The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ม.2 ภาคเรียนที่ 1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ฤทธิเดช สกุลซ้ง, 2022-11-05 09:29:06

แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ม.2 ภาคเรียนที่ 1

แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ม.2 ภาคเรียนที่ 1

แบบประเมนิ ใบกิจกรรม เรอ่ื ง ความหมายและการอา่ นคำสมาส ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๒
คำช้ีแจง ให้ผู้ประเมินทำเครื่องหมาย √ ลงในชอ่ งคะแนน

รายการประเมนิ

ช่อื -สกลุ ความ ู้รความเ ้ขาใจเ ่ืรอง รวม สรุปผล
ความหมายและการอ่านคำสมาส

สามารถอ่านคำสมาสไ ้ด
ตรงประเด็น
การใช้ภาษา

ความสะอาดเ ีรยบ ้รอย

๒๑๒ ๑๒๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๑๐ ผา่ น ไม่ผ่าน

ด.ช.สมพงษ์ กงสะกาง
ด.ช.ทรงศกั ด์ิ เรอื งกรไกร
ด.ช.พนติ ระแสน
ด.ช.ฤทธกิ ร ใบแสน
ด.ช.อนเุ ทพ ใยปางแก้ว
ด.ญ.ดนุนันท์ วระโงน
ด.ญ.จันทร์จิรา สขุ ลว้ น
ด.ญ.กญั ญาลักษณ์ นอ้ ยเวียง
ด.ญ.เบญจวรรณ นารแี พงศรี
ด.ญ.ตะวนั ฟ้า พูลเพิม่
ด.ญ.ขวัญฤดี คำเมือง
ด.ช.รัชชานนท์ พลาดอินทร์
ด.ช.วชระ วางศรี

แบบประเมินใบกจิ กรรม เรื่อง การสรา้ งคำสมาส ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๒
คำชแี้ จง ให้ผปู้ ระเมนิ ทำเคร่อื งหมาย √ ลงในชอ่ งคะแนน

รายการประเมนิ

ชอ่ื -สกลุ ความ ู้รความเข้าใจเร่ือง รวม สรปุ ผล
ความหมายและการอ่านคำสมาส

สามารถส ้รางคำสมาสไ ้ด
ตรงประเด็น
การใ ้ชภาษา

ความสะอาดเ ีรยบ ้รอย

๒๑๒ ๑๒๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๑๐ ผา่ น ไม่ผ่าน

ด.ช.สมพงษ์ กงสะกาง
ด.ช.ทรงศกั ดิ์ เรืองกรไกร
ด.ช.พนิต ระแสน
ด.ช.ฤทธกิ ร ใบแสน
ด.ช.อนเุ ทพ ใยปางแก้ว
ด.ญ.ดนุนันท์ วระโงน
ด.ญ.จันทรจ์ ริ า สขุ ล้วน
ด.ญ.กญั ญาลกั ษณ์ นอ้ ยเวยี ง
ด.ญ.เบญจวรรณ นารีแพงศรี
ด.ญ.ตะวันฟ้า พูลเพม่ิ
ด.ญ.ขวญั ฤดี คำเมอื ง
ด.ช.รัชชานนท์ พลาดอนิ ทร์
ด.ช.วชระ วางศรี

แบบประเมินใบกิจกรรม เร่อื ง สมาสน่ารู้ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๒
คำชแี้ จง ให้ผปู้ ระเมินทำเครอ่ื งหมาย √ ลงในช่องคะแนน

รายการประเมนิ

ชื่อ-สกลุ ความ ู้รความเ ้ขาใจเรื่อง รวม สรุปผล
ความหมายและการอ่านคำสมาส

สามารถบอกคำสมาสไ ้ด
ตรงประเด็น
การใช้ภาษา

ความสะอาดเ ีรยบ ้รอย

๒๑๒ ๑๒๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๑๐ ผ่าน ไมผ่ ่าน

ด.ช.สมพงษ์ กงสะกาง
ด.ช.ทรงศักดิ์ เรอื งกรไกร
ด.ช.พนิต ระแสน
ด.ช.ฤทธกิ ร ใบแสน
ด.ช.อนุเทพ ใยปางแกว้
ด.ญ.ดนุนนั ท์ วระโงน
ด.ญ.จันทร์จริ า สุขลว้ น
ด.ญ.กญั ญาลักษณ์ นอ้ ยเวยี ง
ด.ญ.เบญจวรรณ นารีแพงศรี
ด.ญ.ตะวันฟา้ พูลเพมิ่
ด.ญ.ขวญั ฤดี คำเมือง
ด.ช.รชั ชานนท์ พลาดอินทร์
ด.ช.วชระ วางศรี

คำสมาส

คำสมาส คือการนำคำท่ีมาจากภาษาบาลีและสันสกฤตตั้งแต่ ๒ คำขึ้นไป มารวมกันใหเ้ ป็น
คำเดยี ว ทำให้เกิดคำใหม่ทม่ี คี วามหมายใหม่ แตย่ งั คงเคา้ ความหมายเดมิ อยู่

คำท่มี าจากภาษาบาลแี ละสนั สกฤตมหี ลกั โดยทั่วไป ดังนี้

หลักสังเกตภาษาบาลแี ละสันสกฤต

บาลี สันสกฤต

๑. ใช้สระอะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ เช่น ๑. ใช้สระอะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ และเพ่ิม

บดิ า บุรี บญุ บชู า เมตตา ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ ไอ เอา เช่น ไมตรี ฤกษ์ ฤดู ฤทธิ์

ไพศาล เมาลี เสาร์

๒. ใช้ ส เชน่ สาสนา สนั ติ วสิ าสะ สาลา ๒. ใช้ ศ ษ เช่น ศิษย์ ศานติ พิศวาส ศาลา
สสี ะ ศีรษะ

๓. ใช้ ฬ เช่น กฬี า จุฬา ครุฬ ๓. ใช้ ฑ เชน่ กรีฑา จฑุ า ครุฑ

๔. ใช้พยัญชนะเรียงพยางค์ เช่น ปฐม ปณีต ๔. ใช้อักษรควบกลํ้า เชน่ ประถม ประณตี จักร
จกั ก สจั ปชา กริ ยิ า สามี ฐาน ถาวร ประชา กรยิ า สวามี สถาน สถาวร

๕. ใช้พยัญชนะสะกดและตัวตามตัวเดียวกัน ๕. ใช้ตัว รร แทน ร (ร เรผะ) เช่น ธรรม

เชน่ ธมั ม กมั ม กรรม มรรค จรรยา สุวรรณ

๖. มหี ลกั ตวั สะกดตวั ตามท่ีแน่นอน ๖. ไม่มหี ลกั ตัวสะกดตัวตาม

วธิ สี ร้างคำสมาส

๑. คำต้ังแต่สองคำขึ้นไปทม่ี รี ากศัพท์มาจากบาลีและสนั สกฤตเทา่ นัน้ เชน่

- วิทย์ (สันสกฤต) + ศาสตร์ (สันสกฤต) = วิทยาศาสตร์

ถ้าคำทีน่ ำมาสรา้ งนน้ั คำใดคำหนึ่งไมใ่ ชบ่ าลหี รอื สันสกฤตจะไม่นบั ว่าเป็นคำสมาส เช่น

- สรรพ (สันสกฤต) + ส่งิ (ไทย) = สรรพส่งิ (ประสม)

- ราช (บาลี) + วงั (ไทย) = ราชวัง (ประสม)

๒. ถ้าพยางค์สุดท้ายของคำหน้ามีรูปสระ ะ หรือตัวการันต์ ต้องตัดสระหรือ
ไม้ทัณฑฆาต ( ) ออก เช่น

- ศิลปะ + ศึกษา = ศิลปศกึ ษา

๓. การเรียงคำเข้าสมาส คำที่เป็นคำหลักจะวางไว้หลัง คำขยายจะวางไว้หน้า
เม่ือแปลความหมายจะตอ้ งแปลจากหลงั มาหน้า เชน่

- ภูมิศาสตร์ หมายถงึ วิชาท่วี า่ ด้วยโลก

- ราชโอรส หมายถึง ลกู ชายพระราชา

๔. การออกเสียงคำสมาส ต้องออกเสียงสระที่พยางค์สุดท้ายของคำหน้า
ถ้าพยางค์สดุ ท้ายของคำหน้าไม่มรี ปู สระกำกับ ใหอ้ ่านออกเสยี ง อะ เช่น

- รัฐ + ศาสตร์ = รัฐศาสตร์ อ่าน รัด – ถะ – สาด

- ภมู ิ + ทศั น์ = ภูมิทัศน์ อ่าน พูม – มิ – ทดั

๕. คำบาลี – สันสกฤต ซึ่งมีคำว่า “พระ” ซึ่งแผลงมาจาก “วร” ที่เป็นภาษาบาลี
ประกอบขา้ งหน้าจดั ว่าเป็นคำสมาสเช่นเดียวกัน

- พระ + กรรณ = พระกรรณ

ในทางตรงกันข้าม คำว่า “พระ” อยู่ข้างหน้าคำภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาบาลี – สันสกฤต คำนั้นไม่ใช่คำสมาส
เช่น พระ + เขนย = พระเขนย “เขนย” เปน็ คำเขมร ดงั นน้ั คำวา่ “พระเขนย” จงึ ไม่ใชค่ ำสมาส

๖. คำส่วนใหญท่ ี่ลงท้ายด้วยคำวา่ กิจ การ กรรม กร ศึกษา ภัย สถาน ภาพ วิทยา
ศลิ ป์ ธรรม ศาสตร์

- เศรษฐกิจ

ขอ้ สงั เกตคำสมาส

๑. คำสมาสบางคำไมอ่ า่ นออกเสียงรูปสระระหว่างคำหนา้ และคำหลงั เช่น

- เกียรตนิ ยิ ม อา่ นว่า เกยี ด - นิ - ยม

- ชาตนิ ิยม อา่ นว่า

๒. คำสมาสบางคำอ่านออกเสียงได้ทั้งแบบมีพยางค์เชื่อมระหว่างคำ หรือแบบไม่อ่าน
ออกเสยี งพยางคเ์ ช่ือมกไ็ ด้ เชน่

- ประถมศกึ ษา อา่ นว่า ประ - ถม - สึก - สา หรือ

- รสนิยม อา่ นวา่ รด - นิ - ยม หรอื

๓. ช่อื จงั หวดั ท่ลี งท้ายด้วย “บุรี” บางช่ือกอ็ ่านออกเสยี งเชื่อมระหว่างคำ บางชอื่ ก็ไม่อ่าน
ออกเสยี งเชอ่ื ม บางชือ่ ก็อา่ นได้ทงั้ สองอย่าง เช่น

- จนั ทบุรี อา่ นว่า จนั - ทะ - บุ - รี

- ชลบุรี อา่ นว่า

- เพชรบุรี อา่ นวา่

๔. คำสมาสส่วนใหญจ่ ะแปลจากหลังมาหน้า แต่ก็มีคำสมาสบางคำทีแ่ ปลจากหน้าไปหลงั
เชน่

- มณฑลพิธี หมายถงึ บรเิ วณพิธี

- ผลกรรม หมายถงึ

- ผลบุญ หมายถึง

ใบงาน
เรอื่ ง ความหมายและการอ่านคำสมาส
คำชแ้ี จง ใหน้ ักเรียนอา่ นโจทย์ให้เข้าใจ แลว้ เขยี นคำตอบลงในกระดาษคำตอบของนักเรียนเอง
ตอนท่ี ๑ จงเขยี นเครอื่ งหมาย ✓ หน้าขอ้ ที่กล่าวถกู ตอ้ ง และเขยี นเคร่ืองหมาย  หนา้ ขอ้ ทีก่ ล่าว
ไมถ่ ูกตอ้ ง

................. ๑. คำสมาสเกดิ จากคำบาลี สนั สกฤตเท่าน้นั
................. ๒. คำสมาสคอื คำมูลต้ังแต่ ๒ คำข้นึ ไป
................. ๓. คำสมาสพยางคท์ ้ายของคำหนา้ ไม่ประวิสรรชนยี ์ หรือเปน็ ตัวการันต์
................. ๔. การแปลความหมายคำสมาสโดยมากแปลจากคำหลงั ไปคำหนา้
................. ๕. การอ่านคำสมาสตอ้ งอ่านออกเสยี งต่อเนือ่ งกัน
................. ๖. คณติ ศาสตร์ เกิดจาก คณิต + ศาสตร์
................. ๗. ผลผลิตเป็นคำสมาสเพราะเปน็ คำบาลี สันสกฤต
................. ๘. ผลไม้เป็นคำสมาสทเี่ กดิ จาก ผล + ไม้
................. ๙. ชลบรุ ี ไม่ใชค่ ำสมาส เพราะไม่ได้อ่านออกเสยี งตอ่ เนอ่ื ง
................. ๑๐. คำที่มี “พระ” นำหน้าคำบาลีสนั สกฤตจดั เปน็ คำสมาส

ชอื่ -สกลุ ................................................................................... ชั้น ................... เลขที่ ................

ใบงาน
เรอื่ ง การสรา้ งคำสมาส

คำชแ้ี จง จงแยกคำสมาสตอ่ ไปน้ี

๑. วทิ ยฐานะ  ....................................................................................
....................................................................................
๒. มธั ยมศึกษา  ....................................................................................
....................................................................................
๓. สุนทรพจน์  ....................................................................................
....................................................................................
๔. วรรณคดี  ....................................................................................
....................................................................................
๕. ทัศนคติ  ....................................................................................
....................................................................................
๖. อกั ขรวิธี 

๗. กิจการ 

๘. ประวตั ศิ าสตร์ 

๙. ธุรกจิ 

๑๐. อิสรภาพ 

ชื่อ-สกุล .......................................................................... ช้ัน ................... เลขที่ ..........

ใบงาน เรือ่ ง การคำสมาส

คำชแี้ จง จงขดี เสน้ ใต้คำท่ีเป็นคำสมาส

ประวัติศาสตร์ ประถมศกึ ษา วทิ ยาลยั บดนิ ทร์ สุริโยทัย
อุบตั ิเหตุ สุนทรพจน์ มเหสี อคั คีภัย สมาทาน

สโมสร วิทยฐานะ รัฐมนตรี พทุ ธศกั ราช สญั จร
อิสรภาพ สันนบิ าต
สังหรณ์ จุฬาลงกรณ์ พระเศยี ร

....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................

ชื่อ-สกุล ................................................................................... ชนั้ ................... เลขที่ ...............

แผนการจดั การเรยี นรู้

หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ ๒ เรือ่ ง การอา่ นจับใจความสำคัญจากบทความ

รหสั ท๒๒๑๐๑ ชอ่ื รายวชิ า ภาษาไทย กลุม่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย

ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี ๒ ภาคเรียนท่ี ๑ เวลา ๑ ชว่ั โมง

มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใชก้ ระบวนการอา่ นสรา้ งความรู้และความคิดเพื่อนำไปใชต้ ดั สินใจ แกป้ ัญหา

ในการดำเนินชีวติ และมนี ิสัยรกั การอ่าน

ตวั ชว้ี ัด
ท ๑.๑ ม.๒/๒ จับใจความสำคัญ สรุปความ และอธิบายรายละเอยี ดจากเร่ืองทอ่ี า่ น

สาระสำคญั / ความคิดรวบยอด
การอา่ นเพ่อื จบั ใจความสำคญั คอื การอา่ นเพ่อื เก็บสาระสำคัญของเรอ่ื งที่อา่ น ทั้งการเก็บ

จุดมุ่งหมายสำคัญของเร่ือง เก็บเน้อื เร่ืองท่สี ำคญั เกบ็ ความรหู้ รือขอ้ มูลท่ีน่าสนใจตลอดจนแนวความคิด

หรอื ทัศนะของผเู้ ขยี น โดยผอู้ า่ นต้องทำความเข้าใจและแยกให้ไดว้ ่าตอนใดเป็นใจความสำคัญของเรอ่ื ง
ถงึ จะจับใจความสำคญั ของเร่ืองทอ่ี ่านไดถ้ ูกต้องและสามารถนำทักษะการอา่ นไปใชใ้ นชีวิตประจำวันได้

อย่างมีประสทิ ธภิ าพ
บทความ คอื ความเรียงประเภทหน่ึงท่เี ขียนเพ่อื ความรู้ ความคดิ มีรูปแบบการเขียน

คลา้ ยกับเรียงความ แต่การเขยี นบทความจะต้องมีเรือ่ งราวมาจากขอ้ เท็จจริงหรือข่าวประจำวัน

มคี วามทันสมัย ทันต่อเหตกุ ารณ์ อยู่ในความสนใจของผู้อ่านและผู้เขียน และจะต้องสอดแทรก
ข้อเสนอเชิงวิชาการ หรอื ความคดิ เหน็ เชิงสร้างสรรคไ์ วด้ ้วย

สาระการเรียนร/ู้ เนื้อหาย่อย
ความรู้ (K)

นกั เรียนมีความรู้ความเข้าใจในเรอ่ื งการอ่านจบั ใจความสำคญั จากบทความ
ทักษะ/กระบวนการอา่ น (P)

นักเรียนสามารถอ่านจบั ใจความสำคัญจากบทความไดอ้ ย่างถูกต้อง
คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)

นกั เรียนนำความร้เู กี่ยวกับการอา่ นจับใจความสำคญั จากบทความในงานเขยี นแต่ละประเภท

ไปใช้เปน็ แนวทางในการอา่ นจับใจความสำคัญงานเขียนท่ีพบในชวี ิตประจำได้

จุดเนน้ สกู่ ารพฒั นาคณุ ภาพผูเ้ รียน
ทักษะในศตวรรษท่ี 21 ( 3R8C )

Reading (อ่านออก)

(W) Riting (เขยี นได้)

(A) Rithemetics (คิดเลขเปน็ )

ทักษะดา้ นการคดิ อยา่ งมีวิจารณญาณและทักษะในการแกไ้ ขปญั หา (Critical
Thinking and Problem Solving)

ทกั ษะด้านการสรา้ งสรรค์ และนวตั กรรม (Creativity and Innovation)

ทกั ษะด้านความเข้าใจความต่างวฒั นธรรม ต่างกระบวนทัศน์ (Cross-cultural
Understanding)

ทักษะด้านความร่วมมือ การทำงานเป็นทีมและภาวะผ้นู ำ (Collaboration,
Teamwork and Leadership)

ทกั ษะดา้ นการสอื่ สาร สารสนเทศและรู้เท่าทนั ส่ือ (Communications,
Information, and Media Literacy)

ทกั ษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสอื่ สาร (Computing
and ICT Literacy)

ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้ (Career and Learning)

ทักษะการเปล่ยี นแปลง (Change)

การประเมนิ ผลรวบยอด
ชน้ิ งานหรือภาระงาน
ใบกจิ กรรม เรอื่ ง การอา่ นจบั ใจความสำคญั จากบทความ

กจิ กรรมการเรียนรู้
ข้นั นำ
ครูกล่าวทกั ทายนักเรียนและสนทนาซกั ถามรว่ มกันในประเด็นการอ่านมีความสำคญั ใน

การดำรงชวี ิตหรอื ไม่ เม่ือครูซักถามนกั เรียนเสรจ็ สน้ิ จากนนั้ ครโู ยงเน้อื หาเข้าสูบ่ ทเรียน (K, P)
ข้ันสอน
๑. ครแู จกใบความรู้ เรือ่ ง การอ่านจับใจความสำคัญจากบทความ พร้อมกบั ใหค้ วามรู้

เกีย่ วกับความหมาย แนวปฏิบัติการอา่ นในใจ และให้ความรเู้ หี่ยวกับความหมาย หลักการอา่ นจับ
ใจความสำคญั ลกั ษณะ การพจิ ารณาใจความสำคัญ หลักการ และวิธกี ารอา่ นจบั ใจความสำคัญ (K)
ประกอบกบั ยกตัวอยา่ ง พร้อมท้ังสอดแทรกคำถาม เพื่อใหน้ ักเรยี นมีความกระตือรือร้น (P)

๒. ครแู จกใบงาน เรอื่ ง การการอ่านจับใจความสำคัญจากบทความ ซ่งึ เป็นใบงานคู่
จากนัน้ ครอู ธิบายคำชี้แจงให้นักเรียนเขา้ ใจในช้ินงาน (K, P)

๓. ครแู ละนกั เรียนร่วมกนั เฉลยใบงาน เร่ือง การอา่ นจบั ใจความสำคญั จากบทความ
จากนัน้ ครคู ำแนะนำเพิม่ เตมิ เกีย่ วกบั การอ่านเพ่ือเกิดความเขา้ ใจเพ่ิมมากข้ึน

ขนั้ สรปุ
ครแู ละนกั เรียนร่วมกันสรปุ กจิ กรรม เรอ่ื ง การอ่านจับใจความสำคญั จากบทความ

ซง่ึ เปน็ ใบกจิ กรรมท่ใี ห้นักเรียนแต่ละคไู่ ด้รว่ มกันอา่ นจับใจความสำคัญได้อยา่ งถกู ตอ้ ง สะท้อนให้เห็นวา่
นักเรียนมคี วามเข้าใจในเนอื้ หาเก่ียวกบั การอ่านจบั ใจความสำคัญเปน็ อย่างดี และสามารถนำความร้ไู ป
เปน็ แนวทางในการจับใจความสำคัญเรอ่ื งอืน่ ๆ ได้ (K, P, A)

การวดั ผลประเมินผล เกณฑก์ ารประเมนิ
ผ่านเกณฑ์การประเมนิ
วธิ กี าร เครื่องมือ รอ้ ยละ ๕๐

ตรวจใบงาน เรือ่ ง การอา่ นจบั ใจความสำคัญ ใบงาน เรือ่ ง การอา่ นจบั ใจความ
จากบทความ ใช้วิธีวัดผลจากการทำใบงาน สำคญั จากบทความ
ของนักเรยี นแต่ละคน โดยมีประเดน็ ในการ
วดั ผล ได้แก่ ความรู้ความเข้าใจเร่ืองการอา่ น
จับใจความสำคญั จากบทความ สามารถอ่าน
จับใจความสำคญั จากบทความได้ ตรงประเด็น
การใช้ภาษา และความสะอาดเรียบร้อย
(ประเด็นของแตล่ ะคน) จากน้นั นำผลการ
ประเมินมาเปน็ ข้อมูลในการปรับปรุงและ
พฒั นานักเรียน และการจัดการเรยี นการสอน
ของครใู นครั้งตอ่ ๆ ไป

ส่ือการเรียนรู้
๑. หนงั สอื เรยี นหลักภาษาและการใชภ้ าษา ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ ๒
๒. ใบความรู้ เร่ือง การอ่านจบั ใจความสำคัญจากบทความ
๓. ใบงาน เร่ือง การอ่านจับใจความสำคัญจากบทความ

ขอ้ เสนอแนะของหัวหน้าสถานศกึ ษาหรอื ผทู้ ่ไี ดร้ ับมอบหมาย (ตรวจสอบ,นเิ ทศ,เสนอแนะ,รบั รอง)
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................

ลงชื่อ................................................................
(นายสนอง ศรีธรรมา)
วันท่ี.........../...................../...........

บนั ทึกผลหลงั การจดั การเรียนรู้
๑. ผลการจดั การเรยี นรู้
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๒. ปญั หาและอปุ สรรค
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๓. แนวทางการแก้ไขปญั หา
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๔. ข้อเสนอแนะ
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................

ลงชือ่ .................................................
(นายฤทธิเดช สกลุ ซง้ )

วันท.ี่ ............./......................./...............

เกณฑก์ ารประเมนิ ใบงาน เร่อื ง การอา่ นจับใจความสำคญั จากบทความ

รายการประเมนิ ระดบั คะแนน

๒๑

ความรคู้ วามเข้าใจเรื่อง มคี วามรู้ความเข้าใจเกย่ี วกับการอ่าน ไม่คอ่ ยมีความรู้ความเข้าใจ

การอา่ นจับใจความ จับใจความสำคญั จากบทความเป็น เกี่ยวกับการอา่ นจบั ใจความ

สำคัญจากบทความ อย่างดี สำคัญจากบทความเทา่ ท่ีควร

สามารถการอา่ นจบั สามารถการอ่านจับใจความสำคัญจาก ไม่สามารถการอา่ นจับใจความ

ใจความสำคญั จาก บทความไดถ้ กู ต้องตามหลกั การ สำคัญจากบทความได้ถกู ตอ้ งตาม

บทความได้ หลักการ

ตรงประเด็น สามารถอ่านจับใจความสำคัญได้ ไมส่ ามารถอา่ นจบั ใจความสำคญั

ถกู ต้อง ตรงประเด็นกบั เนื้อหาทอ่ี ่าน ไดถ้ กู ตอ้ ง ตรงประเดน็ กบั เนอื้ หา

ทอ่ี า่ นไดด้ เี ทา่ ท่คี วร

การใช้ภาษา สามารถเขียนคำและเรยี บเรยี งประโยค ไมส่ ามารถเขียนคำและเรียบเรยี ง

ไดอ้ ย่างถูกต้อง ประโยคได้อย่างถกู ตอ้ ง

ความสะอาดเรยี บร้อย ใบกิจกรรมมคี วามสะอาด เขียนได้ ใบกิจกรรมไม่ค่อยสะอาด การ

อย่างเปน็ ระเบยี บเรียบร้อย เขียนไม่มคี วามเปน็ ระเบยี บ

เรยี บร้อย

หมายเหตุ : เกณฑ์การทำใบงาน ตอ้ งได้คะแนนร้อยละ ๕๐ คอื ๕ คะแนนข้ึนไป จากคะแนนเต็ม ๑๐

จึงจะถือว่าผ่านเกณฑ์

เกณฑก์ ารประเมนิ เกณฑก์ ารตัดสนิ ระดับคณุ ภาพ ผลการประเมนิ

๙-๑๐ คะแนน ดีมาก ผา่ น

๗-๘ คะแนน ดี ผ่าน

๕-๖ คะแนน ปานกลาง ผา่ น

๓-๔ คะแนน พอใช้ ไม่ผา่ น

๐-๒ คะแนน ปรบั ปรุง ไมผ่ า่ น

แบบประเมนิ ใบกิจกรรม เรอื่ ง การอ่านจบั ใจความสำคัญจากบทความ ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี ๒
คำช้แี จง ให้ผ้ปู ระเมินทำเครือ่ งหมาย √ ลงในชอ่ งคะแนน

รายการประเมนิ

ชอื่ -สกุล ความ ู้รความเข้าใจเ ่ืรองการอ่าน รวม สรุปผล
ัจบใจความสำ ัคญจากบทความ
สามารถอ่านจับใจความสำ ัคญ

จากบทความไ ้ด
ตรงประเด็น
การใ ้ชภาษา
ความสะอาดเ ีรยบ ้รอย

๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๑๐ ผ่าน ไม่ผ่าน

ด.ช.สมพงษ์ กงสะกาง
ด.ช.ทรงศกั ดิ์ เรืองกรไกร
ด.ช.พนิต ระแสน
ด.ช.ฤทธิกร ใบแสน
ด.ช.อนุเทพ ใยปางแก้ว
ด.ญ.ดนุนนั ท์ วระโงน
ด.ญ.จันทรจ์ ริ า สุขล้วน
ด.ญ.กัญญาลกั ษณ์ น้อยเวยี ง
ด.ญ.เบญจวรรณ นารแี พงศรี
ด.ญ.ตะวันฟา้ พูลเพิม่
ด.ญ.ขวัญฤดี คำเมือง
ด.ช.รัชชานนท์ พลาดอินทร์
ด.ช.วชระ วางศรี

ใบความรู้ เรอ่ื ง การอา่ นจบั ใจความสำคัญจากบทความ

การอ่านจับใจความสำคัญ
การอ่านเพ่อื จบั ใจความสำคัญ คือ การอา่ นเพอ่ื เก็บสาระสำคัญของเร่อื งทอี่ า่ น

เชน่ เกบ็ จุดมุ่งหมายสำคญั ของเรอ่ื ง เกบ็ เนือ้ เรอ่ื งท่สี ำคญั เกบ็ ความรูห้ รือข้อมูลทน่ี ่าสนใจตลอดจน
แนวความคดิ หรือทัศนะของผู้เขยี น เป็นตน้

ใจความสำคัญ คือ ใจความสำคญั และเดน่ ทีส่ ดุ ในย่อหน้า เปน็ แก่นของยอ่ หนา้
ท่สี ามารถครอบคลมุ เนือ้ ความในประโยคอ่ืน ๆ ในย่อหน้านนั้ หรอื เปน็ ประโยคทส่ี ามารถเป็น
หวั เรอ่ื งของยอ่ หนา้ นนั้ ได้ ถา้ ตดั เนอ้ื ความของประโยคอ่นื ออกหมด หรอื สามารถเปน็ ใจความหรอื
ประโยคเดย่ี ว ๆ ไดโ้ ดยไมต่ อ้ งมีประโยคอน่ื ประกอบ ในแตล่ ะยอ่ หน้าจะมีประโยคใจความสำคญั
เพยี งประโยคเดียว หรืออย่างมากไมเ่ กิน ๒ ประโยค

ลกั ษณะของใจความสำคัญ มีลักษณะ ดงั นี้
๑. ใจความสำคญั เป็นขอ้ ความทท่ี ำหน้าท่ีคลุมใจความของขอ้ ความอ่นื ๆ ในตอนน้ัน ๆ

ได้หมด ขอ้ ความนอกนน้ั เป็นเพียงรายละเอยี ดหรอื สว่ นขยายใจความสำคญั เทา่ นนั้
๒. ใจความสำคัญของขอ้ ความหน่ึง ๆ หรือยอ่ หน้าหน่ึง ๆ สว่ นมากจะมเี พียงประการเดยี ว
๓. ใจความสำคัญส่วนมากมีลักษณะเป็นประโยค อาจจะเป็นประโยคเดยี วหรือประโยคซ้อน

ก็ได้ แต่ในบางกรณี ใจความสำคัญไม่ปรากฏเป็นประโยค เป็นเพียงใจความที่แฝงอยู่ในข้อความ
ตอนนนั้ ๆ

๔. ใจความสำคญั ทม่ี ลี ักษณะเปน็ ประโยคสว่ นมากจะปรากฏอยตู่ ้นขอ้ ความ

หลักการอ่านเพ่ือจับใจความสำคญั
๑. อา่ นจากบนลงล่างแทนการอ่านจากซา้ ยไปขวาทลี ะตัว
๒. อยา่ อา่ นทกุ ตัวอกั ษร เพราะจะทำให้อ่านได้ชา้
๓. ฝึกกวาดสายตาเปน็ ห้วง ๆ เพอ่ื จะได้อา่ นได้ทีละประโยค ๆ ซง่ึ จะช่วยใหอ้ ่านได้รวดเรว็
๔. พยายามเก็บความของแต่ละคนเมื่ออ่านจบตอนหน่งึ แล้ว โดยรู้จกั แยกใจความสำคัญและ

ใจความทน่ี ำมาประกอบในแตล่ ะข้อความออกจากกันใหไ้ ด้
๕. ขณะทอ่ี า่ นต้องนึกไว้เสมอว่าเรื่องท่ีกำลงั อ่านอยู่นั้นเปน็ เรื่องอะไร มีจุดมุ่งหมายเพื่ออะไร

เมอ่ื อา่ นจบแลว้ จะได้ตอบปญั หาท่ีต้ังไวไ้ ด้
๖. พยายามใหค้ วามสนใจในส่งิ ท่ตี ้องการเพยี งอย่างเดียว เม่อื ต้องการจะอ่าน เพ่อื ตอบปัญหา

หรอื จับใจความก็ไม่ควรพะวงอยกู่ ับเร่อื งหลกั ภาษาหรอื เรอื่ งราวอนื่ ๆ ที่ไม่อยใู่ นความต้องการ
๗. อยา่ พยายามอ่านซำ้ เพราะจะทำให้เสียเวลา ในบางคร้ังเราอาจจะได้ทราบความหมายจาก

ประโยคถัดไปได้
๘. ฝึกอ่านอย่างสมำ่ เสมอ อ่านหนังสือหลาย ๆ ประเภท เพื่อให้เกิดความชำนาญในการอ่าน

ใด ๆ ก็ตามจุดมุ่งหมายเพือ่ จบั ใจความสำคัญของข้อความที่ไดอ้ า่ น ดังนั้น ถ้ารู้จักสังเกตประโยคทีเ่ ป็น
ใจความสำคัญของข้อความแต่ละข้อความ และร้จู กั แยกใจความหลกั ออกจากใจความรองได้ ก็จะทำให้
เราเข้าใจในสง่ิ ทีอ่ า่ นไดอ้ ย่างถกู ตอ้ งและรวดเรว็

วิธกี ารจับใจความสำคัญ
วธิ จี ับใจความสำคัญข้นึ อยู่กบั ความชอบวา่ จะทำอย่างไร เชน่ ขีดเส้นใต้ หรือตีเส้นล้อมกรอบ

ข้อความสำคญั การใชส้ ตี า่ ง ๆ แสดงความสำคญั มากน้อยของขอ้ ความ การทำบันทกึ ย่อกเ็ ปน็ ขบวนการ
ส่วนหนึ่งของการอา่ นจับใจความสำคญั ที่ดแี ละได้ผล แต่ผู้อ่านควรย่อดว้ ยภาษาและสำนวนของตนเอง
ไมค่ วรย่อด้วยการตัดเอาความสำคัญมาเรยี งต่อกัน เพราะวธิ ีนอ้ี าจทำใหผ้ ู้อ่านพลาดสาระสำคญั บางตอน
อนั เป็นเหตใุ หก้ ารตีความผดิ พลาดคลาดเคลอ่ื นได้

วิธีจบั ใจความสำคญั มีหลัก ดงั น้ี
๑. พิจารณาทีละย่อหน้า หาประโยคใจความสำคัญของแต่ละหนา้
๒. ตดั สว่ นที่เปน็ รายละเอียดออกได้ เช่น ตัวอยา่ ง สำนวนโวหาร อุปมาอปุ ไมย ตวั เลขสถิติ

ตลอดจนคำถามหรือคำพดู ของผเู้ ขยี นซงึ่ เป็นสว่ นขยายใจความสำคัญ
๓. สรปุ ใจความสำคัญด้วยสำนวนภาษาของตนเอง

ตวั อยา่ งท่ี ๑
การรดน้ำตน้ ไม้ หรือสนามหญ้า ควรจะรดชว่ งเชา้ หรือช่วงเย็นมากกว่า เพราะเวลาเที่ยง หรอื
ชว่ งแดดจา้ จะทำใหน้ ้ำรอ้ ยละ ๕๐ ระเหยไปในอากาศ หรือให้ต้นไม้ได้ใชเ้ พยี งครง่ึ เดยี ว เทา่ นั้น
ใคร/อะไร : การรดนำ้ ต้นไม้หรอื สนามหญา้
อยา่ งไร : ควรรดชว่ งเช้าหรือช่วงเย็น
เพราะอะไร : เวลาเทยี่ ง หรอื แดดจา้ ตน้ ไมจ้ ะได้นำ้ เพยี งครง่ึ เดียว
ใจความสำคญั : การรดน้ำต้นไมห้ รอื สนามหญา้ ควรรดช่วงเช้าหรือช่วงเยน็

เพราะเวลาเท่ียงหรือแดดจา้ ต้นไมจ้ ะได้น้ำเพียงคร่ึงเดยี ว
ตัวอยา่ งที่ ๒
บา้ นในชนบท มกั จะปลกู ตน้ ไผ่ทำเป็นร้ัวบ้าน เพราะไมไ้ ผ่มหี นาม ปอ้ งกันขโมยได้ดี เมอื งใน
สมยั โบราณน้นั ยงั ไม่มกี ำแพงเพชร เขาก็ปลูกตน้ ไผท่ ำเปน็ ร้วั ไว้ก็มี
ใคร/อะไร : บา้ นในชนบท
ทำอะไร : ปลกู ตน้ ไม้
ทำไม : เปน็ รัว้ บ้าน กนั ขโมยได้
เพราะอะไร : ต้นไผ่มหี นาม
ใจความสำคญั : บ้านในชนบท ปลูกตน้ ไมไ้ ผ่เปน็ รั้วบา้ นกนั ขโมยได้

เพราะต้นไผ่มหี นาม

ความหมายของบทความ
บทความ คอื ความเรียงประเภทหนง่ึ ที่เขียนเพอื่ ความรู้ ความคิด มรี ูปแบบการเขียน

คล้ายกบั เรียงความ แต่การเขียนบทความจะต้องมเี รื่องราวมาจากขอ้ เท็จจริงหรอื ข่าวประจำวัน
มีความทนั สมยั ทันตอ่ เหตกุ ารณ์ อย่ใู นความสนใจของผูอ้ า่ นและผเู้ ขียน และจะต้องสอดแทรก
ข้อเสนอเชิงวชิ าการ หรือความคิดเห็นเชงิ สร้างสรรค์ไวด้ ว้ ย

ลกั ษณะของบทความ

๑. เรอ่ื งท่เี ขยี นตอ้ งเปน็ เร่อื งที่มีสาระ เปน็ เรื่องจริง มีหลักฐานทีน่ า่ เช่อื ถือ เมอ่ื อา่ นแล้วจะได้
ความรู้หรอื ความคิดเพิ่มข้นึ

๒. ตอ้ งเสนอเรอื่ งทีผ่ ูอ้ า่ นส่วนมากกำลงั สนใจอยู่ในขณะน้นั ทนั ต่อเหตกุ ารณ์ หรอื เรอ่ื งที่เป็น

ปญั หา และมคี วามสำคัญเปน็ พเิ ศษ
๓. ต้องมสี ว่ นเป็นทัศนะหรือความคดิ เห็นของผู้เขียน โดยนำเสนอแนวคดิ ท่นี ่าสนใจชวนให้

ผู้อา่ นคดิ ตามหรือคิดต่อ
๔. ควรใชภ้ าษาให้น่าอา่ น และสรา้ งความสนใจ
๕. ความยาวของบทความควรสน้ั กะทดั รัด เพ่ือให้ผูอ้ ่านสามารถอ่านได้ในเวลาจำกัด

ใบงาน เร่ือง การอ่านจบั ใจความสำคญั จากบทความ

คำชแี้ จง : ใหน้ กั เรยี นจบั ใจความสำคัญจากบทความตอ่ ไปนี้

เรื่อง “กินส้มตำ ระวังเจออาหารเปน็ พิษ”

หลาย ๆ คนเวลารับประทานอาหารไม่ค่อยระวังความสะอาดของอาหารเท่าท่ีควร โครงการ
ศกึ ษาคุณภาพความปลอดภัยของส้มตำในกรุงเทพมหานครและปรมิ ณฑล ทำการสำรวจสว่ นประกอบท่ี
ใช้ในการทำส้มตำและส้มตำปรุงสำเร็จรวมทั้งสิ้น 202 ตัวอย่าง ตรวจโดยชุดทดสอบอาหารและวิธี
มาตรฐานในห้องปฏิบัติการของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ผลปรากฏว่าในจำนวนตัวอย่าง 202
ตวั อย่าง ไม่ไดม้ าตรฐานร้อยละ 21.7 พบเชื้อโรคอาหารเปน็ พษิ และสขุ ลักษณะทไี่ มด่ ใี นส้มตำปรุงสำเร็จ
สูงถึงร้อยละ 67 สำหรับวัตถุดิบที่ประกอบส้มตำ พบสีในกุ้งแห้งสูงถึงร้อยละ 95 พบสาร
อะฟลาทอกซินที่ทำให้เกิดมะเร็งตับเกินมาตรฐานในถั่วลิสงค่ัวร้อยละ 15 และตรวจพบยาฆ่าแมลงใน
พรกิ ขหี้ นูจำนวนหนึ่ง ภาวะอาหารเปน็ พิษ หรอื ทเี่ รยี กว่า "food poisoning" จัดเปน็ ปัญหาท่ีพบได้บ่อย
เกดิ จากการติดเชือ้ แบคทีเรยี ในอาหารพบว่าเช้ือแบคทีเรยี ท่ีช่ือ "ซัลโมเนลลา" salmonella และ "แคม
ไพโรแบคเตอร"์ campylobacter เปน็ เชื้อกอ่ เหตทุ ี่สำคัญที่สุดของภาวะอาหารเป็นพษิ ทั้งรายงานจาก
ต่างประเทศและการศึกษาในประเทศไทย เชื้อแบคทีเรียซัลโมเนลลา พบในผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์หลาย
ชนิด รวมท้ังไขเ่ ป็ดไขไ่ ก่ สว่ นเช้ือแบคทีเรียแคมไพโรแบคเตอร์ มักพบในเนอื้ ไก่ท่ีใชบ้ ริโภค ตามที่เข้าใจ
กันโดยทัว่ ไป ส่วนใหญแ่ ล้วภาวะอาหารเปน็ พิษมักจะไม่ มีอาการรุนแรงมากเท่าใด และอาการจะเปน็
ไม่นาน ผู้ป่วยอาจมีเพียงอาการท้องเสียเพียงแค่สองสามวนั อาจมีไข้ต่ำ ๆ หรือบางคนไม่มีไข้เลยก็ได้
อาการปวดท้องมักไม่รุนแรง อาจเพียงรู้สึกปวดมวนท้องบ้างเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม หากภาวะอาหาร
เป็นพิษนี้เกดิ ขึ้นกับผู้ที่จัดว่ามีภูมิต้านทานลดน้อยลง เช่น ผู้ป่วยทีเ่ ป็นเด็กเลก็ ผู้ป่วยสงู อายุ ผู้ป่วยโรค
เร้ือรงั ต่าง ๆ โรคเบาหวาน หรอื โรคเอดส์ การตดิ เชื้อจะรุนแรงและทำใหถ้ ึงกับเสียชีวิตได้ ฤดูร้อนเป็น
ฤดูที่เหมาะแก่การเจริญเติบโตของเชื้อโรคบางชนิด ในบางพื้นที่ของประเทศที่ประสบกับภาวะภัยแล้ง
ในช่วงฤดูร้อนนี้อาจจะเกิดการระบาดของโรคติดต่อบางชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคติดต่อทางอาหาร
และนำ้ เช่น โรคอุจจาระร่วง โรคอาหารเปน็ พิษ บดิ อหวิ าตกโรค ไข้รากสาดน้อย หรือไข้ไทฟอยด์ เป็น
ต้นจึงควรระมัดระวังในเรื่องความสะอาดของอาหาร น้ำดื่ม และภาชนะในการใส่อาหาร ตลอดจนให้มี
การใช้ส้วมที่ถูกสุขลักษณะ และควรทราบในเบื้องต้นถึงอาการสำคัญและวิธีการป้องกันโรคติดต่อท่ี

มักจะเกิด ในฤดูร้อนทสี่ ำคัญและพบไดบ้ อ่ ย โรคติดต่อทางอาหารและนำ้ ทีส่ ำคัญท่ี สดุ คอื โรคอุจจาระ
ร่วง (diarrhea) ซึ่งเกิดจากเชื้อต่าง ๆ ได้หลายชนิด อาทิเช่น เชื้อแบคทีเรีย ไวรัส โปรโตซัว และ
หนอนพยาธิ เชื้อต่าง ๆ เหล่านี้สามารถติดต่อได้โดยการรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำที่มีเชื้อโรค
ปนเปื้อนเข้าไป อาการสำคัญคือ ถ่ายอุจจาระเหลว ถ่ายเป็นน้ำ หรือถ่ายมีมูกปนเลือด โดยทั่วไปมักจะ
อาเจียนร่วมด้วย ผู้ป่วยอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย จนกระทั่งรุนแรงมากเช่นเดียวกับอหิวาตกโรค โรค
อาหารเป็นพษิ เกิดจากพิษของเช้อื แบคทเี รยี เช่น เชือ้ ซัลโมเนลล่า แคมไพโรแบคเตอร์ เชื้อรา เห็ดบาง
ชนิด หรือสารเคมที ป่ี นเป้ือนอย่ใู นอาหาร สามารถติดตอ่ ไดโ้ ดยการรับประทานอาหารทปี่ นเปอ้ื นเชื้อเข้า
ไป ซึ่งมักพบในอาหารที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ จากเนื้อสัตวท์ ี่ปนเปือ้ นเชื้อ เช่น เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว และไข่
เปด็ ไขไ่ ก่ รวมทัง้ อาหารกระป๋อง อาหารทะเล และนำ้ นมที่ยังไมไ่ ด้ผา่ นการฆ่าเช้ือ นอกจากนอ้ี าจพบใน
อาหารท่ที ำไว้ล่วงหน้านาน ๆ แล้วไม่ได้แชเ่ ย็นไว้ ถ้าไมไ่ ดอ้ ุ่นใหร้ อ้ นพอ ก่อนรับประทานก็จะทำให้เป็น
โรคนี้ได้ อาการสำคัญ คือ มีไข้ ปวดท้อง เนื่องจากเชื้อโรคทำให้เกิดการอักเสบที่กระเพาะอาหารและ
ลำไส้ นอกจากน้ีอาจมีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว คลื่นไส้ อาเจียน อุจจาระร่วง ซึ่งถ้าถ่าย
มากจะเกดิ อาการขาดนำ้ และเกลอื แรไ่ ด้ และบางรายอาจมอี าการรุนแรง เน่อื งจากมกี ารติดเชื้อและเกิด
การอักเสบที่อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ข้อและกระดูก ถุงน้ำดี กล้ามเนื้อหัวใจ ปอด ไต เยื่อหุ้ม
สมอง และเมื่อเชื้อเข้าสู่กระแสโลหิตจะทำให้เกิดโลหติ เป็นพิษ ซึ่งอาจทำให้เสียชีวติ ได้ โดยเฉพาะเด็ก
ทารก เด็กเล็ก และผู้สูงอายุ โรคติดต่อทางอาหารและน้ำดังกล่าว แม้ว่าจะมีสาเหตุของการเกิดโรค
ต่างกัน แต่จะมีวิธีการติดต่อที่คล้ายคลึงกัน คือ เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายได้โดยการรับประทานอาหาร
หรือดื่มน้ำ ที่ปนเปื้อนเช้ือเข้าไป เช่น อาหารที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ เช่น ลาบ ก้อย หรืออาหารที่มีแมลงวัน
ตอม หรืออาหารท่ีทิ้งไว้คา้ งคนื โดยไมไ่ ดแ้ ชเ่ ย็นไว้ และไมไ่ ดอ้ นุ่ ใหร้ อ้ นก่อนรบั ประทาน ทงั้ น้ผี ทู้ ป่ี ่วยเป็น
โรคดังกล่าวข้างต้น สามารถแพร่เชื้อได้ทางอุจจาระ และหากเป็นผู้ประกอบอาหารหรอื พนักงานเสิรฟ์
อาหาร กจ็ ะมีโอกาสแพร่เช้อื ใหผ้ อู้ ื่นได้มากเช่นกัน

จบั ใจความสำคญั ได้ว่า
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................

ชอ่ื -สกุล ............................................................................................. ชั้น ................ เลขที่ ...............
ชื่อ-สกุล ............................................................................................. ชัน้ ................ เลขที่ ...............

แผนการจดั การเรียนรู้

หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ ๒ เรอ่ื ง การอา่ นจับใจความสำคญั

รหสั ท ๒๒๑๐1 ชือ่ รายวิชา ภาษาไทย กล่มุ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย

ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๒ ภาคเรยี นท่ี 1 เวลา ๒ ช่วั โมง

มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใชก้ ระบวนการอา่ น สรา้ งความรคู้ วามคดิ เพ่อื นำไปใช้ตัดสินใจแกป้ ญั หา

ในการดำเนินชวี ติ และมนี ิสยั รกั การอา่ น

ตัวชี้วัด
ท ๑.๑ ม.๒/๒ จับใจความสำคัญ สรุปความ และอธิบายรายละเอยี ดจากเร่อื งท่ีอ่าน

สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด

ชั่วโมงที่ ๑
การอา่ นเพือ่ จบั ใจความสำคญั คอื การอ่านเพ่อื เก็บสาระสำคญั ของเรอื่ งท่ีอ่าน ทัง้ การเก็บ

จดุ มงุ่ หมายสำคัญของเร่อื ง เก็บเนอื้ เรื่องทีส่ ำคัญ เกบ็ ความรหู้ รอื ข้อมลู ทนี่ า่ สนใจตลอดจนแนวความคดิ
หรอื ทศั นะของผูเ้ ขยี น โดยผอู้ ่านตอ้ งทำความเข้าใจและแยกใหไ้ ด้วา่ ตอนใดเปน็ ใจความสำคญั ของเร่ือง
ถึงจะจับใจความสำคัญของเร่ืองท่อี า่ นได้ถูกต้องและสามารถนำทักษะการอ่านไปใชใ้ นชวี ิตประจำวันได้

อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ
ชวั่ โมงที่ ๒

การอา่ นจับใจความสำคัญในงานเขยี นแตล่ ะประเภท คอื การอ่านงานเขียนประเภทนทิ าน
ตำนาน สารคดี ขา่ ว หรอื บทความ ซงึ่ เปน็ งานเขียนที่มีลกั ษณะแตกต่างกัน การอ่านจับใจความสำคัญ
แม้จะสามารถใชห้ ลักและวิธกี ารเดียวกันได้ แต่ยังมีเทคนคิ ท่ีแตกตา่ งกันออกไป เช่น การจับใจความ

สำคัญจากนทิ าน จะพิจารณาเนือ้ หาโดยรวมและเขียนสรุปดว้ ยสำนวนของตนเอง ในขณะท่ี
การจบั ใจความสำคญั จากบทความตอ้ งพิจารณาท่ีละยอ่ หนา้ เพอื่ จบั ประเดน็ สำคัญในแต่ละย่อหน้า

แล้วจงึ นำมาเรียบเรียงเป็นสำนวนของตนเองได้ ซง่ึ การสอนอา่ นจบั ใจความสำคญั ในงานเขียนแต่ละ
ประเภทจะชว่ ยให้นักเรียนสามารถร้แู ละเข้าใจการพิจารณาใจความสำคญั ได้รวดเรว็ และง่ายยิ่งขน้ึ

สาระการเรยี นรู/้ เน้ือหายอ่ ย
ชัว่ โมงที่ ๑

ความรู้ (K)
นักเรียนมีความรูค้ วามเข้าใจเกี่ยวกับความหมายและหลกั การอา่ นจับใจความสำคัญ

ทกั ษะ/กระบวนการ (P)

นักเรยี นสามารถอา่ นจับใจความสำคญั ได้ถกู ตอ้ งตามหลักการ
คณุ ลกั ษณะอังพงึ ประสงค์ (A)

นักเรียนสามารถนำความรูเ้ รือ่ งหลกั การอ่านจับใจความสำคญั ไปใช้เป็นแนวทาง
ในการอา่ นจบั ใจความสำคญั งานเขยี นแต่ละประเภทได้

ชวั่ โมงท่ี ๒
ความรู้ (K)
นกั เรียนมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจเกยี่ วกับการอ่านจับใจความสำคญั ในงานเขยี นแต่ละประเภท
ทักษะ/กระบวนการ (P)
นักเรียนสามารถอ่านจับใจความสำคัญในงานเขียนแต่ละประเภทได้
คณุ ลักษณะองั พงึ ประสงค์ (A)
นกั เรยี นสามารถนำความร้เู ร่อื งการจบั ใจความสำคญั ในงานเขียนแต่ละประเภทไปใชเ้ ปน็

แนวทางในการอา่ นจับใจความสำคญั งานเขยี นท่พี บในชีวติ ประจำได้

จดุ เน้นสู่การพัฒนาคณุ ภาพผูเ้ รียน
ทกั ษะในศตวรรษที่ 21 ( 3R8C )

Reading (อ่านออก)

(W) Riting (เขยี นได้)

(A) Rithemetics (คิดเลขเป็น)

ทกั ษะดา้ นการคดิ อย่างมวี ิจารณญาณและทักษะในการแก้ไขปญั หา (Critical
Thinking and Problem Solving)

ทักษะดา้ นการสรา้ งสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation)

ทกั ษะดา้ นความเข้าใจความต่างวฒั นธรรม ตา่ งกระบวนทศั น์ (Cross-cultural
Understanding)

ทักษะดา้ นความร่วมมือ การทำงานเป็นทมี และภาวะผูน้ ำ (Collaboration,
Teamwork and Leadership)

ทักษะดา้ นการส่ือสาร สารสนเทศและรเู้ ท่าทนั สือ่ (Communications,
Information, and Media Literacy)

ทักษะดา้ นคอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร (Computing
and ICT Literacy)

ทักษะอาชพี และทกั ษะการเรยี นรู้ (Career and Learning)

ทักษะการเปลยี่ นแปลง (Change)

การประเมินผลรวบยอด
ชิน้ งานหรอื ภาระงาน
ชวั่ โมงที่ 1
ใบงานท่ี ๑.๑ เรอ่ื ง การอา่ นจับใจความสำคญั
ช่วั โมงที่ 2
ใบงานท่ี ๑.๒ เรื่อง การอ่านจบั ใจความสำคัญในงานเขียนแต่ละประเภท

กิจกรรมการเรยี นรู้
ชั่วโมงท่ี ๑
ขั้นนำ
๑. ครูกล่าวทกั ทายนกั เรยี นพร้อมท้งั ตงั้ ประเด็นคำถามวา่ การอ่านมีความสำคญั ใน

การดำรงชีวติ หรอื ไม่ จากนนั้ ครแู ละนกั เรียนรว่ มกนั อภิปรายในชน้ั เรียน (K, P)
๒. ครูกลา่ วสรปุ ประเด็น “การอ่านมคี วามสำคญั ต่อการดำรงชีวติ หรอื ไม่” โดยกล่าว

สรุปในสิง่ ท่นี ักเรยี นรว่ มกันแสดงความคิดเหน็ และกล่าวเสรมิ ให้นกั เรยี นเหน็ ความสำคญั ของการอา่ น
จากนัน้ กล่าวเชอ่ื มโยงไปถึงการอา่ นจับใจความสำคัญ วา่ เป็นการอ่านที่มีประสิทธิภาพเพราะสามารถทำ
ใหผ้ ูอ้ ่านสามารถสรุปใจความสำคญั ของสงิ่ ที่อา่ นได้ (K, P, A)

ข้ันสอน
๑. ครแู บง่ กลมุ่ การอา่ นออกเป็น 4 กล่มุ กลุ่มละ ๓ คน โดยคละความสามารถ เก่ง

กลาง ออ่ น เพอื่ ร่วมกนั ทำความเข้าใจใบความรู้และรว่ มกนั ทำกจิ กรรมในข้นั ต่อไป
๒. ครูแจกใบความรู้ที่ ๑.๑ เรอ่ื ง หลกั การอา่ นจับใจความสำคัญใหน้ ักเรียนทกุ คน

จากนัน้ ครูอธบิ ายความหมาย ลกั ษณะ การพจิ ารณาใจความสำคัญ หลักการ และวธิ กี ารอ่านจบั ใจ
ความสำคญั แล้วจงึ ให้นักเรียนในแต่ละกลมุ่ ศกึ ษารว่ มกนั อีกคร้ังและบันทกึ เน้อื หาลงในสมดุ (K, P)

๓. ครูให้ตัวแทนนกั เรียนแต่ละกลุ่มรับใบงานท่ี ๑.๑ เรือ่ ง การอ่านจบั ใจความสำคญั
โดยแจกให้สมาชกิ ทุกคนในกล่มุ จากนั้นสมาชิกในกลุ่มร่วมกันทำใบงานและตรวจสอบ ความถกู ตอ้ ง
จากนน้ั ครูและนกั เรียนรว่ มกนั เฉลยคำตอบ (K, P)

ข้นั สรปุ
ครสู รุปการทำใบงานท่ี ๑.๑ เรื่อง การอ่านจับใจความสำคญั ซงึ่ เป็นใบงานทใ่ี ห้นกั เรยี น

แต่ละกลุ่มไดร้ ่วมกนั อ่านจับใจความสำคญั ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง สะทอ้ นผลว่านักเรยี นมคี วามรคู้ วามเข้าใจ
เกยี่ วกับความหมาย ลักษณะ การพจิ ารณาใจความสำคัญ หลกั การและวิธกี ารอา่ นจับใจ ความสำคัญ
สามารถนำความรู้ไปเป็นแนวทางในการจบั ใจความสำคัญเร่อื งอน่ื ๆ ได้ (K, P, A)

ชัว่ โมงท่ี ๒
ขน้ั นำ
๑. ครูกล่าวทักทายนักเรียนและแบ่งนักเรียนออกเป็น ๕ กลุ่ม กลุ่มละ 3 คน เพื่อให้

นกั เรียนร่วมกันทำกิจกรรม “จบั คหู่ รรษา ข้อความนค้ี อื อะไร” โดยลกั ษณะของกจิ กรรมจะเป็นการจับคู่
ขอ้ ความทีเ่ ป็นงานเขียนแต่ละประเภท ซ่งึ นักเรยี นในแตล่ ะกล่มุ ตอ้ งช่วยกนั วิเคราะห์ว่าข้อความในแต่ละ
ข้อความที่ได้รับว่าควรจับคู่กับงานเขียนใด เพื่อเป็นการทดสอบว่านักเรียนสามารถอ่านจับใจความ
เนือ้ หาในข้อความเพอื่ จำแนกลักษณะของงานเขียนแต่ละประเภทไดห้ รอื ไม่ (K, P)

๒. ครูและนกั เรยี นรว่ มกนั เฉลยคำตอบจากกจิ กรรม “จับคูห่ รรษา ข้อความนค้ี ืออะไร”
จากนั้นครอู ธิบายให้นักเรียนฟงั ถึงงานเขียนแต่ละประเภท ว่ามีลักษณะที่แตกต่างกันไปและเน้ือหามกั
เกี่ยวกับกับเรื่องใดเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งการทำความเข้าใจประเภทของงานเขียนและเนื้อหาของเรื่องก็จะ
อ่านจบั ใจความสำคัญนั้นเปน็ ไปได้งา่ ยย่ิงขึน้ (K, P, A)

ข้นั สอน

๑. ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็น 5 กลุ่ม กลุ่มละ 4 คน ซึ่งเป็นกลุ่มเดิมจากการทำ
กจิ กรรมเมอ่ื ช่วั โมงที่แลว้

๒. ครแู จกใบความรู้ท่ี ๑.๒ เร่อื ง การอา่ นจับใจความสำคัญในงานเขียนแต่ละประเภท

จากนน้ั ครูอธิบายความหมาย ลักษณะของงานเขียนประเภท นิทาน ตำนาน สารคดี ขา่ ว และบทความ
หลกั การและวธิ ีการอา่ นจบั ใจความสำคัญจากงานเขยี นแตล่ ะประเภท (K)

๓. ครูให้ตัวแทนกลุ่มออกมารับใบงานที่ ๑.๒ เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญในงาน
เขียนแต่ละประเภท ลักษณะของใบงานจะเป็นการนำข้อความที่เป็นงานเขียนประเภท นิทาน ตำนาน
สารคดี ข่าว และบทความขนาดสั้น ๆ เพื่อให้นักเรียนได้อ่านจับใจความสำคัญว่าเนื้อหากล่าวถึงสิ่งใด

และควรตงั้ ชื่องานเขยี นประเภทน้นั ๆ วา่ อยา่ งไร (K, P, A)
๔. ครแู ละนักเรียนรว่ มกนั เฉลยคำตอบ โดยให้แต่ละกลุ่มเปลีย่ นกนั ตรวจใบงานและ

การเฉลยคำตอบแต่ละข้อครจู ะตอ้ งอธบิ ายใหน้ กั เรียนเขา้ ใจว่าเหตใุ ดจึงตอ้ งตอบเชน่ น้นั มีหลกั การคดิ
เช่นไร เพอ่ื ให้นักเรยี นเกิดความรคู้ วามเขา้ ใจและสามารถเขยี นคำตอบพรอ้ มเหตุผลกำกับเพ่ือใช้เป็น
แนวทางในการจบั ใจความสำคัญงานเขยี นแตล่ ะประเภทไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง (K, P, A)

๕. ครูทำการทดสอบยอ่ ยครั้งท่ี ๑ เพอื่ วัดความรู้ความเขา้ ใจของนักเรียนเป็นรายบคุ คล
และเพอ่ื นำคะแนนของสมาชกิ กลุม่ แต่ละคนมาจัดลำดบั เพื่อมอบรางวลั

ขั้นสรุป
ครสู รุปการทำใบงานท่ี ๑.๒ เร่อื งการอ่านจบั ใจความสำคญั ในงานเขยี นแตล่ ะประเภท

ซ่งึ เป็นใบงานทใี่ ห้นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มได้รว่ มกันอ่านจับใจความสำคัญในงานเขียนแต่ละประเภทไดอ้ ยา่ ง

ถูกต้อง สะท้อนผลวา่ นักเรยี นมีความรคู้ วามเข้าใจเกีย่ วกับความหมาย ลักษณะของงานเขียนประเภท
นิทาน ตำนาน สารคดี ข่าว และบทความ หลกั การและวธิ กี ารอา่ นจับใจความสำคัญจากงานเขียนแตล่ ะ

ประเภท และสามารถนำความรู้ไปใช้เป็นแนวทางในการอ่านจับใจความสำคัญงานเขียนทุกประเภทได้
(K, P, A)

การวดั และประเมินผล เคร่อื งมอื เกณฑ์การประเมิน
วธิ กี ารวดั และประเมินผล ใบงานที่ ๑.๑ เรอ่ื ง การอ่านจบั ผ่านเกณฑ์การ
ช่ัวโมงท่ี 1 ใจความสำคญั ประเมนิ ร้อยละ ๕๐

วธิ กี าร

ประเมนิ ใบงานเร่อื ง การอา่ นจับใจความสำคญั ใช้วิธีวดั ผล
จากการทำใบงานของนกั เรยี นแตล่ ะคน โดยมปี ระเดน็ ใน
การวดั ผล ไดแ้ ก่ ความรคู้ วามเข้าใจเรอ่ื งการอ่านจับ
ใจความสำคัญ สามารถอ่านจบั ใจความสำคญั ได้ตรง
ประเดน็ การใชภ้ าษา และความสะอาดเรียบร้อย
(ประเด็นของแตล่ ะคน) จากน้ันนำผลการประเมินมาเปน็
ข้อมลู ในการปรบั ปรงุ และพฒั นานกั เรยี น และการจดั การ
เรียนการสอนของครูในครง้ั ตอ่ ๆ ไป

ช่วั โมงที่ 2 เคร่ืองมอื เกณฑ์การประเมิน

วิธกี าร ใบงานท่ี ๑.๒ เรื่อง การอ่านจบั ผ่านเกณฑก์ าร
ใจความสำคัญในงานเขียนแต่ ประเมนิ ร้อยละ ๕๐
ประเมนิ ใบงานเรื่อง การอ่านจบั ใจความสำคัญในงาน ละประเภท
เขียนแตล่ ะประเภท ใชว้ ิธวี ัดผลจากการทำใบงานของ
นักเรียนแตล่ ะคน โดยมีประเด็นในการวดั ผล ได้แก่
ความรู้ความเข้าใจเร่ืองการอ่านจับใจความสำคัญ สามารถ
อ่านจบั ใจความสำคญั ไดต้ รงประเดน็ การใชภ้ าษา
และความสะอาดเรยี บรอ้ ย (ประเดน็ ของแตล่ ะคน)
จากนน้ั นำผลการประเมินมาเปน็ ข้อมลู ในการปรับปรงุ
และพฒั นานกั เรยี น และการจัดการเรียนการสอนของครู
ในครงั้ ต่อ ๆ ไป

สอ่ื การเรยี นรู้
ช่วั โมงงที่ 1
ใบความร้ทู ี่ ๑.๑ เร่อื ง การอา่ นจับใจความสำคัญ
ช่ัวโมงงท่ี 2
1. ใบความรทู้ ี่ ๑.๒ เร่อื ง การอา่ นจับใจความสำคัญในงานเขยี นแตล่ ะประเภท
2. ส่ือบัตรคำกจิ กรรม “จับคหู่ รรษา ขอ้ ความนี้คืออะไร”

ข้อเสนอแนะของหวั หน้าสถานศกึ ษาหรอื ผู้ทไ่ี ด้รับมอบหมาย (ตรวจสอบ,นิเทศก์,เสนอแนะ,รบั รอง)
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................

ลงชื่อ................................................................
(นายสนอง ศรธี รรมา)

วันท.่ี ........../...................../...........

บันทกึ ผลหลงั การจดั การเรียนรู้
๑. ผลการจัดการเรยี นรู้
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๒. ปัญหาและอปุ สรรค
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๓. แนวทางการแกไ้ ขปญั หา
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๔. ขอ้ เสนอแนะ
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................

ลงชอื่ .................................................
(นายฤทธเิ ดช สกุลซง้ )

วันท.ี่ ............./......................./...............

เกณฑ์การประเมินใบงาน เร่ือง การอา่ นจบั ใจความสำคญั

รายการประเมิน ระดบั คะแนน

๒๑

ความรูค้ วามเขา้ ใจเร่ือง มคี วามรู้ความเข้าใจเกีย่ วกบั การอ่าน ไม่ค่อยมคี วามรู้ความเขา้ ใจ

การอา่ นจบั ใจความ จบั ใจความสำคญั เปน็ อย่างดี เกย่ี วกบั การอ่านจบั ใจความ

สำคัญ สำคญั เท่าที่ควร

สามารถอา่ นจบั สามารถอ่านจับใจความสำคญั ได้ ไม่สามารถอ่านจับใจความสำคัญ

ใจความสำคัญได้ ถูกต้องตามหลกั การ ได้ถกู ตอ้ งตามหลักการ

ตรงประเด็น สามารถอา่ นจับใจความสำคัญได้ ไมส่ ามารถอา่ นจับใจความสำคญั

ถกู ต้อง ตรงประเด็นกบั เน้อื หาที่อ่าน ได้ถูกต้อง ตรงประเดน็ กับเน้ือหา

ทอ่ี า่ นไดด้ ีเท่าท่ีควร

การใชภ้ าษา สามารถเขยี นคำและเรยี บเรยี งประโยค ไมส่ ามารถเขียนคำและเรียบเรยี ง

ได้อย่างถูกต้อง ประโยคได้อย่างถกู ต้อง

ความสะอาดเรยี บรอ้ ย ใบงานมีความสะอาด เขยี นได้อย่าง ใบงานไมค่ ่อยสะอาด การเขยี นไม่

เป็นระเบยี บเรียบรอ้ ย มคี วามเป็นระเบยี บเรยี บรอ้ ย

หมายเหตุ: ผผู้ า่ นเกณฑ์การประเมนิ ตอ้ งไดค้ ะแนนร้อยละ ๕๐ คอื ๕ คะแนนข้นึ ไปจึงจะถือว่าผา่ น
เกณฑ์

เกณฑก์ ารประเมิน เกณฑ์การตัดสินระดับคณุ ภาพ ผลการประเมิน

๙-๑๐ คะแนน ดมี าก ผา่ น

๗-๘ คะแนน ดี ผา่ น

๕-๖ คะแนน ปานกลาง ผ่าน

๓-๔ คะแนน พอใช้ ไมผ่ า่ น

๒-๐ คะแนน ปรับปรงุ ไมผ่ า่ น

แบบประเมนิ ใบงาน เรื่อง การอา่ นจบั ใจความสำคญั
ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี ๒

รายการประเมนิ

ช่อื -สกลุ ความ ู้รความเ ้ขาใจเ ่รืองการอ่าน รวม สรุปผล
จับใจความสำ ัคญ

สามารถอ่านจับใจความสำ ัคญไ ้ด
ตนเอง

ตรงประเด็น
การใช้ภาษา

ความสะอาดเ ีรยบ ้รอย

๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๑๐ ผา่ น ไม่ผ่าน

ด.ช.สมพงษ์ กงสะกาง
ด.ช.ทรงศักด์ิ เรอื งกรไกร
ด.ช.พนิต ระแสน
ด.ช.ฤทธกิ ร ใบแสน
ด.ช.อนเุ ทพ ใยปางแก้ว
ด.ญ.ดนุนนั ท์ วระโงน
ด.ญ.จันทรจ์ ริ า สุขล้วน
ด.ญ.กัญญาลกั ษณ์ น้อยเวียง
ด.ญ.เบญจวรรณ นารีแพงศรี
ด.ญ.ตะวันฟา้ พลู เพ่มิ
ด.ญ.ขวัญฤดี คำเมือง
ด.ช.รัชชานนท์ พลาดอินทร์
ด.ช.วชระ วางศรี

ใบความรู้
การอา่ นจบั ใจความสำคัญ

การอา่ นจบั ใจความสำคญั
การอา่ นเพือ่ จบั ใจความสำคญั คอื การอ่านเพอื่ เก็บสาระสำคญั ของเร่ืองท่ีอ่าน เชน่ เกบ็

จุดมุ่งหมายสำคญั ของเรือ่ ง เกบ็ เน้ือเรอ่ื งท่สี ำคญั เกบ็ ความรหู้ รอื ขอ้ มูลทีน่ า่ สนใจตลอดจน
แนวความคิดหรอื ทัศนะของผู้เขยี น เป็นต้น

ใจความสำคัญ คือ ใจความสำคญั และเดน่ ทสี่ ดุ ในย่อหนา้ เป็นแกน่ ของย่อหน้า
ที่สามารถครอบคลุมเนอ้ื ความในประโยคอื่น ๆ ในย่อหน้านัน้ หรือเป็นประโยคทส่ี ามารถเป็น
หัวเรื่องของยอ่ หน้านนั้ ได้ ถ้าตัดเน้อื ความของประโยคอ่ืนออกหมด หรือสามารถเปน็ ใจความหรือ
ประโยคเดี่ยว ๆ ได้โดยไม่ตอ้ งมปี ระโยคอ่ืนประกอบ ในแตล่ ะย่อหนา้ จะมปี ระโยคใจความสำคัญ
เพยี งประโยคเดียว หรืออยา่ งมากไมเ่ กิน ๒ ประโยค

ลกั ษณะของใจความสำคญั มลี ักษณะ ดงั น้ี
๑. ใจความสำคญั เปน็ ขอ้ ความท่ที ำหนา้ ท่ีคลมุ ใจความของข้อความอ่นื ๆ ในตอนนั้น ๆ

ได้หมด ข้อความนอกนน้ั เป็นเพยี งรายละเอยี ดหรือส่วนขยายใจความสำคัญเท่าน้ัน
๒. ใจความสำคญั ของขอ้ ความหนึ่ง ๆ หรือย่อหน้าหน่งึ ๆ ส่วนมากจะมีเพียงประการเดียว
๓. ใจความสำคัญส่วนมากมลี ักษณะเป็นประโยค อาจจะเป็นประโยคเดยี วหรอื ประโยคซ้อน

ก็ได้ แต่ในบางกรณี ใจความสำคัญไม่ปรากฏเป็นประโยค เป็นเพียงใจความที่แฝงอยู่ในข้อความ
ตอนนน้ั ๆ

๔. ใจความสำคัญทีม่ ีลักษณะเปน็ ประโยคส่วนมากจะปรากฏอยตู่ น้ ขอ้ ความ

การพจิ ารณาใจความสำคญั ใจความสำคัญจะปรากฏอยใู่ นตำแหนง่ ของข้อความดงั ต่อไปน้ี
๑. ใจความสำคัญที่ปรากฏอยู่ในแตล่ ะย่อหนา้ ดงั น้ี
๑.๑ ใจความสำคัญอยู่ในตำแหน่งต้นของย่อหน้าและมีรายละเอียดวางอยู่ในตำแหน่ง

ถัดไป
๑.๒ ใจความสำคัญอยู่ในตำแหน่งท้ายของย่อหนา้ โดยกล่าวถึงรายละเอียดต่าง ๆ อย่าง

คลุม ๆ ไว้ก่อนในตอนตน้
๑.๓ ใจความสำคญั อยใู่ นตำแหน่งต้นและท้ายย่อหนา้ มรี ายละเอียดอยู่ตรงกลาง
๑.๔ ใจความสำคัญอยู่ในตำแหน่งกลางยอ่ หน้า มีรายละเอยี ดอยู่ตอนตน้ กับตอนทา้ ย

๒. อา่ นจบั ใจความสำคัญท่ปี รากฏรวมอยูใ่ นหลาย ๆ ยอ่ หนา้ การอา่ นเพื่อจับใจความ
สำคัญแบบนี้ มหี ลักสำคญั ของการปฏบิ ตั ิตามลำดับขน้ั ตอนดงั นี้

๒.๑ อา่ นอย่างครา่ ว ๆ พอเข้าใจ
๒.๒ อ่านให้ละเอียด
๒.๓ อา่ นแลว้ ถามตัวเองว่า เร่ืองน้ีมใี คร ทำอะไร ที่ไหน เมอ่ื ไร อย่างไร ทำไม
๒.๔ รวบรวมคำตอบจากข้อ ๒.๓ มาเรียบเรียงให้สละสลวย และมีความเหมาะสม
ตามลำดบั ความสำคัญของเนอื้ ความ

หลกั การอา่ นเพอื่ จับใจความสำคญั
๑. อ่านจากบนลงลา่ งแทนการอ่านจากซา้ ยไปขวาทีละตัว
๒. อย่าอา่ นทกุ ตัวอกั ษร เพราะจะทำให้อา่ นไดช้ า้
๓. ฝึกกวาดสายตาเป็นหว้ ง ๆ เพอ่ื จะได้อา่ นได้ทลี ะประโยค ๆ ซ่งึ จะช่วยใหอ้ ่านได้รวดเร็ว
๔. พยายามเก็บความของแต่ละคนเม่ืออ่านจบตอนหนงึ่ แล้ว โดยร้จู ักแยกใจความสำคัญและ

ใจความทน่ี ำมาประกอบในแตล่ ะข้อความออกจากกันใหไ้ ด้
๕. ขณะท่ีอ่านตอ้ งนึกไว้เสมอว่าเรื่องที่กำลงั อ่านอยู่นั้นเปน็ เรื่องอะไร มีจุดมุ่งหมายเพ่ืออะไร

เม่ืออา่ นจบแล้วจะไดต้ อบปญั หาท่ีตั้งไวไ้ ด้
๖. พยายามให้ความสนใจในส่ิงท่ตี ้องการเพียงอยา่ งเดียว เม่ือตอ้ งการจะอา่ น เพื่อตอบปัญหา

หรือจบั ใจความก็ไม่ควรพะวงอยูก่ ับเร่อื งหลักภาษาหรือเรือ่ งราวอื่น ๆ ท่ไี มอ่ ยู่ในความตอ้ งการ
๗. อย่าพยายามอ่านซ้ำเพราะจะทำให้เสยี เวลา ในบางครงั้ เราอาจจะไดท้ ราบความหมายจาก

ประโยคถัดไปได้
๘. ฝึกอ่านอยา่ งสมำ่ เสมอ อ่านหนังสือหลาย ๆ ประเภท เพื่อให้เกิดความชำนาญในการอ่าน

ใด ๆ ก็ตามจุดมุ่งหมายเพือ่ จับใจความสำคัญของข้อความที่ไดอ้ ่าน ดังนั้น ถ้ารู้จักสงั เกตประโยคทีเ่ ปน็
ใจความสำคญั ของข้อความแต่ละข้อความ และรู้จกั แยกใจความหลักออกจากใจความรองได้ ก็จะทำให้
เราเข้าใจในสง่ิ ทอ่ี ่านไดอ้ ยา่ งถกู ต้องและรวดเร็ว

วิธีการจับใจความสำคัญ
วธิ ีจับใจความสำคญั ขนึ้ อยู่กบั ความชอบว่าจะทำอย่างไร เช่น ขีดเสน้ ใต้ หรือตีเส้นล้อมกรอบ

ข้อความสำคญั การใช้สตี ่าง ๆ แสดงความสำคัญมากนอ้ ยของข้อความ การทำบันทึกย่อกเ็ ป็นขบวนการ
ส่วนหนึ่งของการอ่านจับใจความสำคัญท่ีดแี ละได้ผล แต่ผู้อ่านควรย่อดว้ ยภาษาและสำนวนของตนเอง
ไม่ควรยอ่ ด้วยการตดั เอาความสำคัญมาเรียงต่อกนั เพราะวิธีนีอ้ าจทำใหผ้ อู้ ่านพลาดสาระสำคัญบางตอน
อนั เปน็ เหตุใหก้ ารตีความผดิ พลาดคลาดเคล่อื นได้

การอ่านจบั ใจความสำคญั ในงานเขียนแต่ละประเภท
การอ่านจับใจความสำคญั ในงานเขียนแตล่ ะประเภท คือ การอา่ นงานเขียนประเภทต่าง ๆ

ซง่ึ เป็นงานเขยี นท่มี ลี ักษณะแตกตา่ งกนั แตส่ ามารถใช้หลกั และวธิ กี ารอ่านจบั ใจความสำคัญโดยทัว่ ๆ
ไปได้ แต่ท้งั นี้ในงานเขียนแตล่ ะประเภทยังมีเทคนคิ ทแ่ี ตกต่างกันออกไป เช่น การจบั ใจความสำคญั จาก
นทิ าน จะพิจารณาเน้อื หาโดยรวมและเขียนสรปุ ด้วยสำนวนของตนเอง ในขณะที่การจับใจความสำคัญ
จากบทความต้องพจิ ารณาทล่ี ะยอ่ หน้าเพ่อื จบั ประเดน็ สำคัญในแต่ละย่อหน้าแล้วจึงนำมาเรยี บเรียงเปน็
สำนวนของตนเองได้ ซงึ่ การสอนอ่านจบั ใจความสำคญั ในงานเขยี นแตล่ ะประเภทจะชว่ ยให้นกั เรยี น
สามารถรแู้ ละเข้าใจการพิจารณาใจความสำคญั ไดร้ วดเรว็ และงา่ ยยง่ิ ขนึ้

หลกั การอ่านจบั ใจความสำคัญในงานเขียนแต่ละประเภท
๑. งานเขยี นประเภทนทิ าน ตอ้ งพจิ ารณาเน้อื หาโดยรวมและเขยี นสรปุ ดว้ ยสำนวนของตนเอง
๒. งานเขยี นประเภทบทความ ต้องพิจารณาท่ีละย่อหน้าเพื่อจับประเดน็ สำคญั ในแต่ละย่อหนา้

แลว้ จงึ นำมาเรียบเรียงเป็นสำนวนของตนเองได้

๓. งานเขยี นประเภทข่าว ต้องพจิ ารณาข่าวท่ีอา่ นให้ถ่ีถว้ น และควรอา่ นให้จบเนอ้ื หาก่อน ซึง่ งาน
เขยี นประเภทขา่ วมกั ไมม่ ีตำแหนง่ ใจความสำคญั ท่ีแนน่ อน ทัง้ ในสว่ นตน้ เรอื่ ง กลางเรอื่ ง หรอื ท้ายเร่อื ง
เพราะโดยส่วนใหญข่ ่าวมกั บรรยายเนื้อหาโดยภาพรวม ซึ่งผอู้ า่ นตอ้ งรู้จักสรปุ ประเด็นสำคัญ ๆ ในขา่ วให้
ไดเ้ สยี ก่อน

๔. งานเขียนประเภทสารคดี ตอ้ งพิจารณาเน้ือหาดว้ ยการอา่ นใหเ้ ขา้ ใจวา่ เนือ้ หาว่ากำลงั กล่าวถึง
ประเด็นใด และนำเสนอเนอ้ื หาในหวั ข้อใด จากนั้นจับใจความสำคญั ดว้ ยการอา่ นย้ำในสว่ นตน้ เร่ือง
กลางเรื่อง หรือทา้ ยเรื่องว่าสุดทา้ ยและสารคดที ่อี ่านตอ้ งการนำเสนอประเดน็ ใด

๕. งานเขียนประเภทเรือ่ งส้นั และนวนิยาย การอ่านจับใจความเร่อื งส้ันและนวนยิ าย มกั ใช้
หลักการเดยี วกนั เพราะทง้ั สองประเภทผูอ้ า่ นไม่สามารถอ่านได้จบในเวลาสน้ั ๆ เพราะเรอื่ งราวตอ้ งมี
การผูกเร่อื ง คลายปม สรุปปมต่าง ๆ ของเรอ่ื ง ผอู้ ่านจึงจำเป็นตอ้ งอา่ นเรอ่ื งราวน้ันให้จบกอ่ น โดยจบั
ใจความสำคัญตามลำดับเหตุการณ์ ใคร ทำอะไร ทไ่ี หน เมือ่ ไร และอย่างไร

วิธกี ารอ่านจบั ใจความสำคัญในงานเขยี นแต่ละประเภท
วิธีจับใจความสำคัญข้ึนอยู่กับความชอบว่าจะทำอย่างไร เช่น ขีดเส้นใต้ หรือตีเส้นล้อมกรอบ

ขอ้ ความสำคญั การใชส้ ตี ่าง ๆ แสดงความสำคัญมากน้อยของข้อความ การทำบันทึกย่อก็เป็นขบวนการ
ส่วนหนึ่งของการอา่ นจับใจความสำคญั ท่ีดีและได้ผล แต่ผู้อ่านควรย่อด้วยภาษาและสำนวนของตนเอง
ไมค่ วรยอ่ ด้วยการตัดเอาความสำคญั มาเรียงตอ่ กัน เพราะวิธนี อี้ าจทำให้ผอู้ า่ นพลาดสาระสำคญั บางตอน
ไป อันเป็นเหตใุ หก้ ารตคี วามผดิ พลาดคลาดเคลือ่ นได้

ใบงาน
เร่อื ง การอ่านจับใจความสำคญั ในงานเขยี นแตล่ ะประเภท

คำชีแ้ จง : ใหน้ กั เรียนแตล่ ะกลุ่มรว่ มกนั อา่ นจับใจความสำคัญเรอ่ื งทคี่ รกู ำหนดใหต้ อ่ ไปน้ี พร้อมทง้ั ระบุ
วา่ เรือ่ งท่ีอา่ นเปน็ งานเขยี นประเภทใด

หงสก์ ับห่าน

คร้ังหนง่ึ ไดม้ ีเศรษฐคี นหนงึ่ ซอ้ื หา่ นหนง่ึ ตัวและหงส์หน่งึ ตัวมาจากตลาด เขาเลี้ยงดตู ัว
หน่งึ ไว้เพอ่ื เปน็ อาหาร และเลย้ี งอกี ตวั ไวฟ้ งั เสียงรอ้ งเพลงของมนั

เมอ่ื ถงึ เวลาฆา่ หา่ น พ่อครัวเขา้ ไปจบั มนั ในตอนกลางคืน ความมดื ทำใหเ้ ขาแยกไมอ่ อก
วา่ ตวั ไหนเปน็ ตัวไหน เขาจงึ ควา้ หงสแ์ ทนหา่ น หงสท์ กี่ ำลงั จะถูกฆา่ ตายระเบิดเสียงร้องเพลง
ทนั ที พ่อครัวจำเสยี งของมนั ได้มนั จึงรอดชวี ติ ดว้ ยเสยี งเพลงของมนั

งานเขียนประเภท................................................
อ่านจบั ใจความสำคญั ได้วา่ .........................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................

แปรงฟนั ตัง้ แตซ่ แ่ี รก ฟนั ไมผ่ ุ ห่างไกลโรคขาดสารอาหาร
“แค่ฟนั นำ้ นม รอฟนั แทข้ น้ึ ค่อยแปรงกไ็ ด”้

“ลูกทั้งร้องทัง้ ด้นิ ไม่อยากฝืน เดีย๋ วลกู กลัวการแปรงฟนั ”

“ยังบ้วนนำ้ ท้ิงไม่เป็น กลัวลูกกลืนยาสฟี นั ”

เช่ือหรือไมว่ า่ จากสง่ิ ทพ่ี อ่ แมแ่ ละผู้เลี้ยงดเู ข้าใจดา้ นบนน้นั เม่อื ๒๐ ปีที่แลว้ เดก็ ไทยมี
สถติ ฟิ นั ผุตง้ั แตฟ่ นั น้ำนมถึง ๘๐% โดยอายเุ ริม่ ต้นอยทู่ ่ี ๙ เดือน อันเปน็ ทม่ี าให้ทันตแพทย์ใน
บ้านเราตน่ื ตัว และให้ความสำคญั ในการให้ความรู้ท่ถี ูกตอ้ งมาอยา่ งตอ่ เนื่อง หน่งึ ในโครงการที่
ทำงานเร่อื งนคี้ ือ “เครือข่ายเด็กเลก็ ฟนั ดี วถิ ี SELF CARE” และสำนักงานกองทนุ สนบั สนุน
การสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

งานเขียนประเภท................................................
อา่ นจบั ใจความสำคัญได้ว่า.........................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
.

ชอ่ื -สกลุ .................................................................................... ชั้น ................. เลขที่ ...................
ชือ่ -สกลุ .................................................................................... ชน้ั ................. เลขท่ี ...................
ช่ือ-สกลุ .................................................................................... ชั้น ................. เลขที่ ...................
ชื่อ-สกุล .................................................................................... ช้นั ................. เลขที่ ...................
































Click to View FlipBook Version