The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

อัยการนิเทศ เล่ม 77 ปี 2555

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aram.du, 2021-11-12 09:39:48

อัยการนิเทศ เล่ม 77 ปี 2555

อัยการนิเทศ เล่ม 77 ปี 2555

อยั การนเิ ทศ

(หนงั สอื ราชการของส�ำ นักงานอัยการสูงสดุ )
เลม่ ท่ี 77 พุทธศกั ราช 2555

สารบญั

บทความ 3
14
- แนวคดิ และประสบการณ์ในการพัฒนากฎหมาย
กลุ พล พลวัน 37
- ปญั หาในการดำ�เนินคดีภาษีขององค์กรปกครองส่วนทอ้ งถ่ิน : 44
ศกึ ษาเฉพาะกรณีการดำ�เนินคดีภาษโี รงเรือนและที่ดนิ (1) 56
ชนญิ ญา ชัยสุวรรณ
- การลงบัญชชี ี้แจงเหตทุ ่ีสำ�นวนค้าง (อ.ก. 40 ก.) ที่ไม่ถูกตอ้ ง 69
โชคชยั ทิฐกิ จั จธรรม 72
- เขตอำ�นาจสอบสวนคดอี าญา 74
ยิ่งพรัณณฐ์ คำ�ภเู วียง 77
- ธรรมส�ำ หรับข้าราชการ เพ่ือประโยชนส์ ขุ ของประชาชน 79
ดร. วชิ ช์ จรี ะแพทย์ 81
85
88
คำ�พิพากษาศาลฎีกา 91

- การขอคุ้มครองชวั่ คราวกอ่ นพิพากษา (ฎ. 3260-3261/2554)
- การขายอสังหาริมทรัพยท์ ี่เป็นทางคา้ หรือ (ฎ. 3617/2554)

หากำ�ไรท่ตี ้องเสียภาษธี ุรกจิ เฉพาะ
- การจับ คำ�รับสารภาพในชั้นจบั กมุ (ฎ. 13553/2553)
- การจ่ายคา่ ชดเชยและคา่ เสียหายกรณีเลิกจ้างทไ่ี มเ่ ปน็ ธรรม (ฎ. 5679/2554)
- การชงั่ นํ้าหนกั พยานหลักฐาน (ฎ. 5659/2554)
- การใช้กฎหมายยอ้ นหลัง (ฎ. 2079/2554)
- การได้กรรมสิทธิ์ในทดี่ ินตามกฎหมายทดี่ นิ (ฎ. 1398/2554)
- การบรรยายค�ำ ฟ้อง (ฎ. 10854/2553)
- การรับฟงั พยานบอกเล่าและพยานซดั ทอด (ฎ. 3823/2554)

- การรบั ฟังสือ่ ภาพและเสยี งคำ�ให้การเปน็ ค�ำ เบิกความในช้ันศาล (ฎ. 10962/2553) 94
- การสบื เสาะและพนิ ิจของพนกั งานคุมประพฤติ (ฎ. 6561/2554)
- คดคี วามผิดเกย่ี วกับยาเสพติด (ฎ. 11440/2553) 97
- คดีมีทุนทรัพย์ 99
- ความผดิ หลายกรรมต่างกัน (ฎ. 2620/2554) 101
- ความผดิ หลายกรรมต่างกนั (ฎ. 15500/2553) 103
- ความผิดหลายกรรมต่างกัน (ฎ. 1210/2554) 105
- เจา้ พนกั งานปฏบิ ัติหน้าที่โดยมิชอบ (ฎ. 2602/2554)
- ทางจำ�เปน็ ภาระจ�ำ ยอม (ฎ. 3287/2554) 108
- ท�ำ ร้ายผู้อน่ื เปน็ เหตใุ ห้ผ้อู นื่ ถงึ แก่ความตาย 111
- เบ้ียปรับ (ฎ. 12116/2553) 115
- บุกรกุ ในเวลากลางคืน (ฎ. 5698/2554) 120
- ปล้นทรพั ย ์ (ฎ. 4981/2554)
- ปลอมและใชเ้ อกสารปลอม 122
- ปลอมเอกสารสิทธิ (ฎ. 1938-1939/2554) 125
- ผูเ้ สียหาย (ฎ. 868/2554) 128
- ภาษีปา้ ย (ฎ. 1722/2554)
- มาตรการบังคับใหท้ รัพยส์ ินตกเป็นของแผ่นดิน ฟ้องซ้อน 131
- ร้ือถอนอาคาร (ฎ. 10959/2553) 133
- ละเมดิ ความผิดตาม พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บรโิ ภค พ.ศ. 2522 (ฎ. 203/2554) 136
- ลกั ทรพั ย์ วิ่งราวทรัพย์ ขอ้ เท็จจริงท่ีปรากฏ (ฎ. 2618/2554)
(ฎ. 898/2554) 138
ในทางพิจารณาแตกตา่ งจากฟ้อง 140
- ลดคา่ ปรบั (ฎ. 2320/2554) 142
- อนญุ าตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง (ฎ. 5800/2553)
- อ�ำ นาจยดึ ส่ิงของทอ่ี าจใชเ้ ปน็ พยานหลักฐานได้ 144
- อำ�นาจในการก�ำ หนดโทษใหม่ตามกฎหมาย (ฎ. 13464/2553) 148
ที่บัญญตั ิในภายหลัง
(ฎ. 144/2554) 150
(ฎ. 1265/2554) 152
(ฎ. 2114/2553) 154
(ฎ. 14087/2553 (ป.)) 159

ค�ำ พิพากษาและคำ�สงั่ ศาลปกครองสงู สุด (อ. 124/2554) 163
(ค. 4/2554) 168
- การกระทำ�ผิดวินยั อย่างรา้ ยแรง (ฟ. 33/2553) 170
- การเพิกถอนค�ำ สั่งยกคำ�รอ้ งคดั ค้านอนุญาโตตุลาการ
- การรับฟังความคดิ เห็นของประชาชน
กอ่ นเริม่ ดำ�เนนิ การโครงการของรฐั

- การลดบทบาทหนา้ ทีค่ วามรบั ผิดชอบ (อ. 229/2554) 179
และโอกาสความกา้ วหนา้ ในสายงาน (อ. 350/2554) 184

- มาตรฐานการพิสูจนก์ ารลงโทษทางวนิ ัย 189
192
ค�ำ ช้ีขาดความเห็นแย้งของอยั การสูงสุด 195
197
- กระท�ำ โดยประมาทเปน็ เหตใุ ห้ผอู้ น่ื รบั อนั ตรายสาหสั (ชย. 165/2553) 199
- ความเหน็ แย้ง ยกั ยอกทรพั ย์ (ชย. 358/2553) 203
- ทำ�ให้เสียทรัพย์พชื หรือพืชผลของกสกิ ร (ชย. 357/2553)
- ฝา่ ฝนื ค�ำ สง่ั ของเจา้ พนักงานทอ้ งถิ่นใหร้ ะงับการใช้อาคาร (ชย. 465/2553) 209
- ฝ่าฝืนคำ�ส่ังห้ามใชห้ รอื เข้าไปในสว่ นใด ๆ ของอาคาร (ชย. 211/2554) 212
215
ทมี่ กี ารกอ่ สรา้ งฝ่าฝืนกฎหมาย 217
- สิทธินำ�คดีอาญามาฟอ้ งระงบั (ชย. 86/2554) 219
221
ตอบข้อหารือสำ�นกั งานอยั การสูงสดุ 223
226
- การนบั อายุความในการดำ�เนนิ คดี (๓/๒๕๕๕)
- ถอนคนื รายได้แผน่ ดนิ (181/2554)
- ปญั หาข้อกฎหมายกรณกี ารรถไฟแห่งประเทศไทยไมป่ ฏิบตั ิ (154/2554)

ตามค�ำ สง่ั ของคณะกรรมการแรงงานรฐั วสิ าหกจิ สัมพันธ ์
- หารอื กรณคี นื หลักประกันซองและหลกั ประกันสัญญา (227/2554)
- หารอื เกี่ยวกบั พระบรมราชโองการสมัย (๑๕/๒๕๕๕)

การปกครองสมบรู ณาญาสทิ ธิราชย์
- หารือขอ้ สญั ญารว่ มด�ำ เนินงานพัฒนาพื้นทที่ า่ เทียบเรอื (๑๙๗/๒๕๕๔)
- หารือความรับผิดของผูค้ ้ําประกนั สินเชอ่ื (133/2554)
- หารอื วิธปี ฏบิ ัติในการเข้ารอื้ ถอนอาสนิ ในพ้ืนท่ีถกู บกุ รกุ (๒๔๐/๒๕๕๔)



สำ�นกั งานอยั การสงู สุด บทความ

2 บทความ

แนวคิดและประสบการณ์ในการพัฒนากฎหมาย
กลุ พล พลวัน*

ด้วยคณะผู้จัดทำ�เอกสารชุดนี้ได้ขอเชิญให้ข้าพเจ้าเขียนบทความเรื่อง “แนวคิดและประสบการณ์
ในการพฒั นากฎหมาย” เพอ่ื ถา่ ยทอดความคดิ และประสบการณใ์ นการพฒั นากฎหมายของผเู้ ขยี นใหแ้ กท่ า่ น
ผู้อ่านซึ่งเป็นข้าราชการอัยการน้อง ๆ ได้รับทราบ ผู้เขียนรู้สึกเป็นเกียรติและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับเชิญ
ดงั กลา่ ว เพราะปจั จบุ นั ผเู้ ขยี นดำ�รงต�ำ แหนง่ เปน็ อยั การอาวโุ ส อกี ไมก่ ป่ี กี จ็ ะเกษยี ณอายรุ าชการ ดงั นนั้ หากมี
สง่ิ ใดทจ่ี ะถา่ ยทอดเปน็ ความรแู้ กน่ อ้ ง ๆ กย็ นิ ดเี ปน็ อยา่ งยง่ิ เพราะอาจจะเปน็ ประโยชนแ์ กผ่ อู้ า่ นน�ำ ไปประกอบการ
พจิ ารณาในการปฏบิ ตั หิ นา้ ทไี่ ดบ้ า้ ง อนง่ึ การเขยี นประสบการณใ์ นการท�ำ งานยอ่ มจะตอ้ งเขยี นในเรอ่ื งสว่ นตวั
ทั้งด้านความคิดเห็นส่วนตัวและข้อเท็จจริงส่วนตัวจากการทำ�งาน ดังนั้น จึงขออนุญาตท่านผู้อ่านไว้ ณ
โอกาสนีด้ ว้ ย
หากมีคำ�ถามว่า ผู้ท่ีอยากจะท�ำ งานด้านการพัฒนากฎหมายควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง เพ่ือสามารถ
ปฏบิ ตั งิ านไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพในทนั ที ตามความเหน็ สว่ นตวั ของผเู้ ขยี นผทู้ ป่ี ระสงคท์ ำ�งานดา้ นการพฒั นา
กฎหมายควรเตรียมตวั อยา่ งนอ้ ยดังตอ่ ไปนี้
1. ควรเป็นนักอ่านและสนใจการค้นคว้าอย่างจริงจัง เนื่องจากผู้เขียนเป็นคนชอบอ่านหนังสือทุก
ชนิดและเป็นคนชอบค้นคว้าหาความรู้ใหม่ ๆ ทั้งในแง่ประวัติศาสตร์ที่เราไม่เคยทราบมาก่อน และด้าน
การศึกษาเปรียบเทียบระหว่างเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์กับเหตุการณ์ในปัจจุบันว่ามีที่มาอย่างไรและ
สัมพันธ์กันอย่างไร เพราะเหตุการณ์ในปัจจุบันมักจะมีที่มาจากประวัติศาสตร์เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการ
เปรียบเทียบระหว่างประเทศไทยกับนานาชาติก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
ดังนั้น ผู้เขียนจึงเริ่มสนใจในความเป็นมาของระบอบอัยการในประเทศไทยว่ามีที่มาอย่างไร ทั้งด้าน
การจัดตั้งองค์กรในอดีต อำ�นาจหน้าที่ของอัยการในปัจจุบันรวมทั้งองค์กรอัยการในต่างประเทศมีอยู่อย่างไร
เหมือนหรือแตกต่างกับองค์กรอัยการไทยในเรื่องใดบ้าง ฯลฯ และเมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นอัยการผู้ช่วยในต่าง
จังหวัด เมื่อเดือนเมษายน ปี พ.ศ. 2517 (อบรมภาควิชาการและปฏิบัติการในส่วนกลางเพียง 3 เดือน)
ก็ได้ขอทุนวิจัยจากสภาวิจัยแห่งชาติ (ชื่อในขณะนั้น) เพื่อทำ�วิจัยเกี่ยวกับองค์กรอัยการจากการค้นคว้า
เอกสารเกี่ยวกับองค์กรอัยการในอดีต รวมทั้งที่มาของการร่างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
2478 เอกสารเกี่ยวกับองค์กรอัยการในต่างประเทศ กระบวนการดำ�เนินคดีอาญาของอัยการในต่างประเทศ

*อัยการอาวโุ ส สำ�นักงานวชิ าการ

อยั การนิเทศ 3

เปรียบเทียบก็ทำ�ให้ผู้เขียนเกิดความประหลาดใจที่พบว่าองค์กรอัยการไทยในอดีตมีสิ่งที่น่าเรียนรู้เป็นอย่าง
ยิ่ง โดยเฉพาะระยะเริ่มก่อนตั้งองค์กรอัยการในสมัยรัชกาลที่ 5-6 โดยยังสังกัดในกระทรวงยุติธรรมเช่นเดียว
กับองค์กรตุลาการ
อยา่ งไรก็ดี แม้การศึกษาเอกสารทางประวัติศาสตร์เป็นสง่ิ จำ�เปน็ อย่างยิ่ง แตไ่ มค่ วรศึกษาเพียงเป็น
ต�ำ นานหรอื พงศาวดารเทา่ นนั้ เชน่ การศกึ ษาถงึ การกอ่ ตง้ั องคก์ รอยั การในประเทศไทย กม็ กั จะศกึ ษาเอกสาร
บางฉบบั หรอื เหตกุ ารณบ์ างเรอ่ื ง แลว้ สรปุ สนั นษิ ฐานกนั วา่ เรากอ่ ตงั้ ขนึ้ มาอยา่ งไร แลว้ น�ำ ขอ้ ความบางขอ้ หรอื
บางถ้อยค�ำ มาตีความหรือสันนิษฐานกันว่า น่าจะเป็นอย่างน้ันอย่างนี้ ซึ่งไม่มีหลักฐานทางวิชาการที่ชัดแจ้ง
และนา่ เชอ่ื ถือมาสนับสนนุ ดังจะเหน็ จากบทความหรอื ข้อเขยี นเก่ียวกับประวตั ศิ าสตร์กรมอัยการทจ่ี �ำ เล่ากนั
ต่อ ๆ มาจนกระทั่งปัจจุบันเหมือนประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาหรือกรุงสุโขทัย แต่ผู้เขียนสมัครใจทำ�ตัวเป็น
นักประวัติศาสตร์ที่เป็นนักนิติศาสตร์ร่วมกัน โดยศึกษาค้นคว้าด้วยความอยากรู้อยากเห็นอย่างแท้จริงและ
ในลกั ษณะเปรยี บเทยี บอย่ตู ลอดเวลา แลว้ วิเคราะหห์ าเหตุผลสนบั สนุนในทางวชิ าการนิตศิ าสตรป์ ระกอบวา่
เหตุใดกฎหมายจึงบัญญัติเช่นน้ัน มีท่ีมาเหตุผลสนับสนุนทางวิชาการอย่างไร รวมทั้งเปรียบเทียบกับองค์กร
อยั การในต่างประเทศด้วย
จากการศกึ ษาเอกสารทางประวตั ศิ าสตรร์ วมทง้ั เอกสารทางวชิ าการนติ ศิ าสตรท์ ง้ั ในประเทศและตา่ ง
ประเทศท�ำ ใหท้ ราบขอ้ เทจ็ จรงิ ใหม่ ๆ เกย่ี วกบั องคก์ รอยั การในอดตี และทม่ี าของกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา
ไทยหลายอยา่ ง ยกตวั อยา่ งประโยชนท์ ไ่ี ดร้ บั จากการศกึ ษาคน้ ควา้ เชน่

1) แตเ่ ดมิ องคก์ รอยั การเมอ่ื เรม่ิ กอ่ ตง้ั ขน้ึ โดยสงั กดั ในกระทรวงยตุ ธิ รรม โดยท�ำ หนา้ ทเ่ี ปน็ นกั กฎหมายของ
แผน่ ดนิ กระท�ำ การในนามของ “ราชาธปิ ไตย” และมหี นา้ ทเ่ี ปน็ องคก์ รพฒั นากฎหมายโดยตรง ดงั จะเหน็ ไดจ้ าก
กฎเสนาบดีกระทรวงยตุ ธิ รรม อันเปน็ ข้อบงั คบั สำ�หรับราชการในกรมอัยการ ลงวนั ท่ี 1 เมษายน ร.ศ. 112
มคี วามวา่
“อธบิ ดแี ละเจา้ พนกั งานในกรมอยั การตอ้ งฟงั บงั คบั บญั ชาของเสนาบดกี ระทรวงยตุ ธิ รรมในทาง
ปฏิบัติหน้าที่ราชการอธิบดีมีอำ�นาจเลือกผู้รู้พระราชกำ�หนดกฎหมายชำ�นิชำ�นาญ แม่นยำ�ดีมาตั้งเป็น
ราชมนตรแี ละเนตบิ ณั ฑติ ใหเ้ ปน็ ทป่ี รกึ ษา และผชู้ ว่ ยราชการกรมอยั การมหี นา้ ทเ่ี ปน็ ทปี รกึ ษาของกระทรวง หรอื
กรมตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วกบั ผลประโยชนข์ องราชาธปิ ไตยเปน็ ผรู้ กั ษาผลประโยชนข์ องราชาธปิ ไตยเปน็ ทนายความ
ในนามของราชาธปิ ไตย เปน็ พนกั งานรา่ งแตง่ ประกาศพระราชบญั ญตั ติ า่ ง ๆ แปลกฎหมายนานาประเทศ
ออกเปน็ ภาษาไทย ฟอ้ งกลา่ วโทษผกู้ ระท�ำ ผดิ ลว่ งพระราชอาญา ฯลฯ”
จากกฎเสนาบดกี ระทรวงยตุ ธิ รรมฉบบั น้ี มขี อ้ ความทน่ี า่ สนใจอยู่ 2 ประการ คอื
- ค�ำ วา่ “ในนามของราชาธปิ ไตย” นน้ั นา่ จะมาจากหลกั กฎหมายขององั กฤษซง่ึ เรยี กอยั การวา่ “Crown”
คอื นกั กฎหมายของพระมหากษตั รยิ น์ น้ั เอง และค�ำ ๆ นไ้ี ดน้ �ำ ไปใชก้ บั หลายประเทศทไ่ี ดร้ บั อทิ ธพิ ลกฎหมายจาก
องั กฤษ เชน่ ออสเตรเลยี ซง่ึ เปน็ ประเทศในเครอื จกั รภพและยอมรบั พระมหากษตั รยิ ข์ ององั กฤษเปน็ ประมขุ กเ็ รยี ก
อยั การวา่ “Crown” เชน่ กนั สว่ นประเทศไทยไดม้ กี ารปฏริ ปู กฎหมายและกระบวนการยตุ ธิ รรมครง้ั ใหญใ่ นสมยั

4 บทความ

รชั กาลท่ี 5 กไ็ ดน้ �ำ หลกั กฎหมายและกระบวนการยตุ ธิ รรมจากองั กฤษมาใชเ้ ปน็ สว่ นใหญ่ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ใน
ขณะนน้ั ไทยปกครองในระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย์ จงึ ไดย้ กยอ่ งใหอ้ ยั การเปน็ นกั กฎหมายของพระมหากษตั รยิ ์
เชน่ เดยี วกบั องั กฤษและออสเตรเลยี
อนง่ึ ค�ำ วา่ “อยั การเปน็ ทนายความในนามของราชาธปิ ไตย” นน้ั ผเู้ ขยี นกไ็ ดน้ �ำ มาใชเ้ ปน็ เหตผุ ลในการ
ชแ้ี จงตอ่ คณะกรรมการกฤษฎกี าขณะรา่ งกฎหมายองคก์ รอยั การไทยเปน็ ไปตามมาตรา 255 ของรฐั ธรรมนญู
แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2550 วา่ เหตใุ ดขา้ ราชการอยั การจงึ ควรถวายสตั ยป์ ฏญิ าณกอ่ นการปฏบิ ตั ิ
หนา้ ทเ่ี ชน่ เดยี วกบั ขา้ ราชการตลุ าการ ซง่ึ กระท�ำ การในพระปรมาภไิ ธย
- ค�ำ วา่ “เปน็ พนกั งานรา่ งแตง่ พระราชบญั ญตั ติ า่ ง ๆ” “กท็ �ำ ใหเ้ หน็ วา่ แตเ่ ดมิ นน้ั องคก์ รอยั การกท็ �ำ หนา้ ท่ี
เปน็ คณะกรรมการกฤษฎกี าดว้ ย คอื ท�ำ หนา้ ทย่ี กรา่ งกฎหมายตา่ ง ๆ ใหก้ บั รฐั มาชา้ นานแลว้ แตต่ อ่ มาองคก์ รอยั การ
กลบั มไิ ดท้ �ำ หนา้ ทส่ี �ำ คญั ดงั กลา่ วดว้ ยเหตผุ ลใดไมป่ รากฏชดั ดงั นน้ั ผเู้ ขยี นจงึ มคี วามคดิ วา่ หากมโี อกาสทจ่ี ะรเิ รม่ิ
รอ้ื ฟน้ื งานดา้ นการยกรา่ งกฎหมายใหก้ บั รฐั ขน้ึ มาใหมโ่ ดยเรยี กวา่ งานพฒั นากฎหมาย” และตอ่ มากไ็ ดม้ าท�ำ หนา้ ท่ี
ดงั กลา่ วอยา่ งจรงิ จงั จนกระทง่ั ปจั จบุ นั
2) จากการศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์การจัดต้งั องค์กรอัยการในประเทศไทยพบว่าเอกสารทาง
ประวตั ศิ าสตรท์ ม่ี อี ยั การเปน็ ผเู้ ขยี นเปน็ การสว่ นตวั หรอื ทจ่ี ดั พมิ พโ์ ดยกรมอยั การหรอื สำ�นกั งานอยั การสงู สดุ ก็
มกั จะพบเพยี งการสนั นษิ ฐานจากขอ้ ความในบางตอนของเอกสารหรอื บนั ทกึ บางฉบบั แลว้ น�ำ มาสนั นษิ ฐานสรปุ
วา่ กรมอยั การกอ่ ตง้ั ขน้ึ ในสมยั รชั กาลท่ี 5 ดว้ ยเหตผุ ลจากขอ้ ความหรอื บนั ทกึ ดงั กลา่ ว ซง่ึ นา่ จะไมใ่ ชข่ อ้ สรปุ ทม่ี ี
เหตผุ ลทางวชิ าการนติ ศิ าสตรม์ าสนบั สนนุ อยา่ งแทจ้ รงิ เชน่

- เรามกั จะอา้ งขอ้ ความจากบางตอนกนั วา่
“...ปรากฏตามหนังสือ ธรรมศาสตรว์ ินิจฉัยเลม่ 1 ในบทข่าวชำ�ระความศาลสถติ ย์ยุตธิ รรมเรอื่ ง
พระยาสีหราชเดโชชัย ข้อหาว่าเฆี่ยนนายโตตายว่า คดีนี้ได้มีการพิจารณาโดยกรมอัยการเป็นโจทก์
มีข้อความดงั ต่อไปน้ี
ดว้ ยเจา้ พนกั งานกองกลางกระทรวงยตุ ธิ รรม ซงึ่ ท�ำ การในหนา้ ทขี่ องกรมอยั การ ไดไ้ ตส่ วนอ�ำ แดงเปา้
ได้ความว่า อ�ำ แดงเป้าเป็นภริยาของนายโตผู้ตายแน่นอนแล้ว จึงพาอ�ำ แดงเป้าไปสาบานตัว แล้วยื่นฟ้องต่อ
กรมรับฟอ้ ง กล่าวโทษพระยาสีหราชเดโชชัยวา่ เม่ือวนั ที่ 24 พฤษภาคม ร.ศ. 111 พระยาสีหราชเดโชชัย
กบั พรรคพวกบา่ วทาสกลมุ้ รมุ จบั เอานายโตสามอี �ำ แดงเปา้ โจทกผ์ กู มดั ทบุ ตี จนวนั ท่ี 30 พฤษภาคม ร.ศ. 111
นายโตทนบาดเจบ็ ไมไ่ ดข้ าดใจตาย บัดน้ี กองไต่สวนโทษหลวงกระทรวงนครบาลกำ�ลังไตส่ วนพยานอยู่
ถ้ากองไต่สวนโทษหลวงส่งพยานมายังกระทรวงยุติธรรมเมื่อใดเจ้าพนักงานซึ่งทำ�หน้าที่ของ
กรมอยั การจะไดเ้ ตรยี มการวา่ ความเรื่องน้ี ซง่ึ เป็นความแผ่นดินใหแ้ ดงเปา้ โจทกต์ ่อไปตามกฎหมาย
คดีเรื่องนี้พิจารณาเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ร.ศ. 111 โดยหลวงรัตนาญัปติอัยการเป็นผู้ว่าคดี
(ต่อมาได้เล่อื นบรรดาศกั ดิ์เป็นขุนหลวงพระยาไกรสี อธบิ ดีกรมอัยการคนแรก)”
เหน็ ไดว้ า่ จากหนงั สอื ดงั กลา่ วขา้ งตน้ นา่ เหน็ ใจทา่ นผรู้ วบรวมวา่ ไดพ้ ยายามคน้ หาทมี่ าของการทอ่ี ยั การ
ด�ำ เนนิ คดอี าญาในฐานะเปน็ โจทกต์ วั แทนของแผน่ ดนิ ครง้ั แรกอยา่ งเตม็ ทแ่ี ลว้ กพ็ บเอกสารหลกั ฐานเกา่ แกท่ ส่ี ดุ

อัยการนเิ ทศ 5

เพียงเท่านี้ ซึ่งยังไม่มีการพิสูจน์จากนักวิชาการทางประวัติศาสตร์ว่า เป็นการด�ำ เนินคดีอาญาโดยอัยการใน
นามของแผน่ ดนิ เปน็ คดแี รกของประเทศไทย จริงหรอื ไมป่ ระการใด
เอกสารทางประวัติศาสตร์อีกฉบับหน่ึงท่ีเรามักอ้างอิงเป็นท่ีมาของการท่ีอัยการทำ�หน้าที่เป็นโจทก์
ฟอ้ งคดอี าญาในนามของแผน่ ดนิ กค็ อื รบั สง่ั ของพระเจา้ พยี่ าเธอ กรมหลวงราชบรุ ดี เิ รกฤทธ์ิ เรอ่ื ง “บคุ คลตาม
นติ สิ มมตใิ นเมอื งไทย” (พมิ พใ์ นหนงั สอื ชอ่ื “กฎและค�ำ สงั่ เสนาบดกี ระทรวงเกษตราธกิ าร” ลงวนั ที่ 1 เมษายน
พ.ศ. 2464 หนา้ 126) มีความตอนหนึง่ ว่า

“มสี าเหตอุ น่ื อยา่ งหนงึ่ ทกี่ ระท�ำ ใหค้ วามรขู้ องไทยในเรอ่ื งบคุ คลโดยนติ สิ มมตสิ วา่ งขน้ึ ดงั นคี้ อื เมอื่ ครง้ั
ร.ศ. 112 และเมื่อภายหลัง ร.ศ. 112 ไทยกับฝร่ังเศสมีข้อวิวาทกันมาก ฝร่ังเศสมีสัปเยกในเมืองไทยมาก
สัปเยกมากนี้มีข้อวิวาทกับคนไทยเมื่อใดราชการก็รู้สึกติดขัด เป็นต้นว่า ใครท�ำ ร้ายสัปเยกถึงตาย ฝรั่งเศสก็
ตัง้ ข้อวิวาทกบั ราชการไทย จับจำ�เลยไดก้ ็มาช�ำ ระท�ำ โทษให้ ถา้ เห็นวา่ จ�ำ เลยไม่มคี วามผิด ฝร่ังเศสสงสัยในวธิ ี
ชำ�ระประการใดแลว้ กพ็ ดู ในทางกระทรวงตา่ งประเทศใหเ้ ปน็ เรอ่ื งววิ าทกนั ในทางราชการไป จงึ ไดส้ รา้ งวธิ ขี ้ึน
เอาอย่างฝรั่ง ให้มีอัยการไทยฟ้องร้องจ�ำ เลยในศาลอัยการนี้แทนแผ่นดิน ถ่อมยศแผ่นดินลงไปเป็นโจทก์
เหมือนหนึ่งราษฎร เช่นเดียวกันกับเม่ือสัปเยกเป็นจำ�เลย ศาลกงสุลชำ�ระ รัฐบาลไทยต้องแต่งคนลงไปเป็น
โจทก์ฟ้องถ่อมตัวเป็นราษฎรไปเป็นโจทก์ในศาลเขา ท้ังน้ี แปลว่ารัฐบาลสมมติตัวเองว่าเป็นราษฎรผู้หนึ่งใน
ศาลไทยและศาลกงสลุ เปน็ กลางช�ำ ระ...”

จากรบั สง่ั ของกรมหลวงราชบุรดี ิเรกฤทธดิ์ ังกล่าวขา้ งตน้ สามารถวิเคราะหไ์ ดด้ งั นคี้ อื
ประการแรก ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประเทศไทยได้นำ�ระบบ
กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมมาจากต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศกลุ่มตะวันตกเช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส
ฯลฯ มาปรับปรุงระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของไทย แต่ความคิดที่จะให้มีอัยการเป็นโจทก์
คดีอาญาในนามของแผ่นดินขณะนั้นยังไม่เกิดขึ้น คงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของราษฎรหรือเอกชนผู้เสียหาย
เป็นโจทก์ฟ้องผู้กระทำ�ผิดต่อศาลโดยตนเองเป็นหลัก จนกระทั่งเกิดเหตุจำ�เป็นดังกล่าวข้างต้นขึ้น จึงได้หา
ทางแก้ไขโดยจัดให้มีอัยการเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาในนามแผ่นดินในศาลไทยและศาลกงสุล แต่เอกสาร
ฉบับดังกล่าวข้างต้นก็ยังไม่ชัดแจ้งว่าก่อนหน้านี้ประเทศไทยได้จัดให้อัยการฟ้องคดีอาญาต่าง ๆ ได้เช่น
เดียวกับราษฎร ตั้งแต่เมื่อใดเป็นเพียงการคาดคะเนเท่านั้น

ประการที่สอง จากผลที่ว่าการจัดให้มีอัยการฟ้องคดีอาญาในนามแผ่นดินมิได้เกิดขึ้นอย่างเป็น
ระบบมากอ่ น จงึ ทำ�ใหป้ ระวตั ศิ าสตรอ์ งคก์ รกระบวนการยตุ ธิ รรมประเทศไทยในสว่ นทเ่ี กย่ี วกบั องคก์ รอยั การ
มีลักษณะคลุมเครือ ขาดความชัดเจนและไม่ต่อเนื่องเป็นระบบ เพราะมิได้มีการจดบันทึกไว้อย่างเป็น
ทางการ การเขยี นประวตั หิ รอื ววิ ฒั นาการขององคก์ รอยั การประเทศไทยจงึ ขาดเอกสารอา้ งองิ ทางประวตั ศิ าสตร์
การค้นคว้ารวบรวมในหนังสือที่จัดพิมพ์โดยกรมอัยการเท่าที่กระทำ�กันมา มีลักษณะเป็นการนำ�บทบัญญัติ
ของกฎหมายเก่าบางฉบับที่กล่าวถึงอัยการหรือกรมอัยการมาปะติดปะต่อหรือคาดคะเนความไปตามถ้อยคำ�
ว่าอัยการน่าจะเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ เช่น ตีความคำ�ว่า “อัยการ” โดยสันนิษฐานว่ามาจากคำ�ว่า “อัยย” ซึ่ง
เป็นภาษาบาลีแปลว่า “ผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นใหญ่ นาย” คำ�ว่า อัยการจึงดูเหมือนคำ�ว่า “อายการ” นั่นเอง

6 บทความ

เป็นต้น ฯลฯ ซึ่งตามความจริงแล้ว การจัดตั้งองค์กรอัยการในประเทศไทยนั้นมิได้เป็นความคิดจาก
ประเทศไทยมาแต่ต้น แต่ได้นำ�มาจากความคิดทางกฎหมายของประเทศตะวันตก ซึ่งมีทฤษฎีมีการเรียน
การสอนตามหลักวิชาการนิติศาสตร์และมีวิวัฒนาการมาช้านาน ตลอดจนมีหนังสือหรือตำ�ราที่กล่าวถึง
ระบอบอัยการในทางวิชาการเป็นจำ�นวนมาก แต่สิ่งต่าง ๆ ดังกล่าว มิได้นำ�มาใช้ในการเขียนบันทึกหรือ
จดหมายเหตุทางประวัติศาสตร์กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมในส่วนที่เกี่ยวกับองค์กรอัยการประเทศไทย
ว่ามีที่มาอย่างใดและมีวิวัฒนาการอย่างใดจนกระทั่งปัจจุบัน

ขอ้ ความบางตอนหรอื บันทกึ บางตอนดงั กล่าวขา้ งตน้ เปน็ เพียงข้อเทจ็ จรงิ วา่ มเี หตกุ ารณ์นน้ั ๆ เกิด
ข้ึนแล้ว มีอัยการเข้าว่าความในนามของรัฐ แต่การดำ�เนินคดีอาญาในศาลน้ันเป็นกระบวนทางกฎหมายโดย
แท้ แต่เหตุใดเราจึงไม่ค้นหาหลักฐานท่ีเป็นตัวบทกฎหมายมาสนับสนุนเหตุผลของการจัดให้มีองค์กรอัยการ
ในประเทศไทย

แต่หากเราศึกษาในทางประวัติศาสตร์กฎหมายเปรยี บเทียบกับต่างประเทศจะพบว่า ในขณะทม่ี ีการ
พฒั นากฎหมายและกระบวนการยตุ ธิ รรมครงั้ ใหญใ่ นสมยั รชั กาลท่ี 5 กเ็ พราะเราไดต้ อ่ รองขอยกเลกิ สทิ ธสิ ภาพ
นอกราชอาณาเขตที่ต่างชาติมีอยู่เหนือดินแดนไทย และชาติตะวันตกที่มีสนธิสัญญาสิทธินอกราชอาณาเขต
ดงั กลา่ วไดม้ เี งอ่ื นไขใหไ้ ทยตอ้ งปรบั ปรงุ ระบบกฎหมายและกระบวนการยตุ ธิ รรม โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การจดั ท�ำ
ประมวลกฎหมายตา่ ง ๆ และองคก์ รในกระบวนการยตุ ธิ รรมใหท้ ดั เทยี มกบั ตา่ งประเทศและเชอื่ ถอื ไดเ้ สยี กอ่ น
ประเทศไทยจงึ ไดน้ �ำ ระบบกฎหมายและกระบวนการยตุ ธิ รรมขององั กฤษมาใชเ้ ปน็ หลกั กลา่ วคอื ใหก้ ารฟอ้ งคดี
อาญาเป็นหน้าที่ของราษฎรทจ่ี ะฟ้องคดอี าญาเอง ส่วนรฐั จะเขา้ มาท�ำ หนา้ ท่ีเป็นโจทก์เฉพาะคดอี าญาทม่ี ีผล
กระทบตอ่ ความมน่ั คงทางเศรษฐกจิ สงั คม และความมน่ั คงทางการเมอื งเทา่ นน้ั ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากพระราชบญั ญตั ิ
วธิ ีพิจารณาความมีโทษใช้ไปพลางก่อน ร.ศ. 115 ซึง่ เป็นประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญาฉบบั แรก
ของไทย กไ็ ด้น�ำ กระบวนการยุตธิ รรมระบบกล่าวหาขององั กฤษมาใชเ้ ต็มรูป และองั กฤษเองแตเ่ ดิมก็เหมือน
ประเทศไทยคือ การฟ้องคดีอาญาได้ใช้หลักให้ประชาชนฟ้องคดีอาญาได้เองอย่างกว้างขวาง โดยถือหลักว่า
“ใคร ๆ ก็ฟอ้ งคดอี าญาได”้ (Any one may prosecute) เพราะองั กฤษถอื วา่ ประชาชนทกุ คนมีหนา้ ท่ชี ่วย
เหลือรัฐในการรักษากฎหมาย อังกฤษเพิ่งน�ำ หลักการฟ้องคดีอาญาโดยรัฐคืออัยการจากฝรั่งเศสมาใช้เมื่อ
ประมาณปี ค.ศ. 1897 โดยตง้ั ต�ำ แหนง่ Director of Public Prosecution หรอื D.P.P. ข้นึ เพือ่ ฟอ้ งคดที ี่
มโี ทษสงู ถงึ ระดบั ประหารชวี ติ หรอื คดที ส่ี �ำ คญั มขี อ้ ยงุ่ ยาก หรอื อาจเขา้ แทรกแซงการด�ำ เนนิ คดอี าญาของราษฎรได้
ดงั นน้ั พระราชบญั ญตั วิ ธิ พี จิ ารณาความมโี ทษใชไ้ ปพลางกอ่ น ร.ศ. 115 จงึ ไดจ้ ดั ใหม้ อี ยั การฟอ้ งคดี
เหมอื นองั กฤษและจ�ำ ตอ้ งใหฟ้ อ้ งคดสี �ำ คญั ยง่ิ ทเี่ รยี กวา่ “คดมี โี ทษหลวง” เชน่ คดกี บฏ คดปี ลอมแปลงเงนิ ตรา
ฯลฯ ส่วนคดีอาญาอ่ืน ๆ ก็ยังให้ราษฎรฟ้องคดีเองต่อไป สอดคล้องกับโครงการจัดต้ังกระทรวงยุติธรรมที่
พระเจา้ นอ้ งยาเธอพระองคเ์ จา้ สวสั ดโิ สภณซง่ึ มหี นงั สอื กราบบงั คมทลู พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
ลงวนั ที่ 3 สิงหาคม ร.ศ. 109 มีข้อความตอนหนึง่ ว่า

“ขอ้ 6 กรมอยั การเปน็ เจา้ พนกั งานส�ำ หรบั เปน็ โจทกเ์ ปน็ ทนายในคดคี วามแผน่ ดนิ คอื ความนครบาล
ซ่งึ มโี ทษในลักษณะอาญาหลวง อันเป็นอุกฤษโทษ มหันตโทษ ฯลฯ”

อัยการนเิ ทศ 7

อยา่ งไรกด็ ี ผเู้ ขยี นยงั คน้ หาไมพ่ บกฎหมายทบ่ี ญั ญตั ใิ หอ้ ยั การท�ำ หนา้ ทฟ่ี อ้ งคดอี าญาทว่ั ไปนอกเหนอื
จาก “คดมี โี ทษหลวง” จนกระทง่ั ปจั จบุ นั เพยี งแตม่ าปรากฏในชน้ั คณะกรรมการยกรา่ งประมวลกฎหมายวธิ ี
พจิ ารณาความอาญาทไ่ี ทยอา้ งมาจากตา่ งประเทศวา่ สมควรจะใหอ้ ยั การฟอ้ งคดอี าญาแตผ่ เู้ ดยี วเหมอื นฝรง่ั เศส
หรอื ควรใหอ้ ยั การและผเู้ สยี หายฟอ้ งคดอี าญาไดด้ ว้ ยเหมอื นองั กฤษ ในทส่ี ดุ คณะกรรมการไดม้ มี ตใิ หท้ ง้ั อยั การ
และผเู้ สยี หายฟอ้ งคดอี าญาไดท้ ง้ั คู่ จงึ มบี ทบญั ญตั มิ าตรา 28 ขน้ึ ในประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญาไทย

3) จากการคน้ ควา้ เอกสารการยกรา่ งประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญาประกอบกบั การสมั ภาษณ์
พระยามานวราชเสวี อดตี อธบิ ดกี รมอยั การ และเปน็ ประธานคณะกรรมการยกรา่ งประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณา
ความอาญา จงึ ไดท้ ราบวา่ กฎหมายฉบบั นร้ี า่ งขน้ึ ทา่ มกลางการกดดนั ทง้ั จากองั กฤษซง่ึ ใชร้ ะบบกลา่ วหาและฝรง่ั เศส
ซง่ึ ใชร้ ะบบไตส่ วนและเปน็ ประเทศมหาอ�ำ นาจทก่ี �ำ ลงั ลา่ อาณานคิ ม ทง้ั สองประเทศพยายามกดดนั ใหน้ �ำ หลกั
กฎหมายของประเทศตนมาใชใ้ นประมวลกฎหมายฉบบั นใ้ี หไ้ ด้ ไทยจงึ ตอ่ รองขอน�ำ ตวั อยา่ งประมวลกฎหมายวธิ ี
พจิ ารณาความอาญาของประเทศทม่ี ที ง้ั สองระบบอยใู่ นกฎหมายฉบบั เดยี วกนั ทง้ั สองประเทศตกลง ไทยจงึ น�ำ
ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญาของประเทศแอฟรกิ าใตซ้ ง่ึ มที ง้ั สองระบบรวมอยดู่ ว้ ย ปรากฏวา่ ทง้ั สอง
ประเทศยอมใหใ้ ชไ้ ด้ ดงั นน้ั ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญาของไทยจงึ มที ง้ั สองระบบรวมอยดู่ ว้ ยกนั
ยกเวน้ ในชน้ั ศาลทโ่ี นม้ เอยี งไปในทางระบบกลา่ วหาขององั กฤษโดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ กฎหมายลกั ษณะพยานไทยเปน็
ระบบกลา่ วหาขององั กฤษเกอื บทง้ั หมด
4) จากการค้นคว้ากฎหมายเก่าสมัยรชั กาลท่ี 5 เปรียบเทียบกบั ตา่ งประเทศกพ็ บว่า อำ�นาจหน้าท่ี
ในการดำ�เนินคดีอาญาของอัยการระยะเริ่มแรกบัญญัติอยู่ในพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญามีโทษ
ใช้ไปพลางก่อน ร.ศ. 115 ส่วนบทบัญญัติเก่ียวกับองค์กรอัยการ (คล้ายพระราชบัญญัติพนักงานอัยการ
2498) ปรากฏอยู่ในพระธรรมนญู ศาลยตุ ธิ รรม ร.ศ. 127 ซ่ึงตรงกบั กฎหมายของหลายประเทศในปจั จบุ นั
ท่ีรวมองค์กรตุลาการและอัยการไว้ในกฎหมายฉบับเดียวกันและปัจจุบันรัฐธรรมนูญของหลายประเทศก็ได้
บัญญัติให้องค์กรตุลาการและองค์กรอัยการรวมอยู่ในหมวดเดียวกันโดยเรียกว่า “อำ�นาจทางตุลาการ”
(Judicial Power หรอื Judicial Authority) นอกจากนน้ั พระธรรมนญู ศาลยตุ ธิ รรม ร.ศ. 127 ยงั มบี ทบญั ญตั ิ
ชัดแจ้งวา่ การฟ้องคดอี าญาของอัยการไทยใช้หลักการฟ้องตามดลุ พินจิ (Opportunity Principle) กลา่ วคือ
แมผ้ ตู้ อ้ งหาจะกระท�ำ ผดิ แตห่ ากมเี หตผุ ลสมควรอยั การอาจสง่ั ไมฟ่ อ้ งกไ็ ด้ และเมอ่ื ปี พ.ศ. 2521 ทก่ี รมอยั การ
จัดยกร่างกฎหมายชะลอการฟอ้ งขึ้น และผู้เขยี นได้รับมอบหมายให้ยกร่างกฎหมายฉบบั น้ี ผูเ้ ขียนกอ็ า้ งหลกั
การในพระธรรมนญู ศาลยุตธิ รรม ร.ศ. 127 ดงั กล่าวสนบั สนนุ เหตผุ ลการสงั่ ชะลอการฟ้องของอัยการดว้ ย
อนง่ึ การศกึ ษาคน้ ควา้ นน้ั มคี วามจ�ำ เปน็ ตอ้ งศกึ ษาคน้ ควา้ หาความรทู้ างดา้ นตา่ ง ๆ ทกุ ชนดิ เทา่ ทส่ี ามารถ
กระท�ำ ไดใ้ นลกั ษณะการเรยี นรตู้ ลอดชวี ติ นอกเหนอื ไปจากการศกึ ษาหนงั สอื หรอื ต�ำ รา ตวั บทกฎหมายและแนว
ค�ำ พพิ ากษาฎกี าเพอ่ื ใชใ้ นการด�ำ เนนิ คดหี รอื ปฏบิ ตั หิ นา้ ทแ่ี ลว้ เพราะกฎหมายนน้ั มคี วามสมั พนั ธอ์ ยา่ งใกลช้ ดิ กบั
สภาพเศรษฐกจิ สงั คม การเมอื ง การปกครอง ฯลฯ ของประเทศ ดงั นน้ั นกั นติ ศิ าสตรจ์ งึ จ�ำ เปน็ ตอ้ งสนใจศกึ ษา
ศาสตรต์ า่ ง ๆ ควบคกู่ นั ไป รวมทง้ั ตดิ ตามความเคลอ่ื นไหวของวชิ าการดา้ นตา่ ง ๆ อาทิ ทางดา้ นเศรษฐศาสตร์
รฐั ศาสตร์ สงั คมศาสตร์ ประวตั ศิ าสตร์ ความรเู้ กย่ี วกบั ทางการแพทยแ์ ละพยาบาล การเมอื งระหวา่ งประเทศ

8 บทความ

ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประเทศ องคก์ ารระหวา่ งประเทศ สทิ ธมิ นษุ ยชนศกึ ษา วรรณคดี อกั ษรศาสตร์ วฒั นธรรม
ประเพณี สง่ิ แวดลอ้ ม นเิ ทศศาสตร์ ฯลฯ ตอ้ งตดิ ตามขา่ วคราวความเคลอ่ื นไหวทางดา้ นตา่ ง ๆ จากสอ่ื มวลชนทกุ
ชนดิ ทง้ั ในประเทศและตา่ งประเทศ เพอ่ื ใหเ้ กดิ วสิ ยั ทศั นก์ วา้ งไกล มขี อ้ มลู ใหม่ ๆ อยา่ งครบถว้ น สามารถนำ�มาใช้
ในการพจิ ารณาสภาพปญั หาทางกฎหมาย การบงั คบั ใชก้ ฎหมาย การพฒั นาปรบั ปรงุ กฎหมาย รวมทง้ั การตคี วาม
กฎหมาย ฯลฯ อนั เปน็ คณุ สมบตั ทิ จ่ี �ำ เปน็ อยา่ งยง่ิ ส�ำ หรบั นกั พฒั นากฎหมายในปจั จบุ นั
ทกี่ ลา่ วมาขา้ งตน้ เปน็ ตวั อยา่ งวา่ การเตรยี มตวั เปน็ นกั พฒั นากฎหมายควรมคี ณุ สมบตั เิ ปน็ นกั อา่ น
และนกั คน้ คว้าอยา่ งไรบา้ ง
2. ควรนำ�ความรู้และข้อมลู มาใช้ในการพฒั นากฎหมายใหเ้ ปน็ รปู ธรรม
2.1 เม่อื ผู้เขยี นไดร้ บั แตง่ ตง้ั เปน็ อยั การอาวุโสก็แสดงความประสงค์ขอไปปฏิบัติหนา้ ท่ที ี่
สำ�นักงานวิชาการและระบุด้วยว่าจะขอทำ�งานด้านพัฒนากฎหมาย โดยเสนอต่ออัยการสูงสุดในขณะน้ันคือ
ทา่ นคมั ภรี ์ แกว้ เจรญิ วา่ สมควรจดั ตงั้ สำ�นกั งานพฒั นากฎหมายขน้ึ เพอ่ื ใหส้ ำ�นกั งานอยั การสงู สดุ ซง่ึ เปน็ หนว่ ย
งานที่ทำ�หน้าที่ยกร่างกฎหมายให้กับรัฐมาต้ังแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ได้กลับมามีบทบาทในด้านนี้อีก เพราะ
ส�ำ นกั งานอยั การสงู สดุ มศี กั ยภาพสงู มากในการทำ�งานดา้ นนี้ ทา่ นอยั การสงู สดุ เหน็ ดว้ ย จงึ มกี ารจดั ตงั้ สำ�นกั งาน
อัยการพเิ ศษฝ่ายพัฒนากฎหมายขึ้นในท่ีสุด
เมอื่ ได้อ่านหรือศึกษาค้นควา้ หาขอ้ มูลต่าง ๆ มาแลว้ กค็ วรน�ำ ความรหู้ รือขอ้ มลู นั้น ๆ มาวิเคราะห์
หาเหตผุ ลหรอื ค�ำ ตอบ รวมทงั้ การเปรยี บเทยี บกบั เหตกุ ารณป์ จั จบุ นั หรอื กฎหมายปจั จบุ นั วา่ แตกตา่ งกนั อยา่ งไร
มจี ุดดีหรือข้อด้อยแตกตา่ งกัน และควรแก้ไขปรบั ปรงุ ให้ดียง่ิ ข้นึ อย่างไร มฉิ ะน้นั ความรูห้ รือข้อมลู ท่ไี ด้รับมาก็
จะไม่ไดถ้ กู นำ�ไปใชใ้ ห้เปน็ ประโยชน์เท่าทค่ี วร นับเปน็ เรือ่ งท่นี ่าเสียดายอย่างยิ่ง
จากนนั้ จงึ คดิ วา่ จะน�ำ ความรแู้ ละขอ้ มลู ทผ่ี า่ นการวเิ คราะหแ์ ลว้ มาใชป้ ระโยชนใ์ นการพฒั นากฎหมาย
ต่อไป ซงึ่ ผทู้ จ่ี ะทำ�การพฒั นากฎหมายควรมีคุณสมบตั ดิ งั ตอ่ ไปนี้
2.2 ควรเป็นคนกลา้ คิดกลา้ ทำ�
กลา่ วคือ เม่ือคดิ ว่าสมควรจะทำ�การพัฒนากฎหมายในเร่อื งใดแลว้ ก็ควรหดั คดิ ว่าจะยกร่าง
กฎหมายอยา่ งไร เช่น
2.2.1 หากเปน็ การแกไ้ ขไมม่ ากนกั กค็ วรท�ำ เปน็ ร่างพระราชบญั ญตั แิ กไ้ ขเพ่ิมเติม
กฎหมายจะสะดวกและเปน็ ประโยชนม์ ากกวา่ เพราะจะสามารถกระทำ�ไดร้ วดเรว็ และไมก่ ระทบโครงสรา้ งใหญ่
ของกฎหมายนอกจากน้ันส�ำ หรับผปู้ ฏิบตั โิ ดยเฉพาะเจ้าหน้าทีช่ ้ันผ้นู อ้ ยจะได้ใช้กฎหมายฉบบั เดมิ ซึ่งได้รับการ
แกไ้ ขปรบั ปรงุ ใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาพสงั คมมากยงิ่ ขน้ึ โดยไมต่ อ้ งมกี ฎหมายทจ่ี ะตอ้ งศกึ ษาและอา่ นหลายฉบบั
ซง่ึ เปน็ เรื่องยุง่ ยากมาก และบางคนอาจจะไม่ยอมอา่ นเลยก็ได้
ในทางปฏิบตั ิผู้เขียนนิยมใช้วิธีแก้ไขกฎหมายเฉพาะบางเรอ่ื งมากกวา่ ยกรา่ งใหมท่ ัง้ ฉบบั เชน่ การแก้ไข
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 เพิ่มเปน็ วรรคสอง หา้ มการใช้โทษประหารชวี ติ หรอื จำ�คุกตลอดชีวิตกับ
บคุ คลอายตุ าํ่ กวา่ 18 ปี เพอ่ื ใหส้ อดคลอ้ งกบั พนั ธกรณตี ามกตกิ าระหวา่ งประเทศวา่ ดว้ ยสทิ ธขิ องพลเมอื งและ
สิทธิทางการเมือง ค.ศ. 1966 ข้อ 6 (5) หรือแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20

อยั การนิเทศ 9

หรอื มาตรา 85/1 หรือมาตรา 155/1 เป็นตน้
อยา่ งไรก็ดี ในทางปฏิบตั ิประเทศไทยมกั จะใชว้ ธิ ียกร่างกฎหมายขน้ึ ใหม่ทั้งฉบบั เมื่อเกดิ ปัญหาขนึ้ กจ็ ะ

คดิ วา่ เพราะไมม่ กี ฎหมายลงโทษ หรอื กฎหมายเดมิ มชี อ่ งวา่ งลา้ สมยั หรอื มโี ทษเบาเกนิ ไป แทนทจี่ ะคดิ วา่ ปญั หา
เกิดจากการบังคับใช้กฎหมายไม่มีประสิทธิภาพใช่หรือไม่ หากอยู่ในกระบวนการยุติธรรมมีหน้าท่ีบังคับใช้
กฎหมายจะพบว่าปัญหาต่าง ๆ ส่วนใหญ่เกิดจากการบังคับใช้กฎหมายมากกว่าปัญหาที่เกิดจากกฎหมายมี
โทษเบาเกนิ ไป หรอื กฎหมายมชี อ่ งวา่ งลา้ สมยั ในทางปฏบิ ตั จิ ะพบเสมอวา่ แมก้ ฎหมายมโี ทษไมส่ งู นกั แตห่ าก
มกี ารบงั คบั ใชก้ ฎหมายอยา่ งจรงิ จงั ตอ่ เนอ่ื ง ตงั้ แตต่ ำ�รวจ อยั การ และศาลกจ็ ะทำ�ใหป้ ระชาชนมคี วามระมดั ระวงั
หรอื เกรงกลวั กฎหมายยงิ่ ขนึ้ ในทางตรงขา้ มปจั จบุ นั มกี ารยกรา่ งกฎหมายใหม่ ๆ ทงั้ ฉบบั โดยคดิ วา่ จะสามารถ
แกป้ ญั หาไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ แตเ่ มอื่ ประกาศใชบ้ งั คบั แลว้ ประชาชนกไ็ มเ่ คยไดท้ ราบ เจา้ หนา้ ทผี่ บู้ งั คบั ใช้
กฎหมายโดยเฉพาะเจา้ หนา้ ทต่ี ำ�รวจเองกไ็ มไ่ ดใ้ หค้ วามสนใจในการบงั คบั ใชอ้ ยา่ งจรงิ จงั เมอ่ื ตรวจสอบสถติ กิ าร
ด�ำ เนนิ คดอี าญาของส�ำ นกั งานอยั การสงู สดุ มกั พบวา่ มกี ารด�ำ เนนิ คดกี นั นอ้ ยมากไมเ่ ปน็ ไปตามเจตนารมณข์ อง
การประกาศใช้บังคับเทา่ ที่ควร
2.2.2 การพฒั นากฎหมายควรเปน็ เรอ่ื งทม่ี ผี ลดตี อ่ ผลประโยชนข์ องประชาชนและประเทศชาติ
เปน็ สว่ นรวม เพราะจะไดร้ บั การตอบรบั จากทางภาครฐั และภาคประชาชนเปน็ สว่ นใหญ่ เนอื่ งจากเหน็ ประโยชน์
ของการรา่ งกฎหมายฉบบั นนั้ ๆ แตห่ ากเราคดิ แกไ้ ขปรบั ปรงุ เฉพาะกฎหมายทเี่ พม่ิ อ�ำ นาจหนา้ ทขี่ องอยั การให้
มากยงิ่ ขนึ้ เชน่ การมอี �ำ นาจสอบสวนคดอี าญากอ็ าจจะถกู ตอ่ ตา้ นจากหนว่ ยงานทมี่ ผี ลกระทบและอาจถกู มอง
จากหลายฝา่ ยวา่ เปน็ การแกไ้ ขกฎหมายเพอื่ เพมิ่ อำ�นาจและตำ�แหนง่ หนา้ ทขี่ องอยั การเพยี งอยา่ งเดยี ว โดยไม่
ตอบค�ำ ถามวา่ ประชาชนและประเทศชาตจิ ะไดป้ ระโยชนอ์ ยา่ งใดจากกฎหมายดงั กลา่ ว แรงสนบั สนนุ จากฝา่ ย
ต่าง ๆ อาจจะมีไมม่ ากเท่าทคี่ วร

ดงั นน้ั จากประสบการณผ์ เู้ ขยี นจงึ นยิ มแกไ้ ขกฎหมายเฉพาะในเรอื่ งทสี่ �ำ คญั เปน็ อยา่ งยง่ิ และสามารถ
ตอบค�ำ ถามของสงั คมได้วา่ ประชาชนและประเทศชาตจิ ะไดป้ ระโยชนอ์ ะไรจากส่งิ น้ีเช่น

- เมื่อปี พ.ศ. 2525 ได้ดำ�เนินการเพื่อจัดตั้งสำ�นักงานคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและผลประโยชน์ของ
ประชาชน (สคช.) โดยการออกเปน็ ระเบียบภายในไปกอ่ น และตอ่ มาก็คอื “สำ�นกั งานคุม้ ครองสิทธิและช่วย
เหลอื ทางกฎหมายแก่ประชาชน (สคช.) ” ในปจั จุบนั ซง่ึ เป็นหน่วยงานทีม่ กี ฎหมายรองรับอยา่ งถูกตอ้ ง

- เมอื่ ปี พ.ศ. 2536 ไดด้ �ำ เนนิ การยกรา่ งพระราชบญั ญตั สิ ง่ เสรมิ และคมุ้ ครองสทิ ธมิ นษุ ยชน พ.ศ.......”
แลว้ เสนอต่อสำ�นักงานอยั การสูงสุดเพือ่ นำ�เสนอต่อรฐั บาล (สมยั นายชวน หลกี ภยั เป็นนายกรฐั มนตรี คร้ังที่
1) แตย่ งั มไิ ดน้ ำ�เขา้ สคู่ ณะรฐั มนตรี ตอ่ มาไดน้ ำ�เสนอตอ่ รฐั บาลสมยั พลเอกชวลติ ยงใจยทุ ธ เปน็ นายกรฐั มนตรี
อกี ครง้ั หนง่ึ แตก่ ย็ งั มไิ ดน้ �ำ เขา้ สกู่ ารพจิ ารณาของคณะรฐั มนตรอี กี เชน่ กนั จนกระทง่ั มกี ารยกรา่ งรฐั ธรรมนญู ฯ
ฉบับปี พ.ศ. 2540 สสร. จึงไดน้ ำ�แนวความคิดของร่างกฎหมายดงั กลา่ วไปบัญญัตใิ นรฐั ธรรมนูญ ฯ 2540
มาตรา 199-200 จัดให้มีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติข้ึน แล้วรัฐบาลได้มอบหมายให้สำ�นักงาน
อัยการสงู สดุ เปน็ ผยู้ กรา่ งพระราชบญั ญัตคิ ณะกรรมการสิทธมิ นุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.....(กฎหมายลกู ) เพือ่ ให้
เป็นไปตามมาตรา 199-200 ดังกลา่ ว

10 บทความ

- เมอ่ื ปี พ.ศ. 2542 เมอ่ื มกี ารประกาศใชพ้ ระราชบญั ญตั จิ ดั ตง้ั ศาลปกครอง ฯ 2542 ผเู้ ขยี นซง่ึ เปน็
รองอธบิ ดี ฯ สคช. ไดพ้ จิ ารณาเหน็ วา่ กฎหมายฉบบั นม้ี ไิ ดใ้ หพ้ นกั งานอยั การท�ำ หนา้ ทเ่ี ปน็ ทนายแกต้ า่ งคดใี หก้ บั
หนว่ ยงานของรฐั บาลและเจา้ หนา้ ทร่ี ฐั ในศาลปกครอง เพราะวธิ พี จิ ารณาคดใี นศาลใชร้ ะบบไตส่ วนเตม็ รปู แบบ
แตค่ วามจ�ำ เปน็ ทห่ี นว่ ยงานของรฐั ทถ่ี กู ฟอ้ งจำ�ตอ้ งมพี นกั งานอยั การคอยชว่ ยเหลอื ระหวา่ งการพจิ ารณาคดใี น
ศาลปกครอง มฉิ ะนน้ั กจ็ ะตอ้ งใชเ้ จา้ หนา้ ทฝ่ี า่ ยกฎหมายของตน เชน่ นติ กิ ร ซง่ึ ไมม่ คี วามรคู้ วามช�ำ นาญในทาง
อรรถคดเี พยี งพอ หรอื อาจตอ้ งจา้ งทนายเอกชน ซง่ึ จะเปน็ การสน้ิ เปลอื งงบประมาณแผน่ ดนิ อยา่ งมาก ดงั นน้ั
ส�ำ นกั งานอยั การสงู สดุ ซง่ึ รบั ผดิ ชอบตอ่ การคมุ้ ครองผลประโยชนข์ องรฐั ในศาล จงึ ควรมบี ทบาทในเรอ่ื งน้ี ผเู้ ขยี น
จงึ ไดเ้ สนอขออนมุ ตั จิ ากสำ�นกั งานอยั การสงู สดุ เชญิ ประชมุ ระหวา่ งสำ�นกั เลขาธกิ ารศาลปกครองกบั สำ�นกั งาน
อยั การสงู สดุ เพอ่ื รว่ มพจิ ารณาปญั หาน้ี ในทส่ี ดุ ทป่ี ระชมุ ศาลปกครองสงู สดุ ไดเ้ หน็ สมควรใหพ้ นกั งานอยั การทำ�
หนา้ ทช่ี ว่ ยเหลอื หนว่ ยงานของรฐั ทถ่ี กู ฟอ้ งตอ่ ศาลปกครองได้ ดงั นน้ั จงึ เกดิ มสี �ำ นกั งานคดปี กครองของส�ำ นกั งาน
อยั การสงู สดุ ขน้ึ ทง้ั ในสว่ นกลางและในตา่ งจงั หวดั ดงั ทเ่ี ปน็ อยใู่ นปจั จบุ นั น้ี
- เมอ่ื ปี พ.ศ. 2546 ในขณะเปน็ อธบิ ดอี ยั การฝา่ ยชว่ ยเหลอื ทางกฎหมายไดพ้ จิ ารณา เหน็ วา่ ปจั จบุ นั
กฎหมายเกย่ี วกบั สง่ิ แวดลอ้ มมใี ชบ้ งั คบั อยหู่ ลายสบิ ฉบบั แตก่ ารบงั คบั ใชก้ ฎหมายดงั กลา่ วยงั ขาดเอกภาพและ
ไมม่ ปี ระสทิ ธภิ าพเพยี งพอ ทำ�ใหเ้ กดิ การทำ�ลายสง่ิ แวดลอ้ มและกอ่ ความเสยี หายแกร่ ฐั และประชาชนอยา่ งยง่ิ
ดงั นน้ั จงึ ไดเ้ สนอขออนมุ ตั จิ ากส�ำ นกั งานอยั การสงู สดุ เพอ่ื จดั ประชมุ รว่ มกนั ระหวา่ งกรมควบคมุ มลพษิ และ
หนว่ ยงานภาครฐั ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั สง่ิ แวดลอ้ ม อาทิ กรมปา่ ไม้ กรมชลประทาน กรมอนามยั กรงุ เทพมหานคร
ส�ำ นกั งานต�ำ รวจแหง่ ชาติ กรมการปกครอง ฯลฯ รวมทง้ั องคก์ รพฒั นาเอกชนตา่ ง ๆ ทด่ี �ำ เนนิ งานดา้ นสง่ิ แวดลอ้ ม
มารว่ มประชมุ เพอ่ื หาทางในการบงั คบั ใชก้ ฎหมายดา้ นสง่ิ แวดลอ้ มทม่ี อี ยหู่ ลายสบิ ฉบบั มคี วามเปน็ เอกภาพและ
มปี ระสทิ ธภิ าพยง่ิ ขน้ึ ในทส่ี ดุ ทป่ี ระชมุ ไดย้ กรา่ ง “ระเบยี บส�ำ นกั นายกรฐั มนตรวี า่ ดว้ ยการประสานงานเพอ่ื บงั คบั
ใชก้ ฎหมายดา้ นสง่ิ แวดลอ้ ม พ.ศ. 2550” และปจั จบุ นั ไดป้ ระกาศใชบ้ งั คบั แลว้

- เมอ่ื ปี พ.ศ. 2549 ขณะท่ี สสร. อยรู่ ะหวา่ งการยกรา่ งรฐั ธรรมนญู ฉบบั ปจั จบุ นั ผเู้ ขยี นซง่ึ เปน็ อยั การ
อาวโุ ส ส�ำ นกั งานอยั การพเิ ศษฝา่ ยพฒั นากฎหมาย และไดเ้ คยศกึ ษาคน้ ควา้ รฐั ธรรมนญู หลายประเทศมากอ่ น
แลว้ พบวา่ รฐั ธรรมนญู ของประเทศเหลา่ นน้ั ไดบ้ ญั ญตั ริ บั รองสถานะขององคก์ รอยั การไวใ้ นรฐั ธรรมนญู และสว่ น
ใหญจ่ ะใหอ้ ยใู่ นหมวดวา่ ดว้ ย “อ�ำ นาจทางตลุ าการ (Judicial Power หรอื Judicial Authority)” ซง่ึ ไดแ้ ก่
องคก์ รตลุ าการและองคก์ รอยั การซง่ึ เปน็ “ผใู้ ชอ้ �ำ นาจทางตลุ าการ” ผเู้ ขยี นจงึ ไดเ้ สนอขอยกรา่ งรฐั ธรรมนญู เพอ่ื
จดั ใหม้ อี งคก์ รอยั การในรฐั ธรรมนญู เชน่ กนั เพราะองคก์ รอยั การในประเทศไทย ไดก้ อ่ ตง้ั ขน้ึ ในสมยั รชั กาลท่ี 5
พรอ้ มกบั การจดั ตง้ั ศาลขน้ึ ในกระทรวงยตุ ธิ รรม ตอ่ มาองคก์ รตลุ าการไดร้ บั การบญั ญตั ไิ วใ้ นรฐั ธรรมนญู ของไทย
ตง้ั แตฉ่ บบั แรกจนถงึ ปจั จบุ นั และตอ่ มากไ็ ดม้ อี งคก์ รอสิ ระเกดิ ขน้ึ ตามรฐั ธรรมนญู ฯ 2540 อาทิ ผตู้ รวจการ
แผน่ ดนิ คณะกรรมการ ป.ป.ช. คณะกรรมการสทิ ธมิ นษุ ยชนแหง่ ชาติ ฯลฯ แตเ่ หตใุ ดองคก์ รอยั การซง่ึ เปน็ องคก์ ร
ทส่ี �ำ คญั ยง่ิ ในกระบวนการยตุ ธิ รรมจงึ ไมเ่ คยไดร้ บั การรบั รองสถานะไวใ้ นรฐั ธรรมนญู แตอ่ ยา่ งใด ดงั นน้ั ผเู้ ขยี น
จงึ ไดเ้ สนอขออนมุ ตั จิ ากสำ�นกั งานอยั การสงู สดุ ขอศกึ ษาคน้ ควา้ ยกรา่ งรฐั ธรรมนญู ในสว่ นทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั องคก์ ร
อยั การ เมอ่ื ไดร้ บั อนมุ ตั หิ ลกั การ ส�ำ นกั งานอยั การพเิ ศษฝา่ ยพฒั นากฎหมายโดยคณุ มารษิ า ชณิ ประทปี อยั การ

อัยการนิเทศ 11

พเิ ศษฝา่ ยพฒั นากฎหมาย กไ็ ดม้ อบหมายใหผ้ เู้ ขยี นเปน็ หวั หนา้ คณะทำ�งานรว่ มกบั อยั การในสำ�นกั งานอยั การ
พเิ ศษฝา่ ยพฒั นากฎหมาย ซง่ึ ขอเอย่ นามไวเ้ พอ่ื เปน็ เกยี รติ ณ ทน่ี ด้ี ว้ ย เชน่ คณุ เดน่ เดอื ด กลน่ั สอน คณุ เสรมิ สกลุ
ข�ำ วฒั นพนั ธ์ุ คณุ มนตรี สงิ หะ คณุ จนิ ดา ศรจี งศริ กิ ลุ คณุ ศริ ะ บญุ ภนิ นท์ ยกรา่ งรฐั ธรรมนญู ในสว่ นทเ่ี กย่ี วกบั
องคก์ รอยั การ โดยใหบ้ ญั ญตั ไิ วใ้ นหมวดวา่ ดว้ ยศาลใหอ้ ยใู่ นลำ�ดบั ตอ่ จากศาลทหาร ทง้ั น้ี โดยยดึ ถอื ตามแนวทาง
ของรฐั ธรรมนญู ของประเทศตา่ ง ๆ ดงั กลา่ วขา้ งตน้ ทง้ั น้ี ดว้ ยการประสานงานอยา่ งเขม้ แขง็ ของคณุ เสรมิ เกยี รติ
วรดษิ ฐ์ และคณุ ธนพชิ ญ์ มลู พฤกษ์ ซง่ึ สองทา่ นกไ็ ดร้ ว่ มอยใู่ น สสร. ดว้ ย ในทส่ี ดุ สสร. ไดบ้ ญั ญตั ริ บั รององคก์ ร
อยั การไวเ้ ปน็ “องคก์ รอน่ื ตามรฐั ธรรมนญู ฯ” ตามมาตรา 255 ของรฐั ธรรมนญู ฯ 2550 และตอ้ งมกี ารยก
รา่ งกฎหมาย (กฎหมายลกู ) ใหเ้ ปน็ ไปตามมาตรา 255 และในทส่ี ดุ เรากไ็ ดม้ กี ารประกาศใช้ “พระราชบญั ญตั ิ
องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. 2553”และ “พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ
พ.ศ. 2553” ซง่ึ เรามคี วามภมู ใิ จเปน็ อยา่ งยง่ิ ในปจั จบุ นั

- นอกจากนน้ั กไ็ ดเ้ สนอยกรา่ งพระราชบญั ญตั แิ กไ้ ขเพม่ิ เตมิ ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา
เพอ่ื แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ มาตรา 20 มาตรา 85/1 และมาตรา 155/1 เพอ่ื ใหอ้ �ำ นาจพนกั งานอยั การเขา้ รว่ มสอบสวน
คดอี าญาทม่ี คี วามส�ำ คญั อยา่ งยง่ิ และการคนื ของกลางในคดอี าญาทพ่ี นกั งานสอบสวนยดึ ไวต้ ามมาตรา 85 เพอ่ื
ให้เจ้าของหรือผู้มีสิทธิรับคืนไปเก็บรักษาและใช้ประโยชน์ระหว่างการดำ�เนินคดีอาญาเพื่อบรรเทาความ
เดอื ดรอ้ นของราษฎร ซง่ึ ไดร้ บั การตอบรบั อยา่ งดยี ง่ิ จากทง้ั คณะรฐั มนตรี คณะกรรมการกฤษฎกี า และรฐั สภา
เพราะเหน็ วา่ เปน็ ประโยชนอ์ ยา่ งยง่ิ
ฯลฯ

3. สรปุ
ผู้เขียนตระหนักดีว่างานด้านพัฒนากฎหมายด้านการยกร่างกฎหมายขึ้นใหม่หรือแก้ไขเพิ่มเติม
กฎหมายเดิมให้ดียิ่งขึ้นนั้นเป็นเรื่องยากยิ่งสำ�หรับอัยการรุ่นหลัง เพราะมีหลายปัจจัยเข้ามาประกอบซึ่งขอ
ให้ทุกท่านที่สนใจจะทำ�งานด้านนี้ควรจักต้องเตรียมตัวคือ มีความรู้และวิสัยทัศน์ที่กว้างขวาง มีความตั้งใจ
และกระตือรือร้นในการคิดค้นสร้างสิ่งใหม่ ๆ หรือพัฒนาแก้ไขปรับปรุงของเดิมให้มีประสิทธิภาพมากย่ิงขึ้น
รวมทั้งการเพียรสร้างผลงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้รับการยอมรับเชื่อถือจากผู้ร่วมงานและผู้บังคับบัญชา
ทุกระดับชั้นว่าร่างกฎหมายใหม่ ๆ ที่ท่านได้ยกร่างเสนอมานี้จะได้รับการสนับสนุนทั้งในชั้นสำ�นักงาน
อัยการสูงสุด คณะรัฐมนตรี คณะกรรมการกฤษฎีกา และในชั้นรัฐสภา จนสำ�เร็จเป็นกฎหมายในที่สุด หาก
ผู้บังคับบัญชาให้ความเชื่อถือดังกล่าวแล้วก็พร้อมที่จะสนับสนุนนำ�ร่างกฎหมายที่ท่านคิดค้นขึ้นมาได้เสนอ
ไปยังคณะรัฐมนตรีต่อไป อย่างไรก็ดี แม้ในครั้งแรก ๆ ร่างกฎหมายที่ท่านศึกษาค้นคว้ายกร่างขึ้นมานี้อาจ
จะยังไม่ได้ถูกนำ�เสนอต่อคณะรัฐมนตรี ก็ขออย่าได้ย่อท้อ ขอให้พยายามแก้ไขปรับปรุงและชี้แจงผู้บังคับ
บัญชาให้สนับสนุนอีกครั้งหนึ่ง
อนึ่ง สำ�นักงานอัยการสูงสุดก็ควรให้การสนับสนุนอัยการรุ่นใหม่ ๆ ได้ค้นคว้าพัฒนากฎหมาย
ใหม่ ๆ ขึ้นอยู่เสมอเพื่อให้สอดคล้องกับกฎเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม ฯ ลงวันที่ 1 เมษายน ร.ศ. 112

12 บทความ

ทม่ี ขี อ้ ความตอนหนง่ึ วา่ “เปน็ ผรู้ กั ษาผลประโยชนข์ องราชาธปิ ไตย เปน็ ทนายความในนามของราชาธปิ ไตย
เป็นพนักงานร่างแต่งประกาศพระราชบัญญัติ...” เพราะงานพัฒนากฎหมายเป็นงานที่ท้าทาย เป็นงาน
ที่แสดงถึงศักยภาพของสำ�นักงานอัยการสูงสุดในการเป็นหนึ่งของผู้นำ�ทางกฎหมายและกระบวนการ
ยุติธรรมของรัฐด้วยการตรากฎหมายเพอ่ื ก�ำ หนดกตกิ าของสงั คม คมุ้ ครองสทิ ธเิ สรภี าพของประชาชนและ
พฒั นาเศรษฐกจิ สงั คมของประเทศชาตใิ หเ้ จรญิ กา้ วหนา้ ยง่ิ ขน้ึ และตลอดไป

อยั การนิเทศ 13

ปัญหาในการดำ�เนินคดีภาษีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น :
ศึกษาเฉพาะกรณีการดำ�เนินคดีภาษีโรงเรือนและที่ดิน (๑)
ชนิญญา ชัยสุวรรณ*

ที่มาและความสำ�คัญของปัญหา
ภาษีอากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งถือเป็นรายได้ส่วนสำ�คัญในการพัฒนาท้องถิ่นนั้น
กฎหมายบัญญัติให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทำ�การประเมินและจัดเก็บภาษีหลายประเภทได้เอง ซึ่งโดย
หลักการแล้วเป็นเรื่องสมควร เนื่องจากผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของท้องถิ่นนั้น ๆ จะเข้าใจสภาพของ
ท้องที่ ทำ�เล ที่ตั้งทรัพย์สินฯลฯได้เป็นอย่างดี ทำ�ให้สามารถดำ�เนินกระบวนการจัดเก็บภาษีหารายได้เพื่อ
ทำ�นุบำ�รุงท้องถิ่นของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่สภาพการณ์ที่ปรากฏกลับตรงกันข้ามกับหลักคิดข้างต้น เพราะส่วนใหญ่จะเกิดปัญหาข้อ
โต้แย้งในการจัดเก็บภาษีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยผู้มีหน้าที่ชำ�ระภาษีบางส่วนไม่ยินยอมชำ�ระ
ภาษีตามจำ�นวนที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำ�การประเมิน กรณีจึงต้องนำ�ปัญหาที่พิพาทเป็นคดีไปสู่ศาลทั้ง
กรณีเป็นคดีทางแพ่งและคดีทางปกครอง
ประเด็นสำ�คัญ เมื่อเข้าสู่กระบวนการดำ�นินคดีของศาลแล้ว ผลของคำ�พิพากษาส่วนใหญ่มักจะ
เป็นไปในทางทีศาลสั่งให้เพิกถอนการประเมินภาษี อีกทั้งมีกรณีพิพากษาว่า กระบวนการจัดเก็บภาษีของ
ท้องถิ่นในบางขั้นตอนไม่ชอบ ฯลฯ เป็นต้น
จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ผู้เขียนจึงเห็นว่าปัญหาการดำ�เนินคดีภาษีขององค์กรปกครองส่วน
ทอ้ งถนิ่ ขา้ งตน้ เปน็ หวั ขอ้ ทนี่ า่ สนใจควรจะไดม้ กี ารศกึ ษาเพม่ิ เตมิ เพอ่ื ใหไ้ ดท้ ราบขอ้ เทจ็ จรงิ ในสภาพของปญั หา
และแนวทางแก้ไขและที่เลือกศึกษาเฉพาะกรณีของการดำ�เนินคดีภาษีโรงเรือนและที่ดินนั้น เนื่องจาก
ข้อโต้แย้งในทางคดีภาษีจำ�นวนมากจะเป็นกรณีของการประเมินภาษีในส่วนนี้คาดว่าสาเหตุสำ�คัญประการ
หนง่ึ จะมาจากการทก่ี ฎหมายมคี วามลา้ สมยั กลา่ วคอื ไดต้ ราและประกาศใชเ้ มอ่ื พ.ศ.๒๔๗๕ หรอื ๘๐ ปมี าแลว้
แม้จะมีการแกไ้ ขเพ่ิมเติมในบางมาตรา แตเ่ น้ือหาสาระบญั ญตั ทิ ค่ี งอยูย่ ังคงทำ�ใหเ้ กิดปญั หาในทางปฏิบตั ิอยู่

ดังนั้น ผู้เขียนจึงขอเสนอบทความในเรื่องปัญหาในการดำ�เนินคดีภาษีขององค์กรปกครองส่วน
ท้องถ่นิ ศกึ ษาเฉพาะกรณกี ารด�ำ เนินคดภี าษโี รงเรอื นและท่ีดนิ เพอื่ เปน็ กรณศี กึ ษาถงึ ปญั หา อุปสรรค รวมถึง

*น.บ. นบท. น.ม. (จุฬา) รองอธิบดีอัยการ สำ�นักงานคดีปกครอง, อดีตรองอธิบดีอัยการ สำ�นักงานวิชาการ

*ผู้เขียนบทความเคยปฏิบัติงานในตำ�แหน่งอัยการพิเศษฝ่ายภาษีอากร ๑ สำ�นักงานคดีภาษีอากร มีประสบการณ์ ทราบถึงแนว
วิธีปฏิบัติและขั้นตอนวิธีการจัดเก็บภาษี ตลอดจนปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในการจัดเก็บและดำ�เนินคดีภาษีของท้องถิ่น

14 บทความ

การเสนอแนะในส่วนกระบวนการดำ�เนินคดีภาษีส่วนท้องถิ่นในส่วนของการดำ�เนินคดีภาษีโรงเรือนและ
ทด่ี ินใหถ้ ูกตอ้ งเป็นไปตามหลักการของกฎหมาย อันจะเปน็ ผลใหก้ ารดำ�เนินคดีภาษีขององคก์ รปกครองสว่ น
ท้องถิ่นมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนเสนอแนะแนวทางดำ�เนินการที่เกี่ยวของกับการดำ�เนินคดีภาษี ซึ่ง
จะทำ�ให้ศักยภาพของพนักงานเจ้าหน้าที่และบุคลากรที่เกี่ยวข้องในกระบวนการดำ�เนินคดีภาษีอากรเพิ่ม
ขึ้นอีกด้วย
ทั้งนี้ ในการนำ�เสนอบทความจะลำ�ดับความตั้งแต่หลักการเกี่ยวกับภาษีอากร กระบวนการจัดเก็บ
ภาษีอากร ปัญหาการจัดเก็บภาษีที่นำ�ไปสู่การดำ�เนินคดีภาษี และปัญหาในการดำ�เนินคดีภาษี ตลอดจน
ข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในกระบวนการจัดเก็บและดำ�เนินคดีภาษีอากร
๑. หลักการทั่วไปเกี่ยวกับภาษีอากร
เป็นที่ทราบกันอยู่ทั่วไปแล้วว่า ภาษีที่รัฐจัดเก็บเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการหารายได้ให้พอกับ
ค่าใช้จ่ายของรัฐบาลเพื่อการกระจายรายได้ เพื่อควบคุมการบริโภคของประชาชน เพื่อการชำ�ระหนี้สิน
ของรัฐบาลหรือสนองนโยบายธุรกิจ และการคลังของรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เข้าใจถึงความสำ�คัญของภาษีอากร และความเป็นมาของปัญหาที่ปรากฏซึ่ง
ก่อให้เกิดความสนใจในการที่จะศึกษา ดังนั้น ในชั้นต้นนี้ จึงขอนำ�เสนอในส่วนหลักการเบื้องต้นของภาษี
และรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
ความหมายของภาษีอากร
ภาษี หรือภาษีอากร มีนิยามในหลายความหมาย ได้แก่
“เงินที่รัฐหรือท้องถิ่นเรียกเก็บจากบุคคลเพื่อใช้จ่ายในการพัฒนาประเทศ เช่น ภาษีเงินได้บุคคล
ธรรมดา เป็นต้น” หรือ
“ทรัพย์สินที่โดยปกติแล้ว ได้แก่ เงินตราที่บุคคลถูกบังคับให้บริจาคแก่รัฐเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของรัฐ
ในการทำ�กิจการของรัฐทั่วไปโดยผู้บริจาคไม่ได้รับประโยชน์โดยตรงเป็นการเฉพาะตัว”
ในทางหลักวิชาการแล้ว ภาษีอากร มีความหมายใน ๓ ลักษณะ ดังนี้
๑. สง่ิ ทร่ี ฐั บาลบงั คบั เกบ็ จากราษฎร การทร่ี าษฎรชำ�ระภาษอี ากรเปน็ การช�ำ ระภาษใี หถ้ กู ตอ้ งตามกฎหมาย
โดยไมจ่ �ำ เปน็ ตอ้ งเรยี กเกบ็ เปน็ เงนิ สดอยา่ งเดยี ว หากไมป่ ฏบิ ตั หิ รอื หลกี เลย่ี งตอ้ งไดร้ บั โทษตามทก่ี ฎหมายก�ำ หนด
การช�ำ ระภาษอี ากรถอื เปน็ หนา้ ทข่ี องราษฎร ฉะนน้ั จงึ ไดน้ ยิ ามวา่ เปน็ การบงั คบั
๒. ภาษีอากรที่จัดเก็บมาได้นั้นรัฐบาลนำ�ไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนรวมโดยมิได้มีสิ่งตอบแทนแก่
ผู้เสียภาษีโดยตรงไม่เกิดภาระชำ�ระคืนของรัฐบาล รัฐบาลนำ�ภาษีอากรที่เก็บได้ไปใช้ในการพัฒนาประเทศ
เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ได้แก่ ความมั่นคง ความปลอดภัย การคมนาคม การศึกษา พร้อมทั้งการสาธารณูปโภค
ต่าง ๆ เป็นต้น

อัยการนิเทศ 15

๓. เปน็ การเคลอ่ื นยา้ ยเงนิ ไดห้ รอื ทรพั ยากรจากภาคเอกชนไปสภู่ าครฐั บาล การเกบ็ ภาษอี ากรเปรยี บ
เหมอื นลกั ษณะการเคลอ่ื นยา้ ยทรพั ยส์ นิ จากภาคเอกชนสว่ นหนง่ึ ไปสภู่ าครฐั บาล
ดังนั้น ภาษีอากร จึงมีความหมายในทางหลักวิชาว่า สิ่งที่รัฐบาลบังคับเก็บจากราษฎรเพื่อใช้เป็น
ประโยชน์ส่วนรวม โดยไม่ได้มีสิ่งตอบแทนโดยตรงแก่ผู้เสียภาษีอากรหรืออีกความหมาย คือ เงินได้หรือ
ทรัพยากร ที่เคลื่อนย้ายจากเอกชนไปสู่รัฐบาลแต่ไม่รวมถึงการกู้ยืมหรือขายสินค้า หรือให้บริการในราคา
ทุนโดยรัฐบาล
ในทางกฎหมาย คำ�ว่า “ภาษีอากร” ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดี
ภาษีอากร กำ�หนดให้หมายถึง

(๑) ภาษี คือ เงินที่รัฐเรียกเก็บจากบุคคล, ทรัพย์สิน หรือธุรกิจ เพื่อใช้จ่ายในการบริหารหรือการ
พัฒนาประเทศ

(๒) อากร คือค่าธรรมเนียมอย่างหนึ่งที่รัฐเรียกเก็บ เช่น อากรรังนก อากรแสตมป์
(๓) ค่าภาคหลวง
(๔) แสตมป์ยาสูบ
(๕) ค่าธรรมเนียมสำ�หรับการประทับตราไพ่

ลักษณะของภาษีอากรที่ดี
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่ผ่านมาทุกฉบับจะมีบทบัญญัติให้ประชาชนมีหน้าที่ต้อง
เสียภาษีอากรตามที่กฎหมายบัญญัติ ในการบัญญัติกฎหมายภาษีอากรที่ดีนั้นมีหลักการบางประการที่ควร
คำ�นึงถึง เพื่อให้ประชาชนมีความสมัครใจในการเสียภาษีอากรและให้กฎหมายดังกล่าวใช้บังคับได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ
ทง้ั น้ี ตามหลกั การ ไดก้ �ำ หนดลกั ษณะของภาษอี ากรทด่ี นี น้ั ควรมลี กั ษณะส�ำ คญั ๗ ประการ ดงั น้ี
๑) มีความเป็นธรรม
๒) มีความแน่นอนและชัดเจน
๓) มีความสะดวก
๔) มีประสิทธิภาพ
๕) มีความเป็นกลางทางเศรษฐกิจ
๖) อำ�นวยรายได้
๗) มีความยืดหยุ่น
โครงสร้างของภาษีอากร
ภาษีอากรจะประกอบด้วยส่วนหลัก ๆ ๕ ส่วนด้วยกัน ได้แก่
๑. ผู้มีหน้าที่ชำ�ระภาษีอากร ภาษีอากรแต่ละประเภทจะระบุว่าผู้ใดอยู่ในข่ายต้องชำ�ระภาษีอากร
การกำ�หนดแหล่งเงินได้ที่ต้องเสียภาษีและผู้ใดอยู่ในข่ายได้รับการยกเว้นภาษีอากร

16 บทความ

๒. ฐานภาษีอากร หมายถึง สิ่งที่เป็นมูลเหตุขั้นต้นให้ต้องชำ�ระภาษีอากร การมีรายได้ การมี
ทรัพย์สินเป็นจำ�นวนมากเท่าไหร่จึงจะถึงเกณฑ์ต้องชำ�ระภาษีอากร การใช้จ่ายบริโภคสินค้าชนิดใดที่ต้อง
ชำ�ระภาษีอากร
๓. อัตราภาษีอากร ซึ่งมี ๓ แบบ คือ แบบคงที่ แบบก้าวหน้า และแบบถอยหลัง
๔. การอุทธรณ์ภาษีอากร เป็นกระบวนการที่สำ�คัญที่สุดอย่างหนึ่งในการให้ความเป็นธรรมต่อ
ผู้เสียภาษีซึ่งถูกประเมินภาษีอากร
๕. บทกำ�หนดโทษ กฎหมายภาษีอากรจะกำ�หนดบทลงโทษ ผู้ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ผู้ใดฝ่าฝืน
ผู้ใดโดยรู้อยู่แล้วหรือจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ผู้ใดโดยเจตนาละเลยไม่ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อชำ�ระ
ภาษีอากร โดยต้องระวางโทษจำ�คุกหรือระวางโทษปรับ หรือทั้งจำ�ทั้งปรับ

ประเภทของภาษีอากร

ประเภทภาษอี ากร แบง่ เปน็ ภาษอี ากรทางตรงและภาษที างออ้ ม ซงึ่ กฎหมายทท่ี างรฐั บาลใช้ในการ
เรียกเก็บภาษี คือ ประมวลรัษฎากรทั้งนี้ อาจแบ่งประเภทภาษีอากรเป็นประเภทใหญ่ ๆ ตามหน่วยงาน
ทมี่ ีหน้าทจี่ ัดเก็บ ดงั นี้
๑. ภาษสี รรพากร ซงึ่ จดั เกบ็ โดยกรมสรรพากร ไดแ้ ก่ ภาษเี งนิ ไดบ้ คุ คลธรรมดา ภาษเี งนิ ไดน้ ติ บิ คุ คล
ภาษีมูลคา่ เพ่มิ ภาษธี ุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์
๒. ภาษีศุลกากร ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙โดยกรมศุลกากรเป็นผู้มีหน้าที่หลักใน
การจัดเก็บ
๓. ภาษสี รรพสามติ ตามพระราชบญั ญตั ภิ าษสี รรพสามติ พ.ศ. ๒๕๒๗ กรมสรรพสามติ เปน็ ผมู้ หี นา้ ท่ี
จดั เก็บ
๔. ภาษีท้องถนิ่ * เปน็ ภาษที ีร่ าชการบริหารส่วนทอ้ งถน่ิ เป็นผูจ้ ดั เกบ็

กฎหมายทเี่ กี่ยวข้องกบั ภาษอี ากร
สำ�หรับกฎหมายที่เกี่ยวกับภาษีอากรนั้น ข้อเท็จจริงแล้วมีอยู่เป็นจำ�นวนมาก ในส่วนที่สำ�คัญ ก็
คือประมวลรัษฎากร พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ๒๕๒๗
พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ ฯลฯ เป็นต้น
ในส่วนกฎหมายวิธีสบัญญัติกำ�หนดอยู่ในกฎหมายสำ�คัญ ๓ ฉบับ ซึ่งจะมีความสำ�คัญในส่วนของ
การดำ�เนินคดีภาษี มีดังนี้
๑. พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘
๒. ข้อกำ�หนดคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๔๔
๓. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง


อัยการนเิ ทศ 17

๒. หลักการในการจัดเก็บภาษีท้องถิ่น

ความสำ�คัญในการจัดเก็บภาษีท้องถิ่น
การจดั เกบ็ ภาษขี ององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ใหร้ าชการบรหิ ารสว่ นทอ้ งถน่ิ * นำ�เงิน
ภาษีไปพัฒนาท้องถิ่นให้เจริญยิ่งขึ้นตลอดจนจัดบริการสาธารณะไว้ให้บริการแก่ประชาชนในท้องถิ่น เช่น
ถนน ไฟฟ้า ประปา การรักษาความสะอาด (การเก็บขยะ)
หลักการจัดเก็บภาษีที่ดีไม่ว่าจะเป็นส่วนกลางหรือส่วนท้องถิ่นต้องจัดเก็บให้เหมาะสมและเป็น
ธรรม หากจัดเก็บภาษีสูงเกินไปผู้ประกอบการต่าง ๆ ย่อมไม่อาจดำ�เนินกิจการต่อไปได้ แต่หากจัดเก็บ


*นิยามศัพท์ท่ีเกย่ี วขอ้ งกับภาษีทอ้ งถน่ิ (ในสว่ นทีเ่ ก่ยี วข้องกับภาษโี รงเรือนและท่ดี ิน)

ตามพระราชบญั ญตั ิภาษีโรงเรอื นและท่ีดนิ พ.ศ. ๒๔๗๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม บญั ญัตคิ ำ�นิยามไวใ้ นมาตรา ๕ ดงั น้ี
“ทดี่ ิน” ให้กนิ ความถงึ ทางนํ้า บ่อน้ํา สระน้ํา ฯลฯ
“โรงเรือนหรอื สงิ่ ปลูกสรา้ งอยา่ งอืน่ ๆ” ใหก้ ินความถงึ แพด้วย
“ราคาตลาด” หมายความว่าจำ�นวนเงินซึ่งทรัพย์สินพร้อมท้ังสิ่งท่ีทำ�เพ่ิมเติมให้ดีข้ึนทั้งสิ้น (ถ้ามี)ซ่ึงจะจำ�หน่ายได้ในขณะเวลาที่
กำ�หนดราคาตามพระราชบัญญัตินี้
“ผู้รบั ประเมิน” หมายความว่า บคุ คลผพู้ งึ ช�ำ ระค่าภาษี
“ปี” หมายความว่าปตี ามปฏิทนิ หลวง
“พนักงานเจา้ หนา้ ที่” หมายความว่า ผู้ซง่ึ ไดร้ ับการแต่งตัง้ ให้มหี นา้ ทรี่ บั แบบแสดงรายการทรพั ยส์ ินประเมินภาษี และปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ี
อนื่ ตามท่ีกฎหมายกำ�หนด
“พนกั งานเก็บภาษี”หมายความวา่ ผู้ซึ่งได้รบั การแตง่ ตงั้ ให้มหี นา้ ที่จัดเก็บ รบั ชำ�ระ รวมท้ังเรง่ รัดให้ช�ำ ระภาษแี ละปฏิบัติหนา้ ที่อนื่
ตามทีก่ ฎหมายกำ�หนด
“องคก์ รปกครองส่วนท้องถ่ิน” หมายถงึ “ราชการบริหารส่วนทอ้ งถ่นิ ” และหมายรวมถงึ “ทอ้ งถน่ิ ”
ทงั้ น้ี ราชการบรหิ ารส่วนทอ้ งถ่ิน* ตามกฎหมายระเบยี บบริหารราชการแผน่ ดิน ประกอบดว้ ย กรุงเทพมหานคร เมอื งพทั ยา เทศบาล
(เทศบาลนคร, เทศบาลเมือง และเทศบาลตำ�บล) องค์การบริหารส่วนจังหวดั (อบจ.) และ องค์การบรหิ ารสว่ นต�ำ บล (อบต.)
นอกจากนนั้ ยังมีนยิ ามทีเ่ กีย่ วขอ้ งกบั การวจิ ัยดังน้ี
“คา่ ภาษ”ี หมายความถงึ จ�ำ นวนทผ่ี รู้ บั ประเมนิ ช�ำ ระภาษปี ลี ะครง้ั ตามคา่ รายปขี องทรพั ยส์ นิ ในอตั รารอ้ ยละ ๑๒.๕ ของคา่ รายปี
“ค่ารายป”ี หมายความว่า จำ�นวนเงินซ่ึงทรพั ย์สนิ น้ันสมควรใหเ้ ช่าไดใ้ นปีหนงึ่ ๆ ในกรณใี ห้เชา่ ใหถ้ ือค่าเช่าคือคา่ รายปี
“เงนิ เพ่ิม” หมายความถงึ มาตรการทางแพ่ง เพือ่ ให้มีการช�ำ ระภาษภี ายในกำ�หนด ตามมารตรา ๔๓ ซ่ึงพนกั งานเกบ็ ภาษีสามารถ
เรยี กเกบ็ ผูม้ หี นา้ ท่ีเปรียบเทียบปรบั และท้องถน่ิ ไปขอรับเงนิ ค่าปรบั มาเปน็ รายไดข้ องตนเอง
“ค่าปรับ” หมายความถงึ โทษทางอาญา ซง่ึ มกี �ำ หนดไวใ้ นมาตรา ๔๖,๔๗ และ ๔๘โดยพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครองเป็นผู้มีหน้าที่
เปรยี บเทยี บปรับและท้องถิ่นไปขอรับเงนิ ค่าปรับมาเปน็ รายไดข้ องตนเอง

*ราชการบริหารส่วนท้องถ่นิ มีจำ�นวน ๗,๘๕๔ แหง่ ดังนี้
(๑) องค์การบรหิ ารสว่ นจังหวัด (อบจ.) ๗๖ แหง่ (รวม อบจ.บงึ กาฬ)
(๒) เทศบาล ๒,๐๐๘ แห่ง (เทศบาลนคร ๒๕ แห่ง, เทศบาลเมือง ๑๔๒ แหง่ และเทศบาลต�ำ บล ๑,๘๔๑แหง่ )
(๓) องค์การบริหารสว่ นต�ำ บล (อบต.) ทว่ั ประเทศจ�ำ นวน ๕,๗๖๘ แหง่
(๔) การปกครองท้องถน่ิ รูปแบบพเิ ศษ ๒ แห่ง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา

(ท่มี า : กรมสง่ เสริมการปกครองสว่ นท้องถิ่น ขอ้ มลู ปงี บประมาณ ๒๕๕๕)

18 บทความ

น้อยเกินไปก็ไม่มีเงินงบประมาณที่จะบริหารราชการและพัฒนาท้องถิ่นให้เจริญ ตลอดจนไม่อาจจัดบริการ
สาธารณะให้บริการแก่ประชาชนได้ ความเหมาะสมจึงต้องพิจารณาให้เป็นธรรมที่ผู้ประกอบการและส่วน
ราชการสามารถเดินไปด้วยกันได้
ภาษีที่ส่วนราชการบริหารส่วนท้องถิ่นเป็นผู้จัดเก็บไม่ว่าจะเป็นภาษีโรงเรือนและที่ดิน ภาษีป้าย
ภาษีบำ�รุงท้องที่ นั้น เดิมมีกรมสรรพากรเป็นผู้จัดเก็บ โดยในส่วนของภาษีป้ายได้มีบัญญัติไว้ในประมวล
รัษฎากร ลักษณะ ๒ หมวด ๕ มาตรา ๙๔ – ๑๐๒
ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. ๒๕๑๐ ใช้บังคับและได้ยกเลิกหมวด ๕ นี้ไป ส่วนภาษี
บำ�รุงท้องที่ได้มีบัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร ลักษณะ ๓ มาตรา ๑๔๔ – ๑๖๔ และต่อมาได้มีพระราช
บัญญัติภาษีบำ�รุงท้องที่ พ.ศ. ๒๕๐๘ ใช้บังคับและได้ยกเลิกลักษณะ ๓ นี้
ส่วนภาษีโรงเรือนและที่ดินได้มีประกาศภาษีเรือ โรง ร้าน ตึก แพ จุลศักราช ๑๒๓๒, ประกาศแก้
ข้อความในประกาศภาษีเรือ โรง ร้าน ตึก แพ จุลศักราช ๑๒๓๒, ประกาศแก้ไขเพิ่มเติมภาษีเรือ โรง ร้าน
พุทธศักราช ๒๔๗๔, ประกาศว่าด้วยการใช้ประกาศแก้ไขเพิ่มเติมภาษีเรือ โรง ร้าน พุทธศักราช ๒๔๗๔
ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ ใช้บังคับและได้ยกเลิกกฎหมาย
ต่าง ๆ ดังกล่าวหมดแล้ว และได้โอนการจัดเก็บภาษีดังกล่าวไปให้ราชการบริหารส่วนท้องถิ่นเป็นผู้จัดเก็บ
ภาษีท้องถิ่นเป็นทั้งภาษีที่มีกฎหมายบัญญัติให้ราชการบริหารส่วนท้องถิ่นเป็นผู้จัดเก็บและทางราชการ
มอบหมายให้ราชการส่วนท้องถิ่นจัดเก็บ

ประเภทของภาษีท้องถิ่น
ภาษซี ง่ึ ราชการสว่ นทอ้ งถน่ิ มหี นา้ ทจ่ี ดั เกบ็ โดยตรงทส่ี �ำ คญั ประกอบดว้ ย

(๑) ภาษโี รงเรอื นและทด่ี นิ (ตามพระราชบญั ญตั ภิ าษโี รงเรอื นและทด่ี นิ พ.ศ. ๒๔๗๕)
(๒) ภาษบี �ำ รงุ ทอ้ งท่ี (ตามพระราชบญั ญตั ภิ าษบี �ำ รงุ ทอ้ งท่ี พ.ศ. ๒๕๐๘)

(๓) ภาษปี า้ ย (ตามพระราชบญั ญตั ภิ าษปี า้ ย พ.ศ. ๒๕๑๐)
(๔) อากรรงั นกอแี อน่ (ตามพระราชบญั ญตั อิ ากรรงั นกอแี อน่ พ.ศ. ๒๕๔๐)
สว่ นภาษปี ระเภทอน่ื ทท่ี างราชการมอบหมายใหร้ าชการสว่ นทอ้ งถนิ่ จดั เกบ็ ไดแ้ กภ่ าษรี ถยนตฯ์ เปน็ ตน้
โดยหลกั การแลว้ กฎหมายบญั ญตั ใิ หก้ ระทรวงมหาดไทยเปน็ ผกู้ �ำ กบั ดแู ลราชการบรหิ ารสว่ นทอ้ งถน่ิ
ทง้ั หมด ตลอดจนไดว้ างหลกั เกณฑก์ ารจดั เกบ็ โดยในสว่ นขององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ทง้ั ภาษบี �ำ รงุ ทอ้ งท่ี
ภาษโี รงเรอื นและทด่ี นิ และภาษปี า้ ย เปน็ ตน้

3. กระบวนการจดั เกบ็ ภาษี
กระบวนจัดเกบ็ ภาษีทอ้ งถ่ินโดยเฉพาะภาษโี รงเรือนและทดี่ ิน มีขน้ั ตอนที่ส�ำ คญั ประกอบด้วย
(๑) การประเมินภาษี และ
(๒) การออกหนังสือแจ้งการประเมิน และใบแจ้งคำ�ชี้ขาด (ภ.ร.ด. ๘ , ภ.ร.ด. ๑๑)

อยั การนเิ ทศ 19

วิธีการประเมินภาษี
ในส่วนของภาษีโรงเรือนและที่ดิน กระบวนการจัดเก็บภาษีจะเริ่มจากเจ้าของที่ดินเจ้าของโรงเรือน
หรือทรัพย์สินยื่นแบบ ภรด. ๒ ว่ามีทรัพย์สินอะไร ใช้ประโยชน์อย่างไรต่อเจ้าพนักงานประเมินเพื่อให้
ทำ�การประเมินภาษี
ทั้งนี้ การประเมินภาษีอากรโดยหลักแล้ว มี ๒ วิธี คือ
(๑) การประเมินตนเอง และ
(๒) การประเมินโดยเจ้าพนักงาน

การประเมินตนเอง
เปน็ กรณที ผี่ มู้ หี นา้ ทชี่ �ำ ระภาษี จะเปน็ ผปู้ ระเมนิ คา่ ภาษที ต่ี นจะตอ้ งช�ำ ระใหแ้ กส่ ว่ นราชการหรอื หนว่ ย

งานของรัฐด้วยตนเอง และเจา้ พนกั งานหรือพนักงานเจา้ หน้าท่ีจะเป็นผูต้ รวจสอบความถูกต้องครบถว้ น

การประเมินโดยเจ้าพนักงาน
เป็นกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเจ้าหน้าที่จัดเก็บภาษี จะแจ้งจำ�นวนค่าภาษีที่ต้องชำ�ระแก่ผู้รับ
การประเมิน ในกรณีภาษีโรงเรือนและที่ดินจะแจ้งให้แก่เจ้าของโรงเรือนทราบ
ในกระบวนการประเมินภาษีตามกฎหมาย* นั้น พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเจ้าหน้าที่จัดเก็บภาษี
จะแจ้งจำ�นวนค่าภาษีที่ต้องชำ�ระแก่ผู้รับการประเมินหรือเจ้าของที่ดิน ทั้งนี้ เจ้าของทรัพย์สินจะร้องขอให้
พิจารณาการประเมินใหม่ได้

กรณีทรัพย์สินนั้นให้เช่า ให้ถือว่าค่าเช่านั้นคือค่ารายปี** เว้นแต่กรณีที่มีเหตุอันสมควรที่ทำ�ให้
พนักงานเจ้าหน้าที่เห็นว่าค่าเช่านั้นมิใช่จำ�นวนเงินอันสมควรที่จะให้เช่าได้
ส่วนกรณีที่หาค่าเช่าไม่ได้เนื่องจากเจ้าของทรัพย์สินด�ำ เนินกิจการเองหรือด้วยเหตุประการอื่น ให้
พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำ�นาจประเมินค่ารายปีได้โดยคำ�นึงถึงลักษณะของทรัพย์สิน ขนาด พื้นที่ ทำ�เลที่ตั้ง
และบริการสาธารณะที่ทรัพย์สินนั้นได้รับประโยชน์ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
กำ�หนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา***



*มาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.๒๔๗๕ บัญญัติว่า
“ให้ผู้รับประเมินชำ�ระภาษีปีละครั้งตามค่ารายปีของทรัพย์สิน คือ โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นกับที่ดินซึ่งใช้ต่อเนื่องกับ
โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นนั้น ในอัตราร้อยละสิบสองครึ่งของค่ารายปีเพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้”
**ค่ารายปี หมายความว่า “จำ�นวนเงินซึ่งทรัพย์สินนั้นสมควรให้เช่าได้ในปีหนึ่ง ๆ”

ทั้งนี้ ตามมาตรา ๑๘ บัญญัติว่า
“ค่ารายปีของปีที่ล่วงแล้วนั้น ท่านให้เป็นหลักสำ�หรับการคำ�นวณค่าภาษีซึ่งจะต้องเสียในปีต่อมา”
***ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องหลักเกณฑ์การประเมินค่ารายปีของทรัพย์สิน เป็นหลักเกณฑ์ที่มาในการใช้กำ�หนดกำ�หนด
ราคาค่าเช่ามาตรฐานกลางเฉลี่ยต่อตารางเมตรซึ่งมีถ้อยคำ�ที่คัดมาจาก พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน
พ.ศ.๒๔๗๕ กำ�หนดให้ยื่นแบบโดยระบุรายละเอียดของทรัพย์สินต่าง ๆ

20 บทความ

ขั้นตอนในการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดิน
ขั้นตอนการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินในขั้นตอนตามกฎหมายมีลำ�ดับดังนี้
๑) เจ้าของโรงเรือนยื่นแบบ ภรด. ๒ แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ในโรงเรือนของ
ตนภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี
๒) พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบตามมาตรา ๒๔
๓) แจ้งรายการประเมินไปยังเจ้าของโรงเรือน (ผู้รับประเมิน)
๔) อุทธรณ์ หรือร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ (๑๕ วัน)
๕) แจ้งคำ�ชี้ขาด
๖) ยื่นฟ้องต่อศาล ภายในกำ�หนด ๓๐ วัน

ขั้นตอนการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินโดยเจ้าพนักงาน
การประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินโดยเจ้าพนักงานมีขั้นตอนในทางปฏิบัติดังนี้
เจ้าของโรงเรือนยื่นแบบ ภ.ร.ด. ๒ ภายในเดือนกุมภาพันธ์ ของทุกปีภาษี ทั้งนี้ตามมาตรา ๑๘
บัญญัติให้เอาภาษีปีที่ล่วงมาแล้วเป็นฐานของการคำ�นวณในปีภาษี เช่น นำ�รายได้ของปี ๒๕๕๔ มาเป็น
ฐานเทียบเคียงของปี ๒๕๕๕
การยื่นแบบภายในเดือนกุมภาพันธ์ ของปี ๒๕๕๕ เป็นการยื่นแบบของปีภาษี ๒๕๕๕ โดยจำ�เป็น
ต้องระบุรายได้ของปี ๒๕๕๔ เป็นฐานในการคำ�นวณของปี ๒๕๕๕ เนื่องจากภาษีโรงเรือนเป็นภาษีที่จัด
เก็บล่วงหน้าจากตัวทรัพย์สิน ไม่ใช่เก็บจากรายได้ และยังไม่ทราบว่ารายได้ของทรัพย์สินในปี ๒๕๕๕ จะ
มีจำ�นวนเท่าไร
ปีภาษี กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เป็นปีภาษี ๒๕๕๕ เพียงแต่ใช้ค่ารายปีของปีที่ล่วงมาแล้วเป็นฐานใน
การคำ�นวณภาษีในปี ๒๕๕๕ ตามมาตรา ๑๘ ซึ่งเป็นหลักในการค�ำ นวณเท่านั้น แต่มิได้หมายความว่าเอา
ค่าภาษีปี ๒๕๕๔ มาเป็นภาษีปี ๒๕๕๕
ถ้าโรงเรือนถูกยุบยกเลิกไป ในปี ๒๕๕๕ ผู้เสียภาษีสามารถขอคืนภาษีได้ซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย
ที่กำ�หนดไว้ชัดเจนในมาตรา ๑๘ ดังกล่าว
หลังจากยื่นแบบภาษี ภ.ร.ด. ๒ แล้ว พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำ�นาจตาม มาตรา ๒๔ คือ มีอำ�นาจ
ไต่สวนตรวจสอบเพื่อรับรู้ ประเภททรัพย์สิน แล้วก�ำ หนดค่ารายปีให้กำ�หนดว่าภาษีต้องเสียเท่าไร แล้วจึง
แจ้งไปยังพนักงานจัดเก็บภาษี
สำ�หรับระยะเวลาการประเมิน กรณีไม่ยื่นแบบ ภ.ร.ด. ๒ สามารถประเมินได้ภายใน ๑๐ ปี กรณี
ยื่นแบบ ภ.ร.ด. ๒ ไม่ถูกต้องสามารถประเมินได้ภายใน ๕ ปีตามมาตรา ๒๔ ทวิ (๑), (๒)
การนับระยะเวลาดังกล่าว เช่น การประเมินภายใน ๕ ปี สำ�หรับผู้ที่ยื่นแบบ ภ.ร.ด.๒ ของปี
ภาษี ๒๕๕๔ คือ ต้องให้แบบแจ้งการประเมินไปถึงผู้รับการประเมินนั้นนับจากวันที่ ๑ มีนาคม ปี ๒๕๕๔
- ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นการนับระยะเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และการรับ

อยั การนเิ ทศ 21

แบบแจ้งการประเมินต้องชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและตามไปรษณีย์นิเทศ คือ ผู้รับตาม
จ่าหน้าได้รับโดยชอบด้วยกฎหมาย

การออกหนังสือแจ้งการประเมินและใบแจ้งคำ�ชี้ขาด (ภ.ร.ด. ๘, ภ.ร.ด. ๑๑)
เมอ่ื ภาษโี รงเรอื นและทด่ี นิ ไดป้ ระเมนิ โดยเจา้ พนกั งาน ผเู้ สยี ภาษซี ง่ึ ไมร่ เู้ หน็ กบั พนกั งานเจา้ หนา้ ทว่ี า่
ประเมนิ เพราะเหตใุ ด จงึ เปน็ เหตทุ ท่ี �ำ ใหห้ นงั สอื แจง้ การประเมนิ กบั ใบแจง้ ค�ำ ชข้ี าด (ภ.ร.ด. ๘, ภ.ร.ด. ๑๑)
เสย่ี งตอ่ การไมช่ อบดว้ ยพระราชบญั ญตั วิ ธิ ปี ฏบิ ตั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
ดงั นน้ั จงึ จ�ำ เปน็ ทจ่ี ะตอ้ งท�ำ ใหห้ นงั สอื แจง้ การประเมนิ (ภ.ร.ด. ๘) และใบแจง้ ค�ำ ชข้ี าด (ภ.ร.ด. ๑๑)
ไมข่ ดั ตอ่ พระราชบญั ญตั วิ ธิ ปี ฏบิ ตั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙

ทง้ั น้ี พระราชบญั ญตั วิ ธิ ปี ฏบิ ตั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๓ บญั ญตั วิ า่
“วธิ ปี ฏบิ ตั ริ าชการทางปกครองตามกฎหมายตา่ ง ๆ ใหเ้ ปน็ ไปตามทก่ี ำ�หนดในพระราชบญั ญตั นิ ้ี เวน้
แตใ่ นกรณที ก่ี ฎหมายใดกำ�หนดวธิ ปี ฏบิ ตั ริ าชการทางปกครองเรอ่ื งใดไวโ้ ดยเฉพาะและมหี ลกั เกณฑท์ ป่ี ระกนั
ความเปน็ ธรรมหรอื มมี าตรฐานในการปฏบิ ตั ริ าชการไมต่ า่ํ กวา่ หลกั เกณฑท์ ก่ี �ำ หนดในพระราชบญั ญตั นิ ้ี ...”
จากบทบัญญัติในมาตรา ๓ ดังกล่าวจึงหมายความว่า หากพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน
พ.ศ. ๒๔๗๕ มกี ารกำ�หนดมาตรฐานในการออกค�ำ สั่งทางปกครองเพ่อื ประเมนิ ภาษีไม่ตำ�่ กวา่ พระราชบัญญัติ
วธิ ปี ฏบิ ตั ริ าชการทางปกครอง กส็ ามารถใชว้ ธิ กี ารประเมนิ ตามพระราชบญั ญตั ภิ าษโี รงเรอื นฯ ได้ แตเ่ นอ่ื งจาก
ในพระราชบัญญตั ิภาษีโรงเรือนก�ำ หนดไวไ้ ม่ชัดเจน ไม่มกี ระบวนการที่ชัดเจน เมอ่ื มาทำ�ค�ำ ส่งั ทาง ภ.ร.ด. ๘
และ ภ.ร.ด. ๑๑ กไ็ มม่ กี ารแสดงขอ้ ความและเหตผุ ลตามพระราชบญั ญตั วิ ธิ ปี ฏบิ ตั ริ าชการทางปกครอง มาตรา
๓๗ แตอ่ ยา่ งใด*
เมือ่ หนังสือแจง้ การประเมนิ (ภ.ร.ด. ๘) และใบแจง้ ค�ำ ชข้ี าด (ภ.ร.ด. ๑๑) เปน็ ค�ำ ส่งั ทางปกครองจึง
ต้องทำ�ให้สอดคลอ้ ง และถูกต้องตาม มาตรา ๓๗ แหง่ พระราชบัญญัตวิ ิธีปฏบิ ตั ริ าชการทางปกครองฯ ดว้ ย
ดังนั้น จึงควรทำ� ภ.ร.ด. ๘ และ ภ.ร.ด. ๑๑ เป็นแบบและทำ�ใบแนบแบบแจ้งแสดงข้อเท็จจริงอัน
เป็นสาระสำ�คัญ ข้อกฎหมายอ้างอิง ข้อพิจารณาและข้อสนับสนุนการใช้ดุลพินิจในการประเมินและการ
ชี้ขาดให้ชัดเจน

*พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.๒๕๓๙ มาตรา ๓๗ บัญญัติว่า
“คำ�สง่ั ทางปกครองท่ที ำ�เปน็ หนังสอื และการยนื ยนั คำ�สงั่ ทางปกครองต้องจดั ให้มีเหตุผลไวด้ ้วยและเหตุผลนัน้ อย่างน้อยตอ้ งจดั ใหม้ ี
๑. ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำ�คัญ
๒. ข้อกฎหมายอ้างอิง
๓. ข้อพิจารณาและข้อสนับสนุนในการใช้ดุลพินิจ”

22 บทความ

คำ�พิพากษาในส่วนที่เกี่ยวข้อง

คำ�พิพากษาศาลฎีกาที่ตัดสินเกี่ยวกับภาษีโรงเรือนและที่ดินโดยเฉพาะ มีสาระสำ�คัญว่า
“พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ เป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับกระบวนการ
พิจารณาวินิจฉัยและสั่งการของเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นหลักเกณฑ์การกำ�หนดขั้นตอนในการพิจารณาสั่ง
เป็นกระบวนการ ต้องเป็นการให้ความเป็นธรรม และคุ้มครองสิทธิของประชาชนอันเกิดจากการ
ใช้อำ�นาจโดยไม่มีขอบเขตของเจ้าหน้าที่รัฐ จึงต้องมีบทบัญญัติในมาตรา ๓ เอาไว้ และจะต้องมี
หลักประกัน เป็นธรรมที่มีมาตรฐานไม่ตํ่ากว่าวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง และหลักมาตรา ๓๐
พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือน มีมาตรฐานตํ่ากว่าพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง มาตรา ๓๗
จึงต้องนำ�มาตรา ๓๗ ใช้บังคับกับหนังสือแจ้งการประเมินและใบแจ้งคำ�ชี้ขาด ภ.ร.ด. ๘, ภ.ร.ด. ๑๑”
(ฎีกาที่ ๘๙๔๐/๒๕๕๐)
ปัญหาจึงมีต่อไปว่า เมื่อมีคำ�พิพากษาวินิจฉัยว่า แบบ ภ.ร.ด. ๘, ๑๑ ไม่ชอบด้วยพระราช
บัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ จะถือว่ากระบวนการตรวจสอบและประเมินภาษีเสียไปแค่
ไหน จะต้องถูกเพิกถอนไปทั้งหมดหรือไม่
เรื่องนี้มีคำ�พิพากษาฎีกาที่ ๓๕๔๒/๒๕๕๑ ตัดสินไว้ว่า “...เสียไปเฉพาะคำ�สั่งตัว ภ.ร.ด. ๘,
ภ.ร.ด. ๑๑ เท่านั้น แต่ตัวกระบวนการก่อนการประเมินไม่น่าเสียไป เนื่องจากเป็นการกระทำ�ที่ไม่
ชอบในรูปแบบใบแจ้งที่ต้องจัดให้มีเหตุผลและแจ้งให้ทราบต่อไป แต่กระบวนการหลังจากนี้ต้องเสีย
ไปทั้งหมด คือ ทำ�แบบแจ้งใหม่ให้ชอบตาม มาตรา ๓๗ และแจ้งต่อไป” ส่วนกระบวนการนั้นชอบแต่
ต้องรีบทำ�ภายในเวลาตามมาตรา ๒๔ นับแต่วันที่ได้รับแบบแจ้งรายการประเมิน ภ.ร.ด. ๘ เพราะ
ถ้าเสียไปทั้งหมด ระยะเวลาอาจไม่ทันแต่ถ้าจัดทำ�แบบแจ้งฯอาจจะใช้เวลาไม่นานนัก
ประเด็นเรื่องเหตุผลในการประเมิน หากมีการอ้างเหตุผลว่า ประเมินตามแนวทางคำ�พิพากษา
ศาลภาษีหรือศาลฎีกาว่า ศาลเคยตัดสินแล้วว่าการประเมินชอบ เช่นนี้อ้างได้หรือไม่
คำ�พิพากษาฎีกาปี ๘๐๙๐/๒๕๕๑ ถือว่า ไม่มีเหตุตาม มาตรา ๓๗
ภาษีโรงเรือนและที่ดิน เจ้าของต้องเสียภาษีตามค่ารายปี ตามมาตรา ๑๘ เพราะฉะนั้นในใบ
แจ้งรายการประเมินนั้น ต้องระบุว่า อะไรเป็นข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย สาระสำ�คัญ ข้อพิจารณา
ข้อสนับสนุน เพื่อให้ใบแจ้งชอบและไม่ขัดมาตรา ๓๗ ซึ่งหลักการที่ใช้อยู่ คือ อัตราค่าเช่ามาตรฐาน
กลางเฉลี่ยต่อตารางเมตร จึงต้องแจ้งรายละเอียดที่มาของค่าเฉลี่ย ตลอดจนหลักเกณฑ์ของคณะ
กรรมการว่า ใช้เหตุผลอะไรในการกำ�หนดค่าเฉลี่ย
กรณีประเมินภาษีนำ�เทียบกับโรงเรือนใกล้เคียง ต้องบอกว่าของใคร ห่างจากกันอย่างไร
การใช้ประโยชน์เหมือน หรือต่างกัน มากน้อยแค่ไหน
กรณีประเมินภาษีโดยใช้ดัชนีราคาผู้บริโภคของส่วนราชการใช้ในประเภทกิจการกลุ่มกิจการเดียวกัน
เช่น ปั๊มนํ้ามัน จะไปใช้ดัชนีราคาผู้บริโภคกลางไม่ได้ แต่ต้องใช้ดัชนีของกิจการเชื้อเพลิงตามภาวะเศรษฐกิจ
ของท้องที่ ๆ โรงเรือนและทรัพย์สินตั้งอยู่*

อัยการนเิ ทศ 23

กรณปี ระเมนิ ภาษโี ดยใชห้ นงั สอื กระทรวงมหาดไทย ดว่ นทส่ี ดุ ท่ี มท ๐๓๐๗/ว ๒๓๙๓ ลงวนั ท่ี ๑๐
กนั ยายน ๒๕๓๖ เรอ่ื ง ซกั ซอ้ มแนวทางการจดั เกบ็ ภาษโี รงเรอื นและทด่ี นิ และการดำ�เนนิ การตามมตคิ ณะรฐั มนตรี
ควรอา้ งประกาศกระทรวงมหาดไทย ลงวนั ท่ี ๓๐ มนี าคม ๒๕๓๕ เรอ่ื ง กำ�หนดหลกั เกณฑก์ ารประเมนิ คา่ ราย
ปขี องทรพั ยส์ นิ ซง่ึ ออกโดยอาศยั อำ�นาจตามพระราชบญั ญตั ภิ าษโี รงเรอื นและทด่ี นิ พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๗
และมาตรา ๘ ประกอบดว้ ย
การประเมนิ ภาษโี รงเรอื นตอ้ งไมถ่ อื เอารายไดเ้ ปน็ หลกั ในการประเมนิ แตใ่ หใ้ ชล้ กั ษณะของประโยชน์
ทเ่ี กดิ ขน้ึ จากทรพั ยส์ นิ แลว้ ท�ำ ใหเ้ จา้ ของทรพั ยส์ นิ มรี ายไดเ้ ปน็ หลกั ในการประเมนิ
ในส่วนของรายจ่ายหรือค่าใช้จ่ายของผู้เสียภาษี (เจ้าของโรงเรือน) ไม่ถือเป็นเหตุที่นำ�มาหักหรือ
ลดคา่ รายปี ซง่ึ จะเหน็ ไดจ้ ากค�ำ พพิ ากษาฎกี า ทต่ี ดั สนิ ในคดเี กย่ี วกบั ศนู ยอ์ าหารเทสโกโลตสั วา่
“คา่ ใชจ้ า่ ย คา่ นา้ํ คา่ ไฟฟา้ คา่ ท�ำ ความสะอาด ตามสญั ญาเชา่ ซง่ึ กรมสรรพากรถอื เปน็ รายจา่ ย ตาม
ประมวลรัษฎากรไม่เกี่ยวกับพระราชบัญญัติโรงเรือนและที่ดิน และคำ�พิพากษาของศาลฎีกาที่ตัดสินว่า
ภาษโี รงเรอื นและทด่ี นิ เกบ็ จากคา่ รายปขี องทรพั ยส์ นิ โดยไมค่ �ำ นงึ วา่ เจา้ ของทรพั ยส์ นิ มคี า่ ใชจ้ า่ ยมากหรอื นอ้ ย”
การประเมนิ ภาษโี รงเรอื นและทด่ี นิ ของสนามกอลฟ์ มคี �ำ พพิ ากษาฎกี าท่ี ๓๗๔๗/๒๕๕๓ วนิ จิ ฉยั กรณี
ตวั สนาม สระนา้ํ เครอ่ื งกดี ขวาง คลบั เฮา้ ส์ จะถอื รวมเปน็ โรงเรอื นหรอื สง่ิ ปลกู สรา้ งตอ้ งเสยี ภาษโี รงเรอื นทด่ี นิ
หรอื ไมน่ น้ั
สาระส�ำ คญั อยทู่ ส่ี นามกอลฟ์ ถอื วา่ ถา้ มกี ารปรบั ปรงุ อะไรกต็ าม โดยบทบญั ญตั ขิ องพระราชบญั ญตั ิ
โรงเรอื นและทด่ี นิ ไมจ่ �ำ ตอ้ งมลี กั ษณะเชน่ เดยี วกบั โรงเรอื น หากปรบั สภาพใหต้ า่ งไปจากสภาพเดมิ ตามธรรมชาติ
และกอ่ ใหเ้ กิดประโยชน์ตอ่ การใช้สอยหรอื ก่อใหเ้ กิดมูลค่าเพ่มิ ตอ่ สิ่งปลูกสรา้ ง ยอ่ มนบั เป็นส่งิ ปลกู สร้างอยา่ ง
อ่นื ด้วย
การปรบั จากทด่ี นิ ทอ้ งนาใหเ้ ปน็ สนามกอลฟ์ ตอ้ งเสยี ภาษโี รงเรอื นและทด่ี นิ แนน่ อน เพราะเปน็ เหตใุ ห้
เจา้ ของมรี ายไดข้ น้ึ มา การสรา้ งสนามกอลฟ์ กเ็ พอ่ื ประโยชนข์ องโจทก์ สง่ิ ปลกู สรา้ งอยา่ งอน่ื ไมจ่ �ำ ตอ้ งปลกู ตดิ กบั
พน้ื ดนิ แตห่ ากเจตนาเปน็ การสรา้ งเพอ่ื เจตนาในการใชป้ ระโยชน์ กลา่ วคอื นอกจากดทู โ่ี ครงสรา้ งแลว้ ตอ้ งดู
เจตนาใชส้ ง่ิ ปลกู สรา้ งนน้ั ในลกั ษณะอยา่ งเปน็ โรงเรอื นประกอบดว้ ย*
การผอ่ นช�ำ ระภาษโี รงเรอื นและทด่ี นิ
กรณที ผ่ี เู้ สยี ภาษไี มม่ คี วามสามารถทจ่ี ะช�ำ ระคา่ ภาษไี ดภ้ ายในงวดเดยี ว กฎหมายเปดิ ชอ่ งใหส้ ามารถ
ผอ่ นช�ำ ระคา่ ภาษไี ดต้ ามพระราชบญั ญตั ภิ าษโี รงเรอื นและทด่ี นิ ฯมาตรา ๓๘ ทวิ ซง่ึ บญั ญตั วิ า่

*สำ�นักงานอัยการสูงสุด สำ�นักงานคดีภาษีอากร, สรุปผลการประชุมสัมมนาโครงการเพิ่มศักยภาพพนักงานอัยการในการดำ�เนิน
คดีภาษีอากรประจำ�ปีงบประมาณ ๒๕๕๔ รุ่นที่ ๑, ๒๕ - ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔.
*เรื่องเดียวกัน.

24 บทความ

“การช�ำ ระคา่ ภาษตี ามพระราชบญั ญตั นิ ้ี รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงมหาดไทยจะก�ำ หนดใหม้ กี ารผอ่ น
ช�ำ ระกไ็ ด้ วงเงนิ คา่ ภาษที จ่ี ะมสี ทิ ธผิ อ่ นช�ำ ระ รวมทง้ั หลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารในการผอ่ นช�ำ ระ ใหเ้ ปน็ ไปตามท่ี
ก�ำ หนดในกฎกระทรวง”
ทง้ั น้ี รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงมหาดไทยอาศยั อ�ำ นาจตามความในมาตรา ๓๘ ทวิ ออกกฎกระทรวง
ฉบบั ท่ี ๒ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ก�ำ หนดหลกั เกณฑท์ ผ่ี เู้ สยี ภาษจี ะขอผอ่ นช�ำ ระภาษไี ด้ ดงั น้ี
ขอ้ ๑. วงเงนิ คา่ ภาษที จ่ี ะขอผอ่ นช�ำ ระนน้ั จะตอ้ งมจี �ำ นวนตง้ั แตเ่ กา้ พนั บาทขน้ึ ไป
ขอ้ ๒. การขอผอ่ นช�ำ ระคา่ ภาษใี นปใี ด จะกระท�ำ ไดต้ อ่ เมอ่ื ไดม้ กี ารยน่ื แบบพมิ พเ์ พอ่ื แจง้ รายกาทรพั ยส์ นิ
ตอ่ พนกั งานเจา้ หนา้ ทซ่ี ง่ึ ทรพั ยส์ นิ นน้ั ตง้ั อยภู่ ายในเดอื นกมุ ภาพนั ธข์ องปนี น้ั หรอื ภายในกำ�หนดเวลาทผ่ี วู้ า่ ราชการ
จงั หวดั ไดเ้ ลอ่ื นออกไป เพราะในปที ล่ี ว่ งมาแลว้ มเี หตจุ �ำ เปน็ อนั เกดิ จากสาธารณภยั หรอื เหตพุ น้ วสิ ยั ทจ่ี ะปอ้ งกนั
ไดโ้ ดยทว่ั ไป และผมู้ หี นา้ ทเ่ี สยี ภาษไี ดแ้ จง้ ความจำ�นงขอผอ่ นช�ำ ระคา่ ภาษเี ปน็ หนงั สอื ตอ่ พนกั งานเกบ็ ภาษี ณ
สถานทท่ี ต่ี อ้ งช�ำ ระภาษภี ายในก�ำ หนดสามสบิ วนั นบั แตว่ นั ถดั จากวนั ทไ่ี ดร้ บั แจง้ การประเมนิ
ขอ้ ๓. ก�ำ หนดเวลาในการผอ่ นช�ำ ระคา่ ภาษแี บง่ ออกเปน็ สามงวด งวดละเทา่ ๆ กนั ดงั น้ี

งวดทห่ี นง่ึ ช�ำ ระภายในก�ำ หนดสามสบิ วนั นบั แตว่ นั ถดั จากวนั ทไ่ี ดร้ บั แจง้ การประเมนิ
งวดทส่ี อง ช�ำ ระภายในหนง่ึ เดอื นนบั แตว่ นั สดุ ทา้ ยทต่ี อ้ งช�ำ ระงวดทห่ี นง่ึ
งวดทส่ี าม ช�ำ ระภายในหนง่ึ เดอื นนบั แตว่ นั สดุ ทา้ ยทต่ี อ้ งช�ำ ระงวดทส่ี อง
ในกรณที ผ่ี มู้ หี นา้ ทเ่ี สยี ภาษไี มช่ �ำ ระคา่ ภาษงี วดใดงวดหนง่ึ ภายในก�ำ หนดเวลาตามวรรคหนง่ึ ใหห้ มดสทิ ธิ
ทจ่ี ะขอผอ่ นช�ำ ระคา่ ภาษสี �ำ หรบั งวดทย่ี งั ไมไ่ ดช้ �ำ ระ
อยา่ งไรกต็ ามหากทอ้ งถน่ิ จะพจิ ารณาการผอ่ นช�ำ ระภาษโี รงเรอื นและทด่ี นิ เกนิ ๓ งวดสามารถกระท�ำ
ไดห้ รอื ไม่
พจิ ารณาตามหลกั เกณฑข์ องกระทรวงมหาดไทยทก่ี �ำ หนดตามมาตรา ๓๘ ทวิ แหง่ พระราชบญั ญตั ภิ าษี
โรงเรอื นและทด่ี นิ พ.ศ. ๒๔๗๕ แลว้ เหน็ วา่ มอิ าจกระท�ำ ไดท้ ง้ั น้ี เนอ่ื งมาจากขอ้ เทจ็ จรงิ ในทางปฏบิ ตั ิ ดงั น*้ี
๑. กรณที ข่ี อผอ่ นเกนิ สามงวด หรอื กรณจี �ำ นวนเงนิ ทข่ี อผอ่ นนอ้ ยกวา่ เกา้ พนั ทางปฏบิ ตั เิ มอ่ื ทอ้ งถน่ิ ได้
รบั เงนิ จากผเู้ สยี ภาษมี ากอ่ นแตย่ งั ไมไ่ ดอ้ อกใบเสรจ็ รบั เงนิ ให้ แตจ่ ะออกเอกสารเปน็ หลกั ฐานการรบั เงนิ มอบใหแ้ ก่
ผเู้ สยี ภาษี เมอ่ื ไดร้ บั เงนิ มาครบจ�ำ นวนจงึ จะมกี ารออกใบเสรจ็ รบั เงนิ ใหห้ รอื ออกใบเสรจ็ รบั เงนิ ใหแ้ กผ่ เู้ สยี ภาษี แม้
จะผอ่ นเกนิ สามงวด เนอ่ื งจากตอ้ งการจดั เกบ็ ภาษใี หต้ รงตามเปา้ ทส่ี ดุ หรอื ไมอ่ อกหลกั ฐานใด ๆ ใหแ้ กผ่ เู้ สยี ภาษี
เลย อาศยั ความไวว้ างใจกนั เมอ่ื ผเู้ สยี ภาษผี อ่ นช�ำ ระครบตามจ�ำ นวนภาษจี งึ จะออกใบเสรจ็ รบั เงนิ ใหท้ เี ดยี ว
๒. กรณไี มไ่ ดย้ น่ื ขอผอ่ นช�ำ ระพรอ้ มกบั การยน่ื แบบพมิ พเ์ พอ่ื แจง้ รายการทรพั ยส์ นิ ตอ่ พนกั งานเจา้ หนา้ ท่ี
ภายในเดอื นกมุ ภาพนั ธ์ ทางปฏบิ ตั เิ จา้ หนา้ ทบ่ี างแหง่ ไดม้ กี ารอนญุ าตใหผ้ อ่ นชำ�ระแมจ้ ะผดิ หลกั เกณฑ์ เนอ่ื งจาก
ตอ้ งการเกบ็ ภาษใี หไ้ ดม้ ากทส่ี ดุ และเหน็ วา่ ผเู้ สยี ภาษมี เี จตนาจะช�ำ ระภาษี เมอ่ื ผเู้ สยี ภาษนี �ำ เงนิ มาช�ำ ระบางสว่ น
จงึ ตอ้ งรบั ไว้

*สำ�นักงานอัยการสูงสุด สำ�นักงานคดีภาษีอากร, สรุปผลการประชุมสัมมนาโครงการเพิ่มศักยภาพพนักงานอัยการในการดำ�เนิน
คดีภาษีอากรประจำ�ปีงบประมาณ ๒๕๕๔ รุ่นที่ ๒, ๒๖ – ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๔.

อัยการนเิ ทศ 25

๓. กรณีที่มีการขอผ่อนชำ�ระสามงวด แต่ผู้เสียภาษีไม่ชำ�ระภาษีค่าภาษีงวดใดงวดหนึ่ง ทางปฏิบัติ
เจ้าหน้าท่บี างแห่งยังคงให้ผ่อนชำ�ระต่อไป แม้จะช้าบ้างเพราะต้องการเก็บภาษีให้ได้ตามเป้าและเป็นการ
อะลมุ่ อลว่ ยใหผ้ เู้ สยี ภาษี เพอ่ื ในครง้ั ตอ่ ไปผเู้ สยี ภาษจี ะไดม้ าช�ำ ระภาษใี นปตี อ่ ไป
ดงั นน้ั พจิ ารณาเหน็ วา่ หลกั เกณฑท์ จ่ี ะขอผอ่ นช�ำ ระไดต้ ามกฎกระทรวงฉบบั ท่ี ๒ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออก
ตามความในพระราชบญั ญตั ภิ าษโี รงเรอื นและทด่ี นิ พทุ ธศกั ราช ๒๔๗๕ ยงั ไมส่ อดคลอ้ งกบั ทางปฏบิ ตั *ิ
ปญั หาทเ่ี กดิ ขน้ึ กรณที ค่ี า่ ภาษไี มไ่ ดม้ กี ารช�ำ ระภายในระยะเวลาทก่ี �ำ หนดไว้ กฎหมายใหถ้ อื วา่ เงนิ คา่
ภาษนี น้ั เปน็ ภาษคี า้ งช�ำ ระยงั ผลใหม้ กี ารเสยี เงนิ เพม่ิ คา่ ภาษคี า้ งช�ำ ระโดยมจี �ำ นวนอตั ราแตกตา่ งกนั ตามระยะ
เวลาแหง่ การคา้ งช�ำ ระทก่ี �ำ หนดไวใ้ นมาตรา ๔๓ ผมู้ หี นา้ ทเ่ี สยี ภาษตี อ้ งช�ำ ระภาษเี พม่ิ ขน้ึ ตามจ�ำ นวน
หากการคา้ งช�ำ ระภาษคี งอยขู่ ณะเมอ่ื ทรพั ยส์ นิ ไดโ้ อนกรรมสทิ ธไ์ิ ปเปน็ ของเจา้ ของใหม่ กฎหมายกำ�หนด
ใหเ้ จา้ ของคนเกา่ และคนใหมเ่ ปน็ ลกู หนค้ี า่ ภาษรี ว่ มกนั (มาตรา ๔๔) อกี ดว้ ย
กรณที เ่ี ปน็ ภาษคี า้ งช�ำ ระ จะมกี ารขอผอ่ นช�ำ ระภาษที ค่ี า้ งช�ำ ระเปน็ งวดนน้ั ไดห้ รอื ไม่ ซง่ึ เรอ่ื งนป้ี รากฏ
วา่ ทอ้ งถน่ิ ไดม้ ขี อ้ หารอื ไปยงั คณะกรรมการกฤษฎกี าถงึ ขอบอ�ำ นาจของผบู้ รหิ ารทอ้ งถน่ิ เกย่ี วกบั เรอ่ื งดงั กลา่ ว
คณะกรรมการกฤษฎกี าไดใ้ หค้ วามเหน็ วา่ ผบู้ รหิ ารทอ้ งถน่ิ ไมอ่ าจยนิ ยอมใหม้ กี ารผอ่ นชำ�ระภาษคี า้ ง
ช�ำ ระและเงนิ เพม่ิ ได้ เนอ่ื งจากเปน็ กรณที ไ่ี มม่ บี ทบญั ญตั ใิ ดในพระราชบญั ญตั ภิ าษโี รงเรอื นและทด่ี นิ ฯ ใหอ้ �ำ นาจ
พนกั งานเกบ็ ภาษยี นิ ยอมใหผ้ อ่ นช�ำ ระภาษคี า้ งช�ำ ระเปน็ งวดได้
อกี ทง้ั มาตรา ๔๔ แหง่ พระราชบญั ญตั ภิ าษโี รงเรอื นและทด่ี นิ ฯไดก้ ำ�หนดใหผ้ บู้ รหิ ารทอ้ งถน่ิ มอี ำ�นาจ
ออกค�ำ สง่ั เปน็ หนงั สอื ใหย้ ดึ อายดั หรอื ขายทอดตลาดทรพั ยส์ นิ ของผซู้ ง่ึ คา้ งชำ�ระคา่ ภาษเี กนิ สเ่ี ดอื นนบั แตว่ นั
พน้ ก�ำ หนดเวลาทบ่ี ญั ญตั ไิ วใ้ นมาตรา ๓๘ เพอ่ื น�ำ เงนิ มาช�ำ ระเปน็ คา่ ภาษี เงนิ เพม่ิ คา่ ธรรมเนยี ม และคา่ ใชจ้ า่ ย
โดยมติ อ้ งขอใหศ้ าลสง่ั หรอื ออกหมายยดึ **

การขอใหพ้ จิ ารณาการประเมนิ ใหม่ (การระงบั ขอ้ พพิ าทในชน้ั ฝา่ ยปกครอง)
การระงบั ขอ้ พพิ าทในทางภาษกี ระท�ำ ได้ ๒ วธิ ตี ามทก่ี ฎหมายบญั ญตั ิ ดงั น้ี
(๑) การระงบั ขอ้ พพิ าทในชน้ั ฝา่ ยปกครอง
(ตามพระราชบญั ญตั ภิ าษโี รงเรอื นและทด่ี นิ พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๒๕, ๒๖, ๓๑)
(๒) การระงบั ขอ้ พพิ าทในชน้ั ศาล

(พระราชบญั ญตั ภิ าษโี รงเรอื นและทด่ี นิ พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๓๑, ๓๙)
การระงบั ขอ้ พพิ าทในชน้ั ฝา่ ยปกครอง โดยการขอใหพ้ จิ ารณาประเมนิ ใหม่ เปน็ กรณที ผ่ี เู้ สยี ภาษไี มพ่ อใจ
การประเมนิ ของพนกั งานเจา้ หนา้ ทก่ี ม็ สี ทิ ธทิ จ่ี ะยน่ื คำ�รอ้ งโตแ้ ยง้ คดั คา้ นการประเมนิ หรอื ขอใหม้ กี ารพจิ ารณา
การประเมนิ นน้ั ใหมไ่ ด้

*เรื่องเดียวกัน.
**ตามบันทึกข้อหารือสำ�นักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง ผู้ซึ่งค้างชำ�ระค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินยื่นคำ�ร้องขอผ่อน
ชำ�ระภาษีที่ค้างชำ�ระเป็นงวด (เรื่องเสร็จที่ ๗๘๒/๒๕๔๘)

26 บทความ

ทง้ั น้ี มคี �ำ พพิ ากษาของศาลทเ่ี กย่ี วขอ้ งในเรอ่ื งน้ี ดงั น้ี
ค�ำ พพิ ากษาศาลฎกี าท่ี ๖๗๐๘/๒๕๔๐
ตามมาตรา ๒๕ แหง่ พ.ร.บ. ภาษโี รงเรอื นฯ พ.ศ. ๒๔๗๕ เมอ่ื จ�ำ เลยไมพ่ อใจการประเมนิ ของพนกั งาน
เจา้ หนา้ ทก่ี ช็ อบทจ่ี ะยน่ื ค�ำ รอ้ งโตแ้ ยง้ คดั คา้ นการประเมนิ หรอื ขอใหพ้ จิ ารณาการประเมนิ นน้ั ใหม่ และหากจ�ำ เลย
ยงั ไมพ่ อใจในค�ำ ชข้ี าดการประเมนิ กส็ ามารถน�ำ คดไี ปสศู่ าลเพอ่ื แสดงใหศ้ าลเหน็ วา่ การประเมนิ นน้ั ไมถ่ กู ตอ้ งได้
ตามมาตรา ๓๑ แตจ่ �ำ เลยจะตอ้ งช�ำ ระคา่ ภาษที ง้ั สน้ิ ซง่ึ ถงึ ก�ำ หนดช�ำ ระเสยี กอ่ นตามมาตรา ๓๙
เมอ่ื ปรากฏว่าจ�ำ เลยไมไ่ ด้ยืน่ คำ�รอ้ งโตแ้ ยง้ คดั คา้ นการประเมินหรอื ขอใหพ้ ิจารณาการประเมินใหม่
และมไิ ดช้ �ำ ระคา่ ภาษที ง้ั สน้ิ ใหโ้ จทกต์ ามขน้ั ตอนทก่ี ฎหมายกำ�หนด ผลการประเมนิ ของพนกั งานเจา้ หนา้ ทโ่ี จทก์
จงึ เปน็ อนั ยตุ ิ หา้ มมใิ หจ้ �ำ เลยน�ำ คดไี ปสศู่ าล ซง่ึ หมายความรวมถงึ วา่ จ�ำ เลยไมม่ สี ทิ ธโิ ตแ้ ยง้ การประเมนิ วา่ ไมถ่ กู
ตอ้ งดว้ ย ไมว่ า่ จ�ำ เลยผรู้ บั ประเมนิ จะอยใู่ นฐานะโจทกห์ รอื จ�ำ เลยกต็ าม ดงั นน้ั จ�ำ เลยจะอา้ งวา่ การประเมนิ ของ
พนกั งานเจา้ หนา้ ทข่ี องโจทกไ์ มถ่ กู ตอ้ งหาไดไ้ ม่
การยน่ื ฟอ้ งตอ่ ศาล
กรณยี งั ไมพ่ อใจในค�ำ ชข้ี าดการประเมนิ ขา้ งตน้ กส็ ามารถน�ำ คดไี ปสศู่ าลภายในก�ำ หนด ๓๐ วนั นบั แต่
ทราบผล เพอ่ื แสดงใหศ้ าลเหน็ วา่ การประเมนิ นน้ั ไมถ่ กู ตอ้ งได้ แตจ่ ะตอ้ งช�ำ ระคา่ ภาษที ง้ั สน้ิ ซง่ึ ถงึ ก�ำ หนดช�ำ ระ
เสยี กอ่ นตามมาตรา ๓๑, ๓๙ แหง่ พระราชบญั ญตั ภิ าษโี รงเรอื นและทด่ี นิ ฯทอ่ี า้ งถงึ
หากไมไ่ ดย้ น่ื ค�ำ รอ้ งโตแ้ ยง้ คดั คา้ นการประเมนิ หรอื ขอใหพ้ จิ ารณาการประเมนิ ใหมแ่ ละมไิ ดช้ �ำ ระคา่ ภาษี
ตามข้นั ตอนทีก่ ฎหมายก�ำ หนด ห้ามมิให้น�ำ คดไี ปส่ศู าล และจะอ้างว่าการประเมนิ ของพนกั งานเจา้ หน้าท่ไี ม่
ถกู ตอ้ งหาไดไ้ ม่
(ทง้ั นเ้ี ปน็ ไปตามนยั ค�ำ พพิ ากษาศาลฎกี าท่ี ๖๗๐๘/๒๕๔๐)
พ.ร.บ. ภาษโี รงเรอื นฯ พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๓๙ มงุ่ ประสงคใ์ หผ้ รู้ บั ประเมนิ ไดช้ �ำ ระหนค้ี า่ ภาษจี นหน้ี
คา่ ภาษที พ่ี นกั งานเกบ็ ภาษไี ดแ้ จง้ การประเมนิ ระงบั สน้ิ ไปเสยี กอ่ น หากเมอ่ื ศาลตดั สนิ ใหล้ ดคา่ ภาษี ผรู้ บั ประเมนิ
จงึ จะมสี ทิ ธมิ าขอรบั คนื เงนิ สว่ นทล่ี ดลงมาไดต้ ามเงอ่ื นไขของบทบญั ญตั แิ หง่ มาตราดงั กลา่ ววรรคทา้ ย ทง้ั นเ้ี พอ่ื
ปอ้ งกนั มใิ หผ้ รู้ บั ประเมนิ ใชก้ ารฟอ้ งคดตี อ่ ศาลเพอ่ื ประวงิ การช�ำ ระหนค้ี า่ ภาษี เพราะการกระท�ำ ดงั กลา่ วอาจ
ท�ำ ใหท้ างราชการขาดเงนิ รายไดจ้ ากภาษมี าใชใ้ นการบรหิ ารราชการได้
(ค�ำ พพิ ากษาศาลฎกี าท่ี ๑๑๓๖/๒๕๓๑ และ ๗๓๓๖/๒๕๓๗)
การบงั คบั คดที างแพง่
เมอ่ื พนกั งานจดั เกบ็ ภาษดี �ำ เนนิ การตามโครงสรา้ งในการจดั เกบ็ ภาษจี ากผมู้ หี นา้ ทเ่ี สยี ภาษคี รบถว้ นทง้ั
๖ กระบวนการดังกล่าวข้างต้นแล้ว ผู้มีหน้าที่เสียภาษีไม่ชำ�ระภาษีหรือชำ�ระภาษียังไม่ครบถ้วนถูกต้อง
กจ็ ะมาสกู่ ระบวนการบงั คบั คดภี าษอี ากร

อยั การนเิ ทศ 27

การบงั คบั คดภี าษอี ากรด�ำ เนนิ การได้ ๒ ทาง คอื
๑. โดยการใชอ้ �ำ นาจบรหิ าร กลา่ วคอื ราชการบรหิ ารสว่ นทอ้ งถน่ิ มอี �ำ นาจบงั คบั คดดี ว้ ยตนเอง เปน็ ไป

ตามพระราชบญั ญตั ภิ าษโี รงเรอื นและทด่ี นิ พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๔๔ ซง่ึ บญั ญตั วิ า่
“ถา้ มไิ ดม้ กี ารช�ำ ระภาษแี ละเงนิ เพม่ิ ภายใน ๔ เดอื น ตามมาตรา ๔๓ ใหผ้ วู้ า่ ราชการกรงุ เทพมหานคร
นายกเทศมนตรี ปลดั เมอื งพทั ยา... หรอื ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั แลว้ แตก่ รณี มอี ำ�นาจออกค�ำ สง่ั เปน็ หนงั สอื ใหย้ ดึ
อายดั หรอื ขายทอดตลาดทรพั ยส์ นิ ของผทู้ ค่ี า้ งชำ�ระคา่ ภาษเี พอ่ื นำ�เงนิ มาเสยี คา่ ธรรมเนยี มและคา่ ใชจ้ า่ ยโดยมิ
ตอ้ งขอใหศ้ าลสง่ั หรอื ออกหมายยดึ ทง้ั นต้ี ามระเบยี บทร่ี ฐั มนตรวี า่ การกระทรวงมหาดไทยก�ำ หนด”

๒. โดยการใชอ้ �ำ นาจตลุ าการ กลา่ วคอื ราชการบรหิ ารสว่ นทอ้ งถน่ิ น�ำ คดขี น้ึ สกู่ ารพจิ ารณาคดขี องศาล
ภาษอี ากร ซง่ึ จะไดก้ ลา่ วโดยละเอยี ดตอ่ ไป
กระบวนการจดั เกบ็ ซง่ึ เปน็ ทม่ี าของปญั หาน�ำ ไปสกู่ ารด�ำ เนนิ คดภี าษี
ปญั หาในสว่ นของการประเมนิ ภาษี
ดงั ทก่ี ลา่ วมาแลว้ วา่ การประเมนิ ภาษโี รงเรอื นและทด่ี นิ เปน็ การประเมนิ โดยเจา้ พนกั งานเพราะผเู้ สยี
ภาษไี มไ่ ดบ้ อกจ�ำ นวนเงนิ วา่ ตอ้ งเสยี ภาษเี ทา่ ไร หากแตเ่ จา้ พนกั งานเปน็ คนก�ำ หนดคา่ ภาษที ต่ี อ้ งเสยี
การขาดความร้คู วามเข้าใจในการปฏิบัติหน้าท่ขี องพนักงานเจ้าหน้าท่ี หรือผ้ทู ่มี ีส่วนเก่ยี วข้องใน
กระบวนการจดั เกบ็ ภาษี จงึ ท�ำ ใหเ้ กดิ ปญั หาและน�ำ ไปสขู่ อ้ โตแ้ ยง้ ทต่ี ามมา ดงั นน้ั การประเมนิ ภาษจี งึ ถอื เปน็
ปญั หาทส่ี �ำ คญั ในการปฏบิ ตั หิ นา้ ทข่ี ององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ
นอกจากนน้ั การประเมนิ ภาษซี ง่ึ ถอื ปฏบิ ตั ติ ามความในมาตรา ๘ แหง่ พระราชบญั ญตั ภิ าษโี รงเรอื นและ
ทด่ี นิ พ.ศ. ๒๔๗๕ เหน็ วา่ กฎหมายดงั กลา่ วกไ็ ดใ้ ชม้ าเปน็ เวลานานมาก สมควรทจ่ี ะมกี ารแกไ้ ขใหส้ อดคลอ้ งกบั
ประเภทโรงเรอื นตา่ ง ๆ หรอื ตามประเภทการน�ำ โรงเรอื นไปใชใ้ นกจิ การตา่ ง ๆ ใหเ้ หมาะสม แตก่ ย็ งั มไิ ดม้ กี าร
ด�ำ เนนิ การในสว่ นนแ้ี ตป่ ระการใด
กรณขี องคา่ รายปี
ข้อเท็จจริง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีปัญหาในการจัดเก็บภาษีส่วนท้องถิ่นในทุกประเภท
ภาษีในชน้ั ตน้ ขอยกตวั อยา่ งเพอ่ื แสดงใหเ้ หน็ สภาพปญั หา โดยเฉพาะปญั หาจากการจดั เกบ็ ภาษใี นสว่ นของ
ภาษโี รงเรอื นและทด่ี นิ ทม่ี าของปญั หาทส่ี �ำ คญั กค็ อื กรณขี อง “คา่ รายป”ี
ตวั อยา่ งทย่ี กมาน�ำ เสนอเปน็ กรณกี ารจดั เกบ็ ภาษโี รงเรอื นและทด่ี นิ ประเภทกจิ การโรงแรม โดยเฉพาะ
การจดั เกบ็ ภาษใี นสว่ นของหอ้ งพกั ดงั น*้ี

*สำ�นักงานอัยการสูงสุด สำ�นักงานคดีภาษีอากร, สรุปผลการประชุมสัมมนาโครงการเพิ่มศักยภาพพนักงานอัยการในการดำ�เนิน
คดีภาษีอากรฯ รุ่นที่ ๒.

28 บทความ

ประเดน็ ปญั หาโตแ้ ยง้ กรณที ม่ี คี ดเี กดิ ขน้ึ กค็ อื ผปู้ ระกอบการโรงแรมมกั จะฟอ้ งคดโี ตแ้ ยง้ วา่ อตั ราภาษี
ทจ่ี ดั เกบ็ มอี ตั ราและจ�ำ นวนภาษที ส่ี งู เกนิ จรงิ เมอ่ื เทยี บกบั เงนิ ไดท้ ผ่ี ปู้ ระกอบการไดร้ บั โดยอา้ งเหตผุ ลวา่
๑. หอ้ งพกั แตล่ ะหอ้ งไมไ่ ดม้ กี ารใหเ้ ชา่ ทกุ วนั ดงั นน้ั จงึ ไมค่ วรคดิ จ�ำ นวนวนั เตม็ ปหี รอื คดิ ทง้ั ๓๖๕ วนั
๒. คา่ เชา่ หอ้ งพกั ทเ่ี รยี กเกบ็ ตามขอ้ เทจ็ จรงิ ไดร้ วมคา่ บรกิ ารอน่ื ๆ ไวด้ ว้ ย เชน่ คา่ ใชบ้ รกิ ารหอ้ งออก
ก�ำ ลงั กาย สระวา่ ยนา้ํ ลานจอดรถ และอน่ื ๆ ฯลฯ เปน็ ตน้ ซง่ึ ไดม้ กี ารเรยี กเกบ็ ภาษใี นสว่ นนด้ี ว้ ย เนอ่ื งจาก
ถอื วา่ เปน็ สง่ิ ปลกู สรา้ งอยา่ งอน่ื หรอื แมแ้ ตค่ า่ ภาษมี ลู คา่ เพม่ิ กไ็ ดร้ วมอยใู่ นคา่ เชา่ หอ้ งพกั น้ี ดงั นน้ั จงึ ควรหกั คา่
บรกิ ารและคา่ ใชจ้ า่ ยอน่ื ๆ ดงั กลา่ วออกเสยี กอ่ นจงึ จะถกู ตอ้ ง
ประเดน็ ปญั หาอน่ื มาจากการจดั เกบ็ จากคา่ เชา่ หอ้ งพกั ทม่ี คี วามแตกตา่ งกนั ระหวา่ งการจดั เกบ็ หอ้ งพกั
ของโรงแรมในเขตกรงุ เทพมหานครกบั ตา่ งจงั หวดั
ทง้ั นใ้ี นกรงุ เทพมหานครประเมนิ จดั เกบ็ โดยใชอ้ ตั รารอ้ ยละ ๑๕ ของคา่ เชา่ หอ้ งพกั แตใ่ นตา่ งจงั หวดั จดั
เกบ็ โดยใชอ้ ตั รารอ้ ยละ ๘ ของคา่ เชา่ หอ้ งพกั เพอ่ื นำ�ไปใชเ้ ปน็ สตู รประกอบในการคำ�นวณจ�ำ นวนหอ้ งพกั ทม่ี ผี เู้ ชา่
ขอ้ สงั เกตกค็ อื การทพ่ี นกั งานเจา้ หนา้ ทห่ี รอื เจา้ หนา้ ทท่ี เ่ี กย่ี วขอ้ งก�ำ หนดคา่ รายปกี จิ การโรงแรมโดยใช้
สูตรร้อยละของยอดรวมค่าเช่าห้องพักดังกล่าวข้างต้น ไม่ได้เป็นวิธีการหรือหลักการที่พระราชบัญญัติภาษี
โรงเรอื นและทด่ี นิ พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๘ บญั ญตั กิ �ำ หนดไว้ จงึ อาจถอื ไดว้ า่ เปน็ การด�ำ เนนิ กระบวนการจดั เกบ็
ภาษที ไ่ี มม่ กี ฎหมายรองรบั
กรณกี ารประเมนิ ภาษไี มช่ อบดว้ ยกฎหมาย

การประเมนิ ภาษที เ่ี ปน็ ปญั หาขององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ทว่ั ไปกค็ อื กรณกี ารแจง้ การประเมนิ ไมช่ อบ
กรณกี ารแจง้ การประเมนิ ไมช่ อบสาเหตมุ าจากแบบแจง้ การประเมนิ ไมช่ อบ ทง้ั นเ้ี พราะจากสภาพการณ์
ทเ่ี ปน็ อยใู่ นแบบแจง้ การประเมนิ ภาษโี รงเรอื นและทด่ี นิ จะมไิ ดแ้ จง้ เหตผุ ลวา่ ท�ำ ไมตอ้ งเสยี ภาษเี ปน็ จ�ำ นวนเทา่ น้ี
การแจง้ รายการทรพั ย์สินเปน็ เพยี งข้อมลู เบ้อื งต้นให้เจ้าหน้าท่ไี ปดำ�เนนิ การตามมาตรา ๘ หรอื มาตรา ๑๘
ทอ่ี า้ งถงึ ขา้ งตน้ เทา่ นน้ั
แตเ่ มอ่ื ไปด�ำ เนนิ การแลว้ เจา้ หนา้ ทก่ี ลบั ไมแ่ จง้ เหตผุ ล ขน้ั ตอน กระบวนการใหป้ รากฏไวใ้ นแบบแจง้ การ
ประเมินและคำ�ชี้ขาด จึงเป็นการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองที่กำ�หนดให้
ค�ำ สง่ั ทางปกครองทท่ี �ำ เปน็ หนงั สอื ตอ้ งจดั ใหม้ เี หตผุ ลไวด้ ว้ ย
เมอ่ื พจิ ารณาแลว้ จะเหน็ วา่ ปญั หาเกดิ เนอ่ื งจากในพระราชบญั ญตั ภิ าษโี รงเรอื นกำ�หนดวธิ ปี ฏบิ ตั ไิ วไ้ ม่
ชดั เจน ไมม่ กี ระบวนการทช่ี ดั เจน เมอ่ื มาทำ�ค�ำ สง่ั ทางปกครองในหนงั สอื แจง้ การประเมนิ (ภ.ร.ด. ๘) และใบแจง้
ค�ำ ชข้ี าด (ภ.ร.ด. ๑๑) กม็ กั จะไมม่ กี ารแสดงขอ้ ความและเหตผุ ลตามพระราชบญั ญตั วิ ธิ ปี ฏบิ ตั ริ าชการทางปกครอง
มาตรา ๓๗ แตอ่ ยา่ งใด

อัยการนเิ ทศ 29

ปญั หาการตคี วามและบงั คบั ใชก้ ฎหมาย
ปญั หาในสว่ นของการตคี วามและบงั คบั ใชก้ ฎหมาย ทเ่ี หน็ วา่ เปน็ ประเดน็ ส�ำ คญั จะเปน็ กรณพี นกั งาน
เจา้ หนา้ ทเ่ี หน็ วา่ คา่ เชา่ ไมใ่ ชจ่ �ำ นวนเงนิ ทส่ี มควรใหเ้ ชา่ ได้ หรอื กรณหี าคา่ เชา่ ไมไ่ ดเ้ นอ่ื งจากเจา้ ของใชป้ ระโยชน์
เองหรอื ดว้ ยเหตอุ น่ื ๆ ซง่ึ กฎหมายใหอ้ �ำ นาจพนกั งานเจา้ หนา้ ทส่ี ามารถประเมนิ คา่ รายปไี ดโ้ ดยค�ำ นงึ ถงึ ลกั ษณะ
ของทรพั ยส์ นิ ขนาดพน้ื ท่ี ทำ�เลทต่ี ง้ั และบรกิ ารสาธารณะทท่ี รพั ยส์ นิ นน้ั ไดร้ บั ประโยชน์ แตใ่ หเ้ ปน็ ไปตามท่ี
รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงมหาดไทยก�ำ หนดโดยประกาศในราชกจิ จานเุ บกษา*
กรณกี ลบั เปน็ วา่ แทนทร่ี ฐั มนตรวี า่ การกระทรวงมหาดไทยจะใชอ้ �ำ นาจตามทก่ี ฎหมายใหไ้ วก้ �ำ หนดให้
ชดั เจนวา่ ใหใ้ ชร้ าคาใดหรอื อตั ราใดในการก�ำ หนดคา่ รายปี รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงมหาดไทยกลบั ก�ำ หนดให้
เทยี บเคยี งกบั คา่ รายปขี องทรพั ยส์ นิ ทม่ี ลี กั ษณะของทรพั ยส์ นิ ขนาดพน้ื ท่ี ท�ำ เลทต่ี ง้ั และบรกิ ารสาธารณะท่ี
ทรพั ยส์ นิ คลา้ ยกนั ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรอ่ื ง ก�ำ หนดหลกั เกณฑก์ ารประเมนิ คา่ รายปขี องทรพั ยส์ นิ
ลงวนั ท่ี ๓๐ มนี าคม ๒๕๓๕
เมอ่ื ไมม่ หี ลกั เกณฑแ์ นน่ อนก�ำ หนดใหพ้ นกั งานเจา้ หนา้ ทถ่ี อื ปฏบิ ตั ิ ท�ำ ใหเ้ กดิ หลกั เกณฑก์ ารก�ำ หนดคา่
รายปขี น้ึ มาโดยไมม่ กี ฎหมายรองรบั คอื
(๑) คา่ เชา่ มาตรฐานกลาง
(๒) ดรรชนรี าคาผบู้ รโิ ภค
คา่ เชา่ มาตรฐานกลาง
ค่าเช่ามาตรฐานกลางเกิดจากคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.)
ไดเ้ สนอแนวทางเพอ่ื ปอ้ งกนั มใิ หพ้ นกั งานเจา้ หนา้ ทใ่ี ชด้ ลุ พนิ จิ ในการก�ำ หนดคา่ รายปี โดยมชิ อบโดยใหแ้ ตง่ ตง้ั
คณะกรรมการขน้ึ ชดุ หนง่ึ เพอ่ื กลน่ั กรองและพจิ ารณาก�ำ หนดคา่ รายปขี น้ึ ใชใ้ นทอ้ งทน่ี น้ั ๆ เรยี กวา่ “คณะกรรมการ
พจิ ารณากลน่ั กรองประเมนิ คา่ รายป”ี
กรณขี า้ งตน้ กระทรวงมหาดไทยหารอื คณะกรรมการกฤษฎกี าแลว้ เหน็ ชอบ จงึ ไดเ้ วยี นแจง้ ใหส้ ว่ นราชการ
บรหิ ารทอ้ งถน่ิ ถอื ปฏบิ ตั ใิ นการตง้ั คณะกรรมการดงั กลา่ วขน้ึ เพอ่ื ก�ำ หนดคา่ เชา่ มาตรฐานกลางตอ่ ตารางเมตรใน
แตล่ ะพน้ื ทข่ี น้ึ เปน็ แนวทางการประเมนิ คา่ รายปี
ดรรชนรี าคาผบู้ รโิ ภค
นอกจากนใ้ี นหนงั สอื เวยี นของกระทรวงมหาดไทยยงั ไดก้ ลา่ วถงึ ดรรชนรี าคาผบู้ รโิ ภคขน้ึ โดยใหใ้ ชป้ ระกอบ
โดยใชข้ อ้ ความวา่ “ดรรชนรี าคาผบู้ รโิ ภคของทางราชการรวมถงึ ภาวะทางเศรษฐกจิ ดว้ ยโดยค�ำ นงึ ถงึ ภาระภาษี
ของราษฎรเปน็ ส�ำ คญั ”

*เรื่องเดียวกัน.
30 บทความ

ซง่ึ กรณดี งั กลา่ วเปน็ ปญั หาใหศ้ าลยกขน้ึ อา้ งในการเพกิ ถอนการประเมนิ ทกุ วนั นเ้ี พราะไมม่ กี ฎหมาย
รบั รอง หรอื อา้ งวา่ ตอ้ งค�ำ นงึ ถงึ ดรรชนรี าคาผบู้ รโิ ภคกอ่ น หรอื อา้ งวา่ ไมค่ �ำ นงึ ถงึ ภาระภาษขี องราษฎร*
ปญั หาการตคี วามและบงั คบั ใชก้ ฎหมายน้ี อาจจะน�ำ เสนอประเดน็ ปญั หาการจดั เกบ็ ภาษโี รงเรอื นและ
ทด่ี นิ ในอกี ลกั ษณะหนง่ึ โดยพจิ ารณาจากกรณกี ารจดั เกบ็ ภาษที อ่ี ยอู่ าศยั ตามพระราชบญั ญตั ภิ าษโี รงเรอื นและ
ทด่ี นิ พ.ศ. ๒๔๗๕ ซง่ึ มปี ระเดน็ พจิ ารณาอยู่ ๒ ประเดน็ ดงั น้ี

ประเดน็ ท่ี ๑ ประเดน็ “ทอ่ี ยอู่ าศยั ”
โดยขอแยกพจิ ารณาเรอ่ื ง “ทอ่ี ยอู่ าศยั ” ออกเปน็ ๒กรณี คอื
(๑) “ทอ่ี ยอู่ าศยั ” ทเ่ี จา้ ของอยเู่ องไดร้ บั การยกเวน้ ภาษโี รงเรอื นและทด่ี นิ ตามมาตรา ๑๐
(๒) “ทอ่ี ยอู่ าศยั ” ทเ่ี จา้ ของมไิ ดอ้ ยเู่ อง แตป่ ดิ ไวต้ ลอดปี ไดร้ บั การยกเวน้ ภาษโี รงเรอื นและทด่ี นิ ตาม
มาตรา ๙ (๕)
ฉะนน้ั ในกรณที ่ี “ทอ่ี ยอู่ าศยั ” ทเ่ี จา้ ของอยเู่ อง แตป่ ดิ ไวต้ ลอดปี กจ็ ะไดร้ บั การยกเวน้ ภาษโี รงเรอื น
และทด่ี นิ ตามขอ้ ยกเวน้ มาตรา ๑๐ กลา่ วคอื เปน็ กรณที เ่ี จา้ ของอยเู่ อง ไมว่ า่ จะเปดิ หรอื ปดิ ตลอดปกี ต็ าม
จากประเดน็ ปญั หาขา้ งตน้ กอ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาในเรอ่ื ง “หลกั ความเปน็ ธรรมทางสงั คม” สำ�หรบั ผทู้ บ่ี า้ น
อยอู่ าศัย (รวมมลู คา่ ของทดี่ นิ ด้วย) มมี ูลคา่ สงู ๆ ในเร่อื ง “ฐานภาษแี คบลง” เพราะมกี ารยกเว้นภาษีให้แก่
โรงเรือนที่เจ้าของใช้อยู่อาศัย หรือที่เจ้าของมิได้อยู่เอง แต่ปิดไว้ตลอดปี เป็นผลทำ�ให้ท้องถิ่นจัดเก็บภาษี
โรงเรอื นและทด่ี นิ ไดน้ อ้ ยมเี งนิ ไมเ่ พยี งพอแกก่ ารใชจ้ า่ ย
กรณกี ารอยอู่ าศยั เอง โดยเฉพาะ ในกรณที เ่ี จา้ ของไปปลกู บา้ นทอ่ี ยอู่ าศยั มลู คา่ สงู ๆ เพอ่ื เปน็ บา้ นพกั
ผอ่ น หรอื บา้ นตากอากาศของเศรษฐี ในกรณนี ห้ี ากขอ้ เทจ็ จรงิ ปรากฏวา่ บา้ นโรงเรอื นทป่ี ลกู เปน็ “ทอ่ี ยอู่ าศยั ”
กจ็ ะถกู ตคี วามวา่ เขา้ ขอ้ ยกเวน้ ทนั ที ไมต่ อ้ งเสยี ภาษโี รงเรอื นและทด่ี นิ ตามมาตรา ๑๐ ซง่ึ ไมถ่ กู ตอ้ ง เปน็ ปญั หา
ในการตรวจสอบและวนิ จิ ฉยั เพราะ “ทอ่ี ยอู่ าศยั ” ควรหมายถงึ ทพ่ี กั ทอ่ี ยปู่ ระจ�ำ หรอื อยา่ งนอ้ ยตอ้ งเฉลย่ี ระยะ
เวลาการอยอู่ าศยั ไมน่ อ้ ยกวา่ ๑๘๐วนั (๖ เดอื น) แตป่ รากฏวา่ บา้ นพกั ผอ่ น หรอื บา้ นตากอากาศของเศรษฐี
ดงั กลา่ วมกี ารปลกู บา้ นทง้ิ ไว้ แลว้ มไิ ดอ้ ยปู่ ระจ�ำ ตามความหมายของ “ทอ่ี ยอู่ าศยั ” แตก่ ไ็ ดร้ บั การยกเวน้ ภาษี
โรงเรอื นและทด่ี นิ โดยปรยิ ายเชน่ กนั ท�ำ ใหเ้ หน็ ถงึ ความ “ไมเ่ ปน็ ธรรม” ได้
จากประเดน็ ปญั หาน้ี ท�ำ ใหม้ องวา่ บา้ นทอ่ี ยอู่ าศยั โดยเฉพาะ “คฤหาสน”์ (บา้ นพกั มลู คา่ สงู ๆ) ควร
จะมกี ารจดั เกบ็ ภาษดี ว้ ยเพอ่ื ความเปน็ ธรรมทางสงั คม (social equity) ไมว่ า่ จะอยเู่ องประจ�ำ หรอื อยไู่ มป่ ระจ�ำ
แบบบา้ นพกั ผอ่ นหรอื บา้ นตากอากาศกต็ าม เนอ่ื งจากมมี ลู คา่ สนิ ทรพั ยท์ ส่ี งู มากเกนิ จ�ำ เปน็ กวา่ การเปน็ บา้ นอยู่
อาศยั โดยทว่ั ๆ ไป
และแมว้ า่ ในขอ้ ยกเวน้ ของพระราชบญั ญตั ภิ าษโี รงเรอื นและทด่ี นิ ไดก้ �ำ หนดใหม้ กี ารลดหยอ่ นใหส้ �ำ หรบั
ทอ่ี ยอู่ าศยั ของตนจ�ำ นวน ๕๐ ตารางวา ถงึ ๕ ไร่ ตามพระราชบญั ญตั ภิ าษบี �ำ รงุ ทอ้ งท่ี พ.ศ. ๒๕๐๘ มาตรา ๒๒

*เรื่องเดียวกัน.

อยั การนเิ ทศ 31

กไ็ มส่ มควรทจ่ี ะไดร้ บั การลดหยอ่ นส�ำ หรบั “ทอ่ี ยอู่ าศยั ของตน” (ตาม พรบ. ภาษบี �ำ รงุ ทอ้ งทฯ่ี ) หรอื “ทอ่ี ยู่
อาศยั ” (ตาม พรบ. ภาษโี รงเรอื นและทด่ี นิ ฯ)
นอกจากนอ้ี าจมกี รณี “ทอ่ี ยอู่ าศยั ” ของตนเองมกี ารอยปู่ ระจ�ำ หรอื ไมอ่ ยปู่ ระจ�ำ กต็ าม แตไ่ ดม้ กี าร
“แบง่ ใหเ้ ชา่ ” หรอื “ใชห้ าประโยชนอ์ น่ื ใดจากทรพั ยส์ นิ ” กต็ าม กรณเี ชน่ นย้ี อ่ มไมไ่ ดร้ บั การยกเวน้ การเสยี ภาษี
โรงเรอื นและทด่ี นิ แตอ่ ยา่ งใด
ฉะนน้ั กรณตี คี วามวา่ เปน็ “ทอ่ี ยอู่ าศยั ” แลว้ มไิ ดห้ มายความวา่ จะไดร้ บั การยกเวน้ ภาษโี รงเรอื นและ
ทด่ี นิ ทง้ั หมดดงั กลา่ วขา้ งตน้ จงึ ถอื เปน็ ชอ่ งวา่ งของกฎหมายทน่ี �ำ ไปตคี วามในทางทเ่ี ปน็ ประโยชนต์ อ่ นายทนุ หรอื
ผทู้ ม่ี ที รพั ยส์ นิ เปน็ จ�ำ นวนมากโดยไมค่ �ำ นงึ ถงึ การกระจายรายได้ หรอื การกระจายภาระทางสงั คมใหแ้ กเ่ ศรษฐี
หรอื ผมู้ ฐี านะทางเศรษฐกจิ สงู ซง่ึ มที รพั ยส์ นิ ทม่ี ไิ ดก้ อ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนใ์ นทางเศรษฐศาสตรแ์ ตอ่ ยา่ งใด

ประเดน็ ท่ี ๒ ในกรณไี มม่ คี า่ เชา่ หรอื หาคา่ เชา่ ไมไ่ ด้
ในความหมายของ “ค่ารายปี” ตามมาตรา ๘ แห่ง พรบ. ภาษีโรงเรือนและที่ดินฯทำ�ให้เจ้าหน้าที่
ต้องใช้ดุลพินิจในการประเมินค่ารายปีประสบกับปัญหามาตรฐานความถูกต้องในการจัดเก็บภาษี
กรณีนี้กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) ได้มีหนังสือสั่งการกำ�หนดให้นำ�
“อัตราค่าเช่ามาตรฐานกลางเฉลี่ยต่อตารางเมตร” มาใช้ในกรณีที่หาค่าเช่าไม่ได้ หรือนำ�มาเป็นฐานในการ
ประเด็นการจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินที่ถูกต้องเป็นธรรม*
แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม ตามบนั ทกึ ความเหน็ ของกฤษฎกี าเลขเสรจ็ ท่ี ๓๕๙/๒๕๓๖ มคี วามเหน็ วา่ การด�ำ เนนิ
การดงั กลา่ วของหนว่ ยราชการบรหิ ารสว่ นทอ้ งถน่ิ อาจก�ำ หนดเปน็ การภายใน (แนวทางปฏบิ ตั ภิ ายใน) ยงั ไมถ่ อื
เปน็ การทว่ั ไป
การก�ำ หนดอตั ราคา่ เชา่ มาตรฐานกลางเฉลย่ี ตอ่ ตารางเมตรนม้ี หี ลกั การโดยสรปุ กค็ อื การแบง่ ยา่ นทด่ี นิ
ออกเปน็ ยา่ น ๆ ตามสภาพการใชป้ ระโยชนธ์ รุ กจิ หากยา่ นใดมกี ารใชป้ ระโยชนธ์ รุ กจิ มากกค็ ดิ คำ�นวณอตั ราภาษี
“คา่ เชา่ มาตรฐานกลางเฉลย่ี ตอ่ ตารางเมตร” ทส่ี งู กวา่ อกี ยา่ นหนง่ึ ทง้ั น้ี ใหม้ กี ารพจิ ารณาปรบั ปรงุ เปน็ ประจ�ำ ทกุ ปี
ซง่ึ เปน็ การแกไ้ ขปญั หาไมม่ คี า่ เชา่ หรอื หาคา่ เชา่ ไมไ่ ด้ เชน่ เจา้ ของด�ำ เนนิ การเอง
จงึ อาจพจิ ารณาไดว้ า่ นอกจากภาษโี รงเรอื นและทด่ี นิ มฐี านภาษที ไ่ี มม่ คี วามแนน่ อนแลว้ การใชฐ้ านคา่
เชา่ รายปดี งั กลา่ วยงั ขดั กบั หลกั การจดั เกบ็ ภาษที รพั ยส์ นิ เพราะเปน็ การจดั เกบ็ ภาษเี ฉพาะทรพั ยส์ นิ ทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ
รายไดเ้ ทา่ นน้ั
จากการสอบถามเจา้ หนา้ ทฝ่ี า่ ยจดั เกบ็ รายไดข้ องเมอื งพทั ยา** ท�ำ ใหท้ ราบปญั หาการประเมนิ และจดั
เกบ็ ภาษโี รงเรอื นและทด่ี นิ ของเมอื งพทั ยา วา่ มกี ารประเมนิ ภาษโี ดยก�ำ หนดคา่ เชา่ มาตรฐานกลางในรปู แบบท่ี
เปน็ ท�ำ เล จงึ มแี ตเ่ กณฑท์ ป่ี ระเมนิ เฉพาะอาคารทต่ี ง้ั อยใู่ นท�ำ เลทก่ี �ำ หนดมาตรฐานไวแ้ ลว้

*หนังสือสั่งการกระทรวงมหาดไทยที่ มท ๐๓๐๗/ว ๒๓๙๓เรื่อง ซักซ้อมแนวทางการจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินและ
การดำ�เนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ลงวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๓๖
**สำ�นักงานอัยการสูงสุด สำ�นักงานคดีภาษีอากร, สรุปผลการประชุมสัมมนาโครงการเพิ่มศักยภาพพนักงานอัยการในการ
ดำ�เนินคดีภาษีอากรฯ รุ่นที่ ๒.

32 บทความ

สว่ นบรเิ วณทไ่ี มม่ กี ารก�ำ หนดท�ำ เล กป็ ระเมนิ ตามก�ำ หนดประกาศคา่ เชา่ มาตรฐานกลางของเมอื งพทั ยา
ไมไ่ ด้ การประเมนิ จงึ ไมเ่ ปน็ มาตรฐานเดยี วกนั ท�ำ ใหม้ ปี ญั หาในการประเมนิ และการจดั เกบ็ ภาษมี ขี อ้ ทน่ี า่ พจิ ารณา
ไดท้ ง้ั ๒รปู แบบ วา่ จะจดั เกบ็ ในลกั ษณะใดเปน็ ท�ำ เล หรอื ตารางเมตร

กระบวนการด�ำ เนนิ คดภี าษี

ขน้ั ตอนการเตรยี มด�ำ เนนิ คด ี
ในชน้ั นจ้ี ะตอ้ งจดั เตรยี มเอกสาร อยา่ งนอ้ ยประกอบดว้ ย
(๑) หนงั สอื ทห่ี นว่ ยจดั เกบ็ ภาษอี อกเพอ่ื ก�ำ หนดแบง่ ท�ำ เล และก�ำ หนดราคาคา่ เชา่ มาตรฐานกลางเฉลย่ี
ตอ่ ตารางเมตร
(๒) ค�ำ สง่ั แตง่ ตง้ั คณะกรรมการพจิ ารณากลน่ั กรองการประเมนิ คา่ รายปแี ละคณะกรรมการพจิ ารณา
ค�ำ รอ้ งขอใหพ้ จิ ารณาการประเมนิ ใหม่
(๓) รายงานการประชมุ คณะกรรมการพจิ ารณากลน่ั กรองประเมนิ คา่ รายปแี ละคณะกรรมการพจิ ารณา
ค�ำ รอ้ งขอใหพ้ จิ ารณาการประเมนิ ใหม่
(๔) แบบ ภ.ร.ด. ๒ , ภ.ร.ด. ๘ และ ภ.ร.ด. ๑๑ ฯลฯ
เอกสารทเ่ี ตรยี มควรเปน็ ตน้ ฉบบั และถา่ ยส�ำ เนาเอกสารเกบ็ ไวท้ ห่ี นว่ ยงาน เพราะการด�ำ เนนิ คดใี น
ศาลตอ้ งใชต้ น้ ฉบบั

การฟอ้ งคดภี าษี
“คดภี าษอี ากร” หมายความวา่ คดแี พง่ ทอ่ี ยใู่ นอ�ำ นาจพจิ ารณาพพิ ากษาของศาลภาษอี ากรกลาง*
คดที อ่ี ยใู่ นอ�ำ นาจพจิ ารณาพพิ ากษาของศาลภาษอี ากรกลาง ไดแ้ ก่

(๑) คดอี ทุ ธรณค์ ำ�วนิ จิ ฉยั ของเจา้ พนกั งานหรอื คณะกรรมการตามกฎหมายเกย่ี วกบั ภาษอี ากร เชน่ ตาม
ประมวลรษั ฎากร มาตรา ๓๐ (๒) ก�ำ หนดใหก้ ารอทุ ธรณ์ ค�ำ วนิ จิ ฉยั อทุ ธรณข์ องคณะกรรมการพจิ ารณาอทุ ธรณ์
ตอ่ ศาลภายในก�ำ หนด ๓๐ วนั นบั แตว่ นั ไดร้ บั แจง้ ค�ำ วนิ จิ ฉยั อทุ ธรณ์
ซง่ึ หมายความวา่ เมอ่ื เจา้ พนกั งานประเมนิ ไดป้ ระเมนิ ภาษแี ละแจง้ การประเมนิ ใหผ้ ตู้ อ้ งเสยี ภาษที ราบแลว้
ผู้เสียภาษไี มพ่ อใจในการประเมนิ ของเจ้าพนักงานประเมิน ผ้ตู ้องเสยี ภาษีน้ันมสี ทิ ธอิ ทุ ธรณ์การประเมินต่อ
คณะกรรมการพจิ ารณาอทุ ธรณไ์ ด้ เวน้ แตก่ รณตี อ้ งหา้ มอทุ ธรณ์
ฉะนน้ั ถา้ เปน็ คดปี ระเภทอน่ื ทม่ี ใิ ชค่ ดแี พง่ เชน่ คดลี ม้ ละลายแมม้ ลู แหง่ คดจี ะมมี ลู มาจากหนค้ี า่ ภาษอี ากร
ทเ่ี ปน็ มลู เหตใุ หฟ้ อ้ งคดลี ม้ ละลายหรอื คดอี าญา ทก่ี ารกระท�ำ ความผดิ เนอ่ื งจากการเจตนาหลกี เลย่ี งภาษอี ากร
กม็ ใิ ชค่ ดภี าษอี ากร เพราะมใิ ชค่ ดแี พง่ ทอ่ี ยใู่ นอ�ำ นาจพจิ ารณาพพิ ากษาของศาลภาษอี ากร

* มาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.๒๕๒๘ 33

อยั การนเิ ทศ

เมอ่ื คณะกรรมการพจิ ารณาอทุ ธรณม์ คี ำ�วนิ จิ ฉยั อทุ ธรณแ์ ลว้ ผทู้ ต่ี อ้ งเสยี ภาษยี งั ไมพ่ อใจในคำ�วนิ จิ ฉยั
ของคณะกรรมการพจิ ารณาอทุ ธรณอ์ กี กอ็ าจอทุ ธรณค์ �ำ วนิ จิ ฉยั ของคณะกรรมการพจิ ารณาอทุ ธรณต์ อ่ ศาลได*้ *
(๒) คดพี พิ าทเกย่ี วกบั สทิ ธเิ รยี กรอ้ งของรฐั ในหนค้ี า่ ภาษอี ากร
ตวั อยา่ งคดที ป่ี ระธานศาลฎกี าเคยวนิ จิ ฉยั วา่ เปน็ คดที เ่ี กย่ี วกบั สทิ ธเิ รยี กรอ้ งของรฐั ในหนค้ี า่ ภาษอี ากร เชน่
“โจทกฟ์ อ้ ง จ�ำ เลยท่ี ๑ ซง่ึ เปน็ นติ บิ คุ คลประเภทบรษิ ทั จ�ำ กดั ไดจ้ ดทะเบยี นเลกิ บรษิ ทั โดยมจี �ำ เลยท่ี
๒ เปน็ ผชู้ �ำ ระบญั ชใี หร้ ว่ มกนั รบั ผดิ ในหนภ้ี าษเี งนิ ไดน้ ติ บิ คุ คล, ภาษธี รุ กจิ เฉพาะ เงนิ เพม่ิ และเบย้ี ปรบั เพราะเหตุ
ทจ่ี �ำ เลยท่ี ๒ ผชู้ �ำ ระบญั ชี ปฏบิ ตั ฝิ า่ ฝนื ตอ่ บทบญั ญตั ขิ องประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยว์ า่ ดว้ ยการช�ำ ระ
บญั ชี โดยจ�ำ เลยท่ี ๒ เพกิ เฉยไมน่ �ำ ทรพั ยส์ นิ ของบรษิ ทั ฯ จ�ำ เลยท่ี ๑ มาช�ำ ระหนค้ี า่ ภาษใี หแ้ กโ่ จทก์
คดขี องโจทกก์ บั จ�ำ เลยท่ี ๒ เปน็ คดพี พิ าทเกย่ี วกบั สทิ ธเิ รยี กรอ้ งของรฐั ในหนค้ี า่ ภาษอี ากรดว้ ย แมโ้ จทก์
กบั จ�ำ เลยท่ี ๒ มไิ ดม้ ขี อ้ พพิ าทเกย่ี วกบั ความรบั ผดิ ในหนค้ี า่ ภาษอี ากรโดยตรงกต็ าม” ***
(๓) คดพี พิ าทเกย่ี วกบั การขอคนื คา่ ภาษอี ากร

(๔) คดพี พิ าทเกย่ี วกบั สทิ ธหิ รอื หนา้ ทต่ี ามขอ้ ผกู พนั ซง่ึ ไดท้ �ำ ขน้ึ เพอ่ื ประโยชน์ แกก่ ารจดั เกบ็ ภาษอี ากร
(๕) คดที ม่ี กี ฎหมายบญั ญตั ใิ หอ้ ยใู่ นอ�ำ นาจศาลภาษอี ากร (ในขณะน้ี ยงั ไมม่ กี ฎหมายก�ำ หนดคดใี ดให้
อยใู่ นอ�ำ นาจพจิ ารณาของศาลภาษอี ากรเพม่ิ เตมิ ไปจากคดตี ามขอ้ ๑ ถงึ ๔)
คดภี าษอี ากรเปน็ คดแี พง่ ประเภทหนง่ึ การด�ำ เนนิ คดภี าษอี ากรจงึ เปน็ การด�ำ เนนิ คดแี พง่ อยา่ งหนง่ึ ซง่ึ
เรม่ิ ตน้ ภายหลงั จากทห่ี นว่ ยงานราชการตา่ ง ๆ ทม่ี หี นา้ ทจ่ี ดั เกบ็ ภาษอี ากรไดท้ ำ�การประเมนิ เรยี กเกบ็ ภาษอี ากร
แลว้ สง่ ส�ำ นวนคดภี าษอี ากรไปใหพ้ นกั งานอยั การฟอ้ งคดหี รอื แกต้ า่ งคดใี ห้
พนกั งานอยั การจะพจิ ารณาเอกสารหลกั ฐานตา่ ง ๆ และนดั บคุ คลหรอื พนกั งานเจา้ หนา้ ทท่ี เ่ี กย่ี วขอ้ ง
กบั การส�ำ นวนคดที ส่ี ง่ มาเพอ่ื สอบถามขอ้ เทจ็ จรงิ และขอ้ กฎหมายในคดี และเมอ่ื ไดข้ อ้ เทจ็ จรงิ ครบถว้ นสมบรู ณ์
แลว้ จงึ เรม่ิ รา่ งค�ำ ฟอ้ ง หรอื รา่ งค�ำ ใหก้ ารแกค้ ดตี อ่ ไป
กรณผี เู้ สยี ภาษจี ะใชส้ ทิ ธยิ น่ื ฟอ้ งคดภี าษเี มอ่ื ไดด้ �ำ เนนิ การอทุ ธรณท์ างภาษแี ลว้ โดยจะตอ้ งยน่ื ฟอ้ ง ภายใน
๓๐ วนั นบั แตท่ ราบผลการอทุ ธรณ์ ตามทก่ี ลา่ วมาแลว้ ขา้ งตน้
แตห่ ากฟอ้ งไมท่ นั ภายใน ๓๐ วนั จะขอขยายระยะเวลาการฟอ้ งได้ ซง่ึ ศาลภาษอี ากรมอี �ำ นาจยน่ หรอื
ขยายไดต้ ามความจ�ำ เปน็ และเพอ่ื ประโยชนแ์ หง่ ความยตุ ธิ รรม
ทง้ั น้ี มคี �ำ พพิ ากษาศาลฎกี าวนิ จิ ฉยั วา่ ก�ำ หนดเวลาใหอ้ ทุ ธรณต์ ามประมวลรษั ฎากร มาตรา ๓๐ เปน็
ก�ำ หนดเวลาในการฟอ้ งคดี แมไ้ มใ่ ชก่ �ำ หนดเวลาในพระราชบญั ญตั จิ ดั ตง้ั ศาลภาษอี ากรและวธิ พี จิ ารณาคดภี าษี
อากร พ.ศ. ๒๕๒๘ แตก่ เ็ ปน็ ก�ำ หนดเวลาในประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ ไมใ่ ชอ่ ายคุ วาม ศาลมอี �ำ นาจ
ขยายหรอื ยน่ ไดห้ นค้ี า่ ภาษอี ากรโดยตรงกต็ าม

** ดังนั้น คำ�ว่า “อุทธรณ์คำ�วินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาล” จึงหมายถึง “การฟ้องคดีต่อศาล”
*** คำ�วินิจฉัยของประธานศาลฎีกาที่ ๒/๒๕๔๑ ระหว่างกรมสรรพากร โจทก์ กับ บริษัท ชตะเคหะกิจ จำ�กัด กับพวกจำ�เลย

34 บทความ

ในกรณที ผ่ี เู้ สยี ภาษเี หน็ แยง้ กบั การประเมนิ ของพนกั งานเจา้ หนา้ ทแ่ี ละใชส้ ทิ ธฟิ อ้ งคดี หนว่ ยจดั เกบ็
ภาษขี องทอ้ งถน่ิ ทถ่ี กู ฟอ้ งตามกฎหมายมรี ะยะเวลายน่ื คำ�ใหก้ าร ๑๕ วนั ซง่ึ โดยปกตเิ วลาเจา้ พนกั งานศาลไปสง่
หมายนน้ั จะไปสง่ ทห่ี นว่ ยงานสารบรรณ แตเ่ จา้ หนา้ ทท่ี เ่ี กย่ี วขอ้ งโดยตรงจะไดร้ บั หมายเรยี กและส�ำ เนาค�ำ ฟอ้ ง
ภายหลงั จากนน้ั อกี

อ�ำ นาจการยน่ื ฟอ้ ง
ผมู้ อี �ำ นาจยน่ื ฟอ้ งคดตี อ่ ศาลภาษอี ากร ไดแ้ ก่

๑. ผเู้ สยี ภาษี ผรู้ บั การประเมนิ หรอื
๒. สว่ นราชการทม่ี หี นา้ ทจ่ี ดั เกบ็ ภาษี โดยพนกั งานอยั การจะด�ำ เนนิ คดแี ทน
การจะยน่ื ฟอ้ งตอ่ ศาลภาษอี ากรไดน้ น้ั โจทกจ์ ะตอ้ งไดด้ �ำ เนนิ การตามหลกั เกณฑ์ วธิ กี าร และระยะเวลา
ทก่ี ฎหมายเกย่ี วกบั ภาษอี ากรไดก้ �ำ หนดเอาไวใ้ หค้ ดั คา้ นหรอื อทุ ธรณค์ �ำ สง่ั หรอื ค�ำ วนิ จิ ฉยั ตอ่ เจา้ พนกั งานหรอื คณะ
กรรมการเสยี กอ่ น และไดม้ กี ารวนิ จิ ฉยั ชข้ี าดค�ำ คดั คา้ นหรอื ค�ำ อทุ ธรณน์ น้ั เสรจ็ สน้ิ แลว้ โจทกจ์ งึ จะมอี �ำ นาจฟอ้ ง
ทง้ั น้ี ตามนยั มาตรา ๘ หรอื มาตรา ๙ กลา่ วคอื
คดตี ามมาตรา ๗ (๑) ในกรณที ก่ี ฎหมายเกย่ี วกบั ภาษอี ากรบญั ญตั ใิ หค้ ดั คา้ น หรอื อทุ ธรณค์ �ำ สง่ั หรอื ค�ำ
วนิ จิ ฉยั ตอ่ เจา้ พนกั งาน หรอื คณะกรรมการตามหลกั เกณฑ์ วธิ กี าร และระยะเวลาทก่ี �ำ หนดไว้ จะฟอ้ งคดใี นศาล
ภาษอี ากรไดก้ ต็ อ่ เมอ่ื ไดม้ กี ารปฏบิ ตั ติ ามหลกั เกณฑ์ วธิ กี าร และระยะเวลา เชน่ วา่ นน้ั และไดม้ กี ารวนิ จิ ฉยั ชข้ี าด
ค�ำ คดั คา้ นหรอื ค�ำ อทุ ธรณน์ น้ั เสรจ็ สน้ิ แลว้
คดตี ามมาตรา ๗ (๓) ในกรณที ก่ี ฎหมายเกย่ี วกบั ภาษอี ากรบญั ญตั ใิ หข้ อคนื คา่ ภาษอี ากรตามหลกั เกณฑ์
วธิ กี าร และระยะเวลาทก่ี �ำ หนดไว้ จะด�ำ เนนิ การในศาลภาษอี ากรไดก้ ต็ อ่ เมอ่ื มกี ารปฏบิ ตั ติ ามหลกั เกณฑ์ วธิ กี าร
และระยะเวลาเชน่ วา่ นน้ั

ตวั ความผขู้ อใหด้ �ำ เนนิ คดี

คดภี าษอี ากรเปน็ คดเี กย่ี วกบั การจดั เกบ็ ภาษอี ากรของรฐั ตวั ความทส่ี ง่ เรอ่ื งมาใหพ้ นกั งานอยั การด�ำ เนนิ
คดใี หจ้ งึ เปน็ ตวั ความทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การจดั เกบ็ ภาษอี ากรของรฐั ไมว่ า่ จะเปน็ หนว่ ยงานทจ่ี ดั เกบ็ ภาษอี ากร หรอื
แมแ้ ตบ่ คุ คลหรอื เจา้ หนา้ ทท่ี เ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การจดั เกบ็ ภาษี เชน่ พนกั งานเจา้ หนา้ ทห่ี รอื เจา้ พนกั งานประเมนิ ภาษี
อากรหรอื คณะกรรมการพจิ ารณาอทุ ธรณ์ กเ็ ปน็ ตวั ความในคดที อ่ี าจสง่ เรอ่ื งมาขอใหพ้ นกั งานอยั การดำ�เนนิ คดไี ด้
อยา่ งไรกต็ าม โดยหลกั การแลว้ เมอ่ื พนกั งานอยั การเปน็ ทนายแผน่ ดนิ ตวั ความทจ่ี ะสง่ เรอ่ื งมาขอใหว้ า่
ตา่ งหรอื แกต้ า่ งจงึ ตอ้ งเปน็ หนว่ ยงานของรฐั เทา่ นน้ั
การสง่ เรอ่ื งมาขอใหพ้ นกั งานอยั การดำ�เนนิ การวา่ ตา่ งหรอื แกต้ า่ งของพนกั งานเจา้ หนา้ ทห่ี รอื เจา้ พนกั งาน
ประเมนิ หรอื คณะกรรมการพจิ ารณาอทุ ธรณ์ จะตอ้ งสง่ ผา่ นหนว่ ยงานตน้ สงั กดั หรอื ตน้ เรอ่ื งเทา่ นน้ั จะสง่ เรอ่ื งมา
โดยตรงไมไ่ ด้

อัยการนเิ ทศ 35

หนว่ ยงานของรฐั ทจ่ี ะสง่ เรอ่ื งมาขอใหพ้ นกั งานอยั การด�ำ เนนิ คดภี าษอี ากร คอื หนว่ ยงานทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั
การจดั เกบ็ ภาษี ในสว่ นของคดภี าษเี กย่ี วกบั โรงเรอื นและทด่ี นิ ตวั ความกจ็ ะเปน็ ราชการสว่ นทอ้ งถน่ิ ทม่ี หี นา้ ทจ่ี ดั
เกบ็ ภาษโี รงเรอื นและทด่ี นิ ตามพระราชบญั ญตั ภิ าษโี รงเรอื นและทด่ี นิ
ทง้ั น้ี ตวั ความทข่ี อใหด้ �ำ เนนิ คดขี องราชการบรหิ ารสว่ นทอ้ งถน่ิ นไ้ี ดแ้ ก่ กรงุ เทพมหานคร เมอื งพทั ยา
เทศบาลตา่ ง ๆ (เทศบาลต�ำ บล, เทศบาลเมอื ง และเทศบาลนคร) ทว่ั ประเทศ องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั (อบจ.)
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำ บล (อบต.) มหี นา้ ทจ่ี ดั เกบ็ ภาษโี รงเรอื นและทด่ี นิ ตามพระราชบญั ญตั ภิ าษโี รงเรอื นและ
ทด่ี นิ พ.ศ. ๒๔๗๕
สว่ นตวั ความอน่ื ๆ ไดแ้ กพ่ นกั งานเจา้ หนา้ ทห่ี รอื เจา้ พนกั งานประเมนิ หรอื กรรมการในคณะกรรมการ
พจิ ารณาอทุ ธรณ์ ในกรณที ผ่ี เู้ สยี ภาษเี ปน็ โจทกฟ์ อ้ งเจา้ หนา้ ทป่ี ระเมนิ หรอื กรรมการในคณะกรรมการพจิ ารณา
อทุ ธรณเ์ ปน็ จ�ำ เลยรว่ มกบั หนว่ ยราชการทง้ั สด่ี งั กลา่ วขา้ งตน้ ตวั ความประเภทนจ้ี ะสง่ เรอ่ื งมาขอใหพ้ นกั งาน
อยั การด�ำ เนนิ คดใี หโ้ ดยผา่ นหนว่ ยงานตน้ สงั กดั หรอื ตน้ เรอ่ื ง
ส�ำ หรบั บทความอยั การนเิ ทศฉบบั นเ้ี ปน็ การน�ำ เสนอในสว่ นของหลกั การทว่ั ไปของภาษอี ากร กระบวน
ขน้ั ตอนในการจดั เกบ็ ภาษี ตลอดจนกระบวนการในการด�ำ เนนิ คดภี าษี กรณที ต่ี อ้ งน�ำ เสนอบทความเปน็ สองตอน
นน้ั เนอ่ื งจากกระบวนการทเ่ี กย่ี วขอ้ งมขี อ้ มลู เนอ้ื หาจ�ำ นวนมาก จงึ จ�ำ เปน็ จะตอ้ งน�ำ เสนอตอ่ ทา่ นอกี ในฉบบั ตอ่ ไป
ทง้ั น้ี ในอยั การนเิ ทศฉบบั หนา้ จะน�ำ เสนอบทความในสว่ นทว่ี า่ ดว้ ยพนกั งานอยั การกบั การดำ�เนนิ คดี
ภาษที อ้ งถน่ิ ปญั หาในกระบวนการจดั เกบ็ ภาษี และปญั หาในกระบวนการการด�ำ เนนิ คดภี าษที อ้ งถน่ิ ตลอดจน
มกี ารวเิ คราะหส์ ภาพของปญั หาตา่ งๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ และแนวทางขอ้ เสนอในการแกไ้ ขปญั หานน้ั ซง่ึ ผเู้ ขยี นหวงั เปน็
อยา่ งยง่ิ วา่ จะไดร้ บั ความสนใจจากทา่ นทง้ั หลายในการตดิ ตามบทความหวั ขอ้ นใ้ี นตอนท่ี ๒ ตอ่ ไป



36 บทความ

การลงบัญชีชี้แจงเหตุที่สำ�นวนค้าง (อ.ก. 40 ก.) ที่ไม่ถูกต้อง

โชคชยั ทฐิ กิ จั จธรรม ๑


อ.ก. 40 อ.ก. 40 พ. มชี อ่ื เรยี กอยา่ งเปน็ ทางการวา่ “หนงั สอื เสนอบญั ชสี ำ�นวนทค่ี า้ ง” สว่ นผปู้ ฏบิ ตั งิ าน
มกั เรยี กวา่ “รายงานส�ำ นวนคา้ ง” หรอื “รายงานบญั ชสี �ำ นวนคา้ ง” โดย อ.ก. 40 ใชร้ ายงานส�ำ นวนคดอี าญา
อ.ก. 40 พ. ใชร้ ายงานส�ำ นวนคดแี พง่ ทง้ั อ.ก. 40 และ อ.ก. 40 พ. เปน็ แบบพมิ พท์ เ่ี ปน็ ใบปลวิ แสดงบญั ชี
ส�ำ นวนทค่ี า้ งในเดอื นหนง่ึ ๆ ของทท่ี �ำ การอยั การแตล่ ะแหง่ ทง้ั นโ้ี ดยประสงคจ์ ะทราบวา่ ในเดอื นหนง่ึ ในทท่ี �ำ การ
แตล่ ะแหง่ ไดร้ บั ส�ำ นวนไวเ้ ทา่ ใด และไดพ้ จิ ารณาจดั การไปแลว้ เทา่ ใด คา้ งอยเู่ ทา่ ใด เพราะเหตใุ ด ทง้ั นเ้ี ฉพาะสำ�นวน
ทอ่ี ยใู่ นหนา้ ทพ่ี นกั งานอยั การพจิ ารณาจดั การไมเ่ กย่ี วกบั ส�ำ นวนทฟ่ี อ้ งไปแลว้ ทง้ั ยงั เปน็ การทจ่ี ะควบคมุ การปฏบิ ตั ิ
งานของพนกั งานอยั การทเ่ี กย่ี วแกก่ ารตรวจและจดั การแกส่ �ำ นวนในหนา้ ทข่ี องตนใหเ้ ปน็ ไปโดยรวดเรว็ ไมบ่ กพรอ่ ง
และเพอ่ื ทจ่ี ะทราบถงึ ความขยนั หมน่ั เพยี รของพนกั งานอยั การนน้ั ๆ ดว้ ย นอกจากนย้ี งั จะเปน็ การเรง่ รดั มใิ ห้
พนกั งานอยั การปฏบิ ตั งิ านลา่ ชา้ แบบพมิ พ์ อ.ก. 40 แยกออกเปน็ 2 สว่ น คอื สว่ นดา้ นหนา้ เปน็ การเสนอบญั ชี
ส�ำ นวนทค่ี า้ งระหวา่ งจดั การและดา้ นหลงั เปน็ บญั ชชี แ้ี จงเหตทุ ส่ี ำ�นวนคา้ งในกรณดี า้ นหลงั อ.ก. 40 ไมพ่ อลงให้
ใชใ้ บตอ่ ตามแบบ อ.ก. 40 ก. สว่ น อ.ก.40 พ. ไมม่ ดี า้ นหลงั หากจะชแ้ี จงรายละเอยี ดส�ำ นวนคา้ งใหใ้ ชใ้ บตอ่ ตาม
แบบ อ.ก. 40 ก.๒
ในปจั จบุ นั การรายงานส�ำ นวนคา้ ง (อ.ก. 40, อ.ก. 40 พ. และ อ.ก. 40 ก.) มหี นงั สอื เวยี นทเ่ี กย่ี วขอ้ ง
อยหู่ ลายฉบบั ไดแ้ ก่
1. หนงั สอื กรมอยั การท่ี มท 1203/ว 65 ลงวนั ท่ี 31 สงิ หาคม 2526
2. หนงั สอื กรมอยั การท่ี มท 1203/ว 94 ลงวนั ท่ี 16 กนั ยายน 2528
3. หนงั สอื กรมอยั การท่ี มท 1203/ว 50 ลงวนั ท่ี 19 พฤษภาคม 2532
4. หนงั สอื ส�ำ นกั งานอยั การสงู สดุ ท่ี อส 0018.4/ว 39 ลงวนั ท่ี 30 มนี าคม 2538
5. หนงั สอื ส�ำ นกั งานอยั การสงู สดุ ท่ี อส (สฝสท.) 0018/ว 93 ลงวนั ท่ี 16 กรกฎาคม 2540
6. หนงั สอื ส�ำ นกั งานอยั การสงู สดุ ท่ี อส (สฝสท.) 0018/ว 290 ลงวนั ท่ี 30 ตลุ าคม 2545
๗. หนงั สอื ส�ำ นกั งานอยั การสงู สดุ ท่ี อส (สฝสท.) 0018/ว 95 ลงวนั ท่ี 28 กมุ ภาพนั ธ์ 2546
แตใ่ นระยะหลงั การลงสาเหตทุ ส่ี �ำ นวนคา้ งใน อ.ก. 40 ก. มกั จะไมถ่ กู ตอ้ งตามหนงั สอื เวยี นทก่ี ลา่ วมา
ท�ำ ใหส้ ถติ ใิ น อ.ก. 40 และ อ.ก. 40 พ. ผดิ พลาด อาจเปน็ เพราะเจา้ หนา้ ทธ่ี รุ การผทู้ ม่ี หี นา้ ทใ่ี นการรายงานผลดั
เปลย่ี นหมนุ เวยี นกนั ไป ผทู้ เ่ี ขา้ มาท�ำ หนา้ ทใ่ี หมไ่ มไ่ ดศ้ กึ ษาการลงรายงานทถ่ี กู ตอ้ งจากหนงั สอื เวยี นดงั กลา่ ว ผเู้ ขยี น
จงึ ไดร้ วบรวมการลงรายงาน อ.ก. 40 ก. ทไ่ี มถ่ กู ตอ้ งวา่ เปน็ อยา่ งไร และทถ่ี กู ตอ้ งควรจะตอ้ งลงอยา่ งไรมาใหด้ ู

๑ อัยการผู้เชี่ยวชาญ
๒หนังสือเวียนกรมอัยการที่ มท.1203/ว 94 ลงวันที่ 16 กันยายน 2528

อยั การนเิ ทศ 37

การลงบญั ชชี แ้ี จงเหตสุ �ำ นวนคา้ งส�ำ นวนคา้ งคดอี าญา

ตวั อยา่ งท่ี 1
ลงไวว้ า่ อยรู่ ะหวา่ งพจิ ารณา ทถ่ี กู ตอ้ งตอ้ งลงวา่
หรอื ยงั ไมไ่ ดส้ ง่ั
เพระเหตอุ น่ื (อยรู่ ะหวา่ งสง่ั ) หมายเหตุ เพง่ิ รบั ส�ำ นวน
หรอื 5 ม.ค. 55 คดนี ม้ี ขี อ้ เทจ็ จรงิ
สลบั ซบั ซอ้ นประกอบดว้ ย
รอสง่ั (เพง่ิ รบั ส�ำ นวน) เอกสารจ�ำ นวนมาก ไมอ่ าจตรวจ
หรอื พจิ ารณาสง่ั การใหแ้ ลว้ เสรจ็
เพราะเหตอุ น่ื ภายในก�ำ หนด

อยรู่ ะหวา่ งพจิ ารณารบั ส�ำ นวนวนั ท่ี

5 ม.ค. 55

ตวั อยา่ งท่ี 2 ทถ่ี กู ตอ้ งตอ้ งลงวา่ เพราะเหตอุ น่ื
ลงไวว้ า่ เพราะเหตอุ น่ื เสนอ อภ. 8
อยรู่ ะหวา่ งการพจิ ารณาของ อภ. 8 5 ม.ค. 55
5 ม.ค. 55

ตวั อยา่ งท่ี 3
ลงไวว้ า่ เพราะเหตอุ น่ื
เพง่ิ ไดร้ บั ผลการสอบสวนเพม่ิ เตมิ ทถ่ี กู ตอ้ งตอ้ งลงวา่ (1) สอบสวนเพม่ิ เตมิ
5 ม.ค. 55
เมอ่ื วนั ท่ี 31 ม.ค. 55 หมายเหตุ พนกั งานสอบสวน
หรอื สง่ ผลการสอบสวนเพม่ิ เตมิ
มาแลว้ เมอ่ื วนั ท่ี 31 ม.ค. 55
ไดร้ บั แจง้ ผลการสอบสวนเพม่ิ เตมิ อยรู่ ะหวา่ งพจิ ารณาผล
เมอ่ื วนั ท่ี 31 ม.ค. 2555 ขณะนอ้ี ยรู่ ะ หวา่ ง การสอบสวนเพม่ิ เตมิ
การพจิ ารณาสง่ั ส�ำ นวน

หรอื
พนกั งานสอบสวนสง่ ผลการสอบสวนเพม่ิ
เตมิ เมอ่ื วนั ท่ี 31 ม.ค. 2555 อยรู่ ะหวา่ ง
เจา้ ของส�ำ นวนพจิ ารณา

38 บทความ

ตวั อยา่ งท่ี 4 ทถ่ี กู ตอ้ งตอ้ งลงวา่ เพราะเหตอุ น่ื
ลงไวว้ า่ อยรู่ ะหวา่ งพจิ ารณาของอยั การสงู สดุ เสนออยั การสงู สดุ
5 ม.ค. 55 5 ม.ค. 55
ตวั อยา่ งท่ี 5
ลงไวว้ า่ อยรู่ ะหวา่ งพจิ ารณาของผกู้ ลน่ั กรองงาน ทถ่ี กู ตอ้ งตอ้ งลงวา่ เพราะเหตอุ น่ื
เสนอผกู้ ลน่ั กรองงาน
5 ม.ค. 55

ตวั อยา่ งท่ี 6 ทถ่ี กู ตอ้ งตอ้ งลงวา่ เพราะเหตอุ น่ื
ลงไวว้ า่ เสนออยั การจงั หวดั พจิ ารณา เสนออยั การจงั หวดั
5 ม.ค. 55

ตวั อยา่ งท่ี 7 ทถ่ี กู ตอ้ งตอ้ งลงวา่ (1) รอสง่ ตวั
ลงไวว้ า่ (1) รอฟอ้ ง 5 ม.ค. 55

ตวั อยา่ งท่ี 8 ทถ่ี กู ตอ้ งตอ้ งลงวา่ (1) สอบสวนเพม่ิ เตมิ วนั ท่ี
ลงไวว้ า่ สอบสวนเพม่ิ เตมิ

5 ม.ค. 55

ตวั อยา่ งท่ี 9 ทถ่ี กู ตอ้ งตอ้ งลงวา่ เพราะเหตอุ น่ื
ลงไวว้ า่ อยรู่ ะหวา่ งการพจิ ารณาของ เสนออยั การจงั หวดั หรอื
ผบู้ งั คบั บญั ชาตามล�ำ ดบั ชน้ั ผกู้ ลน่ั กรองงาน
5 ม.ค. 55

อัยการนเิ ทศ 39

ตวั อยา่ งท่ี 10 ทถ่ี กู ตอ้ งตอ้ งลงวา่ ยงั ไมไ่ ดส้ ง่ั
ลงไวว้ า่ เพง่ิ ไดร้ บั ส�ำ นวนเมอ่ื วนั ท่ี 25 ม.ค.55 หมายเหตเุ พง่ิ รบั ส�ำ นวเมอ่ื
อยรู่ ะหวา่ งการตรวจสอบเอกสาร วนั ท่ี 25 ม.ค.55 ส�ำ นวน
ในส�ำ นวน คดนี ้ี (เหตผุ ลทย่ี งั ไมไ่ ดส้ ง่ั
เปน็ ความยากงา่ ยของ
ส�ำ นวนหรอื จ�ำ นวน
เอกสารหรอื อน่ื ๆ)
ตวั อยา่ งท่ี 11
ลงไวว้ า่ (1) สอบสวนเพม่ิ เตมิ เตอื น
25 ก.ย. 54 ทถ่ี กู ตอ้ งตอ้ งลงวา่ (1) สอบสวนเพม่ิ เตมิ ครง้ั ท่ี วนั เดอื นปี
เตอื นผบู้ งั คบั การ 25 ก.ย. 54 4 25 ม.ิ ย. 55

25 ม.ิ ย. 55 หมายเหตุ
ถงึ ผบู้ งั คบั การ (ใน กทม.)
ถงึ ผวู้ า่ ฯ (ในตา่ งจงั หวดั )

การลงบญั ชชี แ้ี จงเหตสุ �ำ นวนคา้ งคดแี พง่

ตวั อยา่ งท่ี 1 ทถ่ี กู ตอ้ งตอ้ งลงวา่ ยงั ไมไ่ ดส้ ง่ั
ลงไวว้ า่ อน่ื ๆ (อยรู่ ะหวา่ งพจิ ารณาขอ้ เทจ็ จรงิ หมายเหตุ เพง่ิ รบั ส�ำ นวนเมอ่ื
ขอ้ กฎหมายและตรวจสอบขอ้ เทจ็ จรงิ ) ............. ส�ำ นวนคดนี ้ี
(เหตผุ ลทย่ี งั ไมไ่ ดส้ ง่ั เปน็
ตวั อยา่ งท่ี 2 ความยากงา่ ยของส�ำ นวน
ลงไวว้ า่ อยรู่ ะหวา่ งตรวจสอบเอกสารในส�ำ นวน ทถ่ี กู ตอ้ งตอ้ งลงวา่ หรอื จ�ำ นวนเอกสารหรอื
อน่ื ๆ)
ยงั ไมไ่ ดส้ ง่ั
หมายเหตุ เพง่ิ รบั ส�ำ นวนเมอ่ื
............. ส�ำ นวนคดนี ้ี (เหตผุ ล
ทย่ี งั ไมไ่ ดส้ ง่ั เปน็ ความยากงา่ ย
ของส�ำ นวนหรอื จ�ำ นวน
เอกสาร หรอื อน่ื ๆ)

40 บทความ

ตวั อยา่ งท่ี 3 ที่ถูกต้องต้องลงว่า ยังไม่ได้สั่ง
ลงไวว้ า่ อยรู่ ะหวา่ งพจิ ารณาสง่ั ส�ำ นวน หมายเหตุ เพิ่งรับสำ�นวน
ตวั อยา่ งท่ี 4 เมื่อ.............สำ�นวนคดี
ลงไวว้ า่ เสนอความเหน็ แยง้ ฐานะคดี นี้ (เหตุผลที่ยังไม่ได้สั่งเป็น
ตามล�ำ ดบั ชน้ั ความยากง่ายของสำ�นวน
หรือจำ�นวน
เอกสารหรืออื่น ๆ)
ที่ถูกต้องต้องลงว่า แจ้งฐานะคดี
เสนอผู้บังคับบัญชา
5 ม.ค. 55

ตวั อยา่ งท่ี 5 ที่ถูกต้องต้องลงว่า ขอเอกสารเพิ่มเติม
ลงไวว้ า่ ขอเอกสารเพม่ิ เตมิ , ตดิ ตอ่ ผปู้ ระสานงาน 5 ม.ค. 55 และติดต่อผู้
คดมี าพบในวนั ท่ี 25 ม.ค. 55 เพอ่ื ชแ้ี จง ประสาน งานคดีมาพบในวันที่
เรอ่ื ง............................... 25 ม.ค.55 เพื่อชี้แจงเรื่อง
..........................................

ตวั อยา่ งท่ี 6 ที่ถกู ตอ้ งต้องลงวา่ อ่ืน ๆ
ลงไวว้ า่ ตวั ความขอผดั สง่ เอกสาร ตัวความขอผดั ส่งเอกสาร
5 ม.ค. 55 5 ม.ค. 55
ตวั อยา่ งท่ี 7
ลงไวว้ า่ อยรู่ ะหวา่ งอยั การสงู สดุ ชข้ี าดอ�ำ นาจ ที่ถกู ต้องต้องลงวา่ อน่ื ๆ
หนา้ ทใ่ี นการด�ำ เนนิ คดี อยู่ระหวา่ งเสนออยั การ
5 ม.ค. 55 สงู สดุ ช้ขี าดอ�ำ นาจหนา้ ที่ใน
การดำ�เนนิ คดี
5 ม.ค. 55

อัยการนิเทศ 41

ตวั อยา่ งท่ี 8 ท่ีถกู ตอ้ งต้องลงวา่ อ่นื ๆ
ลงไวว้ า่ มหี นงั สอื ใหต้ วั ความมาชแ้ี จง มีหนังสือให้ตัวความมา
ขอ้ เทจ็ จรงิ เพม่ิ เตมิ ชี้แจงขอ้ เทจ็ จรงิ เพม่ิ เตมิ
5 ม.ค. 55 5 ม.ค. 55

ตวั อยา่ งท่ี 9 ที่ถูกต้องต้องลงว่า อื่น ๆ
ลงไวว้ า่ ใหส้ รปุ ขอ้ เทจ็ จรงิ เพม่ิ เตมิ ให้สรุปข้อเท็จจริงเพิ่มเติม
5 ม.ค. 55 5 ม.ค. 55

ตวั อยา่ งท่ี 10 ที่ถูกต้องต้องลงว่า ขอเอกสาร เตอื น
ลงไวว้ า่ อน่ื ๆ อยรู่ ะหวา่ งรอ 10 ธ.ค. 55
เอกสารจากตวั ความ ครง้ั ท่ี วนั เดอื นปี
1 11 ม.ค. 55

ตวั อยา่ งท่ี 11 ที่ถูกต้องต้องลงว่า อื่น ๆ
ลงไวว้ า่ อยรู่ ะหวา่ งอธบิ ดพี จิ ารณาความเหน็ เสนออธิบดีพิจารณา
และค�ำ สง่ั ความเห็นและคำ�สั่ง
5 ม.ค. 55

ตวั อยา่ งท่ี 12 ทถ่ี กู ตอ้ งตอ้ งลงวา่ ขอเอกสาร เตอื น
ลงไวว้ า่ อน่ื ๆ อยรู่ ะหวา่ งรอ 10 ธ.ค. 55
เอกสารจากตวั ความ ครง้ั ท่ี วนั เดอื นปี
1 11 ม.ค. 55

42 บทความ

ตวั อยา่ งท่ี 13 ท่ถี ูกต้องตอ้ งลงว่า อื่น ๆ
ลงไวว้ า่ เรยี กตวั ความบนั ทกึ ขอ้ เทจ็ จรงิ เรียกตวั ความมาชี้แจง
ข้อเท็จจริง
๕ ม.ค. 55

ตวั อย่างที่ 14 ทถ่ี กู ตอ้ งตอ้ งลงวา่ ยงั ไมไ่ ดส้ ง่ั
ลงไว้วา่ อื่น ๆ (รอสง่ั ) หมายเหตเุ พง่ิ รบั ส�ำ นวนเมอ่ื
............. ส�ำ นวนคดนี ้ี
(เหตผุ ล ทย่ี งั ไมไ่ ดส้ ง่ั เปน็
ความยากงา่ ยของส�ำ นวน
หรอื จ�ำ นวนเอกสารหรอื อน่ื ๆ)

ตวั อยา่ งท่ี 15
ลงไวว้ า่ อยรู่ ะหวา่ งรอตวั ความ ทถ่ี กู ตอ้ งตอ้ งลงวา่ อน่ื ๆ แจง้
ชแ้ี จงขอ้ เทจ็ จรงิ เพม่ิ เตมิ ตวั ความชแ้ี จงขอ้ เตอื น
เทจ็ จรงิ เพม่ิ เตมิ
5 ธ.ค. 55 ครง้ั ท่ี วนั เดอื นปี
1 11 ม.ค. 55

จากที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมดคงพอจะเป็นแนวทางให้ผู้ปฏิบัติได้ลง อ.ก. 40 ก.ได้ถูกต้อง ทั้งนี้
หวังว่าหัวหน้าพนักงานอัยการที่เกี่ยวข้องกับการรายงานจะได้กำ�กับ กวดขันเจ้าหน้าที่ผู้รายงานให้ปฏิบัติ
ให้ถูกต้องต่อไป

อยั การนเิ ทศ 43

เขตอำ�นาจสอบสวนคดีอาญา*
ยง่ิ พรณั ณฐ์ ค�ำ ภเู วยี ง**


บทน�ำ
โดยทป่ี ระมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญาของประเทศไทยนน้ั ถอื วา่ การสอบสวนเปน็ เงอ่ื นไข
ส�ำ คญั ของอ�ำ นาจฟอ้ งคดขี องพนกั งานอยั การ ซง่ึ ถอื เปน็ หลกั ทว่ั ไปของการสอบสวนโดยเปน็ เงอ่ื นไขทส่ี ำ�คญั ท่ี
กฎหมายหา้ มไมใ่ หพ้ นกั งานอยั การฟอ้ งคดอี าญาโดยมไิ ดม้ กี ารสอบสวนในความผดิ นน้ั มากอ่ น ทง้ั น้ี ตามประมวล
กฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา 120 ซง่ึ บญั ญตั วิ า่ “หา้ มมใิ หพ้ นกั งานอยั การยน่ื ฟอ้ งคดใี ดตอ่ ศาลโดย
มไิ ดม้ กี ารสอบสวนในความผดิ นน้ั กอ่ น”1 โดยผลของมาตราน้ี หากพนกั งานอยั การยน่ื ฟอ้ งคดใี ดโดยทย่ี งั ไมม่ ี
การสอบสวนคดนี น้ั มากอ่ น หรอื มกี ารสอบสวนแตก่ ารสอบสวนนน้ั มคี วามบกพรอ่ งในสว่ นทเ่ี ปน็ สาระส�ำ คญั
ศาลฎกี าไดว้ นิ จิ ฉยั ตลอดมาวา่ เปน็ การสอบสวนทไ่ี มช่ อบดว้ ยกฎหมาย ถอื เทา่ กบั ไมม่ กี ารสอบสวนความผดิ นน้ั
มากอ่ น และยอ่ มสง่ ผลใหพ้ นกั งานอยั การไมม่ อี ำ�นาจฟอ้ งตามมาตรา 120 เชน่ กนั หลกั ทส่ี ำ�คญั ประการหนง่ึ ท่ี
จะถอื วา่ เปน็ การสอบสวนโดยไมช่ อบในสว่ นทเ่ี ปน็ สาระส�ำ คญั ทม่ี ผี ลกระทบตอ่ อ�ำ นาจฟอ้ งของพนกั งานอยั การ
ตามตวั อยา่ งค�ำ พพิ ากษาของศาลฎกี า ไดแ้ ก่ การสอบสวนทก่ี ระท�ำ โดยพนกั งานสอบสวนทไ่ี มม่ เี ขตอ�ำ นาจและ
การสรปุ สำ�นวนท�ำ ความเห็นวา่ ควรส่งั ฟ้องหรอื ส่งั ไมฟ่ อ้ งสง่ ไปยงั พนกั งานอัยการเพ่อื พิจารณาตามประมวล
กฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา 140, 141, และมาตรา 142 กระทำ�โดยพนกั งานสอบสวนทม่ี ใิ ช่
พนกั งานสอบสวนผรู้ บั ผดิ ชอบ กลา่ วคอื หากเปน็ การสอบสวนทก่ี ระท�ำ โดยพนกั งานสอบสวนทไ่ี มม่ เี ขตอ�ำ นาจ
สอบสวนตามมาตรา 18 และมาตรา 19 หรอื หากการด�ำ เนนิ การสรปุ ส�ำ นวนท�ำ ความเหน็ วา่ ควรสง่ั ฟอ้ งหรอื
สง่ั ไมฟ่ อ้ งสง่ ไปยงั พนกั งานอยั การเพอ่ื พจิ ารณาตามมาตรา 140, 141 และมาตรา 142 นน้ั มไิ ดก้ ระท�ำ โดย
พนกั งานสอบสวนผรู้ บั ผดิ ชอบ ทง้ั สองกรณศี าลฎกี าถอื วา่ เปน็ การสอบสวนทไ่ี มช่ อบดว้ ยกฎหมาย ถอื เทา่ กบั
ไมม่ กี ารสอบสวนความผดิ นน้ั มากอ่ น และยอ่ มสง่ ผลใหพ้ นกั งานอยั การไมม่ อี �ำ นาจฟอ้ ง ตามมาตรา 120 ทง้ั สน้ิ

1. แนวค�ำ พพิ ากษาศาลฎกี าเกย่ี วกบั เขตอ�ำ นาจสอบสวน
การสอบสวนทก่ี ระท�ำ โดยพนกั งานสอบสวนทไ่ี มม่ เี ขตอ�ำ นาจสอบสวนตามมาตรา 18 และมาตรา 19
นน้ั แนวค�ำ พพิ ากษาศาลฎกี าของไทยไดว้ นิ จิ ฉยั ตลอดมาวา่ การสอบสวนโดยพนกั งานสอบสวนทไ่ี มม่ เี ขตอ�ำ นาจ

* บทความนเ้ี ปน็ การสรปุ สาระส�ำ คญั โดยเรยี บเรยี งจากวทิ ยานพิ นธ์ หวั ขอ้ “เขตอ�ำ นาจสอบสวนคดอี าญา” ของผเู้ ขยี น ตามหลกั สตู ร

นติ ศิ าสตรมหาบณั ฑติ สาขากฎหมายอาญา คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2555
** นติ ศิ าสตรบณั ฑติ มหาวทิ ยาลยั รามค�ำ แหง, เนตบิ ณั ฑติ ไทย, นติ ศิ าสตรมหาบณั ฑติ (สาขากฎหมายอาญา) มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร.์
1ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) “ผู้เสียหาย” หมายความว่า บุคคลผู้ที่ได้รับความเสียหายเนื่องจาก
การกระทำ�ผิดฐานใดฐานหนง่ึ รวมทง้ั บคุ คลอน่ื ทม่ี อี �ำ นาจจดั การแทนได้ ดงั ทบ่ี ญั ญตั ไิ วใ้ นมาตรา 4, 5 และมาตรา 6

44 บทความ


Click to View FlipBook Version