ทกั ษะด้านความเข้าใจความต่างวฒั นธรรม ต่างกระบวนทัศน์ (Cross-cultural
Understanding)
ทักษะด้านความร่วมมอื การทำงานเปน็ ทมี และภาวะผูน้ ำ (Collaboration,
Teamwork and Leadership)
ทักษะดา้ นการสื่อสาร สารสนเทศและร้เู ท่าทันส่ือ (Communications,
Information, and Media Literacy)
ทักษะดา้ นคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร (Computing
and ICT Literacy)
ทักษะอาชพี และทักษะการเรียนรู้ (Career and Learning)
ทักษะการเปลยี่ นแปลง (Change)
การประเมนิ ผลรวบยอด
ภาระงาน/ช้นิ งาน
ใบงาน เร่อื ง การแตง่ คำขวัญ
กจิ กรรมการเรยี นรู้
ขั้นนำ
ครกู ล่าวทักทายนกั เรียนและสนทนาซกั ถามรว่ มกนั ในประเดน็ การพบเจอสื่อ
ในชวี ิตประจำวนั เม่อื ครซู กั ถามนกั เรียนเสร็จสน้ิ จากนั้นครูโยงเนอ้ื หาเข้าสู่บทเรียน (K, P)
ขน้ั สอน
๑. ครูแจกใบความรู้ เร่ือง การแต่งคำขวัญพร้อมกบั ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั ความหมาย
หลักการการแตง่ คำขวัญ (K) ประกอบกับยกตวั อย่าง พร้อมทงั้ สอดแทรกคำถาม เพอ่ื ให้นกั เรยี น
มีความกระตอื รือร้น (P)
๒. ครแู จกใบงาน เรื่อง การแตง่ คำขวัญซ่ึงเปน็ ใบงานรายบคุ คล จากนนั้ ครูอธบิ าย
คำชแ้ี จงใหน้ กั เรยี นเข้าใจในชนิ้ งาน (K, P)
๓. ครแู ละนกั เรียนรว่ มกันเฉลยใบงาน เร่อื ง การแตง่ คำขวญั จากน้นั ครคู ำแนะนำ
เพ่ิมเตมิ เกยี่ วกบั การแต่งคำขวญั เพ่อื เกดิ ความเขา้ ใจเพิม่ มากขึน้
ขัน้ สรุป
ครแู ละนักเรียนร่วมกันสรปุ กิจกรรม เรือ่ ง การแตง่ คำขวัญ ซึง่ เป็นใบงานทใี่ หน้ กั เรียน
แต่งคำขวญั ใหถ้ กู ต้องตามหลกั การ สะท้อนให้เห็นวา่ นกั เรยี นมคี วามเขา้ ใจในเนอื้ หาเกีย่ วกบั การแตง่ คำ
ขวญั เปน็ อย่างดี และสามารถนำความรทู้ ไ่ี ด้จากการแต่งคำขวญั ไปใชเ้ ปน็ แนวทางในการแตง่ คำคำขวญั
หรอื คำประพนั ธ์ประเภทอืน่ ๆ ได้ (K, P, A)
การวัดผลประเมินผล เกณฑก์ ารประเมิน
ผ่านเกณฑก์ ารประเมิน
วธิ ีการ เครอ่ื งมือ รอ้ ยละ ๕๐
ประเมินใบงานเรื่อง การแตง่ คำขวัญ ใช้วิธี ใบงาน เรอื่ ง การแต่งคำขวญั
วดั ผลจากการทำกจิ กรรมของนักเรียนแต่ละคน
โดยมปี ระเดน็ ในการวดั ผล ไดแ้ ก่ ความรู้ความ
เข้าใจหลักการแต่งคำขวญั สามารถการแตง่ คำ
ขวัญได้ ความถกู ตอ้ งของฉันทลักษณ์
การเลอื กสรรคำ และความไพเราะ (ประเดน็
ของแต่ละคน) จากนนั้ นำผลการประเมนิ
มาเป็นขอ้ มลู ในการปรบั ปรุงและพัฒนานักเรียน
และการจัดการเรยี นการสอนของครใู นครั้ง
ต่อ ๆ ไป
ส่อื การเรียนรู้
๑. ใบความรู้ เรอื่ ง การแต่งคำขวัญ
๒. ใบงาน เรื่อง การแตง่ คำขวญั
ขอ้ เสนอแนะของหวั หน้าสถานศกึ ษาหรอื ผ้ทู ่ไี ด้รบั มอบหมาย (ตรวจสอบ,นเิ ทศ,เสนอแนะ,รบั รอง)
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
ลงช่อื ................................................................
(นายสนอง ศรธี รรมา)
วันท.่ี ........../...................../...........
บันทกึ ผลหลงั การจดั การเรียนรู้
๑. ผลการจัดการเรยี นรู้
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๒. ปัญหาและอปุ สรรค
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๓. แนวทางการแกไ้ ขปญั หา
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๔. ขอ้ เสนอแนะ
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
ลงชอื่ .................................................
(นายฤทธเิ ดช สกุลซง้ )
วันท.ี่ ............./......................./...............
เกณฑ์การประเมนิ ใบงานเร่ือง การแต่งคำขวัญ
รายการประเมนิ ระดับคะแนน
ความรูค้ วามเข้าใจหลกั การ ๒๑
แต่งคำขวัญ
สามารถการแต่งคำขวญั ได้ มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจหลักการแตง่ คำ ไม่มีความรคู้ วามเข้าใจหลกั การ
ความถกู ต้องของฉันทลกั ษณ์ ขวญั เปน็ อย่างดี แต่งคำขวญั เป็นอย่างดีเทา่ ทค่ี วร
การเลือกสรรคำ สามารถอธบิ ายหลักการแตง่ คำขวญั ไมส่ ามารถอธิบายหลักการแตง่ คำ
ความไพเราะ
ไดอ้ ย่างถูกต้อง ขวัญได้
แต่งคำขวญั ได้ถกู ตอ้ งตามลกั ษณะ แต่งคำขวญั ไมถ่ กู ตอ้ งตามลักษณะ
บงั คบั บังคับ ๕ จุดขึน้ ไป
สามารถเลอื กสรรคำได้ถกู ตอ้ งและ มกี ารเลือกสรรคำไมเ่ หมาะสมกบั
เหมาะสมกบั เนอื้ หา เนื้อหา
แต่งคำขวัญไดอ้ ยา่ งไพเราะและตรง แต่งคำขวัญได้ไม่ไพเราะเทา่ ทีค่ วร
ประเดน็ กับช่ือเรื่อง และมีเนอ้ื หาไมต่ รงประเด็นกบั ชื่อ
เรอื่ ง
หมายเหตุ : เกณฑก์ ารทำใบงาน ต้องไดค้ ะแนนร้อยละ ๕๐ คอื ๕ คะแนนขึ้นไป จากคะแนนเตม็ ๑๐
จึงจะถอื วา่ ผ่านเกณฑ์
เกณฑ์การประเมนิ เกณฑก์ ารตัดสินระดับคณุ ภาพ ผลการประเมนิ
๙-๑๐ คะแนน ดีมาก ผา่ น
๗-๘ คะแนน ดี ผา่ น
๕-๖ คะแนน ปานกลาง ผา่ น
๓-๔ คะแนน พอใช้ ไมผ่ า่ น
๐-๒ คะแนน ปรบั ปรุง ไม่ผา่ น
แบบประเมินใบงาน เร่อื ง การแต่งคำขวัญ
ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๒
รายการประเมนิ
ช่อื -สกลุ ความ ู้รความเ ้ขาใจห ัลกการแต่ง รวม สรปุ ผล
คำข ัวญ
สามารถการแต่งคำข ัวญไ ้ด
ความ ูถก ้ตองของ ัฉนท ัลกษ ์ณ
การเลือกสรรคำ
ความไพเราะ
๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๑๐ ผา่ น ไมผ่ ่าน
ด.ช.สมพงษ์ กงสะกาง
ด.ช.ทรงศักดิ์ เรืองกรไกร
ด.ช.พนิต ระแสน
ด.ช.ฤทธิกร ใบแสน
ด.ช.อนเุ ทพ ใยปางแกว้
ด.ญ.ดนนุ ันท์ วระโงน
ด.ญ.จนั ทร์จริ า สขุ ล้วน
ด.ญ.กัญญาลกั ษณ์ น้อยเวียง
ด.ญ.เบญจวรรณ นารีแพงศรี
ด.ญ.ตะวนั ฟ้า พูลเพิ่ม
ด.ญ.ขวัญฤดี คำเมือง
ด.ช.รัชชานนท์ พลาดอินทร์
ด.ช.วชระ วางศรี
ใบความรูเ้ ร่อื ง การแตง่ คำขวญั
ความหมาย
การแต่งคำขวัญ
คำขวัญ คือ ถ้อยคำทม่ี ุ่งใหเ้ ปน็ ข้อเตอื นใจหรอื เป็นสิริมงคล คำขวญั อาจใช้กับบุคคล คณะบุคคล
หรือสถาบันกไ็ ด้ นอกจากนี้คตพิ จนแ์ ละคำขวญั มกั ใชแ้ ทรกคำกล่าวในโอกาสต่าง ๆ เชน่ การใหโ้ อวาท
การกลา่ วคำปราศรัย การแสดงปาฐกถา หรือการอภิปราย
หลักการเขียนคติพจนแ์ ละคำขวัญ
คตพิ จน์และคำขวัญมีหลักการเขียนดงั นี้
๑. ใช้ถ้อยคำกะทัดรดั สละสลวย อาจมสี มั ผสั คลอ้ งจองกนั ก็ได้
๒. ใชข้ ้อความและข้อคิดสอดคล้องกับโอกาส เชน่ การต้อนรบั นกั เรยี นใหม่ การไว้อาลัย การ
เปดิ กิจการ แต่ละโอกาสจำเป็นต้องใช้คติพจน์หรือคำขวัญแตกตา่ งกัน
๓. ใช้ข้อความและขอ้ คิดเหมาะสมแกฐ่ านะของผ้ใู หแ้ ละผ้รู บั หรือของหมคู่ ณะ
การแต่งคำขวญั
แผนการจดั การเรียนรู้
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ ๑ เรื่อง การพดู ในโอกาสตา่ ง ๆ
รหัส ท ๒๒๑๐๑ ชือ่ รายวชิ า ภาษาไทย กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย
ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๒ ภาคเรยี นที่ ๑ เวลา ๓ ช่ัวโมง
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด
และความรสู้ กึ ในโอกาสต่าง ๆ อย่างมีวจิ ารณญาณและสร้างสรรค์
ตวั ชวี้ ัด
ท ๓.๑ ม.๒/๔ พดู ในโอกาสตา่ ง ๆ ได้ตรงตามวตั ถปุ ระสงค์
สาระสำคัญ / ความคิดรวบยอด
ชัว่ โมงที่ ๑
การพูดในโอกาสต่าง ๆ คอื การพูดรายงานเรอื่ งหรือประเด็นท่ีศกึ ษาค้นคว้าจากการฟงั การดู
และการสนทนา ต้องพูดใหถ้ ูกตอ้ งตามหลักการพดู และมีมารยาทในการฟงั การดู และการพดู
ช่ัวโมงที่ ๒
ประเภทของการพูดในโอกาสต่าง ๆ คือ แบ่งตามวัตถุประสงค์ของการพูด ได้แก่ การพูด
เพือ่ ให้ความรู้ (อธิบายหรอื แสดงเหตุผล) การพดู เพื่อจูงใจ (โน้มนา้ วให้คล้อยตาม) และการพดู เพอื่ จรรโลง
ใจ (ให้เห็นค่านิยมและความดีงาม) หากแบ่งตามลักษณะของวิธีพูด ได้แก่ การพูดแบบอ่านจากต้นฉบับ
(กรณีเปน็ ทางการ) การพดู แบบทอ่ งจำ (บทพูดส้นั ๆ) การพูดแบบเตรยี มตวั ล่วงหนา้ และการพูดโดยไม่ได้
เตรยี มตวั ลว่ งหน้า (อาศยั ไหวพรบิ )
ชัว่ โมงที่ ๓
การกลา่ วอวยพร คอื การแสดงพูดความยินดี หรือแสดงความปรารถนาดี หากจะกล่าวคำอวย
พรมักต้องแสดงความยินดีก่อน หรือถ้าเป็นการกล่าวแสดงความยินดีโดยแท้จริงก็มักจะลงท้ายด้วยการ
อวยพรการอวยพรมีหลายโอกาส เชน่ ในงานมงคลสมรส งานวันขึ้นปีใหม่ ขน้ึ บา้ นใหม่ ตลอดจนการอวย
พรของผู้หลักผู้ใหญ่ ซึ่งมักเรียกกันว่า คำอวยพร ซึ่งหมายถึงการให้ศีล ให้พร แก่ลูกหลาน ลูกศิษย์
ผู้ใตบ้ งั คับบัญชา
สาระการเรียนรู้
ชว่ั โมงที่ ๑
ความรู้ (K)
นักเรยี นมคี วามรู้ความเขา้ ใจในเร่ืองการพูดในโอกาสตา่ ง ๆ
ทักษะ/กระบวนการ (P)
นกั เรียนสามารถอธบิ ายหลักการของการกล่าวอวยพรได้อย่างถกู ตอ้ ง
คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ (A)
นกั เรยี นสามารถนำความรู้ทไี่ ด้จากเร่อื งการกล่าวอวยพร ไปเปน็ แนวทางในการส่ือสารใน
ชีวติ ประจำวนั ได้อย่างถูกตอ้ ง
ชว่ั โมงที่ ๒
ความรู้ (K)
นักเรยี นมีความร้คู วามเข้าใจในเร่อื งประเภทของการการกลา่ วอวยพร
ทักษะ/กระบวนการ (P)
นักเรียนสามารถอธิบายประเภทของการการกล่าวอวยพรได้อยา่ งถกู ตอ้ ง
คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (A)
นักเรียนสามารถนำความรู้ทไ่ี ด้จากเรอ่ื งการกล่าวอวยพร ไปเป็นแนวทางในการส่ือสารใน
ชีวติ ประจำวันได้อย่างถูกตอ้ ง
ช่วั โมงท่ี ๓
ความรู้ (K)
๑. นักเรยี นมคี วามร้คู วามเข้าใจในเรื่องการกล่าวอวยพร
๒. นักเรียนมีความรู้ความเขา้ ใจในหลกั การของการกล่าวอวยพร
ทักษะ/กระบวนการ (P)
๑. นักเรยี นสามารถอธิบายหลกั การของการกลา่ วอวยพร ได้อยา่ งถกู ต้อง
๒. นกั เรียนสามารถกล่าวอวยพรในโอกาสต่าง ๆ ได้อย่างถกู ต้อง
คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A)
นักเรยี นสามารถนำความรู้ที่ได้จากเร่ืองการกล่าวอวยพร ไปเปน็ แนวทางในการสื่อสารใน
ชวี ิตประจำวนั ไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง
จดุ เนน้ สู่การพัฒนาคณุ ภาพผเู้ รียน
ทกั ษะในศตวรรษท่ี 21 ( 3R8C )
Reading (อ่านออก)
(W) Riting (เขยี นได)้
(A) Rithemetics (คิดเลขเปน็ )
ทกั ษะดา้ นการคดิ อยา่ งมีวจิ ารณญาณและทกั ษะในการแกไ้ ขปญั หา (Critical
Thinking and Problem Solving)
ทกั ษะดา้ นการสร้างสรรค์ และนวตั กรรม (Creativity and Innovation)
ทักษะด้านความเข้าใจความต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์ (Cross-cultural
Understanding)
ทักษะดา้ นความรว่ มมือ การทำงานเปน็ ทีมและภาวะผนู้ ำ (Collaboration,
Teamwork and Leadership)
ทกั ษะดา้ นการส่อื สาร สารสนเทศและรเู้ ท่าทันส่อื (Communications, Information,
and Media Literacy)
ทกั ษะดา้ นคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สาร (Computing and
ICT Literacy)
ทกั ษะอาชพี และทักษะการเรียนรู้ (Career and Learning)
ทักษะการเปลี่ยนแปลง (Change)
การประเมินผลรวบยอด
ช้ินงานหรอื ภาระงาน
๑. ใบงาน เรื่อง การพดู ในโอกาสต่าง ๆ
๒. ใบงาน เร่ือง หลกั การพูดในโอกาสตา่ ง ๆ
๒. ใบงาน เรอ่ื ง การกล่าวอวยพร
กิจกรรมการเรียนรู้
ชัว่ โมงที่ ๑
ขั้นนำ
ครูกล่าวทักทายนกั เรยี นและสนทนาซักถามร่วมกันในประเด็นการพูดในโอกาสต่าง ๆ ใน
การดำรงชวี ิตประจำวนั เมือ่ ครูซักถามนกั เรยี นเสร็จสิน้ จากน้ันครโู ยงเน้ือหาเข้าสบู่ ทเรยี น (K, P)
ขน้ั สอน
๑. ครแู จกใบความรู้ เรือ่ งการพูดในโอกาสตา่ ง ๆ พรอ้ มกับสอนเกีย่ วกบั ความหมาย
หลกั การ วธิ ีการ และยกตัวอยา่ งประกอบ (K)
๒. ครูอธิบายให้นักเรียนเห็นถึงความสำคัญของการพูดและการเลือกใช้ภาษาให้ถูกต้อง
เหมาะสม จากนั้นครูให้นักเรียนทำใบงาน เรื่อง การพูดในโอกาสต่าง ๆ โดยให้นักเรียนอธิบาย
องค์ประกอบของการพดู ว่าประกอบดว้ ยอะไร
3. ครูสุ่มนักเรียนออกมานำเสนอหน้าชั้นเรียน 1 คน จากนั้นครูอธิบายและชี้แนะ
รายละเอยี ดเพม่ิ เตมิ
ข้นั สรุป
ครูสรปุ เนื้อหา เรอ่ื งการพูดในโอกาสตา่ ง ๆ ทำใหน้ กั เรียนเกิดทักษะการพูดในโอกาสต่าง ๆ
ไดอ้ ย่างเหมาะสม ซง่ึ สะท้อนให้เหน็ ว่านักเรียนมีความรู้ ความเขา้ ใจในเรือ่ งการพูดในโอกาสต่าง ๆ เพ่อื ให้
นักเรยี นสามารถนำความร้ทู ไ่ี ดไ้ ปพฒั นาตอ่ ไปใหด้ ยี ง่ิ ขึ้น (K, P, A)
ช่ัวโมงท่ี ๒
ขนั้ นำ
ครูกลา่ วทักทายนกั เรยี น พรอ้ มกับทบทวนความรูเ้ ร่อื ง การพดู ในโอกาสต่าง ๆ
ในการดำรงชีวติ ประจำวัน เม่อื ครซู ักถามนักเรียนเสร็จส้ิน จากนนั้ ครูโยงเนือ้ หาเขา้ สู่บทเรียน (K, P)
ขน้ั สอน
๑. ครูแจกใบความรู้ เร่ือง หลกั การพดู ในโอกาสต่าง ๆ พรอ้ มกบั อธิบายและยกตวั อย่าง
ประกอบ (K)
๒. ครแู จกใบงาน เรือ่ ง หลักการพดู ในโอกาสต่าง ๆ จากนั้นครูอธบิ ายคำชแ้ี จง
ใหน้ กั เรยี นเข้าใจในชนิ้ งาน
๓. ครแู ละนักเรียนร่วมกนั สรุปในประเด็นการทำใบงานด้านจุดบกพร่อง และขอ้ ดีเก่ยี วกับ
หลกั การพดู ในโอกาสต่าง ๆ เพื่อแนะแนวทางให้นักเรียนเกิดความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น
ขั้นสรุป
ครูสรุปกิจกรรม เรื่อง หลักการพูดในโอกาสต่าง ๆ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่นักเรียนได้นำเอา
ความรู้มาใช้ในการทำกิจกรรม ทำให้เกิดทักษะการพูดในโอกาสต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม ซึ่งสะท้อนให้
เห็นว่านักเรียนมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องการกล่าวอวยพร เพื่อให้นักเรียนสามารถนำความรู้ที่ได้ไป
พฒั นาตอ่ ไปให้ดยี ่ิงข้นึ และสามารถกล่าวอวยพรในโอกาส ต่าง ๆ ได้ ทำใหน้ ักเรียนเกิดองค์ความรู้ และ
นำความรูท้ ไ่ี ดไ้ ปเปน็ แนวทางการพูดในระดับที่สูงขน้ึ ต่อไป (K, P, A)
ชั่วโมงท่ี ๓
ขน้ั นำ
ครกู ลา่ วทกั ทายนักเรียน ครเู ปดิ วดี ีโอ เร่อื ง การกล่าวอวยพร ให้นักเรยี นฟังและดู (K) แล้ว
ใหน้ ักเรียนแสดงความคดิ เหน็ เก่ียวกับวีดโี อขา้ งตน้ (P)
ขน้ั กิจกรรม
๑. ครูแจกใบความรู้ เรื่องการกล่าวอวยพร พร้อมกับอธิบายและยกตัวอย่างประกอบ
จากนั้นครูตั้งคำถามเรื่องการกล่าวอวยพร เพื่อทดสอบความเข้าใจในเนื้อหาก่อนเข้าสู่การทำใบงาน
(K)
๒. ครแู จกใบงาน เรือ่ งการกล่าวอวยพร แล้วใหน้ กั เรียนเขยี นเนื้อหาเพื่อเตรียมนำเสนอ
จากหวั ขอ้ ท่ีนกั เรียนไดร้ บั (P)
๓. ครูสมุ่ นกั เรียนทไ่ี ดห้ ัวขอ้ การกลา่ วอวยพร โดยใช้เกมบิงโกคารแ์ รคเตอร์ เพ่อื หาตัวแทน
นกั เรียนมาใบงานหนา้ ชนั้ เรยี น (P) พร้อมบอกประโยชนข์ องการพดู จากหัวข้อนนั้ ๆ ท่สี ามารถนำไปเป็น
แนวทางในการสือ่ สารในชีวิตประจำวนั ได้อย่างเหมาะสม เมอื่ นักเรยี นนำเสนองานเสร็จครูให้คำแนะนำ
เพอ่ื นำไปเป็นแนวทางในการพัฒนาการพูดในครัง้ ต่อไป (A)
ขั้นสรปุ
ครูสรุปกิจกรรม เรื่องการกล่าวอวยพร ซึ่งเป็นกิจกรรมที่นักเรียนได้นำเอาความรู้มาใช้ในการ
ทำกจิ กรรม ทำใหเ้ กดิ ทกั ษะการพูดในโอกาสต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ซงึ่ สะท้อนให้เหน็ ว่านกั เรยี น
มคี วามรู้ ความเขา้ ใจในเรื่องการกล่าวอวยพร และทำใหน้ ักเรยี นเกิดองค์ความรู้ สามารถนำความรู้ท่ไี ด้
ไปเปน็ แนวทางการพูดในระดับท่ีสูงขน้ึ ต่อไป (K, P, A)
การวดั ผลประเมนิ ผล
ช่ัวโมงท่ี 1
วิธกี าร เครื่องมอื เกณฑ์การประเมิน
ประเมนิ ใบงาน เรอ่ื ง การพดู ในโอกาสตา่ ง ๆ ใชว้ ิธี ใบงานเรอื่ ง การพดู ในโอกาส ผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ
วดั ผลจากการทำใบงานของนกั เรียนแตล่ ะคน โดยมี ต่าง ๆ ร้อยละ ๕๐
ประเดน็ ในการวดั ผล ไดแ้ ก่ ความถูกตอ้ งของ
องคป์ ระกอบของการพดู ในโอกาสตา่ ง ๆ (ประเด็น
ของแต่ละคน) จากนนั้ นำผลการประเมินมาเป็น
ขอ้ มลู ในการปรบั ปรงุ และพฒั นานักเรียน และการ
จดั การเรยี นการสอนของครใู นคร้งั
ต่อ ๆ ไป
ช่วั โมงท่ี ๒
วิธีการ เคร่ืองมือ เกณฑ์การประเมิน
ประเมินใบงาน เรอื่ ง หลกั การพูดในโอกาสต่าง ๆ ใช้ ใบงาน เรือ่ ง หลกั การพดู ใน ผา่ นเกณฑ์การประเมิน
วิธีวดั ผลจากการทำกจิ กรรมของนกั เรยี นแตล่ ะคน โอกาสต่าง ๆ รอ้ ยละ ๕๐
โดยมปี ระเด็นในการวดั ผล ได้แก่ ความถูกต้องของ
หลกั การพดู สามารถอธบิ ายหลักการพดู ไดถ้ กู ต้อง
ตรงประเด็น ใชภ้ าษาได้ถูกตอ้ ง และผลงานสะอาด
เรยี บร้อย(ประเดน็ ของแต่ละคน) จากนัน้ นำผลการ
ประเมนิ มาเป็นข้อมลู ในการปรับปรงุ และพัฒนา
นกั เรยี น และการจดั การเรยี นการสอนของครูในคร้ัง
ต่อ ๆ ไป
ชวั่ โมงที่ 3
วธิ กี าร เครอ่ื งมอื เกณฑ์การประเมิน
ประเมินใบงาน เรอ่ื ง การกล่าวอวยพร ใช้วธิ ีวดั ผล ใบงาน เร่ือง การกลา่ วอวยพร ผา่ นเกณฑก์ ารประเมิน
จากการทำกิจกรรมของนักเรยี นแตล่ ะคน โดยมี รอ้ ยละ ๕๐
ประเด็นในการวดั ผล ได้แก่ ความถูกตอ้ งในหลกั การ
พูด สามารถเขยี นอวยพรได้ ตรงประเดน็ ใชภ้ าษาได้
ถกู ต้อง และผลงานสะอาดเรยี บร้อย(ประเด็นของแต่
ละคน) จากนนั้ นำผลการประเมนิ มาเป็นขอ้ มลู ในการ
ปรบั ปรุงและพัฒนานักเรยี น และการจัดการเรยี น
การสอนของครูในคร้งั ตอ่ ๆ ไป
สอื่ การเรยี นรู้
๑. ใบความรู้ เรือ่ ง การกล่าวอวยพร
๒. ใบงาน เรื่อง หลกั การพดู ในโอกาสต่าง ๆ
๒. ใบกิจกรรม เรอ่ื ง การกลา่ วอวยพร
๓. วดี โี อการกลา่ วอวยพร
ข้อเสนอแนะของหวั หน้าสถานศกึ ษาหรอื ผูท้ ไ่ี ดร้ บั มอบหมาย (ตรวจสอบ,นเิ ทศก์,เสนอแนะ,รบั รอง)
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
ลงช่อื ................................................................
(นายสนอง ศรธี รรมา)
วันที.่ ........../...................../...........
บนั ทกึ ผลหลังการจดั การเรยี นรู้
๑. ผลการจัดการเรียนรู้
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๒. ปญั หาและอปุ สรรค
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๓. แนวทางการแกไ้ ขปัญหา
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๔. ขอ้ เสนอแนะ
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
ลงช่อื .................................................
(นายฤทธเิ ดช สกลุ ซ้ง)
วนั ท่ี............../......................./...............
ใบความรู้เร่ือง การพูดในโอกาสตา่ ง ๆ
ความสำคัญของการพุดในโอกาสตา่ ง ๆ
การทเ่ี ราต้องอยู่ในสังคมร่วมกบั ผ้อู ื่น ย่อมมีโอกาสทจี่ ะต้องพดู ยิง่ ถ้าเราเติบโตขึ้น
มีความเจรญิ ก้าวหนา้ ในหน้าทกี่ ารงานมากข้ึนหรือ เป็นผ้หู ลักผใู้ หญข่ องครอบครัวมากขน้ึ กย็ ิ่งจำเป็น
ท่ีจะต้องพูดในโอกาสตา่ ง ๆ เพือ่ มารยาททางสงั คม เพอ่ื เป็นกำลงั ใจแก่ผฟู้ งั หรือเพือ่ เปน็ เกยี รติแกง่ าน
และผฟู้ ัง การร้จู กั พูดให้ถกู กาลเทศะ จงึ เปน็ สง่ิ ทคี่ วรจะศกึ ษาไว้อยา่ งย่งิ เพอื่ จะได้พูดได้ถกู ตอ้ ง
ไม่เกอ้ เขนิ สอดคล้องกับบรรยากาศ ทำให้เกิดความประทับใจแกผ่ ้ฟู ัง
การพดู ในโอกาสต่าง ๆ มีดงั นี้
๑. การกลา่ วแนะนำ
๒. การกลา่ วให้เกียรติหรือมอบรางวัล
๓. การกลา่ วตอบรับ
๔. การกล่าวต้อนรับ
๕. การกลา่ วตอบการตอ้ นรับ
๖. การกล่าวในโอกาสเขา้ รับตำแหนง่ ใหม่
๗. การกลา่ วอวยพร
๘. การกลา่ วอำลา
องค์ประกอบของการพูดในโอกาสตา่ ง ๆ
การพูดในโอกาสตา่ ง ๆ เป็นการพูดที่ปรากฏอยู่ในชวี ติ ประจำวันตามสถานการณต์ า่ ง ๆ ทีม่ ี
องคป์ ระกอบสำคัญท่ผี ้พู ูดจะต้องคำนึงถึงอย่เู สมอ
๑. กาละ หมายถึง วนั เวลา ท่กี ารพดู เกดิ ข้นึ เช่น ตอนเชา้ สาย บ่าย ค่ำ หรือระหวา่ ง
การรบั ประทานอาหาร การนั่งฟงั บรรยาย
๒. เทศะ หมายถงึ สถานที่ทกี่ ารพูดนั้นไดก้ ระทำหรือแสดงออก เช่น ในสำนักงาน
ในห้องประชุม ในหอ้ งรบั แขก ในครัว ในโรงภาพยนตร์ ในหอ้ งเรียน ฯลฯ
๓. สมั พันธภาพ หมายถึง ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งผพู้ ดู กับผฟู้ ัง เช่น ความสนทิ สนม ความเป็น
เพ่ือน พนกั งานกบั นายจ้าง ครกู ับศิษย์ บิดากับมารดา หรือบิดา-มารดากบั บุตร ประชาชนผมู้ าติดต่อ
ราชการกบั เจา้ หนา้ ที่ ฯลฯ สังคมไดก้ ำหนดความสมั พันธร์ ะหว่างบคุ คลไวต้ ามครรลองของวฒั นธรรม
ขนบธรรมเนียมประเพณี
๔. จดุ มงุ่ หมายของการพูด หมายถึง ความตอ้ งการในเจตนาในการพูดท้ังของผพู้ ดู และผูฟ้ งั
เช่น เพอื่ สร้างความเข้าใจทถ่ี กู ต้อง เพอ่ื หาขอ้ มูลและวิธีการในการปฏบิ ตั ิ เพือ่ โน้มนา้ วใจเพอ่ื ให้เกดิ
การคล้อยตาม เหน็ ดว้ ย เพ่อื ให้เกดิ ความสบายใจ อบอุ่น เพ่ือให้เกดิ กำลงั ใจ ฮึกเหิม ฯลฯ
๕. เน้ือหาของการพูด หมายถึง สารที่ผู้พูดและผ้ฟู ังพูดโตต้ อบกนั โดยอาศยั ระบบ
สญั ลกั ษณ์ท้ังอวัจนภาษาและวจั นภาษา เน้อื หาของการพูดควรจะมีความต่อเนอ่ื ง ตอบได้ซึ่งกนั และกัน
ระหวา่ งคสู่ นทนาหากเปน็ การพูดต่อกลุม่ การพดู ต่อสาธารณชนนอกจากความต่อเนือ่ งแลว้ ควรจะมี
ความกระจา่ งชดั เจนความถกู ตอ้ งดา้ นการใช้ภาษา เรียงลำดับความไดด้ ี ฯลฯ
๖. โอกาส หมายถงึ เหตุการณห์ รือสภาพแวดลอ้ มท่ที ำใหเ้ กิดการพดู น้ัน ๆ โดยมักจะ
เก่ียวพันกับกาลเทศะ ซ่ึงทำให้เกดิ การพูดตามโอกาสขึ้น อนั เป็นเรอ่ื งเฉพาะเจาะจงลงไป เช่น การกลา่ ว
อวยพรเนอื่ งในวนั ขนึ้ ปีใหม่ การกลา่ วอวยพรค่บู า่ วสาวในงานสมรส การกลา่ วขอบคณุ วิทยากร
การกลา่ วแสดงความคิดเห็นในการพฒั นาการขายผลิตภัณฑ์ของบริษทั ฯลฯ
๗. มารยาท หมายถึง แนวทางในการออกแสดงของพฤติกรรมการพูด หรือกฎเกณฑ์
ขนบธรรมเนยี ม ตลอดจนคณุ ธรรมประจำใจท้งั ของผู้พดู และผฟู้ ัง เชน่ ในการกล่าวขอบคุณวิทยากร
ซึ่งเชญิ มาบรรยาย แมว้ า่ การบรรยายจะน่าเบอื่ หน่ายอยู่บา้ ง ผกู้ ล่าวขอบคุณกไ็ ม่ควรพูดกระทบ-
กระเทียบตำหนิ เย้ยหยัน และสรปุ จบลงดว้ ยคำขอบคณุ อนั ไพเราะ เพราะจนแสดงถึงความไมจ่ รงิ ใจ
ของผพู้ ูดและถือว่าไมเ่ หมาะสมวฒั นธรรมไทย เปน็ ต้น
องค์ประกอบทั้ง ๗ ประการนี้ จะเปน็ ตน้ กำหนดลกั ษณะภาษาทใ่ี ชใ้ นการพูดทุกระดบั
การพดู ในแตล่ ะสถานการณ์จะมีความแตกต่างกนั ออกไปกเ็ พราะความแตกต่างขององคป์ ระกอบเหลา่ นี้
นนั่ เอง
ใบความรู้ หลักการพดู ในโอกาสตา่ ง ๆ
การศึกษาแนวเน้ือหาท่ีใช้พดู แตล่ ะโอกาส มีประโยชนส์ ำหรับการพูด ทั้งทเ่ี พราะไมว่ ่าผ้พู ูดจะมี
โอกาสเตรียมตวั ล่วงหน้ามากหรอื นอ้ ยเพยี งใดกต็ าม แนวเนอ้ื หาจะเปน็ เสมอื นเข็มทิศทจี่ ะช้ีวา่ ควรจะพูด
ถึงสงิ่ ใดบ้าง จงึ จะเหมาะกับโอกาสนนั้ ๆ
แนวเนอื้ หาของการพดู แต่ละโอกาส มีดังน้ี
๑. การกลา่ วคำแนะนำ ส่วนมากจะเป็นการกลา่ วแนะนำผู้บรรยาย ผอู้ ภิปราย ผโู้ ต้วาทีหรือผู้
เขา้ สัมมนา เป็นตน้ ความม่งุ หมายของการแนะนำก็เพ่อื ให้ผฟู้ ังสนใจ “ผู้พูด” และ “เรอ่ื งทจี่ ะพูด” ซ่ึงมี
ขนั้ ตอนในการแนะนำ คอื
๑.๑ กล่าวทักทายผฟู้ ัง เชน่ ท่านผู้ฟังทเ่ี คารพ ทา่ นผูฟ้ ังทรี่ กั ท้ังหลาย ฯลฯ
๑.๒ เรยี กร้องความสนใจ โดยกล่าวยอ่ เกย่ี วกับตัวผู้พูด วุฒทิ างการศกึ ษา (ถ้าจำเปน็ )
ตำแหนง่ ความสามารถและประสบการณใ์ นเร่อื งท่จี ะพูด
๑.๓ เรียกรอ้ งให้เกิดความสนใจในเรือ่ งทพ่ี ูด กล่าวสน้ั ๆ ถึงความสำคัญและความ
เหมาะสมของเรื่องท่ีจะพูด เรง่ เร้าให้ฟังสนใจที่จะฟัง
๑.๔ ประกาศชอื่ ผูพ้ ดู โดยเน้นเสยี งให้หนกั แน่นชดั เจน
๑.๕ พยายามแนะนำตัวปากเปลา่ ไมค่ วรอ่านจากเอกสารทเี่ ตรยี มไว้ และไม่ควรทอ่ งจำ
แต่แนะนำจาก “ความทรงจำ” เพอื่ แสดงใหเ้ ห็นวา่ มคี วามสนใจอย่างจริงจงั ตอ่ ผู้พูด
๒. การกล่าวใหเ้ กียรติหรือมอบรางวลั เมอื่ มกี ารมอบทนุ ให้รางวัล ให้เกยี รตยิ ศ หรือทำพิธี
ระลกึ ถึงคณุ งามความดแี ก่ผู้ใด มกั จะมกี ารพูดเพ่อื ให้เกยี รติแกผ่ ้ไู ด้รบั ผล หรอื เกียรตหิ รือเกยี รติ
แห่งความดนี ้นั ปกตจิ ะพูดประมาณ ๒ - ๓ นาที มีหลักเกณฑ์ ดังนี้
๒.๑ กลา่ วถึงเหตุผลในการมอบ โดยกล่าวถึงความสำเรจ็ ความดหี รอื ความสามารถ
ของผไู้ ด้รบั วา่ สมควรจะไดร้ ับเกียรตินนั้ อย่างไร ควรเปน็ การพดู อย่างจริงใจไม่เสแสร้าง
๒.๒ แสดงความพอใจในเกียรตทิ ่มี อบให้ และควรระบุใหช้ ดั วา่ ใครคอื บคุ คลท่ีได้รับเกยี รติ
นี้ เพอ่ื เป็นการแสดงวา่ ผูใ้ ห้ตระหนักถึงคุณความดีนนั้ อยา่ งแม้จรงิ และเพื่อเปน็ สญั ลักษณ์แห่งเกียรติ
คุณแกผ่ ู้ไดร้ ับรางวัลหรือของขวญั
๒.๓ มอบของขวญั หรอื รางวัลเมอื่ ไดก้ ล่าวต่อผู้ฟังจบแลว้ โดยหันไปพูดกับผูร้ บั โดยตรง
ดว้ ยเสียงท่ีดงั พอได้ยนิ กันทัว่ พรอ้ มกบั มอบของขวัญหรือของรางวลั ให้
๓. การกล่าวตอบการให้เกียรตหิ รอื มอบรางวัล ผู้ท่ไี ด้รับทนุ รางวัลเกียรติคณุ หรือการแสดง
ความระลกึ ถึงความดี มักจะกล่าวตอบรับซ่ึงควรพดู สั้น ๆ ให้สอดคลอ้ งกบั สภาพในขณะน้ัน โดยอาศัย
แนวทางดงั นี้
๓.๑ แสดงความขอบคุณ แสดงความพอใจในของขวัญหรือรางวัลนนั้ วา่ นอกจากจะมี
ประโยชนใ์ นตัวของมนั เองแลว้ ยงั เป็นสญั ลกั ษณแ์ หง่ นำ้ ใจหรือความปรารถนาดีอันสูงสง่ ใชภ้ าษาง่าย ๆ
ชัดเจน จริงใจ
๓.๒ ถอ่ มตัวและยกย่องผรู้ ว่ มงาน อย่าโออ้ วดความสามารถของตนเกนิ ไป และไมค่ วรถอ่ ม
ตนจนไร้ความหมาย ควรสรรสร้างชมเชยผู้รว่ มงานที่ได้ชว่ ยเหลอื เป็นผลสำเร็จ
๓.๓ สรรเสริญผูใ้ ห้ของขวญั หรือรางวลั ดว้ ยความสุจริตใจ กลา่ วถงึ ผลงานและความ
ปรารถนาดี
๓.๔ กล่าวสรปุ โดยเนน้ ถงึ ความพงึ พอใจทไี่ ดร้ บั ของขวัญหรือของรางวลั ในขณะท่กี ลา่ ว
ควรมองไปยงั ของขวญั หรือรางวลั ด้วย
๔. การกล่าวตอ้ นรบั ในกรณีท่ีมีบุคคลสำคญั หรอื คณะบุคคลมาประชมุ กนั หรือมาเยี่ยมเยยี น
อาจมกี ารกลา่ วตอ้ นรับ เพ่อื แสดงความปรารถนาดีและใหผ้ ูม้ าเยอื นรู้สกึ อบอุ่นใจ การพดู ไม่ควรยาวนกั มี
การเตรยี มล่วงหนา้ เป็นอยา่ งดี มีแนวทาง ดังนี้
๔.๑ กลา่ วแสดงความยินดีแกผ่ ้มู าเยอื น
๔.๒ กล่าวสรรเสริญหรอื ยกยอ่ งผูม้ าเยอื น เชน่ เป็นใคร มีผลงานดเี ด่นอะไร
มีความสมั พันธ์อยา่ งไรกับผตู้ อ้ นรับ โดยการอธิบายหน่วยงานหรืองานอย่างย่อ ๆ
๔.๓ แสดงความยนิ ดที ี่ไดใ้ หก้ ารต้อนรบั ควรกล่าวเพยี งสัน้ ๆ ย้ำการต้อนรับอีกครงั้ หนง่ึ
๔.๔ ขออภยั หากมีสงิ่ ใดบกพร่องไป และหวังว่าผู้มาเยอื นจะกลับมาเยอื นอกี
๕. การกล่าวตอบการต้อนรับ เมอ่ื มีการกล่าวต้อนรบั ควรมกี ารกล่าวขอบคณุ อยา่ งสั้น ๆ
ให้สอดคล้องกับการพดู ต้อนรบั นัน้ ๆ ส่วนมากต้องพดู ฉบั พลนั เพ่ือความไมป่ ระมาท ควรเตรียม
แนวทางการพดู ไว้ลว่ งหนา้ ดงั นี้
๕.๑ แสดงความยนิ ดีท่ีไดม้ าเยือน
๕.๒ แสดงความขอบคุณอย่างจริงใจต่อเกียรติทไี่ ด้รับ
๕.๓ กลา่ วอย่าสรรเสริญฝ่ายทใี่ หก้ ารตอ้ นรับ เช่น กลา่ วถึงช่ือเสียงขององคก์ ารหรือคณุ
งามความดีของสถาบนั นั้น ๆ
๕.๔ กล่าวเช้ือเชิญผู้ตอ้ นรบั ไปเยือนตนบา้ ง
๖. การกลา่ วในการเขา้ รับตำแหน่ง ผูท้ ่ไี ดร้ ับตำแหนง่ ใหม่ โดยเฉาะผู้ท่ีเป็นหัวหน้าควรจะเรียก
ผใู้ ต้บงั คับบญั ชามาประชมุ กนั เพือ่ แถลงนโยบายและแผนการดำเนนิ งาน ตลอดจนความรคู้ วามคิดของ
ผู้รับตำแหนง่ ใหม่ มีแนวทางการกลา่ วดังนี้
๖.๑ กล่าวยินดีทไี่ ด้รับโอกาสทำงานร่วมกบั ผูใ้ ต้บังคับบญั ชา
๖.๒ กลา่ วยกย่อง หรอื คณุ ค่าของสถาบันของสถานทท่ี ่ีตนทำงาน
๖.๓ กลา่ วถึงหลกั การ นโยบาย อุดมคติในการทำงานของตน
๖.๔ พูดให้สำคัญแก่ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาทกุ คน และเชิญชวนใหม้ ารว่ มใจในการทำงานเพอ่ื
ความกา้ วหน้าของหน่วยงาน
๗. การกล่าวอวยพร เป็นการแสดงความยินดีแกง่ านมงคล เชน่ งานมงคลสมรส งานวันเกดิ
งานปใี หม่ งานฉลลองการเลอื่ นยศ เปน็ ต้น
๗.๑ งานมงคลสมรส ผูไ้ ดร้ ับเชญิ ใหพ้ ดู ควรใชแ้ นวทางการพดู ดงั น้ี
๗.๑.๑ รสู้ กึ เปน็ เกียรตทิ ไ่ี ด้รับเชิญมากล่าวอวยพร
๗.๑.๒ กล่าวถึงความสำพันธข์ องผู้พูดกับคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรอื ทงั้ สองฝา่ ย โดย
เน้นความดคี วามงาม ของค่สู มรส
๗.๑.๓ กลา่ วแสดงความยนิ ดีที่ทั้งสองได้สมรสกัน และเป็นค่คู รองท่เี หมาะสม
๗.๑.๔ กลา่ วให้ขอ้ คิดในการครองเรือนแกค่ ู่สมรส
๗.๑.๕ กลา่ วคำอวยพรโดยการชักชวนให้ดื่มแสดงความยนิ ดี
๗.๒ งานวนั เกิด
๗.๒.๑ กล่าวแสดงความยินดีที่ได้รบั เกยี รตใิ ห้ขนึ้ มาพูดกลา่ วอวยพร
๗.๒.๒ กลา่ วถงึ ความสมั พนั ธ์ของผพู้ ูดตอ่ เขจา้ ภาพ
๗.๒.๓ กล่าวถึงคณุ ความดี และเกียรติคุณ หรอื ผลงานเดน่ ๆ ของเจ้าภาพ
๗.๒.๔ กล่าวอวยพรใหเ้ จา้ ภาพมอี ายุยนื นาน มคี วามสขุ ความเจริญกา้ วหน้ายิ่ง ๆ
ข้นึ ไป
๘. การกลา่ วตอบคำอวยพร ผทู้ ีไ่ ดร้ ับการอวยพรควรจะกล่าวตอบขอบคุณ เพ่อื แสดง
มารยาทอันดงี ามและน้อมรบั คำอวยพรน้นั มแี นวทางกลา่ วกว้าง ๆ ดงั น้ี
๘.๑ ขอบคณุ ผู้ทม่ี าร่วมงานทกุ คน และซาบซ้ึงท่ีได้ใหเ้ กยี รติมาในงานคร้งั นี้ และ
ขอบคณุ ผมู้ สี ่วนรว่ มในการจดั งาน
๘.๒ กล่าวขออภัย หากมีส่งิ ใดบกพร่อง
๘.๓ กลา่ วขอให้รว่ มสนุกในงานต่อไป
๙. การกล่าวไว้อาลยั การกล่าวไว้อาลัยมหี ลายหอย่าง เช่น ไว้อาลัยผตู้ าย ไว้อาลยั ผู้ทีย่ ้าย
ไปรับตำแหน่งใหม่ เปน็ ต้น
๙.๑ ไว้อาลัยผ้ตู ายหรอื ในงานศพ ควรยดึ แนวดังน้ี
๙.๑.๑ กลา่ วแสดงความเสยี ใจแกค่ รอบครวั ผู้เสียชีวติ
๙.๑.๒ สรรเสริญผูเ้ สียชวี ิต โดยบอกเลา่ ถึงประวัติ ผลงานดีเด่น คุณความดี
๙.๑.๓ ความอาลยั ของผอู้ ยู่เบื้อหลงั ทต่ี อ้ งสูญเสยี บคุ คลอันเป็นทีร่ ักไป
๙.๑.๔ แสดงความหวงั ว่าวญิ ญาณของผู้ตายคงไปสูส่ ุคติ
๙.๒ ไวอ้ าลยั ผ้ทู ี่ย้ายไปรบั ตำแหน่งใหม่ แนวทางการกล่าวมีดงั นี้
๙.๒.๑ กลา่ วแสดงความอาลัยที่ตอ้ งจากไป หลังจากไดร้ ว่ มทำงานกันจนคนุ้ เคยรัก
ใครก่ นั แต่ก็ดใี จท่เี ขาไดเ้ ล่ือนตำแหนง่ และมอี นาคตสดใสรุง่ โรจนด์ ีขึ้น
๙.๒.๒ สรรเสริญยกยอ่ งคณุ ความดขี องบุคคลทจ่ี ากไป
๙.๒.๓ กลา่ วอวยพรใหแ้ กผ่ ้ทู จ่ี ากไป ใหเ้ ขาประสบความสำเรจ็ ในตำแหน่งใหม่
๑o. การกล่าวอำลา ในกรณที ีต่ ้องจากถ่ินทเ่ี คยอยู่มานาน เพอ่ื ไปประกอบธรุ กจิ
รับราชการ หรือ ไปประจำ ณ สถานที่อ่นื ถ้ามีการจัดเลย้ี งส่งและมีการมอบของขวัญทีน่ ะลกึ ควรมกี าร
พดู ขอบคุณทไี่ ดร้ ับของขวัญน้ี และกลา่ วคำอำลา แนวทางการกลา่ วดงั น้ี
๑o.๑ แสดงความเสียใจท่ีตอ้ งจากไป กล่าวให้ทราบวา่ ทำไมจงึ ไมอ่ ยากจากไป ความสุข
ทไ่ี ด้รบั และความคุ้นเคยท่ีมีกับบุคคลต่าง ๆ ในทีท่ ำงานเดมิ เลา่ ถึงเหตุการณ์ท่ีประทับใจในระหวา่ งทีไ่ ด้
อยู่มานาน และการระลกึ ถึงความภูมิใจตลอดไป
๑o.๒ สรรเสรญิ คณะผ้จู ัดทำหรือร่วมเล้ยี งส่งจากใจจรงิ
๑o.๓ คาดหมายความสัมพนั ธ์อันแน่นแฟ้นทจี่ ะยงั คงมคี ลอดไปโดยแสดงคามม่ันใจ
ว่าแม้จะออกไปแตค่ วามสัมพันธ์ทด่ี ียงั คงไม่มวี นั จางหาย หากผ้มู ดผา่ นไปสถานท่ที ี่จะไปอยใู่ หม่
ขอใหแ้ วะเยยี่ มเยียน
๑o.๔ กล่าวสรปุ โดยกล่าวคำอำลาและอวยพร ควรพูดให้สัน้ ขอลาทา่ นทัง้ หลายไป
กอ่ น ขอใหท้ ่านจงมคี วามสุขความเจริญ
หลักการพดู โดยทั่วไป
1. ศกึ ษาเกี่ยวกบั ผู้ฟงั และสง่ิ แวดล้อม มีรายละเอียดดงั นี้
1.1. ศกึ ษาผฟู้ ังวา่ อยูใ่ นวยั ใด เพศใด การศึกษาระดับใด อาชพี อะไร
1.2. ศกึ ษาผู้ฟังว่ามีเจตคติ อารมณ์ และรสนยิ มอย่างไร
1.3. ศกึ ษาสภาพแวดลอ้ ม เช่น สถานที่ทีจ่ ะพูด ช่วงเวลา
2. เลอื กเร่อื งและจดั เน้ือเร่อื งท่พี ูด
2.1 การเลอื กเรือ่ ง ควรเป็นเร่อื งทีอ่ ยู่ในความสนใจของผู้ฟงั เปน็ เรื่องทีแ่ ปลกใหม่
2.2 การจดั เนอ้ื เรอื่ ง เริม่ จาก คำนำ ต้องดงึ ดดู ความสนใจ ไม่กล่าวถอ่ มตัว แก้ตวั
หรือกลา่ วถึงความเปน็ มาของเรอื่ งไกลเกินไป ควรเป็นใจความเพยี ง 2 – 3 ประโยค สว่ นเนือ้ เรอ่ื ง
ตอ้ งเป็นขอ้ เท็จจริงหลักฐาน เหตุผล และตวั อย่างทชี่ ัดเจน การสรุปไม่ใชก่ ารยอ่ เรื่องทีพ่ ูดแล้ว
แตเ่ ปน็ การเน้นประเด็นสำคญั ด้วยถอ้ ยคำสำนวนทเ่ี ด่นเปน็ พิเศษ เพ่อื สรา้ งความประทับใจ
3. เตรยี มตัวผูพ้ ดู
ผ้พู ดู ทไ่ี ม่มปี ระสบการณใ์ นการพูดในท่ีประชุมชนมาก่อนมักตนื่ เตน้ ประหม่า เสียงส่ัน
ท่าทางเคอะเขิน อันเป็นลักษณะของ การขาดความมั่นใจในตนเอง ซ่งึ เป็นสาเหตุหนึ่งทที่ ำให้การพูด
ล้มเหลว ผพู้ ูดจึงควรเตรียมตวั และฝึกฝนการพดู อยูต่ ลอดเวลา เพื่อความม่นั ใจในตนเอง
นอกจากนีย้ ังต้องมีการเตรียมตวั ดังนี้
การเตรยี มบคุ ลิกภาพ
ข้อแนะนำเก่ยี วกับการเตรียมบุคลิกภาพที่ดีของผู้พูด มดี งั น้ี
1. การแตง่ กาย
1.1 เหมาะสมกับตวั เอง
1.2 เหมาะสมกบั กาลเทศะ
1.3 เหมาะสมกับวยั และสมยั นิยม
1.4 สะอาดและเป็นระเบยี บ
2. การใชเ้ สยี ง
2.1 มคี วามดงั – ค่อย พอเหมาะท่ผี ู้ฟงั จะไดย้ ินทั่วไป
2.2 มคี วามนมุ่ นวล แจ่มใส ชัดเจน ไมแ่ หบเครอื
2.3 ออกเสียง ร ล ควบกล้ำ ไดช้ ัดเจน
2.4 หลกี เล่ียงการใชเ้ สยี งระดบั เดียวกนั ตลอดเวลา ควรมกี ารเน้นน้ำเสยี งบา้ ง
2.5 ไม่ควรใชเ้ สียงท่เี ปล่งออกมาโดย ไร้ความหมาย เชน่ อ่า อ้า เอ่อ เอ้อ หรือ เสียงท่ี
เปลง่ ออกมาจากความเคยชิน เช่น ก็ แล้วก็ แบบ แบบว่า นะครับ ครับ นะคะ นะฮะ เป็นต้น
3. ภาษา
3.1 ใช้ขอ้ ความหรอื ประโยคท่สี ้ัน เขา้ ใจง่าย (งา่ ย งาม ชดั เจน)
3.2 ใชภ้ าษาถกู ตอ้ งตามหลกั ภาษาไทย
3.3 ใชภ้ าษาสนทนาท่ีสุภาพ ไม่เป็นภาษาเขียนหรอื ภาษาราชการ แต่ไม่ใชภ่ าษาตลาด
3.4 หลีกเล่ียงการใช้ภาษาสแลง สบถ คำหยาบ คำภาษาตา่ งประเทศโดยไมจ่ ำเปน็
ศพั ท์ทางวชิ าการทีไ่ มเ่ หมาะสมกบั ผฟู้ งั รวมท้งั คำท่ไี มส่ ุภาพจนเกนิ ไป เช่น ศรษี ะแมเ่ ท้า
แมวรับประทานปลา
3.5 ใชภ้ าษาให้เหมาะสมกับบุคคลและโอกาส
4. ทว่ งทแี ละอากปั กิรยิ าทเ่ี หมาะสม สามารถชว่ ยเสรมิ สร้างการพูดไดด้ ังนี้
4.1 ช่วยในการสื่อความหมายให้ผู้ฟงั เขา้ ใจความรู้สึกนกึ คิดของผพู้ ดู ได้ดียง่ิ ขึ้น
4.2 เรยี กร้องความสนใจจากผฟู้ งั
4.3 ชว่ ยผอ่ นคลายความเคร่งเครียดของผูพ้ ูด
4.4 ทำให้การพดู เปน็ จรงิ เป็นจงั มากขนึ้
5. การทรงตวั
5.1. ทา่ เดนิ เชน่ เดนิ ขนึ้ เวที เดินในขณะพูด เดินกลับมายงั ทเ่ี ดิม ตอ้ งเดนิ ตัวตรง
ไม่ชา้ ไมเ่ ร็วเกนิ ไป เมอ่ื ถึงทจ่ี ะพูดควรหยุดสกั ครู่ กวาดสายตาให้ทั่วกลมุ่ ผู้ฟงั แล้วจึงเร่มิ พดู
5.2. ทา่ ยนื เท้าท้ังคู่ควรชิดกันพองาม ให้นำ้ หนักตวั ลงทีเ่ ทา้ ท้ังสอง ไมย่ ืนเอียง
ไมเ่ ทา้ โต๊ะ ไมย่ ืนแอ่นหน้าแอน่ หลัง โคลงตวั ไปมา ไม่ยนื เหมอื นหนุ่ หรือยืนท่านางแบบ
6. การใช้มือประกอบการพดู
6.1 ใช้ให้ตรงความหมายที่พดู
6.2 ไม่ใชซ้ ำ้ ซาก
7. การใช้สายตา
7.1 ควรมองผู้ฟงั ใหท้ ัว่ ถึง อยา่ มองจุดเดียว
7.2 ถา้ กลมุ่ ผฟู้ งั กลุม่ ใหญ่ คอ่ ย ๆ กวาดสายตาไปยังผู้ฟังกลุ่มต่าง ๆ
7.3 ควรมองสบตาไมใ่ ชจ่ อ้ งหรือหลบตา
7.4 ไมม่ องขา้ มศีรษะผฟู้ ัง ไม่มองเพดาน พนื้ ห้อง หรอื มองออกไปนอกหอ้ งตลอดเวลา
8. การแสดงสหี นา้
8.1 แสดงสีหนา้ ใหส้ อดคลอ้ งตามเรื่องท่ีพดู แตไ่ ม่แสดงมากเกนิ ไปจนเหมือนเล่นละคร
8.2 ไม่ย้มิ หรือบ้งึ มากเกินไป
8.3 ไมย่ ักคว้ิ หล่วิ ตา กระพรบิ ตาจนบ่อยครั้ง
9. ปฏภิ าณไหวพรบิ ขณะท่ีพดู อย่อู าจมีปัญหาเฉพาะหน้าเกิดข้ึน ปญั หาท่ไี มค่ าดคดิ นี้
ผพู้ ูดจะตอ้ งใชป้ ฏิภาณไหวพรบิ เพ่อื แก้ไขปัญหาในการพดู ใหร้ าบรนื่ ดว้ ยดี
10. การลำดับหัวข้อเร่อื ง คือ รายละเอียดในการวางโครงเร่ือง เป็นการจัดสาระสำคญั
ของข้อความท้งั หมดให้สอดคล้องและเป็นระเบียบตอ่ เนอ่ื งกนั ไป ชว่ ยใหผ้ ูพ้ ดู และผู้ฟังไมส่ ับสน
11. การดำเนินเร่ืองตามความมงุ่ หมาย ผพู้ ูดควรคำนึกถงึ จุดมุ่งหมายทไ่ี ดว้ างไว้ เชน่
พูดเพ่อื ให้ความรู้ พูดเพื่อชักจูงใจ หรอื พดู เพือ่ ความบันเทงิ พยายามดำเนนิ เร่อื งสู่จุดมุ่งหมายนนั้ ๆ
หลกั การพูดทีด่ ี
1. กอ่ นพูดควรคดิ กอ่ นเสมอ ระมดั ระวงั คำพดู ทจี่ ะทำใหค้ นอ่นื ไมพ่ อใจ อย่าพดู พลอ่ ย ๆ โดยไม่
มีหลกั ฐาน
2. ควรใชค้ ำพูดท่ีสภุ าพเหมาะสมกบั กาลเทศะและบุคคล
3. ออกเสยี งสระ พยัญชนะ และตัวควบกลำ้ ให้ชัดเจน
4. ควรคำนึงถงึ หลักจิตวทิ ยาของการพดู เช่น
4.1 มใี บหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสในการพูด
4.2 มีคำยกย่องชมเชยคนฟงั ตามสมควร
4.3 ไมพ่ ดู ตำหนิ นินทาผอู้ ่นื ต่อหนา้ คนฟังมาก ๆ
4.4 ไมพ่ ดู ขดั คอคนอ่ืนในทำนองทะลกุ ลางปลอ้ ง
4.5 ไม่พูดถึงจดุ ออ่ นของคนฟงั บ่อย ๆ
4.6 ไม่ควรแสดงอารมณร์ นุ แรง
5.ไมค่ วรใชภ้ าษาที่ผดิ แบบแผนหรือภาษาท่ีใช้กันเฉพาะกลุ่ม
ใบความรู้
เรอ่ื ง การกล่าวอวยพร
การกลา่ วอวยพร เป็นการกลา่ วแสดงความยนิ ดีโดยแทจ้ ริง ซง่ึ การอวยพรมีหลายโอกาส เช่น
ในงานมงคลสมรส งานวนั เกดิ งานวนั ปีใหม่ข้ึนบา้ นใหม่ เปน็ ตน้ ตลอดจนการอวยพรของผ้ใู หญ่ ซ่งึ มัก
เรียกวา่ อำนวยพร (อำนวยอวยพร อวยชยั ให้พร ให้ศลี ให้พร) แก่ลกู หลาน ลกู ศษิ ย์ หรอื
ผ้ใู ตบ้ งั คับบญั ชา ฯลฯ
ข้อปฏิบัติโดยท่ัวไปในการพูดอวยพรมดี ังนี้
๑. พดู ด้วยทา่ ทีรา่ เรงิ เปน็ การแสดงความยนิ ดไี ปในตวั
๒. เร่มิ ตน้ ดว้ ยเสยี งค่อนขา้ งดงั เล็กน้อย เป็นการเรียกความสนใจเพราะงานชนดิ น้ี มักมี
เสียงรบกวนมาก ข้อความตอนต้นควรเปน็ ใจความงา่ ย ๆ ส้นั ๆ
๓. ควรดำเนินเรอื่ งให้เป็นไปตามความเหมาะสม เชน่ ถ้าเป็นงานวนั เกิด ควรกลา่ วถงึ
ความสำคัญในวันเกิด แล้วจงึ พูดถึงคณุ งามความดี และเกียรติคุณของเจา้ ภาพตามสมควร ถ้าเป็นการ
แต่งงาน ควรเร่มิ ด้วยการบอกกลา่ ว ถึงความสัมพันธ์ของท่านกบั ค่สู มรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือท้ังสองฝ่าย
ถ้าผ้พู ดู รูจ้ ักท้งั คู่ ถ้ามีประสบการณ์มากพอควรให้ขอ้ คิดในชวี ติ การสมรส แล้วกลา่ วแสดงความยนิ ดีท่ีท้งั
สองฝา่ ยได้สมรสกนั อันจะเป็นการกอ่ สร้างรากฐาน เป็นครอบครวั ทีด่ ีต่อไป
๔. ลงท้ายดว้ ยการกล่าวคำอวยพร ขอให้มีความสุขความเจริญก้าวหน้าสืบตอ่ ไปการพูด
อวยพรถือเป็นการพดู ในงานมงคล ไม่ควรจะให้มถี ้อยคำซึ่งไมน่ า่ ปรารถนา (ไมเ่ ป็นมงคล) ในคำกล่าว
เชน่ ในงานวันเกดิ ไม่ควรมคี ำว่า “ตาย” “แก”่ “เจ็บป่วย” ฯลฯ ในงานสมรสไม่ควรมีคำว่า “แต่งงาน
ใหม”่ ฯลฯ อยู่ดว้ ยจะดีมาก ไมค่ วรพูดยืดยาว ซำ้ ซาก ควรทกั ทายท่ีประชมุ ใหถ้ กู ต้องตามลำดับ
คำข้นึ ต้นควรให้เรา้ ความสนใจตอนจบใชถ้ อ้ ยคำ ให้ประทบั ใจ ในเรื่องจะกล่าวถึง การกลา่ วอวยพร
เฉพาะงานมงคลทใ่ี ชก้ นั อยู่เสมอ คือ
๑. การกล่าวอวยพรในงานมงคลสมรส การกล่าวในพธิ มี งคลสมรส จะใช้เวลาไมเ่ กิน
๑๐ นาที ปกติจะใชเ้ วลา ๕-๗ นาที นิยมพดู ปากเปล่า ซึ่งมหี ลกั การกล่าวที่ควรยดึ เปน็ แนวปฏบิ ตั ิ ดังน้ี
๑.๑ กล่าวคำปฏิสนั ถาร
๑.๒ กลา่ วถึงความรู้สึกวา่ เป็นเกียรติทไ่ี ด้ขึ้นมาอวยพร
๑.๓ ความสมั พันธ์ของผพู้ ดู กบั คู่บ่าวสาว
๑.๔ ใหค้ ำแนะนำในการดำเนินชีวิตและการครองรัก
๑.๕ อวยพรและเชิญชวนใหด้ ื่มอวยพร
๒. การกลา่ วอวยพรในวนั ขน้ึ ปีใหม่ การกล่าวคำอวยพรในวนั ข้ึนปใี หมม่ ักจะพดู ปาก
เปลา่ โดยมหี ลักทค่ี วรยดึ เปน็ แนวปฏบิ ตั ิในการกล่าวดงั นี้
๒.๑ กล่าวคำปฏิสนั ถาร
๒.๒ กลา่ วถงึ ชีวติ ในปีเก่าที่ผ่านมา
๒.๓ กล่าวถึงการเรม่ิ ตน้ ชีวติ ใหม่ในปีใหม่
๒.๔ อวยพร
๓. การกลา่ วอวยพรวันคล้ายวันเกดิ การกล่าวในพธิ ีดงั กล่าวนยิ มพดู ปากเปลา่ มีหลักการ
ทคี่ วรยดึ เป็นแนวการปฏบิ ัตใิ นการกล่าวดงั น้ี
๓.๑ คำปฏิสนั ถาร
๓.๒. กลา่ วรูส้ กึ เปน็ เกยี รตทิ ีม่ โี อกาสกลา่ วคำอวยพร
๓.๓ การสร้างคณุ งามความดี หรือพดู ถงึ ความสมั พนั ธ์ท่ีผู้พดู มีตอ่ ทา่ นผู้นนั้
๓.๔ การเป็นที่พ่ึงของบุตรหลาน
๓.๕ อวยพรใหม้ คี วามสุข
สรุป **การกลา่ วอวยพร เป็นการแสดงความยนิ ดใี นโอกาสต่าง ๆ เช่น งานวันเกดิ งานมงคล
สมรส งานขึ้นบา้ นใหม่ งานปีใหม่ งานฉลองการเลอ่ื นยศ มีหลักการพดู ดงั นี้
1. กล่าวแสดงความยินดที ไ่ี ดร้ บั เกียรติให้ข้ึนมากล่าวอวยพร
๒. กล่าวถงึ ความสมั พนั ธข์ องผ้พู ดู ตอ่ เจ้าภาพ
๓. กล่าวถึงคณุ ความดีและเกยี รติคุณหรือผลงานเดน่ ๆ ของเจ้าภาพ
๔. กลา่ วอวยพรขอใหเ้ จ้าภาพมอี ายยุ ืนยาวนานมคี วามสุขความเจริญกา้ วหนา้ ยงิ่ ๆ ข้ึนไป
ตัวอยา่ ง
“สวัสดคี ่ะ ทา่ นผู้มเี กียรติทุกท่าน ดฉิ ันรู้สึกยนิ ดีเป็นอย่างยิง่ ทีไ่ ด้รบั เกยี รตมิ ากล่าวอวยพร
คณุ ยาใจ แมว้ า่ คณุ ยาใจจะมีอายุครบ ๕๐ ปบี รบิ ูรณ์แล้ว แต่ความขยนั ของท่านมิไดล้ ดลง สุขภาพ
ของท่านก็ยงั แข็งแรงยงั สามารถทำงานรว่ มกบั ดิฉันไดอ้ กี นาน คณุ ยาใจเป็นคนที่ทำงานไดด้ ีมาก
มนุษยสัมพันธด์ ีเปน็ เลิศ ไมเ่ ลือกท่ีรักมักท่ชี ัง และในโอกาสนี้ดฉิ นั ขออาราธนาคณุ พระศรีรัตนตรัยและ
สง่ิ ศักดสิ์ ิทธ์ิทั้งหลาย จงปกปกั ค้มุ ครองให้คณุ ยาใจปราศจากโรคภยั ท้ังปวงมคี วามก้าวหนา้ ใน
การทำงาน มอี ายุยนื ยายตลอดไปเทอญ สวัสดคี ะ่ ”
การกล่าวตอบคำอวยพร มีวธิ กี ารพูดดงั น้ี
1. ขอบคุณผทู้ ม่ี าร่วมงานทกุ คนและซาบซง้ึ ท่ไี ดใ้ ห้เกียรติมาในงานครง้ั น้ี และขอบคุณผู้ที่มี
สว่ นร่วมในการจดั งาน
2. พูดแสดงความจรงิ ใจตอ่ คำอวยพรท่ไี ด้
3. กล่าวขอใหร้ ว่ มสนกุ ในงานต่อไป
ตวั อยา่ ง
“กระผมขอขอบพระคุณทุกทา่ นท่ีได้ให้เกียรตมิ าร่วมงานแสดงความยนิ ดกี ับกระผม
ในวันน้ี พรใดท่ีทา่ นมอบใหผ้ ม ผมขอน้อมรับไวแ้ ละขอสญั ญาว่า ผมจะทำตามคำแนะนำของทกุ ทา่ น
ด้วยครับ ถา้ มีส่งิ ใดท่ีบกพร่องในงานนี้ ผมขออภัยมา ณ ทนี่ ี้ดว้ ย สวัสดคี รบั ”
ใบงาน เร่อื ง กา
คำชี้แจง ให้นกั เรยี นอธบิ ายองค์ประกอบของการพดู ในโอกาสตา่ ง ๆ จงอธบิ าย
ารพูดในโอกาสต่าง ๆ ช่อื -สกลุ ........................................................ ชนั้ .......... เลขท่ี .........
ยพอสังเขป
ใบงาน เร่อื ง หลกั
คำชี้แจง ให้นกั เรียนอธิบายหลักการพูดที่ดี จงอธบิ ายมาพอสงั เขป
กการพูดในโอกาสต่าง ๆ
ช่อื -สกลุ ........................................................................... ชน้ั .......... เลขท่ี ..............
ใบงาน
เรือ่ ง การกลา่ วอวยพร
คำชแี้ จง ให้นักเรียนเขยี นคำกล่าวอวยพรในโอกาสทีก่ ำหนดให้ถกู ตอ้ ง
การกล่าวคำอวยพรในโอกาสวันคล้ายวันเกิด
(อวยพรผ้ใู หญ)่
ช่ือ-สกุล ........................................................................... ชนั้ .......... เลขท่ี ..............
แผนการจดั การเรยี นรู้
หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ ๕ เร่อื ง การวเิ คราะหเ์ นอื้ หาจากศิลาจารกึ หลกั ที่ ๑
รหสั ท ๒๒๑๐๑ ช่อื รายวิชา ภาษาไทย กล่มุ สาระการเรียนรู้
ภาษาไทย
ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๒ ภาคเรยี นที่ 1 เวลา ๒
ชว่ั โมง
มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลอื กฟงั และดูอยา่ งมวี ิจารณญาณ และพดู แสดงความรู้ ความคิด
และความรสู้ กึ ในโอกาสต่าง ๆ อย่างมวี ิจารณญาณและสรา้ งสรรค์
ตัวชีว้ ัด
ท ๓.๑ ม.๒/๓ วเิ คราะห์และวจิ ารณเ์ รอ่ื งท่ฟี งั และดูอยา่ งมีเหตุผล เพอื่ นำขอ้ คดิ มา
ประยุกต์ใชใ้ นการดำเนินชีวติ
สาระสำคัญ / ความคิดรวบยอด
ช่วั โมงที่ ๑
ศลิ าจารึกหลักท่ี ๑ เป็นวรรณคดีทมี่ ีคุณค่าและมีความงามด้านภาษา เพราะตัวอักษร อักขรวธิ ี
คำศพั ท์ท่ีใช้ และการเรยี งรอ้ ยความน้ันมีความวิจิตรบรรจง ความละเมียดละไม ความไพเราะ ซึง่ แสดง
อจั ฉรยิ ภาพด้านภาษาของพอ่ ขนุ รามคำแหงได้เป็นอยา่ งดี
ชั่วโมงที่ ๒
การวเิ คราะห์เนอ้ื หา คอื การวิเคราะหว์ ่าเนือ้ หาน้ันมีความถูกต้อง น่าเช่ือถือเพยี งใด เน้ือหามี
รายละเอยี ดครบถว้ น ชัดเจนหรือไม่ รวมทงั้ ตอ้ งมีความสมเหตสุ มผล เหมาะสมกบั ยุคสมัย ไมข่ ดั ต่อ
วฒั นธรรมและความม่นั คงของชาตจิ นนำไปสูค่ วามขัดแย้งหรอื พฤตกิ รรมทีไ่ ม่พึงประสงค์ กลา่ วคอื การ
นำเนอเน้ือหาทดี่ ตี อ้ งสง่ เสริมจรยิ ธรรมทส่ี ามารถนำไปใชใ้ ห้เกดิ ประโยชนใ์ นชวี ิตประจำวันได้
สาระการเรียนรู/้ เนือ้ หาย่อย
ชั่วโมงที่ ๑
ความรู้ (K)
นักเรยี นมีความรู้ความเขา้ ใจในเนื้อเร่อื งของศลิ าจารึก
ทกั ษะ/กระบวนการ (P)
นักเรยี นสามารถบอกเนอ้ื เรอ่ื งของศิลาจารกึ ไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง
คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)
นกั เรียนนำความรูเ้ กี่ยวกบั ศลิ าจารึกไปเป็นพน้ื ฐานในการเขียนงานประเภทตา่ ง ๆ
ชัว่ โมงท่ี ๒
ความรู้ (K)
นกั เรยี นมคี วามรูค้ วามเขา้ ใจในเน้อื เรือ่ งการวิเคราะห์เนื้อหาจากศิลาจารึก
ทกั ษะ/กระบวนการ (P)
นกั เรียนสามารถบอกการวิเคราะหเ์ นื้อหาจากศิลาจารกึ ไดอ้ ย่างถกู ต้อง
คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A)
นักเรียนนำความรเู้ ก่ยี วกบั การวิเคราะห์ศิลาจารึกไปเปน็ พน้ื ฐานในการเขยี นงานประเภท
ต่าง ๆ ได้
จุดเน้นสู่การพฒั นาคณุ ภาพผูเ้ รยี น
ทักษะในศตวรรษที่ 21 ( 3R8C )
Reading (อา่ นออก)
(W) Riting (เขยี นได้)
(A) Rithemetics (คิดเลขเปน็ )
ทกั ษะดา้ นการคิดอย่างมวี ิจารณญาณและทกั ษะในการแกไ้ ขปญั หา (Critical
Thinking and Problem Solving)
ทักษะดา้ นการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation)
ทกั ษะด้านความเข้าใจความต่างวฒั นธรรม ตา่ งกระบวนทัศน์ (Cross-cultural
Understanding)
ทกั ษะด้านความรว่ มมอื การทำงานเป็นทมี และภาวะผู้นำ (Collaboration,
Teamwork and Leadership)
ทกั ษะดา้ นการส่ือสาร สารสนเทศและรู้เท่าทันสือ่ (Communications, Information,
and Media Literacy)
ทกั ษะด้านคอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สาร (Computing and
ICT Literacy)
ทกั ษะอาชพี และทกั ษะการเรยี นรู้ (Career and Learning)
ทกั ษะการเปลีย่ นแปลง (Change)
การประเมนิ ผลรวบยอด
ชิ้นงานหรือภาระงาน
ใบงาน เร่อื ง การวเิ คราะหเ์ นือ้ หาจากศิลาจารกึ
กิจกรรมการเรยี นรู้
ช่ัวโมงท่ี ๑
ขน้ั นำ
ครกู ล่าวทกั ทายนกั เรยี น พร้อมทั้งตัง้ คำถามเก่ยี วกบั ศลิ าจารึก และตัวหนงั สอื ลายสือไทย
เพอื่ วดั ความรพู้ ้ืนฐานของนักเรยี น
ข้นั สอน
๑. ครูแจกใบความรู้ เรอื่ ง การวิเคราะหค์ ุณคา่ พรอ้ มกบั สอนเกยี่ วเน้อื หาของศิลาจารกึ
หลกั ท่ี ๑ ด้านความเป็นมา ทม่ี า เนื้อเรอ่ื ง (K) พรอ้ มท้ังสอดแทรกคำถาม (P) เพือ่ ใหน้ ักเรยี นมีความรู้
ความเขา้ ใจ
๒. ครูและนกั เรียนร่วมกันสรปุ เนื้อหาเรอื่ ง ศลิ าจารกึ หลักท่ี ๑ จากน้นั ครูใหน้ กั เรียนแตล่ ะ
คนรว่ มกนั แสดงความคิดเห็นเก่ียวกับเร่อื ง ศิลาจารกึ หลกั ที่ ๑
ขน้ั สรุป
ครใู หน้ กั เรียนแตล่ ะกล่มุ ชว่ ยกันค้นคว้าขอ้ มูลเพ่ิมเตมิ เกีย่ วกับศิลาจารึกหลักที่ ๑
จากแหล่งขอ้ มูลท่ีมากกว่า ๑ แหลง่ อาทิ หนงั สือค้นควา้ เพมิ่ เตมิ แหลง่ ข้อมูลสารสนเทศ จากนนั้ ให้แต่
ละกลมุ่ นำประเด็นทีไ่ ดค้ ้นควา้ มารวบรวม ทำเปน็ การบ้าน พรอ้ มอภปิ รายทห่ี น้าชั้นเรยี นในชวั่ โมงถัดไป
ชวั่ โมงท่ี ๒
ข้ันนำ
ครูให้นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ ออกมาอภิปรายผลการค้นควา้ ท่หี นา้ ชั้นเรียน โดยนกั เรยี นแต่ละ
คนควรจดบันทกึ เร่ืองท่เี พื่อนออกมานำเสนอในสมุดบันทึก เมือ่ นักเรียนแต่ละกลุ่มอภิปรายจบ
ครแู ละนักเรยี นกลมุ่ อืน่ รว่ มกนั วเิ คราะหแ์ ละแสดงความคดิ เหน็ เพิ่มเตมิ และสรุปเรื่องท่ีแต่ละกล่มุ
อภิปราย จากน้ันครใู หน้ ักเรยี นส่งสมุดท่ีจดบันทึกให้ครตู รวจ เพื่อใหค้ ะแนน เปน็ รายบุคคล
ขน้ั สอน
๑. ครูแจกใบงาน เรื่อง การวิเคราะห์เนือ้ หาศลิ าจารกึ ซ่ึงเปน็ ใบงานรายบคุ คล ครูอธิบาย
คำช้ีแจงใหน้ ักเรยี นเข้าใจในช้นิ งาน
ขัน้ สรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรปุ เนื้อหาความรู้ และคุณคา่ ของเรื่อง ศิลาจารึกหลักที่ ๑ พร้อม
ทง้ั อธิบายเพม่ิ เตมิ สำหรบั นกั เรียนท่ไี ม่เข้าใจ
การวัดผลประเมนิ ผล เครื่องมอื เกณฑ์
วธิ ีการ
ผ่านเกณฑ์การประเมิน
ประเมินใบงาน เรื่อง การวเิ คราะห์เนื้อหา ใบงาน เร่อื ง การวิเคราะห์ ร้อยละ ๕๐
เนอ้ื หาจากศิลาจารกึ
จากศลิ าจารกึ ใช้วิธีวัดผลจากการทำใบงานของ
นกั เรยี นแต่ละคน โดยมปี ระเด็นในการวัดผล
ได้แก่ ความรูค้ วามเข้าใจเกีย่ วกับศลิ าจารกึ หลกั
วิธกี าร เครื่องมือ เกณฑ์
ท่ี ๑ เขยี นตอบคำถามเก่ยี วกบั ศิลาจารกึ หลกั ท่ี ๑
ความสวยงามของตวั หนงั สอื ความเป็นระเบยี บ
เรียบรอ้ ย และความสะอาดเรยี บร้อย (ประเดน็
ของแตล่ ะคน) จากนนั้ นำผลการประเมนิ มาเปน็
ขอ้ มูลในการปรับปรงุ และพฒั นานักเรียน และ
การจดั การเรียนการสอนของครใู นคร้ังตอ่ ๆ ไป
สอ่ื การเรียนรู้
๑. ใบความรู้ เร่อื ง การวเิ คราะห์เนอ้ื หา
๒. ใบงาน เร่ือง การวเิ คราะหเ์ นือ้ หาจากศลิ าจารึก
ขอ้ เสนอแนะของหัวหน้าสถานศกึ ษาหรอื ผูท้ ่ไี ดร้ บั มอบหมาย (ตรวจสอบ,นเิ ทศก์,เสนอแนะ,รบั รอง)
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
ลงชอื่ ................................................................
(นายสนอง ศรีธรรมา)
วนั ท่ี.........../...................../...........
บันทึกผลหลังการจดั การเรยี นรู้
๑. ผลการจดั การเรยี นรู้
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๒. ปญั หาและอุปสรรค
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๓. แนวทางการแกไ้ ขปญั หา
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๔. ข้อเสนอแนะ
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
ลงช่อื .................................................
(นายฤทธิเดช สกุลซ้ง)
วันท.่ี ............./......................./...............
เกณฑ์การประเมินใบงาน เรอื่ ง การวเิ คราะห์เนือ้ หาจากศลิ าจารกึ
รายการประเมิน ระดบั คะแนน
๒ คะแนน ๑ คะแนน
ความร้คู วามเขา้ ใจเกยี่ วกบั มีความร้คู วามเข้าใจเกี่ยวกบั มีความร้คู วามเขา้ ใจเกี่ยวกับ
ศิลาจารึกหลกั ท่ี ๑ ศลิ าจารึกหลกั ท่ี ๑ ศลิ าจารกึ หลกั ที่ ๑ เล็กนอ้ ย
เขยี นตอบคำถามเกีย่ วกับ สามารถเขยี นตอบคำถาม สามารถเขยี นตอบคำถาม
ศิลาจารกึ หลกั ที่ ๑ เก่ยี วกับศลิ าจารึกหลักที่ ๑ เก่ียวกบั ศลิ าจารึกหลกั ที่ ๑
ถกู ต้อง
ได้
ความสวยงามของตัวหนังสือ ตัวหนังสอื มคี วามสวยงาม ตวั หนังสือไม่ค่อยสวยงาม
เรียบร้อย เรยี บรอ้ ย
ความเปน็ ระเบยี บเรยี บรอ้ ย มคี วามเป็นระเบียบเรยี บร้อย ไมค่ อ่ ยมีความเป็นระเบยี บ
เรยี บรอ้ ย
ความสะอาดเรยี บรอ้ ย มคี วามสะอาดเรยี บร้อยดมี าก มีความสะอาดเรยี บร้อย
หมายเหตุ : เกณฑ์การทำใบงาน ต้องได้คะแนนรอ้ ยละ ๕๐ คอื ๕ คะแนนข้ึนไป จากคะแนนเตม็ ๑๐
จงึ จะถือว่าผ่านเกณฑ์
เกณฑก์ ารประเมนิ เกณฑ์การตัดสินระดบั คณุ ภาพ ผลการประเมิน
๙-๑๐ คะแนน ดมี าก ผา่ น
๗-๘ คะแนน ดี ผ่าน
๕-๖ คะแนน ปานกลาง ผา่ น
๓-๔ คะแนน พอใช้ ไมผ่ ่าน
๐-๒ คะแนน ปรบั ปรงุ ไมผ่ ่าน
แบบประเมนิ ใบงาน เรือ่ ง การวเิ คราะห์เนอื้ หาจากศลิ าจารกึ
ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี ๒
รายการประเมนิ
ชอื่ -สกลุ ความ ู้รความเ ้ขาใจเ ่ีกยว ักบ รวม สรปุ ผล
ิศลาจา ึรกหลักที่ ๑
เ ีขยนตอบคำถามเ ่ีกยว ักบ
ความศิสลวายจงาา ึรมกขหอลังก ัตที่วห๑นังสือ
ความเป็นระเบียบเ ีรยบ ้รอย
ความสะอาดเ ีรยบ ้รอย
๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๑๐ ผ่าน ไม่ผ่าน
ด.ช.สมพงษ์ กงสะกาง
ด.ช.ทรงศักดิ์ เรอื งกรไกร
ด.ช.พนิต ระแสน
ด.ช.ฤทธิกร ใบแสน
ด.ช.อนุเทพ ใยปางแก้ว
ด.ญ.ดนุนนั ท์ วระโงน
ด.ญ.จันทรจ์ ิรา สขุ ลว้ น
ด.ญ.กัญญาลกั ษณ์ นอ้ ยเวยี ง
ด.ญ.เบญจวรรณ นารีแพงศรี
ด.ญ.ตะวันฟ้า พูลเพมิ่
ด.ญ.ขวัญฤดี คำเมือง
ด.ช.รชั ชานนท์ พลาดอินทร์
ด.ช.วชระ วางศรี
ใบความรู้ เร่อื ง การวเิ คราะหเ์ นอื้ หา
การวิเคราะหเ์ นอื้ หา คือ การวเิ คราะหว์ า่ เน้อื หานั้นมคี วามถูกตอ้ ง น่าเชือ่ ถือ
เพียงใด เน้อื หามรี ายละเอยี ดครบถว้ น ชดั เจนหรือไม่ รวมทั้งต้องมคี วามสมเหตุสมผล
เหมาะสมกบั ยุคสมยั ไมข่ ัดตอ่ วัฒนธรรมและความมนั่ คงของชาติจนนำไปสูค่ วาม
ขดั แยง้ หรอื พฤตกิ รรมทไ่ี ม่พงึ ประสงค์ กล่าวคอื การนำเนอเนื้อหาท่ีดตี อ้ งสง่ เสริม
จริยธรรมทสี่ ามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชนใ์ นชวี ิตประจำวันได้
การใช้ภาษา ควรพจิ ารณาประเดน็ ต่อไปน้ี
๑. การใช้คำต้องเขยี นสะกดคำให้ถูกตอ้ วมคี วามหมายเหมาะสมกบั เรื่อง ถา้ เป็นบทรอ้ ยกรองควร
พิจารณาเร่อื ง การสัมผัสนอก สมั ผสั ใน วา่ มีความถกู ต้องตามลักษณะคำประพันธ์หรอื ไม่ นอกจากนี้
ควรพจิ ารณาดา้ นความงามทางวรรณศิลป์ว่าในบทร้อยกรองนนั้ ใชค้ ำที่ทำใหเ้ หน็ ภาพเพยี งใด
๒. การเรยี บเรยี งประโยคหรือข้อความเข้าใจง่าย สอื่ ความหมายชัดเจน เรียงลำดับเนอ้ื หาไม่สับสน
๓. การใชค้ ำศพั ท์ทางวชิ าการ
๔. การใชส้ ำนวนโวหาร ตอ้ งสอดคลอ้ งกบั รูปแบบการนำเสนอและเน้อื หา เชน่ พรรณนาโวหาร
เหมาะสำหรบั การเขยี นนวนิยาย หรอื บทความท่องเทยี่ วทีม่ ุ่งเนน้ ใหผ้ อู้ า่ นสะเทือนอารมณ์ เกิดความ
ประทับใจ บรรยายโวหารเหมาะสำหรบั งานเขียนสรคดี
ใบงาน เร่อื ง การวิเคราะห์เนือ้ หาจากศลิ าจารกึ
คำชี้แจง ให้นกั เรียนตอบคำถามต่อไปนี้
๑. นักเรียนมีความคดิ เห็นเกย่ี วกบั ศิลาจารึกหลักที่ ๑ อยา่ งไร จงอธบิ ายและยกเหตุผลประกอบ
เรยี นเร่อื ง ศลิ าจารึกหลักท่ี ๑ ทำให้นกั เรยี นเขา้ ใจสงั คมไทยในอดีตมากนอ้ ยเพียงใด จงอธบิ าย
พรอ้ มยกเหตผุ ลประกอบ
๓. ศิลาจารึกหลกั ที่ ๑ แสดงถึงความเจรญิ ร่งุ เรอื งทางวัฒนธรรมหรอื ไม่ อยา่ งไร พร้อมยกตัวอย่าง
ประกอบ
ใหช้ ัดเจน
๔. นักเรียนสามารถนำความรู้และข้อคิดทีไ่ ดจ้ ากการเรียนศิลาจารึกหลักที่ ๑ มาประยกุ ต์ใช้ใน
ชวี ติ ประจำวัน
ได้หรอื ไม่ อยา่ งไร
ชอ่ื -สกุล ....................................................................................................... ชัน้ ................... เลขที่
แผนการจดั การเรยี นรู้
หน่วยการเรียนรู้ที่ ๓ เรอ่ื ง การสรา้ งคำในภาษาไทย คำสมาส
รหสั ท ๒๒๑๐๑ รายวชิ า ภาษาไทย กลุม่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย
ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ ๒ ภาคเรียนท่ี ๑ เวลา ๓ ชั่วโมง
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและ
พลงั ของภาษา ภมู ปิ ัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไวเ้ ป็นสมบัตขิ องชาติ
ตวั ชี้วัด
ท ๔.๑ ม.๒/๑ สรา้ งคำในภาษาไทย
สาระสำคญั / ความคิดรวบยอด
ช่ัวโมงที่ ๑
คำสมาส คอื คำบาลีหรือคำสนั สกฤตตั้งแต่ ๒ คำข้ึนไปมารวมกัน นออกเสยี งต่อเนอื่ งกนั และ
แปลจากขา้ งหลงั ไปข้างหน้าเสมอ
ชว่ั โมงท่ี ๒
หลักการคำสมาส คือ เกิดจากคำมลู ต้ังแตส่ องคำขึ้นไป เปน็ คำทีม่ ีรากศพั ทม์ าจากภาษาบาลี
และสันสกฤตเท่านนั้ พยางคส์ ดุ ท้ายของคำหน้า หากมสี ระ อะ หรือมตี วั การันต์อยู่ ให้ยบุ ตวั น้ันออก
(ยกเวน้ คำบางคำ) ส่วนมากออกเสียงพยางค์ท้ายของคำหน้า แมจ้ ะไมม่ ีรูปสระกำกบั อยู่ โดยจะใช้เสียง
อะ อิ และ อุ คำบาลีสันสกฤตทมี่ ีคำวา่ พระ ซง่ึ กลายเสียงมาจากบาลีสนั สกฤต ก็ถอื ว่าเปน็ คำสมาส
ส่วนใหญจ่ ะลงท้ายวา่ ศาสตร์ กรรม ภาพ ภยั ศกึ ษา ศิลป์ วิทยา
ช่วั โมงที่ ๓
ประโยชน์ของคำสมาส คือ คำสมาสเปน็ การสรา้ งคำใหไ้ ดค้ ำเพม่ิ มากขึ้นจากเดมิ และได้คำ
ใหมใ่ นภาษาไทยเพอื่ รองรับวทิ ยาการและองคค์ วามรู้ตา่ ง ๆ โดยไดถ้ อ้ ยคำทไี่ พเราะสละสลวยขน้ึ และ
เป็นประโยชน์ในการแตง่ คำประพันธ์ เมือ่ ตอ้ งการให้คำตรงตามลักษณะบงั คำของคำประพนั ธ์ชนดิ นน้ั ๆ
สาระการเรยี นรู้/เน้ือหายอ่ ย
ชว่ั โมงท่ี ๑
ความรู้ (K)
นักเรียนมคี วามรู้ความเข้าใจในเรื่องความหมายของคำสมาส
ทักษะ/กระบวนการอ่าน (P)
นกั เรยี นสามารถบอกความหมายของคำสมาสได้อยา่ งถกู ตอ้ ง
คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ (A)
นกั เรยี นนำความรู้เกีย่ วกับความหมายของคำสมาส ไปใช้เป็นแนวทางในการอา่ นคำสมาส
ได้
ชัว่ โมงที่ ๒
ความรู้ (K)
นกั เรียนมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจในเรื่องหลกั การของคำสมาส
ทักษะ/กระบวนการอา่ น (P)
นักเรยี นสามารถบอกหลกั การของคำสมาสได้อย่างถกู ต้อง
คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A)
นักเรียนนำความรู้เก่ยี วกบั ความหมายของคำสมาส ไปใช้เปน็ แนวทางในการอ่านคำสมาส
ได้
ชั่วโมงที่ ๓
ความรู้ (K)
นักเรียนมีความรูค้ วามเข้าใจในเรอื่ งประโยชน์ของคำสมาส
ทกั ษะ/กระบวนการอา่ น (P)
นกั เรียนสามารถบอกประโยชน์ของคำสมาสได้อย่างถกู ต้อง
คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ (A)
นกั เรยี นนำความรู้เกย่ี วกับความหมายของคำสมาส ไปใช้เป็นแนวทางในการอา่ นคำสมาส
ได้
จุดเน้นสู่การพฒั นาคุณภาพผู้เรยี น
ทักษะในศตวรรษท่ี 21 ( 3R8C )
Reading (อา่ นออก)
(W) Riting (เขียนได)้
(A) Rithemetics (คิดเลขเปน็ )
ทักษะดา้ นการคดิ อย่างมีวิจารณญาณและทักษะในการแก้ไขปัญหา (Critical
Thinking and Problem Solving)
ทักษะดา้ นการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation)
ทักษะดา้ นความเข้าใจความต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทศั น์ (Cross-cultural
Understanding)
ทกั ษะด้านความร่วมมอื การทำงานเป็นทมี และภาวะผนู้ ำ (Collaboration,
Teamwork and Leadership)
ทักษะดา้ นการส่อื สาร สารสนเทศและรเู้ ท่าทนั สื่อ (Communications,
Information, and Media Literacy)
ทกั ษะดา้ นคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Computing
and ICT Literacy)
ทกั ษะอาชพี และทักษะการเรียนรู้ (Career and Learning)
ทักษะการเปล่ยี นแปลง (Change)
การประเมินผลรวบยอด
ชน้ิ งานหรอื ภาระงาน
๑. ใบงาน เร่อื ง ความหมายและการอา่ นคำสมาส
๒. ใบงาน เรื่อง การสร้างสมาส
๓. ใบงาน เรอ่ื ง สมาสน่ารู้
กจิ กรรมการเรยี นรู้
ชัว่ โมงที่ ๑
ขั้นนำ
ครกู ล่าวทักทายนกั เรียน จากนนั้ ครูใหน้ ักเรียนรอ้ งเพลงเรงิ คำสมาส ซึ่งเปน็ เพลงทม่ี ี
หลกั การการสังเกตคำสมาส เม่อื นกั เรยี นรอ้ งเพลงเสร็จสิ้น จากนนั้ ครูโยงเนือ้ หาเขา้ สบู่ ทเรยี น (K, P)
ตัวอยา่ ง
เรยี นรมู้ าเน่นิ นานไม่เขา้ ใจ กบั คำสมาสที่เคยไดเ้ รียนมา วันน้เี ราตอ้ งฟงั ฟงั เพลงนี้ให้
มันเขา้ ใจ สมาสคือคำบาลสี นั สกฤต สองคำรวมกนั ให้เกดิ เปน็ คำใหม่ ความหมายนัน้ เปลยี่ นไป ลกั ษณะ
นน้ั มดี ังนี้
**ออกเสียง อะ ตรงกลางน้นั จำใหด้ ี เยาวชน โจรภยั ตัวอยา่ ง แปลจากหลงั มาหนา้ น้นั
คอื ความหมาย ทเี่ ราตอ้ งท่อง...จำ วรรณคดี และ ราชการ ตวั อย่างเอาไว้ให้จำเป็นความรู้ ตรงกลางน้ัน
จะไมม่ ี ทณั ฑฆาตและวสิ รรชนยี ์ ตวั อยา่ ง ธุรการ อิสรภาพ และมี สนุ ทรพจน์ คหกรรม พนั ธกุ รรม ใหจ้ ำ
ภูมศิ าสตร์ อุบัตเิ หตุ **ออกเสยี ง อะ ตรงกลางนนั้ จำใหด้ ี เยาวชน โจรภัย ตัวอยา่ ง แปลจากหลังมา
หนา้ นั้นคอื ความหมาย ท่ีเราต้องท่อง...จำ และทท่ี ี่เราตอ้ งยำ้ นน้ั คอื ตรงกลาง ทณั ฑฆาต วิสรรชนีย์ ไมม่ ี
ตราบใดที่มีเพลงน้ี ไวฟ้ งั ทกุ วัน จะทำให้เราได้เขา้ ใจ
ขัน้ สอน
๑. ครแู จกใบความรู้ เรอ่ื ง การสร้างคำในภาษาไทย คำสมาส พร้อมกบั ใหค้ วามรู้เกยี่ วกับ
ความหมาย ลกั ษณะของคำสมาส การพิจารณาคำสมาส (K) ประกอบกับยกตัวอยา่ ง พรอ้ มท้ัง
สอดแทรกคำถาม เพ่ือให้นักเรียนมคี วามกระตอื รอื รน้ (P)
๒. ครแู จกใบงาน เรอื่ ง ความหมายและการอ่านคำสมาส ซ่ึงเปน็ ใบงานรายบุคคล จากนน้ั
ครอู ธบิ ายคำชีแ้ จงให้นกั เรยี นเขา้ ใจในชิน้ งาน (K, P)
๓. ครูและนักเรยี นรว่ มกันเฉลยใบงาน เรอ่ื ง ความหมายและการอ่านคำสมาส จากนนั้ ครู
คำแนะนำเพมิ่ เตมิ เกยี่ วกบั การอา่ นเพ่ือเกิดความเข้าใจเพมิ่ มากขึน้
ข้นั สรปุ
ครแู ละนกั เรยี นร่วมกันสรปุ กจิ กรรม เรื่อง ความหมายและการอ่านคำสมาส ซ่ึงเป็นใบงาน
ท่ีให้นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ ได้รว่ มกันอ่านคำสมาสได้อย่างถกู ต้อง สำหรับใบงาน เรื่อง ความหมายและการ
อ่านคำสมาส เปน็ ใบงานทีใ่ หน้ ักเรยี นไดน้ ำเอาความรแู้ ละใช้ความคดิ ในการทำใบงาน สะทอ้ นใหเ้ ห็นวา่
นักเรยี นมีความเขา้ ใจในเนื้อหาเกยี่ วกับการอา่ นจับใจความสำคัญเปน็ อย่างดี สามารถนำความรไู้ ปเปน็
แนวทางในการอา่ นคำสมาส ได้ (K, P, A)
ชัว่ โมงที่ ๒
ขั้นนำ
ครูกลา่ วทักทายนกั เรียนและสนทนาซกั ถามรว่ มกันในประเดน็ คำสมาส จากนั้นให้นักเรยี น
ร้องเพลงเรงิ คำสมาส เม่อื นักเรยี นร้องเพลงเสรจ็ ส้ิน จากนั้นครูโยงเนอื้ หาเข้าสู่บทเรยี น (K, P)
ขัน้ สอน
๑. ครทู บทวน เรือ่ ง การสร้างคำในภาษาไทย คำสมาส พร้อมกบั ให้ความรูเ้ กีย่ วกับ
ความหมาย และใหค้ วามรเู้ กี่ยวกบั ความหมาย ลักษณะของคำสมาส การพิจารณาคำสมาส และ
หลักการของคำสมาส (K) ประกอบกบั ยกตวั อยา่ ง พรอ้ มทงั้ สอดแทรกคำถาม เพ่ือให้นกั เรียนมคี วาม
กระตือรอื รน้ (P)
๒. ครแู จกใบงาน เรื่อง การสรา้ งคำสมาส ซงึ่ เปน็ ใบงานรายบุคคล จากนน้ั ครูอธบิ ายคำ
ช้แี จงให้นักเรียนเขา้ ใจในชิ้นงาน (K, P)
๓. ครูและนักเรียนรว่ มกนั เฉลยใบงาน เรื่อง การสร้างคำสมาส จากนั้นครคู ำแนะนำ
เพมิ่ เตมิ เก่ียวกับการอ่านเพ่อื เกิดความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น
ขัน้ สรปุ
ครูและนักเรียนร่วมกันสรปุ กิจกรรม เรอ่ื ง การสรา้ งคำสมาส ซ่ึงเปน็ ใบกิจกรรมที่ให้
นกั เรยี นแต่ละกลุ่มได้รว่ มกันอา่ นคำสมาสไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง สำหรบั ใบงาน เรื่อง การสร้างคำสมาส
เป็นใบงานท่ีให้นักเรยี นไดน้ ำเอาความรแู้ ละใช้ความคดิ ในการทำใบกจิ กรรม สะทอ้ นให้เห็นวา่ นักเรียน
มีความเขา้ ใจในเนือ้ หาเก่ยี วกับการสรา้ งคำสมาสเปน็ อย่างดี สามารถนำความรูไ้ ปเป็นแนวทาง
ในการอา่ นคำสมาสได้ (K, P, A)
ชั่วโมงท่ี ๓
ขน้ั นำ
ครูกลา่ วทักทายนักเรยี นและสนทนาซกั ถามร่วมกันในประเด็นคำสมาส จากนั้นให้
นักเรียนรอ้ งเพลงเริงคำสมาส เมือ่ นกั เรยี นรอ้ งเพลงเสรจ็ สิน้ จากน้นั ครโู ยงเนือ้ หาเขา้ ส่บู ทเรยี น (K, P)
ข้นั สอน
๑. ครแู จกใบความรู้ เรอื่ ง การสร้างคำในภาษาไทย คำสมาส พร้อมกบั ใหค้ วามรู้
เกีย่ วกบั ความหมาย และใหค้ วามรู้เก่ยี วกบั ความหมาย หลกั การ ลักษณะ การพจิ ารณาของคำสมาส
และประโยชนข์ องคำสมาส (K) ประกอบกบั ยกตวั อย่าง พร้อมทั้งสอดแทรกคำถาม เพอื่ ให้นกั เรียน
มคี วามกระตอื รือร้น (P)
๒. ครแู จกใบงาน เรอ่ื ง สมาสนา่ รู้ ซ่ึงเป็นใบงานรายบคุ คล จากน้ันครอู ธิบายคำช้ีแจง
ให้นกั เรยี นเข้าใจในชนิ้ งาน (K, P)
๓. ครแู ละนกั เรียนร่วมกนั เฉลยใบงาน เร่อื ง สมาสน่ารู้ จากนนั้ ครูคำแนะนำเพ่ิมเติม
เก่ียวกบั การอา่ นเพอื่ เกดิ ความเข้าใจเพิ่มมากขึน้
ข้ันสรุป
ครแู ละนักเรยี นรว่ มกันสรุปกิจกรรม เร่อื ง สมาสนา่ รู้ ซงึ่ เป็นใบกิจกรรมทใ่ี ห้นักเรยี น
แตล่ ะกล่มุ ไดร้ ว่ มกนั อา่ นคำสมาสไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง สำหรบั ใบงาน เร่อื ง สมาสนา่ รู้ เป็นใบงานท่ใี หน้ กั เรียน
ไดน้ ำเอาความรแู้ ละใช้ความคิดในการทำใบกจิ กรรม สะท้อนใหเ้ ห็นว่านกั เรียนมคี วามเข้าใจในเนอ้ื หา
เกย่ี วกบั คำสมาสเปน็ อย่างดี และสามารถนำความรูไ้ ปเป็นแนวทางในการอ่านคำสมาส ได้ (K, P, A)
การวดั ผลประเมนิ ผล
ช่ัวโมงท่ี 1
วธิ กี าร เครือ่ งมือ เกณฑก์ ารประเมิน
ผา่ นเกณฑ์การประเมนิ
ประเมนิ ใบงานเร่อื ง ความหมายและการอา่ นคำสมาส ใช้วิธี ใบงานเร่อื ง ความหมาย ร้อยละ ๕๐
วัดผล จากการทำใบงานของนกั เรียนแต่ละคน โดยมี และการอ่านคำสมาส เกณฑ์การประเมนิ
ผา่ นเกณฑ์การประเมนิ
ประเดน็ ในการวดั ผล ได้แก่ ความร้คู วามเข้าใจเรอ่ื ง ร้อยละ ๕๐
ความหมายและการอ่านคำสมาส สามารถอ่านคำสมาสได้ เกณฑ์การประเมิน
ผา่ นเกณฑก์ ารประเมิน
ตรงประเด็น การใช้ภาษา ความสะอาดเรยี บร้อย(ประเดน็ รอ้ ยละ ๕๐
ของแต่ละคน) จากนนั้ นำผลการประเมินมาเป็นข้อมูลใน
การปรบั ปรุงและพฒั นานักเรยี น และการจัดการเรียนการ
สอนของครใู นคร้งั ตอ่ ๆ ไป
ชว่ั โมงท่ี ๒
วธิ ีการ เคร่อื งมือ
ประเมนิ ใบงานเรอื่ ง การสร้างคำสมาส ใชว้ ิธีวดั ผลจากการ ใบงานเร่ือง การสร้าง
ทำใบงานของนักเรียนแต่ละคน โดยมปี ระเด็นในการวัดผล คำสมาส
ได้แก่ ความรู้ความเข้าใจเรอื่ งการสรา้ งคำสมาส
สามารถสร้างคำสมาสได้ ตรงประเด็น การใช้ภาษา
ความสะอาดเรียบรอ้ ย (ประเดน็ ของแตล่ ะคน) จากนั้นนำ
ผลการประเมนิ มาเป็นข้อมูลในการปรบั ปรงุ และพฒั นา
นักเรยี น และการจดั การเรยี นการสอนของครูในคร้งั
ต่อ ๆ ไป
ช่วั โมงที่ 3
วิธกี าร เครอ่ื งมอื
ประเมินใบงานเรอ่ื ง สมาส ใช้วธิ ีวัดผลจากการทำใบงานของ ใบงานเรอ่ื ง สมาสน่ารู้
นักเรยี นแต่ละคน โดยมีประเด็นในการวดั ผล ไดแ้ ก่
ความรูค้ วามเข้าใจเรื่องคำสมาส สามารถบอกคำสมาสได้
ตรงประเด็น การใช้ภาษา ความสะอาดเรียบร้อย (ประเดน็
ของแตล่ ะคน) จากน้นั นำผลการประเมินมาเป็นข้อมลู ในการ
ปรบั ปรุงและพัฒนานักเรยี น และการจดั การเรียนการสอน
ของครูในครั้งตอ่ ๆ ไป
ส่ือการเรียนรู้
๑. หนังสือเรยี นหลกั ภาษาและการใช้ภาษา ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๒. ใบความรู้ เร่ือง การสร้างคำในภาษาไทย คำสมาส
๓. ใบงาน เรอ่ื ง ความหมายและการอ่านคำสมาส
๔. ใบงาน เรื่อง การสร้างคำสมาส
๕. ใบงาน เร่อื ง สมาสนา่ รู้
ข้อเสนอแนะของหวั หนา้ สถานศึกษาหรือผทู้ ี่ไดร้ ับมอบหมาย (ตรวจสอบ,นเิ ทศ,เสนอแนะ,รับรอง)
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
ลงชอื่ ................................................................
(นายสนอง ศรธี รรมา)
วนั ท.่ี ........../...................../...........
บันทกึ ผลหลงั การจดั การเรียนรู้
๑. ผลการจัดการเรยี นรู้
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๒. ปัญหาและอปุ สรรค
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๓. แนวทางการแกไ้ ขปญั หา
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๔. ขอ้ เสนอแนะ
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
ลงชอื่ .................................................
(นายฤทธเิ ดช สกลุ ซง้ )
วนั ที.่ ............./......................./...............
เกณฑ์การประเมนิ ใบงาน เรื่อง ความหมายและการอ่านคำสมาส
รายการประเมนิ ระดบั คะแนน
๒๑
ความรูค้ วามเข้าใจเร่อื ง มีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับ ไม่คอ่ ยมีความรู้ความเข้าใจ
ความหมายและการ ความหมายและการอา่ นคำสมาสเป็น เกย่ี วกับความหมายและการอ่าน
อ่านคำสมาส อย่างดี คำสมาสเทา่ ที่ควร
สามารถอ่านคำสมาสได้ สามารถอา่ นคำสมาสไดไ้ ดถ้ กู ตอ้ ง ไม่สามารถอ่านคำสมาสได้ได้
ถกู ตอ้ ง
ตรงประเดน็ สามารถบอกความหมายและการอา่ น ไม่สามารถบอกความหมายและ
คำสมาสไดถ้ กู ต้อง ตรงประเดน็ กบั การอ่านคำสมาสไดถ้ กู ต้อง ตรง
เนื้อหาทีอ่ า่ น ประเดน็ กับเนอ้ื หาท่อี า่ นได้ดี
เท่าที่ควร
การใชภ้ าษา สามารถเขียนคำและเรยี บเรยี งประโยค ไมส่ ามารถเขยี นคำและเรยี บเรียง
ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง ประโยคไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง
ความสะอาดเรียบร้อย ใบกจิ กรรมมีความสะอาด เขยี นได้ ใบกจิ กรรมไมค่ อ่ ยสะอาด การ
อย่างเปน็ ระเบยี บเรยี บรอ้ ย เขยี นไม่มคี วามเป็นระเบยี บ
เรียบร้อย
หมายเหตุ : เกณฑก์ ารทำใบงาน ตอ้ งไดค้ ะแนนร้อยละ ๕๐ คือ ๕ คะแนนขน้ึ ไป จากคะแนนเต็ม ๑๐
จึงจะถือวา่ ผ่านเกณฑ์
เกณฑก์ ารประเมิน เกณฑ์การตัดสินระดับคณุ ภาพ ผลการประเมิน
๙-๑๐ คะแนน ดีมาก ผา่ น
๗-๘ คะแนน ดี ผ่าน
๕-๖ คะแนน ปานกลาง ผา่ น
๓-๔ คะแนน พอใช้ ไม่ผา่ น
๐-๒ คะแนน ปรับปรุง ไมผ่ า่ น
ลงชอ่ื …………............…………………….ผู้ประเมิน
(นายฤทธเิ ดช สกลุ ซง้ )
……...………/………....……/….........
เกณฑ์การประเมนิ ใบงาน เรอ่ื ง การสร้างคำสมาส
รายการประเมนิ ระดบั คะแนน
๒๑
ความร้คู วามเขา้ ใจเรอื่ ง มคี วามรู้ความเข้าใจเก่ยี วกบั การสรา้ ง ไม่คอ่ ยมคี วามรคู้ วามเข้าใจ
การสร้างคำสมาส คำสมาสเปน็ อยา่ งดี เก่ยี วกับการสร้างคำสมาส
เทา่ ท่ีควร
สามารถสร้างคำสมาส สามารถสรา้ งคำสมาสไดถ้ กู ต้องตาม ไม่สามารถสรา้ งคำสมาสได้
ได้ หลกั การ ถกู ต้องตามหลักการ
ตรงประเด็น สามารถการสร้างคำสมาสไดถ้ ูกต้อง ไมส่ ามารถการสรา้ งคำสมาสได้
ตรงประเด็นกบั เนอื้ หาทอี่ า่ น ถกู ตอ้ ง ตรงประเด็นกบั เน้อื หาที่
อ่านไดด้ เี ท่าท่ีควร
การใช้ภาษา สามารถเขยี นคำและเรียบเรยี งประโยค ไม่สามารถเขียนคำและเรียบเรียง
ได้อย่างถูกต้อง ประโยคไดอ้ ย่างถกู ต้อง
ความสะอาดเรียบรอ้ ย ใบกิจกรรมมคี วามสะอาด เขียนได้ ใบกิจกรรมไม่ค่อยสะอาด การ
อย่างเปน็ ระเบียบเรียบร้อย เขียนไม่มีความเป็นระเบียบ
เรยี บรอ้ ย
หมายเหตุ : เกณฑ์การทำใบงาน ต้องไดค้ ะแนนร้อยละ ๕๐ คอื ๕ คะแนนขึน้ ไป จากคะแนนเตม็ ๑๐
จึงจะถือว่าผ่านเกณฑ์
เกณฑก์ ารประเมิน เกณฑ์การตัดสนิ ระดบั คณุ ภาพ ผลการประเมิน
๙-๑๐ คะแนน ดีมาก ผ่าน
๗-๘ คะแนน ดี ผา่ น
๕-๖ คะแนน ปานกลาง ผ่าน
๓-๔ คะแนน พอใช้ ไมผ่ า่ น
๐-๒ คะแนน ปรบั ปรุง ไม่ผ่าน
เกณฑ์การประเมนิ ใบงาน เร่ือง สมาสน่ารู้
รายการประเมนิ ระดับคะแนน
๒๑
ความรูค้ วามเข้าใจเร่ือง มคี วามรู้ความเข้าใจเกยี่ วกบั คำสมาส ไม่คอ่ ยมีความรคู้ วามเขา้ ใจ
คำสมาส เป็นอย่างดี เกย่ี วกบั คำสมาสเทา่ ท่ีควร
สามารถบอกคำสมาสได้ สามารถบอกคำสมาสได้ถูกตอ้ งตาม ไมส่ ามารถบอกคำสมาสไดถ้ ูกต้อง
หลกั การ ตามหลักการ
ตรงประเด็น สามารถบอกคำสมาสได้ถูกต้อง ตรง ไมส่ ามารถบอกคำสมาสได้ถูกตอ้ ง
ประเด็นกับเนื้อหาทีอ่ ่าน ตรงประเดน็ กับเนื้อหาที่อา่ นได้ดี
เทา่ ที่ควร
การใชภ้ าษา สามารถเขียนคำและเรยี บเรียงประโยค ไม่สามารถเขียนคำและเรียบเรียง
ได้อย่างถูกต้อง ประโยคไดอ้ ยา่ งถูกต้อง
ความสะอาดเรยี บรอ้ ย ใบกิจกรรมมคี วามสะอาด เขยี นได้ ใบกจิ กรรมไม่ค่อยสะอาด การ
อย่างเปน็ ระเบียบเรยี บรอ้ ย เขียนไมม่ คี วามเปน็ ระเบยี บ
เรยี บร้อย
หมายเหตุ : เกณฑก์ ารทำใบงาน ต้องได้คะแนนร้อยละ ๕๐ คอื ๕ คะแนนขึน้ ไป จากคะแนนเตม็ ๑๐
จงึ จะถือวา่ ผา่ นเกณฑ์
เกณฑก์ ารประเมิน เกณฑ์การตัดสินระดบั คุณภาพ ผลการประเมิน
๙-๑๐ คะแนน ดมี าก ผ่าน
๗-๘ คะแนน ดี ผ่าน
๕-๖ คะแนน ปานกลาง ผ่าน
๓-๔ คะแนน พอใช้ ไม่ผ่าน
๐-๒ คะแนน ปรับปรงุ ไมผ่ า่ น