101
6. มีวิสัยทัศน์ท่ีกว้างไกล รู้จักมองภาพอนาคตให้กว้างไกลว่าอาชีพท่ีทําอยู่นั้นมีแนวโน้มจะเปล่ียนแปลง
หรือพัฒนาไปในทิศทางใด และจําเป็นต้องปรับปรุงเปล่ียนแปลงส่ิงใดบ้างท่ีจะช่วยให้สามารถพัฒนาอาชีพให้
กา้ วหนา้ ต่อไป
2.2 อาชพี อิสระ
อาชีพอิสระ หมายถึง อาชีพทุกประเภทที่ผู้ประกอบการดําเนินการด้วยตนเองแต่เพียงผู้เดียว หรือลงทุน
ร่วมกับผู้อ่ืน ไม่มีเงินเดือนหรือรายได้ที่แน่นอน มีรายได้ในรูปของกําไรจากการดําเนินกิจการ อาชีพอิสระท่ีเป็น
กิจการขนาดย่อมไม่จําเป็นต้องใช้คนจํานวนมาก เจ้าของกิจการเป็นผู้ลงทุนและจําหน่ายสินค้าเอง มีการคิดและ
ตัดสินใจด้วยตนเองทุกเรื่อง ซ่ึงช่วยใช้การพัฒนางานอาชีพเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ
สามารถกําหนดรูปแบบและวิธีการดําเนินงานได้อย่างอิสระตามท่ีเห็นว่าเหมาะสม อาชีพอิสระแบ่งออกเป็น 2
ลกั ษณะ
1. อาชีพอิสระที่ทําได้ตามลําพัง เชน่ การทํางานประดิษฐ์ การวาดภาพ การรับจัดดอกไม้ การเปิดร้าน
ซ่อมเครอ่ื งไฟฟา้ การเปิดร้านซัก-อบ-รดี การเล้ยี งสตั ว์ เป็นตน้
2. อาชีพอิสระทต่ี อ้ งมีผชู้ ว่ ยหรือลกู มือ เชน่ การเปิดร้านขายอาหาร การเปิดร้านอินเตอร์เน็ต การเปิดร้าน
ขายหนังสือ เป็นตน้
ความสาํ คญั ของการประกอบอาชีพอิสระ
การประกอบอาชีพอสิ ระมคี วามสําคัญและมสี ว่ นช่วยในการพัฒนาประเทศท้งั ในดา้ นเศรษฐกจิ การเมอื ง
และสงั คม ซึ่งมคี วามสาํ คญั หลายประการดงั ตอ่ ไปน้ี
1. เปิดโอกาสให้มีการประกอบอาชีพ ผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระจะต้องเปน็ ผู้ท่ีมีความรู้ ความสามารถ มี
ความคดิ สรา้ งสรรค์ มีแนวคิด มคี วามกลา้ เสีย่ ง และตอ้ งประกอบกิจการด้วยตนเอง โดยเริ่มต้นทําธุรกิจหรือกิจการ
ขนาดเล็กซึ่งใช้เงินลงทุนน้อย ว่าจ้างพนักงานจํานวนน้อย หรือทําด้วยตนเองก่อน เม่ือมีประสบการณ์มากข้ึนจึง
พฒั นาและขยายกจิ การใหม้ ขี นาดใหญข่ นึ้ ในอนาคต
2. ก่อให้เกิดการจ้างงาน การประกอบอาชีพอิสระโดยการทําธุรกิจหรือกิจการขนาดเล็กทําให้เกิดการ
ว่าจา้ งแรงงานในชุมชน ทั้งแรงงานท่ีไร้ฝีมือและมีฝีมือ โดยเฉพาะแรงงานไร้ฝีมือจะได้รับการพัฒนาในการทํางาน
เฉพาะดา้ น ทาํ ให้มคี วามชํานาญ มปี ระสบการณท์ าํ งานเพมิ่ ขน้ึ และพฒั นาเป็นแรงงานทมี่ ีฝมี อื ได้
3. ส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจหรือกิจการขนาดใหญ่ การประกอบอาชีพอิสระโดยการทําธุรกิจหรือกิจการ
ขนาดเล็กเป็นแหล่งที่ช่วยให้การผลิตวัตถุดิบเพ่ือนําไปใช้ในการผลิตสินค้าของธุรกิจหรือกิจการขนาดใหญ่
นอกจากนี้สินค้าที่ผลิตได้จากธุรกิจหรือกิจการขนาดใหญ่ยังจําเป็นต้องอาศัยธุรกิจหรือกิจการขนาดเล็กเพ่ือนําไป
จัดจาํ หน่ายแก่ผู้บริโภคตอ่ ไป
4. แหล่งระดมเงินทุน การประกอบอาชีพอิสระโดยการทําธุรกิจหรือกิจการขนาดเล็กทําให้เกิดการระดม
เงินทุน จากบุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการ เช่น เงินทุนของผู้ประกอบการบิดามารดา ญาติพ่ีน้อง เพื่อน หรือ
แหล่งระดมเงินทุนต่างๆ เช่น ธนาคาร บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ การระดมเงินทุนดังกล่าวทําให้เกิดการลงทุนใน
ประเทศซ่งึ สง่ ผลให้มีเงนิ หมนุ เวยี นในระบบเศรษฐกจิ ของประเทศ
5. พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ถ้ามีผู้ประกอบอาชีพอิสระจํานวนมากจะทําให้เกิดการแข่งขัน มีการ
กระจายรายได้อย่างท่ัวถึง นอกจากนี้ยังช่วยลดปัญหาการว่างงาน ประชาชนมีรายได้ ส่งผลให้ปัญหาอาชญากรรม
ลดลง มีความมนั่ คงของประเทศ ประชาชนมคี วามเปน็ อยูท่ ่ีดีขึ้น
ความพร้อมในการประกอบอาชพี อิสระ
102
การประกอบอาชีพอิสระจําเป็นต้องสํารวจตนเองก่อนว่ามีความพร้อมในด้านต่างๆ มากน้อยเพียงใด โดย
พิจารณาว่าจะประกอบอาชีพอะไร โอกาสและความสําเร็จมีมากน้อยเพียงใดต้องเตรียมตัวอย่างไรจึงจะทําให้
ประสบความสําเรจ็ โดยพจิ ารณาถึงความพรอ้ มดังตอ่ ไปน้ี
1. ความพร้อมด้านทรัพยากร ในการประกอบอาชีพอิสระทรัพยากรเป็นปัจจัยท่ีจําเป็นและสําคัญต่อการ
ผลิตและการบริการ จึงต้องพิจารณาว่าทรัพยากรท่ีต้องใช้น้ันมีหรือไม่ มีจํานวนเท่าใด และจะหาได้จากแหล่ง
ใดบ้าง ทรพั ยากรทใี่ ช้ในการผลติ และการบริการ ไดแ้ ก่
1.1. แรงงาน เป็นสิ่งที่สําคัญและจําเป็นต้องใช้ในการประกอบอาชีพอิสระทุกประเภทจึงต้อง
พิจารณาว่าต้องใชผ้ ู้ร่วมงานหรือไม่ จํานวนก่ีคน ต้องมีความถนัดหรือความสามารถเฉพาะด้านหรือไม่ ถ้าต้องการ
จะหาได้หรอื ไม่ โดยวิธใี ด
1.2. เงินทนุ ต้องประมาณการว่าต้องใช้เงินทุนจํานวนเท่าใด มีเงินทุนหรือยัง จํานวนเท่าใด ถ้ามี
ไมพ่ อจะหาไดจ้ ากแหลง่ ใด
1.3. วสั ดอุ ปุ กรณ์ รวมถึงเครอื่ งมอื เครอ่ื งใช้ในการประกอบอาชีพอิสระ ต้องศึกษาว่าอาชีพที่เลือก
จะต้องใช้วัสดุอุปกรณ์อะไรบ้าง มีหรือไม่ จํานวนเท่าใด หากยังไม่มีจะหาได้อย่างไร หรือถ้าต้องการซื้อจะซ้ือจากที่
ไหน โดยวิธีใด
1.4. วัตถุดิบ เป็นปัจจัยสําคัญที่ขาดไม่ได้สาหรับการประกอบอาชีพอิสระด้านการผลิตสินค้า
จงึ ตอ้ งพิจารณาว่าต้องใช้วัตถดุ บิ อะไรบ้าง จะหาได้จากแหลง่ ใด และโดยวธิ ีใด
1.5. สถานประกอบการ สถานที่ท่ีจะใช้เปน็ ที่ประกอบอาชีพอิสระย่อมข้นึ อยู่กับลักษณะของแต่
ละอาชพี บางอาชพี ต้องพจิ ารณาทาํ เลท่ีตง้ั เชน่ การจําหน่ายสนิ ค้าควรเลือกทาํ เลท่ตี ัง้ ทีอ่ ยรู่ มิ ถนนในยา่ นชมุ ชน แต่
ถ้าเปน็ สถานทีผ่ ลติ ควรเลอื กสถานทีใ่ กล้แหลง่ วัตถุดิบ เปน็ ต้น
2. ความพร้อมของตนเอง ปัจจัยสําคัญประการหน่ึงท่ีมีผลต่อความสําเร็จในการประกอบอาชีพอิสระ คือ
ความพร้อมของตัวผู้ประกอบการเอง ก่อนการตัดสินใจเลือกอาชีพอิสระจะต้องสํารวจความพร้อมของตนเองก่อน
เพื่อให้มีความเช่ือม่ัน และม่ันใจได้มากย่ิงข้ึนว่าอาชีพใดเหมาะสมกับตนเองมากท่ีสุด โดยสํารวจความพร้อมของ
ตน เองดา้ นตา่ งๆ ดังตอ่ ไปนี้
2.1. ด้านความรู้ ความสามารถและความถนัด ควรจะพิจารณาว่าอาชีพอิสระท่ีจะทํานั้นต้องใช้
ความรู้ ความสามารถและความถนัดในด้านใดบ้าง มากน้อยเพียงใด และตนเองมีคุณสมบัติตรงกับอาชีพอิสระนั้น
หรอื ไม่ และจะหาความรูเ้ พ่มิ เติม หรอื หาผูร้ ว่ มงานทมี่ ีความถนดั ดา้ นนนั้ ๆ ไดอ้ ย่างไร
2.2. ดา้ นความชอบและความต้องการ ควรจะพิจารณาว่าตนเองมีความชอบและความต้องการใน
การประกอบอาชีพอิสระอะไร เพราะเหตุใด แล้วเลือกอาชีพอิสระที่ชอบและมีความต้องการมากท่ีสุดซึง่ จะทําให้มี
ความสุขกับการประกอบอาชีพ เกดิ ความภูมใิ จในอาชพี และจะประสบผลสาํ เรจ็ ในอาชีพนนั้ ๆ ดว้ ย
2.3. ลักษณะนิสัย คุณลักษณะของผู้ประกอบการในแต่ละอาชีพย่อมมีความแตกต่างกัน เช่น
ผู้ประกอบอาชีพผลิตสินค้าหรือจําหน่ายสินค้า ควรเป็นผู้มีนิสัยกล้าได้กล้าเสยี ชอบบุกเบิก มีความอดทน มีความ
ทันสมัย รู้ความต้องการของตลาด รู้จุดอ่อนและจุดเด่นของคู่แข่งขันส่วนผู้ประกอบการอาชีพบริการ ควรมีนิสัย
ชอบบรกิ ารผอู้ ื่น มมี นุษยสมั พันธด์ ี ชอบพบประกับคนทั่วๆ ไป มีความสุภาพอ่อนโยน เป็นตน้
103
คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชพี อิสระ
การประกอบอาชีพอิสระเป็นอาชีพส่วนตัวท่ีไม่มีการกําหนดมาตรฐานลักษณะงาน ซึ่งแต่ละบุคคลมีอิสระ
ในการกําหนดรูปแบบการทํางานของตนเองการประกอบอาชีพอิสระมีหลากหลายประเภทซ่ึงมีคุณสมบัติแตกต่าง
กนั ดังตัวอยา่ งตอ่ ไปนี้
1. อาชีพค้าขาย ได้แก่ พ่อค้า แม่ค้า ที่ขายสินค้าในตลาด ร้านขายของชา หรือสถานท่ีต่างๆ ผู้ประกอบ
อาชีพค้าขายควรมคี ุณสมบัตดิ ังนี้
1.1. มีมนุษยสัมพันธ์ มีอัธยาศัยดี ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาไพเราะ เพ่ือสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้ามาซ้ือ
สนิ คา้
1.2. มคี วามอดทนและไม่ย่อทอ้ ต่อความยากลําบาก
1.3. มคี วามขยนั ความรับผดิ ชอบ และมรี ะเบยี บวนิ ัยตอ่ ตนเอง
1.4. มีเงินลงทุนและเงินหมุนเวียน อาชีพค้าขายจะต้องมีเงินลงทุนในการลงทุน และมีเงิน
หมนุ เวียนเพื่อสํารองจ่ายลว่ งหนา้ ในการจัดเตรยี มวตั ถุดบิ และค่าใช้จา่ ยตา่ งๆ ในกจิ การ
2. อาชีพนักสร้างเว็บเพจ เป็นอาชีพอิสระที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเว็บเพจในอินเตอร์เน็ต เช่น การสร้าง
เว็บเพจโฆษณา การสร้างเว็บเพจเพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร เป็นต้น ข้อดีของการประกอบอาชีพน้ี คือ สามารถ
ทํางานท่ีบ้าน ได้ มีรายได้ดี สาหรับข้อเสีย คือ เสียค่าใช้จ่ายสูงในการศึกษา ทั้งเล่าเรียนและอุปกรณ์ต่างๆ
ผู้ประกอบอาชีพนกั สรา้ งเว็บเพจควรมีคุณสมบตั ิ ดังน้ี
2.1. มีความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์ นักสร้างเว็บเพจต้องมีความรู้ มีความชํานาญทางด้าน
คอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะการใช้อินเตอร์เน็ตต้องมีความชํานาญเป็นพิเศษ โดยต้องศึกษาเกี่ยวกับด้านนี้โดยตรง
ซงึ่ ปัจจุบันเปดิ สอนทงั้ โปรแกรมนักสรา้ งเวบ็ เพจ หรอื การเปน็ นักสร้างเวบ็ เพจมืออาชพี
2.2. มีความคดิ สรา้ งสรรค์ นักสร้างเว็บเพจตอ้ งพยายามสรา้ งเวบ็ เพจของตนเองให้มีความโดดเด่น
สะดุดตากว่าเว็บเพจอ่ืนๆ เพ่ือให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายหรือผู้เข้าชมเว็บเพจสนใจแล้วเข้ามาชมหลายๆ คร้ัง
เพราะฉะนนั้ ต้องสรา้ งเว็บเพจทส่ี รา้ งสรรคใ์ ห้แปลกใหม่และน่าสนใจ
2.3. มีความรับผิดชอบ ขยนั อดทน และซ่อื สตั ย์
3. อาชีพเจ้าของร้านอาหาร เป็นอาชีพอิสระท่ีผู้ประกอบการเป็นพ่อครัวหรือแม่ครัวในร้านอาหารด้วย
ตนเอง อาหารจะอร่อยหรือไมน่ นั้ ข้นึ อยู่กบั ฝมี ือการทําอาหารของพ่อครัวหรอื แมค่ รวั ถ้าอาหารรสชาติอร่อยก็จะทํา
ให้มีลกู ค้าเป็นจาํ นวนมาก ซ่งึ จะทาํ ใหร้ ้านอาหารมรี ายไดจ้ ํานวนมากเช่นกัน ผู้ประกอบการควรมีคณุ สมบตั ิดงั นี้
3.1. ชอบทําอาหาร พ่อครัวหรือแม่ครัวท่ีดีจะต้องชอบทําอาหาร ชอบรับประทาน ชิมอาหาร
ตา่ งๆ และมีฝีมอื ดา้ นการประกอบอาหารในระดับดพี อใช้
3.2. มีความคิดสร้างสรรค์ พ่อครัวหรือแม่ครัวควรมีความสามารถคิดค้นสูตรอาหารด้วยตนเอง
และสามารถดดั แปลงอาหารแปลกๆ ทีไ่ มซ่ ํ้าซากจําเจโดยอาจดัดแปลงส่วนผสมบางชนิด หรือดัดแปลงช่ืออาหารให้
สะดดุ ตาและดึงดดู ความสนใจจากลกู คา้
3.3. มีความขยนั อดทน และมีความรบั ผิดชอบต่อตนเองและลกู ค้า แนวทางในการประกอบธรุ กจิ
การเลือกประเภทธรุ กิจ
การประกอบธุรกจิ สามารถเลอื กไดต้ ามความเหมาะสมของแตล่ ะบุคคล โดยเลือกประกอบธุรกจิ เจ้าของคน
เดียวหรือรวมกันกบั บคุ คลอ่นื จากประเภทของธุรกจิ ต่อไปน้ี
1. ธุรกิจการผลิต เป็นอาชีพท่ีผู้ประกอบการดําเนินธุรกิจ โดยนําวัตถุดิบและปัจจัยในการผลิตมาผ่าน
กระบวนการต่าง ๆ เพื่อผลิตสินค้าออกจําหน่าย ได้แก่ การผลิตสินค้าทางการเกษตร เช่น การทําสวน การทําไร่
104
การเล้ียงไก่ ทําของที่ระลึกจากวัสดุทางการเกษตร และการผลิตสินค้าทางอุตสาหกรรมขนาดเล็ก เช่น การตัดเย็บ
เสื้อผ้า การทอผา้ การประดิษฐ์เคร่อื งใชแ้ ละเคร่ืองประดับ เปน็ ตน้
2. ธุรกิจขายสินค้า เป็นการดําเนินธุรกิจเกี่ยวกับการตลาดโดยผู้ประกอบการซ้ือสินค้ามาจากผู้ผลิตแล้ว
นํามาจําหน่ายให้แก่ผู้บริโภค มีทั้งการขายส่งและการขายปลีก เช่น การขายเส้ือผ้า การขายอาหารการขายของที่
ระลกึ การจาํ หน่ายสินคา้ ในร้านสะดวกซอื้ เป็นต้น
3. ธุรกิจบริการ เป็นการดําเนินธุรกิจเกี่ยวกับการให้บริการในรูปแบบต่าง ๆ โดยผู้ประกอบการแนะนํา
บริการหรือสิ่งอํานวยความสะดวกที่สร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้บริโภค เช่น การบริการ เสริมสวย การซ่อมรถยนต์
การบรกิ ารนาํ เท่ยี ว เปน็ ต้น
การเตรยี มความพรอ้ มเพ่อื ประกอบธรุ กจิ
การที่จะตัดสินใจประกอบธรุ กจิ ด้วยตนเองหรือไม่ บคุ คลน้ันจําเป็นต้องประเมินตนเองว่ามคี วามพร้อมมาก
นอ้ ยเพียงใด การประเมนิ ความพร้อมเพ่อื ที่จะเป็นผูป้ ระกอบการ ไดแ้ ก่
1. ด้านบุคลิกภาพส่วนบุคคล บุคคลท่ีจะเปน็ ผปู้ ระกอบการไดน้ ัน้ ควรเปน็ ผู้ท่มี ีความพรอ้ มดงั นี้
1.1 มีสุขภาพดที ้ังร่างกายและจติ ใจ
1.2 มีเป้าหมายชัดเจนในการดาเนินธรุ กจิ
1.3 มปี ระสบการณ์หรอื ผ่านการฝกึ อบรมเก่ียวกับการประกอบธุรกจิ
1.4 พรอ้ มท่จี ะทาํ งานหนกั และมคี วามอดทน
1.5 มีความมนั่ ใจในตนเอง
1.6 สามารถตัดสนิ ใจได้อย่างรวดเรว็ และถกู ตอ้ ง
1.7 มคี วามคดิ สรา้ งสรรค์
1.8 มีความสุขกบั การเรยี นรูส้ ิ่งใหม่ ๆ
1.9 กล้าเสีย่ ง
1.10 ได้รบั การสนับสนนุ จากครอบครัว
1.11 มมี นษุ ยสมั พนั ธ์
2. ด้านการเงิน ผู้ประกอบการต้องมีความสามารถในการตัดสินใจเกี่ยวกับฐานะทางการเงินของกิจการได้
เป็นอยา่ งดี รู้ถึงความตอ้ งการเก่ียวกับเงนิ ทนุ ค่าใชจ้ ่าย ยอดขาย รายได้หรือกําไรท่ีจะได้รบั รู้จักการบริหารจัดการ
โดยใช้งบประมาณและการควบคุม ซ่งึ ผปู้ ระกอบการจะตอ้ งมีคุณสมบัตใิ นการจัดการทาํ งานการเงนิ ดงั นี้
2.1 มีความสามารถในการหาแหล่งเงินทนุ หรอื มเี งินทุนเป็นของตนเอง
2.2 สามารถคาดคะเนรายรับ รายจ่าย และกาํ ไรไดถ้ กู ต้อง
2.3 มีความสามารถในการจัดเตรยี มงบประมาณและดําเนนิ งานตามงบประมาณ
2.4 สามารถเกบ็ บนั ทกึ ทางการเงนิ และรายงานผลทางการเงินได้
3. ด้านการตลาด การตลาดเป็นช่องทางท่ีก่อให้เกิดรายได้ของธุรกิจ ผู้ประกอบการจึงต้องจัดการสินค้า
กําหนดราคา จัดจําหน่าย และส่งเสริมการขาย ซ่ึงคุณสมบัติด้านการตลาดโดยท่ัวไปของผู้ประกอบการท่ีประสบ
ความสําเรจ็ มดี ังนี้
3.1 มคี วามสามารถในการใช้กลยทุ ธด์ า้ นสินค้า ราคา การจัดจําหน่าย และการสง่ เสริม การขาย
3.2 มคี วามสามารถในการประเมินความตอ้ งการของกลุม่ ลูกค้าเปา้ หมาย
3.3 ระบุจุดอ่อนและจดุ แขง็ ของคแู่ ขง่ ขันได้
3.4 แสวงหากลยุทธ์ใหม่ ๆ เพอื่ ตอบสนองความต้องการของลูกคา้ อยเู่ สมอ
105
3.5 มคี วามสามารถในการสง่ เสริมการขาย เชน่ ใหบ้ รกิ ารลูกคา้ ด้วยความเตม็ ใจ
4. ด้านการบรหิ ารงานทว่ั ไป ผูป้ ระกอบการทป่ี ระสบความสาํ เร็จจะตอ้ งมีความสามารถในการบริหารงาน
ทั่วไปที่เก่ียวข้องกับการวางแผน การบริหารการเงิน บุคลากร วัสดุ อุปกรณ์และเครื่องมือเพ่ือให้การบริหารงาน
บรรลุเป้าหมาย ซงึ่ คุณสมบัติดา้ นการบรหิ ารงานทว่ั ไปของผปู้ ระกอบการท่ปี ระสบความสําเร็จมดี ังน้ี
4.1 สามารถกําหนดนโยบายของกจิ การได้
4.2 สามารถวางแผนการทางานได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ
4.3 มคี วามสามารถในการตัดสนิ ใจ
4.4 มีความสามารถในการคัดเลอื กบุคลากรเข้ามารว่ มงาน
4.5 มีความสามารถในการจูงใจบุคลากรให้ทาํ งานบรรลตุ ามเปา้ หมาย
4.6 มีความสามารถในการปกครองและมคี วามยตุ ธิ รรม
4.7 มคี วามโปร่งใสในการบรหิ ารจดั การ
4.8 มีความสามารถในการประเมนิ ผลงาน
ข้อควรคาํ นงึ ในการตัดสินใจเลอื กประกอบธุรกจิ
การประกอบธุรกิจหากมีความรู้ ประสบการณ์และมีเงนิ ทุนแล้ว ก็สามารถประกอบธุรกิจได้ทันที แต่ถ้ายัง
ไม่กล้าตัดสินใจว่าจะเลือกประกอบธุรกิจประเภทใดจึงจะเหมาะสมกับการลงทุน อาจใช้วิธีการวิเคราะห์และ
พจิ ารณาเลือกดงั น้ี
1. ธุรกิจจากงานหรือกิจกรรมที่ชอบ ทุกคนเกิดมาใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตไปกับการทํางานหากแต่ละ
คนไดเ้ ลอื กทํางานทตี่ นเองชอบ ยอ่ มทุ่มเท เสยี สละ มคี วามสุขกบั งาน และอุทศิ ทกุ อยา่ งให้กบั งานเพ่ือผลสาํ เรจ็ ของ
งาน ตรงกันข้ามถ้าบุคคลนั้นได้ทํางานท่ีตนเองไม่ชอบ การอุทิศตน การทุ่มเทให้กับงานก็จะไม่เกิดข้ึน จึงเป็นการ
ทํางานตามหน้าท่ีหรือทําอย่างฝืนใจตนเอง ผลท่ีได้จากการทํางาน คือ ความเบ่ือหน่ายและเลิกราไปในที่สุด ดังจะ
เห็นได้จากสภาพสังคมปัจจุบันที่หลาย ๆ คนเปล่ียนงานบ่อยมาก หรือประกอบธุรกิจประเภทหนึ่งได้ไม่นานก็
เปลยี่ นอีก เชน่ เข้าทาํ งานเป็นลูกจ้างบัญชีในบริษัท มีเงินเดือนเป็นรายได้ประจํา ต่อมาลาออกไปเป็นพนักงานขาย
แล้วลาออกมาประกอบธุรกิจขายเสื้อผ้าสําเร็จรูปและขายอาหารตามสั่ง ที่เป็นเช่นน้ีอาจเป็นเพราะเริ่มต้นทําธุรกิจ
โดยไม่ได้พิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบว่าตนเองทําในสิ่งที่ชอบและมีความสนใจจริงหรือไม่ แต่ทําไปเพราะคิด
อยากทาํ จงึ เกิดความลม้ เหลวในที่สุด ความชอบและความพอใจในงานเกิดขึ้นไดห้ ลายรปู แบบ แตล่ ะคนมีความชอบ
ในงานอดิเรกแตกต่างกัน หากสนใจเรียนรู้จากงานอดิเรกนั้น ๆ พยายามส่ังสมประสบการณ์ และนําประสบการณ์
มาใช้กส็ ามารถนาํ ไปส่กู ารประกอบธรุ กิจไดเ้ ช่นกนั เชน่ คนที่มีงานอดเิ รกเล่นกอลฟ์ อาจประกอบธุรกิจขายอุปกรณ์
กีฬากอล์ฟ หรืองานอดิเรกสะสมตุ๊กตา อาจประกอบธุรกิจทําเส้ือผ้าตุ๊กตาหรือคนที่รักสุนัขและแมว อาจประกอบ
ธรุ กิจขายอาหารสัตว์หรือทําเส้ือผ้าของใชส้ าํ หรบั สุนัข และแมว เปน็ ต้น
แนวทางการประกอบธุรกิจจากงานหรือกิจกรรมทช่ี อบ
งานหรือกจิ กรรมทชี่ อบ แนวทางการประกอบธรุ กจิ
1. ชอบทําอาหาร
1. เปดิ ร้านอาหารตามส่งั
2. ชอบแตง่ ตัว 2. เปดิ ร้านขายกว๋ ยเตยี๋ ว
3. เปดิ ร้านขายอาหารเพ่ือสขุ ภาพ
1. เปดิ รา้ นขายเสื้อผ้า
2. เปดิ ร้านเสริมสวย
106
3. ชอบดนตรี 1. เปิดสอนดนตรี – สอนรอ้ งเพลง
4. ชอบกฬี า 2. เปดิ รา้ นขายเคร่อื งดนตรี
5. ชอบเครอื่ งยนต์
6. ชอบทอ่ งเทย่ี ว 1. เปดิ สอนกีฬา
7. ชอบต้นไมแ้ ละดอกไม้ 2. เปดิ รา้ นขายอุปกรณ์กฬี า
8. ชอบเยบ็ ปักถกั รอ้ ย 3. เปิดให้บรกิ ารสถานออกกาํ ลงั กาย
9. ชอบคอมพวิ เตอร์
1. เปิดรา้ นขายรถยนต์
2. เปิดรา้ นขายช้นิ ส่วนรถยนต์
3. ตง้ั โรงงานผลติ อะไหล่รถยนต์
1. จดั บรกิ ารการทอ่ งเทีย่ วตามสถานทต่ี า่ ง ๆ
2. เปดิ รา้ นขายของท่รี ะลึก
3. เปิดรา้ นขายตั๋วเดินทาง
1. เปิดร้านขายตน้ ไม้
2. เปดิ ร้านจัดดอกไม้
3. รบั จัดสวนหยอ่ ม
1. เปดิ รา้ นตดั เยบ็ เสอ้ื ผ้า
2. เปดิ ร้านขายเคร่อื งประดบั
3. เปิดรา้ นขายอุปกรณเ์ ยบ็ ปักถกั รอ้ ย
1. เปดิ ร้านขายคอมพิวเตอร์
2. เปดิ สอนคอมพวิ เตอร์
3. เปิดร้านอนิ เตอรเ์ นต็
2. ธุรกิจที่ตอบสนองความต้องการของตลาด เม่ือตัดสินใจที่จะประกอบธุรกิจประเภทใดแล้ว สิ่งที่
ผ้ปู ระกอบการใหมไ่ มค่ วรมองขา้ ม คือ ความตอ้ งการของตลาดหรอื ลกู ค้าหรอื ผู้บรโิ ภคเพราะผูป้ ระกอบการบางราย
มคี วามร้แู ละประสบการณ์ดา้ นการผลติ เป็นอย่างดี แต่ขาดความรู้ดา้ นการตลาด ไม่สนใจในความตอ้ งการของลกู ค้า
หรือผู้บริโภค ซ่ึงเป็นจุดสําคัญทจี่ ะนําธุรกิจไปสู่ความสําเร็จ ดังน้ัน ผู้ประกอบการต้องศึกษาสินค้าและบริการให้
เข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับจากการใช้สินค้านั้น ๆ เช่น ลูกค้าซื้อเครื่องปรับอากาศเพ่ือทําให้
ห้องนั่งเล่นไม่ร้อย หรือซื้อรถยนต์เพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง หรือซื้อวิตามินเพื่อบํารุงร่างกาย
ซื้อผลิตภัณฑ์โอทอป (OTOP) เพื่อเป็นของฝากเพื่อนและญาติ เป็นต้น ธุรกิจในปัจจุบันมีการแข่งขันกันสูง สินค้า
บางชนิดเป็นที่คุ้นเคยในตลาด หากมีการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์หรือสินค้าเดิมย่อมทําให้ผู้ประกอบการใหม่
ประสบความสําเร็จได้ การเลือกทําเลท่ีต้ังของ ธุรกิจก็เป็นส่ิงสําคัญ เช่น ร้านขายอาหารส่วนใหญ่จะต้ังอยู่บริเวณ
ใกล้เคยี งกัน แตถ่ า้ เปน็ ร้านขายของชาควรตั้งใกล้ท่ีพักอาศัยและห่างไกลจากคู่แข่งขัน การตอบสนองความต้องการ
ของลูกค้าหรือผู้บริโภคน้ันอาจเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา เช่น สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ท่ีเคยขายดีในช่วงเวลาหน่ึงแต่
เม่ือมีเทคโนโลยีใหม่เข้ามาอาจทําให้ผลิตภัณฑ์น้ันไม่เป็นท่ีต้องการของตลาดได้ ผลิตภัณฑ์จึงควรได้รับการพัฒนา
ปรับเปลี่ยนใหท้ นั และตรงกับความต้องการและรสนิยมของผ้บู ริโภค หรือธุรกิจประเภทเดียวกันประสบความสําเร็จ
ในท่ีแห่งหนึ่ง แต่อาจไม่ประสบความสําเร็จในท่ีอีกแหง่ หน่ึงก็ได้ ท้ังน้ีขึ้นอยู่กับลูกค้าหรือผู้บริโภค เชน่ ถ้าลกู ค้าใน
แหลง่ หมูบ่ ้านจัดสรรเป็นคนหนุ่มสาวอาศยั อยู่ กค็ วรเปดิ ร้านอาหาร ซูเปอรม์ าร์เกต็ แต่ถ้าเป็นย่านธุรกจิ การค้า ควร
107
เปิดร้านขายเส้ือผ้าสวย ๆ ราคาแพง ร้านขายตั๋วเครื่องบิน หรือในย่านคนมีรายได้น้อย ควรหลีกเลี่ยงการจําหน่าย
สินคา้ ท่มี ีราคาแพง เป็นตน้
3. ธุรกิจท่ีเหมาะสมกับเวลา จังหวะเป็นส่ิงที่สําคัญมากสําหรับสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ สินค้าบางชนิด
กว่าที่ตลาดจะรู้จักและยอมรับต้องใช้เวลานานนับสิบปี แต่สินค้าบางชนิดใช้ระยะเวลาส้ันก็เป็นที่รู้จักและยอมรับ
ของตลาดแลว้ การนําเสนอผลติ ภณั ฑ์ใหมใ่ นเวลาทีเ่ หมาะสม จึงเป็นส่งิ ทชี่ ่วยให้บรรลุวตั ถุประสงค์ได้
ผลติ ภัณฑก์ ็มีวงจรชวี ิต เช่นเดียวกบั มนษุ ย์ทม่ี ีการเกดิ แก่ เจบ็ ตาย นบั ต้ังแตผ่ ลิตภัณฑ์เริ่มออกสู่ตลาด ซึ่ง
เปรยี บเหมือนคนเกิด จนกระทัง่ ตลาดหมดความนิยมผลิตภัณฑ์ ซึ่งเปรียบเหมือนความตายของผลิตภัณฑ์ ในแต่ละ
ขั้นก็จะประสบกับปัญหาต่าง ๆ ทางด้านการแข่งขันท่ีแตกต่างกัน การพิจารณาชีวิตของผลิตภัณฑ์ที่จะทําให้เกิด
ความสําเรจ็ ได้ อาจแบ่งวงจรชีวิตของผลิตภณั ฑอ์ อกเปน็ 5 ขอ้ คอื
1) ขั้นแนะนําสนิ คา้ ออกสตู่ ลาด (Introduction)
2) ขน้ั ความเจรญิ เตบิ โตหรอื ข้ันการขยายตวั ของตลาด (Growth)
3) ขน้ั เจรญิ สูงสดุ (Maturity)
4) ขนั้ ตลาดอ่ิมตวั (Saturation)
5) ข้ันตลาดตกตํ่า (Decline)
วงจรชีวติ ของผลติ ภณั ฑแ์ ตล่ ะประเภทจะมีความตา่ งกันออกไป ไม่มีกําหนดแน่นอน ขึ้นอยู่กับประเภทของ
ผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์บางชนิดมีวงจรชีวิตส้ัน เช่น เสื้อผ้าแฟชั่น บางชนิดมีวงจรชีวิตยาวนับสิบปี เช่น รถยนต์ และ
ระยะเวลาในแต่ละข้ันของวงจรชีวิตก็ไม่เท่ากัน บางชนิดใช้เวลานําผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดเพียงไม่กี่สัปดาห์ตลาดก็
ยอมรับ แต่บางชนิดใช้เวลาหลายปีตลาดจึงจะยอมรับ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของรสนิยม การพัฒนา
ปรับปรงุ ผลิตภัณฑ์ การยอมรับผลิตภัณฑ์ใหม่ของผู้บริโภค และวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดซึ่งไม่จําเป็นต้อง
ผ่านทุกข้ันเหมือนกันหมด บางชนิดอาจล้มเหลวต้ังแต่ในชั้นแนะนําสินค้าออกสู่ตลาด แต่อย่างไรก็ตามในชั้นตลาด
อิ่มตวั และขั้นตลาดตกตาํ่ ก็เปน็ ส่งิ ทีห่ ลกี เลยี่ งไม่ได้ เพราะผูบ้ ริโภคขาดความต้องการในผลติ ภัณฑ์ หรือมผี ลติ ภณั ฑท์ ่ี
ได้รับการปรับปรุงให้ดีข้ึนมามากกว่า ราคาถูกกว่า เข้ามาตอบสนองความต้องการแทนได้ เช่น พลาสติกเข้ามา
แทนท่ีใบตอง หรือพลาสติกเข้ามาแทนท่ีไม้ซ่ึงนับวันจะขาดแคลน เกิดคู่แข่งขันท่ีมีความสามารถทางการตลาด
มากกวา่ เป็นตน้
ตัวอย่างธรุ กจิ ทีม่ ีโอกาสประสบผลสาํ เรจ็ ในจงั หวะเวลาท่ผี บู้ รโิ ภคต้องการ
พฤตกิ รรมของผูบ้ รโิ ภค แนวคดิ ทางธุรกจิ
แมบ่ า้ นตอ้ งออกไปทาํ งานนอกบ้าน
-ทําอาหารสง่ ตามบา้ น
สุขภาพไม่ดตี ้องดแู ลสุขภาพมากข้ึน -รับจ้างเลย้ี งเด็ก ดแู ลคนแก่
-ทาํ ความสะอาดบ้านหรอื ซักอบรดี
ตอ้ งการประหยัดเวลาหรอื ความเร่งดว่ น
-จาํ หนา่ ยอาหารเสรมิ
-ตง้ั สถานออกกําลังกาย
-ตัง้ ศูนยใ์ ห้คาํ แนะนาํ เกีย่ วกบั สขุ ภาพ
-บรกิ ารสง่ โทรสาร (Fax)
-อินเตอรเ์ น็ต
108
นอกจากธุรกิจท่ีกล่าวมาแล้ว ยังมีธุรกิจอีกหลายประเภทท่ีมีวงจรชีวิตท่ีไม่ตกตํ่าแต่จะมีบ้างเพียงช่ัวคราว
เท่านน้ั เช่น ธุรกิจเกยี่ วกับอาหารท่ีตดิ ตลาด ธุรกิจขายอะไหล่ อุปกรณ์หรือเคร่ืองมือซอ่ มบํารุงภายในอาคาร ธุรกิจ
ซ่อมแซม เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ธุรกิจที่แต่ละคนต้องการทาน้ันควรตรงกับความต้องการของตลาดท่ีขยายตัวด้วย
จงึ จะนําไปสูค่ วามสําเร็จ
4. ธรุ กิจท่ีต้องมีความชาํ นาญเฉพาะดา้ น การประกอบธรุ กิจตา่ ง ๆ ย่อมต้องการความรู้ความชํานาญงาน
ที่แตกต่างกันออกไป เช่น ในธุรกิจก่อสร้างจะพบว่า วิศวกรที่ก่อสร้างตึก 20 ช้ัน ต้องใช้ความรู้ความชํานาญเป็น
พิเศษมากกว่าวิศวกรท่ีก่อสร้างตึกแถว 2 ช้ัน หรือ 3 ช้ัน ซ่ึงไม่ต้องมีประสบการณ์มากนัก หรือบางคร้ัง
ผูร้ ับเหมากอ่ สร้างก็สามารถดําเนินการได้ เพราะไมต่ อ้ งการความชํานาญพิเศษเฉพาะดา้ นมากนกั
ก่อนลงทุนประกอบธุรกิจ ให้ลองคิดพจิ ารณาตนเองว่า มีความชํานาญพิเศษเฉพาะด้านอะไรบ้าง เพื่อ
ค้นหาจุดแข็งของตนเองแล้วนําจุดแข็งนั้นมาวิเคราะห์ธุรกิจท่ีจะทําได้ บุคคลท่ีมีความชํานาญพิเศษเฉพาะด้าน
มักจะประกอบธุรกิจประสบความสาํ เร็จสูงกว่าคนท่ีไม่มีความรู้ ความชํานาญด้านใดเลย เพราะการมีความชํานาญ
พิเศษเฉพาะด้าน จะช่วยให้เข้าใจรายละเอียดปลีกย่อยและมีหลักการในธุรกิจนั้น ๆ ได้ดีกว่า การมีความชํานาญ
ด้านใดด้านหน่ึงแล้ว มาประกอบธุรกิจย่อมทําให้เกิดความมั่นใจในการลงทุน มีความเส่ียงต่ํากว่าบุคคลท่ีไม่มี
ความชํานาญแล้วไปลงมือทํา การที่ผู้ประกอบการมีด้านหน่ึงท่ีชํานาญมากกว่าคนอ่ืน จะช่วยเพิ่มพูนความรู้ได้เร็ว
กว่า เพราะมีฐานของความรู้และประสบการณ์อยู่แล้ว ไม่เสียเวลาในการลองผิดลองถูก และเมื่อประกอบธุรกิจไป
ได้ระยะหนึ่งจะมีประสบการณ์เพิ่มพูนมากข้ึน สามารถขยายธุรกิจออกไปได้อีก ดังน้ันแต่ละคนจึงควรพิจารณา
ตนเองว่ามคี วามชํานาญพเิ ศษทางดา้ นใด แล้วนํามาพิจารณาความเหมาะสมกบั การประกอบธุรกจิ ประเภทน้นั ๆ
5. ธุรกิจที่มีการต่อยอดธุรกิจ การเร่ิมประกอบธุรกิจใหม่นั้นอาจได้ความคิดจากหลายวิธี เช่น มีความคิด
จะประกอบธรุ กิจหลายประเภท แตย่ ังลังเลไม่รู้จะตดั สินใจเลือกธุรกิจประเภทใดดี เนื่องจากธุรกิจบางประเภทต้อง
ใช้เทคโนโลยีสูงหรือต้องใช้เงินทุนสูง บางประเภทผู้คิดลงทุนมีความเห็นว่าน่าจะมีแนวโน้มดีแต่ไม่มั่นใจในด้าน
การตลาด หรือบางประเภทไม่มคี วามรู้ในกระบวนการผลิต ผู้ประกอบการจึงควรหาแนวทางอ่ืนท่ีไม่ต้องลงทุนสูง
เป็นธรุ กจิ ท่ีคนทวั่ ไปทําอยู่ หากผลิตภัณฑ์น้ันยังมีข้อบกพรอ่ งควรหาวิธีการที่จะทําให้ผลิตภัณฑ์ดีขึ้น หรือมีจุดท่ีเรา
พอมีความรู้และเห็นลู่ทางท่ีจะนําผลิตภัณฑ์เดิมไปพัฒนาให้มีคุณภาพดีข้ึน โดยไม่จําเป็นต้องเริ่มต้นธุรกิจจากศูนย์
กจ็ ะได้ธุรกิจใหม่อกี อยา่ งหน่งึ โดยไมต่ อ้ งลงทนุ สงู เพียงแต่มีความคดิ และมหี ลักการจดั การก็สามารถตอ่ ยอดธรุ กิจได้
ธุรกจิ บางประเภทเหมาะสาหรับผูท้ ี่ชอบงานทางด้านศิลปวัฒนธรรม มีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ใหม่ ๆ เป็น
ผขู้ วนขวายหาความร้อู ยตู่ ลอดเวลา เป็นคนชา่ งสงั เกต ผสมผสานส่งิ ต่าง ๆ ทําให้เกดิ นวตั กรรมข้ึนมาใหม่ บางครง้ั ผู้
ค้นคว้าไม่จําเป็นต้องลงมือทาํ เองทั้งหมดตั้งแต่ต้น เพียงแต่ปรับสิ่งที่มีคนทําอยู่แล้วให้ดีขึ้นกลายเป็นผลิตภัณฑ์ตัว
ใหม่ เช่น ผ้าทอมือซึ่งมีลวดลายและกรรมวิธีการผลิตท่ีแตกต่างกันออกไปข้ึนอยู่กับความรู้ ประสบการณ์ และ
วัฒนธรรมของแต่ละภาค บางท้องถ่ินใช้วัตถุดิบเป็นเส้นฝ้าย บางท้องถ่ินใช้วัตถุดิบเป็นเส้นไหม ผู้ประกอบการ
สามารถนาํ ผา้ เหลา่ นม้ี าตดั เยบ็ เป็นเสอื้ ผ้าหรอื ของใช้ทส่ี วยงามแปลกตา เป็นตน้
6. ธุรกจิ ทม่ี ีการรับชว่ งการผลติ มธี รุ กจิ หลายประเภทไม่วา่ จะเปน็ ธรุ กิจขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาด
เลก็ ท่ตี อ้ งพึง่ พาอาศยั แหล่งอื่นชว่ ยผลิต เพราะไม่สามารถผลิตได้ทั้งหมดทุกขั้นตอน ส่วนใหญ่โรงงานจะทําเฉพาะท่ี
เป็นงานหลัก ๆ ผู้ท่ีจะลงทุนทุกอย่างย่อมเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า เน่ืองจากไม่มีความชํานาญเท่ากับผู้ท่ีเคยทําอยู่
ซึ่งสามารถทําได้แต่ต้นทุนอาจสูงกว่าหรือให้ผู้อื่นทําแล้วตนเองเป็นผู้นํามาประกอบต่อจะคุ้มค่ามากกว่า เป็นการ
แบง่ งานกันทาํ ตามความถนัดของแต่ละคน ซ่งึ จะชว่ ยใหแ้ ต่ละคนมงี านทาํ และมีรายไดม้ ากข้ึน
109
กจิ กรรมท่ี 2 ลกั ษณะของงานอาชพี
ให้ผเู้ รียนสมั ภาษณ์ผู้ท่ีประสบความสาํ เรจ็ ทางดา้ นการประกอบอาชีพในชมุ ชน มา 2 ประเภทคอื อาชีพอสิ ระและ
อาชพี รับจ้าง ประเภทละ 1 คน
1. ช่ือ – นามสกลุ ................................................................................................................................................
2. สถานท่ปี ระกอบอาชีพ ....................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
3. ลักษณะของอาชีพ ..........................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
4. แนวคิดจากการประกอบอาชพี ......................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
110
เร่อื งที่ 3 อาชพี หลกั ในจงั หวัดสุพรรณบรุ ี
3.1 ดา้ นเกษตรกรรม
3.1.1 การปลกู พชื
พืชเศรษฐกิจท่ีสําคัญ จังหวัดสุพรรณบุรีมีรายได้จากการเกษตรเป็นรายได้หลัก รองลงมา คือ
รายได้จากการค้าขายสินค้าอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว มีพืชเศรษฐกิจท่ีสําคัญท่ีทํารายได้ให้แก่จังหวัด
สุพรรณบุรี ดังน้ีจังหวัดสุพรรณบุรีมีประชากรทั้งส้ิน 845,990 คน เป็นชาย 409,957 คน หญิง 436,033 คน
จํานวนครัวเรือนประชากร 270,438 ครัวเรือน และมีครัวเรือนเกษตรรวมท้ังส้ิน 83,370 ครัวเรือน โดย อําเภอ
สองพ่ีน้อง มีครัวเรือนเกษตรมากท่ีสุด 11,556 ครัวเรือน รองลงมาคืออําเภอเมืองสุพรรณบุรี มีครัวเรือนเกษตร
11,395 ครวั เรอื น ส่วนอาํ เภอดอนเจดยี ์มีครวั เรือนเกษตร น้อยทสี่ ุด 5,303 ครวั เรือน
ทีม่ า : 1. ท่ีทําการปกครองจังหวัดสุพรรณบรุ ี 2. สํานกั งานเกษตรจงั หวัดสพุ รรณบรุ ี
จังหวัดสุพรรณบุรี มีเนื้อที่ทั้งหมด 3,348,755 ไร่ พื้นท่ีถือครองเพ่ือการเกษตร 2,188,241 ไร่
คิดเปน็ ร้อยละ 65.34 ของพื้นที่ท้ังจังหวัด และมีจํานวนครัวเรือนเกษตร 83,730 ครัวเรือน โดยจังหวัดสุพรรณบุรี
มีพื้นฐานด้านการเกษตรเป็นหลัก เป็นแหล่งผลิต อาหารและอุตสาหกรรมการแปรรูปการเกษตร ทําให้เศรษฐกิจมี
การขยายตัวและ เจริญเตบิ โตอยา่ งต่อเน่ือง ประชาชนร้อยละ 87.9 ประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรมท่ีสร้าง รายได้
หลักให้แก่เกษตรกรในจังหวดั คดิ เป็นมลู ค่าประมาณ 19,563 ล้านบาทต่อปี ผลผลิตท่ีสร้างชื่อเสียงให้แก่จังหวัดใน
ด้านพืชได้แก่ ข้าว อ้อย มันสําปะหลัง ข้าวโพด เลี้ยงสัตว์ เป็นต้น ด้านปศุสัตว์ ได้แก่ ไข่ไก่ เป็ด สุกร และโค ด้าน
การประมง มีการ เพาะเลยี้ งสตั วน์ ํา้ ก้งุ ขาว ปลานิล ปลาดุก กุ้งกา้ มกราม เป็นตน้
การทํานา
- ขา้ ว
จังหวัดสุพรรณบุรี มีพื้นท่ีปลูกข้าวประมาณ 1,500,000 ไร่ ปลูกมากในทุกพื้นที่ ของจังหวัด (ยกเว้น
อําเภอด่านช้างที่เป็นพ้ืนที่ภูเขา) แยกเป็นข้าวนาปี และข้าวนาปรัง ปัจจุบันเกษตรกรจะทํานาตลอดปีข้ึนอยู่กับ
สภาพนาํ้ ชลประทานบางพน้ื ทีส่ ามารถปลูกข้าวไดถ้ ึง ปลี ะ 3 ครงั้ หรือ 2 ปี 5 ครง้ั ทง้ั นพ้ี ันธข์ุ า้ วทใ่ี ช้สว่ นใหญ่
ไดแ้ ก่ พนั ธข์ุ ้าว กข.21, กข.23, ชัยนาท1, สพุ รรณบุรี90, ขา้ วหอมมะลิ เป็นตน้
ฤดูกาลปลูกข้าวนาปี (นาครั้งที่ 1) จะเริ่มต้ังแต่เดือนพฤษภาคม และจะเก็บเกี่ยว ราว ๆ เดือนสิงหาคม –
กันยายน (ในเขต อําเภอหนองหญ้าไซ จะปลูกข้าวพันธุ์ขาวหอมมะลิ 105 เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะเป็นพันธ์ุข้าวนาปี
(ข้าวทีอ่ าศัยชว่ งแสงในการออกดอก) ซงึ่ จะเกบ็ เก่ยี วในราว เดือนธนั วาคม)
ต่อจากนั้นจะปลูกข้าวนาปรัง (นาครั้งที่ 2) โดยใช้พันธุ์ข้าวพันธ์ุเดิมเป็นส่วนใหญ่ และจะไป เก็บเกี่ยวใน
ราว ๆเดือน กุมภาพันธ์ – เมษายน ในเขตอําเภอเดิมบางนางบวช ศรีประจันต์ สามชุก มีระบบน้ําชลประทาน
สมบูรณ์ จะสามารถทํานาปรังครงั้ ที่ 2 ได้เร็ว ทําให้สามารถปลกู
ข้าวนาปรังครั้งท่ี 3 ได้ในราว ๆ เดือน มกราคม – กุมภาพันธ์ และไปเกี่ยว ราว ๆ เดือน เมษายน –
พฤษภาคม
111
ข้าวนาปี
เกษตรกรเร่ิมปลูกข้าวนาปีต้ังแต่วันที่ 1 พฤษภาคม ถึงวันที่ 31 ตุลาคม ของปีโดยมีพื้นท่ีเพาะปลูกข้าวนา
ปที ัง้ ส้ิน 1,218,261 ไร่ ผลผลติ เฉลยี่ ไรล่ ะ 707 กโิ ลกรมั (ความชื้น 15 %) ผลผลิตรวมทง้ั สนิ้ 1,035,552 ตนั
ข้าวนาปรงั
เกษตรกรเริ่มปลูกข้าวนาปรังตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 30 เมษายน ของปี ปี 2558 โดยมีพื้นที่
เพาะปลูกข้าวนาปรังทั้งสิ้น 599,188 ไร่ ผลผลิตเฉล่ียไร่ละ 727 กิโลกรัม (ความชื้น 15 %) ผลผลิต รวมทั้งสิ้น
598,030 ตัน
นาแหว้ จนี
แห้วจนี เป็นพืชเศรษฐกิจท้องถ่ินที่สําคัญของจังหวัดสุพรรณบุรีและเป็นพืชท่ี ปลูกได้ผลดีเพียงแห่งเดียวใน
ประเทศไทย และยังสามารถปลูกได้เฉพาะ บางตําบลของอําเภอ ศรีประจันต์ และ อาํ เภอเมืองสุพรรณบุรี เท่าน้ัน
ทั้งนี้เพราะแห้วจีนเป็นพืชท่ีเจริญเติบโตได้ดี ในดินชุดสระบุรีไฮเฟต ซ่ึงดินชุดน้ีมีลักษณะ พิเศษคือ จะมีลักษณะ
คล้ายชั้นดนิ ดาน ลึกประมาณ 50-70 เซนตเิ มตร ซ่ึงเป็นประโยชน์ในการปลูกแห้วจีนเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อแห้ว
จีนลงหัว หัวของแห้วจีนจะไปกองหรือแผ่ขยายในบริเวณช้ันดินดาน ทําให้สะดวกในการเก็บเกี่ยว แต่ถ้าเป็นดินชุด
อื่น จะทําใหแ้ ห้วจีนเจริญ ลงไปเรื่อย ๆ ทําให้ยากตอ่ การเก็บเก่ียวและบางครง้ั กไ็ ม่ยอมลงหัว
จากขอ้ มลู ปี 2542/43 จังหวัดสพุ รรณบรุ ีมพี ื้นท่ีปลูกแห้วจนี ทั้งสน้ิ ประมาณ 4,161 ไร่ ให้ผลผลติ รวม
ประมาณ 16,785 ตัน คิดเป็นมูลคา่ ประมาณ 109.10 ล้านบาท มผี ลผลติ เฉล่ยี 4,034 กิโลกรมั ต่อไร่
รายละเอยี ดแสดงดงั แผนภมู ิที่ 1
1,400,000 ข้าวนาปี ขา้ วนาปรงั พ้ินทีเ่ พาะปลูก(ไร่)
1,200,000 ผลผลติ รวม(ตัน)
1,000,000
นาแห้ว
800,000
600,000
400,000
200,000
0
แผนภูมิท่ี 1 จํานวนเน้อื ทีเ่ พาะปลูกขา้ วนาปี นาปรงั นาแหว้ มผี ลผลติ รวมของจงั หวัดสุพรรณบรุ ี ปี พ.ศ. 2557/58
การทําไร่
ข้าวโพดเล้ียงสตั ว์
ข้าวโพดเล้ียงสตั ว์ จะปลูกมากในเขตอาํ เภอดา่ นช้าง และอาํ เภออ่ทู อง มพี น้ื ที่ปลกู ประมาณ 121,765 ไร่
ใหผ้ ลผลติ รวมประมาณ 110,563 ตนั ผลผลิตเฉลี่ย 689 กโิ ลกรมั ตอ่ ไร่ พันธท์ุ ่เี กษตรกรนิยมปลกู ไดแ้ ก่ พันธุ์
ข้าวโพดลกู ผสม ต่างๆ เช่น ซพี ีดีเค 888, คารก์ ิล บิ๊ก 919, คาร์กิล บ๊ิก 929, แปซิฟกิ 328 เปน็ ตน้ โดยเกษตรกรจะ
ปลกู 2 รนุ่ รนุ่ แรก จะนิยมปลูกในราวเดอื น พฤษภาคมหรอื เรยี กวา่ ข้าวโพดรนุ่ ต้นฝนและอกี ร่นุ หนงึ่ จะนยิ มปลกู
112
ในราว เดอื นสงิ หาคม ซงึ่ เรียกวา่ ข้าวโพดรนุ่ ปลายฝน พน้ื ทเ่ี พาะปลกู ขา้ วโพดเลยี้ งสตั ว์ ทัง้ สิน้ 41,982 ไร่ ผลผลติ
เฉล่ีย ไรล่ ะ 708 กโิ ลกรมั ผลผลติ รวมทั้งสิ้น 29,589 ตัน
ออ้ ยโรงงาน
พ้ืนที่เพาะปลูกอ้อยโรงงาน มีท้ังสิ้น 781,643 ไร่ ผลผลิตเฉล่ียไร่ละ 16,000 กิโลกรัม เนื้อท่ีเก็บเก่ียว
554,887 ไร่ ผลผลิตรวมท้ังส้ิน 8,878,192 ไร่ ตันอ้อยโรงงานถือว่าเป็นพืชเศรษฐกิจอันดับท่ี 2 ท่ีทํารายได้ให้แก่
จงั หวดั สุพรรณบุรี ปลูกมากในเขตอาํ เภอดา่ นช้าง อําเภอหนองหญ้าไซ อาํ เภอสองพ่ีน้อง อําเภอเดิมบางนางบวช
อําเภออู่ทอง มีพื้นท่ีปลูกในปี 2542/43 ประมาณ 657,240 ไร่ ให้ผลผลิตรวมประมาณ 6,433,570 ตัน คิดเป็น
มูลค่าประมาณ 3,538.46 ลา้ นบาท ผลผลิตเฉลีย่ 10,382 กโิ ลกรมั ตอ่ ไร่
พันธุ์อ้อยที่เกษตรกรนิยมปลูกได้แก่ F 140 , F 156 , สุพรรณ 2 , สุพรรณ 3 , K 200 เป็นต้น โดย
เกษตรกรจะเริ่มปลูกในราวเดือนพฤษภาคม และจะเก็บเกี่ยวในประมาณเดือน ธันวาคม – มีนาคม ท้ังน้ีจะข้ึนอยู่
กับการเปิดรับซ้ือของโรงงาน ซ่ึงจังหวัดสุพรรณบุรี มีโรงงานน้ําตาลท้ังสิ้น 3 โรงงาน ต้ังอยู่ในเขตอําเภอสามชุก
อาํ เภอดา่ นช้าง อาํ เภออู่ทอง
มันสาํ ปะหลงั
พื้นท่ีเพาะปลูกมันสําปะหลัง ทั้งส้ิน 76,184 ไร่ พ้ืนท่ีเก็บเกี่ยว 75,588 ไร่ ผลผลิตเฉล่ียไร่ละ 3,183
กโิ ลกรมั ผลผลิตรวมทง้ั ส้ิน 240,634 ตัน
ทาํ สวน
มะมว่ ง
มะม่วงเป็นพืชเศรษฐกิจอันดับที่ 3 ที่ทํารายได้ให้แก่จังหวัดสุพรรณบุรี มีพ้ืนที่ปลูก ท้ังส้ินประมาณ
67,348 ไร่ เป็นมะม่วงที่ให้ผลผลิตแล้วประมาณ 50,616 ไร่ ให้ผลผลิตรวมประมาณ 49,199 ตัน
ปลูกมากในเขตอําเภอเมืองฯ อําเภอสามชุก อําเภอศรีประจันต์ พันธุ์ท่ีเกษตรกรนิยมปลูกมากคือพันธุ์เขียวเสวย
รองลงมาได้แก่ พันธ์ุน้ําดอกไม้ นอกจากน้ียังมีมะม่วงพันธ์ุทวาย อื่น ๆ อีกหลายพันธุ์ ท่ีเกษตรกรนิยมปลูก เช่น
พันธ์ุโชคอนันต์ พันธมุ์ ันเดือนเกา้ เปน็ ตน้
มีพื้นท่ีเพาะปลูกมะม่วงท้ังส้ิน 15,700 ไร่ ให้ผลผลิตแล้ว 12,049 ไร่ ผลผลิตเฉล่ียไร่ละ 1,360 กิโลกรัม
ผลผลิตรวมทั้งสนิ้ 15,663 ตนั
ยางพารา
พื้นท่เี พาะปลกู ยางพาราท้งั ส้ิน 6,704 ไร่ เน้อื ทใ่ี หผ้ ลผลิต 1,069 ไร่ ผลผลติ เฉลีย่ ไรล่ ะ 800 กโิ ลกรมั
ผลผลติ รวมทง้ั สิน้ 1,200 กโิ ลกรัม
ปาลม์ นา้ํ มัน
พื้นท่ีเพาะปลูกปาล์มน้ํามัน ท้ังส้ิน 2,399 ไร่ เน้ือท่ีให้ผลผลิต 686 ไร่ผลผลิตเฉล่ียไร่ละ 1,271 กิโลกรัม
ผลผลิตรวมทั้งสน้ิ 1,160 กิโลกรัม
พืชผกั สวนครวั
จังหวัดสุพรรณบุรีมีพื้นท่ีปลูกพืชผักชนิดต่างๆ ประกอบด้วย ผักคะน้า แตงโมเน้ือ ถั่วฝักยาว พริกใหญ่
พริกข้หี นใู หญ่ มะเขอื กลมผลใหญ่ มะเขือกลมผลใหญ่ แตงกวา กระเจี๊ยบเขียว มะระจีน บวบ กวางตุ้ง หน่อไม้ฝรั่ง
ข้าวโพดหวาน ข้าวโพดฝักอ่อน อ่ืนๆ ซึ่งถือได้ว่าจังหวัดสุพรรณบุรีเป็นแหล่งผลิตพืชผักที่มีผลผลิต ค่อนข้างมาก
และมีการผลิตต่อเน่ืองตลอดปี รวมทั้งอยู่ใกล้กับตลาดรับซื้อและกระจายผลผลิตพืชผักท่ีสําคัญ เช่น ตลาดพืชผัก
113
อ่างทอง ตลาดไท ตลาดส่ีมุมเมือง เป็นต้น มีการคมนาคมขนส่งพืชผักผลผลิตการเกษตรและปัจจัยการ ผลิตที่
สะดวกสบาย จงึ ทําให้ทกุ พืน้ ทข่ี องจังหวดั สพุ รรณบรุ ีมศี ักยภาพในการผลิตพืชผักได้ดีสิ่งที่เกษตรที่ปฏิบัติ โดยท่ัวไป
ได้แก่ การปรับปรุงคุณภาพและความปลอดภัยจากสารพิษในการผลิตพืชผัก ซ่ึงเป็นที่ต้องการของตลาด เพ่ิมมาก
ขึ้นในปจั จุบนั
ทีม่ า : สํานักงานเกษตรจังหวัดสุพรรณบุรี
ผกั
จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นเขตพ้ืนที่ท่ีมีการขยายฐานการผลิตพืชผักจากแหล่งผลิตเดิม ท่ีประสบปัญหาต่าง ๆ
เช่น เกษตรกรที่ปลูกผักเป็นการค้าในเขต อําเภอบางบัวทอง และอําเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี ทําให้เกษตรกร
ในเขตเหล่าน้ัน ย้ายฐานการผลิตผักมาปลูกในจังหวัดสุพรรณบุรีมากข้ึน กอร์ปกับเกษตรกร ในจังหวัดสุพรรณบุรีมี
การปลูกผักกนั ในหลายพ้ืนที่ ท้งั น้ีเพราะ มีสภาพแวดล้อมทีเ่ หมาะสม โดยเฉพาะ มีนา้ํ ชลประทานท่ีเหมาะสม และ
ใกล้ตลาด การขนส่งสะดวก ทําให้ผักจากจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นผักที่มีคุณภาพด้านความสด ผักท่ีปลูกกันมาก
ได้แก่ พรกิ ถ่วั ฝกั ยาว คะนา้ แตงกวา และ ข้าวโพดหวาน เป็นตน้
ปัจจุบันมีพ้ืนที่ปลูกผักขยายออกไปยังหลายอําเภอ โดยเฉพาะอย่างย่ิง ในเขต อําเภอบางปลาม้า อําเภอ
ดอนเจดีย์ และอําเภอด่านช้าง สําหรับพ้ืนท่ีที่มีการปลูกผักมากที่สุด คือ อําเภอหนองหญ้าไซ จากข้อมูลปี
2542/43 จังหวัดสุพรรณบุรี มพี ื้นท่ปี ลกู ผักท้ังส้นิ 25,170 ไร่ ผลผลติ รวมประมาณ 34,605 ตนั
ไมด้ อก (Flowers)
จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นแหล่งผลิตไม้ดอกท่ีมีคุณภาพแห่งหน่ึงของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม้ดอกท่ี
เก่ยี วข้องกบั การนํา ไปร้อยเป็นมาลัย ได้แก่ มะลิ กุหลาบร้อยมาลัย ดาวเรือง ดอกรักและจําปี เป็นต้น โดยเฉพาะ
อย่างย่ิงดอกมะลิจากสุพรรณบุรีถือว่า มะลิท่ีมีคุณภาพดีท่ีสุด ในตลาด ไม่ว่าจะเป็น ปากคลองตลาด และตลาดสี่
มุมเมือง ซ่ึงมะลิจากสุพรรณบุรี จะมีราคาสูงกว่ามะลิ จากแหล่งอ่ืน ๆ จากข้อมูล ปี 2542/43 จังหวัดสุพรรณบุรีมี
พ้ืนที่ ปลกู ไมด้ อกรวมทง้ั ส้ิน 2,518 ไร่
1.2 เลย้ี งสัตว์
การผลติ ปศสุ ตั ว์
จังหวัดสุพรรณบุรีมีการผลิตปศุสัตว์มากพอสมควร จากข้อมูลเมื่อปี 2542/43 (สํานักงานปศุสัตว์จังหวัด
สุพรรณบรุ )ี มีสัตวท์ เ่ี ลีย้ งเป็นการค้ากันมาก ได้แก่ ไก่, เป็ด, สุกร, และโค รวมจํานวนปศุสัตว์ที่มีการเล้ียงในจังหวัด
สุพรรณบุรี ทั้งส้ินประมาณ 7,008,781 ตัว อําเภอบางปลาม้า อําเภออู่ทอง จะมีการเลี้ยงเป็ดและไก่มากที่สุด
อําเภอเมืองสุพรรณบุรี อําเภอสองพี่น้อง จะมีการเลี้ยงโคและสุกร มากที่สุด การเล้ียงเป็ดและไก่ส่วนใหญ่จะเป็น
การเลี้ยงเป็ดไข่และไกไ่ ข่และนิยมเลยี้ งผสมผสานกับการเล้ียงปลา เพื่อเก้ือกูลกัน โดยจะมีการเลี้ยงเป็ดไข่และไก่ไข่
บนบ่อปลา นอกจากน้ยี งั มกี ารเล้ยี งเปด็ เนอื้ และเป็ดไขแ่ บบไลเ่ ล้ยี งไปตามทงุ่ นา ที่มกี ารเกี่ยวข้าวแลว้ ซ่งึ จะชว่ ยลด
ต้ น ทุ น ด้ า น อ า ห า ร ไ ด้ อ ย่ า ง ม า ก แ ล ะ ก า ร เ ลี้ ย ง ไ ก่ เ น้ื อ แ บ บ รั บ จ้ า ง บ ริ ษั ท เ ล้ี ย ง ด้ ว ย
การเล้ียงโคจะมอี ยู่ 2 ประเภท คือ การเลีย้ งโคเนอ้ื ซึ่งจะเลยี้ งมากแถบอําเภออูท่ อง และการเลย้ี งโคนม ซงึ่ จะมีการ
เลี้ยงมากในแถบอําเภอหนองหญ้าไซ อําเภออู่ทอง อําเภอเมืองสุพรรณบุรี อําเภอศรีประจันต์ เป็นต้น ส่วนการ
เล้ียงสุกรจะเป็นการเลี้ยงในลักษณะฟาร์ม ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่มากกว่า ท่ีจะเล้ียงกันตามบ้านเรือนท่ัวไป
(ข้อมูล สํานักงานปศุสัตว์จังหวัดสุพรรณบุรี) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีประกาศ เม่ือวันท่ี 7 มีนาคม 2556
กําหนดเขตเหมาะสมสําหรับการเลี้ยง โคเน้ือ โคนม สุกร ไก่เน้ือ และไก่ไข่ สําหรับจังหวัดสุพรรณบุรี มีเขต
เหมาะสมสาํ หรบั การเลยี้ งปศุสตั ว์ เพียง 4 ชนดิ ได้แก่ โคเนื้อ สกุ ร ไกเ่ น้อื และไก่ไข่
114
โคเนอ้ื
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไดก้ าํ หนดเขตพนื้ ท่ที เี่ หมาะสมสําหรับการเลยี้ งโคเนอ้ื โดยแยกเปน็ พน้ื ทท่ี ี่
เหมาะสมสาํ หรบั เลี้ยงโคเนอ้ื จํานวน 9 อําเภอ 39 ตาํ บล
ตารางที่ 1 พน้ื ที่ท่ีเหมาะสมสาหรบั การเล้ยี งโคเน้อื รายอาํ เภอ
อําเภอ ตําบล หมายเหตุ
อําเภอเมอื งสุพรรณบรุ ี 3 ต.สระแกว้ ต.ศาลาขาว ต.สนามคลี
อาํ เภออทู่ อง 10 ต.อทู่ อง ต.จระเขส้ ามพนั ต.ยุ้งทะลาย ต.ดอนมะเกลอื ต.หนองโอง่
ต.ดอนคา ต.พลบั พลาไชย ต.บา้ นโข้ง ต.เจดยี ์ ต.กระจนั
อาํ เภอเดิมบางนางบวช 2 ต.หวั เขา ต.หวั นา
อําเภอบางปลาม้า --
อาํ เภอศรีประจนั ต์ 1 ต.ดอนปรู
อาํ เภอสองพ่ีนอ้ ง 2 ต.ทุ่งคอก ต.บอ่ สพุ รรณ
อําเภอสามชกุ 5 ต.วงั ลกึ ต.หนองผักนาก ต.บา้ นสระ ต.หนองสะเดา ต.กระเสยี ว
อําเภอดอนเจดีย์ 5 ต.ดอนเจดีย์ ต.หนองสาหร่าย ต.ไรร่ ถ ต.สระกระโจม ต.ทะเลบก
อาํ เภอด่านชา้ ง 6 ต.ด่านช้าง ต.ห้วยขมนิ้ ต.องคพ์ ระ ต.วงั คนั ต.นคิ มกระเสยี ว ต.วงั ยาว
อาํ เภอหนองหญ้าไซ 5 ต.หนองหญ้าไซ ต.หนองราชวตั ร ต.แจงงาม ต.หนองขาม ต.ทพั หลวง
รวม 39
การผลติ ประมงนา้ํ จดื
การทําการประมงในจังหวัดสุพรรณบุรี ที่ทํารายได้ให้แก่จังหวัดสุพรรณบุรีมาก คือการเลี้ยงปลา และการ
เล้ียงกุ้งก้ามกราม การเลี้ยงปลาจะมีเลี้ยง กันมากในเขตอําเภอบางปลาม้าและอําเภอสองพ่ีน้อง ปลาที่เล้ียงได้แก่
ปลาช่อน ปลาดุกบิ๊กอุย ปลานิล ปลาตะเพียน ปลาสลิด และปลาสวาย การเลี้ยงปลาของเกษตรกร ส่วนใหญ่จะ
เป็นการเล้ียงแบบผสมผสาน โดยมีการเล้ียงปลาหลาย ๆ ชนิดร่วมกัน เช่น ปลานิลกับปลาตะเพียน ปลานิลกับ
ปลาดกุ หรอื ปลาสวายกับ ปลานลิ เป็นตน้ อาจจะเลีย้ งเปน็ บ่อโดยเฉพาะ หรอื เลยี้ งร่วมกับการเลี้ยง
เป็ดไขห่ รอื ไก่ไข-่ ไกเ่ น้ือ
3.2 ด้านศิลปหัตถกรรม
จงั หวัดสุพรรณบุรีมหี ัตถกรรมพืน้ บา้ น สนิ คา้ พนื้ เมอื งและของท่ีระลึกท่ีเป็นของฝากที่ขนึ้ ช่ือ เช่น เครื่องจัก
สาน ประเภทไม้ไผ่และหวายโดยเฉพาะลายดอกพิกุล ลายดอกล่ันทม และหนามทุเรียนสุพรรณ เป็นลายท่ีมีความ
สวยงามและประณีต มีที่อําเภอสองพ่ีน้อง อําเภออู่ทอง อําเภอเดิมบางนางบวช เคร่ืองทองเหลือง มีท่ีอําเภอดอน
เจดีย์ เครือ่ งเบญจรงค์ มที อ่ี าํ เภอเมือง ผลิตภัณฑจ์ ากผกั ตบชวาและการทอผ้า มที ี่อําเภอเมอื ง อําเภออู่ทอง อําเภอ
สองพน่ี อ้ ง นอกจากน้ียังมอี าหาร ขนม ของฝาก ได้แก่ ขนมสาล่ีสุพรรณเน้ือเบานุ่ม รสชาติกลมกล่อมและขนมไทย
แห้วกระป๋อง หน่อไม้กระป๋อง เห็ดโคน เป็ดย่างนาํ้ ผ้ึง ปลาม้า ไก่อบฟาง ปลาแดดเดียว เน้ือแดดเดียว มีจําหน่าย
อยู่ท่วั ไปตามท้องตลาดและสถานท่ที อ่ งเท่ยี วต่าง ๆ แบง่ เปน็ แตล่ ะ อาํ เภอ ดงั ต่อไปน้ี
115
3.2.1 อําเภอดอนเจดีย์
กลุ่มทอผ้าสตรีแมบ่ ้าน หมู่ 6 ตําบลทะเลบก ท่ีทําการผใู้ หญ่บ้านหมทู่ ่ี 6 ตําบลทะเลบก อําเภอดอนเจดีย์
จังหวดั สุพรรณบรุ ี 72170 โทร. 09 82956169
3.2.2 อาํ เภอด่านชา้ ง
กลมุ่ แมบ่ า้ นเกษตรกรแกว้ เจา้ จอม ต.ด่านชา้ ง อ.ดา่ นชา้ ง จําหน่ายผลติ ภณั ฑ์ทองมว้ นซง่ึ สมาชกิ รว่ มกัน
พัฒนาจากรสกะทิ โดยการนาํ สมุนไพรมาใสส่ ําหรบั คนทเี่ อาใจใสส่ ขุ ภาพ เช่น รสขิง รสชาเขียว รสนา้ํ พรกิ เผาใบ
มะกรดู รสใบหมอ่ น รสกาแฟ รสกระเทยี ม รสสาหรา่ ย รสต้นหอมและรสถัว่ ดาํ รสชาตอิ รอ่ ย สอบถามรายละเอียด
เพ่มิ เติม โทร 08 1195 0727, 08 1403 0998
กลุ่มอาชีพหตั ถกรรมรากไม้ สินค้าพน้ื เมืองและของท่รี ะลกึ อาํ เภอดา่ นชา้ ง 32 หมู่ 6
บ้านหนองผอื ตาํ บลด่านช้าง
3.2.3 อาํ เภอเดิมบางนางบวช
จกั สานผกั ตบชวา 27 ม.2 บ้านห้วยหวาย ต.โคกช้าง โทร.08 1858 3548 (จาํ หน่ายตะกรา้ เฟอร์นิเจอร์
ของชําร่วยทาํ จากผักตบชวา เปดิ บริการทกุ วนั )
ผ้าทอพ้ืนเมอื งโบราณ ลาวซ–ี ลาวครง่ั 25/1 ม.5 (บ้านทุ่งกา้ นเหลอื ง) ตาํ บลปา่ สะแก
โทร. 08 9926 28646 (เปิดบริการทุกวัน จาํ หนา่ ยผ้าทอพน้ื เมอื ง)
3.2.4 อาํ เภอบางปลาม้า
กล่มุ หัตถกรรมจกั สานบา้ นโพธศ์ิ รี (วดั โพธ์ิศรี) ตงั้ อย่เู ลขท่ี 2 / 3 ม.3 ตําบลบางปลามา้ อาํ เภอ
บางปลาม้า โทร. 081 - 2746092, 035 – 587684 จําหน่ายเครอ่ื งจกั สานประเภทตะกร้า กระบุง
โทร. 08 274 6092, 0 3558 76854
กลุ่มศิลปไ์ มไ้ ผ่ 85 ม.10 ถ.สพุ รรณบุรี-บางบัวทอง ตาํ บลโคกคราม โทร.08 6887 8329,
08 983 5952, 08 7972 4721 (จาํ หนา่ ยเครื่องประดับ เครอื่ งเรอื น เครอื่ งตกแตง่ บา้ นจากไม้ไผ่)
เบญจรงค์ 104 ม.1 ถ.บางแมห่ ม้าย ตําบลบา้ นแหลม โทร.0 3840 0176, 08 7155 1416 (จาํ หนา่ ย
เคร่ืองเบญจรงค์ เครอ่ื งป้ันดนิ เผา)
ผลิตภัณฑไ์ ม้กวาดพนั ปี 1 ม.4 ถ.สุพรรณบรุ ี-บางสาม ตําบลวงั ใหญ่ (ทาํ จากใยมะพรา้ วและดอกหญ้า)
ไม้กวาดใยมะพรา้ ว ทาํ ท่ีบา้ นบางแมห่ ม้าย อาํ เภอบางปลาม้า ทางหลวงหมายเลข 3351 กิโลเมตรที่ 17 – 18
เข้าทางเดยี วกบั ทางเขา้ วดั อาน ชาวบา้ นจะทาํ ไมก้ วาดตลอดทง้ั ปี โดยเฉพาะช่วงเดอื น 10 - 12 นอกฤดทู าํ นา
ไม้กวาดมีลักษณะพิเศษคอื มคี วามทนทาน ดา้ มสวยงาม สอบถามรายละเอยี ดตดิ ต่อ คุณประจวบ อ่อนละมลู
โทร.0 3542 4249
3.2.5 อาํ เภอเมอื งสุพรรณฯ
กลุ่มศิลปหตั ถกรรมบา้ นธรรมกุล งานจักสาน งานแจกนั ดนิ เผาแนวจิตรกรรมไทย 60 ม.5 ตาํ บลพิหาร
แดง เลยวดั พระนอนไปเล็กนอ้ ย โทร.0 3540 8400, 08 9817 7856
116
เบญจรงค์ทอง 26/7 หมู่ 7 ตาํ บลโพธพิ์ ระยา โทร. 0 3553 5890, 08 9740 2255 โทรสาร
0 3553 5737ผลติ ภณั ฑ์เครอ่ื งเคลอื บดินเผา เครอ่ื งเบญจรงค์ เครอ่ื งเคลือบมุกลงลายนํา้ ทอง เครอื่ งทองนูน
ลงลายนํา้ ทอง และเครอ่ื งลายคราม
เบญจรงค์บ้านหนองหนิ 349/2 หมู่ 5 บ้านหนองพนั กง ตาํ บลตลงิ่ ชนั โทร. 08 6011 5325,
08 5935 2403 มเี บญจรงคน์ ้าํ ทองเขียนมุก
มาลาทอง 262/1 หมู่ 5 ตําบลดอนกํายาน โทร. 0 3555 5560, 0 3555 5560, 0 2454 4692โทรสาร 0
3555 5560, 0 2805 3907 การผลิตและจําหนา่ ยหมวกแฟช่ัน ถงุ มือ กระเป๋า รวมถงึ ผลิตภัณฑอ์ ่ืนๆ E-mail :
[email protected]
3.2.6 อําเภอสามชุก
กล่มุ จกั สานบา้ นทุง่ แฝก สินค้าพนื้ เมอื งและของทร่ี ะลกึ อาํ เภอสามชกุ (จากวดั ทงุ่ แฝกไป 11 กโิ ลเมตร)
47/1 ม.2 ถ.สพุ รรณ-ชัยนาท ตาํ บลวังลกึ โทร.0 3558 1101 (ผลติ ภัณฑ์จักสาน ตะกรา้ )
การณุ โตะ๊ มุก (ครัวลกู แมห่ ยา) 932 ม.2 ถ.เลยี บแม่นา้ํ ท่าจนี ตําบลสามชกุ โทร. 0 3557 1731,
08 1909 0519 (รับส่ังทาํ โตะ๊ ม.บชู า ผลติ ภณั ฑจ์ ากไม้ เปดิ บริการทุกวัน)
3.2.7 อําเภอหนองหญ้าไซ
ผา้ ไหม 628 ม.9 บา้ นทุ่งแสม ถ.ดา่ นช้าง-หนองเตย ตําบลหนองขาม โทร. 0 3546 7261,
08 7067 2297 (จําหนา่ ยผลติ ภณั ฑผ์ ้าไหม ผา้ ฝา้ ย ผา้ ตีนจก ผ้ามอ่ ฮอ่ ม)
3.2.8 อําเภออูท่ อง
กลุ่มผ้าปกั ดน้ มอื 142 ม.3 ถ.มาลัยแมน ตาํ บลกระจัน โทร. 0 3555 1300 (จําหน่ายผ้าปักดน้ มอื
ลวดลายสวยงามเช่น ผ้าหม่ เดก็ และกระเปา๋ เปิดบรกิ ารทกุ วนั )
กล่มุ ทอผา้ วงั ทอง 24 ม.13 บา้ นวงั ทอง ตาํ บลจระเขส้ ามพนั โทร. 08 1924 4509, 0 3548 4080
3.3 ดา้ นอุตสาหกรรม
อุตสาหกรรมในจังหวัดสุพรรณบุรีส่วนใหญ่ เป็นอุตสาหกรรมการเกษตร ซึ่งได้แก่ โรงสี นึ่ง อบ เป็นต้น
และอุตสาหกรรมอาหาร ไดแ้ ก่ โรงงานผลิตนาํ้ ตาล ผลติ ภณั ฑ์นม และแปรรูปเน้ือสัตว์ พืช ผัก ผลไม้ เป็นต้น โดยมี
โรงงานน้ําตาลขนาดใหญ่ 3 แห่ง คือท่ีอําเภออู่ทอง อําเภอสามชุก และอําเภอด่านช้าง ทําให้ มีเงินหมุนเวียน
ภายในจังหวัดสูง ในอนาคตอุตสาหกรรมของจังหวัดสุพรรณบุรี จะมีบทบาทสําคัญเนื่องจากมีการต้ังโรงงานขนาด
ใหญ่ ประกอบกับ มีการจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคตะวันตก ที่อําเภอเมืองสุพรรณบุรี เพราะในจังหวัด
สุพรรณบุรี มีอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตผลการเกษตรโดยเฉพาะแบบง่าย ๆเช่น ผลิตหน่อไม้- กระป๋อง
(หน่อไม้ฝรั่ง หน่อไม้ไผ่) ผลไม้กระป๋อง เช่น แห้วกระป๋อง กระจับกระป๋อง ว่านหางจระเข้ และลูกตาล
กระป๋อง แม้กระทงั่ อุตสาหกรรมที่เก่ียวเน่อื งกบั การเกษตร อย่างครบวงจรของจงั หวัดสุพรรณบรุ ี คอื การผลิตยอด
อ้อยตากแห้ง และซังข้าวโพดบด เพื่อนําไปใช้เป็นวัสดุ อาหารสัตว์ และใช้เพาะเห็ดฟางในต่างประเทศซึ่งมี
โรงงานผลิตอยู่ 2 แห่ง ที่อําเภอสองพ่ีน้อง และอําเภอหนองหญ้าไซ จากการรายงานของสํานักงานคณะกรรมการ
117
พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปรากฏว่า ในปี 2545 จังหวัดสุพรรณบุรี มีมูลคา่ รวมผลิตภัณฑ์จังหวัด
GPP ตามราคาประจําปี 39,477 ล้านบาท และมูลค่าผลิตภัณฑ์เฉลี่ยต่อหัว ( Per Capita GPP ) 44,708 บาท
รายได้เฉล่ียตอ่ หัว อยู่ในลําดับท่ี 6 ของภาคตะวนั ตก และอยใู่ นอนั ดับที่ 43 ของประเทศ
กจิ กรรมท่ี 3 อาชพี หลกั ในจังหวดั สุพรรณบุรี
ให้ผู้เรียนแบง่ กลุ่มๆ ละ 5 คนเพ่อื ศกึ ษาเปรียบเทียบการประกอบอาชีพของประชากรในจงั หวัดสุพรรณบุรี โดยให้
ทาํ ในรปู ของแผนภมู หิ รอื กราฟ กลมุ่ ละ 1 แผนภมู ิ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
118
เรื่องที่ 4 ปัจจยั หลักของการประกอบอาชพี
สิ่งสําคัญของการเร่ิมต้นประกอบอาชีพอิสระ จะต้องพิจารณาว่าจะประกอบอาชีพอิสระอะไร โอกาสและ
ความสําเร็จมีมากน้อยเพียงไร และจะต้อง เตรียมตัวอย่างไรจึงจะทําให้ประสบผลสําเร็จ ดังนั้น จึงต้องคํานึงถึง
ปจั จยั หลักของการประกอบอาชีพ ได้แก่
1. ทุน คือ สิ่งที่จําเป็นปัจจัยพ้ืนฐานของการประกอบอาชีพใหม่ โดยจะต้องวางแผนและแนวทางการ
ดําเนินธุรกิจไว้ล่วงหน้า เพ่ือที่จะทราบว่าต้อง ใช้เงินทุนประมาณเท่าไร บางอาชีพ ใช้เงินทุนน้อยปัญหาย่อมมีน้อย
แต่ถ้าเป็นอาชีพท่ีต้องใช้เงินทุนมากจะต้องพิจารณาว่ามีทุนเพียงพอหรือไม่ซ่ึงอาจ เป็นปัญหาใหญ่ ถ้าไม่พอจะหา
แหล่งเงินทนุ จากทใ่ี ด อาจจะได้จากเงินเก็บออม หรือจากการกู้ยมื จากธนาคาร หรอื สถาบนั การเงนิ อ่นื ๆ อยา่ งไรก็
ตาม ในระยะแรกไมค่ วรลงทนุ จนหมดเงนิ เก็บออมหรอื ลงทุนมากเกินไป
2. ความรู้ หากไม่มีความรู้เพียงพอ ต้องศึกษาขวนขวายหาความรู้เพ่ิมเติม อาจจะฝึกอบรมจากสถาบันท่ี
ให้ความรู้ด้านอาชีพ หรอื ทาํ งานเปน็ ลกู จ้างคน อน่ื ๆ หรอื ทดลองปฏบิ ตั ิดว้ ยตนเองเพื่อให้มีความรู้
ความชํานาญ และมปี ระสบการณ์ในการประกอบอาชีพนน้ั ๆ
3. การจัดการ เป็นเรือ่ งของเทคนิคและวิธีการ จงึ ตอ้ งร้จู กั การวางแผนการทาํ งานในเรอ่ื งของตวั บคุ คลที่
จะร่วมคดิ รว่ มทาํ และรว่ มทนุ ตลอดจนเครอื่ งมอื เครอ่ื งใช้และกระบวนการทาํ งาน
4. การตลาด เปน็ ปจั จยั ทสี่ าํ คัญมากทสี่ ดุ ปจั จยั หน่งึ เพราะหากสนิ ค้าและบริการทผี่ ลติ ข้นึ ไมเ่ ป็นท่ีนิยม
และไมส่ ามารถสร้างความพอใจใหแ้ กผ่ ู้บรโิ ภค ไดก้ ถ็ อื วา่ กระบวนการทง้ั ระบบไมป่ ระสบผลสาํ เรจ็ ดงั นน้ั การ
วางแผนการตลาด ซึง่ ปัจจบุ นั มีการแขง่ ขนั สูง จึงควรไดร้ บั ความสนใจในการพัฒนา รวมทั้ง ตอ้ งรแู้ ละเข้าใจใน
เทคนคิ การผลติ การบรรจแุ ละการหีบหอ่ ตลอดจนการประชาสมั พนั ธ์ เพ่ือใหส้ นิ ค้าและบริการของเราเปน็ ที่
นยิ มของลูกคา้ กล่มุ เปา้ หมาย ตอ่ ไป
ขอ้ แนะนําในการเลือกอาชพี
ก่อนตัดสินใจเลือกประกอบอาชีพใด ๆ ก็ตาม ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ ซึ่งมีข้อแนะนํา ดังน้ี
1. ควรเลือกอาชีพที่ชอบหรือคิดว่าถนัด สํารวจตัวเองว่าสนใจ อาชีพอะไร ชอบหรือถนัดด้านไหน มี
ความสามารถอะไรบ้าง ท่ีสําคัญคือต้อง การหรืออยากจะประกอบอาชีพอะไร จึงจะเหมาะสมกับตัวเองและ
ครอบครวั กล่าวคือ พิจารณาลกั ษณะงานอาชพี และพจิ ารณาตวั เอง พรอ้ มท้ังบคุ คลในครอบครวั
ประกอบกนั ไปด้วย
2. จะต้องพัฒนาความสามารถของตัวเอง คือ ต้องศึกษารายละเอียดของอาชีพที่จะเลือกไปประกอบ ถ้า
ความรู้ความเข้าใจยังมีน้อย มีไม่เพียงพอก็ต้องทําการศึกษา ฝึกอบรม ฝึกปฏิบัติเพ่ิมเติมจากบุคคล หรือหน่วยงาน
ต่าง ๆ ให้มีพื้นฐานความรู้ความเข้าใจในการเร่ิมประกอบอาชีพท่ีถูกต้อง เพ่ือจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงของ
ผมู้ ปี ระสบการณม์ าก่อน จักได้เพม่ิ โอกาสความสําเร็จสมหวังในการไปประกอบอาชพี นัน้ ๆ
3. พิจารณาองค์ประกอบอื่นท่ีเกี่ยวข้อง เช่น ทําเล ที่ต้ังของอาชีพที่จะทําไม่ว่าจะเป็นการผลิต การ
จําหน่าย หรือการให้บริการก็ตาม สภาพ แวดล้อมผู้ร่วมงาน พื้นฐานในการเร่ิมทําธุรกิจ เงินทุน โดยเฉพาะเงินทุน
ตอ้ งพจิ ารณาวา่ มีเพียงพอหรือไมถ่ ้าไมพ่ อจะหาแหลง่ เงินทนุ จากท่ใี ด
119
การประกอบอาชพี ของไทย
การประกอบอาชีพเป็นท่ีมาของรายได้ เพื่อนําไปใช้จ่ายในการดํารงชีวิต ซึ่งจําเป็นต้องอาศัยปัจจัยส่ี
ได้แก่ อาหาร ทอ่ี ยอู่ าศยั เคร่ืองนุ่งห่ม และยารักษาโรค ในอดตี สิ่งของตา่ ง ๆ เหล่าน้ีเป็นหน้าที่ของพ่อแม่เป็นผู้
จดั หาให้แก่สมาชกิ ดว้ ยการผลติ ขึน้ ใชเ้ องในครอบครัวโดยไมจ่ ําเปน็ ตอ้ งใช้เงนิ ซอ้ื หา ปจั จุบันการดํารง ชีวิตในสังคม
ได้เปล่ียนแปลงไป ประชาชนมีการศึกษามกข้ึน ความรู้ที่ได้รับจะเป็นพื้นฐานในการประกอบอาชีพ เพ่ือให้มีรายได้
มาซ้ือปัจจยั ส่ีและสิ่งของอนื่ ๆ ในการดํารงชวี ติ และสร้างมาตรฐานท่ีดีให้แก่ตนเองครอบครัว และสังคม อาชีพมีอยู่
มากมาย ควรพิจารณาเลือกประกอบอาชีพที่มีความถนัดและความสนใจสุจริต มีความม่ันคงในชีวิตและมีรายได้
เพียงพอความจําเปน็ ของการประกอบอาชีพมดี งั น้ี
1. เพื่อตนเอง
เป็นการประกอบอาชีพเพื่อให้ได้เงินหรือรายไดม้ าจับจ่ายใช้สอยสําหรับการดําเนินชีวิต และตอบสนอง
ความต้องการของตนเอง เช่น ซ้ือเคร่ืองซักผ้า เคร่ืองตัดหญ้า เตาไมโครเวฟ รถยนต์ ฯลฯ ซ้ือสิ่งสร้างความบันเทิง
และการพักผ่อน เช่น วิทยุ โทรทัศน์ วีดิทัศน์ ตลอดจนซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น เครื่องประดับราคาแพง น้ําหอม
เครอ่ื งสําอาง เป็นตน้
2. เพีอ่ ครอบครัว
ครอบครัวเป็นหน่วยสังคมที่เล็กที่สุด สมาชิกของครอบครวั ประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูก ซึ่งมีภาระหน้าท่ี
ที่จะต้องปฏิบัติต่อกัน เช่น พ่อแม่มีหน้าที่เล้ียงดูลูกและให้การศึกษา เพ่ือประกอบอาชีพในอนาคต ลูกมีหน้าท่ี
ศึกษาเล่าเรียนจนสําเร็จการศึกษา แล้วแสวงหาอาชีพ เพื่อหารายได้มาเล้ียงดูตนเอง พ่อแม่ และทุกคนใน
ครอบครัว ใหม้ ีมาตรฐานความเป็นอยูท่ ี่ดีขึน้
3. เพื่อชมุ ชน
ครอบครัวเป็นส่วนหน่ึงของชุมชนหรือสังคม หากสมาชิกแต่ละครอบครัวประกอบอาชีพท่ีสุจริตถูกต้อง
ตามกฎหมาย และมีอาชีพที่มั่นคง รายได้ดี และมีโอกาสก้าวหน้าภายในชุมชน ทําให้ชุมชนเข้มแข็ง เศรษฐกิจของ
ชุมชนเจริญรุ่งเรอื งสามารถพึ่งพาตนเองได้
4. เพอ่ื ประเทศชาติ
เมอ่ื ประชาชนในชาติมีการประกอบอาชพี มีรายไดม้ าเลีย้ งตนเองและครอบครัว ทําใหอ้ ตั ราการว่างงานลด
น้อยลง ย่อมเป็นการแก้ไขปัญหาสังคมให้กับรัฐบาล สภาพสังคมมีความเป็นอยู่ที่ดี มีการใช้ทรัพยากรภายใน
ชุมชน รายได้เกิดการหมุนเวียน ทําให้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศก้าวหน้า ผลจากการท่ีประชาชนประกอบ
อาชพี มีงานทํา มรี ายได้ ชมุ ชนมคี วามเขา้ แขง็ และชาํ ระภาษใี หแ้ ก่รฐั เพือ่ รัฐจะได้นําไปพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ
เช่น การสร้างถนน สะพาน เขื่อน โรงไฟฟ้า เป็นต้น การประกอบอาชีพของประชาชน ในชุมชนและใน
ประเทศ จงึ เป็นการชว่ ยพฒั นาประเทศชาติได้อกี ทางหน่ึง
120
กิจกรรมที่ 4 ปจั จัยหลกั ของการประกอบอาชีพ
1. อธิบายปจั จยั หลักของการประกอบอาชพี
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ผเู้ รยี นคดิ วา่ ปัจจัยในการประกอบอาชพี ข้อใดมคี วามสาํ คัญมากท่ีสดุ และมคี วามสาํ คญั อยา่ งไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ผูเ้ รียนมีแนวคิดในการเลอื กประกอบอาชพี อย่างไรบ้างจงอธบิ าย
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
เร่ืองท่ี 5 คุณธรรม จริยธรรมในการประกอบอาชีพ
5.1 คณุ ธรรมในการทาํ งาน
ความหมายของคณุ ธรรม จริยธรรม
คาํ วา่ “คุณธรรม จรยิ ธรรม” นี้ เปน็ คําทคี่ นส่วนใหญจ่ ะกล่าวควบค่กู นั เสมอ จนทาํ ใหเ้ ข้าใจผดิ ไดว้ ่า
คําท้ังสองคํามีความหมายอย่างเดียวกันหรือมีความหมายเหมือนกัน แท้ที่จริงแล้วคําว่า “คุณธรรม” กับคําว่า
“จริยธรรม” เป็นคําแยกออกได้ 2 คํา และมีความหมายแตกต่างกันคําว่า“คุณ”แปลว่าความดี เป็นคําที่มี
ความหมายเป็นทางนามธรรม ส่วนคําว่า“จริย”แปลว่าความประพฤติกริยาที่ควรประพฤติเป็นคําที่มีความหมาย
ทางรปู ธรรม ดงั นนั้ จึงควรท่ีผูบ้ ริหารจะต้องทําความเข้าใจเกยี่ วกับความหมายของคําสองคาํ น้ีใหถ้ ่องแท้ก่อน
พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. 2525 (2538 : 189) ให้ความหมายว่า “ คุณธรรม หมายถงึ
สภาพคุณงามความด”ี
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ยุตโต ) (2540: 14) ได้กล่าวว่าคุณธรรมเป็น ภาพของจิตใจกล่าวคือคุณสมบัติท่ี
เสริมสร้างจิตใจใหด้ ีงาม ใหเ้ ปน็ จิตใจท่สี งู ประณีตและประเสรฐิ เชน่
เมตตา คอื ความรักปรารถนาดี เป็นมติ ร อยากให้ผอู้ น่ื มีความสขุ
กรุณา คอื ความสงสารอยากชว่ ยเหลอื ผอู้ ่ืนมีความสุข
มทุ ติ า คอื ความพลอยยนิ ดพี ร้อมท่จี ะสง่ เสริมสนับสนนุ ผทู้ ่ีประสบความสําเร็จให้มีความสขุ หรอื
กา้ วหนา้ ในการทาํ ส่งิ ทีด่ ีงาม
อเุ บกขา คอื การวางตวั วางใจเป็นกลาง เพื่อรกั ษาธรรมเมอื่ ผอู้ ่ืนควรจะตอ้ งรบั ผดิ ชอบตอ่ การ
กระทาํ ของเขาตามเหตแุ ละผล
จาคะ คอื ความมีน้ําใจเสยี สละ เออื้ เฟอื้ เผอื่ แผ่ ไมเ่ หน็ แกต่ ัว
วศิน อินทสระ (2541: 106,113) กล่าวตามหลักจริยศาสตร์ว่า คุณธรรม คือ อุปนิสัยอนั ดีงามซึ่งส่ังสมอยู่
ในดวงจิต อุปนิสัยอันนไ้ี ด้มาจากความพยายามและความประพฤติติดต่อกันมาเป็นเวลานาน... คุณธรรมสัมพันธ์กับ
หน้าที่อย่างมาก เพราะการทําหน้าท่ีจนเป็นนิสัย จะกลายเป็นอุปนิสัยอันดีงามที่สั่งสมในดวงจิตเป็นบารมี มี
ลักษณะอย่างเดียวกันน้ี ถ้าเป็นฝ่ายช่ัว เรียกว่า “อาสวะ” คือ กิเลสท่ีหมักหมม ในดวงจิต ย้อมจิตให้เศร้าหมอง
เกรอะกรังด้วยความชั่วนานาประการกลายเป็นสันดานชั่ว ทําให้แก้ไขยากสอนยาก กล่าวโดยสรุป คุณธรรมคือ
ความลาํ้ เลศิ แหง่ อปุ นสิ ยั ซงึ่ เปน็ ผลของการการะทําหนา้ ท่จี นกลายเป็นนิสัยน่นั เอง
121
พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยูร ธมมจิตโต) (2538: 15-16) กล่าวว่า คุณธรรมคือคุณสมบัติท่ีดีของจิตใจ
ถ้าปลูกฝังเรื่องคุณธรรมได้จะเป็นพ้ืนฐานจรรยาบรรณ... จรรยาบรรณน้ีเป็นเร่ืองพฤติกรรมในการที่จะพัฒนาต้อง
ตีความออกไปว่า พฤติกรรมเหล่านี้มีพ้ืนฐานจากคุณธรรมข้อใด เช่น เบญจศีลเป็นจริยธรรม เบญจธรรมเป็น
คุณธรรมคือ ความเมตตากรุณา ถ้ามีความเมตตากรุณาจะมีฐานของศีลข้อท่ี 1 เป็นต้น ส่วนจริยธรรม พจนานุกรม
ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ.2525 (2538 : 216 ) ให้ความหมายวา่ “จรยิ ธรรมหมายถึง ธรรมท่ี
เป็นขอ้ ประพฤติปฏิบัติ ศีลธรรม กฎศลี ธรรม”
พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยูร ธมมจิตโต) (2535: 81-82) กล่าวว่าจริยธรรม คือ หลักแห่งความประพฤติ
หรือแนวทางการปฏิบตั ิ หมายถงึ แนวทางของการปฏิบัติ หมายถงึ แนวทางของการประพฤตปิ ฏบิ ัติ
จนใหเ้ ปน็ คนดเี พ่ือประโยชนส์ ขุ ของตนเองและส่วนรวม
นอกจากน้ีพระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยูร ธมมจิตโต) (2538: 2) ยังให้แนวคิดว่าจริยธรรมคือหลักแห่งความ
ประพฤติดีงามสําหรับทุกคนในสังคม ถ้าเป็นข้อปฏิบัติทั่วไป เรียกว่าจริยธรรม ถ้าเป็นข้อควรประพฤติที่มีศาสนา
เข้ามาเกี่ยวข้อง เราเรียกว่า ศีลธรรม แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่า จริยาธรรมอิงอยู่กับหลักคําสอนทางศาสนาเพียง
อย่างเดียว แท้ที่จริงนั้นยังหยั่งรากอยู่บนขนบธรรมเนียมประเพณี แม้นักปราชญ์คนสําคัญ เช่น อริสโตเติล คานท์
มหาตมะ คานธี ก็มีสว่ นสรา้ งจริยธรรมสาํ หรับเปน็ แนวทางในการดํารงชวี ิตของคน
จากทศั นะของพระเมธธี รรมภรณด์ งั กลา่ วข้างตน้ น้ี จะเห็นได้ว่าจริยธรรมไม่แยกเด็ดขาดจากศีลธรรม แต่มี
ความหมายกว้างกว่าศีลธรรม ศีลธรรมเป็นหลักคําสอนท่ีว่าด้วยความประพฤติชอบ ส่วนจริยธรรม หมายถึง หลัก
แห่งความประพฤติดีประพฤติชอบอันวางรากฐานอยู่บนหลักคําสอนของศาสนา ปรัชญาและขนบธรรมเนียม
ประเพณี ท่านผู้น้ีมองจริยธรรมในฐานะท่ีเป็นระบบ อันมีศีลธรรมเป็นส่วนประกอบสําคัญ แต่ก็มีแนวคิดปรัชญา
ค่านิยม ตลอดจนธรรมเนียมประเพณีเข้ามาเก่ียวข้องด้วยจากท่ีกล่าวมาท้ังหมดพอสรุปได้ว่า คําว่า คุณธรรม
จรยิ ธรรม สองคาํ น้เี ป็นคําท่มี ีความหมายเกยี่ วข้องกันในด้านคุณงามความดี กล่าวคือ จริยธรรมคือความประพฤติที่
ถูกต้องดีงามทั้งกายและวาจา สมควรท่ีบุคคลจะประพฤติปฏิบัติ เพื่อให้ตนเองและคนในสังคมรอบข้างมีความสุข
สงบ เยือกเย็น จริยธรรมเป็นเร่ืองของการฝึกนิสัยท่ีดี โดยกระทําอย่างต่อเนื่องสม่ําเสมอจนเป็นนิสัย ผู้มีความ
ประพฤติดีงามอย่างแท้จริงจะต้องเป็นผู้มีความรู้สึกในด้านดีอยู่ตลอดเวลา คือ มี “คุณธรรม” อยู่ในจิตใจหรืออาจ
กล่าวได้ว่าจริยธรรมเป็นเรอ่ื งของการประพฤติปฏิบัติเป็นพฤติกรรมภายนอก ส่วนคุณธรรมเป็นสภาพคุณงามความ
ดีภายในจิตใจ ซึ่งท้ังสองส่วนต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน พฤติกรรมของคนท่ีแสดงออกมาท้ังทางกายและวาจาน้ัน
ย่อมเกี่ยวเน่ืองสัมพันธ์และเป็นไปตามความรู้สึกนึกคิดทางจิตใจและสติปัญญา การพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของ
บุคคลจงึ ต้องพฒั นาทง้ั 3 ด้าน ควบคกู่ ันไป คอื การพัฒนาด้านสตปิ ัญญา ดา้ นจิตใจและด้านพฤติกรรม
ความสําคญั ของคณุ ธรรม จริยธรรม
คุณธรรมจริยธรรมนับว่าเปน็ พ้ืนฐานที่สําคัญของคนทุกคนและทุกวิชาชีพ หากบุคคลใดหรือวิชาชีพใดไม่มี
คุณธรรมจริยธรรมเป็นหลักยึดเบ้ืองต้นแล้วก็ยากท่ีจะก้าวไปสู่ความสําเร็จแห่งตนและแห่งวิชาชีพนั้นๆ
ที่ย่งิ กวา่ นั้นกค็ ือการขาดคุณธรรมจริยธรรมทั้งในส่วนบุคคลและในวิชาชีพ อาจมีผลร้ายต่อตนเอง สังคมและวงการ
วิชาชีพในอนาคตได้อีกด้วย ดังจะพบเห็นได้จากการเกิดวิกฤติศรัทธาในวิชาชีพหลายแขนงในปัจจุบัน ท้ังวงการ
วิชาชีพครู แพทย์ ตํารวจ ทหาร นักการเมืองการปกครอง ฯลฯ จึงมีคํากล่าวว่าเราไม่สามารถสร้างครูดีบนพื้นฐาน
ของคนไม่ดี และไม่สามารถสร้างแพทย์ ตํารวจ ทหารและนักการเมืองท่ีดี ถ้าบุคคลเหล่านั้นมีพ้ืนฐานทางนิสัยและ
ความประพฤติที่ไม่ดี ดังพระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ในพระราชพิธีบวงสรวง
สมเด็จพระมหากษัตรยิ าธิราช ณ ทอ้ งสนามหลวง เมื่อวนั จันทร์ท่ี 5 เมษายน พ.ศ.2525 ไว้ ดงั นี้
122
“.....การจะทํางานให้สัมฤทธ์ิผลที่พึงปรารถนา คือให้เป็นประโยชน์และเป็นธรรมด้วยนั้น จะอาศยั ความรู้
แต่เพียงอย่างเดียวมิได้ จําเป็นต้องอาศัยความสุจริต ความบริสุทธ์ิใจ และความถูกต้องเป็นธรรม ประกอบด้วย
เพราะเหตุว่าความรู้นั้น เสมือนเคร่ืองยนต์ท่ีทําให้ยวดยานเคลื่อนท่ีไปได้ประการเดียว ส่วนคุณธรรมดังกล่าวแล้ว
เป็นเสมือนหน่ึงพวงมาลัยหรือหางเสือ ซึ่งเป็นปัจจัยที่นําทางให้ยวดยานดําเนินไปถูกทางด้วยความสวัสดี คือ
ปลอดภัย บรรลจุ ุดประสงค์...”
จริยธรรมจึงเป็นสิ่งสําคัญในสังคม ท่ีจะนําความสุขสงบและความและความเจริญก้าวหน้ามาสู่สังคมนั้นๆ
เพราะเมอื่ คนในสังคมมีจริยธรรม จิตใจก็ยอ่ มสูงส่ง มคี วามสะอาด และสว่างในจิตใจ จะทําการงานใดก็ไมก่ ่อให้เกิด
ความเดือดร้อน ไมก่อให้เกิดทุกข์แก่ตนเองและผู้อ่ืน เป็นบุคคลมีคุณค่ามีประโยชน์ และสร้างสรรค์คุณงามความดี
อันเป็นประโยชนต์ อ่ บ้านเมืองต่อไป
วศนิ อินทสระ (2541 : 6-9) ไดก้ ลา่ วถึงความสาํ คญั และประโยชนข์ องจริยธรรมดงั จะกลา่ วโดยยอ่ ดงั น้ี
1. จริยธรรมเป็นรากฐานอันสําคัญแห่งความเจริญรุ่งเรือง ความมั่นคงและความสงบสุขของปัจเจกชน
สังคมและประเทศชาตอิ ยา่ งย่ิง รฐั ควรส่งเสรมิ ประชาชนให้มจี รยิ ธรรมเป็นอันดับแรก เพื่อให้เป็นแกนกลางของการ
พัฒนาด้านอ่ืนๆ ท้ังเศรษฐกิจ การศึกษา การเมืองการปกครอง ฯลฯ การพัฒนาท่ีขาดจริยธรรมเป็นหลักยึดย่อม
เกิดผลร้ายมากกว่าดี เพราะผู้มีความรู้แต่ขาดคุณธรรม ย่อมก่อให้เกิดความเส่ือมเสียได้มากกว่าผู้ด้อยความรู้ โดย
ท่านกล่าวว่า“ผู้มีความรู้แต่ไม่รู้วิธีที่จะประพฤติตน ย่อมก่อให้เกิดความเสื่อมเสียได้มากกว่าผู้มีความรู้น้อย ถ้า
เปรียบความรู้เหมือนดิน จริยธรรมย่อมเป็นเหมือนนํ้า ดินท่ีไม่มีนํ้ายึดเหนี่ยวเกาะกุมย่อมเป็นฝุ่นละอองให้ความ
รําคาญมากกวา่ ใหป้ ระโยชน์ คนทม่ี คี วามร้แู ต่ไม่มีจริยธรรมจึงมักเป็นคนที่ก่อความรําคาญหรือเดือดร้อนให้แก่ผู้อ่ืน
อยู่เนืองๆ”
2. การพัฒนาบ้านเมือง ต้องพัฒนาจิตใจคนก่อน หรืออย่างน้อยก็ให้พร้อมๆไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจ
สังคม การศึกษาวิชาการอื่นๆ เพราะการพัฒนาที่ไม่มีจริยธรรมเป็นแกนนํานั้นจะสูญเปล่าและเกิดผลเสียเป็นอัน
มากทําให้บุคคลลุ่มหลงในวัตถุและอบายมุข การที่เศรษฐกิจต้องเส่ือมโทรม ประชาชนทุกข์ยาก เพราะคนในสังคม
ละเลยจริยธรรม กอบโกยทรัพย์สินเป็นประโยชน์ส่วนตัวมากเกินไปขาดความเมตตาปราณี แล้งนํ้าใจในการดําเนิน
ชวี ิตซง่ึ กันและกนั
3. จริยธรรม มิได้หมายถึง การถือศีล กินเพล เข้าวัดฟังธรรม จําศีลภาวนา โดยไม่ช่วยเหลือทําประโยชน์
ให้แก่สังคม แต่จริยธรรมหมายถึงความประพฤติ การกระทําและความคิดที่ถูกต้องเหมาะสมการทําหน้าท่ีของตน
อย่างถูกต้องสมบูรณ์ เว้นส่ิงควรเว้น ทําสิ่งควรทํา ด้วยความฉลาดรอบคอบ รู้เหตุรู้ผลถูกต้องตามกาลเทศะและ
บคุ คล ดงั น้นั จะเห็นวา่ จรยิ ธรรมจึงจําเป็นและมีคณุ คา่ สําหรบั ทกุ คนในทุกวชิ าชพี ทกุ สังคม สงั คม
จะอยรู่ อดดว้ ยจรยิ ธรรม
4. การทุจริต คดโกง การเบียดเบียนกนั ในรปู แบบต่างๆอนั เปน็ เหตุใหส้ ังคมเสื่อมโทรม มีสาเหตุมาจากการ
ขาดจรยิ ธรรมของคนในสงั คม ทรัพยากรธรรมชาตใิ นโลกนี้น่าจะพอเล้ียงชาวโลกไปไดอ้ กี นาน ถ้าชาวโลกช่วยกันละ
ทิ้งความละโมบโลภมาก แล้วมามีชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย ช่วยกันสร้างสรรค์สังคม ยึดเอาจริยธรรมเป็นทางดําเนิน
ชีวิต ไม่ใช่ยึดเอาลาภยศความมีหน้ามีตาในสังคมเป็นจุดหมาย ถ้าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นก็ถือเป็นเพียงผลพลอยได้และ
123
นํามาใช้เป็นเครื่องมือในการประพฤติธรรม เช่น อาศัยลาภผลเป็นเครื่องมือในการบําเพ็ญสาธารณประโยชน์อาศัย
ยศและความมหี น้ามีเกียรตใิ นสงั คมเปน็ เคร่ืองมอื ในการจูงใจคนผูเ้ คารพนบั ถือเขา้ หาธรรม
5. จริยธรรมสอนให้เราเลิกดูหมิ่นกดขี่คนจน ให้เอาใจใส่ดูแลเอ้ืออาทรต่อผู้สูงอายุ ซ่ึงเป็นบุพการีของชาติ
สอนให้เราถ่อมตัวเพื่อเข้าหากันได้ดีกับคนทั้งหลาย และไม่วางโตโอหังอวดดีหรือก้าวร้าวผู้อ่ืน สอนให้เราลดทิฐิ
มานะลงให้มากๆเพอื่ จะได้มองเห็นส่ิงต่างๆตามความจริง ไม่หลงสําคัญตัวว่ารู้ดีกว่า มีความสามารถกว่าใคร ผู้นําที่
มีจริยธรรมสูงย่อมเป็นท่ีเคารพกราบไหว้ของท้ังหลายได้อย่างสนิทใจ เราควรเลือกผู้นําท่ีสามารถนําความสงบสุข
ทางใจมาสู่มวลชนได้ด้วย เพ่ือสันติสุขจะเกิดขึ้นท้ังภายในและภายนอก ความแข็งแกร่งทางกําลังกายกําลังทรัพย์
และอาวธุ นั้น
ถ้าปราศจากความแขง็ แกร่งทางจรยิ ธรรมเสยี แลว้ บคุ คลหรอื ประเทศชาติจะมัน่ คงอยไู่ ดไ้ ม่นาน สังคมที่
เจรญิ มนั่ คงตอ้ งมจี รยิ ธรรมเป็นเครอื่ งรบั รอบหรอื เป็นแกนกลาง เหมือนถนนที่ม่นั คงหรอื ตึกที่แข็งแรง เขาใช้
คอนกรตี เสรมิ เหลก็ แม้เหลก็ จะไมป่ รากฏออกมาใหเ้ หน็ ภายนอก แต่มคี วามสาํ คัญอยภู่ ายในนายช่างยอ่ มรดู้ ี ทาํ นอง
เดยี วกนั กบั บณั ฑติ ยอ่ มมองเห็นอยา่ งแจ่มแจง้ วา่ จรยิ ธรรมมีความสาํ คญั ในสังคมเพียงใด
จากขอ้ ความทก่ี ลา่ วมาทัง้ หมดนี้ พอสรุปไดว้ า่ คุณธรรมจริยธรรมเป็นรากฐานสําคัญในการพัฒนาคน
ปญั หาของสังคมไทยทปี่ ระสบพบเหน็ อยู่ทุกวนั นีเ้ กิดจาก “คน” ปัญหาเริ่มตน้ ที่ “คน” และมีผลกระทบถงึ “คน”
การแก้ปญั หาสังคมไทยจงึ ตอ้ งแกด้ ้วย “การพัฒนาคน” เพื่อใหค้ นมปี ญั ญา มีความรมู้ คี ณุ ธรรมและมที กั ษะในการ
แกป้ ัญหาชีวติ ปัญหาจึงอยู่ทวี่ า่ เราจะพัฒนาคนอยา่ งไรเพ่ือใหค้ นมชี ีวิตทด่ี ีงามสามารถใชค้ วามรู้และแกป้ ญั หาได้
สร้างสรรคไ์ ด้ ปฏิบัตติ อ่ เทคโนโลยอี ยา่ งถูกตอ้ ง อยใู่ นระบบการแข่งขันทางเศรษฐกิจได้ บริโภคผลผลติ ดว้ ยปญั ญา
รอู้ ะไรดี อะไรชัว่ มที ศั นคติทางจรยิ ธรรมทเี่ หมาะสม ฯลฯ ทง้ั หมดน้เี ปน็ คณุ สมบตั ิของคนทีม่ คี ณุ ธรรม การจดั การ
ศกึ ษาคงตอ้ งยึดหลกั สําคัญคอื “ให้ความรคู้ คู่ ณุ ธรรม “ สังคมไทยจึงจะมสี มาชิกของสังคมที่เป็นทง้ั คนเก่งและคนดี
ดงั คาํ กลอนของอําไพ สจุ รติ กลุ (2534 : 186) กล่าวไว้ดังนี้
เมือ่ ความรูย้ อดเยีย่ มสูงเทียมเมฆ แตค่ ณุ ธรรมตํา่ เฉกยอดหญา้ นั่น
อาจเสกสร้างมจิ ฉาสารพัน ดว้ ยจติ อันไรอ้ ายในโลกา
แมค้ ุณธรรมเยย่ี มถึงเทยี มเมฆ แต่ความรตู้ า่ํ เฉกเพยี งยอดหญา้
ย่อมเป็นเหยอื่ ทรชนจนระอา ด้วยปัญญาออ่ นดอ้ ยนา่ นอ้ ยใจ
หากความรสู้ งู ลํา้ คุณธรรมเลศิ แสนประเสริฐกอปริกิจวินจิ ฉัย
จะพฒั นาประชาราษฎรท์ ง้ั ชาติไทย ตอ้ งฝกึ ใหค้ วามรูค้ ่คู ณุ ธรรม
คุณธรรมพน้ื ฐานของผนู้ ํา
“....ในฐานท่ีเป็นครอู าจารย์ หัวหน้างาน จาํ เป็นตอ้ งมีความสจุ รติ ยตุ ธิ รรม ทําตวั ใหเ้ ปน็ ตัวอย่าง เปน็ ท่ีพงึ่
ของผอู้ ยู่ใต้บังคับบญั ชา ไม่ยอมแพพ้ า่ ยตอ่ ความโลภ ความลืมตวั ความรษิ ยา ความแตกร้าว ต้องมุ่งมน่ั ในประโยชน์
อันรุ่งเรืองไพศาล ของสว่ นรวมเป็นเปา้ หมาย จงึ จะได้ชอื่ วา่ ประสบความสําเร็จ และมชี อ่ื เสียงเกียรติคณุ ทกุ
ประการ ดงั ทปี่ รารถนา......” พระบรมราโชวาท พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ภูมิพลอดลุ ยเดชมหาราช
คุณธรรมในการทํางาน หมายถึง ลักษณะนิสัยที่ดีท่ีควรประพฤติปฏิบัติในการประกอบอาชีพคุณธรรม
สําคัญที่ชว่ ยใหก้ ารทํางานประสบความสาํ เร็จมดี ังน้ี
124
1. ความมีสติสัมปชัญญะ หมายถึง การควบคุมตนเองให้พร้อม มีสภาพต่ืนตัวฉับไวในการรับรู้ทาง
ประสาทสัมผัส การใช้ปัญญาและเหตุผลในการตัดสินใจท่ีจะประพฤติปฏิบัติในเร่ืองต่างๆ ได้อย่างรอบคอบ
เหมาะสม และถกู ตอ้ ง
2. ความซ่ือสัตย์สุจริต หมายถึง การประพฤติปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมาท้ังกาย วาจา และใจ ไม่คิดคด
ทรยศ ไมค่ ดโกง และไม่หลอกลวงใคร
3. ความขยันหมั่นเพียร หมายถึง ความพยายามในการทํางานหรือหน้าท่ีของตนเองอย่างแข็งขัน ด้วย
ความมุ่งมน่ั เอาใจใส่อยา่ งจริงจงั พยายามทําเร่อื ยไปจนกว่างานจะสาํ เรจ็
4. ความมีระเบียบวินัย หมายถึง แบบแผนท่ีวางไว้เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติและดําเนินการให้ถูกลําดับ
ถกู ท่ี มีความเรยี บร้อย ถกู ตอ้ งเหมาะสมกบั จรรยาบรรณ ข้อบังคับ ขอ้ ตกลง กฎหมาย และศลี ธรรม
5. ความรับผิดชอบ หมายถึง ความเอาใจใส่มุ่งมั่นตั้งใจต่องาน หน้าที่ ด้วยความผูกพัน ความพากเพียร
เพอ่ื ให้งานสําเร็จตามจดุ มงุ่ หมายทีก่ าํ หนดไว้
6. ความมนี าํ้ ใจ คอื ปรารถนาดีมไี มตรีจติ ตอ้ งการช่วยเหลอื ใหท้ กุ คนประสบความสขุ และชว่ ยเหลอื ผอู้ ่ืน
ใหพ้ น้ ทุกข์
7. ความประหยัด หมายถึง การรู้จักใช้ รู้จักออม รู้จักประหยัดเวลาตามความจําเป็น เพ่ือให้ได้ประโยชน์
อย่างคุ้มค่าที่สุดความสามัคคี หมายถึง การที่ทุกคนมีความพร้อมทั้งกาย จิตใจ และความเป็นนํ้าหนึ่งใจเดียวกัน
มีจดุ ม่งุ หมายทจ่ี ะปฏบิ ตั ิงานให้ประสบความสาํ เร็จโดยไม่มกี ารเกีย่ งงอน
ประโยชนข์ องคณุ ธรรมจริยธรรม
1. พฒั นาให้เปน็ มนษุ ยท์ ่ีสมบรูณ์ ท้งั รา่ งกาย จิตใจ สติปญั ญา มีความรคู้ ู่ คณุ ธรรม
อย่รู ว่ มกบั ผอู้ นื่ ได้อย่างมคี วามสุข
2. พัฒนาสังคมไทย ใหเ้ ป็นสังคมที่เข้มแขง็ คอื
- สงั คมคุณภาพ
- สงั คมแหง่ การเรยี นรู้
- สังคมแหง่ ความสมานฉนั ท์ มุง่ ให้คนไทย เกง่ ดี มสี ุข
เปา้ หมายในการพฒั นางานด้านวฒั นธรรม เมอื่ ส้ินแผนพัฒนาฯ ฉบบั ที่ 9 คอื
1. คนไทยได้รับการบรกิ ารทางด้านวฒั นธรรมอยา่ งทวั่ ถงึ และทกุ คนมสี ว่ นรว่ มในการ รกั ษา พฒั นา
และร่วมกนั สรา้ งสรรคว์ ฒั นธรรม ให้ตะหนกั ถงึ คณุ ค่าของวฒั นธรรม
2. สง่ เสรมิ การวิจยั พฒั นางานดา้ นวัฒนธรรม ร่วมกันสร้างสรรค์ ประยุกต์ใช้ เผยแพร่ ความรู้ ผสมผสาน
กับภูมิปญั ญาในการดาํ เนนิ ชวี ติ ไดอ้ ย่างเหมาะสม เพื่อการพฒั นาทย่ี งั่ ยนื
3. ปลกู ฝังคณุ ธรรม จริยธรรม คา่ นิยม และคุณลกั ษณะทพ่ี ึงประสงคใ์ นวถิ ีชวี ติ แบบไทย เพ่ือให้อยู่ร่วมกัน
ไดอ้ ยา่ งสันติสขุ มีความรับผดิ ชอบ
5.2 จริยธรรมในการทํางาน
จรยิ ธรรม หมายถึง ความประพฤติปฏบิ ัตทิ ม่ี ธี รรมะเป็นตวั กํากบั จรยิ ธรรมกค็ อื ธรรมท่ีเป็นไป ธรรมที่
เปน็ ข้อประพฤติปฏิบตั ิ ศีลธรรม กฎศีลธรรม (พระเทวินทร์ เทวินโท, 2544)
จริยธรรม ในความหมายของ สุนทร โคตรบรรเทา (2544) กล่าวว่า ถา้ จะตคี วามแคบ ๆ จริยธรรมคง
หมายถึง ศีลธรรมประการหนงึ่ และคณุ ธรรมอกี ประการหนงึ่ รวมเปน็ สองประการด้วยกัน
125
นอกจากน้ี วรยิ า ชินวรรโณ (2546) ไดป้ ระมวลความหมายของคําวา่ จริยธรรม ตามทบี่ คุ คลตา่ ง ๆ ได้
กล่าวไว้ ดังน้ี
พระราชชยั กวี (ภิกขพุ ทุ ธทาส อินทปัญโญ) กล่าวว่า จริยธรรมเป็นส่ิงพงึ ประพฤติ จะตอ้ งประพฤติ สว่ น
ศีลธรรม นนั้ คอื สิง่ ที่กาํ ลังประพฤตอิ ยหู่ รือประพฤตดิ แี ล้ว
วิทย์ วิศทเวทย์ อธบิ ายวา่ จริยธรรมคอื ความประพฤตติ ามคา่ นิยมทีพ่ งึ ประสงค์
สาโรช บัวศรี ใหค้ วามหมายของจริยธรรมว่า คือ หลักความประพฤติทอ่ี บรมกิริยาและปลกู ฝังลักษณะนสิ ยั
ใหอ้ ยูใ่ นครรลองของของคณุ ธรรมหรือศลี ธรรม
สลุ กั ษณ์ ศิวรักษ์ กลา่ ววา่ จรยิ ธรรม คือส่ิงท่ีคนในสังคมเกิดความเชอ่ื ถอื ซ่งึ มตี ัวตนมาจากปรมัตถสจั จะ
กอ่ สวัสดพิ าณชิ ย์ กล่าววา่ จริยธรรม ประมวลความประพฤติและความนกึ คิดในสิง่ ทดี่ ีงามและเหมาะสม
ดวงเดือน พันธุมนาวิน (2538) กล่าวว่า คําว่า จริยธรรม น้ัน หมายถึงระบบการทําความดี ละเว้น
ความช่ัว ซ่ึงเป็นระบบที่หมายถึงสาเหตุที่บุคคลจะกระทําหรือไม่กระทํา และผลของการกระทําและไม่กระทํา
ตลอดจนกระบวนการเกิดและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเหล่านี้ด้วย สําหรับความหมายของจริยธรรมในการ
ทํางาน ดวงเดือน พันธุมนาวิน (2538) กล่าวว่า คือ ระบบการทําความดีละเว้นความช่ัว ในเร่ืองซ่ึงอยู่ในความ
รับผิดชอบและเกี่ยวข้องกับผู้ปฏิบัติ เกี่ยวข้องกับสถานการณ์การทํางาน เกี่ยวข้องกับกระบวนการทํางาน และ
ผลงานตลอดจนเกี่ยวข้องกบั ผรู้ ับผลประโยชนห์ รอื โทษจากผลงานนนั้ ๆ
จริยธรรมในการทาํ งาน หมายถงึ กฎเกณฑท์ ่ีเปน็ แนวทางปฏิบัตติ นในการประกอบอาชพี ทถ่ี อื ว่าเปน็ สิ่งที่ ดงี าน
เหมาะสม กนั ดงั น้ี
อิทธิบาท 4
แนวทางการปฏิบตั ติ น
ในเร่อื งจริยธรรม
ในการทาํ งาน
สัปป รุ ิสธรร ม 7 ทศิ 6
ทศพธิ ราชธรรม
อิทธิบาท 4
126
ความหมายของอทิ ธิบาท 4
“อทิ ธบิ าท 4” หากวา่ กันตรงตัวตามคําหลักคําอธิบายของพระพุทธศาสนานัน่ คอื “หนทางหรือ
รากฐานสูค่ วามสาํ เร็จ 4 ประการ” ถงึ แมว้ ่าแนวคิดคําสอนเหล่าน้จี ะถูกถ่ายทอดมาตง้ั แตส่ มัยพุทธกาล แตด่ ว้ ยหลัก
แนวคิดและการปฏิบตั ิท่งี ่ายๆท้งั 4 ประการนีท้ ําให้สามารถนาํ มาปรับใชไ้ ด้ทกุ ยุค ทกุ สมัย น่ันประกอบดว้ ย ฉนั ทะ
วิรยิ ะ จติ ตะ และวมิ งั สา ท่ีใชใ้ นการทาํ งาน ประกอบด้วย...
1. ฉนั ทะ : ความรกั งาน-พอใจกับงานทท่ี ําอยู่
อันดบั แรกต้องสํารวจตนเองว่า มีความชอบหรอื ศรัทธางานด้านใด แล้วมงุ่ ไปในเส้นทางนั้น อาจเร่ิมต้นง่าย
ๆ ด้วยการต้ังคําถามกับตัวเอง ฉันทํางานเพ่ืออะไร ฉันมีความสุขหรือไม่หากงานที่ทําอยู่ไม่ใช่งานท่ีรักเสียทีเดียว
เผื่อเราจะได้มีเวลาค้นหาและปรับเปล่ียนตัวเอง หรือปรับศรัทธาของตัวเองให้เข้ากับงานที่ทําอยู่
อย่างไรก็ตาม เชื่อเถอะว่างานแต่ละอย่างน้ัน ไม่มีทางที่ใครจะช่ืนชอบไปท้ังหมดทุกกระบวนการ ดังน้ัน ถ้า
คณุ พอใจท่ีจะทาํ และมีความสุขกบั งาน เชอ่ื วา่ งานทคี่ ุณทําอย่ตู อ้ งออกมาดีแน่ ๆ
2. วริ ยิ ะ : ขยนั หมั่นเพียรกบั งานทมี่ ี
งานทกุ อยา่ งจะสาํ เร็จไดต้ อ้ งอาศัยความขยันหมั่นเพียร ความวิริยะจึงเป็นเคร่ืองมืออีกอย่างหน่ึงท่ี จะนํา
คุณไปสู่ความสําเร็จได้ ยิ่งคุณขยันเท่าไรผลตอบแทนท่ีคุณจะได้รับมันก็มีมากเท่านั้น ที่สําคัญความวิริยะจะเกิดขึ้น
ได้กด็ ว้ ยความรกั ในงานจากฉนั ทะนน่ั เอง และความวริ ิยะไมใ่ ชก่ ารทํางานแบบเอาเปน็ เอาตาย แตเ่ ป็น
การหมน่ั ฝึกฝนตนเองตา่ งหาก
ทั้งนี้ มีข้อน่าสังเกตสําหรับคนทํางานร่วมกันคือ จะต้องขยันด้วยกันทั้งหัวหน้าและลูกน้อง ยิ่งผู้เป็นหัวหน้า
ย่ิงสําคัญมาก ถ้าเป็นคนเกียจคร้าน คิดกินแรงอย่างเดียว ลูกน้องก็มักขยันไปได้ไม่กี่น้ํา เด๋ียวก็รามือกันหมด แต่ถ้า
หวั หนา้ เอาการเอางาน กจ็ ะสามารถดงึ ลูกนอ้ งใหข้ ยันขันแข็งขนึ้ ด้วย
3. จติ ตะ : เอาใจใสร่ ับผิดชอบกับงานที่ทาํ
จิตใจที่จดจ่อกับงานล้วนเกิดผลดีต่องานที่ทํา จิตตะเป็นธรรมะท่ีแสดงถึงสติ ความรอบคอบและความ
รับผิดชอบท่ีจะตามมา ซึ่งในสังคมการทํางานปัจจุบันนี้ มุ่งเน้นแย่งชิงตําแหน่งกัน และขัดขาจนลืมคิดไปว่า งานที่
ตนเองต้องรับผิดชอบน้ันคือส่ิงใดกันแน่ จิตตะจึงมีความสําคัญในการทํางานโดยไม่วอกแวกออกไปนอกลู่นอกทาง
ดังน้ัน เมือ่ คุณมีท้งั ฉนั ทะและวริ ิยะแลว้ จิตตะจะเป็นเสมอื นรัว้ ของเสน้ ทางท่ีไม่ใหไ้ ขวเ้ ขวออก
นอกทางสคู่ วามสําเร็จได้
อย่างไรก็ดี ปกติคนที่โตเปน็ ผใู้ หญร่ ผู้ ิดชอบ มักจะใส่ใจกบั งานอยู่แล้ว เพราะธรรมชาตจิ ะทําใหห้ ยดุ คิด
ยาก แต่เสยี อยอู่ ยา่ งเดยี วคือ ชอบคิดเจา้ กี้เจา้ การแตเ่ รอ่ื งงานของคนอ่นื คอยติ คอยสอดแทรก คอยวพิ ากษว์ จิ ารณ์
ในขณะทธี่ รุ ะของตัวกลบั ไมค่ ดิ ไมด่ ู ซง่ึ ไม่ส่งผลใหง้ านของเราดีขน้ึ พระพทุ ธเจ้า จึงทรงสอนใหเ้ ปน็ นกั ตรวจตรางาน
คือให้มจี ติ ตะ แลว้ กท็ รงใหโ้ อวาทสาํ ทับไว้ด้วยว่า "ควรตรวจตรางานของตวั เอง ท้งั ทท่ี ําแล้วและยังไมไ่ ดท้ ํา"
4. วมิ งั สา : การพนิ จิ พเิ คราะหแ์ ละใชป้ ัญญาตรวจสอบงาน
สดุ ยอดของวธิ ีทํางานให้สําเร็จอยใู่ นอทิ ธบิ าทข้อสุดท้ายน้ี วมิ งั สา แปลวา่ การพนิ จิ วิเคราะห์ หมายความ
ว่า ทาํ งานดว้ ยปญั ญา ด้วยสมองคดิ ไมใ่ ชส่ กั แตว่ ่าทาํ คนเราแม้จะรกั งานแค่ไหน บากบั่นเพยี งใด หรอื เอาใจจดจอ่
อยตู่ ลอดเวลา แตถ่ ้าขาดการใช้ปัญญาพิจารณางานดว้ ยแลว้ ผลทสี่ ดุ งานก็ค่ังคา้ งและผดิ พลาดจนได้
จะเหน็ ไดว้ า่ หลกั ธรรมะที่ใชใ้ นการทาํ งาน เปน็ เร่ืองงา่ ย ๆ ใกลต้ ัว หากเรานาํ อิทธบิ าท 4 มาปรับใช้ใน
การทาํ งาน รกั งานที่ทาํ ขยนั ทํางาน รบั ผิดชอบงาน และรู้จักไตรต่ รองให้ถ่ถี ว้ น ทางแห่งความสาํ เรจ็ คุณกท็ าํ ได้อยู่
ที่ "ใจ"
127
สปั ปรุ สิ ธรรม 7
สัปปุริสธรรม 7 ประการ คุณธรรม คอื คณุ งามความดี เป็นตวั คอยกาํ หนดให้คนประพฤตปิ ฏิบัตดิ ี ซึง่ ทุก
คนสามารถนํามาประยกุ ต์ใช้ และถอื ปฏิบัติ โดยเฉพาะผทู้ ีเ่ ปน็ หัวหนา้ ตอ้ งปกครองผู้ใตบ้ ังคบั บญั ชา สมควรตอ้ ง
กระทําตนเป็นแบบอย่างทีด่ ใี หก้ ับคนอ่ืน และจะตอ้ งบงั คับใจตนเองใหอ้ ยใู่ นกรอบของศลี ธรรมอนั ดีงาม ซ่ึงจะชว่ ย
สง่ ผลต่อประสทิ ธภิ าพในการทํางาน ประกอบด้วยหลักธรรมท่ี 7 ประการ คอื
1. ธัมมญั ญุตา แหง่ สัปปรุ ิสธรรม 7 คอื การร้จู กั เหตุ
พระธรรมปฎิ ก ให้ความหมายของการรู้จักเหตใุ นเชิงทว่ี า่ คอื การรู้จัก และเข้าใจในหลกั การ ระเบียบ และ
กฎเกณฑข์ องสง่ิ ต่างๆ ในสงั คมท่เี กย่ี วขอ้ งกับการดาํ เนนิ ชวี ิต โดยรู้จกั วา่ ตนจะตอ้ งปฏิบัติใหส้ อดคลอ้ งกบั กฎเกณฑ์
ทม่ี ีอยอู่ ย่างไร สง่ิ ใดควรทาํ สงิ่ ใดไม่ควรทําภายใต้เหตุ และผลอันถูกตอ้ ง
วนั ทนา เมืองจนั ทร์ ให้ความหมายของการร้จู กั เหตใุ นเชงิ ทวี่ า่ ผู้นาํ ตอ้ งรคู้ ิด วิเคราะห์ในบทบาทหนา้ ที่
ท่ตี นมี พึงทาํ การใด พึงรบั ผดิ ชอบอยา่ งไร เพอ่ื ให้กิจการงานบรรลุถึงผลสาํ เรจ็
ตัวอยา่ งการรู้จกั เหตุ
– รจู้ กั ว่า สงิ่ ทต่ี อ้ งทํามีวิธีการหรือกระบวนการอยา่ งไร
– รจู้ กั วา่ เรื่องน้ันๆมีทมี่ าทีไ่ ปอยา่ งไร
– รู้จักว่า ส่งิ นนั้ ๆมคี วามสมั พันธห์ รือเกี่ยวขอ้ งกนั อยา่ งไร
– รจู้ ักว่า ผลทเ่ี กิดขึน้ จากการกระทาํ มสี าเหตุมาจากอะไร
ดังนน้ั ผทู้ ี่รู้จักวเิ คราะหห์ าเหตุของสถานการณ์ และมคี วามรับผดิ ชอบในขณะปฏิบตั ิงาน เปน็ การ
วางแผนการดาํ เนินงาน ย่อมทาํ ให้การทาํ หน้าที่บรรลผุ ลสาํ เรจ็
2. อัตถัญญตุ า แห่งสปั ปุรสิ ธรรม 7 คอื การรจู้ กั ผล
พระธรรมกติ ตวิ งศ์ ให้ความหมายของการรจู้ ักผลในเชงิ ทว่ี า่ คอื การเป็นผู้ร้จู ักผลหรอื ประโยชนท์ เ่ี กดิ ข้นึ
จากการกระทาํ สามารถรถู้ ึงความมงุ่ หมายของธรรมแตล่ ะอย่างได้ชดั เจน เช่น รวู้ า่ ประพฤตติ ามธรรมขอ้ นจ้ี ะไดร้ บั
ผลอยา่ งนี้ และรู้จักทจ่ี ะแสวงหาประโยชน์ให้แก่ตนเอง และผู้อ่นื เพราะเหน็ ดว้ ยปญั ญาว่าเกดิ ผลดจี ากการปฏบิ ัติ
วันทนา เมืองจนั ทร์ ใหค้ วามหมายของการรู้จักผลในเชงิ ทวี่ ่า ผู้นําตอ้ งยดึ เป้าหมายหรอื วัตถปุ ระสงค์
สามารถวิเคราะหผ์ ลที่จะได้รบั จากการดําเนินงานต่างๆ อยา่ งถกู ตอ้ ง รจู้ ักและเขา้ ใจวตั ถุประสงค์ของเปา้ หมายของ
หลกั สตู ร
ตัวอย่างการรู้จกั ผล
– รจู้ ักวา่ เมอื่ ทาํ สง่ิ นน้ั จะเกดิ ผลดีหรอื ผลเสีย
– รูจ้ ักว่า เมอื่ ทาํ สิง่ น้ันจะเกดิ ผลดแี กใ่ คร ผลเสียแก่ใคร
– รูจ้ ักวา่ เมอื่ ทําส่ิงน้นั จะเกดิ ผลดหี รือผลเสยี มากนอ้ ยเพยี งใด
– รู้จักว่า จะทาํ สิ่งใดจะตอ้ งมเี ปา้ หมาย
– ฯลฯ
ดงั น้ัน ผทู้ ีร่ ู้จกั พิจารณาไตรต่ รองอยา่ งรอบคอบเสียกอ่ นจะลงมอื ปฏบิ ตั ิ ย่อมเขา้ ใจถงึ ผลท้งั หลายที่มมี าแต่
เหตุ การกระทาํ ทรี่ ู้จกั ความหมาย และความมุ่งหมายของหลกั การในการปฏบิ ัติงาน รู้จัก และเขา้ ใจวัตถุประสงค์
ของเป้าหมายในกจิ การนนั้ ยอ่ มสามารถวเิ คราะห์ผลทีจ่ ะได้รับการดําเนนิ งานต่างๆ อยา่ งถกู ตอ้ ง
128
3. อตั ตัญญตุ า แหง่ สปั ปุรสิ ธรรม 7 คือ การรูจ้ ักตน
พระธรรมกติ ตวิ งศ์ ให้ความหมายของการรจู้ ักตนเองในเชงิ ทีว่ ่า คือ ความรู้จกั ประมาณตนในเรอ่ื งตา่ งๆ ทั้ง
ฐานะทางการเงนิ และความเป็นอยู่ ฐานะหรอื ตาํ แหน่งในหนา้ ทก่ี ารงาน รวมไปถึงรจู้ กั สภาพความคิด และจติ ใจ
ของตน เมอื่ รูว้ า่ ตนมีกําลงั มคี วามคดิ อย่างไร มอี ปุ นสิ ยั อย่างไร เม่ือนั้น ยอ่ มทจ่ี ะสามารถวางตัวหรอื ปฏบิ ัตติ ัวได้
อย่างถกู ตอ้ ง และเหมาะสมในสังคม
วนั ทนา เมอื งจนั ทร์ ให้ความหมายของการรู้จักตนเองในเชิงทวี่ า่ คอื ผนู้ าํ ต้องวเิ คราะหต์ นเองไดว้ า่ โดย
ฐานะ ภาวะกาํ ลงั ความร้คู วามถนดั ความสามารถ และคณุ ธรรมมเี ทา่ ใด เพอื่ จะไดพ้ ฒั นาตนแกไ้ ขปรบั ปรุงตน เปน็
การเตรียมตวั ให้สอดคลอ้ งกบั งานทีจ่ ะตอ้ งปฏบิ ตั ิ
ตวั อยา่ งการรู้จกั ตน
– รจู้ กั วา่ ตนมคี วามสามารถอย่างไร เก่งด้านใด ไมเ่ กง่ ดา้ นใด
– รู้จักว่า ตนมนี สิ ัยอย่างไร
– รู้จกั วา่ ตนชอบหรอื ไมช่ อบอะไร
– รู้จกั ว่า ตนมตี ําแหนง่ หนา้ ทใ่ี นการงานอย่างไร
– ฯลฯ
ดังนั้น ผทู้ ี่รู้จักตนเองจะสามารถวิเคราะหต์ นเองไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งตรงกับความเปน็ จริงแล้วประพฤติปฏิบัตใิ ห้
เหมาะสม รู้จักแก้ไขปรับปรงุ ใหส้ อดคลอ้ งกบั วัตถปุ ระสงคอ์ นั จะเกดิ ผลดตี อ่ งานในหนา้ ท่ี
4. มัตตญั ญุตา แหง่ สัปปุริสธรรม 7 คือ การรูจ้ กั ประมาณ
พระธรรมกติ ตวิ งศ์ ให้ความหมายของการรจู้ ักประมาณในเชิงทว่ี ่า คอื การเปน็ คนรจู้ ักความพอดี หรอื
ความพอเพียงในทกุ ๆด้าน ทง้ั ความพอดใี นตน ความพอเพยี งในชีวิต รูจ้ กั ความพอดใี นการพดู พอดใี นการทาํ งาน
พอดใี นการหาทรัพย์ และพอดใี นการจ่ายทรัพย์ ด้วยการรจู้ ักประมาณกําลังตนเอง
วนั ทนา เมอื งจนั ทร์ ให้ความหมายของการรู้จกั ประมาณในเชิงท่ีวา่ คือ ผูน้ าํ ตอ้ งรู้จักความพอเหมาะพอดี
ในการพดู ร้จู กั ประมาณในการบริหารงบประมาณ เพอ่ื ใหเ้ กดิ ประโยชนส์ งู สดุ ตอ่ ผใู้ ต้บังคับบญั ชา โดยมุง่ พฒั นา
ประสทิ ธภิ าพของการงาน และประโยชนอ์ นั ทีจ่ ะเกดิ แกส่ ว่ นรวม
ตวั อย่างการรู้จกั ประมาณ
– รจู้ กั ประมาณตนวา่ อยตู่ าํ แหน่งใดเม่อื เทยี บกับผ้อู ื่นทตี่ าํ แหน่งสูงกว่าทคี่ วรนอบนอ้ มใหค้ วาม
เคารพ
– รู้จกั ประมาณกาํ ลงั ทรพั ยข์ องตนในการซอื้ สิง่ ของ
– ร้จู ักประมาณกําลงั ตนเองขณะทาํ งาน
– รจู้ ักประมาณประโยชน์แกต่ นในปรมิ าณทพ่ี อเหมาะ
– ฯลฯ
ดงั น้นั ผทู้ ่รี ้จู ักความพอเหมาะพอดใี นการปฏิบัติงาน ยอ่ มทําให้กจิ การงานเปน็ ไปตามระเบียบแบบแผนที่
วางเอาไว้ ทั้งนี้ พึงใชป้ รชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี งเข้ามาประยกุ ต์ใช้ยิง่ ทาํ ให้เกิดความเข้าใจ และปฏบิ ตั ิไดง้ า่ ยขน้ึ
5. กาลญั ญุตา แหง่ สปั ปุรสิ ธรรม 7 คือ การรจู้ กั เวลา
พระธรรมปิฎก ให้ความหมายของการรูจ้ ักเวลาในเชิงท่ีวา่ คือ การเข้าใจในกาลเวลาอันสมควร และ
ระยะเวลาทเ่ี หมาะสมสําหรบั การทาํ กิจอนั ใดๆ และพึงใชก้ าลเวลานั้นใหเ้ หมาะสม เช่น รูว้ า่ เวลาไหนควร เวลาไหน
129
ไม่ควรทาํ รู้วา่ เวลาไหนควรทําอะไร อะไรควรทํากอ่ น อะไรควรทําหลัง ดว้ ยการจดั ลาํ ดบั ของงาน และเวลาให้
สัมพันธ์กัน รวมถึงรู้จกั ประมาณเวลาขณะทําส่ิงๆนั้นใหเ้ หมาะสม
พระธรรมกติ ตวิ งศ์ ใหค้ วามหมายของการรจู้ ักเวลาในเชิงที่วา่ คือ ผู้นําตอ้ งร้จู ักคุณค่าของกาลเวลา รวู้ ่า
เวลาใดทํา และเวลาใดควรหยดุ รวู้ า่ เวลานค้ี วรทาํ อะไร ไมค่ วรทาํ อะไร พรอ้ มกับรูจ้ กั ประมาณเวลาท่ีใชข้ ณะทาํ งาน
ใหม้ อี ย่างเหมาะสม ผทู้ ่รี ้จู กั กาลเวลาน้ี ยอ่ มเป็นคนตรงเวลา และเป็นคนท่รี ้คู ุณค่าของเวลา สามารถบริหารกิจการ
งานให้รุ่งเรืองตอ่ ไปไดด้ ว้ ยดี
วนั ทนา เมอื งจนั ทร์ ใหค้ วามหมายของการรจู้ ักเวลาในเชงิ ทวี่ า่ คอื การร้จู กั กาลเวลาอนั เหมาะสม และ
ระยะเวลาทตี่ อ้ งใช้ในการวางแผน การเตรยี มการ หรอื การกิจการน้ันๆ
ตัวอย่างการร้จู กั กาลเวลา
– ร้จู ักเวลาเข้างาน เวลาเลกิ งาน
– รู้จกั งานใดทาํ กอ่ น งานใดทาํ หลัง
– รู้จักเวลาอ่านหนงั สอื เวลาเขา้ นอน
– รู้จักเวลาพดู เวลาใดไมค่ วรพดู
– ฯลฯ
ดงั น้นั ผทู้ ี่เปน็ คนรู้คุณคา่ ของเวลา รูจ้ กั ลาํ ดบั เวลาความสาํ คัญของงานทสี่ ัมพนั ธ์กับเวลา วา่ ควรทําหรอื
ควรจะพกั ผอ่ น ว่าควรทาํ อันใดกอ่ นหลัง เมอ่ื ถึงเวลาทํางานควรทาํ งานทาํ งานอยา่ งเต็มกาํ ลงั ความสามารถ
6. ปรสิ ญั ญตุ า แหง่ สปั ปรุ ิสธรรม 7 คือ การร้จู ักชมุ ชน
พระธรรมกติ ตวิ งศ์ ให้ความหมายของการรจู้ ักชุมชนในเชงิ ทว่ี า่ คือ การเป็นผ้รู ้จู ักชมุ ชน ถน่ิ อาศยั หรอื
สังคมทตี่ นอาศยั อยู่ รวมถงึ รจู้ ักว่าชุมชนเหลา่ นั้นมคี วามตอ้ งการอะไร มีความเห็นหรอื ขอ้ ตกลงอย่างไร เม่อื ทราบ
เชน่ น้นั แลว้ ยอ่ มทาํ ให้สามารถอยูร่ ว่ มกบั ชมุ ชนไดอ้ ยา่ งมคี วามสุข และเกิดความร่วมมอื จากชมุ ชนอยา่ งแท้จรงิ
วนั ทนา เมืองจนั ทร์ ให้ความหมายของการรจู้ กั ชมุ ชนในเชงิ ทวี่ ่า คือ ผู้นาํ ต้องรู้จกั ถิ่น การปฏิบตั ใิ นถนิ่ ที่
เปน็ ชมุ ชน ผนู้ าํ ควรจะตอ้ งรวู้ า่ ชมุ ชนทต่ี ัง้ อยนู่ น้ั มรี ะเบียบแบบแผน มีวัฒนธรรมประเพณอี ยา่ งไร ผ้นู ําควรเข้าไป
สอบถามถงึ ความตอ้ งการ ซงึ่ จะทําใหท้ ราบว่า ควรจะสงเคราะหอ์ ยา่ งไร ควรบําเพ็ญประโยชนอ์ ยา่ งไร
ตัวอย่างการรู้จกั ชมุ ชน
– ร้จู กั ว่า ชมุ ชนมีกฎเกณฑห์ รือขอ้ ตกลงรว่ มกนั อย่างไร
– รูจ้ กั ว่า ชมุ ชนมขี นบธรรมเนยี ม และประเพณอี ยา่ งไร
– รจู้ กั วา่ ชมุ ชนมคี วามขาดแคลนในดา้ นใด
– ร้จู กั วา่ ชมุ ชนมคี วามตอ้ งการอย่างไร
– ฯลฯ
ดงั น้นั ผทู้ รี่ ้จู กั ปรบั ตัวให้เข้ากบั ชมุ ชน และเขา้ ใจในสภาพของชมุ ชนในดา้ นระเบยี บวินยั ขนบธรรมเนยี ม
ประเพณโี ดยการปรับปรุงตนเองให้เหมาะสมกับชนุ ชนนน้ั ๆ
7. ปคุ คโลปรปรญั ญตุ า แหง่ สปั ปรุ ิสธรรม 7 คือ การรู้จกั บคุ คล
พระธรรมกติ ตวิ งศ์ ใหค้ วามหมายของการรจู้ กั บคุ คลในเชงิ ท่วี า่ คือ การเป็นผู้รู้จกั เลอื กคบคน ใครควรคบ
หรือไมค่ วรคบ และรู้จักว่าคนแตล่ ะคนมอี ปุ นิสยั ใจคอทแ่ี ตกตา่ งกัน มคี ณุ ธรรมตา่ งกัน มีความประพฤตติ า่ งกัน มี
หนา้ ทีก่ ารงานต่างกนั ดังนัน้ จึงควรร้จู ักเลอื กคบหาคนทค่ี วรคบ ทําให้ไดค้ นดี คนทาํ งานเก่ง และเหมาะสมกบั งาน
วันทนา เมอื งจนั ทร์ ให้ความหมายของการร้จู ักบคุ คลในเชงิ ทว่ี ่า คือ ผู้นาํ ต้องรู้จัก และเข้าใจความแตกต่าง
ระหวา่ งบคุ คล เนอื่ งจากผู้นํานนั้ จะตอ้ งทํางานร่วมกบั บุคคลหลายฝ่าย โดยส่วนใหญ่จะเป็นการทํางานในรปู
130
คณะกรรมการ ผ้นู าํ จะตอ้ งรู้จกั และเข้าใจความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคลวา่ แต่ละบคุ คลมอี ัธยาศยั ความสามารถ
และคณุ ธรรม จงึ จะสามารถปฏบิ ตั ติ ่อบคุ คลอ่ืนสมั พันธเ์ ก่ยี วข้องจะใหเ้ กยี รตยิ กยอ่ งตามสมควรแหง่ สถานภาพ
ตวั อย่างการรู้จกั คน
– รู้จักว่า คนนนั้ มีนิสัยอย่างไร
– รูจ้ กั วา่ คนนัน้ มปี ระวตั ิเสอ่ื มเสยี หรอื ไม่
– รจู้ ักว่า คนนั้นมีความสามารถอย่างไร
– รจู้ กั วา่ คนนน้ั ไมเ่ กง่ ในด้านใด
ดังน้นั ผทู้ ี่รู้จักบคุ คล และเข้าใจความแตกตา่ งระหว่างบคุ คล โดยรจู้ กั เลอื กบคุ คลใหเ้ หมาะสมกบั งาน
เพ่อื ให้เกดิ ประโยชนใ์ นการปฏิบตั ิงานในสถานศกึ ษา เพิ่มเตมิ จาก : พระมหาสมควร (2550) อา้ งถงึ ในเอกสารหลาย
ฉบับ (1)
ทิศ 6
เป็นหลกั ธรรมท่วี า่ ดว้ ยการอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คม เรม่ิ ตั้งแต่ ครอบครวั สังคม และประเทศชาติ คอื หลกั การ
ปฏิบัติตอ่ กนั ระหว่างบิดามารดากบั บุตร สามกี บั ภรรยา ครกู บั ลกู ศษิ ย์ เพ่อื นกับเพอ่ื น ผบู้ งั คบั บญั ชากับผใู้ ต้
ผบู้ ังคับบัญชา แตใ่ นส่วนน้จี ะกล่าวถึงบทบาทหน้าที่ ระหวา่ งผบู้ ังคับบญั ชากบั ผู้ใตผ้ ้บู ังคับบญั ชาตามหลกั ธรรม ทิศ
6 ซ้งึ นาํ มาประยกุ ต์ ใชค้ วามรับผดิ ชอบในการทาํ งาน ทิศ 6 ทิศเบอ้ื งลา่ ง (เหฎฐมิ ทศิ ) ไดแ้ ก่ นายจา้ ง - ลูกจา้ ง
หนา้ ทีข่ องผู้เปน็ นายหรือผบู้ ังคบั บัญชากบั ผใู้ ต้บังคับบัญชาหรอื ผ้เู ป็นลกู จา้ ง มีดังนี้
หน้าทีข่ องนายจ้าง หน้าท่ีของลกู จา้ ง
1. จดั การงานให้ทําตามสมควรแกก่ ําลงั เพศ วัย ความ 1. ทํางานด้วยความเตม็ ใจ และกระตอื รอื รน้ เอาใจ
สามารถ และเหมาะสมกบั ตาํ แหน่งหน้าที่ ใสต่ อ่ งาน
2. ใหค้ ่าจ้างสมควรแกง่ านและความเปน็ อยู่ ใหอ้ าหาร 2. เริ่มทาํ งานก่อนและเลกิ ทีหลงั
รางวลั คํายกยอ่ ง ชมเชย
3. ใหส้ วสั ดกิ าร ความเอาใจใส่ตอ่ สขุ ภาพ อนามัยตอ่ 3. ไมล่ ะลาบละลว้ งถอื เอาของหลวงหรอื นายเป็น
ผู้ใตบ้ ังคับบญั ชา ช่วยรกั ษาพยาบาลในยามเจบ็ ป่วย ของส่วนตนไมเ่ หน็ แก่ประโยชนส์ ่วนตนเป็นใหญ่
4. ใหส้ ่ิงของหรอื ส่งเสรมิ ใหม้ กี ารพัฒนาใหมๆ่ 4. ทํางานทีไ่ ดร้ ับมอบหมายใหเ้ สรจ็ และมี
ประสทิ ธิภาพ
5. ใหพ้ ักผ่อนหยดุ งานตามโอกาสสมควร 5. ยกยอ่ งให้เกยี รติ ให้คณุ ความดขี องผ้บู ังคบั บญั ชา
131
ทศพธิ ราชธรรม
เมอ่ื ทรงขนึ้ ครองราชย์ในปี พ.ศ.2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ วั ทรงตรสั วา่
''เราจะครองแผน่ ดนิ โดยธรรม เพ่ือประโยชน์สขุ แหง่ มหาชนชาวสยาม''
ทศพิธราชธรรม หรือ ทศพิธราชธรรม 10 คือ จริยวัตร 10 ประการ ที่พระเจ้าแผ่นดินทรงประพฤติเป็น
หลักธรรมประจําพระองค์ หรือเป็นคุณธรรมประจําตนของผู้ปกครองบ้านเมืองให้มีความเป็นไปโดยธรรมและยัง
ประโยชน์สุขให้เกิดแก่ประชาชนจนเกิดความช่ืนชมยินดี ซึ่งความจริงแล้วไม่ได้จําเพาะเจาะจงสําหรับพระเจ้า
แผ่นดินหรอื ผปู้ กครองแผน่ ดินเทา่ นน้ั บุคคลธรรมดาทเี่ ปน็ ผบู้ รหิ ารระดับสูงในทกุ องค์กรกพ็ งึ ใชห้ ลักธรรมเหลา่ นี้
ทศพิธราชธรรมมีท่ีมาจากพระธรรมคําสอนของพระพุทธเจ้า ข้อมูลจากเว็บไซต์ easyinsurance.com
อธิบายไว้ว่า ในสมัยพุทธกาลก็เช่นเดียวกับทุกวันนี้ คือ มีผู้ปกครองปกครองประเทศโดยขาดความยุติธรรม
ประชาชนถูกกดขี่ข่มเหง ถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกทรมาน ถูกกล่ันแกล้งถึงตาย ถูกบังคับเก็บภาษีมากจนเกิน
ขอบเขต และถูกลงโทษด้วยวิธีการลงโทษที่โหดเห้ียมทารุณ พระพุทธเจ้าทรงสลดพระทัยต่อการกระทําอันไร้
มนษุ ยธรรมเหลา่ น้ี
ในอรรกถาธรรมบท (ธัมมปฏั ฐกภา) บนั ทกึ ไวว้ า่ ดว้ ยเหตนุ ้ี พระองค์จึงทรงมงุ่ พระทัยสู่ปัญหาว่าทําอย่างไร
ถึงจะมีรัฐบาลดีๆ ได้ โดยทัศนะต่าง ๆ ของพระองค์จะเป็นที่เข้าใจได้ก็ต่อเมื่อได้พิจารณาถึงภูมิหลังของด้านสังคม
เศรษฐกจิ และการเมอื งของยคุ พทุ ธกาลประกอบไปด้วย พระองค์ทรงแสดงใหเ้ หน็ ว่าทัว่ ท้งั ประเทศจะเกดิ ความฟอน
เฟะ เสื่อมโทรม และไร้สุข เมื่อหัวหน้ารัฐบาล คือ กษัตริย์ เสนาบดี และข้าราชการ มีแต่ความฟอนเฟะ และขาด
ความยุติธรรม เพราะว่าการท่ีประเทศจะมีความสงบสุขได้นั้น จะต้องมีรัฐบาลที่ปกครองด้วยความยุติธรรม ซึ่ง
วิธีการท่ีจะก่อให้เกิดรัฐบาลเช่นน้ีได้น้ันผู้ปกครองจะต้องยึดหลักคําสอนว่าด้วย “กิจวัตรของพระราชา 10
ประการ” หรอื "ทศพิธราชธรรม" นั่นเอง
132
หลกั ทศพิธราชธรรมทง้ั 10 ขอ้ มีดงั นี้
1. ทาน คอื การให้ หมายถงึ การให้ การเสยี สละ นอกจากเสียสละทรัพย์สงิ่ ของแล้ว ยงั หมายถงึ การให้
น้ําใจแกผ่ อู้ ่ืนดว้ ย
2. ศีล คอื ความประพฤติทด่ี งี าม ท้ัง กาย วาจา และใจ ใหป้ ราศจากโทษ ทงั้ ในการปกครอง อันไดแ้ ก่
กฎหมายและนิตริ าชประเพณี และในทางศาสนา
3. บริจาค คอื การเสียสละความสุขส่วนตน เพือ่ ความสุขสว่ นรวม
4. ความซอื่ ตรง คือ ความซอ่ื ตรงในฐานะท่ีเป็นผู้ปกครอง ดาํ รงอยใู่ นสตั ยส์ ุจรติ
5. ความออ่ นโยน คือ การมอี ธั ยาศยั อ่อนโยน เคารพในเหตผุ ลทค่ี วร มสี มั มาคารวะตอ่ ผ้อู าวโุ สและ
ออ่ นโยนตอ่ บคุ คลท่ี เสมอกันและตํา่ กว่า
6. ความเพียร คือ ความมีความอตุ สาหะในการปฏิบตั งิ าน โดยปราศจากความเกยี จครา้ น
7. ความไมโ่ กรธ คอื ไมแ่ สดงความโกรธใหป้ รากฏ ไม่ม่งุ รา้ ยผู้อื่นแมจ้ ะลงโทษผทู้ าํ ผดิ ก็ทาํ ตามเหตผุ ล
8. ความไมเ่ บียดเบยี น คอื ไม่บบี คน้ั ไมก่ อ่ ทกุ ขห์ รือเบยี ดเบียนผู้อ่ืน
9. ความอดทน คือ การมีความอดทนตอ่ ส่งิ ทงั้ ปวง รกั ษาอาการ กาย วาจา ใจใหเ้ รียบรอ้ ย
10. ความยตุ ธิ รรม คอื ความหนกั แนน่ ถอื ความถกู ตอ้ ง เทยี่ งธรรมเป็นหลกั ไมเ่ อนเอยี งหวนั่ ไหวดว้ ย
คาํ พดู อารมณ์ หรอื ลาภสกั การะใดๆ
10 ทกั ษะในการทํางานทเี่ ปน็ ทต่ี ้องการมากทสี่ ุด
1. ทักษะการจดั สรรงบประมาณ
ผทู้ ่สี ามารถจัดการบรหิ ารเงนิ สามารถตดั สนิ ใจทางธรุ กรรมการเงินได้ดีและสามารถวิเคราะหข์ อ้ มลู ที่เป็น
ตวั เลข
2. ทักษะในการควบคมุ ดแู ล
ผ้ทู ส่ี ามารถโตต้ อบได้กับทั้งผอู้ าวุโสกวา่ ผอู้ าวโุ สนอ้ ยกวา่ และบคุ คลระดบั เดยี วกนั ได้ สามารถออกคาํ สั่งและ
ชี้แจงไดอ้ ย่างชดั เจน มีทักษะการฟงั ที่ดี ใหค้ วามเคารพและรับการยอมรบั นับถอื จากผอู้ ่นื
3. ทักษะการประชาสมั พนั ธ์
หลายๆ บริษทั ยังขาดผู้ทสี่ ามารถพดู ตอ่ หน้าคนจํานวนมากและสามารถเขยี นไดด้ ี
4. ทักษะการบรหิ ารเวลา
ผู้ทสี่ ามารถทํางานไดท้ ันกําหนด รับมือกับความเครียดได้ จะเป็นทรพั ยากรสาํ คญั ใหแ้ กบ่ รษิ ัทนนั้
5. ทกั ษะในการตอ่ รอง
ผูท้ ส่ี ามารถแก้ปญั หาไดด้ ี มีความมน่ั คงแนว่ แน่และมจี ดุ มงุ่ หมาย
6. ทักษะการพดู
ผทู้ ่ีสามารถพูดไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพทัง้ กับบุคคลและกลุ่มคน ทงั้ ยงั สามารถฟังและแสดงความเห็น
ความคิดสรา้ งสรรค์ได้
7. ทกั ษะการเขยี น
สามารถเขียนรายงาน จดบันทกึ จดหมาย และเรยี งความโดยใช้ภาษาท่เี รยี บงา่ ย
8. ทกั ษะองคก์ รและการจดั การ
ผทู้ สี่ ามารถระบปุ ญั หาได้อย่างชดั เจน ประเมินสาเหตุตา่ งๆ พรอ้ มทั้งแสดงความเหน็ และหาวธิ ีแก้ปัญหาได้
อย่างมีประสิทธิภาพ
133
9. ทกั ษะการสมั ภาษณ์
ผทู้ ่ีมคี วามสามารถในการหาขอ้ มลู และสามารถตัดสินใจไดด้ จี ะสามารถช่วยใหบ้ ริษทั ประสบความสาํ เรจ็ ได้
การแสดงความสามารถในการถามคําถามระหวา่ งการสมั ภาษณ์และสามารถประเมนิ คําตอบอยา่ งฉลาดเป็นส่ิงทจี่ ะ
สร้างความประทบั ใจใหก้ ับนายจ้างได้
10. ทักษะการสอน
คนท่ีสามารถถา่ ยทอดความรู้ พฒั นาทักษะให้กับผอู้ น่ื และสามารถจงู ใจคน จะเป็นท่ตี อ้ งการมาก
กิจกรรมท่ี 5 คุณธรรม จริยธรรมในการประกอบอาชีพ
1. ใหผ้ ูเ้ รียนอธิบายคณุ ธรรม จริยธรรมทเี่ หมาะสมในการปฏิบัตงิ านมาพอสังเขป
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ใหผ้ ู้เรยี นยกตวั อย่างบคุ คลทใ่ี ชค้ ณุ ธรรม จริยธรรมในการประกอบอาชพี ท่ีประสบผลสาํ เร็จ มา 1 ตวั อย่าง
พรอ้ มท้งั อธบิ ายว่าบุคคลนนั้ ใชค้ ณุ ธรรม จรยิ ธรรมขอ้ ใด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
134
เรอื่ งท่ี 6 จรรยาบรรณวชิ าชพี
1. ความหมายความสําคัญของจรรยาบรรณวิชาชีพ
1.1 ทีม่ าของจรรยาบรรณวชิ าชีพ
ปวีณ ณ นคร ได้สรุปที่มาของจรรยาบรรณไว้ว่า ความประพฤติที่ปราศจากการควบคุมจะไม่ก่อให้เกิด
ความเป็นระเบียบเรียนร้อย ความดีงาม ความสงบสุขและความเจริญในตัวคน ดังน้ันในกิจการและในสังคมจึง
ต้องมีการควบคุมความประพฤติ โดยกําหนดกฎเกณฑ์สําหรับยึดถือเป็นแนวปฏิบัติ ในภาษาวิชาการเรียกว่า
“ปทัสถาน” หรอื บรรทดั ฐาน หรือศัพท์ทางปรชั ญาเรียกวา่ จรยิ ธรรม ซึง่ ในภาคปฏิบัติมหี ลายรูปแบบ
1. รูปแบบทางศาสนา ถ้าเป็นคําส่ังสอนหรือคติธรรมเพื่อยึดถือปฏิบัติ เรียกว่าศีลธรรม ถ้าเป็นลักษณะเชิง
พฤตกิ รรมซึง่ มีอยู่ในตัวคนแสดงออกมาจากตัวคน เรียกว่า คุณธรรม
2. รูปแบบในวงการวิชาชีพ ถ้าเป็นข้อกําหนดกฎเกณฑ์อันเป็นปทัสถานสําหรับผู้ประกอบวิชาชีพนั้นๆ ยึดถือ
ปฏิบัติเรียกว่า “จรรยาบรรณ” ถ้าเป็นลักษณะเชิงพฤติกรรมท่ีมีอยู่ในผู้ประกอบวิชาชีพหรือเป็นการแสดงออกมา
จากตัวคนเรียกว่า “จรรยา”
3. รปู แบบในวงงานหรือในหมู่คน ถ้าเป็นข้อกําหนดกฎเกณฑ์อันเป็นปทัสถานสําหรับคนในวงงานหรือหมู่เหล่านั้น
ยึดถือปฏิบัติเรียกว่า วินัย และท่ีเป็นลักษณะเชิงพฤติกรรมท่ีแสดงออกมาของคนในวงงานหรือในหมู่เหล่าน้ัน ก็
เรยี กวา่ วนิ ยั เช่นกัน
สรุป ทม่ี าของจรรยาบรรณ กค็ ือ รปู แบบหน่งึ ของจริยธรรมในวงการวิชาชีพเป็นข้อกําหนดกฎเกณฑ์ให้ผู้
ประกอบวิชาชีพยึดถือปฏิบัติ มีปกาศิตบังคับในระดับ “พึง” คอื พึงทําอย่างนั้น พึงทําอย่างนี้ ไม่ใช้เป็นการบังคับ
โดยเด็ดขาด แต่ผลสัมฤทธิ์หรือเป้าหมายของจรรยาบรรณและศักดิ์ศรีของผู้ประกอบวิชาชีพโดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือ
คนและเพ่ืองาน ดังน้ันในแต่ละวิชาชีพจึงได้กําหนดจรรยาบรรณมากําหนดบทบาทหน้าที่ และพฤติกรรมของ
สมาชกิ ในวงกรวชิ าชพี
1.2 ความหมายของจรรยาบรรณวชิ าชีพ
เม่ือกล่าวถึงจรรยาบรรณ มีคําศัพท์อยู่ 3 คําท่ีได้มีการนําไปใช้และมีความหมายคล้ายคลึงกันได้แก่ คําว่า
จริยธรรม จริยศาสตร์ และจรรยาบรรณ จริยธรรมเมื่อนําไปประยุกต์ใช้กับกลุ่มวิชาชีพเรียกว่า “จรรยาบรรณ”
ส่วนคําว่าจริยศาสตร์(ethics) หมายถึง ความรู้ที่กล่าวถึงแนวทางการประพฤติท่ีถูกต้อง ดีงาม จริยธรรม(morals)
หมายถึงหลักความประพฤตทิ ี่ดงี ามเพอื่ ประโยชนแ์ หง่ ตนและสังคม
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายของคําว่า จรรยาบรรณไว้ดังนี้ คือ จรรยาบรรณ
หมายถึง ประมวลความประพฤตทิ ผี่ ้ปู ระกอบอาชีพการงานแต่ละอย่างกาํ หนดข้ึน เพ่ือรักษาและส่งเสริมเกียรติคุณ
ช่ือเสียงและฐานะของสมาชกิ อาจเขยี นเป็นลายลกั ษณ์อักษรหรือไม่ก็ได้
สรุป ความหมายของจรรยาบรรณวิชาชีพ หมายถึง ประมวลความประพฤติ ข้อบังคับ มารยาท ท่ีผู้
ประกอบวิชาชีพแต่ละอย่างกําหนดขึ้น เพื่อรักษาและส่งเสริมเกียรติคุณ ชื่อเสียง ฐานะของสมาชิก ความดีงาม
รวมท้งั กอ่ ให้เกดิ ความสงบสขุ และความเจริญในตวั คน วิชาชพี และสงั คม
1.3 ความสาํ คัญของจรรยาบรรณวชิ าชพี
วริยา ชินวรรณโน ได้สรุปว่าความสําคัญของจรรยาบรรณวิชาชีพไว้ว่า ผู้ท่ีประกอบวิชาชีพเป็นผู้ท่ีได้รับ
การฝึกฝนมีความรู้ความชํานาญสูงเกินกว่าคนธรรมดาสามัญ เมื่อเป็นเช่นน้ันจึงมีโอกาสที่จะใช้วิชาความรู้ของตน
เพื่อหาประโยชน์โดยที่ประชาชนทั่วไปไม่รู้เท่าทัน เช่น แพทย์อาจรักษาผู้ป่วยแบบเลี้ยงไข้ ตํารวจอาจใช้ตําแหน่ง
หนา้ ทกี่ ล่ันแกล้งประชาชนเพอ่ื แลกกบั ผลประโยชน์ หรือสนิ บน ครูก็อาจเบียดเบยี นหาผลประโยชนจ์ ากศษิ ย์
135
ซ่ึงตัวอย่างมีให้เห็นในปัจจุบัน ในท่ีสุดสังคมก็เรียกร้อง จริยธรรมจากผู้ประกอบวิชาชีพ ซึ่งได้มีการ
กาํ หนดขน้ึ จากองค์กรหรอื สมาคมวิชาชพี น้ันๆ โดยมวี ัตถปุ ระสงคส์ าํ คัญอยู่ 3 ประการได้แก่
1. เปน็ แนวทางใหผ้ ู้ประกอบวชิ าชพี ยดึ ถอื ปฏิบัติอยา่ งถูกตอ้ ง
2. เพือ่ ให้วิชาชีพคงฐานะ ไดร้ บั การยอมรบั และยกยอ่ งจากสังคม
3. เพ่ือผดงุ เกียรตยิ ศและศักดศิ์ รีแห่งวชิ าชีพ
จากที่กลา่ วมาขา้ งต้น ทาํ ให้ตระหนักถึงความสาํ คญั ของจรรยาบรรณวิชาชพี และมคี วามจําเปน็ อย่างย่งิ ท่ี
วชิ าชพี ต่างๆ จะต้องมจี รรยาบรรณของตนเอง จรรยาบรรณเปน็ เคร่ืองมืออันสําคัญที่จะช่วยให้ผู้ประกอบวิชาชีพมี
หลักการและแนวทางปฏิบัติตามที่ถูกต้องเหมาะสมอันจะนํามาซึ่งประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการปฏิบัติงาน
รวมทั้งความเลื่อมใสศรัทธาและความเช่ือมั่นจากผู้ที่เก่ียวข้อง ขออัญเชิญพระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระ
เจา้ อยู่หวั ทไี่ ดพ้ ระราชทานพระบรมราโชวาทแก่บัณฑิตของมหาวิทยาลัยมหิดล ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร เมื่อวันท่ี
4 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 ที่ได้เน้นความสําคัญของจรรยาบรรณ ความว่า “ การงานทุกอย่างทุกอาชีพ ย่อมจะมี
จรรยาบรรณ ของตน จรรยาบรรณนน้ั จะมบี ญั ญตั เิ ปน็ ลายลักษณ์อักษรหรือไม่ก็ตาม แต่ก็เป็นส่ิงท่ียึดถือกันว่าเป็น
ความดีงาม ที่คนในอาชีพน้ันประพฤติปฏิบัติ หากผู้ใดล่วงละเมิด ก็อาจก่อให้เกิดความเสียหาย ทั้งแก่บุคคล หมู่
คณะและส่วนรวมได้ เหตุนี้ผู้ปฏิบัติงานในทุกสาขาอาชีพ นอกจากจะมีความรู้ในสาขาของตน ท้ังข้อท่ีควรปฏิบัติ
และไม่พึงปฏิบัติอย่างเคร่งครัดด้วย จึงจะสามารถประพฤติปฏิบัติงานให้ประสบความสําเร็จได้รับความเช่ือถือยก
ยอ่ งในเกยี รติ ในศักด์ิศรี และความสามารถดว้ ยประการท้ังปวง”
1.4 หลกั การสาํ คัญของจรรยาบรรณวิชาชีพ
1. ความรกั ความศรัทธาในอาชพี
อาชีพที่ผู้ประกอบวิชาชีพถือปฏิบัติน้ันย่อมเป็นอาชีพที่สุจริต ในการประกอบอาชีพก็ย่อมได้รับ
ผลตอบแทนจากวชิ าชพี นัน้ ๆ ดงั น้ันความรกั ความศรัทธาเปน็ สิ่งทจี่ ําเปน็ อย่างยงิ่ ทผี่ ูป้ ระกอบวิชาชีพพึงมี เพ่ือเป็น
ส่ิงยึดเหนี่ยวจิตใจและกําหนดกรอบของการกระทําอันจะส่งผลต่อความเจริญก้าวหน้าทางหน้าที่การงานและต่อ
สถาบนั
2. ความซอื่ สตั ย์สจุ ริต
การดําเนินกิจกรรมต่างๆ นั้นโดยเฉพาะผู้ประกอบวิชาจําเป็นต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต ท้ังในด้านการ
ทํางานในหน้าท่ี เพ่ือนร่วมงาน รวมถึงหัวหน้างาน เพื่อจะทําให้การทํางานสําเร็จลุล่วงไปได้โดยไม่ก่อให้เกิด
ปญั หาท้ังระหวา่ งการทาํ งานรวมไปถงึ ภายหลงั จากการทํางานเสรจ็ ส้ินไปแลว้ กต็ าม
3. การให้ความเคารพตอ่ กฎระเบียบขอ้ บังคบั หรือจรรยาบรรณในอาชีพ
อาชีพแต่ละอาชีพนั้นย่อมมีกฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ เพ่ือเป็นกรอบและแนวทางให้ผู้ประกอบวิชาชีพ
ปฏิบัติ จรรยาบรรณวิชาชีพเป็นตัวกําหนดให้ผู้ประกอบวิชาชีพมีบุคลิกลักษณะตามแบบแผนของอาชีพโดยต้อง
อาศัยผู้ประกอบวชิ าชพี ใหค้ วามเคารพและปฏบิ ัตติ ามจึงจะบังเกดิ ผล
4. ยกยอ่ งให้เกยี รติผรู้ ่วมวชิ าชีพ
วิชาชีพแต่ละแขนงย่อมมีเกียรติ การยกย่องและให้เกียรติผู้ร่วมวิชาชีพมีความสําคัญอย่างยิ่ง การ
ช่วยเหลือเก้ือกูลซ่ึงกันและกันเป็นส่ิงสําคัญ สร้างมิตรภาพท้ังการทํางานและเรื่องการดําเนินกิจกรรมต่างๆทาง
สังคม เพ่ือใหก้ ารประกอบอาชีพดําเนนิ ไปอยา่ งไมเ่ กดิ ข้อขดั แย้งและประสบผลสําเรจ็
136
5. การรวมกลมุ่ เพอื่ สรา้ งความมั่นคงในวชิ าชีพ
เมือ่ มวี ิชาชีพเกดิ ขน้ึ การทีจ่ ะทาํ ใหอ้ งคก์ รน้ันมคี วามเข้มแข็ง และเป็นที่ร้จู กั กนั มากขึ้นในสงั คม จาํ เป็นต้อง
มีการรวมกลุ่มทางสังคมเพื่อผนึกกําลังสร้างสรรค์ส่ิงต่างๆ ออกมาสู่สาธารณะชน ทําให้เกิดการก่อตัวขององค์กร
เพื่อเป็นรากฐานความมนั่ คงทางวิชาชีพตอ่ ไป
1.5 การปฏิบตั ติ นใหอ้ ยใู่ นจรรยาบรรณวชิ าชพี
การที่บุคคลประกอบอาชีพท่ีจําเป็นต้องมีพร้อมท้ังประสบการณ์ความสามารถในเร่ืองวิชาการแล้วก็ยัง
ตอ้ งมีจรรยาบรรณวิชาชีพ ซงึ่ จรรยาบรรณเป็นเครอื่ งมืออันสาํ คัญท่ีจะชว่ ยให้ผู้ประกอบวิชาชีพ
มีหลักการและแนวทางปฏิบัติตามท่ีถูกต้องเหมาะสมอันจะนํามาซึ่งประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการ
ปฏบิ ัติงาน รวมท้งั ความเล่อื มใสศรัทธาและความเช่อื ม่นั จากผ้ทู ่ีเกยี่ วขอ้ ง
ดังน้ัน การปฏิบัติตนให้อยู่ในจรรยาบรรณวิชาชีพจึงเปรียบเสมือนตัวชี้วัดมาตรฐานการปฏิบัติงานของผู้
ประกอบวิชาชพี โดยมีหลกั ปฏบิ ตั ิดังน้ี
ความซ่อื สตั ย์
ปฏิบัติงานอย่างมีเกียรติและซ่ือสัตย์ตลอดเวลาท่ีได้ร่วมงานท้ังกับผู้รับบริการ และเพ่ือนร่วมวิชาชีพ
ด้วยกนั ซึง่ เป็นตัวสําคญั ท่บี ่งบอกถงึ ความจริงใจท้ังต่อหนา้ และลบั หลัง
ความเปน็ กลาง
ดําเนินกิจกรรมอย่างยุติธรรมและไม่ลําเอียง ซ่ึงจะต้องปราศจากอคติหรือพิจารณามาเป็นการล่วงหน้า
ไม่ก่อให้เกดิ ความขัดแย้งในรปู แบบการแสดงออกตอ่ ผูร้ ับบรกิ ารวิชาชีพและเพอ่ื นร่วมวิชาชพี
ความเปน็ อิสระ
การปฏิบัติงานจะต้องมีความเป็นอิสระในการท่ีให้บริการทางด้านต่างๆหรือบริการสาธารณะซ่ึงการ
ดําเนินการน้ันเป็นไปอย่างอิสระ แต่ผู้ประกอบวิชาชีพต้องพึงระลึกอยู่เสมอว่าผลประโยชน์ที่ได้รับเป็นไปอย่างถูก
กฎหมาย เป็นไปตามระเบียบแบบแผนแลว้ ข้อตกลงท่ีตั้งไว้
การรักษาความลับ
ผู้ประกอบวิชาชีพจะต้องให้ความนับถือธรรมชาติของความลับของข้อมูลของผู้รับบริการในการให้บริการ
ทางวิชาชีพและข้อมูลควรได้รับการปกปิดแก่บุคคลที่ 3 โดยปราศจากการขออนุญาตเฉพาะเรื่อง หรือเป็น
หลักเกณฑ์ทางกฎหมาย
มาตรฐานวิชาการและวิชาชพี
ผู้ประกอบวิชาชีพถูกคาดหวังว่าจะต้องมีมาตรฐานทั้งทางด้านวิชาการและวิชาชีพตามคุณสมบัติวิชาชีพ
ของผู้ประกอบวิชาชพี ซ่ึงเปน็ พื้นฐานในการปฏบิ ัติหนา้ ทที่ ่เี ปน็ บรรทัดฐานเดียวกนั ประสบการณท์ างวชิ าการและ
วชิ าชพี จะถูกนาํ มาใช้ในการปฏบิ ตั ิหน้าที่โดยผ้รู บั บริการวชิ าชพี พงึ จะไดร้ บั อยา่ งเท่าเทยี มกัน
ความสามารถและความระมัดระวงั
ผู้ประกอบวิชาชีพจะต้องแสดงออกในการให้บริการทางวิชาชีพด้วยความระมัดระวัง ด้วยความสามารถ
และดว้ ยความขยันหม่ันเพียร เน่ืองจาก มีหน้าท่จี ะต้องรักษาความร้แู ละความชํานาญอยา่ งต่อเน่ือง
พฤติกรรมทางจริยธรรม
ผ้ปู ระกอบวชิ าชพี จะตอ้ งประพฤตติ นอย่างมีจริยธรรมตลอดเวลาและต้องรักษาช่ือเสียงท่ีดีในวิชาชีพ การ
ใหค้ าํ ปรกึ ษาแกผ่ ูร้ ับบริการวิชาชพี อย่างเตม็ ความสามารถ
137
กล่าวโดยสรุป จรรยาบรรณในวิชาชีพ เป็นประมวลมาตรฐานความประพฤติที่ผู้ประกอบวิชาชีพจะต้อง
ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ เปน็ แนวทางให้ผ้ปู ระกอบวิชาชพี ปฏบิ ตั ิอยา่ งถูกต้องเพอ่ื ผดงุ เกียรตแิ ละสถานะ
ของวิชาชีพนั้นก็ได้ผู้กระทําผิดจรรยาบรรณ จะต้องได้รับโทษโดยว่ากล่าว ตักเตือน ถูกพักงาน หรือถูก
ยกเลิกใบประกอบวิชาชีพได้ ซึ่งจรรยาบรรณในวิชาจะเป็นสิ่งสําคัญในการท่ีจะจําแนกอาชีพว่าเป็นวิชาชีพหรือไม่
อาชีพท่เี ป็น “วิชาชีพ” น้ันกําหนดให้มีองค์กรรองรับ และมีการกําหนดมาตรฐานของความประพฤติของผู้อยู่ใน
วงการวิชาชีพซ่ึงเรียกว่า “จรรยาบรรณ” ส่วนลักษณะ “วิชาชีพ ” ท่ี สําคัญคือ เป็นอาชีพท่ีมีศาสตร์ช้ันสูงรองรับ
นอกจากน้ีจะต้องมีองค์กรหรือสมาคมวิชาชีพ ตลอดจนมี “จรรยาบรรณในวิชาชีพ” เพ่ือ ให้สมาชิกในวิชาชีพ
ดําเนินชีวิตตามหลักมาตรฐานดังกล่าวหลักท่ีกําหนดใน จรรยาบรรณวิชาชีพทั่วไป คือ แนวความประพฤติปฏิบัติท่ี
มีตอ่ วชิ าชพี ตอ่ ผ้เู รยี น ตอ่ ตนเอง และต่อสังคม
2. จรรยาบรรณวชิ าชพี แต่ละสาขาอาชพี
2.1 จรรยาบรรณวชิ าชพี ครู
จรรยาบรรณวชิ าชพี ครู คือ กฎแหง่ ความประพฤตสิ าํ หรบั สมาชกิ วิชาชีพครู ซ่ึงองคก์ รวิชาชีพครู
เปน็ ผู้กําหนด และสมาชิกในวิชาชพี ทุกคนตอ้ งถอื ปฏบิ ตั โิ ดยเครง่ ครดั หากมกี ารละเมดิ จะมกี ารลงโทษ
ความสาํ คญั
จรรยาบรรณวชิ าชีพครู มคี วามสําคญั ตอ่ วชิ าชพี ครูเชน่ เดยี วกบั ท่ีจรรยาบรรณวชิ าชีพมคี วามสําคัญ
ตอ่ วชิ าชีพอ่ืน ๆ ซึ่งสรุปได้ 3 ประการ คอื
1. ปกปอ้ งการปฏิบัติงานของสมาชิกในวชิ าชีพ
2. รักษามาตรฐานวชิ าชีพ
3. พัฒนาวิชาชพี
ลักษณะของจรรยาบรรณวชิ าชพี ครู
จรรยาบรรณวิชาชีพครู จะตอ้ งมีลกั ษณะ 4 ประการ คือ
1. เปน็ คํามัน่ สญั ญาหรอื พันธะผูกพนั ต่อผ้เู รยี น (Commitment to the student)
2. เปน็ คาํ ม่ันสัญญาหรอื พันธะผกู พันต่อสังคม (Commitment to the society)
3. เป็นคํามัน่ สัญญาหรอื พนั ธะผกู พนั ตอ่ วชิ าชพี (Commitment to the profession)
4. เปน็ คาํ มั่นสญั ญาหรอื พันธะผูกพันต่อสถานปฏบิ ตั งิ าน (Commitment to the employment practice)
แบบแผนพฤตกิ รรมตามจรรยาบรรณครู พ.ศ. 2539
1. ครตู อ้ งรักและเมตตาศษิ ย์ โดยใหค้ วามเอาใจใสช่ ่วยเหลือ สง่ เสรมิ ใหก้ ําลงั ใจในการศึกษาเลา่ เรียนแก่
ศิษยโ์ ดยเสมอหนา้
2. ครตู อ้ งอบรม ส่งั สอน ฝกึ ฝน สร้างเสรมิ ความรู้ ทักษะและนิสัยทถ่ี กู ตอ้ งดีงามให้แกศ่ ษิ ย์ อยา่ งเต็ม
ความสามารถด้วยความบริสทุ ธใิ์ จ
3. ครตู อ้ งประพฤติ ปฏบิ ตั ติ นเป็นแบบอยา่ งท่ดี ีแกศ่ ิษยท์ ั้งทางกาย วาจา และจติ ใจ
4. ครตู อ้ งไมก่ ระทาํ ตนเป็นปฏิปักษต์ ่อความเจรญิ ทางกาย สติปญั ญา จิตใจ อารมณ์ และสังคมของ
ศิษย์
5. ครตู อ้ งไมแ่ สวงหาประโยชนอ์ ันเปน็ อามสิ สนิ จ้างจากศิษย์ในการปฏบิ ัตหิ นา้ ทต่ี ามปกติ และไมใ่ ชศ้ ษิ ย์
กระทําการใดๆ อันเปน็ การหาประโยชนใ์ ห้แกต่ นโดยมชิ อบ
138
6. ครยู ่อมพฒั นาตนเองทัง้ ในด้านวชิ าชีพ ดา้ นบุคลกิ ภาพและวิสยั ทศั น์ ใหท้ ันต่อการพัฒนาทางวิชาการ
เศรษฐกิจ สงั คมและการเมอื งอยเู่ สมอ
7. ครยู ่อมรักและศรทั ธาในวิชาชพี ครู และเปน็ สมาชกิ ทด่ี ีขององคก์ รวชิ าชีพครู
8. ครพู งึ ช่วยเหลือเกอื้ กลู ครู และชมุ ชนในทางสรา้ งสรรค์
9. ครพู งึ ประพฤติ ปฏบิ ตั ติ น เปน็ ผูน้ าํ ในการอนรุ ักษแ์ ละพฒั นาภูมิปญั ญาและวฒั นธรรมไทย
2.2 จรรยาบรรณวชิ าชีพการพยาบาล
การพยาบาลเป็นการปฏิบัติโดยตรงต่อบุคคล ครอบครัว ชุมชนและสังคม นับได้ว่าเป็นบริการในระดับ
สถาบันของสังคม ดังนั้นผู้ประกอบวิชาชีพพยาบาลจึงต้องเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบสูง เป็นผู้ที่ไว้วางใจได้ มี
ความรคู้ วามชํานาญในการปฏิบตั ิ มีจริยธรรม และจรรยาบรรณวชิ าชีพ เป็นแนวทางในการประพฤตแิ ละปฏบิ ัติ
ทงั้ นี้เพอื่ ความปลอดภยั ของสงั คมโดยสว่ นรวม
จรรยาบรรณวชิ าชีพสําหรับพยาบาลเป็นการประมวลหลกั ความประพฤติให้บคุ คลในวชิ าชพี ยดึ ถอื ปฏบิ ัติ
สมาคมพยาบาลแหง่ สหรฐั อเมรกิ า (The America Nurses Associations A.N.A.) ไดก้ าํ หนดสาระสาํ คญั
ของจรรยาบรรณวชิ าชีพพยาบาลไว้ดงั น้ี
1. พยาบาลพึงให้บริการพยาบาลด้วยความเคารพในศักด์ิศรี และความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยไม่
จํากัดในเรื่องสถานภาพทางสังคม เศรษฐกิจ คุณสมบัติเฉพาะกิจหรือสภาพปัญหาทางด้านสุขภาพอนามัยของ
ผ้ปู ว่ ย
2. พยาบาลพึงเคารพสิทธสิ ว่ นตวั ของผู้ป่วยโดยรักษาข้อมลู เกย่ี วกบั ผ้ปู ่วยไว้เป็นความลบั
3. พยาบาลพงึ ให้การปกปอ้ งคุ้มครองแกผ่ ปู้ ่วย สงั คม ในกรณที ม่ี กี ารใหบ้ ริการสุขภาพอนามยั และความ
ปลอดภยั ถูกกระทําการทอ่ี าจเกิดจากความไม่รู้ ขาดศลี ธรรม จรยิ ธรรม หรอื การกระทาํ ทผี่ ดิ กฎหมายจากบุคคล
หนึง่ บคุ คลใด
4. พยาบาลมหี นา้ ที่รบั ผดิ ชอบในการตดั สนิ ใจและใหก้ ารพยาบาลแก่ผู้ปว่ ยแตล่ ะราย
5. พยาบาลพึงดาํ รงไว้ซึ่งสมรรถนะในการปฏิบตั ิการพยาบาล
6. พยาบาลพงึ ตัดสินใจดว้ ยความรอบคอบถี่ถว้ น ใช้ขอ้ มลู สมรรถนะและคณุ สมบตั ิอน่ื ๆ เป็นหลักในการ
ขอคาํ ปรึกษาหารือยอมรับในหน้าทคี่ วามรบั ผิดชอบ รวมถงึ การมอบหมายกิจกรรมการปฏบิ ัติการพยาบาลให้ผอู้ น่ื
ปฏิบตั ิ
7. พยาบาลพึงมสี ่วนร่วมและสนบั สนนุ ในกิจกรรมการพฒั นาความร้เู ชงิ วิชาชพี
8. พยาบาลพึงมีส่วนร่วมและสนบั สนุนในการพัฒนาวชิ าชพี และสง่ เสริมมาตรฐานการปฏิบัตกิ ารพยาบาล
9. พยาบาลพึงมีส่วนร่วมในการท่ีจะกําหนดและดํารงไว้ซึ่งสถานะภาพของการทํางานท่ีจะนําไปสู่การ
ปฏบิ ัตกิ ารพยาบาลท่ีมคี ุณภาพสูง
10. พยาบาลพึงมีสว่ นร่วมในการปกป้องคมุ้ ครองสงั คมจากการเสนอขอ้ มลู ทผี่ ดิ และดํารงไว้ซ่ึงความ
สามัคคใี นวชิ าชีพ
11. พยาบาลพึงร่วมมือและเป็นเครอื ขา่ ยกบั สมาชกิ ดา้ นสุขภาพอนามัยและบคุ คลอน่ื ๆ ในสงั คมเพอื่ สง่ เสรมิ
ชุมชนและสนองตอบความตอ้ งการด้านสขุ ภาพอนามยั ของสงั คม
2.3 จรรยาบรรณวชิ าชีพนักกฎหมาย
นักกฎหมาย หมายถึง ผู้ท่ีใช้ความรู้ทางกฎหมายเป็นวิชาการประกอบการงานที่ตนปฏิบัติในสาขา
ต่าง ๆ เป็นคํารวมหมายความถึงผู้ประกอบการงานทางกฎหมายทุกประเภท ไม่เฉพาะผู้ท่ีทํางานเกี่ยวกับศาลนัก
139
กฎหมายท่ีดพี ร้อมจะทํางานให้กับผูว้ า่ จ้างอยา่ งเต็มท่ี ถกู ตอ้ ง โปร่งใส่ตรวจสอบได้ นักกฎหมายหรือทนายความท่ี
จะรับจ้างทํางานเหล่าน้ี จะให้ความสําคัญ เร่ืองสัญญาว่าจ้างเป็นส่ิงที่ต้องมาเป็นอันดับแรกก่อนเร่ิมทํางาน แต่
ปัจจุบันน้ี จะมีพวกนักกฎหมายบางประเภทท่ีชอบเลี่ยงกฎหมาย โดยเฉพาะพวกทนายเจ้าหนี้ที่มักจะไม่ทําเป็น
หนงั สอื บอกกล่าว ตามกฎหมายแตจ่ ะส่งหนังสือไปให้อกี ฝา่ ยโดยเป็นการแจง้ ใหท้ ราบเท่าน้ัน
จรรยาบรรณวชิ าชพี นกั กฎหมาย ดังตอ่ ไปน้ี
1. พึงถือว่างานกฎหมายเป็นอาชีพ มใิ ช่ธรุ กิจ
2. พงึ ถอื ว่ากฎหมายเป็นเพยี งเครือ่ งมือของความยตุ ิธรรม มใิ ชม่ าตรการความยุติธรรม
3. พงึ ถือวา่ นกั กฎหมายทกุ คนเป็นทพ่ี ง่ึ ของประชาชน
4. พึงถอื ว่าความยุตธิ รรมอยูเ่ หนืออามสิ สนิ จา้ งใดๆ
5. พงึ ถอื วา่ ความยุตธิ รรมเปน็ กลางสาํ หรบั ทกุ ชาติ ศาสนา ทุกฐานะ
6. พงึ ถือว่ามนษุ ยท์ ุกคนมสี ิทธิในเรื่องความยุติธรรมเทา่ เทยี มกนั
7. พงึ ขวนขวายหาความรู้ใหท้ ันเหตกุ ารณอ์ ยู่เสมอ
8. พงึ ถือว่าเวลาเปน็ เรื่องสาํ คญั จงึ ไม่พึงรีบรอ้ น
9. พงึ งดเว้นอบายมขุ ท้ังหลาย
10. พงึ รักษาเกยี รติยง่ิ กว่าทรพั ยส์ นิ ใดๆ
11. พงึ ถอื ว่าบุคคลมคี ่าเหนอื กวา่ วัตถทุ ุกอยา่ ง
2.4 จรรยาบรรณวชิ าชีพของนักสือ่ สารมวลชน
จรรยาบรรณของสอ่ื มวลชน หมายถึง หลกั คณุ ธรรมของผปู้ ระกอบอาชพี นกั สือ่ สารมวลชน มารวมตัว
กันเปน็ สมาคมวิชาชพี สร้างข้นึ เป็นลายลักษณอ์ ักษร เพอ่ื เปน็ แนวทางปฏบิ ัตแิ กผ่ ปู้ ระกอบอาชีพนกั
สือ่ สารมวลชนให้มคี วามรับผดิ ชอบ
ความสําคญั ของจรรยาบรรณส่อื สารมวลชน
1. เปน็ แนวทางในการควบคมุ ความประพฤตขิ องผ้ปู ระกอบวชิ าชพี ส่อื มวลชนเพอื่ ใหม้ ีความรบั ผดิ ชอบตอ่
สังคม
2. ทําใหน้ กั สอ่ื สารมวลชนและวิชาชีพสอื่ สารมวลชนไดร้ ับการยินยอมยกย่อง ใหเ้ กยี รตแิ ละศรัทธาจาก
ประชาชน
3. ทาํ ใหผ้ ปู้ ระกอบวชิ าชพี การส่อื สารมวลชนเกดิ ความภมู ใิ จในอาชพี ตน
4. เป็นเกราะปอ้ งกันเสรีภาพของสอื่ มวลชน
5. เปน็ หลักใหป้ ระชาชนเกดิ ความมั่นใจในความประพฤตขิ องผปู้ ระกอบวชิ าชพี นกั สอ่ื สารมวลชน
6. กอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนแ์ กป่ ระชาชนและสงั คม
7. เป็นปัจจัยพ้ืนฐานสาํ หรบั การพัฒนา
จรรยาบรรณของนกั ส่ือมวลชน
1. พึงตระหนักในความรบั ผดิ ชอบตอ่ ทกุ เรอื่ งทอี่ อกทางสอื่ มวลชน
2. พงึ เสนอข่าวตามทีม่ หี ลักฐาน ถ้าหากภายหลงั พบวา่ ผิดพลาด พึงแก้ขา่ วด้วยความรับผิดชอบ
3. พึงเสนอความรู้รอบตัวทมี่ คี ณุ ประโยชนต์ อ่ คนจาํ นวนมาก
4. พงึ เสนอความบนั เทงิ ทีไ่ ม่เปน็ พษิ เป็นภยั
5. พึงสนองเปา้ หมายของสงั คมไทย โดยสนบั สนุนการธาํ รงชาตศิ าสนา สถาบันกษตั รยิ ์และ
ระบอบประชาธปิ ไตย
140
6. พงึ สจุ รติ ตอ่ หน้าท่ีโดยไมย่ อมรบั อามสิ สินจ้างให้บิดเบอื นเจตนารมณ์ของตนเอง
7 .พึงงดเวน้ อบายมุขตา่ งๆ อนั จะนาํ ไปสกู่ ารเสียอิสรภาพในการประกอบอาชพี ดา้ นน้ี
8. พึงงดเว้นการใชส้ ่ือมวลชนเพ่ือการกลั่นแกลง้ หรือแก้แคน้
9. ไม่พึงใหส้ อ่ื มวลชนเปน็ เครอ่ื งมอื ของผใู้ ดผูห้ นง่ึ ทมี่ ีเปา้ หมายมชิ อบ
10. พงึ สง่ เสริมใหอ้ าํ นาจทุกฝา่ ยตามรัฐธรรมนูญ มเี สถยี รภาพในการปฏิบตั ิหนา้ ท่ีของตนตามกฎหมาย
11. พึงถอื ว่าเกียรติและบคุ ลกิ ภาพของตนอยู่เหนือสิ่งใดทงั้ หมด
12. พงึ กล้าชีอ้ นั ตรายของสงั คมดว้ ยความบรสิ ุทธ์ิใจ
2.5 จรรยาบรรณวชิ าชีพเภสัชกรรม
วชิ าชีพเภสัชกรรม หมายถึง วิชาชพี ทีเ่ กี่ยวกับการกระทําในการเตรียมยา การผลติ ยา การประดษิ ฐ์
การเลือกสรรยา การวิเคราะห์ยา การควบคมุ และประกันคณุ ภาพยา การปรงุ และจ่ายยาตามใบส่ังแพทย์
การดําเนนิ การปรุงยาและการขายยา ตามกฎหมายว่าด้วยยา รวมท้ังการใหบ้ รบิ าลทางเภสชั กรรม และการ
คมุ้ ครองผู้บรโิ ภคด้านยาและผลติ ภณั ฑ์สขุ ภาพ
จรรยาบรรณวชิ าชพี เภสชั กรรม ดังน้ี
1. เภสชั กร พึงยดึ ถอื สขุ ภาพ และความปลอดภัยในการใช้ยาของผปู้ ่วย
2. เภสชั กรตอ้ งรกั ษาไว้ซึง่ เกียรติศักดิ์ศรแี หง่ วิชาชีพ
3. เภสชั กรพึงเคารพต่อกฎหมายบา้ นเมือง
4. เภสชั กรตอ้ งรกั ษามาตรฐานของการประกอบวิชาชพี เภสชั กรรม
5. เภสชั กรพึงสรา้ งความไวว้ างใจในประสิทธภิ าพของการบริการของตน
6. เภสชั กรต้องไมเ่ ปดิ เผยความลบั ของผู้ปว่ ย
7. เภสชั กรพึงศกึ ษาตดิ ตามความกา้ วหน้าทางวชิ าเภสชั ศาสตร์
8. เภสชั กรต้องไม่ประกอบวิชาชพี ในสถานที่
9. เภสชั กรต้องไม่โฆษณาใชจ้ ้างวานหรือยนิ ยอมใหผ้ อู้ ่ืนโฆษณาการประกอบวชิ าชพี
10. เภสชั กรผูใ้ ห้บรกิ ารประชาชน ตอ้ งไม่ปฏบิ ัตใิ นสถานทส่ี าธารณะ
11. เภสชั กรพงึ ยกยอ่ งใหเ้ กยี รตแิ ละเคารพในศักดศ์ิ รซี ่ึงกันและกัน
12. เภสชั กรตอ้ งไมจ่ าํ หน่าย แจก หรือแนะนาํ ยา ซง่ึ ขาดคณุ ภาพ
13. เภสชั กรตอ้ งใหค้ าํ แนะนาํ ในการใช้ยาอย่างถูกต้อง
14. เภสชั กรตอ้ งไมอ่ อกใบรบั รองอันเป็นเทจ็ โดยตัง้ ใจ
15. เภสชั กรตอ้ งไมใ่ ช้หรอื สนับสนุนให้มกี ารประกอบวิชาชีพเภสชั กรรม
2.6 จรรยาบรรณของผู้ประกอบอาชีพคา้ ขาย
1. พงึ มีสัจจะ คอื ความจริงในอาชีพของตนและผู้อน่ื ที่ใช้บรกิ ารของตนอยา่ งเครง่ ครดั
2. พึงมีเมตตากรณุ าตอ่ ลกู คา้ เสมอหนา้ กัน ไม่ควรคดิ เอาประโยชนต์ น หรือผลกําไรลกู เดยี ว
3. พงึ เฉลีย่ ผลกาํ ไรผรู้ ว่ มงานทุกคนเสมอหน้ากนั
4. พึงให้เกียรติแก่ลูกค้าทกุ คน ไม่คดโกง
5. พึงหาวิธีการรว่ มมือกับนกั การค้าอื่น ๆ เพอ่ื ชว่ ยเหลอื สงั คม
6. พงึ เสยี ภาษอี ากรใหร้ ฐั อยา่ งถกู ตอ้ งเต็มเมด็ เต็มหนว่ ย
7. พงึ รบั ผดิ ชอบตอ่ ผูร้ ่วมงานทกุ คนด้วยความเมตตาธรรม
8. พงึ พดู จาไพเราะออ่ นหวานและปฏบิ ัตติ นเปน็ กัลยาณมติ รกบั ลกู ค้าทุกคน
141
9. พงึ บริการลกู คา้ ให้รวดเรว็ ทันใจเท่าทจี่ ะทาํ ได้
10.พึงหาทางร่วมมอื รวมแรง รว่ มใจกบั รัฐบาลในการพัฒนาสงั คม
2.7 จรรยาบรรณแพทย์
1. มีเมตตาจติ แก่คนไข้ ไม่เลอื กช้นั วรรณะ
2. มคี วามออ่ นนอ้ มถอ่ มตน ไม่ยกตนขม่ ท่าน
3. มีความละอาย เกรงกลวั ตอ่ บาป
4. มคี วามละเอียดรอบคอบ สขุ มุ มีสตใิ ครค่ รวญเหตผุ ล
5. ไม่โลภเห็นแก่ลาภของผปู้ ว่ ยแตฝ่ า่ ยเดียว
6. ไม่โออ้ วดวิชาความรูใ้ หผ้ อู้ น่ื หลงเชอื่
7. ไมเ่ ปน็ คนเกียจครา้ น เผอเรอ มักง่าย
8. ไมล่ อุ ํานาจแก่อคติ 4 คอื ความลําเอยี งดว้ ยความรัก ความโกรธ ความกลัว ความหลง (โง)่
9. ไมห่ ว่นั ไหวตอ่ ส่งิ ทเี่ ป็นโลกธรรม 8 คือ ลาภ ยศ สรรเสรญิ สุข และความเสือ่ ม
10. ไมม่ สี ันดานชอบความมัวเมาในหมอู่ บายมุข
2.8 จรรยาบรรณทหาร
1. มีความจงรกั ภกั ดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2. ยึดมัน่ ในการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย อนั มพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมุข
3. ยอมสละประโยชนส์ ่วนตน เพ่ือผลประโยชนแ์ ห่งชาติ
4. รกั ษาชอ่ื เสยี ง และเกียรตศิ ักดขิ์ องทหาร
5. มีคุณธรรม มคี วามซอ่ื สัตย์สจุ รติ
6. ซื่อตรงตอ่ ตนเอง ผอู้ ื่น และครอบครัว
7. มลี กั ษณะผ้นู ํา มวี นิ ยั ปฏิบตั ิตามคําส่ังอันชอบธรรม ถกู ตอ้ งตามกฎหมาย โดยเครง่ ครัด และปกครองผู้
ใต้บังคบั บญั ชา ดว้ ยความเป็นธรรม
8. ตอ้ งไม่ใชต้ าํ แหน่งหน้าท่ีเพ่ือแสวงหาประโยชนโ์ ดยมชิ อบ อนั จกั ทําให้ เสือ่ มเสียศกั ดิ์ศรี และ
เกียรติภูมขิ องทหาร
9. ไมร่ บั ทรัพย์สนิ หรอื ประโยชน์อ่ืนใดจากผใู้ ตบ้ ังคบั บญั ชา หรอื บุคคลอื่น อันอาจทาํ ให้เป็นทีส่ งสัย หรือ
เขา้ ใจว่ามีการเลือกปฏบิ ัติ หรอื ไม่เปน็ ธรรม
10. ปฏิบตั ิตอ่ บคุ คลท่มี าตดิ ตอ่ เกี่ยวข้องอยา่ งเสมอภาคและเท่าเทียมกนั
11. รู้รักสามัคคี เพื่อประโยชน์ตอ่ การปฏิบัติราชการทหาร
12. ตอ้ งบรหิ ารทรพั ยากรท่มี ีอยอู่ ย่างคุ้มคา่ และเกดิ ประโยชนส์ ูงสดุ ตอ่ ทางการทหาร
13. พฒั นาตนให้มคี วามรู้ ความสามารถ และทกั ษะในการปฏิบัตงิ าน เพื่อให้ เกิดประโยชนส์ งู สดุ ตอ่ ทาง
ราชการทหาร
14. รกั ษาความลับของทางราชการทหารโดยเครง่ ครดั
142
กิจกรรมที่ 6 จรรยาบรรณวชิ าชพี
ให้ผูเ้ รยี นรวมกล่มุ ๆละเทา่ ๆกนั จํานวน 5 กลมุ่ เพอ่ื จดั ทําคลิปวีดโี อการแสดงบทบาทสมมตุ ิทแ่ี สดงถงึ ความยึดม่นั ใน
จรรยาบรรณวิชาชพี โดยมคี วามยาว 10 นาที
143
แบบทดสอบบทท่ี 3 การประกอบอาชีพในจงั หวัดสุพรรณบรุ ี
คาํ สัง่ ใหเ้ ลอื กคําตอบทีถ่ ูกทสี่ ดุ เพียงขอ้ เดยี ว
1. ขอ้ ใดจดั เปน็ ตวั ชีว้ ดั ของเจตคตทิ ดี่ ตี ่อการทํางาน 7. ฤดูกาลปลูกขา้ วนาปี ของจังหวดั สุพรรณบุรี จะอยู่
เพ่อื ประกอบอาชพี สจุ รติ ในช่วงใด
ก. ความยตุ ธิ รรม ก. ปลูกได้ทง้ั ตลอดปี
ข. ความเหน็ แก่ตัว ข. มกราคม – เมษายน
ค. ความเมตตากรณุ า ค. กันยายน – ธันวาคม
ง. ความขยนั และอดทน ง. พฤษภาคม – สิงหาคม
2. ขอ้ ใดไมใ่ ชผ้ ลดีของการประกอบอาชีพ 8. ขอ้ ใดกลา่ วถึงคุณธรรมในการทํางานไดถ้ ูกตอ้ ง
ก. มชี ่อื เสยี งโดง่ ดงั ก. การแข่งขนั ทางด้านเศรษฐกิจ
ข. มีสนิ ค้าออกสตู่ ลาด ข. รากฐานสาํ คญั ในการพัฒนาคน
ค. มคี นให้ความเคารพรักใคร่ ค. มที ศั นคตทิ างจริยธรรมที่เหมาะสม
ง. มรี ายไดเ้ ล้ยี งตนเองและครอบครวั ง. ลกั ษณะนิสัยท่ีดที ค่ี วรประพฤติปฏบิ ัตใิ นการ
3. ขอ้ ใดไม่ควรนาํ มาใช้ประกอบการตดั สนิ ใจในการ ประกอบอาชพี
เลือกประกอบอาชีพ 9. จรรยาบรรณวชิ าชีพ ไดแ้ ก่
ก. ความชอบ
ก. จรรยาบรรณตอ่ ตนเอง จรรยาบรรณตอ่
ข. ความสามารถ วชิ าชีพ
ค. ความสนใจหรอื ความถนัด ข. จรรยาบรรณตอ่ ผรู้ บั บริการ
ง. ความนยิ มของสังคมในการประกอบอาชพี ค. จรรยาบรรณตอ่ ผรู้ ่วมประกอบวชิ าชพี
4. ขอ้ ใดมีบทบาทสาํ คญั ทสี่ ดุ ทีช่ ว่ ยสง่ เสริมด้ายการ ง. ถกู ทกุ ขอ้
พัฒนาเศรษฐกจิ
10. ขอ้ ใดคอื ความหมายของคาํ ว่าจรรยาบรรณ
ก. วิถีการดาํ เนนิ ชีวิต วิชาชีพครู
ข. การประกอบอาชพี
ค. การเมอื งการปกครอง ก. แบบแผนท่ขี า้ ราชการควรประพฤติปฏิบตั ิ
ง. ทรพั ยากรทางธรรมชาติ ข. แบบแผนทขี่ ้าราชการตอ้ งประพฤตปิ ฏิบัติ
5. ขอ้ ใดต่อไปน้ี คอื อาชีพอสิ ระ ค. แบบแผนทขี่ า้ ราชการยึดประพฤติปฏบิ ัติ
ก. เปิดรา้ นซกั รดี ง. ถูกตอ้ งขอ้
ข. ลูกจา้ งร้านขายของชาํ
ค. พนกั งานบรษิ ัทเทสโกโ้ ลตสั
ง. พนกั งานรกั ษาความปลอดภยั
6. ทรพั ยากรทใี่ ชผ้ ลติ และการบรกิ ารสาํ หรบั การ
ประกอบอาชพี อสิ ระข้อใดสาํ คัญทสี่ ุด
ก. เงินทุน
ข. แรงงาน
ค. วสั ดอุ ุปกรณ์
ง. สถานประกอบการ
144
บทที่ 4 แหล่งท่องเทย่ี วจงั หวัดสพุ รรณบรุ ี
สาระสําคญั
ประเภทของแหลง่ ท่องเทยี่ วสถานที่ทอ่ งเทยี่ วทส่ี าํ คญั ในจงั หวดั สุพรรณบุรแี ละการอนรุ กั ษ์ แหล่งท่องเท่ยี ว
ผลการเรียนรทู้ ี่คาดหวัง
1. สามารถวเิ คราะห์และอธิบายข้อมูลประเภทของแหล่งทอ่ งเทย่ี วได้
2. สามารถบอกความเป็นมาของสถานทท่ี อ่ งเที่ยวทส่ี ําคญั ในจงั หวดั สุพรรณบรุ ี
3. มีความตระหนกั เหน็ คณุ คา่ และเห็นความสําคญั ของแหลง่ ทอ่ งเทย่ี วในจังหวัดสุพรรณบรุ ี
4. สามารถเผยแพรป่ ระชาสมั พันธแ์ หลง่ ท่องเทยี่ วในจังหวดั สพุ รรณบรุ ไี ด้
ขอบข่ายเนือ้ หา
1. ประเภทของแหลง่ ท่องเทยี่ ว
2. สถานที่ทอ่ งเที่ยวทสี่ าํ คัญในจังหวดั สุพรรณบุรี
3. การอนุรักษแ์ หล่งทอ่ งเท่ียวจังหวดั สพุ รรณบรุ ี
การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้
1. ทาํ แบบทดสอบกอ่ นเรยี น
2. ศึกษาค้นคว้าจากสื่อเอกสาร ตํารา ส่ืออิเล็กทรอนิกส์ ภูมิปัญญาและสรุปผลการศึกษาค้นคว้าจาก
ใบงาน
3. ทาํ แบบทดสอบหลังเรียน
เวลาเรยี น 40 ชั่วโมง
แหลง่ การเรยี นรแู้ ละส่ือประกอบการเรยี น
1. สอื่ สิ่งพิมพ์
2. สอ่ื อเิ ล็กทรอนกิ ส์
3. ภมู ปิ ญั ญา
4. หอ้ งสมดุ ประชาชน
5. ศกึ ษาจากสถานท่ีจรงิ
การวัดและประเมินผล
จากการสังเกต ใบงาน รายงาน อภปิ รายกลมุ่ ผลงาน และทดสอบ
145
บทท่ี 4 แหล่งทอ่ งเท่ยี วจงั หวดั สุพรรณบุรี
เร่ืองท่ี 1 ประเภทของแหลง่ ท่องเท่ยี ว
การท่องเทย่ี วแหง่ ประเทศไทยแบ่งตามความสําคัญและสภาพแวดลอ้ ม ได้ 12 ประเภทดังน้ี
1. แหล่งทอ่ งเท่ียวเชิงนิเวศ : (Eco-tourism) หมายถึง แหล่งท่องเทย่ี วที่มีลักษณะทางธรรมชาติท่ีเป็น
เอกลักษณ์เฉพาะท้องถิน่ โดยอาจมเี ร่อื งราวทางวฒั นธรรมที่เกี่ยวเนอื่ งกบั ระบบนิเวศท่ีเก่ียวข้องโดยการจัดการการ
ท่องเท่ียวในแหล่งนั้น จะต้องมีกระบวนการเรียนรู้รว่ มกันของผู้ที่เก่ียวข้องมีกิจกรรมที่ส่งเสริม ให้เกิดการเรียนรู้
เก่ียวกับระบบนิเวศน้ัน มีการจัดการส่ิงแวดล้อมและการท่องเท่ียวอย่างมีส่วนร่วมของท้องถ่ินเพื่อมุ่งเน้นให้เกิด
จติ สาํ นกึ ตอ่ การรักษาระบบนเิ วศอยา่ งยง่ั ยืน
2. แหลง่ ท่องเท่ยี วทางศิลปะวิทยาการ (Arts and Sciences Educational Attraction Standard) :
หมายถึง แหล่งท่องเท่ียวหรือกิจกรรมที่สามารถตอบสนองความสนใจพิเศษของนักท่องเท่ียว ซ่ึงมีรูปแบบของการ
ท่องเที่ยวที่ชัดเจนเป็นรูปแบบการท่องเท่ียวแบบใหม่ท่ีเกิดขึ้น แหล่งท่องเที่ยวประเภทนี้สามารถเพิ่มเติมได้อีก
มากมายตามความนิยมของคนในแต่ละยุคสมัย เมื่อมีการระบุชัดว่ากิจกรรมน้ันๆ สามารถให้ความรู้และดึงดูด
นักท่องเท่ียวได้ ปัจจุบันมีปรากฏอยู่หลายๆ แห่ง ตัวอย่าง เช่น พิพิธภัณฑ์เฉพาะทาง แหล่งท่องเที่ยว
เพื่อการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี และ MICE (Meeting & Incentives &
Conventions & Exhibitions) เป็นตน้
3. แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ (Historical Attraction) : หมายถึง แหล่งท่องเทย่ี วที่มีความสําคัญ
และคุณค่าทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี และศาสนา รวมถึงสถานท่ีหรืออาคารส่ิงก่อสร้างท่ีมีอายเุ ก่าแก่หรือเคยมี
เหตุการณ์ สําคัญเกิดข้ึนในประวัติศาสตร์ เช่นโบราณสถาน อุทยานประวัติศาสตร์ ชุมชนโบราณ กําแพงเมือง
คเู มือง พพิ ธิ ภณั ฑ์ วดั ศาสนสถาน และสง่ิ ก่อสร้างที่มีคุณค่าทางศิลปะและสถาปัตยกรรม
4. แหลง่ ท่องเท่ียวทางธรรมชาติ: (Natural Attraction) หมายถงึ สถานทที่ ่ีเปิดใช้เพ่ือการท่องเที่ยว โดยมี
ทรัพยากรธรรมชาติเป็นส่ิงดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวมาเยือน ซ่ึงทรัพยากรธรรมชาติเหล่าน้ีอาจจะเป็นความงดงาม
ตามสภาพธรรมชาติ ความแปลกตาของสภาพธรรมชาติ สัณฐานท่ีสําคัญทางธรณีวิทยาและภูมิศาสตร์อันเป็น
เอกลักษณ์หรือเป็นสัญลักษณ์ ของท้องถ่ิน น้ันๆ สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่มีลักษณะพิเศษ (Special
Environmental Features) หรอื สภาพแวดล้อมทมี่ คี ณุ คา่ ทาง วิชาการกไ็ ด้
5. แหลง่ ท่องเท่ยี วเพื่อนนั ทนาการ: (Recreational Attraction) หมายถงึ แหล่งท่องเทย่ี วทมี่ นุษย์สร้างขนึ้
เพื่อการพักผ่อนและเสริมสร้างสุขภาพ ให้ความสนุกสนาน ร่ืนรม บันเทิง และการศึกษาหาความรู้ แม้ไม่มี
ความสําคัญในแง่ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ศาสนาศิลปวัฒนธรรม แต่มีลักษณะเป็นแหล่งท่องเท่ียว ร่วมสมัย
ตัวอย่างเชน่ ย่านบันเทงิ หรอื สถานบันเทงิ สวนสตั ว์ สวนสนกุ และสวนสาธารณะลักษณะพิเศษ สวนสาธารณะ และ
สนามกีฬา
6. แหล่งท่องเท่ียวทางวัฒนธรรม (Cultural Attraction) : หมายถึงแหล่งท่องเท่ียวที่มีคุณค่าทาง ศิลปะ
และขนบธรรมเนียมประเพณีทบี่ รรพบรุ ษุ ไดส้ รา้ งสมและถ่ายทอดเป็นมรดกสืบทอดกนั มา แหล่งท่องเท่ียวประเภท
นี้ประกอบด้วย งานประเพณี วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน การแสดงศิลปวัฒนธรรม สินค้าพ้ืนเมือง การแต่งกาย
ภาษา ชนเผ่า เป็นต้น ตัวอย่างของแหล่งท่องเท่ียวที่สําคัญของประเทศไทยในประเภทน้ีได้แก่ ตลาดน้ําดําเนิน
สะดวก งานแสดงของชา้ งจังหวดั สรุ นิ ทร์ งานรม่ บอ่ สร้าง ประเพณลี อยกระทง ประเพณีสงกรานต์ เป็นตน้
7. แหล่งท่องเท่ียวเชิงสุขภาพนํ้าพุร้อนธรรมชาติ : ในการจัดทําเกณฑ์มาตรฐานสําหรับแหล่งท่อง เท่ียว
น้ําพุร้อนธรรมชาติ มีจุดประสงค์เพื่อเป็นกรอบแนวทางในการจัดการแหล่งท่องเท่ียวประเภทนํ้าพุร้อน ธรรมชาติ
146
อย่างชัดเจน โดยเน้นในดา้ นการกําหนดมาตรฐานที่จําเป็นสําหรับการบริการต่างๆ เนื่องจากการท่องเท่ียวประเภท
นี้จะต้องคํานึงถึงด้านความปลอดภัยของนักท่อง เท่ียวเป็นสําคัญ และต้องไม่ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ
และส่ิงแวดล้อม เนื่องจากน้ําพุร้อน จัดเป็นแหล่งท่องเท่ียวประเภทธรรมชาติประเภทหน่ึง ซ่ึงหากไม่มีการกําหนด
มาตรฐานท่ีชัดเจน การดําเนินกิจกรรมการท่องเท่ียวใดๆ อาจส่งผลกระทบต่อแหล่งนํ้าพุร้อนธรรมชาติได้
นอกจากนี้ การจัดทําเกณฑ์มาตรฐานแหล่งท่องเท่ียวเชิงสุขภาพนํ้าพุร้อนธรรมชาติ ยังมีเป้าหมายเพือ่ ให้หน่วยงาน
ทร่ี ับผดิ ชอบดแู ลแหลง่ ทอ่ งเที่ยวได้นําไปใช้เปน็ เคร่ืองมือในการตรวจสอบมาตรฐานแหล่งท่องเทยี่ วของตน และยัง
สามารถใช้เป็นข้อมูลท่ีสําคัญ เพ่ือประกอบการตัดสินใจ ของนักท่องเท่ียว รวมท้ังเป็นการเพิ่มมาตรฐานแหล่ง
ท่องเท่ียว เชงิ สขุ ภาพ น้าํ พุร้อนธรรมชาติของประเทศไทยให้เปน็ ที่ยอมรับทง้ั ในและต่างประเทศเพม่ิ มากข้ึน
8. แหลง่ ท่องเทย่ี วประเภทชายหาด (Beach Attraction): หมายถึง สถานท่ีทเ่ี ปิดใชเ้ พอื่ การทอ่ งเท่ียว โดย
มีชายหาดเป็นทรัพยากรธรรมชาติท่ีดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวมาเยือน โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือความเพลิดเพลินและ
นันทนาการในรูปแบบท่ีใกล้ชิดกับธรรมชาติและอาจเสริมกิจกรรมเพื่อการศึกษาหาความรู้เข้าไปด้วย ซ่ึงกิจกรรม
การท่องเที่ยวท่ีเกิดขึ้นบริเวณชายหาด ได้แก่ การเล่นน้ํา การอาบแดด กีฬาทางน้ํา การน่ังพักผ่อน รับประทาน
อาหาร เปน็ ต้น
9. แหล่งทอ่ งเทีย่ วประเภทนํ้าตก: สถานที่ท่ีเปิดใช้เพ่ือการท่องเที่ยว โดยมีนํ้าตกเป็นทรัพยากรธรรมชาติท่ี
ดึงดูดใจให้นักท่องเท่ียวมาเยือน โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือความเพลิดเพลินและนันทนาการในรูปแบบท่ีใกล้ชิดกับ
ธรรมชาติและอาจเสรมิ กจิ กรรมเพ่อื การศึกษาหาความรู้เขา้ ไปดว้ ย ซ่งึ กิจกรรมการท่องเท่ียวทเี่ กิดขน้ึ ในแหล่งน้ําตก
ได้แก่ การว่ายนํ้า การนั่งพักผ่อน รับประทานอาหาร การเดินสํารวจน้ําตก การล่องแก่ง การดูนก และการตกปลา
เปน็ ตน้
10. แหล่งท่องเท่ียวทางธรรมชาติประเภทถ้ํา : แหล่งท่องเท่ียวประเภทถํ้า หมายถึง สถานที่ท่ีเปิดใช้เพื่อ
การท่องเที่ยว โดยมีถ้ําเป็นทรัพยากรธรรมชาติท่ีดึงดูดใจให้นักท่องเท่ียวที่มาเยือน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อความ
เพลิดเพลินและนันทนาการในรูปแบบท่ีใกล้ชิดกับธรรมชาติและอาจเสริมกิจกรรมเพื่อการศึกษาหาความรู้เข้าไป
ด้วย ซึ่งกิจกรรมการท่องเท่ียวท่ีเกิดขึ้นในแหล่งท่องเท่ียวประเภทถ้ํา ได้แก่ การเข้าชมบรรยากาศและหินงอกหิน
ย้อยภายในถ้ํา การศึกษาด้านโบราณคดีของมนุษย์ยุคต่างๆ ท่ีเคยอาศัยในถํ้า การนมัสการพระพุทธรูป การให้
อาหารสตั ว์ การปิกนิกและรับประทานอาหาร เปน็ ตน้
11. แหล่งท่องเท่ียวทางธรรมชาติประเภทเกาะ
12. แหลง่ ท่องเทย่ี วทางธรรมชาตปิ ระเภทแก่ง: แหล่งท่องเทีย่ วประเภทแก่ง หมายถึง สถานท่ีที่เปิดใช้เพ่ือ
การท่องเที่ยว โดยมีแก่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ดึงดูดใจให้นักทอ่ ง เท่ียวมาเยือน และมีวัตถุประสงค์ เพ่ือความ
เพลิดเพลินและนันทนาการในรูปแบบที่ใกล้ชิดกับ ธรรมชาติ โดยมีกิจกรรมการท่องเท่ียวหลัก ไดแ้ ก่ การล่องแก่ง
การพายเรือ การพักแรม และการเดินป่า ซึ่งอาจเสริมกิจกรรมเพื่อการศึกษาธรรมชาติเข้าไปด้วย ได้แก่การดูนก
การสาํ รวจธรรมชาติการศึกษาพันธุพ์ ืชต่างๆ เป็นตน้
147
กจิ กรรมที่ 1 ประเภทของแหลง่ ท่องเท่ียว
คาํ สงั่ ใหผ้ เู้ รยี นตอบคําถามตอ่ ไปนี้
1. ให้ยกตวั อยา่ งประเภทของแหล่งทอ่ งเท่ยี วเชงิ นเิ วศในจงั หวดั สพุ รรณบรุ ี
…………………………………...................................................………………………………………………………………………….……
…….....................................................................................................................................……………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………….……………………….…………………………………………………………………………………………………………………….......
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
2. ให้ยกตวั อยา่ งประเภทของแหล่งทอ่ งเท่ียวทางศลิ ปะวทิ ยาการในจงั หวดั สพุ รรณบุรี
…………………………………...................................................…………………………………………………………………………………
….....................................................................................................................................………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………….……………………………………………………………………………………………………………………........
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
3. ให้ยกตัวอยา่ งประเภทของแหล่งทอ่ งเทีย่ วทางประวตั ศิ าสตร์ในจังหวัดสุพรรณบุรี
…………………………………...................................................…………………………………………………………………………………
….....................................................................................................................................………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………….…………………………………………………………………………………………………..……………….........
.....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
4) ให้ยกตัวอยา่ งประเภทของแหลง่ ทอ่ งเท่ยี วทางธรรมชาติในจังหวดั สุพรรณบรุ ี
…………………………………...................................................…………………………………………………………………………………
….....................................................................................................................................………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………….…………………………………………………………………………………………………...………………….....
148
เร่อื งท่ี 2 สถานทที่ อ่ งเทย่ี วที่สาํ คญั ในจังหวัดสพุ รรณบรุ ี
149
อําเภอดอนเจดีย์
1. พระบรมราชานุสรณด์ อนเจดยี ์
ประกอบด้วยพระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงพระคชาธารออกศึกและองค์เจดีย์
ยุทธหัตถี สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงสร้างเจดีย์ขึ้น เพ่ือเฉลิมฉลองชัยชนะในสงครามยุทธหัตถี ท่ีทรงมีต่อ
พระมหาอุปราชาแห่งพม่า เมื่อปี พ.ศ. 2134 เจดีย์นี้ถูกค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2456 โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ทรงรับสงั่ ใหค้ น้ หาซากเจดีย์เกา่ และกไ็ ดค้ น้ พบ เช่ือได้ว่าน่าจะเป็นเจดีย์ยุทธหัตถี และ
150
เมื่อค้นพบแล้วพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ได้เสด็จไปประกอบพิธีบวงสรวงสมโภช เม่ือวันที่ 28
มกราคม พ.ศ.2456 องค์เจดีย์เหลือซากแต่เพียงฐานส่ีเหล่ียม กว้างด้านละ 19.50 เมตร สูงจากพื้นดินถึงส่วนชํารุด
6.50 เมตร รัชกาลที่ 6 จึงโปรดเกล้าฯ ให้กรมศิลปากรกะงบประมาณในการบูรณะ และตกลงเลือกแบบเจดีย์
ยทุ ธหัตถที ีจ่ ังหวัดตาก ซึ่งเป็นเจดีย์ท่ีสร้างข้ึนเป็นท่ีระลึก คร้ังพ่อขุนรามคําแหงชนช้างชนะขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด
ทว่าการบูรณะเจดีย์ไม่ได้ดําเนินการตามพระราชประสงค์ การสร้างอนุสาวรีย์ท่ีดอนเจดีย์จึงได้เร่ิมขึ้นใหม่โดย
รัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม แบบของเจดีย์ให้เป็นทรงลังกาตามแบบอย่างเจดีย์ใหญ่ที่วัดชัยมงคล จังหวัด
พระนครศรอี ยุธยา เพราะสนั นษิ ฐานว่า เจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคลนี้ สมเด็จพระนเรศวรฯ ได้โปรดเกล้าให้สร้างขึ้น เพื่อ
เป็นอนุสรณ์แห่งชยั ชนะครั้งนั้นตามคํากราบทูลแนะนําของสมเด็จพระวันรัต วัดป่าแก้ว เช่นเดียวกับเจดีย์ยุทธหัตถี
ต่อมาในปี พ.ศ. 2495 กองทัพบกได้บูรณปฏิสังขรณ์องค์เจดีย์ข้ึนใหม่ โดยสร้างเป็นเจดีย์แบบลังกาทรงกลมใหญ่
สงู 66 เมตร ฐานกว้างด้านละ 36 เมตร ครอบเจดีย์องคเ์ ดมิ ไว้
ภายในองค์เจดีย์ได้มีการสร้างห้องแสดงประวัติศาสตร์ ทั้งภาพแสงสีเสียง และหุ่นจําลองการยกทัพของ
พม่าและไทยหลายร้อยตัว เป็นสถานที่ให้ความรู้และเพลิดเพลินแก่ผู้สนใจพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรง
เสด็จไปประกอบพิธีบวงสรวงและเปดิ พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์เมื่อวันท่ี 25 มกราคม พ.ศ. 2502 ต่อมาทาง
ราชบัณฑิตได้คํานวณแล้วพบว่าวันทางจันทรคติที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทํายุทธหัตถี คือวันจันทร์
เดือน 2 แรม 2 ค่ํา จุลศักราช 954 ตรงกับวันที่ 18 มกราคม จึงประกาศให้วันดังกล่าวเป็นวันถวายราชสักการะ
พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์และถือเป็นวันกองทัพไทย พร้อมกันนั้นทางจังหวัดได้จัดให้มีงานเฉลิมฉลอง
พระบรมราชานุสรณด์ อนเจดียท์ ุกปี
ห่างจากเจดีย์ไปประมาณ 100 เมตร เป็นท่ีต้ังของ พระตําหนักสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภายในมี รูป
ปนั้ ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและพระสุพรรณกลั ยา มผี ู้นยิ มไปสักการบชู าอยูเ่ สมอ
เปดิ ทกุ วัน จันทร์ - ศกุ ร์ 07.00 - 16.30 น. เสาร์ - อาทิตย์ 07.00 - 17.00 น. โดยไมเ่ สียคา่ เข้าชม
การเดินทาง : ใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 340 เล้ียวซ้ายที่แยกศรีประจันต์ เข้าเส้น 3038 ไปตามทางประมาณ
15 กิโลเมตร จะพบทางแยกวนรอบพระบรมราชานสุ รณฯ์ จะวนซา้ ยหรอื ขวากไ็ ด้ มีทางตัดเข้าพระบรมราชานุสรณ์
ได้เชน่ เดยี วกนั
ทีอ่ ยู่ ต้ังอย่ทู ตี่ าํ บลดอนเจดีย์ อําเภอดอนเจดยี ์ จงั หวดั สพุ รรณบรุ ี
2. บงึ หนองสาหรา่ ย
สถานท่ปี ระวตั ศิ าสตรแ์ หง่ น้ี ปัจจบุ ันมีการปรบั ปรงุ ตกแตง่ ใหเ้ ปน็ สวนสาธารณะ ให้ประชาชนทัว่ ไป
พกั ผอ่ น และออกกาํ ลงั กาย และบางมมุ กจ็ ดั แสดงเรอื่ งราวทางประวัตศิ าสตร์ ใหไ้ ด้ศกึ ษาหาความรู้