ปีการศึกษา 2566 ภาคเรียรีนที่ 1 สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุร์สุขภาพและความงาม วิทยาลัยสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา 1st edition สุค สุ นธบำ บัดบั AROMATHERAPY เอกสารประกอบการบรรยาย
ประมวลการสอน (Course Syllabus) วิทยาลัยสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ศูนย์การศึกษาจังหวัดสมุทรสงคราม รหัสวิชา ESH2224 หน่วยกิต 3(2-2-5) รายวิชา สุคนธบำบัด Aromatherapy ภาคเรียน 1/2566 ผู้สอน 1. อาจารย์ ดร.รัตนา ปานเรียนแสน 2. วิทยากรรับเชิญ คำอธิบายรายวิชา ความเป็นมา หลักการ ประโยชน์และข้อควรระวังของสุคนธบำบัด พรรณไม้หอม และน้ำมันหอมระเหย วิธีการสกัด น้ำมันหอมระเหย ความแตกต่างระหว่างน้ำมันหอมระเหยและสารสังเคราะห์คุณสมบัติและความปลอดภัย ข้อห้าม ข้อควร ระวังในการใช้น้ำมันหอมระเหย เทคนิคการประยุกต์ใช้สุคนธศาสตร์เพื่อสุขภาพและความงาม การเลือกใช้น้ำมันหอมระเหย ตามธาตุเจ้าเรือน ฝึกปฏิบัติการดมกลิ่น การประยุกต์ใช้กลิ่นหอมในชีวิตประจำวันและเครื่องหอมไทย แผนการเรียน สัปดาห์ วันเดือนปี คาบ หัวข้อ ผู้สอน/ผู้บรรยาย 1 อ.17 ก.ย.66 (กทม) เช้า แนะนำการเรียน ความเป็นมา หลักการสุ คนธบำบัด สารหอม และชีวกลศาสตร์ของ น้ำมันหอมระเหย อ.ดร.รัตนา ปานเรียนแสน บ่าย การประยุกต์ใช้กลิ่นหอมและน้ำมันหอม ระเหยเพื่อสุขภาพและเชิงพาณิชย์ - แนวคิดและหลักการออกแบบผลิตภัณฑ์ สุขภาพที่มีผสมของน้ำมันหอมและ ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ผศ.ดร.ชนัญชิดา ยุกติรัตน์ - การใช้น้ำมันหอมระเหยทางคลินิก อ.ดร.แสงสิทธิ์ กฤษฎี 2 ส.23 ก.ย.66 (สมุทรสงคราม) เช้า พรรณไม้หอมและน้ำมันหอมระเหย น้ำมันตัวพา อ.ดร.รัตนา ปานเรียนแสน บ่าย การสกัดน้ำมันหอมระเหย และปฏิบัติการ สกัดน้ำมันหอมระเหยน้ำหอม อ.พทป.กิตติศักดิ์ แคล้ว จันทร์สุข การปรุงน้ำมันหอมระเหย และปฏิบัติการ ปรุงน้ำมันหอมระเหย อ.ดร.รัตนา ปานเรียนแสน อ. 24 ก.ย.66 (สมุทรสงคราม) เช้า การตรวจคุณภาพน้ำมันหอมระเหยและ ปฏิบัติการวิเคราะห์คุณภาพของน้ำมันหอม ระเหย อาจารย์ ดร.สุวดี โชคชัยสิริ บ่าย เครื่องหอมไทย ผศ.ดร.พีรดา ดามาพงษ์ การประยุกต์ใช้กลิ่นหอมและน้ำมันหอม ระเหย อ.ดร.รัตนา ปานเรียนแสน
สัปดาห์ วันเดือนปี คาบ หัวข้อ ผู้สอน/ผู้บรรยาย ส. 30 ก.ย.66 (กทม) เช้า การประยุกต์ใช้กลิ่นหอมและน้ำมันหอม ระเหย (ต่อ) อ.ดร.รัตนา ปานเรียนแสน บ่าย การเครื่องหอมไทยกับชาววังสวนสุนันทา วิทยากรจากศูนย์ศิลปะวัฒนธรรม 3 อ. 1 ต.ค.66 (กทม) เช้า การนำเสนอผลงานการการประยุกต์ใช้กลิ่น หอมในชีวิตประจำวันและเครื่องหอมไทย อ.ดร.รัตนา ปานเรียนแสน บ่าย การพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำหอม คุณรัชดา คำมิ่ง (เจ้าของแบรนด์น้ำหอมวิเวียน) หมายเหตุ 1. เช้า 09.00-12.00 น. บ่าย 13.00-16.00 น. 2. อาจมีการสลับหัวข้อในการสอนตามความเหมาะสม
ความส าคัญและ ความเป็ นมาของสุคนธบ าบัด อาจารย์ ดร.รัตนา ปานเรียนแสน สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพและความงาม วิทยาลัยสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา E-mail address:[email protected] หัวข้อบรรยาย • ประวัติความเป็นมา • แนวคิดและหลักการ • แนวทางการใช้ประโยชน์จากน ้ ามันหอมระเหย 2 9/16/2023 Add a footer ดมปุ๊บ รู้ปั๊บ กลิ่นบอกสเปกคู่รัก
ประวัติความเป็ นมา นิยามและค าจ ากัดความทีเกี ่ ยวข้อง ่ • Aromatherapy (อโรมาเธอราปี) หรือสุคนธบ าบัด สุวคนธบ าบัด คันธบ าบัด กลินหอมบ าบัด การบ าบัด่ ด้วยกลินหอม่ • Aromatherapy is a form of alternative medicine that uses volatile plant materials, known as essential oils, and other aromatic compounds for the purpose of altering a person's mind, mood, cognitive function or health (Shah, et.al, 2011) • สุคนธบ าบัด (Aromatherapy) คือ ศาสตร์และศิลปะแห่งการใช้กลินหอมของน ่ามันหอมระเหยจากพืช ้ ธรรมชาติในการช่วยบ าบัดรักษาโรคทางร่างกายและจิตใจ มีผลต่อระบบประสาท บรรเทาความเครียดและ อาการวิตกกังวล ผ่อนคลายหรือกระตุ้นให้ร่างกายและจิตใจเกิดความสมดุลและมีสภาพที่ดีขึ้น รวมทั้งป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บที่ไม่ร้ายแรงได้อีกด้วย จึงนับได้ว่าเป็นการแพทย์ทางเลือกแบบหนึ่ง (Kuriyama, H., et al., 2005) Aromatherapy การใช้ประโยชน์จากกลิ่นหรือน ้ามันหอม ระเหยจากพืชในการดแลสุขภาพ ู ซึ่งส่งผล ให้ร่างกาย จิตใจและอารมณ์เกิดความ สมดุล รู้สึกผ่อนคลาย ซึ่งมีผลให้ร่างกาย ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บที่ไม่ร้ายแรงได้ 6 9/16/2023 Add a footer
การใช้ประโยชน์ของกลิ ่นในมนุษย์แบ่งเป็ น 3 ช่วง ก่อนปี คริสตศักราช ศตวรรษที ่ 1 - 18 ศตวรรษที ่ 19 - ปัจจุบัน ก่อนคริสตศักราช • การใช้กลิ่นเพือสุขภาพมีมานานกว่า 5,000 ปี ่ • จีนอาจจะเป็ นชาติแรกที่มีวัฒนธรรมการใช้พืชที่ให้กลิ่นหอม เพื่อสุขภาพในรูปแบบการเผาผงไม้หอมเพื่อสร้างสมดุลอารมณ์ มีการใช้สมุนไพรที่มีกลิ่นหอมในการท ายาและก ายาน • สมัยอียิปต์ กรีก โรมัน และจนถึงปัจจุบัน เช่น กลิ่นก ายาน (Frankincese) ส าหรับบูชาสุริยเทพ (Ra) และ มดยอบหรือ เมอร์ (Myrrh) ส าหรับบูชาพระจันทร์ เป็นต้น • บันทึกบนกระดาษปาปิรัสในการใช้พืชเป็นยา และพบต ารับยา กว่า 100 ชนิด รวมถึงการใช้น ้ามันหอมระเหยในการรักษาโรค •อียิปต์โบราณใช้พืชต่างๆ ในรูปแบบของน ้ามันและเร ซินจาก cedarwood, clove, cinnamon, nutmeg and myrrh • ตามศาสนสถานของอียิปต์พบการใช้ไคฟี (Kyphi) หรือ Kapetซึ่งเป็นผงไม้หอมมาเผาเพื่อให้เกิดความ หอมในการบวงสรวงเทพเจ้าในพิธีกรรมต่างๆ • หลักฐานที่ชัดเจนคือ การอาบศพ เพื่อรักษาศพไม่ให้ เน่าเปื่อย การท ามัมมี ่ กษัตริย์ เช่น การอาบพระศพ ของกษัตริย์ตุตันคาเมน (Tutankhamen) ด้วยน ้ามัน ก ายานหรือ แฟรงคินเซนส์ (frankincense)
ศตวรรษที ่ 1 - 18 • ในสมัยกรีก ค.ศ. 40-90 พีดาเนียส ไดออสคอริดีส (Pedanius Dioscorides) ซึ่งเป็น แพทย์ เภสัชกร และนักพฤกษศาสตร์ที่ส าคัญในยุคนั้น เขียนต าราทีชื่อว่า ่ De Materia Medica ถือเป็ นสารานุกรมพืชสมุนไพร (Pharmacopeia) • ในสมัยโรมันหรือราว ค.ศ.100 มีการศึกษาเกี่ยวกับพืชสมุนไพรอย่างจริงจัง มีการ กระจายความรู้อย่างกว้างขวาง การค้าขายน ้ามันหอมระเหยกลิ่นกุหลาบจากเปอร์เซียไป ยังยุโรป • ในปี ค.ศ. 980 ในเปอร์เซีย อิบน์ ซีน่า (Ibn Sina) หรือแอนวิเซนนา (Avicenna) ได้ ค้นพบวิธีการกลั่นน ามันหอมระเหย ้ และการท าน ้ามันหอมระเหยให้บริสุทธิ์เป็นครั้งแรก จากกุหลาบ Rosa centifolis เขียนต าราทีชื่อ ่ The Book of Healing & The Canon of Medicine ถือเป็นต าราเล่มแรกการใช้น ามันหอมระเหยและพืชสมุนไพรอื ้ นๆ่ • สตรีอิตาเลียนชือ่ Catherine de Medici ค้าขายน ้ามันหอมระเหยและน ้าหอมไปยัง ฝรั่งเศสแต่งงานกับ Prince Henri II แห่งผรั่งเศส ได้ริเริมการปลูกมะลิ กุหลาบ ลาเวนเดอร์เพื่อผลิตน ้ามันหอมระเหย ช่วงศตวรรษที่1 - 18 (ต่อ) • ในปี ค.ศ.1533 มีการผลิตน ้ ามันหอมระเหยและน ้ าหอมในเชิง การค้าในเมือง Grasse • ศตวรรษที่ 16 เป็นยุคที่มีการศึกษาเกี่ยวกับเคมีและธาตุต่างๆอย่าง กว้างขวางในประเทศเยอรมนี การคิดค้นกระบวนการกลั่นและมีการต่อ ยอดความรู้เกี่ยวกับน ้ามันหอมระเหยมีมากขึ้น • ศตวรรษที่ 17 มีการน าน ้ามันหอมระเหยเข้ามาใช้การรักษา มีการศึกษา ในห้องปฏิบัติการเป็นครั้งแรกเกี่ยวกับน ้ามันหอมระเหย พบว่าน ้ ามัน หอมระเหยจากลาเวนเดอร์และออริกาโนสามารถต้านการเจริญ ของแบคทีเรียได้ • ศตวรรษที่ 18 มีการใช้เครื่องเทศและสมุนไพรในการยับยั้งกลิ่นปาก มี การบันทึกการใช้งานไว้อย่างเป็นทางการในหนังสือ Pharmacopoeia ในประเทศเยอรมนี ช่วงศตวรรษที่19 - ปัจจุบัน • ค.ศ.1920-1930 ดร.เรเนโต คายาลา (Reneto Cayala) และ ดร.จิออวานนี การี (Giovanni Gari) ได้ทดลองใช้น ้ามันหอม ระเหยต่อระบบประสาท และประเมินประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อ ของน ้ามันหอมระเหย • ค.ศ.1928 นักเคมีชาวฝรั่งเศส ชื่อ เรเน มอริช กัตฟอส (Rene-Maurice Gattefosse) ค้นพบสรรพคุณพิเศษของน ้ามัน ลาเวนเดอร์โดยบังเอิญในการบรรเทาความเจ็บปวด รักษาแผล จากน ้าร้อนลวก จึงเริ่มท าการศึกษาจริงจังและเป็นผู้ให้ค านิยาม ของค าว่า “Aromatherapy” ขึ้น
Gattefosse and Aromatherapy • นักเคมีชาวฝรั่งเศส ชื่อ เรเน มอริช กัตฟอส (Rene-Maurice Gattefosse) “Father of Aromatherapy” • ค้นพบสรรพคุณพิเศษของน ้ามันลาเวนเดอร์โดยบังเอิญในการ บรรเทาความเจ็บปวด รักษาแผลจากน ้าร้อนลวก จึงเริ่ม ท าการศึกษาจริงจัง • ท าการศึกษาฤทธิ ์ของน ้ามันหอมระเหยในการรักษาอาการต่างๆ •ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 มีการใช้น ้ามันหอมระเหยในการ รักษาบาดแผลจากสงครามในโรงพยาบาลทหาร •เขียนต ารา “Gattefosse’s Aromatherpy” เกี่ยวกับสรรพคุณใน การต้านการติดอักเสบ และการคืนสภาพผิวให้อ่อนวัย ช่วงศตวรรษที่19 - ปัจจุบัน • ค.ศ.1939 ดร.อาร์เธอร์ เพนโพลด์ (Dr.Arthur Penfold) นักเคมีชาว ออสเตรเลีย ผ ู ้ค้นพบการสกัดและใช้น ามันจาก ้ Tea tree และมีการ น าไปใช้ในทหารที่บาดเจ็บจากสงครามโลกครั้งที่ 2 • ค.ศ.1942 ดร.ฌอง วาเน็ท (Dr.Jean Valnet) ตีพิมพ์หนังสือชื่อ “Aromatherapie” • ค.ศ.1964 มากาเร็ต มอรี (Marguerite Maury) และมิเชอลิน อาซีเยร์ (Micheline Arcier) เริ่มมีการน าเอาน ามันหอมระเหยมาใช้ใน ้ เครื่องส าอาง และผสมร่วมกับการนวด • ค.ศ.1965-ปัจจุบัน มีการศึกษาและค้นคว้าเกี่ยวการสกัด องค์ประกอบ ฤทธิ ์ของน ้ามันหอมระเหย การสังเคราะห์สารที่ให้กลิ่นหอมเลียนกลิ่น น ้ามันหอมระเหย และมีการประยุกต์ใช้น ้ามันหอมระเหยจากธรรมชาติ และน ้าหอมในอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างกว้างขวาง ประวัติการใช้น ามันหอมระเหยในประเทศไทย ้ • ในประเทศไทยมีการใช้น ้ามันหอมระเหยมาเป็ นเวลาช้านาน ในรูปของยา หอม ยาดม การปรุงแต่งอาหาร การอบสมุนไพรต่างๆ น ้าปรุง น ้าอบ แป้งร ่า ธูป และดอกไม้หอม แต่ได้จางหายไปตามกาลเวลา ด้วยมีน ้าหอมสังเคราะห์จาก ต่างประเทศเข้ามาทดแทน • เดิมการใช้งานน ้ามันหอมระเหยโดยตรงยังพบน้อย แต่ปัจจุบันมีการน าน ้ามัน หอมระเหยกลับมาใช้ และได้รับความนิยมเป็ นอย่างมากในวงการแพทย์ ทางเลือก (Alternative medicine) และธุรกิจนวดและสปา • น ้ามันหอมระเหยที่น ามาใช้ในการดูแลสุขภาพรวมถึงสถานประกอบการนวด และสปาเพื่อสุขภาพมี 2 ชนิด คือ น ้ามันหอมระเหยน าเข้าจากต่างประเทศ และ น ้ามันหอมระเหยผลิตในประเทศ การใช้กลิ่นหอมจากพืช • ลักษณะคือการใช้น ้ามันหอมระเหยผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้บริการกั บ ผู้รับบริการ และการใช้พืชหรือสมุนไพรทั้งชนิดสดและแห้งที่ยังไม่ได้สกัด เช่น การ อบ ประคบ ขัด พอก เป็นต้น
สรุปการใช้สุคนธบ าบัดหรือการใช้กลิ่นหอม น ้ำมันหอมระเหยมีกำรใช้ประโยชน์เพื่อบ ำบัดทำงด้ำนจิตวิญญำณ สุขอนำมัย และกำรในพิธีกรรมทำงกำรศำสนำ ซึ่งมีกำรใช้มำอย่ำง ยำวนำนในหลำยเชื้อชำติทั้งจีน อินเดีย อิยิปต์ กรีก โรมัน รวมถึงไทย เดิมมีกำรใช้น ้ำมันหอมระเหยที่สกัดได้จำกพืชโดยตรง ต่อมำมีกำร พัฒนำควำมรู้จนสำมำรถสังเครำะห์เลียนแบบได้ มีรูปแบบกำรใช้งำน 2 แบบ การใช้โดยตรงและการผสมในผลิตภัณฑ์ ต่างๆ เช่น เครื่องส ำอำง น ้ำหอม และยำ โดยประยุกต์ใช้ในวงกำร ต่ำงๆ ทั้งอำหำร แพทย์ สุขภำพ สปำ และควำมงำม แนวคิดและหลักการของสุคนธบ าบัด
แนวคิดของสุคนธบ าบัด เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการใช้ น ้ามันหอมระเหยเพื่อการรักษา ฟื ้ นฟ ู ด ูแลสมดุลของร่างกาย (body) ใจ (mind) และจิต วิญญาณ (spirit) วิธีการใช้น ้ามันหอมระเหยมี หลากหลาย เช่น การสูดดม การนวด อบ และอาบ เป็นต้น (Jonas W.B., 2005) ซึ่งใน การใช้กลิ่นเพื่อบ าบัดร่างกาย น ้ามันหอมระเหย (essential oil) เป็นของเหลวที่สกัดได้จาก ส่วนต่างๆ ของพืช ซึ่งมี ประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจ เมื่อน ามาใช้อย่างเหมาะสม และถูกวิธี จากพืชต่างๆ แนวคิดของสุคนธบ าบัด 1. สุคนธบ าบัดแบบองค์รวม (Holistic aromatherapy) เป็นค าที่นิยมใช้ในประเทศในแถบตะวันตก เป็นการ ใช้น ้ ามันหอมระเหยร่วมกับการนวดโดยนักหัตถบ าบัดที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เช่น นักกดจุด สะท้อน (Reflexologist) นักฝังเข็ม (Acupressure practitionerและ นักสะกดจิต (Hypnotherapist) ซึ่งการ ใช้น ้ามันหอมระเหยจะส่งผลทั้งต่อร่างกายและจิตใจ 2. สุคนธบ าบัดแบบการแพทย์ (Medical aromatherapy หรือ Aromatic medicine) เป็นค าที่นิยมใช้ใน ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งการใช้น ามันหอมระเหยแบบโดยแพทย์ หรือผ ้ ู ้เชียวชาญเฉพาะ ่ ซึ่งเป็นการรักษา แบบแพทย์ทางเลือก เช่น ออสทีโอพาธี (Osteopathy) หรือโฮมีโอพาธี (Homeopathy) ควบคู่ไปกับการ รักษาด้วยระบบการแพทย์กระแสหลัก 3. สุคนธบ าบัดแบบคลินิก (Clinical Aromatherapy) เป็นค าที่ใช้เรียกวิธีการใช้น ้ามันหอมระเหยในการดูแล สุขภาพที่เน้นในการใช้ภายนอกร่างกาย ซึ่งเป็นการใช้แบบดั้งเดิมที่เน้นการปรับสมดุลร่างกายและ อารมณ์ ซึ่งเป็นการลดความรุนแรงของการเจ็บป่ วยได้ หลักการส าคัญของการใช้น ามันหอมระเหย ้ • ประการแรก คือ กลิ่นน ้ามันหอมระเหยไปมีผลต่อสมองโดยเฉพาะส่วนของลิมบิก (Limbic system) ระบบการดมกลิ่น (Mathran,2008) • ประการทีสอง ่ คือน ้ามันหอมระเหยมีออกฤทธิ์ทางเภสัชต่อร่างกายโดยตรง (Prabuseenivasan, et.al, 2006) การท างานของน ้ามันหอมระเหยต่อร่างกายมีกลไกพื้นฐาน 2 ประการ ได้แก่ • การสูดดมทางจมูก (Inhalation) • การซึมผ่านทางผิวหนัง (Tropical application) • การรับประทาน (Orally taken) วิธีการน าน ้ามันหอมระเหยจะเข้าสู่ร่างกายได้ 3 วิธี
การท างานของน ามันหอมระเหยต่อร่างกายและจิตใจ ้ น ้ำมันหอมระเหยจำกพืช ยำเหน็บ ทวำรหนัก ช่องคลอด น ้ำมัน ผิวหนัง นวด เม็ดยำ รับประทำน กำรสูดดม จมูก ทำงเดินอำหำร กระแสเลือด อวัยวะต่ำงๆ ขับออก เนื้อเยื่อสมอง Limbic brain Amygdala Hypothalamus Pituitary gland Adrenal gland หลักการส าคัญของการใช้น ามันหอมระเหย (ต่อ) ้ หลักการใช้น ามันหอมระเหย้ • ระยะเวลา (duration) และความถีในการใช้ (่ frequency) มีหลักในการ พิจารณา 3 ประการ คือ รักษาให้ตรงกับปัญหาความเจ็บป่ วย ปรับให้อยู่ใน ภาวะสมดุล และบรรเทาอาการ (รักษาตามอาการ) • พิกัด (dosage) หรือปริมาณที่ควรใช้ ในการน ้ามันหอมระเหยบางชนิดเพื่อการ รักษาจ าเป็นต้องค านึงถึงปริมาณหรือพิกัดที่เหมาะสม บางชนิดใช้ปริมาณน้อย มีฤทธิ์กระตุ้นร่างกาย แต่ถ้าใช้ในปริมาณเข้มข้นจะมีฤทธิ์ในการยับยั้งร่างกาย การท างานของน ามันหอม้ ระเหยน ามันหอมระเหย้ • น ้ามันหอมระเหยจะถูกขับออกจากร่างกายอย่างรวดเร็วภายหลังการสูดดม หรือซึม ผ่านผิวหนังประมาณ 15 นาที โดยจะถูกขับออกภายใน 3-4 ชั่วโมง • กลไกการท างานหลักของน ้ามันหอมระเหยคือการไปกระตุ้นประสาทและสมองให้สั่ง การตามการออกฤทธิ์ของกลิ่นนั้นๆ
ตัวอย่างของพืชทีใช้ประโยชน์จากน ่ ามันหอมระเหย ้ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ส่วนทีให้น ่ ้ามัน ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ส่วนทีให้น ่ ้ามัน กานพลู Clove สะระแหน่ Mint spearmint กระดังงา Ylang Ylang เปปเปอร์มินต์ Peppermint กะเพรา Holy basil พิมเสนใบ Patchouli ขิง Ginger พริกไทย Pepper ขมินชัน้ Turmeric ไม้จันทน์ Cedarwood ขึนช่ายฝรั้ ่ง Celery seed โรสแมรี่ Rosemarry ตะไคร้หอม Citronella ไพล Plai ตะไคร้บ้าน Lemongrass ส้มเขียวหวาน Tangerine มะนาว Lime ยูคาลิปตัส Eucalyptus มะกรูด Kaffir lime ทีทรี Tea Tree มะกรูดฝรั่ง Bergamot สน Pine จันทร์แปดกลีบ Anise หญ้าแฝก Vetiver ตัวอย่างพืชทีให้สารหอมและการออกฤทธิ ่ / ์ ผลต่อร่างกาย ชนิด การออกฤทธิ/ ์ผลต่อร่างกาย ชนิด การออกฤทธิ/ ์ผลต่อร่างกาย Basil Promotes peace and happiness Lavender Counteracts insomnia Bergamot Promotes restful sleep Lemon Promotes health, healing, and energy Black pepper Increases alertness Lemon grass Purifies the body Chamomile Promotes sleep and tranquility Nutmeg Increase energy Cinnamon Increase energy and awareness Orange Increase joy and energy Clove Promotes healing, Dill Sharpens the conscious mind Peppermint Sharpens the conscious mind Eucalyptus Promotes healing Rosemary Promotes longevity Geranium Promotes happiness Sage Improve memory Ginger Increase energy Thyme Promote good health Jasmine Promotes love, sex, and sleep Water lily Promotes peace and happiness แนวทางการใช้ประโยชน์จากน ามันหอมระเหย ้
แนวทางในการใช้ประโยชน์จากน ามันหอมระเหย ้ ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์ ฤทธิ์ต้านโปรโตซัว ฤทธิ์ที่ส าคัญ การใช้ประโยชน์ สารเติมแต่ง อุตสาหกรรมอาหาร น ามันหอมระเหยจากพืช หรือสารสกัดจากพืช อุตสาหกรรมเครื่องส าอาง อุตสาหกรรมยา แนวทางในการใช้ประโยชน์ของสุคนธบ าบัด Psychoaromatherapy • ใช้น ำมันหอมเพื้อสร้ำงสมดุลของจิตใจ่ • ฤทธิของน ์ำมันหอมระเหยแตกต่ำงกัน เช่น สงบ ผ่อนคลำย กระตุ้น สร้ำงพลัง ้ สร้ำงควำมอบอุ่น แก้ซึมเศร้ำ Beauty Aromatherapy • ใช้ภำยนอกร่ำงกำย อำจใช้โดยตรงหรือผสมเครื่องส ำอำง • ทำผิว หมักผิว บ ำรุงผิวและศีรษะ เป็ นต้น Medical Aromatherapy • รักษำโรคต่ำงๆ เช่น สมำนแผล ต้ำนอักเสบ เพิมกำรไหลเวียน่ • ต้องอย ู่ในกำรควบคุม Inhalation Aromatic Bath Foot Bath Aromatic Fuming Sitz Bath Aroma Massage
บทสรุป • สุคนธศาสตร์ (Aromatology) เป็นวิชาที่ว่าด้วยการใช้กลิ่นหอมเพื่อสุขภาพ มีค าที่เกี่ยวข้องหลาย ค า แต่มีค าที่นิยมใช้กว้างขวางคือสุคนธบ าบัด (Aromatherapy) เป็นการใช้ประโยชน์จาก น าหอมระเหย ้ (Essential oils) ซึ่งสกัดได้จากพืชหลายชนิด เพื่อปรับสุมดลของร่างกาย โดยมี ประวัติการใช้งานมาหลายพันปี และมีพัฒนาการใช้งานอย่างต่อเนื่อง • น ามันหอมระเหยแต่ละชนิดมีปฏิกิริยาและส่งต่อร่างกายแตกต่า ้ งกันไปตามองค์ประกอบ เคมีของน ามันหอมระเหย ้ การออกฤทธิ ์ขึ้นอยู่ขนาดและความถี่ของการใช้ • การใช้ในชีวิตประจ าวันเพื่อวัตถุประสงค์ 3 ด้าน ได้แก่ การใช้ในเชิงจิตบ าบัด การใช้เชิงความ สวยงาม การใช้เพือเชิงการแพทย์ ่ ซึ่งวิธีการน าน ้ามันหอมระเหยเข้าสู่ร่างกายมีหลายวิธี เช่น การอาบน ้า การสูดหายใจ การแช่ ผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งแต่ละวิธีเหมาะสมส าหรับการดูแล ร่างกายแตกต่างกันไป
องค์ประกอบทางเคมีของน ้ามันหอมระเหย โดย อาจารย์ ดร.รัตนา ปานเรียนแสน สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพและความงาม วิทยาลัยสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา E-mail address: [email protected] หัวข้อบรรยาย ทบทวนความรู้https://www.youtube.com/watch?v=aLpBF0Uxp3I ค านิยามและค าจ ากัดความที่เกี่ยวข้อง คุณสมบัติของน ามันหอมระเหย องค์ประกอบทางเคมีของน ามันหอมระเหย ประเภทของน ามันหอมระเหย ความแตกต่างระหว่างน ามันหอมระเหยที่ได้จากธรรมชาติและการสังเคราะห์ บทสรุป Add a footer
ความหมายของน ้ามันหอมระเหย • องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรฐาน ISO ได้ให้ค าจ ากัดความ • ค าว่า “น ้ามันหอมระเหย” หรือ “Essential oil หรือ Volatile oil” ค าว่า Essence แปลว่า กลิ่น Volatile แปลว่า ระเหยได้ โดยไม่สลายตัว “An essential oil is a product made by distillation with either water or steam or by mechanical processing of citrus rinds or by dry distillation of natural material. Following the distillation, the essential oil is physically separate from the water phase” “น้้ำมันหอมระเหยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ท้ำโดยกำรกลั่นด้วยน้้ำหรือไอน้้ำหรือโดยกำรบีบคั้นด้วยมือจำกเปลือกส้มหรือโดยกำรกลั่นจำกวัตถุดิบ ธรรมชำติที่แห้ง แล้วท้ำกำรกลั่นด้วยไอน้้ำ ซึ่งน้้ำมันหอมระเหยจะแยกออกจำกน้้ำ” น ้ามันหอมระเหย (Essential oil หรือ Volatile oil) สกัดได้จากทั งพืช สัตว์ และการสังเคราะห์ เป็นของเหลว และระเหยได้ในอุณหภูมิห้อง ส่วนใหญ่มีสีใสหรือสีอ่อน มีสารประกอบเคมีหลายชนิดที่ให้กลิ่นหอม (fragrances or flower) หรือ สารหอม (Aromatic substances) เป็นสารเคมีที่กลิ่นที่เฉพาะตัว ไม่อยู่ในสถานะของเหลว รวมถึงใน รูปของน ามัน โดยล าพังไม่ท าให้เกิดกลิ่นที่พึงพอใจนัก แต่ถ้าอยู่รวมกันหลายชนิดในสัดส่วนที่เหมาะสมท าให้ได้กลิ่นที่ดี ขึ น พบได้ทั งในพืช สัตว์และจากการสังเคราะห์ Essential oil vs Perfume • น ้ามันหอม (Fragrance oil) หรือหัวน ้าหอม (Perfume oil) คือ น ามันหอมระเหยสังเคราะห์ที่ผลิตขึ นตามขั นตอนวิทยาศาสตร์เพื่อ เลียนแบบความหอมของธรรมชาติ เป็นเคมีภัณฑ์ที่ผลิตเพื่อเป็นสินค้า อุปโภคเป็นส่วนใหญ่ เป็นการท ากลิ่นเลียนแบบตามธรรมชาติ เช่น กลิ่นในแป้งเด็ก แชมพู โลชั่น เป็นต้น • น ้าหอม (Perfume) เป็นน าที่มีส่วนผสมของหัวน าหอมและ แอลกอฮอล์ และอื่นๆ ซึ่งมีกลิ่นต่างๆ ตามชนิดและสัดส่วนของหัว น าหอม เพื่อวัตถุประสงค์ในการปรุงกลิ่นร่างกายตามความต้องการ ของผู้ใช้ ซึ่งหัวน าหอมนิยมน ามาท าน าหอมมากว่าน ามันหอมระเหย เนื่องจาก ราคาถูกกว่า กลิ่นแรงกว่า และติดทนนานกว่า
ค ำส ำคัญที่เกี่ยวข้อง Aromatic substance Volatile oil Essential oil Fragrance oil/ Perfume oil Perfumes สรุปค้านิยามและค้าจ้ากัดความที่เกี่ยวข้อง น ้ามันหอมระเหยชนิดออร์แกนิก (Certified Organic Essential Oil ) เป็นน ามัน หอมระเหยบริสุทธิ์แท้ที่สกัดจากพืชที่เติบโตตามธรรมชาติ หรือได้รับการเพาะปลูกโดย วิธีเกษตรอินทรีย์ โดยไม่ใช่สารเคมีตลอดขั นตอนการเพาะปลูก รวมถึงมีการควบคุม มาตรฐานตลอดทุกขั นตอนการเก็บเกี่ยวและน าวัตถุดิบมากลั่น เพื่อให้น ามันหอม ระเหยที่ได้มานั นมีความสะอาดและบริสุทธิ์ 100% น ้ามันหอมระเหยชนิดบริสุทธิ์แท้ (Pure Essential Oil) เป็นน ามันที่มีคุณสมบัติและ ข้อมูลไม่ต่างอะไรกับน ามันหอมระเหยชนิดออร์แกนิก เพียงแต่ว่าผู้ผลิตที่ปลูกพืชและ กลั่นน ามันหอมระเหยนั น ไม่ได้ลงทะเบียนหรือขอรับรองเกษตรอินทรีย์จากองค์กรที่ให้ การรับรอง อาจเนื่องด้วยเหตุผลที่เป็นฟาร์มเล็ก ๆ มีการเพาะปลูกและผลิตน ามันหอม ระเหยเพียงไม่กี่ชนิดและได้รับความเชื่อมั่นในคุณภาพและชื่อเสียงของน ามันหอม ระเหยที่ผลิตอยู่แล้ว จึงไม่จ าเป็นต้องขอใบรับรองจากองค์กรใด ๆ 1. น ามันหอมเป็นของเหลวที่สกัดได้จากทั งธรรมชาติและจากการสังเคราะห์ น ามันหอม ระเหยที่สกัดได้ธรรมชาติ เรียกว่า Essential oil 2. น ามันหอมสังเคราะห์ เรียกว่า Fragrance oil มีกลิ่นเหมือนกันแต่คุณลักษณะหรือ การออกฤทธิ์แตกต่างกัน 3. คุณภาพของน ามันหอมระเหยแตกต่างกันไปขึ นกับกรรมวิธีการเพาะปลูก การสกัด รวมถึงมาตรฐานการผลิตที่ต่างกัน จึงท้าให้มีการเรียกชื่อน ้ามันที่ได้แตกต่างกันไป สรุป
คุณสมบัติและลักษณะของ น ้ามันหอมระเหย คุณสมบัติทั่วไปของน ้ามันหอมระเหย • เป็นสารอินทรีย์เข้มข้น มีต้นก้าเนิดมาจากพืช • เป็นของเหลวมีกลิ่นและรสที่เฉพาะตัว • ส่วนใหญ่แล้วไม่มีสี หากเกิดออกซิเดชั่นจะมีสีเข้มขึ นและกลิ่นเปลี่ยนแปลง ได้ แต่ละชนิดมีกลิ่นเฉพาะตัว • ระเหยง่ายโดยไม่สลายตัว ระเหยได้อุณหภูมิห้อง มีจุดเดือดต่้า • ความหนาแน่นต่้า น้อยกว่า 1 g/ml ยกเว้นน ้ามันอบเชยและน ้ามันกานพลู • ละลายได้ดีในตัวท้าละลายอินทรีย์ เช่น อีเธอร์ คลอโรฟอร์ม และ แอลกอฮอล์ ละลายได้บ้างในน ้า • ท้าให้กระดาษโปร่งแสงได้ จนสารระเหยหมด คอนกรีต (Concretes) • วัตถุดิบ เช่น ใบ ดอก ราก เปลือก น ามาสกัดด้วย ตัวท าละลายอินทรีย์ เช่น เฮกเซน แล้วระเหยออก • ประกอบด้วย essential oil, fatty acid และ waxes • ตัวอย่างเช่น Jasmine concrete (50% waxes และ 50% essential oil) Ylang Ylang concrete (20% waxes และ essential oil 80%) • มีความคงตัวและความเข้มข้นสูงกว่า น ามันหอม ระเหยบริสุทธิ์
ปอมเมด (Pomades) •จากการสกัดน ามันหอมระเหย ด้วยวิธี enfleurage •ใช้กับดอกไม้ที่ยังคงกลิ่นได้นานหลังการเก็บเกี่ยว •ไขมันที่ใช้จะอิ่มตัวด้วยน ามันหอมระเหยจากดอกไม้ • ปอมเมดเป็นไขมันอิ่มตัวที่มีกลิ่นหอม น ามันหอม ระเหยมีความเข้มข้นสูงอยู่ในไขมัน •สกัดออกมาได้ใช้ด้วยแอลกอฮอล์ เรซินอยด์ (Resinoids) •เตรียมจากยางไม้ที่เป็นเรซิน โดยใช้ตัวท าละลาย แบบชนิด non-aqueous solvent เช่น ปิโตรเลียมอีเธอร์ หรือ เฮกเซน •ตัวอย่างเช่น ยางสน แบบเรซิน เทอร์เพนทีน (turpentine) ก ายาน (frankincense) •เป็นของเหลวหนืด กึ่งแข็ง หรือเป็นของแข็ง ลักษณะเป็นเนื อเดียวกันที่ไม่ใช่ผลึก • ใช้ในอุตสาหกรรมท าน าหอม เป็นตัว fixatives ติดทนนานขึ น แอบโซลูท (Absolute) •ได้จากการสกัดคอนกรีต ปอมเมด หรือเรซินอยด์ โดยใช้แอลกอฮอล์ กระบวนการสกัดท าซ าจนสารที่ ได้มีความเข้มข้น •สารละลายเอทธานอลจะถูกท าให้เย็นเพื่อกรองเอา ไข ก าจัดเอาเอทธานอลออก •โดยใช้วิธีการกลั่น ส่วนใหญ่จะเป็นสารที่มีความ เข้มข้นสูงมากและหนืด
องค์ประกอบทำงเคมีของน ำมันหอมระเหย • น ำมันหอมระเหยสำมำรถ ประกอบด้วยสำรประกอบต่ำงๆ 1 ถึง 1,000 ชนิดที่มีลักษณะทำงเคมี ต่ำงกัน • น ำมันหอมระเหยเป็นสำรประกอบ อินทรีย์ • เคมีอินทรีย์คือกำรศึกษำโมเลกุล อินทรีย์ ในวิชำเคมี ค ำว่ำ "อินทรีย์" หมำยถึง "ที่มีคำร์บอน" Terpenes • เทอร์พีน (Terpene) เป็นไขมันที่ประกอบขึ้นจากหน่วยไอโซพรีน (Isoprene) ซึ่งมีคำร์บอน 5 อะตอม พบ มากในน้้ามันหอมระเหยในพืช โดยเฉพาะจากสนโคนิเฟอร์ สร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อแมลง มีกลิ่นแรง • แบ่งเป็นกลุ่มย่อยได้ตามจ้านวนของไอโซพรีนในโมเลกุล • Terpenes และ Terpenoids สารประกอบในกลุ่มลิพิด (lipid) เช่น menthol, limunene, zingiberene, beta carotene • เป็นสารซึ่งพบมากในน้้ามันหอมระเหย (essential oil) ที่ได้จากพืชพืชตระกูลส้ม (citrus) เมล็ดผักชีซึ่งมักมี สมบัติทางยา หรือมีกลิ่นหอม • สารประกอบ terpenes จะมีแต่ธาตุคาร์บอนและไฮโดรเจนเท่านั้น ส่วน terpenoids จะมีธาตุออกซิเจนเป็น องค์ประกอบอยู่ด้วย โครงสร้างของ terpene จะประกอบด้วยหน่วย isoprene ซึ่งมีคาร์บอน 5 อะตอมและ มักจะเชื่อมต่อกันแบบ head-to-tail
องค์ประกอบทางเคมีของน ้ามันหอมระเหย เทอร์พีนส์ (Terpenes) เทอร์พีนส์เป็นสารทุติยภูมิที่มีมากที่สุดในพืช มีสารตั งต้นในการสังเคราะห์คือ acetyl CoA หรือ intermediates จากกระบวนการไกลโคไลซิส หน่วยย่อยที่สุดมี 5C หรือ isoprene (C5H8 ) เทอร์พินอยด์ (Terpenoids) เทอร์พินอยด์ เป็นอนุพันธ์ของเทอร์พีนส์ ส่วนมากเป็นสารจ าพวกเทอร์พินส์ที่ระเหยได้ (volatile terpenes) มีโมเลกุลขนาดเล็กชนิดโมโนเทอร์พีนส์และเสสควิเทอรพีนส อาจมีอนุพันธ์ของออกซิเจน เช่น แอลกอฮอล์ อัลดีไฮด์ คีโตน ฟีนอล ออกไซด์ และเอสเธอร์ ฟีนิลโพรพีน (Phenylpropenes) มีโครงสรางหลักเปนวงอะโรมาติก (aromatic ring) ตอกับอะตอมของคารบอน 3 อะตอม เชน สาร Eugenol/Cinnamic aldehyde พบในน ามันหอมระเหยจากกานพลู อบเชยจีน อบเชยลังกา มีคุณสมบัติในการต้าน แบคทีเรียและชาเฉพาะที่ • โลหะ • กึ่งโลหะ • อโลหะ
องค์ประกอบทำงเคมีหลักที่พบ ในน ำมันหอมระเหย Terpenes กำรจ ำแนกน ำมันหอมระเหยทำงเคมี หมู่ฟังก์ชัน 24 9/19/2023 Add a footer
จ้าแนกองค์ประกอบทางเคมีตามหมู่ฟังก์ชัน 1. น ้ามันหอมระเหยชนิดไฮโดรคาร์บอน (Hydrocarbon) เป็นน ามันหอมระเหยที่มีไฮโดรคาร์บอนเป็น องค์ประกอบหลัก อาจเป็น monocyclic terpene ตัวอย่างเช่น น ามันยูคาลิปตัส น ามันกระวาน น ามันส้ม น ามันอบเชย 2. น ้ามันหอมระเหยชนิดแอลกอฮอล์ (Alcohols) เป็นน ามันหอมระเหยที่มีแอลกอฮอล์เป็นองค์ประกอบหลัก ในน ามันหอมระเหยที่ต าแหน่งของ OH จับในต าแหน่งเดียวกัน แต่จ านวนของแอลกอฮอล์ขนาดต่างกัน กลิ่น จะแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น น ามันสน น ามันดอกกุหลาบ น ามันดอกส้ม น ามันมิ นต์ 3. น ้ามันหอมระเหยชนิดอัลดีไฮด์ (Aldehydes) เป็นน ามันหอมระเหยที่มีอัลดีไฮด์เป็นองค์ประกอบหลัก ใน น ามันหอมระเหยที่มีอัลดีไฮด์ 1-4 คาร์บอน จะมีกลิ่นฉุน ไม่ค่อยดี แต่เมื่อ 5 คาร์บอน หรือคาร์บอนมากขึ นไป จะมีกลิ่นผลไม้ ดอกไม้ สมุนไพร เป็นต้น ตัวอย่างเช่น น ามันจากส้ม น ามันมะนาว น ามันตะไคร้หมอ น ามัน เปลือกอบเชยจีน จ้าแนกองค์ประกอบทางเคมีตามหมู่ฟังก์ชัน 4. น ้ามันหอมระเหยชนิดเอสเทอร์ (Esters) และอนุพันธ์ของเอสเทอร์ให้กลิ่นที่แตกต่างกัน เป็นน ามันหอมระเหย ที่มีเอสเทอร์เป็นองค์ประกอบหลัก •แอลิแฟติเอสเทอร์ (Aliphatic esters) มีหลายชนิดที่พบในกลุ่มนี ให้กลิ่นหอมไม่ว่าจะเป็นเมทิลเอสเทอร์ (Methyl esters) หรือเอทิลเอสเทอร์ (Ethyl esters) ในกลุ่มเมทิลเอสเทอร์ยิ่งขนาดใหญ่ ยิ่งมีกลิ่นหอมขึ น เรื่อยๆ •เทอร์ปินิลเอสเทอร์ (Terpenyl esters) ได้แก่ เจอรานิออลเอสเทอร์ (Geraniol ester) เนรอลเอสเทอร์ (Nerol esters) ลินาโลออลเอสเทอร์ (Linalool esters) ซิโตรเนลลอลเอสเทอร์ (Citronellol esters) เมนทอลเอสเทอร์ (Menthol esters) •แอโรมาติกเอสเทอร์ (Aromatic esters) อาทิ เบนซิลแอลกอฮอล์เอสเทอร์ (Benzyl alcohol ester) ฟินิล เอทานอลเอสเทอร์ (Phenyl ethanol ester) ซินนามิลแอลกอฮอล์เอสเทอร์ (Cinnamyl alcohol ester) กรดเบนโซอิกเอสเทอร์ (Benzoic acid ester) กรดซาลิไซลิกเอสเทอร์ (Salicylic acid ester) เป็นต้น แต่ละ ชนิดที่กลิ่นแตกต่างกันไป ให้กลิ่นดอกไม้ ยางไม้ ส ารองปลาวาฬ จ้าแนกองค์ประกอบทางเคมีตามหมู่ฟังก์ชัน 5. น ้ามันหอมระเหยชนิดคีโตน (Ketones) เป็นน ามันหอมระเหยที่มีคีโตนเป็นองค์ประกอบหลัก คีโตนที่มีคาร์บอ ไนล์อยู่ที่ต าแหน่งที่ 2 ของโพรพาโนน บิวทาโนน และเพนทาโนน ให้กลิ่นไม่ค่อยดี แต่เมื่อมีขนาดใหญ่กว่านี พบว่าให้กลิ่นเครื่องเทศ ดอกไม้ ผลไม้ รวมถึงสมุนไพร หากมีคาร์บอไนล์อยู่ที่ต าแหน่งที่ 3 และ 4 จะมีกลิ่น แตกต่างกันไป ดังตัวอย่างที่พบในอันเดคาโนน (Undecanoe) ที่ให้กลิ่นส้ม กุหลาบ ไอริส ตัวอย่างเช่น น ามัน มินต์ น ามันการบูร 6. น ้ามันหอมระเหยชนิดออกไซด์ (Oxides) เป็นน ามันหอมระเหยที่มีออกไซด์เป็นองค์ประกอบหลัก เช่น cineol (eucalyptol) ตัวอย่างเช่น น ามันยูคาลิปตัส
Add a footer
ตารางที่ 1 สารประกอบหลักและปริมาณที่พบในน ามันหอมระเหยของพืช ล ำดับ ชือพืช ชื่อวิทยำศำสตร์ ส่วนที่ใช้ สำรประกอบหลัก ปริมำณที่พบ (่ %) 1 กะเพรา Ocimum sanctum ใบ Eugenol 62.7 2 อบเชยจีน Cinnamomum cassia ใบ Cinnamaldehyde 79.9 3 น้อยหน่า Annona squamosa ใบ (E)-Caryophyllene 15.9 4 เทียนเยาวพาณี Carum coptium ทั้งต้น o-Cymene 37.4 7 กระเม็งตัวผู้ Wedelia chinensis ใบ Carvocrol 46 5 ส้มซ่า Citrus auranticum เปลือก Limonene 93.3 6 ขิง Zingiber officinale หัว Zingiberene 27.4 7 ตะไคร้ Cymbopogon citratus ใบ Geranial 42.4 8 ยูคาลิปตัส Eucalyptus camaldulensis เมล็ด 1,8-cineole 52.0 9 ส้มเกลี้ยง Citrus sinensis เปลือก Limonene 94.3 10 กฤษณา Aquilaria crassna เปลือกต้น β-Caryophyllene 8.1 11 ไทม์ Thymus vulgaris ใบ Thymol 73.6 12 โรสแมรี Rosmarinus officinalis ต้น α-pinene 30.8 13 พริกไทย Piper capense ผล Cis-muurola-3,5- diene 15.5 14 ลาเวนเดอร์ Lavandula angustifolia ต้น Linalool 36.1
ตารางที่ 2 ตัวอย่างสารหอมที่ในน ามันหอมระเหยบางชนิด สารหอม น ้ ามันหอมระเหย Cineol (Eucalyptol) ยูคาลิปตัส มาจอแรม Citronellol เจอราเนียม ตะไคร้หอม กุหลาบ Camphor การบูรต้น Benzyl acetate มะลิ กะดังงา Limonene พืชตระกูลส้ม Linalool ลาเวนเดอร์ มะกรูดฝรั่ง Nerol กุหลาบ ดอกส้ม Thymol ไทม์ Methyl chavicol กะเพรา Menthol สะระแหน่ Santatool ไม้จันทร์ ประเภทของน ้ามันหอมระเหย ที่มาของน ้ามันหอม ระเหย พืช สัตว์ สังเคราะห์
Ambergris (อ้าพันหรืออ้าพันทอง) • ส ารอกของปลาวาฬ ได้จากปลาวาฬหัวทุย (sperm whale) • พบมากแถบชายฝั่งทะเลนิวซีแลนด์หรือหมู่เกาะอินดีส • ความถ่วงจ าเพาะระหว่าง 0.78-0.92 หลอมตัวที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส • ละลายได้ดีในอีเทอร์ แอลกอฮอล์ และน ามัน • สารให้ความหอม คือ amberin, benzoic acid และอื่นๆ เช่น cholesterol และ fatty oils • อ าพันทองที่ดีมีลักษณะสีเทาอ่อน ระเหยง่าย ติดไฟได้ มีกลิ่น หอมเฉพาะที่ท าให้กลิ่นติดทน (fixative) • การสกัดอ าพันทอง น าอ าพันทอง 30 g/ alcohol 1 L จากนั นเขย่าที่อุณหภูมิประมาณ 25-30 องศาเซลเซียส Add a footer Castoreum (กลิ่นจากบีเวอร์) • สิ่งขับถ่ายจากกระเปาะรูปทรงรีระหว่างทวารหนัก และอวัยวะสืบพันธุ์ • เมื่อผ่ากระเปาะออกมาใหม่ๆ castoreum ที่ได้มีลักษณะครีมสีขาว เมื่อน าไป ตากแห้งและอังไฟเปลี่ยนเป็นสีน าตาล • แรกๆจะมีกลิ่นไม่หอมแต่เมื่อเวลาผ่านไป กระบวนการทางเคมีจะเปลี่ยนให้ กลิ่นหอมทนนาน • สารประกอบหลัก คือ ผลึก castorin กับ resin bezoic acid และ volatile oil ได้แก่ benzyl alcohol, acetophenone, pethylphenol 1-bormeol และ lactone • ในการจ าหน่ายมักผลิตออกมาในรูปของทิงเจอร์ของ castoreum • ใช้เป็น fixative ในหัวน าหอม โดยเฉพาะน าหอมที่มีกลิ่นหนักๆ
Civer (ชะมด) • เป็นสิ่งขับถ่ายจากกะเปาะของต่อมคู่ใกล้อวัยวะสืบพันธุ์ของตัวผู้และตัวเมียที่เช็ดไว้ตามต้นไม้ เพื่อดึงดูดเพศ ตรงข้าง • สามารถใช้มีดขูดได้ ซึ่งนิยมเก็บในช่วงเช้า • กลิ่นตัวผู้จะกลิ่นแรงและดีกว่าตัวเมีย • สารประกอบที่ส าคัญอยู่ในกลุ่มคีโตน ที่เรียกว่า zibetone ใช้เป็น fixative ในหัวน าหอม • การท าชะมดเช็ดให้บริสุทธิ์ท าได้โดยคลุกกับแป้งเท้ายายม่อมหรือทรายบริสุทธิ์ น าไปแช่ใน alcohol 1 เดือน แล้วกรองออก Musk • สิ่งขับถ่ายที่ได้จากกระเปาะข้างอวัยวะสืบพันธุ์ของกวางภูเขา • Musk มีลักษณะเป็นผงสีคล าอยู่ในกระเปาะที่เป็นถุงหนัง มีกลิ่น เฉพาะตัว ต้องฆ่ากวางจึงได้มา ท าให้มีราคาแพง • เป็นสารกลุ่มคีโตน เรียกว่า muskone หรือ muscone (3- methylcyclopentadecanone) • ใช้เป็น fixative ในหัวน าหอม ตัวอย่างสารหอมหรือน ้ามันหอมระเหยที่ได้จากการสังเคราะห์ ลักษณะของกลิ่น สารตั งต้น กลิ่นอัลมอนด์* ไนโตรเบนซิน (Nitric acid + Benzene) กลิ่นมะลิ น ามันด าของถ่านหิน กลิ่นกุหลาบ น ามันด าของถ่านหิน + alcohol + น ามันจากดอก หญ้าCitronella กลิ่นคาร์เนชั่น น ามันจากไม้ clove * เป็นกลิ่นแรกที่สังเคราะห์ได้ ปัจจุบันมีกลิ่นที่สามารถสังเคราะห์ได้กว่า 4,000 ชนิด
Add a footer ตารางแสดงสัดส่วนของหัวน ้าหอม ประเภท % หัวน ้าหอม % แอลกอฮอล์ % น ้า Perfume 15-30 90-95 5-10 Eau de Perfume 8-15 80-90 10-20 Eau de Toilette 4-8 80-90 10-20 Eau de Cologne 4-8 70 30 ประเภทของน ้ามันหอมระเหยตามลักษณะของกลิ่น ในปี ค.ศ. 1983 Michael Edwards ที่ปรึกษาในอุตสาหกรรมน าหอมได้ จ าแนกน าหอมออก และได้สร้างแผนภาพวงล้อของน าหอม (Fragrance Wheel perfume classification chart ver. 1983)
บทสรุป • น ้ามันหอมระเหยประกอบด้วยสารเคมีมากมาย บางชนิดมีสารเคมีที่ท าให้เกิดกลิ่นนับร้อยชนิดประกอบในน ามันนั นๆ นอกจากนี ยังมีสารอินทรีย์อื่นๆ ซึ่งพบปริมาณน้อยมาก แต่มีผลต่อการออกฤทธิ์ของน ามันหอมระเหยในเชิงสรรพคุณ หรือฤทธิ์ ต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย • น ้ามันหอมระเหยสามารถจ้าแนกได้ 2 กลุ่ม คือน ามันหอมระเหยจากธรรมชาติส่วนใหญ่ได้จากพืช เรียกว่า Essential oil หรือ Volatile oil และน ามันหอมระเหยที่ได้จากการสังเคราะห์ ที่เรียกว่า Fragrance oil ซึ่งนิยมน ามาแต่งกลิ่นของเครื่องใช้ ต่างๆ ตลอดจนน าหอม (Perfume) ที่ใช้ประพรมร่างกายทั่วไป • สิ่งที่ท้าให้น ้ามันเหล่านี มีกลิ่นหอม คือ สารหอม (Aromatic substances) ที่มีธาตุองค์ประกอบหลักคือคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน อาจพบซัลเฟอร์และไนโตรเจนบ้าง ซึ่งเป็นการสังเคราะห์ผ่านวิถีชีวสังเคราะห์ต่างๆ ซึ่งในกลุ่มของน ามันหอม ระเหยที่พบในธรรมชาติมีความแตกต่างกันในส่วนของหมู่ฟังก์ชัน อาทิ alcohols, aldehydes, ketones, esters, oxides • สามารถจ าแนกประเภทน ามันหอมระเหยได้ตามแหล่งที่มา และลักษณะของกลิ่นหรือความรู้สึกภายหลังการรับกลิ่นได้ • น าหอมระเหยที่ได้จากธรรมชาติแตกต่างจากการสังเคราะห์หลายประการ โดยเฉพาะคุณสมบัติในเชิงการรักษา ส่วนที่ เหมือนกันคือกลิ่นที่คล้ายคลึงกันส่งผลต่ออารมณ์และความรู้สึกที่ใกล้เคียงกัน ชีวกลศาสตร์และ ฤทธิ์ของน ้ามันหอมระเหยต่อร่างกาย โดย อาจารย์ ดร.รัตนา ปานเรียนแสน สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพและความงาม วิทยาลัยสหเวชศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา E-mail address: [email protected] หัวข้อ •สารประกอบทางเคมีในสิ่งมีชีวิตที่ให้กลิ่นหอม •กลไกการออกฤทธิ์ของน ้ามันหอมระเหย •ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของน ้ามันหอมระเหย
Primary metabolite Secondary metabolite สารประกอบทางเคมีในพืชที่ให้กลิ่นหอม •Primary metabolite (สารประกอบปฐมภูมิ) เป็นสารที่มีอยู่ในพืชชั้นสูงทั่วไป พบในพืชทุก ชนิด เป็นผลิตผลที่ได้จากกระบวนการสังเคราะห์แสง เช่น คาร์โบไฮเดรท ไขมัน โปรตีน เม็ดสี และเกลือนินทรีย์ •Secondary metabolite (สารประกอบทุติยภูมิ) เป็นสารประกอบสร้างขึ้นโดยพืช สัตว์ รา หรือแบคทีเรีย ไม่มีความจ าเป็นในขั้นวิกฤติต่อสิ่งมีชีวิตผู้ผลิต •ส่วนใหญ่กลุ่มสารทุติยภูมิเป็นสารธรรมชาติที่แสดงฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา และประโยชน์ทาง เครื่องส าอาง แต่จากการวิจัยพบว่า กลุ่มสารปฐมภูมิบางตัวสามารถแสดงฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา และประโยชน์ทางเครื่องส าอาง ได้เช่นกัน สารประกอบทางเคมีในพืชที่ให้กลิ่นหอม (ต่อ) • สารประกอบทุติยภูมิสร้างจากขบวนการทางชีวเคมีเพื่อผลิตสารที่ให้กลิ่น สี หรือสรรพคุณจ าเพาะของพืชที่มีลักษณะ ค่อนข้างพิเศษ • ในการสร้างสารนี้มีเอนไซม์(enzyme) เข้าร่วม เช่น อัลคาลอยด์ (Alkaloid) แอนทราควิโนน (Anthraquinone) น้ ามันหอมมันหอมระเหย (Essential oil) เป็นต้น ส่วนใหญ่มีจะสรรพคุณทางยา • อาจแบ่งสารธรรมชาติที่พบเหล่านี้ตามโครงสร้างเคมีออกเป็น 7 กลุ่ม คือ คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrates) แอลคา ลอยด์ (Alkaloids) ไกลโคไซด์ (Glycosides) แทนนิน (Tannins) น้ ามันหอมระเหย (Volatile oil, Essential oil) ไขมัน (Fats and Fixed oils) เรซินและบาลซัม (Resins and Balsams)
6 9/22/2023 Add a footer สารประกอบทางเคมีในพืชที่ให้กลิ่นหอม (ต่อ) • Pathway ในการผลิตน้ ามันหอมระเหยในพืชหลักๆ ได้แก่ Mevalonate pathway และ Shikimate pathway • น้ ามันหอมระเหยเป็นสารประกอบเคมีที่มีความซับซ้อน เป็นสารที่ให้กลิ่นสามารถระเหยได้ที่อุณหภูมิห้อง • สารประกอบเคมีที่พบในน้ ามันหอมระเหยแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ Terpenoids และ Phenylpropanoids • พืชในวงศ์เดียวกันมักผลิตและขับน้ ามันหอมระเหย ออกมาจากโครงสร้างของพืชเดียวกัน Glandular hairs ในวงศ์ Lamiaceae Lysigenous/ shizogenous ในวงศ์ Pinaceae และ Rutanceae
สารประกอบเคมีที่พบในน ้ามันหอมระเหย 2 กลุ่ม Terpenoids ได้จาก Mevalonate pathway โมเลกุลพื้นฐานคือ isoprene unit ซึ่งมีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบพื้นฐาน จ านวน คาร์บอนที่พบได้แก่ C5, C10, C15, C20 ฯลฯ บางครั้งอาจเรียก Terpenoids ว่า Aliphatic compounds Phenylpropanoids หรือ Aromatic compound พบเป็นส่วน น้อย เกิดจาก Shikimate pathway ซึ่งจะมีองค์ประกอบพื้นฐานเป็น phenyl ring (คาร์บอน 6 อะตอมที่อยู่รวมเป็นวงกลม) สารเคมีที่พบในน ้ามันหอมระเหย มี 12 ประเภท 1. Monoterpenes 2. Sesquiterpenes 3. Diterpene 4. Phenol 5. Aldehydes 6. Ketone 7. Esters 8. Lactones 9. Coumarins 10. Ethers 11. Oxides 12. Acids
ฤทธิ์ของน ้ามันหอมระเหย
Monoterpenes • พบในน้ ามันหอมระเหยมากที่สุด • มีอะตอมของคาร์บอนประมาณ 10 อะตอม • ไม่มีสี มีความผันผวนสูง (ไม่คงตัว) • ควรจะจัดการกับการดูแลและเก็บไว้ที่อุณหภูมิเย็น • ท าปฏิกิริยากับผิวได้เร็ว น าออกซิเจนสู่ผิว • ส่วนใหญ่พบได้ในน ้ามันซิตรัส ➢Skin penetration ➢Immune stimulation ➢Antiseptic action Sesquiterpenes • มีคาร์บอน 15 อะตอม หรือมี isoprene 3 หน่วย • ระเหยได้ช้ากว่า monoterpene • เช่น Zingiberene ในน้ ามันขิง, Cedrene ในซีดาร์, Farnesene ที่พบในน้ ามันกุหลาบ ➢Anti-inflammatory ➢Calming effect Phenol • มีหมู่ hydroxy groups จ านวน 1 หรือมากกว่า ร่วม benzene ring • สารเคมียาฆ่าเชื้อส่วนใหญ่ที่พบในพืช ปริมาณน้อย กระตุ้นการท างานของร่างกาย แต่ปริมาณสูง สามารถพิษต่อระบบประสาทและอาจท าให้เกิด การระคายเคืองผิว • ช่วยเสริมการท างานของการย่อยอาหาร • เช่น Thymol ในน้ ามันโหระพา eugenol, thymol, carvacrol ในกานพลู ➢Strong antiseptic action ➢Antifungal action ➢Anti-inflammatory effect ➢Skin irritation ➢Hepatotoxic effect
Alcohol • น้ ามันหอมระเหยที่มีองค์ประกอบของ แอลกอฮอล์เป็นหลัก เช่น acyclic alcohol (geraniol, citronellol) และ monocyclic alcohol (menthol, -terpinol) Lavendulol ใน Lavender • มักรวมอยู่ในรูปของ monoterpene alcohol, sesquiterpene alcohol, diterpene alcohol ➢ Antimicrobial action ➢ Antifungal action เช่น athlete’s foot ➢ Immune support ➢ Anti-inflammatory action ทั้งผิวหนังภายใน และภายในเนื้อเยื่อ ➢ Antispasmodic effect (ระงับอาการหดเกร็ง กล้ามเนื้อ) ➢ Sedative effect ท าให้สงบและผ่อนคลาย Ketone • เป็นน้ ามันหอมระเหยที่มีคีโตนเป็นองค์ประกอบหลัก • ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่ส าคัญ ได้แก่ ท าให้ผ่อนคลาย ใจเย็น รักษาเนื้อเยื่อแผลเป็น ระบบภูมิคุ้มกันหรือ ระบบทางเดินหายใจในร่างกาย • คีโตนอาจเป็นอันตรายต่อระบบประสาทและได้ผล ในการชัก ความล้มเหลวและโรคลมชัก • เช่น thyone Sage, pinocamphone ในพืชไม้ดอก สีน้ าเงิน และ carvone ในสะระแหน่ ➢ Mucolytic effect ➢ Antimicrobial action ➢ Skin-healing effect การรักษา ผิวโดยเฉพาะรักษารอยแผลเป็น ➢ Toxicity อาจเกิดผลลบต่อร่างกาย เนื่องจากพิษต่อตับและท าลายระบบ ประสาท Ester • มีเอสเทอร์เป็นองค์ประกอบหลัก • ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ได้แก่ antispasmodic แบคทีเรียและต้านการอักเสบ ช่วยในการปรับ สมดุลของระบบประสาท • เช่น acetate Cinnamyl ในอบเชย allyl isothiocyanate ในน้ ามันมัสตาด methyl salicylate ใน winter green oil ➢ Antispasmodic effect (ต้านการเกร็ง กล้ามเนื อเรียบ) ➢ Carminative effects เช่น ลาเวนเดอร์ นิยม ใช้ในการลดการเกร็ง และตะคริวกล้ามเนื้อ และ ขับลมในกระเพาะอาหาร ลมในล าไส้ ➢ Sedative effect (ระงับประสาท) ➢ Adaptogenic action ➢ Anti-inflammatory effect
Aldehydes • แอลดีไฮด์ (aldehyde) คือสารประกอบอินทรีย์ที่มีหมู่ -CHO อยู่ในโมเลกุลของไฮโดรคาร์บอน เช่น ฟอร์มาลดีไฮด์ (HCHO) และแอซีทาลดีไฮด์ (CH3CHO) อาจเกิดจากปฏิกิริยา ออกซิเดชันแอลกอฮอล์ได้เป็นแอลดีไฮด์ • ใช้ในฆ่าเชื้อโรค ท าความสะอาดพื้น ฝาผนัง เครื่องสุขภัณฑ์ และวัสดุอื่นๆ หรือการแก้ไขการอุดตันของท่อหรือทางระบาย สิ่งปฏิกูล สามารถท าให้เกิดการระคายเคือง • เช่น Furfurol ใน Lavender, Sandalwood, อบเชยและ Cypress มี aldehydes ➢Antimicrobial action ➢Sedative effect ➢Skin irritation ➢Possible hormonal effects ➢Anti-inflammatory effects Coumarins • Anti-convulsant และป้องกันการตกตะกอน • มีผลผ่อนคลายและยากล่อมประสาท • ควรจะใช้ด้วยความระมัดระวังและไม่ควรถูกแสงแดด • Bergaptene ในมะกรูด, angelicine ใน Angelica และ Citroptene ในน้ ามันซิตรัส เป็นตัวอย่างของการ coumarins • อาจก่อให้เกิดการแพ้แสงได้ กลไกการออกฤทธิ์ของน ้ามันหอมระเหย การออกฤทธิ์ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางเคมี โดยน้ ามันหอมระเหยจะซึมเข้าสู่กระแสโลหิตไป ท าปฏิกิริยากับฮอร์โมน และ เอนไซม์ เป็นต้น การออกฤทธิ์ที่กระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเคมีอื่นในร่างกาย ที่มีผลต่อการท างานของร่างกาย การออกฤทธิ์ทางด้านจิตใจ ซึ่งมักจะขึ้นกับประสบการณ์การรับกลิ่นของแต่ละบุคคล
น ้ำมันหอมระเหยจำกพืช ยำเหน็บ ทวำรหนัก ช่องคลอด น ้ำมันนวด ผิวหนัง เม็ดยำ รับประทำน กำรสูดดม จมูก ทำงเดินอำหำร กระแสเลือด อวัยวะต่ำงๆ ขับออก เนื้อเยื่อสมอง Limbic brain Amygdala Hypothalamus Pituitary gland Adrenal gland วิธีการน้าน ้ามันหอมระเหยต่อร่างกาย Emotional center อารมณ์ จะเป็นเช่นใดขึ้นกับสรรพคุณ ของกลิ่นนั้นๆ อยู่ในร่างกาย ประมาณ 4-48 ชั่วโมง การออกฤทธิ์ที่กระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเคมีออกมา ท้าให้มีผลต่อการท้างานของร่างกาย กลิ่นจะเปรียบเสมือนลูกกุญแจ ความทรงจ าเปรียบเสมือนแม่กุญแจ
กลไกการออกฤทธิ์จากการสูดดมทางจมูก (inhalation) กลไกการรับกลิ่น Reception • กลิ่น→ olfactory receptor cell (ciliated sensory neuron, supporting cells, basal cells) เป็นการส่งสาร ในรูปของกระแสไฟฟ้า (electrochemical message) Transmission • ข้อมูลข่าวสาร → Olfactory bulb → Olfactory tract → Limbic system Perception • Hypothalamus ได้รับข้อมูลมีการสั่งการให้หลั่งสารต่างๆ เช่น endorphin (สารลดความเจ็บปวด) encephalin (สารท าให้อารมณ์ดี) serotonin (สารท าให้ร่างกายผ่อนคลาย เยือกเย็น)
กลไกการออกฤทธิ์จากการสูดดมทางจมูก • ร่างกายสามารถจ าแนกและรับกลิ่นได้ประมาณ 10,000 กลิ่น มาจากการ ที่เซลล์รับกลิ่นมียีนที่เฉพาะเจาะจงเพียง 1 ยีน • กลิ่นที่จะกระตุ้นเซลล์รับได้ดี ควรมีสมบัติ ดังนี้ 1.ระเหยได้ในอากาศ 2.ละลายน้ าได้ดีผ่านเยื่อบุจมูกได้ง่าย 3.ละลายในไขมันได้ดี • จมูกไม่ได้กลิ่น (anosmia หรือการสูญเสียการได้กลิ่นอาจเกิดจาก 3 ประการ 1. อุบัติเหตุทางศีรษะ 2. การติดเชื้อจากไวรัส 3. โรคจากโพรงจมูกและไซนัส แบบที่ 1 และ 2 ท าให้ปลายประสาท เสื่อม แบบที่ 3 ช่องจมูกอุดตัน กลไกการออกฤทธิ์จากการซึมผ่านทางผิวหนัง (skin absorption) • น้ ามันหอมระเหยโมเลกุลขนาดเล็ก ละลายได้ดีในไขมัน → ซึมผ่านผิวหนังได้ดี • ผิวหนัง → กระแสเลือด → เส้นเลือดฝอยส่วนต่างๆของ ร่างกาย ผ่านระบบเลือดและน้ าเหลือง • ชั้นผิวหนังมีปลายประสาท และหลอดน้ าเหลือง → น้ ามัน หอมระเหยที่สัมผัสจะเกิดการส่งข่าวสารไปยังสมอง เช่นเดียวกับการสูดดม • เช่น การนวดด้วย 2% lavender ตรวจพบได้ในกระแส เลือดภายใน 20 นาที และหมดไปในเวลา 90 นาที • การออกฤทธิ์จากการสูดดมเร็วกว่าการซึมผ่านทางผิวหนัง ฤทธิ์ของน ้ามันหอมระเหยต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย
Nervous system • แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ระบบประสาทส่วนกลางและส่วนปลาย • น ้ามันหอมระเหยมีผลต่อระบบประสาทส่วนปลาย (olfactory nerve) ท้าให้ เกิดการส่งสัญญาณไปที่สมอง (limbic system) ตามกลไกการรับกลิ่น ส่งผล กระตุ้นความจ้า อารมณ์และความรู้สึก • ระบบประสาทส่วนปลายส่วนล่าง เป็นระบบประสาทอัตโนมัติ น ้ามันหอมระเหย บางชนิดอาจมีผลกระตุ้นหรือบางชนิดอาจมีผลระงับระบบประสาทอัตโนมัติได้ • น้ ามันหอมระเหยส่วนใหญ่มักมีผลท าให้กระตุ้นและผ่อนคลายระบบประสาท ตลอดจนควบคุมการเกิดสมดุลของระบบอื่นๆ • น้ ามันหอมระเหยต่อระบบประสาท เช่น ลดความตึงเครียด ประสาทอ่อนล้า ท าให้ สงบ การนอนไม่หลับ วิตกกังวล เป็นต้น • การนวดร่วมด้วยจึงมีผลโดยตรงต่อกล้ามเนื้อ ลดความเจ็บปวด เพิ่มความชุ่มชื้น ผิวหนัง ลดการหลั่งไขผิวหนัง ลดการแพ้หรือระคายเคือง ฆ่าเชื้อโรค ลดการอักเสบ ชะลอความเหี่ยวย่นได้ ตัวอย่างน ้ามันหอมระเหยที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท ฤทธิ์ ชนิดของน ้ามัน Sedative Chamomile, Melissa, Vetiver, Lavender, Clary sage, neroli, Petitgrain, Rose Wood, Rose, Jasmine, Marjoram Stimulating Cardamon, Fennel, Cinnamon, Basil, Clove, Anise, Peppermint, Pine, Thymol, Rosemary, Cajeput, Camphor, Black pepper Balancing Sandalwood, Bergamot, Geranium, Cedar wood
Cardiovascular system • ปัญหาที่พบบ่อยระบบนี้ คือ ความดันโลหิตสูงและต่้า กล้ามเนื อหัวใจไม่แข็งแรง หรืออ่อนแอ • น้ ามันหอมระเหยซึมลงผิวไปยัง mucous membrane และ เข้าสู่กระแสเลือด • น ้ามันหอมระเหยหลายชนิดมีผลกระตุ้นการไหลเวียนของ โลหิต ท าให้หัวใจและสมองท างานได้ดีท าให้ร่างกายขจัดของ เสียออกทางไตได้มากขึ้น (การมีโลหิตไหลเวียนได้ดี ยังช่วย เสริมภูมิต้านทานแก่ร่างกาย) • การนวดด้วยน้ ามันหอมระเหยที่มีฤทธิ์จ าเพาะบนบริเวณหัวใจ หลัง และแช่อาบทั่วตัว ตัวอย่างน ้ามันหอมระเหยที่ออกฤทธิ์ต่อระบบไหลเวียนเลือด ฤทธิ์ ชนิดของน ้ามัน Hypotensive (reduce high blood pressure) Lavender, Geranium, Marjoram, Clay sage, Lemon, Ylang ylang Hypertensive (increase blood pressure) Rosemary, Camphor, Thymol, Cumin Rubefacient and Stimulating circulation Benzoin, Cinnamon, Black pepper, Marjoram, Ginger, Nutmeg Antispasmodic action on heart Rose, Orange, Neroli Lymphatic system • ระบบล าเลียงที่ช่วยล าเลียงสารต่างๆให้กลับเข้าสู่เส้นเลือด โดยเฉพาะสารอาหาร พวกกรดไขมันที่ดูดซึมจากล าไส้ เล็ก ระบบน้ าเหลืองจะไม่มีอวัยวะส าหรับสูบฉีดไปยังส่วน ต่างๆ • ระบบน้ าเหลืองประกอบด้วย อวัยวะน ้าเหลือง ท่อน ้าเหลือง (lymph vessel) น ้าเหลือง (lymph) • การนวดน้ ามันหอมระเหยลดการอาการบวมน้ าในเซลล์ รักษา สมดุลย์ของฮอร์โมนในร่างกาย กระตุ้นการก าจัดสารพิษและ ของเสียออกจากร่างกาย (สาเหตุหลักของการเกิดเซลลูไลท์)
ตัวอย่างน ้ามันหอมระเหยที่ออกฤทธิ์ต่อระบบน ้าเหลือง ฤทธิ์ ชนิดของน้ ามัน Lymphatic stimulants Fennel, Geranium, Juniper, Rosemary Anti-toxic agents Tea tree, Thyme, Pine, Eucalyptus, Lemon Immune system •ระบบที่คอยปกป้องร่างกายจากสิ่งแปลกปลอมต่างๆ เช่น เชื้อโรค เซลล์ที่ก าลังเจริญเติบโตไปเป็นมะเร็ง การ ได้รับเลือดผิดหมู่ สารก่อภูมิแพ้ ฯลฯ •สิ่งแปลกปลอมต่างๆ เป็นสิ่งที่ร่างกายยังไม่รู้จัก เรียกว่า Antigen • น้ ามันหอมระเหยหลายชนิดที่เข้าไปกระตุ้นการท างาน ของระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยในการต่อต้านสิ่งแปลกปลอม ช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาด และ antitoxin ต่างๆ ตัวอย่างน ้ามันหอมระเหยที่ออกฤทธิ์ต่อภูมิคุ้มกัน ฤทธิ์ ชนิดของน ้ามัน Promote WBC Jasmine, Eucalyptus, Tea tree, Chamomile, Pine, Sandalwood, Lavender Anti-bacteria and Anti-virus Camphor, Clove, Eucalyptus, Tea tree, Cajuput, Neroli, Cinnamon, Rosemary, Bergamot, Basil, Pine
Integumentary system • ระบบอวัยวะที่ปกคลุมอยู่นอกสุดของร่างกาย ได้แก่ ผิวหนัง และอวัยวะ ที่มีต้นก าเนิดมาจากผิวหนัง (เล็บ ผม/ขน และรูขุมขน ต่อมไขมัน ต่อม เหงื่อ • เป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของร่างกาย มีเนื้อที่ประมาณ 1.5 ตาราง เมตร สามารถสังเคราะห์วิตามิน D ได้เอง • หน้าที่ส้าคัญของผิวหนัง คือ 1. ป้องกัน (Protection) ร่างกายจากสิ่งแวดล้อม 2. รับความรู้สึก (Sensation) 3. ควบคุมสมดุลความร้อนของร่างกาย (Thermoregulation) 4. ควบคุมระบบเมตตาบอลิสม (Metabolism) ของร่างกาย ตัวอย่างน ้ามันหอมระเหยที่ออกฤทธิ์ต่อระบบปกคลุมร่างกาย ฤทธิ์ ชนิดของน ้ามัน Cicatrizing (healing wound) Lavender, Chamomile, Geranium, Frankincense, Myrrh, Benzoin Anti-inflammatory Chamomile, Lavender, Myrrh Anti-septic Chamomile, Lavender, Lemon, Pine, Thyme, Eucalyptus, Tea tree, Clove, Cinnamon, Bergamot Deodorant Bergamot, Thyme, Juniper, Cypress, Pine, Tea tree, Peppermint, Lemongrass, Citronella Reproductive system • การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนต่างๆ มีต่อระบบของร่างกาย • น้ ามันหอมระเหยใช้บ าบัดอาการผิดปกติจากฮอร์โมนได้ เช่น อาการก่อนมีประจ าเดือน เครียด ปวดหลัง บางชนิดท าให้มดลูก บีบตัวจึงควรระวัง ในการใช้ในสตรีมีครรภ์ เช่น rose, geranium, fennel • น้ ามันหอมระเหยช่วยบรรเทาอาการวัยทอง การปวดประจ าเดือน การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ กระตุ้นความรู้สึกทางเพศ • การนวดด้วยน้ ามันที่ออกฤทธิ์บริเวณท้อง สะโพก หรือการแช่น้ า อาบ
ตัวอย่างน ้ามันหอมระเหยที่ออกฤทธิ์ต่อระบบสืบพันธุ์เพศหญิง ฤทธิ์ ชนิดของน ้ามัน Anti-microbial and antiseptic Bergamot, Sandalwood, Tea tree, Chamomile, Myrrh, Benzoin, Cinnamon, Lavender Emmenagogue Juniper, Fennel, Parsley, Neroli, Caraway, Cypress, Marjoram Aphrodisiac Jasmine, Ylang-ylang, Neroli, Rose, Sandalwood, Patchouli, Clary-sage Antispasmodic Anise, Basil, Peppermint, Melisa, Marjoram, Chamomile, Lavender, Rosemary Relief menopause symptom Sage, Geranium, Clary sage, Fennel Respiratory system • การหายใจ คือ กระบวนการแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนและ คาร์บอนไดออกไซด์ ระหว่างสิ่งแวดล้อมกับสิ่งมีชีวิต เพื่อใช้ ในกระบวนการเมตาบอลิซึมของเซลล์เนื้อเยื่อ อันประกอบ ไปด้วย • โมเลกุลของน้ ามันหอมระเหย สามารถแทรกซึมเข้าไปในถุง ลมและกระแสเลือดได้ • น้ ามันหอมระเหยบางชนิดฆ่าเชื้อโรค คลายกล้ามเนื้อเรียบ เช่น eucalyptus, tea tree • ในการนวดด้วยน้ ามันหอมระเหยบริเวณหลัง และอก ตัวอย่างน ้ามันหอมระเหยที่ออกฤทธิ์ต่อระบบหายใจ ฤทธิ์ ชนิดของน ้ามัน Antiseptics Cinnamon, Tea tree, Eucalyptus, Pine, Camphor, Clove, Lemon, Peppermint, Cajuput Expectorant Eucalyptus, Camphor, Pine, Rosemary, Lemon, Myrrh, Cajuput, Benzoin Coughs, Respiratory tracts infection Clary sage, Anise, Cypress, Frankincense
Digestive system • ระบบย่อยอาหารประกอบด้วยอวัยวะหลาย ๆ อวัยวะ ได้แก่ ปาก หลอด อาหาร กระเพาะอาหาร ตับ ตับอ่อน ล าไส้เล็ก ล าไส้ใหญ่ ซึ่งอวัยวะบางอวัยวะ ไม่มีการย่อยแต่เกี่ยวข้องกับทางเดินอาหาร • การย่อยอาหารเป็นกระบวนการที่ท าให้อาหารที่มีโมเลกุลใหญ่ มีขนาดเล็กลง จนสามารถซึมเข้าสู่เซลล์ได้ • น้ ามันหอมระเหยบางชนิดมีผลในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อเรียบในระบบย่อย อาหาร ช่วยลดแกสที่คั่งค้าง เช่น peppermint • ใช้การดื่มน้ าที่มีน้ ามันหอมระเหย หรือการนวดที่ท้องและหลัง ตัวอย่างน ้ามันหอมระเหยที่ออกฤทธิ์ต่อระบบย่อยอาหาร ฤทธิ์ ชนิดของน้ ามัน Antispasmodic Chamomile, Caraway, Sage, Peppermint, Anise, Fennel, Cumin Carminative Basil, Peppermint, Fennel Hepatic for liver congestion Rosemary, Peppermint, Lemon, Lime Stimulating the gall bladder Peppermint, Caraway Promoting appetite Peppermint, Basil, Anise, Angelica Mild laxative Fennel, Camphor, Peppermint, Black pepper, Marjoram, Rosemary Musculoskeletal system • ท าหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย การเคลื่อนไหวของ อวัยวะภายในร่างกาย เช่น การเต้นของหัวใจ การบีบตัวของ เส้นโลหิต การบีบตัวของกระเพาะอาหาร ล าไส้ และการ ท างานของปอด เป็นต้น • กล้ามเนื้อในร่างกายทั้งหมดมีน้ าหนักประมาณ 2/5 ของน้ าหนัก ตัวส่วนใหญ่อยู่บนรอบแขนและขา • การนวดและการอาบน้ าร่วมกับน้ ามันหอมระเหยท าให้กล้ามเนื้อ หดตัวและปล่อย กรดแลคติก กรดยูริกที่คั่งค้างออกมา เช่น rosemary, black pepper, ginger
ตัวอย่างน ้ามันหอมระเหยที่ออกฤทธิ์ต่อกล้ามเนื อ ฤทธิ์ ชนิดของน ้ามัน Relief muscle aches Lavender, Rosemary, Black pepper, Marjoram Joint stiffness German chamomile, Rosemary, Juniper, Fennel สรุป 1. น้ ามันหอมระเหยเป็นสารประกอบเคมีที่มีความซับซ้อน จ าแนกย่อยได้ 12 ประเภท ได้แก่ Monoterpenes, Sesquiterpenes, Diterpene, Phenol, Aldehydes, Ketone, Esters, Lactones, Coumarins, Ethers, Oxides, Alcohol และ Acids 2. สัดส่วนของสารเคมีที่พบในน้ ามันหอมระเหยท าให้น้ ามันหอมระเหยออกฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาทั้งในเชิงบวก และเชิงลบต่อร่างกายแตกต่างกันไป เช่น กระตุ้นภูมิคุ้นกัน ต้านอักเสบ ฆ่าเชื้อ เป็นต้น 3. วิธีการน าน้ ามันหอมระเหยเข้าร่างกายมี 3 วิธี ได้แก่ การสูดดมทางจมูก การซึมผ่านทางผิวหนัง และการ กิน ซึ่งแต่ละวิธีส่งผลต่อกลไกการออกฤทธิ์ต่อร่างกายที่แตกต่างกัน 4. การสูดดมทางจมูกจะท าให้ออกฤทธิ์ต่อร่างกายได้เร็วที่สุด รองลงมาได้แก่ การซึมผ่านทางผิวหนัง และการ กิน โดยน้ ามันหอมระเหยจะถูกขับออกจากร่างกายภายใน 48 ชั่วโมง ชึ้นกับชนิดของน้ ามันหอมระเหย 5. ฤทธิ์ของน้ ามันหอมระเหยส่งผลต่อการท างานของระบบต่างๆ ของร่างกายได้แตกต่างกัน ส่งผลในลักษณะ กระตุ้นการท้างาน การยับยั งการท้างาน และการปรับสมดุลการท้างานของระบบต่างๆ ในร่างกาย พืชที่ให้น ้ำมันหอมระเหยและคุณสมบัติ โดย อำจำรย์ ดร.รัตนำ ปำนเรียนแสน สำขำวิชำวิทยำศำสตร์สุขภำพและควำมงำม วิทยำลัยสหเวชศำสตร์มหำวิทยำลัยรำชภัฏสวนสุนันทำ E-mail address: [email protected]
หัวข้อ •พืชไทยและพืชเทศที่ให้น ้ำมันหอมระเหย •ฤทธิ์ทำงเภสัชวิทยำ • ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของน ้ำมันหอมระเหย พ ืชให้กลิ่นหอมที่ส้ำคัญ 1. Anise 2. Basil 3. Bergamot 4. Black pepper 5. Blue cypress 6. Cajeput 7. Cardamon 8. Carrot 9. Cedar 10. Chamomile 11. Cinnamon 12. Citronella 13. Clary sage 14. Clove 15. Cumin 16. Cypress 17. Eucalyptus 18. Fennel 19. Fir 20. Frankincense 21. Geranium 22. Ginger 23. Grapefruit 24. Helichrysum 25. Hyssop 26. Inula 27. Jasmine 28. Juniper 29. Lavender 30. Lemon 31. Lemon grass 32. Mandarin 33. Marjoram 34. Melissa 35. Myrrh 36. Neroli 37. Nutmeg 38. Orange 39. Patchouli 40. Palmarosa 41. Peppermint 42. Pettitgrain 43. Pine 44. Rosalina 45. Rose 46. Rosemary 47. Sandalwood 48. Sweet birch 49. Tea tree 50. Turmeric 51. Vertiver 52. Wintergreen 53. Ylang ylang Basil Local name กะเพรา Botanical name Ocimum basilicum Family Labiatae Location Tropical Africa and India; Comoro Islands, Egypt, France and Madagascar Extraction Steam distillation Used part Leaves Color and Odor Colorless, pleasant, rich, refreshing, sweet spicy, green and piercing odor Properties ****Antispasmodic ***Antibacterial, Digestive tonic **Antifunga, Anti-inflammatory
Local name กะเพรา Main Contents Methylchavicol, cineole, 1-linalool eugenol Aroma Sweet-spicy, slightly green, fresh Blends Digestive (basil 5 peppermint 3 chamomile R 3 Respiratory (basil 6 eucalyptus 3 benzoin 3) Reproductive (basil 5 lavender 4 jasmine 3) Classification Top notes Bergamot Local name มะกรูดฝรั่ง Botanical name Citrus bergamia Family Rutaceae Location Ivory coast (Italy), Sicily Extraction Ripe-fruit peel Used part Fruit peel Color and Odor Green color, citrusy and sweet aroma with a light, delicate floral hint Properties ***Antidepressant and anxiolytic **Antibacterial and antifungal, Antispasmodic, Digestive tonic and appetite stimulant Local name มะกรูดฝรั่ง Main Contents 1-linylacetate, d-limonene, bergaptene, nerol, cirale Aroma Rich, sweet-fruit initial odor Blends Digestive (bergamot 7 ginger 2) Respiratory (bergamot 7 rose 2 chamomile-R 3) Skin (bergamot 6 lavender 4 tea tree 3) Urinary (bergamot 7 tea tree 4) Emotion (bergamot 8 patchouli 3 lavender 2) Classification Top to middle note
Black pepper Local name พริกไทยด า Botanical name Pepper nigrum Family Piperaceae Location Tropical zone Extraction Steam distillation of the ripe pepper corns Used part Seed/ pepper corn Color and Odor Colorless with a strong, penetrating, sharp and spicy, middle note Properties ***Anti-inflammatory, Analgestic, Stimulant, Warming **Antispasmodic Local name พริกไทยด า Main Contents Methyl eugenol, eugenol, cineole, alpha-terpineol Aroma Fresh, dry-woody, warm-spicy, reminiscent of dried black pepper Blends Digestive (Black pepper 6 orange 3 ginger 2) Respiratory (Black pepper 6 benzoin 4 eucalyptus 2) Urinary (Black pepper 7 fennel 3 parsley 2) Circulatory (Black pepper 6 lemon 3 rosemary 3) Classification Middle notes Cedarwood Local name ซีดาร์ Botanical name Cedrus altantica Family Pinaceae Location Atlas mountains of Morocco and Algeria Extraction Steam distillation Used part Wood chips Color and Odor Yellow, viscid Properties ***Anti-inflammatory, Expectorant, Sedative