The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Pranpariya245, 2023-10-18 03:30:04

เล่มวิทยานิพนธ์ฉบับสมบูรณ์

เล่มสมบูรณ์

การพัฒนาเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่าน แบบกว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปราณปริยา ชัยสวัสดิ์ วิทยานิพนธ์เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาหลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากล ปีการศึกษา 2566 ลิขสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา


THE DEVELOPMENT OF AUGMENTED REALITY INTREGRATED WITH EXTENSIVE READING INSTRUCTION TO ENHANCE ENGLISH READING COMPREHENSION ABILITY FOR MATTHAYOMMASUKSA 3 PRANPARIYA CHAISAWAT A thesis submitted in partial fulfillment of the requirements for Master of Educational Program in Teaching English as a Foreign Language Academic Year 2023 Copyright of Bansomdejchaopraya Rajabhat University


ชื่อเรื่อง การพัฒนาเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอน อ่านแบบกว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถในการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ชื่อผู้วิจัย ปราณปริยา ชัยสวัสดิ์ สาขาวิชา การสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากล อาจารย์ที่ปรึกษาหลัก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วาปี คงอินทร์ อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม รองศาสตราจารย์ ดร.อารีวรรณ เอี่ยมสะอาด มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา อนุมัติให้วิทยานิพนธ์ฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของ การศึกษาตามหลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา การสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากล .............................................................................. คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย (ดร. คณกร สว่างเจริญ) คณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ .............................................................................. ประธานกรรมการ (..................................................) .............................................................................. กรรมการ (..................................................) .............................................................................. กรรมการ (..................................................) .............................................................................. กรรมการ (..................................................) .............................................................................. กรรมการและเลขานุการ (..................................................) ลิขสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา


ชื่อเรื่อง การพัฒนาเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอน อ่านแบบกว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถในการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ชื่อผู้วิจัย ปราณปริยา ชัยสวัสดิ์ สาขาวิชา การสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากล อาจารย์ที่ปรึกษาหลัก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วาปี คงอินทร์ อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม รองศาสตราจารย์ ดร.อารีวรรณ เอี่ยมสะอาด ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) หาประสิทธิภาพของเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอน อ่านแบบกว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ 2) เปรียบเทียบความสามารถการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจก่อนเรียนและหลังเรียน 3) ศึกษาพัฒนาการสัมพัทธ์ความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจหลังเรียน และ4) ศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม ร่วมกับการอ่านแบบกว้างขวาง กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี จำนวน 36 คน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ได้มาด้วยวิธีสุ่มตัวอย่างอย่างง่ายโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แผนการจัดการเรียนรู้ คือ แบบฝึกหัด และแบบทดสอบวัดความสามารถการอ่าน ภาษาอังกฤษก่อนเรียนและหลังเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีสำหรับกลุ่มตัวอย่างที่ไม่เป็นอิสระต่อกัน และการวิเคราะห์คะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ ผลการวิจัยพบว่า 1) เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวางมีประสิทธิภาพ 80.90/80.63 ตามเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนด 2) ความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 หลังเรียน โดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวางสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 3) คะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 หลังเรียนโดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง เฉลี่ยในภาพรวมเท่ากับร้อยละ 53.98 ซึ่งอยู่ในระดับสูง 4) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับการอ่านแบบ กว้างขวางในการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยรวมอยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุดซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานการวิจัยที่ตั้งไว้ คำสำคัญ: เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม, การสอนอ่านแบบกว้างขวาง, การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ


Title THE DEVELOPMENT OF AUGMENTED REALITY INTREGRATED WITH EXTENSIVE READING INSTRUCTION TO ENHANCE ENGLISH READING COMPREHENSION ABILITY FOR MATTHAYOMMASUKSA 3 Author Pranpariya Chaisawat Program Teaching English as a Foreign Language Major Advisor Assistant Professor Dr. Wapee Kong-in Co-Advisor Associate Professor Dr. Areewan Iamsa-ard Academic Year 2023 ABSTRACT The purpose of this research were 1) to examine the effectiveness of augmented reality integrated with extensive reading instruction to enhance English reading comprehension ability 2) to compare English reading comprehension ability between before and after learning through augmented reality integrated with extensive reading instruction 3) to study relative development score of English reading comprehension ability after learning using augmented reality integrated with extensive reading instruction. and 4) The students’ satisfaction towards learning through augmented reality technology combined with extensive reading. The sample included 36 students studying in Matthayomsuksa 3 at Surasakmontree school during the first semester of the academic year 2022 selected by classroom unit-based simple random sampling. The research instruments were lesson plans, exercises and English reading comprehension pretestand posttest. Data were analyzed by percentage, MEAN, standard deviation, paired t-test for dependent samples and relative development score. The findings of this research revealed the following. 1) The effective of augmented reality integrated with extensive reading instruction to enhance English reading comprehension ability for Matthayomsuksa 3 students measured 80.90/80.63 which was consistent with the criteria 80/80. 2) English reading comprehension ability after using augmented reality integrated with extensive reading instruction was significantly higher at the .05 level. 3) The samples’ relative development scores after learning through augmented reality integrated with extensive reading instruction measured averagely 53.98% which was at high level. 4) The students’ satisfaction towards learning through augmented reality technology combined with extensive reading was generally found at the ‘Highest’ level. Keywords: Augmented Reality, Extensive Reading, Reading Comprehension


กิตติกรรมประกาศ วิทยานิพนธ์ฉบับนี้เสร็จสมบูรณ์ได้ด้วยความอนุเคราะห์จากผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.วาปี คงอินทร์ และรองศาสตราจารย์ ดร.อารีวรรณ เอี่ยมสะอาด ที่ได้ให้คำปรึกษา แนะนำ ปรับปรุง แก้ไข ดูแล เสนอแนะข้ดคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ตลอดจนแก้ไขขัอบกพร่องต่าง ๆ ที่ด้วยความเมตตาอย่างยิ่ง ผู้วิจัยขอขอบพระคุณด้วยความเคารพอย่างสูง จนทำให้วิทยานิพนธ์นี้สมบูรณ์และสำเร็จลุล่วงด้วยดี ขอขอบพระคุณผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.สายฝน ทรงเสี่ยงไชย คุณครูพลอภิรัฒณ์ อันถาธารณ์ และคุณครูวัชนะ กระจ่างจบ ที่ให้ความกรุณาเป็นผู้เชี่ยวชาญตรวงสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการ วิจัยและให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ในการทำวิทยานิพนธ์ครั้งนี้ ขอขอบพระคุณท่านผู้อำนวยการโรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี นางอาลัย พรหมชนะ ที่ให้ความอนุเคราะห์ ใช้สถานศึกษาในการดำเนินการทดลองใช้เครื่องมือวิจัยและเก็บรวบรวมข้อมูลแก่ผู้วิจัย ในครั้งนี้ขอขอบใจ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรีที่ให้ความร่วมมืออย่างดียิ่งในการทดลองวิจัย ขอขอบพระคุณเครือญาติพี่น้อง และเพื่อนๆทุกคน ตลอคจนทุกท่านที่ได้ให้ความช่วยเหลือ เป็นกำลังใจในการทำวิทยานิพนธ์ฉบับนี้จนสำเร็จลุถ่วงไปด้วยดี ท้ายนี้ขอกราบขอบพระคุณ ครอบครัว ที่ให้การสนับสนุนการศึกมาและเป็นกำลังใจในการทำ วิทยานิพนธ์ด้วยดีเสมอมา ปราณปริยา ชัยสวัสดิ์


สารบัญ หน้า บทคัดย่อภาษาไทย....................................................................................................... ก บทคัดย่อภาษาอังกฤษ.................................................................................................. ข กิตติกรรมประกาศ........................................................................................................ ค สารบัญ......................................................................................................................... ง สารบัญภาพ.................................................................................................................. ฉ สารบัญตาราง............................................................................................................... ซ บทที่ 1 บทนำ................................................................................................................ 1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา................................................... 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย.......................................................................... 4 สมมติฐานของการวิจัย.............................................................................. 4 ขอบเขตของการวิจัย................................................................................. 5 ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย................................................................... 5 นิยามศัพท์เฉพาะ...................................................................................... 5 กรอบแนวคิดในการวิจัย........................................................................... 8 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง........................................................................ 9 หลักสูตรรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน 5 (อ23101) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่3 โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรีตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551.................................................................................... 10 แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการอ่าน................................................. 19 การวัดและประเมินผลการอ่านเพื่อความเข้าใจ........................................ 37 การพัฒนาเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม.................................................. 38 ความพึงพอใจ........................................................................................... 40 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง................................................................................... 43 3 วิธีดำเนินการวิจัย.............................................................................................. 48 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง....................................................................... 48 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย........................................................................... 19 การเก็บรวบรวมข้อมูล.............................................................................. 60 การวิเคราะห์ข้อมูล................................................................................... 60


สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า 4 ผลการวิเคราห์ข้อมูล........................................................................................ 63 ตอนที่ 1 การหาประสิทธิภาพของเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับ วิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถในการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด 80/80........................ 64 ตอนที่ 2 การเปรียบเทียบความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม ร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง.................................... 64 ตอนที่ 3 การศึกษาพัฒนาการสัมพัทธ์ความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจหลังเรียน โดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม ร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง.................................... 66 ตอนที่ 4 การศึกษาพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยี ความเป็นจริงเสริมร่วมกับการอ่านแบบกว้างขวาง เพื่อพัฒนา ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ............ 68 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ............................................................. 72 สรุปผลการวิจัย........................................................................................ 73 อภิปรายผลการวิจัย................................................................................. 73 ข้อเสนอแนะ............................................................................................ 76 บรรณานุกรม............................................................................................................... 78 ภาคผนวก.................................................................................................................... 87 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ.................................................................... 88 ภาคผนวก ข หนังสือราชการ........................................................................ 90 ภาคผนวก ค ผลการวิเคราะห์ความเที่ยงตรงของเครื่องมือ.......................... 94 ภาคผนวก ง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย........................................................... 115 ภาคผนวก จ แบบตอบรับและบทความวิจัย................................................. 214 ภาคผนวก ฉ ผลการสอบวัดภาษาอังกฤษตามเกณฑ์ CEFR......................... 216 ภาคผนวก ช ประกาศนียบัตรหลักจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์..................... 218 ประวัติผู้วิจัย................................................................................................................ 220


สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 1.1 กรอบแนวคิดในการวิจัย............................................................................... 9 2.1 ผังทฤษฎีการเรียนรู้ภาษาที่สอง.................................................................... 22 2.2 ผังทฤษฎีการอ่านแบบปฏิสัมพันธ์................................................................ 23 2.3 ผังทฤษฎีการสอนภาษาแบบองค์รวม........................................................... 24 2.4 ระดับความเข้าใจในการอ่าน........................................................................ 33 3.1 การสร้างบทอ่านและแบบฝึกหัดด้วยโปรแกรม Vidinoti............................. 52 3.2 คู่มือการเรียนรู้ด้วยตัวเองผ่านเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม........................ 52 3.3 รูปแบบการวิจัยการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างเดียวโดยวัดผลก่อน และหลังการทดลอง...................................................................................... 56 4.1 คะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจ หลังเรียน โดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง 67


สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 2.1 โครงสร้างรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน 5 (อ23101) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565.............................................................. 12 2.2 การวิเคราะห์ระดับความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ… 34 3.1 แสดงข้อมูลประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย............................. 49 3.2 การตรวจสอบลักษณะการแจกแจงปกติของข้อมูล................................... 57 3.3 ระดับคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์............................................................... 58 4.1 การหาประสิทธิภาพของเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอน อ่านแบบกว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจสำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3............................. 64 4.2 ผลการทดสอบค่า t ของคะแนนเฉลี่ยความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจระดับตามตัวอักษรสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับ วิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง................................................................. 64 4.3 ผลการทดสอบค่า tของคะแนนเฉลี่ยความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจระดับการตีความสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับ วิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง................................................................. 65 4.4 ผลการทดสอบค่า t ของคะแนนเฉลี่ยความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจระดับการประเมินค่าสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับ วิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง................................................................. 65 4.5 ผลการทดสอบค่า t ของคะแนนเฉลี่ยความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจในภาพรวมสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ระหว่าง ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอน อ่านแบบกว้างขวาง 66 4.6 ความถี่และร้อยละคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจหลังเรียน โดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับ วิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง................................................................. 66 4.7 คะแนนเฉลี่ยพัฒนาการสัมพัทธ์ความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ หลังเรียน โดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง 67


สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางที่ หน้า 4.8 การศึกษาความพึงพอใจด้านการใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม AR ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังจากเรียนเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยี ความเป็นจริงเสริมร่วมกับการอ่านแบบกว้างขวาง เพื่อพัฒนาความสามารถ ในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ.................................................................... 68 4.9 การศึกษาความพึงพอใจด้านกิจกรรมการเรียนการสอนโดยบูรการ เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม AR ร่วมกับการสอนอ่านแบบกว้างขวาง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังจากเรียนเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยี ความเป็นจริงเสริมร่วมกับการอ่านแบบกว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถ ในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ.................................................................... 69 4.10 การศึกษาความพึงพอใจในภาพรวมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังจากเรียนเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับการอ่าน แบบกว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจ....................................................................................... 70


บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญ ปัจจุบันภาษาอังกฤษมีบทบาทสำคัญในการใช้ชีวิตของคนในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทยที่ใช้ ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร การศึกษาหาความรู้ การทำงาน การสร้างความเข้าใจต่อขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒธรรม รวมถึงการอยู่ร่วมกันของคนในสังคมที่มีความหลากหลาย ซึ่งนำไปสู่การ พัฒนาผู้เรียนให้เข้าใจความแตกต่างของตนเอง ความแตกต่างของผู้อื่น ความแตกต่างของภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม รวมทั้งการมีเจตคติที่ดีต่อการใช้ภาษาอังกฤษ เพื่อการสื่อสารและการเข้าถึงแหล่งความรู้ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้ง่ายและกว้างขึ้น สำนักคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2551 : 1) ดังที่กฎบัตรสมาคมแห่งประชาชาติเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ได้กำหนดไว้ในข้อที่ 34 ที่ว่า “The working language of ASEAN shall be English” ภาษาที่ใช้ทำงานในอาเซียน คือ ภาษาอังกฤษ กระทรวงการต่างประเทศ (2558) และสอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศที่มีความมุ่งหวังให้ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ สามารถใช้ ภาษาอังกฤษในการสื่อสารในการศึกษาหาความรู้หรือการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น และการประกอบ อาชีพต่าง ๆ จากความสำคัญของภาษาอังกฤษตามที่กล่าวมานี้กระทรวงศึกษาธิการจึงได้กำหนด ให้มีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศให้กับผู้เรียนในทุกระดับชั้น เพื่อเสริมสร้าง ศักยภาพในการคิดวิเคราะห์และการทำงานอย่างสร้างสรรค์อีกทั้งเป็นพื้นฐานในการเตรียมความพร้อม ให้กับผู้เรียนรุ่นใหม่เข้าถึงแหล่งข้อมูลข่าวสารที่ง่ายขึ้น ทำให้ผู้เรียนมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ตลอดจนสามารถพัฒนาความคิดและมุมมองใหม่ ๆ ในการเรียนรู้เพิ่มขึ้น โดยคาดหวังว่าเมื่อผู้เรียน ได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาไปจนถึงระดับชั้นมัธยมศึกษา ผู้เรียนจะสามารถถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ ความรู้สึก ทัศนะคติประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ ต่อการพัฒนาตนเอง และสังคมได้ กรมวิชาการ (2551) โดยเฉพาะทักษะการอ่านเป็นทักษะ ที่ใช้ในแสวงหาความรู้เพื่อนำความรู้ที่ได้ไปใช้ปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพชีวิต ปัจจุบันพบว่าผู้เรียน มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการอ่านภาษาอังกฤษ เนื่องจากที่ผ่านมาผู้เรียนถูกสอนให้เน้นการจำคำศัพท์ และกฎไวยากรณ์ต่าง ๆ ซึ่งไม่ส่งเสริมทักษะการคิดทำให้ผู้เรียนไม่เข้าใจในเนื้อหาที่อ่านและส่งผลให้ ผู้เรียนไม่ชอบอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ นักวิจัยหลายท่าน เช่น วิกรม จันทรจิตรและ ภัทรธีรา เทียนเพิ่มพูล (2558) ; จิรา จันทร์ทอง (2552) ; สนิท ยืนศักดิ์และสุกัญญา เกาะวิวัฒนากุล (2551) ; ฐิตินันท์ คงบางปอ (2550) ระบุว่าผู้เรียนมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการอ่านภาษาอังกฤษ เนื่องจากผู้เรียน ขาดประสบการณ์ในการบูรณาการความรู้เดิม กับความรู้ใหม่ รวมถึงกิจกรรมที่ทำไม่เหมาะสมกับวัย ระดับความสามารถ และความถนัดของผู้เรียนจึงส่งผลให้ผู้เรียนคิดว่าภาษาอังกฤษมีความซับซ้อน ในเรื่องของคำศัพท์และโครงสร้างทางไวยากรณ์ทำให้ไม่สามารถแปลความหมายของเรื่องที่อ่านได้ ด้วยตนเอง อีกทั้งผู้สอนเน้นให้ผู้เรียนจำคำศัพท์และกฎไวยากรณ์มากกว่าการอ่านเพื่อเข้าใจเนื้อเรื่อง โดยภาพรวม ขาดการใช้เทคโนโลยีดิจิตอลในการจัดการเรียนการสอนและการสร้างแรงจูงใจ ให้กับผู้เรียน เทคโนโลยีดิจิตอลเข้ามามีบทบาทในการจัดการศึกษาของผู้เรียนทุกระดับ ทำให้ผู้เรียน


สามารถเรียนรู้และเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้หลากหลาย ซึ่งสถานศึกษาได้จัดให้มีการใช้เทคโนโลยีดิจิตอล ช่วยในการเรียนรู้ที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการและพัฒนาการเรียนการสอนให้ทันสมัย และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาคุณภาพครูและอาจารย์ในระดับ การศึกษาขั้นพื้นฐาน และอาชีวศึกษาให้มีสมรรถนะทางภาษาและดิจิตอลของกระทรวงศึกษาธิการ (2564 : 2) ที่ว่าผู้สอนควรได้รับการพัฒนาให้สมรรถนะ ทั้งด้านการจัดการเรียนรู้และการใช้ เทคโนโลยีดิจิตอล ผู้สอนสามารถปรับวิธีการเรียนการสอนให้ทันสมัย และมีความรับผิดชอบ ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของผู้เรียน จากการสอนที่ผู้สอนได้รับมอบหมายให้สอนในรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน 5 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี พบว่าผู้เรียนไม่สามารถแปลความหมายของเรื่องที่อ่าน ได้ด้วยตนเองและไม่ชอบการอ่านบทอ่านภาษาอังกฤษ เนื่องจากผู้สอนเน้นให้ผู้เรียนจำคำศัพท์ และกฎไวยากรณ์มากกว่าการอ่านเพื่อเข้าใจเนื้อเรื่อง ซึ่งสอดคล้องกับคะแนนการอ่านภาษาอังกฤษ ในรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน 5 ตลอดระยะเวลา 3 ปี คือ ปีการศึกษา 2562-2564 พบว่าคะแนน ของนักเรียนร้อยละ 80 อยู่ในเกณฑ์ต่ำ เนื่องจากผู้เรียนไม่มีคลังคำศัพท์และไม่สามารถนำความรู้ เกี่ยวกับไวยากรณ์ไปปรับใช้ในการอ่านได้ ทั้งนี้ผู้วิจัยได้ทำการวิเคราะห์จากการเรียนรู้แบบเดิม ทำให้ไม่เพียงพอต่อการเรียนในระดับที่สูงขึ้น รวมถึงขาดการใช้เทคโนโลยีดิจิตอลในการจัดการเรียน การสอนและการสร้างแรงจูงใจให้กับผู้เรียน โลกได้เข้าสู่ศตวรรษที่ 21 มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ICT (Information and Communication Technology) เข้ามาใช้ในชีวิตประจำวันหลายคนอาจจะรู้จักในชื่อยุค สังคมสารสนเทศ (Information and society) หรือสังคมฐานความรู้ (Knowledge base society) โดยเฉพาะเด็กในยุคดิจิตอล (Digital natives) หรือเด็กยุค Gen Net เป็นเด็กยุคใหม่ ที่เกิด มามีความคุ้นเคยในการใช้เทคโนโลยี ในการสื่อสาร การศึกษา และการใช้ชีวิตประจำวัน ในขณะที่สิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมของผู้เรียนในยุคปัจจุบันซึ่งมีความแตกต่างไปจากผู้เรียนในยุค สมัยก่อนที่มีครูเป็นผู้สอน สอนด้วยวิธีแบบท่องจำ ถ่ายทอดความรู้ด้วยการบรรยายโดยใช้กระดานดำ และหนังสือแบบเรียนเป็นสื่อในการเรียนรู้ ปณพักตร์ พงษ์พุทธรักษ์ และคณะ (2562 : 215-216 อ้างอิงจาก สุนันท์ สังข์อ่อน, 2555 : 12-16) วิธีการสอนดังกล่าวจึงไม่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง ของยุคสังคมสารสนเทศ ทำให้ผู้เรียนขาดแรงจูงใจในการเรียนและส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน ดังนั้นการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการสอน โดยเฉพาะการสอนวิชาภาษาอังกฤษถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ เนื่องจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลที่ใช้ในการสื่อสาร ในระดับต่าง ๆ การศึกษาหาความรู้ ทั้งในหนังสือ ตำรา เอกสารหรือแหล่งข้อมูลจากสื่อออนไลน์รวมไปถึงการประกอบอาชีพ ซึ่งปัจจัย เหล่านี้ช่วยสร้างความเข้าใจความตระหนักในด้านวัฒนธรรม วิสัยทัศน์ของชุมชนโลก และมุมมอง ของสังคมโลก กระทรวงศึกษาธิการ (2551 : 220) ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจและการศึกษาของประเทศไทยในการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียน การสอน เพื่อให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของผู้เรียน ผู้สอน สถานศึกษา และส่วนกลาง ระดับผู้เรียนช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้เร็ว ระดับผู้สอน ผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมในชั้นเรียน ให้มีความหลากหลาย เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้เรียน อีกทั้งผู้สอนมีเวลาในการเตรียมการสอน และออกแบบกิจกรรมได้อย่างเต็มที่ ระดับสถานศึกษา สถานศึกษาสามารถดำเนินการลดขั้นตอน


การปฏิบัติงานการบริหารงานบุคคล การบริหารงานหลักสูตรการประเมินผลและการติดตาม ตรวจสอบคุณภาพการศึกษาและงานสารบรรณต่าง ๆ ภายในโรงเรียน และในระดับส่วนกลาง ผู้บริหารและบุคลากรของกระทรวงศึกษาธิการสามารถเข้าถึงฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) ได้เร็ว และเป็นปัจจุบัน (real time) ทำให้สามารถวางแผน และติดตามประเมินผลของการดำเนินงาน หรือโครงการต่าง ๆ ได้ กระทรวงศึกษาธิการ (2563 : 1) ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาท ในการจัดการเรียนการสอนสถานศึกษาได้มีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้เป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในการสร้าง เครื่องมือสร้างถ่ายทอดความรู้มาเป็นเวลายาวนาน โดยระยะแรกจะใช้โปรแกรมสำเร็จรูป (Programmed Instruction) หรือคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction) มาใช้ สอนแทนหนังสือ แต่ในปัจจุบันได้มีการใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตมากขึ้น คอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ตจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการเรียนการสอนผ่านบริการเว็บเบส (Web Based Instruction) เว็บเบสเป็นสื่อการเรียนการสอนในรูปแบบ E-learning ที่มีความรวดเร็วและช่วยให้ การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นอีกด้วย ดิษลดา เพชรเกลี้ยง และคณะ (2564 : 5) การนำเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม Augmented Reality ภาพหรือภาพ 3 มิติแสดงผลผ่านหน้าจอ ที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต เช่น มือถือสมาร์ตโฟน แท็บเล็ต หรือเว็บแคม ทำให้เห็นภาพที่แสดงผล บนหน้าจอเป็นภาพเคลื่อนไหว3 มิติ และภาพที่แสดงผลสามารถดูได้แบบ 360 องศาเหนือภาพพื้นหลัง อดิศักดิ์ มหาวรรณ (2556) ; จิราภรณ์ ปกรณ์(2560) เมื่อนำการสอนแบบเผชิญหน้าและเทคโนโลยี ความจริงเสริมมาใช้ในห้องเรียนหรือการเรียนทางไกลผ่านระบบเครือข่ายผู้เรียนสามารถใช้การพูดสื่อสาร ภาษาท่าทางหรือกระบวนการคิดต่าง ๆ มาใช้ในการเรียนรู้ทั้งนี้การเรียนผ่านเทคโนโลยีความจริงเสริมเป็น การเรียนผ่านสื่อที่ได้เปรียบกว่าการเรียนที่ใช้สื่อแบบเดิม ดังที่ วิวัฒน์ มีสุวรรณ์ (2554) กล่าวว่า เทคโนโลยีความจริงเสริมเปิดโอกาสให้ใช้สื่อที่มีรูปแบบการสื่อสารที่หลากหลาย และเป็นธรรมชาติ เพิ่มพื้นที่การเรียนรู้ทางกายภาพในรูปแบบสามมิติของผู้เรียน อีกทั้งสร้างรูปแบบการตอบสนองและ ปฏิสัมพันธ์ที่แปลกใหม่ ทำให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ และกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ใน สถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ส่งผลให้สถานศึกษาต้องเปลี่ยนการ จัดการเรียนการสอนแบบออนไซต์มาเป็นการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ ทำให้ผู้เรียนเกิด ความเบื่อหน่ายต่อการเรียนออนไลน์ ดังนั้นจึงมีการนำเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมมาใช้เป็นสื่อใน การจัดการเรียนการสอนเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมสามารถกระตุ้นความ สนใจ และแรงจูงใจในการพัฒนาทักษะ ความสามารถ และประสิทธิภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนได้ดี โดยผู้เรียนสามารถเรียนรู้ผ่านข้อความ ภาพ วีดิโอ และเสียง ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจในสิ่งที่เรียนมาก ยิ่งขึ้น อรวี ขุมมินและคณะ (2565) มีการนำเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมไปใช้เป็นสื่อการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ดังตัวอย่างงานวิจัยของ พจน์ศิรินทร์ ลิมปีนันทน์ (2560) ที่ได้ทำวิจัยเรื่องเทคโนโลยีความเป็นจริง เสริมส่งเสริม ความคงทนในการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาแอปพลิเคชัน ให้มีเสียงอ่านคำศัพท์ที่สามารถโต้ตอบกับผู้เรียนได้ ช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ ดึงดูดความสนใจ สร้างความเพลิดเพลิน และพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ด้านคำศัพท์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยของเกวลี ผาใต้และคณะ (2561) ที่พัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยี มิติเสมือนจริง เรื่องคำศัพท์ภาษาอังกฤษสัตว์โลกน่ารู้ ผลการวิจัยพบว่า เมื่อนำเทคโนโลยีมิติเสมือน


มาใช้ในการจัดการเรียนการสอน ทำให้ผู้เรียนเข้าใจเรื่องที่เรียนเพิ่มมากขึ้น และค่าเฉลี่ย ความพึงพอใจที่มีต่อการใช้สื่อเทคโนโลยีมิติเสมือนจริงอยู่ในระดับมากที่สุด และ สุดารัตน์ โยชน์เยื้อน และคณะ (2564) ได้ทำการวิจัยเพื่อศึกษาการเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและคะแนนผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนเรื่อง Causative Form ที่เรียน ด้วยเอกสารประกอบการเรียน โดยใช้เทคโนโลยีความ เป็นจริงเสริมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสันติราษฎร์วิทยาลัย ผลการศึกษาพบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าคะแนนก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ .05 จากปัญหาและความสำคัญที่กล่าวมาข้างต้นผู้วิจัยจึงสนใจที่จะพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยี ความเป็นจริงเสริม (AR) กับวิธีการสอนการอ่านอย่างกว้าง ในการพัฒนาความสามารถในการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้วิธีการวิจัยกึ่งทดลอง ซึ่งคาดหวังว่าการวิจัยในครั้งนี้จะสามารถนำเสนอรูปแบบการสอนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน และส่งเสริมการเรียนรู้การอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อหาประสิทธิภาพของเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด (E1/E2= 80/80) 2. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง 3. เพื่อศึกษาพัฒนาการสัมพัทธ์ความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจหลังเรียน โดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง 4. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม ร่วมกับการอ่านแบบกว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ สมมติฐานการวิจัย 1. เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นร่วมกับการอ่านแบบกว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรีมีประสิทธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด (E1/E2= 80/80) 2. ความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับการอ่านแบบกว้างขวาง 3. คะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจหลังเรียน โดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวางในภาพรวมอยู่ในระดับสูง ขึ้นไป


ขอบเขตของการวิจัย ขอบเขตด้านตัวแปรที่ศึกษา ประกอบด้วย - ตัวแปรอิสระ การสอนโดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับการอ่านแบบกว้างขวาง - ตัวแปรตาม การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง - ประชากร คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1-3/2 ของโรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 72 คน ห้อง ม.3/1 จำนวน 36 คน ห้อง ม.3/2 จำนวน 36 คน ที่มีการจัดห้องเรียนแบบคละความสามารถ ได้แก่ เก่ง ปานกลาง และอ่อน - กลุ่มตัวอย่างการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 จำนวน 36 คน ที่ได้จากการสุ่มแบบอย่างง่าย (Simple random sampling) ด้วยวิธีการจับสลากโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม ขอบเขตด้านเวลา ระยะเวลาที่ใช้ในการทดลอง ดำเนินการในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โดยจัดการเรียนรู้ จำนวน 16 คาบเรียน คาบเรียนละ 50 นาที ขอบเขตด้านเนื้อหา บทอ่านนอกเวลา (Graded readers) จำนวน 4 เรื่อง ได้แก่ Extreme jobs Extreme looks, Shark attack, When lightning loves you และ Crime doesn’t always pay ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย 1. ผู้เรียน สามารถใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับการอ่านแบบกว้างขวาง ในการพัฒนา ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2. ผู้สอน รู้แนวทางที่ใช้ในการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสำหรับผู้เรียน 3. สถานศึกษา สามารถนำผลการวิจัยในครั้งนี้ไปกำหนดนโยบายการจัดการเรียนรู้ในสถานศึกษา ด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิตัลมาพัฒนาทักษะการเรียนภาษาอังกฤษ นิยามศัพท์เฉพาะ การอ่านแบบกว้างขวาง (Extensive Reading) หมายถึง การอ่านที่เน้นความเข้าใจเนื้อหา โดยรวมของบทอ่านมากกว่าความรู้ทางไวยากรณ์ เน้นความเข้าใจ และเสริมสร้างความรู้ด้านคำศัพท์ ของบทอ่าน ผู้อ่านสามารถเลือกบทอ่านได้ตามระดับ ตามความสนใจของผู้เรียน นอกจากนี้การอ่าน แบบกว้างขวางสามารถอ่านได้ทั้งในเวลาเรียน และนอกเวลาเรียน บราวน์ Brown (2000) ; เดย์ Day (2003 : 1-2) ; เดวิส Davis (1995 : 329-330) ; สุชาดา ชัยวิวัฒน์ตระกูล (2544) 1) ผู้สอนเลือกบทอ่านให้สอดคล้องกับความสามารถของผู้เรียน 2) บทอ่านที่ให้ผู้เรียนอ่าน มีความหลากหลาย 3) ผู้เรียนเลือกอ่านตามความพึงพอใจของตนเอง 4) ผู้อ่านต้องอ่านเนื้อเรื่อง ให้ได้มากที่สุด 5) ผู้สอนบอกจุดประสงค์ในการอ่านให้ผู้เรียนทราบ 6) ผู้เรียนใช้ความรู้ และประสบการณ์ในการอ่าน 7) ผู้เรียนสามารถอ่านบทอ่านด้วยความเร็วและคล่องแคล่ว


8) ผู้เรียนสามารถอ่านได้ทุกที่ ทุกเวลา 9) ผู้เรียนมีผู้สอนคอยให้คำแนะนำในการอ่าน 10) ผู้เรียน มีผู้สอนคอยกระตุ้นเสริมสร้างนิสัยรักการอ่านและปรับทัศนคติให้กับผู้เรียน เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality) หมายถึง ความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality) เป็นการนำความจริงและสิ่งเสมือนจริงที่อยู่ในรูปแบบดิจิทัลมารวมไว้ด้วยกัน โดยการเชื่อมโยงผ่านวัสดุหรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ มือถือ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์แบบพกพา เป็น ต้น จากนั้นภาพเสมือนจริงก็จะแสดงผลผ่านหน้าจออุปกรณ์ของผู้ใช้ พนิดา ตันศิริ(2552) ; วิวัฒน์ มีสุวรรณ์ (2558) ; อาซูม่า Azuma (1997) ; บอร์เรโร่ และมาร์เกซ Borrero & Marquez (2012) ; Carmigniani et al. (2011) ; จูลีย์ และบอร์โก Julie & Borko (2010) การสอนการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับ การอ่านแบบกว้างขวาง หมายถึง การสอนที่ผู้สอนนำบทอ่านนอกเวลา (Graded Readers) มาพัฒนาเป็นเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมที่ใช้เว็บ Vidinoti ในการสร้างบทอ่านภาษาอังกฤษ ออนไลน์ที่ประกอบไปด้วยภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียง หรือการเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์ต่าง ๆ ซึ่งผู้เรียนสามารถเข้าไปอ่าน ได้ทุกที่ทุกเวลา โดยแอพพลิเคชันที่ใช้ในการอ่านบทอ่านนอกเวลา สามารถใช้ได้ทั้งอุปกรณ์ที่รองรับระบบปฏิบัติการ Android และ IOS โดย Vidinoti มีส่วนประกอบ สำคัญ 2 ส่วน คือ V-Director เป็นเว็บไซต์ที่ใช้สร้างบทเรียนออนไลน์ และ V-Player เป็นแอพพลิเคชัน สำหรับผู้เรียน ใช้ในการเข้าไปศึกษาบทเรียนออนไลน์ที่สร้างจาก V-Director ผ่านการสแกน QR code ขั้นตอนการสอนการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริง เสริมร่วมกับการอ่านแบบกว้างขวาง 1. ผู้สอนจัดเตรียมบทอ่านนอกเวลาที่ที่มีเนื้อหาสอดคล้องกับบทเรียนที่ใช้ในชั้นเรียนปกติ แล้วให้ผู้เรียนเลือกอ่านตามความสนใจของตนเอง 2. ผู้สอนออกแบบหน้าปกบทเรียนนอกเวลาออนไลน์ ประกอบด้วย QR code ที่ผู้เรียนใช้ ในการเข้าถึงบทเรียนออนไลน์ ชื่อเรื่องหนังสืออ่านนอกเวลาที่ผู้สอนเลือกมาพัฒนาเทคโนโลยี ความเป็นจริงเสริม จากนั้นผู้สอนนำเนื้อหาที่ได้จากหนังสือนอกเวลามาพัฒนาเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม ในรูปแบบของบทเรียนออนไลน์ ประกอบด้วยภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียงบรรยายหรือการเชื่อมต่อ ไปยังเว็บไซต์ต่าง ๆ 3. ผู้สอนส่ง QR code หน้าปกบทเรียนนอกเวลาออนไลน์ให้ผู้เรียน จากนั้นผู้เรียน เลือกหนังสืออ่านนอกเวลาที่อยู่ในรูปแบบออนไลน์ตามความสนใจของตนเอง 4. ผู้เรียนสแกน QR code หน้าปกบทเรียนหนังสือนอกเวลาออนไลน์ที่ผู้สอนจัดเตรียมไว้ให้ โดยผู้เรียนสามารถเลือกอ่านบทอ่านใดก่อน-หลังได้ความความพอใจของผู้เรียน 5. ผู้เรียนอ่านบทอ่านในบทเรียนนอกเวลาออนไลน์ โดยใช้ขั้นตอนในการอ่าน 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ขั้นก่อนการอ่าน (Pre-reading) 2) ขั้นระหว่างอ่าน (While-reading) 3) ขั้นหลังการอ่าน (Post-reading)


ระดับความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ หมายถึง ผู้เรียนมีความสามารถ ในการทำแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนเป็นแบบปรนัย ซึ่งระดับการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจมี 3 ระดับ ได้แก่ ระดับคำหรือตัวอักษร ระดับการตีความ และระดับการประเมินค่า เบอร์เมสเตอร์Burmeister (1974) ; ดัลล์แมน Dallman (1978) ; เกรย์ Gray (1980) ; สมิท Smith (1976 : 160) 1. ระดับเข้าใจตามตัวอักษร (Literal meaning) เป็นการอ่านที่ผู้อ่านสามารถบอกใจความสำคัญ ของเรื่องที่อ่านได้ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร หรืออย่างไร 2. ระดับการตีความ (Inferential meaning) เป็นการอ่านที่ผู้อ่านสามารถบอกความรู้สึก ของผู้เขียน หรือตัวละครได้ 3. ระดับการประเมินค่า (Evaluative meaning) เป็นการอ่านที่ผู้อ่านสามารถบอกได้ว่าเรื่องที่อ่าน เรื่องไหนเป็นเรื่องจริง หรือเรื่องไหนเป็นเรื่องเท็จ การหาประสิทธิภาพของเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม หมายถึง การนำเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม ที่ออกแบบไว้ นำไปทดลองใช้ตามขั้นตอนที่กำหนด เพื่อนำข้อมูลที่ได้จากการทดลองใช้มาปรับปรุง แก้ไข และนำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างโดยกำหนดเกณฑ์ให้ตัวเลขเป็นร้อยละของคะแนนเฉลี่ย มีค่าเป็น E1/E2 E1 คือ ค่าประสิทธิภาพของกระบวนการที่นักเรียนได้รับ โดยเฉลี่ยจากกิจกรรมระหว่างเรียน ในการทำกิจกรรม ซึ่งกำหนดค่าไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 80 E2 คือ ค่าประสิทธิภาพของผลลัพธ์คะแนนผลลัพธ์คะแนนผลลัพธ์หลังเรียนของเทคโนโลยี ความเป็นจริงเสริม กำหนดค่าไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 80 ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกของนักเรียนในแง่ของชอบ-ไม่ชอบ หรือทัศนคติ เชิงบวกหรือเชิงลบที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับการอ่านแบบกว้างขวาง โดยใช้แบบสอบถามการประเมินความพึงพอใจ จำแนกออกเป็น 2 ประเด็น ได้แก่ 1) ด้านการใช้ เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม AR และ 2) ด้านกิจกรรมการเรียนการสอนโดยบูรการเทคโนโลยี ความเป็นจริงเสริม AR ร่วมกับการสอนอ่านแบบกว้างขวาง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หมายถึง นักเรียนชั้น 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี กรุงเทพมหานคร โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรีหมายถึง โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ ประเภทสหศึกษา โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 กรอบแนวคิดการวิจัย ผู้วิจัยศึกษา รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน 5 กลุ่มสาระการเรียนภาษาต่างประเทศตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551(กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) ศึกษาการสร้างเทคโนโลยีความเป็น จริงเสริม พนิดา ตันศิริ(2552) ; วิวัฒน์ มีสุวรรณ์ (2558) ; อาซูม่า Azuma (1997) ; บอร์เรโร่ และมาร์เกวซ Borrero & Marquez (2012) ; คำมิกเนียนิและคณะ Carmigniani et al. (2011) ; จูลี่ และบอร์โก Julie & Borko (2010) ศึกษาวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง (Extensive Reading)


บราวน์ Brown (2000) ; เดย์ Day (2003 : 1-2) ; เดวิส Davis (1995 : 329-330) ; สุชาดา ชัยวิวัฒน์ ตระกูล (2544) และศึกษาแนวคิด ทฤษฏีเจตคติ บุญชม ศรีสะอาด (2553 : 103) ตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม ภาพที่ 1.1 กรอบแนวคิดในการวิจัย เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม ร่วมกับการอ่านแบบกว้างขวาง ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ 3 ด้าน ได้แก่ ระดับเข้าใจตามตัวอักษร ระดับการตีความ และระดับการประเมินค่า


บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการวิจัยครั้งนี้เป็นการพัฒนาเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่าน แบบกว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องและได้นําเสนอตามหัวข้อ ดังต่อไปนี้ 1. การจัดการเรียนการสอนรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน 5 (อ23101)ชั้นมัธยมศึกษาปีที่3 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2. เอกสารเกี่ยวข้องกับการอ่านภาษาอังกฤษ 3. เอกสารเกี่ยวข้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม 4. เอกสารเกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ 5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยมีรายละเอียดดังนี้


การจัดการเรียนในรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน 5 (อ23101) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) เป็นสาระการเรียนรู้พื้นฐานที่มีความสำคัญและ จำเป็นอย่างยิ่งในการศึกษาและการพัฒนาผู้เรียน ผู้เรียนต้องเรียนรู้และเข้าใจความแตกต่าง ของภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม เศรฐกิจ สังคม รวมถึงการมีเจตคติที่ดีต่อการใช้ ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ดังนั้นหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ได้กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ทั้งหมด 4 สาระ ได้แก่ ภาษาเพื่อการสื่อสาร (Communications) ภาษาและวัฒนธรรม (Cultures) ภาษากับความสัมพันธ์ กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น (Connections) และภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก (Communities) ซึ่งผู้วิจัยได้นำมาปรับใช้ในการบูรณาการเนื้อหาในการทำแผนการจัดการเรียนรู้ ดังต่อไปนี้


คำอธิบายรายวิชา วิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน 5 (23101) กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ปฏิบัติตามและใช้คำขอร้อง ให้คำแนะนำ คำชี้แจง คำอธิบายอย่างถูกต้องเหมาะสม ตามกาลเทศะอ่านออกเสียงคำศัพท์ สำนวน ประโยค ข้อความ ข่าว โฆษณา และบทร้อยกรองสั้น ๆ ได้ถูกต้องตามหลักการอ่าน เลือกระบุและเขียนหัวข้อเรื่อง ใจความสำคัญ และสื่อที่ไม่ใช่ความเรียง รูปแบบต่าง ๆ แสดงความคิดเห็นจากเรื่องที่ฟังและอ่าน พร้อมให้เหตุผลและยกตัวอย่างประกอบ พูดสนทนาและเขียนบรรยายข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง เรื่องต่าง ๆ ใกล้ตัว สถานการณ์ ข่าว เรื่องที่อยู่ใน ความสนใจของสังคมได้อย่างถูกต้องเหมาะสมตามกาลเทศะ เลือกใช้ภาษา น้ำเสียง และกิริยาท่าทาง อธิบายเปรียบเทียบเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมของเจ้าของภาษา กับวัฒนธรรมของไทยเข้าร่วมกิจกรรมทางภาษาและวัฒนธรรมตามความสนใจ ค้นคว้า รวบรวม และสรุปข้อมูล ข้อเท็จจริงแล้วนำเสนอด้วยการพูดและการเขียนที่เรียนรู้กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น จากแหล่งเรียนรู้ และสื่อสารในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องเรียนสถานศึกษา ชุมชนและสังคม อย่างถูกต้องเหมาะสมตามกาลเทศะ มีทักษะด้านการอ่าน การเขียน ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณและทักษะการแก้ปัญหา มีทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์ ทักษะด้านการสื่อสาร สารสนเทศและรู้เท่าทันสื่อ ทักษะด้านความร่วมมือ การทำงานเป็นทีม และภาวะผู้นำ มีทักษะด้านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม เกิดคุณลักษณะด้านการทำงาน (การปรับตัว มีคุณลักษณะด้านการเรียนรู้) (การชี้นำตนเอง การตรวจสอบการเรียนรู้) และด้านศีลธรรม (สำนึกพลเมือง) ตัวชี้วัด มาตรฐาน ต 1.1 ม. 3/1-4 มาตรฐาน ต 1.2 ม. 3/1-5 มาตรฐาน ต 1.3 ม. 3/1-3 มาตรฐาน ต 2.1 ม. 3/1-3 มาตรฐาน ต 3.2 ม. 3/1-2 มาตรฐาน ต 3.1 ม. 3/1 มาตรฐาน ต 4.1 ม. 3/1 มาตรฐาน ต 4.2 ม. 3/1-2 รวม 21 ตัวชี้วัด


โครงสร้างรายวิชา โครงสร้างรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน 5 (อ 23101) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ตารางที่ 2.1 โครงสร้างรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน 5 (อ23101) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน่วยที่ ชื่อหน่วย การเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้/ ตัวชี้วัด สาระสำคัญ/ ความคิดรวบยอด เวลา (คาบ) น้ำหนัก คะแนน 1 Lifestyles ต 1.1 ม. 3/1 - 4 ต 1.2 ม. 3/1 ต 1.2 ม. 3/3 - 5 ต 1.3 ม. 3/1 - 3 ต 2.1 ม. 3/1 ต 2.1 ม. 3/3 ต 2.2 ม. 3/1 - 2 ต 3.1 ม. 3/1 ต 4.1 ม. 3/1 ต 4.2 ม. 3/2 การเรียนรู้คำศัพท์สำนวนและ โครงสร้างภาษาจะช่วยให้ เข้าใจบอกรายละเอียดและ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่อง ที่อ่านและฟังได้นอกจากนี้ยัง ช่วยให้สามารถ นำสิ่งที่เรียนรู้ไป ใช้ในการพูดและเขียนสื่อสาร เปรียบเทียบและแสดงความ คิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม รอบตัวได้อย่างถูกต้องตลอดจน มีความเคารพความแตกต่างซึ่งกัน และกันมองเห็นคุณค่าในตนเอง และอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมี ความสุข รวมถึงมีความเข้าใจใน มารยาทและวัฒนธรรมของ เจ้าของภาษา 14 15


ตารางที่ 2.1 โครงสร้างรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน 5 (อ23101) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 (ต่อ) หน่วยที่ ชื่อหน่วย การเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้/ ตัวชี้วัด สาระสำคัญ/ ความคิดรวบยอด เวลา (คาบ) น้ำหนัก คะแนน 2 Believe it or not! ต 1.1 ม. 3/2 - 4 ต 1.2 ม. 3/1 - 2 ต 1.2 ม. 3/4 - 5 ต 1.3 ม. 3/1 - 2 ต 2.1 ม. 3/1 ต 2.1 ม. 3/3 ต 2.2 ม. 3/2 ต 3.1 ม. 3/1 ต 4.1 ม. 3/1 ต 4.2 ม. 3/2 การเรียนรู้คำศัพท์สำนวน และโครงสร้างภาษาจะช่วยให้ เข้าใจบอกรายละเอียดแสดง ความคิดเห็นและความรู้สึกพูด และเขียนเล่าเรื่องที่อ่านและ ฟังได้นอกจากนี้ยังสามารถนำ สิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ในการพูดขอ และให้ข้อมูลเกี่ยวกับอุบัติเหตุ สุขภาพได้อย่างเหมาะสม รวมถึงมีความรู้เกี่ยวกับสุภาษิต ของเจ้าของภาษาสามารถ เปรียบเทียบกับสุภาษิตไทย ที่มีความหมายคล้ายกันและมี ความเข้าใจ ในมารยาทและ วัฒนธรรมของเจ้าของภาษา ตลอดจนเข้าใจและตระหนัก ถึงความสำคัญในการทำให้ ชุมชนกลายเป็นชุมชนที่ยั่งยืน ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม 14 15


ตารางที่ 2.1 โครงสร้างรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน 5 (อ23101) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 (ต่อ) หน่วยที่ ชื่อหน่วย การเรียนรู้ มาตรฐานกาเรียนรู้/ ตัวชี้วัด สาระสำคัญ/ ความคิดรวบยอด เวลา (คาบ) น้ำหนัก คะแนน 3 Experiences ต 1.1 ม. 3/1 ต 1.1 ม. 3/4 ต 1.2 ม. 3/1 - 2 ต 1.2 ม. 3/4 ต 1.3 ม. 3/1- 3 ต 2.1 ม. 3/1 ต 2.1 ม. 3/3 ต 3.1 ม. 3/1 ต 4.1 ม. 3/1 การเรียนรู้คำศัพท์สำนวนและ โครงสร้างภาษาจะช่วยให้ เข้าใจสามารถบอกรายละเอียด เล่าเหตุการณ์แสดงความ คิดเห็น ความรู้สึก และสรุปเรื่อง ที่อ่านและฟังได้นอกจากนี้ยัง สามารถนำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ใน การพูดและเขียนสื่อสารเกี่ยวกับ เรื่องต่าง ๆ ใกล้ตัวประสบการณ์ รวมถึงสามารถกล่าวขอโทษ และตอบรับคำขอโทษได้อย่าง ถูกต้อง ใช้คำศัพท์ในการ ค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติม ตลอดจน มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ อนุสาวรีย์สำคัญของประเทศ กลุ่มประชาคมอาเซียนรวมถึง มีความเข้าใจในมารยาท และ วัฒนธรรมของเจ้าของภาษา 14 10


ตารางที่ 2.1 โครงสร้างรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน 5 (อ 23101) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 (ต่อ) จากรายละเอียดข้างต้น ผู้วิจัยนำสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด และหน่วยการเรียนรู้มาใช้ในการกำหนดเนื้อหาสาระและการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยที่ ชื่อหน่วย การเรียนรู้ มาตรฐานกาเรียนรู้/ ตัวชี้วัด สาระสำคัญ/ ความคิดรวบยอด เวลา (คาบ) น้ำหนัก คะแนน 4 Safe and Sound ต 1.1 ม. 3/2 - 4 ต 1.2 ม. 3/2 ต 1.2 ม. 3/4 ต 1.3 ม. 3/1 - 3 ต 2.1 ม. 3/1 ต 2.1 ม. 3/3 ต 2.2 ม. 3/1 ต 3.1 ม. 3/1 ต 4.1 ม. 3/1 การเรียนรู้คำศัพท์สำนวน และโครงสร้างภาษาจะช่วย ให้เข้าใจบอกรายละเอียดและ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ เรื่องที่อ่านและฟังได้ นอกจากนี้ยังสามารถนำสิ่ง ที่เรียนรู้ไปใช้ใน การ พ ู ด แ ล ะ เ ข ี ย น ส ื ่ อ ส า ร เปรียบเทียบ แสดงความ คิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม รอบตัวและบุคคลใกล้ตัวได้ อย่างถูกต้องสามารถอ่านและ สรุปข่าวได้อย่างเข้าใจตลอดจน มีความตระหนักถึงหน้าที่ ของพลเมืองทั้งในฐานะเป็น พลเมืองของประเทศของ อาเชียนและของโลก รู้จัก เคารพสิทธิและช่วยเหลือซึ่ง กันและกันรวมถึงมีความ เ ข ้ า ใ จ ใ น ม า ร ย า ท แ ล ะ วัฒนธรรมของเจ้าของภาษา 13 10 สอบระหว่างภาค/สอบกลางภาค 70 สอบปลายภาค 30 รวมตลอดภาคเรียน 100


สาระการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ และตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ และตัวชี้วัดประกอบด้วยองค์ความรู้ ทักษะ/ กระบวนการเรียนรู้ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศกำหนดให้ ภาษาอังกฤษเป็นสาระการเรียนรู้พื้นฐาน ซึ่งกำหนดให้นักเรียนทุกคนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน จําเป็นต้องเรียนรู้โดยกำหนดมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายสําคัญของการพัฒนานักเรียน ระบุสิ่งที่นักเรียนพึงรู้และปฏิบัติได้ มีคุณธรรมจริยธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์ ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและดีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่าง ๆ และแสดง ความคิดเห็นอย่างมีเหตุผล ต 1.1 ม. 3/1 ปฏิบัติตามคำขอร้อง คำแนะนำ คำชี้แจง และคำอธิบายที่ฟังและอ่าน ต 1.1 ม. 3/2 อ่านออกเสียงข้อความ ข่าว โฆษณา และบทร้อยกรองสั้น ๆ ถูกต้อง ตามหลักการอ่าน ต 1.1 ม. 3/3 ระบุและเขียนสื่อที่ไม่ใช่ความโยงรูปแบบต่าง ๆ ให้สัมพันธ์กับประโยค และข้อความ ต 1.1 ม. 3/4 เลือกระบุหัวข้อเรื่อง ใจความสำคัญ รายละเอียดสนับสนุน และแสดง ความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ฟัง และอ่านจากสื่อประเภทต่าง ๆ พร้อมทั้งให้เหตุผล และยกตัวอย่าง ประกอบ มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สึก และความคิดเห็นอย่างมีประสิทธิภาพ ต 1.2 ม. 3/1 สนทนาและเขียนได้ ตอบข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง เรื่องต่าง ๆ ใกลัตัว สถานการณ์ ข่าว เรื่องที่อยู่ในความสนใจของสังคม และสื่อสารอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม ต 1.2 ม. 3/2 ใช้คำขอร้อง ให้คำแนะนำ คำชี้แจงและคำอธิบายอย่างเหมาะสม ความช่วยเหลือในสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างเหมาะสม ต 1.2 ม. 3/4 พูดและเขียนเพื่อขอและให้ข้อมูล อธิบาย เปรียบเทียบ และแสดงความ คิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ฟังหรืออ่านอย่างเหมาะสม ต 1.2 ม. 3/5 พูดและเขียนบรรยายความรู้สึกและความคิดเห็นของตนเองเกี่ยวกับ เรื่องต่าง ๆ กิจกรรมประสบการณ์ และข่าว/เหตุการณ์ พร้อมทั้งให้เหตุผลประกอบอย่างเหมาะสม มาตรฐาน ต 1.3 นำเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคิดรวบยอด และความคิดเห็น ในเรื่องต่าง ๆ โดยการพูด และการเขียน ต 1.3 ม. 3/1 พูดและเขียนบรรยายเกี่ยวกับตนเอง ประสบการณ์ ข่าวเหตุการณ์เรื่อง ประเด็นต่าง ๆ ที่อยู่ในความสนใจของสังคม ต 1.3 ม. 3/2 พูดและเขียนสรุปใจความสำคัญแก่นสาระ หัวข้อเรื่องที่ได้จากการวิเคราะห์ เรื่อง/ข่าวเหตุการณ์สถานการณ์ที่อยู่ในความสนใจของสังคม ต 1.3 ม. 3/3 พูดและเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกิจกรรม ประสบการณ์และเหตุการณ์ พร้อมทั้งให้เหตุผลประกอบ


สาระที่ 2 ภาษาและวัฒนธรรม มาตรฐาน ต 2.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างภาษกับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา และ นำไปใช้ได้อย่างเหมาะสมกับกาลเทศะ ต 2.1 ม. 3/1 เลือกใช้ภาษา น้ำเสียง และกิริยาท่าทางเหมะกับบุคล และโอกาสตาม มารยาทสังคม และวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา ต 2.1 ม. 3/2 อธิบายเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียม และประเพณีของเจ้าของภาษา ต 2.1 ม. 3/3 เข้าร่วม/จัดกิจกรรมทางภาษาและวัฒนธรรมตามความสนใจ มาตรฐาน ต 2.2 เข้าใจความเหมือนและความแตกต่งระหว่างภาษาและวัฒนธรรมของ เจ้าของภาษากับภาษาและวัฒนธรรมไทยและนำมาใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ต 2.2 ม. 3/1 เปรียบเทียบและอธิบายความเหมือนและความแตกต่างระหว่างการออก เสียงประโยคชนิดต่าง ๆ และการลำดับคำตามโครงสร้างประโยคของภาษาต่างประเทศและภาษาไทย ต 2.2 ม. 3/2 เปรียบเทียบเละอธิบายความเหมือนและความแตกต่างระหว่างชีวิตความ เป็นอยู่และวัฒนธรรมของเจ้าของภาษากับของไทย และนำไปใช้อย่างเหมาะสม สาระที่ 3 ภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น มาตรฐาน ต 3.1 ใช้ภาษาด่างประเทศในการเชื่อมโยงความรู้กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น และเป็นพื้นฐานในการพัฒนาแสวงหาความรู้ และเปิดโลกทัศน์ของตน ต 3.1 ม. 3/1 ค้นคว้า รวบรวม และสรุปข้อมูลข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น จากแหล่งการเรียนรู้และนำเสนอด้วยการพูด และการเขียน สาระที่ 4 ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก มาตรฐาน ต 4.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งในสถานศึกษา ชุมชน และสังคม ต 4.1 ม. 3/1 ใช้ภาษาสื่อสารในสถานการณ์จริง/สถานการณ์จำลองที่เกิดขึ้นในห้องเรียน สถานศึกษา ชุมชน และสังคม มาตรฐาน ต 4.2 ใช้ภาษาต่างประเทศเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสังคมโลก ต 4.2 ม. 3/1 ใช้ภาษาต่างประเทศในการสืบคันกันคว้า รวบรวม และสรุปความรู้ข้อมูล ต่าง ๆ จากสื่อ และแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ ในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ ต 4.2 ม. 3/2 เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ช็อมูล ข่าวสารของโรงเรียน ชุมชน และท้องถิ่น เป็นภาษาต่างประเทศ


คุณภาพผู้เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่3 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ มุ่งพัฒนานักเรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้เมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ดังนี้ • ปฏิบัติตามคำขอร้อง คำแนะนำ คำชี้แจง และคำอธิบายที่ฟังและอ่านออกเสียงข้อความ ข่าว โฆษณา นิทานและบทร้อยกรองสั้น ๆ ถูกต้องตามหลักการอ่านระบุ/เขียนสื่อที่ไม่ใช่ความเรียง รูปแบบต่าง ๆ สัมพันธ์กับประโยคและข้อความที่ฟังหรืออ่าน เลือก/ระบุหัวข้อเรื่อง ใจความสำคัญ รายละเอียดสนับสนุน และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่าง ๆ พร้อมทั้งให้เหตุผลและยกตัวอย่างประกอบ • สนทนาและเขียนโต้ตอบข้อมูลเกี่ยวกับตนเองเรื่องต่างๆ ใกล้ตัว สถานการณ์ ข่าวเรื่องที่อยู่ ในความสนใจของสังคม และสื่อสารอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม ใช้คำขอร้องคำชี้แจงและคำอธิบาย ให้คำแนะนำอย่างเหมาะสม พูดและ เขียนแสดงความต้องการเสนอและให้ความช่วยเหลือ ตอบรับ และปฏิเสธการให้ ความช่วยเหลือ พูด และเขียนเพื่อขอ และให้ข้อมูล บรรยาย อธิบาย เปรียบเทียบ และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ฟังหรืออ่านอย่างเหมาะสม พูดและเขียนบรรยาย ความรู้สึก และความคิดเห็นของตนเองเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ กิจกรรม ประสบการณ์ และข่าว/เหตุการณ์ พร้อมทั้งให้เหตุผลประกอบอย่างเหมาะสม • พูดและเขียนบรรยายเกี่ยวกับตนเอง ประสบการณ์ ข่าว/เหตุการณ์/เรื่อง/ประเด็นต่าง ๆ ที่อยู่ในความสนใจของสังคม พูดและเขียนสรุปใจความสำคัญ/แก่นสาระ หัวข้อเรื่องที่ได้จากการ วิเคราะห์เรื่องข่าว/เหตุการณ์สถานการณ์ที่อยู่ในความสนใจ พูดและเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ กิจกรรม ประสบการณ์ และเหตุการณ์ พร้อมให้เหตุผลประกอบ • เลือกใช้ภาษา น้ำเสียงและกิริยาท่าทางเหมาะกับบุคคล และโอกาสตามมารยาทสังคม และวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา อธิบายเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ขนบธรรมเนียมและประเพณี ของเจ้าของภาษาเข้าร่วม/จัดกิจกรรมทางภาษาและวัฒนธรรมตามความสนใจ • เปรียบเทียบและอธิบายความเหมือนและความแตกต่างระหว่างการออกเสียงประโยค ชนิดต่าง ๆ และการลำดับคำตามโครงสร้างประโยคของภาษาต่างประเทศและภาษาไทย เปรียบเทียบ และอธิบายความเหมือนและความแตกต่างระหว่างชีวิตความเป็นอยู่ และวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา กับของไทยและนำไปใช้อย่างเหมาะสม • ค้นคว้า รวบรวม และสรุปข้อมูล/ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มสาระการ เรียนรู้อื่น จากแหล่งการเรียนรู้และนำเสนอด้วยการพูดและการเขียน • ใช้ภาษาสื่อสารในสถานการณ์จริง/สถานการณ์จำลองที่เกิดขึ้นในห้องเรียนสถานศึกษา ชุมชน และสังคม • ใช้ภาษาต่างประเทศในการสืบคันค้นคว้า รวบรวม และสรุปความรู้/ข้อมูลต่าง ๆ จากสื่อ และแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ ในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ เผยแพร่/ประชาสัมพันธ์ข้อมูล ข่าวสารของโรงเรียน ชุมชน และท้องถิ่น เป็นภาษาต่างประเทศ • มีทักษะการใช้ภาษาต่างประเทศ (เนันการฟัง–พูด–อ่าน-เขียน) สื่อสารตามหัวเรื่อง


เกี่ยวกับตนเอง ครอบครัว โรงเรียน สิ่งแวดล้อม อาหาร เครื่องดื่ม เวลาว่างและนันทนาการ สุขภาพและสวัสดิการ การซื้อ-ขาย ลมฟ้าอากาศ การศึกษาและอาชีพการเดินทางท่องเที่ยว การบริการ สถานที่ ภาษา และวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ภายในวงคำศัพท์ประมาณ 2,100 - 2,250 คำ (คำศัพท์ที่เป็นนามธรรมมากขึ้น) การอ่าน ความหมายของการอ่าน การอ่านมีความสำคัญต่อมนุษย์ทุกช่วงวัย รวมทั้งช่วยให้รู้ข่าวสารข้อมูลต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งโลกปัจจุบันเป็นโลกของข้อมูลข่าวสาร เวลาที่ผู้อ่านได้อ่านข้อความ บทอ่าน หนังสือ ฯลฯ ผู้อ่านก็จะมีความสุข ความหวัง และความอยากรู้อยากเห็น อันเป็นความต้องการของมนุษย์ การอ่านมีประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเอง ทำให้ทันต่อเหตุการณ์ในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการศึกษา ด้านอาชีพ ด้านคุณภาพชีวิต ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาประเทศชาติในปัจจุบัน และอนาคต มีนักวิจัย และนักการศึกษาหลายท่านได้ให้นิยามความหมายของการอ่านไว้ดังนี้ ฉวีวรรณ คูหาภินันท์(2542 : 10) กล่าวว่า การอ่าน คือ การที่ผู้อ่านเข้าใจในสิ่งที่ผู้เขียน ถ่ายทอดออกมาเป็นเป็นลายลักษณ์อักษร สัญลักษณ์ รูปภาพ หรือเครื่องหมายต่าง ๆ สุพรรณสิริ วัฑฒกานนท์(2545) การอ่าน หมายถึง การเข้าใจความหมายของเรื่องที่เขียน ผู้อ่านจะต้องตีความหมายของเรื่องที่อ่านให้ได้ สมุทร เซ็นเชาวนิช (2542 : 1) กล่าวว่า การอ่าน คือ การสื่อความหมายระหว่างผู้เขียน กับผู้อ่าน โดยที่ผู้เขียนเป็นผู้พูดส่วนผู้อ่านเป็นผู้แสดงปฏิกิริยาโต้ตอบหรืออาจจะโต้ตอบกับผู้อื่นก็ได้ มณีรัตน์ สุกโชติรัตน์(2547 : 18) การอ่าน คือ กระบวนที่มีการถ่ายทอดผ่านความคิด ความรู้สึก และความคิดเห็นของผู้เขียนที่ถ่ายทอดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งผู้อ่านจะเข้าใจ ในสิ่งที่ผู้เขียนถ่ายทอดได้มากเพียงใดส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความสามารถในการใช้ ความคิดของผู้อ่าน กู๊ดแมน Goodman (1988 : 12) กล่าวว่า การอ่านว่า เป็นกระบวนการทางภาษาศาสตร์ เชิงจิตวิทยา ผู้เขียนจะสื่อความหมายต่าง ๆ โดยการเขียนตัวอักษรสื่อความหมาย จากนั้นผู้อ่าน จะต้องหาความหมาย ที่ตรงหรือใกล้เคียงกับความหมายที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อผ่านกระบวนการถอด ความออกมาเป็นความคิดในเชิงสรุปตีความหมาย เดย์ และแบมฟอร์ด Day & Bamford (1998) กล่าวว่า การอ่านเป็นการอ่านข้อความ จากข้อความที่เขียนหรือพิมพ์ ซึ่งผู้อ่านจะต้องเชื่อมโยงข้อความหรือข้อมูลที่อ่านกับความรู้ และประสบการณ์เดิมได้ เพื่อให้ตนเองเข้าใจความหมายที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อได้อย่างถูกต้อง นัททอล Nuttall (1996 : 2) กล่าวว่า การอ่าน หมายถึง การที่ผู้อ่านสามารถเข้าใจ ถึงความหมายหรือใจความสำคัญของบทอ่านที่ผู้เขียนถ่ายทอดออกมาให้ได้ใกล้เคียงกับความรู้สึก ของผู้เขียนให้มากที่สุดเท่าที่ผู้อ่านจะทำได้ วิลเลียมส์ Williams (1994 : 2-8) กล่าวว่า การอ่านผู้อ่านไม่จำเป็นต้องเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง ที่อ่านแต่ผู้อ่านก็จำเป็นที่จะต้องรู้ถึงรายละเอียดของเนื้อหา และผู้อ่านจะต้องมีความรู้ความสามารถ


ด้านภาษา การตีความ รู้ความสัมพันธ์ของคำหรือประโยค รวมถึงการมีความรู้ ด้าน วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี จากการศึกษาความหมายของการอ่านจากนักการศึกษาทั้งในและต่างประเทศ ผู้วิจัย สรุปได้ว่า การอ่านเป็นกระบวนการเรียนรู้ทางภาษาศาสตร์ระหว่างผู้เขียนและผู้อ่านผ่านลายลักษณ์ อักษร เพื่อให้ผู้อ่านหรือผู้รับสารสามารถตีความของภาษา ข้อความหรือเนื้อเรื่องที่อ่านได้ ระหว่าง การอ่านผู้อ่านจะต้องเป็นผู้สร้างความหมาย ซึ่งผู้อ่านจะเข้าใจสารที่ได้รับมากแค่ไหนขึ้นอยู่กับ ประสบการณ์และความสามารถในการคิด โดยการตีความหรือการสร้างความหมายจากการอ่านต้อง อาศัยความรู้และประสบการณ์เดิมของผู้อ่าน การสอนอ่านแบบกว้างขวาง นักการศึกษาและนักวิจัยหลาย ๆ ท่านได้ให้คำจำกัดความของการอ่านแบบกว้างขวาง (Extensive Reading (ER) ไว้ว่า เป็นกิจกรรมการอ่านตามระดับความสามารถทางภาษาของผู้เรียน ที่เน้นให้ผู้เรียนอ่านหนังสือจำนวนมาก เพื่อให้เกิดความสนุกสนาน และเพลิดเพลินในการอ่าน ริชาร์ดส และคณะ Richards et al. (1992 : 133) ได้ให้ความหมายของการอ่านแบบกว้างขวาง ว่าเป็นกิจกรรมการอ่านที่เพิ่มความรู้ด้านคำศัพท์และโครงสร้างภาษา ช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนมีนิสัยรักการอ่าน ขณะที่ Lituanas et al. (1999) ได้ให้ความหมายของการอ่านแบบกว้างขวางต่างออกไปว่า การอ่าน แบบกว้างขวางเป็นกิจกรรมการอ่านที่ผู้เรียนต้องอ่านเนื้อหาจำนวนมาก เน้นความเข้าใจในเรื่องที่อ่าน มากกว่าเน้นทักษะทางภาษา โดยผู้เรียนสามารถนำทักษะการอ่านที่ตนเองถนัดมาใช้ในการอ่านได้ เจคอบส์ และ แกลโล Jabobs and Gallo (2002) กล่าวว่า การอ่านแบบกว้างขวาง คือ การที่ผู้เรียนอ่านบทอ่านจำนวนมาก และอ่านแบบเงียบ ๆ โดยผู้เรียนสามารถเลือกบทอ่าน ที่เหมาะสม กับระดับความสามารถทางภาษาของตนเอง และผู้สอนมีส่วนสำคัญในการนำวิธีการอ่าน แบบกว้างไปใช้ โดยผู้สอนต้องมองว่าการสอนคือ การพูด (teaching means talking) บราวน์ Brown (2000) กล่าวว่า การการสอนอ่านแบบกว้างขวางเป็นการอ่านที่เน้น ความเข้าใจแบบภาพรวม โดยบทอ่านมีเนื้อเรื่องยาวใช้ภาษาที่มีความหลากหลาย เพื่อให้ผู้เรียนมีนิสัย รักการอ่าน สอดคล้องกับคำกล่าวของ เดย์ Day (2003 : 1-2) กล่าวว่า การอ่านแบบกว้างขวาง คือ วิธีที่ผู้สอนได้ใช้สอนอ่าน เพื่อให้ผู้เรียนอ่านหนังสือให้ได้มากที่สุด เพื่อพัฒนาทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ภาษาอังกฤษ นอกจากนี้การอ่านแบบกว้างขวางสามารถช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้คำศัพท์ กระตุ้น ความสนใจ ห้ผู้เรียนสนใจเรียนมากยิ่งขึ้น และมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษผ่านการอ่าน แบบกว้างขวางที่พัฒนาตนเองให้เป็นนักอ่านที่มีความคล่องแคล่วและเป็นนักเขียนที่ดี เดวิส Davis (1995 : 329-330) กล่าวว่า การสอนการอ่านแบบกว้างขวางเป็นวิธีการ ที่ผู้สอนส่งเสริมให้ผู้เรียนมีการอ่านหนังสือนอกห้องเรียน การสอนการอ่านแบบกว้างขวางเป็นการ อ่านที่ผู้เรียนจะต้องอ่านหนังสือให้ได้มากที่สุดภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยหนังสือหรือบทอ่าน จะเป็นประเภทบันเทิงคดี ผู้เรียนสามารถเลือกอ่านหนังสือตามความพึงพอใจให้ และความเหมาะสม ทางภาษาของผู้เรียน โดยไม่มีการสอบเก็บคะแนน เพราะผู้เรียนไม่ต้องไปแข่งขันกับใครนอกจากแข่งขัน กับตนเองเท่านั้น


ซัสเซอร์และร็อบบ์Susser and Robb (1990) ได้ให้ความหมายของการอ่านแบบ กว้างขวาง (Extensive Reading) ไว้ว่า เป็นกระบวนการเรียนการสอนภาษาที่ให้ผู้เรียนอ่านเนื้อหาใน ปริมาณมาก หรือเนื้อหาที่มีลักษณะยาว ๆ เป็นการอ่านเพื่อความเข้าใจทั่วไป อ่านเพื่อความบันเทิง เริงใจและเป็นการอ่านในสิ่งที่ตนต้องการอ่านด้วยตนเอง ซึ่งเมื่ออ่านแล้ว จะไม่มีการนำเอาสิ่งที่ได้อ่าน มาอภิปรายในชั้นเรียน สุชาดา ชัยวิวัฒน์ตระกูล (2544) กล่าวว่า การอ่านแบบกว้างขวางไว้ว่า เป็นการทำ กิจกรรมที่เน้นการอ่านหนังสือจำนวนมากทั้งใน และนอกห้องเรียน ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นให้เรียนอ่าน นอกห้องเรียนมากกว่าอ่านในห้องเรียน หนังสือหรือเนื้อเรื่องที่อ่านมีระดับที่เหมาะสมและสอดคล้อง กับความพึงพอใจของผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะภาษาด้านต่าง ๆ และสร้างนิสัยรักการอ่าน ให้กับผู้เรียน ทั้งนี้ผู้เรียนยังรู้สึกเพลิดเพลิน และผ่อนคลายกับการการอ่านที่ไม่เน้นไวยากรณ์ ทางภาษาหรือกังวลว่าผู้สอนจะกดดัน จากความหมายของการอ่านแบบกว้างขวางดังกล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า การอ่านแบบ กว้างขวาง หมายถึง กิจกรรมที่ผู้เรียนสามารถอ่านหนังสือหรือบทอ่านได้ทั้งในชั้นเรียน และนอกชั้นเรียน โดยเนื้อเรื่องที่อ่านจะมีลักษณะของเนื้อเรื่องที่ยาวและปริมาณมาก ผู้เรียนสามารถ เลือกเรื่องที่อ่านได้ตามความเหมาะสมต่อระดับทางภาษาของตนเองหรือตามความพึงพอใจ ของผู้เรียน นอกจากนี้การอ่านแบบกว้างขวางยังช่วยส่งเสริมนิสัยรักการอ่านให้กับผู้เรียน เนื่องจาก การสอนอ่านแบบกว้างขวางเป็นการอ่านที่เน้นความเข้าใจในเรื่องมากกว่าโครงสร้างทางภาษา ไวยากรณ์แต่ รวมถึงการมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ตลอดจนนำความรู้ที่ได้ไปพัฒนา ตนเองให้เป็นนักอ่านที่ดี ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการอ่านแบบกว้างขวาง จากการศึกษาพบว่ามีทฤษฎี 3 ทฤษฎีที่ช่วยส่งเสริมและสนับสนุนการอ่านแบบกว้างขวาง ได้แก่ ทฤษฎีการเรียนรู้ภาษาที่สอง (Theory of second language acquisition) ทฤษฎีการอ่าน แบบปฏิสัมพันธ์ (The transactional theory) และทฤษฎีการสอนภาษาแบบธรรมชาติ (Wholelanguage approach) ตามรายละเอียดดังต่อไปนี้ ทฤษฎีการเรียนรู้ภาษาที่สอง (Theory of second language acquisition) คราเชน และเทเรล (Krashen and Terrell, 1983) ได้แยกองค์ประกอบการเรียนรู้ภาษา ที่สองออกเป็น 2 ประเภท คือ ระบบที่ได้รับมาและระบบการเรียนรู้ ระบบที่ได้รับมา (Acquired system) เป็นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเองตามกระบวนการธรรมชาติ ในการเรียนรู้ภาษาแรกหรือภาษาแม่ ระบบการเรียนรู้ (Learning system) เป็นการเรียนที่เกิดจากการจัดกิจกรรมการเรียน การสอนในห้องเรียนโดยมีครูเป็นผู้สอน ผู้เรียนต้องมีความมุ่งมั่นและตั้งใจในการเรียน เพื่อนำความรู้ เกี่ยวกับหลักไวยากรณ์ไปใช้ในการสื่อสาร อย่างไรก็ตามคราเชน Krashen มองว่าระบบที่ได้รับมา (Acquired system) เป็นการเรียนรู้ ที่ใช้ความทรงจำในระยะยาวที่สำคัญมากกว่าระบบการเรียนรู้ (Learning system) เนื่องจากผู้เรียน


จะใช้ความรู้ที่มาจากความทรงจำก่อนการใช้ความรู้ที่ได้จากการเรียนในห้องเรียนที่ถูกนำมาแก้ไข เฉพาะการใช้ภาษาที่ผิดพลาด ทฤษฎีการเรียนรู้ภาษาที่สองของคราเชน (Krashen 1982) สอดคล้องกับกิจกรรมการอ่าน แบบกว้างขวาง ดังนี้ การเรียนรู้ภาษาที่สองเป็นการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับการอ่านแบบกว้างขวาง ซึ่งการอ่าน แบบกว้างขวางเป็นการอ่านที่ผู้อ่านจะต้องอ่านหนังสือจำนวนมาก ทำให้ผู้อ่านเกิดการเรียนรู้ ไวยากรณ์และคำศัพท์ที่เจอซ้ำ ๆ ในบทอ่าน จนทำให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจในสิ่งที่อ่าน นอกจากนี้ การนำกิจกรรมการอ่านแบบกว้างขวางมาใช้ในการอ่าน ทำให้ผู้เรียนมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนวิชา ภาษาอังกฤษผู้เรียนรู้สึกผ่อนคลายและมีความมั่นใจในการอ่านหนังสือ ซึ่งส่งผลต่อการเรียนรู้ภาษาที่สอง ของผู้เรียน ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น คราเชน Krashen (1982) ยังพูดถึงการใช้สื่อและการเรียนรู้ภาษาที่สองว่า การอ่าน แบบกว้างขวางจะต้องมีการเลือกใช้หนังสือที่เหมาะสมกับระดับความรู้ของผู้เรียน ทำให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้โครงสร้างทางภาษา คำศัพท์ รวมถึงการเชื่อมโยงความรู้เก่าและความรู้ใหม่เข้าด้วยกัน เมื่อผู้เรียนอ่านหนังสือจำนวนมาก ผู้เรียนก็จะเกิดการพัฒนาทักษะการอ่านและเข้าใจในสิ่งที่อ่าน จากข้อมูลดังกล่าวสรุปได้ว่า การอ่านแบบกว้างขวางมีผลต่อทฤษฎีการเรียนรู้ภาษาที่สอง เนื่องจากทฤษฎีการเรียนรู้พิสูจน์ให้เห็นว่าการอ่านแบบกว้างขวางช่วยพัฒนาความรู้ในการใช้ภาษา ที่สองแบบระบบที่ได้รับมา กล่าวคือผู้เรียนใช้ความทรงจำระยะยาวที่เกิดขึ้นเองได้ผลมากกว่าระบบ การเรียนรู้ที่ผู้เรียนเรียนรู้ผ่านการเรียนการสอนในห้องเรียน ภาพที่ 2.1 ผังทฤษฎีการเรียนรู้ภาษาที่สอง (Theory of second language acquisition diagram) ที่มา: Albertazzi (2020) Acquisition Sub-conscious by environment (Ex: games, Movies, Radio) conscious by instructors correct errors Learning SLA Picking up Knowing about grammar


ทฤษฎีการอ่านแบบปฏิสัมพันธ์ (The transactional theory) เป็นทฤษฎีของโรเซนแบลตต์ Rosenblatt (1969) ที่พัฒนามาจากทฤษฎีโครงสร้างความรู้ (Schema Theory) ที่เน้นการใช้ความรู้เดิมและประสบการณ์ในอดีตของผู้อ่าน นอกจากนี้ยังพบว่า กระบวนการอ่านที่เน้นความรู้ (Knowledge based Process / Top - down Model) และ กระบวนการอ่านที่เน้นเนื้อหา (Text based Process / Bottom - up Model) ช่วยให้ผู้อ่านประสบ ความสำเร็จในการใช้ทฤษฎีการอ่านแบบปฏิสัมพันธ์ กล่าวคือการอ่านที่ผู้อ่านมีความรู้เกี่ยวกับข้อมูล ที่อ่าน โดยข้อมูลที่อ่านจะเริ่มจากระดับสูงมาที่ระดับพื้นฐาน และข้อมูลการอ่านที่เริ่มจากกระดับล่าง สู่ระดับสูง แนวคิดทฤษฎีการอ่านแบบปฏิสัมพันธ์นี้สอดคล้องกับการอ่านแบบกว้างขวางกล่าวคือ ผู้อ่าน จะนำความรู้และประสบการณ์ที่ผ่านมาช่วยในการสร้างความเข้าใจในการอ่าน ภาพที่ 2.2 ผังทฤษฎีการอ่านแบบปฏิสัมพันธ์ (The transactional theory diagram) ที่มา: Kelly (2014) จากข้อความดังกล่าวสรุปได้ว่า ผู้สอนจะต้องเตรียมหนังสือให้เหมาะสมกับระดับ ความสามารถของผู้เรียน ซึ่งผู้เรียนสามารถนำความรู้เดิมมาใช้ในการอ่านแบบกว้างขวาง เพื่อให้ตนเองเข้าใจเรื่องที่อ่าน เพราะความรู้และประสบการณ์เดิมของผู้เรียนสามารถช่วยให้ผู้เรียน คาดการณ์เหตุการณ์ต่าง ๆ ในเรื่องที่อ่านได้ Time/Context Reader Text Meaning


ทฤษฎีการสอนภาษาแบบองค์รวม (Whole language approach) เพียเจต์ (Piaget 1971) ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการทางสติปัญญาได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับ ทฤษฎีการสอนภาษาแบบองค์รวม (Whole language approach) และทฤษฎีการสอนภาษา แบบธรรมชาติเพียเจต์เชื่อว่านอกจากการรับฟังสิ่งต่าง ๆ (Passive) เด็กสามารถสร้างองค์ความรู้ได้ ด้วยตนเอง (Active) โดยสอนให้เด็กเข้าใจถึงภาพรวมของภาษาก่อนที่จะสอนให้เข้าใจโครงสร้าง ทางภาษา การเรียนรู้ของเด็กมักเริ่มจากการเรียนรู้จากสิ่งรอบตัวหาความเชื่อมโยงของภาพ เสียง และตัวอักษร จึงทำให้เกิดการเรียนรู้ทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียน เป็นการเรียนรู้ที่เด็กสามารถ เรียนรู้ได้ด้วยตนเองและถือเป็นการเรียนรู้แบบองค์รวมที่เรียนผ่านการเล่าเรื่อง การอ่าน การแสดง ความคิดเห็น เป็นต้น จากข้อความดังกล่าวสรุปได้ว่า ทฤษฎีการสอนภาษาแบบองค์รวมเป็นทฤษฎีที่สัมพันธ์ กับการอ่านแบบกว้างขวาง ในเรื่องของการใช้ภาษาให้เหมาะสมกับผู้เรียน เพราะผู้เรียนจะเลือกอ่าน เนื้อเรื่องที่มีระดับทางภาษาเหมาะสมกับความสามารถของตนเอง ทำให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาทักษะ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนภาษาอังกฤษ และทำให้ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อการเรียน ภาษาอังกฤษ ภาพที่2.3 ผังทฤษฎีการสอนภาษาแบบองค์รวม (Whole language approach diagram) ที่มา: Pembelajaran (2013) จากข้อความข้างต้นสรุปได้ว่า การอ่านแบบกว้างขวางมีความเกี่ยวข้องกับทฤษฎีการเรียนรู้ ภาษาที่สอง และทฤษฎีการอ่านแบบปฏิสัมพันธ์ เนื่องจากผู้อ่านจะต้องอ่านบทภาษาอังกฤษ จำนวนหลายเรื่อง โดยมีการนำความรู้และประสบการณ์ที่ผ่านมาช่วยในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับ คำศัพท์ และโครงสร้างทางไวยากรณ์ นอกจากนี้การอ่านแบบกว้างขวางยังเกี่ยวข้องกับทฤษฎีการ meaningful text *phonics prediction context cues sight words structural grammar analysis spelling shapes decording Basic Goal: comprehension


สอนภาษาแบบธรรมชาติ เพราะผู้เรียนสามารถเลือกใช้ภาษาที่มีระดับและความเหมาะสมกับ ความสามารถของตนเอง ทำให้ผู้เรียมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ขั้นตอนการสอนอ่านแบบกว้างขวาง ลักษณะการสอนอ่านแบบกว้างขวาง สุชาคา ชัยวิวัฒน์ตระกูล (2545) ได้แบ่งกิจกรรม การอ่านแบบกว้างขวางไว้ 2 ลักษณะคือ การอ่านแบบกว้างขวางที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนและการอ่าน แบบกว้างขวางที่เกิดขึ้นนอกชั้นเรียน การอ่านแบบกว้างขวางในชั้นเรียน การเตรียมความพร้อมของผู้เรียนเป็นขั้นตอนแรกในการสอนอ่านแบบกว้างขวาง ในชั้นเรียน โดยความพร้อมของผู้เรียนสามารถแบ่งได้ 3 ขั้น ได้แก่ ขั้นเตรียมความพร้อมด้านจิตใจ ขั้นเตรียมความพร้อมด้านกลวิธีการอ่าน และขั้นเตรียมความพร้อมด้านการฝึกตนเอง ในขั้นเตรียม ความพร้อมด้านจิตใจ ผู้สอนสามารถใช้แบบสอบในการถามข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับปัญหาการอ่าน กลวิธีการอ่านและการเลือกหนังสือหรือบทอ่าน อีกทั้งผู้สอนสามารถบอกจุดมุ่งหมายของการอ่าน แบบกว้างขวางให้ผู้เรียนทราบ สำหรับขั้นเตรียมความพร้อมในด้านกลวิธีการอ่านนั้น ผู้สอนสามารถ ให้ผู้เรียนศึกษาวิธีการอ่านและฝึกอ่านด้วยวิธีการที่หลากหลาย เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำวิธีการ ไปปรับใช้ในการอ่านของตนเองได้ เบื้องต้นกลวิธีที่ใช้ในการอ่านเป็นการสอนที่ให้ผู้เรียนเห็นถึง ภาพรวมของบทที่อ่านเรียกว่า ขั้น Preview คือการดูหน้าปก ชื่อเรื่อง ผู้แต่ง สำนักพิมพ์ เนื้อหา ฯลฯ ซึ่งผู้สอนต้องคอยกระตุ้นผู้เรียนโดยใช้กลวิธีการถาม กลวิธีการคาดเดา (Prediction) เป็นกลวิธีการที่ให้ผู้เรียนได้คาคเดาเนื้อเรื่องที่อ่าน อย่างมีเหตุผล ซึ่งขั้นตอนนี้สามารถทำต่อจากขั้นตอนของการมองภาพรวม กลวิธีการเดาความหมาย ของคำศัพท์ยาก กลวิธีการอ่านแบบรวดเร็ว อ่านแบบ Scanning หรืออ่านแบบ Skimming เป็นต้น ซึ่งผู้เรียนสามารถเลือกวิธีการใดวิธีการหนึ่งมาใช้ในกิจกรรมการอ่านแบบกว้างขวางที่ตนเองถนัด ส่วนขั้นการเตรียมความพร้อมด้านการฝึกตนเอง เป็นการแนะนำให้ผู้เรียนรู้ถึงสิ่งที่ผู้เรียน จะเลือกอ่านว่าผู้เรียนจะอ่าน อะไร อ่านอย่างไร ใช้กลวิธีการอ่านแบบใด ให้ผู้เรียนได้วางแผนการ อ่านด้วยตนเอง และหลังจากที่ผู้เรียนได้อ่านเนื้อเรื่องที่ตนเองเลือกแล้วผู้เรียนจะสามารถประเมิน ความก้าวหน้า หรือรู้ว่าตนเองควรจะพัฒนาการอ่านอย่างไรต่อไป จากนั้นผู้เรียนสามารถทำกิจกรรม การอ่านแบบกว้างขวางเต็มรูปแบบได้ต่อไป ขั้นตอนในการดำเนินกิจกรรมการอ่านแบบกว้างขวางเต็มรูปแบบในชั้นเรียนปกติ มีนักการศึกษาได้เสนอขั้นตอนที่หลากหลาย ดังนี้ ลิทัวนาส และคณะ Lituanas et al. (1999) ได้เสนอรูปแบบการอ่านแบบกว้างขวางเต็มรูปแบบในชั้นเรียนปกติไว้ 6 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ให้ผู้เรียน ได้มีกิจกรรมการฟังการอ่านของผู้สอน 2) ผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรียนดาดเดาเรื่อง โดยให้ผู้เรียนดูจาก หนังสือ หน้าปก ชื่อเรื่อง หรือรูปภาพ 3) ผู้สอนพูดถึงหนังสือหรือบทอ่านที่ผู้สอนเคยอ่านแล้วรู้สึก เพลิดเพลิน ผ่อนคลาย เพื่อกระตุ้นความรู้สึกของผู้เรียนให้อยากติดตามการอ่าน 4) ให้ผู้เรียน แต่ละคนสรุปเรื่องที่เคยอ่านมาแล้วจากนอกชั้นเรียน 5) ผู้สอนเลือกหนังสือหรือบทความที่ใช้สำหรับ


อ่านในใจให้กับผู้เรียน 6) หลังจากที่ผู้เรียนอ่านหนังสือหรือบทความเสร็จแล้วให้ผู้เรียนทำกิจกรรม หลังการอ่านต่อ ขณะที่ เดย์ และแบมฟอร์ด Day & Bamford (1998) ได้เสนอขั้นตอนในการอ่าน 3 ขั้นตอน คือ ขั้นก่อนการอ่าน ขั้นการอ่าน และขั้นหลังการอ่าน 1) ขั้นก่อนการอ่าน เป็นขั้นตอน ที่ผู้สอนจะพูดกับผู้เรียนเกี่ยวกับหนังสือหรือบทอ่านที่จะอ่าน เพื่อเป็นการกระตุ้น และการเตรียม ความพร้อมให้กับผู้เรียน 2) ขั้นการอ่านเป็นขั้นตอนที่ผู้สอนสามารถให้ผู้เรียนอ่านในใจได้ด้วยตนเอง เพื่อให้ผู้เรียนเห็นถึงคุณค่าของการอ่านได้ด้วยตนเอง ซึ่งผู้สอนอาจจะถามความหมายเกี่ยวกับคำศัพท์ จากหนังสือหรือบทอ่านก็ได้ ผู้สอนต้องคอยกระตุ้น และให้การช่วยเหลือผู้เรียนในการอ่าน 3) หลังจากที่ผู้เรียนอ่านในใจแล้ว ผู้สอนสามารถอ่านออกเสียงให้ผู้เรียนฟัง เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนรู้สึก ซาบซึ้งกับเรื่องที่อ่าน จากนั้นผู้สอนอาจจะถามคำถามผู้เรียนด้วยคำถาม 2 - 3 คำถาม เพื่อช่วยให้ ผู้เรียนตั้งใจฟังในสิ่งที่ผู้สอนพูดมากขึ้น หากผู้สอนต้องการให้ผู้เรียนฝึกคำศัพท์ด้วยสายตา ผู้สอนอาจจะให้ผู้เรียนอ่านบทอ่านซ้ำหลาย ๆ รอบ ซึ่งผู้สอนสามารถฝึกได้ก่อนการอ่านหนังสือ หรือบทอ่านในใจ นอกจากนี้ผู้เรียนสามารถอ่านซ้ำหนังสือหรือบทอ่านตามความสมัครใจ หรือความต้องการของผู้เรียน เพื่อช่วยฝึกการจำคำศัพท์ และการใช้สายตาในการอ่านที่เร็วเพิ่มขึ้น ผู้สอนควรให้เวลาอิสระในการส่งเสริมการอ่านของผู้เรียน ซึ่งบทบาทของผู้สอนในการอ่าน แบบกว้างขวาง คือ การอำนวยความสะดวก และให้คำปรึกษาผู้เรียน เขียนสรุปความ การเขียน สะท้อนสิ่งที่ได้อ่าน การรายงานปากเปล่า หรือการเล่าเรื่องที่อ่านไปแล้ว เป็นต้น ผู้สอนอาจจะมีกิจกรรมที่ส่งเสริมการอ่านเมื่อกิจกรรมการอ่านสิ้นสุดลง เช่น การตอบ คำถาม การเขียนสรุปเรื่องที่อ่าน การเล่าเรื่องที่อ่าน เป็นต้น การอ่านแบบกว้างขวางนอกชั้นเรียน การอ่านแบบกว้างขวางนอกชั้นเรียนเป็นการอ่านที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความพร้อม และความเหมาะสมของผู้สอน และสถานศึกษา ในช่วงที่ทำกิจกรรมผู้สอนต้องแจ้งจุดประสงค์ ให้ในการอ่านให้ผู้เรียนทราบว่าการอ่านแบบกว้างขวางนอกชั้นเรียนจะไม่มีการทดสอบจากการทำ กิจกรรม โดยผู้สอนให้ผู้เรียนเลือกใช้กลวิธีการอ่านที่ได้เรียนมาด้วยตนเอง เช่น ทำกิจกรรมการอ่าน ศึกษาการอ่าน เลือกสิ่งที่อ่านด้วยตนเอง เป็นต้น ผู้สอนสามารถกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน ด้วยการให้ผู้เรียนเล่าเรื่องที่ตนเองอ่าน โดยไม่ต้องให้ผู้เรียนเล่าตอนจบของเรื่อง หรือการซื้ออุปกรณ์ ที่ใช้ประกอบการอ่าน เช่น เทป ที่ผู้เรียนสามารถยืมไปอ่านได้ด้วยตนเอง นัททอล Nuttall (1996) จากการศึกษาเกี่ยวกับการสอนอ่านแบบกว้างขวางพบว่าขั้นตอนที่ช่วยส่งเสริมนิสัย รักการอ่าน และการเรียนรู้ด้วยตนเองของผู้เรียน มี 3 ขั้นตอน คือ ขั้นก่อนการอ่าน (Pre-reading) ขั้นระหว่างอ่าน (While-reading) และขั้นหลังการอ่าน (Post-reading) ประกอบด้วย 6 กิจกรรม ซึ่งขั้นตอนดังกล่าวเป็นขั้นตอนที่ได้ปรับมาจากการสอนอ่านแบบกว้างขวาง 5 ขั้นของ สุชาดา ชัยวิวัฒน์ตระกูล (2544) คือ ขั้นก่อนการอ่าน มี 2 กิจกรรม ดังนี้คือ 1. กิจกรรมการสนทนาเกี่ยวกับหนังสือ (Talk of Book) ในขั้นตอนนี้ผู้สอนมีการสนทนา เกี่ยวกับหนังสือหรือบทอ่านที่หลากหลายเพื่อดึงความสนใจผู้เรียน รวมถึงผู้สอนกำหนดจุดมุ่งหมาย


ในการอ่านให้กับผู้เรียน ไฮแลนด์ Hyland (1990) และผู้สอนคอยกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึก อยากอ่านหนังสือ หรือบทอ่าน รวมถึงผู้สอนคอยให้คำแนะนำในการเลือกหนังสือหรือบทอ่านที่ผู้เรียน สนใจ และเหมาะสมกับระดับภาษาของผู้เรียน เพื่อให้ผูเรียนสามารถนำไปอ่านนอกชั้นเรียนได้ด้วย ตนเอง โดยผู้สอนอาจจะเล่าถึงหนังสือหรือบทอ่านที่ผู้สอนชื่นชอบให้ผู้เรียนฟังคร่าว ๆ แต่ไม่ต้องเล่า จนจบ เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกอยากติดตามเรื่องนั้นต่อไป จากนั้นผู้สอนปลูกฝังนิสัย รักการอ่านให้ผู้เรียน โดยการนำหนังสือหรือบทอ่านที่น่าสนใจมาแสดงให้ผู้เรียนดู โดยเฉพาะนิทาน ภาษาอังกฤษที่มีชื่อเรื่องให้อ่าน เนื่องจากหนังสือหรือบทอ่านที่มีชื่อเรื่องให้อ่านนั้นสามารถช่วยให้ ผู้อ่านเกิดความเข้าใจทั่วไปได้ วิดโดวสัน Widdowson (1981) นอกจากนี้หนังสือที่มีรูปภาพสีสันสวยงามประกอบ การอ่านที่สามารถช่วยให้ผู้เรียนได้เกิดการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์หนังสือ นำไปสู่การหาหนังสือ ที่เหมาะสมและความสามารถของตนเอง จากนั้นผู้สอนพูดเกี่ยวกับหนังสือนิทาน โดยผู้สอนถาม คำถามผู้เรียนเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษสลับกัน เพื่อตรวจสอบความคุ้นเคยและประสบการณ์ เกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้น เพื่อให้ผู้เรียนได้แสดงถึงความรู้ หรือประสบการณ์ที่ตนเองมี เมื่อผู้เรียนได้เห็น รูปภาพที่ปรากฎจากหนังสือที่ตนเองเคยอ่าน ผู้เรียนจะเกิดความรู้สึกตื่นเต้น และดีใจเมื่อหนังสือ ได้มีการมานำมาพูดถึง หากหนังสือเล่มนั้นผู้เรียนสามารถบอกชื่อเรื่องได้ด้วย ผู้เรียนก็จะเกิด ความภูมิใจ นอกจากนี้ผู้สอนสามารถเล่าประสบการณ์การอ่านหนังสือนิทานที่ผู้สอนชอบให้ผู้เรียนฟัง เพื่อสร้างจินตนาการความคิดสร้างสรรค์ และนิสัยรักการอ่านให้ผู้เรียน 2. กิจกรรมการอ่านออกเสียง (Read Aloud) ขั้นตอนนี้เป็นกิจกรรมที่ทำร่วมกับการอ่าน กล่าวคือ ผู้เรียนอ่านหนังสือแบบออกเสียงพร้อมเพรียงกัน เดย์ และ แบมฟอร์ด Day & Bamford (1998) เป็นเทคนิคที่ช่วยให้ผู้เรียนไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ลดความง่วงเหงาหาวนอน ซึ่งผู้เรียนสามารถอ่าน ได้ด้วยตนเอง หรืออ่านร่วมกันกับเพื่อนก็ได้ โดยผู้สอนมีการสอน มีการฝึกการใช้เทคนิคการอ่านต่างๆ มีการถามคำถาม เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนตั้งใจฟังมากขึ้น และตรวจสอบความเข้าใจเบื้องต้นของผู้เรียน ผู้เรียนสามารถตอบคำถามด้วยวิธีที่ตนเองถนัด เช่น การพูด การเขียน การแสดงรูปภาพ เป็นต้น นอกจากนี้กิจกรรมการอ่านออกเสียงยังเป็นกิจกรรมที่สำคัญที่สุด มากกว่าการทำชิ้นงาน การทำการบ้าน การทำรายงาน เป็นต้น เพื่อให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จด้านการอ่าน ทรีลีส Trelease (2001) ในการทำกิจกรรมขั้นต่อไป เนื้อหาที่ผู้เรียนอ่านหรือกิจกรรมที่ผู้เรียนทำ อาจจะมีเนื้อหาที่เหมือนกัน แต่ผู้เรียนจะได้เนื้อหาอ่านเพียง 1 - 2 ย่อหน้าหรือกิจกรรมบางอย่าง มีเนื้อหาที่ต่างกัน โดยผู้สอนส่วนมากจะให้ผู้เรียนอ่านออกเสียงตามผู้สอน จากนั้นผู้สอนก็จะคละ ผู้เรียนที่มีระดับความสามารถที่ต่างกันเป็นรายแถวหรือรายกลุ่มตามความเหมาะสมในการจัดกิจกรรม หากมีผู้เรียนต้องการแสดงความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ ผู้สอนก็จะให้ผู้เรียนคนนั้นได้แสดง ความสามารถของตนเองตามความเหมาะสม เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และเกิดความเข้าใจ ในการอ่านภาษาอังกฤษ ผู้วิจัยได้สร้างคำถามเกี่ยวกับเนื้อหาย่อหน้าที่ผู้เรียนได้อ่านออกเสียง เพื่อตรวจสอบความเข้าใจของผู้เรียนในสิ่งที่ผู้เรียนได้อ่านนอกจากนี้ผู้สอนสามารถใช้การอ่านรูปแบบอื่น ๆ ใช้สอนผู้อ่านได้ เช่น การอ่านแบบกวาดสายตา (Scanning) หมายถึง การอ่านที่ผู้อ่านกวาดสายตาผ่านตัวอักษร ทุกบรรทัด ทุกประโยค ทุกย่อหน้า เพื่อหาข้อมูลหรือคำตอบเฉพาะ เช่น ตัวเลข สถานที่ ศัพท์เฉพาะ เป็นต้น และการอ่านข้าม (Skimming) หมายถึง การอ่านเนื้อหาทั้งหมดแบบคร่าวๆ เพื่อหา


ใจความสำคัญ (Main ideas) เช่น บทความนี้พูดถึงอะไรหรือพูดเกี่ยวกับใคร มีภาพรวมของเนื้อความ เป็นอย่างไร สมุทร เซ็นเชาวนิช (2542) กล่าวว่ากลวิธีการอ่านแบบแรกนั้น เป็นการกวาดสายตาอ่าน แบบผ่าน ๆ เพื่อเข้าใจภาพรวมหรือหาคำตอบสำหรับคำถามบางคำถามที่เท่านั้น โดยไม่จำเป็นต้องรู้ คำศัพท์ทุกคำ ไม่เน้นความเข้าใจทางด้านภาษา ในขณะที่กลวิธีการอ่านแบบที่สอง เน้นการใช้สายตา ในการมองข้ามข้อความ ประโยคหรือย่อหน้า เพื่อมองหาคำ ข้อความ ประโยค หรือใจความสำคัญ เท่านั้น ซึ่งผู้เรียนสามารถคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ด้วยตนเอง นอกจากนี้ ผู้สอนสามารถสอนเทคนิคอื่น ๆ ที่ใช้ในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ให้กับผู้เรียนได้ เช่น เทคนิคการอ้างอิง (referencing) เป็นการสอนเกี่ยวกับคำสรรพนาม (pronouns) ที่ใช้ในการอ้างอิงบุคคล สัตว์ สถานที่ และสิ่งของ เทคนิคการคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้า (predicting) และการดูส่วนประกอบต่าง ๆ ของหนังสือที่จะอ่าน (previewing) สำหรับการสอน คำศัพท์ (vocabulary) และไวยากรณ์ (grammar) เป็นการสอนที่ไม่ได้เน้นในการอ่านเพื่อความเข้าใจแต่จำเป็นต่อการอ่าน เพื่อความเข้าใจ ผู้เรียนสามารถตอบคำถามผู้สอนด้วยวิธีที่ตนเองถนัด เช่น การพูด การเขียน หรือการแสดงรูปภาพ ขั้นระหว่างอ่าน มี 2 กิจกรรมดังนี้ คือ 3. กิจกรรมการอ่านแบบเงียบ (Silent reading) ขั้นตอนนี้เป็นการอ่านแบบเงียบ ที่ผู้เรียนสามารถอ่านเนื้อหาในส่วนที่เหลือได้ด้วยตนเอง โดยผู้สอนจะนำเนื้อหาฉบับเต็มมาให้ผู้เรียนอ่าน รวมทั้งคอยกระตุ้นและให้คำแนะนำผู้เรียนจนกระทั้งผู้เรียนอ่านเนื้อหาทั้งหมดจบ กิจกรรมการอ่านแบบเงียบใช้ระยะเวลาในการอ่านประมาณ 30 - 45 นาที เป็นขั้นตอนที่สามารถ ช่วยให้ผู้เรียนเกิดนิสัยรักการอ่านภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งสอดคล้องกับ ไฮแลนด์ Hyland (1990) กล่าวถึง การอ่านที่ผู้เรียนสามารถเข้าใจเนื้อหาได้ง่าย โดยผู้สอนมีการกำหนดเวลาในการอ่าน เพื่อช่วยพัฒนาทักษะการอ่านของผู้เรียนและสร้างความเชื่อมั่นในการอ่านให้กับผู้เรียน การอ่าน หนังสือในสถานที่มีบรรยากาศเงียบสงบเป็นการอ่านที่เหมาะสำหรับการอ่านด้วยตนเองหรือการอ่าน แบบกลุ่ม และฮอปกินส์Hopkins (2003) กล่าวถึง การอ่านแบบเงียบเป็นการอ่านที่ช่วยเพิ่ม ความมั่นใจให้กับผู้เรียนส่งเสริมให้เกิดทักษะ ส่วนการเลือกวิธีการที่เหมาะสมจะช่วยให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ในขั้นตอนนี้ผู้เรียนสามารถหาวิธีการและบรรยากาศที่เงียบสงบ เพื่อให้ตนเองเกิดสมาธิ และง่ายต่อการทำความเข้าใจเนื้อเรื่องในขณะที่อ่าน รวมถึงวิธีการแก้ไขปัญหาที่ใช้ในการอ่าน ผู้เรียนสามารถค้นหาคำศัพท์โดยการใช้พจนานุกรมหาคำศัพท์เพิ่มเติม ดังนั้นเมื่อผู้เรียนสามารถ หาวิธีการที่เหมาะสมกับตนเองและเข้าใจเนื้อเรื่องที่อ่านผู้เรียนก็จะเกิดเกิดนิสัยรักการอ่าน ภาษาอังกฤษและเกิดทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเองในที่สุด 4. กิจกรรมตอบสนองการอ่าน (Response/Follow-up) ขั้นตอนนี้ผู้เรียนจะต้องตอบ คำถามที่ตนเองได้รับประมาณ 5 - 7 ข้อ โดยข้อคำถามเป็นการถามเกี่ยวกับความเข้าใจในเนื้อหา ที่ผู้เรียนอ่าน ซึ่งผู้เรียนจะต้องหาคำตอบจากเนื้อเรื่องภาษาอังกฤษที่อ่านให้เจอ ผู้เรียนอาจจะใช้ วิธีการเดาคำศัพท์หรือวิธีการเดาคำตอบจากรูปภาพ ในขั้นตอนนี้ผู้เรียนอาจ มีการช่วยเหลือ


ซึ่งกันและกัน ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎี Transactional Theory ของ พรอบ Probst (1987 cited from Senblatt, 1986) กล่าวถึงกิจกรรมที่ส่งเสริมให้เรียนเกิดการทำงานแบบร่วมงาน (Cooperative work) ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาบุคคลิกภาพ และเพิ่มประสบการณ์ในการ ทำงานร่วมกับผู้อื่น นอกจากนี้กิจกรรมตอบสนองการอ่านได้มีการถามความคิดเห็นของผู้เรียน เกี่ยวกับเนื้อเรื่องที่อ่าน ซึ่งผู้เรียนสามารถตอบคำถามโดยการเขียนคำตอบ ขั้นหลังการอ่าน มี 2 กิจกรรม ดังนี้ 5. กิจกรรมเสริมกระบวนการคิด (Build-up) ขั้นตอนนี้ผู้เรียนจะได้ทำกิจกรรมการอ่าน ที่หลากหลายและสอดคล้องกับระดับความสามารถของผู้อื่น เพื่อช่วยกระตุ้นความสนใจในการอ่าน ภาษาอังกฤษของผู้เรียน รวมถึงส่งเสริมความกล้าแสดงออกของผู้เรียน โดยผู้สอนให้ผู้เรียนคิดวิธี ที่จะนำเสนองานด้วยตนเอง ดังที่ ลิสเติล Little (1991) ได้ไห้ความเห็นว่า ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้ ด้วยตนเองก็ต่อเมื่อผู้เรียนมีการคิดวิเคราะห์ การตัดสินใจและการแสดงออกที่เป็นอิสระ การอภิปรายร่วมกันเป็นกลุ่มสามารถนำมาใช้จัดกิจกรรมการอ่านแบบกว้างขวางได้ โดยผู้สอนแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่ม ในแต่ละกลุ่มจะมีสมาชิกประมาณ 3 คน จากนั้นผู้สอนจับฉลาก สุ่มผู้เรียนออกมาทำกิจกรรมหน้าชั้นเรียนหรือที่เรียกว่า Telling The Truth Activity (Adopted from Dubravcic, 1996) เป็นกิจกรรมที่ใช้ทดสอบความเข้าใจเนื้อเรื่องที่สมาชิกในแต่ละกลุ่มได้อ่าน โดยสมาชิกในกลุ่มจะต้องเข้าใจเนื้อหาที่อ่านเป็นอย่างดี เมื่อสมาชิกกลุ่มที่ถูกเลือกออกมา หน้าชั้นเรียนจะต้องพูดว่า I've understood (the title of book) เริ่มแรกผู้สอนอาจจะเป็นผู้ถาม คำถามก่อน เพื่อเป็นการกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน จากนั้นผู้เรียนในชั้นที่เหลือเป็นผู้ถามคำถาม สมาชิกในแต่ละกลุ่ม คำถามที่ใช้ถามจะมีไม่เกิน 5 ข้อ โดยแต่ละข้อเป็นคำถามที่แตกต่างกัน ผู้ถามสามารถถามตัวแทนผู้เรียนที่ออกมาทำกิจกรรมหน้าชั้นเรียนเป็นรายบุคคล เป็นรายกลุ่ม หรือผู้สอนอาจจะช่วยผู้เรียนตอบคำถาม และผู้สอนบันทึกพฤติกรรมการทำกิจกรรมของผู้เรียน ซึ่งกิจกรรมการตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่อ่านเป็นกิจกรรมที่ช่วยฝึกและส่งเสริมการอ่านให้กับผู้เรียน 6. กิจกรรมเขียนสะท้อนความคิด (Reflective Thinking) เป็นการเขียนสะท้อนความคิดเห็น ของตนเอง ฝึกวิธีการวางแผนทำกิจกรรมแบบเป็นขั้นตอนตั้งแต่เริ่มต้นการอ่าน ระหว่างการอ่าน และตอนท้ายการอ่าน เช่น การทำกิจกรรมแบบกลุ่ม การตั้งคำถาม การแก้ไขปัญหา เป็นต้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่านของตนเองให้ดียิ่งขึ้น โดยผู้สอนตั้วคำถาม 4 ข้อ ได้แก่ 1) วิธีการทำ ความเข้าใจเรื่องที่อ่าน 2) วิธีการทำกิจกรรมการอ่าน 3) ปัญหาและวิธีการแก้ไขปัญหา 4) วิธีปรับปรุง การอ่านของตนเอง เพื่อกระตุ้นกระบวนการคิดในการตอบคำถามของผู้เรียน รวมถึงการเปิดโอกาส ให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นและประเมินตนเองเกี่ยวกับเรื่องที่ตนเองอ่านซึ่ง โฮเลซ Holec (1981) กล่าวว่า ผู้เรียนที่ฝึกตนเองได้ตามแผนที่วางและฝึกฝนตนเองได้ตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ แสดงว่าผู้เรียน เกิดการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง จากการศึกษาขั้นตอนการสอนอ่านแบบกว้างขวางสามารถสรุปได้ว่า ขั้นตอนการสอนอ่าน แบบกว้างขวางมี 2 ลักษณะ ได้แก่ 1. การอ่านแบบกว้างขวางในชั้นเรียน เป็นการเตรียมความพร้อม ให้ผู้เรียนประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นก่อนการอ่าน ผู้สอนและผู้เรียนสนทนาเกี่ยวกับหนังสือ หรือบทอ่าน 2) ขั้นการอ่าน ผู้เรียนอ่านหนังสือหรือบทอ่านด้วยตนเอง โดยอ่านแบบไม่ออกเสียง หรืออ่านในใจ 3) ขั้นหลังการอ่าน ผู้เรียนทำกิจกรรมเกี่ยวกับหนังสือหรือบทความที่อ่าน เช่น


การตอบคำถาม การเขียนสรุป หรือการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน 2. การอ่าน แบบกว้างขวางนอกชั้นเรียนเป็นการอ่านที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นก่อนการอ่าน (Pre-reading) เป็นขั้นที่พูดเกี่ยวกับหนังสือหรือบทอ่านที่ผู้สอน ให้ผู้เรียนอ่านออกเสียงพร้อมเพรียงกัน 2) ขั้นระหว่างอ่าน (While-reading) ผู้สอนให้ผู้เรียนอ่าน หนังสือหรือบทอ่านโดยไม่ใช่เสียง เพื่อฝึกการเรียนรู้ด้วยตนเองของผู้เรียน 3) ขั้นหลังการอ่าน (Postreading) ผู้สอนให้ผู้เรียนตอบคำถามและสะท้อนความคิดเกี่ยวกับหนังสือหรือบทอ่านที่ผู้เรียนอ่าน เพื่อตรวจสอบผู้เรียนว่าเข้าใจในเนื้อเรื่องที่อ่านหรือไม่ ประโยชน์ของการอ่านแบบกว้างขวาง การอ่านหนังสือเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งที่ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์เนื่องจากการอ่าน ทำให้ผู้เรียนมีความรู้เพิ่ม และทำให้ทันต่อเหตุการณ์ทีเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้การอ่าน ยังช่วยให้ผู้อ่านเกิดความเพลิดเพลิน ผ่อนคลาย แต่การอ่านแบบกว้างขวางนั้นมีประโยชน์มากกว่า การอ่านแบบทั่วไป เนื่องจากการอ่านแบบกว้างขวางช่วยพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษและช่วยให้ ผู้อ่านสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองจากการอ่านหนังสือที่ตนเองสนใจและมีระดับความยากง่าย เหมาะสมกับตนเองถือเป็นวิธีที่ดีที่ใช้ในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองนอกห้องเรียน สุชาดา ชัยวิวัฒน์ (2544 : 62-64) ยังได้สรุปประโยชน์ของการอ่านแบบกว้างขวางไว้ว่า 1) ช่วยให้ผู้เรียนมีกลวิธีในการอ่านที่ดีขึ้น 2) ช่วยให้ผู้เรียนอ่านเนื้อเรื่องได้คล่องแคล่วมากขึ้น และ 3) ผู้เรียนสามารถอ่านเนื้อเรื่องได้เร็วขึ้น และมีนิสัยรักการอ่าน เบล Bell (1998) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของการอ่านแบบกว้างขวางว่า 1) ผู้เรียนเข้าใจ เรื่องที่อ่านผ่านตัวอักษร 2) ช่วยพัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษของผู้เรียนให้ดีขึ้น 3) ช่วยให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้โครงสร้างทางภาษามากขึ้น 4) ช่วยให้ผู้เรียนรู้คำศัพท์มากขึ้น 5) ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนา ทักษะการเขียน 6) ช่วยให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจในการอ่านภาษาอังกฤษ 7) ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจ ในเรื่องที่อ่านมากขึ้น 8) ช่วยให้ผู้เรียนอ่านเนื้อเรื่องที่มีเนื้อเรื่องยาวมากขึ้นด้วยความมั่นใจ 9) ช่วยให้ ผู้เรียนเข้าใจเรื่องที่อ่านได้ง่ายขึ้น และ 10) ช่วยให้ผู้เรียนเดาความหมายของคำศัพท์จากบริบทต่าง ๆ ของเรื่องที่อ่านได้ จากประโยชน์ของการอ่านแบบกว้างขวางที่กล่าวมาข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า การอ่าน แบบกว้างขวางช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะการอ่านและทักษะการเขียน ทำให้ผู้เรียนสามารถอ่านเนื้อเรื่อง ได้เร็วคล่องแคล่ว สามารถนำความรู้ใหม่และคำศัพท์ที่ได้จากการอ่านไปปรับใช้ในการเขียน ภาษาอังกฤษได้ นอกจ ากนี้การอ่านแบบกว้างขวางช่วยให้ผู้เรียนเกิดทัศนคติที่ดีต่อการอ่าน ภาษาอังกฤษและมีนิสัยรักการอ่านมากขึ้นอีกด้วย การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ การอ่านภาษาอังกฤษมีนักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายและแนวคิดไว้หลากหลาย แนวทาง ดังนี้


พูลทรัพย์ นาคนาคา (2539) กล่าวถึงการอ่านว่า เป็นกระบวนสื่อความหมายระหว่างผู้เขียน กับผู้อ่านที่ชับซ้อน มีการถ่ายทอดข้อมูล ความคิด หรืออารมณ์ของผู้เขียนผ่านทางลายลักษณ์อักษร ผู้ที่มีหน้าที่แปลความหมายหรือตีความของเรื่องที่อ่านคือผู้อ่านผ่านความรู้สึกของผู้เขียนที่ได้จากสิ่งที่อ่าน ราชบัณฑิตยสถาน (2546) ได้ให้ความหมายของการอ่านไว้ว่า หมายถึง การอ่านเนื้อหา ผ่านตัวอักษรการออกเสียงตามตัวหนังสือโดยใช้ความเข้าใจ การสังเกตหรือพิจารณาในสิ่งที่อ่าน เพื่อให้สามารถคิดและนับได้ พรสวรรค์ สีป้อ (2550) กล่าวว่า การอ่านเป็นกระบวนการแปลความหมาย การทำความเข้าใจ ความหมายและการคิดวิเคราะห์ตัดสินประเมินค่าสิ่งที่อ่าน จากนั้นผู้อ่านต้องสร้างความสัมพันธ์ ระหว่างคำและความหมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจและตีความข้อความโดยการเชื่อมโยงความรู้ และประสบการณ์เดิม นพมณี ฤทธิกุลสิทธิชัย (2554) กล่าวถึงการอ่านภาษาอังกฤษไว้ว่า เป็นกระบวนการ ที่เกิดขึ้นจากการสื่อสารระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่าน โดยผู้อ่านต้องใช้สติปัญญา ความรู้เดิม ความคิดเห็น ของผู้เขียนผ่านบทอ่าน รวมถึงการตีความในการรับรู้ถึงความเข้าใจของผู้เขียนที่ต้องการบอก จุดประสงค์ของการสื่อสารได้ สุพรรษา ศรประเสริฐ (2558) กล่าวถึงการอ่านว่า เป็นการทำความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูล ที่เขียนในรูปแบบข้อความตัวอักษร ซึ่งความสามารถในการอ่านเกิดจากเนื้อหาของบทอ่าน รวมทั้งความรู้และประสบการณ์เดิมของผู้อ่าน ดังนั้น การพัฒนาความสามารถในการอ่าน คือ การกระตุ้นความรู้เดิมหรือประสบการณ์เดิมของผู้อ่านเพื่อใช้เป็นพื้นฐานในเรื่องที่ได้อ่าน อลงกรณ์ สิมลา (2561) การอ่านเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างมีประสิทธิภาพต้องใช้ความเข้าใจ ความหมายในเรื่องที่อ่านหรือการหาความหมายของคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคย เพื่อให้เข้าใจหน้าที่ และบริบทของภาษาที่ใช้ทำให้ผู้อ่านเข้าใจรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่อ่านสามารถเชื่อมโยง ความหมาย จับใจความสำคัญ รวมถึงวิเคราะห์และตีความเรื่องที่อ่านได้ แฮริส และสมิธ Harris and Smith (1986) หมายถึง การแสดงความคิดเห็นในรูปแบบ การสื่อสารรูปแบบหนึ่งผู้เขียนและผู้อ่านแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน ผู้เขียนใช้ข้อความในการสื่อสาร หรือแสดงความคิดเห็นผ่านกระดาษส่วนผู้อ่านคือผู้แปลความหมายจากข้อความหรือความคิดเห็น ที่อ่าน วิลเลียมส์ Williams (1986) หมายถึง กระบวนการอ่านที่ผู้อ่านได้อ่าน และทำความเข้าใจ เกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองอ่าน ทั้งการอ่านออกเสียง อ่านเพื่อบอกความหมายหรืออ่านเพื่อทำความเข้าใจ ในเนื้อหาเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่ง คาลลาฮาน และคลาค Callahan and Clark (1988) กล่าวถึง การอ่านที่มีระดับในการ อ่าน ที่หลากหลาย โดยแบ่งตามความสามารถได้ 16 ระดับ ดังนี้ 1. การอ่านจับใจความสำคัญในเรื่อง ที่อ่าน (Getting the Central Idea) 2. การอ่านโดยเลือกอ่านเฉพาะส่วนที่สำคัญ (Selecting the Significant Details) 3. การอ่านเพื่อการทำความเข้าใจเนื้อหา (Understanding Words in Context) 4. การอ่านตามคำชี้แจง (following Directions) 5. การอ่านเพื่อตอบคำถาม (Answering Specific Questions) 6. การอ่านเพื่อหาความเชื่องโยงกับเรื่อง (Determining Relationships) 7. การอ่านโดยร่างบทสรุป (Drawing Conclusions) 8. การอ่านทำนายผลลัพธ์สุดท้าย (Predicting


Outcomes) 9. การอ่านเพื่อแยกแยะโครงสร้างและบทสรุป (Outlining and Summarizing) 10. การอ่านเพื่อนพิจารณาเป้าหมายและจุดประสงค์ของผู้เขียน (Determining the Author's Purpose and Mood) 11. การอ่านเพื่อทำความเข้าใจสำนวนภาษา (Understanding Figurative Language) 12. การอ่านเพื่อประเมินแนวคิด (Evaluating Ideas) 13. การอ่านเพื่อความเข้าใจภาพสื่อ (Understanding Graphic Material) 14. การอ่านเพื่อเพิ่มความเร็วในการอ่าน (Increasing Speed) 15. การอ่านเพื่อปรับความเร็วตามจุดประสงค์และเนื้อหา (Adjusting Speed to Purpose and Content) 16. การอ่านเพื่อใช้เครื่องมืออ้างอิง (Using Reference Material) คอนเลย์ Conley (1996) กล่าวว่า การอ่านเป็นการทำความความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน โดยใช้ความรู้เดิมที่มีกับข้อมูลที่ได้อ่าน นัททอล Nuttall (1996) กล่าวว่าความเข้าใจในการอ่านคือ การอ่านเพื่อศึกษาข้อมูล จากงานเขียนที่ผู้เขียนได้เขียนเอาไว้ โดยสิ่งที่อ่านอาจจะเป็นข้อเท็จจริงที่ทำให้ผู้อ่านได้รู้ถึงแนวคิด ของผู้อ่าน รวมทั้งผู้อ่านเกิดความรู้สึกอื่นร่วมในสิ่งที่อ่าน จากการศึกษาความหมายและแนวคิดเกี่ยวกับการอ่านกล่าวข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า การอ่าน คือกระบวนการการแปลความหมายและการทำความเข้าใจในสิ่งที่ผู้เขียนถ่ายทอดออกมา เป็นตัวอักษร ซึ่งการอ่านสามารถแบ่งออกได้หลายระดับทั้งการอ่านเพื่อจับใจความสำคัญ การอ่านเพื่อความเข้าใจการอ่านเพื่อวิเคราะห์ โครงสร้างหรือสิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อสารกับผู้อ่าน ระดับความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ระดับความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษขึ้นอยู่กับความรู้ทางภาษาและประสบการณ์เดิม ของผู้อ่านได้มีนักวิชาการและนักการศึกษาให้รายละเอียดและอธิบายเกี่ยวกับระดับความเข้าใจ ในการอ่านไว้ดังนี้ เบอร์เมย์สเตอร์ Burmeister (1974) ได้แบ่งระดับความเข้าใจในการอ่าน โดยอาศัยพื้นฐาน จากทฤษฎีการเรียนรู้ของ Bloom (Bloom's Taxonomy) โดยแบ่งเป็น 7 ระดับ ดังนี้ 1. ระดับความจำ (Memory) คือ การที่ผู้อ่านสามารถจับใจความสำคัญ จำแนกเหตุการณ์ และเรียงลำดับเหตุการณ์จากเรื่องที่อ่านได้ 2. ระดับแปลความหมาย (Translation) คือ การนำข้อความหรือเนื้อหาที่อ่านแปล จากภาษาหนึ่งไปเป็นอีกภาษาหนึ่งได้ 3. ระดับการตีความ (Interpretation) คือ การเข้าใจสิ่งที่ผู้เขียนไม่ได้เขียนระบุไว้ในเนื้อเรื่อง ที่อ่าน รวมถึงการเข้าใจความรู้สึกของผู้เขียน หรือตัวละครจากเรื่องที่อ่าน 4. ระดับการประยุกต์ (Application) คือ การเข้าใจหลักการและการนำหลักการไป ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จ 5. ระดับการวิเคราะห์ (Analysis) คือ การแยกส่วนประกอบย่อยออกจากส่วนประกอบใหญ่ เช่น การวิเคราะห์โฆษณาชวนเชื่อว่าผู้เขียนคือใคร ทำงานอะไร และมีจุดมุ่งหมายอย่างไร 6. ระดับการสังเคราะห์ (Synthesis) คือ การนำความคิดเห็นที่ได้จากการอ่านมารวบรวม และจัดเรียงใหม่


7. ระดับการประเมินผล (Evaluation) คือ การกำหนดเกณฑ์ และตัดสินเรื่องที่อ่านได้ ว่าเป็นความจริง (fact) จินตนาการ (fantasy) ความคิดเห็น (opinion) โดยอาศัยประสบการณ์เดิม ของผู้อ่าน ดัลล์แมน Dallman (1978) ได้แบ่งระดับความเข้าใจในการอ่านออกเป็น 3 ระดับ คือ 1. ความเข้าใจในระดับขั้นข้อเท็จจริง (Factual Level) คือ ผู้อ่านเข้าใจเนื้อเรื่องที่ผู้แต่ง เขียนไว้ในเนื้อเรื่อง 2. ความเข้าใจในระดับขั้นตีความ (Interpretation Level) คือ ผู้อ่านเข้าใจเรื่องที่อ่าน โดยการแปลความหมาย ตีความ และสรุปเรื่องราวจากสิ่งที่อ่านได้ 3. ความเข้าใจในระดับขั้นประเมินค่า (Evaluation Level) คือ ผู้อ่านสามารถตัดสิน ประเมินค่าของเรื่องที่อ่านได้ว่าเป็นความจริง (fact) จินตนาการ (fantasy) ความคิดเห็น (opinion) โดยอาศัยความรู้และประสบการณ์เดิม เกรย์ Gray (1980) ได้แบ่งระดับความเข้าใจในการอ่านไว้ 4 ระดับ คือ 1. ผู้อ่านเข้าใจคำในเรื่องที่อ่าน (Perception of word) 2. ผู้อ่านเข้าใจเนื้อเรื่องที่อ่าน (Comprehension of ideas) 3. ผู้อ่านสามารถแสดงความคิดเห็นจากเรื่องที่อ่านได้ (Reaction to ideas) 4. ผู้อ่านสามารถวิเคราะห์และบูรณาการเรื่องที่อ่านได้ (Integration of ideas) สมิท Smit (1976 : 160) ได้แบ่งระดับความเข้าใจในการอ่านไว้ 3 ระดับ คือ 1. ระดับความเข้าใจตามตัวอักษร คือ ผู้อ่านเข้าใจเรื่องที่อ่านผ่านตัวอักษรที่ผู้แต่งได้ เขียนไว้ในเนื้อเรื่อง 2. ระดับขั้นตีความ ผู้อ่านสามารถแปลความหมายที่ผู้เขียนได้ขียนแฝงไว้ในเนื้อเรื่อง 3. ระดับขั้นวิเคราะห์วิจารณ์ ผู้อ่านสามารถบอกได้ว่าเรื่องที่อ่านเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ ภาพที่ 2.4 ระดับความเข้าใจในการอ่าน (Levels of Comprehension) ที่มา: Study.com (2020) Evaluative meaning Inferential meaning Literal meaning


ตารางที่ 2.2 การวิเคราะห์ระดับความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ นักการศึกษา ระดับความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจ เบอร์เมย์สเตอร์ (Burmeister) 1. ระดับความจำ (Memory) คือ การที่ผู้อ่านสามารถจับใจความสำคัญ จำแนกเหตุการณ์ และเรียงลำดับเหตุการณ์จากเรื่องที่อ่านได้ 2. ระดับแปลความหมาย (Translation) คือ การนำข้อความหรือเนื้อหาที่ อ่านแปลจากภาษาหนึ่งไปเป็นอีกภาษาหนึ่งได้ 3. ระดับการตีความ (Interpretation) คือ การเข้าใจสิ่งที่ผู้เขียนไม่ได้ เขียนระบุไว้ในเนื้อเรื่องที่อ่าน รวมถึงการเข้าใจความรู้สึกของผู้เขียน หรือตัวละครจากเรื่องที่อ่าน 4. ระดับการประยุกต์ (Application) คือ การเข้าใจหลักการและการนำหลักการ ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จ 5. ระดับการวิเคราะห์ (Analysis) คือ การแยกส่วนประกอบย่อยออกจาก ส่วนประกอบใหญ่ เช่น การวิเคราะห์โฆษณาชวนเชื่อ ว่าผู้เขียนคือใคร ทำงานอะไร และมีจุดมุ่งหมายอย่างไร 6. ระดับการสังเคราะห์ (Synthesis) คือ การนำความคิดเห็นที่ได้จากการอ่าน มารวบรวมและจัดเรียงใหม่ 7. ระดับการประเมินผล (Evaluation) คือ การกำหนดเกณฑ์และตัดสิน เรื่องที่อ่านได้ว่าเป็นความจริง (fact) จินตนาการ (fantasy) ความคิดเห็น (opinion) โดยอาศัยประสบการณ์เดิมของผู้อ่าน ดัลล์แมน (Dallman) 1. ความเข้าใจในระดับขั้นข้อเท็จจริง (Factual Level) คือ ผู้อ่านเข้าใจ ถึงรายละเอียด (Details) ใจความสำคัญ (Main Ideas) ลำดับเหตุการณ์ (Sequences) การเปรียบเทียบ (Comparison) เหตุและผล (CauseEffect) และลักษณะของตัวละคร (Character Traits) 2. ความเข้าใจในระดับขั้นตีความ (Interpretation Level) คือ ผู้อ่าน สามารถเข้าใจเรื่องที่อ่านโดยใช้ความรู้ทางภาษาในการแปลความหมาย และสรุปเรื่องราวจากสิ่งที่อ่านได้ 3. ความเข้าใจในระดับขั้นประเมินค่า (Evaluation Level) คือ ผู้อ่าน สามารถตัดสินและประเมินค่าของเรื่องที่อ่านได้ว่าเป็นความจริง (fact) จินตนาการ (fantasy) ความคิดเห็น (opinion) หรือความน่าเชื่อถือของ เรื่องที่อ่าน


ตารางที่ 2.2 การวิเคราะห์ระดับความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ (ต่อ) นักการศึกษา ระดับความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจ สมิท (Smith) 1. ระดับความเข้าใจตามตัวอักษร คือ ผู้อ่านสามารถเข้าใจเรื่องที่ผู้แต่ง เขียนได้ผ่านการอ่านตัวอักษร 2. ระดับขั้นตีความ ผู้อ่านสามารถแปลความหมายที่ผู้เขียนแฝงไว้ในเรื่อง ที่แต่งได้ 3. ระดับขั้นวิเคราะห์วิจารณ์ ผู้อ่านสามารถบอกได้ว่าเรื่องที่อ่านเป็นเรื่องจริง หรือเท็จ เกรย์ Gray) 1. ผู้อ่านเข้าใจคำในเรื่องที่อ่าน (Perception of word) 2. ผู้อ่านเข้าใจเนื้อเรื่องที่อ่าน (Comprehension of ideas) 3. ผู้อ่านสามารถแสดงความคิดเห็นจากเรื่องที่อ่านได้ (Reaction to ideas) 4. ผู้อ่านสามารถวิเคราะห์และบูรณเรื่องที่อ่านได้ (Integration of ideas) ผู้วิจัยสามารถสังเคราะห์ระดับความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ 1. ระดับเข้าใจตามตัวอักษร เป็นการอ่านที่ผู้อ่านสามารถบอกใจความสำคัญของเรื่องที่อ่านได้ ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไรหรืออย่างไร 2. ระดับการตีความ เป็นการอ่านที่ผู้อ่านสามารถบอกความรู้สึกของผู้เขียนหรือตัวละครได้ 3. ระดับการประเมินค่า เป็นการอ่านที่ผู้อ่านสามารถบอกได้ว่าเรื่องที่อ่านเรื่องไหนเป็นเรื่องจริง หรือเรื่องไหนเป็นเรื่องเท็จ คำถามที่ใช้วัดความเข้าใจในการอ่าน กฤษฎา โพธิ์ชัยรัตน์ และคณะ (2556 อ้างอิงจาก วาลมงต์ Valmont, 1997) เกี่ยวกับคำถาม ที่ใช้วัดความเข้าใจในการอ่านดังนี้ 1. คำถามที่เกี่ยวกับใจความหลักเป็นคำถามที่ครอบคลุมใจความของเนื้อเรื่อง 2. คำถามเกี่ยวกับรายละเอียดเป็นคำถามที่ปรากฎในเนื้อเรื่อง คำถามควรเป็นคำถามที่ง่าย ถามตรงไปตรงมา และไม่ควรถามคำถามที่ไม่เกี่ยวกับใจความหลักของเรื่อง 3. คำถามที่เกี่ยวกับการสรุปอ้างอิงจากเนื้อเรื่อง (Inferential Questions) เป็นคำถาม ที่ผู้อ่านตีความเองเกี่ยวกับเนื้อความที่ผู้เขียนได้แต่งเอาไว้ ซึ่งคำถามที่ถามจะไม่ปรากฎในเนื้อความ ที่ผู้เขียนแต่ง การถามแบให้ผู้อ่านตีความเอง เป็นการทดสอบความสามารถของผู้อ่านในการตัดสินใจ และพิจารณาเนื้อความ 4. คำถามเกี่ยวกับการสรุปใจความ เป็นคำถามที่ผู้อ่านต้องรู้เกี่ยวกับเนื้อหาหรือข้อความ ที่ปรากฎในเนื้อเรื่อง เพราะการถามเกี่ยวกับการสรุปใจความเป็นการถามที่สามารถทดสอบความ เข้าใจของผู้อ่านได้เป็นอย่างดี


5. คำถามเกี่ยวกับการจัดเรียงเนื้อความ (Organization Questions) มี 2 ลักษณะ คือ คำถามที่เกี่ยวกับการจัดระเบียบข้อความ เป็นเนื้อเรื่องสั้น ๆ ที่ที่เน้นทักษะการเขียนมากกว่าการอ่าน และคำถามที่เกี่ยวกับลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้อ่านต้องใช้ความเข้าใจในการอ่านเนื้อเรื่อง 6. คำถามเกี่ยวกับเหตุผล (Cause and Effect Questions) เป็นคำถามเกี่ยวกับเหตุและผล ผู้อ่านต้องรู้ทราบถึงสาเหตุของเรื่องว่าสืบเนื่องมาจากอะไร เช่น ถ้าผู้เขียนถามเกี่ยวกับเหตุผู้อ่าน จะต้องตอบเป็นผลตอบให้เป็นแนวทางเดียวกัน 7. คำถามที่เกี่ยวข้องกับคำศัพท์ (Vocabulary Questions) เป็นคำถามที่ถามเกี่ยวกับ คำจำกัดความของคำศัพท์ หรือความหมายของคำ วลี ที่อยู่ในเนื้อเรื่อง เพื่อเช็คว่าผู้อ่านรู้คำจำกัด ความ ความหมายของคำ วลี หรือไม่ ภัทธีรา มณีเลิศ (2546 อ้างอิงจาก นัททอล Nuttal, 1982) ได้แยกประเภทต่าง ๆ ของคำถามเพื่อความเข้าใจในการอ่าน ดังนี้ 1. คำถามที่ใช้วัดความเข้าใจตามระดับอักษร (Questions of Literal Comprehension) เป็นคำถามที่มีความสำคัญอันดับแรก เนื่องจากคำถามที่ใช้วัดความเข้าใจตามระดับอักษรจะเป็น คำถามที่มีคำตอบปรากฎอยู่ในเนื้อเรื่อง 2. คำถามที่ใช้วัดความเข้าใจในระดับการจัดเรียบเรียงเนื้อเรื่อง (Questions Involving Reorganization) เป็นคำถามที่เกี่ยวกับการเรียงเนื้อหา มีความยากกว่าคำถามที่ใช้วัดความเข้าใจ ตามระดับอักษรเพียงเล็กน้อย เพราะเป็นคำถามที่ใช้ถามเน้นการอ่านที่ให้ผู้อ่านเข้าใจในเนื่องเรื่อง ที่อ่านแบบภาพรวม 3. คำถามที่ใช้วัดความเข้าใจระดับสรุปอ้างอิง (Questions of Inference) เป็นคำถาม ที่ผู้อ่านต้องพิจารณาข้อความระหว่างบรรทัดว่าผู้แต่งมีความนัยแฝงอะไรเอาไว้ ซึ่งคำถามที่ใช้วัด ความเข้าใจระดับสรุปอ้างอิงจะเป็นคำถามที่มีความยากกว่าคำถามที่ใช้วัดความเข้าใจตามระดับอักษร และคำถามที่ใช้วัดความเข้าใจในระดับการจัดเรียบเรียงเนื้อเรื่อง เพราะคำถามที่ถามต้องการให้ผู้ตอบ ดึงเอาความนัยหรือความรู้ทางด้านไวยากรณ์มาใช้ตอบคำถาม เพื่อให้ให้ผู้อ่านเข้าใจความสัมพันธ์ ของความนัยของเนื้อเรื่อง 4. คำถามที่ใช้วัดความเข้าใจในระดับการประเมินผลเนื้อเรื่องที่อ่าน (Questions of Evaluation) เป็นคำถามที่ให้ผู้อ่านพิจารณาตัดสินเกี่ยวกับเนื้อเรื่อง ว่าผู้เขียนต้องการจะสื่อถึงอะไร โดยคำถามจะเป็นการถามเพื่อให้ผู้อ่านได้แสดงความเห็น หรือการตัดสินใจ คำถามชนิดนี้เป็นคำถาม ที่ชับซ้อนกว่าคำถามที่ใช้วัดความเข้าใจตามระดับอักษร คำถามที่ใช้วัดความเข้าใจในระดับการจัด เรียบเรียงเนื้อเรื่อง และคำถามที่ใช้วัดความเข้าใจระดับสรุปอ้างอิง เพราะไม่ได้ถามเพื่อให้ผู้อ่าน โต้ตอบเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องการถามเพื่อให้ผู้อ่านวิเคราะห์ข้อมูล หาเหตุผล และประเมิน จุดมุ่งหมายของผู้เขียนอีกด้วย 5. คำถามเกี่ยวกับความคิดเห็นส่วนตัวของผู้อ่าน (Questions of Personal Response) เป็นคำถามที่คำตอบขึ้นอยู่กับผู้อ่านมากกว่าผู้เขียน เพราะเป็นคำถามที่ให้ผู้อ่านแสดงความคิดเห็น โดยที่ผู้อ่านไม่ต้องคำนึงว่าวิธีการเขียนที่ผู้เขียนใช้เขียนบทอ่าน ผู้อ่านคำนึงถึงแค่ปฏิกิริยาของตนเอง กับบทอ่านเพียงเท่านั้น


จากคำถามที่ใช้วัดความเข้าใจในการอ่านที่กล่าวมานั้น สรุปได้ว่า คำถามที่จะใช้ในการวัด ความเข้าใจของผู้อ่านสามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้ 1. คำถามที่ครอบคลุมเนื้อเรื่องทั้งหมด เป็นคำถามที่ง่าย ตรงประเด็น และมีคำตอบอยู่ในเนื้อเรื่อง 2. คำถามที่ผู้อ่านได้ตีความหรือสรุปความ จากเรื่องที่อ่าน เป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบในเนื้อเรื่อง ผู้อ่านจะต้องตีความว่าผู้เขียนต้องการจะสื่อ ถึงอะไรด้วยตนเอง 3. คำถามที่เกี่ยวกับการเรียงลำดับเหตุการณ์ ผู้อ่านต้องเข้าใจเนื้อเรื่องที่อ่าน ก่อนที่จะตอบคำถาม 4. คำถามที่ให้ผู้อ่านหาเหตุและผล ผู้อ่านต้องวิเคราะห์และหาเหตุผลของเรื่อง ที่อ่านให้ได้ เน้นคำตอบที่แสดงความคิดเห็นของผู้อ่านมากกว่าผู้เขียน การวัดและประเมินผลการอ่านเพื่อความเข้าใจ วิธีการวัดความเข้าใจจากเรื่องที่อ่าน เน้นการสอนที่ให้ผู้เรียนทําความเข้าใจเรื่องที่อ่าน เป็นหลัก โดยการวัดและการประเมินผลการอ่านต้องประเมินจากความเข้าใจในเรื่องที่อ่าน ซึ่งการประเมินผลจะแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการเรียนการสอน ดังที่นักการศึกษา ได้สรุปการวัดและการประเมินผลการอ่านไว้ ดังนี้ สถิรพร รักษ์คัมภีร์(2560 : 27 อ้างอิงจาก ฟินอคเซียโร และซาโกะ Finocchiaro and Sako, 1983) ได้แบ่งแบบทดสอบความเข้าใจในการอ่านเป็น 2 แบบ คือ 1. แบบทดสอบอัตนัย (Subjective test) ได้แก่ แบบทดสอบความเรียงที่ให้ผู้เรียนตอบ คําถามจากเรื่องที่อ่าน โดยเขียนคําตอบเป็นประโยคหรือข้อความยาว ๆ 2. แบบทดสอบแบบปรนัย (Objective test) ได้แก่ แบบทดสอบแบบเลือกตอบ แบบถูกผิด แบบจับคู่และแบบเติมคํา เป็นต้น ในการวัดและประเมินผลความเข้าใจในการอ่านนิยมใช้ แบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ (Multiple choices) เพราะเป็นแบบทดสอบที่มีความเที่ยงตรงสูง ซึ่งมีการกําหนดคำตอบไว้ชัดเจนและเกณฑ์การให้คะแนนเหมือนกันไม่ว่าใครจะเป็นผู้ตรวจ นอกจากนี้การตรวจให้คะแนนจะสะดวกรวดเร็วเพราะคําตอบที่ถูกต้องนั้นมีเพียงคําตอบเดียว และใช้เวลาในการทําแบบทดสอบน้อย รวมทั้งยังสามารถถามได้ครอบคลุมเนื้อหาหลาย ๆ ด้าน และสามารถใช้วัดกับผู้สอบทุกระดับ สําหรับการวัดและการประเมินการอ่านแบ่งตาม เอเบอร์โชลด์ และฟิลด์ Aebersold and Field (1997) สามารถแบ่งได้ 2 วิธี ดังต่อไปนี้ คือ 1. วิธีวัดและประเมินการอ่านแบบดั้งเดิม (Traditional Method of Testing Reading) ได้แก่ ข้อคําถามแบบตัวเลือก (Multiple-choice Questions) เป็นการวัดที่น่าเชื่อถือ การทดสอบคําศัพท์ (Vocabulary tests) คําถามประเภท โคลซ (Cloze) คําถามที่ตอบสั้นและคําถามปลายเปิด (Short answer and open-ended Questions) และการเติมประโยคให้สมบูรณ์ (Completion tasks) 2. วิธีการวัดและประเมินการอ่าน ในรูปแบบอื่น ๆ (Alternative methods of assessing reading) ได้แก่ การเขียนบันทึก (Journal) แฟ้มสะสมงาน (Portfolios) การบ้าน การสังเกตของครูผู้สอน (Teacher assessment through observation) การประเมินตนเอง (Self-assessment) และการประเมินจากเพื่อนผู้เรียน (Peerassessment) จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้นพอสรุปได้ว่า มีวิธีการวัดและการประเมินการอ่านที่นิยมใช้มี 2 แบบ คือ แบบปรนัย และแบบอัตนัย ซึ่งผู้สอนสามารถนําหลักการวัดและการประเมินการอ่าน


ไปประยุกต์ใช้ ให้สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ เพื่อนําไปสู่การวัดและการประเมินการอ่าน ที่เที่ยงตรง น่าเชื่อถือและสามารถนําผลที่ได้ไปปรับปรุงแก้ไขจุดบกพร่องในความสามารถในการอ่าน ของผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม ความหมายของเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม Augmented Reality หรือที่เรียกว่า ความเป็นจริงเสริม เป็นคำที่พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน สาขาคอมพิวเตอร์ (2544) ได้บัญญัติไว้ในพจนานุกรม นอกจากนี้ได้มีนักวิชาการ หลายท่าน บอเรอะ โร และมาเกวซ Borrero & Márquez (2012) ; คำมิกเนียนิและคณะ Carmigniani et al. (2011) ; จูลี่ และบอร์โก Julie & Borko (2010) ได้นิยามความเป็นจริงเสริม ที่มีความหมายใกล้เคียงกัน โดยสรุปได้ดังนี้ ความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality) เป็นการนำความจริง และสิ่งเสมือนจริง ที่อยู่ในรูปแบบดิจิทัลมารวมไว้ด้วยกัน โดยการเชื่อมโยงผ่านวัสดุหรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง จากนั้นภาพเสมือนจริงก็จะแสดงผลผ่านหน้าจออุปกรณ์ของผู้ใช้ ส่วน (บัญญพนต์ พลสวัสดิ์, 2554 ; จำรัส กลิ่นหนู, 2556) ได้นิยามความเป็นจริงเสริมว่า เป็นวิธีการซ้อนภาพ 3 มิติของเทคโนโลยีที่อยู่ใน โลกเสมือนจริงให้ปรากฎ ณ เวลาปัจจุบัน (Real time) ของโลกความเป็นจริงหรือที่เรียกว่า การทำงานที่อยู่ตรงหน้าให้มีรายละเอียดเพิ่มเติม โดยรายละเอียดที่เพิ่มเติมเข้ามาจะแสดงผลผ่าน หน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จากความหมายที่กล่าวมาสรุปได้ว่า ความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality) หมายถึง การผสมผสานโลกแห่งความเป็นจริงและโลกเสมือน มีการเชื่อมโยงผ่านกล้องของอุปกรณ์ โดยรูปแบบ การแสดงผลขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้พัฒนา นอกจากนี้พบว่ารูปแบบของสื่อความ เป็นจริงเสริมจะมีจุดประสงค์ในการใช้งานหรือลักษณะในการทำงานแตกต่างกันขึ้นอยู่กับความต้องการ ของผู้ใช้ รูปแบบของเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม ความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality หรือ AR) จำแนกได้ 2 รูปแบบ คือ 1. ตามลักษณะการทำงาน 1) การแสดงผลความจริงเสริมแบบมองผ่านเลนส์ (Optical See-through Augmented Reality Display) ผู้ใช้จะต้องมีอุปกรณ์ที่สามารถแสดงผลการรวมภาพจริง ภาพเสมือนจริงในการลดแสง และการสะท้อนแสง 2) การแสดงผลความจริงเสริมโดยใช้เครื่องฉายภาพ (Projector Based Augmented Reality) เป็นการเพิ่มรายละเอียดให้กับอุปกรณ์โดยการฉายภาพให้แสดงผลไปยังอุปกรณ์ที่ต้องการ (Texture) 3) การแสดงผลความจริงเสริมโดยมองผ่านกล้องวิดีโอ (Video See-through Augmented Reality) เป็นการเก็บภาพสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่มองเห็นจริงด้วยกล้องวิดีโอแล้วนำ วีดิโอที่ได้ไปปรับเปลี่ยน แก้ไขด้วยคอมพิวเตอร์ จากนั้นนำวีดิโอที่ได้ไปแสดงผลกับอุปกรณ์จอภาพ ครอบศีรษะ (Head-Mounted Display) เป็นอุปกรณ์แสดงผลอยู่ตรงตาของผู้ใช้


4) การแสดงผลความจริงเสริมโดยใช้จอภาพ (Monitor-Based Augmented Reality เป็นการใช้กล้องวีดิโอในการบันทึกภาพจริง ข้อมูลที่ได้จากการบันทึกก็จะถูกส่งไปยังคอมพิวเตอร์ เพื่อนำไปใช้ในการสร้างภาพกราฟิก จากนั้นข้อมูลที่ได้ก็จะถูกนำไปรวบรวมกับภาพจริงที่ได้ จากการบันทึกวีดิโอแล้วนำไปแสดงผลผ่านหน้าจอ หากผู้ใช้ต้องการสร้างภาพในลักษณะสองตา ที่เห็นภาพผู้ใช้ต้องสวมแว่นสตอริโอแล้วสลับกล้องไปมา เพื่อให้การแสดงผลของภาพนั้นเหมือนการมอง ด้วยสองตา 2. ตามการนำเสนอเนื้อหา 1) การประมวลผลรูปภาพ (Maker-based AR) เป็นการนำเสนอโดยใช้ภาพสัญลักษณ์ หรือ QR Code เป็นรูปแบบที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากสะดวกต่อการจัดทำข้อมูล และง่ายต่อการใช้งาน ซึ่งวิธีการประมวลผลผู้ใช้สามารถนำภาพสัญลักษณ์ หรือที่เรียกว่า Marker มาสะท้อนผ่านหน้ากล้อง จากนั้นภาพสัญลักษณ์ หรือ Marker ก็จะสามารถสร้างภาพที่ทำขึ้น จาก JPEG, GIF หรือ PNG ได้เอง เละแสดงผลผ่านหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของผู้ใช้ 2) การใช้งานร่วมกับระบบจีพีเอส (GPS Based AR) ส่วนมากเป็นการเชื่อมต่อ ในการค้นหาสถานที่ หรือร้านค้าของนักท่องเที่ยวและผู้ที่อาศัยอยู่ต่างประเทศ เป็นการเชื่อมต่อระบบ เครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกประมวลผลในอินเทอร์เน็ตมาแสดงผลในอุปกรณ์ของผู้ใช้ เช่น มือถือ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์พกพา เป็นต้น ณัฐพล ปฐมอารีย์(2547) ; บัญญพนต์ พูลสวัสดิ์(2554) เห็นได้ว่าลักษณะของความเป็นจริงเสริมที่ใช้การประมวลผลรูปภาพ (Maker-based AR) และการใช้ งานร่วมกับระบบจีพีเอส (GPS Based AR) เป็นการใช้งานผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ เนื่องจากสะดวก ต่อการใช้งานและพกพา ซึ่งสอดคล้องกับ กิดานันท์ มลิทอง (2548 : 109-110) ที่เสนอว่า สื่อที่ใช้ใน การจัดการเรียนรู้ควรเป็นสื่อที่ผู้เรียนสามารถเข้าถึงได้ง่ายและเรียนรู้ด้วยตนเองได้ไม่ยุ่งยาก หรือซับซ้อน จากที่กล่าวมาข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า ความเป็นจริงเสริมสามารถจำแนกได้เป็น 2 รูปแบบ คือ ตามลักษณะการทำงาน โดยผู้ใช้สามารถนำข้อมูลที่ต้องการมาแสดงผลผ่านอุปกรณ์ต่าง ๆ ของผู้ใช้ส่วนตามการนำเสนอเนื้อหา ผู้ใช้สามารถใช้ภาพสัญลักษณ์ QR Code หรือการเชื่อมต่อ ระบบอินเตอร์เน็ตในการประมวลผลข้อมูลผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ แอปพลิเคชันในการทำงานของความเป็นจริงเสริม ในปัจจุบันมีแอปพลิเคชันที่ใช้ทำงานร่วมกับความเป็นจริงเสริมหลากหลายแอปพลิเคชัน ซึ่งแอปพลิเคชันที่ผู้วิจัยจะกล่าวถึงต่อไปนี้ เป็นแอปพลิเคชันที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียน นิพนธ์ บริเวธานันท์(2552) 1) Layar Application เป็นโปรแกรมที่ใช้หาสถานที่ โดยแอปพลิเคชัน Layar จะทำ หน้าที่เป็นตัวกลางในการสแกนหาตำแหน่ง หรือที่ตั้งของสถานที่ เช่น หาปั๊มน้ำมัน ผู้ใช้สามารถยกมือ ถือมาส่องดูบริเวณ รอบ ๆ ผ่านกล้องมือถือ จากนั้นโปรแกรมจะชี้ตำแหน่งที่ตั้งของปั้มน้ำมัน ที่ต้องการผ่านหน้าจอมือถือ


Click to View FlipBook Version