The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แบเรียนรายวิชาสุพรรณบ้านฉัน 3

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by เปนเอก, 2020-11-23 23:07:56

สุพรรณบ้านฉัน 3

แบเรียนรายวิชาสุพรรณบ้านฉัน 3

Keywords: สุพรรณบ้านฉัน 3

1

โครงสรา้ งรายวิชาสุพรรณบา้ นฉนั 3

ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนปลาย
สาระสาํ คญั

ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง วัฒนธรรมประเพณี การอนุรักษ์และ
สืบทอดวัฒนธรรม ประเพณี วรรณคดีพื้นบ้าน พระเคร่ืองเมืองสุพรรณ บุคคลสําคัญท่ีมีส่วนร่วมในการสืบสาน
วัฒนธรรมประเพณี คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 11 ประการของคนดีศรีสุพรรณ ความหมาย ความสําคัญในการ
ประกอบอาชีพ ลักษณะของอาชีพ อาชีพหลักในจังหวัดสุพรรณบุรี ปัจจัยหลักของการประกอบอาชีพ คุณธรรม
จริยธรรมในการประกอบอาชีพ ประเภทและแหล่งท่องเท่ียว สถานที่ท่องเท่ียวท่ีสําคัญในจังหวัดสุพรรณบุรี และ
การอนุรักษ์แหล่งท่องเท่ยี วในจงั หวัดสุพรรณบรุ ี

ผลการการเรยี นรู้ทคี่ าดหวงั
1. อธิบายสภาพภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เศรษฐกิจ สังคม การคมนาคม และ

การปกครองในจังหวดั สุพรรณบุรี
2. อธิบายถึงวัฒนธรรมประเพณีในจังหวัดสุพรรณบุรีและร่วมกันอนุรักษ์ สืบทอด เผยแพร่ วัฒนธรรม

ประเพณใี นจังหวดั สุพรรณบรุ ีได้
3. ประพฤติ ปฏิบตั ติ ามคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ 11 ประการของคนดศี รสี ุพรรณ
4. อธิบายความหมาย ความสาํ คญั ในการประกอบอาชีพ ลักษณะอาชีพ อาชพี หลักในจังหวัดสุพรรณบุรี

ปัจจัยหลักในจังหวัดสุพรรณบุรี ปัจจัยหลักของการประกอบอาชีพ คุณธรรม จริยธรรมในการประกอบอาชีพ และ
สามารถนาํ มาปฏบิ ตั แิ ละประยุกต์ใช้ในชีวติ ประจําวนั

5. บอกประเภทของแหลง่ ทอ่ งเท่ยี ว สถานทท่ี อ่ งเทยี่ วทสี่ ําคญั ในจงั หวดั สุพรรณบรุ ีได้
6. ตระหนกั เหน็ ความสาํ คัญและมสี ่วนร่วมในการอนรุ กั ษแ์ หล่งทอ่ งเทย่ี วในจังหวัดสพุ รรณบุรี
ขอบข่ายเน้อื หา
เร่ืองที่ 1 ประวัตจิ ังหวดั สุพรรณบุรี
เร่ืองที่ 2 วัฒนธรรม ประเพณขี องจังหวดั สพุ รรณบุรี
เร่ืองที่ 3 การประกอบอาชีพในจงั หวัดพรรณบุรี
เรอ่ื งท่ี 4 แหลง่ ท่องเท่ยี วจังหวัดสุพรรณบรุ ี

การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
บรรยาย ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองจากสื่อเอกสาร สื่อเทคโนโลยี ภูมิปัญญา องค์กร สถาบัน การฝึกปฏิบัติ

การจัดกลุ่มอภิปรายแลกเปลยี่ นเรยี นรู้ วิเคราะห์ ศกึ ษาจากสถานที่จริง การเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนา วัฒนธรรม
ประเพณี และสรปุ ผลการเรยี นรพู้ รอ้ มนาํ เสนอด้วยวิธที หี่ ลากหลาย

การวัดและประเมนิ ผล
ประเมนิ จากการทดสอบ การสงั เกต การมสี ว่ นร่วมในการทํากิจกรรมและการตรวจผลงาน/ชิ้นงาน

2

บทท่ี 1 ประวัติจงั หวัดสพุ รรณบุรี

สาระสาํ คญั
จังหวดั สพุ รรณบรุ ี เปน็ จังหวดั หนึง่ ในเขตภาคกลางด้านทิศตะวันตกของประเทศไทย ต้งั อย่บู นพื้นท่ีราบลุ่ม

แม่นํ้าท่าจีน หรือแม่นํ้าสุพรรณบุรีไหลผ่านตามแนวยาวของจังหวัดจากเหนือจรดใต้ พื้นที่ท้ังหมดประมาณ 5,400
ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 3.3 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 5.2 ของพ้ืนที่ภาคกลาง จังหวัดสุพรรณบุรีมีประวัติ
ความเป็นมาดังคําขวัญที่ว่า เมืองยุทธหัตถี วรรณคดีข้ึนช่ือ เล่ืองลือพระเคร่ือง รุ่งเรืองเกษตรกรรม สูงลํ้า
ประวัตศิ าสตร์ แหล่งปราชญ์ศิลปนิ ภาษาถน่ิ ชวนฟงั

ผลการเรยี นรทู้ ่ีคาดหวงั
1. อธบิ ายถึงอาณาเขต ทตี่ ัง้ ลักษณะทางภมู ปิ ระเทศ ภูมิอากาศและทรพั ยากร ธรรมชาติของจังหวัด

สพุ รรณบุรี
2. อธิบายประวตั คิ วามเปน็ มาของจังหวัดสพุ รรณบรุ ีต้งั แตอ่ ดีตถึงปัจจบุ นั
3. วเิ คราะห์และอธิบายสภาพเศรษฐกิจ สงั คมของจงั หวดั สพุ รรณบุรี
4. อธบิ ายคาํ ขวญั ของจงั หวัดสพุ รรณบรุ ี

ขอบข่ายเนอ้ื หา
1. ภูมศิ าสตร์ของจงั หวัดสุพรรณบรุ ี
2. ประวัติศาสตรจ์ งั หวดั พรรณบุรี
3. เศรษฐกจิ สังคมจังหวดั สุพรรณบุรี
4. คําขวัญของจงั หวัดสุพรรณบรุ ี

การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้
จดั ใหม้ กี ารศกึ ษาคน้ คว้าจากตาํ ราเรยี น สอื่ อเิ ล็กทรอนกิ ส์ และสรปุ ลการเรียนรู้ โดยนาํ เสนอในรปู แบบ

ตา่ งๆ

เวลาเรียน 24 ชวั่ โมง

แหลง่ การเรียนร้แู ละส่ือประกอบการเรียน
- สือ่ ส่งิ พิมพ์
- ห้องสมดุ ประชาชน
- อนิ เตอรเ์ นต็
- ภูมิปญั ญาทอ้ งถิน่ /แหลง่ เรียนรใู้ นชมุ ชน

การวัดผลประเมนิ ผล
ประเมนิ จากการทดสอบ การสังเกต และการมีส่วนร่วมในการทาํ กิจกรรม ฯลฯ

3

บทที่ 1 ประวตั ิจงั หวดั สพุ รรณบุรี

เรื่องที่ 1 ภมู ศิ าสตร์จงั หวดั สพุ รรณบุรี

1. ทีต่ ้ัง/อาณาเขต
1.1 ที่ต้ัง
สพุ รรณบุรี เปน็ จงั หวัดหน่ึงในเขตภาคกลางดา้ นทศิ ตะวนั ตกของประเทศไทย ตงั้ อยบู่ นพนื้ ท่ีราบลุม่ แม่

นํ้าท่าจีนหรอื แม่นาํ้ สุพรรณบรุ ไี หลผา่ นตามแนวยาวของจังหวดั จากเหนือจรดใตจ้ ังหวดั สพุ รรณบรุ ตี งั้ อยรู่ ะหว่างเสน้
รุง้ ท่ี 14 องศา 4 ลปิ ดา ถึง 15 องศา 5 ลปิ ดาเหนือ และระหวา่ งเสน้ แวง 99 องศา 17 ลิปดา ถงึ 100 องศา 16
ลิปดาตะวันออก อยสู่ ูงจากระดับนาํ้ ทะเลปานกลาง 3-10 เมตร มพี นื้ ทีท่ ั้งหมดประมาณ 5,358.01 ตาราง
กโิ ลเมตร หรอื ประมาณ 3 . 3 ล้านไร่ คิดเปน็ รอ้ ยละ 5 . 2 ของพน้ื ทภี่ าคกลาง อยหู่ า่ งจากกรุงเทพมหานคร
ประมาณ 1 0 7 กโิ ลเมตร (ตามทางหลวงแผน่ ดนิ หมายเลข 3 4 0 ) โดยทางรถไฟประมาณ 1 4 2 กิโลเมตร

4

1.2 อาณาเขต ตดิ ตอ่ กับจังหวดั อุทัยธานี และชัยนาท
ทศิ เหนือ ตดิ ตอ่ กบั จังหวัดนครปฐม
ทิศใต้ ตดิ ตอ่ กับจังหวัดสิงห์บุรี อ่างทอง และพระนครศรอี ยุธยา
ทิศตะวันออก ตดิ ต่อกับจังหวดั กาญจนบุรี
ทศิ ตะวันตก

อ้างอิง http://www.suphanburi.go.th/suphan/ProvinceGeneral.php

5
2. ลกั ษณะภูมิประเทศ

จังหวัดสุพรรณบุรี มีลักษณะพื้นที่เป็นท่ีราบลุ่มเป็นส่วนใหญ่ มีพ้ืนท่ีบางส่วนเป็นที่ราบสูง โดยมีความลาด
เทระหวา่ ง 0-3 เปอร์เซ็นต์ ซ่ึงอยู่ทางด้านตะวันตกของจังหวัด ตลอดแนวตั้งแต่เหนือจรดใต้ บริเวณพ้ืนที่ต่ําสุดอยู่
ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ คืออยู่สูงจาก ระดับนํ้าทะเลปานกลาง เฉลี่ยประมาณ 3 เมตร ส่วนทางเหนือของ
จังหวัดอยู่สูงจากระดับน้ําทะเลปานกลางเฉล่ียประมาณ10 เมตร พื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดสุพรรณบุรีใช้ทํานาข้าว
มี แมน่ ้ํา ลําคลอง หนอง บงึ อยู่ทวั่ ไป

บริเวณเทือกเขาสงู และพ้ืนท่ลี อนสลับลอนชัน
เริ่มต้ังแต่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอําเภออู่ทอง ทอดตัวขึ้นไปทางเหนือขนานกับ เส้นแบ่งเขตระหว่าง

จงั หวัดสพุ รรณบุรกี บั จงั หวดั กาญจนบุรี ลักษณะพ้นื ทีเ่ ป็นลกู คล่นื ลอนลาดสลบั เชิงเขาสว่ นทางด้านทิศตะวันตกของ
อําเภอด่านช้าง มีสภาพเป็นลูกคลื่นลอนลาดสลับซับซ้อนจนถึงเป็นเทือกเขาสูงชัน เป็นแนวเขาท่ีติดกับเทือกเขา
ตะนาวศรี มียอดเขาสูงสุดคือ เขาเทวดา มีความสูงประมาณ 1,220 เมตร จากระดับน้ําทะเล รองลงมาเป็น
เขาพุเตย สูงประมาณ 760 เมตร จากระดับน้ําทะเล ถัดจากแนวเทือกเขาเป็นท่ีราบหุบเขามาทางตะวันออก จะ
เป็นแนวลูกคล่นื ลอนชันถึงเนินเขา แลว้ คอ่ ย ๆ ลาดเทมาทางทิศตะวันออกจนถงึ แมน่ า้ํ สุพรรณบรุ ีหรอื แม่นา้ํ ทา่ จนี

บริเวณที่ราบลุ่ม อยู่ทางทิศตะวันออกของจังหวัดตลอดแนว อยู่ริมฝ่ังแม่นาํ้ สุพรรณตลอดแนวต้ังแต่เหนือจดใต้
อยู่สูงกว่าระดับนํ้าทะเลประมาณ 3 เมตร ส่วนทางทิศเหนืออยู่สูงกว่าระดับนํ้าทะเลประมาณ 10 เมตร อยู่ในเขต
อําเภอเดมิ บางนางบวช อําเภอสามชุก อําเภอดอนเจดีย์ อําเภอศรีประจันต์ อําเภอเมือง อําเภอบางปลาม้า อําเภอ
สองพ่ีน้อง และบางสว่ นของอาํ เภออทู่ อง

6

อา้ งองิ http://www.suphanburi.go.th/suphan/ProvinceGeneral.php

3. ลักษณะภูมอิ ากาศ
สภาพภูมิอากาศจัดอยู่ในประเภททุ่งหญ้าเขตร้อน ฤดูแล้งและฤดูฝนแตกต่างกันอย่างชัดเจนมีลมมรสุม

ตะวันออกเฉียงเหนือพัดผ่านในเดือนตุลาคมถึงกุมภาพันธ์และมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดผ่านในเดือนพฤษภาคมถึง
กลางเดือนตุลาคมนอกจากนี้ยังมีลมตะวันออก หรือตะวันออกเฉียงใต้จากทะเลจีนใต้เริ่มพัดผ่านเข้ามาในช่วง
กลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนพฤษภาคม ฤดูกาลของจังหวัดแบ่งตามลักษณะลมฟ้าอากาศของประเทศออก
ไดเ้ ป็น 3 ฤดู ดงั นี้

1. ฤดูฝน เริ่มต้นเมื่อลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้เริ่มพัดเข้าถึงก้นอ่าวไทยประมาณเดือนพฤษภาคม พอถึง
ปลายเดือนพฤษภาคม หรือต้นเดือนมิถุนายนลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จะพัดผ่านทําให้มีฝนตกมากขึ้น ในเดือน
สงิ หาคมและกนั ยายนเปน็ ระยะทมี่ ีฝนตกชกุ ท่สี ุดโดยปกติแล้วฤดูฝนจะส้ินสุดราวกลางเดือนตุลาคม รวมระยะเวลา
ประมาณ 5-6 เดือน

2. ฤดูหนาว เร่ิมจากปลายเดือนตุลาคม หรือต้นเดือนพฤศจิกายน ถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ประมาณ 4
เดือน ระยะน้ีฝนตกเป็นคร้ังคราวไม่มากนักและจะมีลมเย็นพัดจากเหนือมาใต้ สลับกันเป็นระยะๆ เดือนธันวาคม
และมกราคมเป็นช่วงท่ีมีอากาศหนาวเย็นมากที่สุด แต่อุณหภูมิลดลงไม่มากนักเพราะอยู่ปลายลมมรสุม
ตะวนั ออกเฉียงเหนือและได้รับอิทธิพลจากทะเลในบริเวณอา่ วไทย

3. ฤดูร้อนเร่ิมต้ังแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ ถึงกลางเดือนพฤษภาคม ประมาณ 3 เดือน เดือนเมษายนเป็น
เดือนที่มีอากาศร้อนอบอ้าวมากท่ีสุดเน่ืองจากการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ และถูกปกคลุมด้วยบริเวณความ
กดอากาศสูงซ่ึงศูนย์กลางอยู่ในทะเลจีนใต้ และมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกบริเวณความกดอากาศสูงน้ีทาง
อุตนุ ยิ มวทิ ยาถอื วา่ เป็นบรเิ วณทมี่ ีอากาศร้อนอุณหภูมิสูง กระแสลมทีพ่ ดั เขา้ มาจึงรอ้ น

7

อา้ งองิ http://www.suphanburi.go.th/suphan/ProvinceGeneral.php
4. ทรพั ยากรธรรมชาติ

4.1 ทรพั ยากรนา้ํ
จังหวัดสุพรรณบุรีมีแหล่งน้ําธรรมชาติท่ีสําคัญ และสามารถนํามาใช้ในการประกอบอาชีพ ด้านการ
เกษตรกรรม ดงั น้ี
1. แม่นํ้าสุพรรณบุรี ( ท่าจีน ) เป็นแม่น้ําท่ีไหลแยกจากแม่นํ้าเจ้าพระยา ในเขตตําบลท่าซุง อําเภอเมือง
จังหวัดอุทัยธานี แล้วไหลผ่านจังหวัดชัยนาทเรียกว่า แม่นํ้ามะขามเฒ่า แล้วไหลเข้าสู่เขตจังหวัดสุพรรณบุรี ผ่าน
อําเภอเดิมบางนางบวช อําเภอสามชุก อําเภอศรีประจันต์ อําเภอเมืองฯ อําเภอบางปลาม้า และอําเภอสองพี่น้อง
ช่วงที่ไหลผ่านเขตจังหวัดสุพรรณบุรีเรียกว่า แม่น้ําสุพรรณบุรี จากน้ันไหลเข้าเขตจังหวัดนครปฐม ผ่านอําเภอ
บางเลน อําเภอนครชัยศรี ชว่ งนเี้ รยี กว่าแม่นาํ้ นครชัยศรี จากนนั้ ไหลเขา้ เขตจงั หวัดสมุทรสาคร เรียกว่าแม่นํ้าท่าจีน
ตามทางภมู ศิ าสตร์ การกําหนดชอ่ื แมน่ ้ําจะใชช้ อ่ื ทปี่ ลายนํา้ ดงั น้ันแม่น้ําสายนีซ้ ง่ึ มีถงึ ส่ชี อ่ื จงึ ไดช้ ่อื ว่าแม่น้าํ ทา่ จีน
แม่น้าํ ท่าจนี มีความยาวประมาณ 300ก.ม. กว้างประมาณ 60 เมตร ในช่วงท่ีไหลผ่านจ้ังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อ
ถึงฤดูน้ําหลากก็จะเอ่อล้น ท่วมบ้านเรือน ไร่นา กระแสนํ้าไม่ไหลเช่ียว ก่อนที่จะมีการสร้างเข่ือนเจ้าพระยา
(เข่ือนชัยนาท) และเข่ือนภูมิพล (เข่ือนยันฮี) ในฤดูที่ไม่ใช่น้ําหลากคือ ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนตุลาคม
นํ้าในแม่น้ําจะขึ้นลงตามกําลังหนุนของน้ําทะเล ในสามลักษณะคือ นํ้าขึ้น นํ้าทรง และนํ้าลง แต่หลังจากท่ีได้สร้าง
เขอื่ นทงั้ สองแลว้ กระแสนาํ้ จะไหลลงสู่ทะเลอยา่ งเดยี ว

8

2. ลําห้วยกระเสียว เป็นลําห้วยที่เป็นสาขาของแม่นํ้าสุพรรณบุรี เป็นสาขาใหญ่และมีความยาวที่สุดคือ ยาว
140 กม. ตน้ นํ้าระหว่างเขาแหลว กับเขาใหญ่เหนอื อําเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานีไหลเข้าสู่จังหวัดสุพรรณบุรี ในเขต
อาํ เภอเดมิ บางนางบวช ไปบรรจบแมน่ ํา้ สพุ รรณบุรีทีบ่ า้ นบงึ อาํ เภอสามชกุ ลาํ ห้วยกระเสียวมลี าดเขามากและมีพ้ืนที่
รบั น้าํ มากกวา่ ลําห้วยท่อี น่ื ๆจึงได้ดําเนินการโครงการกระเสียว ซ่ึงประกอบด้วยเข่ือนเก็บนํ้า เข่ือนทดน้ํา ระบบส่งนํ้า
ระบบระบายน้ําและถนนขนส่ง เร่ิมสร้างเม่ือปี พ.ศ.2522 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2524 ใช้งบประมาณ 927 ล้านบาท
เข่ือนเก็บนํ้ากระเสียวสร้างระหว่างเขาโล้นกับเขาวังเดือนห้า ในเขตตําบลด่านช้าง อําเภอด่านช้าง เป็นเขื่อนลูกรัง
ปนดินเหนียวแห่งแรกของประเทศไทย ยาว 425 เมตร สูง 35 เมตร สันเข่ือนกว้างสุด 170 เมตร ระดับสันเข่ือนสูง
92.50 เมตร จากระดับน้ําทะเล เก็บกักนํ้าได้ 390 ล้านลูกบาศก์เมตร อ่างเก็บนํ้ายาว 12 เมตร กว้าง 7 กม. มีพื้นท่ี
รับนํ้าฝน 1,200 ตาราง กม. พ้ืนท่ีอ่างเก็บนํ้า 48 ตาราง กม. ปริมาณนํ้าฝนเฉล่ียปีละ 1,000 มิลลิเมตร ปริมาณ
นํ้าไหลเข้าอ่างประมาณ 168 ล้านลูกบาศก์เมตร เข่ือนทดนํ้าสร้างปิดกั้นลําห้วยกระเสียวทางใต้เข่ือนห่างออกไป
ประมาณ 20 กม. เพ่ือทดน้ําในลํากระเสียวให้มีระดับสูงพอที่จะไหลเข้าคลองส่งน้ําเป็นเข่ือนคอนกรีต ระบายน้ําได้
260 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

โครงการเขื่อนกระเสียวสามารถส่งนํ้าไปช่วยการเพาะปลูกให้สามารถทํานาในฤดูฝนได้ 130,000 ไร่ และ
ปลูกพชื ไร่ในฤดูแลง้ ได้ 68,000 ไร่

3. คลองจระเข้สามพัน มีต้นน้ําแยกมาจากเทือกเขาจังหวัดกาญจนบุรีไหลเข้ามาสู่จังหวัดสุพรรณบุรี
ทางอําเภออู่ทอง โดยไหลผ่านตําบลอู่ทอง ตําบลกระจัน ตําบลเจดีย์ อําเภออู่ทอง ตําบลวัดโบสถ์ อําเภอ
บางปลาม้า ตําบลหัวโพธ์ิ ตําบลบางพลับ อําเภอสองพี่น้อง มาส้ินสุดที่คลองสองพ่ีน้อง ซึ่งไหลไปบรรจบกับ
แม่น้ําท่าจนี

4. แหล่งน้ําธรรมชาติผวิ ดินอื่นๆ มแี ม่น้าํ ห้วย ลําธาร คลอง 416 สาย มีหนอง บึง 67 แห่ง มีน้ําพุนํ้าซับ 13
แห่ง สามารถใช้ประโยชน์เพ่ือการอุปโภคบริโภค เพื่อทําเกษตรกรรม เช่น คลองสองพี่น้อง คลองสาลี
คลองบางยีห่ น และคลองบางลี่ เป็นต้น ซ่ึงคลองเหล่านเ้ี มอ่ื ไดร้ บั การพัฒนา ขดุ ลอก ก็สามารถใชป้ ระโยชน์ด้านการ
ทําเกษตรกรรม อุปโภค บริโภค และยังใช้เป็นทางระบายนํ้า ส่วนเกินความจําเป็นลงสู่แม่น้ําท่าจีนหรือแม่น้ํา
สพุ รรณบรุ ีอกี ดว้ ย ซึ่งช่วยลดความเสียหายจากภัยธรรมชาติ อันจะเกดิ กับผลผลิตทางการเกษตรไดอ้ กี ทางหนึง่

5. แหล่งน้ําใต้ดิน ประกอบด้วย บ่อบาดาลส่วนตัว 9,810 บ่อ บ่อบาดาลสาธารณะ 1,980 บ่อและบ่อที่มี
เครอื่ งสบู นา้ํ 2,584 แหง่ สระ 709 แห่ง

4.2 ทรัพยากรป่าไม้

ลกั ษณะป่าไมข้ องจังหวัดสุพรรณบุรี เดมิ เปน็ ปา่ ไม้เบญจพรรณไดแ้ ก่ เต็ง มะค่าโมง ซาก มะค่าแต้ ชงิ ชัน
ตะเคียนทอง ยมหอม แตส่ ภาพปัจจบุ ันได้ถูกราษฎรบกุ รุกเขา้ ทาํ กินในเขต ป่าสงวนหลายแห่ง ถกู เปลยี่ นเป็นไร่อ้อย
และใช้ทํานา เปน็ ตน้

9

ป่าโป่งลาน – ทุ่งคอก อยู่ในเขตตาํ บลทุ่งคอก อําเภอสองพี่น้อง มีพ้นื ท่ีประมาณ 20,500 ไร่ ลักษณะภูมิประเทศ
เป็นท่ีราบ ไม่มีหนองนํ้า ไม่มีภูเขา สภาพทั่วไปเป็นป่าเสื่อมโทรม ปัจจุบันทางราชการได้มอบพื้นท่ีทั้งหมดให้
สํ านั กงานปฏิ รู ปท่ี ดิ น เ พ่ื อ เ ก ษ ต ร ก ร ร ม (ส . ป.ก.) เ ข้ าทํ าการปฏิ รู ป ที่ ดิ น เ พื่ อ ก า ร เ ก ษ ต ร ก ร ร ม
ป่าเขาทุ่งดนิ ดํา – เขาดาเก้า อยู่ในเขตตําบลบ้านโข้ง ดอนคา อําเภออู่ทอง มีพื้นท่ีประมาณ 21,000 ไร่ สภาพ
ท่ัวไปเป็นภูเขาเกือบท้ังหมด มีท่ีราบอยู่เพียงเล็กน้อย ไม้ดีมีค่าถูกตัดฟันไปหมด คงเหลือแต่ไม้เล็ก ๆ ไม้ไผ่ ไม้รวก
ป่าเขาตะโกปิดทอง – ป่าเขาเพชรน้อย อยู่ในเขตตําบลจระเข้สามพัน ตําบลหนองโอ่ง อําเภออู่ทอง มีพื้นที่
ประมาณ 15,000 ไร่ ลักษณะภูมิประเทศและสภาพป่าโดยทั่วไป เช่นเดียวกับป่าเขาทุ่งดินดํา
ป่าสระยายโสม อยูใ่ นเขตตําบลสระยายโสม อําเภออู่ทอง มีพ้ืนท่ีประมาณ 500 ไร่ ลักษณะภูมิประเทศเป็นพ้ืนที่
ราบ มีต้นสักข้ึนอยู่กระจัดกระจายในพ้ืนท่ีประมาณ 60 ไร่ ปัจจุบันได้มอบให้สํานักงานปฏิรูปที่ดินเพ่ือการ
เกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เขา้ ไปดําเนนิ การปฏริ ูปทด่ี ิน
ป่าบ้านโข้ง อยู่ในเขตอําเภออู่ทอง มีพื้นท่ีประมาณ 8,000 ไร่ เป็นป่าเตรียมการสงวน ต้นไม้ใหญ่ถูกตัดโค่นไป
หมด เหลอื แตซ่ ากไมเ้ ลก็ ๆ และไม้ไผ่
ป่าห้วยขม้ิน – นํ้าพุร้อน – หนองหญ้าไซ อยู่ในเขตตําบลด่านช้าง ตําบลห้วยขม้ิน ตําบลหนองมะค่าโมง อําเภอ
ด่านช้าง มีพ้ืนที่ประมาณ 318,500 ไร่ สภาพป่าเป็นป่าไม้เบญจพรรณ พ้ืนที่เป็นท่ีราบขณะนี้ทางราชการกําลัง
ดาํ เนินการมอบพ้นื ท่ีทง้ั หมดใหก้ รมส่งเสริมสหกรณเ์ ขา้ ดาํ เนนิ การ
ป่าองค์พระ – พุระกํา – เขาห้วยพลู อยู่ในเขตตําบลองค์พระ อําเภอด่านช้าง มีพ้ืนท่ีประมาณ 439,500 ไร่
สภาพป่าโดยทั่วไปสมบูรณ์ ประมาณร้อยละ 60 ทางราชการได้มอบให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) เข้า
ดาํ เนินการปลกู สรา้ งสวนปา่ หลงั จากทบี่ ริษัทเอกชนท่ไี ดร้ บั สัมปทานทําไม้ออกไปแลว้
อุทยานแห่งชาติพุเตย มีพ้ืนที่ประมาณ 192,000 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ป่าไม้ในเขตตําบลห้วยขม้ิน ตําบลองค์พระ
และตาํ บลวังยาว
– ป่าสนสองใบ อยู่บนเขาพุเตย ถือว่าเป็นป่าไม้ท่ีแปลกของจังหวัดสุพรรณบุรี เพราะป่าสนสองใบเป็นไม้เมือง
หนาว โดยท่ัวไปจะข้ึนบนภูเขาสูง ท่ีมีอากาศเย็นในภาคอีสาน และภาคเหนือ เช่น ท่ีภูเรือ ภูกระดึง ทุ่งแสลงหลวง
จะไม่มีในภาคตะวนั ออกและภาคใต้ ปา่ สนบนเขาพเุ ตยอยสู่ ูงจากระดับนา้ํ ทะเลประมาณ 760 เมตร มตี น้ สนสองใบ
ข้ึนอยู่นับพันต้น คละไปกับไม้เบญจพรรณ ในพื้นท่ีประมาณ 2,000 ไร่ บางต้นใหญ่ขนาด 2 - 3 คนโอบ แต่ละ
ต้นมอี ายุกว่ารอ้ ยปี ทั้งทภ่ี เู ขาในบรเิ วณน้นั บางลูกสงู กวา่ เขาพุเตย เชน่ เขาเทวดา ทบี่ ้านตะเพินคี่ ซ่ึงเป็นภูเขาทสี่ ูง
ที่สุดของจังหวดั สุพรรณบุรี คอื สูง 1,123 เมตร ก็ไมม่ สี นสองใบ สนสองใบเป็นต้นไมข้ นาดกลางถึงขนาดใหญ่ สงู 20
- 30 เมตร ไม่ผลัดใบ ลําต้นเปลาตรง เรือนยอดเป็นพุ่มกลม แตกกิ่งต่ํากว่าสนสามใบ เปลือกสีน้ําตาลปนดําเป็น

10

ร่องลึกและเป็นสะเก็ดหนา ใบยาวรีเป็นรูปเข็มออกเป็นกระจุก ๆ ละสองใบ ขนาด 15 – 25 เซนติเมตร ดอกตัวผู้

จะเป็นช่อสีเหลืองแบบหางกระรอก ติดเป็นกลุ่มบริเวณปลายก่ิง ช่อยาว 2 – 4 เซนติเมตร ดอกตัวเมียจะออกชิด

ติดกงิ่ ถัดเขา้ มา มักออกเป็นดอกเดี่ยวหรือคู่ ผลเป็นโคนส่วนฐานป้อมปลายสอบขนาด 5 – 8 เซนติเมตร เน้ือไม้สน

สองใบใชใ้ นการก่อสร้างไดด้ ี และทําเครอื่ งใช้ เชน่ ตู้ โต๊ะ เตียง ฯลฯ เยอื่ ไมเ้ หมาะท่ีจะใชท้ าํ กระดาษ นํา้ มนั และชัน

ใช้ทํานํา้ มนั ชกั เงา ใหป้ ริมาณยางมากกวา่ สนสามใบ

ป่าบ้านตะเพินค่ี อยู่ติดกับเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จึงมีสัตว์ป่าอยู่เป็นจํานวนมาก

วนอุทยานพุม่วง อยู่ในเขตอําเภออู่ทอง ได้รับการประกาศเป็นวนอุทยานแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ.2526 มีแหล่ง

โบราณคดีสมัยทวาราวดีอยู่ด้วยบนเขาถํ้าเสือมีซากเจดีย์สมัยทวาราวดี ทําด้วยหินล้วน อยู่ 4 – 5 องค์ แต่อยู่ใน

สภาพปรักหักพงั

– นํ้าตกพุม่วง เป็นนํ้าตกท่ีสวยงาม เหนือบริเวณน้ําตกข้ึนไปเป็นท่ีราบกว้างใหญ่มีพ้ืนท่ีประมาณ 5,000 ไร่ มี

ต้นไมแ้ ละมีกลุม่ หนิ น้อยใหญเ่ รยี งรายลดหล่ันกนั ไป ในช่วงฤดูน้ํามากจะมีนํ้าตกลงมาถึงห้าชั้น ใกล้บริเวณน้ําตกมี

ถาํ้ อยู่ 8 ถํา้ เรยี กวา่ ถา้ํ โบสถ์ ภายในถาํ้ มพี ระพุทธรปู ปางไสยาสน์องค์ใหญป่ ระดษิ ฐานอยู่

– น้ําตกพุกระทิง อย่ทู บ่ี ้านคลองเหลก็ ไหล ตาํ บลองค์พระ นา้ํ ตกพุกระทงิ จะมนี า้ํ เฉพาะฤดูฝน เป็นนํ้าตกท่ีสูงและ

สวยทสี่ ุดในจงั หวัดสุพรรณบุรี มที ้งั หมด 9 ชั้น และมแี อ่งนาํ้ ขนาดใหญ่

4.3 พืชพนั ธไ์ุ ม้ทส่ี าํ คญั

ข้าวหอมสุพรรณบุรี เป็นข้าวหอมที่มีลักษณะและคุณภาพคล้ายข้าวดอกมะลิ 105 ต้นเตี้ย ปลูกได้

ท้ังนาปีและนาปรัง มีอายุนับจากวันตกกล้าถึงเก็บเกี่ยว ประมาณ 120 วัน ให้ผลผลิตโดยเฉลี่ยประมาณ 580

กโิ ลกรัมตอ่ ไร่ ในนาปี

มะเกลือ เป็นไม้ต้นขนาดกลาง สูง 5 – 8 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มกลม เปลือกนอกสีดําแตกเป็น

สะเก็ดเล็ก ๆ ตามแนวยาวพบมากในพม่าและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทยพบขึ้นตามป่าเบญจพรรณ

แล้งทั่วไปท่ีมีความสูง 5 – 500 เมตร จากระดับน้ําทะเล ออกดอกระหว่างเดือนมกราคม – กันยายน ติดผล

ระหว่างเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม มะเกลือเป็นไม้ท่ีมีประโยชน์ท้ังต้น กล่าวคือเน้ือไม้เป็นมันสีเข้มมีน้ําหนัก

มากท่ีสุดในประเทศไทย นิยมทําไม้คือ กบไสไม้ และเคร่ืองตกแต่งบ้าน เปลือกใช้ผสมเคร่ืองด่ืมพ้ืนเมืองเพื่อกันบูด

ผลใชย้ อ้ มผา้ และใชเ้ ปน็ ยาถา่ ยพยาธิ

มะขามยักษ์วดั แค เปน็ ตน้ มะขามท่ีมขี นาดใหญม่ าก วัดรอบลาํ ตน้ ไดถ้ งึ 9.50 เมตร แตกกิง่ กา้ นสาขา

ใหญ่โตให้ร่มเงากว้างขวางมาก มีอายุมากกว่า 500 ปี มีเรื่องของมะขามต้นนี้อยู่ในวรรณคดีเร่ืองขุนช้างขุนแผน

ปจั จุบนั เปน็ ตน้ ไมอ้ นุรกั ษข์ องจงั หวัดสพุ รรณบรุ ี เปน็ ต้นไม้ที่มอี ายอุ ยู่ถงึ สมัยอยุธยาตอนต้น

ต้นโพธิ์ เป็นต้นไม้อันเป็นสัญลักษณ์แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธ์ิใน

พระพุทธศาสนา ในสุพรรณบุรี เป็นต้นไม้ท่ีผูกพันกับชุมชนหลายแห่ง ในทุกอําเภอเป็นชื่อของชุมชน เช่น คุ้งโพธิ์

กระ โพธคิ์ อย โพธ์นิ างเทรา โพธอิ์ ้น โพธค์ิ ลาน โพธ์ิพระ โพธ์พิ ระยา บ้านโพธ์ิ โพธ์สิ าํ นกั และโพธิป์ นั ทนุ

ต้นตาล เป็นพันธ์ุไม้ท่ีมีความผูกพันกับเมืองสุพรรณบุรี เป็นชื่อบ้าน ช่ือสถานที่ในวรรณกรรม

ประวตั ิศาสตร์ เมอื งสุพรรณบุรีได้ชื่อว่าเป็นเมอื งที่มตี น้ ตาลมาก ทเ่ี ปน็ ชอ่ื บ้านได้แก่บา้ นดอนตาล บ้านต้นตาล บ้าน

ลาดตาล บา้ นตาลเส้ียน ฯลฯ

4.4 ทรพั ยากรดิน

หากพิจารณาคุณสมบัติของดินท้ังทางกายภาพและเคมี เช่นเน้ือดิน ความลึกของดิน ความสามารถในการ

อุ้มน้ําของดิน ชนิดของแร่ธาตุและปริมาณแร่ธาตุ อาหารของดิน จะพบว่าสภาพของดินในเขตจังหวัดสุพรรณบุรี

11

เหมาะกับการปลูกพืชไร่ การทํานาข้าว การปลูกไม้ยืนต้น การปลูกไม้ผลต่างๆตามความเหมาะสมและการใช้
ประโยชนเ์ ป็น 6 กล่มุ

1. กลุ่มดินที่เหมาะสมสําหรับการปลูกข้าว ครอบคลุมพื้นที่ประมาณร้อยละ 40 ของพ้ืนท่ีท้ังหมด กลุ่มดิน
น้ีพบอยู่บริเวณที่ราบลุ่มสองฝั่งแม่น้ําสุพรรณบุรีและบริเวณตอนกลางของจังหวัดครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของ
อําเภอเดิมบางนางบวช อาํ เภอสามชกุ อาํ เภอหนองหญ้าไช อําเภอดอนเจดยี ์ อําเภอศรีประจันต์ อําเภออู่ทอง และ
อาํ เภอเมอื งสพุ รรณบุรี เป็นกลมุ่ ดินที่มคี วามเหมาะสมตอ่ การปลกู ขา้ วมากที่สดุ รองมาได้แก่ พชื สวน ไม้ผลและผัก

2. กลุ่มดินทีเ่ หมาะสมสําหรบั การปลกู พชื ไร่ ครอบคลมุ พืน้ ที่ประมาณร้อยละ 40 ของพนื้ ที่ ทงั้ จงั หวดั สว่ น
ใหญจ่ ะอย่ทู างทศิ ตะวันตกเฉยี งเหนือของจงั หวัด ไดแ้ ก่ ในเขตอาํ เภอดา่ นช้าง และทศิ ตะวันตกของจังหวัด ได้แก่ใน
เขตพน้ื ทีบ่ างสว่ นของอําเภออทู่ อง และอาํ เภอสองพี่น้อง กลุ่มดนิ นเ้ี ป็นดนิ ท่ีอยู่ระหวา่ งที่ราบ เชิงเขากับในบริเวณท่ี
ราบลุ่มเหมาะสาํ หรับการปลูกพืชไร่ เชน่ อ้อยโรงงาน สับปะรด และมนั สําปะหลัง

3. กลมุ่ ดินทีเ่ ป็นปัญหาต่อการพัฒนาการเกษตร ครอบคลมุ พ้ืนที่ประมาณรอ้ ยละ 20 ของพน้ื ท่ี
4. กลุ่มดินที่มีสภาพเป็นกรด มีพ้ืนท่ีประมาณร้อยละ 10 ของพื้นท่ีจังหวัด ครอบคลุมพ้ืนที่ส่วนใหญ่ของ
อําเภอสองพ่ีน้องและอําเภอบางปลาม้า มีสภาพเป็นที่ลุ่มน้ําท่วมถึง มีศักยภาพในการเพาะปลูกต่ํา เป็น
แหลง่ เพาะเล้ียงปลานาํ้ จืดและกุ้งทีส่ ําคัญของจงั หวดั
5. กลุ่มดินตื้น มีพ้ืนท่ีประมาณร้อยละ 5 ของพ้ืนท่ีท้ังจังหวัด เป็นดินตื้นอยู่บริเวณที่ราบเชิงเขา ซ่ึงเป็นท่สี ูง
ไม่เหมาะสมกับการเพาะปลูก ส่วนใหญ่จะอยู่ทางทิศตะวันตกของตําบลวังคันและตําบลองค์พระ ในเขตอําเภอ
ด่านชา้ ง
6. กลุ่มดินภูเขา มีพื้นท่ีประมาณร้อยละ 5 ของพื้นที่ท้ังจังหวัด กลุ่มดินน้ีจะอยู่บริเวณเนินเขาสูงทางด้าน
ทิศตะวันตกของจังหวัด ไม่เหมาะสมเป็นพื้นท่ีเพ่ือการเกษตร อยู่ในเขตอําเภอด่านช้าง ได้แก่ ทิศตะวันตกของ
ตําบลวังตนั ตําบลองคพ์ ระ และตําบลห้วยขมิน้
เมื่อพิจารณาจากการกระจายของกลุ่มดินต่างๆในจังหวัดสุพรรณบุรี สรุปได้ว่า โดยรวมแล้วที่ดินในจังหวัด
เปน็ ดนิ ทมี่ คี วามเหมาะสมสาํ หรบั การเพาะปลูกในระดับสงู โดยเฉพาะการเกษตรกรรมและการกสิกรรม
หากพิจารณาคณุ สมบตั ขิ องดนิ ท้ังทางกายภาพและเคมี เช่น เนอ้ื ดนิ ความลึกของดนิ ความสามารถใน
การอุม้ นา้ํ ของดิน ชนดิ ของแร่ธาตแุ ละปริมาณแรธ่ าตุ อาหารของดนิ จะพบวา่ สภาพของดิน ในเขตจงั หวัด
สุพรรณบรุ ี เหมาะสมกบั การปลกู พืช ดงั นี้
1. การทํานาข้าว
2. การเพาะปลูกพืชไร่
3. การเพาะปลกู ไม้ยืนตน้ ไมผ้ ลตา่ ง ๆ
4. การปลูกหญา้ เล้ยี งสตั ว์ ทาํ ทุ่งหญ้าเลย้ี งสัตวถ์ าวรสําหรับการปศสุ ัตว์

12

4.5 ทรัพยากรแรธ่ าตุ
จากการสาํ รวจของกรมทรพั ยากรธรณี พบวา่ จงั หวัดสพุ รรณบุรีมปี ริมาณแร่ ไมม่ ากนกั พบแรม่ ี

คา่ บางชนิดเทา่ น้นั ไดแ้ ก่ ดบี กุ พบบรเิ วณเขาโดดตุงกุง ทางตอนเหนอื อาํ เภอดา่ นช้าง นอกจากนี้ยังพบใย
หนิ แกรนติ และหินปนู ใช้ในการก่อสร้าง บริเวณ เขาใหญท่ างตะวันตก เขาทางตะวันออกและตะวันตกระหวา่ ง
เสน้ ทางอูท่ อง ถงึ พนมทวนและบรเิ วณเขอ่ื นกระเสียว อาํ เภอดา่ นชา้ ง และยงั ขดุ พบน้ํามนั ดบิ ในบริเวณตาํ บลสวน
แตง อําเภอเมอื งสุพรรณบุรี ซึ่งปัจจุบนั ไดท้ าํ การขดุ เจาะแล้ว

อา้ งอิงhttp://www.suphanburi.go.th/suphan/ProvinceGeneral.php

กิจกรรมที่ 1 ภมู ศิ าสตร์ของจงั หวัดสพุ รรณบุรี
1. ให้ผูเ้ รียนศกึ ษาคน้ ควา้ เร่อื งลกั ษณะสภาพภูมศิ าสตรข์ องจงั หวัดสพุ รรณบรุ ีโดยใหส้ รปุ องค์ความรจู้ ากการศึกษา
ค้นควา้ นําเสนอเป็นรปู เล่มรายงาน
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
2. ใหผ้ ู้เรยี นแบ่งกล่มุ ๆ ละเทา่ ๆ กนั เพอื่ จดั ทําโครงงานในเรื่องทรัพยากรของจงั หวดั สพุ รรณบุรี
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

13

เร่อื งที่ 2 ประวัติศาสตรจ์ งั หวัดสุพรรณบุรี

"จังหวัดสุพรรณบรุ ี" เป็นจังหวัดเก่าแก่จังหวดั หน่ึง อยู่ทางภาคตะวันตกของประเทศไทย มีอายุถึงยุคหิน
ใหม่ ประมาณ 3,500-4,000 ปี สืบต่อเน่ืองกันเร่ือยมาจนถึงยุคสัมฤทธ์ิและเหล็กอายุราว 2,500 ปี ล่วงเข้าสู่
ยุคสุวรรณภูมิ ฟูนัน อมรวดี ทวารวดี ลพบุรี อู่ทอง อยุธยา และปัจจุบันน้ีโบราณวัตถุ โบราณสถานที่พบเป็น
ประจักษ์พยานบ่งบอกว่าจังหวัดสุพรรณฯ มีอายุสูงถึงยุคหินใหม่จริง ไม่เพียงเท่าน้ันจังหวัดสุพรรณบุรียังเป็นเมือง
พุทธศาสนาอีกด้วย จากการขุดค้นพบพุทธปฎิมากรรมท่ัวทั้งจังหวัดสุพรรณบุรี จากสถิติพบไม่น้อยกว่า 140-150
ครั้ง ตั้งแต่สมัยอมราวดีเป็นต้นมา ทําให้สันนิษฐานได้ว่าจังหวัดสุพรรณบุรีเป็นเมืองท่ีพุทธศาสนาฝังรากไว้อย่าง
หนาแน่น ไมน่ อ้ ยกวา่ 2,300 ปี มาแลว้ ราว พ.ศ. 70 -80

สุพรรณบุรี เดิมมชี อื่ วา่ ทวารวดีศรีสุพรรณภูมิ หรอื พนั ธุมบรุ ี ตั้งอยบู่ นฝง่ั แมน่ าํ้ ท่าจนี แถบบรเิ วณตาํ บล
ร้ัวใหญ่ไปจดตําบลพิหารแดง ต่อมาพระเจ้ากาแตได้ย้ายเมืองมาตั้งอยู่ท่ีฝ่ังขวาของแม่น้ํา แล้วโปรดให้มอญน้อยไป
สร้างวัดสนามชัย และบูรณะวัดลานมะขวิด (วัดป่าเลไลยก์) ชักชวนให้ข้าราชการจํานวน 2,000 คนบวช จึงขนาน
นามเมืองใหม่ว่า สองพันบุรีคร้ังถึงสมัยพระเจ้าอู่ทอง ได้สร้างเมืองมาทางฝ่ังใต้หรือทางตะวันตกของแม่น้ําท่าจีน
ชอื่ ว่าเมอื งอู่ทอง จวบจนสมัยขนุ หลวงพะงั่ว นจ้ี งึ เรียกวา่ ชอ่ื ว่า เมืองสพุ รรณบุรี นับแตน่ ้นั มา

เมืองสุพรรณบุรี ดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์บนพื้นที่ราบภาคกลางสืบสานความเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่
อดีตเม่ือ พ.ศ. 1420 จากนามเดิมเมืองพันธุมบุรีในยุคทวารวดีตามหลักฐานทางโบราณคดีได้จารึกช่ือไว้ใน
พงศาวดารเหนือ และนาม "สุพรรณภูมิ" ปรากฏในศิลาจารึกพ่อขุนรามคําแหงมหาราช ระบุว่าเป็นนครรัฐที่มี
ความสําคัญมาก่อนกรุงศรีอยุธยา เม่ือมีการสถาปนากรุงศรีอยุธยา เมืองสุพรรณบุรีจึงจัดอยู่ในฐานะเมืองลูกหลวง
ซงึ่ เปน็ เมืองอู่ขา้ วอนู่ ํา้ ทสี่ าํ คญั อีกดว้ ย ในสมัยกรุงศรอี ยุธยาเป็นราชธานี เมืองสุพรรณบุรีเป็นเมืองหน้าด่านและเป็น
เมืองอู่ข้าวอู่นํ้าท่ีสําคัญ ต้องผ่านศึกสงครามหลายต่อหลายครั้ง สภาพเมืองตลอดจนโบราณสถานถูกทําลายเหลือ
เพียงซากปรักหักพัง จนกระทั่งถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เมืองสุพรรณบุรีได้ฟื้นตัวข้ึนใหม่ และต้ังอยู่บนฝั่งตะวันออก
ของแมน่ าํ้ ทา่ จนี (ลาํ น้ําสพุ รรณ) มาจนตราบทุกวันนี้

ท่ตี ั้ง เมืองสุพรรณบุรี ที่สรา้ งขึ้นในสมัยอู่ทองนน้ั ตงั้ อย่ทู างฝงั่ ขวาของแมน่ ้ําสุพรรณบุรี (ท่าจีน) ยังมีคูและ
กําแพงเมืองปรากฏอยู่จนกระท่ังทุกวันนี้ แต่ตัวเมืองในปัจจุบันตั้งอยู่ท่ีตําบลท่าพี่เลี้ยงทางฝั่งซ้ายของแม่น้ํา
สันนิษฐานว่าคงย้ายมาเมื่อสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เพราะในสมัยกรุงธนบุรีกําลังมีศึกพม่าเข้ามาประชิดติดพัน
ยังไม่มีเวลาว่างที่จะทรงคิดในเรื่องการสร้างบ้านเมืองใหม่ขึ้น ในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ก็แสดงว่า
เมืองท่ีย้ายมาต้ังข้ึนใหม่น้ี ยังคงเป็นป่าเปลี่ยวอยู่ บ้านเรือนราษฎรก็มีแต่เฉพาะตามริมแม่น้ําเท่านั้น ลึกจากลํานํ้า
เข้าไปยังเป็นป่าอยู่แทบท้ังสิ้น ตามท่ีสุนทรภู่กวีเอกของไทยไปเท่ียวเมืองสุพรรณ ยังพรรณนาไว้ในโคลงนิราศ
สุพรรณว่า "ไดพ้ บเสอื อยใู่ นบรเิ วณเมอื งสพุ รรณบุรีน้"ี

คตโิ บราณ "หา้ มมิให้เจ้านายเสด็จไปเมอื งสพุ รรณ"
ต้ังแต่สมัยโบราณมีคติถอื กันโดยเคร่งครดั ตอ่ กนั มาว่า "ห้ามมใิ หเ้ จา้ นายเสด็จไปเมืองสพุ รรณ" แต่จะหา้ ม

มาแต่คร้ังใดและด้วยเหตุผลประการใดนั้นไม่มีผู้สามารถจะตอบได้ จนกระทั่งถึงต้นรัชกาลท่ี 5 ก็ยังคงถือกันเป็น
ประเพณีอยู่เช่นนี้เร่ือยมา เม่ือสมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพ ดํารงตําแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย จะ
เสดจ็ ไปตรวจราชการท่ีเมืองนี้ พระยาอ่างทองยังทูลห้ามไว้ โดยถวายเหตุผลว่า เทพารักษ์หลักเมืองไม่ชอบเจ้านาย
ถ้าเสด็จไปมักจะทําให้เกิดอันตรายต่างๆ แต่สมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพไม่ทรงเช่ือ ทรงขืนเสด็จไป
เมืองสุพรรณบุรีเป็นพระองค์แรก เพื่อจะทรงตรวจราชการท่ีเมืองน้ี ควรจะช่วย เหลือใหค้ วามสะดวกอย่างไร หรือ
ควรทํานุบํารุงบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นอย่างไร ไม่ใช่การไปทําความช่ัว เทพารักษ์ประจําเมืองคงจะไม่ให้โทษ

14

เป็นแน่ เม่ือเสด็จกลับจากตรวจราชการครั้งน้ันแล้ว ก็ไม่ทรงได้รับภยันตรายประการใด เจ้านายพระองค์อ่ืนทรง
เหน็ เช่นนนั้ ก็ทรงเลกิ เชอื่ ถอื คตโิ บราณ และเริ่มเสด็จประภาสกันต่อมาเนืองๆ คร้ันเม่ือ พ.ศ. 2447 พระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัวเสด็จประพาสเมือง สพุ รรณอีกคร้ังหนงึ่ ตั้งแต่น้นั เป็นมากไ็ มม่ ีผู้ใดพดู ถงึ คตทิ ี่หา้ มเจ้านาย
มิให้เสด็จไปเมืองสุพรรณอีกเลย ในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อมีการปกครองมณฑลเทศาภิบาล เมืองสุพรรณก็รวมอยู่ใน
มณฑลนครชยั ศรีซง่ึ ประกอบด้วย เมอื งนครชยั ศรี สพุ รรณบรุ ีและสมุทรสาคร ในปี พ.ศ. 2438 จนกระท่ังในปี พ.ศ.
2456 มีการเปลยี่ นช่อื เมอื งมาเปน็ จังหวดั เมอื งสุพรรณบุรจี ึงเปน็ จงั หวดั สพุ รรณบรุ ี ตั้งแตน่ ้นั มา
การต้งั ถน่ิ ฐาน

ในเขตพื้นท่ีจังหวัดสุพรรณบุรี พบร่องรอยหลักฐานการประกอบกิจกรรมของมนุษย์มาแล้วไม่น้อยกว่า
2,500 ปีมาแล้ว ได้พบ หลักฐานประเภทเคร่ืองมือหินขัด เครื่องมือโลหะ ดินเผา ลูกปัดแก้ว ลูกปัดหิน
เคร่ืองประดับโลหะประเภทต่าง ๆ และเศษภาชนะ ดินเผารูปทรงต่าง ๆ กระจายอยู่ทั่วไปท้ังพ้ืนที่จังหวัดในเขต
อําเภอต่าง ๆ เช่น

อําเภออูท่ อง ทบี่ ้านท่าพระ บา้ นท่ามว่ ง ในตาํ บลคอบคา
อาํ เภอเมอื ง ฯ ทบี่ ้านดอนระฆัง บ้านม่วงงาม ในตาํ บลตลง่ิ ชน้ั ท่ีบา้ นสนามคลี บา้ นหัวโคก ในตําบล
สนามคลี และทีบ่ า้ นดอนมะมอก บา้ นหนองปรือ ในตาํ บลสระแก้ว
อาํ เภอดอนเจดีย์ ท่บี า้ นหนองนา ในตําบลไรร่ ถ ท่บี ้านคอนดา บา้ นกรวด ในตําบลหนองสาหรา่ ย และ
ทบ่ี า้ นหนองหญ้าปล้อง บ้านหนองสระ ในตาํ บลดอนเจดยี ์
อําเภอสองพี่น้อง ทบี่ ้านดอนกระเบ้อื ง ในตาํ บลบา้ นกมุ่ และท่บี า้ นดอนมะนาว ในตาํ บลตน้ ตาล
อําเภอเดมิ บางนางบวช ทบี่ า้ นคูเมือง ในตําบลทุ่งคลี
จากการศึกษาลกั ษณะทางภูมศิ าสตร์ พบวา่ เมือ่ ประมาณ 5,000 ปีมาแลว้ บริเวณพนื้ ท่จี งั หวัด
สุพรรณบรุ ีตอนลา่ งเคยเปน็ ชายฝ่งั ทะเลมากอ่ น แนวชายฝงั่ ทะเลได้ถอยร่นออกไปดังทเ่ี ปน็ อยู่ปัจจบุ นั เมอ่ื ไมน่ าน
มานเ้ี อง
มีชมุ ชนโบราณกระจายอยทู่ ั่วพื้นท่ีจังหวัด 19 แหง่ ด้วยกนั ในเขตอําเภอตา่ ง ๆ ดงั นี้
อําเภอดอนเจดีย์ มชี มุ ชนโบราณบา้ นสระกระโจม ในตําบลสระกระโจม ชมุ ชนโบราณบา้ นหนิ แลง และ
ชมุ ชนโบราณบา้ นสาํ นกั โก ในตาํ บลไร่รถ ชมุ ชนโบราณหนองหลอด ในตําบลดอนเจดยี ์ ชุมชนโบราณบา้ นหนอง
ขนาบ และชุมชนโบราณบา้ นกรวด ในตําบลหนองสาหรา่ ย
อําเภอเดมิ บางนางบวช มชี ุมชนโบราณบา้ นอา่ วกระทุ่ม ในตาํ บลปากนํ้า ชมุ ชนโบราณบา้ นคูเมือง ใน
ตาํ บลทุ่งคลี และชุมชนโบราณบ้านเขาพระ ในตําบลเขาพระ
อําเภอเมอื ง มชี ุมชนโบราณบา้ นโพธติ ะวนั ออก ในตําบลบา้ นโพธิ ชุมชนโบราณบ้านบางกุ้ง ในตําบลบาง
กุ้ง ชมุ ชนโบราณบา้ นหนองหนิ และชุมชนโบราณบา้ นหนองบวั ในอาํ เภอตล่ิงชัน
อําเภอศรปี ระจันต์ มีชมุ ชนโบราณวัดเสาธงทอง ในตาํ บลมดแดง
อําเภอสามชุก มชี มุ ชนโบราณเนินทางพระ และชุมชนบ้านลาดสงิ หใ์ นตําบลบ้านสระ
อาํ เภออูท่ อง มีชมุ ชนโบราณบา้ นดอนทอง ในตําบลจระเข้สามพัน และชมุ ชนโบราณบ้านดอนกอก ใน
ตาํ บลบ้านโขง้
เมอื่ พจิ ารณาจากท่ตี งั้ ของบรรดาชุมชนโบราณดงั กลา่ วจะพบวา่ ส่วนใหญต่ ั้งอยูบ่ รเิ วณทีร่ าบลุ่มของแม่นาํ้
หรอื ลําน้ําตา่ ง ๆ ซ่ึงมกั จะตง้ั อยู่บรเิ วณท่เี คยเปน็ ริมชายฝง่ั ทะเลเดิม ทาํ ให้งา่ ยตอ่ การรบั กระแสวฒั นธรรมกบั ชมุ ชน
ภายนอก นอกจากนนั้ ด้วยตาํ แหน่งของที่ตงั้ ทเ่ี หมาะสม ซึง่ อยู่ระหว่างเสน้ ทางของกระแสวัฒนธรรมจากอนิ เดยี และ
จีน นบั ไดว้ ่าเป็นแหลง่ อารยธรรมที่สําคญั อกี สองแหง่ ของโลก

15

สมัยก่อนประวัติศาสตร์
สพุ รรณบุรเี คยมมี นษุ ยเ์ ขา้ มาอยอู่ าศัยต้ังแต่สมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตรแ์ บบสงั คมเกษตรกรรม เป็นลักษณะ

สังคมทีค่ ล่คี ลายมาจากสงั คมเร่ร่อน แบบหาของป่าล่าสัตว์ในบริเวณพ้ืนทีท่ างภาคตะวนั ตก ที่เปน็ ทสี่ ูงและภเู ขาลง
มาสู่ทรี่ าบเพือ่ ประกอบการเกษตรและรวมกล่มุ เป็นชมุ ชนขน้ึ โดยยังสืบทอดเครอื่ งมอื เครื่องใชบ้ างอยา่ ง ประเภท
เครอื่ งมอื หนิ และได้พฒั นามาใชเ้ ครอ่ื งมอื โลหะในระยะตอ่ มา
หลกั ฐานส่วนใหญ่ทพ่ี บในสมยั นี้ มหี ลายอยา่ งดว้ ยกนั คอื
ขวานหนิ ขัด แบง่ ออกได้เปน็ สีแ่ บบดว้ ยกนั คือ

– ขวานหนิ ขัดรูปแบบปลายมน คอื มีปลายขา้ งหนึง่ ที่เปน็ ดา้ นคมจะมีขนาดใหญ่ และจะเรียวไปยงั ปลาย

อีกด้านหนง่ึ ซง่ึ มีลักษณะมน พบมากในเขตอาํ เภออทู่ อง

– ขวานหินขัดรูปสเี่ หลี่ยมผนื ผา้ มีขนาดเล็ก ด้ามทเ่ี ป็นคมขวานและดา้ นสันขวานมขี นาดเท่ากนั หรอื

ใกล้เคยี งกนั

– ขวานหินขดั ดา้ นขา้ งเปน็ สัน จะมรี อยฝนทป่ี ลายขวานทั้งสองขา้ งหรอื ขา้ งเดยี ว ส่วนปลายคมเปน็ สัน

โคง้

– ขวานหนิ ขดั แบบมบี ่า แบง่ ออกไดเ้ ปน็ สองแบบคอื ชนิดคมขวานสนั้ แตก่ ว้าง และชนิดคมขวานยาวแต่

แคบ

เคร่อื งมือทท่ี าํ ด้วยกระดูกหรอื เขาสตั ว์ มลี กั ษณะรูปทรงคล้ายฉมวกทําด้วยเขาสัตว์เปน็ เงี่ยง ใช้สําหรบั จับสตั ว์

พบที่บา้ นดอนระฆัง ตําบลตล่งิ ชัน อาํ เภอเมอื ง

แวดินเผา เป็นอปุ กรณใ์ ชส้ าํ หรบั ปนั่ ด้ายเพื่อทาํ เปน็ เส้นใย พบมากในทกุ แหล่งโบราณคดีของสพุ รรณบุรี

เครอ่ื งมือโลหะ เป็นพวกขวานสาํ ริด ฉมวกสาํ รดิ และใบหอกสาํ รดิ พบทแี่ หล่งโบราณคดีบา้ นดอนคา ตําบลหนอง

สาหร่าย อําเภอดอนเจดยี ์

เครอื่ งประดับต่าง ๆ ได้แก่ กาํ ไลสําริด ลกู กระพวน ต่างหู และลกู ปดั แบบต่าง ๆ แหล่งลูกปดั สมัยก่อน
ประวตั ิศาสตรท์ ี่สําคัญ ส่วนใหญจ่ ะกระจายตวั อยูบ่ รเิ วณ อาํ เภออ่ทู อง
ภาชนะดินเผา จะพบทกุ แหลง่ โบราณคดี รปู แบบสว่ นใหญ่ทพ่ี บมากทสี่ ดุ ไดแ้ กภ่ าชนะทรงหมอ้ ปากผาย ซึง่ ถือเปน็

เครื่องใชท้ สี่ ําคญั อย่างหนง่ึ ในชวี ติ ประจาํ วัน

พัฒนาการของประวตั ศิ าสตรส์ วุ รรณภูมกิ บั ความสมั พันธก์ บั สพุ รรณบรุ ี
เม่ืออารยธรรมอินเดียได้เริ่มแพร่เข้ามาสู่ดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นท่ีสําคัญของ

การพฒั นาสังคมเข้าสสู่ มัยแรกเรม่ิ ประวตั ิศาสตร์
บริเวณจังหวัดสุพรรณบุรี มีหลักฐานสําคัญที่เกี่ยวกับตัวอักษรได้แก่การพบเหรียญกษาปณ์สมัยโรมันที่

บริเวณเมืองโบราณอู่ทอง เป็นเหรียญกษาปณ์สมัยจักรพรรดิวิคโรนุส ระหว่างปี พ.ศ.812 – 814 ด้านหน้าของ
เหรียญเปน็ ภาพพระพักตร์ ดา้ นข้างของจกั รพรรดิ ตามขอบเหรียญมี่ตัวอักษรจารึก ซึ่งแปลว่า พระจักรพรรดิซีซาร์
วิคโดรินุส ศรัทธาความสุข ความสง่า ทําให้สันนิษฐานได้ว่า เมืองอู่ทองในอดีต น่าจะเป็นศูนย์กลางการค้าอีกแห่ง
หน่ึง ระหว่างภูมิภาคตะวันออก และตะวันตกมาแล้ว ต้ังแต่พุทธศตวรรษที่ 8 ซึ่งอาณาจักรโรมันน่าจะมีการติดต่อ
ค้าขายกับอินเดยี และตะวนั ออกไกล โดยท่ีบรเิ วณทร่ี าบลุ่มภาคกลางตองลา่ งของประเทศไทยน่าจะเป็นอีกเส้นทาง
หนึ่งท่ีเปน็ จุดแวะพัก ระหวา่ งอนิ เดยี เหนอื กับเมืองออกแกว้ ในประเทศเวยี ดนามในปจั จบุ ัน

16

อารยธรรมแบบอินเดียที่ชัดเจนมาก ในภูมิภาคแถบนี้ได้แก่ศาสนาพุทธ และศาสนาพราหมณ์
หลังจากการทําสังคายนาพระไตรปิฎกคร้ังท่ีสาม ณ เมืองปาฎีลบุตร ในอินเดีย เมื่อปี พ.ศ.235 ในสมัย
พระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์ได้ส่งพระเถระ เดินทางไปประกาศพระพุทธศาสนาในดินแดนต่าง ๆ เป็นจํานวนถึง
เก้าเส้นทาง หนึ่งในจํานวนน้ัน พระโสณะและพระอุตระ ก็ได้ไปประกาศพุทธศาสนาที่สุวรรณภูมิ สําหรับบริเวณที่
เรียกวา่ สวุ รรณภูมิ ยงั เป็นท่ีถกเถียงกันอยู่ในวงวิชาการ ทีม่ คี วามเห็นแตกตา่ งกนั ไป ส่วนนกั วชิ าการชาวไทยหลาย
ท่านเช่ือว่าสุวรรณภูมิ น่าจะเป็นดินแดนในประเทศไทย บริเวณลุ่มแม่นํ้าเจ้าพระยาตอนล่าง ที่เป็นเมืองโบราณ
นครปฐม เมืองโบราณคบู ัวทร่ี าชบรุ ี และเมืองโบราณอู่ทองทส่ี พุ รรณบรุ ี
ข้อสรุปล่าสุดของนักวชิ าการส่วนใหญเ่ ชอ่ื วา่ สุวรรณภมู ิน่าจะเป็นบริเวณท่ีครอบคลุมพื้นท่ีของประเทศไทย
พมา่ ลาว เวยี ดนามและมาเลเซยี โดยมีชุมชนโบราณต้ังอยู่ตามพน้ื ทต่ี า่ ง ๆ ท่วั ไปอย่างเป็นอสิ ระต่อกัน มีการติดต่อ
ค้าขายระหวา่ งกัน รวมถึงชมุ ชนภายนอกสวุ รรณภมู ิดว้ ย
ฟูนันถึงทวารวดี เรื่องของอาณาจักรฟูนันเกิดจากการนําเสนอว่า ในจดหมายเหตุของจีน ได้กล่าวถึง
เรื่องราวประมาณพุทธศตวรรษท่ี 8 เก่ียวกับกษัตริย์ ฟันมัน แห่งอาณาจักรฟูนันได้ปราบปรามอาณาจักรต่าง ๆ
กว่าสิบแห่ง ในจํานวนนั้นเช่ือว่ามีเมืองท่ีอยู่บริเวณลุ่มน้ําเจ้าพระยาด้วย โดยปรากฏชื่อเมืองจินหลิน เช่ือว่าเมือง
ดงั กล่าวน่าจะอยู่บริเวณทีล่ าบลุ่มภาคกลางของไทยในปจั จุบนั
เหตุผลท่ีนําเสนอต่อไปมีว่าในแหลมโคชินไชนา มีร่องรอยเมืองโบราณเพียง 3 – 4 เมือง ท่ีมีอิทธิพลของ
วัฒนธรรมฟูนัน และในจําวนน้ีมีเพียงเมืองออกแก้ว เมืองเดียวที่ได้มีการศึกษาไปแล้ว แต่ในบริเวณลุ่มแม่นํ้า
เจา้ พระยามรี ่องรอยของเมอื งโบราณอย่ปู ระมาณ 15 เมอื ง ท่มี ีรูปแบบาคลา้ ยกัน และปรากฏร่องรอยหลักฐานวัตถุ
ในวัฒนธรรมแบบฟูนัน เช่นเดียวกับเมืองท่ีอยู่บริเวณที่ราบแม่น้ําโขง ร่องรอยก่อนประวัติศาสตร์ หรือแรกเริ่ม
ประวัติศาสตร์พบว่ามีอยู่น้อย และกระจายตัวอยู่ห่าง ๆ ส่วนในท่ีราบลุ่มแม่นํ้าเจ้าพระยามีร่องรอยสมัยก่อน
ประวัติศาสตร์อยู่เป็นจํานวนมาก แสดงให้เห็นถึงความเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมที่เก่าแก่ และสัมพันธ์กันอย่าง
ต่อเนื่อง ส่วนวัฒนธรรมแบบฟูนันท่ีเมืองออกแก้ว ในเวียดนามใต้ ไม่มีการสืบต่อลงไปในวัฒนธรรมแบบเจนละ แต่
ขาดหายไป ซึ่งตรงข้ามกับวัฒนธรรมแบบทวารวดีในท่ีราบลุ่ม ภาคกลางท่ีมีการสืบทอดมาอย่างต่อเน่ือง เช่น
รูปแบบภาชนะดินเผา เครอื่ งประดบั ทท่ี ําด้วยทองหรอื ดีบุก รวมทั้งเครือ่ งประดบั ประเภทลูกปัด
จากการศกึ ษาทางโบราณคดีบริเวณแหล่งโบราณคดีท่าม่วง อําเภออู่ทอง เม่ือปี พ.ศ.2512 – 2514 ได้พบ
โบราณวัตถทุ ี่เปน็ แบบศิลปะฟนู ันเป็นจํานวนมาก ทําให้มกี ารต้ังสมมติฐานวา่ ดินแดนบริเวณดังกล่าว เป็นที่เกิดและ
ทีต่ ั้งของอาจักรฟูนนั ซ่ึงเป็นวฒั นธรรมท่ีพฒั นามาจากสมยั ก่อนประวตั ศิ าสตร์ยคุ หินใหมต่ อนปลาย และในชว่ งพทุ ธ
ศตวรรษที่ 9 กษัตรีย์ฟันซิมันแห่งฟูนันได้ขยายอํานาจเข้ามาครอบครองประเทศใกล้เคียง โดยเฉพาะตามแนว
ชายฝั่งของชาวสยาม จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ในระหว่างการยึดครองจินหลิน เม่ือเปรียบเทียบกับวัฒนธรรมแบบ
ฟูนนั ออกแก้ว ทางตอนใตข้ องเวียดนามก็พบวา่ มหี ลกั ฐานคล้ายกัน
บริเวณเมอื งโบราณอู่ทอง ไดพ้ บหลกั ฐานทเี่ กี่ยวเน่ืองในวัฒนธรรมแบบฟูนันกระจายอยู่ทั่วไป ที่เก็บอยู่ใน
พพิ ธิ ภณั ฑส์ ถานแหง่ ชาตอิ ูท่ อง มีดังน้ี
– ประติมากรรมดินเผา เป็นรูปพระภิกษุ สามรูปกําลังเข้าแถวยืนบิณฑบาต ครองจีวรเป็นร้ิวพบที่
เขาพระ อยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองอู่ทอง มีขนาด 16.56 เซนติเมตร มีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 9 – 10
– ชน้ิ สว่ นพระพทุ ธรปู ดนิ เผา เปน็ พระพุทธรูปปางนาคปรกเหลือเฉพาะพระพักตร์ พระบาท และส่วนหัว
ของนาคบางส่วน ส่วนองค์พระถึงพระเศียรหักหายไป พบท่ีบริเวณภายในเมืองโบราณอู่ทอง มีอายุประมาณพุทธ
ศตวรรษท่ี 9– 10

17

– ฝาจุกภาชนะดินเผา เปน็ รูปเทวีกับสิงห์ และมีคนพนมมืออยู่ข้าง ๆ อีกด้านหนึ่งเป็นรูปคชลักษมี หรือ
พระลักษมีประทับนั่งขัดสมาธิเพชรบนดอกบัวขนาบด้วยช้างชูงวงรดน้ํา พบที่ในเมืองอู่ทอง รูปคชลักษมีนี้เป็น
ลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์เป็นเคร่ืองหมายมงคล ท่ีใช้ทั้งในพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์ ประติมากรรมนี้
คล้ายกับศิลปะอมราวดีของอินเดียท่ีปรากฏภาพแกะสลัก การบูชาพระสถูป มีอายุประมาณพุทธศตวรรษท่ี 8 - 10

– ตะเกียงอาสนะ มีสภาพชํารุเหลือเฉพาะส่วนท่ีใส่นํ้ามันเท่าน้ัน รูปแบบคล้ายตะเกียงโรมัน พบที่เมืองอู่
ทองและบ้านดอนระฆัง ตําบลตลิ่งชัน อําเภอเมือง จัดอยู่ในศิลปะอมราวดี มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษท่ี 9 –
10

– พระพุทธรปู หนิ สลักนูนสูง เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ มีธรรมจักรและกวางหมอบ ทําด้วยดินเผา พบที่
เขาพระ อาํ เภออู่ทอง จากพทุ ธศิลปแ์ สดงว่าไดร้ ับอิทธพิ ลศิลปะแบบหลังคุปตะ มีอายอุ ยปู่ ระมาณพุทธศตวรรษท่ี 9
– 10

– แผน่ ภาชนะดนิ เผาสลกั นูน เปน็ รปู กินรีสวมศริ าภรณ์ เป็นแบบอินเดีย พบท่ีเมืองอู่ทอง มีอายุประมาณ
พทุ ธศตวรรษท่ี 9 – 10

– ตราดนิ เผา เปน็ รูปสงิ หน์ ง่ั ชนั ขาหนา้ เปรียบเทียบได้กับรูปสิงห์ท่ีปรากฏในภาพสลักพุทธลิงค์ ในศิลปะ
แบบอมราวดี ซึ่งมีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 6 – 8 ดังนั้น ตราดินเผาน้ีควรมีอายุในรูปหลังประมาณพุทธ
ศตวรรษที่ 9 – 10

– ตราดินเผา เป็นรูปคนต่อสู้ พบท่ีเมืองอู่ทอง มีลักษณะคล้ายเหรียญโรมันในคริสศตวรรษท่ีสาม มีอายุ
ประมาณ พุทธศตวรรษท่ี 9 – 10

– ลูกปัดชนิดต่าง ๆ เช่น ลูกปัดแก้ว ลูกปัดหินสี และลูกปัดกระดูกสัตว์ เป็นต้น มีหลายขนาด
เส้นผ่าศูนย์กลาง 3 – 17 เซนตเิ มตร ยาว 6 – 13 มิลลิเมตร มีรูปแบบต่าง ๆ มากมาย พบที่เมืองโบราณอู่ทอง
สามารถเปรียบเทียบได้กับแหล่งอ่ืน ๆ โดยเฉพาะท่ีออกแก้วและท่ีกักลาเซสินซิง มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่
7 – 16 เป็นหลักฐานสําคัญอย่างหน่ึงที่บอกถึง พัฒนาการสืบทอดมาในวัฒนธรรมแบบทวารวดี

– เหรยี ญเงินมจี ารกึ เปน็ เหรียญเงนิ ท่มี ีขอ้ ความจารกึ ว่า ศรที วารวดี ศวรปุณยะ แปลว่า พระเจ้าทวารวดีผู้
มีบุญอันประเสริฐ เป็นจารึกด้วยอักษรปัลลวะ เป็นภาษาสันสกฤต มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษท่ี 12 พบครั้ง
แรกจํานวน 21 เหรียญ บริเวณวัดประโทนเจดีย์ เมืองนครปฐมโบราณ ต่อมาได้พบเหรียญเงินท่ีมีจารึกแบบ
เดียวกันที่เมืองโบราณอู่ทอง จํานวนหน่ึงเหรียญ เม่ือปี พ.ศ.2507 และพบท่ีบ้านคูเมือง อําเภออินทร์บุรี จํานวน
หนง่ึ เหรียญ เมื่อปี พ.ศ.2522

จากการศึกษาเกี่ยวกับอาณาจักรโตโลโปติ เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2417 มีอยู่ว่าชื่อของอาณาจักรนี้ปรากฏ
ในบันทึกเดินทางของพระภิกษุชาวจีนชื่อ เห้ียนจัง ว่าเป็นอาณาจักรท่ีตั้งอยู่ระหว่างรัฐศรีเกษตร (พม่า) ทางทิศ
ตะวันตก และอิศาณปุระ (กัมพูชา) ทางทิศตะวันตก มีความเจริญรุ่งเรืองในพุทธศตวรรษที่ 12 ตําแหน่งที่ต้ัง
ดงั กล่าวน้ี แสดงวา่ อาณาจักรดังกลา่ วอยูใ่ นบรเิ วณท่ีเป็นประเทศไทยในปจั จุบัน

คําว่าโตโลโปติ น่าจะตรงกบั คําในภาษาสันสฤตว่า ทวารวดี แนวคิดน้ีได้ยอมรับกันอย่างแพร่หลายในหมู่
นักวิชาการ หลายท่านรวมท้ัง นายตากากุสุ ผู้แต่งจดหมายเหตุการณ์เดินทางของพระภิกษุ อ้ีจิง

ต่อมาได้มกี ารศกึ ษาค้นควา้ เก่ียวกับอาณาจกั รทวารวดีกนั มากข้นึ จากการพบหลักฐานต่าง ๆ เป็นจํานวน
มากท้ังโบราณสถานและโบราณวัตถุ จึงทําให้คําว่า ทวารวดีใช้เป็นชื่อเรียกรูปแบบศิลปะซ่ึงมีเอกลักษณ์เฉพาะ ที่
ได้รับอิทธิพลกาวัฒนธรรมแบบอินเดีย และปรากฏพบในประเทศไทยที่มีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษท่ี 12 – 16
โดยศาสตราจารย์ ยอร์ช เซเดส์ ชาวฝรั่งเศสเป็นคนแรกท่ีเริ่มนําคําว่า ทวารวดีมาใช้เรียกกลุ่มศิลปะแบบนี้ เมื่อ
ประมาณปี พ.ศ.2472 ซ่ึงพบว่าศิลปะแบบดังกล่าวมีกระจายอยู่ท่ัวทุกภูมิภาคของประเทศไทย

18

ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องศูนย์กลางของอาณาจักรทวารวดีในระยะแรก ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์
สันนิษฐานว่า น่าจะอยู่ที่เมืองนครปฐมโบราณ โดยมีพระประโทนเจดีย์เป็นศูนย์กลางเมือง แต่ในระยะต่อมาเม่ือมี
การดําเนนิ งานทางโบราณคดีบริเวณเมอื งโบราณอ่ทู อง จังหวัดสุพรรณบุรี และได้พบโบราณสถาน และโบราณวัตถุ
เปน็ จาํ นวนมาก ทําให้ศาสตรจารย์ ยอร์ช เซเดส์ เปลี่ยนข้อสันนิษฐานใหม่ว่าเมืองโบราณอู่ทองน่าจะมีความสําคัญ
มากอ่ นเมืองโบราณนครปฐม

จากการพบหลกั ฐานประเภทจารกึ ซ่ึงจารกึ ภาษามอญโบราณจํานวนมาก ทําให้มีผูเ้ สนอความคิดเห็นว่า ใน
สมัยทวารวดีประชาชนในอาณาจักรนี้น่าจะพูดภาษามอญ แต่ความเห็นน้ียังไม่เป็นที่ยอมรับนักเมืองโบราณอู่ทอง
ปรากฏชื่อคร้ังแรกในรายงานเสด็จตรวจราชการเมืองสุพรรณบุรีของสมเด็จ ฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ เม่ือปี
พ.ศ.2446 เมื่อคร้ังที่พระองค์ดํารงตําแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้เสด็จไปทอดพระเนตรเมืองโบราณท่ี
ชาวบ้านเรียกว่า เมืองท้าวอู่ทองตั้งอยู่เหนือบ้านจระเข้สามพัน แขวงเมืองสุพรรณบุรี อยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียง
ใต้ของเมือง อยู่ใกล้กับเทือกเขาทําเทียม อันเป็นเขตแดนเมืองสุพรรณบุรีตอ่ กับเมืองกาญจนบุรี มีแม่นํ้าจระเข้สาม
พันไหลผ่าน ตัวเมืองมีกําแพงเมืองสองช้ัน และมีสระใหญ่อยู่หลายสระ ด้านในมีโคกอิฐและร่องรอยของเจดีย์ และ
พบเหรยี ญเงนิ ตราสงั ข์แบบเดยี วกบั ทขี่ ดุ พบท่ีวัดพระประโทน

เมืองโบราณอู่ทอง ปัจจุบันต้ังอยู่ในเขตอําเภออู่ทอง มีคูนํ้าคันดินล้อมรอบ ตั้งอยู่ริมแม่น้ําจระเข้สามพัน
ผงั เมืองเปน็ รูปวงรี ทอดตวั ไปตามแนวทศิ ตะวันออกเฉยี งเหนือ กบั ทศิ ตะวนั ตกเฉียงใต้ ขนาดตัวเมอื งกว้างประมาณ
1 กิโลเมตร ยาวประมาณ 2 กิโลเมตร มีร่องรอยการอยู่อาศัยมาอย่างต่อเนื่อง จนสามารถพัฒนาตนเองจากสังคม
เกษตรกรรมในระดับหมู่บ้านเข้าสู่สังคมเมือง และกลายเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมเมืองหน่ึงในลุ่มแม่นํ้า
เจ้าพระยา

หลักฐานทางโบราณสถานและโบราณวัตถุต่าง ๆ ที่พบบริเวณเมืองโบราณอู่ทองที่สําคัญอันแสดงถึง
พัฒนาการและความเจริญของเมืองในอดีต นอกจากจารึกบนเหรียญเงินแล้วยังพบจารึกเยธมฺมา ฯ บนแผ่น
อฐิ จารึกดว้ ยอักษรปลั ลวะ เป็นภาษาบาลี มีอายปุ ระมาณพทุ ธศตวรรษท่ี 12 จารกึ ดังกล่าวพบท่ีบ้านท่าม่วง ตําบล
จระเข้สามพัน อาํ เภออ่ทู อง เมอ่ื ปี พ.ศ.2506

นอกจากนี้ยังพบจารึกบนแผ่นทองแดง บริเวณตรงข้ามกับโรงเรียนอู่ทองศึกษาลัย เมื่อปี พ.ศ.2500 จารึก
ด้วยตัวอักษรแบบหลังปัลลวะ เป็นภาษาสันสกฤต มีอายุประมาณพุทธศตวรรษท่ี 13 – 14 ข้อความในจารึกน่าจะ
กลา่ วถึงพระเจ้าหรรษ วรมนั ที่ 3 และพระเจ้าอศี านวรมันที่ 2 และพระเจ้าหรรษา วรมันท่ี 3 ซ่ึงมีอายุอยูใ่ นระหวา่ ง
พ.ศ.1609 - 1623

น อ ก จ า ก จ า รึ ก ดั ง ก ล่ า ว แ ล้ ว ยั ง พ บ โ บ ร า ณ วั ต ถุ อี ก เ ป็ น จํ า น ว น ม า ก ที่ สํ า คั ญ ไ ด้ แ ก่
พระอุ้มบาตรปูนปั้น ลักษณะของริ้วจีวรแสดงถึงอิทธิพลศิลปะแบบอมราวดี และแสดงถึงพุทธศาสนาใน
เมืองโบราณอู่ทองอกี ด้วย
เหรียญตรารูปหอยสังข์ศรีวัสสะ รูปโคและปราสาท เป็นแบบเดียวกับที่พบในเมืองโบราณท่ีมีอิทธิพล
วฒั นธรรมแบบทราวดี เช่นเมอื งโบราณนครปฐม
ธรรมจักรศิลาเสาหินแปดเหล่ียมและแท่นรอง พบท่ีเจดีย์หมายเลข 11 อําเภออู่ทอง ซ่ึงเป็นเครื่องหมาย

ปฐมเทศนาของพระพุทธเจ้า นิยมสร้างในอินเดีย ตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ในพุทธศตวรรษท่ี 3 สําหรับที่

ปรากฏในประเทศไทยน่าจะสร้างประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 - 14 โบราณวัตถุดังกล่าวน้ี ได้พบที่เมืองโบราณ

นครปฐมเชน่ กนั แตท่ พี่ บพร้อมท้งั แทน่ และเสามีอย่แู ห่งเดยี วทีเ่ มอื งโบราณอู่ทอง

19

พระพุทธรูปสําริด ศิลปะแบบทวารวดีรุ่นหลัง โดยมีการผสมผสานศิลปะพื้นเมืองเข้าร่วม พบที่เจดีย์

หมายเลข 11 เมอื งโบราณอ่ทู อง

พระพุทธรูปปางประทานธรรม ประทับน่ัง ศิลปะทวารวดีตอนปลาย พบท่ีเจดีย์หมายเลข 13

พระพิมพ์ดินเผา เป็นพระพุทธรูปคล้ายปางลีลา พบที่เจดีย์หมายเลข 2 เมืองโบราณอู่ทอง

ตุ๊กตาคนจูงลิง ทําด้วยดินเผา ลักษณะเป็นรูปคนเปลือย พบที่บริเวณเมืองโบราณอู่ทอง

นอกจากโบราณวัตถุชิ้นสําคัญดังกล่าวแล้ว ยังพบกลุ่มโบราณสถานกระจายอยู่ท่ัวไปในบริเวณเมือง

โบราณอ่ทู อง ดังน้ี

โบราณสถานหมายเลข 1 (วัดปราสาทร้าง) อยู่ห่างจากพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอู่ทองไปทางทิศ

ตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 2 กิโลเมตร จากการดําเนินทางโบราณคดีทราบถึงการก่อสร้างเป็นสามระยะคือ

– ระยะที่ 1 สร้างในสมัยทวารวดี ฐานตั้งอยู่บนพื้นดิน ประกอบด้วยหัวและช่องซุ้มสี่เหล่ียม

– ระยะที่ 2 สรา้ งในสมัยทวารวดี เปน็ การต่อเติมจากระยะที่ 1 ดว้ ยการก่อผนังทับมุขและซุ้มเจดีย์ตลอด

แนวด้านใต้และตะวันออกเฉียงใต้ พบแผ่นอิฐเขียนสีเป็นลายก้านขด ลายเรขาคณิต ท้ังยังเสริมด้วยเศษอิฐหักของ

การสรา้ งระยะท่ี 1 โดยรอบ

– ระยะที่ 3 เป็นการสร้างเสริมในสมัยอยุธยาทับบนฐานเจดีย์แบบทวารวดี

โบราณสถานหมายเลข 2 ตั้งอยู่นอกคูเมืองโบราณทางด้านทิศเหนือ ห่างจากพิพิธภัณฑ์ ฯ อู่ทองประมาณ 500

เมตร ลักษณะเปน็ รูปส่ีเหลย่ี มจตั ุรัสยาวด้านละ 35 เมตร ยอ่ มุมทง้ั ส่ดี ้าน มีเจดยี ท์ ้งั สี่มุม พบชิ้นส่วนธรรมจักรศิลามี

ลวดลายคล้ายกับที่พบ บริเวณโบราณสถานหมายเลข 11 พระพิมพ์ดินเผา พระพุทธรูปศิลาปางเสด็จจากดาวดึงส์

กินรดี นิ เผา เศยี รและบาทพระพุทธรูปทองคาํ

โบราณสถานหมายเลข 9 ตัง้ อยู่เชิงเขาบริเวณวัดพระศรีสรรเพชญาราม (วัดเขาพระ) เป็นฐานส่ีเหลี่ยม

จัตุรัสยาวด้านละ 10 เมตร ฐานตอนบนย่อมุมเป็นมุข มีช่องซุ้มประดับเป็นช่อง ๆ และเจดีย์ประจํามุมทรงกลม

ประดบั ท่ีฐานทง้ั สี่มุม พบพระพิมพด์ นิ เผาปางเสดจ็ จากดาวดึงสส์ ององค์

โบราณสถานหมายเลข 10 ต้ังอยู่ห่างจากโบราณสถานหมายเลข 9 ไปทางด้านทิศใต้ประมาณ 500

เมตร เป็นเจดีย์ ทรงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 16 เมตร พบช้ินส่วนพระพุทธรูปปางสมาธิและระฆังหิน

ขนาดเล็ก

โบราณสถานหมายเลข 11 ตั้งอยู่ท่ีบริเวณเชิงเขาทําเทียม ห่างจากโบราณสถานหมายเลข ๑๐ ไป

ทางดา้ นทิศใตป้ ระมาณ 500 เมตร เป็นฐานเจดียท์ รงส่ีเหล้ียมจตรุ ัสยาวด้านละ 10.60 เมตร พบพระพุทธรูปสําริด

ปางเสด็จจากดาวดึงส์จํานวน 4 องค์ ธรรมจักรศิลาพร้อมเสาแปดเหลี่ยม และแท่นหินสี่เหลี่ยม พระพิมพ์ดินเผา

ดา้ นหลังจารึกเมตเตยโก และสาลิปตโต และพระโพธสิ ตั วด์ ินเผา

โบราณสถานหมายเลข 13 อยู่ห่างจากพิพิธภัณฑ์ ฯ อู่ทองไปทางด้านทิศตะวันตกประมาณ 800 เมตร

เป็นเจดีย์ทรงแปดเหล่ียม ยาวด้านละ 5 เมตร แต่ละด้านมีซุ้มด้านละสองซุ้ม พบยอดสถูปศิลา สิงห์ศิลา

พระพุทธรูปสาํ ริดปางแสดงธรรม เสดจ็ จากดาวดงึ ส์ และสิงห์สําริด

20

ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ห่างจากเมืองโบราณอู่ทองไปประมาณ 3 กิโลเมตร มีกลุ่มโบราณสถานคอก
ช้างดิน พบว่ามโี บราณสถานกระจายตวั อยถู่ งึ 20 กลุ่มใหญ่ ๆ แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภทคือ โบราณสถานทสี่ รา้ งดว้ ย
ดิน และที่สร้างด้วยอฐิ ศลิ าแลงและหิน

คอกช้างดิน ซึ่งแต่เดิมเช่ือว่าเป็นเพนียดคล้องช้าง ความจริงน่าจะเป็นอ่างเก็บน้ํา นอกจากนี้ยังพบ
โบราณวัตถุอีกมาก เช่น เหรียญเงิน จํานวน 9 เหรียญ มีอยู่ 3 เหรียญปรากฏจารึกอักษรปัลลวะ เป็นภาษา
สันสกฤต มีข้อความว่า ศรีทวาราวดี ศวรปุณยะ แปลว่า การบุญชองพระเจ้าศรีทวาราวดี มีอายุอยู่ประมาณพุทธ
ศตวรรษที่ 12 นอกจากนี้ยังพบลูกปัดหิน ลูกปัดแก้ว ตุ๊กตาดินเผารูปสัตว์ และแผ่นหินจําหลักลายดอกไม้สีกลีบ

จากหลักฐานที่พบดังกล่าว กลุ่มโบราณสถานเหล่าน้ีน่าจะเป็นกลุ่มโบราณสถานในอิทธิพลของศาสนา
พราหมณ์ ซึ่งน่าจะเป็นการแบ่งพ้ืนที่ของเมืองอู่ทอง ในลักษณะท่ีตัวเมือง และบริเวณโดยรอบที่ได้รับอิทธิพลพุทธ
ศาสนา ส่วนบริเวณด้านนอกเมือง โดยเฉพาะทางด้านทิศตะวันตกของเมือง ซึ่งเป็นภูเขา และท่ีสูงเป็นกลุ่มอิทธิพล
ศาสนาพราหมณ์

ตัวเมืองโบราณอู่ทองจัดว่าเป็นตัวแทนของพัฒนาการสมัยแรกเร่ิมประวัติศาสตร์ของจังหวัด
สุพรรณบุรี เมืองโบราณ อู่ทองเร่ิมเส่ือมความสําคัญลง ในประมาณพุทธศตวรรษที่ 16 – 17 พร้อมกันกับการ
สนิ้ สุดลงของวฒั นธรรมทวาราวดี เมอื งอทู่ องถูกทิ้งรา้ งไปเมื่อประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี 19 โดยมีเมอื งที่เชอื่ กนั ว่าชอ่ื
เมืองสพุ รรณภมู ิ เจริญขน้ึ มาแทน โดยต้ังอยู่บริเวณทร่ี าบลุม่ แม่น้าํ สุพรรณบรุ หี รอื แม่นํ้าทา่ จนี

ตราประจาํ จงั หวัดสพุ รรณบรุ ี
เป็นรูปยุทธหตั ถี หมายถึง การกระทํายทุ ธหัตถรี ะหวา่ งสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช กบั พระมหาอปุ ราชา

แห่งพมา่ และบริเวณทท่ี ํายุทธหัตถอี ยใู่ นทอ้ งท่อี ําเภอดอนเจดีย์
ตน้ ไมป้ ระจาํ จังหวดั สพุ รรณบรุ ี “ต้นมะเกลอื ”

ต้นมะเกลือเป็นไม้มงคลที่ได้รับพระราชทานจาก สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ พระราชทานเม่ือ
วันท่ี 9 พฤษภาคม 2537 เพื่อให้พสกนิกรชาวสุพรรณบุรีนํามาปลูกเป็นสิริมงคล ต้นมะเกลือเป็นไม้ยืนต้น
ขนาดกลาง มีความสูงประมาณ 8-15 เมตรบางต้นท่ีมีความสมบูรณ์มากอาจสูงถึง 30 เมตร ลักษณะลําต้นตรง
เรือนยอดเป็นพุ่มกลม ก่ิงอ่อนมีขนนุ่มท่ัวไป แตกก่ิงก้านสาขาทุกส่วนของลําต้น เปลือกนอกเป็นสีดําขรุขระ
ประโยชน์ของต้นมะเกลือมีมากมาย และใช้ประโยชน์ได้ท้ังต้น คือ ลําต้นใช้ทําไม้ถือกบ (กบใสไม้) ทําเครื่องตกแต่
บา้ น ผลมะเกลอื ใชย้ ้อมผา้ ใช้เปน็ ยาถา่ ยพยาธิ เปลือกใช้ผสมเครือ่ งดม่ื พน้ื เมอื งบางชนดิ เพ่ือกันบูด

21

ดอกไมป้ ระจาํ จงั หวัด “สพุ รรณกิ าร”์
เป็นต้นไม้ผลัดใบสูง 7-15 เมตร ก่ิงก้านคดงอ ใบรูปหัวใจ แผ่นใบแยกเป็น 5 แฉก ขอบใบเป็นคล่ืน

ดอกเป็นช่อออกกระจายท่ีปลายก่ิง บานทีละดอก ดอกเหลืองมีกลิ่น กลีบบาง เกสรสีเหลือง รังไข่มีขน ผลกลมเม่ือ
แก่แตก 3-5 พู ภายในมีเมลด็ รูปไตสีนํ้าตาล หุ้มด้วยปุยขาวคล้ายปุยฝ้าย ออกดอกเกือบตลอดปี ดอกดกมาก ราว
กุมภาพันธ์ - เมษายน มีถิ่นกําเนิดในอินเดียทางตะวันตกเฉียงเหนือของภูเขาหิมาลัย และเป็นไม้พ้ืนเมือง ของพม่า
ด้วย ในศรีลังกามักปลูกบริเวณพระอุโบสถ เป็นดอกไม้บูชาพระ ในเมืองไทยทางเหนือ เรียกว่า ฝ้ายคํา
จงั หวดั สุพรรณบรุ ี มพี น้ื ทท่ี ้ังหมดประมาณ 5358 ตารางกิโลเมตร

กิจกรรมที่ 2 ประวตั ศิ าสตรข์ องจังหวัดสพุ รรณบุรี
ใหผ้ เู้ รียนศึกษาค้นคว้าจากแหล่งเรียนรตู้ ่างๆ เรอ่ื งประวตั ศิ าสตรส์ ุพรรณบรุ ี โดยใหน้ าํ เสนอในรูปคลิปวดี ีโอมคี วาม
ยาว 5 นาที

22

เร่ืองท่ี 3 เศรษฐกจิ สังคมจงั หวัดสุพรรณบรุ ี

เศรษฐกจิ สงั คมของจงั หวดั สพุ รรณบุรี จาํ แนกออกเป็น 5 ด้าน ดังตอ่ ไปนี้
1. ด้านการประกอบอาชีพ

เกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรีถือได้ว่าเป็นจังหวัดหน่ึงที่มีอาชีพทําการเกษตรเป็นหลัก มีแหล่งน้ํา
ธรรมชาติ การชลประทานเหมาะสมแก่การเกษตร พื้นท่ีที่อุดมสมบูรณ์ได้แก่ อําเภอเมืองสุพรรณบุรี อําเภอ
บางปลาม้า การเกษตรกรรมสําคัญได้แก่ การกสิกรรม การทํานา ทําสวน ทําไร่ เป็นอาชีพหลักของประชากร
มากกว่ารอ้ ยละ 80

- พื้นที่ทําการเกษตรในอําเภอสองพ่ีน้อง มีพ้ืนที่ใช้ประโยชน์มากท่ีสุดคิดเป็นร้อยละ 14.45 ของพ้ืนท่ี
ทาํ การเกษตรทั้งหมด รองลงมาไดแ้ ก่พ้นื ทใ่ี นอําเภออทู่ อง รอ้ ยละ 13.69

- พ้ืนที่ทํานา ในอําเภอบางปลาม้า มีพ้ืนท่ีทํานามากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 15.67 ของพ้ืนที่ทํานาทั้งหมด
เนื่องจากสภาพพื้นที่ อากาศ น้ํา ท่ีเอื้ออํานวยสําหรับการเพาะปลูก รองลงมาได้แก่ พื้นที่ในเขตอําเภอสองพ่ีน้อง
ร้อยละ 14.46

- พืชไร่ อําเภอที่มีพ้ืนที่เพาะปลูกพืชไร่มากที่สุด ได้แก่อําเภอด่านช้าง คิดเป็นร้อยละ 37.27 ของพ้ืนท่ี
เพาะปลูกทั้งหมด เน่ืองจากสภาพภูมิประเทศที่เอ้ือต่อการทําพืชไร่ โดยเฉพาะการปลูกอ้อย มนั สําปะหลังข้าวโพด
เลีย้ งสัตว์ รองลงมาเปน็ พ้ืนทีใ่ นอาํ เภออู่ทอง 18.47

อตุ สาหกรรม ในปี 2553 มีโรงงานอุตสาหกรรมท่ีคงอยู่ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2553 จํานวน 1,110
แห่ง เพ่ิมข้ึนจากปีท่ีผ่านมาร้อยละ 4.42 เงินลงทุน 29,996 ล้านบาท ขยายตัวเพ่ิมข้ึนร้อยละ 11.80
มีผู้ประกอบการขอยื่นจัดต้ังโรงงานอุตสาหกรรมในปี 2553 จํานวน 37 แห่ง เงินทุน 1,092 ล้านบาท ตั้งกระจาย
อยู่ในเขตอําเภอเมืองสุพรรณบุรี อู่ทอง ศรีประจันต์ ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรม ประเภทอุตสาหกรรม สิ่งพิมพ์
ผลิตภัณฑ์จากไม้ และเครื่องจักรกล เป็นโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางมีการ จ้างงานไม่เกิน 100 คน และมี
โรงงานขนาดเลก็ และโรงสีขนาดใหญ่และขนาดกลาง จํานวน 100 กว่าแห่ง โรงงานท่ีมีกําลังการผลิตเกินกว่า 200
ตัน / วัน เช่นโรงงานนํ้าตาล โรงสีข้าว โรงงานน้ําตาล โรงสีข้าว โรงงานแปรรูปสินค้าเกษตร โรงงานผลิตรองเท้า
และอ่ืน ๆ ซ่ึงเป็นอุตสาหกรรม ท่ีเกี่ยวข้องกับการผลิตในภาคเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่การอุตสาหกรรม เป็นภาค
การผลิตท่ีเป็น แหล่งรายได้ท่ีสําคัญของจังหวัด รองลงมาจากภาคการเกษตร โรงงานอุตสาหกรรมที่สําคัญร้อยละ
25.32 ตั้งอยู่ในเขตอําเภอเมืองสุพรรณบุรีรองมาอยู่ในเขตอําเภออู่ทองร้อยละ 18 และอยู่ในเขตอําเภอสองพ่ีน้อง
ร้อยละ 12 จังหวัดสุพรรณบุรีอยู่ใกล้กรุงเทพฯ มีความได้เปรียบและความพร้อมด้านวัตถุดิบ แรงงานและ
สาธารณูปโภคกว่าจังหวัดอ่ืน ๆ ในภาคกลางโรงงานอุตสาหกรรมจําแนกตามประเภทอุตสาหกรรมในจังหวัด
สุพรรณบุรี มีจํานวนท้ังหมด 21 ประเภท ส่วนใหญ่เป็นประเภทแยกเป็นประเภทอุตสาหกรรมการเกษตร จํานวน
215 แห่งรองลงมาได้แก่อตุ สาหกรรมอาหาร 123 แห่ง และอตุ สาหกรรมขนสง่ 111 แหง่ ในปี 2553 จํานวนโรงงาน
อุตสาหกรรม เพิ่มข้ึนจากปีท่ีผ่านมาคิดเป็นร้อยละ 4.42 และเงินทุนเพิ่ม ร้อยละ 11.80 เนื่องจากผู้ประกอบการ
ยงั มน่ั ใจในการดาํ เนนิ ธุรกิจอตุ สาหกรรมและการสนบั สนนุ ชว่ ยเหลือจากภาครฐั รวมท้งั อตั ราดอกเบ้ียเงนิ ก้ทู ่ตี ่ํา

การพาณิชยกรรม ในปี 2551 มีผู้ประกอบการซ่ึงย่ืนขอจดทะเบียนนิติบุคคลประเภทต่าง ๆ
จาํ นวน 155 ราย (ไมร่ วมท่ีเลิก รับมา โอนไป) ลดลงคิดเป็นร้อยละ 27.05 จากปีก่อน เงินทุน จดทะเบียน 262.87
บาท เพิ่มข้นึ คิดเป็นรอ้ ยละ 41.02 แยกเปน็ หา้ งหนุ้ สว่ นจาํ กัด 91 ราย บรษิ ัท จํากัด 64 ราย ธุรกิจที่ขอจดทะเบียน
ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจประเภทรับเหมาก่อสร้าง ขายส่ง ขายปลีกการจดทะเบียนพาณิชย์ ณ องค์การบริหาร
ส่วนจังหวัดสุพรรณบุรี มีผ้ปู ระกอบการยืน่ ขอจดทะเบียนจํานวน 1,328 ราย ลดลงคิดเป็นร้อยละ 36.91 ส่วนใหญ่
เป็นประเภทขายปลีก สินค้าอุปโภคบริโภคจังหวัดสุพรรณบุรีมีผู้จดทะเบียนนิติบุคคลประกอบธุรกิจที่ยังคงอยู่

23

ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 จํานวน 2,065 ราย เพิ่มขึ้นจากปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 8.46 โดยมีผู้ประกอบธุรกิจ
หา้ งหุ้นส่วนสามัญ 21 ราย ห้างหุน้ ส่วนจาํ กดั 1,341 ราย และบรษิ ทั จํากดั 702 ราย และบริษัทมหาชน 1 ราย

แรงงานและอาชีพ แรงงาน ในปี พ.ศ. 2551 จังหวัดสุพรรณบุรีมีประชากรที่อยู่ในวัยทํางาน /
วัยแรงงาน (อายุ 15 ปีข้ึนไป) ในปี 2551 จํานวน 731,092 คน ผู้อยู่ในกําลังแรงงานจํานวน 530,120 คิดเป็น
ร้อยละ 72.51 ของผู้อยู่ในวัยแรงงาน และผู้อยู่นอกกําลังแรงงานจํานวน 200,972 คน หรือ ร้อยละ 27.45
ของวยั แรงงานท้งั หมดและผูไ้ ม่อยู่ในวยั ทํางานมีอายุตํา่ กว่า 15 ปี จํานวน 113,406 คน คิดเป็นร้อยละ 15.51 ของ
ผู้อยใู่ นวยั ทํางาน

อาชีพ ที่สําคัญของชาวจังหวัดสุพรรณบุรี คือ การประกอบอาชีพการเกษตรกรรม มีการทํานาข้าว
การปลูกพืชไร่ ได้แก่อ้อยโรงงาน ข้าวโพดเล้ียงสัตว์ เป็นต้น นอกจากน้ียังมีอาชีพรับจ้างและการประกอบธุรกิจ
ทางการคา้ และธรุ กิจทางบริการดว้ ย

จากการรายงานของสํานักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปรากฏว่า ในปี
2552 จังหวัดสุพรรณบุรี มีมูลค่ารวมผลิตภัณฑ์จังหวัด GPP ตามราคาประจําปี 64,480.8 ล้านบาท มูลค่ารวม
ผลติ ภณั ฑเ์ ฉลี่ยตอ่ หัว(Per Capita GPP) 72,269 บาท รายไดเ้ ฉลีย่ ต่อหวั ในลําดบั ที่ 6 ของภาคตะวันตก และอยู่ใน
อันดับที่ 41 ของประเทศ เม่ือพิจารณาด้วยสาขาการผลิตที่ทํารายได้ให้แก่จังหวัดมากที่สุด คือ สาขาเกษตรกรรม
การล่าสัตว์ และการป่าไม้ ซึ่งมีมูลค่าจํานวน18,931.3 ล้านบาท (ร้อยละ 29.4 ของมูลค่าทั้งหมด) รองลงมา คือ
สาขา การขายส่ง การขายปลีก การซ่อมแซมยานยนต์ ซึ่งมีมูลค่า จํานวน 13,467.1 ล้านบาท (ร้อยละ 20.9) และ
สาขาการผลิตอตุ สาหกรรม จาํ นวน 8,432 ล้านบาท (รอ้ ยละ 13.1)

การปศุสัตว์ พ้ืนที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดล้อมรอบไปด้วยภูเขา เหมาะสําหรับเป็นแหล่งของปศุสัตว์
ประชากรจึงมีอาชีพด้านการเลี้ยงปศุสัตว์ รองจากการทําการเกษตร สัตว์เลี้ยงเศรษฐกิจที่สําคัญของจังหวัด ได้แก่
โค กระบอื สกุ ร ไก่ และเป็ด รวมทัง้ มฟี ารม์ เพาะเลี้ยงนบั พันฟารม์ เน่ืองจากสภาวะแวดล้อมเออื้ อํานวย แต่ปจั จุบัน
พ้นื ที่เล้ยี งลดลง จากปญั หาโรคระบาดและไข้หวัดนกในชว่ ง 5 ปี ท่ีผ่านมาทาํ ใหพ้ ้ืนที่เล้ียงไก่และเป็ดลดลง

การประมง จังหวัดสุพรรณบุรีไม่มีพ้ืนท่ีติดชายฝ่ังทะเล การประมงของจังหวัดจึงมีแต่การประมง
น้ําจืดและการเพาะเลี้ยงกุ้งก้ามกราม กุ้งขาว โดยมีการเลี้ยงกันมาแถบอําเภอบางปลาม้า อําเภอสองพ่ีน้อง และ
อําเภอเมืองสุพรรณบุรี ซ่ึงมีแนวเขตติดต่อกันเป็นท่ีราบลุ่มเป็นส่วนใหญ่มีลําคลองหลายสาย และอยู่ใกล้เมืองใหญ่
และเมอื งท่องเท่ยี วสาํ คัญ ปลานาํ้ จดื ที่เล้ียง ได้แก่ ปลาดกุ ปลาชอ่ นปลา สวาย ปลานิล ปลาตะเพียน ปลาสลิดและ
ปลาเบญจพรรณ ซงึ่ จาํ แนกการเลี้ยงได้ 2 วธิ ี

1. การเลย้ี งปลานาํ้ จืดเป็นรายไดห้ ลกั ไดแ้ ก่ ปลาดกุ ปลาชอ่ น และปลาเบญจพรรณ
2. การเลี้ยงปลาน้ําจืดเป็นผลพลอยได้ ซ่ึงได้แก่ การเล้ียงปลาหลายชนิดในบ่อเดียวกัน พร้อมกับเลี้ยง
ร่วมกับการเลี้ยงไก่ โดยจะปล่อยลูกปลาเล้ียงรวมในบ่อเดียวกัน อาหารท่ีจะใช้เป็นมูลไก่และเศษอาหารที่หล่นลง
ในบ่อ ซ่ึงเป็นวิธีที่ประหยัดค่าใช้จ่ายมากที่สุด และเป็นที่นิยมเลี้ยงกันมากท่ีสุดในจังหวัดสุพรรณบุรี ประมงนํ้าจืด
มีพื้นท่ีทําการประมงนํ้าจืดเลี้ยงปลาในฟาร์มจํานวน 9,212 ฟาร์ม จํานวน 51,522 ไร่ การเล้ียงกุ้งก้ามกรามและ
กุ้งขาว จํานวน 3,059 ฟาร์ม 37,404 ไร่ การเลี้ยง ปลา กุ้งจะเล้ียงกันมากในอําเภอบางปลาม้า อําเภอ
เมืองสุพรรณบรุ ี และอาํ เภอสองพนี่ อ้ ง

24

2. ด้านการศกึ ษา

จงั หวัดสุพรรณบรุ ี แบ่งเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเปน็ 3 เขต และมธั ยมศกึ ษา 1 เขตดังน้ี

สํานักงานเขตพื้นทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษาสุพรรณบุรี เขต 1

สาํ นกั งานเขตพ้นื ท่กี ารศึกษาประถมศึกษาสุพรรณบุรี เขต 2

สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศกึ ษาสพุ รรณบรุ ี เขต 3

สาํ นักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามธั ยมศึกษา เขต 9 ( สพุ รรณบรุ ี – นครปฐม)

จังหวดั สพุ รรณบรุ ี มสี ถานศกึ ษาในระดบั อาชีวศกึ ษาและอดุ มศกึ ษา รวมทั้งหมด 13 แห่ง ดังนี้

1. สาํ นักคณะกรรมการอาชวี ศึกษา 5 แห่ง

2. สํานักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสรมิ การศึกษาเอกชน 1 แหง่
3. สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ 3 แห่ง

4. มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคล 1 แห่ง
5. สถาบนั บัณฑติ พฒั นศลิ ป์ 2 แห่ง
6. สํานกั งานบรหิ ารงานการศกึ ษาพเิ ศษข้ันพ้นื ฐาน 1 แห่ง

ท่ีมา : ขอ้ มลู จากรายงานสถติ จิ ังหวัด พ.ศ.2554 สํานักงานสถิตจิ ังหวดั สพุ รรณบรุ ี สาํ นกั งานสถติ แิ ห่งชาติ
3. ดา้ นศาสนา

ประชากรจังหวดั สุพรรณบรุ ี จาํ นวน 845,053 คน การนบั ถือศาสนา จาํ แนกไดด้ ังน้ี

ศาสนาพุทธ จาํ นวน 843,333 คน ร้อยละ 99.79

ศาสนาคริสต์ จํานวน 1,289 คน รอ้ ยละ 0.15

ศาสนาอิสลาม จาํ นวน 417 คน ร้อยละ 0.05

ศาสนาฮินด-ู ซกิ ส์ จํานวน 14 คน ร้อยละ 0.01

ทม่ี า : สํานกั งานวัฒนธรรมจังหวัดสพุ รรณบุรี ข้อมลู ปี 2554

4. ดา้ นสาธารณสขุ

สถานบรกิ ารสาธารณสุขของรัฐ

จังหวัดสุพรรณบรุ ีมี แพทยจ์ าํ นวน 136 คน พยาบาล 1141 คน ทันตแพทย์ 43 คน เภสชั กร 70 คน

มสี ถานบริการสาธารณสขุ ของรัฐ ดังน้ี

โรงพยาบาลศนู ย์ ขนาด 602 เตยี ง จาํ นวน 1 แห่ง
โรงพยาบาลทั่วไป ขนาด 210 เตยี ง จํานวน 1 แหง่
โรงพยาบาลชมุ ชน ขนาด 150 เตยี ง จาํ นวน 1 แหง่
ขนาด 120 เตยี ง จาํ นวน 1 แหง่

ขนาด 112 เตยี ง จาํ นวน 1 แห่ง
ขนาด 60 เตยี ง จํานวน 1 แหง่

ขนาด 30 เตยี ง จาํ นวน 1 แหง่
โรงพยาบาลสง่ เสริมสุขภาพตาํ บล จํานวน 174 แห่ง

25

สถานบรกิ ารสาธารณสขุ ของเอกชน แบ่งออกเปน็ 2 ประเภท

รับผปู้ ว่ ยไวค้ า้ งคืน ไมร่ บั ผ้ปู ว่ ยไวค้ ้างคนื

โรงพยาบาลและสาธารณสขุ จํานวน คลนิ ิก จาํ นวน
เตยี ง แหง่ (แห่ง)

โรงพยาบาลศุภมติ ร 179 1 คลนิ กิ เวชกรรม/เวชกรรมเฉพาะทาง 92
โรงพยาบาลพรชัย
45 1 คลินิกทันตกรรม 23

โรงพยาบาลธนบุรีอทู่ อง 60 1 คลนิ กิ การพยาบาลและการผดุงครรภ์ 75

โรงพยาบาลวภิ าวดี-ปิยราษฎร์ 60 1 คลินกิ เทคนคิ การแพทย์ 7

สถานพยาบาลหมอสาํ เริง 26 1 คลินิกการแพทย์แผนไทย 10

สหคลนิ ิก 5
คลนิ ิกกายภาพบําบัด 3

รวม 370 5 215

ท่ีมา : สํานักงานสาธารณสุขจงั หวดั สุพรรณบุรี ขอ้ มูล ณ ปี 2554

5. ด้านการคมนาคม
จังหวัดสุพรรณบุรีอยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 340 ประมาณ 107 ก.ม.

เป็นถนนคอนกรีต 6 เลน แยกเส้นทางไป-กลับ ถนนเส้นน้ีเป็นถนนเชื่อมต่อระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ โดย

ไม่ต้องผ่านกรุงเทพฯ การคมนาคมโดยทางรถยนต์ท้ังภายในจังหวัดและระหว่างจังหวัด มีความสะดวกรวดเร็วมาก
เน่ืองจากได้ปรับปรุงถนนในเขตจังหวัดอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันกล่าวได้ว่าระบบโครงข่ายเส้นทางคมนาคมขนส่งใน

จังหวัด มีความสมบูรณ์มาก นอกจากนี้ยังมีรถโดยสารประจําทาง ท้ังประเภทปรับอากาศ ไม่ปรับอากาศ และรถตู้

ว่ิงใหบ้ รกิ ารตลอดเวลา ระยะทางจากอาํ เภอเมอื งสุพรรณบุรถี งึ อาํ เภอตา่ งๆ มีดงั นี้

1. อําเภอบางปลาม้า 10 ก.ม.

2. อําเภอศรปี ระจันต์ 20 ก.ม.

3. อาํ เภอดอนเจดีย์ 31 ก.ม.

4. อาํ เภออทู่ อง 32 ก.ม.

5. อาํ เภอสามชกุ 39 ก.ม.

6. อาํ เภอเดมิ บางนางบวช 54 ก.ม.
ก.ม.
7. อาํ เภอหนองหญา้ ไซ 58 ก.ม.
ก.ม.
8. อาํ เภอสองพี่นอ้ ง 70

9. อําเภอด่านช้าง 77

ระยะทางตดิ ตอ่ ภายนอกเขตจังหวัด สามารถตดิ ตอ่ ไดต้ ามเส้นทางดังนี้

ทางหลวงแผ่นดนิ ระยะทาง (กม.)
1. สพุ รรณบรุ ี – บางบัวทอง – กรุงเทพฯ 107

2. สุพรรณบรุ ี – กําแพงแสน – นครปฐม – กรงุ เทพฯ 160
3. สุพรรณบุรี – นครปฐม 105
4. สพุ รรณบรุ ี – กาญจนบุรี 91
5. สุพรรณบรุ ี – นครสวรรค์ 160

26

6. สพุ รรณบุรี – พระนครศรอี ยธุ ยา 68
7. สุพรรณบุรี – สงิ หบ์ ุรี 84
8. สพุ รรณบรุ ี – ชัยนาท 96
9. สพุ รรณบุรี – อา่ งทอง 44
10. สุพรรณบุรี – โคกสาํ โรง 143

กิจกรรมที่ 3 เศรษฐกิจ สังคมของจังหวดั สุพรรณบรุ ี

ให้ผู้เรยี นแบง่ กลุ่มจาํ นวน 5 กลุ่ม เพอื่ จดั นทิ รรศการในหวั ข้อ “เศรษฐกจิ สงั คมของจงั หวัดสพุ รรณบรุ ี” โดยมี
หัวขอ้ ดังนี้ 1. ดา้ นการประกอบอาชีพ

2. ดา้ นการศกึ ษา
3. ดา้ นศาสนา
4. ด้านสาธารณสขุ
5. ดา้ นการคมนาคม

27

เรอื่ งที่ 4 คาํ ขวญั ของจังหวัดสุพรรณบรุ ี

คําขวญั ประจาํ จังหวัด
เมืองยุทธหัตถี วรรณคดีข้ึนชื่อ เลื่องลือพระเคร่ือง รุ่งเรืองเกษตรกรรม สูงล้ําประวัติศาสตร์ แหล่งปราชญ์

ศลิ ปิน ภาษาถ่ินชวนฟังคํา
คาํ ขวญั อําเภอดอนเจดยี ์

ดอนเจดยี ์ แดนยทุ ธหตั ถี อนสุ าวรียว์ รี กรรม สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
คาํ ขวญั อําเภอด่านช้าง

เขื่อนกระเสยี วลอื นาม ธรรมชาตงิ ามลา้ํ วฒั นธรรมตะเพนิ คี่ อทุ ยานดสี นสองใบ
คาํ ขวญั อาํ เภอเดมิ บางนางบวช

พระอาจารย์ธรรมโชติลือนาม อุทยานงามบึงฉวาก ของฝากผ้าทอมือ เล่ืองลืองานยกธง สลักไผ่ตง ท่าช้าง
เขานมนางเรอื่ งเล่า หัวเขาเทโวดงั
คําขวญั อําเภอบางปลามา้

เกษตรกรรมลา้ํ หน้า เพมิ่ คณุ คา่ ผลิตภัณฑแ์ ละอาหาร แหลง่ วฒั นธรรมยนื นาน สบื สานคณุ ภาพชวี ติ
คําขวญั อาํ เภอเมอื งสพุ รรณบุรี

หลวงพ่อโตคู่บ้าน แหล่งตํานานขุนช้างขุนแผน ดินแดนพระผงสุพรรณ โบราณสถานวัดสนามชัย ไหว้ศาล
เจ้าพ่อหลกั เมือง ลอื เล่ืองปลาสลิดดอนกาํ ยาน หอคอยบรรหารงามสงา่ วังมัจฉาวัดพระนอน
คําขวญั อาํ เภอศรีประจนั ต์

เสียงเหน่อน่าฟัง โด่งดังพระเครื่อง เมืองนักปราชญ์ ตลาดเก่าบ้านท่านเจ้าคุณ แหล่งบุญเจดีย์พระธาตุ
พระพทุ ธบาทจาํ ลอง ถน่ิ ร้องอแี ซว แหว้ จนี มนั หวาน หมบู่ า้ นควายไทย สวนพืชไรด้ ิน “คือถิ่นศรปี ระจันต์”
คําขวญั อําเภอสองพน่ี อ้ ง

ชื่อมีคนน้อย อร่อยปลาหมํา เลิศล้ําพระสงฆ์ หลวงพ่อโหน่งพระเครื่อง รุ่งเรืองนาไร่ พระใหญ่โลกรู้ เสภา
ช้ันครู อ่นู ้ําอปู่ ลา ราชินนี กั ร้อง สองพนี่ ้องบ้านเรา
ขวญั อําเภอสามชกุ

หลวงพ่อมุ่ยลือนาม หลวงพ่อดําศักดิ์สิทธ์ิ ท่าจีนคือชีวิต แหล่งผลิตเกษตรกรรม วัฒนธรรมร่วมใจ ธารนํ้า
ใสบึงระหาร
คําขวญั อําเภอหนองหญ้าไซ

ดินแดนหมอ่ นไหมงามหรู เฟ่อื งฟไู ม้ผลงามสะพร่ัง มั่งคง่ั โคนม อดุ มข้าวขาวดอกมะลิ
คาํ ขวญั อําเภออาํ เภออูท่ อง

แหลง่ รอยพระพุทธบาท เกียรติประกาศเรอื่ งทอผ้า เจา้ พอ่ พระยาจกั ร ถ่ินรักไทยทรงดาํ ถ้าํ เสือพระดี
มีคอกช้างดิน ถ่นิ เก่าน้าํ ตก มรดกเมอื งอทู่ อง

กิจกรรมที่ 4 คําขวญั ของจังหวัดสพุ รรณบรุ ี

จงอธบิ ายและวเิ คราะห์ถงึ คาํ ขวญั ของแตล่ ะอาํ เภอของจังหวดั สุพรรณบรุ ีว่ามคี วามหมายอยา่ งไร

.....................................................................................................................................................................................

.....................................................................................................................................................................................

.....................................................................................................................................................................................

28

แบบทดสอบบทที่ 1 ประวัตศิ าสตร์ของจงั หวัดสพุ รรณบรุ ี

คาํ ส่ัง ให้เลอื กคําตอบที่ถูกท่ีสุดเพยี งขอ้ เดยี ว ง. 41
7. พ้ืนทสี่ ว่ นใหญข่ องจังหวัดสุพรรณบุรลี อ้ มรอบดว้ ย
1. จงั หวัดสุพรรณบรุ ี มพี ื้นทที่ ง้ั หมดกตี่ ารางกิโลเมตร ด้วยอะไร
ก. 5,358.01 กโิ ลเมตร
ข. 5,358.02 กโิ ลเมตร ก. ภูเขา
ค. 5,358.03 กโิ ลเมตร ข. แม่นํ้า
ง. 5,358.04 กิโลเมตร ค. ป่าไม้
ง. ถูกทุกขอ้
2. ทรพั ยากรธรรมชาติในจังหวัดสพุ รรณบรุ ี ส่วนใหญ่ 8. อาํ เภอใดในจังหวัดสพุ รรณบรุ ี ทม่ี จี าํ นวน
คอื อะไร ประชากรอาศยั อยทู่ ส่ี ดุ
ก. ดนิ ก. ดา่ นชา้ ง
ข. ปา่ ไม้ ข. ดอนเจดยี ์
ค. แหลง่ นาํ้ ค. บางปลาม้า
ง. แรธ่ รรมชาติ ง. เดมิ บางนางบวช
9. สดุ าอาศัยอยูใ่ นจังหวัดสุพรรณบุรี ต้องการ
3. อําเภอใดตอ่ ไปนี้ สภาพดนิ ไม่เหมาะสมกับปลกู เดินทาง ไปจงั หวดั กาญจนบรุ ี สดุ าตอ้ งเดินทางก่ี
พชื ไร่ กโิ ลเมตร
ก. 90
ก. อทู่ อง ข. 91
ข. ด่านช้าง ค. 92
ค. สองพี่นอ้ ง ง. 93
ง. ศรีประจนั ต์ 10. อาํ เภอสองพีน่ ้องและอําเภอบางปลาม้า มสี ภาพ
4. กษตั รยิ ์พระองค์ใด ทรงเสดจ็ ประพาสจังหวดั เปน็ ทลี่ ุ่ม จงึ เหมาะสมในการประกอบอาชีพอะไร
สพุ รรณบรุ เี ปน็ พระองค์แรก ก. การทําไร่
ก. พระเจา้ อู่ทอง ข. การทาํ นา
ข. สมเดจ็ พระเจ้าตากสินมหาราช ค. การเลยี้ งปลานํ้าจืด
ค. สมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั ง. การทาํ ไร่นาสวนผสม
ง. สมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพ
5. ดอกไม้ประจําจังหวัดสุพรรณบรุ ี คอื อะไร
ก. ดอกคณู
ข. ดอกมะลิ
ค. ดอกเฟ่ืองฟ้า
ง. ดอกสพุ รรณกิ าร์
6. เศรษฐกจิ ของจังหวัดสุพรรณบุรี จดั อยู่ในอันดบั
ทเี่ ทา่ ไรของประเทศ
ก. 40
ข. 41
ค. 42

29

บทท่ี 2 วฒั นธรรม ประเพณใี นจังหวดั สุพรรณบรุ ี

สาระสําคัญ
จงั หวัดสพุ รรณบุรเี ป็นจังหวัดที่มีสาํ เนยี งท้องถนิ่ อนั เป็นเอกลกั ษณ์ของตนเองนอกจากนน้ั ยงั มภี าษาท้องถิ่น

ที่หลากหลายกระจายไปในแต่ละอําเภอ เช่น ภาษาลาวโซ่ง ภาษาลาวเวียง และมีการแต่งกายพ้ืนบ้านตามท้องถิ่น
คือชุดไทยทรงดํา ชุดกระเหร่ียง ชุดลาวโซ่ง มีการอนุรักษ์และสืบทอดวัฒนธรรม ประเพณี วรรณคดีพ้ืนบ้านและ
พระเครื่องเมืองสุพรรณ ท่ีสําคัญของท้องถ่ิน มีบุคคลสําคัญที่สร้างเกียรติประวัติ และสร้างชื่อเสียง ให้กับจังหวัด
สุพรรณบุรี และท่ีสําคญั มคี ณุ ลกั ษณะ อนั พงึ ประสงค์ 11 ประการของคนดีศรีสุพรรณทีช่ าวสุพรรณบุรียดึ ถอื ปฏบิ ตั ิ

ผลการเรยี นรทู้ ่ีคาดหวงั
1. มีความรู้ ความเข้าใจและอธบิ ายถงึ วฒั นธรรม ประเพณใี นจังหวัดสพุ รรณบุรี
2. วิเคราะห์ถึงความแตกตา่ งของการแต่งกายพ้นื บ้านของแตล่ ะทอ้ งถนิ่ ในจังหวดั สุพรรณบรุ ี
3. ยกตัวอยา่ งประเพณีทีค่ วรค่าแกก่ ารอนรุ กั ษ์
4. ตระหนักและเห็นคณุ คา่ ของวรรณคดพี ้ืนบ้านและพระเครอื่ งเมอื งสุพรรณ
5. ตระหนกั ถึงความสาํ คญั ของการอนุรกั ษ์และสบื ทอดวัฒนธรรม ประเพณี วรรณคดแี ละพระเครอ่ื งใน

จังหวัดสุพรรณบรุ ี
6. สามารถสบื ทอดและเผยแพรว่ ัฒนธรรม ประเพณใี นจังหวดั สุพรรณบรุ ี
7. ตระหนักในการประพฤตปิ ฏิบตั ิตน ตามคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 11 ประการของคนดศี รสี ุพรรณ

และสามารถนาํ ไปถา่ ยทอดกบั ครอบครวั ชมุ ชน

ขอบข่ายเนือ้ หา
1. วฒั นธรรม ประเพณขี องจงั หวดั สุพรรณบุรี
2. การอนรุ กั ษแ์ ละสืบทอดวฒั นธรรม ประเพณี
3. บคุ คลสําคญั ทมี่ ีส่วนรว่ มใน การสบื สานวัฒนธรรม ประเพณี ในจงั หวดั สพุ รรณบรุ ี
4. คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 11 ประการของคนดศี รสี พุ รรณ

การจดั กิจกรรมการเรียนรู้
จดั ใหม้ ีการศึกษาค้นคว้า จากสอ่ื เอกสาร ตาํ รา สอื่ อิเล็กทรอนกิ ส์ ภูมปิ ญั ญา และสรปุ ผลการเรยี นรโู้ ดย

นํามาเสนอในรปู แบบต่างๆ

เวลาเรียน 101 ชวั่ โมง

แหลง่ การเรยี นรแู้ ละสือ่ ประกอบการเรียน
- สอื่ สง่ิ พิมพ์
- หอ้ งสมดุ ประชาชน
- อนิ เตอรเ์ นต็

30

- ภมู ิปญั ญาทอ้ งถิ่น/แหล่งเรียนรู้ในชมุ ชน

การวดั ผลละประเมินผล
ประเมินจากแบบทดสอบ การทําโครงงาน การประเมินการมีส่วนร่วมในการทํากิจกรรมและการตรวจ

ผลงานและการรายงาน

31

บทที่ 2 ศลิ ปวัฒนธรรม ประเพณีในจังหวัดสุพรรณบุรี

เรื่องที่ 1 วัฒนธรรมประเพณใี นจังหวัดสุพรรณบุรี

1. ภาษาท้องถิน่
1.1 ภาษาถ่ินสพุ รรณบรุ ี “สําเนยี งเสยี งเหนอ่ เมอื งสุพรรณ”
หากใครได้ไปท่องเท่ียวที่เมืองสุพรรณบุรีแล้วได้พูดคุยสนทนากับคนสุพรรณก็จะได้สัมผัสถึงสําเนียงเสียง

เหน่อท่ีมีเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์ของคนสุพรรณผู้คนท่ีได้ฟังสําเนียงเสียงเหน่อของคนสุพรรณแล้วน้ันบางคนอาจจะ
หลงเสน่ห์ของเสียงเหน่อท่ีไพเราะและดูจริงใจแต่จะมีบางคนที่เห็นเสียงเหน่อของคนสุพรรณเป็นเรื่องตลก น่า
หัวเราะและดูถูก จึงมองว่าภาษาสุพรรณเป็นภาษาบ้านนอก เชย ๆแต่ท่ีจริงแล้วสําเนียงเหน่อไม่ได้มีเพียงแต่คน
สุพรรณเท่าน้ันแต่ยังมีอีกหลายจังหวัดเช่น จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี อ่างทอง นครปฐม ฯลฯ กม็ ีสําเนียงเสียง
เหน่อคล้าย ๆ กนั เวลาทีไ่ ด้พูดคุยไดส้ นทนากบั บคุ คลเหล่านนั้ ก็จะรู้สึกถึงสาํ เนยี งนัน้ ได้โดยง่าย

ในอดตี ตง้ั แต่สมัยกรุงศรอี ยุธยาสําเนียงเหน่อของคนสุพรรณบุรีน้ันเป็นสําเนียงหลวงที่คนในสมัยนั้นใช้เป็น
ภาษาทางการซงึ่ หลักฐานท่ีสามารถใช้ยืนยันสําเนียงเหน่อได้ดีคือ “การพากย์โขน” เพราะโขนนั้นเร่ิมต้นต้ังแต่สมัย
ยุคกรุงศรีอยุธยาจึงต้องใช้สําเนียงเสียงเหน่อแบบคนสุพรรณท่ีจะพากย์เสียงได้อย่างถูกต้องและลงตัวที่สุดต่างจาก
สําเนียงอื่นๆเม่ือนํามาภาคโขนแล้วน้ันอาจจะมีความไพเราะไม่เท่ากับเสียงเหน่อของคนสุพรรณและอีกหนึ่ง
หลักฐานสําคัญก็คือตามประวัติศาสตร์น้ันกษัตริย์เชื้อสายเมืองสุพรรณก็คือ “พระนครินทราธิราชหรือ
เจา้ นครอินทร์” ซ่งึ ท่านสามารถยดึ ครองเมอื งกรุงศรีอยุธยาได้จึงได้ย้ายไปตั้งเมืองที่กรุงศรีอยุธยาและได้ลดบทบาท
เมืองสุพรรณบุรีให้น้อยลงตามด้วยแต่สําเนียงเหน่อไม่สามารถลดบทบาทให้น้อยลงไปได้เพราะเป็นสําเนียงท่ีหลง
ตามตัวมาจึงทําให้คนไทยในสมัยน้ันใช้สื่อสารกันในชวี ิตประจําวันแต่เม่ือได้เปลี่ยนแปลงและย้ายเมืองหลวงมาเป็น
กรุงรัตนโกสินทร์แล้วชาวจีนได้อพยพเข้ามาในประเทศไทยเป็นจํานวนมากทําให้ภาษาเหน่อในอดีตนั้นได้
เปลี่ยนแปลงออกไปเป็นเพียงแค่ภาษาท้องถิ่นส่วนสําเนียงของคนบางกอกในปัจจุบันเกิดจากสําเนียงภาษาเหน่อ
ของเมืองสุพรรณผสมกับภาษาจนี โดยผสมกันจนผิดเพ้ียนจนเกิดภาษาของคนบางกอกหรือภาษาของคนกรุงเทพใน
ปัจจุบันได้ด้วยเหตุน้ีสําเนียงเหน่อของคนสุพรรณจึงเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้ ให้คนไทยรุ่นหลังควรได้
ภาคภมู ใิ จเพราะเปน็ สําเนยี งรากเหงา้ ของประเทศไทย

1.2 ชนชาตติ ่างๆทอี่ าศยั อยใู่ นจังหวดั สพุ รรณบรุ ที าํ ใหเ้ กดิ ภาษาตามมาด้วย คือ
1.2.1 กะเหรี่ยง
ในประเทศไทยมีชาวกะเหร่ียง 1,993 หมู่บ้าน 69,353 หลังคาเรือน ประชากรท้ังส้ินประมาณ

352,295 คน คิดเป็นร้อยละ 46.80 ของจํานวนประชากรชาวเขาในประเทศไทย อาศัยอยู่ใน 15 จังหวัดของ
ภาคเหนอื และภาคตะวันตก ได้แก่ กาญจนบุรี, กําแพงเพชร, เชียงราย, เชียงใหม่, ตาก, ประจวบคีรีขันธ์, เพชรบุรี,
แพร่, น่าน, แม่ฮ่องสอน, ราชบุรี, ลําปาง, ลําพูน, สุโขทัย, สุพรรณบุรี และอทุ ัยธานี คําว่า กะเหรี่ยง กะเร็น
สันนิษฐานว่า มาจากภาษามอญที่ใช้เรียก ชาวปกาเกอะญอ(ส่วนมากเป็นกะเหรี่ยงพุทธ) โดยออกเสียงว่า เกรียง
หรือ เกรียนแปลว่า เรียบ ซ่ึงตรงกับความหมายของคําว่า ปกาเกอะญอ ซ่ึงแปลว่า คนที่มีชีวิตเรียบง่ายสมถะ ใน
ภาษาไทย ใช้คําว่า เกรียง เป็นชื่อเคร่ืองมือช่างปูนที่ใช้ในการฉาบผิวให้เรียบ และ เกรียน คือ ลักษณะของการตัด
ผมอย่างสนั้ เรยี บงา่ ย และอาจมีความเชือ่ มโยงกับ ชือ่ กลุ่มผนู้ ับถือศาสนาพุทธนิกายมหายานท่มี ีอยู่ใน ธิเบต เนปาล
ที่เรียกว่า กะยูปา หรือ ปากะญู ซึ่งมักแต่งกายด้วยชุดสีขาว และมีวิถีชีวิตอย่างเรียบง่ายสมถะ กะเหรี่ยงมีด้วยกัน
หลายกลุ่มย่อย และมชี ือ่ เรยี กต่างๆ กนั ท้ังยังมีประเพณี ความเช่อื ความเปน็ อยทู่ แ่ี ตกต่างกนั ด้วย

32

สุพรรณบุรีมีลักษณะพ้ืนท่ีท่ีเหมาะสมกับการประกอบอาชีพเกษตรกรรม เน่ืองจากต้ังอยู่บริเวณพ้ืนท่ีราบ
ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง ซึ่งเกิดจากการทับถมของตะกอนแม่น้ํา ทําให้พื้นท่ีมีความอุดมสมบูรณ์ แต่ด้วยความ
หลากหลายทางวัฒนธรรมทําให้วิถีการดํารงชีวิตของคนสุพรรณบุรีแตกต่างกันออกไปตามความเช่ือพื้นฐานและ
ค่านิยมด้ังเดิมของกลุ่มชาติพันธ์ุของตน และมีพัฒนาการของการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมอย่างต่อเน่ืองเป็นพลวัต
ประชากรในจงั หวัดสุพรรณบุรีน้ัน ประกอบด้วยประชากรท่ีมคี วามหลากหลายทางชาติพันธ์ุ ไดแ้ ก่ กล่มุ คนไทยเชื้อ
สายลาว ประกอบดว้ ย ลาวเวียง ลาวพวน ลาวครั่ง และลาวโซ่ง กลุ่มคนไทยเชื้อสายกะเหร่ียง กลุ่มคนไทยเชื้อสาย
ละว้า กลุม่ คนไทยเชอ้ื สายเขมร กลุ่มคนไทยเชื้อสายญวณ และกลุ่มคนไทยเช้ือสายจีนในความหลากหลายทางชาติ
พันธุ์ของประชากรในจังหวัดสุพรรณบุรีน้ัน เฉพาะที่อําเภอด่านช้าง ซ่ึงเป็นอําเภอชายแดนของจังหวัดเน่ืองจากมี
อาณาเขตตดิ ตอ่ กับอําเภอบ้านไร่ จังหวัดอทุ ยั ธานีทางด้านทศิ เหนือ ทิศใตต้ ดิ อาํ เภอศรีสวัสด์ิ และอาํ เภอหนองปรือ
จงั หวดั กาญจนบรุ ี และทศิ ตะวันตก ติด อําเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี ปรากฏว่า มีประชากรกลุ่มชาติพันธุ์บน
พื้นท่ีสูง หรือชาวเขา อาศัยอยู่เป็นจํานวนมาก โดยกลุ่มชาวเขาท่ีมีประชากรมากที่สุด ได้แก่ชาวเขาเผ่ากะเหร่ียง
โดยมีจํานวนประชากรทเี่ ปน็ ชาวเขา จําแนกตามกลุ่มชาตพิ นั ธไ์ุ ด้ ดงั นี้

ตารางแสดงจาํ นวนประชากรชาวเขาในเขตพ้ืนทอ่ี าํ เภอดา่ นชา้ งจังหวดั สพุ รรณบรุ ี

ช่อื หมู่บ้าน กลุม่ ชาติพนั ธ์ุ ตําบลองคพ์ ระ หญงิ เด็กชาย เด็กหญิง รวม
ม.1 ท่งุ มะกอก กะเหร่ียง ครวั เรอื น ชาย
ม.2 เขมรโรง กะเหรย่ี ง 49 28 39 161
23 45
22 22 17 23 21 83

ม.1 บา้ นกลว้ ย กะเหร่ียง ตาํ บลวังยาว 129 77 83 427
ม.2 ป่าผาก กะเหรย่ี ง 84 138 52 41 47 187
ม.2 องค์พระ กะเหร่ียง 40 47 96 4 26
ม.4 ละวา้ วงั ควาย ละวา้ 77 263 87 87 693
ม.5 ตะเพนิ ค่ี กะเหรยี่ ง 153 256 45 48 40 203
ม.6 ห้วยหนิ ดํา กะเหร่ยี ง 40 70 72 52 37 239
ม.8 วังยาว2 กะเหรยี่ ง 43 78 24 13 9 67
16 21
ม.10 ละวา้ กกเชียง ละวา้ ตําบลหว้ ยขมนิ้ 124 29 30 347
90 164

ท่ีมาของขอ้ มูล www.kessarasriwichien.blogspot.com
1.2.2 ลาวโซง่
ลาวโซ่งหรอื ผู้ไทย เปน็ ชนชาตไิ ทยกลมุ่ หน่ึงซ่งึ มีช่ือเรียกกันต่างๆ นานาว่าไทยดํา ผู้ไทดํา ไทซงดํา

ผู้ไททรงดํา ลาวทรงดํา ลาวซ่วง ลาวซ่วงดํา ลาวโซ่ง ไทโซ่ง อันมีข้อสันนิษฐานว่า ท่ีมีชื่อเรียกมากมายหลายช่ือน้ันก็
เนื่องมาจากคําว่า "โซ่ง ซ่วง หรือส้วง" ในภาษาลาวโซ่งแปลว่ากางเกง คําว่าลาวโซ่งหรือลาวซ่วงจึงหมายถึงลาว
นุ่งกางเกง หรือหมายถึงผู้ท่ีนุ่งห่มด้วยเส้ือผ้าสีดําน้ันเอง และมีประวัติเล่าสืบทอดกันว่า มีถิ่นฐานเดิมอยู่ทางตอน

33

เหนือของประเทศ ต่อมาได้อพยพย้ายจากถ่ินฐานเดิมลงมา สู่ดินแดนทางตอนใต้ กับตะวันออกเฉียงใต้เร่ือยมา และ
กระจายกันอยู่บริเวณมณทลกวางสี ยูนนาน ตังเก๋ีย ลุ่มแม่น้ําดําและแม่น้ําแดง จนถึงแคว้นสิบสองจุไทย โดยมี
เมืองแถง หรือเดียนเบียนฟู เป็นศูนย์กลางการปกครองตนเองอย่างอิสระ ภายหลังได้อพยพหนีภัยสงครามเข้ามาต้ัง
หลกั แหล่งกระจายกันอยูใ่ นทต่ี ่าง ๆ ในประเทศไทยเป็นจํานวนมาก

1.2.3 ลาวเวียง
ลาวเวียงเป็นชาวนครเวียงจันทร์และเมืองใกล้เคียงท่ีอพยพเข้ามาสู่สยาม ท้ังโดยหนีภัยสงคราม
หนีภัยธรรมชาติ และถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลยสงครามต่างวาระกัน ตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย คนลาวเวียง
แตง่ กายคลา้ ยคนลาวลมุ่ ในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สําเนยี งพูดกค็ ลา้ ยกนั นาํ้ เสียงห้วนและ
ส้ันกว่าคนลาวคั่ง ถูกจัดให้อยู่ในพ้ืนที่อําเภอบ้านโป่งและอําเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี, อําเภออู่ทอง อําเภอด่าน
ช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี แล้วอพยพลงใต้ไปยังอําเภอเขาย้อยและท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี อพยพข้ึนเหนือไปอยู่
จังหวัดอุทัยธานี โดยเฉพาะอําเภอบ้านไร่ และไปอยู่ท่ีกิ่งอําเภอเนินขาม จังหวัดชัยนาท จากนั้นก็ได้กระจายไปยัง
จังหวัดนครสวรรค์ ปะปนกับลาวค่ังในอําเภอบรรพตพิสัย อําเภอลาดยาว อําเภอท่าตะโก และอําเภอไพรสาลี
จังหวัดพิจิตรที่อําเภอสามง่าม และจังหวัดกําแพงเพชรท่ีอําเภอขาณุวรลักษณ์บุรี อําเภอคลองขลุงและอําเภอ
ไทรงาม การอพยพกระจายตัวไปในถ่ินต่างๆ ทําให้กลุ่มชาติพันธ์ุน้ีขาดความสัมพันธ์ระหว่างกันจนถูกกลืนโดย
ประเพณี วิถีชีวิต และวัฒนธรรมท่ีเข้มแข็งกว่าในท้องถ่ินท่ีอพยพเข้าไป จนคนลาวเวียงบางส่วนไม่สามารถสืบสาน
ประเพณี วัฒนธรรมและวิถีชีวติ แบบลาวเวียงของตนได้อยา่ งตอ่ เนื่อง
2. การแต่งกายพื้นบ้านตามทอ้ งถน่ิ
2.1 การแตง่ กายของชาวลาวโซง่ (ไทยทรงดาํ )
ชายแตง่ กายมกี างเกง 2 แบบ
แบบท่ี 1 สว้ งเต้น หรอื ส้วงกอ้ น ลักษณะเป็นกางเกงขาสั้นปลายขาแคบ เรียวยาวแค่ใตเ้ ขา่ สว่ นเอวกวา้ งแบบ
กางเกงจนี ตดั เยบ็ มตี ะเขบ็ ไทยทรงดําสวมใสส่ าํ หรับทํางานทั่วไป
แบบท่ี 2 ลักษณะเป็นกางเกงขายาว เช่นเดยี วกับกางเกงขาส้ันแตม่ ีขายาวถึงตาต่มุ ชดุ นีส้ าํ หรบั ใช้ในพธิ สี าํ คญั และ
เทศกาลต่างๆ เชน่ การเล่นคอนฟ้อนแคน
เสอื้ มี 2 แบบ
แบบท่ี 1 ลกั ษณะเปน็ เสือ้ มแี ขนยาวทรงกระบอกแคบ ผ่าหน้าตลอดติดกระดุมเงินยอดแหลมมีลวดลาย กระดุมติด
เรียงกันประมาณ 10 - 20 เม็ด ตัดเย็นเข้ารูป คอตั้งไม่มีปกแบบคอจีนจาํ้ เอวและใช้ผา้ เสริมตะเข็บ ท้ังสองข้างใต้
เอวให้ชายเสอ้ื ถา่ งออกตรงรอยผา่ สาบเสอ้ื ด้านล่างแหวกออกให้หา่ งกัน เส้ือซอนมักสวมใสเ่ พ่อื ใช้ในงานพธิ มี ากกวา่
การทํางานอยูก่ ับบ้าน
แบบท่ี 2 เสอื้ ชุดใหญใ่ ชใ้ นงานพธิ สี ําคญั ตัดเยบ็ ดว้ ยผา้ ฝา้ ยสดี ําประดบั ตกแตง่ ดว้ ยผา้ ไหมชน้ิ เล็กๆ สีแดง สสี ม้ สขี าว
สเี ขยี ว ตรงสาบชายเส้อื ปลายแขน ใตร้ กั แร้ และเหนือรอยผ่าทงั้ สองดา้ น ตวั เสอ้ื คลมุ ยาวถึงเข่าผ่านหน้าป้ายทับไป
ทางซ้ายมีกระดมุ ติดทีห่ น้าอกและเอวคอต้ังกุ๊นด้วยผ้าสีไม่มีปก แขนเส้ือยาวแคบ ด้านในของเส้ือเม่ือกลับด้านออก
จะเป็นดา้ นทมี่ สี ีสันหลากสี เพราะมีการตกแต่งด้วยผ้าสีต่างๆ ท่ีบริเวณสาบเสื้อ ชายเส้ือ และปลายแขนเสื้อด้านใน
ของเส้อื นจ้ี ะนําออกมาใช้กต็ ่อเมอ่ื ตนเองตาย โดยญาติสวมใส่ใหเ้ ป็นการแตง่ ตวั ศพเท่าน้ัน
เสือ้ นใี้ ชส้ วมทบั เส้ืออ่ืนทใ่ี สอ่ ยู่ก่อนแล้ว ผชู้ ายจะตอ้ งมีเสอื้ ตวั น้ีอยา่ งนอ้ ย 1 ตวั
สตรีนุ่งผ้าซ่ินเป็นผ้าถุงสีดํา พื้นมีลายเป็นเส้นสีขาวขนาดเล็กยาวตามแนวตั้ง ทอด้วยเส้นด้ายสีดํา สลับ
ด้วยสีขาวหรือฟ้าอ่อน ผ้าซิ่นประกอบด้วยผ้า 3 ช้ินต่อกัน ช้ินที่ 1 เรียกว่า หัวซ่ิน มีสีดําล้วนไม่มีลวดลาย
ช้ินท่ี 2 เรียกว่า ตัวซ่ิน มีพ้ืนสีดําลายสีขาวเป็นทางลง ลายเส้นสีขาวสลับกันระหว่างเส้นใหญ่กับเส้นเล็ก

34
ชนิ้ ท่ี 3 เรียกวา่ ตนี ซน่ิ มีลวดลายละเอยี ดเปน็ ทางสีขาวยาวตลอดเส้น 2-3 ทาง ถ้าสามีตายจะต้องเลาะตีนซิ่นออก
เพือ่ เป็นการไวท้ กุ ข์ เมอ่ื ออกทุกขจ์ ึงจะนาํ ตนี ซนิ่ มาเยบ็ ติดกันใหม่

2.2 การแตง่ กายของชาวลาวเวยี ง
การแต่งกายแบบลาวเวียงและลาวกลาง เสื้อผ้าเย็บด้วยผ้าไหม เพราะอาชีพดั้งเดิม คือการปลูกหม่อน
เลี้ยงใหม แล้วนํามาตัดเย็บเสื้อผ้าของตนเอง ผู้หญิงจะนุ่งผ้าซ่ิน มีผ้าสไปเฉียง เกล้มผม ต่อมาลูกหลานชาวไทย
ลาวเวยี ง ได้มีการพัฒนการแตง่ กายตามสมัย ปจั จุบันทั่วๆไปซงึ่ ในปจั จบุ นั จะหาดูการแต่งการแบบชาวไทยลาวเวียง
ไดย้ ากนอกจากในเทศกาล ในการทําบุญวนั สําคญั ตา่ งๆทางศาสนา เชน่ วนั สงกรานต์ วันสารทลาว เป็นตน้

2.3 การแตง่ กายของชาวกะเหรี่ยง
การแต่งกายของชาวกะเหร่ียงเด็กผู้หญิงและหญิงสาวพรหมจารีจะใส่เสื้อกระโปรงติดกันยาวถึงข้อเท้า
คอวี ช่วงคอและชายกะโปรงจะปกั เดนิ เส้นเป็นสีสนั สดใส ส่วนใหญจ่ ะเป็นสชี มพู แดง แสด มีพู่หอ้ ย หญงิ ที่แตง่ งาน
แล้วใส่เสื้อคอวีทรงกระสอบตัวส้ันแค่สะโพกสีแดง บานเย็น หรือสีอื่น ๆ มีพู่ห้อย นุ่งผ้าซ่ินยาวคลุมข้อเท้าสีสดใส
เช่นเดียวกัน บางครั้งผู้หญิงจะมีผ้าโพกศีรษะ สําหรับผู้ชายจะใส่เส้ือสองแบบ คือเสื้อทรงกระสอบ คอวีคล้ายของ
ผ้หู ญงิ หรือใสเ่ ส้อื เชต้ิ นงุ่ โสรง่ สว่ นใหญจ่ ะเปน็ ลายตารางสีบานเย็นกับสีดํา

35

3. อาหารประจําท้องถิ่นของจงั หวัดสพุ รรณบรุ ี
จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นเมืองอู่ข้าวอู่นํ้า อาหารข้ึนชื่อจึงเป็นผลิตผลทางการเกษตรและการประมงน้ําจืด

สมกบั คํากลา่ วท่วี ่า
“นํา้ ตาลสามชกุ ปลาดกุ บางปลามา้
ปลารา้ สองพนี่ อ้ ง อ่ทู องเหด็ ฟาง

เดิมบางหน่อไม้ แหว้ หวั ใหญ่ศรปี ระจนั ต์
แตงโมหวานมนั ดอนเจดยี ์ กะหล่าํ ปลีดา่ นชา้ ง” 

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

36

สุดยอดอาหารอรอ่ ยเมืองสพุ รรณบรุ ี
กุง้ แม่นาํ้ หลายๆ คนคงคดิ ถงึ กงุ้ ตวั โตจากจงั หวดั พระนครศรีอยุธยา แต่ทจ่ี งั หวดั สพุ รรณบรุ เี มนเู รือ่ งกุ้ง

ก็เป็นท่โี ดดเด่นไมแ่ พ้กัน โดยเฉพาะเมนู กงุ้ แมน่ ํ้าทอดเกลือ กลนิ่ หอมๆ เนอื้ สดหวานเตม็ คาํ มันกุ้งเตม็ หวั เอามา
คลุกข้าวร้อนๆทีเดด็ อย่ทู ี่นํา้ มนั ด้วย เพราะมมี นั ก้งุ ผดั อย่ใู นนํ้ามัน

ส่วนปลาที่มีช่ือเสียงมากของจังหวัดสุพรรณบุรีอย่างปลาม้าที่ถึงข้ันมีอําเภอช่ือบางปลาม้าปลาชนิดน้ี
สามารถส่งเสียงร้องได้เหมือนม้าจึงเป็นที่มาของชื่อมีปริมาณชุกชุมมากท่ีจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นปลาท่ีมีรสชาติ
อร่อยเนื้อละเอียด หวานมันนุ่มปาก แถมประกอบอาหารได้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นปลาม้าแดดเดียว ปลาม้าทอด
กระเทียม ปลาม้าทอดสมุนไพรกรอบ ปลาม้าน่ึงมะนาวและยังเป็นที่นิยมในการทกระเพาะปลา เพราะมีกระเพาะ
ขนาดใหญ่

37

ผดั ดอกชมจันทร์
สําหรับบ้านดงเย็นนั้นอยู่ในพื้นท่ีพิเศษเมืองโบราณอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรีที่ทางองค์การบริหาร

การพัฒนาพ้ืนทีพ่ เิ ศษเพอ่ื การท่องเท่ยี วอยา่ งยง่ั ยนื (อพท.) ได้เข้ามาใหก้ ารสนับสนุนในเรอ่ื งของการท่องเท่ียวโดยมี
การจดั ต้งั กลุ่มวสิ าหกจิ ชมุ ชนดงเย็นเพ่ือนพ่ึงภาฯเป็นเครือข่ายการปลูกพืชผลทางการเกษตรโดยไม่ใช้สารเคมีใช้นํ้า
หมกั ตามธรรมชาติ มีท้งั ผกั สด และผลไม้ ซึง่ เปน็ การเกษตรแบบพงึ่ ตนเองจึงทาํ ใหท้ ี่น่มี ีพืชผักมาบริโภคกันตลอดทั้ง
ปีและแน่นอนว่าการมาบ้านดงเย็นของเราน้ันนอกจากจะได้มาดูการเกษตรของชาวบ้านแล้วเรายังได้มาล้ิมรสฝีมือ
การทําอาหารพ้ืนถิ่นของชาวบ้านในพื้นที่กันถึงบ้านของชาวบ้านเลยทีเดียวซึ่งเมนูเด่นจานหลักท่ีชาวบ้านทําให้เรา
กนิ ก็คือ “ผัดดอกชมจนั ทร์”โดยชาวบ้านจะก็เก็บดอกชมจันทร์สด ๆ (ดอกชมจันทรจ์ ดั อยใู่ นประเภทของไม้เล้ือยที่
นยิ มปลูกเป็นไมป้ ระดับมาก่อนแต่ปัจจุบันนิยมนํามาประกอบอาหาร) จากต้นมาล้างนํ้าให้สะอาดจากน้ันตั้งกระทะ
ใส่น้ํามันให้ร้อน นํากระเทียมสับใส่ลงไปเจียวให้หอมเหลืองและนําดอกชมจันทร์ที่ล้างนํ้าไว้ลงไปผัด ปรุงรสด้วย
ส่วนผสมต่างๆผัดให้เข้ากันอีกที จากน้ันตักใส่จานเป็นอันพร้อมเสิร์ฟดอกชมจันทร์สีเขียวอ่อน ให้รสสัมผัสคล้ายๆ
ผักบุ้ง ไมม่ กี ล่ินออกรสหวานนิดๆ กนิ รอ้ นๆ กบั ข้าวสวย

รา้ นสาลี่เอกชยั
"ร้าน เอกชัย" เดิมเป็นร้านขนมเล็กๆ ท่ีถือกําเนิดขึ้นในตลาดทรัพย์สิน เม่ือปี 2511 จากร้าน 1 คูหา

ที่ผลิตขนมอยู่ไม่ก่ีชนิดนัก กลายมาเป็นร้านต้นตํารับความอร่อย ของขนมสาล่ีสุพรรณ ท่ีมีเอกลักษณ์ ท้ังในด้าน
รสชาติ และความนุ่มเนียนของเนื้อขนม อันเป็นจุดเด่นของ "สาลี่เอกชัย" จนได้รับเคร่ืองหมายรับประกันคุณภาพ
ความอร่อย "เชลล์ชวนชมิ " จาก ม.ร.ว. ถนัดศรี สวัสดวิ ฒั น์ เมอื่ ปี 2523

38

ปัจจุบัน เอกชัย สาลี่สุพรรณ เป็นโรงงานผลิตขนม ขนาดใหญ่ และทันสมัย พร้อมระบบการบริหาร
คณุ ภาพสากล และมาตรฐาน GMP & HACCP สําหรบั โรงงานอาหาร เพื่อก้าวสู่ระดับนานาชาติ รวมถึงอาคารศูนย์
รวมของฝากทรงไทยประยุกต์ ริมถนนสายบางบัวทอง-สุพรรณบุรี ท่ีเป็นแหล่งรวมสินค้าของ "เอกชัย" ทุกชนิด
และของฝากจากทุกภาค

ต้งั ก้ยุ กี่ รา้ นจนั อบั ขนมเปี๊ยะตลาดเก้าห้อง
สําหรับขนมเปี๊ยะของตลาดเก้าห้อง ตลาดเก่าโบราณ อําเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นหนึ่งใน

ของดี ของเด่น ที่สร้างช่ือให้ตลาดเก้าห้อง เพราะพ่อค้า แม่ค้า จากหลายๆ พ้ืนท่ีเกือบท่ัวประเทศต่างมุ่งหน้ามาสั่ง
ขนมเปย๊ี ะจากตลาดเกา้ ห้องแห่งน้ี ซ่งึ ร้จู ักกนั ในช่ือขนมเป๊ยี ะ“ต้งั กุย้ กี่ (ร้านจันอับ)” ของ นายสุชาติ วจที องรัตนา

ขนมตาลเมอื งสพุ รรณ
ถ้านึกถึงขนมของสุพรรณบุรี หลายคนต้องคิดถึงขนมสาลี่ ขนมลูกเต๋า จริงๆแล้วที่น่ีมีขนมหลายอย่างที่

อร่อยและหลายคนไม่รู้จัก แต่ถ้าใครเคยไปเที่ยวตลาดร้อยปีของที่นี่คงเห็นขนมแปลกอย่างหน่ึงที่เค้าขายเรียกว่า
ขนมไข่ปลาเป็นขนมพ้ืนเมือง ซึ่งมีขายที่สุพรรณเท่าน้ัน เวลาทานแล้วจะได้กลิ่นหอมของลูกตาลสุก
เพราะขนมน้เี ค้าใช้ลกู ตาลสกุ ยเี อาแต่เน้อื ตาล มาผสมแปง้ แล้วปั้นเอาไปน่งึ เสร็จแลว้ ก็แช่ในน้ําเช่ือม เวลาจะทาน
ก็ตักออกมาคลุกกับมะพร้าวทึนทึกขูด นอกจากนี้ขนมบางเจ้าที่เค้าขายก็มีแบบรสเผือกด้วย โดยใช้เผือกแทนลูก
ตาลมนั จะเปน็ สีขาวๆ

39
4. ประเพณที ส่ี ําคญั ของทอ้ งถิ่น

4.1 ประเพณตี กั บาตรกลางนํา้ อาํ เภอบางปลามา้ จังหวดั สพุ รรณบรุ ี
ตําบลบ้านแหลมและตําบลตะค่าอําเภอบางปลาม้ามีประเพณีงานบุญที่ได้จัดทํามาแล้วประมาณกว่า 100
ปีคือการตักบาตรพระสงฆ์กลางลํานํ้าแม่นํ้าท่าจีนบริเวณหน้าตลาดคอวังผ่านหน้าวัดเจ้าขาวไปจนถึงวัดป่าพฤกษ์
โดยพระสงฆ์จากวัดต่าง ๆ ซึ่งอยู่ริมฝ่ังแม่นํ้าท่าจีนจะพายเรือบิณฑบาตและชาวบ้าน 2 ฝ่ังแม่นํ้าก็จะพายเรือ
ใสบ่ าตรเชน่ เดียวกันประเพณีงานบญุ ดังกลา่ วนไ้ี ด้ปฏิบัตสิ ืบทอดกันมาเริ่มกันเม่ือใดไม่มีผู้ใดทราบแต่ผู้สูงอายุเล่าว่า
เกิดมาก็เห็นการตักบาตรกลางน้ําน้ีแล้วซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเวลานานถึง 100 ปี โดยจะถือเอา วันแรม 12 คํ่าเดอื น
12 เปน็ วนั ใสบ่ าตร

4.2 ประเพณชี กั พระเลน่ เพลง ณ วัดป่าพฤกษ์ อําเภอบางปลามา้ จงั หวดั สพุ รรณบรุ ี
ในอดีตชาวชุมชนตําบลบ้านแหลม ตําบลตะค่า ของอําเภอบางปลาม้ามีการทําบุญตักบาตรที่วัด
ในเขตหมู่บ้านทุกๆ วันธรรมสวนะ (วันพระ)เป็นประจํา จนถึงฤดูเก็บเก่ียวข้าวประมาณเดือน พฤศจิกายน
ประชาชนจะหยุดทําบุญ เพราะจะต้องย้ายออกไปอยู่ท่ีโรงนาเพื่อการเก็บเกี่ยวธัญญาหารเป็นเวลา 2 เดือนแต่ด้วย
แรงศรัทธาแม้ไม่ได้มาทําบุญตักบาตรท่ีวัดในวันพระหรือตักบาตรในตอนเช้าเหมือนเช่นเคยปฏิบัติเพราะต้อง
ไปนอนอยู่ที่โรงนาจึงคิดกันว่าควรจะจัดทําบุญตักบาตรครั้งย่ิงใหญ่โดยประชาสัมพันธ์สื่อสารบอกกันให้มารวม
ทําบุญตักบาตร ข้าวสารอาหารแห้งเพ่ือถวายพระจะได้เก็บเก่ียวไว้ในขณะท่ีพวกตนไม่อยู่บ้านเป็นเวลานาน 2
เดือน การจัดกิจกรรมดังกล่าวเป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมว่าด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีโดยการยึดถือปฏิบัติ
สืบทอดต่อกันมายาวนานถึง 80 ปี การจัดงานดังกล่าวอยู่ในระหว่างวันเสาร์ – อาทิตย์ท่ี 3 ของเดือนพฤศจิกายน

40

ของทุกปีซ่ึงเป็นฤดูนํ้าหลากที่ยังทรงอยู่ในการสัญจรคมนาคมทางนํ้าโดยสะดวกเริ่มต้นขบวนที่บริเวณท่าน้ํา
ริมเข่ือนวัดป่าพฤกษ์สิ้นสุดท่ีบริเวณตลาดคอวัง ตําบลบ้านแหลม อําเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี ลักษณะ
กิจกรรมโดยจะนําเรือซึ่งทุกบ้านใช้เป็นพาหนะมาจอดลอยลําต่อกันสองฟากฝ่ังแม่นํ้าท่าจีนและพระสงฆ์ที่มารับ
บิณฑบาตจะมีประชาชนและเด็กผู้ชายคอยอํานวยความสะดวกในการพายเรือให้และคอยรับสิ่งของท่ีได้จากผู้มี
จติ ศรทั ธาถวายใสบ่ าตรซง่ึ เป็นภาพทหี่ าชมได้ยากในยุคปจั จบุ ัน

ต่อจากน้นั ก็จะมีประเพณเี ล่นเพลงเรอื และจดั แขง่ เรือพื้นบา้ นอันเป็นการสร้างสรรคค์ วามสามัคคขี องคนใน
หมู่บ้านพระสงฆ์ที่มารับบิณฑบาต มีจํานวน 190 – 200 รูปนับเป็นประเพณีวัฒนธรรมโบราณของคนในท้องถ่ินที่
ยังคงมีการจัดงานบุญประเพณี “ตักบาตรกลางนํ้า” ของชาวตาํ บลบ้านแหลม ตําบลตะค่าและตําบลใกล้เคียงใน
เขตอาํ เภอบางปลามา้ ท่มี ีแห่งเดยี วในจงั หวดั สุพรรณบุรี

4.3 ประเพณยี กธงสงกรานต์ตาํ บลหนองกระทมุ่ ณ วดั หนองกระทมุ่ และวดั บอ่ กรุ อาํ เภอ
เดมิ บางนางบวช จงั หวดั สพุ รรณบรุ ี

ปจั จุบันงานประเพณียกธงสงกรานต์ย่ิงใหญ่ ณ วัดหนองกระทุ่ม และวัดบ่อกรุซ่ึงจัดกันมาเป็นประจําทุกปี
เป็นความเช่ือของชาวบ้านว่าเมื่อทําพิธียกธงสงกรานต์แล้วจะทําให้คนในชุมชนมีความสุขความเจริญและมีความ
อุดมสมบูรณ์ ในทุกๆ เร่ือง การประกอบอาชีพทางการเกษตรจะได้ผลผลิตดี ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาลหมู่บ้าน
หนองกระทุ่ม ชุมชนเข้มแข็ง แหล่งภาษาลาวคร่ังโด่งดังประเพณียกธง มั่นคงผ้าทอมือ เล่ืองลืองานหลวงพ่อบุญวัด
หนองกระทุ่มจัดงานในวันท่ี 18 เมษายน ของทุกปีช่วงเย็นของวันท่ี 17 เมษายน ชาวบ้านเริ่มตกแต่งประดับธง
พร้อมผ้าธง ตามคุ้มของแต่ละบ้านกันอย่างสวยงามและต้ังกองผ้าป่าหางธงเพ่ือนําเงินถวายวัดหนองกระทุ่มหรือ
เรยี กวา่ วันรวมญาติ นาํ พระพุทธรปู มาสรงนํา้ ด้วยขม้ินจะมขี บวนแหด่ อกไมท้ กุ วนั มีการร้องรําทาํ เพลงของชาวบา้ น
วันที่ 18 เมษายนเป็นประเพณียกธงสงกรานต์ ขบวนแห่คันธงการแข่งขันเสาธงของแต่ละคุ้มว่าคุ้มไหนเสาธง
สงกรานต์มีขนาดใหญ่และยาวมากท่ีสุดทําพิธีสรงนํ้าหลวงพ่อบุญ พระสงฆ์ และรดนํ้าขอพรผู้สูงอายุแห่คันธงรอบ
โบสถ์ และวดั บ่อกรจุ ดั งานในวันที่ 19 เมษายนของทุกปี ชมขบวนแห่หลวงพ่อดํา หลวงพ่อมณเฑียรและแห่ดอกไม้
รอบหมู่บ้าน ชมขบวนแหค่ ันธงของแตล่ ะหมู่บา้ น

41

4.4 อนสุ รณด์ อนเจดยี แ์ ละงานกาชาดจังหวัดสุพรรณบรุ ี ณ บรเิ วณพระบรมราชานสุ รณ์ดอนเจดีย์
อําเภอดอนเจดีย์ จังหวดั สพุ รรณบรุ ี

จังหวัดสุพรรณบุรี ร่วมกับหน่วยงานในภาครัฐและเอกชนกําหนดจัดงาน “อนุสรณ์ดอนเจดีย์และงาน
กาชาดจังหวัดสุพรรณบุรี ณ บริเวณพระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ อําเภอดอนเจดีย์จังหวัดสุพรรณบุรี เพ่ือเชิดชู
วีรกรรมอันย่ิงใหญ่ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชโดยนําเสนอเร่ืองราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทยและร่วม
รําลึกถึงสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชทส่ี ามารถกอบก้เู อกราชให้ชาตไิ ทยมีความเป็นอิสระมาจนทุกวันนี้ตลอดจนเป็น
การส่งเสริมการท่องเท่ียวในจังหวัดสุพรรณบุรี รูปแบบการจัดกิจกรรมบริเวณศาลาสถิตยุทธการ (สมัยก่อนจัด
แสดงอาวุธของกองทัพต่อมาเปล่ียนเป็นร้านขายเส้ือผ้า)แต่ในปัจจุบันได้เปล่ียนมาเป็นอาคารจัดการแสดง มนต์
เมืองฝันสุพรรณบุรี 3D ด้านในศาลาเป็นจุดถ่ายรูปแบบ 3D 10 จุดการสาธิตการทําขนมไทยโบราณ หาทานได้
ยากมีการจําหน่ายผลิตภัณฑ์ของดีจากสิบอําเภอจัดเต็มท้ังระบบไฟ แสง เสียงนอกศาลาจัดเป็นมุมพักผ่อนสบายๆ
บนแคร่ไม้ไผ่มีสตูดิโอถ่ายรูปสไตล์ย้อนยุคเป็นทหารยุคสมเด็จพระนเรศวรมหาราชบริการวาดภาพให้นักท่องเท่ียว
แสดงผลงานภาพเรารักในหลวง และเนรมิตหน้าศาลาบางส่วนโดยการเพ้นท์สีลงบนถนนให้มีความลุ่มลึกแบบ 3
มติ ิ ชมการแสดงต่างๆ ในแตล่ ะวนั อาทเิ ช่น การแสดงของวิทยาลัยนาฏศิลป์สุพรรณบรุ ี การแสดงโปงลางการแสดง
เพลงอีแซว การประกวดร้องเพลงลูกทุ่งไทยการแสดงโขน การประกวดสุนทรพจน์ด้วยสําเนียงเหน่อการแสดง
ดนตรีของกองทัพ การชกมวยไทยการประกวดธิดาดอนเจดีย์ การแสดงดนตรีสตริง และลูกทุ่งจากศิลปินชื่อดัง ณ
เวทกี ลาง

42

4.5 งานเทศกาลสมโภชและนมสั การหลวงพอ่ วดั ปา่ เลไลยก์
ต้ังอยู่ท่ีริมถนนมาลัยแมน ตําบลรั้วใหญ่ ที่วัดแห่งนี้ประชาชนนิยมมานมัสการ “หลวงพ่อโต” ซ่ึง
ประดิษฐานอยู่ในวิหารสูงเด่นเห็นแต่ไกล เป็นพระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์ ศิลปะสมัยอู่ทองสุพรรณภูมิมีลักษณะ
ประทับน่ังห้อยพระบาท พระหัตถ์ซ้ายวางควํ่าบนพระชานุ พระหัตถ์ขวาวางหงาย บนพระชานุอีกข้างหน่ึงในท่า
ทรงรับของถวาย องค์พระสูง 23.46 เมตร รอบองค์ 11.20 เมตร มีนักปราชญ์หลายท่านว่า หลวงพ่อโตเดิมคงเป็น
พระพุทธรูปปางปฐมเทศนา สร้างไว้กลางแจ้งเหมือนพระพนัญเชิงในสมัยแรกๆ เพราะมักจะพบว่า พระพุทธรูป
ขนาดใหญ่ที่สร้างในสมัยก่อนอยุธยาและอยุธยาตอนต้น ส่วนมากชอบสร้างไว้กลางแจ้งเพ่ือให้สามารถมองเห็นได้
แต่ไกล ภายในองค์พระพุทธรูปนี้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ได้มาจากพระมหาเถรไลยลายจํานวน 36 องค์ หลวง
พ่อโตเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนในจังหวัดสุพรรณบุรีและจังหวัดใกล้เคียง ทุกปีจะมีงานเทศกาลสมโภชและ
นมัสการหลวงพอ่ วัดปา่ เลไลยก์ 2 ครงั้ คือ ในวนั ขนึ้ 7-9 ค่าํ เดือน 5 และเดือน 12
4.6 งานนมสั การพระพทุ ธไสยาสน์ (วดั เขาพระศรสี รรเพชญาราม)
ตั้งอยู่ที่ถนนมาลัยแมน ในตัวอําเภออู่ทอง เป็นวัดเก่าแก่ สันนิษฐานว่าต้ังแต่สมัยทวารวดี เพราะมี
โบราณวตั ถุหลายชิน้ เช่น พระพทุ ธไสยาสน์ พระพุทธรปู ปางตา่ ง ๆ ซ่ึงสลักจากเนื้อหิน เทวรูปจักรนารายณ์เน้ือหิน
บนยอดเขาพบซากเจดีย์อยุธยา 1 องค์ และยังมีรอยพระพุทธบาทจําลองแกะสลักด้วยหินเขียวธรรมชาติ
ประดิษฐานไว้ในมณฑปบนยอดเขาอีกดว้ ย ทุกปีมงี านนมสั การพระพุทธไสยาสน์ 2 ครั้ง คอื วันข้ึน 15 คํ่า และแรม
1 คํา่ เดอื น 12 กบั วนั ขึน้ 14-15 ค่าํ และแรม 1 ค่ํา เดือน 5
4.7 ประเพณกี าํ ฟา้
เป็นวัฒนธรรมเก่าแก่ของไทยพวน แบ่งเป็น 2 ช่วงคือวันขึ้น 3 และ 7 คํ่า เดือนกุมภาพันธ์ วันกําฟ้าจะ
หยุดทํางานและเตรียมอาหารขนมหวาน คือ ข้าวหลาม นําไปถวายพระ เม่ือถึงกลางคืนจะมีงานเลี้ยงฉลอง
ประเพณีน้ี ยงั คงมีอยูใ่ นหม่บู ้านไทยพวน
4.8 ประเพณแี ต่งงานของไทยโซ่ง
พิธแี ต่งงานดง้ั เดมิ ของไทยโซง่ ตําบลสวนแตง อาํ เภอเมอื ง ตาํ บลบา้ นดอน ดอนมะเกลอื หนองแดง อาํ เภอ
อู่ทอง หลังจากที่ไดร้ บั อนญุ าตจากฝ่ายเจา้ สาวแลว้ เจา้ บา่ วจะจัดงานในวนั ขน้ึ 1 ค่าํ จนถึง 13 ตํ่าของเดอื นมีนาคม
พฤษภาคม กรกฎาคม และ พฤศจิกายน

43

4.9 ประเพณบี ุญบ้งั ไฟ
จดั ขึน้ ในหมูไ่ ทยพวน ไทยเวียง ตรงกับวันข้นึ 15 ค่ํา เดือนพฤษภาคม เพื่อเป็นการบชู าเทวดาให้ฝนตกตาม
ฤดูกาล มีการจัดเตรียมบั้งไฟแห่แหนไปวัดและยิงบั้งไฟท่ีวัด ปัจจุบันยังคงหาดูได้ในตําบลต่างๆ ในอําเภออู่ทอง
และอาํ เภอบางปลาม้า
4.10 งานเทศกาลทิง้ กระจาด
กําหนดจดั งานหลังสารทจีนไป 3 วนั เร่ิมวันที่ 18 เดอื น 7 ของจนี ตรง กบั เดอื น 9 ของไทย ราวเดอื น
สิงหาคม-กันยายน สถานทจ่ี ดั งานอย่ใู นเขต เทศบาล ตง้ั แตส่ มาคมตงฮ้วั ฮ่วยก้วง จนถึงดา้ นหลงั เทศบาลเมอื งฯ

5. วรรณคดขี นึ้ ช่ือของสุพรรณบรุ ี
ขนุ ชา้ ง-ขนุ แผน
เป็นวรรณกรรมอมตะไทยมาช้านานตามประวัติกล่าวว่านักขับเสภาครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นผู้แต่ง ( เสภาคือ

หนังสือกลอนโบราณท่ีนําเอานิทานมาแต่งเป็นกลอนสําหรับขับลํานํา ) แต่เหลือมาถึงกรุงรัตนโกสินทร์บางตอน
พระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลิศล้านภาลัยรัชกาลที่ 2 จึงโปรดให้เหล่ากวีในพระราชสํานักแต่งขึ้นใหม่รวมท้ังพระองค์
ท่านเองทรงพระราชนิพนธ์ตอน "พลายแก้วเป็นชู้กับนางพิม"ตอน "ขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง"และตอน "เข้าห้อง
แก้วกิริยาและพาวันทองหนี"รัชกาลท่ี 3 ทรงพระราชนิพนธ์ตอน "ขุนช้างตามวันทอง"บรมครูสุนทรภู่แต่งตอน
"กําเนิดพลายงาม"ต่อมาครูแจ้งในรัชกาลท่ี 4 แต่งตอน "กําเนิดกุมารทอง"ตอน "ขุนแผนพลายงามแก้พระท้ายน้ํา"
และตอน "ขนุ แผนพลายงามสะกดเจ้าเมืองเชียงใหม"่

ที่มาของเรื่องกล่าวกันว่าเป็นจริงตามนิทานพ้ืนบ้านเกิดข้ึนในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ระหว่าง
พ.ศ. 2034 -2072 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ถูกสมมุติพระนามในเสภาว่า "พระพันวษา"เนื้อเรื่องเอาเกร็ด
ประวัติศาสตร์ตอนไทยทําสงครามกับเชียงใหม่และล้านช้าง แล้วเอามาผูกเข้ากับวิถีชีวิตของชาวเมืองสุพรรณและ
กาญจนบุรีโดยเฉพาะการชิงรักหักสวาทของ 1 หญิง 2 ชาย คือนางพิมพิลาไลยหรือนางวันทองขุนแผนหรือพลาย
แก้ว และขนุ ช้างอรรถรสทางด้านภาษาและเนอ้ื หาเปน็ วถิ ีชวี ติ วฒั นธรรมของคนยคุ สมัยน้ันจนเป็นวรรณกรรมอมตะ
มาจนถึงทกุ วันนี้
เรอ่ื งยอ่

เรื่องขุนช้างขุนแผนเขยี นขึน้ โดยมเี ค้าโครงเร่ืองจริงตามหนังสือคําให้การชาวกรุงเก่ากล่าวว่ามีกษตั ริย์ใน
สมัยกรุงศรีอยุธยาพระองค์หน่ึงทรงพระนามว่าพระพันวษาคร้ังหน่ึงเกิดสงครามกับนครเชียงใหม่เน่ืองจากพระเจ้า
โพธิสารราชกุมารเจ้าเมืองเชียงใหม่ไม่ชอบท่ีพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตลานช้างมาเป็นมิตรกับอยุธยาจึงยกทัพมา
แย่งชิงพระธิดาแห่งลานช้างไปพระพันวษาทรงพระพิโรธจึงมีราชโองการส่ังให้เตรียมทัพและตรัสกับพระหม่ืนศรี
มหาดเล็กให้เลือกทหารท่ีมีฝีมือมารบซ่ึงในบัดนั้นผู้ที่จะเก่งกล้าเกินกว่าขุนแผนน้ันไม่มีแต่พระหมื่นศรีมหาดเล็กทูล
พระพันวษาว่าขุนแผนยังอยู่ในคุกพระพันวษาก็ทรงระลึกได้ถึงขุนแผนที่ถูกจองจําอยู่ในคุกจึงทรงพระกรุณาโปรด
ให้ขุนแผนพ้นโทษโดยเร็วและแต่งตั้งขุนแผนเป็นแม่ทัพออกรบก่อนท่ีขุนแผนจะออกรบได้แวะท่ีเมืองพิจิตรเพื่อรับ
ดาบและม้าวิเศษประจําตัวขุนแผน (ดาบฟ้าฟ้ืนและม้าสีหมอก)ท่ีฝากไว้กับพระพิจิตรและขุนแผนก็สามารถตี
กองทัพเชียงใหม่จนแตกพ่ายในคําให้การชาวกรุงเก่ามีเรื่องขุนช้างขุนแผนปรากฏอยู่เท่าน้ีเห็นได้ว่าไม่ตรงกับเรื่อง
ขุนช้างขุนแผนที่เราขับเสภากันอยู่เพราะเรื่องน้ีนํามาเล่าเป็นนิทานนานมาแล้วและยังแต่งเป็นกลอนเสภาอีก
สนั นษิ ฐานได้ว่าคงมกี ารตกแตง่ เร่ืองให้แปลกสนกุ สนานและยาวยิง่ ข้ึน

44

ขุนช้างขนุ แผน ณ เมืองสพุ รรณบุรี
กล่าวถึงครอบครัวสามครอบครัว คือครอบครัวของขุนไกรพลพ่ายรับราชการทหารมีภรรยาชื่อ

นางทองประศรี มีลูกชายด้วยกันช่ือพลายแก้ว ครอบครัวของขุนศรีวิชัยเศรษฐีใหญ่ของเมืองสุพรรณบุรีรับราชการ
เป็นนายกองกรมช้างนอก ภรรยาชื่อนางเทพทอง มีลูกชายช่ือ ขุนช้างซ่ึงหัวล้านมาแต่กําเนิดและครอบครัวของ
พันศรโยธา เป็นพอ่ คา้ ภรรยาชอื่ ศรีประจนั มีลกู สาวรปู รา่ งหนา้ ตางดงามชื่อนางพมิ พลิ าไลย

วันหนึ่งสมเด็จพระพันวษา มีความประสงค์จะล่าควายป่าจึงสั่งให้ขุนไกรปลูกพลับพลาและต้อนควาย
เตรียมไว้แต่ควายป่าเหล่านั้นแตกต่ืนไม่ยอมเข้าคอกขุนไกรจึงใช้หอกแทงควายตายไปมากมายท่ีรอดชีวิตก็หนีเข้า
ป่าไปสมเด็จพระพันวษาโกรธมากส่ังให้ประหารชีวิตขุนไกรเสียนางทองประศรีรู้ข่าวรีบพาพลายแก้วหนีไปอยู่ท่ี
เมืองกาญจนบรุ ี

ทางเมืองสุพรรณบุรี มีพวกโจรจันศรข้ึนปล้นบ้านของขุนศรีวิชัยและฆ่าขุนศรีวิชัยตายส่วนพันศรโยธา
เดินทางไปค้าขายต่างเมืองพอกลบั มาถงึ บ้านกเ็ ปน็ ไขป้ ่าตาย

เมื่อพลายแก้วอายุได้ 15 ปี ก็บวชเณรเรียนวิชาอยู่ท่ีวัดส้มใหญ่แล้วย้ายไปเรียนต่อที่วัดป่าเลไลยก์ต่อมาที่
วัดปา่ เลไลยก์จัดให้มีเทศน์มหาชาติเณรพลายแก้วเทศน์กัณฑ์มัทรีซ่ึงนางพิมพิลาไลยเป็นเจ้าของกัณฑ์เทศน์นางพิม
เล่ือมใสมากจนเปลื้องผ้าสไบบูชากัณฑ์เทศ์ขุนช้างเห็นเช่นนั้นก็เปล้ืองผ้าห่มของตนวางเคียงกับผ้าสไบของนางพิม
อธิฐานขอให้ได้นางเป็นภรรยา ทําให้นางพิมโกรธต่อมาเณรพลายแก้วก็สึกแล้วให้นางทองประศรีมาสู่ขอนางพิม
และแตง่ งานกนั

ทางกรุงศรีอยุธยาได้ข่าวว่ากองทัพเชียงใหม่ตีได้เมืองเชียงทองซึ่งเป็นเมืองข้ึนของกรุงศรีอยุธยาสมเด็จ
พระพันวษาถามหาเชื้อสายของขุนไกรขุนช้างซึ่งเข้าไปรับราชการอยู่จึงเล่าเรื่องราวความเก่งกล้าสามารถของ
พลายแก้วเพ่ือหวังจะพรากพลายแก้วไปให้ห่างไกล นางพิมสมเด็จพระพันวษาจึงให้ไปตามตัวมาแล้วแต่งต้ังให้เป็น
แม่ทัพไปรบกับเมืองเชียงใหม่และได้ชัยชนะนายบ้านแสนคําแมนแห่งหมู่บ้านจอมทองเห็นว่าพลายแก้วกับพวก
ทหารไม่ไดเ้ บียดเบยี นให้ชาวบ้านเดอื ดรอ้ นจงึ ยกนางลาวทองลูกสาวของตนให้เป็นภรรยาของพลายแกว้

ส่วนนางพิมพิลาไลยเม่ือสามีจากไปทัพได้ไม่นานก็ป่วยหนักรักษาเท่าไรก็ไม่หายขรัวตาจูวัดป่าเลไลย
แนะนําให้เปลี่ยนช่ือเป็นวันทองอาการไข้จึงหายขุนช้างทําอุบายนําหม้อใหม่ใส่กระดูกไปให้นางศรีประจันกับ
นางวันทองดูว่าพลายแก้วตายแล้วและขู่ว่านางวันทองจะต้องถูกคุมตัวไว้เป็นม่ายหลวงตามกฎหมายนางวันทองไม่
เชื่อ แต่นางศรีประจันคิดว่าจริงประกอบกับเห็นว่าขุนช้างเป็นเศรษฐีจึงบังคับให้นางวันทองแต่งงานกับขุนช้าง
นางวันทองจําต้องตามใจแม่แต่นางไม่ยอมเข้าหอขณะน้ันพลายแก้วกลับมาถึงกรุงศรีอยุธยาและได้บรรดาศักด์ิเป็น
ขุนแผนแสนสะท้านจากน้ันก็พานางลาวทองกลับสุพรรณบุรีนางวันทองเห็นขุนแผนพาภรรยาใหม่มาด้วยก็โกรธด่า
ทอโต้ตอบกับนางลาวทองและลืมตัวพูดก้าวร้าวขุนแผนทําให้ขุนแผนโมโหพานางลาวทองไปอยู่ท่ีกาญจนบุรีส่วน
นางวันทองกต็ กเปน็ ภรรยาของขนุ ช้างอย่างจําใจ

ตอ่ มาขุนชา้ งและขนุ แผนเข้าไปรับราชการอบรมในวงั และไดม้ หาดเลก็ เวรท้งั สองคนวันหน่งึ นางทองประศรี
ให้คนมาส่งข่าวว่านางลาวทองป่วยหนักขุนแผนจึงฝากเวรไว้กับขุนช้างแล้วไปดูอาการของนางลาวทองตอนเช้า
สมเด็จพระพันวษาถามถึงขุนแผนขุนช้างบอกว่าขุนแผนปีนกําแพงวังหนีไปหาภรรยาสมเด็จพระพันวษาโกรธจึงส่ัง
ให้นําตัวนางลาวทองมากักไว้ในวังส่วนขุนแผนให้ไปตระเวนด่านห้ามเข้าวังอีกทําให้ขุนแผนแค้นขุนช้างมากคิดช่วง
ชิงนางวันทองกลับคืนมาจึงออกหาของวิเศษ 3 อย่าง คือ ดาบวิเศษกุมารทอง และม้าฝีเท้าดีขุนแผนเดินทางไปถึง
ซ่องโจรของหม่ืนหาญก็สมัครเข้าเป็นสมุนวันหน่ึงได้ช่วยชีวิตหม่ืนหาญให้รอดพ้นจากการถูกวัวแดงขวิดตาย
หมื่นหาญจึงยกนางบัวคลลี่ กู สาวของตนให้เป็นภรรยาของขุนแผน

45

ต่อมาหม่ืนหาญเห็นขุนแผนมีวิชาอาคมเหนือกว่าตนก็คิดกําจัดโดยสั่งให้นางบัวคลี่วางยาพิษฆ่าขุนแผน
แต่โหงพรายมาบอกให้ขุนแผนรู้ตัวคืนนั้นพอนางบัวคล่ีนอนหลับขุนแผนก็ผ่าท้องนางควักเอาเด็กไปทําพิธีปลุกเสก
เป็นกุมารทองตอ่ จากน้ันก็ทําพิธีตีดาบฟ้าฟ้ืนและไปซ้ือม้าลักษณะดีได้ตัวหนงึ่ ชื่อ ม้าสีหมอกแล้วขุนแผนก็ไปท่ีบ้าน
ของขนุ ชา้ งสะกดคนใหห้ ลบั หมดแลว้ ขนึ้ ไปบนบ้านแตเ่ ข้าห้องผิดจงึ พบนางแกว้ กิริยาและได้นางเป็นภรรยาจากนัน้ ก็
ไปปลกุ นางวนั ทองพาข้นึ ม้าหนเี ขา้ ป่าไป

ขุนช้างไปฟอ้ งสมเดจ็ พระพันวษาพระองค์ให้ทหารตามจับขุนแผนแต่ถูกขุนแผนฆ่าตายไปหลายคนขุนแผน
กบั นางวันทองหลบซ่อนอย่ใู นป่าจนนางต้ังทอ้ งจึงพากนั ออกมามอบตวั ส้คู ดีกบั ขนุ ชา้ งจนชนะคดขี นุ แผนนางวันทอง
และนางแก้วกิริยาจึงอยู่ร่วมกันด้วยความสุขแต่ขุนแผนนึกถึงนางลาวทองจึงขอร้องจม่ืนศรีเสาวรักษ์ให้ขอตัว
นางจากสมเด็จพระพันวษาทําใหพ้ ระองค์โกรธว่าขุนแผนกําเริบจึงสั่งจําคุกขุนแผนไว้นางแก้วกิริยาตามไปปรนนิบัติ
ขนุ แผนด้วยสว่ นนางวนั ทองพักอยทู่ บ่ี า้ นของหมื่นศรีขนุ ช้างจงึ พาพรรคพวกมาฉุดนางวนั ทองไปเปน็ ภรรยาอีกต่อมา
นางก็คลอดลูกชายแล้วต้ังชื่อให้ว่าพลายงามขุนช้างรู้ว่าไม่ใช่ลูกของตนก็เกลียดชังวันหน่ึงจึงหลอกพาเข้าไปในป่า
ทุบตีจนสลบแล้วเอาท่อนไม้ทับไว้โหงพรายของขุนแผนมาช่วยไดท้ ันนางวันทองจึงให้ลูกไปอยู่กับนางทองประศรีท่ี
กาญจนบุรีพลายงามได้รํ่าเรียนวิชาของพ่อเชี่ยวชาญขุนแผนจึงพาไปฝากไว้กับหมื่นศรีเพื่อหาโอกาสให้เข้ารับ
ราชการทางฝา่ ยพระเจา้ เชียงอินทร์ เจ้าเมอื งเชียงใหม่ให้ทหารไปชิงตัวนางสร้อยทองธิดาพระเจ้าล้านช้างระหว่างที่
เดินทางไปยังกรุงศรีอยุธยาเพราะพระเจ้าล้านช้างต้องการเป็นไมตรีด้วยจึงส่งธิดามาถวายตัวแล้วพระเจ้า
เชียงอินทร์ยังส่งหนังสือท้าทายสมเด็จพระพันวษาอีกด้วยพลายงามได้โอกาสจึงอาสาออกไปรบและขอให้ปล่อย
ขนุ แผนออกจากคกุ ด้วยเพอ่ื จะได้ช่วยกันทําศึก ขุนแผนจึงพน้ โทษในขณะทีก่ าํ ลงั เตรียมทพั นางแก้วกิริยาก็คลอดลูก
เป็นชายขุนแผนตัง้ ชอื่ ว่า พลายชุมพล แล้วขุนแผนกบั พลายงามกค็ ุมทัพม่งุ สเู่ ชียงใหมข่ นุ แผนไดแ้ วะเยี่ยมพระพิจิตร
กับนางบุษบาซง่ึ เคยใหค้ วามชว่ ยเหลอื เมอื่ ครั้งขนุ แผนกับนางวันทองเข้ามอบตัวพลายงามจึงได้พบนางศรีมาลาและ
ได้นางเป็นภรรยาจากนั้นก็คุมทัพไปรบกับเชียงใหม่ได้ชัยชนะครั้นกลับถึงกรุงศรีอยุธยาขุนแผนได้เป็นพระสุรินฤา
ไชยเจ้าเมืองกาญจนบุรี พลายงามได้เป็นจมื่นไวยวรนาถและสมเด็จพระพันวษาก็ยกนางสร้อยฟ้าธิดาของพระเจ้า
เชียงอินทร์ให้แต่งงานกับพระไวยพร้อมๆ กับนางศรีมาลา พระไวยอยากให้แม่มาอยู่กับตนและคืนดีกับพ่อ จึงไป
ลักพานางวันทองมาขุนช้างเคืองมากไปฟ้องสมเด็จพระพันวษาจึงมีการไต่สวนคดีกันอีกครั้งหน่ึงในที่สุดสมเด็จ
พระพันวษาก็ถามความสมัครใจของนางว่าจะเลือกอยู่กับใครนางตัดสินใจไม่ได้สมเด็จพระพันวษาหาว่านางเป็น
หญิงสองใจจึงส่ังให้นําตัวไปประหารชีวิตพระไวย พยายามอ้อนวอนขออภัยโทษได้แต่ไปห้ามการประหารไม่ทันใน
ครอบครัวของพระไวยก็ไม่ราบร่ืนนักเพราะนางสร้อยฟ้าไม่พอใจที่พระไวยและนางทองประศรีรักนางศรีมาลา
มากกว่านางจึงมักจะมีการทะเลาะวิวาทกันอยู่เสมอนางสร้อยฟ้าเจ็บใจจึงให้เถรขวาดทําเสน่ห์ให้พระไวย หลงรัก
นางแล้วนางสร้อยฟ้าก็หาเรื่องใส่ความให้พระไวยตีนางศรีมาลาพลายชุมพลเข้าไปห้ามก็ถูกตีไปด้วยพลายชุมพล
น้อยใจจึงหนีออกจากบ้านไปหาพ่อแม่ท่ีกาญจนบุรีเล่าเร่ืองให้ฟังแล้วหนีต่อไปหายายที่สุโขทัยได้บวชเณรและเล่า
เรียนอยู่ท่ีนั้นฝ่ายขุนแผนรีบไปท่ีบ้านของพระไวยแล้วเสกกระจกมนต์ให้ดูว่าถูกทําเสน่ห์แต่พระไวยไม่เช่ือหาว่าพ่อ
เล่นกลใหด้ ูและพูดลําเลิกบุญคุณที่ชว่ ยพ่อออกมาจากคุกขุนแผนแค้นมากประกาศตัดพ่อตัดลูกแล้วกลับกาญจนบุรี
ทันที พลายชุมพลเรียนวิชาสําเร็จแล้วก็นัดหมายกับขุนแผนเพ่ือที่จะแก้แค้นพระไวยโดยพลายชุมพลสึกจากเณร
ปลอมเปน็ มอญ ใชช้ ื่อสมงิ มตั รา ยกกองทัพหนุ่ หญา้ เสกมาถงึ สุพรรณบรุ ีสมเดจ็ พระพันวษา ใหข้ ุนแผนยกทพั ไปต้าน
ศกึ ขุนแผนแกล้งแพ้ให้ถกู จับได้พระไวยจึงตอ้ งยกทัพไปและตอ่ สู้กับพลายชุมพลระหว่างที่กําลังต่อสู้กันขุนแผนบอก
ให้พลายชุมพลจับตัวพระไวยไว้พระไวยเห็นพ่อก็ตกใจหนีกลับไปฟ้องสมเด็จพระพันวษาพระองศ์จึงให้นางศรีมาลา
ไปรับตัวขุนแผนกับพลายชุมพลเข้าวังพลายชุมพลอาสาจับคนที่ทําเสน่ห์โดยขอหมื่นศรีไปเป็นพยานด้วยพลายชุม
พลจับตัวเถรขวาดกับเณรจ๋ิวไว้แล้วขุดรูปป้ันลงอาคมที่ฝั่งไส้ใต้ดินข้ึนมาได้เสน่ห์จึงคลายตกดึกเถรขวาดกับเณรจ๋ิว

46

สะเดาะโซต่ รวนหนไี ปในการไต่สวนคดนี างสร้อยฟ้าไม่ยอมรับว่าเป็นคนทําเสน่ห์และใส่ร้ายว่านางศรีมาลาเป็นชู้กับ
พลายชุมพลพอนางจับได้พลายชุมพลก็หนีไปยุยงขุนแผนในที่สุดก็มีการพิสูจน์ความบริสุทธ์ิโดยการลุยไฟ
นางสร้อยฟ้าแพ้ถูกไฟลวกจนพุพองส่วนนางศรีมาลาไม่เป็นอะไรเลยสมเด็จพระพันวษาส่ังประหารนางสร้อยฟ้าแต่
นางศรีมาลาช่วยขออภัยโทษให้จึงเพียงถูกเนรเทศกลับไปอยู่ที่เชียงใหม่เช่นเดิมระหว่างเดินทางก็พบเถรขวาดกับ
เณรจ๋ิวจึงเดินทางไปด้วยกันกลับถึงเชียงใหม่ได้ไม่นานนางก็ให้กําเนิดลูกชายชื่อ พลายยงส่วนนางศรีมาลาก็คลอด
ลูกชายเชน่ กนั ขนุ แผนตง้ั ชอ่ื ใหว้ า่ พลายเพชร พระเจา้ เชียงอินทร์ ตัง้ เถรขวาดเปน็ พระสังฆราชเพ่ือตอบแทนความดี
ความชอบที่พานางสร้อยฟ้าท่ีกลับบ้านเมืองได้อย่างปลอดภัยแต่เถรขวาดยังแค้นพลายชุมพลจึงเดินทางมาที่
กรุงศรีอยุธยาแปลงเป็นจระเข้อาละวาดฆ่าคนและสัตว์เลี้ยงไปมากมายพลายชุมพลจึงอาสาออกปราบจระเข้จน
สําเร็จได้ตัวเถรขวาดมาประหารชีวิตพลายชุมพลได้บรรดาศักดิ์เป็นหลวงนายฤทธ์ินับจากนั้นเป็นต้นมาทุกคนก็อยู่
กันอย่างมีความสขุ

6. พระเคร่อื งเมืองสพุ รรณ
1. พระผงสพุ รรณ วดั พระศรีมหาธาตุ ศลิ ปะแหง่ องคพ์ ระผงสพุ รรณ
จากสําเนาจารึกลานทองท่ีค้นพบกล่าวถึงการสร้างพระผงสุพรรณไว้ความว่า“ศุภมัสดุ 1265 สิทธิการิยะ

แสดงบอกไว้ให้รู้ว่าฤาษีท้ังส่ีตนพระฤาษีพิมพิลาไลย์เป็นประธาน เราจะทําด้วยฤทธ์ิทําด้วยเครื่องประดิษฐ์ มี
สุวรรณเป็นต้น คือบรมกษัตริย์พระยาศรีธรรมโศกราช เป็นผู้มีศรัทธาพระฤาษีท้ังสี่ตนจึงพร้อมกันนําเอาแต่ว่าน
ทั้งหลาย พระฤาษีจึงอัญเชิญเทวดามาช่วยกันทําพิธีเป็นพระพิมพ์ไว้สถานหนึ่งแดง สถานหน่ึงดําให้เอาว่านทําเป็น
ผงก้อนพิมพ์ด้วยลายมือของมหาเถระปิยะทัสสะสี ศรีสารีบุตร คือเป็นใหญ่เป็นประธานในท่ีนั้นได้เอาแร่ต่าง ๆ มี
อานภุ าพต่างกัน เสกดว้ ยมนตค์ าถาครบ 3 เดอื น แลว้ ท่านให้เอาไปประดษิ ฐไ์ ว้ในสถูปแห่งหนงึ่ ท่ีเมอื งพนั ทมู

ถ้าผู้ใดพบเห็นให้รับเอาไปไว้สักการบูชาเป็นของวิเศษ แม้จะมีอันตรายประการใดก็ดีให้อาราธนาผูกไว้ที่คอ
อาจคมุ้ ครองภยนั ตรายได้ทั้งปวงเอาพระสงสรงน้ํามันหอม แล้วน่ังบริกรรม พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ 108 จบพา
หุง 13 จบใสช่ ันสมั ฤทธิ์ นัง่ สนั นษิ ฐานเอาความปรารถนาเถิดใหท้ าทัง้ หน้าและผม คอหน้าอก ถา้ จะใชท้ างเมตตาให้
มีสง่า เจรจาให้คนทั้งหลายเช่ือฟังยําเกรง ให้เอาพระไว้ในน้ํามันหอมเสกด้วยคาถานวหรคุณ 13 จบ พาหุง
13 จบ พระพทุ ธคณุ 13 จบใหเ้ อาดอกไม้ธูปเทียนทําพิธีในวันเสาร์น้ํามันหอมเก็บไว้ใช้ได้เสมอทาริมฝปี ากหน้าผาก
และผมถ้าผู้ใดพบพระตามที่กล่าวมานี้ พระว่านก็ดี พระเกสรก็ดีทําด้วยแร่ สังฆวานรก็ดี อย่างประมาทเลย
อานุภาพพระทั้ง 3 อย่างนี้ดุจกําแพงแก้วกันอันตรายทั้งปวงแล้วให้ว่าคาถาทแยงแก้วกันอันตรายทั้งปวงแล้วให้ว่า
คาถาทแยงสันตาจนจบพระพุทธคุณ พระธรรมคุณพระสังฆคุณจนจบพาหุงไปจนจบแล้วให้ว่าดังน้ีอีกกะเตสิกเกกะ
ระณงั มหาไชยงั มงั คะ สงั นะมะพะทะ แลว้ ใหว้ ่า กริ ิมติ ิ กรุ ุมธุ ุ เกเรเมเถ กะระมะทะประสิทธิแล”

พระผงสุพรรณ กรุวัดพระศรรี ตั นมหาธาตุ สุพรรณบุรี นบั เปน็ พระเครอ่ื งเลือ่ งชอ่ื ถกู บรรจุอยใู่ นชดุ
“เบญจภาค”ี ซง่ึ มีทง้ั เน้ือดนิ และเน้ือชนิ เงนิ ท่เี รียกวา่ “พระผงสุพรรณยอดโถ”

แต่สาเหตทุ เี่ รียกวา่ “ผงสพุ รรณ”ก็เน่อื งจากการคน้ พบจารกึ ลานทองกลา่ วถงึ การสรา้ งจากผงว่านเกสร
ดอกไมอ้ ันศักดส์ิ ิทธ์ิ จงึ ไดร้ ับการเรยี กขานกันว่า“ผงสพุ รรณ”เรื่อยมา โดยสามารถจําแนกออกไดเ้ ปน็ 3 พิมพ์

1. พระผงสพุ รรณ พมิ พห์ นา้ แก่
2. พระผงสพุ รรณ พมิ พ์หน้ากลาง
3. พระผงสพุ รรณ พมิ พ์หนา้ หนุม่

ศิลปะพระผงสุพรรณมีความสัมพันธ์กับศิลปะพระพุทธรูปประเภทหน่ึงได้แก่ พระพุทธรูปศิลปะอู่ทอง
เนื่องมาจากแหล่งต้นกําเนิดของพระผงสุพรรณอยู่ในบริเวณท่ีเป็นศูนย์กลางของศิลปะทางศาสนาที่เรียกว่าศิลปะ

47

อู่ทองประการหน่ึง นอกจากนี้ลักษณะการแบ่งแม่พิมพ์พระผงสุพรรณยังจําแนกและเรียกชื่อแม่พิมพ์ตามพุทธ
ลกั ษณะของพระพทุ ธรูปอทู่ อง ซึง่ ได้แก่ พิมพ์หนา้ แก่ พิมพห์ นา้ กลาง และพิมพห์ น้าหนุ่ม อีกด้วย

ในความเป็นจรงิ แลว้ ศิลปะอ่ทู องเป็นศลิ ปะแห่งการปฏสิ มั พันธร์ ะหว่างสมยั ทวาราวดีกับสมัยขอมหรือเขมร
ต่อมาช่วงหลังได้ผสมผสานศิลปะของสุโขทัยเข้าไปด้วย จนกลายเป็นพุทธศิลปะท่ีเกิดจากการผสมผสานโดยมีอายุ
ตั้งแต่ปลายพุทธศตวรรษท่ี 16 จนถึงกลางพุทธศตวรรษท่ี19 กล่าวคือเมื่อส้ินยุคทวาราวดีขอมได้มีอํานาจใน
ดนิ แดนทร่ี าบลมุ่ แมน่ า้ํ เจา้ พระยาแต่ศิลปกรรมแหง่ ทวาราวดยี ังคงสบื ทอดตอ่ เน่ืองโดยผสมผสานศิลปะของขอมเข้า
ไปก่อนที่สุโขทัยจะกลายเป็นศูนย์กลางแห่งอํานาจรัฐและความเจรญิ ทางด้านพุทธศาสนาต่อเน่ืองมาจนถึงสมัยกรุง
ศรีอยธุ ยา ศิลปะอ่ทู องเดิมจงึ ผสมผสานกบั ศลิ ปะสุโขทัยอกี ชน้ั หนง่ึ ซง่ึ เราอาจแยกประเภทศลิ ปะของอู่ทองได้ดังน้ี

1. ศิลปะอูท่ องยุคแรก มอี ายอุ ยใู่ นราวปลายพุทธศตวรรษท่ี 16 - 18 ศลิ ปะจะเป็นแบบผสมผสานระหว่าง
ศิลปะทวาราวดีกบั ศิลปะขอม สามารถจําแนกออกเป็น

- ศิลปะอทู่ อง สกลุ ช่างลพบรุ ี รจู้ กั กันในชอื่ “อทู่ องเขมร” “อทู่ อง-ลพบุร”ี หรอื “อ่ทู อง-ฝาละมี”
- ศลิ ปะอทู่ อง สกลุ ชา่ งสพุ รรณบุรี รจู้ ักกนั ในชอ่ื “อ่ทู อง-สุวรรณภูมิ” มีลกั ษณะคล้ายมนุษยม์ าก ท่า
งดงามสุดยอดจะเรียกตามภาษาวงการพระวา่ “สันแข้งคางคน”
2. ศลิ ปะอทู่ องยคุ ทส่ี อง มอี ายอุ ยู่ในราวตน้ พุทธศตวรรษที่ 19 ถงึ กลางพทุ ธศตวรรษท่ี 20 ศลิ ปะจะ
ผสมผสานระหวา่ งศิลปะอ่ทู องยคุ แรกกบั ศลิ ปะสโุ ขทยั ชา่ งสมัยจะคาบเกยี่ วกนั ระหว่างศลิ ปะสโุ ขทัยจนถงึ สมัย
อยธุ ยาตอนตน้ รจู้ ักกันในช่ือ “อทู่ อง-อยุธยาตอนต้น”
3. ศลิ ปะอทู่ องยุคทส่ี าม มอี ายอุ ย่ใู นราว พ.ศ.1952 – 1991 อยใู่ นช่วงสมยั สมเด็จพระนครนิ ทราชา สมัย
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) จนถงึ ต้นรชั สมัยพระบรมไตรโลกนาถ ศลิ ปะจะได้รบั อิทธพิ ลของ
อยธุ ยามากขึ้น (จากการขดุ คน้ ทางโบราณคดบี ริเวณขา้ งศาลาหลวงพ่อเหยดา้ นทศิ ตะวันตกห่างจากองค์ปรางค์
ประธาน ไปทางทศิ ตะวนั ตกเฉยี งใต้ 30 เมตร พบแมพ่ ิมพพ์ ระดินเผาขนาดกว้าง 3 ซ.ม. สูง 42 ซ.ม.เปน็
แมพ่ มิ พพ์ ระผงสุพรรณ พมิ พ์หนา้ แกแ่ ตท่ อ่ นลา่ งหกชาํ รดุ )
พุทธเอกลกั ษณ์พระผงสพุ รรณ
พระผงสพุ รรณเปน็ พระเคร่ืองทพ่ี บในกรุวัดพระศรีรตั นมหาธาตุ จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นพระเคร่ืองเนื้อดิน
เผาจาํ ลองพุทธลกั ษณะองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในลักษณะการปางมารวิชัย แบ่งแยกแม่พิมพ์ได้เป็นพิมพ์หน้าแก่
พมิ พห์ นา้ กลาง และพมิ พห์ นา้ หน่มุ (สมยั โบราณเรียกพมิ พ์หน้าหน)ู องค์พระประทบั นั่งปางมารวชิ ยั บนฐานเชยี ง
ช้ันเดียว พระเกศคล้ายฝาละมี มีกระจังหน้า พระพักตร์เคร่งขรึมพระนาสิกหนาใหญ่ พระอุระหนาส่วนพระการ
ทอดเรียว แสดงออกถึงศิลปะสกุลช่างอู่ทองท่ีเน้นความละม้ายคล้ายคลึงกับมนุษย์มากที่สุด ด้วยเหตุน้ี เมื่อพบ
พมิ พ์พระ 3 ประเภทจงึ เรียกช่ือตามลักษณะพระพักตร์และตามศลิ ปะสกุลช่างแห่งพระพุทธรปู ทีพ่ ระพกั ตร์เหี่ยวย่น
เหมือนคนแก่ เรยี กว่า พิมพห์ น้าแก่ ที่พระพกั ตรอ์ ิ่มเอบิ เรียวเลก็ ปราศจากรอยเหี่ยวย่นเรียกว่าพมิ พ์หนา้ หนุ่ม
พระผงสพุ รรณน้นั ปรากฏตามจารึกลานทองกลา่ วถงึ การสร้างวา่ “……..พระฤๅษีทง้ั สตี่ นจงึ พร้อมกนั นําเอาแตว่ ่าน
ทั้งหลาย พระฤๅษจี ึงอัญเชญิ เทวดามาชว่ ยกนั ทาํ พิธีเป็นพระพมิ พไ์ วส้ ถานหนึ่งแดงสถานหนงึ่ ดาํ ให้เอาวา่ นทาํ เป็น
ผงกอ้ น พมิ พด์ ว้ ยลายมือของมหาเถระปยิ ะทสั สะสี ศรีสารบี ตุ รคอื เป็นใหญ่เปน็ ประธานในทน่ี ้ัน ได้เอาแรต่ ่าง ๆมี
อานภุ าพตา่ งกัน เสกดว้ ยมนต์คาถาครบ 3 เดือนแล้วท่านใหเ้ อาไปประดิษฐไ์ วใ้ นสถปู แหง่ หนงึ่ ทเ่ี มืองพันทมู … ถา้
ผ้ใู ดพบพระตามทก่ี ล่าวมานี้ พระว่านกด็ ี พระเกสรกด็ ีทาํ ดว้ ยแรส่ ังฆวานรก็ด…ี …”
ความหมายจากจารกึ ลานทองไดก้ ล่าวถงึ ประเภทของพระผงสุพรรณไว้ 2 ชนดิ ไดแ้ ก่ พระเน้อื ดนิ ทม่ี ี
ส่วนผสมจากวา่ นและเกสรตา่ ง ๆ โดยเป็นพระเน้อื ดินเผาตามกรรมวิธกี ารสร้างพระพมิ พส์ มยั โบราณสพี ระผง
สพุ รรณจงึ เปน็ “สถานหนงึ่ ดาํ สถานหน่งึ แดง” และอกี ชนดิ หนงึ่ ไดแ้ ก่ พระผงสุพรรณท่ที ําจากแรธ่ าตโุ ลหะซ่งึ

48

เรียกตามจารึกว่า “ไดเ้ อาแรต่ า่ ง ๆมอี านุภาพต่างกัน….ถ้าผู้ใดพบพระ…..ทําด้วยแร่สงั ฆวานรกด็ ”ี ซึ่งหมายถงึ พระ
ผงสพุ รรณเนื้อชนิ ที่รจู้ ักกนั ในชือ่ “พระผงสพุ รรณยอดโถ”

สําหรับพระผงสุพรรณเนื้อดินน้ัน เป็นพระเคร่ืองที่มีส่วนผสมวัสดุมวลสารจากดินละเอียด ว่าน และเกสร
ต่าง ๆ คนโบราณเรียกวา่ “พระเกสรสุพรรณ”จะสังเกตได้ว่าเน้ือดินของพระผงสุพรรณเป็นเน้ือดินค่อนข้างละเอียด
หากเปรียบเทียบกับพระนางพญากรุวัดนางพญา จังหวัดพิษณุโลก แล้วจะเห็นว่าเน้ือพระผงสุพรรณจะละเอียด
กว่า แต่ไม่ละเอียดมากเหมือน พระรอดกรุวัดมหาวัน จังหวัดลําพูน ซึ่งดินท่ีใช้เป็นดินในบริเวณจังหวัด
สพุ รรณบรุ ี ซึง่ ดินแต่ละท่ีจะมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนกัน สําหรับปัญหาท่ีว่า หากผสมว่านเมื่อพระผ่านการเผา มวล
สารของว่านจะไม่สามารถทนอุณหภูมิความร้อนได้ ต้องย่อยสลายไปนั้น หากพิจารณาแล้วในองค์พระผงสุพรรณก็
ไม่ปรากฏโพรงอากาศอันเกิดจากการย่อยสลายของเนื้อวา่ น แต่อย่างใดน้ันต้องพิจารณาถึงกรรมวิธีการสร้างพระ
ของโบราณาจารย์เปน็ สาํ คญั ว่า มีหลายวธิ ี วธิ ีประการหน่ึงซงึ่ พบหลักฐานในการนาํ วา่ นผงเกสรมงคล 108 มาเป็น
วัตถุมงคลในการสร้างพระ ได้แก่ การนําหัวว่านมงคลต่าง ๆมาคั้นเอานํ้าว่านเป็นส่วนผสมเข้ากับมวลสารอื่น ๆซ่ึง
จะพบว่าพระผงสุพรรณน้ันมีความหนึกนุ่ม และซ้ึงจัด หากได้โดนเหง่ือโคลนแล้ว ยิ่งขึ้นเป็นมันเงางามอย่างท่ีคน
โบราณเรียกว่า “แก่ว่าน” ซ่ึงได้แก่การค้ันน้ําว่านผสมลงไป ดังนั้น เม่ือผ่านการเผาจึงมิได้เกิดการย่อย สลายของ
เนื้อว่าน เนื่องจากพระผงสุพรรณเน้ือดินเป็นพระท่ีผ่านการเผาไฟ สีสันขององค์พระจึงเป็นเฉกเช่นเดียวกับ
พระเน้อื ดนิ ที่ผ่านการเผาประเภทอ่ืน ๆคือมีต้ังแต่สีเขียวที่ถูกเผาในอุณหภูมิสูงและนานที่สดุ สีแดง สีมอย สีน้ําเงิน
เข้ม สีเทา ไปจนถึงสีดํา การสร้างพระพิมพ์เนื้อดินเผา มีมาแต่สมัยโบราณโดยมีการพัฒนาเทคโนโลยีการสร้าง
ควบคู่มากับเทคนิคการทําเครอื่ งปัน้ ดินเผาโดยเฉพาะดนิ แดนประเทศไทยนั้นพบพระพิมพ์ดินเผาต้ังแต่ยุคทวาราวดี
เร่ือยมา ในศิลาจารึกหลักท่ี 2 วัดศรีชุม ซึ่งจารึกโดยพระมหาเถรศรีศรัทธา (พ.ศ. 1890 - 1917)ได้กล่าวถึง
ปาฏิหารย์ของพระเกศธาตุโดย เปรียบเทียบกับการเผาดินโดยแสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยีในการควบคุมอุณหภูมิ
ดังความว่า “พระเกศ ธาตุเสด็จมี หมู่หน่ึงซีดัง สายฟ้าแลบดังแถวนํ้าแล่นในกลางหาวอัศจรรย์ ส่ิงหนึ่งเห็น
ตะวันออกเขียวดังสูงเผาหม้อเผาไห” ซึ่งจากการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์พบว่า สีของเปลวไฟที่ออกเป็นสีเขียว
จะต้องมีอุณหภมู ิถึง 11,300 – 1,400 องศาเซนเซียส ซึ่งจะกระทําได้เม่ือมีเทคโนโลยีการสร้างเตาเผาการให้
ความร้อนและการควบคุมอุณหภูมิอย่างดีเย่ียม การเผาเน้ือดินของพระผงสุพรรณเป็นการเผาท่ีควบคุมอุณหภูมิ
อยา่ งสมาํ่ เสมอและเผาในอณุ หภูมสิ ูงโดย ใชเ้ ทคโนโลยใี นการเผาเช่นเดียวกัน การทาํ เคร่อื งป้ันดนิ เผา โดยเฉพาะใน
บริเวณแถบสุพรรณบุรี-สิงห์บุรี ปรากฏแหล่งเตาเผาท่ีแสดงถึงเทคโนโลยีช้ันสูงท่ีบ้านบางปูนสุพรรณบุรีและเตา
แม่นํ้าน้อยฝ่ังตะวันตกของแม่นํ้าน้อยวัดพระปรางค์ อําเภอชันสูตร จังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งมีอายุในช่วงสมัยอยุธยา
ตอนต้นจนถึงรัชสมัยพระนครินทราชา การเผาโดยวิธีควบคุมอุณหภูมิส่งผลให้พระผงสุพรรณมีสภาพความแกร่ง
คมชัด ไม่หักเปราะง่าย แม้จะผ่านกาลเวลาเป็นนาน คนโบราณ จะใช้วิธีสังเกตสีของเปลวไฟท่ีลุกไหม้ เป็นหลัก
ในการควบคมุ อณุ หภมู กิ ารเผาจากการวเิ คราะห์ทางวทิ ยาศาสตรพ์ บว่า

- ไฟทม่ี สี แี ดงจดั จ้า อณุ หภมู ปิ ระมาณ 800 องศาเซลเซียส
- ไฟทม่ี สี แี ดงธรรมดา อณุ หภูมิประมาณ 880 องศาเซลเซียส
- ไฟสีสม้ อณุ หภมู ปิ ระมาณ 950 – 1,100 องศาเซลเซยี ส
- ไฟสีนวล อุณหภูมิประมาณ 1,300 องศาเซลเซยี ส
- ไฟสเี ขียว อณุ หภูมิประมาณ 1,300 – 1,400๐ องศาเซลเซยี ส
พระผงสุพรรณ จะใช้วิธีการเผา โดยควบคุมอุณหภูมิท่ี 1,100 – 1,300 องศาเซลเซียส องพระจะแกร่งส่วน
ใหญ่จะมีสีแดง ส่วนสีอ่ืน ๆ ขึ้นอยู่กับการถูกความร้อนมาก - น้อย ต่าง ๆ กันดังนั้นพระผงสุพรรณจึงเป็นพุทธ
ปฏิมากรดินเผาที่แสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยีหรือภูมิปัญญาท้องถ่ินในการเผาพระพิมพ์อย่างมีคุณภาพเอกลักษณ์

49

ประการหนึ่งของพระผงสพุ รรณกค็ ือ ดา้ นหลังองค์พระจะมีลอยลายน้ิวมือซ่ึงเป็นการกดเม่ือนําดินใส่ลงในแม่พิมพ์
ในจารึกลานทองกล่าวไว้ว่า “ให้เอาว่านทําเป็นผงก้อน พิมพ์ดว้ ยลายมือของมหาเถระปิยะทัสสะสี ศรีสารีบุตร
คือ เป็นใหญ่เป็นประธานในที่น่ัน ลายมือท่ีปรากฏจะเป็นลายนิ้วมือ หัวแม่โป้งแบบ“ก้นหอย” ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็น
ลกั ษณะลายมอื ของคนโบราณ ส่วนการตดั ขอบ นนั้ มกั จะตดั เป็นรูปตามองค์พระดา้ นฐานผายกว้าง ดา้ นบนสอบเข้า
โดยเฉพาะขอบข้างพระเศียรอาจตัดเป็นเหล่ียม มุมทําให้กรอบพระผงสุพรรณมีห้าเหลี่ยมบ้าง ส่ีเหลี่ยมบ้าง ไม่สู้จะ
เสมอเหมือนกัน
เอกลกั ษณ์ในแม่พิมพ์

แม่พมิ พ์มคี วามสําคญั ในการพิจารณาพระเครื่องเปน็ อย่างยิ่ง พุทธเอกลักษณ์ของแม่พิมพ์ นอกจากจะแสดง
ถึงศิลปะของสกุลช่างที่ปรากฏยังเป็นสิ่งพิสูจน์ความแท้-เทียมขององค์พระ การแกะสลักแม่พิมพ์ไม่ว่าจะเป็นหิน
สบู่ หินชนวน หรือแม่พิมพ์ดินเผาจะเป็น“ต้นแบบ”ที่ยากจะทําเลียนแบบได้หากนําองค์พระไปถอดพิมพ์เพ่ือทํา
พิมพ์ใหม่ องค์พระจะมีขนาดเล็กลง ซึ่งในสายตาผู้ชํานาญการจะสังเกตได้จุดสังเกตที่ภาษานักสะสมพระเรียกว่า
“จุดตาย”นั้นก็คือเอกลักษณ์หรือตําหนิในแม่พิมพ์โดยเฉพาะส่วนลึกที่สุดขององค์พระจะเป็นส่วนสูงท่ีสุดของ
แม่พิมพ์ซ่ึงไม่คลาดเคลื่อนไม่ว่าพระองค์นั้นจะกดลึกหรือกดต้ืนแต่ตําหนิสําคัญก็จะคงอยู่สําหรับพระผงสุพรรณนั้น
สามารถแยกแม่พมิ พอ์ อกเป็น 3 แบบดว้ ยกันคอื พมิ พ์หน้าแก่ พิมพ์หนา้ กลางและพิมพห์ น้าหนุม่

พระผงสุพรรณพิมพ์หน้าแก่ น้ันเป็นพระพิมพ์เน้ือดินเผาศิลปะอู่ทองประทับน่ังปางมารวิชัย บานฐานเชียง
พระพักตร์มีเค้าความเหี่ยวย่น คล้ายคนชราภาพเป็นที่มาของช่ือ“พิมพ์หน้าแก่” ซึ่งมีจุดสังเกตดังนี้

- พระผงสุพรรณ พิมพ์หน้าแก่ มีเพียงแม่พิมพ์เดียว สาเหตุที่ดูเผินๆ แตกต่างกันน้ัน เน่ืองมาจากการผ่านการ
เผาทําให้ได้รับความร้อนไม่เท่ากัน ส่งผลให้ขนาด สีสัน วรรณะการหดตัวไม่เท่ากัน นอกจากนี้การตัด การบรรจุกรุ
สภาพการใชย้ งั สง่ ผลตอ่ การพิจารณาพระผงสุพรรณด้วย

- พระเนตรด้านซา้ ยขององค์พระยาวรลี กึ ปลายพระเนตรตวดั ขึน้ สงู กว่าพระเนตรดา้ นขวา
- พระนาสกิ หนาใหญ่ สองขา้ งมรี อ่ งลกึ ลงมารับพระโอษฐ์ ซ่ึงแยม้ เลก็ น้อย
- พระกรรณขวาขององคพ์ ระจะขมวดคลา้ ยมุน่ มวยผม ไรพระศกทอดยาวลงมามากกวา่ พระกรรณด้านซา้ ย
- เกือบบนสุดของพระกรรณขวามรี ่องลกึ เหมอื นรอ่ งหู และพระกรรณด้านบนเหนอื รอ่ งจะหนาใหญโ่ ค้งคล้าย
ใบหูมนุษย์
- ดา้ นในของพระกรรณซา้ ยจะมเี มด็ ผดคลา้ ยเมลด็ ขา้ วสารวางสลบั ไปสลบั มาเรื่อยมาถึงปลายพระกรรณ
- พระอรุ ะใหญก่ อ่ นจะคอดก่ิวมาทางพระนาภคี ล้ายหวั ชา้ ง
- ระหวา่ งพระอรุ ะกบั พระอังสะซ้ายขององคพ์ ระเว้าลกึ ปรากฏเปน็ รอยสามเหลี่ยม
- มเี ส้นบาง ๆ ลากผ่านเหนอื พระองั สะซ้ายไปจรดขอบนอกพระอรุ ะด้านซ้ายปลายเสน้ ปรากฏเมด็ ผดเลก็ ๆ ขน้ึ
เรยี งรายไดร้ าวนมซ้าย
- พระหัตถซ์ ้ายหนาใหญอ่ ยู่กึง่ กลางลาํ พระองค์ ปลายพระหตั ถ์ไมจ่ รดพระกรขวา เหมือนพมิ พห์ น้า
กลาง มองเห็นร่องพระหตั ถช์ ัดเจน
- ข้อพระกรขวาขององคพ์ ระด้านในเว้าลึก

พระผงสพุ รรณพมิ พห์ น้ากลาง มพี ทุ ธลกั ษณะเน้อื หาทรวดทรงสณั ฐานเชน่ เดียวกับพระผงสพุ รรณ พิมพ์
หน้าแกแ่ ตเ่ คา้ พระพักตรจ์ ะไมเ่ คร่งขรึมเหย่ี วยน่ เหมือนพิมพห์ นา้ แก่ ดูอม่ิ เอบิ สดใส คลา้ ยหนา้ หนุม่ ทไ่ี มส่ งู วัยมาก
และจะมแี ม่พมิ พ์เพยี งพมิ พเ์ ดยี ว มีลักษณะทนี่ ่าสังเกตดงั นี้

- พระพักตรอ์ ่มิ เอิบ ไมเ่ หยี่ วย่นชราภาพเหมอื นพมิ พห์ น้าแก่
- พระเนตรทั้งสองขา้ งไมจ่ มลกึ เท่าพิมพห์ นา้ แก่ ปลายพระเนตรด้านซา้ ยขององคพ์ ระตวดั เฉียงขึ้นเลก็ น้อย

50

หากพจิ ารณาใหด้ ีจะเหน็ ไดว้ า่ รูปพระพักตรร์ ะหวา่ งพระเนตรท้ังสองขา้ งวางได้ระดบั เทา่ กันท้ังสองข้างไม่เอยี ง
เหมอื นพมิ พห์ น้าแก่

- พระกรรณท้งั สองข้างจะเป็นเสน้ เอยี งลงตามเคา้ พระพกั ตรแ์ ละมคี วามยาวเกือบเทา่ กนั ท้งั สองข้าง
- ในองค์ทต่ี ิดพมิ พ์ชดั ปลายพระกรรณขวาขององคพ์ ระจะเรยี วยาวคล้ายจงอยที่ปลายงอเข้าหาดา้ นใน
เล็กน้อย สว่ นปลายพระกรรณซา้ ยขององคพ์ ระจะแตกเปน็ หางแซงแซว
- พระอรุ ะผายกวา้ งและสอบเพรยี วตรงพระนาภีดูคลา้ ยหัวช้าง
- พระหัตถซ์ ้ายวางทีห่ น้าตกั แตใ่ หส้ งั เกตปลายพระหัตถ์ก็จะยาวยน่ื ไปเกอื บชนลําพระกรขวาขององค์พระ ซึง่
จะแตกต่างจากพมิ พห์ นา้ แก่และพิมพ์หน้าหนมุ่
- ข้อพระกรขวาเวา้ ลึกอย่างเห็นไดช้ ดั
- ในองค์ทต่ี ิดชดั ขา้ งฝ่าพระหตั ถ์ขวามตี ง่ิ เน้อื เกินเลก็ ๆ วง่ิ จากโคนน้วิ ขึ้นดา้ นบน

พระผงสุพรรณพมิ พห์ น้าหนุ่ม เป็นพิมพ์ที่มีความลึก คมชัดเป็นอย่างยิ่ง ดูจากสภาพองค์พระท่ีปรากฏจะ
เห็นลักษณะการถอดออกจากแม่พิมพ์ค่อนข้างยากกว่าพระผงสุพรรณพิมพ์อ่ืน เหตุเพราะแม่พิมพ์มีความลึกมาก
เป็นพิเศษ ดังน้ัน จึงพบองค์สภาพสมบูรณ์น้อยมาก พระพักตร์จะดูอ่อนเยาว์ สดใสและเรียวเล็กกว่าพิมพ์อื่น
สมยั โบราณเรียกว่า “พิมพห์ นา้ หนู” ซ่ึงพระผงสพุ รรณ พิมพห์ น้าหนุ่มนม้ี แี ม่พิมพเ์ ดยี ว มขี ้อสังเกตดังน้ี

- พระพักตรด์ อู อ่ นเยาว์ สดใส แตกตา่ งจากพมิ พ์หน้าแกแ่ ละพมิ พห์ นา้ กลางอย่างเหน็ ได้ชดั
- พระเนตรท้ังสอข้างอยใู่ นระนาบเดยี วกนั ปลายพระเนตรซา้ ยขององคพ์ ระ ยกเฉียงข้ึนเลก็ นอ้ ย
- พระนาสิกหนาใหญต่ ง้ั เป็นสัน ริมพระโอษฐห์ นา
- พระกรรณจะแตกตา่ งจากพมิ พห์ นา้ แก่และพิมพห์ นา้ กลาง กล่าวคอื ต้งั ขนึ้ เป็นสนั แนบชดิ กับพระพกั ตรแ์ ละ
ยาวลงมาเกอื บจรดพระอังสะท้ังสองขา้ ง

2. พระขนุ แผน กรวุ ัดบ้านกร่าง สพุ รรณบรุ ี
ในบรรดาพระเครอ่ื งชน้ั นาํ ของเมอื ง สพุ รรณบุรี มกั มชี อื่ ของ“พระขนุ แผน”รวมอยู่ในพระกรยุ อดนยิ มต่างๆ
จาํ นวนมาก หนึ่งในจาํ นวนน้นั คือพระขุนแผน กรบุ า้ นกร่างเมอื งสุพรรณบุรี ซงึ่ เป็นพระกรโุ บราณ มีอายุการสรา้ ง
มาหลายรอ้ ยปกี ล่าวกนั ว่าความงดงามของพุทธศลิ ปะ นั้นโดดเด่นยิ่งนัก สว่ นพุทธคณุ นั้นกเ็ ลศิ ลํ้าเกนิ คาํ บรรยาย ทั้ง
เมตตา มหานิยม มหาเสน่ห์ ตลอดจน คงกระพนั ชาตรียากทจี่ ะหาพระพิมพ์ใดเสมอเหมอื น จดั เปน็ พระยอดนิยมช้นั
แนวหน้าของวงการมานาน
พระกรวุ ัดบ้านกร่าง พระดี พระดงั แหง่ เมอื งสุพรรณบุรี
วัดบ้านกร่างอันเป็นแหล่งกําเนิด“พระขุนแผน กรุบ้านกร่าง”อัน เลื่องช่ือนี้ ตั้งอยู่ที่ ตําบล ศรีประจันต์
จังหวัด สุพรรณบุรีอยู่ทางฝ่ังตะวันออกของแม่น้ําท่าจีน หรือ แม่นํ้าสุพรรณบุรีตรงข้ามกับท่ีว่าการอําเภอ
ศรีประจันต์ วัดน้ีเป็นวัดโบราณท่ีสร้างมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา พระเคร่ือง กรุวัดบ้านกร่างแตกกรุจากเจดีย์
หลังพระวิหารเก่าในบริเวณ วัดบ้านกร่าง เม่ือราว พ.ศ. 2447 มีเรื่องเล่ากันว่า ตอนท่ีพระแตกกรุออกมาใหม่ๆ
พวกพระสงฆแ์ ละชาวบา้ นไดน้ ําพระท้ังหมด มากมายหลายพิมพ์ มาวางไว้ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ใกล้วิหารเด็กวัดในสมัยน้ัน
ได้นํา พระที่วางไว้มาเล่นร่อนแข่งขันกันในลําน้ําสุพรรณบุรีเป็นที่สนุกสนาน เน่ืองจากว่า ในสมัยนั้น พระวัดบ้าน
กรา่ ง ยังไมม่ มี ูลคา่ และ ความนยิ มมากมายเหมอื นดงั เชน่ ปัจจุบัน
ทม่ี าแห่งชอื่ “พระขุนแผน”
ช่ือ”พระขุนแผน”ทั้งของเมืองสพุ รรณ หรือขุนแผน เมืองไหนก็ตาม เป็นการเรียกช่ือ พระของคนสมัยหลัง
เพราะคนโบราณสร้างพระพิมพ์ ไม่เคยพบหลักฐาน ว่ามีการต้ังชื่อพระเอาไว้ด้วยมีแต่คนรุ่นหลังท่ีไปขุดพบ
พระพิมพ์เป็นผู้ต้ังช่ือให้ทั้งสิ้น พระกรุวัดบ้านกร่าง ก็เช่นเดียวกัน เมื่อแตกกรุใหม่ๆ ก็ไม่มีชื่อคนสุพรรณบุรี ยุคน้ัน


Click to View FlipBook Version