The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Pranpariya245, 2023-10-18 03:30:04

เล่มวิทยานิพนธ์ฉบับสมบูรณ์

เล่มสมบูรณ์

2) Junaio Application เป็นเบราว์เซอร์ที่ใช้ดูวัตถุจำลองแบบสามมิติ สามารถรองรับ ระบบปฏิบัติการ Android และ IOS โดยการนำกล้องมือถือไปส่องสิ่งของต่าง ๆ จากนั้นข้อมูลก็จะถูก ประมวลผลผ่านระบบเครือข่าย 3G และ 4G บนมือถือ 3) Vidinoti เป็นแอปพลิเคชันที่ใช้ในการสร้างสื่อความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality) เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อโลกของความจริงและโลกของความจริงเสมือน สามารถแสดงผล ให้อยู่ในรูปแบบของภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียง หรือการเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์ต่าง ๆ เหมาะสำหรับ อุปกรณ์ที่รองรับระบบปฏิบัติการ Android และ IOS กล่าวสรุปได้ว่า แอปพลิเคชันส่วนใหญ่มีลักษณะและวัตถุประสงค์ในการใช้งานที่แตกต่างกัน บางแอปพลิเคชันเน้นการหาตำแหน่งที่ตั้งของสถานที่หรือการจำลองภาพสามมิติ โดยสามารถใช้ อุปกรณ์เคลื่อนที่เป็นอุปกรณ์ในการแสดงผล เมื่อเปรียบเทียบจากลักษณะการทำงานพบว่า Vidinoti เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้สำหรับสร้างสื่อเทคโนโลยีความจริงเสริมอย่างง่ายเหมาะสำหรับการจัดการเรียนรู้ ของผู้เรียน เนื่องจาก Vidinoti เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงโลกของความจริง และโลกของความจริง เสมือนเข้าด้วยกัน ประกอบด้วย V-Director เป็นตัวสร้างสำหรับผู้พัฒนาสื่อ (ผู้สอน) และ V-Player เป็นตัวอ่านสำหรับผู้ใช้งาน (ผู้เรียน) การแสดงผลของแอปพลิเคชันสามารถแสดงผลออกมาในรูปแบบ สื่อ ปฎิสัมพันธ์ตามที่ผู้วิจัยได้กำหนดไว้ สิ่งที่นำมาใช้ในการสร้างสื่อความเป็นจริงเสริม เป็นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เกมออนไลน์ทดสอบความรู้สื่อมัลติมีเดียหรือสื่ออื่น ๆ ที่ผู้ใช้งานสามารถ เชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ต่าง ๆ ได้ สอดคล้องกับงานวิจัยของ พัชรี ปุ่มสันเทียะ เเละคณะ (2563) ; ดิษลดา เพชรเกลี้ยง (2565) ; เรืองนภา ชอไชยทิศ เเละคณะ (2564) ที่ได้ใช้ Vidinoti มาเป็นแอป พลิเคชันในการสร้างสื่อความเป็นจริงเสริมอย่างง่ายที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอน เพื่อพัฒนา ผลสัมฤทธิ์หรือทักษะด้านต่าง ๆ ของผู้เรียน ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงเห็นว่า Vidinoti เป็นแอปพลิเคชัน ที่เหมาะกับการพัฒนาเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง เพื่อพัฒนา ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ เนื่องจากมีรูปแบบในการนำเสนอเนื้อหา ที่หลากหลายดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น อีกทั้งส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิด ซึ่งนำไปสู่การทำความเข้าใจ กับเรื่องที่อ่าน และการใช้แอปพลิเคชัน Vidinoti ที่ผู้วิจัยต้องการพัฒนาได้ดียิ่งขึ้น ความพึงพอใจ ความหมายของความพึงพอใจ นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของความพึงพอใจไว้แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้ กรรณิกา โสมชัย (2553) ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจไว้ว่า ความรู้สึกของบุคคล ที่ได้ทำงานในสิ่งที่ตนเองชอบและงานที่ทำประสบผลสำเร็จ ทำให้บุคคลเกิดความรู้สึกเชิงบวก รวมไปถึงเกิดความพึงพอใจในงานที่ทำ ทำให้บุคคลมีความกระตือรือร้นในการทำงานและประสิทธิผล ของการทำงาน ทองสุข นะธะศิริ (2553) ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจไว้ว่า หมายถึง ความรู้สึก ที่บุคคลชอบสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จะเกิดขึ้นกับบุคคลที่ได้รับสิ่งที่ต้องการหรือทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งแล้ว จากการศึกษา


ประทุม สระทองยอด (2547) ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจไว้ว่า เมื่อบุคคลได้รับ ในสิ่งต้องการจะทำให้บุคคลนั้นเกิดความรู้สึกต่อสิ่งนั้น แต่ถ้าไม่ได้รับในสิ่งที่ต้องการก็จะทำให้ ความรู้สึกนั้นลดลงหรือไม่เกิดขึ้น วีณารัตน์ ราศิริ (2552) ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจไว้ว่า ความรู้สึกหรือทัศนคติ ที่มีต่อความหวังและความตั้งใจในการทำสิ่งต่าง ๆ ถ้าสิ่งที่ทำสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีความพึงพอใจ ก็จะมากตามไปด้วย หากสิ่งที่ทำได้ผลตรงกันข้ามกับที่ตั้งเป้าเอาไว้ก็จะทำให้เกิดความพึงพอใจน้องลง ตามไปด้วย สุรเกียรติ สนิทมาก (2547) ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจไว้ว่า หมายถึง การเรียนรู้ ที่เป็นไปตามความคาดหวังที่ตั้งเอาไว้จนเกิดเป็นการยอมรับ และกลายเป็นความรู้สึกหรือทัศนคติที่ดี ความหมายของความพึงพอใจที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า ความรู้สึกพึงพอใจของผู้เรียน ในแง่ของชอบ-ไม่ชอบหรือทัศนคติเชิงบวกหรือเชิงลบที่มีต่อปัจจัยหรือสิ่งเร้าภายนอกในรูปแบบ ของสรรพสิ่ง กิจกรรมที่ผู้เรียนคาดหวังไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ทำการ สังเคราะห์องค์ประกอบความพึงพอใจร่วมกับแนวทางการทำแบบสอบถามการประเมินความพึงพอใจ ที่ผู้วิจัยศึกษาจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และนำมาจัดทำเป็นแบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียน จำแนกออกเป็น 2 ประเด็น ได้แก่ ด้านการใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม AR ด้านกิจกรรมการเรียน การสอนโดยบูรการเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม AR ร่วมกับการสอนอ่านแบบกว้างขวาง องค์ประกอบของความพึงพอใจ กรรณิกา โสมชัย (2553 อ้างอิงจาก เฮอร์ซเบิร์ก และคณะ Herznerg and other, 1959) ได้กล่าวถึงทฤษฎีสองปัจจัยว่าปัจจัยหรือองค์ประกอบต่างๆ ที่ทำให้เกิดความพึงพอใจในการทำงาน และความไม่พึงพอใจในการทำงาน ประกอบด้วย 2 ปัจจัย ได้แก่ 1. ปัจจัยอนามัยค้ำจุน (Hygiene Factor) เป็นปัจจัยพื้นฐานที่เกี่ยวกับสภาพแวดล้อม ที่ทุกคนจะต้องได้รับ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จำเป็นจะต้องได้รับให้เหมาะสมกับงานที่ทำ เพื่อให้เกิด ความพึงพอใจในงานที่ทำ ซึ่งมีอยู่ 11 ประการ คือ 1.1 เงินเดือน 1.2 โอกาสที่จะได้รับความก้าวหน้าในอนาคต 1.3 ความสัมพันธ์กับผู้ใด้บังคับบัญชา 1.4 ฐานะอาชีพ 1.5 ความสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา 1.6 ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน 1.7 การปกครองบังคับบัญชา 1.8 นโยบายและการบริหารงาน 1.9 สภาพการทำงาน 1.10 สภาพความเป็นอยู่ส่วนด้ว 1.11 ความมั่นคงในการทำงาน


2. ปัจจัยเป็นตัวจูง (Motivator Factor) กล่าวได้ว่า ปัจจัยที่กระตุ้นเกี่ยวกับการประกอบ กิจกรรมต่าง ๆ มี 5 ประการ คือ 2.1 ความสำเร็จของงาน (Achievement) 2.2 การได้รับการยอมรับนับถือ (Recognition) 2.3 ลักษณะของงาน (Work Itself) 2.4 ความรับผิดชอบ (Responsibility) 2.5 ทฤษฎีความคาคหมาย (Expectancy theory) กรรณิกา โสมชัย (2553 อ้างอิงจาก กิลเมอร์ และคณะ Gilmer and other, 1971) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ที่มีผลต่อความพึงพอใจจะต้องประกอบด้วย 1) ความมั่นคงปลอดภัย 2) โอกาสก้าวหน้าในการทำงาน เช่น การรับสิ่งตอบแทนจากความสามารถในการทำงาน 3) บริษัทและฝ่ายจัดการ ได้แก่ ความพอใจในชื่อเสียงของที่ทำงานและการจัดการของฝ่ายจัดการ 4) ค่าจ้าง 5) ลักษณะของงานทำ 6) การบังคับบัญชา 7) ลักษณะทางสังคม 8) การคมนาคม และการติดต่อสื่อสาร 9) สภาพการทำงาน 10) สิ่งตอบแทน กรรณิกา โสมชัย (2553 อ้างอิงจาก มิลตัน Milton, 1981) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบที่มีผล ต่อความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน คือ 1)ลักษณะงาน 2) เงินเดือน 3)การเลื่อนตำแหน่งในการทำงาน 4) การได้รับการยอมรับนับถือ 5) ผลประโยชน์ที่ได้ 6) สภาพการทำงาน 7) การนิเทศงาน 8) ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน 9) การบริหารงาน จากการศึกษาองค์ประกอบของความพึงพอใจ ที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า ความพึงพอใจในการทำงานนั้น มี 2 องค์ประกอบ คือ 1. องค์ประกอบ เกี่ยวกับงาน คือ ลักษณะของงาน การยอมรับนับถือ ความสำเร็จและความก้าวหน้าในตำแหน่งงาน 2. องค์ประกอบที่เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของงาน คือ การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างของบุคคลในองค์กร ความมั่นคงในการทำงาน รายได้ และการบริหารงาน กรรณิกา โสมชัย (2553 อ้างอิงจาก บาร์นาร์ด Barnard, 1972) ได้กล่าวถึงสิ่งที่ใช้จูงใจ ถูกใช้เป็นเครื่องมือบุคคลในองค์กรหรือผู้บริหาร เพื่อนำไปใช้กระตุ้นบุคคลให้เกิดความพึงพอใจในการ ทำงาน เครื่องมือที่ใช้ในการกระตุ้นบุคคลมีดังนี้ 1) สิ่งสูงใจที่เป็นวัตถุ ได้แก่ เงิน สิ่งของที่มอบให้ ผู้ปฏิบัติงานเป็นการตอบแทน 2) สิ่งจูงใจที่เป็นโอกาสของบุคคล ได้แก่ ตำแหน่งในหน้าที่การงาน 3) ผลประโยชน์ทางอุดมคติ ได้แก่ การแสดงความสามารถของบุคคลในหน่วยงาน เพื่อให้บุคคล ในหน่วยงานได้แสดงฝีมือ และรู้สึกว่าทุกคนมีเท่าเทียมกัน 4) แรงจูงใจในสังคม 5) การปรับ สภาพแวดล้อมในการทำงาน 6) การมีส่วนร่วมในงานที่ทำ 7) การอยู่ร่วมกันหรือความมั่นคงในสังคม ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ทำการสังเคราะห์องค์ประกอบความพึงพอใจข้างต้น ร่วมกับแนวทางการทำแบบสอบถามการประเมินความพึงพอใจที่ผู้วิจัยศึกษาจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และนำมาจัดทำเป็นแบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียน จำแนกออกเป็น 3 ประเด็น ได้แก่ ด้านการใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม AR ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน และด้านการวัดและ ประเมินผล


งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง งานวิจัยภายในประเทศ งานวิจัยที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม พัชรี ปุ่มสันเทียะ และคณะ (2563) ศึกษาเรื่องการพัฒนาและประเมินคุณภาพของสื่อ การเรียนการสอนด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน และหลังเรียนของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ พบว่า คุณภาพ ของสื่อการเรียนการสอนด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมด้านเนื้อหาอยู่ในระดับมาก (M = 4.42, SD = 0.83) ด้านเทคนิคอยู่ในระดับมากที่สุด (M = 4.61, SD = 0.50) 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t-test = 14.61) รัตติยากร วาปีกัง และคณะ (2563) ศึกษาเรื่องการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยี ความเป็นจริงเสริมให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 85/85 และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ความสามารถ ด้านการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของผู้เรียนก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยี ความเป็นจริงเสริมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/3 โรงเรียนฤทธิณรงค์รอน พบว่า ประสิทธิภาพ กระบวนการ (E1) มีค่า 86.94 และประสิทธิภาพผลสัมฤทธิ์ (E2) มีค่า 84.38 ซึ่งสูงกว่าสมมติฐาน ที่กำหนดไว้ และคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษหลังการจัดการเรียนรู้ด้วย เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (เออาร์) คิดเป็นค่าเฉลี่ย 25.31 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เกวลี ผาใต้ และณัฐพล รำไพ (2564) ศึกษาเรื่องประสิทธิผลของการเรียนรู้ด้วยสื่อบัตรภาพ ร่วมเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของการเรียนรู้ด้วยสื่อบัตรภาพร่วม เทคโนโลยีความจริงเสริมของนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนชุมชนไมตรีอุทิศ พบว่าสื่อ บัตรภาพร่วมกับเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม เรื่่องวัสดุรอบตัวเราสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา ปีที่่ 2 มีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก มีประสิทธิภาพ 87/90 ตามเกณฑ์ที่่กำหนดและผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของกลุ่มเป้าหมายมีคะแนนสูงกว่าคะแนนก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .05 วิภาวี เจียมบุศย์ และคณะ (2564) ศึกษาเรื่องการพัฒนาการจำลองนวัตกรรมการจัดการ เรียนรู้ภาษาอังกฤษ เพื่อการสื่อสารด้วยเกมวอล์คแรลลี่และเทคโนโลยีโลกเสมือนจริงผสานโลก ความจริง และประสิทธิภาพของแบบจำลองนวัตกรรมการจัดการการเรียนรู้ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/9 โรงเรียนโพธิสารพิทยากร พบว่าแบบจำลองนวัตกรรมการจัดการการเรียนรู้ ที่เหมาะสมและมีคุณค่าในการนำไปใช้พบว่าอยู่ในระดับมากที่สุด (̅= 4.76 S.D. = 0.44) และ ประสิทธิภาพในการเรียนรู้ด้วยแบบจำลองนวัตกรรมการจัดการการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนด (E1/E2 = 91.69/ 84.53) สุดารัตน์ โยชน์เยื้อน และคณะ (2563) ได้ทำการวิจัยเพื่อศึกษาการเปรียบเทียบคะแนนก่อน เรียน และคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง Causative Form ที่เรียนด้วยเอกสารประกอบการ เรียน โดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสันติราษฎร์ วิทยาลัย ผลการศึกษาพบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าคะแนนก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ ที่ .05


จากงานวิจัยที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม สามารถสรุปได้ว่า การเรียนรู้ด้วย เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม เป็นสื่อที่ช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาที่เรียน อีกทั้งยังเป็นสื่อการ สอนที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้ดี และส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนเพิ่มสูงขึ้น งานวิจัยที่เกี่ยวกับประสิทธิภาพ จุฬาลักษณ์ สุทิน (2561) ได้ศึกษาประสิทธิภาพของหนังสืออ่านเพิ่มเติม ภาษาอังกฤษ ชุดภูมิปัญญาท้องถิ่นนครศรีธรรมราช ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการอ่าน และทัศนคติต่อการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับชั้น ปวช. ปีที่ 2 วิทยาลัยช่างศิลป นครศรีธรรมราช พบว่าหนังสือ อ่านเพิ่มเติมชุดภูมิปัญญาท้องถิ่นนครศรีธรรมราชมี ประสิทธิภาพ 84.60/81.07 ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียนโดยใช้หนังสือเพิ่มเติม ภาษาอังกฤษชุดภูมิปัญญาท้องถิ่นนครศรีธรรมราช สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติ .05 มาตา วงค์ชารี (2566) ได้ศึกษาการพัฒนาประสิทธิภาพและความสามารถการรับรู้ ด้านการฟังประโยคคำสั่งภาษาอังกฤษ โดยใช้การสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (TPR) ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหนองบัววิทยายน พบว่าการพัฒนาประสิทธิภาพของความสามารถ การรับรู้ด้านการฟังประโยคคำสั่งภาษาอังกฤษ โดยใช้การสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (TPR) มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ 76.73/75.83 สูงกว่าเกณฑ์70/70 ที่กำหนด และผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .05 , นพรัตน์ ปัญญาดิลกพงศ์(2562) ได้ทำการวิจัยประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อเน้นความเข้าใจจากหนังสือพิมพ์และการใช้พจนานุกรม โดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบปฏิบัติสำหรับนักศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พบว่าประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อเน้นความเข้าใจจากหนังสือพิมพ์ และการใช้พจนานุกรม 82.16/81.25 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนด และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .05 จากงานวิจัยที่เกี่ยวกับประสิทธิภาพสรุปได้ว่า ประสิทธิภาพของสื่อการเรียนการสอน และคะแนนของผู้เรียนหลังเรียนเพิ่มขึ้นจากก่อนเรียนขึ้นอยู่กับรูปแบบและวิธีการสอนที่เหมาะสม กับผู้เรียน งานวิจัยที่เกี่ยวกับการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ จุราภรณ์ ปฐมวงษ์ (2565) ศึกษาเรื่องการพัฒนารูปแบบการสอนเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่ารูปแบบการสอน มี 4 องค์ประกอบ คือ 1) องค์ประกอบด้านหลักการ 2) องค์ประกอบด้านวัตถุประสงค์ 3) องค์ประกอบ ด้านกระบวนการสอน 4) องค์ประกอบด้านระบบสนับสนุน กระบวนการในการสอนมี5 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นกระตุ้นความสนใจ (Stimulating activity) ขั้นสอนคำศัพท์ (Checking new vocabulary) ขั้นถามคำถาม (Asking question) และในขั้นตอนนี้มีรูปแบบการถามคำถามตามรูปแบบ


CHURAPORN ขั้นลงมืออ่านบทอ่าน (Action and brainstorming) ขั้นทบทวนและประเมินผล (Review and assessment) ประสิทธิภาพของรูปแบบการสอน เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ สำหรับนักเรียนนมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีค่าเท่ากับ 83.24/82.97 สูงกว่า เกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้นักเรียนมีทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจหลังเรียนด้วยรูปแบบการ สอนเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 กชภร ภัทรประเสริฐ และคณะ (2564) ศึกษาเรื่องการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริม การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ โดยใช้วิธีสอนแบบบูรณาการของเมอร์ดอกช์ (MIA) ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 พบว่า 1) ประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการอ่าน ภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจโดยใช้วิธีสอนแบบบูรณาการของเมอร์ดอกช์ (MIA) ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพ (E1/E2) 82.20/80.63 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 75/75 2) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีคะแนนความสามารถทางการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 3) ความพึงพอใจที่มีต่อการจัด กิจกรรมการเรียนรู้การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้วิธีสอนอ่านแบบบูรณาการของ เมอร์ดอกช์ (MIA) โดยรวมอยู่ในระดับมาก วิกรม จันทรจิตร และภัทร์ธีรา เทียนเพิ่มพูล (2564) ศึกษาเรื่องการพัฒนาทักษะการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักศึกษาระดับปริญญาตรีโดยใช้รูปแบบการสอนอ่านแบบกว้างขวาง ร่วมกับการสอนกลวิธีการอ่าน พบว่าหลังจากการสังเคราะห์ขั้นตอน และวิธีการสอนอ่าน แบบกว้างขวางร่วมกับการสอนกลวิธีการอ่าน ทำให้ได้รูปแบบการสอนแบบ MIRES Model ซึ่งรูปแบบดังกล่าวเป็นรูปแบบที่ถูกพัฒนาขึ้น โดยประกอบด้วยขั้นตอนการสอน 5 ขั้น ได้แก่ 1) สาธิต กลวิธี Modeling of Reading Strategies 2) ฝึกฝนกลวิธีในชั้นเรียน Intensive Reading Practice 3) ฝึกฝนการอ่าน Reading Engagement 4) ขยายประสบการณ์อ่าน Extend Reading Experience 5) ร่วมกันแบ่งปัน Sharing Community และเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบผลคะแนน ทดสอบทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจของนักศึกษาก่อนและหลังใช้รูปแบบการสอน พบว่ามีคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 9.65 เป็น 13.18 คะแนน ซึ่งแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05 จากงานวิจัยที่เกี่ยวกับการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสามารถสรุปได้ว่า ผู้เรียน จะมีคะแนนหลังเรียนเพิ่มขึ้นจากก่อนเรียนในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจขึ้นอยู่กับรูปแบบ และวิธีการสอนที่เหมาะสมกับผู้เรียน งานวิจัยต่างประเทศ งานวิจัยที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม เชง Cheng (2017) ศึกษาประสิทธิภาพของการใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม ในการเรียนรู้คำศัพท์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 66 คน พบว่าการสอนคำศัพท์ โดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมมีประสิทธิภาพ และคุ้มค่ามากกว่าการเรียนรู้โดยใช้บัตรคำศัพท์ แบบเดิม


เชน และคณะ Chen et al. (2018) ศึกษาเรื่องการบูรณาการเทคโนโลยีความจริงเสริม และรูปแบบการเรียนรู้ด้วยเกมเพื่อปรับปรุงแรงจูงใจและประสิทธิผลของการเรียนรู้คำศัพท์ ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 46 คน พบว่าการใช้เทคโนโลยีความจริง เสริมมีผลดีต่อการสร้างแรงจูงใจ และประสิทธิภาพต่อการเรียนของนักเรียน ยาคอบ Yaacob et al. (2019) ศึกษาการใช้บัตรคำศัพท์ที่สร้างด้วยเทคโนโลยี ความเป็นจริงเสริมเป็นเครื่องมือเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนในชนบทที่มี ความสามารถในการเรียนรู้คำศัพท์ต่ำของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 จำนวน 10 คน พบว่าผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนคำศัพท์ผ่านบัตรคำศัพท์ที่สร้างด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมของนักเรียนทั้งหมดดีขึ้น อีกทั้งเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมสามารถสร้างแรงจูงใจ และการมีส่วนร่วมในชั้นเรียนของนักเรียน ได้ดี จากงานวิจัยที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม สามารถสรุปได้ว่า การเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยี ความเป็นจริงเสริมช่วยสร้างแรงจูงใจ และประสิทธิภาพในการเรียนให้กับผู้เรียน งานวิจัยที่เกี่ยวกับประสิทธิภาพ จูเลียส โรเซนเฟลด์ (2017) ได้ศึกษาประสิทธิภาพการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ พบว่าประสิทธิภาพเป็นตัวกำหนดความสามารถของผู้สอนในการให้ความรู้ในช่วงเวลาที่สั้น ๆ ความรู้ ถูกเข้าใจว่าเป็นความสามารถในการเรียกคืนข้อมูลที่เก็บไว้ในหน่วยความจำโดยไม่ต้องอาศัยความ ช่วยเหลือใดๆ และสัมพันธ์กับทฤษฎีของบลูมเกี่ยวกับกระบวนการรับรู้ในการเรียนรู้ ได้แก่ การจดจำ ความเข้าใจ และความสามารถในการใช้ข้อมูล โดยมีการทำแผนงานที่สามารถนำไปใช้สอนในเวลา ที่จำกัดเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในห้องเรียนและสามารถประยุกต์ใช้ในกระบวนการจัดการเรียน การสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โบ เกา (2019) ได้ศึกษาการสอนภาษาอังกฤษแบบ MOOC ที่มีประสิทธิภาพสูง โดยวิเคราะห์จากการศึกษาที่ทันสมัย พบว่าการนำรูปแบบการสอนภาษาอังกฤษแบบ MOOC สามารถปรับปรุงผล การเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มความสามารถในการอ่าน การวิเคราะห์ เชิงลึก การแสดงออก และการมีปฏิสัมพันธ์ในชั้นเรียน มุนาซซาห์ ชีค (2022) ศึกษาประสิทธิภาพและกลยุทธ์การใช้คอมพิวเตอร์เป็นเทคโนโลยี สมัยใหม่ในการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง (E-Learning) พบว่าผู้เรียนใช้คอมพิวเตอร์ ในการเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองเพิ่มมากขึ้น เพื่อพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ โดยมีส่วนร่วม และปฏิสัมพันธ์ในชั้นเรียน ด้านผู้สอนสามารถวิเคราะห์การสอนและบทเรียนที่ผู้สอนจัดทำ รวมถึงการวิเคราะห์บทเรียนทั้งหมดที่ครูจัดทำขึ้นสำหรับหน่วยเรียนรู้ตามรูปแบบมาตรฐานที่มี คุณภาพและช่วยครูในการผลิตการศึกษาผ่านคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยด้วยวิธีที่ง่าย และมีประสิทธิภาพ จากงานวิจัยที่เกี่ยวกับประสิทธิภาพสรุปได้ว่า ประสิทธิภาพการสอนและการใช้สื่อ ในการจัดการเรียนการสอนขึ้นอยู่กับรูปแบบการสอน เวลา และการบริหารจัดการห้องเรียน


งานวิจัยที่เกี่ยวกับการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ จันทรา และชาห์ Chandran and Shah (2019: 1-13) ศึกษาวิจัยแบบสำรวจเกี่ยวกับ ปัญหา ที่พบเจอในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ สำหรับนักเรียนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษา ที่สองในประเทศมาเลเซีย กลุ่มตัวอย่างที่ทำการศึกษาคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจำนวน 80 คน จาก 43 โรงเรียนในเมืองยะโฮร์ พบว่าปัญหาที่ส่งผลต่อการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ มากที่สุด คือ 1) กระบวนการสอนการอ่าน 2) เทคนิคหรือกิจกรรมการสอนการอ่าน 3) ความรู้ และประสบการณ์เดิม 4) ความรู้ทางด้านภาษา และ 5) แรงจูงใจในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ตามลำดับ ผู้วิจัยทำการศึกษาเรื่องดังกล่าว เพราะเล็งเห็นว่าทักษะการอ่านเป็นทักษะที่สำคัญและเป็นทักษะ พื้นฐานสำหรับนักเรียนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง เนื่องจากทักษะการอ่านสามารถช่วยพัฒนา ความรู้วิชาการของนักเรียนได้เป็นอย่างดี จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนจะต้องได้รับทราบปัญหา และรีบดำเนินการแก้ไข ฮูโร Hulo (2018) ศึกษาเรื่องการพัฒนาความสามารถการอ่านเพื่อความเข้าใจของนักเรียน โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมแรงร่วมใจ (Improving students’ reading comprehension on recount text through collaborative learning) ของนักเรียนเกรด 10 ในเมืองปนตียานัก ประเทศ อินโดนีเซีย พบว่านักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือมีความสามารถการอ่าน เพื่อความเข้าใจดีขึ้น นักเรียนสามารถทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มสามารถทำความเข้าใจคำศัพท์หาใจความสำคัญ ของเรื่องที่ได้อย่างถูกต้อง จากงานวิจัยที่เกี่ยวกับการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสามารถสรุปได้ว่า ผู้เรียน จะเข้าใจสิ่งที่อ่านได้ดีนั้นต้องอาศัยการจัดการเรียนรู้ที่ดี ได้แก่ กระบวนการสอนการอ่าน เทคนิค หรือกิจกรรมในการจัดการเรียนการสอนการอ่าน ความรู้และประสบการณ์เดิมของผู้เรียน ความรู้ทางภาษา และแรงจูงใจในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ


บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) เรื่องการพัฒนาเทคโนโลยีความ เป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจ ในครั้งนี้ ผู้วิจัยกำหนดวิธีการดำเนินการวิจัยที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การวิจัย แต่ละข้อ โดยมีรายละเอียดประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ 1. ประชากรและและกลุ่มตัวอย่าง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล 4. รูปแบบการวิจัย 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 6. สถิติที่ใช้ในการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการวิจัยข้อ 1-4 ของการวิจัยในครั้งนี้ มีรายละเอียด ดังนี้ ประชากร - ประชากร คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1-3/2 ของโรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวนทั้งสิ้น 72 คน จำแนกเป็น ห้อง ม.3/1 จำนวน 36 คน ห้อง ม.3/2 จำนวน 36 คน ซึ่งเป็นกลุ่มผู้เรียนที่ผู้วิจัยรับผิดชอบสอนรายวิชา อ23101 ภาษาอังกฤษพื้นฐาน 5 มีการจัดห้องเรียนให้มีผู้เรียนที่คละความสามารถกลุ่มต่าง ๆ ได้แก่ กลุ่มเก่ง กลุ่มปานกลาง และกลุ่มอ่อน กลุ่มตัวอย่าง - กลุ่มตัวอย่างการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 จำนวน 36 คน โดยพิจารณา ความน่าจะเป็นในการสุ่ม (Probability sampling) ซึ่งคำนึงถึงโอกาสของสมาชิกแต่ละหน่วย ที่จะได้รับเลือกเท่า ๆ กันและการเป็นตัวแทนที่ดีของกลุ่มประชากรเป้าหมายอันส่งผลต่อการนำ ผลการวิจัยไปใช้อ้างอิง (Generalization) ลินด์ลอฟ และเทย์เลอร์Lindlof & Taylor (2002) ; แนชไมส์ และแนชไมส์ Nachmais & Nachmais (2008) ทั้งนี้ ผู้วิจัยใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple random sampling) ด้วยวิธีการจับสลาก โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม


ตารางที่ 3.1 แสดงข้อมูลประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย จำนวน ห้องเรียน ระดับความสามารถ รวม กลุ่มเก่ง กลุ่มปานกลาง กลุ่มอ่อน จำนวนกลุ่มตัวอย่าง (คน) ประชากร 2 22 26 24 72 กลุ่มตัวอย่าง 1 10 13 13 36 วัตถุประสงค์การวิจัยข้อที่ 1 พัฒนาเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่าน แบบกว้างขวางเพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด (E1/E2=80/80) การหาประสิทธิภาพเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ตามเกณฑ์ประสิทธิภาพ E1/E2=80/80 มีรายละเอียด ดังนี้ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. แบบฝึกหัดการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ซึ่งรูปแบบของแบบฝึกหัด ได้แก่ การอ่านเนื้อเรื่องแล้วตอบคำถาม การจับคู่ข้อมูลจากเนื้อเรื่องที่อ่าน การวิเคราะห์ข้อความที่เป็นเท็จ และข้อความที่เป็นจริงจากเนื้อเรื่องที่อ่าน เพื่อฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ 2. แบบทดสอบหลังจากการเรียนโดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่าน แบบกว้างขวางเพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือ 1. แบบฝึกหัดการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ผู้วิจัยมีขั้นตอนการสร้างแบบฝึกหัดการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ดังนี้ 1.1 ศึกษาแนวคิดและทฤษฎีการสร้างแบบฝึกหัดเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ 1.2 สร้างแบบฝึกหัดการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจตามหน่วยการเรียนรู้ที่ผู้วิจัย กำหนด จำนวน 4 ชุด ได้แก่ 1.2.1 แบบฝึกหัด เรื่อง Extreme jobs Extreme looks 1.2.2 แบบฝึกหัด เรื่อง Shark attack 1.2.3 แบบฝึกหัด เรื่อง When lightning loves you 1.2.4 แบบฝึกหัด เรื่อง Crime doesn’t always pay 1.3 นำแบบฝึกหัดการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นไปทดลอง ใช้กับกลุ่มผู้เรียนที่มีลักษณะใกล้เคียงกับกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเพื่อปรับปรุงคุณภาพ ของแบบฝึกหัดการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ให้เหมาะกับวัตถุประสงค์ของการวิจัย และความเข้าใจของผู้เรียนยิ่งขึ้น


2. แบบทดสอบหลังจากการเรียนโดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับ วิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวางเพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ (รายละเอียดดังปรากฎในขั้นตอนการสร้างเครื่องมือวิจัยตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยข้อที่ 2) การรวบรวมข้อมูล 1. เก็บคะแนนแบบฝึกหัดของกลุ่มตัวอย่างระหว่างเรียนในแต่ละหน่วยการเรียนรู้จำนวน 4 ชุด 2. เก็บคะแนนจากการทดสอบหลังจากการเรียนโดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับ วิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวางเพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ การวิเคระห์ข้อมูล 1. นำคะแนนแบบฝึกหัดของกลุ่มตัวอย่างระหว่างเรียนในแต่ละหน่วยการเรียนรู้มาคำนวณ เป็นร้อยละของคะแนนเฉลี่ย เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน 80 ตัวแรก (E1) 2. นำคะแนนจากการทดสอบหลังจากการเรียนโดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับ วิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวางเพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจมาหา ค่าร้อยละของคะแนนเฉลี่ย และนำไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน 80 ตัวหลัง (E2) ทั้งนี้ ผู้วิจัยวิเคราะห์หาค่าประสิทธิภาพของเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอน อ่านแบบกว้างขวางเพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 (E1 /E2 ) โดยใช้สูตรดังนี้ ชัยยงค์ พรหมวงศ์(2556) สูตร ประสิทธิภาพ E1 = ∑ / x 100 A โดย E1 คือ ประสิทธิภาพของกระบวนการที่จัดไว้ในชุดการสอนคิดเป็นร้อยละ จากการทำแบบฝึกหัดหรือกิจกรรมระหว่างเรียน ∑X คือ คะแนนจากการทำแบบฝึกหัดหรือกิจกรรมระหว่างเรียน A คือ คะแนนเต็มของแบบฝึกหัดและหรือกิจกรรมการเรียน N คือ จำนวนผู้เรียน


สูตร ประสิทธิภาพ E2 = ∑ / x 100 B โดย E2 คือ ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (พฤติกรรมที่เปลี่ยนในตัวผู้เรียน หลังการเรียนด้วยวิธีการสอน) คิดเป็นอัตราส่วนจากการทำ แบบทดสอบหลังเรียนและหรือประกอบกิจกรรมหลังเรียน ∑F คือ คะแนนรวมของผู้เรียนจากการทำแบบทดสอบหลังเรียน และการประกอบกิจกรรมหลังเรียน B คือ คะแนนเต็มของการสอบหลังเรียนและหรือกิจกรรมหลังเรียน N คือ จำนวนผู้เรียน วัตถุประสงค์การวิจัยข้อที่ 2 เปรียบเทียบความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่าน แบบกว้างขวาง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมีดังต่อไปนี้ 1. แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษโดยใช้การพัฒนาเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม ร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความ เข้าใจนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 จำนวน 8 แผน ใช้เวลา 16 ชั่วโมง 2. แบบทดสอบวัดความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจก่อนเรียน (Pretest) และหลังเรียน (Posttest) โดยใช้การพัฒนาเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่าน แบบกว้างขวาง เป็นข้อสอบปรนัย 4 ตัวเลือก ประเมินความสามารถ 3 ระดับ ได้แก่ ระดับเข้าใจ ตามตัวอักษร ระดับการตีความ ระดับการประเมินค่า ระดับละ 12 ข้อ รวมจำนวน 36 ข้อ ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือ 1. แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษโดยใช้การพัฒนาเทคโนโลยีความเป็นจริง เสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 1.1 ศึกษาเอกสารหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ พ.ศ.2551 ในประเด็นมาตรฐาน ตัวชี้วัด และผลลัพธ์การเรียนรู้ทักษะการอ่าน ช่วงชั้นของผู้เรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น รวมถึงเอกสารที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีการสอนอ่าน แบบกว้างขวางและเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ทั้งนี้ผู้วิจัยมีกระบวนการพัฒนา เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมที่นำมาใช้ในการวิจัยครั้งนี้ 3 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 ผู้วิจัยเตรียมบทอ่านในรูปแบบไฟล์เอกสาร Ms word จากหน่วยการเรียนรู้ได้แก่ หน่วยที่ 1 Lifestyles เรื่อง Extreme jobs Extreme looks หน่วยที่ 2 Believe it or not! เรื่อง Shark attack


หน่วยที่ 3 Experiences เรื่อง When lightning loves you หน่วยที่ 4 Safe and Sound เรื่อง Crime doesn’t always pay ขั้นที่ 2 ผู้วิจัยนำไฟล์เอกสารจากขั้นที่ 1 มาสร้างบทอ่าน และแบบฝึกหัดด้วย โปรแกรม Vidinoti ที่ใช้สำหรับสร้างสื่อเทคโนโลยีความจริงเสริม (Augmented Reality) ดังภาพที่ 3.1 ภาพที่ 3.1 การสร้างบทอ่านและแบบฝึกหัดด้วยโปรแกรม Vidinoti ขั้นที่ 3 ผู้วิจัยสร้างคู่มือการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม เพื่อให้ผู้เรียนศึกษาเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม ภาพที่ 3.2 คู่มือการเรียนรู้ด้วยตัวเองผ่านเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม


1.2 เลือกหน่วยการเรียนรู้ในรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน 5 เพื่อกำหนดเนื้อหา และจุดประสงค์การเรียนรู้ที่เหมาะสมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวางร่วมกับเทคโนโลยีความเป็น จริงเสริมเพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจทั้งหมด 4 เรื่อง ได้แก่ 1) Extreme jobs Extreme looks 2) Shark attack 3) When lightning loves you 4) Crime doesn’t always pay 1.3 เขียนแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ขั้นตอนการสอนอ่านอย่างกว้างขวางร่วมกับ เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมที่ระบุในขั้น 1.1 และเนื้อหาจากหน่วยการเรียนรู้ในขั้น 1.2 โดยมีขั้นตอน การสอนทั้งหมด 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นก่อนการอ่าน (Pre-reading) คือ การเตรียมผู้เรียนให้พร้อมก่อนอ่านเนื้อเรื่อง ทำให้ผู้เรียนมีความคุ้นเคยกับเนื้อเรื่องที่จะอ่าน เป็นการจัดประสบการณ์ก่อนอ่านให้ผู้เรียน ขั้นระหว่างอ่าน (While-reading) คือ การอ่านออกเสียงเนื้อเรื่องและอธิบายความหมาย ร่วมกัน การอ่านออกเสียงทำให้ผู้สอนสามารถตรวจสอบความถูกต้องของการอ่านออกเสียงได้ และสามารถแก้ไขให้ผู้เรียนได้หากผู้เรียนออกเสียงไม่ถูกต้อง ขั้นหลังการอ่าน (Post-reading) คือ การฝึกทักษะในการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจทั้ง 3 ระดับ โดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมในการทำแบบฝึกหัด ซึ่งแบบฝึกหัด ที่ผู้เรียนทำประกอบด้วยคำถาม 3 ระดับ ได้แก่ ได้แก่ ระดับเข้าใจตามตัวอักษร ระดับการตีความ และระดับการประเมินค่า 1.4 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ได้จากขั้น 1.3 ไปเสนอต่ออาจารย์ผู้ควบคุม วิทยานิพนธ์ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญ 1.5 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผ่านการตรวจสอบจากอาจารย์ผู้ควบคุมวิทยานิพนธ์ ไปให้ผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นครูผู้สอนที่มีประสบการณ์ทางการสอนภาษาอังกฤษระดับมัธยมศึกษา ไม่ต่ำกว่า 5 ปี จำนวน 3 ท่าน (ดูภาคผนวก ก) ตรวจสอบความเที่ยงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ซึ่งพิจารณาความสอดคล้องระหว่างองค์ประกอบในหัวข้อต่าง ๆ ของแผนการจัดการเรียนรู้ และตัวแปรที่จะศึกษาตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย โดยพิจารณาค่าดัชนีความสอดคล้อง กับจุดประสงค์ (Index of Item Objective Congruence: IOC) ซึ่งค่าดัชนีความสอดคล้อง กับจุดประสงค์ที่ยอมรับได้ต้องมีค่าตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป โดยใช้เกณฑ์การประเมิน ดังนี้ (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2540 : 117) +1 แน่ใจว่าแผนการจัดการเรียนรู้สอดคล้องกับหัวข้อที่กำหนดไว้ 0 ไม่แน่ใจว่าแผนการจัดการเรียนรู้สอดคล้องกับหัวข้อที่กำหนดไว้ -1 แน่ใจว่าแผนการจัดการเรียนรู้ไม่สอดคล้องกับหัวข้อที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ผลการวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้องกับจุดประสงค์รายข้อของแผนการสอนทุกฉบับ พบว่า อยู่ระหว่าง 0.67 - 1.00 และเฉลี่ยภาพรวมทุกฉบับเท่ากับ 0.89


1.6 ปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญเพื่อนำไปใช้ ในการทดลองกับกลุ่มผู้เรียนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย (Tryout) คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี 1.7 ปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้เพิ่มเติมจากข้อค้นพบที่ได้จากการ Tryout ให้มีความเหมาะสมกับบริบทของผู้เรียนยิ่งขึ้น ก่อนนำไปใช้ทดลองจริงกับกลุ่มตัวอย่างที่กำหนดไว้ ในการวิจัย 2. แบบทดสอบวัดความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจก่อนเรียน (Pretest) และหลังเรียน (Posttest) โดยใช้การพัฒนาเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับ วิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง 2.1 กำหนดจุดประสงค์และจำนวนข้อแบบทดสอบ (Test Specification) ให้สอดคล้องกับเนื้อหาจากหน่วยการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยกำหนดและผลลัพธ์การเรียนรู้ด้านทักษะการอ่าน ภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจที่สอดคล้องกับหลักสูตรหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และทฤษฎีการวัดและประเมินผลการอ่านเพื่อความเข้าใจที่เกี่ยวข้อง 2.2 จัดแบบทดสอบเป็นแบบทดสอบปรนัยซึ่งประเมินความสามารถการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจใน 3 ระดับ ได้แก่ ระดับเข้าใจตามตัวอักษร ระดับการตีความและระดับ การประเมินค่า จำนวนด้านละ 20 ข้อ ตามคำนิยามศัพท์เฉพาะที่ผู้วิจัยกำหนดไว้ รวมทั้งหมด 60 ข้อ 2.3 นำเสนอแบบทดสอบต่ออาจารย์ผู้ควบคุมวิทยานิพนธ์ตรวจสอบความถูกต้อง 2.4 นำแบบทดสอบที่ผ่านการตรวจสอบจากอาจารย์ควบคุมวิทยานิพนธ์ไปให้ ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นครูผู้สอนที่มีประสบการณ์ทางการสอนภาษาอังกฤษระดับมัธยมศึกษา ไม่ต่ำกว่า 5 ปี จำนวน 3 ท่าน (ดูภาคผนวก ก) ตรวจสอบความเที่ยงเชิงโครงสร้าง (Construct Validity) ซึ่งพิจารณาความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามของแบบทดสอบกับจุดประสงค์การวิจัยที่เกี่ยวกับ ความสามารถด้านการอ่านเพื่อความเข้าใจที่ต้องการศึกษาตามที่กำหนดไว้ในนิยามศัพท์เฉพาะ โดยพิจารณาค่าดัชนีความสอดคล้องกับจุดประสงค์ (Index of Item Objective Congruence: IOC) ซึ่งค่าดัชนีความสอดคล้องกับจุดประสงค์ที่ยอมรับได้ต้องมีค่าตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป โดยใช้เกณฑ์ การประเมิน ดังนี้ (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2540 : 117) +1 แน่ใจว่าแบบทดสอบสอดคล้องกับจุดประสงค์การวิจัย 0 ไม่แน่ใจว่าแบบทดสอบสอดคล้องกับจุดประสงค์การวิจัย -1 แน่ใจว่าแบบทดสอบไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์การวิจัย ทั้งนี้ ผลการวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้องกับจุดประสงค์รายข้อ ของแบบทดสอบ พบว่า อยู่ระหว่าง 0.67 - 1.00 และค่าเฉลี่ยภาพรวมแบบทดสอบทั้งฉบับเท่ากับ 0.95 2.5 ปรับปรุงแบบทดสอบวัดความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ แล้วนำไปทดลองใช้กับกลุ่มผู้เรียนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับกลุ่ม ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย (Tryout) คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 จำนวน 36 คน เพื่อตรวจสอบ


ความเที่ยง เชิงสภาพ (Concurrent Validity) โดยพิจารณาคุณสมบัติของแบบทดสอบในแง่ของการจำแนก ผู้เรียนกลุ่มเก่งออกจากผู้เรียนกลุ่มอ่อนได้เพื่อสะท้อนความสามารถตามความเป็นจริงของผู้เรียน ทั้งนี้ ผู้วิจัยใช้วิธีการหาค่าความยาก (p) ซึ่งควรอยู่ระหว่าง 0.20-0.80 (Hartati & Yogi, 2019 อ้างอิงจาก Sumarsono, 2014) และค่าอำนาจจำแนก (r) ซึ่งควรมีค่าตั้งแต่ 0.21 ขึ้นไป (Arikunto, 1986) นอกจากนี้ ผู้วิจัยหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบทดสอบทั้งฉบับ โดยใช้สูตร Kuder-Richardson (KR-20) ซึ่งพิจารณาคุณสมบัติความคงที่ (Stability) เชื่อถือได้(Dependability) ถูกต้องแม่นยํา (Accuracy) มีความคงเส้นคงวา (Consistently) ใช้วัดผลซ้ำแล้วได้ผลที่ใกล้เคียงกัน หรือมีความคลาดเคลื่อนน้อย ซึ่งค่าความเชื่อมั่นที่ยอมรับได้ควรมีค่าตั้งแต่ 0.70 ขึ้นไป ทั้งนี้ พบว่า ข้อสอบที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เมื่อพิจารณารายข้อ มีค่า (p) อยู่ระหว่าง 0.33 ถึง 0.75 และมีค่า (p) ของข้อสอบทั้งฉบับเท่ากับ 0.55 ค่า (r) อยู่ระหว่าง 0.22 ถึง 0.72 และมีค่า (r) ของข้อสอบทั้งฉบับเท่ากับ 0.37 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.87 เป็นไปตามเกณฑ์ค่าความเที่ยง เชิงสภาพและค่าความเชื่อมั่นที่ยอมรับได้ดังกล่าวข้างต้น 2.6 คัดเลือกข้อสอบที่ผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัยข้างต้นมาจัดทำ แบบทดสอบวัดความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ซึ่งประเมินใน 3 ด้าน ๆ ละ 12 ข้อ รวมข้อสอบทั้งฉบับ จำนวน 36 ข้อ เพื่อนำไปใช้ในการเก็บข้อมูลความสามารถในการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจจากกลุ่มตัวอย่าง โดยมีสัดส่วนความยากง่ายได้แก่ ข้อสอบจำนวน 12 ข้อ ในแต่ละตอน จำแนกเป็นข้อสอบระดับยาก จำนวน 3 ข้อ ข้อสอบระดับปานกลาง จำนวน 6 ข้อ และข้อสอบระดับง่าย จำนวน 3 ข้อ ตามเกณฑ์ร้อยละการจำแนกระดับความยาก-ง่ายของข้อสอบ ในแบบทดสอบของฮาร์ตาติ และโยกิ (Hartati & Yogi, 2019 อ้างอิงจาก Sumarsono, 2014) ได้แก่ ข้อสอบระดับยาก 25% ข้อสอบระดับปานกลาง 50% และข้อสอบระดับง่าย 25% การเก็บรวบรวมข้อมูล ในการศึกษาค้นคว้างานวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยดำเนินตาม ขั้นตอน ดังนี้ 1. ติดต่อประสานงานเพื่อขออนุญาตโรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี แขวงรัชดาภิเษก เขตดินแดง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 ที่ผู้วิจัยใช้เป็นสถานที่ในการ ทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูล 2. แจกเอกสารแสดงความยินยอมเข้าร่วมโครงการวิจัย (Consent Form) (ดูภาคผนวก ข) ทั้งนี้ ผู้วิจัยได้ชี้แจงให้กลุ่มตัวอย่างทราบถึงข้อมูลสำคัญต่าง ๆ เช่น กลุ่มตัวอย่างสามารถถอนตัว จากโครงการวิจัยได้ตลอดเวลา ประโยชน์ที่จะได้รับ ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นขณะเข้าร่วมการวิจัย ข้อพึงปฏิบัติ การดำเนินการวิจัยในครั้งนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อการประเมินผลการเรียนรู้ในรายวิชา ที่ผู้วิจัยทำการสอน และข้อมูลอัตลักษณ์ของกลุ่มตัวอย่าง เช่น ชื่อ-นามสกุล จะถูกเก็บเป็นความลับ โดยให้เวลาแก่กลุ่มตัวอย่างในการพิจารณาและกรอกข้อมูลในเอกสารแสดงความยินยอมเข้าร่วม โครงการวิจัยและจัดส่งคืนแก่ผู้วิจัยให้แล้วเสร็จภายใน 1 สัปดาห์ก่อนเริ่มดำเนินการวิจัย 3. จัด Workshop การใช้งานเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมแก่กลุ่มตัวอย่าง ในเวลา 2 คาบเรียน ตามเนื้อหาที่ปรากฎในคู่มือการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น


เพื่อให้กลุ่มตัวอย่างเกิดความเข้าใจในกระบวนการใช้งานและการเชื่อมโยงเทคโนโลยีความเป็นจริง เสริมกับกระบวนการเรียนการสอนการอ่านแบบกว้างขวาง ตลอดจนชี้แจงให้กลุ่มตัวอย่างเข้าใจ ถึงจุดประสงค์การเรียนรู้ และบทบาทหน้าที่ของกลุ่มตัวอย่างและผู้วิจัยในระหว่างการดำเนินการวิจัย 4. กลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบก่อนเรียน (Pretest) โดยใช้แบบทดสอบวัดความเข้าใจ ในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น และบันทึกผลการสอบของนักเรียนแต่ละคน ไว้เป็นคะแนนทดสอบก่อนเรียนในรูปแบบไฟล์ข้อมูลสำเร็จรูป 5. ดำเนินการทดลองจัดกิจกรรมการเรียนรู้กับกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 ด้วยตัวผู้วิจัยเองตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จำนวน 8 แผน โดยใช้เวลาทั้งสิ้น 16 คาบ ใน 8 สัปดาห์กล่าวคือ จัดการเรียนการสอนสัปดาห์ละ 1 แผน ๆ ละ 2 คาบ ของภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 6. กลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบหลังเรียน (Posttest) โดยใช้แบบทดสอบวัดความเข้าใจ ในการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นซึ่งเป็นข้อสอบที่มีข้อคำถามเดียวกัน กับแบบทดสอบ ก่อนเรียน จากนั้นบันทึกผลการสอบของนักเรียนแต่ละคนไว้เป็นคะแนนทดสอบหลัง เรียนในรูปแบบไฟล์ข้อมูลสำเร็จรูป รูปแบบการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยกำหนดรูปแบบการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental design) โดยใช้วิธีการวิจัยในลักษณะการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างเดียวโดยวัดผลก่อนและหลังการทดลอง (One group pretest-posttest design) ดังแสดงในภาพที่ 3.3 O1 X O2 การเปรียบเทียบผลระหว่าง O1 และ O2 ภาพที่ 3.3 รูปแบบการวิจัยการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างเดียวโดยวัดผลก่อนและหลังการทดลอง ที่มา: ดัดแปลงจาก Campbell & Stanley (1963) โดย O1 คือ คะแนนการทดสอบก่อนเรียน X คือ การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม ร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง O2 คือ คะแนนการทดสอบหลังเรียน


การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยมีขั้นตอนในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การวิจัยข้อที่ 2 ดังนี้ 1. วิเคราะห์ลักษณะการแจกแจงปกติของข้อมูล (Normality) ตามเงื่อนไขการใช้สถิติ ประเภทพาราเมตริก (Parametric Statistics) โดยพิจารณาการแจกแจงของค่าความเบ้ (Skewness) และค่าความโด่ง (Kurtosis) โดยใช้สถิติShapiro wilk โดยใช้เกณฑ์การพิจารณาค่าความเบ้ ไม่เกิน ±2 ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ที่ระดับความเชื่อมั่น 0.05 Hair & et.al (2006) และเกณฑ์การ พิจารณาค่าความโด่ง ไม่เกิน ±2 ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ที่ระดับความเชื่อมั่น 0.05 (Kline, 2005 : 50) ทั้งนี้ จากผลการวิเคราะห์การแจกแจงความเบ้ของคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่ามี ค่าอยู่ในช่วง -1.33 ถึง 0.08 และ จากการพิจารณาค่าความโด่งของคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่ามีค่าอยู่ในช่วง -1.53 ถึง -1.47 ซึ่งมีค่าไม่เกิน ±2 ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ จึงสรุปได้ว่า คะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนมีลักษณะการแจกแจงปกติของข้อมูล สามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์ ข้อมูลด้วยสถิติ การทดสอบค่าทีได้ ตารางที่ 3.2 การตรวจสอบลักษณะการแจกแจงปกติของข้อมูล คะแนน คะแนนเต็ม Min Max Mean Skewness Kutosis การทดสอบก่อนเรียน 36 7 32 20.19 -1.33 -1.53 การทดสอบหลังเรียน 36 25 36 30.00 0.08 -1.47 2. นำคะแนนการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับ วิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวางที่เก็บได้ในขั้นก่อนการทดลองและหลังการทดลองมาวิเคราะห์ด้วย สถิติ เชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป 3. ทดสอบสมมติฐานการวิจัยข้อที่ 2 โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปเพื่อทดสอบค่าที สำหรับกลุ่มตัวอย่างที่ไม่เป็นอิสระต่อกัน (Paired t-test for dependent sample) ซึ่งเปรียบเทียบ ค่าเฉลี่ยระหว่างคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน แล้ววิเคราะห์การแจกแจงของค่าที (t-distribution) ทั้งนี้ ผู้วิจัยกำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 วัตถุประสงค์การวิจัยข้อที่ 3 ศึกษาพัฒนาการสัมพัทธ์ความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจหลังเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ


ผู้วิจัยวิเคราะห์พัฒนาการสัมพัทธ์ จากคะแนนที่ได้จากการทดสอบวัดความสามารถการอ่าน ภาษาอังกฤษก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้สูตรคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ ดังนี้ (ศิริชัย กาญจนวาสี, 2552 : 266-267) คะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ = คะแนนหลังเรียน − คะแนนก่อนเรียน คะแนนเต็ม − คะแนนก่อนเรียน x 100 จากนั้นแปลความหมายคะแนนตามเกณฑ์ระดับพัฒนาการ ซึ่งแบ่งเป็น 4 ระดับ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ตารางที่ 3.3 ระดับคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ คะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ ระดับพัฒนาการ 76 – 100 พัฒนาการระดับสูงมาก 51 – 75 พัฒนาการระดับสูง 26 – 50 พัฒนาการระดับกลาง 0 – 25 พัฒนาการระดับต้น วัตถุประสงค์การวิจัยข้อที่ 4 ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยี ความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3. แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการ สอนอ่านแบบกว้างขวาง เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ จำนวน 20ข้อ ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือ 3.1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนรู้ และองค์ประกอบและกระบวนการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ 3.2 กำหนดขอบข่ายกรอบเนื้อหาที่จะสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการใช้ เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง เพื่อพัฒนาความสามารถ ในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจที่สอดคล้องกับนิยามศัพท์เฉพาะตามที่ผู้วิจัยกำหนดไว้ 3.3 ร่างข้อคำถามให้ครอบคลุมกรอบเนื้อหาที่กำหนดโดยใช้รูปแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับของลิเคิร์ท (Likert’s 5-Point Rating Scale) จำนวน 30 ข้อ โดยกำหนดเกณฑ์ระดับ ความพึงพอใจ ดังนี้ ระดับ 1 หมายถึง ผู้เรียนเห็นด้วยกับข้อคำถาม/ข้อความของแบบสอบถามในระดับน้อยที่สุด ระดับ 2 หมายถึง ผู้เรียนเห็นด้วยกับข้อคำถาม/ข้อความของแบบสอบถามในระดับน้อย


ระดับ 3 หมายถึง ผู้เรียนเห็นด้วยกับข้อคำถาม/ข้อความของแบบสอบถามในระดับปานกลาง ระดับ 4 หมายถึง ผู้เรียนเห็นด้วยกับข้อคำถาม/ข้อความของแบบสอบถามในระดับมาก ระดับ 5 หมายถึง ผู้เรียนเห็นด้วยกับข้อคำถาม/ข้อความของแบบสอบถามในระดับมากที่สุด 3.4 นำแบบสอบถามความพึงพอใจที่สร้างขึ้นไปเสนอต่ออาจารย์ผู้ควบคุมวิทยานิพนธ์ เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง 3.5 นำแบบสอบถามความพึงพอใจที่ผ่านการตรวจสอบจากอาจารย์ผู้ควบคุมวิทยานิพนธ์ ไปให้ผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นครูผู้สอนที่มีประสบการณ์ทางการสอนภาษาอังกฤษระดับมัธยมศึกษา ไม่ต่ำกว่า 5 ปีจำนวน 3 ท่าน (ดูภาคผนวก ก) ตรวจสอบความเที่ยงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ซึ่งพิจารณาความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามของแบบสอบถามและตัวแปรที่จะศึกษา ตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยและความเที่ยงเชิงโครงสร้าง (Construct Validity) ซึ่งพิจารณา ความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามของแบบสอบถามกับจุดประสงค์การวิจัยที่เกี่ยวกับความพึงพอใจ ต่อการจัดการเรียนรู้ที่ต้องการศึกษาตามที่กำหนดไว้ในนิยามศัพท์เฉพาะ โดยพิจารณาค่าดัชนี ความสอดคล้องกับจุดประสงค์ (Index of Item Objective Congruence: IOC) ซึ่งค่าดัชนี ความสอดคล้องกับจุดประสงค์ที่ยอมรับได้ต้องมีค่าตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไปโดยใช้เกณฑ์การประเมิน ดังนี้ (พวงรัตน์ ทวีรัตน์ 2540, น. 117) +1 แน่ใจข้อคำถามสอดคล้องกับจุดประสงค์การวิจัย 0 ไม่แน่ใจว่าข้อคำถามสอดคล้องกับจุดประสงค์การวิจัย -1 แน่ใจว่าข้อคำถามไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์การวิจัย ทั้งนี้ ผลการวิเคราะห์ พบว่า ค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบสอบถามรายข้อ มีค่าระหว่าง 0.67-1.00 และค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบสอบถามทั้งฉบับ เท่ากับ 0.91 3.6 นำแบบสอบถามมาปรับปรุงตามผลการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ แล้วนำไปทดลองใช้ กับกลุ่มผู้เรียนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย (Tryout) คือ นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษา 3/1 เพื่อตรวจสอบความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบสอบถาม โดยการวิเคราะห์ หาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่า ( Coefficient) ของ ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2538: 200 อ้างอิงจาก ครอนบาค Cronbach, 1951) ซึ่งค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามที่ยอมรับได้ ควรมีค่า เท่ากับ 0.70 ขึ้นไป ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่า แบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น มีค่าความเชื่อมั่น ของแบบสอบถามทั้งฉบับ เท่ากับ 0.71 เป็นไปตามเกณฑ์ของค่าความเชื่อมั่นที่ยอมรับได้ 3.7 คัดเลือกข้อคำถามที่ผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัยข้างต้นมาจัดทำ แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่าน แบบกว้างขวาง เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ซึ่งสอบถาม ความพึงพอใจ ใน 2 ด้าน ๆ ละ 10 ข้อ รวมแบบสอบถามทั้งฉบับ จำนวน 20 ข้อ เพื่อนำไปใช้ในการ เก็บข้อมูลความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่าง


การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อการเรียนรู้ โดยการใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง เพื่อพัฒนา ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจเป็นรายบุคคลหลังจากการทำแบบทดสอบหลังเรียน เสร็จสิ้นแล้ว โดยมีขั้นตอนดังนี้ 1. ผู้วิจัยอัพโหลดลิงก์และ QR Code ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วย เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง เพื่อพัฒนาความสามารถ ในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้โปรแกรม Google Form แก่กลุ่มตัวอย่างผ่าน LINE Group ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ซึ่งกลุ่มตัวอย่างสามารถใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อ เช่น โทรศัพท์มือถือ iPad คอมพิวเตอร์ ฯลฯ เพื่อเข้าไปทำแบบสอบถามผ่านระบบออนไลน์เพื่ออำนวยความสะดวก ในการจัดส่งข้อมูล 2. กำหนดให้กลุ่มตัวอย่างทำความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยี ความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ นอกชั้นเรียนหรือที่บ้านให้แล้วเสร็จแล้วส่งคืนทางระบบออนไลน์ ภายในระยะ 1 สัปดาห์ หลังจากที่กลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบหลังเรียนเสร็จสิ้น โดยแบบสอบถาม ไม่มีการให้ผู้ตอบแบบสอบถามระบุชื่อหรืออัตลักษณ์ใด ๆ เลยที่ทำให้ทราบตัวตนของผู้ทำ แบบสอบถาม (บุคคลนิรนาม) ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบของผลประโยชน์ทับซ้อน จากความสัมพันธ์ระหว่างผู้วิจัยในฐานะผู้สอนและผู้ตอบแบบสอบถามในฐานะผู้เรียน (Relation conflict of interest) ที่อาจมีต่อความน่าเชื่อถือของผลการวิจัย การวิเคราะห์ข้อมูล 1. ผู้วิจัยแจกแจงความถี่ (Frequency) ของข้อมูลระดับความพึงพอใจที่เก็บได้จาก แบบสอบถาม แล้ววิเคราะห์หาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคำถามรายข้อและภาพรวมทั้งหมด 2. แปลความหมายข้อมูลค่าเฉลี่ยระดับความพึงพอใจทั้งรายข้อและภาพรวมทั้งหมด โดยใช้ เกณฑ์ในการวิเคราะห์ตามแนวคิดของเบสท์ (Best, 1997: 190) มีรายละเอียด ดังนี้ 4.50 - 5.00 หมายถึง ระดับความพึงพอใจมากที่สุด 3.50 - 4.49 หมายถึง ระดับความพึงพอใจมาก 2.50 - 3.49 หมายถึง ระดับความพึงพอใจปานกลาง 1.50 - 2.49 หมายถึง ระดับความพึงพอใจน้อย 1.00 - 1.49 หมายถึง ระดับความพึงพอใจน้อยที่สุด


สถิติที่ใช้ในการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัย 1. การหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถาม/องค์ประกอบและวัตถุประสงค์ (Item-Objective Congruence Index : IOC) สูตรในการคำนวณ = ∑ R N IOC คือ ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์ R คือ คะแนนของผู้เชี่ยวชาญ ∑ R คือ ผลรวมของคะแนนผู้เชี่ยวชาญแต่ละคน N คือ จำนวนผู้เชี่ยวชาญ 2. การวิเคราะห์หาค่าความยาก (p) และหาค่าอำนาจจำแนก (r) สูตรในการคำนวณ P = R N เมื่อ P แทน ความยากง่ายของข้อสอบ R แทน จำนวนนักเรียนที่ตอบถูก N แทน จำนวนนักเรียนที่สอบทั้งหมด 3. การหาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ โดยใช้สูตร Kuder-Richardson (KR-20) (พิสณุฟองศรี, 2549: 174-173) สูตรในการคำนวณ เมื่อ r แทน ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ k แทน จำนวนข้อสอบ p แทน สัดส่วนของผู้ตอบถูกแต่ละข้อ q แทน 1− p 2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนที่สอบได้


4. การหาค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามโดยการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) (สมบัติ ท้ายเรือคำ, 2551) สูตรในการคำนวณ = K K−1 (1 − ∑ 2 2 ) โดยที่ คือ สัมประสิทธิ์แอลฟา K คือ จำนวนข้อคำถาม ∑ 2 คือ ผลรวมของความแปรปรวนของคะแนนแต่ละข้อ 2 คือ ความแปรปรวนของคะแนนรวม


บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้เป็นการพัฒนาเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่าน แบบ กว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 ผู้วิจัยนำผลการวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบตารางและแปลความหมาย จำแนกออกเป็น 3 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 การหาประสิทธิภาพของเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่าน แบบกว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด 80/80 ตอนที่ 2 การเปรียบเทียบความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจก่อนเรียน และหลังเรียน โดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง ตอนที่ 3 การศึกษาพัฒนาการสัมพัทธ์ความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ หลังเรียน โดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง ตอนที่ 4 การศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม ร่วมกับการอ่านแบบกว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อ ความเข้าใจ โดยมีสัญลักษณ์และความหมายที่ใช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ x̅ หมายถึงค่าเฉลี่ย S.D. หมายถึงค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน n หมายถึงกลุ่มตัวอย่าง D หมายถึงค่าผลต่างของคะแนนระหว่างก่อนและเรียน t หมายถึงค่าสถิติที่จะใช้ในการทดสอบค่าที (t-Distribution) p หมายถึงค่าความน่าจะเป็นของความคลาดเคลื่อน Sig. หมายถึงค่านัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05


ตอนที่ 1 การหาประสิทธิภาพของเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่าน แบบกว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด 80/80 ตารางที่ 4.1 การหาประสิทธิภาพของเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่าน แบบกว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 แบบฝึกหัดระหว่างเรียน แบบทดสอบหลังเรียน ประสิทธิภาพ คะแนน E1/E2 เต็ม ค่าเฉลี่ย E1 คะแนน เต็ม ค่าเฉลี่ย E2 40 32.36 80.90 36 29.02 80.63 80.90/80.63 จากตารางที่ 4.1 พบว่า ผลคะแนนที่ได้จากการทำแบบฝึกหัดระหว่างเรียน E1 มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 80.90 และคะแนนที่ได้จากแบบทดสอบหลังเรียน E2 มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 80.63 ซึ่งสูงกว่า เกณฑ์ที่กำหนดไว้คือ 80/80 สรุปได้ว่าการพัฒนาเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่าน แบบกว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด ตอนที่ 2 การเปรียบเทียบความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจก่อนเรียน และหลังเรียน โดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง ตารางที่ 4.2 ผลการทดสอบค่า t ของคะแนนเฉลี่ยความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจระดับตามตัวอักษรสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง การทดสอบ n ̅ S.D. t Sig. ก่อนเรียน 36 10.28 2.45 -2.68 0.00 หลังเรียน 36 10.63 1.43 *p<0.05 จากตารางที่ 4.2 พบว่า คะแนนเฉลี่ยความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจระดับตาม ตัวอักษรสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วย เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง มีความแตกต่างกันเท่ากับ 0.35 ผลการทดสอบค่า t ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จพบว่า คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05 จึงสรุปได้ว่า ความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ


ระดับตามตัวอักษรหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนโดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับการอ่านแบบกว้างขวาง สอดคล้องกับสมมติฐานการวิจัยที่ตั้งไว้ ตารางที่ 4.3 ผลการทดสอบค่า tของคะแนนเฉลี่ยความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ระดับการตีความสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยเทคโนโลยี ความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง การทดสอบ n ̅ S.D. t Sig. ก่อนเรียน 36 6.20 2.51 -8.70 0.00 หลังเรียน 36 10.48 2.02 *p<0.05 จากตารางที่ 4.3 พบว่า คะแนนเฉลี่ยความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ระดับตีความสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยเทคโนโลยี ความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง มีความแตกต่างกันเท่ากับ 4.28 ผลการทดสอบค่า t ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จพบว่า คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จึงสรุปได้ว่า ความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ระดับตีความหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนโดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับการอ่านแบบกว้างขวาง สอดคล้องกับสมมติฐานการวิจัยที่ตั้งไว้ ตารางที่ 4.4 ผลการทดสอบค่า tของคะแนนเฉลี่ยความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ระดับการประเมินค่าสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง *p<0.05 จากตารางที่ 4.4 พบว่า คะแนนเฉลี่ยความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจระดับการ ประเมินค่าสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วย เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง มีความแตกต่างกันเท่ากับ 3.47 ผลการทดสอบค่า t ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จพบว่า คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จึงสรุปได้ว่า ความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจระดับ ประเมินค่าหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนโดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับการอ่านแบบกว้างขวางสอดคล้อง กับสมมติฐานการวิจัยที่ตั้งไว้ การทดสอบ n ̅ S.D. t Sig. ก่อนเรียน 36 4.44 2.63 -7.78 0.00 หลังเรียน 36 7.91 2.35


ตารางที่ 4.5 ผลการทดสอบค่า t ของคะแนนเฉลี่ยความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ในภาพรวมสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยเทคโนโลยี ความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง การทดสอบ n ̅ S.D. t Sig. ก่อนเรียน 36 20.92 1.66 -29.15 0.0 หลังเรียน 36 29.03 1.81 *p<0.05 จากตารางที่ 4.5 พบว่า คะแนนเฉลี่ยความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ในภาพรวม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยเทคโนโลยี ความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง มีความแตกต่างกันเท่ากับ 8.11 ผลการทดสอบค่า t ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปพบว่าคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จึงสรุปได้ว่า ความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ในภาพรวมหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนโดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับการอ่านแบบกว้างขวาง สอดคล้องกับสมมติฐานการวิจัยที่ตั้งไว้ ตอนที่ 3 การศึกษาพัฒนาการสัมพัทธ์ความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ หลังเรียน โดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง ตารางที่ 4.6 ความถี่และร้อยละคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจหลังเรียน โดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง คะแนนพัฒนาการ สัมพัทธ์ ระดับพัฒนาการ ความถี่ ร้อยละ 76 - 100 พัฒนาการระดับสูงมาก 1 2.78 51 - 75 พัฒนาการระดับสูง 19 52.78 26 - 50 พัฒนาการระดับกลาง 16 44.44 0 - 25 พัฒนาการระดับต้น 0 0.00 จากตารางที่ 4.6 ความถี่ของคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจ หลังเรียนด้วยวิธีการสอนโดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่าน แบบกว้างขวางส่วนใหญ่อยู่ในช่วงคะแนน 51 - 75 (พัฒนาการระดับสูง) คิดเป็นร้อยละ 52.78 รองลงมา ได้แก่ ช่วงคะแนน 26 - 50 (พัฒนาการระดับกลาง) คิดเป็นร้อยละ 44.44 และช่วงคะแนน 76 – 100 (พัฒนาการระดับสูงมาก) คิดเป็นร้อยละ 2.78 ทั้งนี้ ไม่พบคะแนนในช่วง 0 - 25 เลย คิด เป็นร้อยละ 0.00


ตารางที่ 4.7 คะแนนเฉลี่ยพัฒนาการสัมพัทธ์ความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ หลังเรียน โดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง คะแนนเฉลี่ย หลังเรียน คะแนนพัฒนาการ สัมพัทธ์ ระดับพัฒนาการ 15.08 53.98 สูง ภาพที่ 4.1 คะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจ หลังเรียน โดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง จากตารางที่ 4.7 และภาพที่ 4.1 คะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ความสามารถการอ่าน ภาษาอังกฤษ ในการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภายหลังการใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบ กว้างขวาง จำนวน 36 คน พบว่านักเรียนมีพัฒนาการโดยรวมเฉลี่ยอยู่ในระดังสูง (มีค่าเฉลี่ย ของคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ เท่ากับ 53.98) และเมื่อพิจารณาคะแนนพัฒนาการเป็นรายบุคคล จากคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ (ดูภาคผนวก ค) พบว่านักเรียนมีพัฒนาการความสามารถ การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจอยู่ในระดับสูงมาก จำนวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 2.78 นักเรียน มีพัฒนาการความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจอยู่ในระดับสูง จำนวน 19 คน คิดเป็น ร้อยละ 52.78 รองลงมามีคะแนนอยู่ในระดับกลาง จำนวน 16 คน คิดเป็นร้อยละ 44.44 ตามลำดับ ทั้งนี้เมื่อพิจารณาคะแนนรวมทั้งหมดซึ่งพบว่าคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ในภาพรวมอยู่ในระดับสูง สอดคล้องกับสมมติฐานงานวิจัยที่ผู้วิจัยตั้งไว้ว่าคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ความสามารถการอ่าน 0 10 20 30 40 50 60 70 80 90 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 คะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ คะแนนก่อนเรียน คะแนนหลังเรียน คะแนนพัทนาการสัมพัทธ์


ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจหลังเรียน โดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่าน แบบกว้างขวางในภาพรวมอยู่ในระดับสูงขึ้นไป ตอนที่ 4 การศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม ร่วมกับการอ่านแบบกว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ตารางที่ 4.8 การศึกษาความพึงพอใจด้านการใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม AR ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังจากเรียนเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับการอ่าน แบบกว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ข้อคำถาม ̅ S.D. แปลความหมาย 1. เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) มีความสอดคล้อง กับจุดประสงค์ในการเรียนรู้ 4.64 0.49 พึงพอใจมากที่สุด 2. เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) มีความเหมาะสม กับระดับความสามารถและความสนใจของนักเรียน 4.56 0.50 พึงพอใจมากที่สุด 3. เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) มีประโยชน์ในการเรียนรู้ การอ่านเนื้อเรื่องภาษาอังกฤษ 4.56 0.50 พึงพอใจมากที่สุด 4. เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) สะดวกต่อการใช้งาน 4.64 0.49 พึงพอใจมากที่สุด 5. เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) มีส่วนช่วยในการฝึก สังเกตการใช้คำศัพท์ และโครงสร้างประโยคในขณะที่อ่านเนื้อ เรื่องภาษาอังกฤษ 4.67 0.48 พึงพอใจมากที่สุด 6. เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) ทำให้การอ่านเนื้อเรื่อง ภาษาอังกฤษน่าสนใจขึ้น 4.56 0.50 พึงพอใจมากที่สุด 7. เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) ช่วยให้สามารถอ่านเนื้อ เรื่องภาษาอังกฤษเกิดความเข้าใจรวดเร็วขึ้น 4.17 0.70 พึงพอใจมาก 8. เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) ช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ ด้วยตนเอง 4.56 0.50 พึงพอใจมากที่สุด 9. เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) ทำให้มีความมั่นใจ ในการอ่านเนื้อเรื่องภาษาอังกฤษมากขึ้น 4.36 0.68 พึงพอใจมาก 10. เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) สามารถนำไปใช้ กับการเรียนรู้ทักษะอื่น ๆ ได้ 4.64 0.49 พึงพอใจมากที่สุด เฉลี่ยรวม 4.53 0.53 พึงพอใจมากที่สุด จากตารางที่ 4.8 พบว่า ค่าเฉลี่ยความพึงพอใจด้านการใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังจากเรียนเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับการอ่าน แบบกว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ใน


ภาพรวมนักเรียนมีความพึงพอใจมาก (X̅ = 4.49, S.D. = 0.55) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ข้อที่ 5 เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) มีส่วนช่วยในการฝึกสังเกตการใช้คำศัพท์และโครงสร้าง ประโยค ในขณะที่อ่านเนื้อเรื่องภาษาอังกฤษมีค่าเฉลี่ยสูงสุดและข้อที่ 7 เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) ช่วยให้สามารถอ่านเนื้อเรื่องภาษาอังกฤษเกิดความเข้าใจรวดเร็วขึ้นมีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ตารางที่ 4.9 การศึกษาความพึงพอใจด้านกิจกรรมการเรียนการสอนโดยบูรการเทคโนโลยี ความเป็นจริงเสริม AR ร่วมกับการสอนอ่านแบบกว้างขวางของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังจาก เรียนเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับการอ่านแบบกว้างขวาง ในการพัฒนา ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ข้อคำถาม ̅ S.D. แปลความหมาย 11. นักเรียนมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมการอ่าน 4.67 0.48 พึงพอใจมากที่สุด 12. กิจกรรมการเรียนการสอนช่วยพัฒนาทักษะด้านการอ่าน 4.56 0.50 พึงพอใจมากที่สุด 13. กิจกรรมการเรียนการสอนช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ คำศัพท์และสำนวนภาษาอังกฤษใหม่ ๆ จากเรื่องที่อ่าน 4.64 0.49 พึงพอใจมากที่สุด 14. กิจกรรมการเรียนการสอนมีรูปแบบที่ไม่ซับซ้อนง่ายต่อ การปฏิบัติ 4.50 0.51 พึงพอใจมากที่สุด 15. กิจกรรมการเรียนการสอนช่วยเสริมสร้างนิสัยรักการ อ่าน 4.64 0.49 พึงพอใจมากที่สุด 16. กิจกรรมการเรียนการสอนสอดคล้องกับความต้องการ และปัญหาในการเรียนรู้การอ่านภาษาอังกฤษ 4.19 0.71 พึงพอใจมาก 17. กิจกรรมการเรียนการสอนมีความน่าสนใจ 4.50 0.51 พึงพอใจมากที่สุด 18. กิจกรรมการเรียนการสอนทำให้ผู้เรียนค้นพบจุดแข็ง และจุดอ่อนในการอ่านภาษาอังกฤษ 4.00 0.72 พึงพอใจมาก 19. กิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้น ในการเรียนรู้ และทำกิจกรรมการอ่านภาษาอังกฤษ 4.33 0.68 พึงพอใจมาก 20. กิจกรรมการเรียนการสอนมีความสอดคล้องกับจุดประสงค์ การเรียนรู้ 4.39 0.49 พึงพอใจมาก เฉลี่ยรวม 4.44 0.56 พึงพอใจมาก จากตารางที่ 4.9 พบว่า ค่าเฉลี่ยความพึงพอใจด้านกิจกรรมการเรียนการสอนโดยบูรการเทคโนโลยี ความเป็นจริงเสริม AR ร่วมกับการสอนอ่านแบบกว้างขวางของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังจาก เรียนเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับการอ่านแบบกว้างขวาง ในการพัฒนา ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ในภาพรวมนักเรียนมีความพึงพอใจมาก (X̅ = 4.44, S.D. = 0.56) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ข้อที่ 11 นักเรียนมีส่วนร่วมในการทำ


กิจกรรมการอ่านมีค่าเฉลี่ยสูงสุด และข้อที่ 18 กิจกรรมการเรียนการสอนทำให้ผู้เรียนค้นพบจุดแข็ง และจุดอ่อนในการอ่านภาษาอังกฤษมีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ตารางที่ 4.10 การศึกษาความพึงพอใจในภาพรวมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังจากเรียน เรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับการอ่านแบบกว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถ ในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ข้อคำถาม ̅ S.D. แปลความหมาย ด้านการใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) 1. เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) มีความสอดคล้อง กับจุดประสงค์ในการเรียนรู้ 4.64 0.49 พึงพอใจมากที่สุด 2. เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) มีความเหมาะสม กับระดับความสามารถและความสนใจของนักเรียน 4.56 0.50 พึงพอใจมากที่สุด 3. เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) มีประโยชน์ในการเรียนรู้ การอ่านเนื้อเรื่องภาษาอังกฤษ 4.56 0.50 พึงพอใจมากที่สุด 4. เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) สะดวกต่อการใช้งาน 4.64 0.49 พึงพอใจมากที่สุด 5. เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) มีส่วนช่วยในการฝึก สังเกตการใช้คำศัพท์ และโครงสร้างประโยคในขณะที่อ่านเนื้อเรื่อง ภาษาอังกฤษ 4.67 0.48 พึงพอใจมากที่สุด 6. เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) ทำให้การอ่านเนื้อเรื่อง ภาษาอังกฤษน่าสนใจขึ้น 4.56 0.50 พึงพอใจมากที่สุด 7. เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) ช่วยให้สามารถอ่าน เนื้อเรื่องภาษาอังกฤษเกิดความเข้าใจรวดเร็วขึ้น 4.17 0.70 พึงพอใจมาก 8. เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) ช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ ด้วยตนเอง 4.56 0.50 พึงพอใจมากที่สุด 9. เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) ทำให้มีความมั่นใจใน การอ่านเนื้อเรื่องภาษาอังกฤษมากขึ้น 4.36 0.68 พึงพอใจมาก 10. เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) สามารถนำไปใช้กับการเรียนรู้ ทักษะอื่น ๆ ได้ 4.64 0.49 พึงพอใจมากที่สุด ค่าเฉลี่ยด้านการใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม AR 4.53 0.53 พึงพอใจมากที่สุด


ตารางที่ 4.10 การศึกษาความพึงพอใจในภาพรวมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังจากเรียน เรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับการอ่านแบบกว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถ ในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ (ต่อ) ข้อคำถาม ̅ S.D. แปลความหมาย ด้านกิจกรรมการเรียนการสอนโดยบูรการเทคโนโลยี ความเป็นจริงเสริม AR ร่วมกับการสอนอ่านแบบกว้างขวาง 11. นักเรียนมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมการอ่าน 4.67 0.48 พึงพอใจมากที่สุด 12. กิจกรรมการเรียนการสอนช่วยพัฒนาทักษะด้านการอ่าน 4.56 0.50 พึงพอใจมากที่สุด 13. กิจกรรมการเรียนการสอนช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้คำศัพท์ และสำนวนภาษาอังกฤษใหม่ ๆ จากเรื่องที่อ่าน 4.64 0.49 พึงพอใจมากที่สุด 14. กิจกรรมการเรียนการสอนมีรูปแบบที่ไม่ซับซ้อนง่ายต่อการ ปฏิบัติ 4.50 0.51 พึงพอใจมากที่สุด 15. กิจกรรมการเรียนการสอนช่วยเสริมสร้างนิสัยรักการอ่าน 4.64 0.49 พึงพอใจมากที่สุด 16. กิจกรรมการเรียนการสอนสอดคล้องกับความต้องการ และปัญหาในการเรียนรู้การอ่านภาษาอังกฤษ 4.19 0.71 พึงพอใจมาก 17. กิจกรรมการเรียนการสอนมีความน่าสนใจ 4.50 0.51 พึงพอใจมากที่สุด 18. กิจกรรมการเรียนการสอนทำให้ผู้เรียนค้นพบจุดแข็งและจุดอ่อน ในการอ่านภาษาอังกฤษ 4.00 0.72 พึงพอใจมาก 19. กิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นใน การเรียนรู้ และทำกิจกรรมการอ่านภาษาอังกฤษ 4.33 0.68 พึงพอใจมาก 20. กิจกรรมการเรียนการสอนมีความสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 4.39 0.49 พึงพอใจมาก ค่าเฉลี่ยด้านกิจกรรมการเรียนการสอนโดยบูรการเทคโนโลยี ความเป็นจริงเสริม AR ร่วมกับการสอนอ่านแบบกว้างขวาง 4.44 0.56 พึงพอใจมาก เฉลี่ยรวม 2 ด้าน 4.49 0.55 พึงพอใจมาก จากตารางที่ 4.10 พบว่า ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยี ความเป็นจริงเสริมร่วมกับการอ่านแบบกว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถในการอ่าน ภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยภาพรวมทั้ง 2 ด้านอยู่ระดับ ความพึงพอใจมาก (X̅ = 4.49, S.D. = 0.55) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่ามีความพึงพอใจมากที่สุด 15 ข้อ โดยข้อที่ 5 เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) มีส่วนช่วยในการฝึกสังเกตการใช้คำศัพท์ และโครงสร้างประโยคในขณะที่อ่านเนื้อเรื่องภาษาอังกฤษ และข้อที่ 11 นักเรียนมีส่วนร่วมในการทำ กิจกรรมการอ่านมีค่าเฉลี่ยสูงสุด และข้อที่ 18 กิจกรรมการเรียนการสอนทำให้ผู้เรียนค้นพบจุดแข็ง และจุดอ่อนในการอ่านภาษาอังกฤษมีค่าเฉลี่ยต่ำสุด


บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยนี้เป็นการพัฒนาเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) หาประสิทธิภาพของเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบ กว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด 80/80 2) เปรียบเทียบความสามารถการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่าน แบบกว้างขวางและ 3) เพื่อศึกษาพัฒนาการสัมพัทธ์ความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ หลังเรียน โดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง 4) เพื่อศึกษา ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับการอ่านแบบกว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ผู้วิจัยตั้งสมมติฐานไว้ 3 ข้อ ได้แก่ 1) เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นร่วมกับการอ่านแบบกว้างขวาง ในการพัฒนา ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรีมีประสิทธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด (E1/E2= 80/80) และ 2) ความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนโดยใช้เทคโนโลยี ความเป็นจริงเสริมร่วมกับการอ่านแบบกว้างขวาง 3) คะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ความสามารถ การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจหลังเรียน โดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการ สอนอ่านแบบกว้างขวางในภาพรวมอยู่ในระดับสูงขึ้นไป วิจัยนี้เป็นวิจัยกึ่งทดลอง โดยจัดการเรียนรู้จำนวน 16 คาบเรียน คาบเรียนละ 50 นาที กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 จำนวน 36 คน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ที่ได้จากการสุ่มแบบอย่างง่าย (Simple random sampling) ด้วยวิธีการ จับสลาก โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ โดยใช้การพัฒนาเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวางในการพัฒนา ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 จำนวน 8 แผน 16 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบวัดความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจเป็นข้อสอบปรนัย แบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 36 ข้อ 3 ใช้เป็นแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน 3) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการพัฒนาเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่าน แบบกว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ จำนวน 15 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีสำหรับ กลุ่มตัวอย่างที่ไม่เป็นอิสระต่อกันและการวิเคราะห์คะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์


สรุปผลการวิจัย การพัฒนาเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง ในการพัฒนา ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. ประสิทธิภาพของเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 80.90/80.63. ตามเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนด ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานการวิจัย ที่ตั้งไว้ 2. ความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจหลังเรียนโดยใช้เทคโนโลยี ความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวางสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 3. คะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษ ในการพัฒนา ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียน โดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง จำนวน 36 คน พบว่านักเรียนมีพัฒนาการโดยภาพรวมอยู่ในระดังสูง มีค่าเฉลี่ยของคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ เท่ากับ 53.98 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานการวิจัยที่ตั้งไว้ 4. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับ การอ่านแบบกว้างขวางในการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยรวมอยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุดซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานการวิจัยที่ตั้งไว้ อภิปรายผลการวิจัย การวิจัยนี้เป็นการพัฒนาเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสำหรับนักเรียน ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 สามารถอภิปรายผลได้ดังนี้ 1. ผลการพัฒนาและหาประสิทธิภาพของเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอน อ่านแบบกว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่าการทดลองนำเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมไปใช้กับผู้เรียน ผ่าน Vidinoti ซอฟต์แวร์ที่ใช้สร้างสื่อเทคโนโลยีความจริงเสริมในการเชื่อมโยงโลกของความจริง และโลกของความจริงเสมือนเข้าด้วยกัน โดยผู้สอนใช้ V-Director ในการสร้างและพัฒนาสื่อ และผู้เรียนใช้ V-Player ในการอ่านบทอ่านและกิจกรรมระหว่างเรียนเรื่อง Lifestyles, Believe it or not!, Experiences และ Safe and Sound มีประสิทธิภาพเท่ากับ 80.90/80.63 สอดคล้องกับผลงาน วิจัยของนราธร สังข์ประเสริฐ และคณะ (2563) พัฒนาสื่อสะสมบรรยายการทำงานของโปรแกรม ภาษาซี ปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่านด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมบนหนังสือเรียนการเขียนโปรแกรม คอมพิวเตอร์สำหรับนักศึกษาชั้นปริญญาตรีจำนวน 26 คน พบว่า หนังสือเรียนการโปรแกรม คอมพิวเตอร์ที่ใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.69/81.35 สูงกว่า เกณฑ์ที่กำหนด 80/80 ทั้งนี้ผู้วิจัยเห็นว่าเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมเป็นสื่อที่ดีสามารถสร้างแรงจูงใจ


ให้ผู้เรียนในการพัฒนาทักษะการอ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพสามารถเรียนรู้โครงสร้างทางภาษาและ คำศัพท์ และใช้ฝึกฝนทักษะการอ่านนอกห้องเรียนได้ด้วยตนเองสอดคล้องกับผลงานวิจัยของ Yuan Cheng, Lvle Yang, and Jun Yang (2018) ศึกษาเรื่องการบูรณาการเทคโนโลยีความจริงเสริม และ รูปแบบการเรียนรู้ด้วยเกม เพื่อปรับปรุงแรงจูงใจและประสิทธิผลของการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 46 คน พบว่าการใช้เทคโนโลยีความจริงเสริมมีผลดีต่อ การสร้างแรงจูงใจ รวมถึงประสิทธิภาพต่อการเรียนของนักเรียนและสอดคล้องกับ Peng Chen, Xiaolin Liu, Wei Cheng, and Ronghuai Huang (2017) ศึกษาประสิทธิภาพของการใช้เทคโนโลยี ความเป็นจริงเสริมในการเรียนรู้คำศัพท์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 66 คน พบว่า การสอนคำศัพท์โดยใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมมีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากกว่าการเรียนรู้โดยใช้ บัตรคำศัพท์แบบเดิม 2. คะแนนความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ทั้งนี้ผู้วิจัยเห็นว่ารูปแบบการสอน และขั้นตอนการสอนมีส่วนในการส่งเสริมความสามารถการอ่านของผู้เรียน ทำให้นักเรียนสามารถ บอกใจความสำคัญของเรื่องที่อ่านได้ ว่าใครทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร หรืออย่างไร สามารถบอก ความรู้สึกของผู้เขียนหรือตัวละครได้ และสามารถบอกได้ว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องจริง หรือเรื่องไหน เป็นเรื่องเท็จ ซึ่งสอดคล้องกับ จุราภรณ์ ปฐมวงษ์ (2565) ศึกษาเรื่องการพัฒนารูปแบบการสอน เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า รูปแบบการสอนมี 4 องค์ประกอบ คือ 1) องค์ประกอบด้านหลักการ 2) องค์ประกอบด้าน วัตถุประสงค์ 3) องค์ประกอบด้านกระบวนการสอน 4) องค์ประกอบด้านระบบสนับสนุน กระบวนการสอนมี 5 ขั้นตอน ดังนี้ขั้นกระตุ้นความสนใจ (Stimulating activity) ขั้นสอนคำศัพท์ (Checking new vocabulary) ขั้นถามคำถาม (Asking question) และในขั้นตอนนี้มีรูปแบบ การถามคำถามตามรูปแบบ CHURAPORN ขั้นลงมืออ่านบทอ่าน (Action and brainstorming) ขั้นทบทวนและประเมินผล (Review and assessment)ประสิทธิภาพของรูปแบบการสอน เพื่อ ส่งเสริมทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีค่าเท่ากับ 83.24/82.97 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ นักเรียนมีทักษะ การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ หลังเรียนด้วยรูปแบบการสอนเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. ผลการวิเคราะห์คะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีพัฒนาการสัมพัทธ์ ความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจอยู่ในระดังสูง ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการใช้ เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวางทำให้ผู้เรียนเข้าใจเรื่องราว และใจความสำคัญของเรื่องที่อ่าน อย่างไรก็ตาม ในการวิเคราะห์พัฒนาการสัมพัทธ์ผู้วิจัยได้ตั้ง ข้อสังเกตว่า ผู้เรียนที่มีคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์อยู่ในระดับกลาง จำนวน 16 คน อาจเนื่องมาจาก การเรียนผ่านเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมมีข้อจำกัดบางประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดความ หลากหลายในการจัดกิจกรรมในชั้นเรียน ความไม่สะดวกในการอ่าน รวมทั้งการขาดปฏิสัมพันธ์ที่ ต่อเนื่อง (อมฤตา โอมณี, 2558) ดังนั้นผู้สอนจึงควรคำนึงถึงข้อจำกัดดังกล่าวในการพัฒนาเทคโนโลยี ความเป็นจริงเสริม


4. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 มีระดับความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยี ความเป็นจริงเสริมร่วมกับการอ่านแบบกว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถในการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจระดับพึงพอใจมากที่สุด ด้านที่ได้ความพึงพอใจสูงสุด คือ เทคโนโลยี ความเป็นจริงเสริม (AR) ช่วยให้สามารถอ่านเนื้อเรื่องภาษาอังกฤษเกิดความเข้าใจรวดเร็วขึ้น เพราะเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) ช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ในการเรียนรู้และศึกษา ทำให้เราสามารถเข้าใจและจำความรู้ได้ง่ายขึ้น สอดคล้องกับงานวิจัยของ ณัฐญา นาคะสันต์ (2019) ที่ได้พัฒนาความสามารถในการสร้างสื่อการสอนด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมของครูระดับ มัธยมศึกษา จังหวัดชัยนาท ที่ได้เสนอว่า ผู้นำเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมไปพัฒนาและจัดทำสื่อ เป็นสื่อการเรียนการสอนในรายวิชาต่าง ๆ ส่งผลให้ผู้เรียนมีความกระตืออรือร้นและดึงดูดความสนใจ ของผู้เรียน และสอดคล้องกับงานวิจัยของศุภิสรา กุมาทะ ได้เสนอว่า การอ่านแบบกว้างขวาง เป็นการอ่านที่คำนึงถึงความสามารถของผู้เรียนเป็นหลัก เนื่องจากผู้เรียนแต่ละคนมีความรู้ ด้านการอ่านภาษาอังกฤษที่แตกต่างกัน การเรียนในห้องเรียนอาจทำให้ผู้เรียนได้รับความรู้ ที่ไม่เหมาะสมกับระดับความรู้และความสามารถของตนเอง การอ่านแบบกว้างขวางจึงเป็นทางเลือก ที่เหมาะสมกับผู้เรียนในการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจและผู้เรียน สามารถเลือกเรื่องที่อ่านได้ตามระดับความรู้และความสามารถของตนเอง เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อ 1 เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) มีความสอดคล้องกับจุดประสงค์ในการเรียนรู้ข้อ 2 เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) ข้อ 3 เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) มีประโยชน์ในการเรียนรู้ การอ่านเนื้อเรื่องภาษาอังกฤษ ข้อ 4 มีเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) สะดวกต่อการใช้งาน ข้อ 5 เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) มีส่วนช่วยในการฝึกสังเกตการใช้คำศัพท์ และโครงสร้างประโยค ในขณะที่อ่านเนื้อเรื่องภาษาอังกฤษ ข้อ 6 เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) ทำครูนำเทคโนโลยี ให้การอ่านเนื้อเรื่องภาษาอังกฤษน่าสนใจขึ้น ข้อ 8 เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) ช่วยกระตุ้น การเรียนรู้ด้วยตนเอง ข้อ 10 เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) สามารถนำไปใช้กับการเรียนรู้ทักษะ อื่น ๆ ได้ ข้อ 11 นักเรียนมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมการอ่าน ข้อ 12 กิจกรรมการเรียนการสอน ช่วยพัฒนาทักษะด้านการอ่าน ข้อ 13 กิจกรรมการเรียนการสอนช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ คำศัพท์ และสำนวนภาษาอังกฤษใหม่ ๆ จากเรื่องที่อ่าน ข้อ 14 กิจกรรมการเรียนการสอนมีรูปแบบ ที่ไม่ซับซ้อนง่ายต่อการปฏิบัติ ข้อ 15 กิจกรรมการเรียนการสอนช่วยเสริมสร้างนิสัยรักการอ่าน ข้อ 17 กิจกรรมการเรียนการสอนมีความน่าสนใจ มีค่าเฉลี่ยสูงกว่าค่าเฉลี่ยรวม ข้อ 18 กิจกรรมการเรียน การสอนทำให้ผู้เรียนค้นพบจุดแข็งและจุดอ่อนในการอ่านภาษาอังกฤษ มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด เพราะการทำ กิจกรรมการเรียนสอนทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยผู้เรียนเป็นผู้ลงมือกระทำ ๆ หรือผู้เรียน และผู้สอนเป็นผู้ร่วมกันกระทำเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการรู้การเปลี่ยนแปลง และการพัฒนาไปตาม จุดมุ่งหมายที่ได้กำหนดไว้ไม่ใช่การทำให้ผู้เรียนค้นพบจุดแข็งและจุดอ่อนในการอ่านภาษาอังกฤษ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ คาลฟาน อัล ซัวอิเลีย และคณะ Khalfan Al Shuailia et al. (2020) ที่เสนอแนะว่าเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมมีส่วนช่วยให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในเนื้อหา ที่เรียนรู้ด้วยตนเองเพิ่มมากขึ้นและสอดคล้องกับงานวิจัยของ ชนิกานต์ ศรีทองสุข (2562) ที่ได้เสนอ ว่า การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนช่วยส่งเสริมให้ประสิทธิภาพการเรียนรู้ ของผู้เรียนเพิ่มสูงมากขึ้น และช่วยให้ผู้สอนมีรูปแบบการสอนและวิธีการสอนที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น


ซึ่งสอดคล้องกับ นัททอล Nuttall (1996) ที่ผู้เรียนสามารถทำกิจกรรมการอ่าน ศึกษาการอ่าน และเลือกสิ่งที่อ่านด้วยตนเอง โดยผู้สอนมีหน้าที่กระตุ้นความสนใจของผู้เรียน กระทั้งผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และเข้าใจความหมายโดยรวมของเรื่องที่อ่าน ดังที่ พรสวรรค์ สีป้อ (2550) กล่าวว่า การอ่านเป็นกระบวนการ แปลความหมาย การทำความเข้าใจความหมาย และการคิดวิเคราะห์ตัดสินประเมินค่าสิ่งที่อ่าน จากนั้นผู้อ่านต้องสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคำและความหมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจ และตีความข้อความ โดยการเชื่อมโยงความรู้และประสบการณ์เดิม ข้อเสนอแนะ การพัฒนาเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบกว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้ทำการสรุปข้อเสนอแนะเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ โดยมีข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ และข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไปดังนี้ ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ 1. ช่วงสถานการณ์โรคระบาดผู้สอนและผู้เรียนสามารถนำเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม มาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนรูปแบบออนไลน์ได้ 2. การใช้สื่อเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมเรียนรู้ด้วยตนเองในการพัฒนาความสามารถ ในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ผู้เรียนจำเป็นต้องมีอุปกรณ์และแอปพลิเคชันเป็นตัวกลาง ในการเรียนรู้ ดังนั้นผู้สอนจำเป็นต้องเตรียมความพร้อม เพื่อที่จะให้คำแนะนำในการใช้อุปกรณ์ และแอปพลิเคชันกับผู้เรียนได้ 3. การใช้สื่อเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม ในการพัฒนาความสามารถในการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ผู้เรียนจำเป็นต้องใช้สัญญาณอินเตอร์เน็ตที่มีความเร็วสูง ดังนั้น ผู้เรียน ต้องเตรียมความพร้อมของอุปกรณ์ และสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่ใช้ในการเรียนรู้ด้วยตนเอง 4. ควรมีการศึกษา เปรียบเทียบความพึงพอใจในการเรียนรู้ด้วยเทคโนโนโลยีความเป็นจริงเสริม ตามปัจจัยส่วนบุคคลของผู้เรียนที่เกี่ยวข้อง เช่น ระดับความสามารถ กลุ่มเก่ง ปานกลาง และอ่อน เพื่อวิเคราะห์ความแปรปรวนหรือความแตกต่างของความพึงพอใจของผู้เรียนในกลุ่มต่าง ๆ เพื่อนำผล การวิเคราะห์มาปรับปรุง กระบวนการเรียนการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีดังกล่าวที่ตอบสนอง ต่อความต้องการของกลุ่มต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 1. การศึกษาครั้งต่อไปควรนำเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมไปพัฒนาความสามารถของ ผู้เรียนในทักษะด้านอื่น ๆ เช่น ทักษะการฟัง ทักษะการพูดหรือทักษะการเขียน 2. ควรมีการนำวิจัยเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมร่วมกับวิธีการสอนอ่าน แบบกว้างขวาง ในการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างระดับอื่น เช่น ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย


3. ควรมีการฝึกการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจแบบเข้มข้น Intensive Reading ที่โรงเรียนก่อน เนื่องจากกิจกรรมดังกล่าวเป็นการช่วยเตรียมทักษะการอ่านภาษาอังกฤษให้กับผู้เรียน ที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ


บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2561). นโยบายการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 –2565. [ออนไลน์]. ได้จาก https://moe360.blog/2021/06/30/education-managementpolicy/[สืบค้นเมื่อ 20 มีนาคม 2565]. ______. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. กรรณิกา โสมชัย. (2553). เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจต่อการเรียน คณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวกเศษส่วน โดยใช้วิธีสอนแบบแก้ปัญหากับวิธีการสอนแบบปกติ. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหา บัณฑิต. สาขาหลักสูตรและการสอน. บัณฑิตวิทยาลัย. มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี. ภาษาต่างประเทศตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551. กรุงเทพฯ: กระทรวงศึกษาธิการ. ______. กรอบแนวคิดหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551.กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์กรมการศาสนา. กิดานันท์ มลิทอง. (2548). เทคโนโลยีการศึกษาและนวัตกรรม. กรุงเทพฯ: อรุณการพิมพ์. กชพร มั่งประเสริฐ, ทัศนีย์ นาคุณทรง และทิพาพร สุจารี. (2564). การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้ วิธีสอนแบบบูรณาการของเมอร์ดอกช์ (MIA) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ.16(1), 1-12 กชพร มั่งประเสริฐ, สิทธิพร ประวัติรุ่งเรือง, และขวัญหญิง ศรีประเสริฐภาพ. (2564). แนวทางการ พัฒนาสมรรถนะครูยุค Thailand 4.0 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เพชรบุรี. วารสาร มจร. พุทธปัญญาปริทรรศน์. ครั้งที่ 16, 406-417. กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). การจัดสาระการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน. กรุงเทพฯ : กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. กรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ. (2558). 58 คำตอบ สู่ประชาคมอาเซียน 2558. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: กรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ. กฤษฎา โพธิ์ชัยรัตน์, เพ็ญณี แนรอท และนุชวนา เหลืองอังกูร. (2556). ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่มีผลสัมฤทธ์ทางการเรียน แตกต่างโดยกิจกรรมการอ่านแบบกว้างขวาง. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตร มหาบัณฑิต. สาขาหลักสูตรและการสอน. บัณฑิตวิทยาลัย. มหาวิทยาลัยขอนแก่น. เกวลี ผาใต้, พิเชนทร์ จันทร์ปุ่ม, และอภิวัฒน์ วัฒนะสุระ. (2561). สื่อการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีมิติเสมือนจริง เรื่อง คำศัพท์ภาษาอังกฤษสัตว์โลกน่ารู้. วารสารโครงงานวิทยาการคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ. 4(1), 27. จิรา จันทร์ทอง. (2552). การบูรณาการเทคนิคการตั้งคําถามและการอ่านแบบกว้างขวางเพื่อส่งเสริม ความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษและนิสัยรักการอ่าน.วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตร มหาบัณฑิต. สาขาการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษานานาชาติ. บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.


บรรณานุกรม (ต่อ) จิราภรณ์ ปกรณ์. (2561). เทคโนโลยีโลกเสมือนผสานโลกแห่งความจริง. [ออนไลน์]. ได้จาก http://www.scimath.org/ [สืบค้นเมื่อ 20 มีนาคม 2565]. จุราภรณ์ ปฐมวงษ์. (2565). การพัฒนารูปแบบการสอนเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยปทุมธานี.14(1), 178-196. จุฬาลักษณ์ สุทิน. (2561). การศึกษาประสิทธิภาพของหนังสืออ่านเพิ่มเติมภาษาอังกฤษชุดภูมิปัญญา ท้องถิ่นนครศรีธรรมราช ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการอ่าน และทัศนคติต่อการเรียน ภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับชั้น ปวช. ปีที่ 2 วิทยาลัยช่างศิลปนครศรีธรรมราช. 2(1), 113-128. ฉวีวรรณ คูหาภินันท์. (2542). การอ่านและการส่งเสริมการอ่าน (Reading and Reading Promotion). กรุงเทพฯ: ศิลปาบรรณาคาร. ชัยยงค์ พรหมวงศ์. (2556). การทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอน. วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์. 5(3), 7-20. ฐิตินันท์ คงบางปอ. (2550). ความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ ทัศนคติ และแบบการเรียนของนักศึกษาคณะศิลปศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต. สาขาการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษานานาชาติ. บัณฑิตวิทยาลัย. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. ณัฐญา นาคะสันต์. (2019). การพัฒนาความสามมารถในการสร้างสื่อการสอนด้วยเทคโนโลยีความ เป็นจริงเสริมสำหรับครูมัธยมศึกษา จังหวัดชัยนาท. วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์. มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบ฿ลสงคราม. 13(1), 36-51. ณัฐพล ปฐมอารีย์. (2547). ระบบความจริงเสมือนสำหรับถ่ายทอดทักษะการประกอบชิ้นงาน. วิทยานิพนธ์ปริญญาวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิศวกรรมเครื่องกล. วิศวกรรมศาสตร์. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี. ดิษลดา เพชรเกลี้ยง, ศุภณัฐ พานา และวุฒิชัย บุญพุก. (2565). การพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้วยตนเอง ผ่านเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมเพื่อส่งเสริมมโนทัศน์ทางภูมิศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น. วารสารครุศาสตรสาร.16 (1), 214-225. ทองสุข นะธะศิริ. (2553). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์และความพึงพอใจต่อการเรียนกลุ่มสาระ การเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง เรขาคณิต ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยการใช้สื่อ มัลติมีเดียประกอบการสอนกับการสอนแบบปกติ. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต. สาขาหลักสูตรและการสอน. บัณฑิตวิทยาลัย. มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี. นิพนธ์ บริเวธานันท์. (2552). Augmented Reality เมื่อโลกความจริงผนวกเข้ากับโลกเสมือน. [ออนไลน์]. ได้จากhttp://www.ebooks.in.th/download/30348 /Augmented _Reality/ [สืบค้นเมื่อ 20 มีนาคม 2565].


บรรณานุกรม (ต่อ) นราธร สังข์ประเสริฐ, ณัฐพล หนูฤทธิ และ ชนม รุณปักษ์. (2563). การพัฒนาสื่อสะสมบรรยายการทำงาน ของโปรแกรมภาษาซี ปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่านด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมบนหนังสือเรียน การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับนักศึกษาชั้นปริญญาตรี. วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม. มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี. 11(2), 41-52. นพรัตน์ ปัญญาดิลกพงศ์. (2562). การหาประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อเน้นความเข้าใจ จากหนังสือพิมพ์และการใช้พจนานุกรมโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบปฏิบัติสำหรับนักศึกษา ปริญญาตรีมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน. วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี. มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี. 13(1), 80-88. บุญชม ศรีสะอาด. (2545). การวิจัยเบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ 7, กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น. ปณพักตร์ พงษ์พุทธรักษ์, กรองทิพย์ นาควิเชตร, สงวนพงษ์ ชวนชม และ อลงกต ยะไวทย์. (2562). ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนการสอน ของครูโรงเรียนประถมศึกษา ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง. วารสารชุมชนวิจัย. มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา. 13(1), 214-227. ปัญญพนต์ พลูสวัสดิ์. (2554). iMarketing 10.0 10 กลยุทธ์การตลาดออนไลน์เขย่าโลก. กรุงเทพฯ: โปรวิชั่น ประทุม สระทองยอด. (2547). ความพึงพอใจของผู้ปกครองต่อการจัดการศึกษาของโรงเรียนเมตตาวิทยา. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต. สาขาบริหารทั่วไป. บัณฑิตวิทยาลัย. มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา. พัชรี ปุ่มสันเทียะ. (2563). การพัฒนาสื่อการเรียนการสอนด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมในรายวิชา ภาษาจีนสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4. วารสารครุศาสตร์.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 48(2), 184-202. พิสณุ ฟองศรี. (2549). การประเมินทางการศึกษา : สู่แนวคิดการปฏิบัติ. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : เทียมฝ่าการพิมพ์. พนิดา ตันศิริ. (2552). โลกเสมือนผสานโลกจริง Augmented Reality. วารสารนักบริหาร. มหาวิทยาลัยกรุงเทพ. 30(2), 169-175. พูนทรัพย์ นาคนาคา. (2539). การพัฒนาสื่อการเรียนเพื่อเพิ่มทักษะการอ่านหนังสือพิมพ์และวารสาร ภาษาอังกฤษสำหรับนักศึกษาสถาบันราชภัฏสวนสุนันทา. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษา ดุษฎีบัณฑิต.สาขาการวิจัยและพัฒนาหลักสูตร. บัณฑิตวิทยาลัย. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. พจน์ศิรินทร์ ลิมปีนันทน์. (2560). เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมส่งเสริมความคงทนในการจำคำศัพท์ ภาษาอังกฤษ. วารสารวิชาการ การจัดการเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม, 4(2), 7-16. พรสวรรค์ สีป้อ. (2550). สุดยอดวิธีสอนภาษาอังกฤษ. กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์.


บรรณานุกรม (ต่อ) พวงรัตน์ ทวีรัตน์. (2540). วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ: สำนักทดสอบทางการศึกษาและจิตวิทยา มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒประสานมิตร. ภัทธีรา มณีเลิศ, (2546). การเพิ่มพูนความเข้าใจและความเร็วในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2.วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต. สาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษ บัณฑิตวิทยาลัย. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. มนัสวี ดวงลอย. (2558). ปจจัยที่มีผลตอปญหาในการอานภาษาอังกฤษของนักศึกษาของมหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ. วารสารครุศาสตรอุตสาหกรรม. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี. 3(1), 153-167. มณีรัตน์ สุกโชติรัตน์. (2547). การอ่านเพื่อความเข้าใจตามชนิดของการอ่าน.กรุงเทพฯ:คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. มาตา วงษ์ชารี, ฐรัณภรณ์ ธนานิธิกุลโรจน์, อาทิตย์ ถมมา และ สุดาพร นนท์ไพรวัลย์. (2566). การพัฒนาประสิทธิภาพและความสามารถการรับรู้ด้านการฟังประโยคคำสั่งภาษาอังกฤษ โดยใช้การสอนเเบบตอบสนองด้วยท่าทาง TPR ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหนองบัววิทยายน. วารสารศรีล้านช้างปริทรรศน์. มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตศรีล้านช้าง. 9(1), 75-88. รัตติยากร วาปีกัง,ศศิพร พงศ์เพลินพิศ และสุชีรา มะหิเมือง. (2563). การพัฒนาความสามารถด้านการเรียนรู้ คำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนฤทธิณรงค์รอน. วารสารเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา.15(18), 12-22. ราชบัณฑิตยสถาน. (2546). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542.กรุงเทพฯ: นานมีบุ๊ค พับลิเคชั่นส์. เรืองนภา ชอไชยทิศ, ศุมรรษตรา แสนวา และดุษฎี สีวังคำ. (2564). การพัฒนาสื่อการเรียนรู้โดยใช้ เทคโนโลยีความจริงเสริมเรื่องแนะนำการใช้บริการของสำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. วารสารบรรณศาสตร์ มศว. 14(2), 60-75. ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ. (2538). เทคนิคการวิจัยทางการศึกษา. (พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาสน์. วิกรม จันทรจิตร และ ภัทรธีรา เทียนเพิ่มพูล. (2558). การพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจของนักศึกษาระดับปริญญาตรี โดยใช้รูปแบบการสอนอ่านแบบกว้างขวาง ร่วมกับการสอนกลวิธีการอ่าน. วารสารศิลปศาสตร์มหาวิทยาลัยรังสิต. 17(2), 23-37. วิภาวี เจียมบุศย์, บุญมี กวินเสกสรรค์, อรรณพ ปิยะสินธ์ชาติ, และวิไล ตั้งจิตสมคิด. (2564). การพัฒนาแบบจำลองนวัตกรรมการจัดการการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารด้วยเกม วอล์คแรลลี่และเทคโนโลยีโลกเสมือนจริงผสานโลกความจริง.วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี. 15(2), 22-37 วิวัฒน์ มีสุวรรณ์. (2554). การเรียนรู้ด้วยการสร้างโลกเสมือนผสานโลกจริง. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร. 13(2), 119-127.


บรรณานุกรม (ต่อ) วีณารัตน์ ราศิริ. (2552). การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5E เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ในการแก้ โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์และความพึงพอใจต่อการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต. สาขาวิชาหลักสูตร และการสอน. บัณฑิตวิทยาลัย. มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม. ศิริชัย กาญจนวาสี. (2552). ทฤษฎีการทดสอบแบบดั้งเดิม. พิมพ์ครั้งที่ 10. กรุงเทพฯ. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ศุภสรา กุมาทะ. (2562). ผลการใช้กิจกรรมการอ่านแบบกว้างขวางที่มีต่อการพัฒนาทักษะการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. สาขาการสอนภาษาอังกฤษ. บัณฑิตวิทยาลัย. มหาวิทยาลัยศิลปากร. สนิท ยืนศักดิ์ และสุกัญญา เกาะวิวัฒนากุล. (2551). ทัศนะและพฤติกรรมของครูและนักเรียน ในการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษตามหลักสูตรการศึกษาข้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย : กรณีศึกษาโรงเรียนมัธยมศึกษาในจังหวัดพะเยา. วารสารนเรศวรพะเยา. 5(2), 190-19 สถิรพร รักษ์คัมภีร์. (2560). การพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ โดยใช้ QAR สำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 1. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต.สาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษ. บัณฑิตวิทยาลัย. มหาวิทยาลัยศิลปากร. สุนันท์ สังข์อ่อน. (2555). หลักสูตรและการสอนสำหรับศตวรรษที่ 21.กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์. สุดารัตน์ โยชน์เยื้อน, ไพฑูรย์ ศรีฟ้า, และสูติเทพ ศิริพพัฒนกุล. (2563). การพัฒนาเอกสารประกอบ การเรียนวิชาภาษาอังกฤษ เรื่อง Causative form โดยใช้ทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5. วารสารการวิจัยกาสะลองคำ. 14(2): 61-76. สุพรรษา ศรประเสริฐ. (2558). การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนอ่านภาษาอังกฤษตามทฤษฎี โครงสร้างความรู้และแนวคิดการสอนแบบแลกเปลี่ยนบทบาทระหว่างครูกับนักเรียนเพื่อ ส่งเสริมความสามรถในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย. วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต.สาขาหลักสูตรและการสอน.บัณฑิตวิทยาลัย.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สุพรรณสิริ วัฑฒกานนท์.(2545). อ่านภาษาอังกฤษอย่างไรถึง (ไม่) เข้าใจ. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. สุชาดา ชัยวิวัฒน์ตระกูล. (2544). การใช้กิจกรรมการอ่านกว้างขวางเพื่อเพิ่มพูนความสามารถทาง การอ่าน-เขียนภาษาอังกฤษ และนิสัยรักการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต. สาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษ. บัณฑิตวิทยาลัย. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. สมุทร เซนเชาวนิช. (2542). เทคนิคการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ. พิมพ์ครั้งที่ 10. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. สุรเกียรติ สนิทมาก. (2547). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความคงทนในการเรียนรู้ความพึงพอใจ ต่อการเรียนของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตตาก ที่ได้รับการสอนแบบเอ็มไอเอพีกับการสอนปกติ.วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต. สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน. บัณฑิตวิทยาลัย. มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร.


บรรณานุกรม (ต่อ) สงวนพงศ์ ชวนชม, อำนาจ อยู่คำและสำเริง บุญเรืองรัตน์. (2562). การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผล การบริหารงานวิชาการคณะวิชาสถาบันอุดมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. วารสารวิจัยและการพัฒนาหลักสูตร มศว.19(2), 107-119. สมบัติ ท้ายเรือคำ. (2551). ระเบียบวิธีวิจัยสำหรับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์.กาฬสินธุ์: ประสานการพิมพ์ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2551). แนวทางการดำเนินงานการมีส่วนร่วมการบริหารจัดการศึกษา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด. สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทยจำกัด,2551. อดิศักดิ์ มหาวรรณ. (2556). AR หรือ Augmented Reality คือ. [ออนไลน์]. ได้จาก http://edutechnogoogle.blogspot.com/2013/05/ar-augmented-reality.html./[สืบค้นเมื่อ 20 มีนาคม 2565]. อมฤตา โอมณี และนิสากร จารุมณี. (2558). ความพึงพอใจต่อการใช้วิธีการอ่านแบบกว้างขวางผ่าน กิจกรรมแบบดั้งเดิมและออนไลน์ในการพัฒนาทัศนคติและนิสัยการอ่านภาษาอังกฤษ. บทความนำเสนอในที่ประชุมวิชาการระดับชาติมหาวิทยาลัยทักษิณ ครั้งที่ 25 “วิจัยไทยเพื่ออนาคต”, 10 มิถุนายน 2558. อลงกต ยะไวทย์และ ณัฐวัฒม์วงษ์ชวลิตกุล. (2562). การพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยการสร้าง สภาวะแวดล้อมการเรียนด้วยการทำงานในสภาพจริง. สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) อรวี ขุมมิน, นฤมล ศิระวงษ์ และนิพาดา ไตรรัตน์. (2565). เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมเพื่อพัฒนา ทักษะต่าง ๆ ของผู้เรียนในโลกชีวิตวิถีใหม่. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี. วารสารครุศาสตร์อุตสาหกรรม, 21(1), c9-c15 Aebersold, J. A., & Field, M. L. (1997). From Reader to Reading Teacher. New York: Cambridge University Press. Aizan Yaacob, F., Zaludin, N., Aziz, N., Ahmad, N. A., Othman & Rabiatul A. M., Fakhruddin. (2019). Augmented Reality (AR) Flashcard as a Tool to Rural Low Ability Students’ Vocabulary. Practitioner Research. 1, 29-52. Albertazzi S. (2020). Krashen's theory on Second Language Acquisition. [online]. Available from:https://pt.slideshare.net/milaazofeifa/krashens-theory-on-secondlanguage-acquisition [25 April 2022]. Arikunto, S. (1986). Dasar-Dasar Evaluasi Pendidikan. Jakarta: Bumi Aksara. Barnard, Chester I. (1972). The Functions of the Executives.Boston: Harvard UniversityPress. Azuma, R. T. (1997). A survey of augmented reality.Presence: Teleoperators & Virtual Environments : 6(4), 355-385. Bell, T. (1998). Extensive reading: Why? and how. The Internet TESL Journal. 4(12), 1-6.


บรรณานุกรม (ต่อ) Best, J. W. (1997). Research in Education. 3rd ed. Englewood Cliffs N.J.: Prentice-Hall. Borreero, A.M., & Márquez, J.A. (2012). A pilot study of the effectiveness of augmented reality to enhance the use of remote labs in electrical engineering education. Journal of science education and technology. 21 (5), 540-557. Brown, H. D. (2000). Principles of language learning and teaching.4th ed. New York: Longman Burmeister, L. E. (1974). Reading strategies for secondary school teachers. Massachusetts: Addison-Wesley Publishing. Callahan, J. F. & Clark, L. H. (1988). Teaching in the middle and secondary schools: planning for competence. New York: Macmillan Publishing Company Campbell, D.T. & Stanley, J.C. (1963). Experimental and quasi-experimental designs for research. Chicago: Rand McNally & Company. Carmigniani, J., Furht, B., Anisetti, M., Ceravolo, P., Damiani, E., & Lvkovic, M. (2011). Augmented reality technologies, systems, and applications. Multimedia Tools and Applications. Scientific Research. 51(1), 341–377. Chen P., Liu X., Cheng W., and R. Huang. (2017) A review of using Augmented Reality in Education from 2011 to 2016. Innovations in Smart Learning.Singapore: Springer Singapore. Cheng, K.-H. (2018). Surveying Students’ Conceptions of Learning Science by Augmented Reality and their Scientific Epistemic Beliefs. Eurasia Journal of Mathematics, Science and Technology Education, 14(4), 1147-1159. Conley, M. W. (1996). Content reading instruction: A communication approach. New York: McGraw Hill. Davis, C. (1995). Extensive reading: an expensive extravagance?.ELT journal. 49(4), 329-336. Day, Richard R. and Bamford, J. (1998). Extensive Reading in the second language classroom. 2nd ed. Cambridge: Cambridge University Press. ______. (2002). Top ten principles for teaching extensive reading. Reading in a foreign language. 14(2), 136. ______. (2003). What is extensive reading?. Cape Alumni Internet Connection. Teacher Talk.21, 1–2. Dallmann, M. (1978). The teaching of reading. Holt, Rinehart and Winston of Canada Ltd. Dubravcic, J. (1996). Telling the truth about extensive reading. [online]. Available from: http://Language. Hyper.chubv.ac.jp/jalt/pub/tlt/96/dec/reading.html/ [25 April 2022]. Finocchiaro, M., & Sako, S. (1983). Foreiesting. New York: Regents. Goodman, K. S. (1988). The reading process In Interactive Approaches to Second Language Reading. New York: CUP.


บรรณานุกรม (ต่อ) Gilmer, D. and others. (1971). Industrial psychology. New York: Macmilan. Gray, B. (1980). Developing language and literacy with urban Aboriginal children: A First Report on the Traeger Park Project. Canberra: Curriculum Development Centre. Hair, J. F., Black, W. C., Babin, B. J., Anderson, R. E., & Tatham, R. L. (2006). Multivariate data analysis. 6th ed. Upper Saddle River, NJ: Pearson Prentice Hall. Harris, A. J., and Smith, A. A. (1980). Reading Instruction. New York: Holt,Rinehart and Winston. Hartati, N., and Yogi, H. P. S. (2019). Item Analysis for a Better Quality Test. English Language in Focus (ELIF). 2(1), 59–70. Herzberg, F. et al. (1959). The Motivation to work. New York: John Wiley and Sons. Holec, T. (1987). Using readers in language teaching. 2nd ed. London: Macinillan Publishers Ltd. Hyland, K. (1990). Purpose & strategy: Teaching extensive reading skills. English Teaching Forum, Vol XXXVII. No. 2, 14-23. Hopkins, G. (2003). Sustained silent reading helps develop independent readers (and writers). Education World. [online]. Available from: http://www.education-world.com/ a_curr038.shtml/[27 April 2022]. Jacobs, G. M., and Gallo, P. (2002) Reading alone together: Enhancing extensive reading Via student-student cooperative in second-language instruction Reading. [Online]. Available from: http://www.readingonline.org/articles/- art_index.asp?HREF=jacob/index.html/[25 April 2022]. Julius, R. (2017). Efficiency in Teaching English as a Foreign Language. Romanian Journal of English Studies. 14(1), 132–140. Kelly, A. (2014). Transactional Model of Reading. [online]. Available from: https://www.slideserve.com/avari/transactional-theory-model-of-reading [25 April 2022]. Kline, R. B. (2005). Principles and practice of structural equation modeling. 2nd ed. New York, NY: Guilford Press. Krashen, S. (1982). Principles and practice in second language acquisition.Oxford: Pergamon Press. Krashen S., and Terrell, T. (1983). The natural approach: Language acquisition in the classroom.Hemel Hempstead: Prentice Hall International English Language Teaching. Kuder, G. and Richardson, M. (1937). The theory of estimation of test reliability.Psychometrika. Lindlof, T.R., & Taylor, B.C. (2002). Qualitative Communication Research Methods. 2nd Ed. Thousand Oaks, CA: Sage. Little, D. (1999). Learner autonomy. Definitions, issues and problems. Dubin: Authentik.


บรรณานุกรม (ต่อ) Lituanas, P. M., Jacobs, G. M., and Renandya, W. A. (1999). A study of extensive reading with remedial reading students. [online]. Available from: https://eric.- ed.gov/?id=ED574033/ [28 April 2022]. Milton, C. R. (1981). Human Behavior in Organization. New Jersey: Prentice - Hall. Nachmais, C. F. and Nachmais, D. (2008). Research methods in the Social Sciences. 7th ed. New York, NY: Worth Publishers. Nuttall, C. (1982). Teaching skills in a foreign language. London: Heinemann. ----------. (1996). Teaching reading skills in a foreign language.2nd ed. Oxford: Heinemann. Piaget, J. (1971). The theory of stages in cognitive development. New York: Mckay Probst, R.E. (1987). Transactional Theory in the teaching of literature. [online]. Available from: https://eric.ed.gov/?id=ED284274 [28 April 2022]. Richards, J.C., Platt, H. (1992). Longman dictionary of language teaching and applied linguistics. Harlow, Essex: Longman. Rosenblatt, L. M. (1969). Towards a transactional theory of reading. Journal of Reading Behavior. 1(1), 31-49. Smith, F. (1976). Learning to read by reading. Language Arts. 53(3), 297-322. Sumarsono. (2014). Sosiolinguistik. Yogyakarta : Pustaka Belajar. Trelease, J. (2001). Read-aloud handbook. [online]. Available from: http://www.trelease-on-Reading.com/rah_chpt1_p1.html#pagetop/ [25 April 2022] Valette, Rebecca M. & Disick, Renee. S. 1972. Modern Language Performance Objectives and Individualization. A Handbook. New York: Harcourt Brace Jovanovich. Valmont, W.J. (1997). Creating videos for school use. Boston: Allyn&Bacon Williams. (1994). Reading in the Language Classroom.London: The Macmillan Publisher. Williams, R. (1986). Top ten principles for teaching reading. ELT journal. 40(1), 42-45.


ภาคผนวก


ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ


รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยวิจัย 1. ผู้ช่วยศาสตราจารย์สายฝน ทรงเสี่ยงไชย อาจารย์วิชาภาษาอังกฤษ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา 2. นายพลอภิรัฒณ์ อันถาธารณ์ ครูวิชาภาษาอังกฤษ วิทยฐานะชำนาญการ โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี 3. นายวัชนะ กระจ่างจบ ครูวิชาภาษาอังกฤษ วิทยฐานะชำนาญการ โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี


Click to View FlipBook Version