเครำะห์พุทธศำสตร์กับศำสตร์สมัยใหม่ กับหลักอิทธิบำท ๔ คุณธรรมที่ น ำไปสู่ควำมส ำเร็จแห่งผลที่มุ่งหมำย มีข้อธรรม ๔ ข้อ คือฉันทะคือ ควำมพอใจ วิริยะคือ ควำมเพียร จิตตะคือ ควำมคิดมุ่งไป อุทิศตัวอุทิศใจให้แก่สิ่ง ที่ท ำและวิมังสำคือ ควำม ไตร่ตรอง ๑๕. วิเครำะห์พุทธศำสตร์กับศำสตร์สมัยใหม่ กับหลักเบญจธรรมคู่กับเบญจศีล มีข้อ ธรรม ๕ ข้อคือ เมตตำและกรุณำ ควำมรักใคร่ ปรำรถนำให้มีควำมสุข ควำมเจริญ และควำมสงสำรคิดช่วยให้พ้นทุกข์ คู่กับศีล ข้อ ๑ สัมมำอำชีวะกำรหำเลี้ยงชีพในทำง สุจริต คู่กับศีลข้อ ๒ กำมสังวร ควำมสังวรในกำม ควำมส ำรวมระวังรู้จักยับยั้งควบคุม ตนในทำงกำมำรมณ์ คู่กับศีลข้อ ๓ สัจจะ ควำมสัตย์ ควำมซื่อตรง คู่กับศีลข้อ ๔ สติสัมปชัญญะ ระลึกได้และรู้ตัวอยู่เสมอ คือฝึกตนให้เป็นคนรู้จักยั้งคิด รู้สึกตัวอยู่เสมอ ว่ำสิ่งใดควรท ำ สิ่งใดไม่ควรท ำ ไม่มัวเมำประมำท คู่กับศีลข้อ ๕ ๑๖. วิเครำะห์พุทธศำสตร์กับศำสตร์สมัยใหม่ กับหลักพละ ๕ ธรรมอันเป็นก ำลัง มีข้อธรรม ๕ ข้อคือ สัทธำคือ ควำมเชื่อ วิริยะคือ ควำมเพียร สติคือ ควำมระลึกได้ สมำธิ คือ ควำมตั้งจิตมั่น ปัญญำคือ ควำมรู้ทั่วชัด ๑๗. วิเครำะห์พุทธศำสตร์กับศำสตร์สมัยใหม่ กับหลักกัลยำณมิตรธรรม ๗ คุณสมบัติของมิตรดีและมิตรแท้ มีข้อธรรม ๗ ข้อ ได้แก่ ปิโย คือ น่ำรัก ภำวนีโย คือ น่ำเจริญใจหรือน่ำยกย่อง วตฺตำ จ คือรู้จักพูดให้ได้ผล รู้จักชี้แจงให้เข้ำใจ วจนกฺขโม คือ อดทนต่อถ้อยค ำคือ พร้อมที่จะรับฟังค ำปรึกษำ ซักถำม ค ำเสนอและ คมฺภีรญจ กถ กตฺตำ
๑๒๗ คือ แถลงเรื่องล้ ำลึกได้ โน จฏฐำเน นิโยชเย คือ ไม่แนะน ำในเรื่องเหลวไหล หรือชักจูง ไปในทำงเสื่อมเสีย ๑๘. วิเครำะห์พุทธศำสตร์กับศำสตร์สมัยใหม่ กับหลักสัปปุริสธรรม ๗ ธรรมของ สัตบุรุษ คุณสมบัติของคนดี ธรรมของผู้ดี มีข้อธรรม ๗ ข้อคือ ธัมมัญญุตำ คือ ควำมรู้จัก ธรรม รู้หลัก อัตถัญญุตำ คือควำมรู้จักอรรถ รู้ควำมมุ่ง หมำยหรือรู้จักผล กำลัญญุตำ คือ รู้จักกำลเวลำ อันเหมำะสม ปริสัญญุตำ คือรู้จักชุมชนและรู้จัก ที่ประชุม รู้กิริยำที่จะ ประพฤติต่อชุมชนนั้น และ ปุคคลัญญุตำ คือควำมรู้จักบุคคล ๑๙. วิเครำะห์พุทธศำสตร์กับศำสตร์สมัยใหม่ กับหลักทศพิศรำชธรรม เป็นธรรม ของ พระรำชำ คุณธรรมของผู้ปกครองบ้ำนเมือง ธรรมของนักปกครองมีข้อธรรม ๗ ข้อ คือ ทำน คือ กำรให้ ศีลคือ ควำมประพฤติดีงำม ปริจ จำคะคือ กำรบริจำค อำชชวะคือ ควำมซื่อตรง มัททวะคือ ควำมอ่อนโยน ตปะคือ ระงับยับยั้ง ข่มใจได้อักโกธะคือ ควำมไม่ โกรธ อวิหิงสำคือ ควำมไม่เบียดเบียน ขันติคือ ควำมอดทน อวิโรธ นะคือควำมไม่คลำด ธรรม ๑๒ ๖.๗ สรุป ตำมที่กล่ำวมำทั้งหมดในเรื่องพุทธ ศำสนำกับศำสตร์สมัยใหม่ผู้เขียนมองว่ำยิ่ง วิทยำศำสตร์หรือศำสตร์สมัยใหม่ มีควำมก้ำวหน้ำไปมำกเท่ำใด ยิ่งเป็นผลดีกับพุทธศำสนำ โดยรวม เพรำะกำรปรับปรุงเปลี่ยนแปลงของศำสตร์สมัยใหม่นั้นเป็นกำร น ำเสนอแนวคิด และทฤษฎีเพื่อเข้ำถึงควำมจริงของธรรมชำติให้มำกยิ่งขึ้นกว่ำที่ผ่ำนมำ ซึ่งลักษณะกำร แบบนี้ นับว่ำเป็นแนวทำงที่พุทธศำสนำให้ควำมส ำคัญมำตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว กล่ำวคือ พระพุทธเจ้ำทรงเน้นให้พุทธศำสนิกชนอยู่ใกล้กับธรรมชำติ อะไรก็ตำมที่ตัดต่อตัดแต่งผิด ไปจำกธรรมชำติมำก สิ่งนั้นย่อมจะอยู่ห่ำงไกลจำกควำมเป็นจริงมำกขึ้นตำมไปด้วย ดังนั้น ในเมื่อพุทธศำสนำมุ่งเน้นหำควำมเป็นจริงจำกธรรมชำติ ศำสตร์สมัยใหม่ โดยเฉพำะวิทยำศำสตร์ก็หำค ำตอบให้กับมนุษย์ด้วยกำรแสวงหำควำมจริงจำก ธรรมชำติ เช่นกัน จึงเป็นกำรลงตัวหรือสอดคล้องกันอย่ำงยิ่งและที่ส ำคัญที่สุด ทั้งศำสตร์สมัยใหม่ ทั้งพุทธศำสนำล้วนมุ่งขจัดควำมงมงำยหรือไร้เหตุผลในหมู่มนุษย์ โดยมุ่งให้มนุษย์อยู่ อย่ำงชำญฉลำดและมีควำมสุขกำยสบำยใจ มีควำมทุกข์ยำกล ำบำกให้น้อยที่สุด ซึ่งถ้ำ ๑๒วรภำส ประสมสุข และนิพนธ์ กินำวงศ์, “หลักกำรบริหำรกำรศึกษำตำมแนวพุทธธรรม”, วารสารศึกษาศาสตร์, ๑๘ (๒) (พฤศจิกำยน ๒๕๔๙ – มีนำคม ๒๕๕๐) หน้ำ ๑๘.
๑๒๘ เป็นไปได้ก็ให้เข้ำถึงควำมสุขอย่ำงสูงสุดคือนิพพำนตำมนัยแห่งพุทธศำสนำก็จะเป็นกำรดี ยิ่งโดยต้องไม่หยุดอยู่เพียงแค่ควำมสุขสบำยตำมที่ศำสตร์สมัยใหม่สร้ำงให้ สอดคล้องกับกำรศึกษำกำรพัฒนำผู้บริหำรสถำนศึกษำตำมหลักสังคหวัตถุ๔ ส ำหรับโรงเรียนประถมศึกษำสังกัดกรุงเทพมหำนคร ๑ พระครูไพโรจน์กิจจำทร (สกุล สุภทฺโท) Phrakrupirotkitjathorn (Sakul Subhaddo), ๒ สุทธิพงษ์ ศรีวิชัย, ๓ สมศักดิ์ บุญปู่ ๑, ๒, ๓ มหำวิทยำลัยมหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย กระบวนกำรพัฒนำผู้บริหำร สถำนศึกษำตำมหลักสังคหวัตถุ ๔ ส ำหรับโรงเรียนประถมศึกษำ สังกัดกรุงเทพมหำนคร มีรำยละเอียดดังนี้ ๓.๑ หลักกำร หลักกำรในกำรพัฒนำผู้บริหำรสถำนศึกษำตำม หลักสังคหวัตถุ ๔ ส ำหรับ โรงเรียนประถมศึกษำ สังกัดกรุงเทพมหำนคร ประกอบด้วย ๓ หลักกำร ดังนี้๑) หลักกำรบริหำรโรงเรียน เป็นกำรด ำเนินกำรในกำรท ำงำนของโรงเรียน ๔ ด้ำน ได้แก่ (๑) กำรบริหำรงำนวิชำกำร (๒) กำรบริหำรงำนงบประมำณ (๓) กำร บริหำรงำนบุคคล (๔)กำรบริหำรงำนทั่วไป ๒) หลักกำรพัฒนำคุณลักษณะผู้บริหำร สถำนศึกษำของโรงเรียนประถมศึกษำ สังกัดกรุงเทพมหำนคร เป็นกำรพัฒนำลักษณะ ทำงด้ำนร่ำงกำยและกำรแสดงออกของพฤติกรรมของบุคคลที่เป็นส่วนของอุปนิสัย ๓ ประกำร ได้แก่ (๑) มีภำวะผู้น ำ (๒) มีคุณธรรมจริยธรรม (๓) มีควำมรู้ควำมสำมำรถ ๓) หลักสังคหวัตถุ ๔ เป็นหลักธรรมที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ ำใจของกันและกัน ผูกไมตรี เอื้อเฟื้อเกื้อกูล ประสำนใจกัน ๔ ด้ำน ได้แก่ (๑) ทำน กำรให้ (๒) ปิยวำจำ วำจำไพเรำะ (๓) อัตถจริยำ ประพฤติตนเป็นประโยชน์ (๔) สมำนัตตตำ วำงตนเหมำะสม ๓.๒ จุดมุ่งหมำย ๑) เพื่อให้สถำนศึกษำในสังกัดกรุงเทพมหำนครได้มุ่งเน้นให้ผู้บริหำร สถำนศึกษำมีคุณลักษณะที่เหมำะสม โดยใช้กำรพัฒนำผู้บริหำรสถำนศึกษำตำม หลักสังคหวัตถุ ๔ ส ำหรับโรงเรียน ประถมศึกษำ สังกัดกรุงเทพมหำนคร ๒) เพื่อให้ ผู้บริหำร ครู บุคลำกรในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหำนคร ได้มีส่วนร่วมในกำรพัฒนำ คุณลักษณะผู้บริหำรสถำนศึกษำตำมหลักสังคหวัตถุ ๔ ส ำหรับโรงเรียนประถมศึกษำ ๓) เพื่อส่งเสริมให้ผู้บริหำร ครู บุคลำกรในสถำนศึกษำ สำมำรถน ำหลักกำรพัฒนำ คุณลักษณะผู้บริหำรสถำนศึกษำตำมหลักสังคหวัตถุ ๔ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ใน ชีวิตประจ ำวันได้โดยมีรำยละเอียดดังนี้ด้ำนที่ ๑ ด้ำนมีภำวะผู้น ำ ๑) ด้ำนทำน กำรให้ (๑) มีกำรให้ควำมช่วยเหลือ จัดสรรวัสดุอุปกรณ์เครื่องมือ เครื่องใช้ในกำรปฏิบัติงำน อย่ำงเสมอภำค (๒) มีกำรส่งเสริมบุคลำกรในด้ำนสวัสดิกำรต่ำง ๆ (๓) เปิดโอกำสให้ บุคลำกรได้รับกำรอบรม เข้ำร่วมสัมมนำวิชำกำรเนื่องในโอกำสต่ำง ๆ ๒) ด้ำนปิยวำจำ วำจำ ไพเรำะ (๑) พูดจำยกย่องและชมเชยครูที่ประสบควำมส ำเร็จในกำรปฏิบัติงำน
๑๒๙ (๒) พูดด้วยวำจำที่ไพเรำะ วำรสำรครุศำสตร์ปริทรรศน์ฯ - ๙ – ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๒ (พฤษภำคม-สิงหำคม) ๒๕๖๓ อ่อนหวำนชวนฟัง (๓) พูดด้วยควำมจริงใจ ไม่เสแสร้ง ต่อ ผู้ใต้บังคับบัญชำ ๓) ด้ำนอัตถจริยำ ประพฤติตนเป็น ประโยชน์(๑) มองโลกในแง่ดีและมี ควำมคิดริเริ่มสร้ำงสรรค์ (๒) มีควำมกล้ำคิดนอกกรอบเพื่อน ำไปสู่กำร ปฏิบัติได้(๓) มี วิสัยทัศน์กว้ำงไกล และ ๔) ด้ำนสมำนัตตตำ วำงตนเหมำะสม (๑) ได้รับกำรยอมรับและ ควำมเชื่อมั่นจำกผู้ร่วมงำน (๒) วำงตัวอย่ำงเหมำะสม น่ำเชื่อถือ ศรัทธำของผู้อื่น (๓) มี มนุษยสัมพันธ์ที่ดี พร้อมที่จะ ช่วยเหลือผู้อื่นตำมโอกำส ด้ำนที่ ๒ ด้ำนมีคุณธรรม จริยธรรม ๑) ด้ำนทำน กำรให้(๑) เปิดโอกำสให้บุคลำกรได้ปรับปรุง วิธีท ำงำนให้มี ประสิทธิภำพอย่ำงยืดหยุ่นได้ตำมสถำนกำรณ์ (๒) สร้ำงขวัญก ำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงำนอยู่ เสมอ (๓) ให้แรงจูงใจในกำรปฏิบัติงำนได้เป็นอย่ำงดี๒) ด้ำนปิยวำจำ วำจำไพเรำะ (๑) ใช้ถ้อยค ำที่สุภำพ ไม่กล่ำว วำจำล่วงเกิน หรือดูถูกผู้ใต้บังคับบัญชำ (๒) มีควำมจริงใจ รักษำค ำพูดที่ตนได้พูดไว้(๓) ไม่หวั่นไหวในค ำติฉิน นินทำและไม่ตอบโต้ด้วยถ้อยค ำที่ไม่ สุภำพ ๓) ด้ำนอัตถจริยำ ประพฤติตนเป็นประโยชน์(๑) มีน้ ำใจ ไม่นิ่งดูดำย เมื่อเห็น ผู้ใต้บังคับบัญชำขอควำมช่วยเหลือ (๒) มีควำมเต็มใจที่จะช่วยเหลือผู้ใต้บังคับบัญชำเมื่อ มีปัญหำ (๓) ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่ำง ในกำรรักษำระเบียบวินัย โดยไม่มีกำรเลือกที่รัก ผลักที่ชัง และ ๔) ด้ำนสมำนัตตตำ วำงตนเหมำะสม (๑) เปิดใจกว้ำงยอมรับและรับรู้ ประสบกำรณ์ของผู้อื่นได้เสมอ (๒) มีกำรยกย่องผู้ที่ประพฤติตนเป็นคนดี และมีบทลงโทษ ผู้ที่กระท ำผิดตำมควำมเหมำะสม (๓) ท ำตนเสมอต้นเสมอปลำยกับ ผู้ใต้บังคับบัญชำทุก คน ด้ำนที่ ๓ ด้ำนมีควำมรู้ควำมสำมำรถ ๑) ด้ำนทำน กำรให้(๑) สำมำรถให้ค ำปรึกษำแก่ บุคลำกรได้ตรงควำมรู้ควำมสำมำรถ (๒) สำมำรถพิจำรณำผู้ท ำคุณประโยชน์ให้เจริญรุ่งเรือง ในหน้ำที่กำรงำน (๓) ให้ควำมดีควำมชอบอย่ำงสมเหตุสมผล ๒) ด้ำนปิยวำจำ วำจำ ไพเรำะ (๑) สำมำรถล ำดับกำรพูดเกี่ยวกับ กำรศึกษำได้เป็นอย่ำงดี(๒) ชี้แจงนโยบำยใน เรื่องต่ำง ๆ แก่บุคลำกรโดยใช้ค ำพูดที่นุ่มนวลสละสลวย (๓) สำมำรถพูดโน้มน้ำว จูงใจให้ ผู้อื่นคล้อยตำมได้๓) ด้ำนอัตถจริยำ ประพฤติตนเป็นประโยชน์ (๑) มีควำมสำมำรถใน กำรพัฒนำตนเองอยู่เสมอ (๒) สำมำรถคิด วิเครำะห์ เพื่อกำรวำงแผน และแปลงแผนไปสู่ กำรปฏิบัติ(๓) มีควำมรู้ควำมสำมำรถในกำรแก้ไขสถำนกำรณ์ต่ำง ๆ ได้ทันท่วงทีและ ๔) ด้ำนสมำนัตตตำ วำงตน เหมำะสม (๑) มีควำมรับผิดชอบต่อหน้ำที่ของตนเป็นอย่ำงดี (๒) มีควำมสำมำรถในกำรวำงตัวได้อย่ำงเหมำะสม (๓) สำมำรถปรับตัวเข้ำหำผู้อื่นได้เป็น อย่ำงดี
๑๓๐ ๖.๘ เอกสารอ้างอิงประจ าบท กีรติ บุญเจือ. วิธีการศึกษาทั่วไปแบบบูรณาการ: มนุษย์รู้อย่างไร. กรุงเทพมหำนคร: ไทยวัฒนำพำนิช, ๒๕๕๕. นิติรัฐ วรรณวิริยวัตร, “กำรบริหำรงำนแบบพุทธวิธีของโรงเรียนพระปริยัติธรรม อ ำเภอ เมือง เชียงใหม่”. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรดุษฎีบัณฑิต. บัณฑิต วิทยำลัย: มหำวิทยำลัยเชียงใหม่, ๒๕๖๒. พระมหำหรรษำ ธมฺมหำโส. พระพุทธศาสนากับวิทยาการสมัยใหม่: ตัวแบบวิธีวิทยาว่า ด้วย พุทธบูรณาการและพุทธสหวิทยาการ. พระนครศรีอยุธยำ: โรงพิมพ์ มหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย, ๒๕๖๐. พระมหำมฆวินทร์ ปุริสุตฺตโม. “พุทธศำสนำกับศำสตร์สมัยใหม่”. วารสารปัญญา. ปีที่ ๒๕ ฉบับที่ ๑ (มกรำคม – มิถุนำยน ๒๕๖๑). พิมพิลัย หงษำค ำ. หลักการพระพุทธศาสนากับหลักการวิทยาศาสตร์. กรุงเทพมหำนคร: ส ำนักพิมพ์แห่งจุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย, ๒๕๖๔. มหำวิทยำลัยมหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย. พระไตรปิฎก ฉบับภาษาบาลี เตปิตก . กรุงเทพมหำนคร: โรงพิมพ์มหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย, ๒๕๓๙. ______. พระไตรปิฎก ฉบับภาษาไทย. กรุงเทพมหำนคร: โรงพิมพ์มหำจุฬำลงกรณรำช วิทยำลัย, ๒๕๓๙. มนตรี ธีรธรรมพิพัฒน์. “จริยธรรมกับภำวะผู้น ำ: ศึกษำทัศนะของนักวิชำกำรรัฐศำสตร์ใน มหำวิทยำลัยแห่งประเทศไทยที่มีต่อผู้น ำทำงกำรเมือง”. วิทยานิพนธ์อักษรศาสตร ดุษฎีบัณฑิต. บัณฑิตวิทยำลัย: มหำวิทยำลัยมหิดล, ๒๕๖๐. วัดเจ็ดเสมียน. พระพุทธเจ้าในสายตานักปราชญ์โลก. กรุงเทพมหำนคร: โอ. เอส. พริ้นตริ้ง เฮำส์, ๒๕๖๐. วัชระ งำมจิตรเจริญ. พระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์. กรุงเทพมหำนคร: ส ำนักพิมพ์ แห่งมหำวิทยำลัยธรรมศำสตร์, ๒๕๖๐. วรภำส ประสมสุข และนิพนธ์ กินำวงศ์. “หลักกำรบริหำรกำรศึกษำตำมแนวพุทธธรรม”. วารสารศึกษาศาสตร์. ๑๘ (๒) (พฤศจิกำยน ๒๕๔๙ – มีนำคม ๒๕๕๐).
บทที่ ๗ การพัฒนาภาวะผู้น าตามหลักธรรมพุทธศาสนา ********* ๗.๑ ความน า การพัฒนาภาวะผู้น าตามหลักธรรมพุทธศาสนา มีความส าคัญและจ าเป็นอย่าง ยิ่งเพราะภาวะผู้น าไม่ได้เกิดจากพรสวรรค์ แต่เกิดจากการพัฒนาตัวเองให้เกิดการเรียนรู้ เตรียมความพร้อมเพื่อน าไปใช้กับหน้าที่และบทบาทของตัวเองอยู่เสมอ การมีภาวะผู้น าที่ สมบูรณ์จะต้องประกอบไปด้วยความพร้อมทางด้านองค์ความรู้ การกล้าตัดสินใจการ น าเสนอและการบริหารทีมงานอย่างมืออาชีพ การพัฒนาภาวะผู้น าตามหลักพุทธศาสนา เป็นการด าเนินการท าให้บุคคลที่มีขีด ความสามารถดีขึ้น โดยใช้หลักพระพุทธศาสนาเป็นเครื่องก าหนด เพื่อเป็นหลักประกันว่า การด ารงและการด าเนินชีวิตเป็นไปด้วยความไม่ประมาท และเป็นหลักประกันของความ เจริญขึ้นในทางที่ดีขึ้น หลักพุทธธรรมเป็นอกาลิโก คือ ไม่ล้ าสมัยและก็ไม่หล้าสมัย แต่กลับทันสมัยอยู่ เสมอที่สามารถน ามาพัฒนาภาวะผู้น าตามหลักพุทธศาสนาได้นั้นในทางพระพุทธศาสนามี หลักธรรมหลากหลายและสามารถน ามาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาภาวะผู้น าตามหลักพุทธ ศาสนาได้ และหลักพุทธธรรมที่สนับสนุนการพัฒนาภาวะผู้น าตามหลักพุทธศาสนาที่ควร แก่การหยิบนกเป็นแนวทางปฏิบัติมีรายละเอียดประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ ๗.๑ ความน า ๗.๒ หลักอิทธิบาท ๔ ส าหรับการพัฒนาภาวะผู้น า ๗.๓ หลักพรหมวิหาร ๔ ส าหรับการพัฒนาภาวะผู้น า ๗.๔ หลักไตรสิกขาส าหรับการพัฒนาภาวะผู้น า ๗.๕ หลักภาวนา ๔ ส าหรับการพัฒนาภาวะผู้น า ๗.๖ หลักศีล ๕ ส าหรับการพัฒนาภาวะผู้น า ๗.๗ สรุป
๑๓๒ ๗.๒ หลักอิทธิบาท ๔ ส าหรับการพัฒนาภาวะผู้น า ผู้เขียนได้คัดเลือกหลักพุทธธรรมที่สนับสนุนการพัฒนาภาวะผู้น า ได้แก่ หลัก อิทธิบาทธรรม เพราะเห็นว่ามีความเหมาะสมอย่างยิ่งที่น าไปสร้างเป็นกรอบการพัฒนา ภาวะผู้น าให้เกิดขึ้นกับการปฏิบัติงานขององค์กร เพราะเป็นหนทางทางแห่งความส าเร็จ ทั้งอัตตหิตประโยชน์ คือประโยชน์แก่ตนเองและปรหิตประโยชน์ คือประโยชน์แก่ผู้อื่น ฉะนั้น หากบุคลากรมีความมุ่งมั่น พยายาม มีความตั้งใจและการใคร่ครวญการงานที่ กระท าอยู่ย่อมน าความสุขแก่ผู้รับบริการนั่นก็คือ ตัวบุคลากรและเพื่อนร่วมงาน นักเรียน และผู้ปกครองนักเรียน อิทธิบาท ๔ คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา๑ เป็นหลักธรรมอันเป็นทางแห่ง ความส าเร็จ ๔ ประการ คือ ๑) ฉันทะ: รักงาน (การเห็นคุณค่า ความรัก ความพอใจ) คือ มีใจรัก พอใจจะท า สิ่งนั้นและท าด้วยใจรัก ต้องการท าให้เป็นผลส าเร็จอย่างดีแห่งกิจหรืองานที่ท า มิใช่สักว่า ท าพอให้เสร็จๆ หรือเพียงเพราะอย่างได้รางวัลหรือผลก าไร ๒) วิริยะ: สู้งาน (ความเพียร เห็นเป็นความท้าทาย ใจสู้ขยัน) คือ พากเพียรท า ขยันหมั่นประกบ หมั่นกระท าสิ่งนั้นด้วยความพยายามเข้มแข็งอดทน เอาธุระ ไม่ทอดทิ้ง ไม่ท้อถอย ก้าวไปข้างหน้าจนกว่าจะส าเร็จ ๓) จิตตะ: ใส่ใจงาน (ความคิด อุทิศตัวต่องาน ใจจดจ่อ จริงจัง) คือ เอาจิตฝักใฝ่ ตั้งจิตรับรู้ในสิ ่งที่ท า และท าสิ่งนั้นด้วยความคิดไม ่ปล ่อยจิตใจให้ฟุ้งซ่านเลื ่อนลอย ใช้ความคิดในเรื่องนั้นบ่อย ๆ เสมอ ๆ ท ากิจหรืองานนั้นอย่างอุทิศตัวอุทิศใจ ๔) วิมังสา: ท างานด้วยปัญญา (ไตร่ตรอง พิสูจน์ทดสอบ ตรวจตรา ปรับปรุง แก้ไข) ใช้ปัญญาสอบสวน คือ หมั่นใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญตรวจตราหาเหตุผล และ ตรวจสอบข้อยิ่งหย่อนเกินเลยบกพร่องขัดข้องในสิ่งที่ท านั้น โดยรู้จักทดลอง วางแผน วัดผล คิดค้นวิธีแก้ไขปรับปรุง เป็นต้น เพื่อจัดการและด าเนินงานนั้นให้ได้ผลดียิ่งขึ้นไป๒ อากาศ อาจสนาม ได้วิจัยเรื่อง “รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะพยาบาลเชิงพุทธ บูรณาการของพยาบาลสังกัดกรมแพทย์ทหารเรือ” พบว่า ผู้วิจัยได้คัดเลือกหลักพุทธ ธรรมส าหรับการพัฒนาสมรรถนะพยาบาล ได้แก่ หลักอิทธิบาทธรรม เพราะเห็นว่ามี ความเหมาะสมอย่างยิ่งที่น าไปสร้างเป็นกรอบการพัฒนาสมรรถนะให้เกิดขึ้นกับการ ๑ ดูรายละเอียดใน, ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๒๓๑/๒๓๓.๒ พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต), ธรรมนูญชีวิต, พิมพ์ครั้งที่ ๔๖, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์กรมศาสนา, ๒๕๕๕), หน้า ๔๐.
๑๓๓ ปฏิบัติหน้าที่ชองพยาบาลวิชาชีพทุกประเภท เป็นหนทางทางแห่งความส าเร็จประโยชน์ แก่ตนเองและแก่ผู้อื่น ฉะนั้น หากพยาบาลมีความมุ่งมั่น พยายาม มีความตั้งใจและการ ใคร่ครวญการงานที่กระท าอยู่ย่อมน าความสุขแก่ผู้รับบริการนั่นก็คือ ประชาชน๓ วาสิตา เกิดผลประสพศักดิ์ ได้วิจัยเรื่อง แบบจ าลองการบริหารเชิงพุทธบูรณ การขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พบว่า การบริหารงานต่าง ๆ ต้องมีธรรมที่น าไปสู่ ผลส าเร็จในการท างาน มุ่งงานเป็นหลัก เพราะหากไม่ทุ่มเทกับงาน ท างานแบบเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ งานจะเดินไปไม่สุดทาง ขอได้ยึดหลักอิทธิบาท ๔ คือ ฉันทะ (รักงาน) วิริยะ (สู้งาน) จิตตะ (ใส่ใจในงาน) และ วิมังสา (ท างานด้วยปัญญา)๔ มยุรี ค าปาเชื้อ ได้ศึกษาเรื่อง “รูปแบบการบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อการ พัฒนาบุคลากรสายสนับสนุนวิชาการของมหาวิทยาลัยราชภัฏในกรุงเทพมหานคร” พบว่า การส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยให้บริการทางวิชาการแก่สังคมในหลากหลาย รูปแบบ เช่น การสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางการวิจัย นวัตกรรมและการบริการ วิชาการ บริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาและสิทธิประโยชน์ที่เกิดขึ้น เป็นการมุ่งมั่นที่ จะปฏิบัติงานให้ดีหรือเกินมาตรฐานที่มีอยู่ ท างานในหน้าที่ให้ดีและถูกต้อง มีความมานะ อดทน ขยันหมั่นเพียรในการท างานและตรงต่อเวลามีความรับผิดชอบ มีความกระตือรือร้น หมั่นติดตามผลงาน มีความละเอียดรอบคอบเอาใจใส่ ตรวจตราความถูกต้องเพื่อให้ได้ งานที่มีคุณภาพ ด้วยหลักอิทธิบาท๕ ดังนั้น หลักอิทธิบาท ๔ เป็นหลักธรรมที่เหมาะสมน ามาประยุกต์ใช้การพัฒนา ภาวะผู้น าเป็นบันไดแห่งความสุขและความส าเร็จ คนเราเมื่อมีความรัก ความพอใจ ขยันหมั่นเพียรความเอาใจใส่ใคร่ครวญอยู่เสมอ ความสามารถหรือสมรรถนะของ บุคลากรในการท างานย่อมมีประสิทธิภาพและคนท างานก็ย่อมมีความสุข การท างานคือ การใช้หลักอิทธิบาท ๔ อันมี ๑) ใจรักงาน ๒) มีความพากเพียรในงาน ๓) ใจจดจ่ออยู่กับ ๓ อากาศ อาจสนาม. “รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะพยาบาลเชิงพุทธบูรณาการของพยาบาล สังกัดกรมแพทย์ทหารเรือ”, ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๙), หน้า ๖๔.๔ วาสิตา เกิดผลประสพศักดิ์, “แบบจ าลองการบริหารเชิงพุทธบูรณการขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น”, ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๗), หน้า ๑๗๘.๕ มยุรี ค าปาเชื้อ, “รูปแบบการบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อการพัฒนาบุคลากรสายสนับสนุน วิชาการของมหาวิทยาลัยราชภัฏในกรุงเทพมหานคร”, ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชา พุทธบริหารการศึกษา, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๗), หน้า ๑๔๙.
๑๓๔ งาน ๔) การวิเคราะห์ สังเคราะห์ สร้างสรรค์ พัฒนานั่นเอง อันจะเป็นหนทางน าไปสู่การ พัฒนาทักษะในการท างานของตนเองหรือผู้อื่นให้เจริญขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของ องค์การ ๗.๓ หลักพรหมวิหาร ๔ ส าหรับการพัฒนาภาวะผู้น า จากการศึกษาทบทวนวรรณกรรม ทั้งพระไตรปิฎกและเอกสารทางวิชาการที่ เกี่ยวกับหลักพุทธธรรมในพระพุทธศาสนา ที่สอดคล้องกับการพัฒนาภาวะผู้น ามี ความส าคัญของการพัฒนาภาวะผู้น า และหลักการอยู่ร่วมกันโดยทั่วไปต้องมีความเคารพ ความสามัคคี ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งในเรื่องนี้มีผู้ทรงคุณวุฒิ และนักวิชาการผู้ช านาญการหลายท่านได้ให้ความหมายและอธิบายไว้ดังนี้ พรหมวิหาร ๔ คือ ธรรมเครื่องอยู่อย่างประเสริฐ, ธรรมประจ าใจอันประเสริฐ, หลักความประพฤติที่ประเสริฐบริสุทธิ์, ธรรมที่ต้องมีไว้เป็นหลักใจและก ากับความประพฤติ จึงจะชื่อว่าด าเนินชีวิตหมดจด และปฏิบัติตนต่อมนุษย์สัตว์ทั้งหลายโดยชอบ๖ พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ. ปยุตฺโต) ได้กล่าวถึง องค์ประกอบของพรหมวิหาร ธรรมหรือ พรหมวิหารมี ๔ ประการ คือ ๑) เมตตา หมายถึง ความรักใคร่ ปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข มีจิตอันแผ่ ไมตรีและคิดท าประโยชน์แก่มนุษย์สัตว์ทั่วหน้า ๒) กรุณา หมายถึง ความสงสาร คิดช่วยให้พ้นทุกข์ ใฝ่ใจในอันที่จะปลดเปลื้อง บ าบัดความทุกข์ยากเดือดร้อนของปวงสัตว์ ๓) มุทิตา หมายถึง ความยินดี ในเมื่อผู้อื่นอยู่ดีมีสุข มีจิตผ่องใสบันเทิง ประกอบ ด้วยอาการแช่มชื่นเบิกบานอยู่เสมอ ต่อสัตว์ทั้งหลายผู้ด ารงชีวิตตามปกติสุข พลอยยินดี ด้วยเมื่อเขาได้ดีมีสุข เจริญงอกงามยิ่งขึ้นไป ๔) อุเบกขา หมายถึง ความวางใจเป็นกลาง อันจะให้ผู้ด ารงอยู่ในธรรมที่ พิจารณาเห็นด้วยปัญญา คือ มีจิตเรียบตรงเที่ยงธรรมดุจตาชั่ง ไม่เอนเอียงด้วยรักและชัง พิจารณาเห็นกรรมที่สัตว์ทั้งหลายกระท าแล้ว อันควรได้รับผลดีหรือชั่ว สมควรแก่เหตุอัน ตนประกอบ พร้อมที่จะวินิจฉัยและปฏิบัติไปตามธรรม รวมทั้ง รู้จักวางเฉยสงบใจมอง ๖ ดูรายละเอียดใน, อภิ.ส . (ไทย) ๓๔/๑๙๐/๗๕.
๑๓๕ ในเมื่อไม่มีกิจควรท า เพราะเขารับผิดชอบตนได้ดีแล้ว เขาสมควรรับผิดชอบตนเอง หรือเขาควรได้รับผลอันสมกับความรับผิดชอบของตน๗ ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้เสนอหลักค าสอนที่ถือเป็นหลักพื้นฐานส าหรับงานสังคม สงเคราะห์ไว้ ดังนี้ พรหมวิหาร ๔ ประการ เป็นคุณธรรมพื้นฐานของจิตใจที่จะท าให้แสดงออกหรือ ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างถูกต้องโดยสอดคล้องกับสถานการณ์ทั้ง ๔ ที่ประสบ กล่าวคือ พรหม วิหาร ๔ หลักธรรมที่นักสังคมสงเคราะห์ต้องยึดเป็นหลักใจในการปฏิบัติงานประกอบด้วย ๑) เมตตา คือ ความปรารถนาให้ผู้รับบริการเป็นสุข แผ่เมตตาให้แก่ตนเองและ ผู้รับบริการ การแผ่เมตตา สงเคราะห์ด้วยการเข้าใจ ยอมรับ ยินดีที่จะช่วยเหลือให้ ความเห็นใจต่อปัญหาและความทุกข์ของเขา ๒) กรุณา คือ ปรารถนาจะช่วยให้ผู้รับบริการพ้นจากสภาพปัญหา ความ เดือดร้อน เมื่อเห็นเขามีความเดือดร้อนให้พิจารณาว่า เขาเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บตาย เหมือนกับเรา ๓) มุทิตา คือ พลอยยินดีเมื่อผู้รับบริการสามารถแก้ปัญหาได้และยินดีกับเพื่อน ร่วมงานเมื่อเขาปฏิบัติงานได้ดี ๔) อุเบกขา คือ วางใจเป็นกลางในการให้บริการด้วยความเป็นธรรม ไม่อคติ และเมื่อช่วยเหลือผู้รับบริการอย่างเต็มความสามารถแล้ว ผู้รับบริการยังตกอยู่ในความ เดือดร้อนก็ไม่ควรวิตกกังวลหรือเป็นทุกข์ให้มากเกินไป๘ พัฒนสรณ์ เกียรติฐิติคุณ ได้ศึกษาเรื่อง “รูปแบบการบูรณาการหลักพุทธธรรม ในการพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เทศกิจ กรุงเทพมหานคร” พบว่า การน าหลักพรหมวิหารมาบูรณาการการพัฒนาเจ้าหน้าที่เทศกิจกรุงเทพมหานคร ด้วย หลักเมตตา หมายถึง การกระท าที่แสดงออกถึงการให้ความช่วยเหลือ ปรารถนาดี เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน ประชาชนอุ่นใจและเป็นสุขจากการเดินทาง เดินทางไม่ติดขัด ปลอดภัย เป็นการท างานเพื่อการให้การบริการเทศกิจจึงต้องท างานด้วยความเมตตา เช่น การช่วย ๗ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๙), หน้า ๑๒๔.๘ พุทธทาสภิกขุ, บรมธรรมภาคต้น, พิมพ์ครั้งที่ ๔, (กรุงเทพมหานคร: ธรรมสภา, ๒๕๙๙), หน้า ๓๙๕.
๑๓๖ จัดจราจรเมื่อมีเหตุฉุกเฉินหรือยามจ าเป็น เช่นช่วงเช้าเย็น ค านึงถึงความปลอดภัยของ ประชาชน ปฏิบัติงานด้านการจราจรด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใสสร้างความประทับใจได้๙ พระมหาสมบัติ ธนปญฺโญ ได้ให้ทรรศนะว่า การบริหารงบประมาณที่ดีต้องใช้ หลักธรรมาภิบาลให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้และเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และหลัก พรหมวิหารธรรมในการบริหารงบประมาณในการที่จะปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพ มีการ ตรวจสอบสามารถประเมินผลงานได้อย่างชัดเจน และมีการแข่งขันเพื่อการจัดการการ บริการที่ดีขึ้น๑๐ ผู้วิจัยสรุปว่า การน าหลักธรรมพรหมวิหาร ๔ มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาภาวะ ผู้น า ต้องอาศัยพรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา ฝึกอยากช่วยเหลือผู้อื่น กรุณา ฝึกแนะน าผู้อื่น ด้วยความเต็มใจ เมื่อผู้อื่นมาขอใช้บริการ ให้ค าปรึกษาด้วยความเต็มอกเต็มใจ ก็ยินดีรับ ฟัง มุทิตา ฝึกยิ้มแย้มแจ่มใสเสมอ ยินดีต้อนรับ อุเบกขา ไม่เลือกปฏิบัติต่อผู้มารับบริการ บริการด้วยความเสมอภาค ผู้บริการและผู้รับบริการ ทั้ง ๒ ต่างก็มีแต่ความสุข การ ประสานการท างานก็บรรลุด้วยดี ๗.๔ หลักไตรสิกขาส าหรับการพัฒนาภาวะผู้น า หลักไตรสิกขาส าหรับการพัฒนาภาวะผู้น า ตามแนวคิดทางพุทธศาสตร์ การ พัฒนาตนเป็นการเรียนรู้และการปฏิบัติเพื่อไปสู่ความพอดี มีความสัมพันธ์อันกลมกลืน ระหว่างการด าเนินชีวิตของบุคคล กับสภาพแวดล้อมและมุ่งการกระท าตนให้มีความสุข ด้วยตนเอง รู้เท่าทันตนเอง เข้าใจตนเองมากกว่าการพึ่งพาอาศัยวัตถุ จึงเป็นแนวทางการ พัฒนาชีวิตที่ยั่งยืน หลักการพัฒนาตนตามแนวพุทธศาสตร์ประกอบด้วยพุทธธรรม ไตรสิกขา ซึ่งสรุปได้ดังนี้ จากการศึกษา หนังสือ ต ารา แนวคิด เอกสารงานวิจัย ของนักวิชาการ มีการน า หลัก ไตรสิกขามาพัฒนาสมรรถนะบุคลากรในองค์กรด้านการพัฒนาตนเอง ดังนี้ ๙ พัฒนสรณ์ เกียรติฐิติคุณ, “รูปแบบการบูรณาการหลักพุทธธรรมในการพัฒนาประสิทธิภาพ การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เทศกิจ กรุงเทพมหานคร”, ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชา รัฐประศาสนศาสตร์, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๗), หน้า ๒๓๙.๑๐พระมหาสมบัติ ธนปญฺโญ, “ยุทธศาสตร์เชิงพุทธในการบริหารโรงเรียน พระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา”, ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพุทธบริหารการศึกษา, (บัณฑิต วิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๗), หน้า ๒๖๙.
๑๓๗ สิกขา ๓ หรือไตรสิกขา คือ อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา๑๑ หมายถึง ข้อที่จะต้องศึกษา, ข้อปฏิบัติที่เป็นหลักส าหรับศึกษาคือ ฝึกหัดอบรม กาย วาจา จิตใจ และ ปัญญา ให้ยิ่งขึ้นไปจนบรรลุจุดหมายสูงสุดคือพระนิพพานประกอบด้วย ๑) อธิสีลสิกขา สิกขาคือศีลอันยิ่ง, ข้อปฏิบัติส าหรับฝึกอบรมในทางความประพฤติอย่างสูง ๒) อธิจิต ตสิกขา สิกขาคือจิตอันยิ่ง, ข้อปฏิบัติส าหรับฝึกอบรมจิตเพื่อให้เกิดคุณธรรมเช่น สมาธิ อย่างสูง และ ๓) อธิปัญญาสิกขา สิกขาคือปัญญาอันยิ่ง, ข้อปฏิบัติส าหรับฝึกอบรมปัญญา เพื่อให้เกิดความรู้แจ้งอย่างสูง เรียกง่ายๆ ว่า ศีล สมาธิ ปัญญา๑๒ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้ให้ทรรศนะการพัฒนาตนเองตาม ไตรสิกขาว่า การพัฒนาคน ให้เป็นผู้มีคุณภาพ ที่ส าคัญที่สุดก็คือ การปลูกฝังให้คนเป็น พลเมืองดี มีคุณธรรมจริยธรรม เพื่อก่อให้เกิดความสงบสุขในสังคม วิธีการหนึ่งที่น่าจะ ให้ผลดีในการปลูกฝังและพัฒนาการมีคุณธรรมจริยธรรม ก็โดยใช้หลักไตรสิกขา เนื่องจาก ไตรสิกขาเป็นระบบและเป็นกระบวนการในการฝึกฝน อบรม ฝึกหัดเพื่อพัฒนาคนใน ๓ ด้านคือ พัฒนาด้านพฤติกรรม เรียกว่า ศีล พัฒนาด้านจิตใจ เรียกว่า สมาธิ พัฒนาด้าน ปัญญา เรียกว่า ปัญญา ทั้งนี้ก็เพื่อให้บุคคลมีการด าเนินชีวิตไปในวิถีที่ถูกต้องดีงาม โดย น าหลักธรรมพระพุทธศาสนา (ไตรสิกขา) มาใช้ หรือประยุกต์ใช้ในการบริหารและพัฒนา คนในสถานศึกษาเน้นการจัดสภาพทุก ๆ ด้านในสถานศึกษาเพื่อสนับสนุนให้คนในองค์กร พัฒนาตามหลักพุทธธรรมอย่างบูรณาการส่งเสริมให้เกิดความเจริญงอกงามตามลักษณะ แห่งปัญญา๑๓ ส่วนท่านพุทธทาส (อินทปัญโญ) กล่าวถึงหลักธรรมตามแนวพุทธศาสนา “ไตรสิกขา” นี้เป็นแนวทางในการพัฒนาตนเอง เพื่อแก้ปัญหาให้พ้นทุกข์และส าเร็จผล การพัฒนาคนมีความหมายส าคัญที่แบ่งออกเป็น ๒ ประการคือ ๑. การพัฒนาคนในฐานะผู้มีความเป็นมนุษย์ ๒. การพัฒนาคนในฐานะทรัพยากรมนุษย์๑๔ สุรพล สุยะพรหม และคณะ กล่าวถึงความส าคัญของไตรสิกขาว่า การพัฒนา คนซึ่งจะท าให้คนเป็นคนดีมีความสุข และเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ การพัฒนาก็ คือการศึกษา การพัฒนาด้วยการศึกษาของคน ในทางพุทธศาสนาคือ ไตรสิกขา ซึ่งเป็น ๑๑ดูรายละเอียดใน, ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๗๙/๒๙๐.๑๒พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรม ฉบับประมวลธรรม, พิมพ์ครั้งที่ ๒๗, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑), หน้า ๑๒๕.๑๓พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต), การพัฒนาที่ยั่งยืน, (กรุงเทพมหานคร: ส านักพิมพ์มูลนิธิ พุทธธรรม, ๒๕๕๙), หน้า ๒๒๒-๒๒๓.
๑๓๘ วิธีการเรียนรู้ ฝึกฝน พัฒนาชีวิต ๓ ด้าน คือ (๑) ศีล คือภาวะของผู้ที่มีหลักธรรมความ ประพฤติถูกต้อง มีความประพฤติดีทางกาย วาจาและสัมมาชีพ สามารถควบคุมตนเอง จัดระเบียบชีวิตของตนและการอยู่รวมกับผู้อื่นด้วยดี มีความรับผิดชอบต่อสังคม (๒) สมาธิ คือ ความแน่วแน่มั่นคงหนักแน่นของจิตใจ ท าให้จิตมีคุณภาพ จิตใจเป็น รากฐานของพฤติกรรม การสร้างสมาธิท าให้เกิดสติ และวิริยะ ถ้าจิตใจได้รับการพัฒนาให้ ดีงามแล้ว ด้วยการควบคุมดูแลและน าพฤติกรรมไปในทางที่ดีด้วย และ (๓) ปัญญา การพัฒนาปัญญาซึ่งเป็นความส าคัญที่สุด เพราะปัญญาเป็นดังน าทางและควบคุม พฤติกรรมทั้งหมด๑๕ สุปรียา ธีรสิรานนท์ได้ศึกษาเรื่อง “การศึกษาวิเคราะห์พัฒนาการการเรียนรู้ใน กรอบของไตรสิกขากับทฤษฎีการเรียนรู้ของสกินเนอร์” พบว่า ผลการเรียนรู้ของทฤษฎี การเรียนรู้ของสกินเนอร์และการเรียนรู้ในกรอบของไตรสิกขา มีแนวความคิดเห็นที่ตรงกัน คือ ผลการเรียนรู้ท าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน มีการเปลี่ยนทั้ง พฤติกรรม จิตใจ ปัญญา สามารถน าผลการเรียนรู้ไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาตนเองและ บุคคลในสังคม เช่น พัฒนาให้มีกายวาจาที่เรียบร้อย มีมารยาทดีมีจิตใจที่งดงาม มีปัญญา ที่เฉลียวฉลาด มีความรู้ความสามารถที่ดีที่พึงประสงค์๑๖ อัจฉรา หล่อตระกูล ได้ศึกษาเรื่อง “การพัฒนาสมรรถนะพนักงานมหาวิทยาลัย ของรัฐ พบว่า การน าหลักไตรสิกขามาพัฒนาสมรรถนะพนักงานมหาวิทยาลัยของรัฐนั้น เพราะไตรสิกขาเป็นหลักธรรมที่ใช้ในการพัฒนาตนเองในการท างาน ประกอบด้วย ๑) ศีล คือ ข้อปฏิบัติสาหรับอบรมทางด้านความประพฤติ ๒) สมาธิ คือ จิตตสิกขา ข้อปฏิบัติส าหรับอบรมจิตให้เกิดสมาธิ ๓)ปัญญา คือ ปัญญาสิกขา ข้อปฏิบัติส าหรับ อบรมปัญญาให้รู้แจ้งตามความเป็นจริง และเป็นหลักธรรมส าคัญในการพัฒนา หากน า ไตรสิกขามาพัฒนาสมรรถนะจะท าให้พนักงานมหาวิทยาลัยสามารถพัฒนาด้านอื่น ๆ ได้ ดีด้วย และยังท าให้เกิดการรับผิดชอบงานจนส าเร็จ รวมถึงการนึกถึงส่วนรวมมากกว่าส่วน ตนด้วย คติยา อายุยืน ได้วิจัยเรื่อง “การพัฒนาสมรรถนะพนักงานมหาวิทยาลัยของรัฐ ตามหลักพุทธธรรม” พบว่า ด้านอธิศีลสิกขา บุคลากรสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานภาคใต้ ๑๕สุรพล สุยะพรหม และคณะ, พื้นฐานการจัดการ, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๕), หน้า ๑๖๘-๑๖๙.๑๖สุปรียา ธีรสิรานนท์, “การศึกษาวิเคราะห์พัฒนาการการเรียนรู้ในกรอบของไตรสิกขากับ ทฤษฎีการเรียนรู้ของสกินเนอร์”, ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๘), หน้า ๗๓.
๑๓๙ ตอนบน มีการน าหลักไตรสิกขามาเป็นแนวทางการพัฒนา ได้แก่ ตั้งเป้าหมายในการ ฝึกอบรม ให้การศึกษา และประชุมชี้แจงอย่างต่อเนื่องถึงประเด็นการสั่งสมความ เชี่ยวชาญในงานอาชีพเหล่านี้ ด้านอธิจิตตสิกขา มีแนวทางการพัฒนาบุคลากร ได้แก่ ๑) การส่งเสริมการผลิตผลงานวิชาการที่ตนเองมีประสบการณ์ ๒)การจัดโครงการศึกษาดู งาน ๓) การจัดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ และด้านอธิปัญญาสิกขา มีแนวทางการ พัฒนาบุคลากร ได้แก่ ๑) การเรียนรู้ในงานด้วยตนเอง ๒) การศึกษาต่อเนื่อง ๓) การอ่าน หนังสือเพิ่มเติม ๔) การศึกษาดูงาน ณ ต่างประเทศ ๕) การจัดโครงการฝึกฝนที่มีวิทยากร จากบุคลากรภายนอกสถาบัน๑๗ สรุปได้ว่า หลักไตรสิกขา ในการน ามาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาสมรรถนะหลัก ของบุคลากรตามหลักพุทธธรรม โดยอาศัยหลักไตรสิกขา คือ ศีล ความพยายามที่จะ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนด้วยตนเองให้ดีขึ้นกว่าเดิมเหมาะกว่าเดิม มีความรับผิดชอบต่อ หน้าที่ การงานอย่างเต็มที่ สมาธิคือการฝึกฝนให้มีสภาพจิตที่หนักแน่นมั่นคง คิดในสิ่งดีๆ ให้พร้อมที่จะปฏิบัติงานและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ต่อไปได้ปัญญาคือความรู้ความเข้าใจเหตุผล จะพัฒนาตนเองให้มีการด าเนินชีวิตไปในวิถีทางที่ถูกต้อง สามารถน าความรู้วิทยาการ หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ได้ศึกษามาปรับใช้กับการท างานได้อย่างเหมาะสม ๗.๕ หลักภาวนา ๔ ส าหรับการพัฒนาภาวะผู้น า หลักภาวนา ๔ ส าหรับการอบรมและการพัฒนาภาวะผู้น า หมายถึง ภาวนา ๔ คือ การเจริญ, การท าให้เป็นให้มีขึ้น, การฝึกอบรม, การพัฒนา ได้แก่ ๑) กายภาวนา (การเจริญกาย, พัฒนากาย, การฝึกอบรมกาย ให้รู้จักติดต่อ เกี่ยวข้องกับสิ่งทั้งหลายภายนอกทางอินทรีย์ทั้งห้าด้วยดี และปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้น ในทางที่เป็นคุณ มิให้เกิดโทษ ให้กุศลธรรมงอกงาม ให้อกุศลธรรมเสื่อมสูญ, การพัฒนา ความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ๒) สีลภาวนา (การเจริญศีล, พัฒนาความประพฤติ, การฝึกอบรมศีล ให้ตั้งอยู่ใน ระเบียบวินัย ไม่เบียดเบียนหรือก่อความเดือดร้อนเสียหาย อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ด้วยดี เกื้อกูลแก่กัน ๑๗คติยา อายุยืน, “การพัฒนาสมรรถนะการสั่งสมความเชี่ยวชาญในงานอาชีพตามหลัก พุทธธรรม”, ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๘), หน้า ๒๖๕.