The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

อัยการนิเทศ เล่ม 77 ปี 2555

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aram.du, 2021-11-12 09:39:48

อัยการนิเทศ เล่ม 77 ปี 2555

อัยการนิเทศ เล่ม 77 ปี 2555

คำ�ชี้ขาดความเห็นแย้งความผิดฐานทำ�ให้เสียทรัพย์พืชหรือพืชผลของกสิกร
(ชี้ขาดความเห็นแย้งที่ 357/2553)

ป.อ. ตัวการ ทำ�ให้เสียทรัพย์พืชหรือพืชผลของกสิกร (มาตรา 83, 359 (4))

ทด่ี นิ พพิ าทเปน็ ทด่ี นิ มอื เปลา่ ทผ่ี เู้ สยี หายซง่ึ ประกอบอาชพี ทำ�สวนไดซ้ อ้ื มาจากผตู้ อ้ งหาท่ี 1 กอ่ น
เกดิ เหตปุ ระมาณ 13 ปี หลงั จากนน้ั ผเู้ สยี หายไดเ้ ขา้ ครอบครอง และปลกู ตน้ มะยงชดิ (อายปุ ระมาณ 10
ป)ี จ�ำ นวน 3 ต้น ตน้ มังคดุ (อายปุ ระมาณ 4 ป)ี จ�ำ นวน 1 ตน้ ต้นปาลม์ นํา้ มนั (อายุประมาณ 2 ป)ี
จ�ำ นวน 21 ตน้ ไวบ้ นทด่ี นิ ดงั กลา่ ว โดยผตู้ อ้ งหาท่ี 1 ไมไ่ ดโ้ ตแ้ ยง้ การครอบครองทด่ี นิ พพิ าทของผเู้ สยี หาย
แตอ่ ยา่ งใด ดงั นน้ั ผเู้ สยี หายจงึ ไดไ้ ปซง่ึ สทิ ธคิ รอบครองในทด่ี นิ พพิ าทตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์
มาตรา 1367 สว่ นตน้ มะยงชดิ ตน้ มงั คดุ และตน้ ปาลม์ นา้ํ มนั เปน็ ไมย้ นื ตน้ จงึ เปน็ สว่ นควบของทด่ี นิ ตาม
มาตรา 145 วรรคหนง่ึ และตกเปน็ กรรมสทิ ธข์ิ องผเู้ สยี หายซง่ึ เปน็ ผคู้ รอบครองทด่ี นิ พพิ าท การทผ่ี ตู้ อ้ งหา
ท่ี 1 และผตู้ อ้ งหาท่ี 2 ซง่ึ เปน็ บตุ รชายรว่ มกนั ตดั ฟนั ตน้ ไมด้ งั กลา่ ว จงึ มคี วามผดิ ฐานรว่ มกนั ทำ�ใหเ้ สยี ทรพั ย์
ที่เป็นพืชหรือพืชผลของกสิกรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 359 (4) ส่วนที่ผู้ต้องหาที่ 1
ใหก้ ารตอ่ สใู้ นชน้ั สอบสวนวา่ ผเู้ สยี หายปลกู ตน้ ไมด้ งั กลา่ วในทด่ี นิ ของผตู้ อ้ งหาท่ี 1 โดยไมม่ สี ทิ ธนิ น้ั ไมถ่ อื
เป็นการโต้เถียงสิทธิครอบครองในท่ดี ินพิพาทอันจะท�ำ ให้การกระท�ำ ของผ้ตู ้องหาท่ี 1 ไม่เป็นความผิด
เนอ่ื งจากไมป่ รากฏขอ้ เทจ็ จรงิ วา่ ผตู้ อ้ งหาท่ี 1 ไดฟ้ อ้ งคดเี พอ่ื เอาคนื ซง่ึ การครอบครองจากผเู้ สยี หายภายใน
หนง่ึ ปนี บั แตเ่ วลาถกู แยง่ การครอบครองตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1375 วรรคสอง
การใชส้ ทิ ธโิ ตแ้ ยง้ การครอบครองทด่ี นิ พพิ าทของผเู้ สยี หายจงึ สน้ิ สดุ ลงนบั แตน่ น้ั ขอ้ ตอ่ สขู้ องผตู้ อ้ งหาท่ี 1
ไมม่ นี า้ํ หนกั ใหร้ บั ฟงั

ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อประมาณ 13 ปีที่ผ่านมา นาย ฉ. ผู้เสียหายได้ซื้อที่ดินสวนยางพารา
จากนาง ป. ผู้ต้องหาที่ 1 เนื้อที่ประมาณ 15 ไร่ โดยไม่ได้ทำ�เป็นหนังสือ เพียงแต่จ่ายเงินและส่งมอบที่ดิน
ให้ผู้เสียหาย ที่ดินดังกล่าวไม่มีเอกสารหลักฐานที่ดินของทางราชการผู้เสียหายได้เข้าไปครอบครองทำ�
ประโยชน์ตลอดมา โดยทางทิศเหนือติดห้วยซึ่งมีเนื้อที่ระหว่างห้วยกับสวนยางพาราที่ยังไม่ได้ปลูกยางพารา
ประมาณ 1 ไร่เศษ ผู้เสียหายได้ปลูกต้นมะยงชิดอายุประมาณ 10 ปี จำ�นวน 3 ต้น ต้นมังคุด อายุประมาณ
4 ปี จำ�นวน 1 ต้น และต้นปาล์มนํ้ามัน อายุประมาณ 2 ปี จำ�นวน 21 ต้น ต่อมา ตามวันเวลาเกิดเหตุ
ผู้ต้องหาที่ 1 มากล่าวอ้างว่าที่ดินส่วนที่ผู้เสียหายปลูกต้นไม้ดังกล่าวเป็นของตนโดยผู้ต้องหาที่ 1 ได้เข้า
มาทำ�ประโยชน์ปลูกยางพาราและต้นเงาะอยู่ก่อนแล้ว และได้ร่วมกับผู้ต้องหาที่ 2 บุตรชายน�ำ มีดพร้ามา
ตัดฟันต้นไม้ทั้งหมด ผู้เสียหายได้รับความเสียหาย รวมค่าเสียหายประมาณ 32,000 บาท ต่อมาวันที่ 16
พฤศจิกายน 2552 ผู้เสียหายจึงมาพบพนักงานสอบสวนแจ้งความร้องทุกข์ด�ำ เนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งสอง

อัยการนเิ ทศ 195

เหตเุ กดิ เมอ่ื วนั ท่ี 10 พฤศจกิ ายน 2552 เวลากลางวนั ทต่ี �ำ บลพระรกั ษ์ อ�ำ เภอพะโตะ๊ จงั หวดั ชมุ พร
ชั้นสอบสวนผู้ต้องหาทั้งสองให้การปฏิเสธ
พนักงานสอบสวนมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งสองตามข้อกล่าวหา
อัยการจังหวัดหลังสวนมีคำ�สั่งไม่ฟ้อง นาง ป. กับพวก 2 คน ผู้ต้องหาฐานร่วมกันทำ�ให้เสียทรัพย์
ที่เป็นพืชผลทางเกษตรกร
ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรมีความเห็นแย้งคำ�สั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 2
อัยการสูงสุดพิจารณาแล้ว คดีมีพยานหลักฐานฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าที่นาย ฉ.
ผเู้ สยี หาย ซง่ึ ประกอบอาชพี ทำ�สวนไดซ้ อื้ มาจากนาง ป. ผตู้ อ้ งหาท่ี 1 กอ่ นเกดิ เหตปุ ระมาณ 13 ปี หลังจาก
นั้นผู้เสียหายได้เข้าครอบครองและปลูกต้นมะยงชิด (อายุประมาณ 10 ปี) จำ�นวน 3 ต้น ต้นมังคุด (อายุ
ประมาณ 4 ปี) จำ�นวน 1 ต้น ต้นปาล์มนํ้ามัน (อายุประมาณ 2 ปี) จำ�นวน 21 ต้น ไว้บนที่ดินดังกล่าว
โดยผู้ต้องหาที่ 1 ไม่ได้โตแ้ ยง้ การครอบครองทด่ี นิ พพิ าทของผเู้ สยี หายแตอ่ ยา่ งใด ดงั นน้ั ผเู้ สยี หายจงึ ไดไ้ ปซง่ึ
สทิ ธคิ รอบครองในทด่ี นิ พพิ าทตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยม์ าตรา 1367 สว่ นตน้ มะยงชดิ ตน้ มงั คดุ
และตน้ ปาลม์ นํ้ามนั เปน็ ไมย้ นื ตน้ จงึ เปน็ สว่ นควบของทด่ี นิ ตามมาตรา 145 วรรคหนง่ึ และตกเปน็ กรรมสทิ ธ์ิ
ของผเู้ สยี หายซง่ึ เปน็ ผคู้ รอบครองทด่ี นิ พพิ าท การท่ี ผตู้ อ้ งหาท่ี 1 และนาย ฉ. ผตู้ อ้ งหาท่ี 2 ซง่ึ เปน็ บตุ รชาย
รว่ มกนั ตดั ฟนั ตน้ ไมด้ งั กลา่ ว จงึ มคี วามผดิ ฐานรว่ มกนั ทำ�ใหเ้ สยี ทรพั ยท์ เ่ี ปน็ พชื หรอื พชื ผลของกสกิ รตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 359 (4) สว่ นทผ่ี ตู้ อ้ งหาท่ี 1 ใหก้ ารตอ่ สใู้ นชน้ั สอบสวนวา่ ผเู้ สยี หายปลกู ตน้ ไมด้ งั กลา่ ว
ในทด่ี นิ ของผตู้ อ้ งหาท่ี 1 โดยไมม่ สี ทิ ธนิ น้ั ไมถ่ อื เปน็ การโตเ้ ถยี งสทิ ธคิ รอบครองในทด่ี นิ พพิ าทอนั จะท�ำ ใหก้ าร
กระท�ำ ของผตู้ อ้ งหาท่ี 1 ไมเ่ ปน็ ความผดิ เนอ่ื งจากไมป่ รากฏขอ้ เทจ็ จรงิ วา่ ผตู้ อ้ งหาท่ี 1 ไดฟ้ อ้ งคดเี พอ่ื เอาคนื ซง่ึ
การครอบครองจากผเู้ สยี หายภายในหนง่ึ ปนี บั แตเ่ วลาถกู แยง่ การครอบครองตามประมวลกฎหมายแพง่ และ
พาณชิ ยม์ าตรา 1375 วรรคสอง การใชส้ ทิ ธโิ ตแ้ ยง้ การครอบครองทด่ี นิ พพิ าทของผเู้ สยี หายจงึ สน้ิ สดุ ลงนบั แต่
นน้ั ขอ้ ตอ่ สขู้ องผตู้ อ้ งหาท่ี 1 ไมม่ นี า้ํ หนกั ใหร้ บั ฟงั คดมี พี ยานหลกั ฐานพอฟอ้ ง
จึงชี้ขาดให้ฟ้อง นาง ป. ผู้ต้องหาที่ 1 และนาย ฉ. ผู้ต้องหาที่ 2 ฐานร่วมกันทำ�ให้เสียทรัพย์
ทเ่ี ปน็ พชื หรอื พชื ผลของกสกิ ร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 359 (4), 83

196 คำ�ช้ีขาดความเห็นแย้งของอยั การสูงสดุ

ค�ำ ชข้ี าดความเหน็ แยง้ ความผดิ ฐานฝา่ ฝนื ค�ำ สง่ั ของเจา้ พนกั งานทอ้ งถน่ิ ใหร้ ะงบั การใชอ้ าคาร
(ชี้ขาดความเห็นแย้งที่ 465/2553)

พ.ร.บ. ควบคมุ อาคาร พ.ศ. 2522 (มาตรา 47 ทว)ิ

การสง่ ค�ำ สง่ั ใหร้ ะงบั การใชอ้ าคารทไ่ี มเ่ ปน็ อาคารควบคมุ การใชแ้ ตไ่ ดม้ กี ารใชอ้ าคารเพอ่ื กจิ การใน
ประเภทควบคมุ การใชใ้ หผ้ ตู้ อ้ งหาท่ี 1 ทอ่ี าคารเกดิ เหตุ โดยไมไ่ ดส้ ง่ ค�ำ สง่ั ดงั กลา่ วใหผ้ ตู้ อ้ งหาท่ี 1 ยงั ภมู ลิ �ำ เนา
ของผตู้ อ้ งหาท่ี 1 เปน็ การสง่ ค�ำ สง่ั ทไ่ี มช่ อบดว้ ยกฎหมายตามพระราชบญั ญตั คิ วบคมุ อาคาร พ.ศ. 2522
มาตรา 47 ทวิ การกระท�ำ ของผตู้ อ้ งหาท่ี 1 จงึ ไมเ่ ปน็ ความผดิ ฐานฝา่ ฝนื ค�ำ สง่ั ของเจา้ พนกั งานทอ้ งถน่ิ ให้
ระงบั การใชอ้ าคาร

คดกี ลา่ วหา นาง ศ. ผตู้ อ้ งหาท่ี 1 นาย ว. ผตู้ อ้ งหาท่ี 2 วา่ ฝา่ ฝนื ค�ำ สง่ั เจา้ พนกั งานทอ้ งถน่ิ ใหร้ ะงบั การ
ใชอ้ าคาร กรณที ไ่ี มเ่ ปน็ อาคารควบคมุ การใชแ้ ตไ่ ดม้ กี ารใชอ้ าคารเพอ่ื กจิ การในประเภทควบคมุ การใช้
เหตเุ กดิ เมอ่ื วนั ท่ี 29 กรกฎาคม 2549 เวลากลางวนั ทแ่ี ขวงสพ่ี ระยา เขตบางรกั กรงุ เทพมหานคร
ขอ้ เทจ็ จรงิ ไดค้ วามวา่ นาง ศ. ผตู้ อ้ งหาท่ี 1 เปน็ เจา้ ของอาคารเลขท่ี 1179/18-22 แขวงสพ่ี ระยา
เขตบางรกั กรงุ เทพมหานคร และเมอ่ื วนั ท่ี 27 ตลุ าคม 2541 ไดใ้ หน้ าย ว. ผตู้ อ้ งหาท่ี 2 เชา่ อาคารดงั กลา่ ว
ตามสญั ญาเชา่ อาคารตกึ แถว ตอ่ มาวนั ท่ี 19 กรกฎาคม 2549 นาย ก. นายชา่ งโยธาและเปน็ ผรู้ บั มอบอ�ำ นาจ
จากส�ำ นกั งานเขตบางรกั ผเู้ สยี หายตรวจสอบอาคารดงั กลา่ วซง่ึ ไดร้ บั อนญุ าตใหเ้ ปน็ อาคารพกั อาศยั ตามใบ
อนญุ าต เลขท่ี ร. 23/2543 เปลย่ี นเปน็ สถานบรกิ าร(นวดแผนโบราณ) โดยไมไ่ ดร้ บั อนญุ าตจากเจา้ พนกั งาน
ทอ้ งถน่ิ ตอ่ มาผเู้ สยี หายจงึ ปดิ ค�ำ สง่ั ใหร้ ะงบั การใชอ้ าคาร (แบบ ค. 18) ตามพระราชบญั ญตั คิ วบคมุ อาคาร พ.ศ.
2522 มาตรา 44 ลงวนั ท่ี 25 กรกฎาคม 2549 ณ อาคารเลขท่ี 1179/18-22ฯ และสง่ คำ�สง่ั ทางไปรษณยี ์
ลงทะเบยี นตอบรบั แจง้ ความมายังผ้ตู อ้ งหาท่ี 1 มผี ้รู ับคำ�สง่ั วนั ท่ี 27 กรกฎาคม 2549 ต่อมาวันท่ี 27
กมุ ภาพนั ธ์ 2552 พบวา่ รา้ นนวดแผนโบราณดงั กลา่ วปดิ กจิ การแลว้ และเมอ่ื วนั ท่ี 24 กมุ ภาพนั ธ์ 2553
อาคารอยรู่ ะหวา่ งการรอ้ื ถอน
ผเู้ สยี หายรอ้ งทกุ ขด์ �ำ เนนิ คดกี บั ผตู้ อ้ งหาทง้ั สองเปน็ คดนี ใ้ี นความผดิ ขอ้ หาฝา่ ฝนื ค�ำ สง่ั เจา้ พนกั งานทอ้ ง
ถน่ิ ใหร้ ะงบั การใชอ้ าคาร กรณที ไ่ี มเ่ ปน็ อาคารควบคมุ การใชแ้ ตไ่ ดม้ กี ารใชอ้ าคารเพอ่ื กจิ การในประเภทควบคมุ
การใช้ เมอ่ื วนั ท่ี 30 ธนั วาคม 2552 ผตู้ อ้ งหาท่ี 1 ยน่ื คำ�รอ้ งตอ่ ผเู้ สยี หายเพอ่ื แจง้ ยกเลกิ ปดิ กจิ การ ตามคำ�รอ้ ง
ขออนญุ าตการตา่ งๆ
พนกั งานสอบสวนมคี วามเหน็ ควรสง่ั ไมฟ่ อ้ งผตู้ อ้ งหาที่ 1 ตามขอ้ กลา่ วหา ควรสงั่ ฟอ้ งผตู้ อ้ งหาที่ 2
ตามขอ้ กลา่ วหา
พนกั งานอัยการเหน็ ว่า ไมม่ พี ยานหลักฐานทีจ่ ะฟังวา่ ผู้ตอ้ งหาที่ 1 มสี ว่ นรเู้ หน็ ในการกระทำ�ผดิ กับ
ผตู้ อ้ งหาท่ี 2 พยานหลกั ฐานไมพ่ อฟอ้ ง สง่ั ไมฟ่ อ้ งผตู้ อ้ งหาท่ี 1 ในความผดิ ฐาน ฝา่ ฝนื ค�ำ สง่ั เจา้ พนกั งานทอ้ งถน่ิ

อัยการนเิ ทศ 197

ใหร้ ะงบั การใชอ้ าคาร กรณที ไ่ี มเ่ ปน็ อาคารควบคมุ การใชแ้ ตไ่ ดม้ กี ารใชอ้ าคารเพอ่ื กจิ การในประเภทควบคมุ การ
ใชต้ ามพระราชบญั ญตั คิ วบคมุ อาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 44, 67 สง่ั ฟอ้ งผตู้ อ้ งหาท่ี 2 ตามขอ้ กลา่ วหา
ส�ำ นกั งานต�ำ รวจแหง่ ชาตแิ ยง้ ค�ำ สง่ั ไมฟ่ อ้ งผตู้ อ้ งหาท่ี 1 ในความผดิ ฐาน ฝา่ ฝนื ค�ำ สง่ั เจา้ พนกั งานทอ้ งถน่ิ
ใหร้ ะงบั การใชอ้ าคารกรณที ไ่ี มเ่ ปน็ อาคารควบคมุ การใชแ้ ตไ่ ดม้ กี ารใชอ้ าคารเพอ่ื กจิ การในประเภทควบคมุ การใช้
อัยการสูงสุดพิจารณา ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า ก่อนเกิดเหตุ (พ.ศ. 2541) นาง ศ. ผู้ต้องหาที่ 1 เป็น
เจ้าของอาคารเลขที่1179/18-22 แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นอาคารพักอาศัย ได้
ทำ�สัญญาให้นาย ว. ผู้ต้องหาที่ 2 เช่าอาคารตึกแถวดังกล่าว ต่อมาวันที่ 19 กรกฎาคม 2549 นาย ก.นาย
ช่างโยธา สำ�นักงานเขตบางรัก ผู้กล่าวหา ตรวจสอบพบว่า อาคารดังกล่าวซึ่งได้รับอนุญาตให้เป็นอาคารพัก
อาศัย แต่ผู้ต้องหาที่ 2 ได้ใช้อาคารดังกล่าวเป็นร้านนวดแผนโบราณโดยไม่ได้ขออนุญาต ผู้อำ�นวยการเขต
บางรักปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจึงได้มีคำ�สั่งระงับการใช้อาคารตามมาตรา 44 แห่ง
พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 (กรณีที่ไม่เป็นอาคารควบคุมการใช้แต่ได้มีการใช้อาคารเพื่อ
กิจการในประเภทควบคุมการใช้) แบบ ค. 18 เลขที่ กท 4303/2567 วันที่ 25 กรกฎาคม 2549 แจ้ง
ผู้ต้องหาที่ 1 ทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ และปิดคำ�สั่ง ณ อาคารสถานที่เกิดเหตุ และได้แจ้งความ
ดำ�เนินคดีกับผู้ต้องหาที่ 1 และที่ 2 ในข้อหาใช้หรือยินยอมให้บุคคลใดใช้อาคารซึ่งไม่เป็นอาคารประเภท
ควบคุมการใช้เพื่อกิจการในประเภทควบคุมการใช้ ซึ่งพนักงานอัยการ สำ�นักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา
กรุงเทพใต้ 2 สั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 2 แต่สั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 เนื่องจากเห็นว่าผู้ต้องหาที่ 1 มีอายุมากได้ให้
บุตรชายดูแลห้องพิพาทแทนโดยไม่ได้เกี่ยวข้องหรือรู้เห็นในการกระทำ�ดังกล่าว ต่อมาวันที่ 16 มีนาคม
2552 ผู้อำ�นวยการเขตบางรักได้มอบอำ�นาจให้ผู้กล่าวหาไปแจ้งความร้องทุกข์ให้ด�ำ เนินคดีกับผู้ต้องหาที่
1 และที่ 2 ตามข้อกล่าวหาคดีนี้อีก เห็นว่า ในสำ�นวนคดีแรกพนักงานอัยการมีคำ�สั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 1
เนื่องจากพยานหลักฐานได้ความว่า ผู้ต้องหาที่ 1 มีอายุมากแล้ว ได้มอบหมายให้บุตรชายดูแลตึกแถวที่เกิด
เหตุแทน โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นเรื่องดังกล่าวและส�ำ นวนคดีก็ไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่า หลังเกิด
เหตุคดีแรกผู้ต้องหาที่ 1 ได้มีส่วนรู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับการใช้อาคารที่เกิดเหตุอีก อีกทั้งการส่งค�ำ สั่งให้
ระงับการใช้อาคารดังกล่าวได้ส่งให้ผู้ต้องหาที่ 1 ที่อาคารเลขที่ 1179/18-22 แขวงสี่พระยา เขตบางรัก
กรุงเทพมหานคร โดยไม่ได้ส่งให้ผู้ต้องหาที่ 1 ซึ่งมีภูมิล�ำ เนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 378 ถนนเจริญกรุง แขวง
สัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร การส่งคำ�สั่งดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามพระราช
บัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 47 ทวิ การกระท�ำ ของผู้ต้องหาที่ 1 จึงไม่เป็นความผิดตามข้อ
กล่าวหา คดีมีพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง
ชข้ี าดไมฟ่ อ้ ง นาง ศ. ผตู้ อ้ งหาท่ี 1 ฐานฝา่ ฝนื ค�ำ สง่ั เจา้ พนกั งานทอ้ งถน่ิ ใหร้ ะงบั การใชอ้ าคาร กรณที ไ่ี ม่
เปน็ อาคารควบคมุ การใชแ้ ตไ่ ดม้ กี ารใชอ้ าคารเพอ่ื กจิ การในประเภทควบคมุ การใช้ ตามพระราชบญั ญตั คิ วบคมุ
อาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 44, 47ทว,ิ 67, 70 พระราชบญั ญตั คิ วบคมุ อาคาร (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2535 มาตรา
11, 13, 24, 25

198 คำ�ช้ีขาดความเหน็ แยง้ ของอยั การสูงสดุ

คำ�ชี้ขาดความเห็นแย้งความผิดฐานฝ่าฝืนคำ�สั่งห้ามใช้หรือเข้าไปในส่วนใดๆ
ของอาคารหรือบริเวณอาคารที่มีการก่อสร้างฝ่าฝืนบทบัญญัติ

แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ของเจ้าพนักงานท้องถิ่น
(ชี้ขาดความเห็นแย้งที่ 211/2554)

พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522


แมผ้ ตู้ อ้ งหาไดก้ อ่ สรา้ งอาคารทเ่ี กดิ เหตโุ ดยไมไ่ ดร้ บั ใบอนญุ าตจากเจา้ พนกั งานทอ้ งถน่ิ อนั เปน็ การ
กระทำ�ฝา่ ฝนื บทบัญญตั ิมาตรา 21 แหง่ พระราชบญั ญตั คิ วบคมุ อาคาร พ.ศ. 2522 แกไ้ ขเพิม่ เติมโดย
พระราชบญั ญตั คิ วบคมุ อาคาร (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2535 มาตรา 7 และเจา้ พนกั งานทอ้ งถน่ิ ไดม้ คี �ำ สง่ั หา้ ม
ผตู้ อ้ งหาใชห้ รอื เขา้ ไปในสว่ นใด ๆ ของอาคารหรอื บรเิ วณอาคารทเ่ี กดิ เหตเุ ปน็ หนงั สอื สง่ ทางไปรษณยี ล์ ง
ทะเบยี นตอบรบั ใหผ้ ตู้ อ้ งหา ณ ภมู ลิ �ำ เนาของผตู้ อ้ งหา และไดป้ ดิ ประกาศค�ำ สง่ั ดงั กลา่ วไวใ้ นทเ่ี ปดิ เผยและ
เห็นได้ง่าย ณ อาคารที่เกิดเหตุก็ตาม แต่เมื่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นมิได้จัดให้มีเครื่องหมายแสดงการห้าม
ผตู้ อ้ งหาใชห้ รอื เขา้ ไปในสว่ นใด ๆ ของอาคารทเ่ี กดิ เหตไุ วใ้ นทเ่ี ปดิ เผยและเหน็ ไดง้ า่ ย ณ อาคารหรอื บรเิ วณ
อาคารทเ่ี กดิ เหตุ เจา้ พนกั งานทอ้ งถน่ิ จงึ ดำ�เนนิ การไมค่ รบถว้ นตามทบ่ี ญั ญตั ไิ วใ้ นมาตรา 40 (2) แมผ้ ตู้ อ้ งหา
จะยงั คงใชห้ รอื เขา้ ไปในสว่ นใด ๆ ของอาคารหรอื บรเิ วณอาคารทเ่ี กดิ เหตุ ผตู้ อ้ งหากไ็ มม่ คี วามผดิ ฐานฝา่ ฝนื
คำ�สั่งห้ามใช้หรือเข้าไปในส่วนใด ๆ ของอาคารหรือบริเวณอาคารที่มีการก่อสร้างฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่ง
พระราชบญั ญตั คิ วบคมุ อาคาร พ.ศ. 2522 ของเจา้ พนกั งานทอ้ งถน่ิ

คดีได้ความว่า เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2546 เวลาประมาณ 9.00 นาฬิกา นาย ช. ผู้กล่าวหา
ตำ�แหน่งช่างโยธา 2 ส�ำ นักงานเขตบางเขน มีหน้าที่ตรวจดูแลอาคารในเขตพื้นที่แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน
กรงุ เทพฯ ไดอ้ อกตรวจดูแลอาคารในเขตพื้นทีร่ บั ผดิ ชอบ พบวา่ อาคารเลขที่ 672/74 หมูท่ ี่ 7 ถนนแจง้ วัฒนะ
แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพฯ ซึ่งมีนาย ส. ผู้ต้องหา เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองดูแลสถานที่
ดงั กลา่ วเปดิ เปน็ ภตั ตาคาร จำ�หนา่ ยอาหารและเครอ่ื งดม่ื ชอื่ ป. ปลกู สรา้ งโดยไมไ่ ดร้ บั อนญุ าตจำ�นวน 6 หลงั
และขณะตรวจพบว่าอาคารดังกล่าวก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วแต่การก่อสร้างดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตจาก
เจ้าพนักงานท้องถิ่น จึงแจ้งผู้บังคับบัญชาทราบ
ตอ่ มาส�ำ นกั งานเขตบางเขนไดม้ หี นงั สอื มอบอ�ำ นาจใหน้ าย ช. ผกู้ ลา่ วหา รอ้ งทกุ ขด์ �ำ เนนิ คดกี บั นาย ส.
ผู้ต้องหา ฐานก่อสร้างอาคารพาณิชย์ พักอาศัย โดยไม่ได้รับอนุญาต พนักงานสอบสวนทำ�การสอบสวนและ
ได้ขออนุมัติหมายจับ ต่อมาวันที่ 12 ตุลาคม 2549 นาง ก. ตำ�แหน่งนายช่างโยธา 6 ได้รับมอบอำ�นาจ
จากสำ�นักงานเขตบางเขนให้ร้องทุกข์ดำ�เนินคดีกับนาย ส. ผตู้ อ้ งหาในความผดิ ฐานฝา่ ฝนื ค�ำ สง่ั ของเจา้ พนักงาน
ท้องถิ่นให้ระงับการก่อสร้างอาคารเป็นรายวันตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2547 ถึงวันที่ 6 มิถุนายน 2549

อยั การนเิ ทศ 199

ฝ่าฝืนคำ�สั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นห้ามใช้หรือเข้าไปในส่วนใด ๆ ของอาคาร เป็นรายวันตั้งแต่วันที่ 23
มิถุนายน 2547 ถึงวันที่ 6 มิถุนายน 2549 รวม 865 วัน และฝ่าฝืนคำ�สั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่น ซึ่งให้รื้อ
อาคารที่มีการก่อสร้างโดยผิดกฎหมาย
พนกั งานสอบสวนท�ำ การสอบสวนแลว้ มคี วามเหน็ ควรสง่ั ฟอ้ งผตู้ อ้ งหาในความผดิ ฐานกอ่ สรา้ งอาคาร
เพอ่ื พาณชิ ย์ พกั อาศยั โดยไมไ่ ดร้ บั อนญุ าตจากเจา้ พนกั งานทอ้ งถน่ิ และฝา่ ฝนื ค�ำ สง่ั เจา้ พนกั งานทอ้ งถน่ิ ให้รื้อ
ถอนอาคารซงึ่ มกี ารกอ่ สรา้ งโดยผดิ กฎหมายและควรสงั่ ไมฟ่ อ้ งผตู้ อ้ งหาในความผดิ ฐานฝา่ ฝนื ค�ำ สงั่ เจา้ พนกั งาน
ท้องถิ่นให้ระงับการก่อสร้างอาคาร และฝ่าฝืนคำ�สั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นห้ามใช้หรือเข้าไปในส่วนใด ๆ
ของอาคารฯ
พนกั งานอยั การมคี �ำ สง่ั ทางคดี ดงั น้ี
สง่ั ยตุ กิ ารด�ำ เนนิ คดกี บั ผตู้ อ้ งหาฐานกอ่ สรา้ งอาคารเพอ่ื พาณชิ ยกรรมโดยไมไ่ ดร้ บั อนญุ าตและฐานฝา่ ฝนื
ค�ำ สง่ั ระงบั การกอ่ สรา้ งอาคารของเจา้ พนกั งานทอ้ งถน่ิ ตามพระราชบญั ญตั คิ วบคมุ อาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา
21, 40, 65, 67, 69, 70 เพราะคดขี าดอายคุ วาม
สง่ั ฟอ้ งผตู้ อ้ งหาฐานฝา่ ฝนื ค�ำ สง่ั รอ้ื ถอนอาคารของเจา้ พนกั งานทอ้ งถน่ิ ซง่ึ เปน็ การกระทำ�ผดิ เกย่ี วกบั
อาคารเพอ่ื พาณชิ ยกรรม และขอใหป้ รบั เปน็ รายวนั นบั ตง้ั แตว่ นั ท่ี 27 มถิ นุ ายน 2549 ถงึ 15 กนั ยายน 2552
ตามพระราชบญั ญตั คิ วบคมุ อาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 42, 66 ทว,ิ 70
สง่ั ไมฟ่ อ้ งผตู้ อ้ งหาฐานฝา่ ฝนื คำ�สง่ั หา้ มใชอ้ าคารของเจา้ พนกั งานทอ้ งถน่ิ ซง่ึ เปน็ การกระทำ�ผดิ เกย่ี วกบั
อาคารเพอ่ื พาณชิ ยกรรม ตามพระราชบญั ญตั คิ วบคมุ อาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 40 (2), 67, 70
ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำ�รวจแห่งชาติ ปฏิบัติราชการแทนผู้บัญชาการตำ�รวจแห่งชาติแย้งคำ�สั่งไม่ฟ้อง
อยั การสงู สดุ พจิ ารณาแลว้ เหน็ วา่ พระราชบญั ญตั คิ วบคมุ อาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 40 (2) แกไ้ ข
เพม่ิ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั คิ วบคมุ อาคาร (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2535 มาตรา 11 ซง่ึ บญั ญตั ใิ นกรณที ม่ี กี ารกอ่ สรา้ ง
ดดั แปลง รอ้ื ถอน หรอื เคลอ่ื นยา้ ยอาคารโดยฝา่ ฝนื บทบญั ญตั แิ หง่ พระราชบญั ญตั คิ วบคมุ อาคาร พ.ศ. 2522
ใหเ้ จา้ พนกั งานทอ้ งถน่ิ มอี ำ�นาจด�ำ เนนิ การมคี ำ�สง่ั หา้ มมใิ หบ้ คุ คลใดใชห้ รอื เขา้ ไปในสว่ นใด ๆ ของอาคารหรอื
บรเิ วณทม่ี กี ารกระท�ำ ดงั กลา่ ว และจดั ใหม้ เี ครอ่ื งหมายแสดงการหา้ มนน้ั ไวใ้ นทเ่ี ปดิ เผยและเหน็ ไดง้ า่ ย ณ อาคาร
หรอื บรเิ วณดงั กลา่ ว แลว้ เหน็ วา่ มาตรา 40 (2) ไดบ้ ญั ญตั ใิ หเ้ จา้ พนกั งานทอ้ งถน่ิ ดำ�เนนิ การทง้ั มคี �ำ สง่ั หา้ มมใิ ห้
บคุ คลใดใชห้ รอื เขา้ ไปในสว่ นใด ๆ ของอาคารหรอื บรเิ วณทม่ี กี ารกอ่ สรา้ ง ดดั แปลง รอ้ื ถอน หรอื เคลอ่ื นยา้ ย
อาคารโดยฝา่ ฝนื บทบญั ญตั พิ ระราชบญั ญตั คิ วบคมุ อาคาร พ.ศ. 2522 และจดั ใหม้ เี ครอ่ื งหมายแสดงการหา้ ม
นน้ั ไวใ้ นทเ่ี ปดิ เผยและเหน็ ไดง้ า่ ย ณ อาคารหรอื บรเิ วณดงั กลา่ ว และเมอ่ื ไดพ้ จิ ารณามาตรา 47 แหง่ พระราช
บญั ญตั คิ วบคมุ อาคาร พ.ศ. 2522 แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั คิ วบคมุ อาคาร (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2535
มาตรา 12 ทบ่ี ญั ญตั วิ า่ “การสง่ั หรอื การแจง้ ของเจา้ พนกั งานทอ้ งถน่ิ ตามพระราชบญั ญตั นิ ้ี นอกจากกรณตี าม
มาตรา 40 (2) และมาตรา 47 ทวิ ใหท้ �ำ เปน็ หนงั สอื สง่ ทางไปรษณยี ล์ งทะเบยี นตอบรบั ใหผ้ ขู้ อรบั ใบอนญุ าต
ผไู้ ดร้ บั ใบอนญุ าต ผแู้ จง้ ตามมาตรา 39 ทวิ เจา้ ของหรอื ผคู้ รอบครองอาคาร ผดู้ �ำ เนนิ การหรอื ผคู้ วบคมุ งาน แลว้
แตก่ รณี ณ ภมู ลิ �ำ เนาของผนู้ น้ั หรอื จะท�ำ เปน็ บนั ทกึ และใหบ้ คุ คลดงั กลา่ วลงลายมอื ชอ่ื รบั ทราบกไ็ ด”้ แลว้ การ

200 ค�ำ ชข้ี าดความเห็นแยง้ ของอัยการสงู สุด

สง่ั หรอื การแจง้ ของเจา้ พนกั งานทอ้ งถน่ิ ตามมาตรา 40 (2) เจา้ พนกั งานทอ้ งถน่ิ ไมอ่ าจด�ำ เนนิ การสง่ั หรอื การ
แจง้ ตามวธิ กี ารทบ่ี ญั ญตั ใิ นมาตรา 47 ได้ เพราะมาตรา 47 ไดบ้ ญั ญตั ใิ หย้ กเวน้ มใิ หใ้ ชก้ บั กรณกี ารสง่ั หรอื การ
แจง้ ของเจา้ พนกั งานทอ้ งถน่ิ ตาม มาตรา 40 (2) นอกจากนเ้ี มอ่ื ไดพ้ จิ ารณามาตรา 47 ทวิ แหง่ พระราชบญั ญตั ิ
ควบคมุ อาคาร พ.ศ. 2522 เพม่ิ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั คิ วบคมุ อาคาร (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2535 มาตรา 13 ท่ี
บัญญัติว่า “การแจ้งคำ�สั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่สั่งให้ระงับการกระทำ�ที่เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่ง
พระราชบญั ญตั นิ ห้ี รอื ใหร้ อ้ื ถอนอาคาร ใหท้ �ำ เปน็ หนงั สอื สง่ ทางไปรษณยี ล์ งทะเบยี นตอบรบั ใหผ้ ซู้ ง่ึ จะตอ้ งรบั ค�ำ สง่ั
ดงั กลา่ ว ณ ภมู ลิ �ำ เนาของผนู้ น้ั และใหป้ ดิ ประกาศค�ำ สง่ั ดงั กลา่ วไวใ้ นทเ่ี ปดิ เผยและเหน็ ไดง้ า่ ย ณ อาคารหรอื
บรเิ วณทม่ี กี ารกระท�ำ ดงั กลา่ วและใหถ้ อื วา่ ผซู้ ง่ึ จะตอ้ งรบั ค�ำ สง่ั ไดท้ ราบค�ำ สง่ั นน้ั แลว้ เมอ่ื พน้ ก�ำ หนดสามวนั นบั
แต่วันที่ได้มีการปิดประกาศดังกล่าว” แล้ว คำ�สั่งห้ามมิให้บุคคลใดใช้หรือเข้าไปในส่วนใด ๆ ของอาคาร
หรือบริเวณที่มีการก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคารโดยฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุม
อาคาร พ.ศ. 2522 ของเจา้ พนกั งานทอ้ งถน่ิ ตามมาตรา 40 (2) กห็ าใชค่ �ำ สง่ั ของเจา้ พนกั งานทอ้ งถน่ิ ทส่ี ง่ั ให้
ระงบั การกระท�ำ ทเ่ี ปน็ การฝา่ ฝนื บทบญั ญตั แิ หง่ พระราชบญั ญตั คิ วบคมุ อาคารหรอื ใหร้ อ้ื ถอนอาคารแตอ่ ยา่ งใด
ไม่ เจา้ พนกั งานทอ้ งถน่ิ จงึ ไมอ่ าจนำ�วธิ กี ารแจง้ คำ�สงั่ ตามทบ่ี ญั ญตั ไิ วใ้ นมาตรา 47 ทวิ มาใชก้ บั การแจง้ คำ�สง่ั
หา้ มมิใหบ้ ุคคลใดใช้หรือเขา้ ไปในส่วนใด ๆ ของอาคารหรือบริเวณอาคารตามท่ีบญั ญตั ิในมาตรา 40 (2)ได้
ดงั นน้ั การใชอ้ ำ�นาจด�ำ เนนิ การตามมาตรา 40 (2) เจา้ พนกั งานทอ้ งถน่ิ จงึ ตอ้ งดำ�เนนิ การทง้ั มคี �ำ สง่ั หา้ มมใิ ห้
บคุ คลใดใชห้ รอื เขา้ ไปในสว่ นใด ๆ ของอาคารหรอื บรเิ วณทม่ี กี ารกอ่ สรา้ ง ดดั แปลง รอ้ื ถอนหรอื เคลอ่ื นยา้ ยอาคารโดย
ฝา่ ฝนื บทบญั ญตั แิ หง่ พระราชบญั ญตั คิ วบคมุ อาคาร พ.ศ. 2522 ไวใ้ นทเ่ี ปดิ เผยและเหน็ ไดง้ า่ ย ณ อาคารหรอื
บรเิ วณทม่ี กี ารกอ่ สรา้ ง ดดั แปลง รอ้ื ถอน หรอื เคลอ่ื นยา้ ยอาคารโดยฝา่ ฝนื บทบญั ญตั แิ หง่ พระราชบญั ญตั คิ วบคมุ
อาคาร พ.ศ. 2522 และจดั ใหม้ เี ครอ่ื งหมายแสดงการหา้ มนน้ั ไวใ้ นทเ่ี ปดิ เผยและเหน็ ไดง้ า่ ย ณ อาคารหรอื
บรเิ วณทม่ี กี ารกอ่ สรา้ ง ดดั แปลง รอ้ื ถอน หรอื เคลอ่ื นยา้ ยอาคารโดยฝา่ ฝนื บทบญั ญตั แิ หง่ พระราชบญั ญตั คิ วบคมุ
อาคาร พ.ศ. 2522 ดงั ทบ่ี ญั ญตั ไิ วใ้ นมาตรา 40 (2)
ไดพ้ จิ ารณาพยานหลกั ฐานในคดนี แ้ี ลว้ คดรี บั ฟงั ไดว้ า่ ผตู้ อ้ งหาไดก้ อ่ สรา้ งอาคารทเ่ี กดิ เหตุ โดยไมไ่ ด้
รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น อันเป็นการกระทำ�ฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติ
ควบคมุ อาคาร พ.ศ. 2522 แกไ้ ขเพมิ่ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั คิ วบคมุ อาคาร (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2535 มาตรา
7 และเจ้าพนักงานท้องถ่ินได้มีคำ�ส่ังห้ามผู้ต้องหาใช้หรือเข้าไปในส่วนใด ๆ ของอาคารหรือบริเวณอาคารที่
เกดิ เหตเุ ปน็ หนงั สอื สง่ ทางไปรษณยี ล์ งทะเบยี นตอบรบั ใหผ้ ตู้ อ้ งหา ณ ภมู ลิ �ำ เนาของผตู้ อ้ งหา และไดป้ ดิ ประกาศ
คำ�สง่ั ดงั กล่าวไวใ้ นท่เี ปดิ เผยและเห็นได้งา่ ย ณ อาคารทเ่ี กดิ เหตุกต็ าม แตเ่ มอ่ื เจา้ พนกั งานท้องถิ่นมไิ ด้จัดใหม้ ี
เครื่องหมายแสดงการห้ามผู้ต้องหาใช้หรือเข้าไปในส่วนใด ๆ ของอาคารที่เกิดเหตุไว้ในท่ีเปิดเผยและเห็นได้
ง่าย ณ อาคารหรือบริเวณอาคารท่ีเกิดเหตุ เจ้าพนักงานท้องถิ่นจึงดำ�เนินการไม่ครบถ้วนตามท่ีบัญญัติไว้ใน
มาตรา 40 (2) แมผ้ ตู้ อ้ งหาจะยงั คงใชห้ รอื เขา้ ไปในสว่ นใด ๆ ของอาคารหรอื บรเิ วณอาคารทเ่ี กดิ เหตุ ผตู้ อ้ งหา
กไ็ มม่ คี วามผดิ ฐานฝา่ ฝนื ค�ำ สงั่ หา้ มใชห้ รอื เขา้ ไปในสว่ นใด ๆ ของอาคารหรอื บรเิ วณอาคารทมี่ กี ารกอ่ สรา้ งฝา่ ฝนื
บทบัญญัตแิ ห่งพระราชบัญญตั ิควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ของเจ้าพนกั งานท้องถนิ่

อัยการนิเทศ 201

จงึ ชข้ี าดไมฟ่ อ้ งนาย ส. ผตู้ อ้ งหา ฐานฝา่ ฝนื ค�ำ สงั่ หา้ มใชห้ รอื เขา้ ไปในสว่ นใด ๆ ของอาคารหรอื บรเิ วณ
อาคารทม่ี กี ารกอ่ สรา้ งฝา่ ฝนื บทบญั ญตั แิ หง่ พระราชบญั ญตั คิ วบคมุ อาคาร พ.ศ. 2522 ของเจา้ พนกั งานทอ้ งถน่ิ
ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 40 (2), 67, 70 พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร
(ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2535 มาตรา 11, 24, 25

202 ค�ำ ช้ขี าดความเหน็ แย้งของอยั การสงู สดุ

คำ�ชี้ขาดความเห็นแย้งความผิดฐานยักยอก
(ชี้ขาดความเห็นแย้งท่ี 86/2554)

ป.ว.ิ อ. สทิ ธนิ �ำ คดอี าญามาฟอ้ งระงบั (มาตรา 39 (2))

อยั การจงั หวดั มคี �ำ สง่ั ไมฟ่ อ้ งผตู้ อ้ งหาฐานยกั ยอกทรพั ยซ์ ง่ึ เปน็ ความผดิ อนั ยอมความได้ ผวู้ า่ ราชการ
จงั หวัดแย้งคำ�ส่งั ไมฟ่ อ้ ง สง่ ส�ำ นวนให้อัยการสูงสดุ ชข้ี าด
อยั การสงู สดุ มคี ำ�สง่ั ใหส้ อบสวนเพมิ่ เตมิ และสง่ สำ�นวนคนื เพอื่ ด�ำ เนนิ การ ตอ่ มาพนกั งานสอบสวน
แจง้ ว่าผรู้ บั มอบอำ�นาจของผ้เู สยี หายไดถ้ อนคำ�ร้องทุกข์และสง่ ใบตอ่ ค�ำ ใหก้ ารและบนั ทึกการถอนคำ�รอ้ ง
ทกุ ขค์ วามผดิ อนั ยอมความมารวมส�ำ นวน อ�ำ นาจในการพจิ ารณามคี �ำ สงั่ คดนี เ้ี ปน็ อ�ำ นาจของอยั การสงู สดุ
อยั การจังหวัดไมม่ ีอ�ำ นาจสง่ั ยตุ ิการด�ำ เนนิ คดี
ผู้รับมอบอำ�นาจจากผู้เสียหายถอนคำ�ร้องทุกข์ความผิดอันยอมความได้ เมื่อพ้นกำ�หนดที่
หนังสือมอบอำ�นาจมีผลบังคับใช้แล้ว ถือไม่ได้ว่าเป็นการถอนคำ�ร้องทุกข์ของผู้เสียหาย สิทธินำ�คดี
อาญามาฟ้องยังไม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39 (2)


คดนี ้ี เมอ่ื วนั ท่ี 31 กรกฎาคม 2549 นาย ค. ผรู้ บั มอบอ�ำ นาจจากบรษิ ทั อ. ผเู้ สยี หาย ไดร้ อ้ งทกุ ขใ์ ห้
ด�ำ เนนิ คดกี บั นาย ณ. ผตู้ อ้ งหา ฐานยกั ยอกโทรศพั ทเ์ คลอ่ื นทท่ี เ่ี ชา่ ซอ้ื ไปจากผเู้ สยี หายแลว้ น�ำ ไปขายใหบ้ คุ คลอน่ื
พนักงานสอบสวนมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาฐานยักยอก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
352 ผู้ต้องหาหลบหนี ได้ขอศาลออกหมายจับไว้
สำ�นักงานอัยการคดีศาลแขวงได้รับสำ�นวน เป็นคดี ส.2 และสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาฐานยักยอก ตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352
ผู้ว่าราชการจังหวัด แย้งคำ�สั่งไม่ฟ้อง และส่งสำ�นวนคดีมายังอัยการสูงสุดเพื่อชี้ขาด ซึ่งสำ�นักงาน
คดีอัยการสูงสุด ได้รับเป็นสำ�นวนคดีชี้ขาดความเห็นแย้ง
อัยการสูงสุดมีคำ�สั่งให้สอบสวนเพิ่มเติมเพื่อดำ�เนินการ
ต่อมา พนักงานสอบสวนมีหนังสือ แจ้งว่านาย ค. ผู้รับมอบอำ�นาจของผู้เสียหายได้ถอนคำ�ร้องทุกข์
ตามใบต่อคำ�ให้การและบันทึกถอนการร้องทุกข์ความผิดอันยอมความได้ของนาย ค.
อัยการจังหวัดคดีศาลแขวง มีคำ�สั่งยุติการดำ�เนินคดี โดยเห็นว่า คดียักยอกเป็นคดีความผิดต่อส่วน
ตัว ผู้เสียหายขอถอนค�ำ ร้องทุกข์ สิทธินำ�คดีอาญามาฟ้องเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา มาตรา 39 (2) รองอธิบดีอัยการเขตได้รับทราบคำ�สั่งยุติการดำ�เนินคดี และได้เสนอผู้ว่าราชการ
จังหวัดทราบกรณีผู้เสียหายขอถอนคำ�ร้องทุกข์ หลังจากนั้น อัยการจังหวัดคดีศาลแขวงมีหนังสือ แจ้งคำ�สั่ง
ยุติการดำ�เนินคดีไปยังพนักงานสอบสวนเพื่อแจ้งแก่ผู้ร้องทุกข์และผู้ต้องหา

อยั การนเิ ทศ 203

อัยการสูงสุดได้พิจารณาสำ�นวน ส.2 ของสำ�นักงานอัยการคดีศาลแขวงแล้ว เห็นว่า สำ�นวนคดี
ดังกล่าว อัยการจังหวัดคดีศาลแขวงได้มีความเห็นควรสั่งไม่ฟ้องและได้ออกคำ�สั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา อันเป็นการ
ปฏิบัติตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 143 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งเมื่อผู้ว่าราชการ
จังหวัดได้แย้งคำ�สั่งไม่ฟ้องและส่งสำ�นวนให้อัยการสูงสุดเพื่อชี้ขาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
อาญา มาตรา 145 อยั การจงั หวดั คดศี าลแขวงจงึ ไมม่ อี �ำ นาจทจี่ ะออกค�ำ สง่ั ใด ๆ ในส�ำ นวนดงั กลา่ วไดอ้ กี ถงึ
แม้ว่าในช้ันพิจารณาช้ีขาดอัยการสูงสุดจะได้ส่งส�ำ นวนคืนเพ่ือให้ทำ�การสอบสวนเพิ่มเติม อัยการจังหวัดคดี
ศาลแขวงกม็ หี นา้ ทเ่ี พยี งดำ�เนนิ การใหม้ กี ารสอบสวนเพม่ิ เตมิ แลว้ สง่ ผลการสอบสวนเพมิ่ เตมิ พรอ้ มสำ�นวนให้
ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั เพอื่ นำ�สง่ อยั การสงู สดุ เพอื่ ชขี้ าด แมว้ า่ ในระหวา่ งการสอบสวนเพม่ิ เตมิ พนกั งานสอบสวน
จะมหี นงั สอื แจง้ วา่ ผรู้ บั มอบอำ�นาจจากผเู้ สยี หายไดถ้ อนคำ�รอ้ งทกุ ขแ์ ละไดส้ ง่ คำ�ใหก้ ารกบั บนั ทกึ ถอนการรอ้ ง
ทกุ ขม์ ายงั อยั การจงั หวดั คดศี าลแขวง อยั การจงั หวดั คดศี าลแขวงกต็ อ้ งสง่ คำ�ใหก้ ารกบั บนั ทกึ ถอนการรอ้ งทกุ ข์
ดงั กลา่ วพรอ้ มส�ำ นวนไปยงั ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั เพอ่ื น�ำ สง่ อยั การสงู สดุ พจิ ารณา ถงึ แมอ้ ยั การจงั หวดั คดศี าลแขวง
จะเหน็ วา่ ผเู้ สยี หายได้ถอนคำ�รอ้ งทุกขใ์ นคดีความผิดต่อสว่ นตวั อัยการจังหวดั คดศี าลแขวงกไ็ มม่ ีอ�ำ นาจทจี่ ะ
สั่งยุติการดำ�เนินคดีในสำ�นวนดังกล่าว ดังนั้น ค�ำ สั่งยุติการดำ�เนินคดีกับผู้ต้องหาของอัยการจังหวัดคดีศาล
แขวงจึงไมช่ อบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 143 และไมช่ อบด้วยระเบียบส�ำ นักงานอยั การ
สูงสุดวา่ ด้วยการดำ�เนนิ คดอี าญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2547 ขอ้ 54 แม้วา่ รองอธิบดอี ัยการเขต จะได้
รับทราบคำ�สั่งยุติการดำ�เนินคดีและอัยการจังหวัดคดีศาลแขวงได้มีหนังสือแจ้งคำ�ส่ังยุติการดำ�เนินคดีไปยัง
พนักงานสอบสวนเพ่ือให้แจ้งผู้ร้องทุกข์และผู้ต้องหาทราบ ก็ไม่มีผลให้เป็นการยุติการดำ�เนินคดีกับผู้ต้องหา
ตามระเบยี บทอี่ ยั การสงู สดุ ไดว้ างไวใ้ นระเบยี บส�ำ นกั งานอยั การสงู สดุ วา่ ดว้ ยการด�ำ เนนิ คดอี าญาของพนกั งาน
อัยการ พ.ศ. 2547 ข้อ 54
ได้พิจารณาหนังสือมอบอำ�นาจ บริษัท อ. ผู้เสียหาย ได้มอบอำ�นาจให้นาย ค. ดำ�เนินคดีกับ
ผู้ต้องหาในความผิดฐานยักยอก โดยในข้อ 1 ระบุให้มีอำ�นาจ “ร้องทุกข์ แจ้งความดำ�เนินคดีอาญา ถอน
คำ�ร้องทุกข์” แต่ในวรรคท้ายของหนังสือมอบอำ�นาจดังกล่าวก็ได้ระบุว่า “ทั้งนี้ หนังสือมอบอำ�นาจฉบับ
นี้ มอี ายถุ งึ วนั ท่ี 5 กนั ยายน 2549”
คดนี ้ี นาย ค. ผรู้ บั มอบอ�ำ นาจจากผเู้ สยี หายไดร้ อ้ งทกุ ขใ์ หด้ �ำ เนนิ คดกี บั ผตู้ อ้ งหาฐานยกั ยอกในวนั ท่ี 31
กรกฎาคม 2549 โดยใชห้ นงั สอื มอบอ�ำ นาจดงั กลา่ วประกอบการรอ้ งทกุ ข์ ซง่ึ เปน็ การรอ้ งทกุ ขภ์ ายในวนั ท่ี 5
กนั ยายน 2549 ทห่ี นงั สอื มอบอ�ำ นาจดงั กลา่ วยงั มผี ลบงั คบั ใชอ้ ยู่ และเปน็ การรอ้ งทกุ ขใ์ หด้ �ำ เนนิ คดกี บั ผตู้ อ้ งหา
ภายในก�ำ หนดสามเดอื นนบั แตว่ นั ท่ี 28 พฤษภาคม 2549 ซง่ึ เปน็ วนั ทร่ี เู้ รอ่ื งความผดิ และรตู้ วั ผกู้ ระท�ำ ความผดิ
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 จงึ เปน็ การรอ้ งทกุ ขโ์ ดยชอบ
แตต่ ามหนงั สอื สถานตี �ำ รวจภธู รอ�ำ เภอ ลงวนั ท่ี 26 เมษายน 2550 ทพ่ี นกั งานสอบสวนมถี งึ อยั การ
จงั หวดั คดศี าลแขวงเพอ่ื แจง้ ใหท้ ราบวา่ ในวนั ท่ี 25 เมษายน 2550 นาย ค. ไดถ้ อนค�ำ รอ้ งทกุ ขไ์ มป่ ระสงคใ์ ห้
พนกั งานสอบสวนด�ำ เนนิ คดกี บั ผตู้ อ้ งหาเนอ่ื งจากไดร้ บั การชดใชค้ วามเสยี หายเปน็ ทพ่ี อใจแลว้ และพนกั งาน
สอบสวนไดใ้ หน้ าย ค. ถอนค�ำ รอ้ งทกุ ขไ์ ปตง้ั แตว่ นั ท่ี 25 เมษายน 2550 โดยมใี บตอ่ ค�ำ ใหก้ ารของนาย ค. ท่ี

204 ค�ำ ชขี้ าดความเหน็ แย้งของอัยการสูงสดุ

ใหก้ ารเพม่ิ เตมิ ตอ่ พนกั งานสอบสวนในวนั ท่ี 25 เมษายน 2550 วา่ ผตู้ อ้ งหาไดน้ �ำ เงนิ ไปชดใชใ้ หก้ บั บรษิ ทั อ.
เปน็ ทพ่ี อใจแลว้ นาย ค. จงึ มาถอนค�ำ รอ้ งทกุ ขโ์ ดยไมป่ ระสงคใ์ หพ้ นกั งานสอบสวนด�ำ เนนิ คดกี บั ผตู้ อ้ งหาอกี ตอ่
ไป จงึ ขอถอนค�ำ รอ้ งทกุ ข์ นน้ั เปน็ การขอถอนค�ำ รอ้ งทกุ ขเ์ มอ่ื พน้ ก�ำ หนดวนั ท่ี 5 กนั ยายน 2549 ทห่ี นงั สอื มอบ
อ�ำ นาจมผี ลบงั คบั ใชไ้ ปแลว้ ไมป่ รากฏวา่ บรษิ ทั อ. ผเู้ สยี หาย ไดม้ หี นงั สอื มอบอำ�นาจฉบบั ใหมม่ อบใหน้ าย ค.
ไปถอนค�ำ รอ้ งทกุ ขด์ งั ทน่ี าย ค. ใหก้ ารแตอ่ ยา่ งใด
ดงั นน้ั การทน่ี าย ค. ถอนค�ำ รอ้ งทกุ ขต์ ามค�ำ ใหก้ ารในวนั ท่ี 25 เมษายน 2550 และตามบนั ทกึ ถอน
การรอ้ งทกุ ขค์ วามผดิ อนั ยอมความไดใ้ นวนั ท่ี 25 เมษายน 2550 จงึ ถอื ไมไ่ ดว้ า่ เปน็ การถอนคำ�รอ้ งทกุ ขข์ อง
บรษิ ทั อ. ผู้เสียหาย สิทธินำ�คดีอาญามาฟ้องผู้ต้องหาในความผิดฐานยักยอกจึงยังไม่ระงับไปตามประมวล
กฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา 39 (2) ดังท่ีอัยการจังหวดั คดีศาลแขวงไดม้ ีค�ำ สงั่ ยตุ กิ ารดำ�เนนิ คดี
จึงเปน็ กรณีทอี่ ยั การจังหวดั คดีศาลแขวงออกค�ำ ส่งั ยตุ ิการด�ำ เนนิ คดไี มถ่ กู ตอ้ ง
อัยการสงู สุดมคี �ำ ส่ังให้เพกิ ถอนคำ�สั่งยุติดำ�เนินคดกี บั ผู้ตอ้ งหาฐานยักยอกของอยั การจงั หวัดคดศี าล
แขวง และสั่งสอบสวนเพ่มิ เติมในประเดน็ ดังน้ี
1. สอบสวนกรรมการผู้มีอำ�นาจของบริษัท อ. ให้ได้ความว่า บริษัทผู้เสียหายได้รับเงินชดใช้จาก
ผตู้ อ้ งหาครบถว้ นตามราคาทรพั ยท์ ถี่ กู ยกั ยอกไปหรอื ไม่ หากไมค่ รบ ไดร้ บั ชดใชเ้ ปน็ จำ�นวนเทา่ ใด และบรษิ ทั
ผ้เู สยี หายยังมคี วามประสงค์จะด�ำ เนนิ คดีกับผู้ตอ้ งหาอยหู่ รอื ไม่ หากไม่ประสงคจ์ ะดำ�เนินคดกี บั ผตู้ ้องหาและ
ประสงคจ์ ะถอนคำ�รอ้ งทกุ ขก์ ใ็ หก้ รรมการผมู้ อี ำ�นาจของบรษิ ทั ผเู้ สยี หายตามจำ�นวนทรี่ ะบไุ วใ้ นหนงั สอื รบั รอง
การจดทะเบียน ไปทำ�การถอนค�ำ รอ้ งทุกขก์ ับพนักงานสอบสวน หรอื มหี นงั สอื มอบอ�ำ นาจใหบ้ ุคคลไปท�ำ การ
ถอนค�ำ รอ้ งทกุ ขก์ บั พนักงานสอบสวน
หากบรษิ ทั ผเู้ สยี หายไดถ้ อนคำ�รอ้ งทกุ ขก์ บั พนกั งานสอบสวนโดยถกู ตอ้ งตามกฎหมายแลว้ กใ็ หพ้ นกั งาน
สอบสวนส่งเอกสารหลักฐานเก่ียวกับการถอนคำ�ร้องทุกข์และบันทึกคำ�ให้การของบริษัทผู้เสียหายหรือผู้รับ
มอบอ�ำ นาจจากบรษิ ัทผูเ้ สยี หายทีย่ นื ยนั การถอนคำ�ร้องทุกข์ ไปใหอ้ ยั การสูงสุดประกอบการพิจารณา
2.ถา้ บริษทั ผ้เู สยี หายยังมีความประสงค์จะดำ�เนนิ คดีกับผ้ตู อ้ งหาและมไิ ดม้ กี ารถอนคำ�ร้องทุกข์ก็ให้
พนกั งานสอบสวนท�ำ การสอบสวนเพม่ิ เตมิ แลว้ ใหส้ ง่ ผลการสอบสวนเพม่ิ เตมิ ไปยงั อยั การสงู สดุ เพอ่ื ชข้ี าดตอ่ ไป

อัยการนเิ ทศ 205

206 ค�ำ ชี้ขาดความเห็นแยง้ ของอัยการสูงสดุ

ส�ำ นกั งานอยั การสูงสดุ ตอบข้อหารือ

สำ�นักอัยการสูงสุด

208 ค�ำ ชี้ขาดความเห็นแยง้ ของอัยการสูงสดุ

คำ�วินิจฉัยที่ ๓/๒๕๕๕
เรื่อง การนับอายุความในการดำ�เนินคดี
กฎหมาย ระเบียบ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พระราชบญั ญัติบรษิ ัท
มหาชนจำ�กัด พ.ศ. ๒๕๓๕ และพระราชบัญญัติก�ำ หนดความ
ผดิ เก่ยี วกับหา้ งห้นุ ส่วนจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจ�ำ กดั
บริษทั จ�ำ กัด สมาคมและมูลนธิ ิ พ.ศ. ๒๔๙๙
หน่วยงานที่หารือ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า


การจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับบริษัทต้องไปจดทะเบียนภายในกำ�หนดสิบส่ีวันนับแต่วัน
ที่ได้มีการลงมติพิเศษ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๔๖ หรือการจดทะเบียน
เปลยี่ นแปลงกรรมการบรษิ ทั ตอ้ งไปจดทะเบยี นภายในก�ำ หนดสบิ สว่ี นั นบั แตม่ กี ารเปลย่ี นแปลงตามประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๑๑๕๗ หากไมด่ ำ�เนนิ การภายในระยะเวลาทก่ี ฎหมายกำ�หนดยอ่ มเปน็
ความผดิ ตามมาตรา ๑๓ แหง่ พระราชบญั ญตั กิ �ำ หนดความผดิ เกยี่ วกบั หา้ งหนุ้ สว่ นจดทะเบยี น หา้ งหนุ้ สว่ น
จ�ำ กดั บรษิ ทั จ�ำ กดั สมาคมและมลู นธิ ิ พ.ศ. ๒๔๙๙ หรอื กรณกี ารจดทะเบยี นแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ หนงั สอื บรคิ ณหส์ นธิ
หรือข้อบังคับของบริษัทมหาชนจ�ำ กัด ให้บริษัทขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่
ที่ประชุมลงมติ ตามมาตรา ๓๑ วรรคสอง หากไม่ดำ�เนินการภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำ�หนด
ยอ่ มเปน็ ความผดิ ตามมาตรา ๑๙๑ แหง่ พระราชบญั ญตั บิ รษิ ทั มหาชน จ�ำ กดั พ.ศ. ๒๕๓๕ การนบั อายคุ วาม
ในการดำ�เนนิ คดเี รมิ่ นบั ตง้ั แตว่ นั ถดั จากวนั ทคี่ รบกำ�หนดตามทกี่ ฎหมายบญั ญตั ใิ หต้ อ้ งแจง้ ขอจดทะเบยี น
แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ แตไ่ มไ่ ดม้ ีการดำ�เนนิ การแจง้ จดทะเบียนภายในระยะเวลาดงั กล่าว
บรษิ ทั จ�ำ กดั ตอ้ งมสี ำ�นกั งานบอกทะเบยี นไวแ้ หง่ หนงึ่ ซงึ่ ธรุ การตดิ ตอ่ และคำ�บอกกลา่ วทงั้ ปวงจะ
สง่ ถงึ บรษิ ทั ได้ ณ ทน่ี นั้ ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๑๑๔๘ หากไมม่ สี ถานทต่ี ง้ั ตามท่ี
จดทะเบยี นไว้ ยอ่ มเปน็ ความผดิ ตามมาตรา ๑๔ แหง่ พระราชบญั ญตั กิ �ำ หนดความผดิ เกยี่ วกบั หา้ งหนุ้ สว่ น
จดทะเบยี น หา้ งหนุ้ สว่ นจ�ำ กดั บรษิ ทั จ�ำ กดั สมาคมและมลู นธิ ิ พ.ศ. ๒๔๙๙ การนบั อายคุ วามในการด�ำ เนนิ
คดอี าญาจะตอ้ งเรมิ่ นบั ตง้ั แตว่ นั ถดั จากวนั สดุ ทา้ ยทบ่ี รษิ ทั จำ�กดั มหี นา้ ทต่ี อ้ งแจง้ การยา้ ยสถานทตี่ ง้ั ส�ำ นกั งาน
แกน่ ายทะเบยี นบรษิ ทั ใหถ้ กู ตอ้ งตามกฎหมายแตม่ ไิ ดด้ ำ�เนนิ การเชน่ นนั้ มใิ ชน่ บั จากวนั ทพี่ บการกระทำ�ความ
ผดิ เป็นการเริม่ ต้นนบั อายุความตามกฎหมาย
ขอ้ เทจ็ จริงและปัญหา
กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเป็นหน่วยงานที่ท�ำ หน้าที่กำ�กับดูแลกฎหมายหลายฉบับ ได้แก่ ประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ พระราชบญั ญตั กิ ำ�หนดความผดิ เกยี่ วกบั หา้ งหนุ้ สว่ นจดทะเบยี นหา้ งหนุ้ สว่ นจำ�กดั
บริษัทจ�ำ กัด สมาคมและมูลนิธิ พ.ศ. ๒๔๙๙ พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจ�ำ กัด พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นต้น ซึ่ง

อยั การนเิ ทศ 209

กฎหมายดงั กลา่ วมบี ทบญั ญตั เิ กยี่ วกบั การก�ำ หนดใหก้ ารจดทะเบยี นแกไ้ ขเพมิ่ เตมิ รายการทางทะเบยี นนติ บิ คุ คล
จะต้องด�ำ เนินการภายในระยะเวลาท่ีก�ำ หนด หากฝ่าฝืนยอ่ มมีความผิดและเมื่อตรวจสอบพบว่านิติบุคคลใด
กระทำ�ความผิดเกี่ยวกับการจดทะเบียน กฎหมายก็ได้ให้อ�ำ นาจอธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายมีอ�ำ นาจ
เปรียบเทียบปรับได้ และเม่ือผู้กระทำ�ความผิดได้ชำ�ระค่าปรับตามท่ีได้เปรียบเทียบแล้วให้คดีเป็นอันเลิกกัน
ตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญาจึง ขอหารอื ว่า
๑.กรณตี รวจพบวา่ มกี ารกระท�ำ ความผดิ ตามกฎหมายเกยี่ วกบั การไมป่ ฏบิ ตั ภิ ายในระยะเวลาทก่ี �ำ หนด
และจะด�ำ เนนิ การเปรยี บเทยี บปรบั เชน่ กรณกี ารจดทะเบยี นแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ ขอ้ บงั คบั บรษิ ทั ฯ ตอ้ งไปจดทะเบยี น
ภายในกำ�หนดสบิ สวี่ นั นบั แตว่ นั ทไ่ี ดม้ กี ารลงมตพิ เิ ศษ ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๑๑๔๖
หรือการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการบริษัทฯ ต้องไปจดทะเบียนภายในกำ�หนดสิบส่ีวันนับแต่มีการ
เปลี่ยนแปลง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๕๗ หากไม่ดำ�เนินการภายในระยะเวลาท่ี
กฎหมายกำ�หนดย่อมเปน็ ความผิดตามมาตรา ๑๓ แหง่ พระราชบญั ญัติกำ�หนดความผิดเก่ยี วกับห้างหนุ้ ส่วน
จดทะเบยี น หา้ งหุ้นส่วนจ�ำ กดั บริษทั จ�ำ กัด สมาคมและมูลนิธิ พ.ศ. ๒๔๙๙ หรือกรณกี ารจดทะเบียนแกไ้ ข
เพม่ิ เตมิ หนงั สอื บรคิ ณหส์ นธหิ รอื ขอ้ บงั คบั ของบรษิ ทั มหาชนจำ�กดั ใหบ้ รษิ ทั ฯขอจดทะเบยี นแกไ้ ขเพมิ่ เตมิ ภายใน
สิบสี่วันนับแต่วันที่ที่ประชุมลงมติตามมาตรา ๓๑ วรรคสอง หากไม่ดำ�เนินการภายในระยะเวลาท่ีกฎหมาย
ก�ำ หนดยอ่ มเปน็ ความผดิ ตามมาตรา ๑๙๑ แหง่ พระราชบญั ญตั บิ รษิ ทั มหาชนจำ�กดั พ.ศ. ๒๕๓๕ นนั้ การนบั
อายคุ วามในการด�ำ เนนิ คดจี ะเรม่ิ นบั ในวนั ใดเปน็ วนั เรม่ิ ตน้ กระท�ำ ความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา ระหวา่ ง
วันท่คี รบก�ำ หนดต้องจดทะเบยี นหรอื วันท่ยี ่นื ค�ำ ขอจดทะเบียน
๒.กรณีตรวจพบว่ามีการกระท�ำ ความผิดตามกฎหมายเก่ียวกับบริษัทจ�ำ กัดไม่มีสถานท่ีตั้งส�ำ นักงาน
ตามทจ่ี ดทะเบยี นไว้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา ๑๑๔๘ ซงึ่ กำ�หนดให้บรษิ ัทจำ�กดั ต้องมี
สำ�นักงานบอกทะเบียนไว้แห่งหนึ่ง ซ่ึงธุรการติดต่อและคำ�บอกกล่าวทั้งปวงจะส่งถึงบริษัทได้ ณ ท่ีนั้น หาก
ไมม่ สี ถานทต่ี งั้ ตามทจี่ ดทะเบยี นไว้ ยอ่ มเปน็ ความผดิ ตามมาตรา ๑๔ แหง่ พระราชบญั ญตั กิ ำ�หนดความผดิ เกย่ี ว
กับหา้ งห้นุ ส่วนจดทะเบียน หา้ งหุ้นสว่ นจำ�กดั บรษิ ัทจ�ำ กดั สมาคมและมลู นิธิ พ.ศ. ๒๔๙๙ การนับอายคุ วาม
ในการดำ�เนินคดีจะเริ่มนับในวันใดเป็นวันเร่ิมต้นกระท�ำ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ระหว่างวันท่ี
ตรวจพบการกระทำ�ความผิดหรอื วนั ทีบ่ รษิ ัทจ�ำ กดั ไดย้ า้ ยสถานท่ีต้ังส�ำ นกั งาน
ค�ำ วนิ จิ ฉยั
๑.กรณบี รษิ ทั จ�ำ กดั ไมด่ �ำ เนนิ การจดทะเบยี นแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ ภายในระยะเวลาทก่ี ฎหมายกำ�หนดตาม
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๑๑๔๖ และมาตรา ๑๑๕๗ และพระราชบญั ญตั บิ รษิ ทั มหาชนจำ�กดั
พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๓๑ นน้ั เปน็ การกระท�ำ ความผดิ ในทางอาญาเนอ่ื งจากการไมก่ ระท�ำ ตามทก่ี ฎหมายบญั ญตั ิ
ไวภ้ ายในระยะเวลาทก่ี �ำ หนด อายคุ วามเรม่ิ นบั ตง้ั แตว่ นั ถดั จากวนั ทค่ี รบก�ำ หนดตามทก่ี ฎหมายบญั ญตั ใิ หต้ อ้ ง
แจง้ ขอจดทะเบยี นแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ แตไ่ มไ่ ดม้ กี ารด�ำ เนนิ การแจง้ จดทะเบยี นภายในระยะเวลาดงั กลา่ ว

210 ตอบขอ้ หารอื สำ�นกั งานอัยการสงู สดุ

๒.กรณบี รษิ ทั จ�ำ กดั ไมแ่ จง้ การยา้ ยสถานทต่ี ง้ั ส�ำ นกั งานตอ่ นายทะเบยี นตามประมวลกฎหมายแพง่ และ
พาณชิ ย์ มาตรา ๑๑๔๘ การนบั อายคุ วามในการด�ำ เนนิ คดอี าญาจะตอ้ งเรม่ิ นบั ตง้ั แตว่ นั ถดั จากวนั สดุ ทา้ ยทบ่ี รษิ ทั
จ�ำ กดั มหี นา้ ทต่ี อ้ งแจง้ การยา้ ยสถานทต่ี ง้ั ส�ำ นกั งานแกน่ ายทะเบยี นบรษิ ทั ใหถ้ กู ตอ้ งตามกฎหมายแตม่ ไิ ดด้ �ำ เนนิ
การเชน่ นน้ั มใิ ชน่ บั จากวนั ทพ่ี บการกระท�ำ ความผดิ เปน็ การเรม่ิ ตน้ นบั อายคุ วามตามกฎหมาย

อยั การนิเทศ 211

คำ�วินิจฉัยที่ ๑๘๑/๒๕๕๔
เรื่อง ถอนคืนรายได้แผ่นดิน
กฎหมาย ระเบียบ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๑
ระเบยี บส�ำ นกั นายกรฐั มนตรวี า่ ดว้ ยการพสั ดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ขอ้ ๑๓๖
ข้อ ๑๓๙ (๑)
หน่วยงานที่หารือ กรมบัญชีกลาง

กรมชลประทานได้ทำ�สัญญาซื้อขายเครื่องปรับอากาศ กับห้างหุ้นส่วนจำ�กัด ดับบลิว.เอ.
ซบั พลาย (หา้ งฯ) ก�ำ หนดสง่ มอบสนิ คา้ วนั ท่ี ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ตอ่ มาหา้ งฯ ไดม้ หี นงั สอื ขอแกไ้ ขสญั ญา
ซึ่งกรมชลประทานพิจารณาแล้วเห็นว่า เครื่องปรับอากาศที่ห้างฯ จะส่งมอบให้ทดแทนนั้น มีคุณสมบัติ
เท่าเทียมยี่ห้อเดิมสามารถใช้ทดแทนกันได้ จึงได้แก้ไขสัญญาเพิ่มเติมเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๓
(ภายหลังจากครบกำ�หนดส่งมอบสินค้าตามสัญญา) พร้อมปรับลดราคาลง โดยมิได้กำ�หนดวันส่งมอบ
สินค้าใหม่ให้ชัดเจน ต่อมาห้างฯ ได้ส่งมอบสิ่งของครบถ้วนเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ เกินกำ�หนด
เวลาส่งมอบตามสัญญาเดิมเป็นเวลา ๗๐ วัน กรมชลประทานจึงหักค่าปรับออกจากเงินค่าสิ่งของตาม
สัญญา จากนั้นห้างฯ ได้มีหนังสือขอคืนเงินค่าปรับ กรมชลประทานได้อนุมัติงดค่าปรับ โดยให้ความ
เห็นว่าสัญญาที่แก้ไขใหม่มิได้กำ�หนดเวลาส่งมอบให้ชัดเจน ย่อมถือว่ามิได้กำ�หนดวันส่งมอบไว้ด้วย
การที่ผู้ขายได้ส่งมอบของให้เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ จึงยังถือไม่ได้ว่าผู้ขายผิดนัดชำ�ระหนี้ ใน
การส่งมอบของจึงไม่อาจปรับผู้ขายได้ โดยขออนุมัติถอนคืนเงินรายได้แผ่นดิน จำ�นวน ๑๒,๔๓๓.๔๐
บาท เพื่อจ่ายคืนให้ห้างฯ กรณีการแก้ไขเพิ่มเติมสัญญา โดย กรมชลประทานและผู้ขายไม่ได้ตกลง
กำ�หนดระยะเวลาส่งมอบใหม่ จึงเป็นผลจากที่มิได้ปฏิบัติตามระเบียบส�ำ นักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการ
พัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อ ๑๓๖ วรรคสอง ที่จะต้องตกลงระยะเวลาส่งมอบสิ่งของไปพร้อมกับการแก้ไข
สัญญา ดังนั้น การงดค่าปรับก็เพราะความผิดหรือความบกพร่องของกรมชลประทาน จึงเป็นการปฏิบัติ
ที่เป็นไปตามระเบียบสำ�นักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อ ๑๓๙ (๑) แต่อย่างไรก็ตาม
ในเรื่องนี้เมื่อผู้ขายส่งมอบสิ่งของล่าช้าไป ๗๐ วัน นั้น กรมชลประทานรับสิ่งของไว้โดยมิได้ทำ�บันทึก
แจ้งสงวนสิทธิในการเรียกค่าปรับในเวลาที่รับมอบสิ่งของ หากแต่กรมชลประทานพึ่งมาแจ้งสงวนสิทธิ
การปรับ เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ กรมชลประทานจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าปรับตามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๑ วรรคท้ายอีกด้วย
ขอ้ เทจ็ จรงิ และปญั หา
กรมชลประทานไดท้ �ำ สญั ญาซอ้ื ขายเครอ่ื งปรบั อากาศ กบั หา้ งหนุ้ สว่ นจ�ำ กดั ดบั บลวิ .เอ.ซบั พลาย (หา้ งฯ)
รวม ๒ รายการ เปน็ เงนิ ทง้ั สน้ิ ๙๒,๘๙๗.๔๐ กำ�หนดสง่ มอบสนิ คา้ วนั ท่ี ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ตอ่ มาหา้ งฯ ได้

212 ตอบขอ้ หารอื สำ�นกั งานอัยการสูงสุด

มหี นงั สอื ขอแกไ้ ขสญั ญา โดยแจง้ วา่ ไมส่ ามารถสง่ มอบเครอ่ื งปรบั อากาศตามสญั ญาได้ เนอ่ื งจากสนิ คา้ หมด
สตอ๊ ก และ ขอเปลย่ี นแปลงรนุ่ และยห่ี อ้ โดยไมค่ ดิ คา่ ใชจ้ า่ ยเพม่ิ ซง่ึ กรมชลประทานพจิ ารณาแลว้ เหน็ วา่ เครอ่ื ง
ปรบั อากาศทห่ี า้ งฯ จะสง่ มอบใหท้ ดแทนนน้ั มคี ณุ สมบตั เิ ทา่ เทยี มยห่ี อ้ เดมิ สามารถใชท้ ดแทนกนั ได้ จงึ ไดแ้ กไ้ ข
สญั ญาเพม่ิ เตมิ เมอ่ื วนั ท่ี ๒๐ กนั ยายน ๒๕๕๓ (ภายหลงั จากครบก�ำ หนดสง่ มอบสนิ คา้ ตามสญั ญา) พรอ้ มปรบั
ลดราคาลงเหลอื ๘๘,๘๑๐ บาท โดยมไิ ดก้ �ำ หนดวนั สง่ มอบสนิ คา้ ใหม่ ตอ่ มาในการสง่ มอบ หา้ งฯ สง่ มอบสง่ิ ของ
ครบถว้ นเมอ่ื วนั ท่ี ๓๐ กนั ยายน ๒๕๕๓ เกนิ ก�ำ หนดเวลาสง่ มอบสนิ คา้ ตามสญั ญาเดมิ เปน็ เวลา ๗๐ วนั คา่ ปรบั
จงึ เกดิ ขน้ึ ตง้ั แตว่ นั ท่ี ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ถงึ วนั ท่ี ๓๐ กนั ยายน ๒๕๕๓ กรมชลประทานจงึ หกั คา่ ปรบั รวม ๒
รายการ เปน็ เงนิ ๑๒,๔๓๓.๔๐ บาท ออกจากเงนิ คา่ สง่ิ ของตามสญั ญา ตอ่ มาหา้ งฯ ไดม้ หี นงั สอื ขอคนื เงนิ คา่
ปรบั และ กองพสั ดุ กลมุ่ งานบรหิ ารสญั ญา กรมชลประทาน ไดม้ คี วามเหน็ วา่ การทำ�สญั ญาแกไ้ ขเมอ่ื วนั ท่ี ๒๐
กนั ยายน ๒๕๕๓ หลงั จากพน้ ก�ำ หนดสง่ มอบโดยมไิ ดก้ �ำ หนดวนั สง่ มอบใหมใ่ หช้ ดั เจน ถอื วา่ มไิ ดก้ ำ�หนดวนั สง่
มอบเมอ่ื ใดไว้ กรณยี งั ไมถ่ อื วา่ ผขู้ ายผดิ นดั ช�ำ ระหนใ้ี นการสง่ มอบ จงึ ไมอ่ าจปรบั ผขู้ ายได้ และผมู้ อี �ำ นาจของ
กรมชลประทานไดอ้ นมุ ตั งิ ดคา่ ปรบั โดยใหค้ วามเหน็ วา่ สญั ญาทแ่ี กไ้ ขใหมม่ ไิ ดก้ �ำ หนดเวลาสง่ มอบใหช้ ดั เจน ยอ่ ม
ถอื วา่ มไิ ดก้ �ำ หนดวนั สง่ มอบไวด้ ว้ ย การทผ่ี ขู้ ายไดส้ ง่ มอบของใหเ้ มอ่ื วนั ท่ี ๓๐ กนั ยายน ๒๕๕๓ จงึ ยงั ถอื ไมไ่ ดว้ า่
ผขู้ ายผดิ นดั ช�ำ ระหน้ี ในการสง่ มอบของจงึ ไมอ่ าจปรบั ผขู้ ายได้ โดยขออนมุ ตั ถิ อนคนื เงนิ รายไดแ้ ผน่ ดนิ จ�ำ นวน
๑๒,๔๓๓.๔๐ บาท เพอ่ื จา่ ยคนื ใหห้ า้ งฯ การแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ สญั ญา โดยทก่ี รมชลประทานและผขู้ ายไมไ่ ดต้ กลง
ก�ำ หนดระยะเวลาสง่ มอบใหมใ่ หช้ ดั เจน ซา้ํ ยงั ระบไุ วใ้ นสญั ญาทแ่ี กไ้ ขวา่ ขอ้ ความอน่ื ๆ ใหเ้ ปน็ ไปตามสญั ญาเดมิ
กรมชลประทานจงึ ขอหารือว่า การงดคา่ ปรบั จ�ำ นวน ๑๒,๔๓๓.๔๐ บาท ชอบตามสญั ญาซอ้ื ขายเครอ่ื งปรบั
อากาศ ฉบบั ลงวนั ท่ี ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๓ และทแ่ี กไ้ ขเพม่ิ เตมิ ครง้ั ท่ี ๑ ลงวนั ท่ี ๒๐ กนั ยายน ๒๕๕๓ หรอื ไม่
ค�ำ วนิ จิ ฉยั
กรมชลประทานได้ทำ�สญั ญา ลงวนั ท่ี ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ก�ำ หนดสง่ มอบภายใน ๓๐ วัน ภายใน
วันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ต่อมาผู้ขายได้มีหนังสือลงวันท่ี ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ซ่ึงอยู่ในระยะเวลาของ
สญั ญา ขออนมุ ตั ใิ หแ้ กไ้ ขสญั ญาเกยี่ วกบั สงิ่ ของ ทส่ี ง่ มอบ จงึ เปน็ กรณที ี่ กรมชลประทานเหน็ วา่ มคี วามจ�ำ เปน็
โดยไม่ท�ำ ให้ราชการเสียประโยชน์ จึงได้อนมุ ัตแิ ละได้มกี ารแกไ้ ขสญั ญา ลงวนั ท่ี ๒๐ กันยายน ๒๕๕๓ ตาม
ระเบยี บส�ำ นกั นายกรฐั มนตรวี า่ ดว้ ยการพสั ดพุ .ศ. ๒๕๓๕ ขอ้ ๑๓๖ และในระเบยี บ ขอ้ ๑๓๖ วรรคสอง ก�ำ หนด
วา่ การแกไ้ ขเปลยี่ นแปลงสญั ญาหากมคี วามจ�ำ เปน็ ตอ้ งเพมิ่ หรอื ลดระยะเวลาสง่ มอบของใหต้ กลงพรอ้ มกนั ไป
แตก่ รมชลประทานและผขู้ ายไมไ่ ดต้ กลงก�ำ หนดระยะเวลาสง่ มอบใหม่ ซาํ้ ยงั ระบไุ วใ้ นสญั ญาทแ่ี กไ้ ขวา่ ขอ้ ความ
อนื่ ๆ ใหเ้ ปน็ ไปตามสญั ญาเดมิ กรมชลประทานจงึ ถอื กำ�หนดสง่ มอบตามสญั ญาเดมิ เมอ่ื ผขู้ ายสง่ มอบสง่ิ ของ
เมือ่ วนั ที่ ๓๐ กนั ยายน ๒๕๕๓ ล่าชา้ ไป ๗๐ วัน จึงไดค้ ดิ คา่ ปรบั เป็นเงนิ ๑๒,๔๓๓.๔๐ บาท โดยหักจากค่า
สงิ่ ของ ตอ่ มาผขู้ ายไดข้ องดคา่ ปรบั กองพสั ดุ กลมุ่ งานบรหิ ารสญั ญา ท�ำ บนั ทกึ ลงวนั ที่ ๒๙ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๓
เหน็ ว่า การทำ�สญั ญาแกไ้ ขเม่ือวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๓ หลงั จากพน้ กำ�หนดส่งมอบโดยมิได้กำ�หนดวนั สง่

อยั การนิเทศ 213

มอบใหม่ให้ชัดเจน ถือว่ามิได้ก�ำ หนดวันส่งมอบเมื่อใดไว้ กรณียังไม่ถือว่าผู้ขายผิดนัดช�ำ ระหนี้ในการส่งมอบ
จงึ ไม่อาจปรับผู้ขายได้ และเมอ่ื วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ผมู้ อี ำ�นาจของกรมชลประทานได้อนุมัตงิ ดค่าปรบั
การทก่ี รมชลประทานอนมุ ตั ใิ หง้ ดคา่ ปรบั กเ็ พราะเหน็ วา่ สญั ญาทแ่ี กไ้ ขมไิ ดก้ ำ�หนดวนั สง่ มอบสง่ิ ของใหช้ ดั เจน
จงึ เป็นผลจากที่มิได้ปฏิบัติตามระเบียบสำ�นักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อ ๑๓๖ วรรค
สองที่จะต้องตกลงระยะเวลาส่งมอบสิ่งของไปพร้อมกับการแก้ไขสัญญา ดังนั้น การงดค่าปรับก็เพราะ
ความผดิ หรอื ความบกพร่องของกรมชลประทาน จงึ เป็นการปฏบิ ตั ทิ ี่เปน็ ไปตามระเบียบสำ�นกั นายกรัฐมนตรี
วา่ ด้วยการพสั ดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อ ๑๓๙ (๑)
แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม ในเรอ่ื งนเ้ี มอ่ื ผขู้ ายสง่ มอบสง่ิ ของเมอ่ื วนั ท่ี ๓๐ กนั ยายน ๒๕๕๓ ลา่ ชา้ ไป ๗๐ วนั นน้ั
กรมชลประทานรับส่ิงของไว้โดยมิได้ทำ�บันทึกแจ้งสงวนสิทธิในการเรียกค่าปรับในเวลาท่ีรับมอบสิ่งของหาก
แตก่ รมชลประทานพงึ่ มาแจง้ สงวนสทิ ธกิ ารปรบั ในภายหลงั เมอ่ื วนั ที่ ๑๑ ตลุ าคม ๒๕๕๓ กรมชลประทานจงึ
ไม่มีสทิ ธิเรียกค่าปรับตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๓๘๑ วรรคทา้ ยอีกดว้ ย

214 ตอบข้อหารือส�ำ นักงานอยั การสงู สดุ

คำ�วินิจฉัยที่ ๑๕๔/๒๕๕๔
เรื่อง ปญั หาขอ้ กฎหมายกรณกี ารรถไฟแหง่ ประเทศไทยไมป่ ฏบิ ตั ติ ามค�ำ สง่ั
ของคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
กฎหมาย ระเบียบ พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓
หน่วยงานที่หารือ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน

พระราชบญั ญตั ิแรงงานรฐั วสิ าหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๓๘ ก�ำ หนดให้คณะกรรมการ
แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์มีอำ�นาจพิจารณาวินิจฉัยช้ีขาดกรณีตามมาตรา ๓๘ ซึ่งนายจ้างและลูกจ้าง
ต้องปฏิบัตติ ามค�ำ ชข้ี าดนนั้ รวมถึงกรณกี ารออกคำ�สั่งให้นายจ้างรบั ลกู จา้ งกลบั เขา้ ทำ�งานหรอื ให้จา่ ยคา่
เสยี หายหรอื ใหผ้ ฝู้ า่ ฝนื ปฏบิ ตั หิ รอื ไมป่ ฏบิ ตั อิ ยา่ งหนง่ึ อยา่ งใดตามทเี่ หน็ สมควรได้ หากนายจา้ งเพกิ เฉยไม่
ปฏบิ ตั ติ ามค�ำ สงั่ คณะกรรมการฯลกู จา้ งมสี ทิ ธริ อ้ งทกุ ขต์ อ่ พนกั งานสอบสวนใหด้ �ำ เนนิ คดอี าญากบั นายจา้ ง
ฐานไมป่ ฏบิ ตั ติ ามค�ำ สงั่ ของคณะกรรมการวนิ จิ ฉยั ชขี้ าดไดต้ ามมาตรา ๗๙ สว่ นการด�ำ เนนิ คดอี าญาอยา่ งไร
ยอ่ มเปน็ อ�ำ นาจหนา้ ทแ่ี ละดลุ พนิ จิ ของพนกั งานสอบสวนและพนกั งานอยั การตามกฎหมาย ส�ำ นกั งานอยั การ
สงู สดุ ไมอ่ าจใหค้ วามเหน็ ได้

ข้อเทจ็ จริงและปญั หา
การรถไฟแหง่ ประเทศไทยไดม้ คี �ำ สง่ั ไลผ่ รู้ อ้ งทง้ั หกออกจากงานอนั เปน็ การเลกิ จา้ งสมาชกิ สหภาพแรงงาน
ในระหวา่ งขอ้ ตกลงเกย่ี วกบั สภาพการจา้ งมผี ลใชบ้ งั คบั โดยไมม่ เี หตยุ กเวน้ ตามมาตรา ๓๗ (๑) – (๕) อนั เปน็ การ
ฝา่ ฝนื มาตรา ๓๗ แหง่ พระราชบญั ญตั แิ รงงานรฐั วสิ าหกจิ สมั พนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ คณะกรรมการแรงงานรฐั วสิ าหกจิ
สมั พันธ์จงึ มีค�ำ สง่ั ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยรับผ้รู ้องทง้ั หกกลบั เขา้ ทำ�งานตามเดมิ และใหก้ ารรถไฟแห่ง
ประเทศไทยปฏบิ ตั ติ ามค�ำ สง่ั ภายใน ๓๐ วนั นบั แตว่ นั ทร่ี บั ทราบค�ำ สง่ั การรถไฟแหง่ ประเทศไทยยน่ื ฟอ้ งตอ่
ศาลแรงงานกลางขอให้เพิกถอนคำ�สั่งคณะกรรมการฯและยื่นคำ�ร้องขอคุ้มครองการปฏิบัติตามคำ�สั่งของ
คณะกรรมการฯ ไวช้ ว่ั คราวจนกวา่ คดจี ะถงึ ทส่ี ดุ แตศ่ าลไดม้ คี ำ�สง่ั ยกค�ำ รอ้ งขอคมุ้ ครองชว่ั คราว กรมสวสั ดกิ ารและ
คมุ้ ครองแรงงาน จงึ ขอหารอื วา่ การทก่ี ารรถไฟแหง่ ประเทศไทยไดร้ บั ทราบค�ำ สง่ั คณะกรรมการฯ แลว้ มไิ ดป้ ฏบิ ตั ิ
ตามภายในก�ำ หนดเวลา ๓๐ วนั แตไ่ ดฟ้ อ้ งเพกิ ถอนค�ำ สง่ั คณะกรรมการฯ ตอ่ ศาล การไมป่ ฏบิ ตั ติ ามค�ำ สง่ั ของ
คณะกรรมการฯ มโี ทษทางอาญาตามพระราชบญั ญตั แิ รงงานรฐั วสิ าหกจิ สมั พนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๗๙ การ
ด�ำ เนนิ คดอี าญาตอ่ การรถไฟแหง่ ประเทศไทยจะตอ้ งรอจนกวา่ ศาลจะมคี �ำ พพิ ากษาถงึ ทส่ี ดุ หรอื สามารถด�ำ เนนิ
คดอี าญาไดโ้ ดยไมจ่ �ำ เปน็ ตอ้ งรอใหศ้ าลมคี �ำ พพิ ากษาถงึ ทส่ี ดุ

อัยการนิเทศ 215

ค�ำ วินจิ ฉยั

ส�ำ นักงานอยั การสูงสดุ ไดพ้ จิ ารณาแล้ว เห็นวา่ การด�ำ เนินคดีอาญาน้ัเม่ือผูเ้ สียหายเห็นวา่ ผกู้ ระทำ�
เขา้ ขา่ ยไดก้ ระทำ�ผดิ ทางอาญาฐานไมป่ ฏบิ ตั ติ ามคำ�สงั่ คณะกรรมการวนิ จิ ฉยั ชขี้ าดตามพระราชบญั ญตั แิ รงงาน
รฐั วิสาหกิจสมั พันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๓๘ ผู้เสียหายย่อมมสี ิทธิร้องทุกข์ตอ่ พนักงานสอบสวนให้ดำ�เนินคดี
กับผ้ตู ้องหาได้ จากน้นั เปน็ หน้าท่ขี องพนักงานสอบสวนผรู้ ับผดิ ชอบจะเป็นผ้รู วบรวมพยานหลักฐาน รวมท้งั
ข้อเท็จจริงที่ได้มีการฟ้องขอเพิกถอนค�ำ สั่งของคณะกรรมการฯ และค�ำ ร้องขอคุ้มครองการปฏิบัติตามค�ำ สั่ง
ของคณะกรรมการฯ และศาลแรงงานกลางไดย้ กคำ�รอ้ ง และคำ�ใหก้ ารของผตู้ อ้ งหาเพอื่ พสิ จู นก์ ารกระทำ�ของ
ผู้ต้องหา แล้วสง่ พนกั งานอัยการเพื่อพิจารณาส่งั คดีในความผิดทก่ี ล่าวหาให้เสรจ็ สิน้ ภายในอายุความ ส่วนท่ี
หารอื วา่ การดำ�เนนิ คดอี าญาจะตอ้ งรอจนกวา่ ศาลจะมคี ำ�พพิ ากษาถงึ ทส่ี ดุ หรอื ไมน่ นั้ เปน็ ประเดน็ เรอ่ื งอำ�นาจ
ฟอ้ ง พนกั งานสอบสวนผู้รับผิดชอบ และพนักงานอัยการจะเป็นผพู้ ิจารณาเอง สำ�นกั งานอัยการสงู สดุ ไม่อาจ
จะตอบขอ้ หารือนี้ได้

216 ตอบขอ้ หารือส�ำ นกั งานอัยการสูงสุด

คำ�วินิจฉัยที่ ๒๒๗/๒๕๕๔
เรื่อง หารือกรณีคืนหลักประกันซองและหลักประกันสัญญา
กฎหมาย ระเบียบ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๔๘, ๓๙๑
หน่วยงานที่หารือ เทศบาลเมืองสระแก้ว

สัญญากำ�หนดให้ หา้ งฯ เข้าท�ำ สัญญาภายใน ๑๕ วัน นบั แตไ่ ด้รับหนงั สอื แจ้งจากเทศบาลฯ ต่อ
มาคู่สัญญาแสดงเจตนาเลื่อนการลงนามออกไปเนื่องจากต้องปรับปรุงไฟฟ้า นํ้าประปา จึงเท่ากับว่า
คสู่ ญั ญาทง้ั สองฝา่ ยแสดงเจตนาตกลงกนั ใหมโ่ ดยมไิ ดย้ ดึ ถอื เงอ่ื นไขสญั ญาเปน็ ส�ำ คญั และเมอ่ื ไดเ้ ขา้ ท�ำ สญั ญา
และวางหลักประกันสัญญาเป็นหนังสือค้ําประกันของธนาคารภายในเวลาต่อมาเทศบาลฯจึงมีหน้าท่ีคืน
หลักประกนั ซองใหแ้ ก่ ห้างฯ ภายใน ๑๕ วนั นบั แตว่ นั ลงนามสญั ญาตามสัญญา
การคนื หลกั ประกันสัญญาและเงนิ คา่ เชา่ เมอื่ เทศบาลฯ สง่ มอบพ้นื ทีท่ เ่ี ช่าไม่เหมาะแกก่ ารทเ่ี ชา่
หา้ งฯ จงึ มสี ทิ ธบิ อกเลกิ สญั ญาจงึ ท�ำ ใหค้ สู่ ญั ญาแตล่ ะฝา่ ยจ�ำ ตอ้ งใหอ้ กี ฝา่ ยหนงึ่ ไดก้ ลบั คนื สฐู่ านะดงั ทเ่ี ปน็
อยู่เดิมก่อนเข้าท�ำ สัญญา ดังน้ัน จึงต้องคืนหลักประกันสัญญาและเงินค่าเช่าที่เก็บมาพร้อมดอกเบี้ยใน
อตั รารอ้ ยละเจ็ดครง่ึ ตอ่ ปี นับแต่วันทไี่ ดร้ ับจาก ห้างฯ ตอ่ ไป
เมื่อสัญญาเช่าส้นิ สุดลงแล้ว เทศบาลฯ สามารถดำ�เนนิ การจดั หาผลประโยชน์ในทรพั ยส์ ินโรงฆา่
สัตว์โดยการจัดประมูลใหม่ได้ และควรกำ�หนดเง่ือนไขต่างๆ ในประกาศการประมูลให้เช่าโรงฆ่าสัตว์ให้
ตรงตามวัตถุประสงค์ของเทศบาลฯ ดว้ ย

ขอ้ เทจ็ จรงิ และปัญหา

เทศบาลเมอื งสระแกว้ ไดท้ �ำ สญั ญาเชา่ อาคารโรงฆา่ สตั วเ์ ทศบาลเมอื งสระแกว้ เลขท่ี ๑/๒๕๕๔ ลงวนั ท่ี ๑๘
มกราคม ๒๕๕๔ กบั หา้ งหนุ้ สว่ นจ�ำ กดั เมธสั กอ่ สรา้ ง ตอ่ มาหา้ งหนุ้ สว่ นจ�ำ กดั เมธสั กอ่ สรา้ ง ไดข้ อยกเลกิ สญั ญาเชา่
โดยใหเ้ หตผุ ล วา่ การสง่ มอบพน้ื ทแ่ี ละวสั ดอุ ปุ กรณส์ �ำ หรบั ประกอบการไมส่ ามารถด�ำ เนนิ การได้ เทศบาลฯ ตรวจ
สอบแลว้ พบวา่ เครอ่ื งจกั รมปี ญั หา และอปุ กรณอ์ น่ื ไมส่ ามารถใชง้ านได้ จงึ มคี วามเหน็ วา่ (๑) ใหย้ กเลกิ สญั ญาเชา่
โรงฆา่ สตั ว์ สญั ญาท่ี ๑/๒๕๕๔ ลงวนั ท่ี ๑๘ มกราคม ๒๕๕๔ (๒) คนื หลกั ประกนั สญั ญาใหก้ บั หา้ งหนุ้ สว่ นจ�ำ กดั เมธสั
กอ่ สรา้ ง (๓) คนื คา่ เชา่ ทง้ั หมดใหห้ า้ งหนุ้ สว่ นจ�ำ กดั เมธสั กอ่ สรา้ ง เทศบาลฯ จงึ แจง้ ยกเลกิ สญั ญาเชา่ ดงั กลา่ ว แตย่ งั
ไมไ่ ดค้ นื หลกั ประกนั ซอง หลกั ประกนั สญั ญา คา่ เชา่ ใหก้ บั หา้ งหนุ้ สว่ นจ�ำ กดั เมธสั กอ่ สรา้ ง เทศบาลฯ จงึ ขอหารอื วา่
ในกรณดี งั กลา่ วขา้ งตน้ สามารถคนื หลกั ประกนั ซอง หลกั ประกนั สญั ญา และคา่ เชา่ ใหก้ บั หา้ งหนุ้ สว่ นจ�ำ กดั เมธสั
กอ่ สรา้ ง ไดห้ รอื ไม่ และในระหวา่ งทย่ี งั ไมไ่ ดด้ �ำ เนนิ การคนื หลกั ประกนั ซอง หลกั ประกนั สญั ญา และคา่ เชา่ เทศบาลฯ
สามารถด�ำ เนนิ การจดั หาประโยชนใ์ นทรพั ยส์ นิ โรงฆา่ สตั วโ์ ดยการประมลู ใหเ้ ชา่ โรงฆา่ สตั วใ์ หมไ่ ดห้ รอื ไม่

อัยการนิเทศ 217

คำ�วินิจฉยั
ส�ำ นกั งานอยั การสงู สดุ พจิ ารณาแลว้ เหน็ วา่ กรณหี ลกั ประกนั ซองปรากฏขอ้ เทจ็ จรงิ วา่ เทศบาลเมอื ง
สระแกว้ มหี นงั สอื ลงวนั ท่ี ๒๘ มถิ นุ ายน ๒๕๕๓ ใหห้ า้ งฯ มาทำ�สญั ญาเชา่ พรอ้ มวางหลกั ประกนั การเชา่ ภายใน
๑๕ วนั แสดงวา่ ทง้ั สองฝา่ ยมเี จตนาวา่ สญั ญาเชา่ อนั มงุ่ จะท�ำ ตอ่ กนั นน้ั ตอ้ งท�ำ เปน็ หนงั สอื แตก่ อ่ นทท่ี ง้ั สองฝา่ ย
จะท�ำ สญั ญาเปน็ หนงั สอื มเี หตจุ �ำ เปน็ โดยปรากฏขอ้ เทจ็ จรงิ วา่ เมอ่ื หา้ งฯ ไดต้ รวจสถานทเ่ี ชา่ แลว้ ปรากฏวา่ ระบบ
ประปาและเครอ่ื งก�ำ เนดิ ไฟฟา้ ยงั ไมส่ ามารถใชง้ านได้ หา้ งฯ จงึ มหี นงั สอื ลงวนั ท่ี ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๓ แจง้ ขอเลอ่ื น
การลงนามในสญั ญาออกไปกอ่ นจนกวา่ เทศบาลฯ จะไดท้ ำ�การปรบั ปรงุ แกไ้ ขใหแ้ ลว้ เสรจ็ ซง่ึ เทศบาลฯ โดยนายก
เทศมนตรสี ง่ั การเมอ่ื วนั ท่ี ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๓ “ใหช้ ะลอการท�ำ สญั ญาเนอ่ื งจากระบบไฟฟา้ -น้ําประปา ไม่
สมบรู ณ์ และใหเ้ รง่ ด�ำ เนนิ การใหแ้ ลว้ เสรจ็ กอ่ นการลงนามในสญั ญาตอ่ ไป” ดงั น้ี เทา่ กบั วา่ ทง้ั สองฝา่ ยแสดงเจตนา
ตกลงกนั ใหม่ โดยมไิ ดย้ ดึ ถอื เงอ่ื นไขตาม ขอ้ ๗.๑ ทก่ี �ำ หนดระยะใหห้ า้ งฯ เขา้ ท�ำ สญั ญาภายใน ๑๕ วนั นบั แตว่ นั
ทไ่ี ดร้ บั แจง้ จากเทศบาลแลว้ แตใ่ หท้ �ำ สญั ญาเมอ่ื เทศบาลฯ ด�ำ เนนิ การใหร้ ะบบไฟฟา้ -นาํ้ ประปาสมบรู ณแ์ ลว้ และ
เมอ่ื ทง้ั สองฝา่ ยไดม้ กี ารท�ำ สญั ญาเชา่ กนั เมอ่ื วนั ท่ี ๑๘ มกราคม ๒๕๕๔ โดยวางหลกั ประกนั สญั ญาจ�ำ นวน ๑๘๔,๕๐๐
บาท เปน็ หนงั สอื คา้ํ ประกนั ของธนาคารนครหลวงไทย สาขาสระแกว้ ซง่ึ เปน็ จำ�นวนเงนิ ในอตั รารอ้ ยละ ๑๐ ของ
ประโยชนต์ อบแทนตามเงอ่ื นไขประกาศการประมลู แลว้ เทศบาลฯ มหี นา้ ทต่ี อ้ งคนื หลกั ประกนั ซองใหแ้ กห่ า้ งฯ
ภายใน ๑๕ วนั นบั แตว่ นั ลงนามในสญั ญาตามนยั เงอ่ื นไขประกาศการประมลู ขอ้ ๕ วรรคทา้ ย
กรณบี อกเลกิ สญั ญาเชา่ การคนื หลกั ประกนั สญั ญา และเงนิ คา่ เชา่ นน้ั เมอื่ เทศบาลฯ ผใู้ หเ้ ชา่ สง่ มอบ
ทรพั ยส์ นิ ซง่ึ เชา่ นน้ั โดยสภาพไมเ่ หมาะแกก่ ารทจ่ี ะใชเ้ พอื่ ประโยชนท์ เี่ ชา่ มา หา้ งฯผเู้ ชา่ จงึ มสี ทิ ธบิ อกเลกิ สญั ญา
ตามนยั ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๕๔๘ กอปรกบั ขอ้ เทจ็ จรงิ ยงั ปรากฏวา่ เมอื่ หา้ งฯ มหี นงั สอื
ฉบบั ลงวนั ที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ขอยกเลกิ สัญญาเช่า เทศบาลฯ มีหนังสือ ท่ี สก ๕๒๐๐๖/๑๐๑๕ ลงวันท่ี
๙ มถิ นุ ายน ๒๕๕๔ แสดงเจตนายนิ ยอมใหเ้ ลกิ สญั ญาเชา่ โดยแจง้ วา่ จะคนื หลกั ประกนั สญั ญาและคา่ เชา่ ทเี่ กบ็
มาแลว้ ในเดอื นมกราคม ๒๕๕๔ ใหแ้ กห่ า้ งฯ ตอ่ ไป เมอ่ื มกี ารบอกเลกิ สญั ญาโดยชอบ คสู่ ญั ญาแตล่ ะฝา่ ยกต็ อ้ ง
ให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังท่ีเป็นอยู่เดิมก่อนเข้าท�ำ สัญญาตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๓๙๑ เทศบาลฯ จงึ ตอ้ งคนื หนงั สอื คา้ํ ประกนั สญั ญาดงั กลา่ ว และเงนิ คา่ เชา่ ทเี่ กบ็ มาแลว้ ในเดอื นมกราคม
๒๕๕๔ พร้อมดอกเบ้ียในอัตรารอ้ ยละเจ็ดครงึ่ ตอ่ ปี นับแต่วนั ทไ่ี ดร้ ับเงินใหแ้ ก่ห้างฯ ตอ่ ไป
เมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลงแล้ว เทศบาลฯ สามารถดำ�เนินการจัดหาประโยชน์ในทรัพย์สินโรงฆ่าสัตว์
โดยจัดการประมูลใหม่ได้ ซึ่งสำ�นักงานอัยการสูงสุดมีข้อสังเกตว่า ในการจัดประมูลใหม่ เทศบาลฯ ควร
กำ�หนดเงื่อนไขให้ชัดเจนด้วยว่าประสงค์ให้เช่าโรงฆ่าสัตว์เพื่อประกอบกิจการฆ่าสัตว์ในสภาพเครื่องจักร
อาคารโรงงาน คอกสัตว์ และระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการประกอบกิจการใช้งานได้สมบูรณ์ดีซึ่งหมายความ
ว่าเทศบาลฯ ต้องทำ�การซ่อมแซมปรับปรุงสิ่งต่างๆ ดังกล่าวให้ใช้งานได้สมบูรณ์ดีก่อนทำ�การประมูลให้เช่า
หรือประสงค์ให้ผู้เสนอราคาต้องมีภาระซ่อมแซมปรับปรุงสภาพเครื่องจักร อาคารโรงงาน คอกสัตว์ และ
ระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการประกอบกิจการเองเพื่อมิให้ประสบปัญหาอย่างที่ผ่านมา

218 ตอบข้อหารือส�ำ นกั งานอัยการสงู สดุ

คำ�วินิจฉัยที่ ๑๕/๒๕๕๕
เรื่อง หารือเกี่ยวกับพระบรมราชโองการสมัยการปกครอง
สมบูรณาญาสิทธิราชย์
กฏหมาย ระเบียบ พระบรมราชโองการสมัยการปกครองสมบูรณาญาสิทธิราชย์
และ พระราชบัญญัติ มหาวิทยาลัยกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๕๓
หน่วยงานที่หารือ คณะแพทย์ศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยกรุงเทพมหานคร

คณะแพทยศาสตรว์ ชริ พยาบาล มหาวทิ ยาลยั กรงุ เทพมหานครมคี วามประสงคจ์ ะดำ�เนนิ การกอ่ สรา้ ง
อาคารหอพกั แพทยบ์ นทด่ี นิ ซง่ึ ไดม้ ผี ทู้ �ำ พนิ ยั กรรมกราบบงั คมทลู ขอพระราชทานถวายรชั กาลท่ี ๖ ซง่ึ เปน็
ชว่ งเวลาทก่ี ฎหมายตราสามดวงยงั มผี ลบงั คบั ใชโ้ ดยไดแ้ สดงเจตนาการใชท้ ด่ี นิ ไวอ้ ยา่ งชดั เจนเพอ่ื ใหเ้ ปน็
สว่ นเงนิ บ�ำ รงุ โรงพยาบาล ตอ่ มากรมราชเลขานกุ ารไดม้ หี นงั สอื แจง้ รบั มอบทรพั ยด์ งั กลา่ วแลว้ จงึ มสี ถานะ
เปน็ พระบรมราชโองการ เมอ่ื พระบรมราชโองการดงั กลา่ วมถี อ้ ยค�ำ วา่ “และทง้ั คดิ ใหเ้ ปน็ ผลประโยชนแ์ ก่
โรงพยาบาลนส้ี บื ไป” โดยมไิ ดม้ ขี อ้ ความจำ�กดั วา่ ตอ้ งใชเ้ พอ่ื การหารายไดเ้ ปน็ เงนิ บำ�รงุ โรงพยาบาลตามท่ี
ระบใุ นพนิ ยั กรรมเทา่ นน้ั มหาวทิ ยาลยั กรงุ เทพมหานคร ยอ่ มมอี �ำ นาจใชท้ ด่ี นิ เพอ่ื ประโยชนใ์ นการด�ำ เนนิ
กจิ การตามอ�ำ นาจหนา้ ทไ่ี ด้
ขอ้ เท็จจริงและปัญหา
ผู้ว่ากรุงเทพมหานครให้ความเห็นชอบด�ำ เนินการจัดจ้างเหมาก่อสร้างอาคารหอพักแพทย์ในวงเงิน
๑๒๙,๙๖๔,๐๐๐ บาท โดยเบกิ จา่ ยเงนิ จากงบประมาณรายจา่ ยประจำ�ปี ๒๕๔๙ งบเงนิ อดุ หนนุ รฐั บาลโครงการ
ผลิตแพทย์เพิ่มของสำ�นักงานคณะกรรมการอุดมศึกษาตามความต้องการของกระทรวงสาธารณสุข เพ่ือ
กอ่ สรา้ งอาคารหอพกั แพทยข์ องคณะแพทยศ์ าสตรว์ ชริ พยาบาล ซงึ่ เปน็ สว่ นหนงึ่ ของมหาวทิ ยาลยั กรงุ เทพมหานคร
โดยการกอ่ สรา้ งอาคารดงั กลา่ วจะกอ่ สรา้ งบนทดี่ นิ ซง่ึ คณุ หญงิ สนุ่ โชตกิ สวสั ด์ิ ไดท้ ำ�พนิ ยั กรรมกราบบงั คมทลู
ขอพระราชทานถวายรัชกาลที่ ๖ เพื่อให้เป็นส่วนเงินบ�ำ รุงโรงพยาบาลวชิระ ต่อมากรมราชเลขานุการได้มี
หนังสือ เลขที่ ๘๗/๒๔๖๒ ลงวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๔๖๒ ซ่ึงอยู่ในสมัยการปกครองระบอบ
สมบูรณาญาสทิ ธิราชย์รบั มอบทรัพย์ตามพนิ ัยกรรมดงั กลา่ วใหเ้ ป็นสมบตั ขิ องโรงพยาบาลวชริ ะ
ขอ้ หารอื
คณะแพทยศาสตรว์ ชริ พยาบาลมคี วามประสงคจ์ ะน�ำ ทดี่ นิ ซง่ึ มผี กู้ ราบบงั คมทลู ถวาย รชั กาลท่ี ๖ โดย
ระบุว่าให้เป็นส่วนเงินบำ�รุงโรงพยาบาลและได้มีพระบรมราชโองการรับมอบมาเป็นสมบัติของโรงพยาบาล
วชิระ (ซ่ึงปจั จุบนั คือคณะแพทยศาสตรว์ ชริ พยาบาล) เพื่อมาใชป้ ลกู สร้างอาคารหอพกั แพทย์ไดห้ รอื ไม่

อยั การนิเทศ 219

คำ�วินจิ ฉยั

ส�ำ นกั งานอยั การสงู สดุ ไดพ้ จิ ารณาแลว้ เหน็ วา่ กรมราชเลขานกุ ารไดม้ หี นงั สอื เลขที่ ๘๗/๒๔๖๒ ลง
วันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๔๖๒ รับมอบทรัพย์ตามพินัยกรรมดังกล่าวให้เป็นสมบัติของโรงพยาบาลวชิระ
หนังสือดังกล่าวได้จัดทำ�ขึ้นในสมัยการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ดังนั้น พระราชดำ�รัส
พระราชประสงค์ต่างๆล้วนมีผลเป็นกฏหมายตราบเท่าที่ไม่มีกฏหมายใดบัญญัติยกเลิก แก้ไขหรือเปลี่ยนแปลง
ในภายหลัง เมื่อพระบรมราชโองการดังกล่าวมีถ้อยคำ�ว่า “และทั้งคิดทำ�ให้เป็นผลประโยชน์แก่โรงพยาบาล
นี้สืบไป” โดยมิได้จำ�กัดว่าต้องใช้เพื่อการหารายได้เป็นเงินบำ�รุงโรงพยาบาลตามที่ระบุในพินัยกรรมเท่านั้น
ดังนั้น ที่ดินแปลงนี้จึงเป็นทรัพย์สินของโรงพยาบาลที่จะน�ำ ไปทำ�ประโยชน์ต่างๆได้โดยไม่จ�ำ กัดเฉพาะเพื่อ
การหารายได้แต่ประการเดียว เมื่อมีการก่อตั้งมหาวิทยาลัยกรุงเทพมหานครและพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย
กรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๖๙ ให้โอนทรัพย์สินของวิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานคร
และวชิรพยาบาลมาเป็นของมหาวิทยาลัยกรุงเทพมหานคร ฉะนั้น มหาวิทยาลัยกรุงเทพมหานครย่อมมี
อำ�นาจใช้ที่ดินเพื่อประโยชน์ในการดำ�เนินกิจการตามอำ�นาจหน้าที่ได้

220 ตอบขอ้ หารอื ส�ำ นกั งานอัยการสูงสุด

คำ�วินิจฉัยที่ ๑๙๗/๒๕๕๔
เรื่อง หารือข้อสัญญาร่วมดำ�เนินงานพัฒนาพื้นที่ท่าเทียบเรือ
กฎหมาย ระเบียบ พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓
มาตรา ๒๒, ๒๔, ๒๘ และข้อกำ�หนดแห่งสัญญา ข้อ ๔.๒
หน่วยงานที่หารือ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)


การท่ีนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยทำ�สัญญาร่วมดำ�เนินการพัฒนาท่าเทียบเรือ กับบริษัท
ทา่ เรอื ระยอง จำ�กดั (บรษิ ทั ฯ) เพอื่ กอ่ สรา้ งทา่ เทยี บเรอื พรอ้ มกบั พฒั นาทา่ เทยี บเรอื และมกี ารบนั ทกึ ขอ้
ตกลงเพ่ิมเติมซึ่งมีเง่อื นไขประการหนง่ึ ว่า “หากบรษิ ทั ฯถูกศาลมคี ำ�สัง่ พทิ กั ษ์ทรพั ย์ชว่ั คราวหรอื เด็ดขาด
ใหถ้ ือว่าสัญญานี้เป็นอนั เลิกกนั .....” เม่อื บรษิ ัทฯ ถูกศาลลม้ ละลายกลางมคี �ำ สัง่ พิทกั ษ์ทรัพย์เดด็ ขาดโดย
ได้มีการประกาศค�ำ สั่งพิทักษ์เด็ดขาดในราชกิจจานุเบกษาและคดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ค�ำ ส่ังพิทักษ์ทรัพย์
เด็ดขาด ย่อมมีผลให้ถือว่าสัญญาน้ีเลิกกันตามเงื่อนไขดังกล่าว กนอ. ย่อมมีสิทธิเข้าครอบครองท่าเรือ
และดำ�เนนิ กจิ การแทนบรษิ ทั ฯ ตามเงอ่ื นไขของสญั ญา แมต้ อ่ มาหากศาลฎกี าจะมคี ำ�สง่ั กลบั คำ�พพิ ากษา
ของศาลลม้ ละลายกลางและยกเลกิ ค�ำ สง่ั พทิ กั ษท์ รพั ยเ์ ดด็ ขาด ยอ่ มไมม่ ผี ลกระทบตอ่ สญั ญาทเี่ ลกิ กนั แลว้
ให้กลับมาสมบรู ณอ์ ีก

ข้อเทจ็ จรงิ และปญั หา
การทนี่ คิ มอตุ สาหกรรมแหง่ ประเทศไทยหารอื ขอ้ สญั ญารว่ มดำ�เนนิ การงานพฒั นาทา่ เทยี บเรอื กรณี
บรษิ ทั ทา่ เรอื ระยอง จ�ำ กดั (บรษิ ทั ฯ) ไดท้ �ำ สญั ญากบั กนอ.เขา้ รว่ มด�ำ เนนิ งานเพอื่ พฒั นาการกอ่ สรา้ งทา่ เทยี บ
เรือในท้องทีต่ �ำ บลมาบตาพดุ อำ�เภอเมือง จงั หวัดระยอง และตกลงใหบ้ ริษัทฯ ใชพ้ ืน้ ที่หนา้ ทา่ ยาวประมาณ
๑,๐๒๔.๒ เมตร มกี �ำ หนด ๓๐ ปี โดย กนอ.ได้ตกลงใหบ้ รษิ ัทฯเขา้ ดำ�เนินการเพ่อื พฒั นาการก่อสรา้ ง ทา่
เทยี บเรอื ในทอ้ งทีต่ �ำ บลมาบตาพุด และรบั เขา้ ร่วมด�ำ เนินงาน เพ่อื พัฒนาการก่อสร้างท่าเทยี บเรอื ในลกั ษณะ
ทา่ เทยี บเรอื เฉพาะกจิ เพอ่ื ขนถา่ ยสนิ คา้ เทกองของบรษิ ทั ปยุ๋ แหง่ ชาติ จ�ำ กดั หรอื บรษิ ทั ปนู ซเิ มนตไ์ ทย จ�ำ กดั
ตอ่ มาบรษิ ทั ฯ ไดป้ ฏิบัติผิดสญั ญา กนอ. จึงบอกเลิกสัญญา โดยไดฟ้ ้องบริษทั ฯ ต่อศาลแพ่งเรียกค่าเสียหาย
บรษิ ทั ฯ ไดเ้ ขา้ สกู่ ระบวนการฟนื้ ฟกู จิ การ ซง่ึ กำ�หนดใหบ้ รษิ ทั และ กนอ.เขา้ เจรจาตกลงประนปี ระนอมยอม
ความภายใน ๖๐ วนั ตอ่ มาบรษิ ทั และ กนอ. ไดท้ ำ�บนั ทกึ ขอ้ ตกลง ฉบบั วนั ท่ี ๑๔ มถิ นุ ายน ๒๕๔๙ โดยมขี อ้
ก�ำ หนดมใี จความสรปุ วา่ “หากบรษิ ทั ฯ ตกเปน็ ผมู้ หี นสี้ นิ ลน้ พน้ ตวั และผดิ นดั ชำ�ระหนคี้ า่ ผลประโยชนต์ อบแทน
ตามสัญญานี้ หรือผิดนัดชำ�ระเงินจำ�นวนใด ๆ ตามท่ีกำ�หนดไว้ในสัญญานี้ ซึ่ง กนอ.พิจารณาแล้วเห็นว่า
บรษิ ทั ฯ ไมอ่ ยใู่ นฐานะทจ่ี ะปฏบิ ตั ติ ามสญั ญาฉบบั นต้ี อ่ ไปไดห้ รอื บรษิ ทั ถกู ศาลมคี �ำ สง่ั พทิ กั ษท์ รพั ยไ์ มว่ า่ ชวั่ คราว
หรอื เด็ดขาดใหถ้ อื ว่าสัญญานเ้ี ปน็ อนั เลิกกัน โดยไม่จำ�ต้องบอกกล่าวลว่ งหนา้ และให้ถือว่าบริษทั ตกเป็นผผู้ ิด

อยั การนเิ ทศ 221

สัญญา และยินยอมให้ กนอ.ริบหลักประกัน พร้อมกับให้ กนอ.เรียกร้องค่าเสียหายในส่วนท่ีเกินจากหลัก
ประกันสัญญารวมทั้งยินยอมให้ กนอ.เข้าครอบครองและใช้ประโยชน์ในท่าเทียบเรือเฉพาะกิจสำ�หรับสินค้า
เทกองและท่าเทียบเรือทั่วไปส�ำ หรับสินค้าเหลว อุปกรณแ์ ละส่ิงปลกู สร้างต่าง ๆ รวมถึงส่วนท่ีเป็นถนนหรือ
สาธารณูปโภค โดยบริษัทไม่มสี ิทธเิ รยี กรอ้ งคา่ ทดแทนใด ๆ ท้ังส้นิ ”
ตอ่ มาบรษิ ทั ฯ ได้ถกู พทิ ักษท์ รัพย์เด็ดขาด โดยบรรษทั บรหิ ารสินทรพั ย์ไทยเป็นโจทก์ คดอี ยรู่ ะหว่าง
อุทธรณ์ค�ำ พิพากษา กนอ.จึงหารอื ส�ำ นักงานอยั การสงู สดุ เพ่ือขอทราบแนวทางปฏิบัติ รวม ๓ ประเด็น
๑. การท่ีคดีอยู่ระหว่างการอุทธรณ์ถือว่าสัญญาร่วมดำ�เนินงานพัฒนาท่ีท่าเทียบเรือระหว่างบริษัท
และ กนอ.เปน็ อนั เลกิ กนั แลว้ หรอื ไม่ อย่างไร
๒. กรณที ถ่ี อื วา่ สญั ญายงั ไมเ่ ลกิ บรษิ ทั ฯ จะดำ�เนนิ กจิ การตามสญั ญาตอ่ ไปไดห้ รอื ไม่ และจะถกู จำ�กดั
สทิ ธไิ มใ่ หด้ ำ�เนนิ กิจการ ตามพระราชบญั ญตั ลิ ้มละลายมาตรา ๒๒ และมาตรา ๒๔ หรือไม่
๓. กรณีท่ีถือว่าสัญญาเลิก โดย กนอ.เข้าครอบครองท่าเรือและดำ�เนินกิจการท่าเรือแทนบริษัทฯ
แล้วหากศาลฎีกาพิพากษากลับยกเลิกค�ำ ส่ังพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดผลค�ำ พิพากษาของศาลฎีกาจะมีผลกระทบ
ตอ่ สัญญาทเี่ ลิกกันแลว้ หรือไมอ่ ยา่ งไร
คำ�วนิ ิจฉัย
การทบ่ี รษิ ทั ฯ ถกู ศาลลม้ ละลายกลางมคี �ำ สง่ั พทิ กั ษท์ รพั ยเ์ ดด็ ขาด และไดป้ ระกาศค�ำ สง่ั ในราชกจิ จา
นเุ บกษาแลว้ ค�ำ สง่ั พทิ กั ษท์ รพั ยด์ งั กลา่ วยอ่ มมผี ลบงั คบั และมผี ลใหส้ ญั ญารว่ มด�ำ เนนิ งานพฒั นาพน้ื ทท่ี า่ เทยี บ
เรอื เปน็ อนั เลกิ กนั ตามสญั ญา แมว้ า่ บรษิ ทั ฯ จะยน่ื อทุ ธรณอ์ ยกู่ ต็ าม กนอ.ยอ่ มมสี ทิ ธเิ ขา้ ครอบครองทา่ เรอื และ
ดำ�เนนิ กิจการแทนบริษทั ฯ ตามเงอื่ นไขของสัญญา แม้ต่อมาหากศาลฎกี าจะมคี ำ�สงั่ กลบั ค�ำ พิพากษาของศาล
ลม้ ละลายกลางและยกเลกิ ค�ำ สง่ั พทิ กั ษท์ รพั ยเ์ ดด็ ขาดกไ็ มม่ ผี ลกระทบตอ่ สญั ญาทเ่ี ลกิ กนั แลว้ ใหก้ ลบั มาสมบรู ณอ์ กี

222 ตอบข้อหารือสำ�นกั งานอัยการสงู สุด

คำ�วินิจฉัยที่ ๑๓๓/๒๕๕๔
เรื่อง หารือความรับผิดของผู้คํ้าประกันสินเชื่อ
กฎหมาย ระเบียบ กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ (การเปิดเลเตอร์ออฟเครดิต
การทำ�ทรัสต์รีซีท) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ๖๘๐, ๖๘๙
หน่วยงานที่หารือ ธนาคารเพื่อการนำ�เข้าและส่งออกแห่งประเทศไทย (ธสน.)

ธสน. ได้ขอหารือสำ�นักงานอัยการสูงสุดกรณี นาย ก. ผู้คํ้าประกันจะสามารถบอกเลิกสัญญา
คํ้าประกันและไถ่ถอนจำ�นองทรัพย์ที่จำ�นองเป็นประกันของบริษัทผู้ซื้อในการเบิกเงินเกินบัญชีเพื่อขอ
เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต และตลอดจนการด�ำ เนินการทำ�ทรัสต์รีซีท โดยมีนาย ก. เป็นผู้คํ้าประกัน และ
ต่อมาผู้ซื้อสินค้าไม่ยอมชำ�ระหนี้ ธสน. จึงได้แจ้งให้บริษัท ชำ�ระพร้อมกับติดตามทวงถามไปยัง
ผคู้ าํ้ ประกนั โดยสำ�นกั งานอยั การสงู สดุ มคี วามเหน็ วา่ เมอ่ื ผคู้ าํ้ ประกนั ยนิ ยอมผกู พนั ตนเพอ่ื ชำ�ระหนแี้ ทน
ลูกหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๘๐ ประกอบ มาตรา ๖๘๑ การคํ้าประกัน
ย่อมสมบูรณ์อยู่ ผู้คํ้าประกันต้องผูกพันตนตามสัญญาคํ้าประกันจนกว่าหนี้ของลูกหนี้จะระงับสิ้นไป
ผู้คํ้าประกันย่อมไม่อาจบอกเลิกสัญญาและไถ่ถอนจำ�นองโดย ธสน. มิได้ยินยอมไม่ได้ แม้นาย ก. จะได้
ทำ�หนังสือโต้แย้งในความไม่สมบูรณ์ของสัญญาสินเชื่อและ ธนส. ต้องรอผลคำ�พิพากษาในคดีที่นาย ก.
ได้ยื่นฟ้องไว้แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ธสน. จะต้องระมัดระวังที่จะใช้สิทธิฟ้องบังคับผู้คํ้าประกันรายที่
เหลือภายในกำ�หนดอายุความ หาก ธสน. มิได้รับชำ�ระหนี้จากบริษัทครบถ้วนก่อนครบกำ�หนด
อายุความฟ้องผู้คํ้าประกัน

ข้อเท็จจริงและปัญหา

ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำ�เข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ได้หารือกรณี นาย ก ผู้คํ้าประกันการ
ชำ�ระหนี้ของบริษัท ขอบอกเลิกสัญญาคํ้าประกัน โดยบริษัท ซึ่งมีนางกมลกาญจน์ กรรมการผู้มีอำ�นาจ
บริษัท ได้ขอสินเชื่อกับ ธสน. และขอให้ ธสน. เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต และ/หรือทำ�ทรัสต์รีซีท (L/C.,
T/R) เพื่อชำ�ระค่าสินค้าให้แก่ผู้ขายในต่างประเทศ ภายใต้เงื่อนไขให้บริษัทสามารถใช้วงเงินทรัสต์รีซีทเพียง
อย่างเดียวได้ หากการนำ�เข้าสินค้ามีเงื่อนไขการชำ�ระเงินแบบ Telegraphic Transfer (T/T) การชำ�ระ
เงินค่าสินค้าของผู้ซื้อให้แก่ผู้ขายโดยการโอนเงิน ต่อมา ธสน. ได้อนุมัติสินเชื่อแก่บริษัท วงเงิน L/C, T/R
จำ�นวน ๒๔ ล้านบาท พร้อมกับให้ทำ� T/R ภายใต้เงื่อนไขการนำ�เข้าแบบ T/T ได้ด้วย โดยต้องนำ�สำ�เนา
B/L และ P/LO มาประกอบการเบิกใช้วงเงิน และจะมีสัญญาต่อเมื่อมีการเบิกใช้วงเงินโดยผู้กู้จะท�ำ ตั๋ว
สัญญาใช้เงินและสัญญาทรัสต์รีซีทเป็นครั้ง ๆ ไป และอนุมัติวงเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี จำ�นวน ๑ ล้านบาท
โดยมี นาย ก และ นางกมลกาญจน์ฯ ทำ�สัญญาคํ้าประกันการชำ�ระหนี้ของบริษัท นอกจากนี้ นาย ก ยัง

อัยการนเิ ทศ 223

นำ�โฉนดที่ดิน ๒ แปลง มาจำ�นองเป็นประกันการชำ�ระหนี้ ต่อมาบริษัทฯ ไม่ยอมชำ�ระหนี้เงินกู้เบิกเกิน
บัญชีและวงเงิน L/C, T/R ในช่วงที่ ๒ ให้แก่ ธสน. และ ธสน. ได้ดำ�เนินการติดตามทวงถามให้บริษัทฯ
และผู้คํ้าประกันชำ�ระหนี้ แต่ได้รับแจ้งจากสำ�นักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่ง
ชาติว่า นาย ก กล่าวหาว่า ธสน. กับพวก กระทำ�ผิดต่อตำ�แหน่งหน้าที่กรณีร่วมกันอนุมัติสินเชื่อผิดระเบียบ
ยินยอมให้บริษัท ใช้เอกสารหลักฐานปลอมเข้าทำ�สัญญาทรัสต์รีซีทโดยไม่ตรวจสอบความแท้จริงของเอกสาร
กำ�กับสินค้าพร้อมเอกสารประกอบโดยนำ�เงินกู้ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ทำ�ให้มีผู้ได้รับความเสียหาย พร้อม
กับแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำ�รวจสอบสวนกลาง และกองบัญชาการปราบ
ปรามการกระทำ�ความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจให้ดำ�เนินคดีกับบริษัท และพวก ในข้อหา
กระทำ�ความผิดอาญาฐานร่วมกันฉ้อโกง ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอม ขณะนี้อยู่ระหว่างด�ำ เนินการ
พร้อมกับ นาย ก ผู้คํ้าประกัน ขอบอกเลิกสัญญาคํ้าประกัน และไถ่ถอนจำ�นอง
ธสน. ขอหารือว่า
๑. นายก. ผู้คํ้าประกันสามารถบอกเลิกสัญญาคํ้าประกันและไถ่ถอนจำ�นองทรัพย์ที่จำ�นองเป็น
ประกันการชำ�ระหนี้ของบริษัท โดยที่บริษัทยังไม่ได้ทำ�การชำ�ระหนี้ให้แก่ ธสน. ได้หรือไม่
๒. ข้อเสนอแนะอื่นๆ ที่ ธสน. ควรดำ�เนินการกับผู้คํ้าประกันรายนี้ในระหว่างที่บริษัทฯ ยังไม่ได้
ทำ�การชำ�ระหนี้ให้แก่ ธสน. จนครบถ้วน รวมทั้งในระหว่างที่การสืบสวนสอบสวนและการดำ�เนินคดีตาม
ขั้นตอนปกติของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องยังไม่แล้วเสร็จ
คำ�วินิจฉัย
สำ�นักงานอัยการสูงสุด ได้แจ้งตอบแก่ ธสน.ดังนี้
๑. การที่นาย ก ผู้คํ้าประกัน อ้างเหตุในการบอกเลิกสัญญา คํ้าประกัน เนื่องจากความไม่สมบูรณ์
ของหนี้สินเชื่อ อันเกิดจากการทุจริตของลูกหนี้และหรืออาจมีพนักงานของธนาคารร่วมสมคบ โดยมิได้
โต้แย้งว่าสัญญาค้ําประกันทำ�ข้ึนไม่ชอบกรณีจึงเป็นเรื่องที่ผู้คํ้าประกันปฏิเสธรับผิดตามภาระค้ําประกันตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๘๑ แต่ไม่เป็นเหตุให้บอกเลิกสัญญาคํ้าประกันได้ ดังนั้น การ
ที่ผู้ค้ําประกันตกลงและยินยอมท�ำ สัญญาค้ําประกันตามสัญญาข้อ ๑ แล้ว ย่อมสมบูรณ์ ซ่ึงผู้ค้ําประกันต้อง
ผูกพันตามสัญญาจนกว่าหนี้ที่คํ้าประกันจะระงับสิ้นไป ตามสัญญาข้อ ๑ และสัญญาข้อ ๓ ก�ำ หนดว่า การ
คํ้าประกันนี้มีอยู่ตลอดไปโดยผู้คํ้าประกันจะเลิกเสียไม่ได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุประการใดๆ ตราบเท่า
ที่ธนาคารยังมิได้รับชำ�ระหนี้ ดังนั้น ผู้คํ้าประกันจึงไม่อาจบอกเลิกสัญญาและไถ่ถอนจำ�นองโดย ธสน. มิได้
ยินยอม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๘๐ และ ๖๘๙ ได้
๒. เนื่องจากความรับผิดตามสัญญาคํ้าประกันยังขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของสัญญาสินเชื่อ และ
ความสมบูรณ์ของหนี้เบิกเงินเกินบัญชีตามสัญญาสินเชื่อ ดังนั้น เมื่อ ธสน. ได้เลือกที่จะฟ้องบริษัท และ
ผู้คํ้าประกันอีก ๒ คน เป็นคดีแพ่งเพื่อบังคับชำ�ระหนี้ โดยยกเว้น นาย ก. ที่ได้ทำ�หนังสือโต้แย้งในประเด็น

224 ตอบขอ้ หารือส�ำ นกั งานอัยการสูงสุด

ความไม่สมบูรณ์ของสัญญาสินเชื่อ และหนี้เบิกเงินเกินบัญชีตามสัญญาดังกล่าว ธนส. จึงต้องรอผล
ค�ำ พพิ ากษาในคดที ย่ี น่ื ฟอ้ งและผลของการสบื สวนสอบสวนและดำ�เนนิ คดตี ามขนั้ ตอนตามปกตขิ องหนว่ ยงาน
ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องถึงความสมบูรณ์ของสัญญาสินเชื่อ และหนี้เบิกเงินเกินบัญชีตามสัญญาสินเชื่อ เพื่อน�ำ
มาประกอบการพิจารณาความรับผิดชอบของผู้คํ้าประกันราย นาย ก. อนึ่ง ธสน. จะต้องระมัดระวังที่จะ
ใช้สิทธิฟ้องบังคับผู้คํ้าประกันรายที่เหลือภายในกำ�หนดอายุความ หาก ธสน. มิได้รับชำ�ระหนี้จากบริษัท
ลูกหนี้ครบถ้วนก่อนครบกำ�หนดอายุความฟ้องผู้คํ้าประกัน

อัยการนิเทศ 225

คำ�วินิจฉัย ๒๔๐/๒๕๕๔
เรื่อง หารือวิธีปฏิบัติในการเข้ารื้อถอนอาสินในพื้นที่ถูกบุกรุก
กฎหมาย ระเบียบ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๕ (๓) ประกอบมาตรา ๓๖๒
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๖
พระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๔ ,๕
พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๗๓(๔)
พระราชบญั ญตั ปิ า่ สงวนแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๑๔,๑๖,๒๕,๓๑
พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย
พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๘
มาตรา ๑๓ ทวิ
พระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๑
มาตรา ๖ ,๙ (๒),๒๙, ๓๒, และ ๓๓
ระเบียบสำ�นักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการบุกรุก
ที่ดินของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๕
ระเบียบสำ�นักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการบุกรุก
ที่ดินของรัฐ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๗
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
หน่วยงานที่หารือ

ขั้นตอนและวิธีปฏิบัติในการเข้ารื้อถอนอาสินในพื้นที่ถูกบุกรุกของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่ง
ประเทศไทย (กฟผ.) ที่ กฟผ. กระบี่ ได้แก่ ๑.ที่ดินที่ได้รับการเพิกถอนสภาพป่าสงวนแห่งชาติเพื่อให้
กฟผ.ใช้ประโยชน์ ๒. ที่ดินสาธารณประโยชน์ที่ กฟผ. ขอใช้จากกระทรวงมหาดไทย และที่ดินป่าสงวน
แห่งชาติซึ่ง กฟผ. ขอใช้ประโยชน์ตามระเบียบของกรมป่าไม้และขอรับประทานบัตร และ ๓. ที่ดินที่
กฟผ.ถือครองเอกสารสิทธิเป็นโฉนดที่ดินและน.ส.๓ นั้น กฟผ. ชอบที่จะด�ำ เนินการตามขั้นตอนของ
กฎหมาย ไม่อาจที่จะเข้าดำ�เนินการรื้อถอนเองได้ เว้นแต่เป็นการดำ�เนินการตาม พระราชบัญญัติการ
ไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๑ มาตรา ๒๙, ๓๒, ๓๓ ที่ให้อ�ำ นาจ กฟผ. ในการรื้อถอนโรง
เรือน ต้นไม้ หรือสิ่งอื่นใด หากปรากฏข้อเท็จจริงว่าสิ่งดังกล่าว กีดขวางการเดินสายไฟฟ้า รวมทั้งอาจ
กอ่ ใหเ้ กดิ ความไมป่ ลอดภยั ในการจา่ ยไฟ แตท่ งั้ นตี้ อ้ งดำ�เนนิ การตามขน้ั ตอนทก่ี ำ�หนดใหค้ รบถว้ นถกู ตอ้ ง
ด้วย โดยกรณีที่ดินที่ได้รับการเพิกถอนสภาพป่าสงวนแห่งชาติ กฟผ. ในฐานะผู้ครอบครองดูแลและใช้
ประโยชน์มีอำ�นาจร้องทุกข์กล่าวโทษผู้บุกรุกเป็นคดีอาญา และด�ำ เนินคดีแพ่งฟ้องขับไล่ผู้บุกรุกออกจาก
ที่ดินได้ ตามแนวทางปฏิบัติของกรมธนารักษ์ เรื่องการดำ�เนินการเกี่ยวกับที่ราชพัสดุ กรณีที่ดินป่าสงวน
แห่งชาติที่ กฟผ. ขอใช้ประโยชน์ตามระเบียบกรมป่าไม้และขอรับประทานบัตรนั้น กฟผ. ในฐานะผู้มี
สิทธิเข้าทำ�ประโยชน์มีอำ�นาจร้องทุกข์กล่าวโทษผู้บุกรุกเป็นคดีอาญาและขอให้ศาลมีคำ�พิพากษาให้

226 ตอบขอ้ หารือสำ�นกั งานอยั การสงู สดุ

ผู้บุกรุกออกจากที่ดินและ ดำ�เนินคดีแพ่งฟ้องขับไล่ผู้บุกรุกหรือใช้อำ�นาจตาม พ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๐๗ และกรณีที่ดินที่ กฟผ.ถือครองเอกสารสิทธิเป็นโฉนดที่ดินและ น.ส. ๓ นั้น กฟผ. ในฐานะ
เจ้าของกรรมสิทธิ์และผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าวมีอ�ำ นาจร้องทุกข์กล่าวโทษผู้บุกรุกเป็นความผิด
อาญาและดำ�เนินคดีแพ่งฟ้องขับไล่ผู้บุกรุกออกจากที่ดินได้

ข้อเท็จจริงและปัญหา
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการเข้ารื้อถอนอาสินในพื้นที่ถูก
บุกรุกของ กฟผ. กระบี่ โดยที่ดินที่ กฟผ. กระบี่ ใช้ประโยชน์อยู่ในปัจจุบันมี ๓ ประเภท ดังนี้
๑. ที่ดินที่ได้รับการเพิกถอนสภาพป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแหลมกรวดและป่าคลองบางผึ้งเพื่อให้ กฟผ.
(ในขณะนั้นคือการลิกไนต์ : กลน.) ใช้ประโยชน์ เนื้อที่ประมาณ ๔,๔๖๒ ไร่
๒. ที่ดินซึ่ง กฟผ. ขอใช้ประโยชน์จากทางราชการประกอบด้วย
๒.๑ ที่ดินสาธารณประโยชน์ที่ขอใช้จากกระทรวงมหาดไทย จำ�นวนประมาณ ๘๔๐ ไร่
๒.๒ ทด่ี นิ ปา่ สงวนแหง่ ชาตปิ า่ แหลมกรวดและปา่ คลองบางผง้ึ ซง่ึ กฟผ. ขอใชป้ ระโยชนต์ ามระเบยี บ
ของกรมปา่ ไม้ และขอรบั ประทานบตั ร รวมทง้ั หมด ๕ แปลง จ�ำ นวนเนอ้ื ทป่ี ระมาณ ๑,๐๑๕ ไร่
๓. ที่ดินที่ กฟผ. จัดซื้อเพิ่มเติมจากราษฎรโดย กฟผ. มีเอกสารสิทธิเป็นโฉนดที่ดินและ น.ส. ๓
จำ�นวนประมาณ ๖๑๑ ไร่
ปรากฏว่ามีราษฎรบุกรุกเข้ามาปลูกต้นยางพารา และต้นปาล์มน้ำ�มันในที่ดินของ กฟผ.
เป็นจำ�นวนหลายร้อยไร่ โดยทั้งหมดไม่ทราบตัวผู้บุกรุกและไม่มีผู้ใดแสดงตนเป็นเจ้าของอาสิน ซึ่ง กฟผ.
จำ�เป็นต้องดำ�เนินการให้มีการรื้อถอนต้นไม้ออกไปจากที่ดินดังกล่าว
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจึงขอหารือ ดังนี้
๑) จากข้อมูลลักษณะการถือครองที่ดินตามข้อ ๑., ๒., และ ๓. ข้างต้น สิทธิ อำ�นาจ หน้าที่ ตาม
กฎหมายของ กฟผ. มีอยู่อย่างไร เหมือนกันหรือต่างกันประการใด และในขั้นตอนการได้มาซึ่งสิทธิในที่ดิน
แต่ละประเภทนั้น มีประเด็นใดที่ยังไม่ได้ดำ�เนินการให้มีผลสมบูรณ์ ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องบ้างหรือไม่
อย่างไร
๒) ในกรณีที่มีการบุกรุกเข้าปลูกผลอาสินในที่ดินที่ กฟผ. ถือครองทั้ง ๓ ประเภทนั้น กฟผ. มีอำ�นาจ
ในการดำ�เนินการทางกฎหมายอย่างไร และ กฟผ. มีสิทธิที่จะเข้าดำ�เนินการรื้อถอนเองได้โดยชอบหรือไม่
๓) สืบเนื่องจากข้อ ๒) หาก กฟผ. สามารถดำ�เนินการเองได้ กฟผ. จะต้องปฏิบัติอย่างไร ขั้นตอน
การเข้าดำ�เนินการรื้อถอนผลอาสินในพื้นที่ถูกบุกรุกตามที่ก�ำ หนดไว้ในสิ่งที่ส่งมาด้วยนั้น เป็นการถูกต้องตาม
กฎหมายแล้วหรือไม่ หรือจะต้องปรับปรุงอย่างไร
๔) ในการดำ�เนินการรื้อถอน กฟผ. สามารถขอกำ�ลังสนับสนุนจากหน่วยงานราชการได้หรือไม่ และ

อยั การนเิ ทศ 227

ในการนี้มีระเบียบของทางราชการกำ�หนดข้อปฏิบัติไว้อย่างไร หรือมีข้อที่ควรปฏิบัติอย่างไรบ้างหรือไม่
ประการใด

ค�ำ วินิจฉัย

๑. ข้อหารอื ที่ ๑ และ ๒
๑.๑ ที่ดินที่ได้รับการเพิกถอนสภาพป่าคุ้มครองป่าแหลมกรวดและป่าคลองบางผึ้ง เพื่อให้ กฟผ.
ใช้ประโยชน์ และ กฟผ. ได้เข้าใช้ประโยชน์ ในที่ดินดังกล่าวแล้วนั้น เป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน และเป็น
ที่ดินราชพัสดุ กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ตาม พระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา
๔ และ ๕ หากมีผู้ใดบุกรุกเข้าไปปลูกพืชผลอาสินในที่ดินดังกล่าว อันเป็นการรบกวนการครอบครอง กฟผ.
มีสิทธิ อำ�นาจและหน้าที่ตามกฎหมายในฐานะผู้ครอบครองดูแลและใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวที่จะร้อง
ทุกข์กล่าวโทษผู้บุกรุกเป็นความผิดอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๕ (๓) ประกอบมาตรา
๓๖๒ ( ฎ. ๑๑๔๒ /๒๕๔๘) และด�ำ เนนิ คดแี พง่ ฟอ้ งขบั ไลผ่ บู้ กุ รกุ ออกจากทด่ี นิ ได้ ทง้ั น้ี ให้ กฟผ. ถอื ปฏบิ ตั ติ าม
หนงั สอื กรมธนารกั ษท์ ่ี กค. ๐๔๐๖/๐๖๕ ลงวนั ท่ี ๗ กรกฎาคม ๒๕๒๔ เรอ่ื งการด�ำ เนนิ คดเี กย่ี วกบั ทร่ี าชพสั ดุ
๑.๒ ที่ดิน ซ่งึ กฟผ. ขอใชป้ ระโยชน์จากทางราชการ ซง่ึ ประกอบดว้ ย
(๑) ที่ดินสาธารณประโยชน์ที่ขอใช้จากกระทรวงมหาดไทยเนื่องจากมีเพียงเอกสารการแจ้งให้
นายอ�ำ เภอเมอื งกระบ่ี จ.กระบี่ ทราบวา่ โครงการเหมอื งและไฟฟา้ ลกิ ไนตก์ ระบจ่ี ำ�เปน็ ตอ้ งเขา้ ไปใชท้ ดี่ นิ รกรา้ ง
ว่างเปลา่ ซ่งึ อยใู่ นความครอบครองดูแลของกระทรวงมหาดไทยเท่านนั้ จงึ ไม่มขี อ้ มูลแนช่ ัดเก่ยี วกับเง่อื นไขใน
การอนญุ าตใหใ้ ช้ประโยชน์ในที่ดนิ ดงั กลา่ ว จงึ ไมส่ ามารถตอบขอ้ หารอื เกย่ี วกับสทิ ธิ อ�ำ นาจ และหนา้ ที่ตาม
กฎหมายของ กฟผ. รวมถึงความสมบูรณ์ของการไดม้ าซง่ึ สทิ ธิในที่ดินดงั กลา่ วในข้อนไี้ ด้
(๒) ทดี่ นิ ปา่ สงวนแหง่ ชาตปิ า่ แหลมกรวดและปา่ คลองบางผงึ้ ซงึ่ กฟผ.ขอใชป้ ระโยชนต์ ามระเบยี บ
ของกรมปา่ ไมแ้ ละขอรบั ประทานบตั รนน้ั หากขอ้ เทจ็ จรงิ ไดค้ วามวา่ กฟผ.ยงั คงไดร้ บั อนญุ าตใหเ้ ขา้ ใชป้ ระโยชน์
ในทดี่ นิ ดงั กลา่ ว ตามพระราชบญั ญตั ปิ า่ สงวนแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๑๖ และ พระราชบญั ญตั แิ ร่ พ.ศ.
๒๕๑๐ หากมผี บู้ กุ รกุ เขา้ มาปลกู พชื ผลอาสนิ ในทดี่ นิ ประเภทดงั กลา่ ว กฟผ. ในฐานะผมู้ สี ทิ ธเิ ขา้ ทำ�ประโยชน์
ในทด่ี นิ แปลงดงั กลา่ ว มอี ำ�นาจทจ่ี ะรอ้ งทกุ ขก์ ลา่ วโทษผบู้ กุ รกุ เปน็ ความผดิ อาญา และขอใหศ้ าลมคี ำ�พพิ ากษา
ใหผ้ ู้บุกรกุ ออกจากทด่ี ินตาม พระราชบญั ญัติป่าสงวนแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๑๔ และ มาตรา ๓๑
และดำ�เนินคดีแพ่งขอให้ศาลมีคำ�สั่งห้ามมิให้ผู้บุกรุกโต้แย้งหรือขัดขวางสิทธิในการทำ�เหมือง ตาม พระราช
บัญญัตแิ ร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๗๓ (๔) ไดเ้ อง หรือจะขอให้กรมป่าไมด้ �ำ เนนิ คดแี พ่งฟ้องขบั ไล่ผูบ้ ุกรกุ ออก
จากทด่ี ิน หรือใช้อ�ำ นาจตาม พระราชบญั ญัตปิ า่ สงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๒๕ ไดอ้ กี ทางหน่งึ
(๓) ทด่ี นิ ปา่ สงวนแหง่ ชาตปิ า่ แหลมกรวดและปา่ คลองบางผง้ึ ซง่ึ กฟผ. ขอเขา้ ท�ำ ประโยชนเ์ พอ่ื กอ่ สรา้ ง
ฝายนา้ํ ลน้ และพื้นท่ีกักเกบ็ น้ําเพื่อโรงงานพลงั งานความรอ้ นจงั หวดั กระบี่ และขอใชเ้ ป็นพ้นื ทีอ่ า่ งเกบ็ น้าํ และ
พนื้ ทข่ี อบอา่ งนน้ั สทิ ธิ หนา้ ทแ่ี ละเงอื่ นไขการเขา้ ใชป้ ระโยชนข์ อง กฟผ. ใหเ้ ปน็ ไปตามหลกั เกณฑ์ วธิ กี าร และ

228 ตอบขอ้ หารอื ส�ำ นักงานอัยการสงู สุด

เงอ่ื นไขแนบทา้ ยประกาศกรมปา่ ไมเ้ รอื่ ง ก�ำ หนดบรเิ วณพน้ื ทใ่ี หส้ ว่ นราชการหรอื องคก์ ารของรฐั เขา้ ใชป้ ระโยชน์
ภายในเขตปา่ สงวนแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี ๑๕/๒๕๔๗ ลงวนั ที่ ๗ เมษายน ๒๕๔๗ สว่ นขน้ั ตอนไดม้ าซงึ่ สทิ ธใิ นทดี่ นิ
ดงั กลา่ วหาก กฟผ. ไดด้ �ำ เนนิ การตามขน้ั ตอนตามประกาศของกรมปา่ ไมท้ อ่ี นญุ าตให้ กฟผ. ใชป้ ระโยชน์ ตาม
มาตรา ๑๓ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ
ปา่ สงวนแหง่ ชาติ (ฉบบั ท่ี ๓) พ.ศ. ๒๕๒๘ แลว้ กม็ ผี ลสมบรู ณต์ ามกฎหมาย สว่ นกรณหี ากมผี บู้ กุ รกุ เขา้ มาปลกู
พืชอาสิน กฟผ. กม็ อี �ำ นาจทจี่ ะร้องทุกขก์ ลา่ วโทษผบู้ ุกรุกเปน็ ความผิดอาญา และขอให้ศาลมคี ำ�สั่งให้ผู้บกุ รกุ
ออกจากทดี่ นิ ตามพระราชบญั ญตั ปิ า่ สงวนแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๑๔ และมาตรา ๓๑ และขอใหก้ รม
ปา่ ไมด้ ำ�เนนิ คดแี พง่ ฟอ้ งขบั ไลผ่ บู้ กุ รกุ ออกจากทด่ี ิน หรอื ใช้อำ�นาจตามพระราชบญั ญัตปิ ่าสงวนแหง่ ชาติ พ.ศ.
๒๕๐๗ มาตรา ๒๕ เช่นเดียวกับกรณที ่ี ๓
๑.๓ ทด่ี นิ ซง่ึ มเี อกสารสทิ ธเิ ปน็ โฉนดทดี่ นิ และน.ส. ๓ นน้ั เปน็ การถอื กรรมสทิ ธแิ์ ละสทิ ธคิ รอบครอง
ในการประกอบกิจการของ กฟผ. เพือ่ ใหเ้ ป็นไปตามขอบแห่งวตั ถุประสงค์ตามพระราชบัญญตั ิการไฟฟ้าฝ่าย
ผลติ แหง่ ประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๑ มาตรา ๖ และมาตรา ๙ (๒) โดยทด่ี นิ ดงั กลา่ วถอื เปน็ อสงั หารมิ ทรพั ยข์ อง
รฐั วสิ าหกจิ ทเ่ี ปน็ นติ บิ คุ คล จงึ ไมเ่ ปน็ ทรี่ าชพสั ดุ ตามพระราชบญั ญตั ทิ รี่ าชพสั ดุ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๔ กฟผ.
จึงมสี ิทธิ อ�ำ นาจและหนา้ ท่ตี ามกฎหมายในฐานะเจ้าของกรรมสิทธ์ิและผู้มีสิทธิครอบครองทีด่ ินดงั กลา่ วตาม
ประมวลกฎหมายที่ดนิ และประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์มาตรา ๑๓๓๖ รอ้ งทกุ ขก์ ล่าวโทษผู้บุกรกุ เป็น
ความผิดอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๖๕ (๓) ประกอบมาตรา ๓๖๒ และดำ�เนินคดีแพง่ ฟอ้ ง
ขบั ไลผ่ บู้ กุ รกุ ออกจากทด่ี นิ ได้ สว่ นความสมบรู ณข์ องการไดม้ าซง่ึ สทิ ธใิ นทด่ี นิ ดงั กลา่ วหาก กฟผ. ไดอ้ อกเอกสาร
สทิ ธิซ่ึงเปน็ โฉนดท่ดี ินและ น.ส. ๓ ดังกลา่ วครบถ้วนถกู ต้องตามระเบยี บแลว้ ก็มีผลสมบรู ณ์ตามกฎหมาย
ส�ำ หรบั ขนั้ ตอนการด�ำ เนนิ การรอื้ ถอนนนั้ กฟผ. ชอบทจ่ี ะด�ำ เนนิ การตามขนั้ ตอนของกฎหมายไมอ่ าจ
ท่ีจะเข้าดำ�เนินการรื้อถอนเองได้ เว้นแต่เป็นการดำ�เนินการตาม พระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่ง
ประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๑ มาตรา ๒๙, ๓๒, ๓๓ ที่ใหอ้ �ำ นาจ กฟผ. ในการรอื้ ถอนโรงเรอื น ต้นไม้ หรอื สิ่งอืน่
ใด หากปรากฏข้อเทจ็ จรงิ ว่าสงิ่ ดังกลา่ ว กดี ขวางการเดินสายไฟฟา้ รวมทัง้ อาจก่อใหเ้ กิดความไมป่ ลอดภยั ใน
การจา่ ยไฟแต่ทงั้ นตี้ อ้ งด�ำ เนนิ การตามขน้ั ตอนทก่ี �ำ หนดไว้ในพระราชบญั ญัตดิ ังกล่าวให้ครบถว้ นถูกต้องด้วย
๒.ขอ้ หารอื ท่ี ๓ และขอ้ หารอื ท่ี ๔ เปน็ การหารอื ในทางปฏบิ ตั มิ ใิ ชก่ ารหารอื ในขอ้ กฎหมาย โดยมขี น้ั
ตอนการด�ำ เนนิ การทส่ี ามารถหารอื ผบู้ งั คบั บญั ชาไดอ้ ยแู่ ลว้ และในสว่ นทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ระเบยี บปฏบิ ตั ขิ องหนว่ ย
งานอน่ื กส็ ามารถหารอื กบั หนว่ ยงานนน้ั โดยตรงได้ เหน็ ควรไมต่ อบขอ้ หารอื ในประเดน็ น้ี
อนึ่ง กรณีน้ีเป็นปัญหาเก่ียวกับการบุกรุกท่ีดินของภาครัฐ ซึ่งอาจต้องมีการด�ำ เนินการแก้ไขปัญหา
ตา่ งๆ ตามมาตรการของคณะกรรมการแกไ้ ขปญั หาการบกุ รกุ ทดี่ นิ ของรฐั (กบร.) หรอื คณะอนกุ รรมการแกไ้ ข
ปญั หาการบกุ รกุ ทดี่ นิ ของรฐั (กบร.จงั หวดั ) เชน่ กรณกี ารพสิ จู นส์ ทิ ธกิ ารครอบครองทด่ี นิ ของบคุ คลในเขตทดี่ นิ
ของรฐั เปน็ ตน้ ดงั นน้ั เพอ่ื ใหก้ ารแกไ้ ขปญั หาและปอ้ งกนั การบกุ รกุ ทด่ี นิ ของรฐั ท่ี กฟผ. ครอบครองใชป้ ระโยชนอ์ ยู่
เป็นไปตามกฎหมาย คำ�สั่ง ระเบยี บ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เก่ียวข้อง ตามทก่ี ำ�หนดไว้ในระเบียบ
สำ�นักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๕ และระเบียบสำ�นักนายก

อยั การนเิ ทศ 229

รฐั มนตรวี า่ ดว้ ยการแกไ้ ขปญั หาการบกุ รกุ ทดี่ นิ ของรฐั (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๔๗ กฟผ. จงึ ควรหารอื กบร. หรอื
กบร. จงั หวัด ในประเด็นท่เี กย่ี วขอ้ งดว้ ย

230 ตอบข้อหารือส�ำ นักงานอัยการสงู สุด


Click to View FlipBook Version