The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ม.2 ภาคเรียนที่ 1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ฤทธิเดช สกุลซ้ง, 2022-11-05 09:29:06

แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ม.2 ภาคเรียนที่ 1

แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ม.2 ภาคเรียนที่ 1

แผนการจัดการเรียนรู้

หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๓ เรอ่ื ง การสรา้ งคำในภาษาไทย คำสมาส สนธิ

รหัส ท ๒๒๑๐๑ ช่ือรายวชิ า ภาษาไทย กลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาไทย

ช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ ๒ ภาคเรียนที่ ๑ เวลา ๓ ชั่วโมง

มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ท ๔.๑ เขา้ ใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปล่ยี นแปลงของภาษาและ

พลงั ของภาษา ภมู ปิ ัญญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไทยไวเ้ ป็นสมบตั ขิ องชาติ

ตวั ชว้ี ัด
ท ๔.๑ ม.๒/๑ สร้างคำในภาษาไทย

สาระสำคัญ / ความคดิ รวบยอด
ชว่ั โมงที่ ๑
คำสมาส คอื คำบาลหี รอื คำสนั สกฤตตง้ั แต่ ๒ คำขึ้นไปมารวมกัน นออกเสยี งตอ่ เน่อื งกันและ

แปลจากขา้ งหลังไปข้างหน้าเสมอ
คำสนธิ คอื คำทเ่ี กิดจากการนำคำบาลีหรอื สันสกฤตมาเชอ่ื มเสยี งใหก้ ลมกลนื กนั โดยการ

เปลยี่ นแปลงรูปสระ รูปพยัญชนะ หรอื นฤคหิตให้รวมกนั เปน็ คำใหม่ ควรจำแนกและศึกษาความหมาย
ของคำใหเ้ ข้าใจจงึ จะนำไปใชไ้ ดถ้ ูกต้อง

ชว่ั โมงท่ี ๒

หลกั การของคำสมาส คอื เกดิ จากคำมลู ตั้งแต่สองคำขนึ้ ไป เปน็ คำท่ีมรี ากศัพท์มาจากภาษา
บาลแี ละสนั สกฤตเทา่ นัน้ พยางคส์ ุดทา้ ยของคำหน้า หากมีสระ อะ หรอื มีตัวการนั ตอ์ ยู่ ใหย้ ุบตวั น้ันออก

(ยกเวน้ คำบางคำ) ส่วนมากออกเสียงพยางคท์ ้ายของคำหนา้ แม้จะไมม่ รี ปู สระกำกับอยู่ โดยจะใช้เสียง
อะ อิ และ อุ คำบาลีสันสกฤตทมี่ ีคำว่า พระ ซงึ่ กลายเสยี งมาจากบาลีสันสกฤต กถ็ อื วา่ เป็นคำสมาส
สว่ นใหญจ่ ะลงท้ายวา่ ศาสตร์ กรรม ภาพ ภัย ศกึ ษา ศิลป์ วทิ ยา

หลักการของคำสนธิ คือ คำสนธิต้องเปน็ คำบาลี สันสกฤตเท่านัน้ เม่ือนำคำมาสนธิกนั แล้ว
จะกลายเปน็ คำเดียว และจะต้องแปลจากคำหลงั มาคำหน้า คำท่ีจะนำมาสนธิกนั จะต้องมที ง้ั สระหน้า

และสระหลงั และเมอื่ สนธแิ ลว้ จะมกี ารเปลย่ี นแปลงพยญั ชนะ สระ หรือนคิ หิตที่เชื่อมเสมอ
ชัว่ โมงท่ี ๓
ประโยชนข์ องคำสมาส คอื คำสมาสเป็นการสรา้ งคำใหไ้ ดค้ ำเพ่มิ มากขึน้ จากเดมิ และได้คำ

ใหม่ในภาษาไทยเพอื่ รองรับวทิ ยาการและองค์ความรตู้ า่ ง ๆ โดยได้ถอ้ ยคำที่ไพเราะสละสลวยขน้ึ
และเป็นประโยชน์ในการแตง่ คำประพันธ์ เมือ่ ต้องการให้คำตรงตามลกั ษณะบังคำของคำประพนั ธ์

ชนดิ นนั้ ๆ
ประโยชน์ของคำสนธิ คือ ไดร้ ูปศัพท์ใหมท่ ่เี ดน่ ด้วยความหมาย และไดร้ ปู คำทม่ี ี

ความสละสลวย เป็นประโยชนใ์ นการแต่งคำประพนั ธป์ ระเภทฉนั ท์ และร่าย


สาระการเรยี นรู/้ เน้ือหายอ่ ย
ชั่วโมงที่ ๑
ความรู้ (K)
๑. นกั เรียนมคี วามร้คู วามเขา้ ใจในเรื่องความหมายของคำสมาส
๒. นักเรยี นมีความรู้ความเข้าใจเก่ยี วกบั คำสนธิ
ทักษะ/กระบวนการอา่ น (P)
๑. นกั เรียนสามารถบอกความหมายของคำสมาสไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง
๒. นกั เรยี นสามารถบอกความหมายของคำสนธิได้อยา่ งถูกต้อง
คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ (A)
นกั เรียนนำความรเู้ กี่ยวกับความหมายของคำสมาส สนธิ ไปใช้เป็นแนวทางในการเขยี น

ให้ถอ้ ยคำสละสลวยข้ึนไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง
ชั่วโมงท่ี ๒
ความรู้ (K)
นกั เรยี นมีความรู้ความเข้าใจในเร่อื งหลกั การของคำสมาส สนธิ
ทกั ษะ/กระบวนการอ่าน (P)
นกั เรียนสามารถบอกหลกั การของคำสมาส สนธิไดอ้ ยา่ งถูกต้อง
คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ (A)
นักเรยี นนำความร้เู กี่ยวกบั ความหมายของคำสมาส สนธิไปใช้เป็นแนวทางในการเขียน

ให้ถอ้ ยคำสละสลวยขึ้นได้อย่างถกู ตอ้ ง
ชั่วโมงที่ ๓
ความรู้ (K)
นกั เรยี นมีความร้คู วามเข้าใจในเรื่องประโยชน์ของคำสมาส สนธิ
ทกั ษะ/กระบวนการอา่ น (P)
นักเรียนสามารถบอกประโยชน์ของคำสมาส สนธิไดอ้ ย่างถกู ต้อง
คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (A)
นักเรยี นนำความรู้เก่ียวกับความหมายของคำสมาส สนธิ ไปใช้เปน็ แนวทางในการเขยี น

ให้ถ้อยคำสละสลวยขนึ้ ไดอ้ ย่างถกู ต้อง

จดุ เนน้ สกู่ ารพัฒนาคณุ ภาพผู้เรียน
ทกั ษะในศตวรรษที่ 21 ( 3R8C )

Reading (อ่านออก)

(W) Riting (เขยี นได้)

(A) Rithemetics (คิดเลขเป็น)

ทักษะด้านการคดิ อย่างมวี ิจารณญาณและทกั ษะในการแกไ้ ขปัญหา (Critical
Thinking and Problem Solving)

ทกั ษะดา้ นการสรา้ งสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation)


ทักษะด้านความเข้าใจความต่างวัฒนธรรม ตา่ งกระบวนทศั น์ (Cross-cultural
Understanding)

ทักษะด้านความร่วมมอื การทำงานเปน็ ทีมและภาวะผ้นู ำ (Collaboration,
Teamwork and Leadership)

ทกั ษะดา้ นการสอ่ื สาร สารสนเทศและร้เู ท่าทันส่ือ (Communications,
Information, and Media Literacy)

ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สาร (Computing
and ICT Literacy)

ทักษะอาชีพ และทกั ษะการเรียนรู้ (Career and Learning)

ทกั ษะการเปลยี่ นแปลง (Change)

การประเมินผลรวบยอด
ชิ้นงานหรือภาระงาน
ชั่วใมงที่ 1
ใบงาน เรือ่ ง ความหมายของคำสมาส และสนธิ
ชั่วใมงท่ี 2
ใบงาน เรอ่ื ง สมาส สนธิ
ช่ัวใมงที่ 3
ใบงาน เร่อื ง คัดสรรสมาส สนธิ

กจิ กรรมการเรยี นรู้
ช่วั โมงท่ี ๑
ขัน้ นำ
ครกู ล่าวทกั ทายนกั เรยี น จากนน้ั ครูและนักเรียนรว่ มกนั สนทนาเกยี่ วกบั คำสมาส สนธิ

จากนนั้ ครโู ยงเน้ือหาเข้าสบู่ ทเรยี น (K, P)
ข้ันสอน
1. ครูแจกใบความรู้ เรอ่ื ง การสรา้ งคำในภาษาไทย คำสมาส สนธิ พร้อมกบั ใหค้ วามรู้

เกี่ยวกบั ความหมาย ลักษณะของคำสมาส การพิจารณาคำสมาส (K) ประกอบกบั ยกตัวอย่าง พร้อมทง้ั
สอดแทรกคำถาม เพื่อใหน้ กั เรยี นมีความกระตือรอื ร้น (P)

๒. ครแู จกใบงาน เรื่อง ความหมายและการอ่านคำสมาสและสนธิ ซ่ึงเปน็ ใบงานรายบุคคล
จากนัน้ ครูอธิบายคำชี้แจงให้นักเรียนเขา้ ใจในชน้ิ งาน (K, P)

๓. ครแู ละนกั เรียนรว่ มกันเฉลยใบงาน เรอื่ ง ความหมายและการอา่ นคำสมาส จากนน้ั ครู
คำแนะนำเพมิ่ เติมเกี่ยวกบั การอ่านเพอื่ เกดิ ความเข้าใจเพม่ิ มากขน้ึ


ข้ันสรปุ
ครแู ละนักเรียนรว่ มกนั สรุปกิจกรรมเร่ือง ความหมายและการอ่านคำสมาส สนธิ ซง่ึ เป็น

ใบงานท่ีให้นกั เรยี นแต่ละกล่มุ ได้รว่ มกันอ่านคำสมาสไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง สำหรับใบงาน เรือ่ ง ความหมาย
และการอ่านคำสมาส เปน็ ใบงานทีใ่ หน้ ักเรียนไดน้ ำเอาความรแู้ ละใชค้ วามคดิ ในการทำใบงาน จากน้ัน
ครสู รุปเพ่มิ เตมิ ว่ากิจกรรมที่นกั เรียนได้ทำนั้นถกู ตอ้ ง สะทอ้ นให้เหน็ ว่านกั เรยี นมีความเขา้ ใจในเนือ้ หา
เกยี่ วกับการอา่ นจบั ใจความสำคัญเปน็ อยา่ งดี และสามารถนำความรไู้ ปเป็นแนวทางในการอา่ นคำสมาส
สนธิได้ (K, P, A)

ชั่วโมงท่ี ๒
ขน้ั นำ
ครกู ลา่ วทักทายนกั เรียนและสนทนาซักถามรว่ มกันในประเด็นคำสมาส สนธิ จากช่วั โมง

ทแ่ี ล้วเมอ่ื ซักถามนกั เรยี นเสรจ็ สิ้น จากน้นั ครูโยงเนอื้ หาเขา้ สบู่ ทเรยี น (K, P)
ขั้นสอน
๑. ครูทบทวน เร่ือง การสรา้ งคำในภาษาไทย คำสมาส สนธิ พรอ้ มกับใหค้ วามรู้เกี่ยวกับ

ความหมาย และใหค้ วามร้เู กี่ยวกบั ความหมาย ลักษณะของคำสมาส การพจิ ารณาคำสมาส สนธิ และ
หลกั การของคำสมาส สนธิ (K) ประกอบกับยกตัวอยา่ ง พร้อมท้งั สอดแทรกคำถาม เพอื่ ให้นกั เรียนมี
ความกระตือรอื ร้น (P)

๒. ครแู จกใบงาน เร่อื ง สมาส สนธิ ซ่ึงเป็นใบงานรายบุคคล จากนน้ั ครูอธบิ ายคำชีแ้ จง
ใหน้ ักเรยี นเขา้ ใจในชิน้ งาน (K, P)

๓. ครูและนักเรียนร่วมกนั เฉลยใบงาน เรือ่ ง สมาส สนธิ จากนน้ั ครูคำแนะนำเพิม่ เตมิ
เก่ยี วกบั การอา่ นเพือ่ เกิดความเข้าใจเพิม่ มากขึน้

ขัน้ สรปุ
ครแู ละนักเรียนรว่ มกันสรุปกิจกรรม เรอื่ ง สมาส สนธิ ซง่ึ เปน็ ใบกจิ กรรมทใี่ ห้นกั เรียน

แต่ละกลุ่มได้ร่วมกันอา่ นคำสมาสไดอ้ ย่างถกู ต้อง สำหรบั ใบงาน เรื่อง สมาส สนธิ เป็นใบงานที่ให้
นกั เรยี นไดน้ ำเอาความรแู้ ละใช้ความคิดในการทำใบกจิ กรรม จากน้นั ครูสรปุ เพ่มิ เตมิ ว่ากจิ กรรมที่
นักเรยี นได้ทำน้นั ถูกตอ้ ง สะท้อนให้เหน็ ว่านกั เรียนมีความเขา้ ใจในเน้อื หาเกี่ยวกับการสรา้ งคำสมาส
สนธิเป็นอย่างดี และสามารถนำความรไู้ ปเปน็ แนวทางในการอา่ นคำสมาส ได้ (K, P, A)

ชวั่ โมงท่ี ๓
ข้นั นำ
ครูกลา่ วทกั ทายนกั เรยี นและสนทนาซกั ถามรว่ มกนั ในประเด็นความหมาย หลกั การ

ของคำสมาส สนธิ เมือ่ ซักถามนกั เรยี นเสรจ็ สน้ิ จากนนั้ ครูโยงเน้อื หาเขา้ สู่บทเรยี น (K, P)
ขนั้ สอน
๑. ครูแจกใบความรู้ เรื่อง การสร้างคำในภาษาไทย คำสมาส สนธิ พรอ้ มกับทบทวน

ความรเู้ กย่ี วกับความหมาย และให้ความรู้เก่ยี วกบั ความหมาย หลกั การ ลกั ษณะ การพิจารณา


ของคำสมาส และสอนเกยี่ วกับประโยชนข์ องคำสมาส (K) ประกอบกบั ยกตัวอย่าง พร้อมทงั้ สอดแทรก
คำถาม เพ่ือใหน้ ักเรยี นมคี วามกระตอื รือรน้ (P)

๒. ครูแจกใบงาน เร่อื ง คัดสรรสมาส สนธิ ซ่ึงเป็นใบงานรายบุคคล จากนนั้ ครูอธบิ าย
คำชแี้ จงให้นกั เรยี นเขา้ ใจในช้นิ งาน (K, P)

๓. ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกันเฉลยใบงาน เรื่อง คัดสรรสมาส สนธิ จากนน้ั ครคู ำแนะนำ
เพ่มิ เติมเกี่ยวกบั การอ่านเพือ่ เกดิ ความเข้าใจเพ่ิมมากข้นึ

ขน้ั สรุป
ครูและนกั เรียนร่วมกันสรุปกิจกรรม เรอ่ื ง คดั สรรสมาส สนธิ ซ่ึงเป็นใบกิจกรรมทใ่ี ห้

นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มได้รว่ มกนั อ่านคำสมาสไดอ้ ย่างถูกต้อง สำหรับใบงาน เรอ่ื ง คัดสรรสมาส สนธิ

เป็นใบงานทีใ่ หน้ กั เรียนไดน้ ำเอาความรแู้ ละใช้ความคดิ ในการทำใบกจิ กรรม จากนนั้ ครสู รปุ เพ่มิ เติมวา่
กิจกรรมท่นี ักเรยี นไดท้ ำนั้นถกู ต้อง สะทอ้ นให้เห็นวา่ นักเรยี นมคี วามเข้าใจในเนื้อหาเก่ียวกบั คำสมาส

เป็นอยา่ ง และสามารถนำความร้ไู ปเปน็ แนวทางในการอ่านคำสมาส ได้ (K, P, A)

การวดั ผลประเมนิ ผล เกณฑก์ ารประเมิน
ชว่ั โมงที่ 1 ผ่านเกณฑก์ ารประเมิน
รอ้ ยละ ๕๐
วิธีการ เครื่องมอื
เกณฑก์ ารประเมิน
ประเมนิ ใบงาน เรอื่ ง ความหมายและการอ่านคำสมาส ใบกจิ กรรม เร่ือง ความหมาย ผ่านเกณฑก์ ารประเมิน
สนธิ ใช้วธิ ีวดั ผลจากการทำกิจกรรมของนักเรียนแตล่ ะ และการอา่ นคำสมาส สนธิ รอ้ ยละ ๕๐
คน โดยมีประเดน็ ในการวัดผล ไดแ้ ก่ ความรู้
ความเข้าใจเร่อื งความหมายและการอา่ นคำสมาส สนธิ
สามารถอา่ นคำสมาส สนธไิ ด้ ตรงประเด็น การใช้
ภาษา ความสะอาดเรียบร้อย (ประเดน็ ของแตล่ ะคน)
จากนั้นนำผลการประเมนิ มาเปน็ ขอ้ มูลในการปรับปรงุ
และพัฒนานักเรียน และการจดั การเรียนการสอน
ของครูในครัง้ ต่อ ๆ ไป

ช่ัวโมงท่ี 2

วิธีการ เคร่ืองมอื

ประเมินใบงานเรื่อง สมาส สนธิ สนธิ ใช้วิธีวัดผลจาก ใบกิจกรรม เรื่อง สมาส สนธิ
การทำกิจกรรมของนักเรยี นแตล่ ะคน โดยมีประเด็นใน
การวัดผล ได้แก่ ความรู้ความรู้ความเขา้ ใจเรื่องสมาส
สนธิ สามารถแยกคำสมาส สนธไิ ด้ ตรงประเด็น
การใชภ้ าษา และความสะอาดเรียบร้อย (ประเดน็
ของแตล่ ะคน) จากนั้นนำผลการประเมนิ มาเป็นข้อมลู
ในการปรบั ปรงุ และพัฒนานักเรยี น และการจัดการ
เรียนการสอนของครใู นคร้งั ตอ่ ๆ ไป


ช่ัวโมงที่ 3 เครื่องมือ เกณฑก์ ารประเมิน

วิธีการ ใบงาน เรอ่ื ง คดั สรรสมาส ผ่านเกณฑ์การประเมนิ
สนธิ รอ้ ยละ ๕๐
ประเมนิ ใบงาน เร่ือง คดั สรรสมาส สนธิ ใชว้ ธิ ีวดั ผลจาก
การทำกจิ กรรมของนักเรียนแตล่ ะคน โดยมีประเด็นใน
การวัดผล ไดแ้ ก่ ความรคู้ วามเข้าใจเรื่องคำสมาส สนธิ
สามารถบอกคำสมาส สนธิได้ ตรงประเดน็ การใช้ภาษา
และความสะอาดเรยี บร้อย (ประเด็นของแตล่ ะคน)
จากน้นั นำผลการประเมินมาเป็นขอ้ มลู ในการปรบั ปรุง
และพฒั นานักเรยี น และการจดั การเรยี นการสอนของครู
ในครัง้ ต่อ ๆ ไป

ส่ือการเรียนรู้

๑. ใบความรู้ เร่อื ง การสร้างคำในภาษาไทย คำสมาส สนธิ
๒. ใบงาน เรอ่ื ง ความหมายและการอา่ นคำสมาส สนธิ
๓. ใบงาน เรอื่ ง สมาส สนธิ
๔. ใบงาน เรอื่ ง คดั สรรสมาส สนธิ

ขอ้ เสนอแนะของหวั หน้าสถานศึกษาหรือผู้ท่ีไดร้ บั มอบหมาย (ตรวจสอบ,นเิ ทศ,เสนอแนะ,รับรอง)
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................

....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................

ลงชอื่ ................................................................
(นายสนอง ศรีธรรมา)
วันท.ี่ ........../...................../...........


บันทกึ ผลหลงั การจดั การเรียนรู้
๑. ผลการจัดการเรยี นรู้
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๒. ปัญหาและอปุ สรรค
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๓. แนวทางการแกไ้ ขปญั หา
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๔. ขอ้ เสนอแนะ
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................

ลงชอื่ .................................................
(นายฤทธเิ ดช สกลุ ซง้ )

วนั ที.่ ............./......................./...............


เกณฑก์ ารประเมิน ใบงาน เร่อื ง ความหมายและการอ่านคำสมาส สนธิ

รายการประเมนิ ระดับคะแนน

๒๑

ความรคู้ วามเข้าใจเร่อื ง มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกบั ไม่ค่อยมีความรคู้ วามเขา้ ใจ

ความหมายและการ ความหมายและการอา่ นคำสมาส สนธิ เกย่ี วกบั ความหมายและการอา่ น

อ่านคำสมาส สนธิ เป็นอยา่ งดี คำสมาส สนธิเทา่ ที่ควร

สามารถอ่านคำสมาส สามารถอา่ นคำสมาส สนธิได้ได้ถกู ต้อง ไมส่ ามารถอา่ นคำสมาส สนธิได้

สนธิได้ ไดถ้ กู ต้อง

ตรงประเดน็ สามารถบอกความหมายและการอ่าน ไม่สามารถบอกความหมายและ

คำสมาสได้ถูกตอ้ ง ตรงประเดน็ กบั การอา่ นคำสมาสไดถ้ กู ตอ้ ง ตรง

เนอื้ หาทอ่ี ่าน ประเด็นกับเนอื้ หาท่ีอา่ นได้ดี

เท่าที่ควร

การใช้ภาษา สามารถเขียนคำและเรียบเรียงประโยค ไมส่ ามารถเขยี นคำและเรียบเรยี ง

ได้อยา่ งถกู ตอ้ ง ประโยคไดอ้ ย่างถกู ต้อง

ความสะอาดเรยี บรอ้ ย ใบกจิ กรรมมีความสะอาด เขียนได้ ใบกิจกรรมไม่คอ่ ยสะอาด การ

อยา่ งเป็นระเบียบเรยี บร้อย เขียนไม่มีความเป็นระเบียบ

เรียบร้อย

หมายเหตุ : เกณฑก์ ารทำใบงาน ตอ้ งไดค้ ะแนนรอ้ ยละ ๕๐ คือ ๕ คะแนนข้ึนไป จากคะแนนเตม็ ๑๐

จึงจะถือวา่ ผ่านเกณฑ์

เกณฑก์ ารประเมนิ เกณฑ์การตัดสนิ ระดับคณุ ภาพ ผลการประเมนิ

๙-๑๐ คะแนน ดีมาก ผ่าน

๗-๘ คะแนน ดี ผ่าน

๕-๖ คะแนน ปานกลาง ผา่ น

๓-๔ คะแนน พอใช้ ไมผ่ า่ น

๐-๒ คะแนน ปรับปรุง ไมผ่ ่าน


เกณฑ์การประเมนิ ใบงาน เร่ือง สมาส สนธิ

รายการประเมนิ ระดับคะแนน

๒๑

ความรู้ความเขา้ ใจเร่อื ง มีความรคู้ วามเข้าใจเกีย่ วกับการสร้าง ไมค่ อ่ ยมคี วามร้คู วามเขา้ ใจ

สมาส สนธิ คำสมาส สนธิเป็นอยา่ งดี เก่ยี วกบั การคำสมาส สนธิ

เทา่ ที่ควร

สามารถแยกคำสมาส สามารถสร้างแยกคำสมาส สนธิได้ ไมส่ ามารถแยกคำสมาส สนธิได้

สนธิได้ ถูกตอ้ งตามหลกั การ ถกู ต้องตามหลกั การ

ตรงประเดน็ สามารถการสร้างคำสมาสได้ถกู ต้อง ไม่สามารถการสรา้ งคำสมาสได้

ตรงประเดน็ กบั เน้ือหาท่ีอ่าน ถกู ต้อง ตรงประเด็นกับเนือ้ หาท่ี

อา่ นไดด้ ีเทา่ ที่ควร

การใชภ้ าษา สามารถเขยี นคำและเรยี บเรียงประโยค ไม่สามารถเขียนคำและเรียบเรียง

ไดอ้ ย่างถกู ต้อง ประโยคได้อย่างถกู ต้อง

ความสะอาดเรยี บรอ้ ย ใบกิจกรรมมีความสะอาด เขยี นได้ ใบกิจกรรมไม่ค่อยสะอาด การ

อยา่ งเปน็ ระเบยี บเรียบร้อย เขยี นไม่มคี วามเปน็ ระเบยี บ

เรียบร้อย


หมายเหตุ : เกณฑ์การทำใบงาน ตอ้ งได้คะแนนร้อยละ ๕๐ คอื ๕ คะแนนข้ึนไป จากคะแนนเต็ม ๑๐

จึงจะถือว่าผ่านเกณฑ์

เกณฑก์ ารประเมนิ เกณฑก์ ารตัดสนิ ระดับคณุ ภาพ ผลการประเมนิ

๙-๑๐ คะแนน ดีมาก ผา่ น

๗-๘ คะแนน ดี ผ่าน

๕-๖ คะแนน ปานกลาง ผา่ น

๓-๔ คะแนน พอใช้ ไม่ผา่ น

๐-๒ คะแนน ปรบั ปรุง ไมผ่ า่ น


เกณฑ์การประเมิน ใบงาน เร่ือง คดั สรรสมาส สนธิ

รายการประเมนิ ระดบั คะแนน

๒๑

ความรู้ความเข้าใจเร่อื ง มคี วามร้คู วามเข้าใจเก่ยี วกบั คำสมาส ไม่คอ่ ยมคี วามร้คู วามเขา้ ใจ

คำสมาส สนธิ สนธิเปน็ อยา่ งดี เกยี่ วกบั คำสมาส สนธิเทา่ ท่ีควร

สามารถบอกคำสมาส สามารถบอกคำสมาส สนธิไดถ้ กู ต้อง ไมส่ ามารถบอกคำสมาส สนธิได้

สนธิได้ ตามหลักการ ถูกตอ้ งตามหลกั การ

ตรงประเด็น สามารถบอกคำสมาส สนธิไดถ้ ูกต้อง ไม่สามารถบอกคำสมาส สนธิได้

ตรงประเดน็ กับเนอื้ หาทอ่ี ่าน ถูกต้อง ตรงประเดน็ กับเนื้อหาท่ี

อ่านไดด้ ีเท่าที่ควร

การใช้ภาษา สามารถเขยี นคำและเรยี บเรียงประโยค ไมส่ ามารถเขยี นคำและเรียบเรียง

ไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง ประโยคไดอ้ ย่างถูกต้อง

ความสะอาดเรียบร้อย ใบกจิ กรรมมคี วามสะอาด เขียนได้ ใบกจิ กรรมไม่คอ่ ยสะอาด การ

อยา่ งเปน็ ระเบยี บเรยี บรอ้ ย เขยี นไมม่ ีความเปน็ ระเบยี บ

เรยี บรอ้ ย

หมายเหตุ : เกณฑก์ ารทำใบงาน ต้องได้คะแนนร้อยละ ๕๐ คือ ๕ คะแนนขนึ้ ไป จากคะแนนเต็ม ๑๐

จึงจะถอื วา่ ผ่านเกณฑ์

เกณฑก์ ารประเมิน เกณฑก์ ารตัดสินระดบั คุณภาพ ผลการประเมนิ

๙-๑๐ คะแนน ดีมาก ผา่ น

๗-๘ คะแนน ดี ผา่ น

๕-๖ คะแนน ปานกลาง ผ่าน

๓-๔ คะแนน พอใช้ ไมผ่ ่าน

๐-๒ คะแนน ปรบั ปรงุ ไม่ผา่ น


แบบประเมินใบกิจกรรม เรอ่ื ง ความหมายและการอา่ นคำสมาส สนธิ
ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๒

คำชี้แจง ให้ผู้ประเมินทำเครื่องหมาย √ ลงในช่องคะแนน

รายการประเมิน

ช่ือ-สกลุ ความ ู้รความเ ้ขาใจเ ืร่องคำสมาส รวม สรุปผล
สนธิ

สามารถบอกคำสมาส สนธิไ ้ด
ตรงประเด็น
การใช้ภาษา

ความสะอาดเ ีรยบ ้รอย

๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๑๐ ผ่าน ไมผ่ ่าน

ด.ช.สมพงษ์ กงสะกาง
ด.ช.ทรงศกั ด์ิ เรืองกรไกร
ด.ช.พนิต ระแสน
ด.ช.ฤทธิกร ใบแสน
ด.ช.อนเุ ทพ ใยปางแก้ว
ด.ญ.ดนุนันท์ วระโงน
ด.ญ.จันทร์จริ า สขุ ลว้ น
ด.ญ.กัญญาลกั ษณ์ น้อยเวียง
ด.ญ.เบญจวรรณ นารแี พงศรี
ด.ญ.ตะวันฟ้า พลู เพ่มิ
ด.ญ.ขวัญฤดี คำเมือง
ด.ช.รชั ชานนท์ พลาดอินทร์
ด.ช.วชระ วางศรี


ใบความรู้ เร่ือง คำสมาส สนธิ

คำสมาส คือ การนำคำที่มาจากภาษาบาลีและสันสกฤตตง้ั แต่ ๒ คำขึ้นไป มารวมกันใหเ้ ป็น
คำเดยี ว ทำใหเ้ กิดคำใหม่ท่มี คี วามหมายใหม่ แต่ยังคงเค้าความหมายเดมิ อยู่
คำท่มี าจากภาษาบาลีและสันสกฤตมีหลกั โดยท่วั ไป ดังน้ี

หลกั สงั เกตภาษาบาลีและสนั สกฤต

บาลี สันสกฤต

๑. ใชส้ ระอะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ เช่น ๑. ใช้สระอะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ และเพ่ิม

บิดา บุรี บญุ บูชา เมตตา ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ ไอ เอา เช่น ไมตรี ฤกษ์ ฤดู ฤทธ์ิ

ไพศาล เมาลี เสาร์

๒. ใช้ ส เชน่ สาสนา สนั ติ วิสาสะ สาลา ๒. ใช้ ศ ษ เชน่ ศษิ ย์ ศานติ พิศวาส ศาลา

สสี ะ ศรี ษะ

๓. ใช้ ฬ เชน่ กีฬา จฬุ า ครุฬ ๓. ใช้ ฑ เชน่ กรฑี า จุฑา ครุฑ

๔. ใช้พยญั ชนะเรยี งพยางค์ เช่น ปฐม ปณีต ๔. ใชอ้ ักษรควบกล้ำ เช่น ประถม ประณตี จักร

จักก สัจ ปชา กิรยิ า สามี ฐาน ประชา กรยิ า สวามี สถาน สถาวร

ถาวร

๕. ใชพ้ ยัญชนะสะกดและตัวตามตัวเดียวกัน ๕. ใช้ตัว รร แทน ร (ร เรผะ) เชน่ ธรรม

เชน่ ธมั ม กัมม กรรม มรรค จรรยา สุวรรณ

๖. มีหลกั ตัวสะกดตัวตามท่ีแนน่ อน ๖. ไมม่ ีหลักตัวสะกดตวั ตาม

วิธีสรา้ งคำสมาส

๑. คำตงั้ แต่สองคำขึน้ ไปที่มีรากศัพท์มาจากบาลีและสนั สกฤตเท่าน้นั เชน่

- วทิ ย์ (สันสกฤต) + ศาสตร์ (สนั สกฤต) = วิทยาศาสตร์

ถา้ คำท่นี ำมาสร้างนน้ั คำใดคำหนึง่ ไมใ่ ช่บาลหี รือสันสกฤตจะไมน่ บั ว่าเป็นคำสมาส เชน่

- สรรพ (สนั สกฤต) + สิ่ง (ไทย) = สรรพส่งิ (ประสม)

- ราช (บาลี) + วงั (ไทย) = ราชวัง (ประสม)

๒. ถา้ พยางคส์ ุดทา้ ยของคำหน้ามรี ูปสระ ะ หรอื ตวั การนั ต์ ต้องตดั สระหรอื ไมท้ ณั ฑฆาต

( ) ออก เชน่

- ศิลปะ + ศึกษา = ศิลปศึกษา

๓. การเรียงคำเขา้ สมาส คำท่ีเป็นคำหลกั จะวางไว้หลัง คำขยายจะวางไวห้ น้า เมอ่ื แปล

ความหมายจะต้องแปลจากหลงั มาหนา้ เชน่

- ภมู ิศาสตร์ หมายถึง วิชาทว่ี ่าด้วยโลก
- ราชโอรส หมายถงึ ลกู ชายพระราชา


๔. การออกเสยี งคำสมาส ต้องออกเสยี งสระที่พยางคส์ ดุ ท้ายของคำหน้า ถา้ พยางค์สุดท้าย

ของคำหนา้ ไม่มีรปู สระกำกับ ให้อ่านออกเสียง อะ เชน่
- รัฐ + ศาสตร์ = รฐั ศาสตร์ อ่าน รัด – ถะ – สาด
- ภูมิ + ทัศน์ = ภูมทิ ัศน์ อ่าน พูม – มิ – ทัด

๕. คำบาลี – สนั สกฤต ซึง่ มีคำว่า “พระ” ซึ่งแผลงมาจาก “วร” ทเ่ี ป็นภาษาบาลีประกอบ
ขา้ งหนา้ จดั ว่าเป็นคำสมาสเชน่ เดียวกัน

- พระ + กรรณ = พระกรรณ
ในทางตรงกนั ข้าม คำวา่ “พระ” อย่ขู า้ งหนา้ คำภาษาอน่ื ท่ไี มใ่ ช่ภาษาบาลี – สันสกฤต คำ
น้นั ไมใ่ ชค่ ำสมาส เช่น พระ + เขนย = พระเขนย “เขนย” เป็นคำเขมร ดังนนั้ คำว่า “พระเขนย”

จงึ ไมใ่ ชค่ ำสมาส
๖. คำสว่ นใหญท่ ่ลี งทา้ ยด้วยคำวา่ กิจ การ กรรม กร ศกึ ษา ภัย สถาน ภาพ วทิ ยา

ศิลป์ ธรรม ศาสตร์
- เศรษฐกิจ

ข้อสงั เกตคำสมาส

๑. คำสมาสบางคำไม่อ่านออกเสียงรูปสระระหวา่ งคำหน้าและคำหลงั เช่น

- เกียรตนิ ยิ ม อ่านวา่ เกียด - นิ - ยม

- ชาตินยิ ม อ่านว่า

๒. คำสมาสบางคำอ่านออกเสียงไดท้ ้งั แบบมีพยางค์เชอ่ื มระหว่างคำ หรอื แบบไม่อา่ นออก

เสียงพยางคเ์ ชื่อมก็ได้ เช่น

- ประถมศึกษา อา่ นวา่ ประ - ถม - สึก - สา หรอื

- รสนิยม อ่านวา่ รด - นิ - ยม หรือ

๓. ช่ือจงั หวัดทีล่ งท้ายด้วย “บุร”ี บางชอ่ื กอ็ า่ นออกเสยี งเชื่อมระหวา่ งคำ บางชอื่ ก็ไม่

อา่ นออกเสยี งเชือ่ ม บางชือ่ กอ็ ่านได้ทง้ั สองอย่าง เช่น

- จันทบรุ ี อา่ นว่า จัน - ทะ - บุ - รี

- ชลบุรี อา่ นว่า

- เพชรบรุ ี อ่านวา่

๔. คำสมาสสว่ นใหญจ่ ะแปลจากหลังมาหน้า แต่ก็มคี ำสมาสบางคำที่แปลจากหน้าไปหลัง

เชน่

- มณฑลพิธี หมายถึง บริเวณพิธี

- ผลกรรม หมายถงึ

- ผลบญุ หมายถึง


ความหมายของคำสนธิ

คำสนธิ คือการสมาสโดยการเชือ่ มคำเข้าระหว่างพยางค์หลงั ของคำหน้ากับพยางค์หน้าของคำ
หลัง เปน็ การยอ่ อักขระให้น้อยลงเวลาอ่านจะเกิดเสียงกลมกลืนเป็นคำเดยี วกัน

หลักสงั เกตคำสนธิในภาษาไทย
การสนธิแบง่ เปน็ 3 ประเภท คอื 1. สระสนธิ 2. พยญั ชนะสนธิ 3. นฤคหติ สนธิ
1. สระสนธิ คอื การนำคำที่ลงท้ายด้วยสระไปสนธิกับคำทขี่ นึ้ คน้ ด้วยสระ ซง่ึ เม่ือสนธิ

แล้วจะมกี ารเปลี่ยนแปลงรูปสระตามกฎเกณฑ์
- ตดั สระพยางค์ทา้ ยคำหนา้ แล้วใชส้ ระพยางคห์ น้าคำหลงั เช่น

ราช อานุภาพ = ราชานภุ าพ

สาธารณ อุปโภค = สาธารณปู โภค

นลิ อบุ ล = นลิ บุ ล

- ตดั สระพยางคท์ ้านคำหนา้ และใช้สระพยางคต์ น้ ของคำหลงั โดยเปลี่ยน
สระพยางค์ตน้ ของคำหลัง

อะ เปน็ อา
อิ เป็น เอ
อุ เป็น อู
อุ, อู เป็น โอ
เชน่
พงศ อวตาร = พงศาวตาร
ปรม อนิ ทร์ = ปรเมนทร์
มหา อิสี = มเหสี
- เปลี่ยนสระพยางคท์ า้ ยของคำหน้าเป็นพยญั ชนะ คือ

อิ อี เป็น ย

อุ อู เปน็ ว

ใช้สระพยางคต์ ้นของคำหลงั ซง่ึ อาจเปลี่ยนรปู หรอื ไมเ่ ปลีย่ นรูปก็ได้ ในกรณที ่สี ระพยางคต์ ้น

ของคำหลงั ไมใ่ ช่ อิ อี อุ อู อยา่ งสระตรงพยางคท์ า้ ยของคำหนา้ เชน่

กิตติ อากร = กติ ยากร

สามคั คี อาจารย์ = สามคั ยาจารย์


ธนู อาคม = ธนั วาคม

คำสนธบิ างคำไมเ่ ปลี่ยนสระ อิ อี เป็น ย แตต่ ัดทงิ้ ทั้ง สระพยางค์หนา้ คำ

2. พยญั ชนะสนธิ คือการเช่อื มคำด้วยพยัญชนะเป็นการเชอ่ื มเสียง พยญั ชนะในพยางคท์ ้าย
ของคำแรกกบั เสียงพยัญชนะหรอื สระในพยางค์แรก ของคำหลัง เชน่

- สนธิเข้าดว้ ยวิธี โลโป คอื ลบพยางค์สุดทา้ ยของคำหนา้ ท้ิง เชน่

นิรส ภัย = นิรภยั
ทุรส พล = ทุรพล
อายุรส แพทย์ = อายรุ แพทย์
- สนธิเขา้ ดว้ ยวิธี อาเสโท คือแปลงพยญั ชนะท้ายของคำหน้า เป็นสระ โอ แล้วสนธติ ามปกติ เช่น

มนส ภาพ = มโนภาพ
ยสส ธร = ยโสธร
รหส ฐาน = รโหฐาน
3. นฤคหิตสนธิ คอื การเชือ่ มคำด้วยนฤคหิต เป็นการเชอื่ มเม่ือพยางค์หลังของคำแรกเปน็ นฤค
หิตกบั เสียงสระในพยางค์แรกของคำหลัง มี 3 วธิ ี คอื
1. นฤคหติ สนธิกับสระ ให้เปลี่ยนนฤคหติ เปน็ ม แลว้ สนธิกัน
เชน่ สํ อาคม = สม อาคม = สมาคม
สํ อุทยั = สม อุทัย = สมุทัย
2. นฤคหติ สนธิกับพยัญชนะของวรรค ใหเ้ ปลยี่ นนฤคหิตเปน็ พยญั ชนะตวั สุดท้าย
ของพยัญชนะในแต่ละวรรค ได้แก่ วรรคกะ เปน็ ง
วรรคจะ เป็น ญ
วรรคตะ เป็น น
วรรคฏะ เป็น ณ
วรรคปะ เป็น ม
เชน่ สํ จร = สญ จร = สญั จร
สํ นบิ าต = สน นิบาต = สันนิบาต
3. วรรคกะ เป็นสนธกิ บั พยญั ชนะเศษวรรค ใหเ้ ปลยี่ นนฤคหิต เปน็ ง
เชน่ สํ สาร = สงสาร
สํ หรณ์ = สงั หรณ์


ตัวอย่างคำสนธิ ราโชวาท ราชานสุ รณ์ คมนาคม ผลานิสงส์
นครินทร์ ราชนิ ยานสุ รณ์ สมาคม จุลินทรีย์ ธนคาร
ศิษยานุศิษย์ นภาลัย ธนาณตั ิ สินธวานนท์ หมิ าลยั
มหิทธิ จุฬาลงกรณ์ มโนภาพ รโหฐาน สงสาร
ราชานุสรณ์ จักขวาพาธ หัตถาจารย์ วัลยาภรณ์ นโยบาย
หัสดาภรณ์ มหัศจรรย์ มหรรณพ มหานิสงส์ ดรโุ ณทยาน
อินทรธบิ ดี บรรณารักษ์ เทพารักษ์ ทันตานามยั วโรดม
ภยาคติ ศิลปาชีพ ปรเมนทร์ ทุตานทุ ตู นเรศวร
สินธวาณัติ ราโชบาย ชลาลยั สุโขทัย สงั คม
กศุ โลบาย สุรโิ ยทัย ขีปนาวุธ บดินทร์ พนาลยั
สมาทาน


ใบงาน เร่อื ง ความหมายและการอา่ นคำสมาส
สนธิ

คำชแ้ี จง : ใหน้ กั เรยี นตอบคำถามตอ่ ไปนใ้ี ห้ถูกตอ้ ง

๑. คำสมาสหมายถึงอะไร
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๒. คำสนธิหมายถงึ อะไร
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๓. หลกั การของคำสมาส มีกีข่ ้อ อะไรบ้าง
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๔. หลกั การของคำสนธิ มกี ข่ี ้อ อะไรบ้าง
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................

ช่อื -สกุล ................................................................................... ช้นั ................... เลขท่ี ................


ใบงาน เรือ่ ง สมาส สนธิ
คำชแี้ จง : ให้นักเรยี นขีดเส้นใต้คำที่ไม่ใชค่ ำสมาสแบบมสี นธิ

๑. ธนั วาคม มเหสี ธนบตั ร
๒. พทุ โธวาท สุโขทัย ศลิ ปกรรม

๓. พลความ เลขานุการ มหศั จรรย์
๔. ราชฐาน ธนาคาร ภตั ตาหาร
๕. ถาวรวัตถุ ปรมาณู ศริ าภรณ์

๖. สญุ ญากาศ โภคภัณฑ์ สขุ ารมณ์
๗. สามคั ยาจารย์ นเรศวร รสนิยม

๘. วนาราม กิจกรรม สขุ าภิบาล
๙. ราโชบาย หมิ าลยั สมทุ รสาคร
๑๐. อัคคภี ัย พสั ตราภรณ์ ประชาธิปไตย

ชือ่ -สกลุ ................................................................................... ชั้น ................... เลขที่ ................


ใบงาน เรอ่ื ง คดั สรรสมาส สนธิ
คาํ ช้ีแจง : ใหน้ กั เรยี นแยกคำสมาสแบบสนธิใหถ้ กู ต้อง
๑. นิโลบล = ...........................................................
๒. มหรรณพ = ...........................................................
๓. มหศั จรรย์ = ...........................................................
๔. สิรยากร = ...........................................................
๕. หัตถาจารย์ = ...........................................................
๖. อคั โยภาส = ...........................................................
๗. มโนภาพ = ...........................................................
๘. รโหฐาน = ...........................................................
๙. สันนิษฐาน = ...........................................................
๑๐. สัมผัส = ...........................................................

ชอ่ื -สกุล ................................................................................... ชน้ั ................... เลขที่ ................


เฉลยใบงาน เรอื่ ง ความหมายและการอา่ นคำสมาส สนธิ

คำชแ้ี จง : ให้นักเรียนตอบคำถามตอ่ ไปนใ้ี หถ้ ูกตอ้ ง

๑. คำสมาสหมายถึงอะไร
คำสมาส คือ การนำคำท่มี าจากภาษาบาลีและสันสกฤตตั้งแต่ ๒ คำข้นึ ไป มารวมกันให้เปน็

คำเดยี ว ทำให้เกดิ คำใหม่ทม่ี ีความหมายใหม่ แต่ยงั คงเค้าความหมายเดมิ อยู่
๒. คำสนธิหมายถึงอะไร

คำสนธิ คือการสมาสโดยการเชอ่ื มคำเข้าระหวา่ งพยางค์หลังของคำหน้ากบั พยางคห์ น้าของคำ
หลัง เป็นการย่ออักขระให้นอ้ ยลงเวลาอ่านจะเกิดเสยี งกลมกลืนเป็นคำเดียวกัน
๓. หลักการของคำสมาส มกี ขี่ อ้ อะไรบ้าง

หลกั การของคำสมาส มีทง้ั หมด ๖ ขอ้ คือ
๑. เกิดจากคำมลู ต้งั แตส่ องคำข้ึนไป เป็นคำที่มรี ากศพั ท์มาจากภาษาบาลีและสันสกฤตเท่านั้น
๒. พยางคส์ ุดท้ายของคำหนา้ หากมสี ระ อะ หรอื มตี ัวการันตอ์ ยู่ ให้ยบุ ตัวนน้ั ออก (ยกเวน้ คำ

บางคำ)
๓. สว่ นมากออกเสียงพยางคท์ า้ ยของคำหนา้
๔. แม้จะไม่มีรูปสระกำกบั อยู่ โดยจะใช้เสยี ง อะ อิ และ อุ
๕. คำบาลสี ันสกฤตทมี่ ีคำวา่ พระ ซ่งึ กลายเสียงมาจากบาลสี ันสกฤต ก็ถอื ว่าเป็นคำสมาส
๖. คำสมาสส่วนใหญจ่ ะลงท้ายว่า ศาสตร์ กรรม ภาพ ภัย ศึกษา ศลิ ป์ วิทยา

๔. หลกั การของคำสนธิ มีกีข่ อ้ อะไรบา้ ง
หลักการของคำสนธิ มีทง้ั หมด ๓ ข้อ คือ
๑. คำสนธิตอ้ งเปน็ คำบาลี สนั สกฤตเท่านั้น
๒. เม่อื นำคำมาสนธกิ นั แลว้ จะกลายเป็นคำเดียว และจะตอ้ งแปลจากคำหลงั มาคำหนา้
๓. คำท่ีจะนำมาสนธกิ ัน จะตอ้ งมที ั้งสระหนา้ และสระหลั และเม่ือสนธิแล้วจะมีการ

เปลย่ี นแปลงพยัญชนะ สระ หรือนิคหิตท่เี ชือ่ มเสมอ


เฉลยใบงาน เรอื่ ง สมาส สนธิ

คำชี้แจง : ใหน้ กั เรยี นขีดเส้นใต้คำทีไ่ มใ่ ช่คำสมาสแบบมีสนธิ

๑. ธนั วาคม มเหสี ธนบตั ร

๒. พทุ โธวาท สโุ ขทยั ศิลปกรรม
๓. พลความ เลขานุการ มหศั จรรย์
๔. ราชฐาน ธนาคาร ภัตตาหาร

๕. ถาวรวตั ถุ ปรมาณู ศิราภรณ์
๖. สญุ ญากาศ โภคภณั ฑ์ สุขารมณ์

๗. สามัคยาจารย์ นเรศวร รสนยิ ม
๘. วนาราม กิจกรรม สุขาภิบาล
๙. ราโชบาย หิมาลยั สมุทรสาคร

๑๐. อคั คีภัย พัสตราภรณ์ ประชาธปิ ไตย


เฉลยใบงาน เรอื่ ง คดั สรรสมาส สนธิ

คาํ ช้ีแจง : ใหน้ ักเรยี นแยกคําสมาสแบบสนธใิ หถ้ กู ต้อง

๑. นิ โลบล = นีล+ อุบล
๒. มหรรณพ = มหา+อรรณพ
๓. มหัศจรรย์ = มหา+อศั จรรย์
๔. สิ รยากร = สิร+ิ อากร
๕. หัตถาจารย์ = หตั ถ+ี อาจารย์
๖. อคั โยภาส = อคั คี+ โอภาส
๗. มโนภาพ = มนส + ภาพ
๘. รโหฐาน = รหสฺ + ฐาน
๙. สันนษิ ฐาน = สํ+ นิษฐาน
๑๐. สัมผัส = ส+ํ ผัส


แผนการจัดการเรียนรู้

หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี ๔ เรือ่ ง การเขยี นบรรยายและพรรณนา

รหัส ท ๒๒๑๐๑ ช่ือรายวิชา ภาษาไทย กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย

ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ ๒ ภาคเรียนที่ ๑ เวลา ๑ ช่ัวโมง

มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ท ๒.๑ ใช้กระบวนการเขียนเขยี นส่ือสาร เขยี นเรยี งความ ยอ่ ความ และเขยี น

เร่อื งราวในรูปแบบต่าง ๆ เขยี นรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาคน้ คว้าอยา่ งมี
ประสทิ ธิภาพ

ตัวชวี้ ัด
ท ๒.๑ ม.๒/๒ การเขียนบรรยายและพรรณนา

สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด
การเขียนบรรยายและพรรณนา เปน็ การเขียนเพื่อการส่อื สารอย่างหนงึ่ ต้องมีความรู้พ้ืนฐาน

ในการเขียน และมมี ารยาทในการเขยี น การเขยี นบรรยาย เป็นการเขยี นเล่าเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หน่ึง
ทีเ่ กดิ ขน้ึ เพอื่ ใหผ้ ้อู ่านเหน็ ภาพเหตกุ ารณ์ ลำดับเวลา สถานที่ บคุ คล ผ้เู ขียนควรกล่าวถึง เหตุการณ์ให้
ชดั เจน โดยมขี อ้ มลู และเน้ือหาสาระของเร่ืองที่จะแสดงความคิด สว่ นการเขียนพรรณนาเป็นการเขียน
รายละเอยี ดเพ่ือเพิ่มคุณคา่ ของเร่ืองให้น่าอ่าน ในการเขยี นตอ้ งรู้จกั เลอื กให้ถ้อยคำให้สละสลวย ใช้การ
เปรยี บเทียบจะทำใหผ้ ้อู า่ นเกดิ ภาพพจน์ตามไปดว้ ย

สาระการเรยี นรู้/เน้ือหาย่อย
ความรู้(K)
นกั เรียนมีความรูค้ วามเขา้ ใจเก่ยี วกับการเขียนบรรยายและพรรณนา
ทกั ษะ/กระบวนการ (P)
นกั เรียนสามารถอธิบายการเขยี นบรรยายและพรรณนาได้
คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A)
นกั เรยี นสามารถนำความรจู้ ากการเรียนการเขยี นบรรยายและพรรณนาไปเปน็ แนวทาง

ในการเขยี นงานประเภทอ่ืน ๆ ได้

จุดเน้นสกู่ ารพัฒนาคณุ ภาพผเู้ รียน
ทกั ษะในศตวรรษท่ี 21 ( 3R8C )
Reading (อา่ นออก)
(W) Riting (เขียนได)้
(A) Rithemetics (คิดเลขเป็น)


ทักษะด้านการคิดอยา่ งมวี จิ ารณญาณและทกั ษะในการแก้ไขปัญหา
(Critical Thinking and Problem Solving)

ทกั ษะด้านการสรา้ งสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation)

ทักษะดา้ นความเข้าใจความต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทศั น์ (Cross-cultural
Understanding)

ทักษะด้านความรว่ มมอื การทำงานเป็นทมี และภาวะผูน้ ำ (Collaboration,
Teamwork and Leadership)

ทักษะดา้ นการส่ือสาร สารสนเทศและรเู้ ท่าทนั สื่อ (Communications,
Information, and Media Literacy)

ทกั ษะดา้ นคอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สาร (Computing
and ICT Literacy)

ทักษะอาชพี และทักษะการเรยี นรู้ (Career and Learning)

ทักษะการเปลย่ี นแปลง (Change)

การประเมินผลรวบยอด
ชน้ิ งานหรอื ภาระงาน
ใบงาน เร่อื ง การเขียนบรรยายและพรรณนา

กิจกรรมการเรียนรู้
ขนั้ นำ
ครกู ล่าวทักทายนักเรยี น พร้อมกบั ซกั ถามในประเดน็ หลักการเขยี นเรียงความ (K, P)

เพอ่ื สรา้ งความกระตือรือรน้ ให้แกน่ กั เรียน เมือ่ เสร็จส้นิ จากนนั้ ครโู ยงเข้าสบู่ ทเรียน (K, P)
ขน้ั สอน
๑. ครแู จกใบความรู้ เร่ือง การเขยี นบรรยายและพรรณนา พร้อมให้ความรเู้ กยี่ วกบั

ความหมาย วตั ถุประสงค์ของการเขียนบรรยายและพรรณนา (K) ประกอบกบั ยกตัวอย่าง พร้อมทั้ง
สอดแทรกคำถาม เพ่อื ใหน้ กั เรียนมคี วามกระตอื รือร้น (P)

๒. ครูแจกใบงาน เรอ่ื ง การเขียนบรรยายและพรรณนา ซึง่ เปน็ ใบงานรายบคุ คล จากนนั้
ครอู ธิบายคำช้ีแจงให้รกั เรยี น (K, P)

๓. ครูและนักเรียนร่วมกันเฉลยใบงาน การเขียนบรรยายและพรรณนา จากนั้นครู
คำแนะนำเพ่มิ เติมเกย่ี วกบั หลกั การเขยี นเรยี งความเพอ่ื เกดิ ความเขา้ ใจเพิ่มมากขึน้

ข้นั สรุป
ครูและนกั เรียนรว่ มกนั สรปุ กจิ กรรมเรอ่ื ง การเขียนบรรยายและพรรณนา ซ่งึ เปน็ ใบงาน

ทีใ่ หน้ กั เรยี นปฏบิ ตั ไิ ด้อยา่ งถูกตอ้ ง สะทอ้ นให้เหน็ วา่ นักเรียนมีความเขา้ ใจในการเขียนบรรยายและ
พรรณนา สามารถนำความรู้ เร่ือง การเขยี นบรรยายและพรรณนาเป็นแนวทางในการเขียนประเภทอื่น
ๆ ได้ (K, P, A)


การวัดผลประเมนิ ผล เกณฑก์ ารประเมิน

วิธกี าร เครอื่ งมอื ผา่ นเกณฑ์การประเมิน
รอ้ ยละ ๕๐
ประเมนิ ใบงาน เรอ่ื ง การเขียนบรรยายและ ใบงาน เรื่อง การเขียนบรรยาย
พรรณนา ใช้วธิ วี ดั ผลจากการทำใบงานของ และพรรณนา
นักเรยี นแต่ละคน โดยมีประเด็นในการวัดผล
ได้แก่ ความรคู้ วามเข้าใจเร่ืองการเขยี นบรรยาย
และพรรณนา สามารถเขียนการเขยี นบรรยาย
และพรรณนา ไดต้ รงประเดน็ การใชภ้ าษา และ
ความสะอาดเรียบรอ้ ย (ประเดน็ ของแต่ละคน)
จากนนั้ นำผลการประเมินมาเป็นขอ้ มูลในการ
ปรบั ปรุงและพัฒนานักเรียน และการจัดการเรยี น
การสอนของครใู นครงั้ ตอ่ ๆ ไป

สื่อการเรียนรู้
๑. ใบความรู้ เรื่อง การเขยี นบรรยายและพรรณนา
๒. ใบงาน เร่ือง การเขยี นบรรยายและพรรณนา

ขอ้ เสนอแนะของหัวหนา้ สถานศกึ ษาหรือผู้ท่ีได้รบั มอบหมาย (ตรวจสอบ,นเิ ทศ,เสนอแนะ,รับรอง)
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................

ลงชื่อ................................................................
(นายสนอง ศรีธรรมา)
วนั ท่.ี ........../...................../...........


บนั ทกึ ผลหลังการจดั การเรียนรู้
๑. ผลการจดั การเรียนรู้
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๒. ปัญหาและอปุ สรรค
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๓. แนวทางการแกไ้ ขปัญหา
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๔. ข้อเสนอแนะ
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................

ลงช่ือ.................................................
(นายฤทธเิ ดช สกลุ ซ้ง)

วันท่ี............../......................./...............


เกณฑ์การประเมนิ ใบงาน เรอ่ื ง การเขยี นบรรยายและพรรณนา

รายการประเมิน ระดบั คะแนน

๒๑

ความรู้ความเข้าใจเร่อื ง มคี วามรคู้ วามเข้าใจเก่ยี วกับการเขยี น ไมค่ ่อยมคี วามรคู้ วามเข้าใจเกี่ยวกับ

การเขยี นบรรยายและ บรรยายและพรรณนา เปน็ อยา่ งดี การเขยี นบรรยายและพรรณนา

พรรณนา เท่าท่ีควร

สามารถเขียนการเขียน สามารถเขียนการเขยี นบรรยายและ ไม่สามารถเขยี นการเขยี นบรรยาย

บรรยายและพรรณนา พรรณนา ไดถ้ กู ต้องตามหลักการ และพรรณนา ไดถ้ กู ตอ้ งตามหลักการ

ได้

ตรงประเด็น สามารถเขยี นหลกั การเขียนเรยี งความ ไม่สามารถเขยี นหลกั การเขยี น

ความได้ถกู ตอ้ ง ตรงประเด็นกบั เน้ือหา เรียงความไดถ้ กู ต้อง ตรงประเด็นกบั

เน้อื หาไดด้ ีเท่าที่ควร

การใช้ภาษา สามารถเขียนคำและเรยี บเรยี งประโยค ไม่สามารถเขียนคำและเรยี บเรียง

ไดอ้ ย่างถกู ต้อง ประโยคได้อย่างถกู ต้อง

ความสะอาดเรยี บร้อย ใบงานมคี วามสะอาด เขยี นได้อยา่ ง ใบงานไมค่ อ่ ยสะอาด การเขยี นไมม่ ี

เปน็ ระเบยี บเรียบร้อย ความเป็นระเบียบเรยี บร้อย

หมายเหตุ : เกณฑ์การทำใบงาน ตอ้ งไดค้ ะแนนรอ้ ยละ ๕๐ คอื ๕ คะแนนขึน้ ไป จากคะแนนเต็ม ๑๐

จึงจะถอื ว่าผา่ นเกณฑ์

เกณฑ์การประเมนิ เกณฑ์การตัดสินระดับคณุ ภาพ ผลการประเมนิ

๙-๑๐ คะแนน ดมี าก ผ่าน
๗-๘ คะแนน ดี ผ่าน
๕-๖ คะแนน ผ่าน
๓-๔ คะแนน ปานกลาง ไม่ผ่าน
๐-๒ คะแนน พอใช้ ไม่ผา่ น
ปรบั ปรงุ


แบบประเมินใบกจิ กรรม เรอ่ื ง การเขียนบรรยายและพรรณนา ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ ๒
คำชแ้ี จง ให้ผปู้ ระเมินทำเครือ่ งหมาย √ ลงในชอ่ งคะแนน

รายการประเมิน

ช่ือ-สกลุ ความ ู้รความเ ้ขาใจเ ่ืรองการเขียน รวม สรปุ ผล
บรรยายและพรรณนา

สามารถเขียนการเ ีขยนบรรยายและ
พรรณนา ไ ้ด
ตรงประเด็น
การใ ้ชภาษา

ความสะอาดเ ีรยบ ้รอย

๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๑๐ ผา่ น ไม่ผ่าน

ด.ช.สมพงษ์ กงสะกาง
ด.ช.ทรงศกั ดิ์ เรืองกรไกร
ด.ช.พนิต ระแสน
ด.ช.ฤทธิกร ใบแสน
ด.ช.อนุเทพ ใยปางแก้ว
ด.ญ.ดนุนันท์ วระโงน
ด.ญ.จันทรจ์ ริ า สุขลว้ น
ด.ญ.กัญญาลกั ษณ์ นอ้ ยเวยี ง
ด.ญ.เบญจวรรณ นารีแพงศรี
ด.ญ.ตะวันฟ้า พลู เพม่ิ
ด.ญ.ขวัญฤดี คำเมือง
ด.ช.รัชชานนท์ พลาดอนิ ทร์
ด.ช.วชระ วางศรี


ใบความรู้ เรอ่ื ง การเขียนบรรยายและพรรณนา

ความหมายของการเขียนบรรยาย
การเขยี นบรรยาย คอื การเขยี นเรอื่ งราวตา่ ง ๆ เป็นเร่อื งจรงิ หรือสมมตุ ิกไ็ ด้ การดำเนินเรื่อง

ประกอบด้วย ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ เพื่ออะไร พร้อมทั้งแสดงให้เห็นว่าผลที่ตามมาเป็นอยา่ งไร
และต้องจัดเรยี งลำดบั เหตกุ ารณใ์ ห้เหมาะสม

จุดม่งุ หมายของการเขียนบรรยาย
การเขียนบรรยายใช้แสดงความคิดเห็นได้หลายรูปแบบ เช่น ใช้ในคำประพันธ์แบบเล่าเรื่อง

เล่าเหตุการณ์ การเขียนชีวประวัติ การเขียนบันทึก การให้ข้อมูล การรายงานข่าว เป็นต้น การเขียน
บรรยายเป็นการเขยี นเลา่ ขอ้ เท็จจรงิ หรือรายละเอยี ดของเรอ่ื งตามท่เี ป็นอยู่โดยคำนึงถงึ ความตอ่ เนอื่ ง

ประเภทของเร่ืองท่ใี ชว้ ธิ กี ารเขยี นบรรยาย
งานเขียนทใ่ี ช้กลวธิ ีการเขยี นบรรยาย แบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ดงั ต่อไปน้ี
๑. อตั ชีวประวตั ิหรอื การเลา่ ประวัติชวี ิบุคคลตา่ ง ๆ
๒. ข้อเท็จจรงิ หรอื เหตกุ ารณท์ างประวัติศาสตร์
๓.เรื่องทีแ่ ต่งข้ึนหรอื เหตกุ ารณ์ท่ีเกิดขน้ึ

ข้อสงั เกตการเขยี นบรรยาย
การเขียนบรรยายกลา่ วขา้ งต้น เป็นการเรียนบรรยายตามความจริง สามารถใช้เป็นหลักฐาน

อ้างองิ ไมม่ กี ารสอดแทรกอารมณ์หรอื ความรู้สึกลงไปในงานเขยี น

วธิ ีการเขียนบรรยาย อาจทำไดห้ ลายวิธี โดยพิจารณาตามความเหมาะสมแก่เน้อื เร่อื งหรือจดุ ประสงค์
ของตน เช่น

1. บรรยายใหค้ รบว่า ใคร ทำอะไร ทไ่ี หน อยา่ งไร เพอ่ื อะไร
2. บรรยายโดยเนน้ เหตกุ ารณต์ ามลำดับของเวลาท่ีเป็นจริง
3. บรรยายโดยสลับเหตกุ ารณ์ คือ อาจจะเริม่ จากเหตุการณ์สุดทา้ ยของเร่อื งแล้วยอ้ นกลบั ไป
กลา่ วถึงเหตุการณ์ตอนตน้ หรอื อาจสลบั เปลี่ยนกันบา้ งกไ็ ด้
4. เลอื กเฉพาะเหตกุ ารณท์ ่ีสำคัญ ทสี่ ่งผลเกีย่ วเน่อื งถงึ เหตุการณอ์ ่ืนๆมาบรรยาย
5. เลือกใชว้ ิธีอ่ืน ๆ แทรกไวใ้ นการบรรยาย เชน่ แทรกบทพรรณนา หรือผูกเร่อื งเป็นบท
สนทนา โดยการต้ังคำถามให้คดิ แล้วคล่คี ลายเป็นคำตอบ
ตวั อย่างการบรรยาย
“ผมเกิดท่บี า้ นสวน ธนบุรี หน้าบ้านตดิ คลองวดั ดอกไมไ้ ม่ไกลจากสถานีตำรวจบุปผาราม
ปจั จบุ ันมากนกั สถานตี ำรวจแห่งน้สี ร้างมากอ่ นผมเกดิ แต่ไมไ่ ด้มรี ูปรา่ งหน้าตาอยา่ งทเี่ ปน็ อยทู่ กุ วันนี้
เดมิ เปน็ เรอื นไมส้ ูง พนื้ ช้ันล่างลาดซเี มนต์ มเี รอื นพกั ตำรวจเปน็ เรอื นแถวเก่าๆไม่กห่ี อ้ ง หนา้ โรงพกั มีถนน
ผ่านกลาง ฝั่งตรงขา้ มคือวัดดอกไม้ ซึง่ เปน็ ศัพทช์ าวบา้ น ภาษาราชการเรยี กว่า วัดบุปผาราม”

เดก็ บ้านสวน ของ พ.เนตรรงั ษี


การเขียนพรรณนา
การเขียนพรรณนา เปน็ การเขียนรายละเอยี ด ตอ้ งรูจ้ ักใชถ้ อ้ ยคำสำนวนใหส้ ละสลวย

เกิดความรู้สึกสะเทือนใจดว้ ยการหยิบยกลักษณะเดน่ ชดั ในการเปรียบเทียบมาประกอบ เพอ่ื ทำใหเ้ กิด
ภาพพจน์

ประเภทของการเขียนพรรณนา
การเขียนพรรณนาใชไ้ ดท้ ่ัวไปกบั เรอ่ื งตา่ ง ๆ ดงั กล่าวมาแล้วสำหรับระดบั ช้นั น้ีควรจะ ได้ฝกึ

เขียนเร่ืองเกีย่ วกบั บุคคลสถานทธี่ รรมชาติและเหตุการณท์ ั้งทเ่ี ป็นจรงิ และเป็นจนิ ตนาการ
๑. ในการพรรณนาบคุ คลจำเปน็ ตอ้ งสังเกตรปู ร่างหนา้ ตาการเดนิ นำ้ เสยี ง การพดู จา

กิริยาอาการลกั ษณะนสิ ยั อารมณ์ความรู้สึกไม่ว่าจะเป็นบุคคลประเภทใด หรอื อยูใ่ นฐานะใดเชน่ ตวั ตลก
ในบทละครหรอื เด็กทเ่ี ลน่ ตามหาดทรายพยายามเฟน้ หาบุคลิกลักษณะเฉพาะอาจร่าเรงิ แจม่ ใสเคร่งขรึม
หวีผมเรยี บไมม่ ีเสน้ แตกหรอื ยนื หลงั ค่อม การพรรณนาบคุ คลกระทำไดส้ องวธิ ีคือการพรรณนาโดยตรง
และพรรณนาโดยอ้อมในการพรรณนาโดยตรงผเู้ ขียนกลา่ วถงึ ลกั ษณะกริ ยิ าอาการนสิ ยั ใจคอหรือ
ความคิดนกึ ของตัวละครเสยี เองสำหรบั การพรรณนาโดยออ้ มตัวละครเป็นผ้เู ผยลักษณะต่าง ๆ ของตน
ดว้ ยคำพูดกริ ยิ าท่าทางหรอื ให้ตวั ละครอ่ืนกล่าวพาดพงิ ถงึ

๒. สถานท่ี ในการพรรณนาสถานที่ควรจะไดส้ งั เกตลกั ษณะทเ่ี ด่นของสถานที่ไม่ว่าจะ
เป็นทีค่ ุ้นเคยมาแลว้ เช่นโรงเรยี นหรอื สถานทที่ ี่เพ่งิ เคยเห็นเป็นคร้ังแรกจะตอ้ งพิจารณาสีรปู ร่างขนาด
และการจดั วางส่ิงของส่งิ ท่ปี ระทับใจทั่วไปและเฟ้นหาลักษณะเฉพาะทีท่ ำใหเ้ กดิ ความประทบั ใจน้นั เมอื่
สังเกตอย่างถ่ถี ้วนแลว้ จงึ เลือกพรรณนาเฉพาะลักษณะทีเ่ ดน่ ชัดทจ่ี ะเร้าความสนใจของผูอ้ ่านและ
เรียงลำดับการพรรณนาตามความเหมาะสมเช่นเริ่มต้นจากใกล้ไปหาไกลหรอื จากบนลงลา่ ง

การพรรณนาพระพทุ ธรปู ในพระอุโบสถเปน็ ตวั อยา่ งการพรรณนาสถานท่ใี ช้คำ
ทเ่ี หมาะเจาะชดั เจนกอ่ ให้เกดิ จนิ ตนาการประกอบด้วยโวหารเปรียบเทยี บทำใหเ้ กดิ ภาพพจนเ์ ด่นชดั ดัง
ตวั อยา่ งตอ่ ไปนี้

๓. ธรรมชาติ การพรรณนาธรรมชาติทั่วไปควรจะได้กล่าวถงึ ทิวทศั นบ์ รรยากาศ
ตลอดจนพืชสตั ว์ตา่ ง ๆเชน่ นกแมลงถ้าเปน็ ชายทะเลควรเนน้ หาดทรายสนี ำ้ ทะเลคลนื่ ลมสภาพ ใต้ทะเล
หากเกยี่ วกับฤดกู าลควรเพ่งเล็งลักษณะพเิ ศษของแตล่ ะฤดูกาล

๔. เหตุการณ์ ในการพรรณนาเหตกุ ารณ์ควรเลอื กเหตกุ ารณ์ที่เด่นชวนเรา้ ความต่นื เตน้
สะเทอื นอารมณแ์ ละควรใชก้ ารบรรยายประกอบเพอ่ื ให้เนื้อเรื่องแจ่มแจ้ง

หลักการเขยี นพรรณนา
การเรียบเรยี งขอ้ ความแบบพรรณนาโวหารเพ่อื กอ่ ให้เกดิ ภาพพจน์และอารมณ์สะเทอื นใจควร

ดำเนนิ ตามหลักเกณฑด์ งั น้ี
๑. วิเคราะห์ส่งิ ท่ีจะพรรณนาอย่างละเอียดวา่ ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆอะไรบา้ งสว่ นใดเปน็

ลกั ษณะเด่นสว่ นใดเปน็ ลกั ษณะประกอบซึง่ เสริมลักษณะเด่นลกั ษณะเด่นและลกั ษณะประกอบมคี วาม
เกีย่ วเนือ่ งกันอย่างไร

๒. เลอื กพรรณนาลักษณะเดน่ ตามลำดับความสำคญั หรือลำดบั ความมากน้อยใหญ่เล็กเช่น
ลกั ษณะบคุ คลควรกล่าวถงึ เรือนร่างใบหนา้ และเครื่องแตง่ กายตามลำดบั การพรรณนาตน้ ไม้โดยทวั่ ไปมกั


กลา่ วถึงลำตน้ กอ่ นดอกและใบแต่ถ้าต้องการเนน้ สิ่งใดเปน็ พิเศษกก็ ลา่ วถึงสิ่งนั้นกอ่ นหรือขยายความให้

มากกว่าส่งิ อ่นื
๓. พรรณนาลกั ษณะประกอบโดยคำนงึ ถงึ ความสัมพนั ธอ์ ันเหมาะสมกับลกั ษณะเด่น

ในกรณใี บหนา้ ควรพจิ ารณาว่าจะกลา่ วถึงสว่ นยอ่ ยอะไรบ้างและอะไรก่อนอะไรหลังเปน็ ตน้ ว่าตาจมกู

ปากหูหน้าผากแกม้ ผมควิ้ ฟนั ถ้าเป็นดอกไม้ก็เลอื กพรรณนากลีบเกสรสีหรือกลิ่นตามที่เหน็ สมควร
๔. การคดั สรรถอ้ ยคำที่เหมาะสมมีความสำคัญย่ิงสำหรบั โวหารพรรณนาคำทีใ่ ช้ควรมีพลัง

สือ่ ความหมายสรา้ งภาพพจนแ์ ละปลุกอารมณ์ความรูส้ กึ กลา่ วคือมีความเด่นกระชับทั้งความหมายและ
เสียงโดยเฉพาะคำนามกรยิ าและวิเศษณ์ควรเลือกเฟ้นอยา่ งพถิ พี ถิ ันใหส้ อดคลอ้ งกับเนือ้ ความ

๕. ใช้คำหรือกลุม่ คำท่เี ป็นภาษาภาพพจน์(figurative language) ซงึ่ ไดแ้ ก่ภาษา

ทีผ่ ดิ แผกจากปกตหิ รือผิดจากภาษาตามตัวอกั ษรดา้ นการเรยี บเรยี งลำดบั คำหรือดา้ นความหมายของคำ
เพือ่ ให้เปน็ สำนวนแปลกใหม่และมีพลงั ทำให้มองเหน็ ภาพและเร้าอารมณ์ความรูส้ ึกสำนวนท่ีทำให้เกิด

ภาษาภาพพจน์ต่าง ๆ เช่น
อปุ มา (simile) คือสำนวนภาษาท่ีนำสิ่งซึง่ ตา่ งพวกกันสองสิง่ มาเปรียบเทยี บกัน

โดยใชค้ ำเช่ือมเหมอื นคลา้ ยดุจประหนงึ่ ราวกับกวา่ เช่น

- ดเุ หมอื นเสอื รา้ ยกว่ายงุ นัยน์ตาดจุ ดวงดาวถา้ เปรียบส่งิ ท่ีเปน็ พวกเดียวกัน
ไม่จัดเป็นอปุ มาเชน่ เชียงใหม่เหมือนกรงุ เทพฯเป็นการเปรยี บเทยี บธรรมดาเปน็ ตน้

อุปลักษณ์ (metaphor) คือสำนวนภาษาที่นำเอาสิง่ ตา่ งกันสองสิง่ หรอื มากกวา่
แตม่ คี ุณสมบัติบางอยา่ งร่วมกันมาเปรียบเทยี บโดยเปรยี บว่าสิ่งหนึง่ เปน็ อีกส่ิงหน่งึ โดยตรง
ใชค้ ำกรยิ าเป็นหรือคือเชน่

- ลกู เปน็ แก้วตาและดวงใจของพอ่ แมเ่ ขาคอื วรี บรุ ษุ แห่งทุ่งนาแก
บุคลาธษิ ฐาน (personification) หรอื บคุ คลวัตคือสำนวนท่สี มมุตสิ ่ิงไมม่ ชี ีวิต

ความคิดนามธรรมหรอื สัตวใ์ หม้ ีสตปิ ัญญาอารมณ์หรือกริ ยิ าอาการเหมอื นมนษุ ย์เช่น
- ลมหนาวมาเยอื นคลน่ื นอ้ ยคอ่ ยๆกระซิบกับฝ่ังความอาฆาตเกาะกนิ หัวใจ

การเลยี นเสียงธรรมชาติ (onomatopoeia) คือสำนวนภาษาที่ใช้คำเพื่อเลียน

เสียง ต่าง ๆ เช่นไฟลุกค่ึก ๆ เสยี งคนพูดห่งึ ๆ บัดเดี๋ยวดังหง่งั เหง่งวงั เวงแวว่


ใบงาน เร่ือง การเขยี นบรรยายและพรรณนา

คำชี้แจง : ให้นักเรียนดูภาพแล้วเขยี นบรรยายภาพ พร้อมทง้ั ตัง้ ชอ่ื เรื่องให้เหมาะสมกบั ภาพ

เรอ่ื ง .........................................................................................
....................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................

ชือ่ -สกลุ ................................................................................................... ชั้น ............. เลขที่ .............


ใบงาน เรอ่ื ง การเขียนบรรยายและพรรณนา

ตอนท่ี ๒
คำช้ีแจง : ให้นักเรียนเขียนพรรณนารปู ร่างลักษณะบคุ คลทน่ี กั เรยี นช่นื ชอบ อาจเปน็ บคุ คลจริงหรอื ตวั
ละครในวรรณคดคี วามยาว ๕-๑๐ บรรทัด

....................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................

ช่อื -สกุล ................................................................................................... ช้ัน ............. เลขท่ี .............


แผนการจัดการเรยี นรู้

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 เรือ่ ง การเขยี นย่อความ

รหสั วิชา ท ๒2๑๐1 ช่ือรายวิชา ภาษาไทย กล่มุ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย

ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรยี นท่ี 1 เวลา 2 ช่ัวโมง

มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ท 2.๑ ใช้กระบวนการเขียนเขยี นส่อื สาร เขยี นเรยี งความ ยอ่ ความ และเขียน

เร่อื งราวในรูปแบบต่าง ๆ เขยี นรายงานขอ้ มูลสารสนเทศและรายงานการศกึ ษาค้นควา้
อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ

ตัวชวี้ ัด
ท 2.๑ ม. 2/๔. เขียนย่อความ

สาระสำคญั /ความคิดรวบยอด
ชว่ั โมงท่ี ๑

การเขยี นยอ่ ความ คือ การเกบ็ ใจความสำคัญของเรอื่ งมาเรยี บเรียงใหม่ให้สั้น กระชบั
แต่มีใจความสำคัญครบถ้วนสมบูรณ์ ว่าใคร ทำอะไร ท่ีไหน เม่อื ไร อยา่ งไร นำมาเรียบเรยี งใหม่ใหเ้ ป็น

สำนวนภาษาของตนเอง
ช่วั โมงที่ ๒
หลักการเขยี นย่อความ คือ แนวทางการเขยี นเก็บใจความสำคัญของเรอ่ื งที่ได้อ่านเพอ่ื ให้

ไดใ้ จความสำคญั ที่มเี นอ้ื หาสาระครบถ้วนสมบรู ณ์ว่า ใคร ทำอะไร ท่ีไหน เม่อื ไร อยา่ งไร และถูกต้อง
ตามรปู แบบของการย่อความ

สาระการเรียนร้/ู เนอื้ หายอ่ ย
ช่ัวโมงที่ ๑

ความรู้ (K)
นักเรียนมีความรู้ ความเข้าใจในรปู แบบของการเขียนย่อความ

ทักษะ/กระบวนการ (P)
นักเรยี นสามารถจำแนกรูปแบบของการยอ่ ความไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง

คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A)

นักเรยี นสามารถนำความรจู้ ากการเรียน ไปเป็นแนวทางในการเขยี นยอ่ ความ
ตามรูปแบบการเขียนยอ่ ความในการเรียนระดบั ต่อไปได้

ช่ัวโมงที่ ๒
ความรู้ (K)
นกั เรยี นมคี วามรู้ ความเข้าใจในหลกั การเขยี นย่อความ


ทักษะ/กระบวนการ (P)
นกั เรยี นสามารถเขียนยอ่ ความได้ถกู ตอ้ งตามหลกั การ

คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ (A)
นักเรยี นสามารถนำความรู้จากการเรยี นเรื่อง หลักการเขยี นยอ่ ความ ไปเป็นแนวทาง

ในการเขยี นประเภทอนื่ ๆ ในการเรียนระดบั ตอ่ ไปได้

จดุ เน้นสู่การพัฒนาคุณภาพผเู้ รยี น
ทักษะในศตวรรษท่ี 21 ( 3R8C )
Reading (อ่านออก)

(W) Riting (เขยี นได้)
(A) Rithemetics (คิดเลขเป็น)

ทกั ษะดา้ นการคดิ อยา่ งมวี ิจารณญาณและทกั ษะในการแก้ไขปญั หา
(Critical Thinking and Problem Solving)

ทกั ษะดา้ นการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation)

ทกั ษะดา้ นความเข้าใจความต่างวฒั นธรรม ตา่ งกระบวนทัศน์ (Cross-cultural
Understanding)

ทักษะดา้ นความรว่ มมือ การทำงานเปน็ ทมี และภาวะผ้นู ำ (Collaboration,
Teamwork and Leadership)

ทกั ษะดา้ นการสือ่ สาร สารสนเทศและรู้เท่าทนั สอ่ื (Communications,
Information, and Media Literacy)

ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สาร (Computing
and ICT Literacy)

ทกั ษะอาชพี และทกั ษะการเรยี นรู้ (Career and Learning)

ทักษะการเปล่ยี นแปลง (Change)

การประเมินผลรวบยอด
ช้นิ งานหรอื ภาระงาน
ชั่วโมงท่ี ๑
ใบงาน เร่อื ง รูปแบบของการเขียนยอ่ ความ
ชว่ั โมงที่ ๒
ใบงาน เร่ือง หลักการเขยี นย่อความ


กิจกรรมการเรียนรู้
ช่ัวโมงที่ ๑
ขั้นนำ
ครูกล่าวทักทายนักเรียน แลว้ ครใู ช้คำถาม “ข้อความบนกระดาน นกั เรียนทราบหรอื ไม่

ว่าเป็นการเขียนประเภทใด” จากนนั้ ใหน้ กั เรยี นแสดงความคิดเห็นโตต้ อบกบั ครู (K)
ขัน้ สอน
๑. ครูแจกใบความรู้ให้ความรูก้ บั นกั เรียน เรื่อง การเขยี นย่อความ จากน้ันครอู ธบิ าย

ความหมายของการเขยี นย่อความ รูปแบบของการย่อความประเภทต่าง ๆ และครยู กตวั อย่างการเขียน
ย่อความเพอื่ ให้นักเรียนเขา้ ใจถงึ ความหมายและรปู แบบของการเขยี นยอ่ ความมากยง่ิ ขึน้ (K)

๒. ครูใหน้ กั เรยี นทำใบงาน เรือ่ ง รูปแบบการเขียนย่อความ โดยใหน้ กั เรยี นจับคู่
รูปแบบการเขยี นยอ่ ความประเภทตา่ ง ๆ มาให้ถกู ต้อง (K, P, A)

๓. ครูให้นกั เรยี นออกมานำเสนอหนา้ ชัน้ เรยี น โดยเลือกจากสัญลักษณ์ที่ครูทำไว้
ด้านหลังใบงาน จำนวน 1 คน จากน้ันครูและนักเรยี นรว่ มกนั เสนอแนะรายละเอียดเพมิ่ เติม (P, A)

ขัน้ สรุป
ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกันสรุปใบงาน “รปู แบบการเขยี นยอ่ ความ” เป็นใบงานที่ให้

นักเรียนจับค่รู ปู แบบการเขียนย่อความประเภทตา่ ง ๆ ใหถ้ กู ตอ้ ง จากการทำใบงานนกั เรยี นสามารถ
ปฏิบัตไิ ด้อยา่ งถกู ตอ้ ง สะท้อนผลไดว้ า่ นกั เรียนมคี วามรูค้ วามเขา้ ใจในความหมาย สามารถบอกรปู แบบ
การเขยี นเขียนย่อความได้ และสามารถนำความรู้ทไ่ี ดจ้ ากการเรยี น เร่ือง การเขยี นย่อความ ไปเปน็
แนวทางในการเขยี นยอ่ ความตามรูปแบบการเขียนยอ่ ความในการเรียนระดบั ตอ่ ไปได้ (K, P, A)

ช่ัวโมงท่ี ๒
ขนั้ นำ
ครกู ลา่ วทกั ทายนักเรยี น แล้วครูใช้คำถาม“รปู แบบที่นักเรียนไดเ้ ห็นบนกระดานนน้ี

เปน็ รูปแบบของการเขียนย่อความประเภทใด” จากน้ันใหน้ ักเรียนแสดงความคิดเห็นโตต้ อบกับครู (K)
ข้นั สอน
๑. ครแู จกใบความรูใ้ ห้ความรู้กบั นกั เรียน เร่ือง หลักการเขยี นย่อความ จากนั้นครู

อธิบายความหมายของหลกั การเขยี นย่อความ หลักการในการเขียน และครูยกตัวอยา่ งการเขยี น
ยอ่ ความตามหลกั การ เพอ่ื ให้นกั เรยี นเข้าใจการเขียนยอ่ ความท่ถี กู ต้องตามหลกั การมากย่งิ ขึ้น (K)

๒. ครใู หน้ ักเรียนทำใบงาน เรอื่ ง หลกั การเขียนยอ่ ความ โดยให้นกั เรียนเขยี นยอ่ ความ
เรยี งรอ้ ยแก้วทค่ี รกู ำหนดให้ถูกตอ้ งตามหลกั การ (K, P, A)

๓. ครูให้นักเรยี นออกมานำเสนอหน้าช้นั เรยี น โดยเลือกจากการสุ่มรายชอ่ื
จำนวน 1 คน จากน้ันครูและนกั เรยี นรว่ มกนั เสนอแนะรายละเอียดเพิ่มเติม (P, A)

ข้นั สรุป
ครูและนกั เรียนรว่ มกันสรุปใบงาน “หลักการเขียนยอ่ ความ” เป็นใบงานท่ีให้นักเรยี น

เขียนย่อความความเรยี งร้อยแกว้ ใหถ้ ูกตอ้ งตามหลักการ จากการทำกจิ กรรมนกั เรยี นสามารถปฏิบัติได้
อยา่ งถกู ต้อง สะท้อนผลได้ว่านกั เรยี นมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจในหลักการเขียนยอ่ ความ สามารถเขยี น
ย่อความไดถ้ ูกตอ้ งตามหลักการ และสามารถนำความรู้จากการเรียน เร่ือง หลกั การเขียนย่อความ


ไปเปน็ แนวทางในการเขียนประเภทอนื่ ๆ ในการเรียนระดบั ตอ่ ไปได้ (K, P, A) เกณฑ์การประเมิน

การวดั ผลประเมนิ ผล ผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ
ชวั่ โมงที่ 1 รอ้ ยละ ๕๐
วธิ ีการ เครื่องมอื

ตรวจใบงาน เรอื่ ง การเขียนยอ่ ความ ใช้วธิ ี ใบงาน เรอ่ื ง การเขยี นยอ่ ความ
วดั ผลจากการทำใบงานของนักเรยี นแตล่ ะคน
โดยมปี ระเด็นในการวัดผล ได้แก่ ความถกู ต้อง
ของรูปแบบการเขยี นย่อความ (ประเด็นของ
แตล่ ะคน) จากนนั้ นำผลการประเมินมาเปน็
ข้อมลู ในการปรบั ปรุงและพฒั นานกั เรยี น
และการจดั การเรียนการสอนของครใู นคร้ัง
ต่อ ๆ ไป

ชว่ั โมงท่ี ๒ เคร่ืองมอื เกณฑ์การประเมิน
ใบงาน เรอ่ื ง หลักการเขียนยอ่ ความ
วิธกี าร ผ่านเกณฑ์การประเมิน
รอ้ ยละ ๕๐
ตรวจใบงาน เรอ่ื ง หลกั การเขยี นย่อความ
ใชว้ ิธวี ัดผลจากการทำใบงานของนกั เรียน
แตล่ ะคน โดยมีประเด็นในการวัดผล ไดแ้ ก่
ความถูกตอ้ งของรปู แบบคำนำหนา้ ย่อความ
ความถกู ต้องของประเดน็ สำคญั หรอื ใจความ
สำคัญ ความถูกต้องของบุรษสรรพนาม
การนำมาเรยี บเรยี งใหม่ด้วยสำนวนภาษา
ของตัวเอง และความยาวของการเขยี นยอ่
ความ (ประเดน็ ของแตล่ ะคน) จากน้ันนำผล
การประเมนิ มาเปน็ ข้อมลู ในการปรับปรุงและ
พฒั นานกั เรยี น และการจดั การเรียนการสอน
ของครใู นครัง้ ตอ่ ๆ ไป

สื่อการเรยี นรู้
ชัว่ โมงที่ ๑
๑. ใบความรู้ เรื่อง การเขียนย่อความ

๒. ใบงาน เรอ่ื ง การเขยี นย่อความ


ช่วั โมงที่ 2
1. ใบความรู้ เรอื่ ง หลักการเขียนยอ่ ความ
2. ใบงาน เรื่อง หลกั การเขียนยอ่ ความ

ขอ้ เสนอแนะของหวั หน้าสถานศกึ ษาหรอื ผทู้ ีไ่ ดร้ บั มอบหมาย (ตรวจสอบ,นเิ ทศ,เสนอแนะ,รับรอง)
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................

ลงช่อื ................................................................
(นายสนอง ศรีธรรมา)
วันท.่ี ........../...................../...........


บันทกึ ผลหลงั การจดั การเรียนรู้
๑. ผลการจัดการเรยี นรู้
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๒. ปัญหาและอปุ สรรค
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๓. แนวทางการแกไ้ ขปญั หา
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๔. ขอ้ เสนอแนะ
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................

ลงชอื่ .................................................
(นายฤทธเิ ดช สกุลซง้ )

วันท.ี่ ............./......................./...............


ใบความรู้
เรอ่ื ง การเขยี นยอ่ ความ

การเขียนยอ่ ความ คือ การเกบ็ ใจความสำคญั ของเรอื่ งมาเรียบเรียงใหมใ่ ห้ส้ัน กระชบั
แต่มใี จความสำคญั ครบถว้ นสมบรู ณ์ วา่ ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร แล้วนำความคิดหลัก
มาเรยี บเรยี งใหมใ่ หเ้ ปน็ สำนวนภาษาของตนเอง

รูปแบบของการเขียนยอ่ ความ

1. เร่อื งทีย่ ่อความเรียงรอ้ ยแกว้ เช่น นทิ าน ตำนาน บทความ ประวตั ิ บทความ ฯลฯ ตอ้ งบอก
ประเภท ชือ่ เรอ่ื ง ช่ือผู้แต่ง ที่มา ดงั นี้
ตัวอยา่ ง

นทิ านเร่ือง .................................................. ของ ....................................................
จาก ............................หน้า...............................ความวา่ .........................................................

2. เรอ่ื งที่ยอ่ เปน็ ประกาศ แจง้ ความ แถลงการณ์ ระเบยี บคำสงั่ ต้องบอกประเภท ช่อื เร่อื ง ผู้ออก
หนังสอื ผรู้ บั วนั เดอื นปที ี่ออกหนงั สือ ดังน้ี
ตวั อย่าง

คำสง่ั เรอ่ื ง............................ของ...................................ถงึ ....................ลงวนั ท่ี..........................
ความวา่ ......................................................................................................................................................

3. เรื่องท่ยี อ่ เป็นจดหมาย ใหบ้ อกว่าเป็นจดหมายของใคร ถงึ ใคร เรอ่ื งอะไร ลงวันท่เี ท่าไร ดังนี้
ตวั อยา่ ง

จดหมายของ...................................ถงึ ...............................เร่อื ง..................................
ความว่า........................................................................................................................................

4. เรื่องทยี่ อ่ เป็นหนังสอื ราชการ ตอ้ งบอกว่าเป็นหนังสอื ราชการของหนว่ ยงานใด ถงึ ใคร เรือ่ งอะไร
เลขท่ีเทา่ ไร ดังน้ี
ตวั อยา่ ง

หนังสอื ราชการของ...........................ถงึ ...........................เรอื่ ง...............................................
เลขที่...................................ลงวันท.่ี ...................................ความว่า........................................................

5. เรอื่ งท่ีย่อเปน็ พระราชดำรัส พระบรมราโชวาท โอวาท สนุ ทรพจน์ ปาฐกถา คำปราศรัย ต้องบอก
ประเภท ผ้กู ล่าว แสดงแก่ใคร เรื่องอะไร เนอ่ื งในโอกาสใด สถานท่ี วันที่ ดังน้ี
ตวั อย่าง

คำปราศรยั ของ.........................แก่....................................เรือ่ ง................................................
เน่อื งใน....................................ณ.............................วันที.่ ...................ความว่า.........................................


ใบความรู้
เรือ่ ง หลักการเขยี นยอ่ ความ

หลกั การเขียนยอ่ ความ คอื แนวทางการเขยี นเกบ็ ใจความสำคัญของเร่ืองท่ไี ดอ้ ่านเพ่อื ใหไ้ ดใ้ จความ

สำคัญทีม่ เี นือ้ หาสาระครบถ้วนสมบรู ณ์ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมอ่ื ไร อยา่ งไร และถูกต้องตามรปู แบบ
ของการยอ่ ความ

หลักการเขียนยอ่ ความ มีดงั นี้
1. เขียนยอ่ ความตามรูปแบบการเขยี นย่อความ
2. จับประเด็นหรือใจความสำคญั ทีละยอ่ หน้า เพราะในแตล่ ะย่อหน้าจะมีประเดน็ เพยี ง

ประเด็นเดียว
3. นำใจความสำคัญมาเรยี บเรียงใหม่ด้วยสำนวนภาษาของตนเอง
4. เมือ่ นำมาเขียนยอ่ ความจะตอ้ งเปลย่ี นบุรษุ สรรพนามที่ 1,2 เป็นสรรพนามบรุ ษุ ที่ 3
5. ความยาวของการเขยี นยอ่ ความ จะตอ้ งย่อให้เหลอื 1 ใน 3 ของเนอ้ื เรือ่ งเดมิ

ข้อควรระวัง ไม่ควรใช้อกั ษรยอ่ ในการเขยี นย่อความ และไม่ควรใชเ้ ครอื่ งหมายตา่ ง ๆ
ในขอ้ ความทยี่ อ่

❖ ตัวอย่าง
เรอ่ื ง เกา้ หรอื สิบ

กาลคร้ังหนงึ่ ในทะเลทรายอนั แห้งแลง้ ชายผหู้ น่งึ กำลงั ตอ้ นฝูงอูฐสิบตวั เดินทางไปยังบอ่ น้ำ
ข้างหนา้ เดนิ ไปได้สักสองสามไมลเ์ ขากข็ ้ึนขี่หลงั อูฐตัวหนง่ึ แล้วก็นบั อฐู ทีเ่ หลือนับได้เกา้ ตัว เขาก็
ตะลีตะลานลงจากหลงั อฐู เดินกลบั หลังไปหาเจ้าตัวท่หี ายไป หาเท่าใดไม่เหน็ รอ่ งรอยของมนั เลย ใจคิดว่า
“อฐู หายไปตัวหนึง่ เสยี แลว้ แน่ ๆ” จึงเลกิ หา หันหน้าเดนิ ไปยังฝูงอฐู ข้างหน้าอย่างรบี เรง่ ด้วยความ
เสยี ดายและกลดั กลมุ้ แตแ่ ล้วกลบั ดใี จลงิ โลด “โน่นไง... อูฐทง้ั สบิ ตวั เดินอยูข่ า้ งหนา้ โน่นเอง” เขาขนึ้ ข่ี
หลังอฐู ตวั หนง่ึ เดินไปได้สักพกั กล็ องนบั จำนวนอฐู ดูใหมอ่ กี คร้ังหนึ่ง เหลอื เก้าตวั อีกแล้ว เขารีบตะกาย
ลงจากหลงั อูฐ พิศวงงงงวยเตม็ ทีหันหลังกลับไปเดินหาตัวท่ีหายอยา่ งอิดหนาระอาใจ หาเทา่ ใดกไ็ มพ่ บ
ก็รบี วิง่ กลบั ไปยังฝูงอูฐข้างหนา้ แล้วกน็ ับดู แสนประหลาดใจนักท่ีเหน็ อูฐสบิ ตัวเดินเอือ่ ยเฉือ่ ย
อย่างเกียจครา้ นอยูท่ ้ังฝงู เขาเลยโทษความรอ้ นแรงของทะเลทราย แล้วกข็ ้ึนข่ีอฐู ตวั ทเี่ ดินร้ังท้ายอยู่
แล้วลงมือนับจำนวนอูฐดูอกี เปน็ ครั้งท่ีสาม ไม่เข้าใจเอาเลยจรงิ ๆ ว่า ทำไมมนั ถงึ หายไปตัวหนึ่งอกี แล้ว
เขาโดดลงจากหลังอูฐแชง่ ดา่ ซาตานไปพลาง นบั จำนวนอฐู ไปพลางอยา่ งเหน่ือยเตม็ ทน “อา้ ว!... นบั ได้
สบิ ตัวอีกแล้ว” “ดลี ะ...ไอ้ผีร้ายเจ้าเล่ห”์ เขาบน่ อุบอิบ “ขา้ เดนิ ไปเองแลว้ มีอูฐอยู่ครบฝงู ดีกว่า จะขี่มนั
ไปแล้วกต็ ้องหายไปอกี ตวั หนึ่ง”

นิทานเรื่อง เกา้ หรือสบิ ของทา่ นผู้หญงิ สมโรจน์ สวัสดิกลุ ณ อยุธยา จาก หนังสือส่งเสรมิ
การอา่ นระดบั ประถมศกึ ษา เรอ่ื ง มาหัวเราะกนั เถิด หน้า 15 - 16 ความวา่


ใบงาน
เรื่อง รปู แบบของการเขียนย่อความ

ในทะเลทราย มีชายเล้ยี งอฐู สบิ ตวั เดนิ ทางไปกนิ น า เมื่อเขาขนึ้ ขี่หลังอูฐ เขานับอูฐเหลือเก้าตัว เม่อื เขา
ลงจากหลงั อฐู ก็นับไดส้ ิบตวั เหมือนเดมิ เปน็ เช่นนีถ้ ึง 3 ครงั้ เขาโทษวา่ ผรี ้ายทะเลทรายบนั ดาลให้เป็นไป
เขาจงึ ไมย่ อมข่ีหลงั อูฐอกี เลย (ท่ีแท้เขาลมื นบั ตวั ท่ีเขาขี่)

คำชี้แจง ใหน้ กั เรียนจับคู่รูปแบบของการเขยี นย่อความประเภทตา่ ง ๆ มาใหถ้ กู ต้อง

1. ยอ่ ความเรียงร้อยแก้ว บอกว่าเป็นหนังสอื ราชการจากหน่วยงานใด
ถึงใคร เรื่องอะไร เลขทเ่ี ทา่ ไร ลงวันที่เท่าไร
2. ยอ่ ประกาศ แจ้งความ
แถลงการณ์ ระเบียบคำสั่ง บอกประเภท ผู้กล่าว แสดงแก่ใคร เรื่องอะไร
เน่ืองในโอกาสใด สถานที่ วนั ที่
กำหนดการ
บอกประเภทของคำประพนั ธ์ ช่ือเรอื่ ง ผแู้ ต่ง
3. ยอ่ จดหมาย ท่มี า หนา้ ใด

4. ย่อหนังสอื ราชการ บอกประเภท ชือ่ เรื่อง ผู้ออกหนงั สอื ผรู้ ับ วัน
เดอื นปที อ่ี อกหนงั สือ
5. ยอ่ พระราชดำรสั
พระบรมราโชวาท โอวาท บอกวา่ เปน็ จดหมายของใคร ถงึ ใคร เร่อื งอะไร
สนุ ทรพจน์ ปาฐกถา คำปราศรยั ลงวันทีเ่ ท่าไร

6. ย่อบทรอ้ ยกรองหรือคำประพันธ์ บอกประเภท ช่อื เรอื่ ง ชือ่ ผ้แู ตง่ ทม่ี า หน้าใด

ช่อื .....................................................................................................................ช้ัน....................เลขท่ี...................


ใบงานเร่อื ง หลกั การเขยี นย่อความ

คำชีแ้ จง ให้นกั เรียนเขยี นยอ่ ความจากเรอ่ื งทคี่ รกู ำหนดใหถ้ กู ตอ้ งตามหลักการ
นิทานเรอื่ ง อยากให้บ้านนีม้ แี ต่รกั

ลูกกบอยากมีเพื่อน มลี กู กบตัวหนงึ่ อยากมเี พือ่ นเอาไว้เลน่ ด้วย “อากาศสดช่ืนดีจรงิ
แต่มนั เหงาจงั ไม่มีเพอื่ นเลยออกไปหาเพอ่ื นดีกวา่ ” ลกู กบพดู ลูกกบพบกบั เตา่ กด็ ีใจหวงั จะผูกมิตร
กบั เตา่ ลกู กบจึงพดู กบั เต่าด้วยความอ่อนโยนวา่ “พี่เต่าจ๋า ฉนั ขอเป็นเพอ่ื นเลน่ กับพเี่ ตา่ ดว้ ย คนนะจะ๊ ”
เตา่ มองลกู กบอยา่ งแปลกใจและไม่พอใจที่เห็นรูปรา่ งของกบนา่ เกลียด จึงตอบวา่ “ไมไ่ ด้ ฉนั ไม่เป็น
เพื่อนกับเจา้ หรอก ดรู ูปร่างเจ้าซิ ช่างน่าเกลยี ด น่าชัง ออกไปห่าง ๆ ฉันนะ ฉนั ไมเ่ ปน็ เพ่อื นกับเจา้ ”
“ ฮือ ฮอื ดูสิพีเ่ ต่าไมย่ อมเป็นเพ่ือนกบั ลูกกบเลย ฮอื ฮอื ” ลกู กบรอ้ งไหเ้ สียใจ ขณะที่ลกู กบกำลังรอ้ งไห้
กเ็ หลือบเห็นปลากำลังว่ายน้ำอยู่ “เอะ๊ ! นัน่ ปลา กำลังว่ายนำ้ แหม นา่ สนกุ จงั เลย เดยี๋ วเราไปเล่นน้ำกับ
ปลาดีกว่า” ลกู กบจึงวา่ ยนำ้ ไปหาปลา และเข้าไปพดู กับ ปลาว่า “ปลาน้อยจ๋า เธอวา่ ยนำ้ เกง่ จงั เลยให้
ฉันเล่นกบั เธอด้วยนะ” ปลามองลูกกบอยา่ ง สงสัย “อ๊ยุ ! น่ตี ัวอะไร รปู ร่างน่าเกลยี ดเสียจรงิ ตัวก็ดำป๊ดิ
ไม่สวยเลย” ปลาพดู “ฉนั เป็นกบนะ เธอไม่รจู้ กั เหรอ ฉนั อยากเป็นเพอ่ื นกับเธอนะ” “ฉนั ไม่ชอบเธอ
ดูสริ ปู รา่ งน่าเกลียดจงั เลย อย่ามายุ่งกับฉนั ไปหา่ ง ๆ ” ปลาแสดงอาการไมส่ นใจลกู กบ ลกู กบเสียใจมาก
“ฮือ ฮือ ทำไมฉันช่างโชครา้ ยจัง ไม่มใี ครเปน็ เพอ่ื นกับฉนั เลย ฮอื ฮือ” ทันใดนนั้ คางคกตัวหนงึ่ กระโดด
ออกมาจากกอหญ้า คางคกสงสารลกู กบมาก เพราะยนื มองดูลูกกบนานแลว้ พอเหน็ ลูกกบร้องไห้จงึ
กระโดดมาใกล้ ๆ พดู ปลอบโยนว่า “อย่าร้องไห้ เลยนงิ่ เสียเถดิ ฉนั จะเปน็ เพ่ือนกบั เธอเอง” “เอะ๊ นน่ั
ใคร ใครจะเปน็ เพ่อื นกบั ฉนั ” ลกู กบเงย หน้าถามทันที คางคกตอบวา่ “ฉันเอง ฉันคือคางคก ฉนั สงสาร
เธอ เธอจะคบฉันเปน็ เพอื่ นหรอื เปล่าจ๊ะ” “แหม ฉันดใี จจังเลย ฉนั อยากมเี พ่อื น ฉนั จะเปน็ เพ่ือนกับเธอ
นะคางคก เราจะไปเท่ยี วดว้ ยกัน ฉนั มคี วามสขุ จังเลย” ลูกกบพดู ฉันก็ดใี จ ตอ่ ไปนเี้ ราเปน็ เพื่อนกันนะ
ฉนั จะชว่ ยเธอทำงาน เราจะเปน็ เพอ่ื นทด่ี ตี ่อกัน

(ท่ีมา: นิทานอสี ป ของพงษ์จันทร์ อยูเ่ ปน็ สุข ๒๕๕๙ หน้า ๓๔)

...................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................


แบบประเมินใบงาน เรือ่ ง การเขยี นย่อความ นกั เรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2

รายชอื่ ความถูกตอ้ งของรปู แบบการ รวม สรุปผล
เขียนย่อความ (5 คะแนน) ผา่ น ไมผ่ ่าน

5 43 2 1

ด.ช.สมพงษ์ กงสะกาง

ด.ช.ทรงศกั ดิ์ เรอื งกรไกร

ด.ช.พนิต ระแสน

ด.ช.ฤทธิกร ใบแสน

ด.ช.อนุเทพ ใยปางแก้ว

ด.ญ.ดนนุ ันท์ วระโงน

ด.ญ.จนั ทร์จริ า สขุ ลว้ น

ด.ญ.กัญญาลกั ษณ์ น้อยเวียง

ด.ญ.เบญจวรรณ นารแี พงศรี

ด.ญ.ตะวันฟา้ พูลเพม่ิ

ด.ญ.ขวัญฤดี คำเมอื ง

ด.ช.รชั ชานนท์ พลาดอินทร์

ด.ช.วชระ วางศรี

หมายเหตุ : เกณฑ์การทำใบงาน ตอ้ งได้คะแนนร้อยละ ๕๐ คือ ๒.๕ คะแนนข้นึ ไป จากคะแนนเต็ม ๕
จึงจะถอื ว่าผ่านเกณฑ์


เกณฑก์ ารประเมิน เกณฑ์การตัดสินระดับคุณภาพ ผลการประเมนิ
5 คะแนน ดมี าก ผ่าน
4 คะแนน ดี ผา่ น
ผ่าน
2.5 - 3 คะแนน ปานกลาง ไมผ่ า่ น
2 คะแนน พอใช้ ไมผ่ า่ น
1 คะแนน ปรบั ปรุง

ลงชอื่ ...............................................................ผ้ปู ระเมิน

(นายฤทธเิ ดช สกุลซ้ง)
วันท.่ี ..........เดือน..............................พ.ศ..................


แบบประเมนิ ใบงาน เรอ่ื ง หลักการเขยี นยอ่ ความ
นกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 2

รายการประเมิน

ชอ่ื -สกุล ความ ูถก ้ตองของ ูรปแบบคำนำห ้นา รวม สรปุ ผล
ย่อความ

ความ ูถก ้ตองของประเ ็ดนสำคัญห ืรอ
ใจความสำคัญ

ความ ูถก ้ตองของบุรษสรรพนาม
การนำมาเ ีรยบเรียงให ่ม ้ดวยสำนวนภาษา

ของ ัตวเอง
ความยาวของการเ ีขยน ่ยอความ

๒ ๑๒ ๑๒๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๑๐ ผา่ น ไม่ผ่าน

ด.ช.สมพงษ์ กงสะกาง
ด.ช.ทรงศกั ดิ์ เรอื งกรไกร
ด.ช.พนติ ระแสน
ด.ช.ฤทธกิ ร ใบแสน
ด.ช.อนเุ ทพ ใยปางแก้ว
ด.ญ.ดนุนนั ท์ วระโงน
ด.ญ.จนั ทร์จริ า สุขลว้ น
ด.ญ.กัญญาลกั ษณ์ นอ้ ยเวียง
ด.ญ.เบญจวรรณ นารีแพงศรี
ด.ญ.ตะวนั ฟา้ พูลเพ่มิ
ด.ญ.ขวัญฤดี คำเมือง
ด.ช.รชั ชานนท์ พลาดอินทร์
ด.ช.วชระ วางศรี


หมายเหตุ : เกณฑ์การทำใบงาน ตอ้ งไดค้ ะแนนร้อยละ ๕๐ คือ ๕ คะแนนขน้ึ ไป จากคะแนนเต็ม ๑๐
จงึ จะถอื วา่ ผา่ นเกณฑ์

เกณฑ์การประเมนิ เกณฑก์ ารตัดสนิ ระดับคณุ ภาพ ผลการประเมิน

๙ - ๑๐ คะแนน ดีมาก ผา่ น

๗ - ๘ คะแนน ดี ผา่ น

๕ - ๖ คะแนน ปานกลาง ผา่ น

๓ - ๔ คะแนน พอใช้ ไม่ผ่าน

๐ - ๒ คะแนน ปรบั ปรุง ไม่ผา่ น

ลงชอื่ ...............................................................ผปู้ ระเมิน
(นายฤทธิเดช สกุลซ้ง)

วันท่.ี ..........เดอื น..............................พ.ศ..................


รายละเอยี ดเกณฑก์ ารประเมิน
ใบงาน เรอื่ ง การเขียนยอ่ ความ

รายละเอียดเกณฑ์ รายละเอียดการใหค้ ะแนน

การประเมิน 5 43 2 1

1. ความถกู ต้อง สามารถจับคู่ สามารถจับคู่ สามารถจับคู่ สามารถจับคู่ สามารถจับคู่
รูปแบบการ
ของรูปแบบการ รปู แบบการ รูปแบบการ รูปแบบการ รปู แบบการ เขยี นย่อความ
ได้ถูกต้อง
เขียนยอ่ ความ เขียนย่อ เขียนย่อความ เขียนย่อความ เขียนยอ่ ความ 1 - 2 รูปแบบ

ความได้ ไดถ้ ูกตอ้ ง ได้ถูกตอ้ ง ไดถ้ ูกต้อง

ถกู ต้องทุก 5 รูปแบบ 4 รปู แบบ 3 รปู แบบ

ประเภท

รายละเอียดเกณฑ์การประเมนิ
ใบกิจกรรม เรื่อง หลักการเขียนย่อความ

รายละเอยี ดเกณฑก์ าร รายละเอยี ดการใหค้ ะแนน

ประเมนิ 2 1

1. ความถูกต้องของ สามารถเขียนคำขนึ้ ต้นตามรปู แบบ สามารถเขียนคำขน้ึ ต้นได้ แตย่ งั ไม่

รูปแบบคำนำหน้ายอ่ ความ และประเภทของการย่อความได้ ครบถ้วน สมบรู ณ์

อย่างถกู ตอ้ ง

2. ความถกู ตอ้ งของ สามารถจับประเด็นหรือใจความ สามารถจับประเด็นหรือใจความสำคัญได้

ประเดน็ สำคัญหรอื สำคัญไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง ตรงประเด็น แตย่ งั ไม่ตรงประเด็นเทา่ ท่คี วร

ใจความสำคญั

3. ความถูกต้อง สามารถเปล่ียนคำบรุ ษุ สรรพนาม ไมส่ ามารถเปล่ียนคำบุรษุ สรรพนาม

ของบรุ ษสรรพนาม ที่ 1, 2 เป็นสรรพนามบรุ ษุ ที่ 3 ท่ี 1, 2 เปน็ สรรพนามบรุ ษุ ท่ี 3 ได้

4. การนำมาเรยี บเรยี ง สามารถนำเนื้อหามาเรียบเรียงใหม่ สามารถนำเนื้อหามาเรยี บเรียงใหมด่ ว้ ย

ใหม่ดว้ ยสำนวนภาษา ด้วยสำนวนภาษาของตนเอง ภาษาที่ สำนวนของตนเองได้ แตย่ งั ใชภ้ าษาไมค่ ่อย

ของตวั เอง ใช้สละสลวย ไพเราะ สละสลวย อา่ นแลว้ ติดขดั ในบางช่วง

5. ความยาวของการเขียน สามารถเขียนย่อความให้อยู่ใน สามารถเขียนย่อความให้สน้ั ลงได้ แตย่ งั มี

ย่อความ สดั ส่วนท่ีไม่เกนิ 1 ใน 3 ของ ความยาวทมี่ ากเกิน 1 ใน 3 ของข้อความ

ขอ้ ความท้งั หมดได้ ทั้งหมด


แผนการจดั การเรยี นรู้

หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ ๓ เรอ่ื ง การเขยี นคำขวัญ

รหสั วชิ า ท ๒๒๑๐๑ ช่ือรายวชิ า ภาษาไทย กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย

ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ ๒ ภาคเรียนที่ ๑ เวลา ๑ ช่ัวโมง

มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ท ๒.๑ ใชก้ ระบวนการเขยี นสื่อสาร เขียนเรยี งความ ย่อความ และเขียนเร่อื งราว

ในร฿ปแบบตา่ ง ๆ เขียนรายงานขอ้ มูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาคน้ คว้าอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ

ตวั ช้ีวัด
ท ๒.๑ ม.๒/๑ คดั ลายมอื ตัวบรรจงคร่งึ บรรทัด

สาระสำคัญ/ความคดิ รวบยอด

คำขวัญ คอื ถอ้ ยคำท่ีมุ่งให้เป็นขอ้ เตือนใจหรือเป็นสริ มิ งคล คำขวัญ อาจใช้กับบคุ คล คณะ
บุคคล หรือสถาบันก็ได้ นอกจากนีค้ ตพิ จน์และคำขวญั มกั ใชแ้ ทรกคำกล่าวในโอกาสต่าง ๆ เช่น การให้
โอวาท การกลา่ วคำปราศรยั การแสดงปาฐกถา หรอื การอภิปราย

สาระการเรยี นร/ู้ เน้ือหาย่อย

ความรู้ (K)
นกั เรียนมีความรคู้ วามเข้าใจความหมายของการแต่งคำขวัญ

ทกั ษะ/กระบวนการ (P)

นกั เรยี นสามารถบอกความหมายของการแต่งคำขวญั ได้
คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ (A)

นักเรียนสามารถนำความรทู้ ไี่ ดจ้ ากการแตง่ คำขวัญไปใชเ้ ป็นแนวทางในการแต่งคำคำขวญั
หรือคำประพนั ธป์ ระเภทอื่น ๆ ได้

จดุ เนน้ สู่การพฒั นาคุณภาพผ้เู รียน
ทักษะในศตวรรษท่ี 21 ( 3R8C )

Reading (อา่ นออก)

(W) Riting (เขยี นได)้

(A) Rithemetics (คิดเลขเป็น)

ทกั ษะด้านการคดิ อยา่ งมวี ิจารณญาณและทกั ษะในการแก้ไขปัญหา (Critical
Thinking and Problem Solving)

ทกั ษะด้านการสรา้ งสรรค์ และนวตั กรรม (Creativity and Innovation)


Click to View FlipBook Version