51
เรียกกันเพียงว่า“พระวัดบ้านกร่าง”คือถ้าเป็นพระองค์เดียวก็เรียก“พระบ้านกร่างเดี่ยว”ถ้าเป็นพระ 2 องค์คู่
ติดกันก็เรียก “พระบ้านกร่างคู่”ต่อมาจึงมีการต้ังช่ือให้เป็น พระขุนแผน บ้าง พระพลายเดี่ยว บ้างพระพลายคู่
บ้าง ทม่ี าของชอื่ พระพิมพ์ ขุนแผน เหลา่ น้เี ชอ่ื ว่าคนต้งั ชื่อคงต้องการใหค้ ลอ้ งจองกลมกลนื กับตัวละครในวรรณคดี
เรือ่ งขุนช้าง-ขุนแผน ที่โด่งดัง อันมีถิ่นกําเนิดในย่านสุพรรณบุรี คําว่าพระบ้านกร่าง จึงค่อยๆ เลือนหายไป หรืออีก
นัยหนึ่ง ชื่อของ พระขุนแผนอาจได้มาจากการที่มีผู้บูชากราบไหว้ หรืออาราธนานําติดตัวไปไว้ป้องกันอุบัติภัย
ต่างๆ แล้วได้ประจักษ์ความศักดิ์สิทธ์ิ ในอํานาจพุทธคุณ ท่ีม่ีคุณวิเศษ เหมือน ขุนแผนในวรรณคดีโดยเฉพาะ
ดา้ นเสนห่ ์ เมตตามหานยิ ม อาจดว้ ยเหตนุ ี้ จงึ เรยี กข่ือวา่ พระขนุ แผนสืบมา
การจาํ แนกพมิ พท์ รงพระกรวุ ัดบา้ นกรา่ ง
พระกรุวัดบ้านกร่างเข้าใจว่ามีจํานวนถึง 84,000 องค์ตามคติการสร้าง พระพิมพ์ในสมัยโบราณเมื่อ
พระแตกกรขุ ึน้ มากไ็ ด้มีผแู้ ยกแบบ แยกพมิ พ์ต่างๆตามความแตกต่างของพุทธลักษณะ ซ่ึงมีจํานวนกว่า 30 พิมพ์ขึ้น
ไป บางแบบก็เรียกว่า“พระขุนแผน”ซ่ึงมีพิมพ์ยอดนิยม เช่นพิมพ์ห้าเหลี่ยมอกใหญ่ พิมพ์ห้าเหล่ียมอกเล็ก
พิมพ์ทรงพลใหญ่พิมพ์ทรงพลเล็ก พิมพ์พระประธาน พิมพ์เถาวัลย์เลื้อย พิมพ์แขนอ่อน ฯลฯบางแบบก็เรียกว่า
“พระพลาย”อนั หมายถึงลูกของขุนแผนซึ่งมีทั้งท่ีพิมพ์เป็นคู่ติดกัน เรียกว่า“พระพลายคู่”และองค์เด่ียวๆ เรียกว่า
“พระพลายเดี่ยว” ซึ่งแต่ละพิมพ์ก็ยังแบ่งแยกออกไปอีกเป็นสิบทๆทพิมพ์ เช่น พลายคู่หน้ายักษ์ หน้ามงคล
หน้าฤาษี หน้าเทวดาพลายเด่ียวพิมพ์ชะลูด พิมพ์ก้างปลา ฯลฯ การที่คนรุ่นเก่า เลือกท่ีจะตั้งชื่อ พระพิมพ์น้ันว่า
ขุนแผนพิมพ์น้ีเรียกพลาย คนรุ่นใหม่ คงไม่ทราบหลักเกณฑ์ หรอื ที่มาชัดซึ่งคงเดาใจว่า คนท่ีต้ังชื่อ ขุนแผน คงจะ
ดูรูปร่างศิลปะในองค์พระถ้าพระองค์ ใดมีรูปแบบศิลปะสวยงามสะดุดตา ก็เรียกว่าพระขุนแผนไว้ก่อนส่วน
พระพมิ พ์ใดหย่อนคุณคา่ ทางด้านศลิ ปะความงาม ความอ่อนช้อยก็ตั้งช่ือเรยี กวา่ พระพลายเพอื่ ใหแ้ ตกตา่ งกันไป…
อายกุ ารสรา้ งของ พระขุนแผน กรวุ ัดบา้ นกร่าง
พระขุนแผน กรุวัดบ้านกร่างสุพรรณบุรีเม่ือพิจารณาจากศิลปะแล้ว บอกให้รู้ว่าเป็น พระในสมัยอยุธยา
ตอนกลางโดยมีศิลปะที่อ่อนช้อยสวยงาม เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ที่สําคัญที่สุด คือในจํานวนพระขุนแผน
กรุวัดบ้านกร่างนี้ มีอยู่พิมพ์หน่ึงนั่นคือ“พระขุนแผน พิมพ์ห้าเหล่ียมอกใหญ่”มีลักษณะและศิลปะเหมือนกับ
“พระขุนแผนเคลือบ”ที่แตกกรุออกมาจากเจดีย์ วัดใหญ่ชัยมงคล พระนครศรีอยุธยาซ่ึงเจดีย์องค์น้ีมีบันทึกไว้ใน
พงศาวดาร ว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชโปรดให้สร้างข้ึนในปี พ.ศ. 2135 ตามคําทูลแนะนําของสมเด็จ
พระวันรัตน์วัดป่าแก้ว เพื่อเฉลิมพระเกียรติแห่งชัยชนะในการทํายุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา แห่งพม่าพระเจดีย์
องค์น้ีช่ือว่า“พระเจดีย์ชัยมงคล”แต่ชาวบ้านเรียกว่า“พระเจดีย์ใหญ่”เพราะเป็นเจดีย์ ท่ีใหญ่ท่ีสุดในอยุธยา ซึ่ง
ตามประเพณมี าแตโ่ บราณวา่ เม่ือสร้างพระเจดยี แ์ ลว้ จะสร้างพระพิมพบ์ รรจไุ วด้ ้วย
เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา ถือกันว่าได้กุศลแรงพระขนุ แผนเคลือบคงสร้าง เพื่อบรรจุไว้ในเจดีย์ วัดใหญ่
ชัยมงคลในคร้ังน้ันความคล้ายคลึงกันของพุทธศิลป์ ของพระขุนแผน เคลือบกรุวัดใหญ่ชัยมงคลกับพระขุนแผน
กรุวัดบ้านกร่างสุพรรณบุรี โดยเฉพาะพิมพ์ห้าเหล่ียมอกใหญ่น้ีเม่ือนําพระทั้งสองมาเปรียบเทียบกัน จะเห็นความ
แตกตา่ งกนั น้อยมากโดยเฉพาะเส้นสายและลวดลายการแกะของแม่พิมพ์ ทําให้น่าเช่ือว่าช่างท่ีแกะสมัยน้ัน คงเป็น
คน คนเดียวกัน หรือ สกุลช่างศิลปะในสํานักเดียวกันอายุการสร้างอาจไม่แตกตา่ งกันมากนัก หรืออาจแกะในคราว
เดียวกนั และพิมพใ์ นคราวเดยี วกัน แตไ่ ดม้ ีการแยกบรรจุเจดีย์ ตา่ งกัน ดังนั้นจงึ พอท่จี ะสนั นษิ ฐานได้ว่าพระขุนแผน
กรุวัดบ้านกรา่ งคงมีอายอุ ยู่ในราวรชั กาล สมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรอื ประมาณ 400 ปีล่วงมาแล้ว
ลักษณะธรรมชาติ พระกรวุ ัดบ้านกร่าง
พระกรุวดั บ้านกร่างโดยทว่ั ไปไมว่ า่ จะเป็นพิมพ์พระขนุ แผน พระพลายเดี่ยว พระพลายคนู่ ั้นเป็นพระเน้ือ
เดียวกัน คือ เน้ือดินเผาผสมว่านและเกสรดอกไม้ นานาชนิดไม่ปรากฏว่ามีเน้ือประเภทอ่ืน ลักษณะเนื้อพระ มีทั้ง
52
ชนิด เนื้อละเอียด และเน้ือหยาบ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทเน้ือหยาบที่มีส่วนผสมของกรวดทรายมากมีท้ังแดง
สีพิกุล สีเขียว และสีดํา ตามความอ่อนแก่ของความร้อนในขณะเผาไฟแต่ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหยาบหรือละเอียด สิ่งท่ี
ขาดไม่ได้ คือ ต้องมีว่านดอกมะขาม มี แร่ทรายเงิน แร่ทรายทอง และ“รอยว่านหลุด”อยู่ด้วยทุกองค์ รอยว่าน
หลุด ดังกล่าว เป็นร่องเล็กๆ สัณฐานไม่แน่นอนเป็นรูปแท่งสี่เหล่ียม บ้าง สามเหลี่ยม บ้าง และเป็น ร่องลึก
รอ่ งตน้ื ก็ได้ รอยวา่ นหลดุ นี้ถือเป็นเอกลักษณะของเนื้อพระกรุวัดบา้ นกรา่ งท่ีจะขาดเสยี มไิ ด้ในการพิจารณา
นอกจากน้ีพระกรุวัดบ้านกร่างยังเป็นพระกรุที่ผิวสะอาด เนื่องจาก กรุพระมีสภาพดีไม่จมดินหรือถูกน้ํา
ท่วมขัง ดังน้ัน จึงไม่มีคราบขี้กรุเกาะติดหนาให้เห็นจะมีเพียงแต่ฝ้ากรุบางๆ ฉาบติดอยู่แต่ถ้าผ่านการใช้หรือการ
สัมผัสก็จะเหลือผิวฝ้ากรุตามซอกองค์พระ เท่านั้นพระกรุวัดบ้านกร่างเป็นพระท่ีมีชื่อเสียงโด่งดัง ไม่ว่าจะเป็น
พระขุนแผน พระพลายเด่ียว พระพลายคู่ล้วนแต่เป็นพระกรุท่ีมีอายุหลายร้อยปี และมี พุทธคุณสูงส่ง ทางด้าน
เมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ แคล้วคลาด และ คงกระพันชาตรี เป็นเลิศจึงเป็นที่นิยมเสาะหากันมานานแล้วแม้
ปัจจบุ ันความนิยมกไ็ มไ่ ดล้ ดลงน้อยลงไปเลย
3. เหรยี ญหลวงพอ่ เจรญิ ปภาโส วดั ธัญญวารี (วดั หนองนา) รนุ่ 7 รอบ
พระครูสุวรรณวิสุทธ์ิ" หรือ "หลวงพ่อเจริญ ปภาโส" อดีตเจ้าคณะอําเภอดอนเจดีย์เเละอดีตเจ้าอาวาส
วัดธัญญวารี (วัดหนองนา) ตําบลไร่รถ อําเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นศิษย์ของหลวงปู่โต๊ะวัดสองเขต
สามัคคีธรรม (วัดลาดตาล) จังหวัดสุพรรณบุรีหลวงพ่อเจริญเป็นพระเกจิชื่อดัง ที่ชาวสุพรรณบุรีให้ความเลื่อมใส
ศรัทธาและเป็นท่ีรู้จักกันมายาวนาน มรณภาพเม่ือวนั ท่ี 17 มกราคม 2545 สิริอายุ 92 ปี พรรษา 72 วัตถุมงคล
หลวงพ่อเจริญทุกรุ่นเป็นท่ีปรารถนาของบรรดานักสะสมพระเคร่ืองทุกรุ่นด้วยมีพุทธคุณเด่นรอบด้านรวมไปถึง
ความงดงามทางพทุ ธศลิ ป์ในการจดั สรา้ งแตล่ ะครัง้
ที่โดดเด่นทสี่ ดุ คือ เหรียญครบ 5 รอบ ปี พ.ศ.2512
มี 2 พิมพ์ คือพิมพเ์ ล็กและพมิ พ์ใหญ่ ซ่ึงในปัจจุบนั ที่
วดั หนองนาไมม่ ีเหลอื ใหเ้ ชา่ บชู าแลว้ ด้วยในอดตี หลวง
พอ่ เจรญิ จดั สรา้ งเหรียญนอ้ ยมาก เพียงจํานวนหลัก
พนั เท่าน้ันและชว่ งหลงั จากที่ทําเหรียญรุ่น 5 รอบ ที่
เปน็ เหรยี ญรนุ่ แรกยังนาํ เหรยี ญที่เหลอื จากการแจก
ญาตโิ ยมไปเทในเบ้าหลอมในช่วงงานหล่อพระประธาน
ในพระอโุ บสถเมือ่ ครงั้ ทา่ นยงั มชี ีวิตอยู่
สําหรับ เหรียญหลวงพ่อเจริญ รุ่น 7 รอบ คณะศิษยานุศิษย์หลวงพ่อเจริญได้ร่วมจัดสร้างข้ึนเมื่อปี พ.ศ.2536
เน่ืองในงานอายุวัฒนมงคล ครบ 7 รอบ อายุ 84 ปีเป็นเหรียญรูปไข่คล้ายกับเหรียญรุ่น 5 รอบ แต่รุ่นนี้ไม่มีห่วง
แขวนด้านบนเหรียญทุกอย่างคล้ายกันเกือบทั้งหมดเช่ือกันว่ามีการถอดพิมพ์มาจากเหรียญรุ่น 5 รอบตัวเหรียญทํา
จากเน้ือทองแดงรมนาค
ด้านหน้าเหรียญ เป็นรูปเหมือนหลวงพ่อเจริญในช่วงอายุ 84 ปีเพียงคร่ึงองค์หน้าตรง มียันต์
หลวงพ่อเจริญที่บริเวณไหล่ซ้ายด้านล่างเขียนว่า "พระครูสุวรรณวิสุทธ์ิ (เจริญ)" ด้านบนเขียนว่า "ครบ 7 รอบ"
รอบเหรยี ญจะมีเส้นว่งิ รอบเสน้ เดียวตลอด
ด้านหลงั เหรียญ มีเส้นรอบดา้ นนอก 1 เสน้ รอบวงกลมด้านใน 2 เส้นทง้ั ด้านนอกและดา้ นในมียันต์อักขระ
ขอมเชื่อกันว่าเป็นยันต์ประจําตัวหลวงพ่อเจริญ ด้านในวงกลมจะมียันต์คําว่า "เทาะ" เป็นอักขระขอม รอบเหรียญ
เขยี นเป็นอักขระขอมว่า "นะมะพะธะนะโมพุทธายะ สะวะนิติ ทาสุอุชา นะชาลตี ิ เมอะมะอุ"
53
เหรียญหลวงพอ่ เจรญิ รนุ่ 7 รอบ จัดสรา้ งจํานวน 9,000 เหรยี ญ โดยนาํ มาแจกญาติโยมที่เข้าร่วมงานพิธี
ครั้งนั้นส่วนพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคล มีพระเกจิที่เข้าร่วมน่ังปรกอธิษฐานจิต อาทิหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จังหวัด
สิงห์บุร,ี หลวงพ่อดี วัดพระรูป จังหวดั สุพรรณบุรีเป็นต้น
เหรียญหลวงพ่อเจริญ รุ่น 7 รอบ มีพุทธคุณด้านเมตตามหานิยม ค้าขายดี มีกําไร ทํามาค้าข้ึนเดินทาง
แคลว้ คลาดปลอดภัย เชื่อกันว่าใครที่บูชาเหรียญหลวงพ่อเจริญจะมีความเจริญ สมดังช่ือหลวงพ่อเจริญ ในปัจจุบัน
เหรียญหลวงพ่อเจริญ รุ่นครบ 7 รอบยังมีเหลืออยู่จํานวนจํากัด ผู้ที่สนใจสามารถไปหาเช่าบูชาได้ที่วัดธัญญวารี
(วดั หนองนา) จงั หวดั สพุ รรณบรุ ี ซึ่งราคาเชา่ บชู ายังคงอยู่ทีห่ ลกั รอ้ ยเท่าน้นั นับเป็นพระเหรียญท่ีควรค่าแก่การเช่า
บชู าสะสมเป็นอย่างยงิ่
กิจกรรมท่ี 1 วัฒนธรรมประเพณใี นจังหวดั สุพรรณบรุ ี
ใหผ้ ูเ้ รยี นแบ่งกลมุ่ จํานวน 6 กลุ่ม เพอื่ ศึกษาค้นคว้าจากแหล่งเรยี นร้ตู า่ งๆ เรอื่ งวฒั นธรรม ประเพณี ในจงั หวัด
สพุ รรณบุรโี ดยนาํ เสนอในรูปแบบของเอกสาร แผ่นพับเพอ่ื ประชาสมั พันธ์
1. ภาษาท้องถ่นิ
2. การแตง่ กายพ้นื บ้านของแตล่ ะทอ้ งถน่ิ
3. อาหารทอ้ งถนิ่
4. ประเพณที ี่สําคญั ของทอ้ งถ่นิ
5. วรรณคดีขน้ึ ชอื่ ของสุพรรณบรุ ี
6. พระเครอื่ งเมืองสุพรรณ
54
เรอ่ื งท่ี 2 การอนรุ กั ษว์ ฒั นธรรมประเพณใี นสุพรรณบุรี
กรณตี วั อย่างการอนุรกั ษแ์ ละสืบทอดวัฒนธรรมประเพณี
1. ประวัตแิ ละผลงานพ่อไวพจน์ เพชรสพุ รรณ
ไวพจน์ เพชรสุพรรณ เป็นนักร้องเพลงลูกทุ่งชอ่ื ดังระดับตํานานของประเทศไทย และอยู่ในวงการมานาน
หลายสิบปี โดยสร้างผลงานเพลงออกมามากมายนับไม่ถ้วน จนกระท้ังถึง
ปัจจุบันก็ยังคงผลิตผลงานเพลงออกมาอย่างต่อเนื่อง ในจํานวนนั้นเป็น
เพลงดังที่ฮิตติดหูมากมาย นอกจากน้ันก็ยังมีความเช่ียวชาญด้านเพลง
พนื้ เมอื งภาคกลางชนิดหาตัวจับได้ยาก และได้สร้างผลงานเพลงประเภทนี้
ออกมามากกว่าศิลปินเพลงพื้นบ้านคนใดพ่อไวพจน์เพชรสุพรรณยังมี
ความสามารถด้านการแต่งเพลง และได้แต่งเพลงดังให้กับนักร้องหลายคน
ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นผู้สร้างราชินีลูกทุ่งคนที่ 2 คือ พุ่มพวง ดวงจันทร์ ขึ้นมา
ประดับวงการเพลงเมืองไทยด้วยพ่อไวพจน์ เพชรสุพรรณ ได้เป็นศิลปิน
แห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (นักรอ้ งเพลงลกู ท่งุ ) เมื่อปี พ.ศ. 2540
ประวัติ
ไวพจน์ เพชรสุพรรณ มีชื่อจริงว่า พาน สกุลณี เกิดเมื่อ 7 มีนาคม พ.ศ. 2485 ท่ี หมู่ 2 ตําบลมะขามล้ม
(ปัจจุบันเป็น ตําบลวังนํ้าเย็น) อําเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรนายจําปี และนางอํ่า สกุลณี เป็นชาว
ไทยเช้อื สายลาว เรยี นจบชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 โรงเรยี นวัดวงั นํ้าเยน็ อําเภอบางปลาม้า จังหวดั สพุ รรณบุรี
เขา้ สวู่ งการ
ไวพจน์ เพชรสุพรรณ เริ่มหัดร้องเพลงอีแซว เพลงพื้นบ้านของ จังหวัดสุพรรณบุรี ต้ังแต่อายุ 2 ขวบ โดยได้
ฝกึ หดั และหดั ตามมารดา ซ่ึงเป็นแม่เพลงอีแซว จนสามารถร้องเพลงอีแซว และเพลงแหล่ได้เม่ืออายุ 14 ปี จากน้ัน
ได้หัดร้องลิเกกับคณะลิเกประทีป แสงกระจ่าง เมื่ออายุ 16 ปีได้เข้าประกวดร้องเพลงครั้งแรกท่ีวัดท่าตลาด ตําบล
วัดโบสถ์ อําเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี เพลงท่ีร้องเป็นเพลงแหล่ของ พร ภิรมย์ ช่ือเพลง “จันทโครพ”
ปรากฏว่าได้รางวัลที่ 1 ในช่วงน้ัน ไวพจน์สนใจขับร้องเพลงลูกทุ่งมาก เพราะเป็นช่วงท่ีมีนักร้องลูกทุ่งมีช่ือเสียง
เกิดขึ้นมากมาย เช่น ชัยชนะ บุญนะโชติ,ไพรวัลย์ ลูกเพชร,ชาย เมืองสิงห์ ครั้งหนึ่งชัยชนะ บุญนะโชติ ได้นําวง
ดนตรีมาเล่นท่ตี ลาดสวนแตงและมีการรบั สมคั รประกวดรอ้ งเพลง ไวพจน์จึงสมัครประกวดร้องเพลงด้วย และได้รับ
การชมเชยจากผู้ชมผู้ฟังเป็นจาํ นวนมาก ชัยชนะ บุญนะโชติ จึงชกั ชวนให้เขา้ สวู่ งการเพลงลูกทงุ่ และตงั้ ชือ่ ใหใ้ หมว่ ่า
" ไวพจน์ เพชรสุพรรณ " หลังจากน้นั ไดน้ ําไวพจน์ ไปฝากเป็นศิษย์ของครูสําเนียง ม่วงทอง นักแต่งเพลงซ่ึงเป็นชาว
จงั หวดั สุพรรณบรุ ี เช่นกัน ซึง่ เปน็ เจา้ ของวงดนตรี “รวมดาวกระจาย” ไวพจน์ จงึ ได้เขา้ มาร่วมวงในฐานะนักร้องนํา
ครูสําเนียงได้แต่งเพลง ให้ร้อง และประสบความสําเร็จอย่างมาก คือ เพลง "ให้พี่บวชเสียก่อน" และยังได้ขับร้อง
เพลงของนักแตง่ เพลงผู้อืน่ คอื จว๋ิ พิจิตร เชน่ เพลง ”แบง่ สมบตั ิ” และ “21 มิถุนา ขอลาบวช” เปน็ ต้น
ราชาเพลงแหล่
พ่อไวพจน์ เพชรสุพรรณ เป็นผู้มีความสามารถรอบตัว เพราะนอกจากจะร้องเพลงลูกทุ่งได้ยอดเย่ียมแล้ว
ยังมีความสามารถเล่นเพลงพ้ืนบ้านได้เกือบทุกชนิดทั้งเพลงฉ่อย เพลงอีแซว เพลงเรือ เล่นได้หมดและเล่นได้ดี
ขนาดโตต้ อบดว้ ยปฏิภาณกวีได้ โดยเฉพาะการแหล่ ทุกคนในวงการลว้ นยกย่องให้พ่อไวพจน์เป็น " ราชาเพลงแหล่"
เพราะมเี พลงแหลบ่ นั ทึกแผ่นเสยี งมากทีส่ ุดในประเทศไทย ทัง้ ยงั สามารถแหลด่ ้นกลอนสดไดอ้ ยา่ งไมต่ ดิ ขดั
ในจํานวนนกั รอ้ งลูกท่งุ อาวุโส ไวพจน์ มผี ลงานบันทกึ แผ่นเสยี งมากทสี่ ดุ ถึงประมาณ 2,000 เพลง และยังคง
ผลิตผลงานออกมาเพิ่มเติมในระดับที่ถ่ีกว่าคนอ่ืน ท้ังเพลงท่ีครูเพลงแต่งให้และแต่งเองร้องเอง พ่อไวพจน์
55
เพชรสุพรรณยังสามารถแต่งเพลงสร้างช่ือให้ลูกศิษย์มาแล้วมากมาย โดยศิษย์เอกท่ีโด่งดังของไวพจน์มี แม่ขวัญจิต
ศรีประจันต์, เพชร โพธาราม (เพลง ต.ช.ด.ขอร้อง) และ พุ่มพวง ดวงจันทร์ (เพลงแก้วรอพี่, นักร้องบ้านนอก)
นอกจากนน้ั ก็ยงั เปน็ หมอทําขวัญ ซงึ่ ได้รับการยกยอ่ งว่าเป็นหมอทําขวญั อันดบั หน่งึ ของเมอื งไทยในปัจจุบนั
ผลงานเพลงดัง หนุ่มนารอนาง สาละวันรําวง แตงเถาตาย ฟังข่าวทิดแก้ว ใส่กลอนหรือเปล่า สาวภูไท อยากซิ
เห็นขาอ่อน รวยเขาแน่ ซามกั คกั แทน้ อ้ ลําเลาะทงุ่ คนขายเลือด เบยี้ วเป็นเบ้ียว เซ้งิ บอ้ งไฟ ครวญหาแฟน
อัลบม้ั รวมเพลง
อัลบ้ัมชดุ ดที สี่ ดุ 30 ตน้ ฉบับเพลงฮิตดที ส่ี ดุ
อลั บมั้ ชดุ แหล1่ -8
อัลบมั้ ชดุ ไวพจน์ลาบวช
เกยี รติยศ
ศลิ ปินแหง่ ชาติ สาขาศลิ ปะการแสดง (นกั ร้องเพลงลูกทุ่ง) พ.ศ. 2540
เขม็ พระราชทานจากสมเดจ็ พระนางเจา้ พระบรมราชนิ ีนาถ เมอื่ พ.ศ. 2514
รางวัลนกั รอ้ งดเี ด่นจากงานก่งึ ศตวรรษเพลงลูกทุง่ ไทยทง้ั 2 คร้งั คอื เมอื่ พ.ศ. 2532 จากเพลง
สาละวันราํ วง และ พ.ศ. 2534 จากเพลง แตงเถาตาย
รางวลั พระพฆิ เนศทองคําพระราชทาน
2. ประวัตแิ ละผลงาน แม่ขวญั จติ ศรปี ระจันต์
นางเกลียว เสร็จกิจ (ขวัญจิต ศรปี ระจนั ต)์ ศลิ ปนิ แหง่ ชาติ
สาขาศลิ ปะการแสดง (เพลงพน้ื บ้าน-เพลงอีแซว) ปี 2539
แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ มีนามจริงว่า นางเกลียว เสร็จกิจ เกิดเมื่อ
วันที่ 3 สิงหาคม พุทธศักราช 2490 ที่ ตําบลวังน้ําซับ อําเภอศรีประจันต ์
จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรของนายอัง และนางปลด เสร็จกิจ มีพี่น้อง 3 คน
สมรสกับนายเสวี ธราพร มีบุตร 3 คน เป็น ชาย 1 คน และหญิง 2 คน เป็นผู้
ท่ีมีความสนใจทางด้านการร้องเพลงพ้ืนบ้านมาตั้งแต่ปี 2505 ขณะท่ีอายุ
ประมาณ 15 ปี โดยมีความช่ืนชม และเฝ้าติดตามการขับร้องเพลงของ
แม่บัวผัน จันทร์ศรี (ศิลปินแห่งชาติ) และครูไสว วงษง์ าม อย่างใกล้ชิดและใน
ที่สุดก็ได้ขอฝากตัวเป็นศิษย์เพ่ือฝึกฝนการขับร้องเพลงกับครูเพลงทั้ง 2 ท่าน
ด้วยความเป็นผู้ท่ีมีพรสวรรค์ในทางการขับร้อง กอปรด้วยความมีไหวพริบ
ปฏิภาณ และน้ําเสียงอันเป็นเลิศ อีกท้ังมีความมานะพยายามไม่ย่อท้อ
ตอ่ อปุ สรรคทาํ ใหแ้ มข่ วัญจิตสามารถเรียนรูว้ ิธีการขบั ร้องเพลงพน้ื บ้านประเภทตา่ งๆ โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ เพลงอีแซว
จากแม่บัวผัน และเพลงแนวผู้ชายจากครูไสวได้เป็นอย่างดีภายในระยะเวลาไม่นาน แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์
ไมเ่ พียงมีความสามารถในดา้ นการขับร้องเพลงพืน้ บ้านเท่านัน้ ท่านยังมีความสามารถในการแต่งเพลงอีแซวได้อย่าง
เป็นเลิศอีกด้วยเน่ืองจากท่านมีความรักในด้านการอ่านหนังสือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วรรณคดีไทยเป็นพิเศษ จึง
สามารถจดจําลีลาการประพันธ์และเค้าโครงเร่ืองเหล่านั้นมาประพันธ์เป็นเพลงอีแซวได้อย่างไพเราะงดงาม
แม่ขวัญจิตได้ออกตระเวนเล่นเพลงอีแซวเพ่ือเพิ่มพูนประสบการณ์และหาความรู้กับครูเพลงพ้ืนบ้านอีกหลายท่าน
ทําให้ความสามารถของท่านพัฒนาข้ึนโดยลําดับจนเริ่มมีช่ือเสียง จากน้ันในช่วงประมาณปี 2510 ก็ได้หันไปสนใจ
การขับร้องเพลงลูกทุ่ง โดยได้เข้าเป็นนักร้องเพลงลูกทุ่งในวงดนตรีของครูจํารัส สุวคนธ์ และวงดนตรีของ
56
ครูไวพจน์ เพชรสุพรรณ ตามลําดับ จนมีช่ือเสียงโด่งดัง เพลงลูกทุ่งที่ร้องอัดแผ่นเสียงเป็นเพลงแรกคือ เพลงเบื่อ
สมบตั ิ ตามด้วยเพลงดงั อ่ืนๆ เช่น ลานอ้ งไปเวียดนาม ขวัญใจคนจน แม่ครัวตัวอย่าง ฯลฯ จากนั้นกไ็ ด้แต่งเพลงเอง
อันได้แก่เพลง กับข้าวเพชฌฆาต น้ําตาดอกคําใต้ สาวสุพรรณ เป็นต้น เม่ือประสบความสําเร็จมีชื่อเสียง อย่าง
กว้างขวางแล้ว ก็ได้จัดต้ังวงดนตรีลูกทุ่งของตนเองขึ้น โดยใช้ชื่อว่าวงขวัญจิต ศรีประจันต์ ซ่ึงท่านได้นําเอาระบบ
แสง สี เสียง อันทันสมัยน่าตื่นตาต่ืนใจมาใช้ในการแสดง อีกทั้งได้ประยุกต์เพลงอีแซว มาผสมผสานเข้ากับเพลง
ลูกทุ่งได้อย่างกลมกลืมทําให้ได้รับความนิยมชมชอบจากผู้ชมเป็นอย่างยิ่ง แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ได้ใช้ชีวิตอยู่ใน
วงการเพลงลูกทุ่งจนกระทั่งถึงปี 2516 จึงได้ยุบวงแล้วหันกลับไปฟ้ืนฟูเพลงอีกแซวอีกครั้ง โดยในการกลับมา
คร้ังนั้น ท่านได้ตั้งใจ อย่างแน่วแน่ท่ีจะอนุรักษ์ ฟื้นฟู และเผยแพร่ศิลปะพ้ืนบ้านแขนงน้ีอย่างจริงจัง โดยนอกจาก
การแสดงแล้ว ท่านยังอุทิศตนในการถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้ท่ีสนใจ โดยได้ไปบรรยายและสาธิตการแสดงเพลง
พืน้ บ้านในสถานศึกษาต่างๆ ตง้ั แต่ระดับโรงเรียนจนถึงมหาวทิ ยาลยั และยังคงปฏิบตั เิ ช่นนส้ี บื เน่อื งมาจนถงึ ปัจจุบัน
นอกจากจะเปน็ ศลิ ปนิ เพลงพื้นบ้านและเพลงลูกทุ่งท่ีมีความสามารถสูงยิ่งแล้ว แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ยังเป็นผู้ทม่ี ี
จิตใจเปีย่ มด้วยคุณธรรมอยา่ งนา่ สรรเสรญิ ตลอดชีวติ ของการเปน็ นักรอ้ งเพลงพนื้ บา้ น และเพลงลูกทุ่ง ท่านได้อุทิศ
ตนชว่ ยเหลืองานบญุ งานกศุ ลตา่ งๆ มิเคยว่างเว้นท้ังงานราษฎร์ และงานหลวง อาทิ การช่วยรณรงค์เพ่ือปราบปราม
ยาเสพย์ติดการรณรงค์ในเร่ืองปัญหาโรคเอดส์ การช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติต่างๆ และการรณรงค์เพ่ือ
สิ่งแวดล้อม เป็นต้นแม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรด้านเพลงพื้นบ้านที่วิทยาลัยนาฏศิลป์
สุพรรณบุรี และสถานศึกษาต่างๆ ในจังหวัดสุพรรณบุรี และถ่ายทอดความรู้ให้ผู้ที่สนใจได้สืบสานเพลงพื้นบ้านไว้
เป็นจํานวนมากนบั เปน็ แบบอยา่ งท่ีดขี องผูท้ ี่มที ้ังความสามารถในดา้ นเพลงพ้นื บ้านอยา่ งลกึ ซ้งึ และเป็นผู้ท่ีเป่ียมด้วย
คณุ ธรรมผไู้ ด้บําเพ็ญประโยชนเ์ ป็นอเนกประการตอ่ สงั คม นบั เปน็ ศิลปินที่ชาวสุพรรณบรุ ภี าคภูมิใจทสี่ ดุ ทา่ นหนงึ่
เกียรตยิ ศ
พ.ศ. 2532 ได้รับการประกาศเกียรติคุณให้เป็น ผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม สาขาศิลปะ
(เพลงพื้นบ้าน) จากสํานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติพ.ศ. 2533 ได้รับคัดเลือกเป็นส่ือพน้ื บ้านดีเด่นของ
ศูนยก์ ารศกึ ษานอกโรงเรียนภาคกลางและสํานักงานปอ้ งกันและปราบปรามยาเสพย์ติด
พ.ศ. 2534 ได้รับการประกาศเกียรติคุณเป็น นักร้องดีเด่นกึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทย คร้ังท่ี 2 จากเพลง
กับข้าวเพชฌฆาต รับพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีซ่ึงจัดงานโดยสํานักงาน
คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
พ.ศ. 2536 ได้รับโล่เกียรติคุณ ฐานะนักร้องลูกทุ่งดีเด่นของ จ.สุพรรณบุรี พ.ศ. 2539 ได้รับการประกาศ
เปน็ ศิลปินแหง่ ชาติ สาขาศลิ ปะการแสดง (เพลงพน้ื บา้ น- อแี ซว)
ผลงานการขับร้องเพลง
ผลงานการขับร้องเพลงด้านต่างๆ ของแม่ขวัญจิต ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันนอกจาก ที่กล่าวมาแล้ว ยังมีอีก
มากมาย แบง่ ออกเป็นเพลงหลายประเภทดงั น้ี
ประเภทเพลงลูกท่งุ ได้แก่ เพลงเศรษฐสี ุพรรณ ก็น่ันนะซิ วุ้ยว้าย นางครวญ อ้อมอกเจ้าพระยา อายบาปอาย
บญุ ปิดทองพระ แหผ่ ้าปา่ แฟนหนงั เร่ เสียงครวญจากชาวประชา ชวนน้องกลบั อีสาน กบั ขา้ วเพชฌฆาต ฯลฯ
ประเภทเพลงพืน้ บ้าน ได้แก่ เพลงชดุ ปญั หาหัวใจ อานิสงส์ทอดกฐิน ประเพณีไทย น้ําตาหมอนวด ประวัติเมือง
สุพรรณ อีแซวประยุกต์ พระมาลัยโปรดนรก พระคุณพ่อแม่ อานิสงส์บรรพชา ประเพณีแต่งงาน เต้นกํารําเคียว
เกี่ยวมดตะนอย ฯลฯ
57
ประเภทเพลงแหล่ ไดแ้ ก่ แหลม่ ัทรเี ดนิ ดง แหล่ประวัตินาค แหลก่ ญั หาชาลี แหล่ทําขวัญนาค แหล่ถาม-ตอบ
พิธแี ต่งขนั หมาก แหลถ่ าม-ตอบเร่อื งการแต่งงาน ฯลฯ
3. ประวตั แิ ละผลงานนายแจง้ คลา้ ยสีทอง
นายแจ้ง คล้ายสีทอง เกิด วันอาทิตย์ ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2478 ปีจอ ท่ี บ้านตําบลบางตาเถร อําเภอ
สองพน่ี อ้ ง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรคนที่ 3 และเป็นบุตรชายคนเดียว ของนาย หวัน และนางเพี้ยน คล้ายสีทอง
มีพี่น้อง ท้องเดียวกันท้ังหมด 4 คน ช่ือแจ้งนี้ มารดาเล่าว่านาย แจ้ง ตกฟากตอนพระอาทิตย์ข้ึนพ้นดวงพอดี บิดา
เลยตั้งช่ือว่าแจง้
นาย แจ้ง คล้ายสีทอง สมรสกับนางสาวบุญนะ โพธิหิรัญ บุตรีของกํานันสนิท โพธิหิรัญ กับนางลําจียก
โพธิหริ ญั ซง่ึ ประกอบอาชีพปี่พาทย์ นายแจ้งและนางบุญนะ มี บุตร ธดิ า ท้งั สน้ิ จํานวน 6 คน เปน็ ชาย 2 คน หญิง
4 คน
ประวัตดิ า้ นการศกึ ษาและดา้ นศลิ ปะการแสดง
นายแจ้ง คลา้ ยสีทอง เกดิ ในตระกลู ศิลปิน คุณตา เป็นนกั สวดคฤหสั ถ์ บิดาเป็นผู้แสดงโขน พากย์โขน และ
เป็นตลกโขนท่ีมีช่ือเสียงในคณะโขนวัดดอนกลาง จังหวัดสุพรรณบุรี มารดาเป็นนักร้องเพลงไทยเดิม และแม่เพลง
พ้ืนบ้านผู้มีนํ้าเสียงไพเราะย่ิง รวมท้ังญาติพ่ีน้องอื่น ๆ ก็เป็นศิลปินพื้นบ้านที่จังหวัดสุพรรณบุรีด้วยกันทั้งหมด
นาย แจ้ง คล้ายสีทองติดตาม บิดา มารดา ไปตามงานแสดงต่าง ๆ และเริ่มการแสดงตั้งแต่ยังเยาว์วัย เม่ือถึงวัย
ศึกษาเลา่ เรยี น บดิ าไดส้ ง่ ไปเป็นลูกศษิ ย์คณุ ตาท่วี ดั โบสถด์ อนลําแพน และเรยี นหนังสือจนจบช้ันประถมศึกษาปีที่ 4
ซ่ึงเป็นชั้นสูงสุด ของโรงเรียนในขณะน้ัน เม่ือบิดาถึงแก่กรรม มารดาได้กลับมาอยู่ท่ีบ้านเดิม ต่อมาเมื่ออายุ 11 ปี
นายแคล้ว คล้ายจินดา ครูดนตรีไทย เจ้าของวงดนตรีป่ีพาทย์ ตําบลบ้านกุ่ม อําเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี
ซ่ึงอยู่คนละฝั่งแม่น้ําท่าจีน ได้มาติดต่อกับมารดาเพ่ือจะขอรับนายแจ้ง คล้ายสีทอง ไปเป็นลูกศิษย์เพราะเห็นว่ามี
ชอบและพรสวรรค์ด้านดนตรีไทย นายแจ้งเล่าว่า “ครูแคล้วเขาเห็นเวลามีป่ีพาทย์ ฉันจะน่ังหลังวงดูเขาตีบรรเลง
พอกลับบ้านกห็ ากะลามาทาํ เปน็ วงฆ้องเคาะไปเรือ่ ย” นายแจง้ ไดย้ า้ ย ไปอยทู่ ่ีบ้านนายแคล้ว คล้ายจินดา เพ่ือจะได้
มีเวลาเรียนดนตรีอย่างเต็มที่ เริ่มแรกได้ฝึกเรียนฆ้องวง ต่อมาได้ฝึกเรียนเคร่ืองดนตรีอื่น ๆ จนสามารถบรรเลงได้
ทุกชนิด ต่อมา ในวงดนตรีของ นายแคล้ว ขาดนักร้อง เด็กชายแจ้งจึงมีโอกาสได้เร่ิมฝึกหัดขับร้องเพลงกับ นาย
เฉลิม คล้ายจินดา ซ่ึงเป็นบุตรชายของนายแคล้ว โดยเริ่มจากเพลง 2 ช้ัน และเพลงตับราชาธิราช [ ตอนสมิง
พระรามหนี ] เม่ือนายแจ้ง อายุได้ 14 ปี มารดาก็ตามกลับบ้าน อีกครั้งหน่ึง แต่ก็ยังติดต่อและร่วมงานกับนาย
แคลว้ อยู่เป็นประจํา และได้เป็นนักร้องวงดนตรีของนายแคล้ว โดยเป็นนักร้องที่อายุน้อยกว่านักร้องท่านอ่ืน ๆ ใน
สมัยเดียวกัน ซึ่งอยู่ในวัยเดียวกันกับมารดา การร้องเพลงในสมัยก่อนน้ันนายแจ้งค่าตัว 6 สลึง ผู้ใหญ่ได้ค่าตัว 2
บาท แตน่ ายแจง้ มกั ได้รางวัลจากคนดูต่างหาก เสร็จงานแล้วบางคืนได้ถึง 30-40 บาท ซึ่งในสมัยนั้นทองราคาเพียง
บาทละ 600 บาท เมื่อนายแจ้งอายุได้ 16 ปี ได้ติดตามนายสนิท โพธ์ิหิรัญ บิดาของภรรยาเข้ามาทํางานใน
กรุงเทพฯ เพราะทํานาแล้วล้ม ๆ ลุก ๆ ได้บ้างไม่ได้บ้าง เม่ือเข้ามาในกรุงเทพมหานคร ก็ได้มาทํางานในคลังแสง
กองยกกระบัตร สะพานแดง บางซ่ือ ซ่ึงการทํางานครั้งนั้นต้อง งดรับงานร้องเพลงและงานบรรเลงดนตรีทั้งหมด
แต่ก็ไดม้ โี อกาสตอ่ เพลง “ตน้ วรเชษฐ์” กบั ครูดนตรี แตต่ ่อได้ท่อนเดียวพออายุครบ 21 ปี นายแจง้ คล้ายสีทอง เข้า
รับการเกณฑ์ทหารและเข้าประจําการหน่วยเสนารักษ์ ไปเป็นทหารอีก 1 ปี 6 เดือน แถว ๆ กองพันทหารราบ 11
ทําให้ห่างจากปี่พาทย์ไปเป็นปี ๆ นายแจ้งเล่าว่า ตอนน้ันยังไม่คิดถึงดนตรีป่ีพาทย์ เพราะยังไม่เอาจริงเอาจัง ร้อง
เล่น ๆ เท่านั้น แต่ทําป่ีพาทย์วิทยุด้วย ในระยะนั้นเมื่อมีเวลาว่างหรือได้ลาพักผ่อน ก็มักติดตามนายสืบสุด [ ไก่ ] ดุ
ริยประณีต และ จ.ส.อ.สมชาย [ หมัด ] บุตรชายนาย ช้ัน ดุริยประณีต นางแถม ดุริยประณีต เป็นประจํา เมื่อผู้
58
บรรเลงเครื่อง ดนตรีบางชิ้นว่างลงหรือไม่มา นายแจ้ง คล้ายสีทอง จะบรรเลงแทน และสามารถบรรเลงได้ดีทุก ๆ
หน้าที่ ต้ังแต่การบรรเลงเครื่องดนตรี ประกอบจังหวะจนถึงระนาดเอก และระนาดทุ้ม ในการบรรเลงแต่ละครั้ง
ได้รับเงินค่าจ้างประมาณ 40-50 บาท เม่ือปลดประจําการเป็น ทหารกองหนุนแล้ว นายสืบสุด ดุริยประณีต ได้
ชักชวนให้เข้าเป็นนักดนตรีวงดุริยะประณีตหรือวงบ้านบางลําพู ในช่วงที่ครูแจ้งอยู่วงดนตรีดุริยประณีตนั้น ซ่ึงตรง
กับสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นยุคสมัยที่มีการสนับสนุนให้แสดงลิเก ซึ่งได้เปลี่ยนเรียกว่า
นาฏดนตรี มีการแสดงสดส่งกระจายเสียงตามวิทยุต่าง ๆ จนเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย ลิเกหลายคณะได้ใช้วงป่ี
พาทยว์ งดรุ ยิ ประณตี หรอื วงบ้านบางลําพูในการบรรเลง ต่อมาครูแจง้ ก็ได้เลอื่ นเปน็ นายวง และเปน็ คนตีระนาดเอก
เอง ส่วนใหญจ่ ะแสดงประจําสถานีวิทยทุ ก่ี รมการรักษาดินแดนและเมอื่ คณะลเิ กขาดตัวแสดงตัวใดตัวหนึ่ง ครูแจ้งก็
มักจะเป็นผู้แสดงแทน ซึ่งครแู จง้ สามารถแสดงไดด้ ีทุกตัว จนบางคณะตอ้ งติดต่อให้ครูแจ้งแสดงเป็นพระเอก โดยใช้
ช่ือในการแสดงลิเกว่า “อรุณ คล้ายสีทอง” ในยุคแรก ๆ ของสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 บางขุนพรหม วงดนตรีดุริย
ประณีตได้มีโอกาสบรรเลงดนตรีไทยออกอากาศอยู่เป็นประจํา มีนายสุพจน์ [ ป๊ืด ] โตสง่า นางแม้น โตสง่า สามี
นางดวงเนตร [ น้อย ] บุตรสาวนางแช่มช้อย [ ดุริยประณีต ] นายเหน่ียว ดุริยพันธ์ [20]และเป็นบิดาของ ณรงค์
ฤทธิ์ [ ปอง ] โตสงา่ [ ขุนอิน] [21] [22] และชัยยุทธ [ ป๋อม ] โตสง่า เป็นผู้บรรเลงระนาดเอก ในการร้องบรรเลง
การสวมรบั และการส่งรอ้ งเพลงบุหลันเถา เฉพาะในตอน 2 ชั้น และช้ันเดยี ว ปรากฏว่าผู้ร้องไม่มา นายแจ้ง คล้าย
สีทอง จึงได้ร้องเพลงแทน [ ข้อมูลบางแห่งระบุว่าร้องอยู่ท่ีบ้านดุริยประณีต ] มีครูผู้ใหญ่น่ังฟงั กันหลายคน และได้
กล่าวชมน้ําเสียงขับร้องว่าเหมาะสม แต่ควรปรับปรุงวิธีการร้องและ ลีลาการร้อง ครูโชติ ดุริยประณีต ได้ยินเข้าก็
บอกวา่ “แจง้ เสยี งดี ฉันจะปน้ั แจง้ นี่ล่ะ” แล้วครูโชติก็ให้กับ ครูสุดา [ เชื่อม ] เขียววิจิตร ต่อเพลงให้ร้อง วันรุ่งขึ้น
นายแจ้งเอาดอกไม้ธูปเทียนมาไหว้ครูเช่ือม ครูให้ต่อเพลง โดยเพลงแรกท่ีฝีกร้องก็คือเพลง “เขมรราชบุรีสามชั้น”
ตอนทฝ่ี ึกตอนแรก ๆ เฉพาะท่อน “ชะรอยกรรมจําพราก” ท่อนเดียวร้องอยู่เกือบเดือน พอได้แล้วค่อยไปอีกหน่อย
ทั้งเพลงใช้เวลาเดือนกว่า เพราะถ้าร้องไม่ได้อารมณ์ ครูไม่ต่อเพลงให้ ต่อจากน้ันก็ได้มีการต่อเพลงอ่ืน ๆ อีกหลาย
เพลง จนสามารถนําไปร้องเข้ากับวงดนตรีในงานต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี และมีความไพเราะ เนื่องจากมีพรสวรรค์
ทางด้านเสียงอยแู่ ล้ว เมอื่ ไดร้ บั การ ฝกึ หัดอยา่ งถกู วธิ ี ก็ฝึกได้อย่างรวดเร็ว และสามารถขบั ร้องได้ดมี ากข้นึ
หลงั จากต่อเพลงไดม้ า 4 - 5 เพลง ในปี 2506 ครูแจง้ กเ็ ลา่ วา่ ก็มีคนส่งเข้าประกวดรอ้ งเพลงของสถานีวิทยุ
ว.ป.ถ.กรมการทหารสื่อสาร ใช้ช่ือว่า“อภัย”เขา้ ไปอัดเสียงอยู่ 2 หน 4 เพลง ให้กรรมการฟังเสียง เคาะเป๊งต้องร้อง
ให้ตรงเสียง ผิดเสียงไม่ได้ โดนตัดคะแนน คร้ังนั้นครูแจ้งได้ที่ 1 พอประกวดได้ที่ 1 ก็มีชื่อเสียงเป็นท่ีโด่งดัง ท้ัง
ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตํารวจ มาติดต่อครุแจ้งให้ไปเข้าวงดนตรี ครุแจ้งจะไปแล้วแต่พอครูโชติรู้เข้าก็
บอกว่าอย่าไป และไปฝากไว้กับ นายธนิต อยู่โพธ์ิ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร ครูโชติบอกว่าไม่ต้องการให้ไปอยู่วง
เพลงไทยสากล โดยอธิบายว่าถ้าไปก็ร้องได้แต่เพลงเถา ร้องส่งปี่พาทย์ไม่ได้อะไร ถ้าอยู่กรมศิลปากรจะได้หมดท้ัง
โขน ละคร ฟอ้ น รํา เห่ ขับ กล่อม
รับราชการในกรมศลิ ปากร
พ.ศ. 2508 นายแจ้ง ให้เข้ามารับราชการ ท่ีกรมศิลปากร และเม่ือเวลานาย ธนิต อยู่โพธิ์ไปราชการที่ใด
ท่านก็จะเอาทั้งอาจารย์ เสรี หวังในธรรม ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2531 สาขาศิลปะการแสดง [ ศิลปการละคร ]และ
นายแจ้งไปไหนมาไหนด้วยตลอดกันตลอดไม่ว่าจะเป็นในประเทศไทย หรือจะเป็นต่างประเทศนายแจ้งเร่ิมต้นเข้า
รับราชการในตําแหน่งคีตศิลปินจัตวา หรือตําแหน่งขับร้องเพลงไทย แผนกดุริยางค์ไทย กองการสังคีต กรม
ศิลปากร เมื่อเข้ามาอยู่ที่กรมศิลปากรซึ่งมีแต่ครูชั้นเลิศท้ังน้ัน มีทั้งครูท่ีสอนนายแจ้งมาก่อน และยังมีครูเหน่ียว
ดุริยพันธ์ น้องเขยครูโชติและพ่อตานายสุพจน์ โตสง่า ครูท้วม ประสิทธิกุล ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2529 สาขา
ศิลปะการแสดง [ ดนตรีไทย ครูนิภา อภัยวงศ์ ครูสงัด ยมะคุปต์สามีครูลมุล ยมะคุปต์ ครูเสรี หวังในธรรม เข้าไป
59
ต้องฝึกหมดทุกอย่าง แต่ไม่ต้องเก่งหมด เพราะคนเราไม่ได้เก่งไปทุกด้านการทํางานในระยะแรก นายแจ้งต้อง
ปรบั ปรงุ การรอ้ งเพลงใหม่ เพราะจะตอ้ งร้องให้เข้ากับบทบาทตัวละครท่ีกําลังแสดง เมื่อเข้าไปต้องฝึกหมดทุกอย่าง
แต่ไม่ตอ้ งเก่งหมด เพราะคนเราไม่ไดเ้ ก่งไปทกุ ด้าน ดว้ ยความอตุ สาหะและ เอาใจใส่กส็ ามารถปฏิบัตไิ ดอ้ ยา่ งถกู ต้อง
นอกจากน้ียัง พยายามฝกึ ฝนหาความรู้เพิม่ เติมอยเู่ สมอ โดยการฝึกหัดร้องเพลงและศึกษาการขับร้องของ ครูดนตรี
รุ่นเก่า ท่ีมีชื่อเสียง เพ่ือเป็นแนวทางการ ขับร้องให้ดียิ่งข้ึน บุคคลที่นายแจ้ง คล้ายสีทอง ให้ความเคารพนับถืออีก
ท่านหน่ึง คือนายเสรี หวังในธรรม ผู้ให้การสนับสนุนแนะนําวิธีการร้องต่าง ๆ แก่นายแจ้งตลอดมาช่วงชีวิตใน
ขณะที่รับราชการครูแจ้งฯ มีภารกิจที่รัฐบาลได้ส่งไปทํางานเกือบทุกจังหวัดทั่วประเทศ และบางครั้งก็ได้มีโอกาส
เดินทางไปปักก่ิง ในสมัยท่ีหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธ์ิ ปราโมชศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2528 สาขาวรรณศิลป์ เป็น
นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปแลกเปลี่ยน ศิลปวัฒนธรรม กับประเทศจีน ท่ีนั่น ได้ไปร้องโขน ร้องละครโชว์การพูด
ของครูแจ้ง จะมีจังหวะจะโคน เพราะจะค่อย ๆ พูด เป็นคนอารมณ์อ่อนไหว ต้องพยายามควบคุมตัวเอง สมัยกอ่ น
ครูแจ้งก็ใจร้อน เคยด่าอธิบดีมาก่อน ครูแจ้งเคยทําละครร่วมกันกับ ครู ส.อาสนจินดา ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2533
สาขาศิลปะการแสดงภาพยนตร์และละคร[10] ส่วนพระเอกจะเป็น ชรินทร์ นันทนาคร ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2541
สาขาศลิ ปะการแสดงดนตรสี ากล[11] ส่วนว่าถ้าเป็นบทเข้าพระเข้านาง ก็จะเป็นหน้าที่ของ ชรินทร์ฯ แต่ถ้าเป็นบท
ตอนเวลาออกรบ ครู ส.จะออกรบแทน ครูแจ้งเคยแนะนํา ครู ส.อาสนจินดา ถึง ละครที่สร้าง เมื่อกรมศิลปากรมี
การจัดการแสดงเรอ่ื ง"ผชู้ นะสบิ ทศิ " ครุแจง้ กเ็ คยแนะนาํ ปกรณ์ พรพิสุทธ์ิ ให้ร้องละคร และแนะนําให้ อาจารย์เสรี
ว่าเวลาร้องละครผู้ชนะสิบทิศ ควรจะร้องให้น้อยหน่อย พูดมากหน่อย แนะนําและให้คิดบทพูดเอาเอง แทนที่จะ
เป็นการท่องบท ต้ังแต่วันน้ันจนถึงปัจจุบัน เลยมีบทพูดมากกว่าร้อง จริง ๆ อ.เสรี จะเป็นคนดื้อ ไม่ฟังใคร แต่
ครแู จง้ จะพดู เฉย ๆ จะเชื่อหรอื ไม่เช่อื กแ็ ลว้ แต่ แตท่ ําไปแลว้ ก็ทําให้คนดลู ะครชอบมาก
การขบั เสภา
การขับและขยับกรับเสภา นายแจ้งสามารถขับร้องได้อย่างไพเราะพร้อมการขยับกรับไปด้วยกัน โดย
นายแจ้งได้ครูโชติ ดุรยิ ประณีต เป็นผฝู้ กึ หดั ให้ เร่มิ ต้งั แต่วิธี จบั ไมก้ รับเสภา ซง่ึ มีอยู่ 4 อัน หรือ 2 คู่ โดยถอื ไวใ้ นมอื
ด้านละ 1 คู่ เร่ิมขยับเสียงส้ันไปหาเสียงยาวคือเสียงกรด เสียงส้ันคือเสียงก๊อก แก๊บ เสียงยาวคือเสียงกรอ ขยับจน
คล่องดีแลว้ จงึ ตเี สียงกรอ้ แกร้ (เสียงกรอ) ต่อจากนัน้ ตีไม้สกัดสั้น ไดแ้ ก่เสียงแกร้ แกบ๊ และไมส้ กดั ยาวคอื เสยี งกรอ้
แกร้ กร้อ แกร้ แก๊บ ใช้สําหรับตอนหมดช่วงของการขับเสภา และในระหว่างขับ ส่วนไม้กรอใช้สําหรับ ขับครวญ
เสียงโหยไห้และใกล้หมดช่วงของขับเสภา นายแจ้งฝึกจนสามารถ ขับและขยับกรับเสภาได้ โดยขับในละครเร่ือง
ไกรทองแต่ยังไม่ทันไดต้ อ่ ไม้เสภาอ่ืน ๆ ต่อไป นายโชติ ดุริยะประณีต ก็ถึงแก่กรรม และต่อมานายแจ้งได้เรียนขยับ
กรบั กับอาจารย์มนตรี ตราโมท ศลิ ปินแหง่ ชาติ พ.ศ. 2528 สาขาศลิ ปะการแสดงดนตรีไทย ซึ่งรับราชการอยู่ในกรม
ศิลปากร อ.มนตรีท่านได้กรุณาบอกไม้เสภาที่ยังไม่ได้ ได้แก่ ไม้รบ ใช้สําหรับบทดุดันหรือการต่อสู้ และไม้สอง
ใช้สําหรับชมธรรมชาตหิ รือดาํ เนนิ ทาํ นองเพลง 2 ช้ัน และบทดําเนินเร่ือง
ในงานพิธีไหว้ครูประจําปีของแผนกดุริยางค์ไทย กองการสังคีต กรมศิลปากร ครั้งหนึ่ง พระเจ้าบรมวงศ์
เธอพระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร (พระองค์ชายกลาง) องค์อุปถัมภ์ศิลปิน ได้เสด็จมาในงานพร้อมด้วยนายเจือ
ขันธมาลา ผู้มีความสามารถในการขับร้องและขยับกรับเสภา นายเจือเป็นหลานและศิษย์ของ ท่านครูหม่ืนขับคํา
หวาน ท่านพระองค์ชายกลาง ได้มีพระเมตตาฝากฝังนายแจ้งให้เรียนเสภากับนายเจือ นายแจ้งจึงได้ วิธีการขับ
เสภาไหว้ครู รวมท้ังเกร็ดย่อยอ่ืน ๆ เพิ่มขึ้น และมีความชํานาญเช่ียวชาญมากข้ึน จนได้รับสมญาว่า “ช่างขับ
คําหอม” นายแจ้งได้เร่ิมขับเสภาอย่างจริงจังเมื่ออายุประมาณ 30 ปี นอกจากเรียนกับครูโชติ ครูสงัด ครูมนตรี
แลว้ กย็ ังฟงั เทปครูเหน่ียว กับครูหลวงเสียงเสนาะกรรณพัน มุกตวาภัย[14]ขับเสภา แล้วคอยจําเทคนิคไว้ ไปที่บ้าน
ครูเจือ ขันธมาลา ฟังครูเจือบอกไม้กรับ ฟังครูหมื่นขับคําหวานขับเสภา ครูหม่ืนขับคําหวานท่านขับเสภาตลก
60
ครูหลวงเสียงเสนาะกรรณจะขับเสภาเพราะหวานหู บทเข้าพระเข้านางต้องครูหลวงเสียงฯ ส่วนครูเหนี่ยวขับแบบ
นักเลง กระโชกโฮกฮาก เป็นบทหยิ่งผยอง นอกจากนี้ยังได้รับความ กรุณาจากนางท้วม ประสิทธิกุล ศิลปิน
แห่งชาติ พ.ศ. 2529 สาขาศิลปะการแสดงดนตรีไทย และนาย ประเวช กุมุท ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2532 สาขา
ศิลปะการแสดง [ ดนตรีไทย ] แนะวิธีปลีกย่อยให้นายแจ้ง จนได้มีโอกาสแสดงความสามารถและได้รับคําชมไปทั่ว
จนภายหลังได้รับการยกย่องว่า “เสียงดี ตีกรับอร่อย” เพลงหลัก ๆ ท่ีมีชื่อเสียงน้ันก็คือ การขับเสภาในละครเรื่อง
“ขุนช้าง ขุนแผน” ซึ่งนายแจ้งจะร้องเอง ขับเสภาเองหมด การขับเสภาของนายแจ้งนั้น นายแจ้งจะดูบท และเอา
แบบของครูแต่ละท่านมาใช้ให้ถูกจุด ครูแจ้งเล่าว่าอย่างร้องถึงคําว่า “แหวกม่าน” ต้องทําเสียงจินตนาการว่าค่อย
ๆ แหวกม่าน ไมใ่ ชพ่ รวดพราดแหวกมา่ น นางตกใจตายกันพอดี การขบั เสภาเป็นเรื่องของการใชเ้ สยี งแสดงอารมณ์
บอกเล่าเรื่องราวว่าเกิดอะไรข้ึน นายแจ้งเคยขับเสภาตอน "กําเนิดพลายงาม" ขับเสร็จหันไปดูคนฟัง ปรากฏว่านั่ง
ร้องไห้กันหลายคน นั่นคือการขับเสภาไปกระทบใจเขา นายแจ้งเคยร้องเอาเนื้อความเป็นใหญ่ สัมผัสลดน้อยลงไป
แต่ ม.ล.ป่ิน มาลากุล ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2530 สาขาวรรณศิลป์กวีนิพนธ์ ท่านบอกว่า ไม่ได้ ไม่ง้ันคนไทยจะมี
กลอนทําไม ต้องอ่านให้สัมผัสถึงจะเป็นกลอน ถ้าเอาเนื้อความเป็นใหญ่เขียนร้อยแก้วเสียก็หมดเร่ืองเลยต้องเอา
สัมผัสเปน็ ตัวตัง้ ความอยู่ทีหลัง ช่วงท่ี มล.ปิ่น มาลากุลเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในวันคล้ายวันเกิด
ของท่านทุก ๆ ปี ครูแจ้งมีหน้าท่ีต้องไปอ่านบทกลอนของ มล.ปิ่นให้ท่านฟัง ท่ี หออัครศิลปิน ท่านมักจะชอบเล่า
เร่ืองต่าง ๆ ให้ครูแจ้งฟัง บทที่ใช้ในการขับเสภาน้ัน นายแจ้งเอามาจากวรรณคดีทั้งหมด ต้องอ่านวรรณคดีทุกเรื่อง
ไม่มีเร่ืองไหนไม่เคยอ่าน หรือพระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ก็นํามาขับเสภาได้
บางคร้ังก็มีแต่งบทเสภาข้ึนใหม่ การขับเสภาสามารถขับได้ทุกงาน ใช้ขับได้ท้ังงานมงคล และอวหมงคล ต้ังแต่งาน
วันเกิด งานโกนจุก งานขึ้นบ้านใหม่ งานมงคลสมรส งานฉลองต่าง ๆ จนถึงงานตอนตายคืองานศพนั่นแหละ ซึ่งก็
ต้องแตง่ หรือนําบทขับเสภาในวรรณคดี ท่มี ีอยู่แล้ว นําเอามาใช้ขับให้เหมาะกับงานนั้น ๆ เช่น ถ้างานศพ ก็จะบอก
ถงึ คุณความดี ประวตั ิตา่ ง ๆ ของผตู้ าย
เกยี รติยศท่ภี าคภมู ิใจ
นายแจ้ง คล้ายสีทอง ได้ขับร้องเพลงถวายหน้าพระท่ีน่ังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จ
พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ณ ตําหนักเรือนต้นและท่ีอ่ืน ๆ เน่ืองในงาน พระราชทานเลี้ยงรับรองพระราช
อาคนั ตกุ ะสว่ นพระองค์เสมอ ๆ สมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชินีนาถ จะมพี ระราชเสาวนยี ์ให้นายแจ้ง ร้องเพลง
ท่โี ปรดเป็นพเิ ศษ อันได้แก่ เพลงลาวครวญ ลาวดวงเดือน ลาวคําหอม เป็นต้น และมพี ระราชกระแสรบั สัง่ ชมเชยว่า
ร้องเพราะเสยี งดี ยงั มีความปลาบปล้มื แกน่ ายแจง้ คล้ายสีทองเปน็ อยา่ งย่ิง
นอกจากน้ีได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานเหรียญราชรุจิ จากพระบาทสมเด็จ
พระเจา้ อยหู่ ัว เมอ่ื คราวขับไมป้ ระกอบ ซอสามสายในพระราชพิธีขนึ้ ระวาง สมโภชพระศรีนรารัฐราชกิริณี ทีจ่ ังหวัด
นราธิวาส เมื่อปี พ.ศ. 2520 และได้รับพระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ในงานพระราชพิธีข้ึนระวาง และสมโภชช้าง
สําคัญ 3 เชือกท่ีจังหวัดเพชรบุรี ปี พ.ศ. 2521 นับว่าเป็นผู้ขับร้องเพลงไทย คนสําคัญอีกคนหนึ่งของประเทศไทย
จากการที่ นาย แจ้ง คล้ายสีทอง ได้ทํางานสร้างสรรค์ศิลปะตลอดเวลา โดยการถ่ายทอดอารมณ์จากการตีกรับขับ
เสภาอันถือว่าเป็นงานละเอียดย่ิง จากประวัติชีวิตและผลงานดังกล่าว สํานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
จึงประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติให้ นายแจ้ง คล้ายสีทอง เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (คีตศิลป์) เมื่อ
วนั ท่ี 15 ธันวาคม พ.ศ. 2538
นายแจ้ง คลา้ ยสีทองเคยไดร้ บั รางวัลดีเด่นในด้าน การอนุรักษ์ภาษาไทยจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี ความสามารถด้านนี้ นายแจ้งบอกว่าก็เพราะการท่ีได้เป็นลูกศิษย์ก้นกุฎิอยู่บ้านตา จึงได้มี
โอกาส ฝึกด้านการใชภ้ าษา และการเปลง่ เสียงมาตง้ั แต่เด็ก ๆเม่ือวันท่ี 5 มิ.ย. พ.ศ. 2551 นายแจ้ง คล้ายสีทอง ได้
61
ขับเสภาหน้าพระทีน่ ่งั ในการแสดงดนตรไี ทยโดยครอู าวโุ สชายแหง่ กรุงรตั นโกสินทร์ เนอ่ื งในโอกาส สมเดจ็ พระเทพ
รัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๕๓ พรรษา พุทธศักราช ๒๕๕๑ ณ.ศูนย์วัฒนธรรม
แห่งประเทศไทย โดยสมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ เสด็จมาเป็นองค์ประธาน เน่ืองในโอกาส ทรงเจริญพระชนมายุ
53 พรรษา ในปี พ.ศ. 2551 โดยไดแ้ สดงในชดุ การแสดงท่ี 1 การขบั เสภา "กราบรําลึกถงึ องคแ์ กว้ กัลยา" โดยมี ผศ.
ไกรทอง โชติวุฒิพัฒนา และ ผศ.สุรพล สุวรรณ ร้อยกรองบท และขับร้องในการแสดงชุดที่ 5 เดี่ยวซอด้วง"เพลง
กราวใน" โดยมี ครูโกวิทย์ ขันธศิริ เป็นผู้เดี่ยวซอด้วง ครูอนันต์ ดุริยพันธ์ - เคร่ืองกํากับจังหวะหน้าทับ และครู
สมพงษ์ ภศู่ ร - ฉ่งิ
ถึงแกก่ รรม
ครูแจ้ง คล้ายสีทอง ศิลปินแห่งชาติ สาขาคีตศิลป์ ถึงแก่กรรมโดยสงบ ณ โรงพยาบาลศิริราช ประมาณ 9
นาฬิกา ใน วันอังคาร 16 มิถุนายน พ.ศ. 2552 เวลาประมาณ ๐๙.๐๐ น. ด้วยอาการโรคหัวใจแทรกซ้อนและเส้น
เลือดตีบฉับพลัน หลังจากท่ีล้มป่วยก่อนหน้าน้ีด้วยโรคเส้นเลือดในหัวใจตีบจนเป็นอัมพฤกษ์ ต้องเข้ารักษาตัวที่
โรงพยาบาลสุพรรณบุรีและย้ายมารักษาตัวท่ีโรงพยาบาลศิริราช ทางครอบครัวจะนําศพไปทําพิธีทางศาสนาท่ีวัด
ป่าเลไลยก์วรวิหาร [30]เลขท่ี ๒๔๙ หมู่ที่ ๒ ตําบลร้ัวใหญ่ อําเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ทางฝั่งด้าน
ทศิ ตะวนั ตกของแม่นา้ํ สพุ รรณ หรือ แม่น้ําทา่ จีน
เม่ือวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๓ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินไป
ในการพระราชทานเพลิงศพนายแจ้ง คล้ายสีทอง ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (คีตศิลป์ไทย) ณ ฌาปน
สถาน วดั ปา่ เลไลยว์ รวิหาร จงั หวัดสพุ รรณบรุ ี
4. ประวตั ิความเปน็ มาของ "บา้ นควาย"
หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทย หรือท่ีชาวบ้านเรียกกันง่ายๆ ว่า "บ้านควาย" จัดต้ังข้ึนเม่ือ วันท่ี 25 มีนาคม
พ.ศ.2545 ตั้งอยู่บนเน้ือที่ 70 ไร่ ติดถนนทางหลวงหมายเลข 340 ซ่ึงเป็นถนนสายหลักของอําเภอศรีประจันต์
จังหวัดสุพรรณบุรี บ้านควาย เป็นโครงการท่ีสะท้อนถึงวิถีการดํารงชีวิตของชาวไทยชนบทในสมัยก่อน ซึ่งมี
ความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกับควาย สําหรับการท่องเท่ียวของหมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทย เน้นการท่องเท่ียวแบบ
เชิงอนุรักษ์ อันดับที่ 1 คือเน้นอนุรักษ์เก่ียวกับเร่ืองควาย อันดับที่ 2 เกี่ยวกับเรื่องข้าว เพราะจังหวัดสุพรรณบุรี
ถอื ว่าเปน็ จงั หวัดทมี่ ีความโดดเดน่ ทางด้านเกษตรกรรม คอื การทาํ นา เป็นจงั หวดั ที่ผลติ ขา้ วติด 1 ใน 5 ของประเทศ
หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทย จึงเล็งเห็นความสําคัญของควาย ซึ่งอยู่คู่กับชาวนาไทยมาตั้งแต่สมัยดึกดําบรรพ์ ช่วยใน
เรื่องของการผลิตข้าว การทําไร่ ไถนา เพื่อเป็นอาหารป้อนให้กับคนทั้งประเทศ เป็นเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากของ
ชาวนาไทย ซึ่งสอดคล้องกับในยุคปัจจุบัน ถือว่าเคร่ืองจักรเข้ามาแทนที่ของควายหมดส้ินแล้ว ควายจึงหมด
ภาระหน้าที่ ในการทําไรไ่ ถนา ซ่ึงกระนั้นเองทําให้ควายลดจํานวนลงอยา่ งรวดเร็ว
หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทย จึงเป็นจุดหน่ึง ที่ช่วยให้ควายอยู่คู่กับชาวนาไทยตลอดไป อีกหน่ึงส่วนคือเป็น
โครงการที่สนองนโยบายของรัฐ โดยการสร้างงานสร้างรายได้ และสร้างโอกาสให้แก่ชุมชน และชุมชนใกล้เคียง ใน
การทํามาหากิน และประกอบอาชีพเพ่อื ยังชพี อย่างพอเพยี ง
62
กิจกรรมท่ี 2 การอนรุ ักษ์และสืบทอดวัฒนธรรม ประเพณใี นสพุ รรณบรุ ี
คําสั่ง ให้ผเู้ รียนตอบคาํ ถามตอ่ ไปน้ี
1. ให้ผู้เรียนจงยกตัวอย่าง วัฒนธรรม ประเพณี ที่น่าสนใจของจังหวัดสุพรรณบุรี มา 1 ประเพณี พร้อมทั้งบอกถึง
แนวทางการอนุรกั ษ์ มาพอเข้าใจ
…………………………………...................................................…………………………………………………………………………………
….....................................................................................................................................………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………….……………………….……………………………………………………………………………………………………………………..........
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
2. จงยกตวั อยา่ ง ผลงานของแม่ขวัญจติ ศรีประจันต์ ทีไ่ ดร้ ับรางวลั เชดิ ชเู กยี รติ และเป็น และเปน็ การสืบทอด
วัฒนธรรมประเพณี ของจังหวัดสพุ รรณบรุ ี
…………………………………...................................................…………………………………………………………………………………
….....................................................................................................................................………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………….……………………………………………………………………………………………………………………........
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
63
เรอ่ื งที่ 3 บคุ คลสาํ คญั ที่มสี ่วนรว่ มในการสบื สาน วัฒนธรรมประเพณใี นจงั หวดั สพุ รรณบุรี
1. ดา้ นศาสนา
1.1 สมเดจ็ พระสงั ฆราช(ปุ่นปุณณศริ ิ)
ช า ว สุ พ ร ร ณ ผู้ มี คุ ณู ป ก า ร แ ล ะ ส ร้ า ง ช่ื อ เ สี ย ง
เกียรติภูมิให้กับถ่ินฐานบ้านเกิดของท่าน ท่ีเป็นพระสังฆราชา
จนได้รับการสถาปนาสมณะศักด์ิสูงสุด ถึงสมเด็จพระสังฆราช
คือสมเดจ็ พระสังฆราชสกลมหาปรินายก องคท์ ่ี 17
(ปุ่น สขุ เจรญิ )
สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่นปุณณศิริ)ประสูติที่ตําบล
ต้นตาล อําเภอสองพ่ีน้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ทรงศึกษา
ปริยัติธรรม ได้เปรียญธรรม 6 ประโยค และยังมีความรู้
ด้านภาษาอังกฤษและภาษาจีนอีกด้วย ท่านเป็นพระภิกษุที่ชอบ
ศึกษาค้นคว้า ชอบฟังปาฐกถา จนมีความรู้กว้างขวาง และมี
ความสามารถ ด้านการประพันธ์ ปรากฏผลงานมากมาย เช่น
หน้ีกรรมหนี้เวร พุทธชยันตี ลิขิตสมเด็จ และยังเป็นองค์เทศนา
(ปฎิภาณ) ท่ีเป็นเยี่ยม ทรงได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระอริ
ยวงศาคตญาน สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาปริณายก องค์ที่ 17 เจ้าอาวาสวัดเชตุพนวิมลมังคลาราม
และอยู่ในพระสมณะศักด์ินี้จนสิ้นพระชนม์ เมื่อวันท่ี 7 ธันวาคม พ.ศ. 2516 อนุสรณ์สถานท่ีชาวสุพรรณยัง
ระลึกถึง พระคุณของท่านจวบจนทุกวันนี้คือ การสร้างโรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 17 ข้ึน ท่ีบ้านเกิด
ของทา่ น คืออาํ เภอสองพ่ีน้อง จังหวัดสุพรรณบุรี
1.2 พระครูสวุ รรณวสิ ทุ ธิ์ (หลวงปูเ่ จรญิ )
อุปสมบทเมอ่ื วนั ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2471 ทว่ี ัดลานช้าง
ตําบลหลักแก้ว อําเภอวิเศษไชยชาญ จังหวัดอ่างทอง หลังจาก
อุ ป ส ม บ ท ไ ด้ เ ดิ น ท า ง ก ลั บ ม า จํ า พ ร ร ษ า ยั ง วั ด สุ ว ร ร ณ ภู มิ
อําเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อศึกษาเล่าเรียน พ.ศ. 2476
หลวงพ่อเจริญ ได้เดินทางเยี่ยมญาติที่บ้านหนองนา แล้วได้เห็น
พืน้ ที่หมู่บ้านหนองนามีทําเลเหมาะแก่การสร้างวัด ประกอบกับ
บ้านหนองนามีจํานวนประชากรมาก เวลาจะบําเพ็ญกุศลกันที
ต้องเดินทางไปยังวัดที่อยู่หมู่บ้านอื่นซึ่งไกลกันมากไม่สะดวก
ท่านจึงปรึกษากบั ชาวบา้ น ชาวบา้ นกเ็ หน็ ดดี ว้ ยแล้วชาวบ้านก็ได้
ร่วมกันถวายท่ีดินให้สร้างวัดตามประสงค์แล้วจึงนิมนต์หลวงปู่
เจริญมาดํารงตําแหน่งเจ้าอาวาสวัดธัญญวารี ซึ่งในขณะนั้นเป็น
สาํ นกั สงฆท์ ิพยวารี (ชื่อเดมิ ของวัดสมัยแรกเรม่ิ ต้ัง) และชาวบ้าน
ยังได้ไปอาราธนาพระอธิการแต้ม วัดสําปะซิว (ภายหลังดํารงตําแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระลอย) มาร่วมช่วยกัน
ก่อสร้างและพัฒนาวัดนี้ขึ้นด้วย ในปีแรก พ.ศ.2477 นับเป็นพรรษาแรก มีพระภิกษุจําพรรษาอยู่ทั้งหมด 8 รูป
หลวงพ่อแต้ม หลวงพ่อเจริญ และพระที่อยู่จําพรรษาด้วยกันพร้อมด้วยชาวบ้านได้เร่ิมก่อสร้างวัดข้ึน โดย
64
หลวงพ่อเจริญและหลวงพ่อแต้มได้ใช้ความรู้ในเรื่องการก่อสร้าง (ช่างก่อสร้าง) ท่ีเรียนมาจากหลวงปู่โต๊ะ แล้ว
หลังจากออกพรรษาแล้ว หลวงพ่อแต้มก็กลับไปดํารงตําแหน่งเจ้าอาวาสวัดสําปะซิวดังเดิม เม่ือ พ.ศ.2480
พระวิบูลย์เมธาจารย์ วัดปราสาททอง (เจ้าคณะจังหวัดสมัยนั้น) ได้แต่งตั้งให้หลวงพ่อเจริญ ดํารงตําแหน่งเจ้า
อาวาสวัดทิพยวารี (ช่ือเดิม) อย่างเป็นทางการ ซึง่ นับว่าเป็นเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดน้ี หลังจากได้รับการแต่งตั้งให้
เป็นเจ้าอาวาสแล้ว หลวงพ่อเจริญท่านก็ได้สร้างเสนาสนะและถาวรวัตถุท่ีทําสังฌกรรมสงฆ์ และส่ิงก่อสร้างต่าง ๆ
มากมาย พ.ศ.2481 หลวงพ่อเจริญได้ปรึกษากับศิษย์ว่า การท่ีทางวัดเปิดสอนหนังสือแก่เด็กน้ัน (โดยแรกเริ่มหลวง
ปู่เจริญน้ันเป็นผู้สอนเอง ภายหลังภาระการก่อสร้างวัดมากขึ้น จึงต้องจ้างครูมาสอนแทน) มีเด็กอีกมากมายที่ยังไม่
มีความรู้ หลวงปเู่ จริญจดั ตง้ั เปน็ โรงเรียนและมคี รูสอนอยา่ งมาตรฐานจึงทาํ เรอื่ งขออนุญาตทางราชการเปิดโรงเรียน
ประชาบาลขึ้น พ.ศ.2482 โดยใช้ช่ือเดียวกับวัด แต่มีความเห็นว่า ชื่อของวัดทิพยวารียังไม่เหมาะสมที่จะนํามาเป็น
ชื่อโรงเรียนเพราะว่า ไม่สอดคล้องกับช่ือของหมู่บ้าน (หนองนา) จึงขอให้ทางวัดและโรงเรียนใช้ช่ือว่า วัดธัญญวารี
อันมีความหมายสอดคล้องกับช่ือหมู่บ้านหนองนา ดังน้ันหลวงพ่อเจริญจึงส่งเรื่องถึงคณะสงฆ์ขอเปล่ียนช่ือวัดเป็น
วัดธญั ญวารี พ.ศ.2483 ทางวัดได้ยืน่ เรอ่ื งขอพระราชทานวสิ งุ คามสมี าต่อทางราชการ จวบจน พ.ศ. 2486 ได้ทําพิธี
ปักเขตวิสุงคามสีมา วัดธัญญวารี ได้ดําเนินการก่อสร้างข้ึนมาต้ังแต่ พ.ศ.2477 จวบจนปัจจุบัน (พ.ศ.2553) เป็น
เวลา 76 ปี ได้รับเป็นวัดพัฒนาตัวอย่างเป็นวัดดีเด่นก็ด้วยเพราะหลวงปู่เจริญและความร่วมมือของผู้มีส่วนร่วมทุก
ๆ ทา่ น จวบจนปัจจบุ ันเป็นวดั ท่ีใหญ่วัดหน่ึงในเมืองสุพรรณ พระครูสุวรรณวิสุทธิ์ (หลวงปู่เจริญ) มรณภาพด้วยโรค
ชราในวนั ท่ี 17 มกราคม พ.ศ.2545 สิรอิ ายุ 93 ปี 72 พรรษา
1.3 หลวงพ่อม่ยุ พธุ รกั ขโิ ต
ท่านเกิดเม่ือปี พ.ศ. 2437 ในแผ่นดินรัชกาลที่ 5
ณ บ้านดอนไร่ ตําบลหนองสะเดา อําเภอสามชุก จังหวัด
สุพรรณบุรี เป็นบุตรคนที่ 3 ในจํานวนพี่น้อง 5 คนของ
นายเหมือนและนางซ้ง มีศรีชัย เม่ือมีอายุครบบวชได้
อุ ป ส ม บ ท เ ป็ น พ ร ะ ภิ ก ษุ ณ วั ด ท่ า ช้ า ง อํ า เ ภ อ
เดิมบางนางบวช แต่อุปสมบทได้เพียง 10 พรรษา
ก็ลาสิกขาออกไปช่วยบิดามารดาทํางาน ได้อุปสมบทคร้ังท่ี
2 ณ วัดดอนบุปผาราม (วัดตะค่า) ตําบลบ้านกร่าง อําเภอ
ศ รี ป ร ะ จั น ท ร์ เ ม่ื อ วั น ที่ 2 5 มี น า ค ม พ . ศ . 2 4 7 2
โดยมีพระครูธรรมสารรักษา (อ้น) วัดดอนบุปผาราม
เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อทวน วัดบ้านกร่างเป็น
พ ร ะ ก ร ร ม ว า จ า จ า ร ย์ แ ล ะ พ ร ะ อ า จ า ร ย์ กุ ล
วัดดอนบุปผาราม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า
พุทฺธรักขิโต จําพรรษาอยู่ท่ีวัดหนองสะเดาได้ 3 เดือน จึงได้ย้ายมาจําพรรษาที่วัดหัวเขา และย้ายไปยังวัดปู่บัว
ก่อนกลบั มาจําพรรษาอยทู่ ีว่ ดั ดอนไร่ อันเป็นวัดทช่ี าวบ้านร่วมกันสร้างข้ึนมาเมื่อปีพ.ศ. 2465 เม่ือสร้างเสร็จแล้วได้
นมิ นตห์ ลวงพอ่ มยุ่ มาเป็นเจ้าอาวาสรูปแรก และได้รับการแต่งต้ังเป็นเจ้าคณะตําบลหนองสะเดา เป็นพระอุปัชฌาย์
และได้รับพระสมณะศักดิ์เป็น พระครูสุวรรณวุฒาจารย์ด้วยความที่เป็นพระเคร่งครัดในพระธรรมวินัย ขยันใน
การศึกษาหาความรูท้ กุ ด้านโดยเฉพาะในเรอ่ื งตวั เลขอกั ขระยันต์ คาถาอาคมของทา่ นเข้มขลังย่ิงนัก ทาํ ใหว้ ัตถมุ งคล
ของหลวงพ่อม่ยุ ทุกรุ่นได้รับความนิยมจากนักสะสมอย่างมาก อาทิเช่น รูปเหมือนป๊ัมลอยองค์ร่นุ แรกปี พ.ศ. 2497
ตะกรุดธงมหาราช ผ้ายันต์ แหนบ สิงห์ แหวน เหรียญเสมาปี พ.ศ. 2493 รูปถ่ายภาพขาวดําเหรียญรูปเหมือน
65
พระสมเด็จตะกรุดสามกษัตริย์ ฯลฯ ท่านถึงแก่มรณภาพเมื่อวันท่ี 15 มกราคม พ.ศ. 2517 ในแผ่นดิน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ วั รัชกาลปัจจุบัน รวมสริ ิอายไุ ด้ 86 ปี บวชพระมาได้ 41 พรรษา
1.4 หลวงพ่อเนียม วดั นอ้ ย
ชาติภูมิชาวสุพรรณบุรี บิดาเป็นชาวบ้านซ่อง ตําบล
มดแดง อําเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ไม่ทราบชื่อ
ส่วนมารดาเป็นชาวบ้านป่าพฤกษ์ อําเภอบางปลาม้า จังหวัด
สุพรรณบุรี ชือ่ ว่า เนือ่ ง หลวงพอ่ เนยี มมพี นี่ อ้ งรว่ มอุทรเดยี วกนั
หลายคน แต่ไม่ทราบชื่อ ทราบเพียงว่าหนึ่งในนั้นมีพี่สาวช่ือว่า
จาดหลวงพ่อเนียมท่านเกิดเมื่อปี พ.ศ. 2370 ตรงกับรัชสมัย
ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ บ้านป่าพฤกษ์
ตําบลตะค่า อําเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี ต่อมาท่าน
บรรพชาเป็นสามเณร กระทั่งอายุครบเกณฑ์อุปสมบท
จึงอปุ สมบท (สันนษิ ฐานวา่ เป็นวดั ปา่ พฤกษ์ อันเป็นวัดบ้านเกิด
ใกล้บ้านท่าน) ภายหลังได้ศึกษาพระธรรมวินัยและมูลกัจจายน์
ท่ีวัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพมหานคร (ดังปรากฏหลักฐานนามท่านในบัญชีรายนามพระภิกษุท่ี
จําวัดมหาธาตุฯ) และสันนิษฐานกันว่าท่านเคยไปพํานักจําพรรษา ศึกษาวิชาความรู้จากวัดระฆังโฆษิตาราม
ในสมัยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โตพรหมฺรังษี) อีกด้วย กระท่ังเม่ือมีอายุประมาณ40ปีจึงเดินทางกลับบ้านเกิด
จําพรรษาอยู่วัดรอเจริญ เกิดขัดกับเจ้าอาวาส สุดท้ายจึงย้ายมาจําพรรษาอยู่วัดน้อย บูรณปฏิสังขรณ์วัดน้อยจาก
วัดร้าง ให้เป็นวัดท่ีเจริญข้ึนมาใหม่ หลวงพ่อเนียมมีความสนใจในทางวิปัสสนาธุระ ท่านช่วยให้การศึกษาแก่
ศิษยานุศิษย์อย่างเต็มที่ ท่านมีชื่อเสียงในการรักษาโรคต่างๆ สามารถมองเห็นเหตุการณ์ต่างๆข้างหน้าได้อย่าง
ตาทพิ ย์ การถ่ายรูปท่านวา่ กนั ว่าถา่ ยไม่ติด พระเณรท่ีประพฤติผิดวินัย ท่านสามารถทราบได้เองโดยไม่ต้องมีใครมา
บอกท่านมีเรื่องเล่าในกฤษดาอภินิหารต่างๆ ท่านเป็นผู้ท่ีความเมตตาต่อสัตว์ทุกชนิด กิจวัตรของท่านก็คือ ต่ืนแต่
เช้ามืด ครองจีวรแล้วปลงอาบัติ เสร็จแล้วน่ังสนทนากับพระภิกษุในวัดเป็นการอบรมไปในตัว พ่อรุ่งเช้าจึงออก
บณิ ฑบาตโปรดญาตโิ ยม กลับมาฉนั ภตั ตาหาร แลว้ จะนําอาหารไปเล้ียงสตั วต์ ่างๆทีเ่ ขา้ มาพ่งึ พาอาศยั วดั
ทา่ นมรณภาพในลักษณะคล้ายพระพทุ ธรูปปางไสยาสน์นับเปน็ พระสงฆ์องค์แรกของประเทศไทย เมื่อวันที่
17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2450 ตรงกับปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สิริอายุได้ 80 ปี
อยู่ในสมณะเพศได้ 60 พรรษาโดยที่มีพระหลวงปู่บุญวัดกลางบางแก้วสมัยคุมมณฑลนครชัยศรี และ
พระสงั ฆราช แพ สมยั ทา่ นดํารงตําแหนง่ พระธรรมโกศาจารย์ เจา้ คณะมณฑลนครชยั ศรี มาในงานประชมุ เพลงิ ด้วย
ในดา้ นพระเครอ่ื งนนั้ เปน็ ทโี่ ดง่ ดงั ทัว่ สารทศิ เปน็ ท่ีรู้จกั ท้ังในและนอกวงการพระเครอื่ งว่ามคี ณุ วเิ ศษมากมายในดา้ น
แคล้วคลาด คงกระพนั และเมตตามหานิยม
66
1.5 ประวัติ หลวงพ่อ สมบญุ ปยิ ธมโม
วัดลําพันบอง อําเภอหนองหญ้าไซ จังหวัด
สุพรรณบุรี พระครูสุวรรณธรรมานุยุต ( ลพ.สมบุญ
ปิยธมโม ) เจ้าอาวาส วัดลําพันบอง ตําบลหนองโพธิ์
อําเภอหนองหญ้าไซ จังหวัดสุพรรณบุรี อายุ 92 ปี 71
พรรษา โยมบิดาชื่อนาย คํา โยมมารดาชื่อ นางถิน
ชมชื่น ( ชาวลาว ) อาชีพทํานา ในวัยเด็ก ลพ. สมบุญฯ
ท่านต้องช่วยโยมบิดาและโยมมารดาทํานามาโดยตลอด
ท่านชอบช่วยเหลือผู้อ่ืนเสมอๆ ด้วยความเต็มใจ
เมื่อ ลพ. สมบุญฯ ท่านอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ พ.ศ.
2485 ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุท่ี วัดป่าสะแก โดย
มีพระครูวิสิทธ์สิทธิการ ( หลวงพ่อ เพชร ) เจ้าอาวาส
วัดป่าสะแก เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อ รวม รองเจ้า
อาวาส วัดป่าสะแก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครู กัณหา เจ้าอาวาส วัดดอนมะเกลือ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
ได้รับฉายา ปิยธมโม จําพรรษาอยู่ที่ วัดป่าสะแก อําเภอเดิมบาง จังหวัดสุพรรณบุรี ลพ. สมบุญฯ ท่านศึกษาธรรม
ปฏิบัติธรรม เรียนภาษาบาลี ด้วยความเคร่งครัด เป็นตัวอย่างอันดีให้แก่ พระภิกษุและสามเณรท่ี วัดป่าสะแก
ต่อมา ลพ. สมบุญฯ ท่านได้ย้ายไปจําพรรษาอยู่อีกหลายวัด เช่น วัดดอนมะเกลือ วัดวังคัน วัดวังกุ่ม วัดดอนเก้า
พ.ศ. 2497 ลพ. สมบุญฯ ท่านได้รับแต่งตั้งเป็น เจ้าอาวาส วัดดอนมะเกลือ จังหวัดสุพรรณบุรี ในปี พ.ศ. 2499
ลพ. สมบุญฯ ท่านได้ลาสิขาบทเพื่อมาดูแลโยมบิดาและโยมมารดาท่ีชราภาพและได้มีครอบครัว มีบุตร 1 คน
ภรรยาของท่านและบุตร ได้เสียชีวิตลงทั้งคู่ด้วยไข้ป่า พ.ศ. 2501 ลพ. สมบุญฯ ท่านได้อุปสมบทอีกครั้งที่
วัดป่าสะแก โดยมี พระครูสุขุมวิหารการ ( หลวงพ่อ กัณหา ) เจ้าคณะตําบล วัดป่าสะแก เป็นพระอุปัชฌาย์
หลวงพ่อ มณเฑียร เจ้าอาวาส วัดบ่อกรุ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงพ่อ เกลียวฯ เจ้าอาวาส วัดดอนตาล
เปน็ พระอนสุ าวนาจารย์ ไดร้ บั ฉายา ปยิ ธมโม จําพรรษาท่ี วัดป่าสะแก ( หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ กับหลวงพ่อกัณหา
เป็นสหายธรรมกัน ) ลพ. สมบญุ ฯ ทา่ นกราบ พระครกู ณั หา เป็นอาจารย์เรียนวิชา ไสยเวทย์เช่น วิชาเขียนเลขยันต์
วิชาทาํ ตะกรุด วชิ าทาํ นํา้ มนต์ ไล่ภูตผปี ีศาจ แก้คุณไสยวิชา เมตตามหานิยมวิชา คงกระพันชาตรี วิชานั่งกัมมัฐฐาน
และวชิ าแพทย์แผนโบราณ ลพ. สมบญุ ฯ ท่านออกธดุ งคร์ ับใช้ครบู าอาจารยม์ าโดยตลอดทกุ ๆปี ตอ่ มา ลพ. สมบญุ ฯ
ท่านได้ย้ายไปจําพรรษาท่ี วัดวังคอไห วัดดอนมะเกลือและกลับมาจําพรรษาที่ วัดป่าสะแกอีกคร้ัง ในปี 2507
ชาวบา้ นได้นิมนต์ ลพ. สมบุญฯ ให้มาจําพรรษาที่ วัดลําพันบอง ซ่ึงทรุดโทรมอย่างหนักในขณะนั้น โดยได้รับการ
สนับสนุนจาก เจ้าอาวาส วัดป่าสะแก ในทุกด้าน เม่ือลพ. สมบุญฯ ท่านได้จําพรรษาที่ วัดลําพันบอง ในตําแหน่ง
รักษาการเจ้าอาวาส วัดลําพันบอง ท่านและชาวบ้านได้ช่วยกัน ปฏิสังขรณ์ เสนาสนะ กุฏิสงฆ์และอื่นๆ ตลอดจน
พัฒนาถนนรอบๆ บรเิ วณ วัดลําพนั บอง ใหช้ าวบ้านสัญจรไปมาอย่างสะดวกสบาย จนเป็นศูนย์รวมของชาวบ้านทั้ง
ไกลและใกล้ตราบถึงทุกวันน้ี วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2511 ลพ. สมบุญฯ ท่านได้รับพระราชทานแต่งต้ังเป็น
เจ้าอาวาส วัดลําพันบอง พ.ศ. 2519 ท่านได้รับการแต่งต้ังเป็นพระครูชั้นประทวน พ.ศ. 2526 ท่านได้รับแต่งตั้ง
เป็น พระอุปัชฌาย์ พ.ศ. 2535 ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูชั้นโท ตําแหน่ง พระครูสุวรรณธรรมานุยุต พ.ศ. 2553
ท่านไดร้ ับแตง่ ตงั้ เปน็ พระครูช้ันเอก ตาํ แหนง่ พระครสู ุวรรณธรรมานุยุต
67
1.6 พระอาจารย์ธรรมโชติ
พระอาจารย์ธรรมโชติ เดิมชื่อ โชติ ขณะบวชได้ฉายาทางพระว่า
ธรรมโชติรังษี พ้ืนเพเป็นชาวเมืองสุพรรณ ในยุคสมัยกรุงศรีอยุธยาตอน
ปลาย บวชเรียนแล้วจําพรรษา เป็นเจ้าอาวาสอยู่ ณ วัดเขาขน้ึ หรือเขานาง
บวช ท่านมีความรู้ด้านวิชากสิณ ด้านวิชาอาคมท่ีแก่กล้า ด้วยทั้งพรรษา
และวชิ าต่างๆทไ่ี ดศ้ กึ ษาฝกึ พรํา่ รํ่าเรียนมา ใครเหน็ ล้วนแต่เกดิ ศรัทธา
พระอาจารย์ธรรมโชติ ตามประวัติเดิม พํานักอาศัยอยู่ ณ วัดเขา
นางบวช ต่อมาชาวบ้านบางระจันได้อาราธนาไปพํานักอยู่ ณ วัดโพธ์ิเก้าต้น จังหวัดสิงห์บุรี[1] ด้วยเหตุที่พระ
อาจารย์ธรรมโชติมีวิทยาอาคมสูง และได้ลงวิทยาอาคมกับผ้าประเจียด ตะกรุดพิสมร แจกจ่ายให้กับนักรบค่าย
บางระจัน[2] สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพทรงพระนิพนธ์ในหนังสือไทยรบพม่าว่า พระอาจารย์ธรรมโชติ
น้ันได้หายสาบสูญไปหรือจะมรณภาพในเวลาเสียค่ายแก่พม่า หรือหนีรอดไปได้หาปรากฏไม่[3] แต่ตามความเชื่อ
และตํานานทอ้ งถิ่นของชาวจังหวัดสุพรรณบุรีเล่าสืบต่อกันมาว่า เม่ือค่ายบางระจันมีทีท่าว่าจะแตก ลูกศิษย์ใกล้ชิด
พระอาจารย์ธรรมโชติก็ได้นิมนต์ท่านหลบหนีออกจากค่ายสุดท้ายลูกศิษย์จํานวนหน่ึง (ซึ่งไม่มากนัก เพ่ือไม่ให้เป็น
การแลดูน่าสงสัยแก่ผู้พบเห็นทั่วไป) ได้พาท่านออกมาจากค่ายบางระจัน ชั่วครู่ก่อนค่ายจะแตก แล้วล้ีภัยข้าศึกอยู่
ในป่าเขาลํานําไพรจวบจนสงครามสงบจึงกลับมาจําพรรษาอยู่ที่วัดเขานางบวช บ้างก็ว่าหลังจากออกจากค่าย
บางระจันมา ท่านก็ไม่ไปหลบอยู่ท่ีไหน แต่ขอกลับมาอยู่วัดเขานางบวช วัดเดิมท่ีท่านเคยจําพรรษาอยู่ โดยลูกศษิ ย์
ทําช่องลับไว้ให้ท่านหลบอยู่บริเวณวิหารของท่าน (ซึ่งปัจจุบันยังคงอยู่) ไว้ให้ท่านน่ังเจริญสมาธิกรรมฐาน บําเพ็ญ
กุศล บาํ เพ็ญเพยี รโปรดแกเ่ หล่าสรรพสัตว์ วิญญาณวรี ชน และชาวบา้ นบางระจนั
2. ด้านการเมอื ง การปกครอง
2.1 สมเด็จพระบรมราชาธริ าชที่ 1
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 หรือ ขุนหลวงพะง่ัว ทรงครองราชสมบัติต่อจาก สมเด็จพระราเมศวร ในปี
พ.ศ. 1913 - 1931 ระยะเวลา 18 ปี เป็นพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์สุพรรณภูมิพระองค์แรกจากราชวงศ์พระร่วง
ครองกรุงศรีอยุธยา พระองค์เป็นพระเชษฐาของมเหสีในสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี 1 (พระเจ้าอู่ทอง) และเป็น
พระมาตลุ า (ลุง) ของสมเดจ็ พระราเมศวร
พระราชประวตั ิ
สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชท่ี 1 หรอื ขนุ หลวงพะงั่ว นนั้ มขี อ้ สนั นษิ ฐานวา่ นา่ จะหมายถงึ ลําดบั ที่ 5 ตาม
การนบั เลขไทย|เลขแบบไทย โดยมีความหมายวา่ พระองคเ์ ป็นราชบุตรพระองคท์ ่ี 5 พระองค์เปน็ พระเชษฐาของ
พระมเหสีในสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี 1 ซ่ึงสมเด็จพระรามาธบิ ดที ่ี 1 ตรสั เรยี กพระองค์ว่าพระเชษฐา
เมื่อสมเด็จพระรามาธบิ ดีที่ 1 ทรงสถาปนากรงุ ศรีอยุธยาเม่อื ปี พ.ศ. 1893 ในการนน้ั พระองค์ทรงสถาปนา
ขุนหลวงพะงั่วขึ้นเป็น "สมเด็จพระบรมราชาธิราช" พร้อมทั้งโปรดให้ข้ึนไปครองราชสมบัติ ณ เมืองสุพรรณบุรี
ภายหลังการสวรรคตของสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี 1 สมเด็จพระราเมศวรพระราชโอรสในสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1
เสด็จมาแต่เมืองลพบุรีและข้ึนเสวยราชสมบัติสืบต่อมา โดยพระองค์ยังคงครองราชสมบัติอยู่ที่เมืองสุพรรณบุรี
เชน่ เดิม
จนกระทั่ง ในปี พ.ศ. 1913 พระองค์ได้เสด็จจากเมืองสุพรรณบุรีมายังกรุงศรีอยุธยา ความทราบถึงสมเด็จ
พระราเมศวร พระองค์จึงเสด็จออกไปอัญเชิญเสด็จพระมาตุลาเข้าสู่พระนคร หลังจากน้ัน สมเด็จพระราเมศวรได้
ถวายราชสมบัติแก่พระองค์และถวายบังคมลาเสด็จไปครองเมืองลพบุรีตามเดิม พระองค์เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ.
68
1931 รวมระยะเวลาในการครองราชสมบัติได้ 18 ปี โดยพระเจ้าทองลัน พระราชโอรสของพระองค์ได้เสด็จขึ้น
ครองราชสมบัติสบื ไป
2.2 สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรือ สมเด็จพระสรรเพชญ์ท่ี 2 มีพระนามเดิมว่าพระนเรศ หรือ "พระองค์ดํา"
เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระมหาธรรมราชาและพระวิสุทธิกษัตริย์(พระราชธิดาของสมเด็จพระศรีสุริโยทัยและ
สมเดจ็ พระมหาจักรพรรดิ) เสด็จพระราชสมภพเมื่อ พ.ศ. 2098 ท่ีพระราชวังจันทน์เมืองพิษณุโลกมีพระเชษฐภคินี
คือพระสุพรรณกัลยา มีพระอนุชาคือสมเด็จพระเอกาทศรถ (องค์ขาว) พระนามของพระองค์ปรากฏในลายลักษณ์
อกั ษรหลายฉบบั เชน่ พระนเรศ วรราชาธิราช, พระนเรศ, องค์ดาํ จึงยังไม่สามารถสรุปได้ว่าพระนาม นเรศวรได้มา
จากทใี่ ด สนั นิษฐานเบ้ืองตน้ วา่ เพีย้ นมาจาก สมเดจ็ พระนเรศ วรราชาธริ าช มาเป็น สมเด็จพระนเรศวร ราชาธิราช
เสด็จขึ้นครองราชย์เม่ือวันท่ี 29 กรกฎาคมพ.ศ. 2133 สิริรวมการครองราชย์สมบัติ 15 ปี เสด็จสวรรคตเม่ือวันท่ี
25 เมษายนพ.ศ. 2148 รวมพระชนมพรรษา 50 พรรษา
ราชการสงครามในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นเหตุการณ์ท่ีย่ิงใหญ่และสําคัญย่ิงของชาติไทย พระองค์
ได้กู้อิสรภาพของไทยจากการเสียกรุงศรีอยุธยาคร้ังแรก และได้ทรงแผ่อํานาจของราชอาณาจักรไทย อย่างกว้าง
ใหญ่ไพศาล นับต้ังแต่ประเทศพม่าตอนใต้ท้ังหมด นั่นคือ จากฝ่ังมหาสมุทรอินเดียทางด้านตะวันตก ไปจนถึงฝ่ัง
มหาสมทุ รแปซฟิ กิ ทางด้านตะวันออก ทางด้านทิศใต้ตลอดไปถึงแหลมมลายู ทางด้านทิศเหนือก็ถึงฝ่ังแม่นํ้าโขงโดย
ตลอด และยังรวมไปถึงรัฐไทใหญ่บางรฐั
ขณะทรงพระเยาว์
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรือ พระองค์ดํา เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระมหาธรรมราชาและ
พระวิสุทธิกษัตริย์ พระราชธิดาของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิและสมเด็จพระศรีสุริโยทัย เสด็จพระราชสมภพเม่ือ
พ.ศ. 2098 ที่พระราชวังจันทน์เมืองพิษณุโลก พระองค์มีพระเชษฐ์ภคินีคือพระสุพรรณกัลยา และพระอนุชาคือ
สมเด็จพระเอกาทศรถ (พระองค์ขาว) ขณะท่ีทรงพระเยาว์ พระองค์ทรงใช้ชีวิตอยู่ที่พระราชวังจันทน์
เมืองพิษณุโลก จนกระทั่งพระเจ้าบุเรงนอง ยกทัพมาตีเมืองพิษณุโลกในสงครามช้างเผือก สมเด็จ
พระมหาธรรมราชาธิราช เจ้าเมืองพิษณุโลก ยอมอ่อนน้อมต่อหงสาวดี จึงทําให้เมืองพิษณุโลกต้องเป็นเมือง
69
ประเทศราชของกรุงหงสาวดีและไม่ขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยาพระเจ้าบุเรงนอง ทรงขอพระสุพรรณกัลยาและ
พระนเรศวรไปเป็นองค์ประกันที่หงสาวดีใน พ.ศ. 2107 ทําให้พระองค์ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนต้ังแต่มี
พระชนมายุเพียง 9 พรรษา ประทับอยู่กรุงหงสาวดี 8 ปี เสด็จกลับกรุงอโยธาพระชนมายุ 17 พรรษา พ.ศ. 2115
ครั้งท่ีอยู่ในเมืองหงสาวดกี ็ไดแ้ สดงความปรีชาสามารถใหป้ รากฏหลายตอ่ หลายคร้ัง
ปกครองเมืองพษิ ณโุ ลก
หลังจากพระเจ้าบุเรงนองตีกรุงศรีอยุธยาแตกเม่ือ พ.ศ. 2112 มะเส็งศก วันอาทิตย์ เดือน 9 แรม 11 คํ่า
และได้สถาปนาสมเด็จพระมหาธรรมราชาครองกรุงศรีอยุธยาในฐานะประเทศราชของหงสาวดีแล้ว พระองค์ได้
หนีกลับมายังกรุงศรีอยุธยาโดยท่ีพระเจ้าบุเรงนองทรงยินยอมอันเนื่องมาจากพระสุพรรณกัลยาทรงขอไว้ เม่ือ
เสด็จกลับมาถึงกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 2115 สมเด็จพระมหาธรรมราชาพระราชทานนามให้พระองค์ว่า
"พระนเรศวร" และโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระมหาอุปราช พระชนมายุ 17 พรรษา ไปปกครองเมืองพิษณุโลก
พระองคท์ รงปกครองเมืองอยา่ งดแี ละทรงเริม่ เตรยี มการทีจ่ ะกอบก้เู อกราชของกรุงศรีอยุธยา
การท่ีได้เสด็จไปประทับอยู่หงสาวดีถึง 8 ปีน้ัน ก็เป็นประโยชน์ย่ิงเพราะทรงทราบทั้งภาษา นิสัยใจคอ
ตลอดจนล่วงรู้ความสามารถของพม่า ซ่ึงนับเป็นทุนสําหรับคิดอ่านเพื่อหาหนทางในการต่อสู้กับพม่า เม่ือพระเจ้า
หงสาวดีตีกรุงศรีอยุธยาได้น้ัน อ้างว่าข้าราชการในกรุงศรีอยุธยาเกลียดชังสมเด็จพระมหาธรรมราชา จึงต้องถอน
ข้าราชการเมืองเหนือท่ีเคยใช้สอยลงมารับราชการในกรุงศรีอยุธยาเป็นจํานวนมาก ทําให้จํานวนข้าราชการ
ทางเมืองเหนือบกพร่องจึงต้องหาตัวตั้งขึ้นใหม่พระองค์ทรงขวนขวายหาคนสําหรับทรงใช้สอยโดยฝึกทหารที่อยู่ใน
รุ่นราวคราวเดยี วกนั ตามวธิ ยี ุทธ์ของพระองค์ทงั้ ส้ินและนับเป็นกําลังสาํ คญั ของพระนเรศวรในเวลาต่อมา
การตีกรงุ ศรอี ยธุ ยาของเขมร
เมื่อปี พ.ศ. 2113 พระยาละแวกหรือสมเด็จพระบรมราชา กษัตริย์เขมร ซึ่งเคยเป็นเมืองขึ้นของ
กรุงศรอี ยธุ ยามาก่อนตัง้ แต่ครัง้ สมเด็จพระรามาธิบดที ่ี 1 เหน็ กรงุ ศรอี ยุธยาบอบซาํ้ จากการทาํ สงครามกับพม่าจึงถือ
โอกาสยกกองทัพเข้ามาซ้ําเติมโดยมีกําลังพล 20,000 นาย เข้ามาทางเมืองนครนายก เมื่อมาถงึ กรุงศรีอยุธยาได้ต้ัง
ทัพอยู่ท่ีตําบลบ้านกระทุ่มแล้วเคลื่อนพลเข้าประชิดพระนครและได้เข้ามายืนช้างบัญชาการรบอยู่ในวัดสามพิหาร
รวมทั้งวางกําลังพลรายเรียงเข้ามาถึงวัดโรงฆ้องต่อไปถึงวัดกุฎีทอง และนํากําลังพล 5,000 นาย ช้าง 30 เชือก
เข้ายึดแนวหน้าวัดพระเมรุราชิการามพร้อมกับให้ทหารลงเรือ 50 ลําแล่นเข้ามาปล้นพระนครตรงมุมเจ้าสนุก
ในครั้งน้ันสมเด็จพระมหาธรรมราชาเสด็จออกบัญชาการ การรบป้องกันพระนครกองทัพเขมรพยายามยกพลเข้า
ปล้นพระนครอยู่ 3 วัน แต่ไม่สําเร็จจึงยกกองทัพกลับไปและได้กวาดต้อนผู้คนชาวบ้านนาและนครนายกไปยัง
ประเทศเขมรเป็นจํานวนมาก ต่อมาเม่ือปี พ.ศ. 2117 ในขณะท่ีกองทัพกรุงศรีอยุธยาภายใต้การบังคับบัญชาของ
สมเด็จพระธรรมราชาธิราชและพระนเรศวรได้ยกกองทัพไปช่วยพระเจ้าหงสาวดีเพื่อตีเมืองศรีสัตนาคนหุต
พระยาละแวกได้ถือโอกาสยกกองทัพมาทางเรือเข้าตีกรุงศรีอยุธยาอีกคร้ังหนึ่ง แต่การศึกครั้งน้ีโชคดีเป็นของ
กรุงศรีอยุธยา กล่าวคือขณะท่ีกองทัพกรุงศรีอยุธยายกไปถึงหนองบัวลําภู เมืองอุดรธานี พระนเรศวรประชวรเป็น
ไข้ทรพิษ ดังนั้นพระเจ้าหงสาวดีจึงโปรดให้กองทัพกรุงศรีอยุธยายกทัพกลับไปโดยกองทัพกรุงศรีอยุธยากลับมาได้
ทนั เวลาท่ีกรุงศรีอยุธยาถูกโจมตีจากกองทัพเรือเขมร ซ่ึงขึ้นมาถึงกรุงศรีอยุธยาเม่ือเดือนอ้าย พ.ศ. 2118 โดยได้ตั้ง
ทัพชมุ นุมพลอยู่ท่ีตาํ บลขนอนบางตะนาวและลอบแฝงเขา้ มาอยู่ในวดั พนญั เชงิ รวมทง้ั ใช้เรือ 3 ลําเข้าปลน้ ชาวเมือง
ท่ีตําบลนายก่ายฝ่ายกรุงศรีอยุธยาได้ใช้ปืนใหญ่ยิงไปยังป้อมค่ายนายก่ายถูกข้าศึกล้มตายเป็นอันมาก แล้วให้
ทหารเรือเอาเรือไปท้าทายให้ข้าศึกออกมารบพุ่ง จากน้ันก็หลอกล่อให้ข้าศึกรุกไล่เข้ามาในพื้นที่การยิงหวังผลของ
ปนื ใหญ่ เมอ่ื พรอ้ มแล้วกร็ ะดมยงิ ปนื ใหญ่ถูกทหารเขมรแตกพา่ ยกลบั ไป
70
ประกาศอสิ รภาพ
สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชทรงหล่งั ทกั ษิโณทกตัดสัมพันธไมตรีกับหงสาวดีและกวาดต้อนครัวไทยครัวมอญ
ข้ามแม่นํ้าสะโตงกลับคืนพระนคร (จิตรกรรมฝาผนังวัดสุวรรณดาราราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) เมื่อปี
พ.ศ. 2126 พระเจ้าอังวะเป็นกบฏ เน่ืองจากไม่พอใจทางกรุงหงสาวดีอยู่หลายประการ จึงแข็งเมืองพร้อมกับ
เกลี้ยกล่อมเจ้าไทยใหญ่อีกหลายเมืองให้แข็งเมืองด้วย พระเจ้าหงสาวดี นันทบุเรง จึงยกทัพหลวงไปปราบ
ในการณ์นีไ้ ด้สัง่ ให้เจ้าเมืองแปรเจ้าเมืองตองอูและเจ้าเมืองเชียงใหม่ รวมทั้งทางกรุงศรีอยุธยาด้วย ให้ยกทัพไปช่วย
ทางไทย สมเด็จพระมหาธรรมราชาโปรดให้สมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปแทน สมเด็จพระนเรศวรยกทัพออกจาก
เมืองพิษณุโลก เมื่อวันแรม 6 ค่ํา เดือน 3 ปีมะแม พ.ศ. 2126 พระองค์ยกทัพไทยไปช้า ๆ เพ่ือให้การปราบปราม
เจ้าอังวะเสร็จส้ินไปก่อน ทําให้พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงแคลงใจว่า ทางไทยคงจะถูกพระเจ้าอังวะชักชวนให้เข้า
ด้วย จึงส่ังให้พระมหาอุปราชาคุมทัพรักษากรุงหงสาวดีไว้ถ้าทัพไทยยกมาถึงก็ให้ต้อนรับและหาทางกําจัดเสีย และ
พระองคไ์ ด้สัง่ ใหพ้ ระยามอญสองคน คือ พระยาเกียรตแิ ละพระยาราม ซ่งึ มสี มัครพรรคพวกอยทู่ เี่ มอื งแครงมากและ
ทํานองจะเป็นผู้คุ้นเคยกับสมเด็จพระนเรศวรมาแต่ก่อน ลงมาคอยต้อนรับทัพไทยที่เมืองแครง อันเป็นชายแดน
ติดต่อกับไทย พระมหาอุปราชาได้ตรัสส่ังเป็นความลับว่า เม่ือสมเด็จพระนเรศวรยกกองทัพขึ้นไป ถ้า
พระมหาอุปราชายกเข้าตีด้านหน้าเม่ือใด ให้พระยาเกียรติและพระยารามคุมกําลังเข้าตีกระหนาบทางด้านหลัง
ช่วยกนั กําจัดสมเดจ็ พระนเรศวรเสียให้จงได้ พระยาเกียรตกิ บั พระยารามเม่ือไปถึงเมืองแครงแล้วได้ขยายความลบั น้ี
แก่พระมหาเถรคันฉ่องผู้เป็นอาจารย์ของตน ทุกคนไม่มีใครเห็นดีด้วยกับแผนการของพระเจ้ากรุงหงสาวดี กองทัพ
ไทยยกมาถงึ เมอื งแครง เมือ่ วนั ขน้ึ 1 คํา่ เดอื น 6 ปวี อก พ.ศ. 2127 โดยใช้เวลาเดินทัพเกือบสองเดือน กองทัพไทย
ต้ังทัพอยู่นอกเมือง เจ้าเมืองแครงพร้อมท้ังพระยาเกียรติกับพระยารามได้มาเฝ้าฯ สมเด็จพระนเรศวร จากน้ัน
สมเด็จพระนเรศวรไดเ้ สดจ็ ไปเยย่ี มพระมหาเถรคนั ฉอ่ งซงึ่ ค้นุ เคยกนั ดีมากอ่ น พระมหาเถรคนั ฉอ่ งมใี จจึงกราบทูลถึง
เร่ืองการคิดร้ายของทางกรุงหงสาวดี แล้วให้พระยาเกียรติกับพระยารามกราบทูลให้ทราบตามความเป็นจริง
เมอื่ พระองคไ์ ดท้ ราบความโดยตลอดแลว้ กม็ ีพระราชดําริเหน็ ว่าการเป็นอริราชศัตรูกับกรุงหงสาวดีนั้น ถึงกาลเวลา
ท่ีจะต้องเปิดเผยต่อไปแล้ว จึงได้มีรับส่ังให้เรียกประชุมแม่ทัพนายกอง กรมการเมือง เจ้าเมืองแครงรวมท้ัง
พระยาเกียรติพระยารามและทหารมอญมาประชุมพร้อมกัน แล้วนิมนต์พระมหาเถรคันฉ่องและพระสงฆ์มาเป็น
สักขีพยาน ทรงแจ้งเรื่องให้คนทั้งปวงที่มาชุมนุม ณ ที่นั้นทราบว่า พระเจ้าหงสาวดีคิดประทุษร้ายต่อพระองค์
จากน้ันพระองค์ได้ทรงหล่ังน้ําลงสู่แผ่นดินด้วยสุวรรณภิงคาร (พระน้ําเต้าทองคํา) ประกาศแก่เทพยดาฟ้าดินว่า
"ด้วยพระเจ้าหงสาวดี มิได้อยู่ในครองสุจริตมิตรภาพขัตติยราชประเพณี เสียสามัคคี รสธรรม ประพฤติพาล
ทุจรติ คดิ จะทําอันตรายแกเ่ รา ตั้งแตน่ ้ไี ป กรงุ ศรีอยุธยาขาดไมตรกี บั กรงุ หงสาวดีมิได้เป็นมิตรร่วมสุวรรณปฐพี
เดียวกันดุจดังแต่ก่อนสืบไป” จากนั้นพระองค์ได้ตรัสถามชาวเมืองแครงว่าจะเข้าข้างฝ่ายใด พวกมอญท้ังปวงต่าง
เข้ากับฝ่ายไทย สมเด็จพระนเรศวรจึงให้จับเจ้าเมืองกรมการพม่าแล้วเอาเมืองแครงเป็นที่ต้ังประชุมทัพ เม่ือจัด
กองทัพเสร็จก็ทรงยกทัพจากเมืองแครงไปยังเมืองหงสาวดีเมื่อวันแรม 3 ค่ํา เดือน 6 ฝ่ายพระมหาอุปราชาท่ีอยู่
รกั ษาเมืองหงสาวดี เมอ่ื ทราบวา่ พระยาเกยี รติ พระยารามกลับไปเข้ากับสมเด็จพระนเรศวร จึงได้แต่รักษาพระนคร
ม่ันอยู่ สมเด็จพระนเรศวรเสด็จยกทัพข้ามแม่นํ้าสะโตงไปใกล้ถึงเมืองหงสาวดี ได้ทราบความว่า พระเจ้า
กรุงหงสาวดีมีชัยชนะได้เมืองอังวะแล้ว กําลังจะยกทัพกลับคืนพระนคร พระองค์เห็นว่าสถานการณ์ครั้งน้ีไม่
สมคะเน เห็นว่าจะตีเอาเมืองหงสาวดีในครั้งนี้ยังไม่ได้ จึงให้กองทัพแยกย้ายกันเท่ียวบอกพวกครัวไทยที่พม่ากวาด
ต้อนไปแต่ก่อนให้อพยพกลับบ้านเมือง ได้ผู้คนมาประมาณหมื่นเศษให้ยกล่วงหน้าไปก่อน พระองค์ทรงคุมกองทัพ
ยกตามมาขา้ งหลัง
71
พระแสงปนื ตน้ ขา้ มแม่นา้ํ สะโตง
ฝ่ายพระมหาอุปราชาทราบข่าวว่า สมเด็จพระนเรศวรกวาดต้อนคนไทยกลับจึงได้ให้สุรกรรมาเป็นกองหน้า
พระมหาอุปราชาเปน็ กองหลวงยกตดิ ตามกองทพั ไทยมา กองหนา้ ของพมา่ ตามมาทันที่ริมฝ่ังแม่น้ําสะโตง ในขณะท่ี
ฝ่ายไทยได้ข้ามแม่น้ําไปแล้ว และคอยป้องกันมิให้ข้าศึกข้ามตามมาได้ ได้มีการต่อสู้กันที่ริมฝั่งแม่น้ํา สมเด็จ
พระนเรศวรทรงใช้พระแสงปืนคาบชุดยาวเก้าคืบ ยิงถูกสุรกรรมาแม่ทัพหน้าพม่าตายบนคอช้าง กองทัพของพม่า
เห็นแม่ทัพตาย ก็พากันเลกิ ทพั กลบั ไป เม่ือพระมหาอุปราชาแม่ทัพหลวงทรงทราบ จึงใหเ้ ลิกทัพกลับไปกรุงหงสาวดี
พระแสงปืนที่ใช้ยิงสุรกรรมาตายบนคอช้างนี้ได้นามปรากฏต่อมาว่า "พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ําสะโตง" นับเป็น
พระแสงอัษฎาวุธ อันเป็นเครื่องราชูปโภคเมื่อสมเด็จพระนเรศวรเสด็จกลับถึงเมืองแครง ทรงพระราชดําริว่า
พระมหาเถรคันฉ่องกับพระยาเกียรติพระยารามได้มีอุปการะมากสมควรได้รับการตอบแทนให้สมแก่ความชอบจึง
ทรงชักชวนให้มาอยใู่ นกรุงศรอี ยธุ ยา พระมหาเถรคันฉอ่ งกับพระยามอญทัง้ สองก็มีความยินดพี าพรรคพวกเสด็จเข้า
มาด้วยเป็นอันมาก ในการยกกําลังกลับคร้ังน้ีสมเด็จพระนเรศวรทรงเกรงว่า ข้าศึกอาจยกทัพตามมาอีกถ้าเสด็จ
กลับทางด่านแม่ละเมา มีกองทัพของนันทสูราชสังครําต้ังอยู่ที่เมืองกําแพงเพชรจะเป็นอุปสรรคต่อการเดินทาง
พระองค์จึงรีบสั่งให้พระยาเกียรติ พระยาราม นําทัพเดินผ่านหัวเมืองมอญลงมาทางใต้ มาเข้าทางด่านเจดีย์สาม
องค์ เมื่อกลับมาถึงกรุงศรีอยุธยาแล้ว สมเด็จพระมหาธรรมราชาก็พระราชทานบําเหน็จรางวัลแก่พวกมอญท่ี
สวามิภักดิ์ ทรงตั้งพระมาหาเถรคันฉ่องเป็นพระสังฆราชาที่สมเด็จอริยวงศ์ และให้พระยาเกียรติ พระยารามมี
ตําแหน่งยศได้พระราชทานพานทองควบคุมมอญท่ีเข้ามาด้วย ให้ต้ังบ้านเรือนที่ริมวัดขมิ้นและวัดขุนแสนใกล้วัง
จันทร์ของสมเด็จพระนเรศวร แล้วทรงมอบการท้ังปวงที่จะตระเตรียมต่อสู้ข้าศึกให้สมเด็จพระนเรศวรทรงบังคับ
บัญชาสทิ ธขิ าดแตน่ นั้ มา
พระแสงดาบคาบคา่ ย
สมเด็จพระนเรศวรทรงพาทหารรักษาพระองค์ และเอาพระองค์ออกนําหน้าทรงคาบพระแสงดาบขึ้น
ปล้นค่ายพระเจ้าหงสาวดี แต่พวกพม่าต่อสู้และป้องกันไว้เข้าค่ายไม่ได้ (จิตรกรรมฝาผนังวัดสุวรรณดาราราม
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) ปีพ.ศ. 2129 พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงประชุมกองทัพจํานวน 250,000 คนยกทัพมา
ตกี รุงศรอี ยธุ ยา ในชว่ งต้นเดอื นย่ขี า้ วในนายังเกี่ยวไม่เสร็จ สมเด็จพระนเรศวรจึงรับสั่งให้เจ้าพระยากําแพงเพชรยก
ทัพออกไปป้องกันชาวนาท่ีกําลังเกี่ยวข้าว พอทัพพม่าของพระมหาอุปราชายกทัพมาถึงก็ให้ทัพม้าเข้าตีจนทัพ
เจ้าพระยากําแพงเพชรแตกพ่ายหนีเข้าเมือง สมเด็จพระนเรศวรทรงพิโรธอย่างมาก เพราะไทยไม่เคยแตกพ่ายแพ้
ต่อข้าศึกอาจทําให้ทหารขวัญเสีย พระองค์และสมเด็จเอกาทศรถเสด็จลงเรือพระที่นั่งออกไปรบทันทีสมเด็จ
พระเอกาทศรถทรงถกู กระสุนปนื แตไ่ ม่เป็นอะไร เพียงแค่ฉลองพระองค์ขาดเท่าน้ัน) ผลปรากฏว่าทรงยึดค่ายคืนมา
ได้ สมเด็จพระนเรศวรมีรับสั่งประหารชีวิตเจ้าพระยากําแพงเพชร แต่โชคดีที่พระบิดาสมเด็จพระมหาธรรมราชา
72
ทรงขอชีวิตเอาไว้การศึกคร้ังน้ีพมา่ หมายมัน่ จะตีกรุงศรีอยุธยาให้ได้ แต่ด้วยความแข็งแกร่งของทหารไทยจึงรักษาที่
ม่ันเอาไว้ได้เสมอ เสด็จออกปล้นค่ายพม่าซึ่งเป็นทัพหน้าของหงสาวดี ข้าศึกแตกพ่ายถอยหนี พระองค์จึงไล่ตีมา
จนถึงคา่ ยหลวงของพระเจา้ หงสาวดี เสด็จลงจากม้าคาบพระแสงดาบแล้วนําทหารปีนบันไดข้ึนกําแพงข้าศึก แต่ถูก
พมา่ ใช้หอกแทงตกลงมาข้างล่างหลายครง้ั จงึ เสด็จกลับพระนคร พระแสงดาบน้มี ีนามวา่ “พระแสงดาบคาบค่าย”
เสดจ็ ขน้ึ ครองราชย์
ภาพด้านหลังธนบัตรไทยชนิดราคา 50 บาท (ชุดที่ 16) รูปพระบรมราชานุสาวรีย์ของสมเด็จพระนเรศวร
มหาราชนับตั้งแต่สมเด็จพระนเรศวรประกาศอิสรภาพเป็นต้นมา หงสาวดีได้เพียรส่งกองทัพเข้ามาหลายครั้ง แต่ก็
ถูกกองทัพกรุงศรีอยุธยาตีแตกพ่ายไปทุกคร้ัง เม่ือสมเด็จพระมหาธรรมราชาเสด็จสวรรคตเม่ือปี พ.ศ. 2133
พระองค์ได้เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันอาทิตย์ท่ี 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2133 เมื่อพระชนมายุได้ 35 พรรษา
ทรงพระนามว่า สมเดจ็ พระนเรศวร หรอื สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 2 และโปรดเกล้าฯ ให้พระเอกาทศรถ พระอนุชา
ข้นึ เปน็ พระมหาอปุ ราช แตม่ ศี ักด์เิ สมอพระมหากษัตริยอ์ ีกพระองค์
สงครามยุทธหตั ถี
ในปี พ.ศ. 2135 พระเจ้านันทบุเรง โปรดให้พระมหาอุปราชา นํากองทัพทหารสองแสนส่ีหมื่นคน มาตี
กรุงศรีอยุธยาหมายจะชนะศึกในครั้งน้ี สมเด็จพระนเรศวร ทรงทราบว่า พม่าจะยกทัพใหญ่มาตี จึงทรงเตรียมไพร่
พล มีกาํ ลังหนงึ่ แสนคนเดนิ ทางออกจากบ้านป่าโมกไปสุพรรณบุรีข้ามน้ําตรงท่าท้าวอู่ทอง และตั้งค่ายหลวงบริเวณ
หนองสาหร่าย เช้าของวันจันทร์ แรม ๒ คํ่า เดือนย่ี ปีมะโรง พ.ศ. 2135 สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จ
พระเอกาทศรถทรงเครื่องพิชัยยุทธ สมเด็จพระนเรศวรทรงช้าง นามว่า เจ้าพระยาไชยานุภาพ ส่วนพระสมเด็จ
พระเอกาทศรถ ทรงช้างนามวา่ เจา้ พระยาปราบไตรจักร ช้างทรงของทัง้ สองพระองค์น้นั เปน็ ช้างชนะงา คอื ชา้ งมีงา
ท่ีได้รับการฝึกให้รู้จักการต่อสู้มาแล้วหรือเคยผ่านสงครามชน ช้าง ชนะช้างตัวอ่ืนมาแล้ว ซ่ึงเป็นช้างท่ีกําลังตกมัน
ในระหว่างการรบจึงว่ิงไล่ตามพม่าหลงเข้าไปในแดนพม่า มีเพียงทหารรักษาพระองค์และจาตุรงค์บาทเท่าน้ันท่ี
ติดตามไปทันสมเด็จพระนเรศวรทอดพระเนตรเห็นพระมหาอุปราชาทรงพระคชสารอยู่ในร่มไม้กับเหล่า
ท้าวพระยา จึงทราบได้ว่าช้างทรงของสองพระองค์หลงถลําเข้ามาถึงกลางกองทัพ และตกอยู่ในวงล้อมข้าศึกแล้ว
แต่ด้วยพระปฏิภาณไหวพริบของสมเด็จพระนเรศวร ทรงเห็นว่าเป็นการเสียเปรียบข้าศึกจึงไสช้างเข้าไปใกล้ แล้ว
ตรัสถามด้วยคุ้นเคยมาก่อนแต่วัยเยาว์ว่า "พระเจ้า พ่ีเราจะยืนอยู่ใยในร่มไม้เล่า เชิญออกมาทํายุทธหัตถีด้วยกัน
ใหเ้ ป็นเกยี รติยศไวใ้ นแผน่ ดนิ เถิด ภายหน้าไปไม่มีพระเจ้าแผ่นดินท่ีจะได้ยุทธหัตถีแล้ว” พระมหาอุปราชาได้ยิน
ดังน้ัน จึงไสช้างนามว่า พลายพัทธกอเข้าชนเจ้าพระยาไชยานุภาพเสียหลัก พระมหาอุปราชาทรงฟันสมเด็จ
พระนเรศวรด้วยพระแสงของ้าว แต่สมเด็จพระนเรศวรทรงเบ่ียงหลบทัน จึงฟันถูกพระมาลาหนังขาด จากนั้น
เจ้าพระยาไชยานุภาพชน พลายพัทธกอเสียหลัก สมเด็จพระนเรศวรทรงฟันด้วยพระแสงของ้าวถูก
พระมหาอุปราชาเข้าที่อังสะขวา ส้ินพระชนม์อยู่บนคอช้าง ส่วน สมเด็จพระเอกาทศรถทรงฟันเจ้าเมืองจาปะโร
เสียชีวิตเช่นกัน ทหารพม่าเห็นว่าแพ้แน่แล้ว จึงใช้ปืนระดมยิงใส่สมเด็จพระนเรศวรได้รับบาดเจ็บ ทันใดนั้น
ทพั หลวงไทยตามมาชว่ ยทนั จงึ รับทงั้ สองพระองค์กลบั พระนคร พม่าจงึ ยกทัพกลับกรงุ หงสาวดีไป นับแต่น้ันมาก็ไม่
มกี องทพั ใดกล้ายกมากลาํ้ กราย กรงุ ศรีอยธุ ยาอกี เป็นระยะเวลา อกี ยาวนาน แตใ่ นมหายาชะเวงหรอื พงศาวดารของ
พม่า ระบุว่า การยุทธหัตถีคร้ังนี้ ช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรบุกเข้าไปในวงล้อมของฝ่ายพม่า ฝ่ายพม่าก็มีการ
ยืนช้างเรียงเป็นหน้ากระดาน มีทั้งช้างของพระมหาอุปราชา ช้างของเจ้าเมืองชามะโรง ทหารฝ่ายสมเด็จ
พระนเรศวรก็ระดมยิงปนื ใสฝ่ ่ายพม่าเจ้าเมอื งชามะโรงสั่งเปดิ ผ้าหน้าราหชู ้างของตน เพ่ือไสช้างเข้ากระทํายุทธหัตถี
กับสมเด็จพระนเรศวรเพื่อป้องกันพระมหาอุปราชา แต่ปรากฏว่าช้างของเจ้าของชามะโรงเกิดวิ่งเข้าใส่ช้างของ
73
พระมหาอุปราชาเกิดชุลมุนวุ่นวาย กระสุนปืนลูกหน่ึงของทหารฝ่ายสมเด็จพระนเรศวรก็ยิงถูกพระมหาอุปราชา
ส้ินพระชนม์
2.3 มหาอํามาตย์นายก เจ้าพระยายมราช (ป้ัน สุขุม) (15 กรกฎาคม พ.ศ. 2405 - 30 ธันวาคม พ.ศ. 2481)
อดีตผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อานันทมหิดลอภิรัฐมนตรี เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ เสนาบดี
กระทรวงนครบาล ทั้งยังเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง การประปานครหลวง
การไฟฟ้ามหานคร ถนนและสะพานในกรงุ เทพมหานครอกี ด้วย
ประวัติ
เจ้าพระยายมราช (ป้ัน สุขุม) เป็นชาวเมืองสุพรรณบุรี เกิดเมื่อวัน
อังคารท่ี 15 กรกฎาคมปีจอพ.ศ. 2405 สกุลเป็นคหบดี ตั้งบ้านเรือนอยู่
ณ บ้านน้ําตก ริมแม่น้ําฟากตะวันออกข้างใต้ตัวเมืองสุพรรณบุรี บิดาชื่อ
กล่ัน มารดาชอ่ื ผึง้ มพี น่ี ้องร่วมมารดา 5 คน ตามลําดบั ดังน้ี
1. ฉาย (พ่ชี าย) ได้เปน็ ทหี่ ลวงเทพสุภา กรมการเมอื งสพุ รรณบรุ ี
2. นลิ (พีส่ าว) เป็นภรรยาหลวงแกว้ สสั ดี (ดี สุวรรณศร) กรมการเมือง
สพุ รรณบรุ ี
3. หมี (พ่ชี าย) ไดเ้ ปน็ ท่ีพระยาสมบตั ภิ ิรมย์ กรมการเมอื งสงขลา
4. คล้ํา (พ่ชี าย) ได้รับเลอื กใหเ้ ปน็ ผใู้ หญ่บ้านหมูห่ น่ึงในตาํ บลนาํ้ ตก
5. หยา (พ่ีสาว) เป็นภรรยาหลวงจา่ เมอื ง (สิน สังขพชิ ัย) กรมการเมืองสพุ รรณบรุ ี
เจ้าพระยายมราชเป็นน้องคนสุดท้องชื่อ ป้ัน เม่ือเป็นเด็กอายุได้ 5 ขวบ บิดามารดาพาเจ้าพระยายมราชไป
เรียนหนังสือท่ีวัดประตูสาร ตําบลรั้วใหญ่ อําเภอท่าพี่เล้ียง (อําเภอเมืองสุพรรณบุรี) จังหวัดสุพรรณบุรี เรียนอยู่ได้
ไม่ถึงปี มีงานทําบุญในสกุล ได้นิมนต์พระใบฎีกาอ่วมวัดหงส์รัตนารามจังหวัดธนบุรี ไปเทศน์ที่วัดประตูสาร
บิดามารดาจึงถวายเด็กชายปั้นให้เป็นศิษย์ เป็นเสมือนใส่กัณฑ์เทศน์ พระใบฎีกาอ่วมจึงพาเด็กชายป้ันไปจาก
เมืองสุพรรณ เม่ือ พ.ศ. 2411 ขณะน้ันเด็กชายป้ันอายุได้ 6 ขวบสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯกรมพระยาดํารง
ราชานุภาพได้ยินได้ฟังจากเครือญาติของเจ้าพระยายมราช ซึ่งเป็นหลวงยกกระบัตรกรมการเมืองสุพรรณบุรีว่า
เจ้าพระยายมราช เป็นบุตรคนสุดท้องมิใคร่มีใครเอาใจใส่นําพานัก บิดามารดาจึงใส่กัณฑ์เทศน์ถวายพระเข้า
กรงุ เทพฯ กม็ ไิ ดค้ ิดว่าเปน็ เดก็ ชายป้ันจะมาเปน็ คนดมี ีบญุ ลาํ้ ของเหล่ากอถงึ เพียงน้ี ถา้ หากเจา้ พระยายมราชเกิดเปน็
ลูกหวั ปีจะเปน็ ทายาท ของสกุล บิดามารดาจะถนอมเล้ียงไว้ที่เมืองสุพรรณจนเติบใหญ่ อย่างมากเจ้าพระยายมราช
จะได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน สูงกว่าน้ันก็ได้เป็นกรมการ เช่นหลวงเทพสุภาพี่ชาย หรืออย่างดีที่สุดเป็นพระสุนทรสงคราม
ผู้ว่าราชการเมืองสพุ รรณเทา่ น้นั จะไม่ไดเ้ ปน็ เจา้ พระยายมราชตลอดชวี ิต
"ข้อที่ท่านเกิดเป็นลูกคนสุดท้องไม่มีใครหวงแหน" ใส่กัณฑ์เทศน์ "ถวายพระพาเข้ากรุงเทพฯน้ัน ควรนับว่า
บุญบันดาลให้ท่านเข้าสู่ตน้ ทางที่ จะดําเนินไปจนถึง ได้เป็นรัฐบุรุษวิเศษคนหน่ึงในสมัยของท่าน"เจ้าพระยายมราช
เป็นลูกศิษย์พระใบฎีกาอ่วม อยู่ 6 ปี พระใบฎีกาอ่วม เอาใจใส่ธุระระวังสั่งสอนผิดกับลูกศิษย์วัดคนอื่นๆ เด็กชาย
ปั้นมีกิริยา มารยาทเรียบร้อยผิดกว่าชาวบ้านนอก ส่อให้เห็นว่าท่านได้รับการอบรมมาจากครูบาอาจารย์ท่ีดี
เรียนเพียง ก.ข. และนะโมที่วัดประตูสาร จังหวัดสุพรรณบุรีเท่าน้ัน ความรู้ทั้งหมดได้จากวัดหงส์รัตนารามท้ังส้ิน
เพียงอายุได้ 13 ขวบ ก็สามารถเป็นครูสอนคนอื่นได้ นับว่าเป็นอ้จฉริยะคนหนึ่ง ครั้นถึง พ.ศ. 2417 อายุได้ 13 ปี
ญาตริ บั กลับไปโกนจกุ ท่เี มืองสุพรรณ แล้วส่งกลับไปอย่ทู ี่วัดหงส์รตั นารามกบั พระใบฎีกาอว่ มตามเดิม
74
พ.ศ. 2418 จึงบรรพชาเด็กชายป้นั เป็นสามเณรเล่าเรยี นวชิ าตอ่ ไปอกี 7 พรรษา คอื เรยี นเสขิยวัตรกับท่องจํา
คําไหว้พระสวดมนต์ เรียนหนังสือขอม และหัดเทศน์มหาชาติสําหรับไปเทศน์โปรดญาติโยม เจ้าพระยายมราช
เสียงดี อาจารย์ให้เทศน์กัณฑ์มัทรีและให้เรียนภาษามคธ เริ่มด้วยคัมภีร์ "มูล" คือไวยากรณ์ภาษามคธ แล้วเรียน
คัมภีร์พระธรรมบท เรียกว่า "ขึ้นคัมภีร์" เพื่อเข้าสอบเปรียญสนามหลวง โดยไปเรียนกับสํานักอาจารย์เพ็ญกับ
พระยาธรรมปรีชา (บุญ) และสมเด็จพระวันรัต (แดง)วัดสุทัศน์เทพวนาราม ซ่ึงมีชื่อเสียงในฐานะอาจารย์สอน
ในขณะนั้น พ.ศ. 2425 เจ้าพระยายมราชอายุได้ 21 ปี จึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุท่ีวัดหงส์รัตนาราม สมเด็จ
พระวนั รตั (แดง) เปน็ พระอปุ ชั ฌาย์ ในปี พ.ศ. 2426 เข้าสอบปริยัติธรรม ณ สนามพระที่น่ังพุทไธสวรรค์ ทางคณะ
มหาเถระวติ กกนั วา่ จะไมม่ ใี ครสามารถสอบได้ วันแรกภิกษุสามเณรเข้าแปล 4 องค์ตกหมด เป็นเช่นน้ันมาหลายวัน
จนถึงกําหนดพระปั้นวัดหงส์เข้าแปล วันแรกได้ประโยค 1 ก็ไม่มีใครเห็นว่าแปลกประหลาด เพราะผู้ที่สอบตก
มาก่อนก็สอบได้ พอแปลประโยคที่ 2 ก็มีคนเร่ิมกล่าวขวัญกันบ้าง ถึงวันแปลประโยคท่ี 3 เป็นวันตัดสินว่าจะได้
หรือไม่ จึงมีคนไปฟังกันมาก ทั้งภิกษสุ ามเณรและคฤหัสถ์ พอแปลได้ประโยคที่ 3 พระมหาเถระพากันยิ้มแย้มยินดี
เพราะเพ่ิงได้เปรียญองค์แรก จึงเรียก "มหาปั้น" ต้ังแต่วันน้ันเป็นมา ตอนท่ีเจ้าพระยายมราชเป็นพระภิกษุเรียน
ปริยัติธรรมกับมหาธรรมปรีชา (บุญ)สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพเป็นธุระจัดภัตตาหารมาถวายพระเณร
ท่ีมาเรียนกับพระยาธรรมปรีชา (บุญ) ทุกวันจนเป็นที่คุ้นเคยกับพระภิกษุป้ัน เวลาพระภิกษุปั้นเข้าสอบปริยัติธรรม
สนามหลวง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพยังได้ปลอบใจพระภิกษุป้ันว่า อย่าได้
หวาดหวั่นและทรงแสดงความยินดีเม่ือสอบได้เปรียญธรรมประโยค จากนั้นพระองค์ก็ไม่ได้พบกับมหาป้ันอีกเลย
เป็นเวลาเดือนกว่า ต่อมาคืนหนึ่งเวลา 20 นาฬิกา พระมหาปั้นไปหาสมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพที่
โรงทหารมหาดเลก็ นาํ ตน้ ไม้ดัดปลูก ในกระถางไปด้วย 1 ต้น บอกว่าจะมาลาสึก และเม่ือสึกแล้วจะขอถวายตัวอยู่
กับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพพระองค์ตรัสว่า "เมื่อได้อุตส่าห์พากเพียรเรียน
พระไตรปฎิ ก มาจนได้เป็นเปรียญมีชอื่ เสยี งแลว้ ไฉนจะสึกต้งั แตย่ ังไมไ่ ดร้ ับพระราชทานพดั ยศ" พระมหาป้ันตอบว่า
"ท่านสิ้นอาลยั ในการเปน็ สมณะ ได้ปลงใจต้งั แต่ก่อนเขา้ แปลปริยตั ิ ธรรมว่าจะสกึ ที่เข้าแปลด้วยประสงค์จะบําเพ็ญ
กุศล อุทศิ สนองบุญทา่ น ผู้เป็นครูอาจารย์ มาแต่หนหลงั นึกว่าพอแปลแล้วจะตกหรอื ได้ก็จะสึกอยนู่ ั้นเอง"
วิถีชีวิตของเจ้าพระยายมราชเริ่มเปล่ียนไปในทางใหม่อีก หากเจ้าพระยายมราชยังคงอุปสมบทอยู่
บวรพระพุทธศาสนาอย่างมากกค็ งเป็นพระราชาคณะ เทา่ น้ัน นบั เปน็ ก้าวท่สี อง ทจ่ี ังหวะชีวติ ของเจา้ พระยายมราช
ก้าวเข้าสู่หนทางแห่งความเจริญของชีวิต ท้ังนี้จักต้องมีคู่สร้างคู่สมให้การอุปถัมภ์คํ้าจุนกันมาแต่ชาติปางก่อน
โดยเฉพาะสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพนั้น ดูจะเป็นสําคัญ เม่ือลาสิกขาบทแล้ว
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพอุปสมบทไปจําวัสสาท่ีวัดนิเวศธรรมประวัติ ซ่ึงเป็น
วัดสร้างใหม่ ใกล้กับพระราชวังบางปะอินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายปั้นได้ตามไปอยู่กับสมเด็จฯ กรมพระยา
ดํารงราชานุภาพ ด้วยตลอดพรรษา จึงใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ
กรมพระยาดํารงราชานุภาพเริ่มเรียนรู้นิสัย ของเจ้าพระยายมราชจนเป็นท่ีรักใคร่กัน เม่ือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์
เธอฯ กรมพระยาดาํ รงราชานุภาพลาสกิ ขาบทแล้ว จึงให้นายป้ันถวายตัวเป็นมหาดเล็ก เมื่อ พ.ศ. 2426 อายุ 22 ปี
เป็นครูในโรงเรียนพระตําหนักสวนกุหลาบ ได้เงินเดือน 16 บาท ต่อมาเลื่อนเป็นครูผู้ช่วย พํานักอยู่กับหม่อมเจ้า
หญิงเปลย่ี น และหม่อมราชวงศ์หญิงเขียนที่บ้าน ซึ่งท้ังสองท่านเป็นโยมอุปถากมาต้ังแต่เป็นสามเณร ต่อมานายป้ัน
ได้ถวายการสอนหนังสือแด่พระเจ้าลูกเธอในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 4 พระองค์ ด้วยการชักจูง
ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ มีพระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์พระองค์เจ้า
รพีพัฒนศักด์ิพระองค์เจ้าประวิตรวัฒโนดม และพระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช โดยจัดห้องเรียนขึ้นต่างหากท่ี
ท้องพระโรงของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ได้เลื่อนขั้นเงินเดือนเป็น 48 บาท นายป้ันฉลาดในการสอนไม่
75
เหลาะแหละ ประจบลูกศิษย์ แต่ก็ไม่วางตัวจนเกินไป พระเจ้าลูกยาเธอทุกพระองค์ทรงยําเกรง โปรดมหาป้ันสนิท
สนมทุกพระองค์ ต่อมาพระพุทธเจ้าหลวงโปรดฯ ให้พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ เข้าเป็น
ลูกศิษย์ด้วยอีกพระองค์หนึ่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงส่งพระเจ้าลูกยาเธอไปศึกษาใน
ประเทศยุโรป พระพระราชวินิจฉัยเห็นว่าพระเจ้าลูกยาเธอท้ัง 4 พระองค์ เพ่ิงเรียนหนังสือไทยได้เพียงปีเดียว
เกรงว่าจะลืมเสียหมด จึงโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดาํ รงราชานุภาพ เลือกครูไปยุโรป
กับพระเจ้าลูกยาเธอหน่ึงคน ใน พ.ศ. 2429 ซึ่งก็ไม่เป็นปัญหา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดํารง
ราชานุภาพทรงเลือก "นายปั้น เปรียญ" ไปสอน โดยพระราชทานสัญญาบัตรบรรดาศักด์ิให้เป็น ขุนวิจิตรวรสาส์น
มตี าํ แหนง่ ในกรมอาลกั ษณ์ (แผนกคร)ู
สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอกรมพระยาดาํ รงราชานภุ าพ ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า ...คิดดูก็ชอบกลอีก ถ้าหาก
ท่านสมัครเข้ารับราชการในกรม มหาดเล็กก็ดี หรือเม่ือสมัคร เป็นครูแล้ว แต่สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงมิได้โปรด
ส่งพระเจ้าลูกยาเธอเข้าโรงเรียนพระตําหนักสวนกุหลาบ เหมือนอย่างที่เคย ส่งท่านเข้ามาจากเมืองสุพรรณอีกคร้ัง
หนึ่ง นา่ พศิ วงอยู.่ ..
เล่ากันว่าเจ้าพระยายมราชชักเงินเดือนของตนเองไปจ้างครูสอนภาษาอังกฤษแก่ตัวเองด้วย เม่ือพระเจ้า
ลูกยาเธอเสด็จกลับมากรุงเทพฯ ช่ัวคราว เจ้าพระยายมราชตามเสด็จ กลับมาด้วย ถึงกรุงเทพฯต้นปี พ.ศ. 2431
ได้รับพระราชทานเคร่ืองราชอิสริยาภรณ์ช้างเผือกช้ันท่ี 5 เป็นบําเหน็จครั้งแรก ขณะท่ีกลับมานั้นหม่อมเจ้าหญิง
เปล่ียน โยมอุปถาก ส้ินชีพตักษัยไปแล้ว ยังคงเหลือหม่อมราชวงศ์หญิงเขียน จึงรับไปอยู่ด้วย รับเล้ียง เป็นอุปถาก
สนองคุณให้มีความสุขสบายเม่ือถึงแก่กรรมก็จัดปลงศพให้ด้วยนับเป็นการแสดงความกตัญญู กตเวทิตาคุณแก่
ผู้มีพระคุณอันเป็นสิ่งที่ ควรสรรเสริญเจ้าพระยายมราช (ป้ัน สุขุม) เม่ือคร้ังเป็นพระวิจิตรวรสาส์น อุปทูตสยาม ณ
กรุงลอนดอน และท่านผู้หญิงตลับ ธิดาพระยาชัยวิชิตสิทธิสาตรา (นาค ณ ป้อมเพชร์) ในขณะที่เจ้าพระยายมราช
กลับมาเมืองไทย ก็ได้ทรงกราบทูลมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดํารงราชานุภาพ ขอให้เป็นแม่สื่อไปสู่ขอ
ลูกสาว พระยาชัยวิชิต ซ่ึงขณะน้ันเป็นหลวงวิเศษสาลี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดํารงราชานุภาพ
กระดากใจเพราะอายุเท่ากัน จึงไปวานให้ พระมารดา ของท่านไปเป็นเถ้าแก่สู่ขอนางสาวตลับ ธิดาคนโตของ
หลวงวิเศษสาลี ก็ไม่เป็นการขัดข้อง เมื่อแต่งงานแล้วไปอยู่ยุโรปด้วยกัน เพราะพระเจ้าลูกยาเธอท้ัง 4 พระองค์
เสด็จกลับไปศึกษาต่อ ต่อมาเจ้าพระยายมราชได้เป็นผู้ช่วยเลขานุการในสถานทูตลอนดอน และต่อมาได้เป็น
อุปทูตสยาม ณ กรุงลอนดอน เมื่อ พ.ศ. 2436 กลับมาเมืองไทยเป็นข้าหลวงพิเศษ จัดการปกครองจังหวัดสงขลา
และพทั ลุง เมือ่ พ.ศ. 2439 และในปนี ้นั เองไดเ้ ป็นสมุหเทศาภิบาล ผสู้ ําเร็จราชการมณฑลนครศรีธรรมราช เม่ือคร้ัง
เป็นพระยาสุขุมนัยวินิต อันสืบเนื่องมาจากช่ือพระยาสุขุมนัยวินิตน้ัน เน่ืองมาด้วย พระพุทธเจ้าหลวงทรงพระราช
วินิจฉัยว่าท่านเป็นคนที่มีสติปัญญาอย่างสุขุม สามารถทําการได้ด้วยการผูกน้ําใจคน ไม่ชอบใช้อํานาจ ด้วยอาญา
ซ่ึงต่อมาในรัชกาลท่ี 6 ทรงต้ังพระราชบัญญัตินามสกุลขึ้น เวลานั้นท่านเป็นเจ้าพระยายมราชแล้ว กราบบังคมทูล
ขอพระราชทานคํา"สุขุม" เปน็ นามสกลุ
พ.ศ. 2449 พระยาสุขุมนัยวินิตย้ายเข้ามาเป็นเสนาบดีกระทรวงโยธาธิการในช้ันแรกให้รั้งตําแหน่งเสนาบดี
อยู่สองสามเดือนก่อน ว่าจะสามารถเป็นเสนาบดีได้หรือไม่แล้วจึงทรงแต่งตั้งเป็นเสนาบดีเต็มตามตําแหน่ง
กระทรวงโยธาธิการในสมัยนั้นมี 3 กรม คือกรมรถไฟ กรมไปรษณีย์-โทรเลข กรมโยธา เฉพาะกรมรถไฟมีฝร่ังเป็น
ส่วนมาก และกรมไปรษณีย์ไม่เป็นปัญหาที่จะแก้ไขปรับปรุง แต่กรมโยธากําลังยุ่ง ถึงกับต้องเอาเจ้ากรมออกจาก
ตําแหน่ง เม่ือพระยาสุขุมนัยวินิตเข้าไปเป็นเสนาบดี ต้องแก้ไขเรื่องยุ่งๆของกรมโยธา ขณะนั้นกรมโยธากําลัง
ก่อสร้าง พระราชมณเฑียร ในหมู่พระท่ีน่ังอัมพรสถานมีโอกาสเข้าเผ้าพระพุทธเจ้าหลวงอยู่เสมอ และรับสั่งมาทํา
ตาม พระราชประสงค์อยู่เนืองๆ พระพุทธเจ้าหลวงทรง หยง่ั เหน็ คณุ อนั วิเศษของพระยาสุขุมนัยวินิตย่ิงขึ้น งานใดท่ี
76
รับส่ังพระยาสุขุมนัยวินิตพยายามทําการน้ันให้สําเร็จดัง พระราชประสงค์ จึงเป็นเหตุให้ทรงพอพระทัย ใช้สอย
เจ้าพระยายมราชตั้งแต่น้ันมา เม่ือครั้งเสด็จประพาสยุโรป มีพระราชหัตถเลขาส่วนพระองค์ ฝากฝังให้
เจ้าพระยายมราช เป็นธุระ ช่วยดูแลพระราชฐานด้วย ต่อมาอีก 2 ปี พ.ศ. 2450 ย้ายจากกระทรวงโยธาธิการมา
เป็นเสนาบดีกระทรวงนครบาล แต่พระพุทธเจ้าหลวงยังคงให้อํานวยการสร้าง พระราชวังดุสิตต่อไปตามเดิม ท้ัง
โปรดให้โอนกรมสุขาภิบาลซ่ึงอยู่ในกระทรวงเกษตราธิการมาขึ้นกับกระทรวงนครบาลด้วย พระยาสุขุมนัยวินิต
พยายามศึกษาหน้าที่ราชการต่างๆและได้สมาคมคุ้ยเคย กับข้าราชการในกระทรวงนครบาลแล้ว เร่ิมดําเนินงาน
จัดการปกครองท้องที่ โดยใช้วิธีปกครองเมืองต่างๆในมณฑลกรุงเทพฯ อย่างเดียวกับหัวเมือง ขึ้นกับ
กระทรวงมหาดไทย พอดีเกดิ เรือ่ งชาวจีนในกรุงเทพฯปิดร้านค้าขาย สอบถามได้ความว่า ไม่มีความเดือดร้อนอันใด
เป็นเพียงแต่จีนคนหน่ึงท้ิงใบปลิวให้ปิดร้าน จึงจําต้องปิดหมายความถึงถูกบีบคั้น จะไปร้องเรียน ก็ไม่ถึงจึงปิดร้าน
เพื่อ ให้ทางราชการมาระงับทุกข์ พระยาสุขุมนัยวินิตจึงปรึกษากับกรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช ซึ่งดํารงตําแหน่ง
เสนาธิการทหารบก ตกลงใช้อุบายให้ทหารม้า 2 กองร้อยแยกเป็นหลายแถว เดินแถวผ่านไปตามถนนเจริญกรุงถึง
บางรัก ซ่ึงมีคนจีนอยู่มากคล้ายกับตรวจตราไม่มีใครรู้ว่าทหารม้าจะมาทําอะไรพอรุ่งขึ้นพระยาสุขุมนัยวินิตให้นาย
พลตะเวนส่ังให้จีนเปิดร้านเหมือนอย่างเดิม ทุกร้านยอมเปิดร้านกันจนหมด ในปี พ.ศ. 2451 น้ีเอง ทรงพระมหา
กรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้พระยาสุขุมนัยวินิต เป็นท่ีเจ้าพระยามีสมญาจารึกในหิรัญบัตรว่า เจ้าพระยายมราช
ชาตเสนางคนรินทร มหินทราธิบดี ศรีวิชัย ราชมไหสวรรยบริรักษ์ ภูมิพิทักษ์โลกาธิกรณ์ สิงหพาหเทพยมุรธาธร
ราชธานี มหาสมุห ประธาน สุขุมนัยบริหารเอนกยรวมาคม สรรโพดมสุทธิศุขวัฒนาการ มหานคราภิบาล
อรรคมาตยาธิบดี อภันพิริยปรากรมพาหุคชนาม ถือศักดินา 10,000 เจ้าพระยายมราชรับราชการสนองพระเดช
พระคุณตั้งแต่รัชกาลที่ 5 เรื่อยมาถึงรัชการที่ 6-7 จนกระทั่งรัชกาลท่ี 8 ได้ดํารงตําแหน่ง ผู้สําเร็จราชการแทน
พระองค์ เม่ือ พ.ศ. 2477 ร่วมกับพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภากับกรมหม่ืนอนุวัติจาตุรนต์ พ.ศ. 2478 ดํารง
ตําแหน่ง ผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ร่วมกับพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภา และเจ้าพระยาพิชเยนทร์โยธิน
เจ้าพระยายมราช รับราชการสนองพระเดชพระคุณด้วยความวิริยะอุตสาหะอันแรงกล้า แม้จะป่วยไข้แต่พอทํางาน
ไดก้ จ็ ะทําด้วยความมานะอดทน จนกระทั่งล้มเจ็บ อย่างหนักคร้ังใหญ่ อันเป็นคร้ังสุดท้ายในขณะทพ่ี ระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลยังประทับอยู่ในพระนคร และเมื่อวันท่ี 30 ธันวาคมพ.ศ. 2481 เวลา15.00 น.
เจ้าพระยายมราช ผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ได้ถึงแก่อสัญกรรม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงทราบด้วย
ความเศรา้ สลดพระทัยเป็นอย่างย่ิง โปรดเกล้าฯให้คณะผู้สําเร็จราชการ เสด็จไปแทนพระองค์ ในการพระราชทาน
น้ําอาบศพ ณ บ้านศาลาแดง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานลองกุดั่นน้อย ประกอบพร้อมท้ัง
เคร่ืองเกียรติยศศพให้ ทางราชการประกาศให้ข้าราชการ ไว้ทุกข์ท่ัวราชอาณาจักร มีกําหนด 15 วัน ให้สถานท่ี
ราชการลดธงก่ึงเสา 3 วัน บรรดาสถานทูตและกงสุลต่างๆ ได้ให้เกียรติลดธงกึ่งเสา 3 วันเช่นกันและพระราชทาน
เพลงิ ศพเม่อื วันที่ 10 เมษายนพ.ศ. 2482 ณ เมรุวัดเทพศิรนิ ทราวาส
2.4 นายบรรหาร ศลิ ปอาชา
เกิดวันท่ี 19 สิงหาคม พ.ศ. 2475 (บางแหล่งกล่าวว่าแท้จริงแล้วเกิดวันที่ 19 กรกฎาคม ปีเดียวกัน แต่ที่
ปรากฏตามทะเบียนราษฎร์คือวันท่ี 19 สิงหาคม) ท่ีจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรคนท่ี 4 ในจํานวน 6 คนของ นาย
เซ่ง กิม และนางสายเอง็ แซเ่ บ๊ เดิมมชี ื่อว่า นายเตก็ เซยี ง แซเ่ บ๊ สมรสกับคุณหญิงแจ่มใส ศิลปอาชา มีบุตร-ธิดารวม
3 คน เปน็ ชาย 1 คน คือ นายวราวุธ ศิลปอาชา (ได้สมรสกับ เก๋ สุวรรณา ไรวินท์ ทายาทตระกูล ไรวินท์ (โดย
เป็นเจ้าของธุรกิจ ซุปไก่ก้อนรีวอง) และเป็นหญิง 2 คน คือน.ส.กาญจนา ศิลปอาชา และน.ส.ปาริชาติ ศิลปอาชา
นายบรรหาร จบการศึกษาช้ันประถมที่จังหวัดสุพรรณบุรี เข้ากรุงเทพมาเรียนหนังสือชั้นมธั ยมที่โรงเรียนวัฒนศิลป์
วิทยาลัย แต่ต้องหยุดเรียนไป เนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง หันไปทํางานกับพี่ชาย และก่อตั้งบริษัทรับเหมา
77
ก่อสร้างเป็นของตัวเอง เป็นตัวแทนจําหน่ายคลอรีนให้กับการประปาส่วน
ภูมิภาค จนมีฐานะรํ่ารวย ต่อมาเมื่อนายบรรหารเป็นนักการเมืองแล้ว จึงเริ่ม
เรียนหนังสือต่อจนจบปริญญาตรี คณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยรามคําแหง เมื่อ
พ.ศ. 2529 และศึกษาตอ่ ปริญญาโทนติ ศิ าสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเดียวกนั
ประวัตกิ ารศกึ ษา และวฒุ กิ ติ ตมิ ศกั ด์ิ
- นิติศาสตร์บณั ฑิต มหาวิทยาลัยรามคําแหง
- นิตศิ าสตร์มหาบณั ฑิต มหาวิทยาลัยรามคาํ แหง
- ครศุ าสตรด์ ษุ ฎบี ัณฑติ กติ ติมศักดิ์ สาขาการบรหิ ารการศกึ ษา สถาบนั
ราชภัฏสวนสนุ ันทา
- ในปี พ.ศ. 2553 มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลสุวรรณภมู ิ ไดม้ อบปริญญาครศุ าสตรอ์ ตุ สาหกรรม
บณั ฑติ กติ ตมิ ศกั ด์ิ ใหแ้ กน่ ายบรรหาร ศลิ ปอาชา อีกด้วย
การทาํ งานทางการเมือง
นายบรรหาร เข้าสู่วงการเมืองจากการชักชวนของนายบุญเอ้ือ ประเสริฐสุวรรณ ตั้งแต่มีการก่อต้ัง
พรรคชาติไทยเมื่อ พ.ศ. 2517 โดยได้เป็น สมาชิกสภานิตบิ ัญญตั แิ หง่ ชาติ ในปี พ.ศ. 2517 และเป็นสมาชิกวุฒิสภา
ในปี พ.ศ. 2518 ก่อนที่จะลงสมัครรับเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสุพรรณบุรี เม่ือ พ.ศ.2519 และ
ได้รับเลือกต้ังเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาทุกสมัยท่ีมีการเลือกตั้ง ต่อมานายบรรหารขึ้นดํารงตําแหน่ง
เลขาธกิ ารพรรคชาตไิ ทย ในปี พ.ศ. 2523 ตลอดเวลาท่ีเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายบรรหารได้รับการแต่งตั้ง
เป็นรฐั มนตรีในหลายกระทรวง คือ
- รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสลู านนท์ (5 สิงหาคม 2529 - 3 สิงหาคม
2531)
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ (4 สิงหาคม 2531-9
มกราคม 2533)
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ (มกราคม 2533 - ธันวาคม
2533)
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาล พล.อ.ชาติชายชุณหะวัณ (14 ธันวาคม 2533 – 23
กุมภาพนั ธ์ 2534)
- รัฐมนตรีวา่ การกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาล พลเอกสุจินดา คราประยูร(7 เมษายน 2535 - 9 มิถุนายน
2535)
ต่อมาในปี พ.ศ. 2537 นายบรรหารได้ข้ึนดํารงตําแหน่งหัวหน้าพรรคชาติไทย และเป็นผู้นําฝ่ายค้านใน
สภาผู้แทนราษฎร สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย และเม่ือได้มี พระราชกฤษฎกี ายุบสภาผู้แทนราษฎร เม่ือวันที่ 19
พฤษภาคม พ.ศ.2538 และมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ นายบรรหาร ศิลปอาชา ในฐานะหัวหน้า
พรรคชาตไิ ทย ซง่ึ เป็นพรรคการเมืองท่มี สี มาชิกของพรรคไดร้ บั เลอื กตงั้ จํานวนมากที่สุด ไดเ้ ป็นแกนนําจัดต้ังรัฐบาล
ทําให้นายบรรหารได้ข้ึนดํารงตําแหน่งเป็น นายกรัฐมนตรี คนที่ 21 ของประเทศไทย พร้อมควบตําแหน่ง
รฐั มนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อีกตําแหนง่ หนง่ึ ระหวา่ งเดอื นกรกฎาคม พ.ศ. 2538 ถงึ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.
2539 การบริหารราชการแผ่นดินในตําแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายบรรหารดําเนินไปปีเศษ เกิดความไม่ราบร่ืน
จึงมกี ารยบุ สภา เม่ือวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2539 ทําให้นายบรรหารพ้นจากตําแหน่งนายกรัฐมนตรี นายบรรหาร
มีสมญานามมากมาย จากลักษณะเด่นหลายประการ เช่น มีฐานเสียงหนาแน่นอย่างที่สุดในจังหวัดสุพรรณบุรี
78
มีสถานะเป็นเจา้ ถิ่นจนได้สมญาว่า "มงั กรสุพรรณ" หรือ "มังกรการเมือง" และเนื่องจากมีลักษณะคล้าย เต้ิงเสี่ยวผิง
อดีตผู้นําจนี สอ่ื มวลชนจงึ นิยมเรียกนายบรรหารส้นั ๆ วา่ "เติ้ง" หรือ "เตงิ้ เส่ียวหาร"
ในการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2548 พรรคชาติไทยซึ่งใช้สโลแกนหาเสียงว่า "สัจจะนิยม สร้างสังคมให้สมดุล"
นายบรรหารในฐานะหัวหน้าพรรคได้ประกาศไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า ไม่จะขอร่วมรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อีก
ถ้าพรรคไทยรักไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ ในห้วงวิกฤตการณ์ทางการเมืองระหว่างปี พ.ศ. 2548 -
พ.ศ. 2550 พรรคชาตไิ ทยไดท้ ําหนา้ ทเี่ ปน็ ฝ่ายคา้ น และร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์และพรรคมหาชน คว่ําบาตรการ
เลือกตงั้ เม่ือวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549
อนิจกรรม
ภายหลังช่วงเช้าตรู่วันท่ี 21 เมษายนท่ีผ่านมา ท่ี นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้า
พรรคชาติไทยพัฒนา และอดีตนายกรัฐมนตรีได้เข้ารับการรักษาอาการโรคหอบหืดกําเริบ ท่ีโรงพยาบาลศิริราช
ต่อมาวันที่ 22 เมษายน คณะแพทย์ได้แถลงการณ์ความคืบหน้าว่านายบรรหารว่ายังอยู่ในอาการวิกฤติ เน่ืองจาก
ร่างกายขาดออกซเิ จน แพทยต์ ้องเฝ้าระวงั อยา่ งใกลช้ ดิ และใหย้ าอย่างเตม็ ที่ กระทัง่ เวลาประมาณ 24.00 น. อาการ
ของนายบรรหาร ส่อสุดย้ือ เม่ือความดันร่างกายลดลง มีภาวะหลอดลมไม่คลายตัวทําให้อวัยวะต่าง ๆ ได้รับ
ออกซิเจนน้อย เกิดจากร่างกายตอบสนองต่อยาน้อยลง เพราะนายบรรหารมีอายุมากแล้ว และลมหายใจสุดท้าย
ได้ส้ินสดุ ลง – ถึงแกอ่ สญั กรรม เมอื่ เวลา 04.42 น. ของวันท่ี 23 เมษายน ดว้ ยวัย 83 ปี
ในส่วนของพธิ ศี พนายบรรหารนั้น พล.อ.เปรม ติณสลู านนท์ ประธานองคมนตรแี ละรฐั บรุ ุษ จะเปน็ ประธานในพธิ ี
พระราชทานนํา้ หลวงอาบศพ ในเวลา 17.30 น. และมพี ระพิธีธรรม สวดพระอภธิ รรม ในพระบรมราชานเุ คราะห์
ในเวลา 19.00 น. เป็นเวลา 7 วนั ทศ่ี าลากลางนา้ํ วัดเทพศริ นิ ทราวาส จากนน้ั ครอบครัวจะสวดพระอภธิ รรม อีก
7 วัน รวม 14 วัน
3. ด้านวชิ าการ
3.1 ศาสตราจารย์ ดร.สมบตั ิ ธาํ รงธญั วงศ์
เกิดเมื่อวันท่ี 17 เมษายน พ.ศ. 2494 ที่อําเภอเดิมบางนางบวช
จังหวัดสุพรรณบุรี สําเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีวิทยาศาสตร์
(เกษตรศาสตร์) คณะเกษตร จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระดับ
ปริญญาโท รัฐศาสตร์ (การปกครอง) จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ
ระดับปริญญาเอก สาขาการบริหารการพัฒนา จากสถาบันบัณฑิตพัฒนา
บรหิ ารศาสตร์ เป็นเลขาธกิ ารศูนยก์ ลางนิสิตนักศกึ ษาแห่งประเทศไทย
ประวัตกิ ารทาํ งาน
เคยเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ นายกสภา
มหาวิทยาลัย ของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช อดีตอธิการบดี
สถาบนั บณั ฑติ พฒั นบริหารศาสตร์ (นดิ ้า) และอดีตเลขาธิการพรรคไท เม่ือ
ปี พ.ศ.2518 ปัจจุบันเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ นายสมบัติ
ธํารงธัญวงศ์ รับราชการเป็นอาจารย์ประจําคณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เคยดํารง
ตําแหนง่ คณบดีและผู้อํานวยการหลักสูตรปริญญาเอกนานาชาติ นอกจากน้ียังเคยดํารงตําแหน่งกรรมการการเคหะ
แห่งชาติ และกรรมการองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้อีกด้วยในปี พ.ศ.2550 นายสมบัติ ธํารงธัญวงศ์ ได้รับแต่งต้ังให้
ดํารงตําแหน่งอธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ และเป็นอธิการบดีท่ีมีความใกล้ชิดกับพรรค
79
ประชาธิปัตย์ เคยได้รับการสนับสนุนใหเ้ ป็นประธานปฏิรูปการเมืองในช่วงท่ีผ่านมา ในปี พ.ศ. 2559 ได้รับมติเอก
ฉนั ท์แต่งต้งั ให้ดํารงตาํ แหนง่ อธิการบดมี หาวิทยาลยั วลัยลักษณ์
3.2 ผศ.ดร.สมเกยี รติ อ่อนวมิ ล
เกิดเมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2491 ที่อําเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี จบการศึกษาชั้นมัธยมจาก
โรงเรียนสามชุกรัตนโภคาราม อําเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี แล้วเข้า
ศึกษาต่อท่ีวิทยาลัยครูจันทรเกษม (ปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยราชภัฏ
จันทรเกษม)ระหว่างน้ันก็ได้รับทุนจากมูลนิธิการศึกษาและวัฒนธรรม
สัมพนั ธไ์ ทย-นานาชาติ (เอเอฟเอส) เปน็ นักเรยี นแลกเปล่ยี นไปศึกษาทร่ี ฐั
มิสซูรี สหรัฐอเมริกาและกลับมาเรียนต่อจนจบ เมื่อปี พ.ศ. 2514 เข้า
ศึกษาระดับปริญญาตรี ในคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ต่อมาสอบชิงทุนของรัฐบาลสาธารณรัฐอินเดียได้ จึงลาออกไปศึกษาที่
มหาวิทยาลัยเดลี กรุงนิวเดลี จนจบการศึกษาระดับปริญญาตรีและ
ปริญญาโท สาขารัฐศาสตร์ และได้ทุนไปศึกษาปริญญาเอก สาขาการศึกษาภูมิภาคเอเชียใต้ ท่ีมหาวิทยาลัยเพนซิล
เวเนีย สหรฐั อเมรกิ า
ชีวิตส่วนตัว ผศ.ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล สมรสกับ คุณธัญญา (สกุลเดิม: ธัญญขันธ์) มีบุตรชายคนเดียวคือ
นายธญั ญ์ อ่อนวมิ ล ผศ.ดร.สมเกยี รตชิ อบฟงั เพลงลูกทุ่ง และเลย้ี งแมวในเวลาว่าง
4. ด้านศลิ ปิน
4.1 ครแู จ้ง คลา้ ยสที อง
นายแจ้ง คล้ายสีทอง เกิด วันอาทิตย์ ท่ี 10 มีนาคม พ.ศ. 2478 ปีจอ ท่ี บ้านตําบลบางตาเถร อําเภอ
สองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรคนท่ี 3 และเป็นบุตรชายคนเดียว ของนาย หวัน และนางเพี้ยน คล้ายสีทอง
มีพี่น้อง ท้องเดียวกันท้ังหมด 4 คน ชื่อแจ้งน้ี มารดาเล่าว่านาย แจ้ง ตกฟากตอนพระอาทิตย์ข้ึนพ้นดวงพอดี บิดา
เลยตั้งช่ือวา่ แจง้
นาย แจ้ง คล้ายสีทอง สมรสกับนางสาวบุญนะ โพธิหิรัญ บุตรีของกํานันสนิท โพธิหิรัญ กับนางลําจียก
โพธหิ ิรญั ซง่ึ ประกอบอาชพี ป่พี าทย์ นายแจง้ และนางบญุ นะ มี บุตร ธดิ า ทงั้ สน้ิ จํานวน 6 คน เปน็ ชาย 2 คน หญิง
4 คน
ประวัติด้านการศกึ ษาและด้านศลิ ปะการแสดง
นายแจง้ คลา้ ยสีทอง เกิดในตระกูลศลิ ปิน คุณตา เป็นนักสวดคฤหสั ถ์ บิดาเป็นผู้แสดงโขน พากย์โขน และ
เป็นตลกโขนท่ีมีชื่อเสียงในคณะโขนวัดดอนกลาง จังหวัดสุพรรณบุรี มารดาเป็นนักร้องเพลงไทยเดิม และแม่เพลง
พื้นบ้านผู้มีนํ้าเสียงไพเราะยิ่ง รวมทั้งญาติพี่น้องอ่ืน ๆ ก็เป็นศิลปินพ้ืนบ้านที่จังหวัดสุพรรณบุรีด้วยกันทั้งหมด
นาย แจ้ง คล้ายสีทองติดตาม บิดา มารดา ไปตามงานแสดงต่าง ๆ และเร่ิมการแสดงตั้งแต่ยังเยาว์วัยเม่ือถึงวัย
ศึกษาเลา่ เรียน บดิ าไดส้ ง่ ไปเปน็ ลูกศิษย์คุณตาทว่ี ัดโบสถ์ดอนลําแพน และเรยี นหนังสือจนจบชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4
ซึ่งเป็นช้ันสูงสุด ของโรงเรียนในขณะนั้น เมื่อบิดาถึงแก่กรรม มารดาได้กลับมาอยู่ที่บ้านเดิม ต่อมาเมื่ออายุ 11 ปี
นายแคล้ว คล้ายจินดา ครูดนตรีไทย เจ้าของวงดนตรีป่ีพาทย์ ตําบลบ้านกุ่ม อําเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี
ซึ่งอยู่คนละฝ่ังแม่นํ้าท่าจีน ได้มาติดต่อกับมารดาเพ่ือจะขอรับนายแจ้ง คล้ายสีทอง ไปเป็นลูกศิษย์เพราะเห็นว่ามี
ชอบและพรสวรรค์ด้านดนตรีไทย นายแจง้ เล่าว่า"ครูแคลว้ เขาเหน็ เวลามปี ่ีพาทย์ ฉันจะน่งั หลังวงดูเขาตีบรรเลง พอ
กลับบ้านก็หากะลามาทําเป็นวงฆ้องเคาะไปเร่ือย" นายแจ้งได้ย้าย ไปอยู่ท่ีบ้านนายแคล้ว คล้ายจินดา เพ่ือจะได้มี
เวลาเรียนดนตรีอย่างเต็มท่ี เร่ิมแรกได้ฝึกเรียนฆ้องวง ต่อมาได้ฝึกเรียนเครื่องดนตรีอื่น ๆ จนสามารถบรรเลงได้ทุก
80
ชนิด ต่อมา ในวงดนตรีของ นายแคล้ว ขาดนักร้อง เด็กชายแจ้งจึงมีโอกาสได้เร่ิมฝึกหัดขับร้องเพลงกับ นายเฉลิม
คลา้ ยจนิ ดา ซึ่งเปน็ บุตรชายของนายแคลว้ โดยเรม่ิ จากเพลง 2 ชนั้ และเพลงตบั ราชาธิราช [ ตอนสมิงพระรามหนี ]
เม่ือนายแจ้ง อายุได้ 14 ปี มารดาก็ตามกลับบ้าน อีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังติดต่อและร่วมงานกับนายแคล้ว อยู่เป็น
ประจํา และได้เป็นนักร้องวงดนตรีของนายแคล้ว โดยเป็นนักร้องท่ีอายุน้อยกว่านักร้องท่านอ่ืน ๆ ในสมัยเดียวกัน
ซงึ่ อยุใ่ นวัยเดียวกนั กับมารดา การรอ้ งเพลงในสมยั กอ่ นนนั้ นายแจง้ คา่ ตัว 6 สลึง ผ้ใู หญไ่ ดค้ า่ ตัว 2 บาท แต่นายแจ้ง
มักได้รางวัลจากคนดูต่างหาก เสร็จงานแล้วบางคืนได้ถึง 30-40 บาท ซึ่งในสมัยนั้นทองราคาเพียงบาทละ 600
บาท
เมื่อนายแจ้งอายุได้ 16 ปี ได้ติดตามนายสนิท โพธ์ิหิรัญ บิดาของภรรยาเข้ามาทํางานในกรุงเทพฯ เพราะ
ทํานาแล้วล้ม ๆ ลุก ๆ ได้บ้างไม่ได้บ้าง เมื่อเข้ามาในกรุงเทพมหานคร ก็ได้มาทํางานในคลังแสง กองยกกระบัตร
สะพานแดง บางซือ่ ซ่ึงการทํางานครั้งนั้นต้อง งดรับงานร้องเพลงและงานบรรเลงดนตรีทั้งหมด แต่ก็ได้มีโอกาสต่อ
เพลง "ตน้ วรเชษฐ์" กบั ครดู นตรี แตต่ ่อไดท้ อ่ นเดียวพออายุครบ 21 ปี นายแจ้ง คล้ายสีทอง เข้ารับการเกณฑ์ทหาร
และเข้าประจําการหน่วยเสนารักษ์ ไปเป็นทหารอีก 1 ปี 6 เดือน แถว ๆ กองพันทหารราบ 11 ทําให้ห่างจากปี่
พาทย์ไปเปน็ ปี ๆ นายแจง้ เล่าวา่ ตอนนน้ั ยังไมค่ ดิ ถงึ ดนตรปี พี่ าทย์ เพราะยงั ไมเ่ อาจริงเอาจัง ร้องเล่น ๆ เท่าน้ัน แต่
ทําปี่พาทย์วิทยุด้วย ในระยะนั้นเมื่อมีเวลาว่างหรือได้ลาพักผ่อน ก็มักติดตามนายสืบสุด [ ไก่ ] ดุริยประณีต และ
จ.ส.อ.สมชาย [ หมัด ] บุตรชายนาย ช้ัน ดุริยประณีต นางแถม ดุริยประณีต เป็นประจํา เม่ือผู้บรรเลงเครื่อง
ดนตรีบางช้ินว่างลงหรือไม่มา นายแจ้ง คล้ายสีทอง จะบรรเลงแทน และสามารถบรรเลงได้ดีทุก ๆ หน้าที่ ต้ังแต่
การบรรเลงเครื่องดนตรี ประกอบจังหวะจนถึงระนาดเอก และระนาดทุ้ม ในการบรรเลงแต่ละคร้ังได้รับเงินค่าจ้าง
ประมาณ 40-50 บาท เมื่อปลดประจําการเป็น ทหารกองหนุนแล้ว นายสืบสุด ดุริยประณีต ได้ชักชวนให้เข้าเป็น
นกั ดนตรีวงดรุ ิยะประณตี หรือวงบ้านบางลําพู ในช่วงท่ีครูแจ้งอยู่วงดนตรีดุริยประณีตนั้น ซึ่งตรงกับสมัยจอมพล ป.
พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นยุคสมัยที่มีการสนับสนุนให้แสดงลิเก ซ่ึงได้เปล่ียนเรียกว่า นาฏดนตรี มีการ
แสดงสดส่งกระจายเสียงตามวิทยุต่าง ๆ จนเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย ลิเกหลายคณะได้ใช้วงปี่พาทย์วงดุริย
ประณีต หรือวงบ้านบางลําพูในการบรรเลง ต่อมาครูแจ้งก็ได้เลื่อนเป็นนายวง และเป็นคนตีระนาดเอกเอง ส่วน
ใหญ่จะแสดงประจําสถานีวิทยุท่ีกรมการรักษาดินแดนและเม่ือคณะลิเกขาดตัวแสดงตัวใดตัวหนึ่ง ครูแจ้งก้จะมัก
เปน็ ผแู้ สดงแทน ซ่ึงครูแจง้ สามารถแสดงได้ดีทุกตัว จนบางคณะต้องติดต่อให้ครูแจ้งแสดงเป็นพระเอก โดยใช้ชื่อใน
การแสดงลเิ กว่า "อรณุ คลา้ ยสีทอง"
ในยุคแรก ๆ ของสถานโี ทรทศั นช์ ่อง 4 บางขนุ พรหม วงดนตรีดุริยประณีตได้มีโอกาสบรรเลงดนตรีไทยออกอากาศ
อยู่เป็นประจํา มีนายสุพจน์ [ ป๊ืด ] โตสง่า นางแม้น โตสง่า สามี นาง ดวงเนตร [ น้อย ] บุตรสาวนางแช่มช้อย
[ ดุริยประณีต ] นายเหนี่ยว ดุริยพันธ์ และเป็นบิดาของ ณรงค์ฤทธิ์ [ ปอง ] โตสง่า [ ขุนอิน] และชัยยุทธ [ ป๋อม ]
โตสง่า เป็นผู้บรรเลงระนาดเอก ในการร้องบรรเลงการสวมรับ และการส่งร้องเพลงบุหลันเถา เฉพาะในตอน 2 ช้ัน
และช้ันเดียว ปรากฏว่าผู้ร้องไม่มา นายแจ้ง คล้ายสีทอง จึงได้ร้องเพลงแทน [ ข้อมูลบางแห่งระบุว่าร้องอยู่ที่บ้าน
ดรุ ิยประณีต ] มีครูผู้ใหญ่น่ังฟังกันหลายคน และได้กล่าวชมน้ําเสียงขับร้องว่าเหมาะสม แต่ควรปรับปรุงวิธีการร้อง
และ ลีลาการร้อง ครูโชติ ดุริยประณีต ได้ยินเข้าก็บอกว่า "แจ้งเสียงดี ฉันจะปั้นแจ้งน่ีล่ะ" แล้วครูโชติก็ให้กับ
ครูสุดา [ เชื่อม ] เขียววิจิตร ต่อเพลงให้ร้อง วันรุ่งขึ้นนายแจ้งเอาดอกไม้ธูปเทียนมาไหว้ครูเช่ือม ครูให้ต่อเพลง
โดยเพลงแรกท่ีฝีกร้องก็คือเพลง "เขมรราชบุรีสามช้ัน" ตอนท่ีฝึกตอนแรก ๆ เฉพาะท่อน "ชะรอยกรรมจําพราก"
ท่อนเดียวร้องอยู่เกือบเดือน พอได้แล้วค่อยไปอีกหน่อย ทั้งเพลงใช้เวลาเดือนกว่า เพราะถ้าร้องไม่ได้อารมณ์ ครูไม่
ต่อเพลงให้ ต่อจากน้ันก็ได้มีการต่อเพลงอื่น ๆ อีกหลายเพลง จนสามารถนําไปร้องเข้ากับวงดนตรีในงานต่าง ๆ ได้
81
เป็นอย่างดี และมีความไพเราะ เนื่องจากมีพรสวรรค์ทางดา้ นเสียงอยู่แล้ว เม่ือได้รับการ ฝึกหัดอย่างถูกวิธี ก็ฝึกได้
อยา่ งรวดเรว็ และสามารถขับร้องไดด้ ีมากขึ้น
หลังจากต่อเพลงได้มา 4-5 เพลง ในปี 2506 ครูแจ้งก็เล่าว่าก็มีคนส่งเข้าประกวดร้องเพลงของสถานีวิทยุ
ว.ป.ถ.กรมการทหารสอ่ื สาร ใชช้ อ่ื วา่ "อภัย" เข้าไปอดั เสียงอยู่ 2 หน 4 เพลง ใหก้ รรมการฟงั เสียง เคาะเป๊งต้องร้อง
ให้ตรงเสียง ผิดเสียงไม่ได้ โดนตัดคะแนน คร้ังนั้นครูแจ้งได้ที่ 1 พอประกวดได้ท่ี 1 ก็มีชื่อเสียงเป็นท่ีโด่งดัง ทั้ง
ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตํารวจ มาติดต่อครุแจ้งให้ไปเข้าวงดนตรี ครุแจ้งจะไปแล้วแต่พอครูโชติรู้เข้าก็
บอกว่าอย่าไป และไปฝากไว้กับ นายธนิต อยู่โพธ์ิ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร ครูโชติบอกว่าไม่ต้องการให้ไปอยู่วง
เพลงไทยสากล โดยอธิบายว่าถ้าไปก็ร้องได้แต่เพลงเถา ร้องส่งป่ีพาทย์ไม่ได้อะไร ถ้าอยู่กรมศิลปากรจะได้หมดทั้ง
โขน ละคร ฟอ้ น ราํ เห่ ขบั กล่อม
รบั ราชการในกรมศลิ ปากร
พ.ศ. 2508 นายแจ้ง ให้เข้ามารับราชการ ท่ีกรมศิลปากร และเม่ือเวลานาย ธนิต อยู่โพธิ์ไปราชการที่ใด
ท่านก็จะเอาทั้งอาจารย์ เสรี หวังในธรรม ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2531 สาขาศิลปะการแสดง [ ศิลปการละคร ]และ
นายแจ้งไปไหนมาไหนด้วยตลอดกันตลอดไม่ว่าจะเป็นในประเทศไทย หรือจะเป็นต่างประเทศนายแจ้งเร่ิมต้นเข้า
รับราชการในตําแหน่งคีตศิลปินจัตวา หรือตําแหน่งขับร้องเพลงไทย แผนกดุริยางค์ไทย กองการสังคีต
กรมศลิ ปากร เมอ่ื เขา้ มาอยทู่ ี่กรมศิลปากรซึ่งมีแต่ครูชนั้ เลิศท้ังนั้น มีท้ังครูท่ีสอนนายแจ้งมาก่อน และยังมีครูเหน่ียว
ดุริยพันธ์ น้องเขยครูโชติและพ่อตานายสุพจน์ โตสง่า ครูท้วม ประสิทธิกุล ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2529 สาขา
ศิลปะการแสดง [ ดนตรีไทย ครูนิภา อภัยวงศ์ ครูสงัด ยมะคุปต์สามีครูลมุล ยมะคุปต์ ครูเสรี หวังในธรรม เข้าไป
ต้องฝกึ หมดทุกอยา่ ง แตไ่ มต่ ้องเกง่ หมด เพราะคนเราไม่ไดเ้ กง่ ไปทุกดา้ น
การทํางานในระยะแรก นายแจ้งต้องปรับปรุงการร้องเพลงใหม่ เพราะจะต้องร้องให้เข้ากับบทบาทตัว
ละครที่กําลังแสดง เม่ือเข้าไปต้องฝึกหมดทุกอย่าง แต่ไม่ต้องเก่งหมด เพราะคนเราไม่ได้เก่งไปทุกด้าน ด้วยความ
อตุ สาหะและ เอาใจใส่ก็สามารถปฏบิ ตั ไิ ด้อย่างถูกตอ้ ง นอกจากนยี้ ัง พยายามฝึกฝนหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ โดย
การฝึกหัดร้องเพลงและศึกษาการขับร้องของ ครูดนตรีรุ่นเก่า ท่ีมีชื่อเสียง เพื่อเป็นแนวทางการ ขับร้องให้ดีย่ิงขึ้น
บุคคลที่นายแจ้ง คล้ายสีทอง ให้ความเคารพนับถืออีกท่านหน่ึง คือนายเสรี หวังในธรรม ผู้ให้การสนับสนุนแนะนํา
วิธีการรอ้ งตา่ ง ๆ แก่นายแจ้งตลอดมา
ช่วงชีวิตในขณะที่รับราชการครูแจ้งฯ มีภารกิจท่ีรัฐบาลได้ส่งไปทํางานเกือบทุกจังหวัดท่ัวประเทศ และ
บางคร้ังก็ได้มีโอกาสเดินทางไปปักก่ิง ในสมัยท่ีหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธ์ิ ปราโมชศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2528 สาขา
วรรณศิลป์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปแลกเปลี่ยน ศิลปวัฒนธรรม กับประเทศจีน ท่ีนั่น ได้ไปร้องโขน ร้อง
ละครโชว์ การพดู ของครแู จ้ง จะมีจังหวะจะโคน เพราะจะคอ่ ย ๆ พูด เป็นคนอารมณอ์ อ่ นไหว ตอ้ งพยายามควบคุม
ตัวเอง สมัยก่อนครูแจ้งก็ใจร้อน เคยด่าอธิบดีมาก่อน ครูแจ้งเคยทําละครร่วมกันกับ ครู ส.อาสนจินดา ศิลปิน
แหง่ ชาติ พ.ศ. 2533 สาขาศิลปะการแสดงภาพยนตร์และละคร[10] สว่ นพระเอกจะเป็น ชรินทร์ นันทนาคร ศลิ ปนิ
แห่งชาติ พ.ศ. 2541 สาขาศิลปะการแสดงดนตรีสากล[11] ส่วนว่าถ้าเป็นบทเข้าพระเข้านาง ก็จะเป็นหน้าท่ีของ
ชรินทร์ฯ แต่ถ้าเป็นบทตอนเวลาออกรบ ครู ส.จะออกรบแทน ครูแจ้งเคยแนะนํา ครู ส.อาสนจินดา ถึง ละครที่
สร้าง เม่ือกรมศิลปากรมีการจัดการแสดงเรื่อง"ผู้ชนะสิบทิศ" ครุแจ้งก็เคยแนะนํา ปกรณ์ พรพิสุทธ์ิ ให้ร้องละคร
และแนะนําให้ อาจารย์ เสรี ว่าเวลาร้องละครผู้ชนะสิบทิศ ควรจะร้องให้น้อยหน่อย พูดมากหน่อย แนะนําและให้
คิดบทพูดเอาเอง แทนที่จะเป็นการท่องบท ตั้งแต่วันน้ันจนถึงปัจจุบัน เลยมีบทพูดมากกว่าร้อง จริง ๆ อ.เสรี จะ
เป็นคนดื้อ ไมฟ่ งั ใคร แต่ครแู จง้ จะพดู เฉย ๆ จะเชือ่ หรอื ไมเ่ ชอื่ กแ็ ล้วแต่ แตท่ ําไปแลว้ กท็ ําใหค้ นดลู ะครชอบมาก
การขับเสภา
82
การขับและขยับกรับเสภา นายแจ้งสามารถขับร้องได้อย่างไพเราะพร้อมการขยับกรับไปด้วยกัน โดยนาย
แจง้ ไดค้ รโู ชติ ดรุ ิยประณตี เปน็ ผู้ฝึกหดั ให้ เริ่มตัง้ แตว่ ธิ ี จับไม้กรบั เสภา ซง่ึ มีอยู่ 4 อนั หรือ 2 คู่ โดยถอื ไวใ้ นมอื ดา้ น
ละ 1 คู่ เริม่ ขยับเสยี งส้นั ไปหาเสียงยาวคือเสียงกรด เสยี งสั้นคอื เสยี งกอ๊ ก แก๊บ เสียงยาวคือเสียงกรอ ขยับจนคล่อง
ดีแลว้ จึงตเี สยี งกรอ้ แกร้ (เสียงกรอ) ต่อจากนน้ั ตไี มส้ กดั สนั้ ไดแ้ ก่เสียงแกร้ แกบ๊ และไม้สกัดยาวคือเสียงกร้อ แกร้
กร้อ แกร้ แก๊บ ใช้สําหรับตอนหมดช่วงของการขับเสภา และในระหว่างขับ ส่วนไม้กรอใช้สําหรับ ขับครวญเสียง
โหยไหแ้ ละใกล้หมดชว่ งของขบั เสภา นายแจ้งฝกึ จนสามารถ ขับและขยับกรับเสภาได้ โดยขับในละครเร่ือง ไกรทอง
แต่ยังไม่ทันได้ต่อไม้เสภาอ่ืน ๆ ต่อไป นายโชติ ดุริยะประณีต ก็ถึงแก่กรรมและต่อมานายแจ้งได้เรียนขยับกรับกับ
อาจารย์มนตรี ตราโมท ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2528 สาขาศิลปะการแสดงดนตรีไทย ซ่ึงรับราชการอยู่ใน
กรมศิลปากร อ.มนตรีท่านได้กรุณาบอกไม้เสภาที่ยังไม่ได้ ได้แก่ ไม้รบ ใช้สําหรับบทดุดันหรือการต่อสู้ และไม้สอง
ใชส้ ําหรับชมธรรมชาตหิ รอื ดาํ เนนิ ทาํ นองเพลง 2 ชัน้ และบทดาํ เนนิ เร่ือง
ในงานพิธีไหว้ครูประจําปีของแผนกดุริยางค์ไทย กองการสังคีต กรมศิลปากร คร้ังหน่ึง พระเจ้าบรมวงศ์
เธอพระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร (พระองค์ชายกลาง) องค์อุปถัมภ์ศิลปิน ได้เสด็จมาในงานพร้อมด้วยนายเจือ
ขันธมาลา ผู้มีความสามารถในการขับร้องและขยับกรับเสภา นายเจือเป็นหลานและศิษย์ของ ท่านครูหม่ืนขับคํา
หวาน ท่านพระองค์ชายกลาง ได้มีพระเมตตาฝากฝังนายแจ้งให้เรียนเสภากับนายเจือ นายแจ้งจึงได้ วิธีการขับ
เสภาไหว้ครู รวมท้ังเกรด็ ยอ่ ยอ่นื ๆ เพม่ิ ขึน้ และมคี วามชํานาญเชี่ยวชาญมากขึน้ จนได้รับสมญาว่า"ช่างขับคําหอม"
นายแจ้งได้เริ่มขับเสภาอย่างจริงจังเม่ืออายุประมาณ 30 ปี นอกจากเรียนกับครูโชติ ครูสงัด ครูมนตรี แล้วก็ยังฟัง
เทปครูเหน่ียว กับครูหลวงเสียงเสนาะกรรณพัน มุกตวาภัย[14]ขับเสภา แล้วคอยจําเทคนิคไว้ ไปท่ีบ้านครูเจือ
ขันธมาลา ฟังครูเจือบอกไม้กรับ ฟังครูหมื่นขับคําหวานขับเสภา ครูหมื่นขับคําหวานท่านขับเสภาตลก ครูหลวง
เสียงเสนาะกรรณจะขับเสภาเพราะหวานหู บทเข้าพระเข้านางต้องครูหลวงเสียงฯ ส่วนครูเหนี่ยวขับแบบนักเลง
กระโชกโฮกฮาก เป็นบทหย่ิงผยอง นอกจากนี้ยังได้รับความ กรุณาจากนางท้วม ประสิทธิกุล ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ.
2529 สาขาศิลปะการแสดงดนตรีไทย และนาย ประเวช กุมุท ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2532 สาขาศิลปะการแสดง
[ ดนตรไี ทย ] แนะวธิ ีปลีกย่อยให้นายแจ้ง จนไดม้ ีโอกาสแสดงความสามารถและได้รบั คาํ ชมไปทว่ั จนภายหลงั ไดร้ ับ
การยกย่องว่า "เสยี งดี ตกี รบั อรอ่ ย"
เพลงหลัก ๆ ที่มีช่ือเสียงน้ันก็คือ การขับเสภาในละครเร่ือง “ขุนช้าง ขุนแผน” ซึ่งนายแจ้งจะร้องเอง ขับเสภาเอง
หมด การขับเสภาของนายแจ้งน้ัน นายแจ้งจะดูบท และเอาแบบของครูแต่ละท่านมาใช้ให้ถูกจุด ครูแจ้งเล่าว่า”
อย่างร้องถึงคําว่า "แหวกม่าน" ต้องทําเสียงจินตนาการว่าค่อย ๆ แหวกม่าน ไม่ใช่พรวดพราดแหวกม่าน นางตกใจ
ตายกันพอดี” การขับเสภาเป็นเร่ืองของการใช้เสียงแสดงอารมณ์บอกเล่าเรื่องราวว่าเกิดอะไรข้ึน นายแจ้งเคยขับ
เสภาตอน "กําเนิดพลายงาม" ขับเสร็จหันไปดูคนฟัง ปรากฏว่านั่งร้องไห้กันหลายคน นั่นคือการขับเสภาไปกระทบ
ใจเขา นายแจ้งเคยร้องเอาเนอื้ ความเป็นใหญ่ สัมผัสลดน้อยลงไป แต่ ม.ล.ป่ิน มาลากุล ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2530
สาขาวรรณศลิ ป์กวนี ิพนธ์ ท่านบอกวา่ ไม่ได้ ไม่งน้ั คนไทยจะมีกลอนทําไม ต้องอ่านให้สัมผัสถึงจะเป็นกลอน ถ้าเอา
เน้ือความเป็นใหญ่เขียนร้อยแก้วเสียก็หมดเร่ืองเลยต้องเอาสัมผัสเป็นตัวตั้ง ความอยู่ทีหลัง ช่วงท่ี มล.ปิ่น มาลากุล
เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในวันคล้ายวันเกิดของท่านทุก ๆ ปี ครูแจ้งมีหน้าท่ีต้องไปอ่านบทกลอน
ของ มล.ปิ่นให้ท่านฟัง ที่ หออัครศิลปิน ท่านมักจะชอบเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ครูแจ้งฟังบทที่ใช้ในการขับเสภาน้ัน
นายแจ้งเอามาจากวรรณคดีท้ังหมด ต้องอ่านวรรณคดีทุกเร่ือง ไม่มีเร่ืองไหนไม่เคยอ่าน หรือพระนิพนธ์ในสมเด็จ
พระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ก็นํามาขับเสภาได้ บางคร้ังก็มีแต่งบทเสภาขึ้นใหม่ การขับเสภา
สามารถขบั ได้ทุกงาน ใช้ขบั ไดท้ ง้ั งานมงคล และอวหมงคล ตั้งแต่งานวนั เกดิ งานโกนจกุ งานข้นึ บ้านใหม่ งานมงคล
83
สมรส งานฉลองต่าง ๆ จนถึงงานตอนตายคืองานศพนั่นแหละ ซ่ึงก็ ต้องแต่งหรือนําบทขับเสภาในวรรณคดี ท่ีมีอยู่
แล้ว นาํ เอามาใช้ขบั ให้เหมาะกบั งานนนั้ ๆ เช่น ถา้ งานศพ ก็จะบอกถึงคุณความดี ประวตั ิตา่ ง ๆ ของผูต้ าย
เกียรติยศที่ภาคภมู ใิ จ
นายแจ้ง คล้ายสีทอง ได้ขับร้องเพลงถวายหน้าพระท่ีน่ังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จ
พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ณ ตําหนักเรือนต้นและที่อ่ืน ๆ เน่ืองในงาน พระราชทานเล้ียงรับรองพระราช
อาคนั ตกุ ะสว่ นพระองคเ์ สมอ ๆ สมเดจ็ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะมีพระราชเสาวนีย์ให้นายแจ้ง ร้องเพลง
ทีโ่ ปรดเปน็ พเิ ศษ อนั ได้แก่ เพลงลาวครวญ ลาวดวงเดือน ลาวคาํ หอม เปน็ ตน้ และมีพระราชกระแสรบั สง่ั ชมเชยวา่
รอ้ งเพราะเสียงดี ยงั มีความปลาบปลมื้ แกน่ ายแจ้ง คลา้ ยสีทองเปน็ อย่างยิ่ง
นอกจากนี้ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานเหรียญราชรุจิ จากพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยูห่ ัว เม่ือคราวขบั ไมป้ ระกอบ ซอสามสายในพระราชพิธขี น้ึ ระวาง สมโภชพระศรีนรารัฐราชกิริณี ท่ีจังหวัด
นราธิวาส เมอื่ ปี พ.ศ. 2520 และได้รับพระราชทานเหรียญ รัตนาภรณ์ในงานพระราชพิธีขึ้นระวาง และสมโภชช้าง
สําคัญ 3 เชือกที่จังหวัดเพชรบุรี ปี พ.ศ. 2521 นับว่าเป็นผู้ขับร้องเพลงไทย คนสําคัญอีกคนหนึ่งของประเทศไทย
จากการท่ี นาย แจ้ง คล้ายสีทอง ได้ทํางานสร้างสรรค์ศิลปะตลอดเวลา โดยการถ่ายทอดอารมณ์จากการตีกรับขับ
เสภาอันถือว่าเป็นงานละเอียดยิ่ง จากประวัติชีวิตและผลงานดังกล่าว สํานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
จึงประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติให้ นายแจ้ง คล้ายสีทอง เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (คีตศิลป์) เม่ือ
วันที่ 15 ธนั วาคม พ.ศ. 2538
นายแจง้ คล้ายสีทองเคยได้รบั รางวัลดีเด่นในด้าน การอนุรักษ์ภาษาไทยจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี ความสามารถด้านน้ี นายแจ้งบอกว่าก็เพราะการท่ีได้เป็นลูกศิษย์ก้นกุฎิอยู่บ้านตา จึงได้มี
โอกาส ฝกึ ดา้ นการใช้ภาษา และการเปลง่ เสียงมาต้งั แต่เด็ก ๆเม่ือวันที่ 5 มิ.ย. พ.ศ. 2551 นายแจ้ง คล้ายสีทอง ได้
ขับเสภาหนา้ พระทน่ี ัง่ ในการแสดงดนตรไี ทยโดยครูอาวโุ สชายแห่งกรุงรัตนโกสนิ ทร์ เนอื่ งในโอกาส สมเด็จพระเทพ
รตั นราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๕๓ พรรษา พุทธศักราช ๒๕๕๑ ณ.ศูนย์วัฒนธรรม
แหง่ ประเทศไทย โดยสมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ เสดจ็ มาเปน็ องค์ประธาน เนื่องในโอกาส ทรงเจริญพระชนมายุ
53 พรรษา ในปี พ.ศ. 2551 โดยได้แสดงในชุดการแสดงที่ 1 การขับเสภา "กราบรําลึกถึงองค์แก้วกัลยา" โดยมี
ผศ.ไกรทอง โชตวิ ฒุ ิพฒั นา และ ผศ.สรุ พล สวุ รรณ รอ้ ยกรองบท และขับร้องในการแสดงชดุ ท่ี 5 เดีย่ วซอดว้ ง"เพลง
กราวใน" โดยมี ครูโกวิทย์ ขันธศิริ เป็นผู้เดี่ยวซอด้วง ครูอนันต์ ดุริยพันธ์ - เคร่ืองกํากับจังหวะหน้าทับ และครู
สมพงษ์ ภศู่ ร - ฉง่ิ
ถึงแกก่ รรม
ครูแจ้ง คล้ายสีทอง ศิลปินแห่งชาติ สาขาคีตศิลป์ ถึงแก่กรรมโดยสงบ ณ โรงพยาบาลศิริราช ประมาณ 9
นาฬิกา ใน วันอังคาร 16 มิถุนายน พ.ศ. 2552 เวลาประมาณ ๐๙.๐๐ น. ด้วยอาการโรคหัวใจแทรกซ้อนและเส้น
เลือดตีบฉับพลัน หลังจากท่ีล้มป่วยก่อนหน้านี้ด้วยโรคเส้นเลือดในหัวใจตีบจนเป็นอัมพฤกษ์ ต้องเข้ารักษาตัวที่
โรงพยาบาลสุพรรณบุรีและย้ายมารักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช ทางครอบครัวจะนําศพไปทําพิธีทางศาสนาท่ีวัด
ป่าเลไลยก์วรวิหาร เลขท่ี ๒๔๙ หมู่ท่ี ๒ ตําบลร้ัวใหญ่ อําเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ทางฝ่ังด้านทิศ
ตะวันตกของแม่นาํ้ สุพรรณ หรือ แมน่ ้าํ ทา่ จีน
เม่ือวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๓ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินไป
ในการพระราชทานเพลิงศพนายแจ้ง คล้ายสีทอง ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (คีตศิลป์ไทย) ณ
ฌาปนสถาน วดั ปา่ เลไลยว์ รวิหาร จงั หวัดสุพรรณบุรี
84
4.2 สุรพล สมบัตเิ จริญ
(เดิมช่ือลาํ ดวน) เกิดเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2473 เป็น
คนสุพรรณบุรีโดยกําเนิด เป็นนักร้องเพลงลูกทุง่ เจ้าของเพลงดัง "16
ปีแหง่ ความหลงั " ลาํ ดวน สมบัตเิ จรญิ อาศัยอยู่ที่บ้านเลขท่ี 125 ถนน
นางพิม อําเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี ฐานะทางครอบครัวแต่เดิม
ค่อนข้างดี คุณพ่อรับราชการอยู่แผนกสรรพากรจังหวัด ช่ือ เปล้ือง
สมบัติเจริญ ส่วนคุณแม่ช่ือ วงศ์ นอกจากเป็นแม่บ้านแล้วยังค้าขาย
เล็กๆน้อยๆ ภายในบ้านกลางใจเมืองสุพรรณ สุรพลเป็นบุตรชาย คน
ท่ี 2 ในบรรดาพ่ีน้องท้องเดียวกัน 6 คน หลังจบชั้นประถมจาก
โรงเรียนประสาทวิทย์ ก็มาเรียนที่โรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัยจนจบ
มัธยมปที ี่ 6 เมือ่ เรยี น จบทีส่ ุพรรณบรุ ีคุณพ่อก็จัดส่งสุรพลเข้ามาเรียน
ต่อท่ีโรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวาย แต่สุรพลก็เรียนได้เพียงปีครึ่งก็
ต้องลาออกเพราะใจไม่รักแต่ด้วยไม่อยากขัดใจคุณพ่อ การเรียนก็เลย
ไม่ดี เขาไปสมัครเป็นครูสอนหนังสืออยู่ท่ีโรงเรียนสุพรรณกงลิเสีย
เส้ียว เป็นโรงเรียนจีน แต่สอนอยู่ได้แค่ครึ่งปีก็ลาออก ด้วยใจไม่ได้รักอาชีพน้ีอย่างจริงจังเขาได้สมัครเข้าไปเป็น
ทหารอยู่ที่โรงเรียนนักเรียนจ่าทหารเรือ แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดข้ึน เม่ือชะตาเขาพลิกผกผัน หลังจากเขาได้หนี
ราชการทหารเรือ จนได้รับโทษถูกคุมขัง เขาได้กลายเป็นขวัญใจของนักโทษ ด้วยการร้องเพลงกล่อมก่อนนอน เม่ือ
ได้รับอิสรภาพ สุรพลได้ทิ้งเส้นทางทหารเรือ สุรพล มีโอกาสได้ร้องเพลงในงานสังสรรค์กองทัพอากาศ นํ้าเสียง
ของเขาได้โดนใจหัวหน้าคณะนักมวยเลือดชาวฟ้า อย่างเรืออากาศศรีปราโมทย์ วรรณพงษ์ จึงเรียกตัวเขาไปพบใน
วันรุ่งข้ึน และย่ืนโอกาสให้สุรพลย้ายไปเป็นนักร้องประจํากองดุริยางค์ทหารอากาศในปี พ.ศ. 2496 เพลง 'นํ้าตา
ลาวเวียง' เป็นเพลงแรกที่ได้บันทึกเสียง แต่เพลงที่ทําให้เป็นท่ีรู้จักท่ัวไปคือเพลง 'ชูชกสองกุมาร' หลังจากนั้น
ช่ือเสียงของสุรพล ก็เป็นท่ีนิยมมากขึ้น และมีผลงานชุดใหม่ออกมาเร่ือยๆ เช่น 'สาวสวนแตง' 'เป็นโสดทําไม' 'ของ
ปลอม' 'หนาวจะตายอยู่แล้ว' 'หัวใจผมว่าง' 'สาวจริงน้อง' 'ขันหมากมาแล้ว' 'น้ําตาจ่าโท' 'มอง' และ อีกหลายเพลง
และทําให้คนรู้จักความเป็น "สุรพล สมบัติเจริญ" อย่างแท้จริงในเวลาต่อมาก็คือเพลง "ลืมไม่ลง" และเมื่อช่ือเสียง
เร่ิมเปน็ ทีร่ ู้จกั ของคนทวั่ ไป สรุ พลจึงมงี านร้องเพลงนอกสังกดั ถี่ข้ึนเป็นลําดบั อาทิ รว่ มร้องกับวง "แมมโบ้ร็อค" ของ
เจือ รังแรงจิตรวง "บางกอกช่ะช่ะช่ะ"ของชุติมา สุวรรณรัตน์ และ สมพงษ์ วงษ์รักไทย ส่วนวงดนตรีที่สุรพลร้อง
ด้วยมากที่สุดคือ วง" ชุมนุมศิลปิน"ของจํารัส วิภาตะวัตร สุรพล สมบัติเจริญ มีความเคารพต่อคุณประสาน ศิลป์
จารุ (ทองแป๊ะ) เป็นอย่างมาก เพราะเป็นผู้ผลักดันให้ สุรพลมีความมุ่งม่ันในวงการลูกทุ่งยิ่งข้ึนไปอีก เพราะคุณ
ประสานเป็นผู้นําเพลงของสุรพลไปเปิดในสถานีวิทยุกระจายเสียงวรจักร ซึ่งถือเป็นการเปิดตัวเพลงลูกทุ่งในสถานี
วิทยุเป็นครั้งแรกในสมัยน้ัน และเป็นจุดเร่ิมต้นให้เพลงลูกทุ่งได้รับการยอมรับ และมีการพัฒนาเป็นอย่างมากมา
จนถึงปัจจุบัน ตลอดชีวิตของการเป็นนักร้อง สาเหตุท่ีทําให้ "สุรพล" ได้รับการยอมรับว่าเป็นราชาเพลงลูกทุ่ง
เพราะความอัจฉริยะในตัวเองท่ีสามารถแต่งเพลง และยังคงเป็นที่จดจําจนทุกวันนี้ก็มี อาทิ ลืมไม่ลง, ดําเนินจ๋า,
แซ่ซ้ีอ้ายล้ือเจ็กนั้ง, หัวใจเดาะ, สาวสวนแตง, น้ําตาจ่าโท, สนุกเกอร์, นุ่งสั้น, จราจรหญิง, เสน่ห์บางกอก และ 16
ปีแห่งความหลัง เปน็ ตน้ นอกจากจะแตง่ เอง รอ้ งเอง "สรุ พล" ยังทําหนา้ ทีค่ รูแต่งเพลงให้คนอื่นร้องจนโด่งดังอกี ด้วย
อย่างเช่น ผ่องศรี วรนุช, ไพรวลั ย์ ลูกเพชร, ละอองดาว สกาวเดือน, ยงยุทธ เช่ียวชาญชัย, เมืองมนต์ สมบัติ
เจริญ เป็นต้น "สุรพล สมบัติเจริญ" ถูกยิงเสียชีวิต หลังจากการแสดงบนเวทีที่วิกแสงจันทร์ หน้าวัดหนองปลาไหล
อําเภอกาํ แพงแสน จงั หวดั นครปฐม เมือ่ วนั ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2511 เม่ืออายุเพยี ง 37 ปี 10 เดอื น 23 วัน
85
4.3 สายัณห์ สญั ญา
มีชื่อจริงเดิมว่า "สายัณห์ ดีเสมอ" ภายหลังเปล่ียนช่ือเป็น
" พรสายัณห์ มีโชคดีเสมอ"มีชื่อเล่นว่า"เป้า"เกิดเม่ือวันที่ 31
มกราคม พ.ศ. 2496 ท่ี ตําบลป่าสะแก อําเภอเดิมบางนางบวช
จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรนายอ่อง และนางบุญช่วย ดีเสมอ ซ่ึง
ประกอบอาชีพเป็นชาวนาเม่ือตอนเด็ก ๆ ได้รํ่าเรียนหนังสือท่ี
โรงเรียนใกล้ ๆ บ้านคือโรงเรียนวัดป่าสะแก จนจบการศึกษา ชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 4 แล้วก็ออกมาช่วยพ่อแม่ทํานาที่บ้าน แต่ทว่า
อยไู่ ดไ้ มน่ านคณุ พ่อก็เสียชีวติ กลางคันปล่อยให้ สายัณห์ ต้องเผชิญ
เวรเผชิญกรรมอยู่กับแม่บังเกิดเกล้าเท่าน้ัน สายัณห์นิยมชมชอบ
และรักการร้องเพลงลูกทุ่งมาต้ังแต่เด็ก ตระเวนประกวดร้องเพลง
มามากมายนับครั้งไม่ถ้วน ได้รับรางวัลชนะเลิศมาก็หลายคร้ัง โดย
มีญาติผู้ใหญ่ที่ช่ือน้าสว่างเป็นผู้พาไปสมัครประกวดร้องเพลงตาม
สถานท่ตี ่าง ๆจากนัน้ ออกมาชว่ ยพอ่ แมท่ ํานา สายัณห์ชอบการร้อง
เพลงลูกทุ่งมาตั้งแต่เด็ก เคยประกวดร้องเพลงมามากมายต่อมาเขาไปสมัครเป็นนักร้องอยู่วงดนตรีเทียนชัย สมยา
ประเสริฐ (สามี ผ่องศรี วรนุช) แต่ยังไม่ได้ออกหน้าเวทีจากน้ันได้ย้ายไปอยู่กับวงดนตรีผ่องศรี วรนุช (ซ่ึงแยกตัว
ออกมาจากเทยี นชัย) ตามคําชักชวนของราเชนทร์ เรืองเนตร ท่ีนี่สายัณห์เร่ิมออกเวทีในฐานะหางเคร่ือง ต่อมาก็ได้
มีโอกาสร้องเพลงด้วย ช่วงน้ีเขาร้องเพลงแนวของศรคีรี ศรีประจวบ เป็นหลัก สายัณห์อยู่ท่ีน่ีได้ 3 ปี วงก็ยุบ
จากนัน้ วา่ ท่ีนักรอ้ งดังแห่งยุค ก็ไปอยู่กับวงดนตรีอีกมากมายหลายวง อย่าง "รวมดาวกระจาย" ของครูสําเนียง ม่วง
ทอง , บรรจบ เจริญพร , ก้าน แก้วสุพรรณ และชินกร ไกรลาศ โดยในยุคน้ีสายัณห์ ใช้ช่ือว่า"กัมชัย ลูกราษฎร์
บํารุง" ต่อมาสายัณห์มาอยู่กับวง "รวมพร" ของคุณเล็ก และคุณน้อยศรี อิงคะนันท์ เจ้าของปั๊มนํ้ามันพรรุ่งโรจน์
ย่านบุคคโล และได้รับการสนับสนุนจากคนท้ังสอง ให้บันทึกเสียงเป็นครั้งแรก คือ "รักเธอเท่าฟ้า" ของครูฉลอง
การะเกต ซึ่งทําให้เขาพอจะเป็นท่ีรู้จักของแฟนเพลงอยู่บ้าง พ.ศ. 2515 คุณพ่อเล็ก และคุณแม่น้อยศรี อิง
คะนันท์ ออกทนุ ใหส้ ายณั ห์อดั แผน่ เสยี ง เริม่ ต้นจาก เพลงรักเธอเท่าฟา้ และ เพลงพลดั คู่ ความหวงั ท่ีตงั้ ใจ คือเพลง
ดงั จะไดม้ ีงานทาํ มีเงนิ ใชเ้ หมือนคนอืน่ เขาบา้ ง แต่ความหวังทค่ี ิดวา่ เพลงมันจะดงั กลบั เป็นหมนั แผ่นเสยี งถกู เกบ็ กกั
ดอง แช่เย็น กําลังใจหดหู่อยู่ไปก็ไม่มีความสุข อยู่กับชินกร ได้ไม่นานเพียงปีเศษก็อําลาออกจากวง จึงเข้าร่วมวง
ดนตรรี วมพร แตก่ ไ็ ปไมร่ อด ทสี่ ดุ กเ็ ป็นเดก็ ล้างรถอยใู่ นป๊ัมน้าํ มนั พรรุ่งโรจน์ บุคคโล ชะตาเวียนวนจนเวียนหัว ชีวิต
ไม่มีอะไรดีข้ึน จะกลับบ้านก็กลับไม่ได้ วันหนึ่งขณะที่สายัณห์ช่วยงานล้างรถอยู่ที่ป๊ัมนาํ้ มัน ชลธี ธารทอง ครูเพลง
ชื่อดังท่ีตอนนั้นยังเป็นนักร้อง และนักแต่งเพลงท่ีไม่ค่อยมีช่ือเสียง และตัดสินใจจะกลับไปใช้ชีวิตชาวไร่ที่บ้านนอก
เพราะไมป่ ระสบความสําเร็จในวงการเพลง ได้แวะมาเข้าห้องนํ้าที่ปั๊มแห่งน้ี และได้ยินสายัณห์ ร้องเพลงของ ศรคีรี
ศรปี ระจวบ ไดถ้ ูกใจ หลงั จากไดค้ ุยกนั สายณั หบ์ อกว่าเขาอยากเป็นนักร้อง และมีนายทุนซึ่งก็คือ เจ้าของป๊ัมนํ้ามัน
น่ันเอง ชลธี จึงมอบเพลงลูกสาวผู้การ และ เพลงแหม่มปลาร้า ให้สายัณห์ฟรี ๆ โดยเดิมที 2 เพลงน้ีชลธีจะแต่งให้
ศรคีรีร้อง แต่ ศรคีรีโชคร้ายประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวติ ไปก่อน การได้ร้องบันทึกแผ่นเสียง 2 เพลงน้ีได้รับ
ความอุปการะจากคุณพ่อเล็ก และคุณแม่น้อยศรี เช่นเดิม ก่อกําเนิดวงดนตรีน้องใหม่ที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน ยัง
ไม่รวู้ ่าผลงานการแสดงจะเป็นอยา่ งไรบ้าง จะน่าดูหรือไมน่ ่าดู จากการผลักดันสนับสนุนของคุณพ่อเล็ก และคุณแม่
นอ้ ยศรี องิ คะนันท์ ผมู้ พี ระคณุ มาตงั้ แต่แรก
86
4.4 ยืนยง โอภากลุ
หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ แอ๊ด คาราบาว เป็นศิลปินเพลงเพ่ือ
ชีวิตชาวไทย เกิดเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2497 ที่
ตําบลท่าพี่เล้ียง อําเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี ในครอบครัว
ชนช้ันกลางของคนไทยเช้ือสายจีน เป็นบุตรชายฝาแฝดคน
สดุ ทอ้ งของ นายมนสั โอภากุล (แซโ่ อ) และนางจงจินต์ แซ่ต้ัง
(ปัจจุบัน บิดาและมารดาเสยี ชีวิตแล้ว)
ยืนยง โอภากุล มีจิตใจรักเสียงเพลงและดนตรีมา
ต้ังแต่เด็ก ๆ จากการท่ีเป็นชาวสุพรรณบุรีโดยกําเนิด จึงได้
ซึมซบั การละเล่นพน้ื บา้ นของภาคกลาง เช่น ลาํ ตดั , เพลงฉ่อย
เพลงอีแซว รวมถึงรําวง และเพลงลูกทุ่ง จากการที่พ่อ คือ
นายมนัส เป็นผู้จัดการวงดนตรีลูกทุ่ง ต่อมาเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น
ได้รับอทิ ธพิ ลจากดนตรีแนวตะวันตกจงึ หันมาเล่นเครื่องดนตรี
ตะวันตกตา่ ง ๆ เช่น กตี าร์ ซง่ึ เหล่าน้ีได้เป็นอิทธิพลในการเปน็ นักดนตรีในเวลาต่อมา ยืนยงเร่ิมเข้ารับการศึกษาช้ัน
ประถมท่ีโรงเรียนวัดสุวรรณภูมิ และสําเร็จการศึกษาช้ันมัธยมจากโรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัย และเดินทางเข้าสู่
กรุงเทพมหานครเพ่ือศึกษาต่อเหมือนเด็กต่างจังหวัดท่ัวไป โดยขอติดมากับรถขนส่งไปรษณีย์ เข้าเรียนต่อใน
สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขต อุเทนถวาย (โรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวาย) และต่อในระดับปริญญาตรี
สาขาสถาปตั ยกรรมศาสตร์ ที่สถาบันเทคโนโลยีมาปัว ประเทศฟิลิปปินส์ เป็นเวลา 1 ปี (ในปี พ.ศ. 2556 ได้รับ
ปรญิ ญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักด์ิ สาขาดนตรีไทยสมัยนิยม จากมหาวิทยาลัยรามคําแหง ท่ีฟิลิปปินส์ ยืนยง โอภากุล
ไดพ้ บกับเพ่อื นคนไทยที่ไปเรียนหนังสือท่ีน้ัน คือ สานิตย์ ลิ่มศิลา หรือ ไข่ และ กีรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร หรือ
เขียว ซ่ึงยืนยงได้มีโอกาสฟังเพลงของ เลดเซพเพลิน, จอห์น เดนเวอร์, ดิ อีเกิ้ลส์ และปีเตอร์ แฟลมตัน จาก
แผ่นเสียงท่ี ไข่ สานิตย์ ลิ่มศิลา สะสมไว้เป็นจํานวนมาก ต่อมา ทั้ง 3 จึงร่วมกันตั้งวงดนตรีขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า
"คาราบาว" เพื่อใช้ในการแสดงบนเวทีในงานของสถาบัน โดยเล่นดนตรีแนวโฟล์ค เมื่อ ยืนยง โอภากุลสําเร็จ
การศึกษาและกลับมาเมืองไทย ได้ทํางานประจําเป็นสถาปนิกในสํานักงานเอกชนแห่งหนึ่ง และมีงานส่วนตัวคือรับ
ออกแบบบ้านและโรงงาน ต่อมาเม่ือไข่และเขียวกลับมาจากฟิลิปปินส์ ทงั้ 3 ได้เล่นดนตรีร่วมกันอีกคร้ังโดยเล่นใน
ห้องอาหารทีโ่ รงแรมวนิ เซอร์ ซอยสขุ มุ วิท 20 และตอ่ มาย้ายไปเลน่ ท่ีโรงแรมแมนดาลิน สามยา่ น โดยขึ้นเล่นในวัน
ศกุ ร์และเสาร์ แตท่ างวงถูกไลอ่ อกเพราะขาดงานหลายวนั โดยไมบ่ อกกลา่ ว เม่ือวงถกู ไล่ออก ไข่ จึงได้แยกตัวออกไป
ทํางานรับเหมาก่อสร้างอยู่ทางภาคใต้ แอ๊ดและเขียวยังคงเล่นดนตรีต่อไป โดยเล่นร่วมกับวง โฮป ต่อมาปี พ.ศ.
2523 ดร.ยืนยง โอภากุล ได้ทํางานเป็นสถาปนิก ประจําสํานักงานบริหารโครงการ ของการเคหะแห่งชาติ ส่วน
เขียวทํางานเป็นวิศวกร ประเมินราคาเครื่องจักรโรงงานอยู่กับบริษัทของฟิลิปปินส์ที่มาเปิดสาขาในประเทศไทย
และท้ังคู่จะเล่นดนตรีในตอนกลางคืน โดยเล่นประจําท่ีดิกเก็นผับ ในโรงแรมแอมบาสเดอร์ สุขุมวิท มีชื่อเสียงจุด
เปลย่ี นของชีวติ ยนื ยง โอภากุล อยทู่ ี่การรบั หน้าทเ่ี ปน็ โปรดวิ เซอร์อลั บั้มชุดแรกให้กับวงแฮมเมอร์ ในปี พ.ศ. 2522
ในชุด "บินหลา" โดย ยืนยง โอภากุล ยังเป็นผู้ออกแบบปกอัลบั้มด้วย ซึ่งอัลบั้มชุดนี้ทําให้แฮมเมอร์เป็นที่รู้จักใน
วงการเพลง และปี พ.ศ. 2523 แอ๊ดยังได้แต่งเพลง ถึกควายทุย ให้แฮมเมอร์บันทึกเสียงในอัลบั้ม "ปักษ์ใต้บ้านเรา"
อัลบั้มชุดดังกล่าวทําให้แฮมเมอร์โด่งดังอย่างมาก หลังจากน้ันจึงได้ร่วมกับวงแฮมเมอร์ออกอัลบั้มเพลงข้ึนมาในชื่อ
"คณะชานเมือง" โดยเป็นดนตรีแนวโฟล์คลูกทุ่ง และได้ร่วมแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ของพนม นพพรเรื่อง
หมามุ่ย ในปี พ.ศ. 2524หลังจากนน้ั ตวั ของ ยนื ยง โอภากลุ ก็มคี วามคิดที่ว่าหากจะออกอัลบมั้ เปน็ ของตวั เอง คงจะ
87
ประสบความสําเร็จเช่นเดียวกัน จึงร่วมกับเขียว ออกอัลบ้ัมชุดแรกของวงคาราบาวในชื่อชุด "ขี้เมา" ในปี พ.ศ.
2524 สังกัดพีค๊อกสเตอริโอ ซ่ึงไม่ประสบความสําเร็จมากนัก ในระหว่างนั้นวงคาราบาวในยุคแรกก็ได้ออกทัวร์เล่น
คอนเสิร์ตตามโรงภาพยนตร์ต่าง ๆ ท่ัวประเทศ แต่ไม่ได้รับความสนใจเท่าไร บางคร้ังมีคนดูไม่ถึง 10 คนก็มี คารา
บาว มาประสบความสาํ เรจ็ ในอัลบั้มชุดที่ 5 ของวง คือ ชุด "เมด อิน ไทยแลนด์" ที่ออกในปลายปี พ.ศ. 2527 ซ่ึงมี
ยอดจําหน่ายสูงถึง 5 ล้านตลับ และนับต้ังแต่น้ัน ชื่อของ ยืนยง โอภากุล ก็เป็นที่รู้จักกันดีของคนไทย และออก
ผลงานเพลงร่วมกับวงคาราบาวมาอย่างต่อเน่ือง รวมถึงได้แสดงคอนเสิร์ตท่ีสหรัฐอเมริกาอีกด้วยโดย ยืนยง
โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว ทําหน้าที่เป็นหัวหน้าวง เป็นผู้มีบุคลิกเป็นตัวของตัวเองสูง กล้าพูดกล้า
วิพากษ์วิจารณ์เรื่องราวต่าง ๆ ในสังคมอย่างแรงและตรงไปตรงมา โดยสะท้อนออกมาในผลงานเพลง ท่ีเจ้าตัวจะ
เป็นผู้เขียนและร้องเองเป็นส่วนใหญ่ ซ่ึงมีออกมามากมายทั้งอัลบั้มในนามของวงและอัลบ้ัมเด่ียวของตนเอง จนถึง
วันน้ีไม่ต่ํากว่า 900 เพลง รวมถึงการแสดงออกในทางอ่ืน ๆ ด้วย ซึ่งก็มีท้ังผู้ที่ชอบและไม่ชอบ โดยผู้ที่ไม่ชอบ
คดิ เห็นวา่ เปน็ การแสดงออกที่ก้าวร้าว รวมถึงตั้งข้อสังเกตด้วยถึงเร่ืองการกระทําของตัวยืนยงเอง
4.5 กา้ น แก้วสพุ รรณ
มีชื่อจริงว่า มงคล หอมระรื่น มีช่ือเล่นว่า แดง เป็นชาว
อําเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี ครอบครัวมีฐานะยากจนจึงถูกนํามา
ฝากเลี้ยงและต่อมาก็ได้เป็นบุตรบุญธรรมของพระครูสุนทรานุกิจ
(หลวงพอ่ วดั สามชกุ )เพื่อให้มีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียนหลังจบการศึกษา
ช้ัน ป.4 หลวงพ่อต้องการส่งก้าน แก้วสุพรรณ มา ศึกษาต่อที่
กรุงเทพฯ โดยให้มาอยู่ที่วัดปรินายก ย่านสะพานผ่านฟ้า แต่การท่ีจะ
มาอยู่ท่ีน่ีได้เขาจะต้องบวชเป็นสามเณรเสียก่อนเพียงในวัย 10 ปี ก้าน
แกว้ สุพรรณ จึงได้บวชเป็นสามเณรและศึกษาพระธรรมจนจบนักธรรม
ตรีเม่ืออายุ 17 ปี จากน้ันก็ถูกส่งมาสอบนักธรรมโทที่ กรุงเทพฯ โดย
มาอยู่ท่ี วดั ปรินายก หลังบวชอยู่ได้ไม่นาน ก้าน แก้วสุพรรณ ต้องการ
ออกหางานทํา เพ่ือหารายได้จุนเจือครอบครัว จึงสึกออกมาและมา
ทํางานเป็นกระเป๋ารถเมล์บริษัท รสพ. ประจําอยู่ท่ีอู่ศรีนครแต่ก็ทําได้
ไม่นานเพราะทนกับการถูกรังแกของอันธพาลไม่ไหวจึงตัดสินใจกลับ
บ้านที่สุพรรณบุรี แต่หลังจากท่ีอยู่บ้านไม่นานเขาก็ตัดสินใจกลับเข้า
กรุงเทพฯ อีกคร้ังโดยคราวนี้เข้ามาทํางานเป็นนักมวยตระเวนชกตามงานต่างๆในยุคน้ันใกล้ๆกับสังเวียนมวยท่ีเขา
ไปตระเวนขึน้ ชกมักมีเวทีให้ประชันน้ําเสียงด้วยหลังชกมวยเสร็จ ก้าน แก้วสุพรรณ และเพ่ือนก็มักมาเที่ยวตามเวที
ประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง และเขาก็มักถูกเพ่ือนๆผลักดันให้ขึ้นประกวดแบบจําใจเมื่อเพื่อนๆแอบมาลงช่ือสมัครไว้
ก่อนแล้วเมื่อถูกโฆษกเรียกก็ต้องขึ้นไปแต่เขาก็สามารถคว้าชัยชนะและรางวัลมาครองได้หลายเวทีและเมื่อเห็นว่า
การรอ้ งเพลงดกี ว่าการชกมวยที่ไม่ต้องเหนื่อยและเจ็บตัว กา้ น แกว้ สพุ รรณ กจ็ ึงตระเวนประกวดร้องเพลงไปเรอื่ ยๆ
จนถูกกรรมการขอร้องไม่ให้เข้าประกวดเขาจึงถูกแมวมองมาทาบทามให้ไปเป็นนักรอ้ งบันทึกแผ่นแต่หลังจากท่ีถูก
พาไปพบกับ บังเละ วงค์อาบู และคํารณ สัมบญุ นานนท์ และถกู ปฏเิ สธกลบั มา
เข้าสู่วงการ
จากน้ันไม่นาน เขาได้ทราบข่าวว่า ครู ป. ช่ืนประโยชน์ เปิดโรงเรียนสอนดนตรีและขับร้องเพลง เขาจึงไป
ลองสมัครดูงานน้ีผู้ที่มาสมัครต้องมีการเทสต์เสียงด้วยถ้าคนไหนเสียงเข้าขั้นก็จะถูกเรียกตัวมาในภายหลังงานน้ี
88
กา้ น แกว้ สุพรรณ ไมผ่ ิดหวงั เม่อื ถกู เรียกตัวและเม่ือมาเป็นนักเรียนร้องเพลงเขาก็สร้างความประทับใจให้กับครูด้วย
การอาสาชว่ ยงานสารพดั ทัง้ เกบ็ กวาดปดั ถจู นครู ป. เห็นใจ และได้เป็นศิษย์เอกและบุตรบุญธรรมตอนมีงานแสดงก็
มักถูกเรียกตัวไปร่วมในวงด้วยเมื่ออยู่ท่ีนี่ ก้าน แกว้ สุพรรณ หัดสีไวโอลินและแซ็กโซโฟน แต่ครูเห็นว่าเขาน่าจะเอา
ดีได้ทางกลอง จึงให้ฝึกกลอง แต่ครูก็สอนโน้ตดนตรีและการขับร้องเพลงให้ในท่ีสุดก็แต่งเพลงให้เพลงหนึ่งช่ือ
“คนชาวนา” พร้อมกับพาไปบันทึกเสียงและเปล่ียนชื่อเป็น ก้าน แก้วสุพรรณ จากน้ันก็ได้บันทึกเสียงอีก 2 เพลง
แต่ก็ยังไม่เป็นที่รู้จักในหมู่แฟนเพลง และมาเป็นท่ีรู้จักของแฟนเพลงจากเพลง“หลงกรุง” ซ่ึงแต่งโดยต่อชัย ภู่ชมภู
แต่เสียชีวิตก่อนที่จะแต่งเสร็จ ครู ป. จึงนํามาแต่งต่อ เขาจึงได้เข้ามาเป็นนักร้องแนวหน้าของวงร่วมกับ สุรพล
สมบัติเจริญ, ผ่องศรี วรนุช ก่อนที่จะตอกยํ้าความดังด้วยเพลง แก่งคอย ขณะท่ี ก้าน แก้วสุพรรณ กําลังดัง ครู ป.
ไดห้ ยดุ วง กา้ น แก้วสุพรรณ และเพ่ือนในวงได้ขอเข้ามาทําวงต่อและเปล่ียนช่ือวงเป็นวงดนตรี“ประกายดาว” โดย
ไดร้ วบรวมเอานกั ร้องดงั ในยุคนั้นมาอยใู่ นวงมากมายท้ัง สุรพล สมบตั ิเจริญ, ผ่องศรี วรนุช, ทลู ทองใจ, และ คาํ รณ
สัมบุณนานนท์ วงของเขาจึงมีงานเข้ามาไม่ขาดสายและรับไม่ไหวเขาจึงส่งเสริมให้สุรพล สมบัติเจริญ แยกไปต้ังวง
เพื่อแบ่งงานไปบ้างต่อมาวง“ประกายดาว” เปลี่ยนช่ือมาเป็นวง“ ก้าน แก้วสุพรรณ” และท้ังวงของเขาและของ สุ
รพล สมบัติเจริญ มามากมายหลังเลิกราจากวงการลูกทุ่ง ก้าน แก้วสุพรรณ หันมาจับกิจการด้านร้านอาหาร
จัดสรรที่ดินและปลูกบ้านจัดสรรแต่ก็ไม่ค่อยประสบความสําเร็จจึงเลิกราไปนอกจากนั้นเขาก็ยังปลุกป้ันนักร้อง
ลกู ทุ่งประดบั วงการด้วยหลายคน
ผลงานเพลงดงั
นํ้าตาลกน้ แก้ว, แกง่ คอย, เพราะขอบรว้ั กน้ั , หน่มุ เมอื งนนท,์ รอยไถแปร, โสนน้อยเรอื นงาม, บางพลดั ,
บางซอ่ น, บ้านแพน, แมช่ บาไพร, สาส์นสโี ศก, กระทอ่ มดวงใจ, อกหกั เพราะรักคณุ , ลาแล้วแกว้ ตา, หลงกรุง,
สวรรคช์ าวนา, แก่งหลวง, สาวบา้ นสรา้ ง
ชวี ิตบนั้ ปลาย
ในช่วงท้ายๆของชีวิต ก้าน แก้วสุพรรณ ได้ออกงานรับเชิญบ้างเป็นคร้ังคราวทั้งงานการกุศลและงานตาม
ห้องอาหารและคาเฟ่ ก้าน แก้วสุพรรณ สมรสแล้ว มีภรรยาช่ือ ปิยะวรรณ หอมระร่ืน และมีลูกสาว ช่ือ โชติก
หอมระรนื่ (น้องกวาง) ซ่งึ กาํ ลงั ศึกษาอยใู่ นระดับปริญญาตรี คณะวทิ ยาศาสตร์ เอกฟิสกิ ส์ รว่ มดว้ ย คณะนติ ิศาสตร์
เสยี ชีวติ
ก้าน แก้วสุพรรณ เสียชีวิต ด้วยโรคมะเร็งลําไส้ เมื่ออายุ 75 ปี เม่ือเวลา 06.50 น. วันท่ี 6 ต.ค. พ.ศ.
2556 บําเพ็ญกุศลศพท่ีวัดไร่ขิงซ่ึงทางวัดบอกว่าจะไว้ที่ศาลาเดียวกับ สายัณห์ สัญญา [3] สิ้นนักร้องดังในอดีต
"ก้าน แก้วสุพรรณ" จากโรคมะเร็ง ด้วยวัย 74 ปี โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ ตั้งสวดพระอภิธรรมศพวัดไร่ขิง
"ก้าน แก้วสุพรรณ" นักร้องลูกทุ่งช่ือดังในอดีต ที่นอนพักรักษาตัว ที่โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง)
จังหวัดนครปฐม หลงั มอี าการแนน่ ท้อง หายใจไมอ่ อก ตอนน้แี พทยง์ ดใหอ้ าหารและนอนรักษาตัวอยู่ที่ช้ัน 3 ห้อง 8
ผู้ป่วยพิเศษ 3 ตั้งแต่เม่ือวันที่ 23 ก.ย. ท่ีผ่านมาน้ัน ล่าสุด ทางโรงพยาบาลแจ้งว่า นักร้องดังในอดีตได้เสียชีวิตลง
แล้ว ด้วยโรคมะเร็งลําไส้ อายุ 74 ปี เม่ือเวลา 06.50 น. เมื่อช่วงเช้ามืดของวันที่ 6 ต.ค. โดยญาติจะตั้งสวดพระ
อภิธรรมศพที่วัดไร่ขิง ตามความต้องการของก้าน แก้วสุพรรณ ท่ีได้สั่งเสียไว้ก่อนท่ีจะเสียชีวิต ซ่ึง ครูก้าน แก้ว
สุพรรณ ได้ป่วยเป็นมะเร็งลําไส้มาปีกว่า และได้เข้ารับการรักษากับทางแพทย์สมุนไพร และแพทย์แผนปัจจุบัน
หลายแห่ง แต่อาการก็คงยังไม่ดีขึ้น ย่ิงนับวันร่างกายยิ่งซูบผอมและมีอาการท่ีทรุดลง โดยมี นางหยก แก้วสุพรรณ
ภรรยาวัย 64 ปี คอยให้การดูแลอย่างใกล้ชิด สําหรับประวัติ ก้าน แก้วสุพรรณ มีชื่อจริงว่า มงคล หอมระรื่น มีช่ือ
เล่นว่า แดง เป็นชาว อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี บทเพลงที่สร้างช่ือเสียง อาทิ นํ้าตาลก้นแก้ว, โสนน้อยเรือนงาม ถือ
ว่าเป็นนกั รอ้ งแนวหนา้ ของวงร่วมกับ สุรพล สมบตั ิเจรญิ , ผ่องศรี วรนชุ อีกท่านหนึง่
89
4.6 พุม่ พวง ดวงจนั ทร์
ช่ือเล่น ผึ้ง หรือชื่อจริง รําพึง จิตรหาญ นักร้องเพลงลูกทุ่ง
เจ้าของฉายา ราชินีลูกทุ่ง ได้ชื่อว่ามีนํ้าเสียงออดอ้อน หวาน
จําเนื้อร้องได้แม่นท้ังที่ไม่รู้หนังสือ และเป็นแม่แบบให้กับ
นักรอ้ งรนุ่ หลัง
รําพึง จิตรหาญ เกิดที่ อําเภอหันคา จังหวัดชัยนาท
โตที่อําเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรีของ นาย
สําราญ และนางเล็ก จิตรหาญ ครอบครัวมีอาชีพรับจ้างทําไร่
อ้อย เกิดในครอบครัวยากจน เป็นลูกคนท่ี 5 ของบ้านใน
จํานวน 12 คนรําพึง ช่ืนชอบการร้องเพลงลูกทุ่งต้ังแต่เด็ก
ถึงแม้ว่าเธอจะอ่านหนังสือไม่ออกแต่ก็มีความจําดีเย่ียม เธอ
เร่ิมหัดร้องเพลงและเข้าประกวดตามงานต่าง ๆ ต้ังแต่อายุ 8
ปี โดยใช้ชื่อว่า นํ้าผึ้ง ณ ไร่อ้อย เธอเข้าประกวดล่ารางวัลไป
ทั่ว และต่อมาอยู่กับวงดนตรีท่ีกรุงเทพฯ กับดวงอนุชา ต้ังแต่
อายุประมาณ 10 ขวบ แต่ยังไม่ได้เป็นนักร้องอาชีพก็กลับบ้านอําเภอสองพี่น้องในปี พ.ศ. 2518 เม่ืออายุได้ 15 ปี
ไวพจน์ เพชรสุพรรณ นําวงดนตรีมาแสดงที่วัดทับกระดาน เธอได้ร่วมร้องเพลงและแสดงความสามารถจนไวพจน์
เห็นความสามารถ เกิดความเมตตา จึงรับเป็นบุตรบุญธรรมและพาไปอยู่กรุงเทพฯ เร่ิมต้นอาชีพด้วยการเป็นหาง
เครือ่ งและนักร้องพลาง ๆ ก่อนทไ่ี วพจน์ จะแตง่ เพลงและอดั แผน่ เสยี งชดุ แรกให้ ช่ือเพลง แก้วรอพ่ี เพลงแต่งแกก้ ับ
เพลง "แก้วจ๋า" โดยใช้ช่ือในการร้องเพลงว่า น้ําผ้ึง เมืองสุพรรณพ.ศ.2521 พุ่มพวงได้รับรางวัลพระราชทานเสา
อากาศทองคําพระราชทาน จากเพลง"อกสาวเหนือสะอื้น" นอกจากน้ี ยังได้เป็นผู้ร้องเพลง "ส้มตํา" พระราชนิพนธ์
ในสมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าสยามบรมราชกมุ าร
ต่อมา 3 เมษายน แพทย์เจ้าของไข้เปิดเผยว่าพุ่มพวงอาการดีขึ้น ทางด้านญาติของพุ่มพวงมีความเห็นว่า
ควรรักษาด้วยไสยศาสตร์ เน่ืองจากเช่ือว่าถูกปองร้ายด้วยไสยศาสตร์ด้วยวิธีการคุณไสย ต่อมาวันที่ 13 มิถุนายน
พ.ศ. 2535 เดินทางออกจากโรงพยาบาลศิริราชเพื่อไปรักษาด้วยวิธีทางไสยศาสตร์ ไปจังหวัดพิษณุโลกโดยเดินทาง
ด้วยรถตู้ แต่หลังจากกราบไหว้พระพุทธชินราช เมื่อเวลาประมาณ 13.00 น. ก็เกิดอาการช็อคและหมดสติ ญาติ
นําส่งโรงพยาบาลพุทธชินราช กระท่ังถึงแก่กรรมอย่างสงบเม่ือเวลา 20.55 น. นอกจากนี้ยังมีการสรา้ งหุ่นพุ่มพวง
ตั้งอยู่ในศาลาริมสระนํ้า วัดทับกระดาน อําเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งมีการจัดงานรําลึกถึงพุ่มพวงทุกปี
ช่วง 13-15 มิถนุ ายน ซึง่ เป็นวันครบรอบการเสยี ชีวติ ของเธอ
4.7 ไวพจน์ เพชรสุพรรณ
มีช่ือจริงว่า พราน สกุลณี เกิดเมื่อ 7 มีนาคม พ.ศ. 2485 ท่ี หมู่ 2 ตําบลมะขามล้ม(ปัจจุบันเป็น ตําบล
วังนาํ้ เย็น) อาํ เภอบางปลามา้ จงั หวดั สุพรรณบุรี เป็นบุตรนายจําปี และนางอ่ํา สกุลณี เรียนจบช้ันประถมศึกษาปีที่
4 โรงเรียนวัดวังนํ้าเย็น อําเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี เข้าสู่วงการไวพจน์ เพชรสุพรรณ เร่ิมหัดร้องเพลงอี
แซว เพลงพื้นบ้านของ จ.สุพรรณบุรี ตั้งแต่อายุ 2 ขวบ โดยได้ฝึกหัดและหัดตามมารดา ซ่ึงเป็นแม่เพลง อีแซว จน
สามารถร้องเพลงอแี ซว และเพลงแหล่ได้เมอ่ื อายุ 14 ปี จากนน้ั ไดห้ ัดรอ้ งลิเกกับคณะลิเกประทปี แสงกระจ่าง เม่ือ
อายุ 16 ปไี ดเ้ ข้าประกวดรอ้ งเพลงครง้ั แรกท่ีวัดทา่ ตลาด ตาํ บลวัดโบสถ์ อําเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี เพลง
ทร่ี อ้ งเป็นเพลงแหล่ของ พร ภริ มย์ ชอ่ื เพลง “จนั ทโครพ” ปรากฏว่าไดร้ างวัลท่ี 1
90
ในช่วงน้ัน ไวพจน์สนใจขับร้องเพลงลูกทุ่งมาก เพราะเป็นช่วงที่มีนักร้องลูกทุ่งมีชื่อเสียงเกิดข้ึนมากมาย เช่น
ชัยชนะ บุญนะโชติ, ไพรวัลย์ ลูกเพชร , ชาย เมืองสิงห์ คร้ังหน่ึงชัยชนะ บุญนะโชติ ได้นําวงดนตรีมาเล่นท่ีตลาด
สวนแตงและมีการรับสมัครประกวดร้องเพลง ไวพจน์จึงสมัครประกวดร้องเพลงด้วย และได้รับการชมเชยจากผู้ชม
ผู้ฟังเป็นจํานวนมาก ชัยชนะ บุญนะโชติ จึงชักชวนให้เข้าสู่วงการเพลงลูกทุ่งและต้ังช่ือให้ใหม่ว่า " ไวพจน์
เพชรสุพรรณ " หลังจากนั้นได้นําไวพจน์ ไปฝากเป็นศิษย์ของครูสําเนียง ม่วงทอง นักแต่งเพลงซ่ึงเป็นชาวจังหวัด
สุพรรณบุรี เช่นกัน ซ่ึงเป็นเจ้าของวงดนตรี “รวมดาวกระจาย” ไวพจน์ จึงได้เข้ามาร่วมวงในฐานะนักร้องนํา
ครูสําเนียงได้แต่งเพลงให้ร้อง และประสบความสําเร็จอย่างมาก คือ เพลง "ให้พี่บวชเสียก่อน" และยังได้ขับร้อง
เพลงของนักแตง่ เพลงผอู้ ่ืน คือ จิว๋ พิจติ ร เชน่ เพลง ”แบง่ สมบัติ” และ “21 มถิ นุ า ขอลาบวช” เปน็ ตน้
เกียรตยิ ศ
- ศิลปินแหง่ ชาติ สาขาศลิ ปะการแสดง (นกั รอ้ งเพลงลูกท่งุ ) พ.ศ. 2540
- เขม็ พระราชทานจากสมเดจ็ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชนิ นี าถ เมื่อ พ.ศ. 2514
- รางวัลนักรอ้ งดีเดน่ จากงานกง่ึ ศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทยทงั้ 2 ครัง้ คอื เมอื่ พ.ศ. 2532 จากเพลง สาละวัน
ราํ วง และ พ.ศ. 2534 จากเพลง แตงเถาตาย
- รางวัลพระพฆิ เนศทองคาํ พระราชทาน
4.8 ศรเพชร ศรสพุ รรณ
เป็นหนึ่งในสุดยอดนักร้องลูกทุ่งของไทยชาวสุพรรณ เป็น
นักร้องท่มี ลี กู คอสะเด็ดเอกลกั ษณ์จนหาใครเทียบยาก
ศรเพชรมีช่ือจริงว่า บุญทัน คล้ายละม่ังชื่อเกิด บุญทัน คล้ายละม่ัง
ช่ือเล่น ทัน, ศรเกิดท่ี หมู่บ้านดอนตะไคร้ อําเภออู่ทอง จังหวัด
สุพรรณบุรีแนวเพลง บิดาช่ือนายกิ่ง มารดาชื่อนางหมก คล้ายละมั่ง
การศึกษา จบช้นั ประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรยี นวดั ศรสี รอ้ ยเพชร ตําบล
บ้านดอน อาํ เภออทู่ อง จังหวดั สุพรรณบรุ ี เขาเริ่มต้นชีวติ นกั ร้องจากการ
เป็นนักร้องเชียร์รําวงของคณะดําแดนสุพรรณ ซ่ึงเป็นญาติกัน โดยมีนาย
เลีย้ ง กนั ชนะ เป็นผู้ชักนําเข้าวงการเพลงลูกทุ่ง ต่อมาได้ ครูโผผิน พร
สุพรรณ แต่งเพลงลูกทุ่งท่ีมีเน้ือหาเก่ียวกับชีวิตชาวนาให้กับศรเพรช ร้อง
จนประสบความสาํ เร็จ
เพลงแรกที่สร้างช่ือเสียงให้อย่างมาก คือ เพลงข้าวไม่มีขาย ท่ี
ทําให้เขาได้รับรางวัล นักร้องดีเด่นเสาอากาศทองคํา จาก ส.ส.ส. ปี พ.ศ.
2518 สว่ นเพลงท่เี ป็นท่รี ู้จักกันมากก็อย่างเช่นหยิกแกมหยอก, เข้าเวรรอ
, มอเตอร์ไซค์ทําหล่น, ไอ้หวังตายแน่, ใจจะขาด, อภัยให้เรียม, เสียดาย
เรียม , เสียน้ําตาท่ีคาเฟ่, รักมาห้าปี เป็นต้นแต่ท่ีดังสุดๆ ก็คือ เข้าเวรรอ
และมอเตอร์ไซค์ทําหล่น หลายคนคงจําได้ว่าท่อนแรกของเพลงน้ีท่ีร้องว่าแฟนของใคร มอเตอร์ไซค์ทําหล่นหรืออีก
เพลงหนึ่งท่ีตลกคาเฟ่ชอบเอาไปเล่นกันนั่นคือ ใจจะขาดแล้วเอย กบั เร่ืองราว "เสาอากาศทองคําปี 2518" ศรเพชร
กล่าวถึงเหตุการณ์ครั้งน้ันว่า "ตอนนั้นปี พ.ศ.2518 เพลงข้าวไม่มีขาย ได้รับรางวัลเสาอากาศทองคาํ พระราชทาน
แต่ตัวผมไม่ได้ไปรับเอง มีตัวแทนรับให้ เพราะวันน้ันรับงานร้องเพลงไว้ และอีกอย่างคือ ไม่คิดว่าจะได้รางวัลด้วย
เราคิดวา่ รางวลั น้ี สายัณห์ สัญญา จะได้ เพราะเพลงไอ้หนุ่มรถไถกําลังดังด้วย ก็คิดว่าต้องเป็นของสายัณห์แน่นอน"
91
"เพลงข้าวไม่มีขาย เป็นเพลงท่ี โผผิน พรสุพรรณ เป็นคนแต่งให้ เดิมช่ือเพลงรักได้หรือเปล่า แต่พอดีช่วงปี 2517
น้ําท่วม ทําให้นาล้ม ข้าวไม่มีขายเลย จึงเปล่ียนชื่อเพลงเป็นข้าวไม่มีขาย ซ่ึงหลังจากท่ีเพลงออกไปแล้ว และได้รับ
รางวลั เสาอากาศทองคําพระราชทาน ทาํ ให้ชวี ติ เปล่ียนไปอยา่ งมาก มีคนรจู้ ักมากขน้ึ และก็มงี านมากข้นึ "
ศรเพชร ศรสพุ รรณ เป็นหนึง่ ในสดุ ยอดนกั รอ้ งลูกทุง่ ของไทยชาวสพุ รรณ เปน็ นักร้องทมี่ ลี ูกคอสะเดด็ เป็น
เอกลักษณ์จนหาใครเทียบยาก ศรเพชรมีช่ือจริงว่า บุญทัน คล้ายละมั่ง เกิดที่หมู่บ้านดอนตะไคร้ ตําบลบ้านดอน
อําเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี บดิ าชอ่ื นายกิง่ มารดาช่ือนางหมก คลา้ ยละม่ัง การศึกษาจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
จากโรงเรียนวัดศรีสร้อยเพชร ตําบลบ้านดอน อําเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เขาเริ่มต้นชีวิตนักร้องจากการเป็น
นักร้องเชียร์รําวงของคณะดํา แดนสุพรรณ ซึ่งเป็นญาติกัน โดยมีนายเลี้ยง กันชนะ เป็นผู้ชักนําเข้าวงการเพลง
ลูกทุ่ง ต่อมาได้ โผผิน พรสุพรรณ แต่งเพลงลูกทุ่งท่ีมีเน้ือหาเก่ียวกับชีวิตชาวนาให้ศรเพชรร้องจนประสบความ
สําเร็จ เพลงแรกที่สร้างช่ือเสียงให้อย่างมาก คือ เพลงข้าวไม่มีขาย ท่ีทําให้เขาได้รับรางวัล นักร้องดีเด่นเสาอากาศ
ทองคาํ จาก ส.ส.ส. ปี พ.ศ. 2518 ส่วนเพลงทเ่ี ป็นท่ีร้จู ักกนั มากก็อย่างเช่นหยิกแกมหยอก, เข้าเวรรอ, มอเตอร์ไซค์
ทําหล่น, ไอ้หวังตายแน่, ใจจะขาด, อภัยให้เรียม, เสียดายเรียม , เสียน้ําตาที่คาเฟ่, รักมาห้าปี เป็นต้นแต่ท่ีดังสุดๆ
กค็ ือ เข้าเวรรอ และมอเตอร์ไซคท์ ําหลน่ หลายคนคงจาํ ไดว้ ่าท่อนแรกของเพลงน้ีทร่ี ้องว่าแฟนของใคร มอเตอร์ไซค์
ทําหล่นหรืออีกเพลงหน่ึงที่ตลกคาเฟ่ชอบเอาไปเล่นกันน่ันคือ ใจจะขาดแล้วเอย "เพลงข้าวไม่มีขาย เป็นเพลงที่
โผผนิ พรสพุ รรณ เป็นคนแตง่ ให้ เดมิ ชอื่ เพลงรกั ไดห้ รอื เปล่า แตพ่ อดชี ว่ งปี 2517 น้าํ ท่วม ทาํ ให้นาล้ม ข้าวไม่มีขาย
เลย จึงเปล่ียนช่ือเพลงเป็นข้าวไม่มีขาย ซึ่งหลังจากท่ีเพลงออกไปแล้ว และได้รับรางวัลเสาอากาศทองคํา
พระราชทาน ทาํ ใหช้ ีวิตของเปล่ียนไปอย่างมาก มีคนรูจ้ ักมากข้ึน และกม็ ีงานมากขึ้นดว้ ย“ศรเพชรกับโผผิน”ซึ่งเป็น
ครูเพลงที่แต่งเพลงให้ร้องจนประสบความสําเร็จมามาก เรียกว่า เกือบ 100 เพลง อาทิ เพลงข้าวไม่มีขาย, หยิก
แกมหยอก, แกล้งหยอก ศรเพชร สมรสกับนางพิมพา เกลียวสีนาค และว่ากันว่า ศรเพชร ชอบสะสมที่ดินอย่าง
มาก เงินทองท่ีหามาได้ มักจะนําไปซื้อที่ดินเมื่อ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ศรเพชรเข้ารับการรักษาตัวที่
โรงพยาบาลศิริราช และขอรับบริจาคเลือด B Rh-negative เนื่องจากมีอาการป่วยจากก้อนเลือดท่พี บในบรเิ วณ
ลาํ ไส้ใหญ่ และเกิดภาวะนํ้าทว่ มปอด ซ่ึงหลงั ผา่ ตดั กม็ ีอาการปลอดภยั โดยก่อนหนา้ น้นั ศรเพชรก็มอี าการล้นิ หัวใจ
รัว่ อยกู่ ่อนแล้ว
กจิ กรรมท่ี 3 บุคคลสําคญั ที่มสี ว่ นรว่ มในการสบื สาน วฒั นธรรมประเพณใี นสพุ รรณบุรี
คําส่งั ใหผ้ เู้ รียนศึกษาค้นคว้าและจดั ทํารูปเลม่ รายงานเกี่ยวกบั บคุ คลสําคญั ทม่ี ีส่วนร่วมในการสืบสาน วฒั นธรรม
ประเพณีในสุพรรณบุรี มาอยา่ งนอ้ ยดา้ นละ 2 คน ตามหัวขอ้ ตอ่ ไปนี้
1. ด้านศาสนา
2. ดา้ นการเมือง การปกครอง
3. ด้านวชิ าการ
4. ด้านศิลปิน
92
เรอ่ื งท่ี 4 คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 11 ประการของคนดีศรสี พุ รรณ
ความหมายของสัญลกั ษณ์
สแี สด-นํ้าเงิน หมายถงึ สปี ระจาํ จงั หวัดสพุ รรณบรุ ี
รูปหยดนํ้า หมายถงึ นาํ้ ใจของคนสพุ รรณซึง่ รวมเป็นหน่งึ เดียว
หอคอย หมายถึง ความทันสมยั ความกา้ วหน้าทางวชิ าการและ
เทคโนโลยี
รูปเด็กชาย – หญงิ หมายถงึ การพัฒนาท่เี น้นคนเป็นศูนย์กลางซึง่
เริม่ ตน้ ท่ีเด็กและเยาวชน
เยาวชนคนดีศรสี พุ รรณ หมายถงึ ชื่อโครงการท่ีใช้ในการดําเนนิ งานตามโครงการนําร่องเพ่ือสรา้ ง
กระแสการพัฒนาคนและสังคมตามแนวคิดและทิศทางของแผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติฉบับท่ี 8
โครงการคนดศี รีสุพรรณ ดําเนินการโดยให้ครอบครวั ชมุ ชนและสังคมเข้ามามบี ทบาท ในการสร้างสรรค์
เด็กและเยาวชนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยมีการแสดงออกเป็นพฤติกรรม ท่ีเหมาะสมกับวัยและ
สถานการณ์ ใหม้ คี ุณลกั ษณะท่พี งึ ประสงคต์ ามคณุ ลกั ษณะของคนดศี รีสุพรรณ 11 ประการ
ความเปน็ มาและความสําคญั ของโครงการ
โครงการนาํ ร่องเพ่อื สรา้ งกระแสการพฒั นาคนและสังคมในระดับจลุ ภาค (คพส.) จังหวัดสุพรรณบุรีได้ริเร่ิม
ดําเนินการท่ีจงั หวัดสุพรรณบุรี ต้ังแต่ปี 2540 ใช้ช่ือโครงการว่า“โครงการเยาวชนคนดีศรีสุพรรณ”มีวัตถุประสงค์
ในการสรา้ งสรรค์คนดี มีศีลธรรม วัฒนธรรม เคารพกฎหมายและมวี ิจารณญาณในการรับร้ขู า่ วสารทงั้ น้ี โดยน้อมนาํ
กระแสพระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ เรื่องการส่งเสริมคนดีมาเป็นกรอบแนว
ทางการดําเนินงาน ซึ่ง ฯพณฯ บรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ได้ให้การสนับสนุนตั้งแต่เร่ิมต้น
โครงการ มาจนถงึ ปจั จุบนั เปน็ เวลา 17 ปี
เปา้ หมายที่ 1 รกั ษาความสะอาดร่างกาย บา้ งเรอื น และชมุ ชน
การรักษาความสะอาด หมายถึง การระวงั ดูแลรกั ษาและปอ้ งกนั ไมใ่ ห้เกิดความสกปรกซึ่งความสะอาดเป็น
ปัจจัยพื้นฐานของการมีสุขภาพท่ีดี ทั้งสุขภาพตนเองและชุมชน ความสะอาดควรเร่ิมต้นท่ีตัวคน คือ ร่างกาย
สะอาดก่อนตามลําดับตลอดจนอาภรณ์ท่ีสวมใส่สะอาด ท่ีอยู่อาศัยบ้านเรือน ชุมชนสะอาด นอกจากความสะอาด
แล้วต้องมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยอีกด้วย การสร้างนิสัยรักความสะอาดควรเริ่มต้ังแต่เด็กโดยสมาชิกใน
ครอบครัวเป็นตัวอยา่ งปฏบิ ตั อิ ย่างตอ่ เนอื่ ง
เป้าหมายท่ี 2 มีจิตสาํ นกึ รว่ มกันอนุรกั ษส์ ง่ิ แวดลอ้ ม
ชาวสุพรรณบุรี ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทํานา เล้ียงสัตว์ จําเป็นอย่างย่ิงที่ต้องใช้น้ํา
มาประกอบอาชีพ แหล่งน้ําที่ได้มาจากคลองชลประทาน และคลองธรรมชาติ ซ่ึงเปรียบเสมือนสายโลหิตที่
หล่อเลีย้ งชวี ิต ชาวสุพรรณบรุ จี งึ ไดต้ ระหนกั และเห็นความสําคัญช่วยกันอนุรักษ์ดูแลรักษาแม่นํ้าลําคลองซ่ึงอยู่คู่กับ
ชาวสพุ รรณบุรตี ลอดมา
เปา้ หมายท่ี 3 มีวถิ ปี ระชาธปิ ไตย
การมีวถิ ปี ระชาธปิ ไตย หมายถึง การมวี ิธกี ารดําเนินชวี ติ ทย่ี ดึ หลกั การของความเสมอภาคและเสรีภาพของ
บุคคล เป็นหลักในการดําเนินชีวิต แสดงออกด้วยการใช้เหตุผลด้วยการแก้ไขปัญหา การรับฟังความคิดเห็นของ
ผู้อ่ืน ใช้การประนีประนอม ยอมใช้มติเสียงข้างงมากในการตัดสินปัญหาของส่วนรวม การให้สิทธิร่วมกันคิด
รว่ มกันทาํ ร่วมกันแกไ้ ขปญั หา และรบั ผลประโยชนร์ ่วมกันของครอบครัวหมบู่ ้านและชมุ ชน
93
เป้าหมายท่ี 4 เป็นผปู้ ระหยดั อดออม และนยิ มไทย
การเป็นผู้ประหยัด ชาวสุพรรณส่วนใหญ่ ได้ดําเนินการตามโครงการหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง “อยู่เย็น
เป็นสุข” โดยการลดรายจ่าย โดยการปลูกพืชผักสวนครัว การเลี้ยงปลา ไก่ การเพิ่มรายได้โดยการรวมกลุ่มกันผลิต
สินค้า การนิยมไทย ชาวสุพรรณบุรี ยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์มีความภาคภูมิใจในการเกิด
บนผืนแผ่นดินไทย การนิยมไทยที่ปฏิบัติกันมาตลอด ได้แก่ การไหว้ การยิ้มการทําบุญตักบาตร การทํากิจกรรมใน
วนั สาํ คัญ การมีชวี ติ อย่างเรยี บงา่ ย กินของไทย ใช้ของไทยการอนรุ กั ษ์ประเพณีและวัฒนธรรมทอ้ งถ่ิน
เปา้ หมายที่ 5 ปฏบิ ัติตามหลักเบญศลี เบญจธรรม
หรือหลักธรรมของศาสนาอื่นท่ีเด็ก และเยาวชนนับถือ การประพฤติยึดหลักศาสนา คือ การปฏิบัติตาม
หลักเบญจศีลเบญจธรรม หรือหลักธรรมของศาสนาที่มุ่งให้เยาวชนและประชาชนทุกคน รักษากาย รักษาวาจา
และจิตใจของเราใหอ้ ยใู่ นระเบยี บวนิ ยั ตามคาํ สอนขององคส์ มเดจ็ พระสัมมาสัมมาพุทธเจา้ ทส่ี อนให้ละเว้นความชัว่ มี
ความมุง่ มั่นต่อการทําความดตี ามหลกั เบญจศลี เบญจธรรม
เปา้ หมายที่ 6 เปน็ ผมู้ มี ารยาทแบบไทย
ประเทศไทย มีศิลปะและวัฒนธรรม ประเพณี มากมายท่ีแสดงถึงความเป็นอารยประเทศและเป็น
เอกลักษณ์ของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นการกราบ การไหว้ การแสดงความเคารพการเดิน การน่ัง การพูด คนไทยจะ
แสดงออกได้อย่างงดงาม ชาวบ้านมะขามล้ม ได้ตระหนักถึงการมีมารยาทแบบไทยเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ส่งเสริมและ
รว่ มใจกนั ปฏบิ ัตติ นเป็นผมู้ มี ารยาทแบบไทย
เปา้ หมายท่ี 7 มีวินยั จราจร
วินัยจราจร คือ การปฏิบัติตามกฎหมายจราจรทางบก ในการใช้รถ ใช้ถนน การเดิน คือไม่ฝ่าฝืนสัญญาณ
จราจร เช่น สัญญาณมือ สัญญาณนกหวีด ไม่ฝ่าฝืนเคร่ืองหมายจราจร เช่น ป้ายห้าม ป้ายเตือน ปัจจุบันคนไทย
เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรเป็นอันดับต้น ๆ ของการเสียชีวิตประชาชนโดยรวมเพราะคนไทยมักจะไม่ปฏิบัติตาม
กฎหมายจราจร ชอบฝา่ ฝนื สญั ญาณจราจร เคร่ืองหมายจราจร คนไทยชอบความสะดวกสบาย ปฏิบัติตามใจตนเอง
จึงมกั มอี ุบตั เิ หตุเกิดข้ึนบ่อยครง้ั ทําให้เกดิ การสูญเสียทรัพย์สิน มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจํานวนมาก ดังน้ัน
รัฐบาลจึงมีมาตรการบังคับใช้กฎหมายเพ่ือเป็นการลดอุบัติเหตุและการสูญเสียจากอุบัติเหตุ ตลอดจนแนวทางใน
การป้องกนั จึงมมี าตรการในการกวดขันวนิ ยั จราจรเกดิ ขน้ึ
เปา้ หมายที่ 8 เปน็ คนตรงต่อเวลา
การปฏิบัติตนให้เป็นคนตรงต่อเวลานั้น หมายถึง การจัดแจงการบริหารเวลาในการทํากิจกรรมต่าง ๆ ได้
อย่างถูกต้อง รู้ลําดับความสําคัญก่อนหลังการปลูกฝังให้ทุกคนรู้จักการรักษาเวลาและปฏิบัติตนให้เป็นคนตรง
ต่อเวลา อาทิ รักษาเวลาในการนัดหมาย เข้าที่ประชุมก่อนเวลา มีการวางแผนกําหนดการทํากิจกรรมต่าง ๆ ไม่
ผัดวนั ประกนั พร่งุ
เปา้ หมายท่ี 9 ปฏบิ ตั ิตนในการเขา้ แถวเรียงลําดบั ก่อน-หลงั ในการรบั บริการตา่ ง ๆ
การเรยี งลาํ ดบั ก่อน-หลัง เป็นการจัดให้เปน็ ระเบยี บตามตาํ แหนง่ ทีม่ าก่อน – หลังเช่น การเข้ารับบริการให้
สถานทีต่ า่ งๆ ยอ่ มสามารถจัดตัวเองให้เปน็ ระเบยี บตามตาํ แหนง่ ทม่ี าก่อน – หลงั บคุ คลท่ีให้บริการแก่บุคคลที่อยู่ใน
ตาํ แหนง่ มาก่อนตามลาํ ดับ จะทาํ ให้ดเู ป็นระเบยี บต่อผู้ท่ีพบเหน็ และสะดวกรวดเรว็ ย่งิ ข้นึ ไมส่ บั สน
เป้าหมายท่ี 10 ปฏิบัติตามกฎระเบยี บและขอ้ บังคับของโรงเรยี นและกลมุ่ โดยเครง่ ครัด
การเคารพกฎเกณฑ์เปน็ หลกั การพ้นื ฐานของการอย่รู ว่ มกนั ของผคู้ นในสงั คมโดยปกตสิ ขุ ไม่ว่าจะเป็นสงั คม
ใดหรือประเทศใด การอยู่ร่วมกันของผู้คนเป็นจํานวนมากในสังคมต้องอาศัยกฎระเบียบกติกาของสังคม ซ่ึงคนใน
สังคมน้ันๆจําต้องเรียนรู้กฎกติกาของสังคม พร้อมทั้งต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวมนั่นคือ ต้องยอมรับ
94
และปฏิบัติตามกฎเกณฑ์กติกาทางสังคม การอบรมสมาชิกในสังคมให้เกิดการเรียนรู้กฎเกณฑ์และกติกาของสังคม
คือ การถ่ายทอดวิถีชีวิตวัฒนธรรม และการทําให้สมาชิกในสังคมนั้นสามารถดําเนินชีวิตได้อย่างเหมาะสมถูกต้อง
ซ่งึ ในสงั คมทไ่ี ดม้ กี ารจัดระเบยี บอย่างดแี ลว้ นนั้ การอบรมใหเ้ รยี นรกู้ ฎเกณฑ์ของสงั คมเปน็
กระบวนการทจี่ ะตอ้ งกระทํา เร่ิมตงั้ แต่วัยเดก็ จนถงึ ผใู้ หญ่ การเข้าไปมีสว่ นร่วมในรปู ของสงั คมใหม่และสถาบันใหม่
สมาชิกในสงั คมก็จะตอ้ งเรียนร้กู ฎเกณฑ์ใหม่และยอมรบั คา่ นยิ มใหม่ และในขณะ เดียวกันทพี่ อ่ แม่ครอบครวั กต็ ้อง
ทําหนา้ ทเ่ี ปน็ ตวั หลกั ทสี่ าํ คญั ในการเลี้ยงดูเดก็ เพือ่ ใหเ้ กดิ การเรยี นรใู้ นการเคารพกฎเกณฑข์ องสังคม เพือ่ ใหก้ าร
ดาํ รงชีวิตอย่ขู องสมาชกิ ในสงั คมไดอ้ ยรู่ ว่ มกันอย่างมีความสุข
เปา้ หมายท่ี 11 ไม่พวั พนั ยาเสพยต์ ดิ
ปัญหายาเสพติด เป็นปัญหาต่อสังคมท่ีมีความสลับซับซ้อน ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อสังคมทุกๆ ด้าน
ดังนั้น เพ่ือให้การแกไขปัญหายาเสพติดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กํานัน/ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นําชุมชน และราษฎร
จึงจําเป็นต้องร่วมมือกัน ช่วยกันดูแลเด็กเยาวชน ในกลุ่มเส่ียงไม่ให้พัวพันกับยาเสพติด โดยการต้ังกฎ ระเบียบ
ข้อบงั คบั เพ่ือใชล้ งโทษแกผ่ ทู้ ่ีเกยี่ วขอ้ งกบั ยาเสพติด
ใบงานเรื่องที่ 4 คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 11 ประการของคนดีศรสี ุพรรณ
ใหผ้ ู้เรียนแบง่ กลุ่มกลมุ่ ละเทา่ ๆ กัน ให้จดั ทาํ คลิปวดี ีโอ แสดงบทบาทสมมุตใิ นหวั ขอ้ เร่อื ง การประพฤตปิ ฏบิ ัตติ นให้
สอดคล้องกบั คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ 11 ประการของคนดศี รสี พุ รรณ มีความยาวไม่ต่าํ กว่า 10 นาที โดยสรปุ
ตอนทา้ ยวา่ การแสดงนั้นสอดคล้องกบั คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ขอ้ ใดบา้ ง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
95
แบบทดสอบบทที่ 2 ศลิ ปวัฒนธรรม ประเพณใี นจังหวัดสุพรรณบรุ ี
คําสง่ั ใหเ้ ลอื กคาํ ตอบท่ีถูกทส่ี ุดเพียงขอ้ เดยี ว 7. ประเพณีเลน่ เพลงเรอื พื้นบ้านของชาวอาํ เภอบาง
ปลามา้ จดั ขนึ้ โดยมวี ตั ถุประสงคใ์ ด
1. สิ่งใดตอ่ ไปนี้ คือสญั ลกั ษณข์ องจงั หวดั สพุ รรณบรุ ี
ก. การแสดงโขน ก. สร้างความบันเทงิ
ข. การแสดงลเิ ก ข. ส่งเสรมิ ความมฐี านะ
ค. สาํ เนยี งเหนอ่ ค. กราบไหว้ส่ิงศักดิ์สทิ ธ์ิ
ง. การแสดงละคร ง. สร้างสรรคค์ วามสามัคคี
8. งานอนสุ รณด์ อนเจดยี ์ จดั ขน้ึ เพอื่ ทดแทนพระ
2. หลกั ฐานท่สี ามารถใช้ยนื ยนั วา่ ในสมยั กอ่ น เกยี รตขิ องกษตั รยิ พ์ ระองคใ์ ด
สําเนียงเหนอ่ เปน็ ภาษาทางการคอื หลดั ฐานใด ก. สมเด็จพระเอกาทศรถ
ข. สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ก. การแสดงลเิ ก ค. สมเด็จพระเจ้าตากสนิ มหาราช
ข. การพากยโ์ ขน ง. สมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยู่หวั
ค. การแสดงละคร 9. ขนมหวานท่ีนิยม นาํ ไปใช้ในประเพณกี าํ ฟา้ ของ
ง. การแสดงหนงั ตะลุง ชาวไทยพวน คือขนมชนดิ ใด
3. ในจงั หวดั สพุ รรณบรุ ี มชี นชาตกิ ะเหรี่ยงอาศัยอยู่ ก. ขนมชน้ั
ในอําเภอใด ข. ขา้ วหลาม
ก. ด่านช้าง ค. ขนมบวั ลอย
ข. ดอนเจดยี ์ ง. ขนมเปียกปูน
ค. สองพน่ี ้อง 10. งานเทศการสมโภช และนมสั การหลวงพอ่ วดั
ง. เดิมบางนางบวช ป่าเลไลยกต์ รงกบั ชว่ งใด
4. ชนชาติไทซงดํา มชี อื่ เรียกอกี อย่างว่าอะไร ก. ในวนั ขึ้น 7 – 9 คํ่าเดือน 5
ก. ลาวโซ่ง ข. ในวนั ขึน้ 7 – 9 คาํ่ เดอื น 6
ข. ลาวพวน ค. ในวนั ขนึ้ 10 – 12 ค่าํ เดอื น 5
ค. ลาวเวียง ง. ในวนั ขน้ึ 10 – 12 คํ่าเดอื น 6
ง. กะเหร่ยี ง 11. งานประเพณบี ุญบง้ั ไฟของจงั หวดั สพุ รรณบรุ ี
5. อาหารขนึ้ ชอ่ื ของจงั หวัดสพุ รรณบรุ ี ส่วนใหญ่ได้ ปจั จบุ นั ยังคงหาดไู ดท้ อ่ี าํ เภอใด
จากผลติ ผลด้านใด ก. อาํ เภออทู่ อง
ก. ดา้ นกระประมง ข. อําเภอสองพี่น้อง
ข. ด้านเกษตรกรรม ค. อาํ เภอดอนเจดีย์
ค. ดา้ นอตุ สาหกรรม ง. อําเภอเดมิ บางนางบวช
ง. ดา้ นพาณิชยกรรม
6. งานอนุสรณด์ อนเจดยี ์จดั ใหม้ ขี ึน้ ในชว่ งใด
ก. เดอื นมนี าคม
ข. เดอื นเมษายน
ค. เดอื นมากราคม
ง. เดอื นกมุ ภาพนั ธ์
12. วรรณคดี เรื่องขุนช้าง ขนุ แผน นัน้ เปน็ เรอื่ งราวท่ี 96
เกิดข้นึ จริงในสมัยรัชกาลใด
16. หมู่บา้ นอนรุ ักษ์ควายไทยหรือ “บา้ นควาย” อยู่
ก. สมเดจ็ พระพนั วษา ในอําเภอใด
ข. สมเดจ็ พระรามาธิบดที ่ี 1
ค. สมเดจ็ พระรามาธบิ ดที ี่ 2 ก. อาํ เภอดา่ นชา้ ง
ง. พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลยั ข. อําเภอดอนเจดีย์
13. พระผงสพุ รรณ เป็นพระบชู าท่อี ยใู่ นกรขุ องวัดใด ค. อําเภอศรีประจนั ต์
ในจงั หวดั สพุ รรณบรุ ี ง. อาํ เภอหนองหญ้าไซ
ก. วดั บ้านกรา่ ง 17. นายบรรหาร ศิลปอาชา ดาํ รงตําแหนง่ เป็น
ข. วักบางแมห่ มา้ ย นายกรฐั มนตรคี นทีเ่ ท่าไรของประเทศไทย
ค. วดั ป่าเลไลยว์ รวหิ าร ก. คนที่ 20
ง. วัดพระศรีรตั นมหาธาติ ข. คนที่ 21
14. ศลิ ปนิ ทา่ นใด ทเี่ ปน็ เจ้าของบทเพลงกบั ข้าว ค. คนที่ 22
เพชฌฆาต ง. คนที่ 23
ก. แอด็ คาราบาว 18. บทเพลงแรกของ ครสู ุรพล สมบัตเิ จรญิ ท่ไี ดร้ บั
ข. พุม่ พวง ดวงจนั ทร์ การบันทกึ เสยี งคือเพลงอะไร
ค. ขวญั จติ ศรีประจันต์ ก. ลมื ไมล่ ง
ง. ไวพจน์ เพชรสุพรรณ ข. น้ําตาจา่ โทน
15. ไวพจน์ เพชรสพุ รรณ เรมิ่ หดั รอ้ งเพลงครงั้ แรก ค. สาวสวนแตง
คือเพลงประเภทใด ง. น้าํ ตาลาวเวียง
ก. เพลงแหล่ 19. ราํ พงึ จิตหาญ เป็นชอ่ื จริงของศิลปนิ ทา่ นใด
ข. เพลงลาํ ตัด ก. ย้ยุ ญาติเยอะ
ค. เพลงลกู ทงุ่ ข. ผอ่ งศรี วรนุช
ง. เพลงอแี ซว ค. พชั รา แวงวรรณ
ง. พงุ่ พวง ดวงจันทร์
20. สมชายขา้ มถนนตรงทางมา้ ลายทกุ คร้งั แลดงวา่
สมชาย ปฏบิ ตั ติ นตามลกั ษณะอันพึงประสงค์ 11
ประการ
เป้าหมายทีเ่ ท่าไร
ก. เป้าหมายท่ี 5
ข. เป้าหมายที่ 6
ค. เป้าหมายท่ี 7
ง. เป้าหมายท่ี 8
97
บทท่ี 3 การประกอบอาชพี ในจงั หวดั พรรณบรุ ี
สาระสําคัญ
ความหมาย และความสําคัญการประกอบอาชีพ ลกั ษณะงานของอาชีพ ปจั จัยหลักของการประกอบอาชพี
และอาชีพหลกั ในจังหวดั สุพรรณบุรี รวมทงั้ คณุ ธรรม จรยิ ธรรมในการประกอบอาชีพและสามารถนาํ มาปฏบิ ตั แิ ละ
ประยกุ ต์ใชใ้ นชีวิตประจาํ วันได้
ผลการเรยี นรทู้ ี่คาดหวงั
1. มีความรู้ ความเขา้ ใจความหมาย ความสําคัญในการประกอบอาชพี
2. อธิบายลกั ษณะของงานอาชพี
3. บอกอาชพี หลกั ในจงั หวดั สุพรรณบุรี
4. มีความรู้ ความเขา้ ใจ ปัจจยั หลักของการประกอบอาชีพ
5. อธิบายคุณธรรม จริยธรรม ในการประกอบอาชพี และนาํ มาปฏบิ ตั ิ ประยกุ ตใ์ ช้ในชีวติ ประจาํ วนั
6. อธบิ ายจรรยาบรรณในการประกอบอาชพี และนํามาปฏิบตั ิ ประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวิตประจําวนั
ขอบขา่ ยเนือ้ หา
เรอ่ื งที่ 1 ความหมาย และความสําคญั ในการประกอบอาชีพ
เร่ืองที่ 2 ลกั ษณะของงานอาชพี
เรื่องท่ี 3 อาชพี หลักในจังหวดั สพุ รรณบรุ ี
เร่ืองท่ี 4 ปจั จยั หลักของการประกอบอาชีพ
เรือ่ งที่ 5 คุณธรรมและจรยิ ธรรมในการประกอบอาชีพ
เร่ืองท่ี 6 จรรยาบรรณวิชาชีพ
การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้
อธิบาย ความหมาย และความสําคัญในการประกอบอาชีพ ลักษณะของงานอาชีพ อาชีพหลักใน
สุพรรณบุรี วิเคราะห์ และเปรียบเทียบปัจจัยหลักของการประกอบอาชีพ ตระหนักและเห็นคุณค่าของคุณธรรม
จรยิ ธรรม จรรยาบรรณในการประกอบอาชพี สามารถนาํ มาปฏบิ ัตแิ ละประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ิตประจําวนั
เวลาเรียน 35 ช่วั โมง
แหลง่ การเรียนรแู้ ละสอ่ื ประกอบการเรียน
- ส่อื ส่งิ พิมพ์
- หอ้ งสมดุ ประชาชน
- อินเตอร์เนต็
- ภูมิปัญญาทอ้ งถน่ิ /แหลง่ เรยี นรูใ้ นชมุ ชน
การวดั ผลประเมินผล
จากการสงั เกต การปฏิบตั จิ รงิ ใบงาน รายงาน อภปิ รายกล่มุ ผลงาน และทดสอบ
98
บทที่ 3 การประกอบอาชพี ในจงั หวดั สพุ รรณบรุ ี
เรือ่ งที่ 1 ความหมาย และความสําคญั ของการประกอบอาชพี
การประกอบอาชีพเป็นที่มาของรายได้ เพื่อนําไปใช้จ่ายในการดํารงชีวิต ซ่ึงจําเป็นต้องอาศัยปัจจัยสี่
ได้แก่ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค ในอดีตสิ่งของต่าง ๆ เหล่านี้เป็นหน้าที่ของพ่อแม่เป็นผู้
จดั หาใหแ้ ก่สมาชกิ ดว้ ยการผลติ ขึน้ ใช้เองในครอบครัว โดยไม่จาํ เปน็ ตอ้ งใช้เงินซื้อหา ปจั จบุ นั การดาํ รงชวี ิตในสังคม
ได้เปล่ียนแปลงไป ประชาชนมีการศึกษามกขึ้น ความรู้ท่ีได้รับจะเป็นพื้นฐานในการประกอบอาชีพ เพื่อให้มีรายได้
มาซ้ือปัจจัยสี่และสิ่งของอื่น ๆ ในการดํารงชีวิตและสร้างมาตรฐานที่ดีให้แกต่ นเอง ครอบครัว และสังคม อาชีพมี
อยู่มากมาย ควรพิจารณาเลือกประกอบอาชีพที่มีความถนัดและความสนใจ สุจริต มีความมั่นคงในชีวิตและมี
รายไดเ้ พียงพอความจาํ เป็นของการประกอบอาชีพ
ความหมายของอาชีพ
อาชพี หมายถึง การทาํ กิจกรรม การทาํ งาน การประกอบการท่ีไม่เป็นโทษแก่สังคม และมีรายได้ตอบแทน
โดยอาศัยแรงงาน ความรู้ ทักษะ อุปกรณ์ เครื่องมือ วธิ ีการ แตกตา่ งกนั ไป
ความสาํ คญั ของอาชพี
การมีอาชีพ เปน็ สิง่ ที่สําคญั ในวถิ ชี ีวติ และการดํารงชีพในปจั จบุ ัน เพราะอาชีพเป็นการสร้างรายไดเ้ พื่อเล้ียง
ชีพตนเองและครอบครัว อาชีพก่อให้เกิดผลผลิตและการบริการ ซ่ึงสนองตอบต่อความต้องการของผบู้ ริโภคและท่ี
สําคัญคือ อาชีพมีความสําคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศชาติความสําคัญของอาชีพจึงเป็นฟันเฟืองสําคัญในการ
พัฒนาคณุ ภาพชวี ติ เศรษฐกิจชุมชนสง่ ผลถึงความเจรญิ ก้าวหนา้ ของประเทศชาติ
กิจกรรมที่ 1 ความหมาย และความสําคญั ของการประกอบอาชีพ
ให้ผูเ้ รียนวิเคราะห์ถึงความสาํ คญั ของอาชพี โดยใหแ้ สดงความคิดลงในแผนผังความคดิ ในหวั ข้อ “อาชพี น้นั สําคัญแค่
ไหน” โดยให้เชือ่ มโยงความคดิ ใหส้ อดคลอ้ งกับหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
99
เรอ่ื งที่ 2 ลักษณะของงานอาชพี
งานอาชีพ หมายถึง การปฏิบัติหน้าท่ีของบุคคลที่มีข้อกําหนด ข้อตกลง หรือขอบเขตของภารกิจและ
ความรับผิดชอบไว้อย่างชัดเจน สามารถสะท้อนคุณค่าของตัวบุคคลและผู้ที่เก่ียวข้องเป็นภารกิจท่ีต่อเนื่อง มีการ
พัฒนาในตัวอาชีพเอง และเป็นสิ่งท่ีบุคคลมีความคาดหวังท่ีจะพ่ึงพากิจวัตรน้ีในระยะเวลายาวนาน โดยได้รับ
ค่าตอบแทนเป็นรายไดเ้ พ่ือใชใ้ นการดาํ รงชีวติ งานอาชีพแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่
2.1 อาชีพรับจา้ ง
2.2 อาชีพอสิ ระ
2.1 อาชีพรับจ้าง
อาชีพรับจ้าง หมายถึง อาชีพท่ีมีเจ้าของกิจการและมีผู้รับจ้างทางานให้ และได้ตกลงรับค่าตอบแทนเป็น
คา่ จ้าง หรอื เงนิ เดือน อาชีพรบั จ้างมีบุคคล 2 ฝ่าย ซึ่งได้ตกลงว่าจ้างกัน คือ นายจ้างหรือผู้ว่าจ้าง และลูกจ้างหรือผู้
รบั จ้าง อาชีพรบั จา้ งแบง่ เป็น 2 ลักษณะ ดงั ตอ่ ไปน้ี
1) กลุ่มอาชีพรับจ้างท่ีมีฝีมือหรืออาชีพท่ีมีทักษะ คือ กลุ่มผู้ประกอบการอาชีพที่มีความรู้ในวิชาชีพ
มีความสามารถเฉพาะด้าน มีทักษะและประสบการณ์ หรือลูกจ้างท่ีใช้กําลังความคิดในการสร้างสรรค์งาน
การจดั การ และการบริหารงาน ตัวอยา่ งได้แก่
- อาชพี รับราชการ เชน่ แพทย์ ครู ตํารวจ ทหาร พยาบาล
- อาชีพพนักงานรัฐวสิ าหกจิ เช่น พนกั งานรัฐวสิ าหกิจของการทอ่ งเทยี่ วแหง่ ประเทศไทย
การสือ่ สารแหง่ ประเทศไทย การไฟฟา้ แห่งประเทศไทย องค์การโทรศัพท์
- อาชีพพนักงานบริษทั เช่น พนักงานบรษิ ัทตา่ ง ๆ
2) กลมุ่ อาชีพรบั จ้างทีไ่ ร้ฝมี อื หรืออาชีพทไี่ มใ่ ชท้ กั ษะ คือ กลมุ่ ผ้ปู ระกอบอาชีพท่ไี มม่ คี วามรใู้ นวิชาชีพ หรือ
ขาดทกั ษะในงานอาชพี น้ันๆ ส่วนใหญ่มักทาํ งานโดยใช้กาํ ลังแรงกายเปน็ หลกั โดยแบ่งออกเปน็ 2 ประเภท ได้แก่
- อาชพี ท่เี ปน็ กลุ่ม เช่น กรรมกรก่อสรา้ ง พนกั งานบรกิ ารอาหาร
- อาชพี ทท่ี ํางานคนเดยี ว เชน่ พนักงานทาํ ความสะอาด พนกั งานรกั ษาความปลอดภัย ลกู จ้างรา้ น
ขายสินคา้ ท่วั ไป
ลักษณะงานอาชพี รับจา้ ง
การประกอบอาชีพรับจา้ งแตล่ ะประเภทมลี กั ษณะทีแ่ ตกตา่ งกันดังต่อไปนี้
1. อาชีพรบั ราชการ เปน็ กลมุ่ อาชีพท่ีทํางานเพอื่ ประชาชนและประเทศชาติ ข้าราชการได้รับค่าตอบแทน
เป็นเงนิ เดอื น ซ่งึ ได้มาจากภาษีเงินได้ท่ีรัฐบาลเก็บจากประชาชนท่ีประกอบอาชีพมีรายได้ มีระยะเวลาการทํางานท่ี
แน่นอน โดยทํางาน ต้ังแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ และหยุดงานในวันเสาร์และอาทิตย์ เริ่มทํางานเวลา 08.00 - 16.30
น. หรอื 08.30 - 17.00 น. การประกอบอาชีพรับราชการจะมีการสอบคดั เลือกบุคคลก่อน โดยสอบขอ้ เขยี นเพ่ือวัด
ความรู้ความเข้าใจในการทํางาน และสอบสัมภาษณ์เพื่อดูความสามารถและทัศนคติเกี่ยวกับงาน อาชีพรับราชการ
เป็นอาชีพท่ีมีความม่ันคงและความก้าวหน้าค่อนข้างสูง โดยจะมีการเล่ือนขั้นตําแหน่งและขั้นเงินเดือนทุกปี เมื่อ
ครบกําหนดเกษียณอายุราชการยังไดร้ ับเงนิ บําเหน็จหรือบาํ นาญเปน็ คา่ ใช้จ่ายในการดํารงชวี ิตต่อไป
100
2. อาชีพพนักงานรัฐวิสาหกิจ รัฐวิสาหกิจเป็นองค์กรธุรกิจท่ีรัฐบาลเป็นเจ้าของหรือถือหุ้นอยู่มากกว่า
ร้อยละ 50 พนักงานรัฐวิสาหกิจจะได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนซึ่งได้มาจากงบประมาณรายได้แผ่นดิน มี
ระยะเวลาการทํางานท่แี น่นอนเหมอื นอาชพี รับราชการ เร่ิมทาํ งานเวลา 08.00 - 16.30 น. หรอื 08.30 - 16.30 น.
หรือ 09.00 -17.00 น. การประกอบอาชีพพนักงานรัฐวิสาหกิจจะมีการคัดเลือกบุคคลก่อนท่ีจะเข้าทํางานเหมือน
ข้าราชการ มีความม่นั คงและความกา้ วหนา้ ค่อนข้างสูงเหมอื นข้าราชการมีเงินชว่ ยเหลอื และสวัสดกิ ารแกพ่ นักงาน
3. อาชีพพนักงานบริษัท เป็นกลุ่มอาชีพท่ีทํางานภายใต้บริษัทที่ตนเองปฏิบัติงาน ได้รับค่าตอบแทนเป็น
เงินเดือนหรือค่าจ้าง ซึ่งได้จากผลกําไรจากการประกอบการของบริษัทมีระยะเวลาการทํางานท่ีแน่นอน บางบริษัท
อาจหยดุ ทางานเฉพาะวันอาทิตย์ เริ่มทํางานและเลิกเวลา 08.00 - 17.00 น. หรอื 08.30 - 17.30 น. หรอื 09.00 -
18.00 น. การประกอบอาชพี พนักงานบริษัทจะมกี ารคัดเลือกบคุ คลทจ่ี ะเขา้ ทาํ งานโดยการทําแบบทดสอบและการ
สัมภาษณ์งานเพ่ือดูความสามารถและทัศนคติเก่ียวกับงาน อาชีพพนักงานบริษัทเป็นอาชีพที่มีความม่ันคง
ความก้าวหนา้ ถ้าทํางานในบรษิ ัททมี่ คี วามม่นั คงและการจัดการที่ดีพนกั งานจะมีโอกาสเล่ือนขั้นเงินเดือนและเล่ือน
ตาํ แหนง่ งานนอกจากนี้ยงั มเี งนิ ช่วยเหลอื และสวสั ดกิ ารแกพ่ นักงานหลายดา้ น
4. อาชพี รับจา้ งที่ทํางานเปน็ กลุ่ม เปน็ กลมุ่ อาชพี ทที่ าํ งานตามคาํ ส่งั ของผ้วู า่ จา้ งซงึ่ ทํางานรว่ มกันเป็นกลุ่ม
เช่น กรรมกรก่อสร้าง พนักงานบริการอาหาร โดยมีลักษณะและระยะเวลาในการทํางานแตกต่างกันขึ้นอยู่กับ
ผู้ว่าจ้างในแต่ละอาชีพ อาชีพรับจ้างที่ทํางานเป็นกลุ่มจะต้องไปสมัครงานกับผู้ว่าจ้างโดยตรง โดยหาข้อมูลการรับ
สมัครงาน ตามหนังสือพิมพ์หรือประกาศต่างๆ ซึ่งผู้ว่าจ้างจะทํางานสัมภาษณ์และทดสอบความสามารถในการ
ทํางานตามหน้าที่ จึงพิจารณาให้เข้าทํางาน ความมั่นคงในการทํางานขึ้นอยูก่ ับผู้ปฏิบัติงานว่ามีความมุ่งมั่นในการ
การทํางานมากน้อยเพียงใด โดยผ้วู ่าจา้ งจะเปน็ ผู้พิจารณาการเล่อื นข้นั เงินเดอื นหรือสวสั ดิการต่าง ๆ ตามที่ผู้ว่าจ้าง
เห็นสมควร
5. อาชีพรับจ้างท่ีทํางานคนเดียว เปน็ กลุ่มอาชีพที่ทํางานตามคําสั่งของผู้ว่าจ้างซ่ึงทํางานคนเดียว เช่น
พนักงานทําความสะอาด พนักงานรักษาความปลอดภัย ลูกจ้างร้านค้าทั่วไป โดยมีลักษณะและระยะเวลาการ
ทํางาน ที่แตกต่างกัน โดยทํางานคร้ังละ 8 ชั่วโมง อาชีพรับจ้างที่ทํางานเป็นกลุ่มจะต้องไปสมัครงานกับผ้วู ่าจ้าง
โดยตรง สําหรับความมั่นคงและความก้าวหน้าในอาชีพนี้ผู้ว่าจ้างจะทําการพิจารณาเล่ือนขั้นเงินเดือนโดยดูจาก
ความสามารถของผปู้ ฏบิ ตั งิ าน ความขยนั ความรบั ผดิ ชอบ และความมีระเบียบวนิ ยั ในการทาํ งาน
คณุ สมบัติของผูป้ ระกอบอาชีพรบั จ้าง
ผปู้ ระกอบอาชพี รบั จา้ งโดยทว่ั ไปควรมีคณุ สมบัตดิ งั นี้
1. มีทัศนคติและค่านิยมที่ถูกต้องในเร่ืองการทํางานมองเห็นและตระหนักว่าการทํางานทําให้คนมีค่า
อาชีพทุกชนิดที่เป็นอาชีพสุจรติ ล้วนเป็นอาชีพท่ีมีเกียรติ ความสําเร็จที่น่าช่ืนชมจะตอ้ งมาจากความสามารถ การมี
ทัศนคติและค่านิยมท่ีถูกต้อง จะช่วยให้เกิดความภาคภูมิใจในการทํางานและปฏิบัติหน้าท่ีที่ตนเองรับผิดชอบได้
อยา่ งมีประสิทธภิ าพ
2. มีนิสัยพ้ืนฐานการทํางานท่ีดี ได้แก่ มีความขยัน มีความอดทน มีใจรักในการทํางาน มีความรับผิดชอบ
มวี ินัยในการทํางาน และมคี วามสือ่ สัตย์
3. มกี ารวางแผนในการทาํ งาน และมีการกําหนดเป้าหมายในการทํางานที่ชดั เจน
4. มสี ขุ ภาพร่างกายท่ีแข็งแรงและสขุ ภาพจติ ทดี่ ี เพอ่ื ให้การประกอบอาชพี มีความสาํ เรจ็ และกา้ วหน้า
5. มีการศึกษาค้นคว้าหาความรู้เพ่ิมเติมเพื่อปรับปรุงงานให้เจริญก้าวหน้าเหมาะสมกับเหตุการณ์ในยุค
ปจั จบุ ัน