ศาลอทุ ธรณพ์ พิ ากษาแกเ้ ปน็ วา่ จ�ำ เลยมคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 279 วรรคสอง
ลงโทษจ�ำ คกุ กระทงละ 3 ปี รวมจ�ำ คกุ 12 ปี ใหย้ กฟอ้ งในความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295
นอกจากทแ่ี กใ้ หเ้ ปน็ ไปตามค�ำ พพิ ากษาศาลชน้ั ตน้
โจทกฎ์ กี า
ศาลฎกี าพเิ คราะหแ์ ลว้ เหน็ วา่ คดนี โ้ี จทกย์ น่ื ฟอ้ งเมอ่ื วนั ท่ี 15 กมุ ภาพนั ธ์ 2548 ศาลชน้ั ตน้ นดั แถลง
เปดิ คดโี จทกแ์ ละตรวจพยานหลกั ฐานในวนั ท่ี 14 มนี าคม 2548 ในวนั ดงั กลา่ วโจทกข์ อสง่ ประเดน็ ไปสบื พยาน
ซง่ึ เปน็ ผเู้ สยี หายทง้ั สองรวมทง้ั พยานโจทกป์ ากอน่ื อกี 4 ปาก ทศ่ี าลจงั หวดั สงขลาในวนั ท่ี 9 พฤษภาคม 2548
ถงึ วนั นดั ศาลจงั หวดั สงขลาสบื พยานประเดน็ โจทกไ์ ด้ 2 ปาก ผแู้ ทนโจทกแ์ ถลงวา่ สำ�หรบั พยานโจทก์ 3 ปาก
คอื ผเู้ สยี หายทง้ั สองและเดก็ ชาย จ. ผแู้ ทนโจทกไ์ ดร้ บั หนงั สอื จากสถานตี �ำ รวจภธู ร อ�ำ เภอหาดใหญฉ่ บบั ลงวนั ท่ี
2 พฤษภาคม 2548 แจง้ วา่ ไมส่ ามารถสง่ หมายเรยี กใหพ้ ยานโจทกท์ ง้ั สามปากได้ เนอ่ื งจากยา้ ยทอ่ี ยไู่ ปแลว้
ไมท่ ราบวา่ ไปอยทู่ ใ่ี ด ขอสง่ ประเดน็ คนื เฉพาะพยานโจทกท์ ง้ั สามปากดงั กลา่ ว โดยยงั ตดิ ใจสบื พยานประเดน็ โจทก์
อกี เพยี ง 1 ปาก ศาลจงั หวดั สงขลาจงึ ใหเ้ ลอ่ื นไปสบื พยานประเดน็ โจทกใ์ นวนั ท่ี 20 มถิ นุ ายน 2548 ครน้ั ถงึ วนั
นดั สบื พยานประเดน็ โจทก์ 1 ปาก ผแู้ ทนโจทกแ์ ถลงหมดพยานทจ่ี ะสบื ขอสง่ ประเดน็ คนื ศาลจงั หวดั สงขลานดั
พรอ้ มเพอ่ื ฟงั ประเดน็ กลบั ในวนั ท่ี 18 กรกฎาคม 2548 ถงึ วนั นดั ฟงั ประเดน็ กลบั ศาลชน้ั ตน้ ตรวจส�ำ นวนไม่
ปรากฏรายงานการสง่ หมาย ไมท่ ราบวา่ คคู่ วามทราบวนั นดั หรอื ไมเ่ มอ่ื มกี ารนดั สบื พยานโจทกไ์ วแ้ ลว้ ในวนั ท่ี 21
กุมภาพันธ์ 2549 จึงให้นัดฟังประเด็นกลับในวันนัดสืบพยานโจทก์ด้วย ถึงวันนัดโจทก์แถลงว่าเนื่องจาก
พนั ต�ำ รวจตรี ว. ซง่ึ เปน็ พนกั งานสอบสวนในคดนี ไ้ี ปชว่ ยราชการ อยทู่ ศ่ี นู ยป์ ฏบิ ตั กิ ารสำ�นกั งานต�ำ รวจแหง่ ชาตสิ ว่ น
หนา้ จงั หวดั ยะลา ขอสง่ ประเดน็ ไปสบื พยานโจทกท์ ศ่ี าลจงั หวดั ปตั ตานี ส�ำ หรบั พยานปากผเู้ สยี หายทง้ั สองและ
เดก็ ชาย จ. มภี มู ลิ �ำ เนาอยทู่ จ่ี งั หวดั ปตั ตานี ซง่ึ พนั ต�ำ รวจตรี ว. แจง้ วา่ สามารถตดิ ตามพยานทง้ั สามปากดงั กลา่ ว
ใหไ้ ปเบกิ ความทศ่ี าลจงั หวดั ปตั ตานไี ด้ ถา้ หากไมส่ ามารถนำ�พยานไปสบื ไดข้ อใหศ้ าลชน้ั ตน้ สง่ั ตามทเ่ี หน็ สมควร
ศาลชน้ั ตน้ เหน็ วา่ พยานโจทกท์ ง้ั สป่ี ากเปน็ พยานสำ�คญั ในคดจี งึ ใหส้ ง่ ประเดน็ ไปสบื พยานโจทกท์ ศ่ี าลจงั หวดั
ปตั ตานใี นวนั ท่ี 8 พฤษภาคม 2549 ถงึ วนั นดั ศาลจงั หวดั ปตั ตานสี บื พยานประเดน็ โจทกป์ ากเดก็ ชาย จ. ได้ 1
ปาก ผแู้ ทนโจทกแ์ ถลงวา่ ผเู้ สยี หายทง้ั สองไมม่ าศาลโดยไมท่ ราบผลการสง่ หมาย ส�ำ หรบั พนั ต�ำ รวจตรี ว. ยงั ไม่
ไดข้ อหมายเรยี ก ขอเลอ่ื นไปสบื พยานประเดน็ โจทกใ์ นวนั ท่ี 30 มถิ นุ ายน 2549 ถงึ วนั นดั ผแู้ ทนโจทกแ์ ถลงวา่
พยานทม่ี าศาลมเี พยี ง พนั ต�ำ รวจตรี ว. สว่ นผเู้ สยี หายทง้ั สองไมส่ ามารถตดิ ตอ่ ได้ ผแู้ ทนโจทกป์ ระสงคจ์ ะสบื
ผเู้ สยี หายทง้ั สองกอ่ นพนกั งานสอบสวน ขอเลอ่ื นไปสบื พยานประเดน็ โจทกใ์ นวนั ท่ี 3 สงิ หาคม 2549 เมอ่ื ถงึ
วนั นดั สบื พยานประเดน็ โจทกไ์ ด้ 1 ปาก ผแู้ ทนโจทกแ์ ถลงวา่ พนกั งานสอบสวนตรวจสอบทอ่ี ยตู่ ามทะเบยี น
ราษฎรของผเู้ สยี หายทง้ั สองแลว้ ปรากฏวา่ นางสาว ร. ผเู้ สยี หายท่ี 2 เปลย่ี นชอ่ื แลว้ ยา้ ยไปอยทู่ ก่ี รงุ เทพมหานคร
แลว้ ยา้ ยออกจากบา้ นดงั กลา่ วโดยมไิ ดย้ า้ ยเขา้ บา้ นเลขทใ่ี ดท�ำ ใหไ้ มส่ ามารถตรวจสอบไดว้ า่ ปจั จบุ นั อยทู่ ใ่ี ด ส�ำ หรบั
เดก็ หญงิ ซ. ผเู้ สยี หายท่ี 1 สบื ทราบวา่ ไปอยกู่ บั ผเู้ สยี หายท่ี 2 และไมม่ ชี อ่ื ในทะเบยี นราษฎร ขอสง่ ประเดน็ คนื
เมอ่ื คคู่ วามแถลงวา่ ศาลชน้ั ตน้ นดั สบื พยานจำ�เลยในวนั ท่ี 29 สงิ หาคม 2549 ศาลจงั หวดั ปตั ตานจี งึ สง่ ประเดน็
คนื และนดั ฟงั ประเดน็ กลบั ในวนั ดงั กลา่ ว ถงึ วนั นดั ฟงั ประเดน็ กลบั ผแู้ ทนโจทกแ์ ถลงวา่ ไมส่ ามารถตดิ ตอ่ ผเู้ สยี หาย
อัยการนิเทศ 95
ทง้ั สองมาเบกิ ความตอ่ ศาลไดใ้ หอ้ ยใู่ นดลุ พนิ จิ ของศาลทจ่ี ะพจิ ารณา ทนายจ�ำ เลยแถลงขอใหง้ ดสบื พยานโจทก์
ทง้ั สองปาก ศาลชน้ั ตน้ พเิ คราะหแ์ ลว้ เหน็ วา่ ตามพฤตกิ ารณโ์ จทกไ์ มอ่ าจไดต้ วั ผเู้ สยี หายทง้ั สอง มาเบกิ ความ จงึ
ใหง้ ดสบื พยานโจทกท์ ง้ั สองปาก โจทกแ์ ถลงหมดพยาน ศาลชน้ั ตน้ จงึ ใหเ้ ลอ่ื นไปสบื พยานจำ�เลย เหน็ วา่ โจทกม์ ี
เวลาทจ่ี ะตดิ ตามผเู้ สยี หายทง้ั สองมาเบกิ ความตอ่ ศาลนบั แตว่ นั ฟอ้ งถงึ วนั นดั ฟงั ประเดน็ กลบั จากศาลจงั หวดั
ปตั ตานเี ปน็ เวลา 1 ปี 6 เดอื น การตดิ ตามผเู้ สยี หายทง้ั สองมาเบกิ ความ คงมเี พยี งผแู้ ทนโจทกแ์ ละพนั ต�ำ รวจตรี
ว. มาแถลงลอย ๆ วา่ พนั ต�ำ รวจตรี ว. ไดส้ บื หาจากคนในละแวกบา้ นของผเู้ สยี หายทง้ั สองแลว้ ทราบวา่ ไปท�ำ งาน
อยทู่ อ่ี �ำ เภอหาดใหญจ่ งึ ไดต้ ดิ ตามไปทท่ี �ำ งานของผเู้ สยี หายท่ี 2 แตป่ รากฏวา่ ผเู้ สยี หายท่ี 2 ไดล้ าออกจากงาน
แลว้ ไมไ่ ดแ้ จง้ วา่ ยา้ ยไปอยทู่ ใ่ี ด จงึ ตรวจสอบทอ่ี ยตู่ ามทะเบยี นราษฎรของผเู้ สยี หายทง้ั สองแลว้ พบวา่ ผเู้ สยี หาย
ที่ 2 เปลี่ยนชื่อและที่อยู่โดยย้ายไปอยู่ที่กรุงเทพมหานคร แล้วแจ้งย้ายออกจากทะเบียนบ้านดังกล่าว
และไมไ่ ดแ้ จง้ ยา้ ยเขา้ บา้ นเลขทใ่ี ด ท�ำ ใหไ้ มส่ ามารถตรวจสอบไดว้ า่ ปจั จบุ นั อยทู่ ใ่ี ด เชน่ เดยี วกบั ผเู้ สยี หายท่ี 1
ทราบวา่ ไปอยกู่ บั ผเู้ สยี หายท่ี 2 ดงั นน้ั การทไ่ี มไ่ ดต้ วั ผเู้ สยี หายท่ี 1 มาเบกิ ความ จงึ ยงั ถอื ไมไ่ ดว้ า่ เปน็ กรณที ม่ี เี หตุ
จ�ำ เปน็ อยา่ งยง่ิ ศาลจงึ ไมส่ ามารถรบั ฟงั สอ่ื ภาพและเสยี งค�ำ ใหก้ ารของผเู้ สยี หายท่ี 1 ในชน้ั สอบสวนเสมอื นหนง่ึ
เปน็ ค�ำ เบกิ ความของผเู้ สยี หายท่ี 1 ในชน้ั พจิ ารณาของศาลตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา
172 ตรี วรรคทา้ ยได้ คงรบั ฟงั ในฐานะพยานบอกเลา่ ตามธรรมดาเทา่ นน้ั
พพิ ากษาแกเ้ ปน็ วา่ จ�ำ เลยมคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง เพยี งกระทง
เดยี ว จ�ำ คกุ 3 ปี นอกจากทแ่ี กใ้ หเ้ ปน็ ไปตามค�ำ พพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์
96 ค�ำ พิพากษาศาลฎีกา
ค�ำ พพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 6561/2554
พ.ร.บ. วิธีดำ�เนินการคุมความประพฤติตามประมาลกฎหมายอาญา
พ.ศ. ๒๕๒๒ (มาตรา ๑๓)
การทศ่ี าลชน้ั ตน้ มคี �ำ สง่ั ใหพ้ นกั งานคมุ ประพฤตสิ บื เสาะและพนิ จิ จ�ำ เลยกเ็ พอ่ื ตอ้ งการทราบขอ้ เทจ็ จรงิ
เพื่อนำ�มาประกอบการพิจารณาเรื่องโทษและวิธีการที่จะดำ�เนินการแก่จำ�เลย มิใช่มีคำ�สั่งให้พนักงาน
คมุ ประพฤตสิ บื พยานวา่ จำ�เลยกระท�ำ ความผดิ ตามฟอ้ งหรอื ไม่ และศาลจะนำ�ขอ้ เทจ็ จรงิ จากรายงานของ
พนกั งานคมุ ประพฤตมิ ารบั ฟงั วา่ การกระท�ำ ของจ�ำ เลยเปน็ การผดิ สญั ญาทางแพง่ และยกฟอ้ งโจทกไ์ มไ่ ด้
พนกั งานอยั การจงั หวดั มหาสารคาม โจทก์
ระหวา่ ง
นางสมยั ทบั ปญั ญา จ�ำ เลย
โจทกฟ์ อ้ งวา่ จ�ำ เลยเบยี ดบงั เอาโคของผเู้ สยี หายไปขายใหแ้ กผ่ มู้ ชี อ่ื แลว้ นำ�เงนิ ทข่ี ายทรพั ยไ์ ดไ้ ปใช้
ประโยชนข์ องจ�ำ เลยโดยทจุ รติ ขอใหล้ งโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒ และใหจ้ �ำ เลยคนื โค ๒
ตวั หรอื ใชร้ าคาทรพั ยท์ ย่ี งั ไมไ่ ดค้ นื เปน็ เงนิ ๒๘,๑๖๐ บาท
จ�ำ เลยใหก้ ารปฏเิ สธ แตก่ อ่ นสบื พยาน จ�ำ เลยขอถอนค�ำ ใหก้ ารเดมิ และใหก้ ารใหมเ่ ปน็ รบั สารภาพ
ศาลชน้ั ตน้ พจิ ารณาแลว้ เหน็ วา่ กรณเี ปน็ การผดิ สญั ญาทางแพง่ ไมเ่ ปน็ ความผดิ ฐานยกั ยอก พพิ ากษา
ยกฟอ้ ง สว่ นทรพั ยท์ โ่ี จทกข์ อใหจ้ �ำ เลยคนื หรอื ใชร้ าคานน้ั ไมใ่ ชท่ รพั ยท์ ผ่ี เู้ สยี หายสญู เสยี ไปเนอ่ื งจากการกระทำ�
ผดิ ฐานยกั ยอกใหย้ กค�ำ ขอของโจทกใ์ นสว่ นน้ี
โจทกอ์ ทุ ธรณ์
ศาลอทุ ธรณภ์ าค ๔ วนิ จิ ฉยั วา่ การกระท�ำ ของจ�ำ เลยเปน็ ความผดิ อาญาดงั ทโ่ี จทกฟ์ อ้ ง พพิ ากษากลบั
วา่ จ�ำ เลยมคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒ วรรคแรก จำ�คกุ ๖ เดอื น และปรบั ๒,๐๐๐ บาท
จ�ำ เลยใหก้ ารรบั สารภาพ มเี หตบุ รรเทาโทษ ลดโทษใหก้ ง่ึ หนง่ึ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำ�คกุ
๓ เดอื น และปรบั ๑,๐๐๐ บาท โทษจ�ำ คกุ ใหร้ อการลงโทษไวม้ กี �ำ หนด ๑ ปี ใหจ้ �ำ เลยคนื โคเนอ้ื ๒ ตวั หรอื ใช้
ราคาเปน็ เงนิ ๒๖,๑๖๐ บาท แกผ่ เู้ สยี หาย
จ�ำ เลยฎกี า
อัยการนเิ ทศ 97
ศาลฎกี าตรวจส�ำ นวนประชมุ ปรกึ ษาแลว้ โจทกฟ์ อ้ งวา่ จ�ำ เลยยกั ยอกโคของผเู้ สยี หายและใหจ้ �ำ เลยคนื
โค ๒ ตวั หรอื ใชร้ าคาทรพั ยท์ ย่ี งั ไมไ่ ดค้ นื เปน็ เงนิ ๒๘,๑๖๐ บาท แกผ่ เู้ สยี หาย จ�ำ เลยใหก้ ารรบั สารภาพตามฟอ้ ง
โจทกจ์ �ำ เลยแถลงไมต่ ดิ ใจสบื พยาน ศาลชน้ั ตน้ มคี �ำ สง่ั ใหส้ บื เสาะและพนิ จิ จ�ำ เลยกอ่ นพพิ ากษา ดงั น้ี การทศ่ี าล
ชน้ั ตน้ มคี �ำ สง่ั ใหพ้ นกั งานคมุ ประพฤตสิ บื เสาะและพนิ จิ จำ�เลยกเ็ พอ่ื ตอ้ งการทราบขอ้ เทจ็ จรงิ เพอ่ื นำ�มาประกอบ
ดลุ พนิ จิ วา่ สมควรก�ำ หนดโทษแกจ่ �ำ เลยสถานใด เพยี งใด และเพอ่ื ก�ำ หนดวธิ กี ารหรอื เงอ่ื นไขอนั สมควรและเหมาะ
สมทจ่ี ะปฏบิ ตั ติ อ่ จ�ำ เลยตอ่ ไปเทา่ นน้ั มใิ ชม่ คี ำ�สง่ั ใหพ้ นกั งานคมุ ประพฤตสิ บื พยานวา่ จำ�เลยกระท�ำ ความผดิ ตาม
ฟอ้ งหรอื ไม่ ทง้ั ศาลกไ็ มม่ อี �ำ นาจสง่ั ใหพ้ นกั งานคมุ ประพฤตปิ ฏบิ ตั เิ ชน่ นน้ั แมต้ ามพระราชบญั ญตั วิ ธิ ดี �ำ เนนิ การ
คมุ ความประพฤตติ ามประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๓ ศาลจะมอี ำ�นาจรบั ฟงั รายงานของ
พนกั งานคมุ ประพฤตติ ามมาตรา ๑๑ โดยไมต่ อ้ งมพี ยานบคุ คลประกอบกต็ าม แตก่ เ็ ปน็ การรบั ฟงั เพอ่ื ประกอบ
การพจิ ารณาเรอ่ื งโทษและวธิ กี ารทจ่ี ะดำ�เนนิ การแกจ่ �ำ เลยเทา่ นน้ั มไิ ดเ้ ปน็ การรบั ฟงั ในฐานะเปน็ พยานหลกั ฐาน
ทจ่ี ะน�ำ มาวนิ จิ ฉยั การกระท�ำ ทถ่ี กู ฟอ้ งดว้ ย จงึ น�ำ ขอ้ เทจ็ จรงิ จากรายงานของพนกั งานคมุ ประพฤตมิ ารบั ฟงั วา่ การ
กระท�ำ ของจ�ำ เลยเปน็ การผดิ สญั ญาทางแพง่ และยกฟอ้ งโจทกไ์ มไ่ ด้ ทง้ั คดนี ม้ี ใิ ชค่ ดที ก่ี ฎหมายกำ�หนดอตั ราโทษ
อย่างตํ่าไว้ให้จำ�คุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น เมื่อจำ�เลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง
ศาลอทุ ธรณภ์ าค ๔ ยอ่ มพพิ ากษาลงโทษจ�ำ เลยตามฟอ้ ง โดยไมส่ บื พยานหลกั ฐานตอ่ ไปกไ็ ดต้ ามประมวลกฎหมาย
วธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๗๖ วรรคหนง่ึ ประกอบดว้ ยพระราชบญั ญตั ใิ หน้ �ำ วธิ พี จิ ารณาความอาญาใน
ศาลแขวงมาใชบ้ งั คบั ในศาลจงั หวดั พ.ศ. ๒๕๒๐ มาตรา ๓ และพระราชบญั ญตั จิ ดั ตง้ั ศาลแขวงและวธิ พี จิ ารณา
ความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๔ คำ�พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๔ ชอบแล้ว ฎีกาของจำ�เลย
ฟังไม่ขึ้น
พพิ ากษายนื
98 ค�ำ พิพากษาศาลฎีกา
ค�ำ พพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 11440/2553
พ.ร.บ. วธิ พี จิ ารณาคดยี าเสพตดิ พ.ศ. ๒๕๕๐ (มาตรา ๑๘ วรรคหนง่ึ )
จ�ำ เลยเสพยาเสพตดิ ใหโ้ ทษในขณะเปน็ ผขู้ บั รถ เปน็ คดคี วามผดิ เกย่ี วกบั ยาเสพตดิ คำ�พพิ ากษา
หรอื ค�ำ สง่ั ของศาลอทุ ธรณใ์ นการกระท�ำ ซง่ึ เปน็ ความผดิ เกย่ี วกบั ยาเสพตดิ ดงั กลา่ วจงึ เปน็ ทส่ี ดุ ตามพระราช
บญั ญตั วิ ธิ พี จิ ารณาคดยี าเสพตดิ พ.ศ. 2550 มาตรา 18 วรรคหนง่ึ ตอ้ งหา้ มมใิ หค้ คู่ วามฎกี าทง้ั ในปญั หา
ขอ้ เทจ็ จรงิ และขอ้ กฎหมาย เวน้ แตจ่ ะไดร้ บั อนญุ าตใหฎ้ กี าจากศาลฎกี ากอ่ น
การขออนญุ าตตอ้ งท�ำ เปน็ ค�ำ ขอโดยท�ำ เปน็ ค�ำ รอ้ งยน่ื ไปพรอ้ มกบั ฎกี าตอ่ ศาลฎกี าภายในก�ำ หนดหนง่ึ
เดอื นนบั แตว่ นั อา่ นหรอื ถอื วา่ ไดอ้ า่ นค�ำ พพิ ากษาหรอื ค�ำ สง่ั ของศาลอทุ ธรณใ์ หผ้ ขู้ ออนญุ าตฎกี าฟงั
พนกั งานอยั การจงั หวดั บรุ รี มั ย ์ โจทก์
ระหวา่ ง
นายอนชุ ติ บญุ จนั ทร ์ จ�ำ เลย
โจทกฟ์ อ้ งวา่ เมอ่ื วนั ท่ี 28 กรกฎาคม 2551 เวลากลางวนั จ�ำ เลยซง่ึ เปน็ ผไู้ ดร้ บั ใบอนญุ าตขบั ขจ่ี าก
นายทะเบยี นจงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยาใหเ้ ปน็ ผขู้ บั รถยนตส์ ว่ นบคุ คลใบอนญุ าตเลขท่ี 50006375 และเปน็
ผขู้ บั รถยนต์ หมายเลขทะเบยี น กจ 803 พระนครศรอี ยธุ ยา ไดเ้ สพเมทแอมเฟตามนี อนั เปน็ ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษใน
ประเภทท่ี 1 ไมท่ ราบนา้ํ หนกั โดยวธิ ใี ชไ้ ฟลนแลว้ สดู ดมเขา้ สรู่ า่ งกาย อนั เปน็ การฝา่ ฝนื ตอ่ กฎหมาย ขอใหล้ งโทษ
ตามพระราชบญั ญตั ยิ าเสพตดิ ใหโ้ ทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 57, 91 พระราชบญั ญตั จิ ราจรทางบก
พ.ศ. 2522 มาตรา 43 ทว,ิ 157/1 และเพกิ ถอนหรอื พกั การใชใ้ บอนญุ าตขบั ขร่ี ถของจำ�เลยมกี �ำ หนดไมน่ อ้ ย
กวา่ 6 เดอื น
จ�ำ เลยใหก้ ารรบั สารภาพ
ศาลชน้ั ตน้ พจิ ารณาแลว้ พพิ ากษาวา่ การกระท�ำ ของจ�ำ เลยเปน็ กรรมเดยี วเปน็ ความผดิ ตอ่ กฎหมายหลาย
บทใหล้ งโทษตามพระราชบญั ญตั จิ ราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 ทวิ (ทถ่ี กู มาตรา 43 ทวิ วรรคหนง่ึ )
157/1 วรรคสอง ประกอบพระราชบญั ญตั ยิ าเสพตดิ ใหโ้ ทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 91 ตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา 90 ลดโทษใหก้ ง่ึ หนง่ึ คงจ�ำ คกุ 4 เดอื น ใหพ้ กั ใชใ้ บอนญุ าตขบั รถยนตส์ ว่ นบคุ คลเลขท่ี 50006375
มกี �ำ หนด 6 เดอื น นบั แตว่ นั ทม่ี คี �ำ พพิ ากษา
จ�ำ เลยอทุ ธรณ์
อยั การนิเทศ 99
ศาลอทุ ธรณพ์ พิ ากษาแกเ้ ปน็ วา่ จำ�เลยมคี วามผดิ ตามพระราชบญั ญตั ยิ าเสพตดิ ใหโ้ ทษ พ.ศ. 2522
มาตรา 57, 91, จ�ำ คกุ 6 เดอื น และปรบั 10,000 บาท รบั สารภาพลดโทษใหก้ ง่ึ หนง่ึ ตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา 78 แลว้ คงจ�ำ คกุ 3 เดอื น และปรบั 5,000 บาท โทษจ�ำ คกุ ใหร้ อการลงโทษไวม้ กี �ำ หนด 2 ปใี ห้
จ�ำ เลยไปรายงานตวั ตอ่ พนกั งานคมุ ประพฤตทิ กุ 3 เดอื น ตอ่ ครง้ั ภายใน 1 ปี ใหจ้ �ำ เลยกระท�ำ กจิ กรรมบรกิ าร
สงั คมหรอื สาธารณประโยชนต์ ามทพ่ี นกั งานคมุ ประพฤตแิ ละจำ�เลยเหน็ สมควรมกี �ำ หนด 12 ชว่ั โมง ตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 56 ไมช่ �ำ ระคา่ ปรบั ใหจ้ ดั การตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ขอ้ หาและ
ค�ำ ขออน่ื ใหย้ ก
โจทกฎ์ กี า
ศาลฎกี าตรวจส�ำ นวนประชมุ ปรกึ ษาแลว้ เหน็ วา่ คดยี าเสพตดิ ใหโ้ ทษในขณะเปน็ ผขู้ บั รถตามพระราช
บญั ญตั ยิ าเสพตดิ ใหโ้ ทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 57, 91 พระราชบญั ญตั จิ ราจรทาบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43
ทว,ิ 157/1 เปน็ คดคี วามผดิ เกย่ี วกบั ยาเสพตดิ ดงั นน้ั ค�ำ พพิ ากษาหรอื ค�ำ สง่ั ของศาลอทุ ธรณใ์ นการกระท�ำ ซง่ึ
เปน็ ความผดิ เกย่ี วกบั ยาเสพตดิ ดงั กลา่ วจงึ เปน็ ทส่ี ดุ ตามพระราชบญั ญตั วิ ธิ พี จิ ารณาคดยี าเสพตดิ พ.ศ. 2550
มาตรา 18 วรรคหนง่ึ ตอ้ งหา้ มมใิ หค้ คู่ วามฎกี าทง้ั ในปญั หาขอ้ เทจ็ จรงิ และขอ้ กฎหมายตามบทบญั ญตั ดิ งั กลา่ ว
ซง่ึ ขณะทโ่ี จทกฟ์ อ้ งคดนี ้ี พระราชบญั ญตั วิ ธิ พี จิ ารณาคดยี าเสพตดิ พ.ศ. 2550 มผี ลใชบ้ งั คบั แลว้ และเมอ่ื คดนี ้ี
ถอื วา่ เปน็ คดคี วามผดิ เกย่ี วกบั ยาเสพตดิ คดขี องโจทกจ์ งึ ตอ้ งหา้ มมใิ หฎ้ กี า เวน้ แตจ่ ะไดร้ บั อนญุ าตใหฎ้ กี าจาก
ศาลฎกี ากอ่ นตามบทบญั ญตั มิ าตรา 18 วรรคหนง่ึ และมาตรา 19 วรรคหนง่ึ วรรคสอง แหง่ พระราชบญั ญตั ิ
ดงั กลา่ ว เมอ่ื โจทกไ์ มไ่ ดย้ น่ื คำ�ขอโดยท�ำ เปน็ ค�ำ รอ้ งไปพรอ้ มกบั ฎกี าตอ่ ศาลฎกี าภายในกำ�หนดหนง่ึ เดอื นนบั แต่
วนั อา่ นหรอื ถอื วา่ ไดอ้ า่ นค�ำ พพิ ากษาหรอื ค�ำ สง่ั ของศาลอทุ ธรณน์ น้ั ใหโ้ จทกผ์ ขู้ ออนญุ าตฎกี าฟงั เพอ่ื ขอใหร้ บั ฎกี า
ไวว้ นิ จิ ฉยั ตามมาตรา 19 วรรคหนง่ึ แหง่ พระราชบญั ญตั ดิ งั กลา่ วแลว้ จงึ ไมร่ บั ฎกี าของโจทกไ์ วว้ นิ จิ ฉยั
พพิ ากษายกฎกี าของโจทก์
100 คำ�พพิ ากษาศาลฎกี า
ค�ำ พพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 2620/2554
พ.ร.บ. วธิ ปี ฏบิ ตั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ (มาตรา ๓๗)
พ.ร.บ. ภาษโี รงเรอื นและทด่ี นิ พ.ศ. ๒๔๗๕ (มาตรา ๓๑ วรรคหนง่ึ )
หนงั สอื แจง้ การประเมนิ และค�ำ ชข้ี าดใหโ้ จทกช์ �ำ ระภาษโี รงเรอื นและทด่ี นิ เปน็ ค�ำ สง่ั ทางปกครองท่ี
เกย่ี วกบั วธิ ดี �ำ เนนิ การประเมนิ และจดั เกบ็ ภาษโี รงเรอื นและทด่ี นิ หากโจทกไ์ มพ่ อใจในค�ำ ชข้ี าดไมว่ า่ ดว้ ย
เหตผุ ลใด โจทกจ์ ะตอ้ งน�ำ คดไี ปสศู่ าลภายใน ๓๐ วนั นบั แตว่ นั รบั แจง้ ความใหท้ ราบค�ำ ชข้ี าด
โจทกฟ์ ้องขอให้เพิกถอนใบแจง้ รายการประเมนิ (ภ.ร.ด. ๘) ใบแจ้งค�ำ ชี้ขาด (ภ.ร.ด. ๑๑) และมี
ค�ำ สง่ั ใหจ้ �ำ เลยปฏบิ ตั ติ ามพระราชบญั ญตั วิ ธิ ปี ฏบิ ตั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ.๒๕๓๙ มาตรา ๔๕ หากโจทก์
ชนะคดยี อ่ มเปน็ ผลใหโ้ จทกไ์ มม่ คี วามรบั ผดิ ในคา่ ภาษโี รงเรอื นและทด่ี นิ ตามการประเมนิ จงึ เปน็ คดที ม่ี คี ำ�ขอ
ใหป้ ลดเปลอ้ื งทกุ ขอ์ นั อาจค�ำ นวณเปน็ ราคาเงนิ ไดแ้ ละมที นุ ทรพั ยต์ ามจ�ำ นวนภาษโี รงเรอื นและทด่ี นิ ตามการ
ประเมนิ
โจทก์
บรษิ ทั ทโี อที จ�ำ กดั (มหาชน)
ระหวา่ ง
เทศบาลต�ำ บลสนั มหาพน จ�ำ เลย
โจทกฟ์ อ้ งขอใหเ้ พกิ ถอนใบแจง้ รายการประเมนิ ภาษโี รงเรอื นและทด่ี นิ ใบแจง้ คำ�ชข้ี าด(ภ.ร.ด. ๑๑)
และหนงั สอื ท่ี ชม ๖๒๒๐๒/๑๑๖๑ ฉบบั ลงวนั ท่ี ๙ กนั ยายน ๒๕๕๑ และมคี ำ�สง่ั ใหจ้ �ำ เลยปฏบิ ตั ติ ามพระราช
บญั ญตั วิ ธิ ปี ฏบิ ตั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๔๕
ศาลภาษอี ากรกลางพจิ ารณาแลว้ พพิ ากษายกฟอ้ ง คา่ ฤชาธรรมเนยี มใหเ้ ปน็ พบั
โจทกอ์ ทุ ธรณต์ อ่ ศาลฎกี า
ศาลฎกี าแผนกคดภี าษอี ากรตรวจสำ�นวนประชมุ ปรกึ ษาแลว้ มปี ญั หาทต่ี อ้ งวนิ จิ ฉยั วา่ โจทกไ์ มม่ อี ำ�นาจ
ฟอ้ งเนอ่ื งจากยน่ื ค�ำ ฟอ้ งพน้ ก�ำ หนด ๓๐ วนั นบั แตว่ นั รบั แจง้ ความใหท้ ราบค�ำ ชข้ี าดหรอื ไม่ เหน็ วา่ เมอ่ื หนงั สอื
แจง้ การประเมินและคำ�ชข้ี าดตามฟอ้ งเปน็ คำ�สง่ั ทางปกครองทเี่ กยี่ วกบั วธิ ดี �ำ เนนิ การประเมินและจัดเกบ็ ภาษี
โรงเรอื นและทด่ี นิ หากโจทกไ์ มพ่ อใจจะน�ำ คดขี น้ึ สศู่ าลกต็ อ้ งปฏบิ ตั ติ ามพระราชบญั ญตั ภิ าษโี รงเรอื นและทด่ี นิ
พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๓๑ วรรคหนง่ึ ทก่ี ำ�หนดใหผ้ รู้ บั ประเมนิ ผใู้ ดไมพ่ อใจในคำ�ชข้ี าดไมว่ า่ ดว้ ยเหตผุ ลใดกจ็ ะตอ้ ง
น�ำ คดไี ปสศู่ าลเพอ่ื แสดงใหเ้ หน็ วา่ การประเมนิ นน้ั ไมช่ อบภายใน ๓๐ วนั นบั แตว่ นั รบั แจง้ ความใหท้ ราบค�ำ ชข้ี าด
อัยการนิเทศ 101
ดงั นน้ั แมโ้ จทกซ์ ง่ึ เปน็ ผรู้ บั ประเมนิ ไมพ่ อใจการประเมนิ และคำ�ชข้ี าดดว้ ยเหตผุ ลวา่ หนงั สอื แจง้ รายการประเมนิ
และค�ำ ชข้ี าดเปน็ ค�ำ สง่ั ทางปกครองทไ่ี มช่ อบเนอ่ื งจากไมม่ เี หตผุ ลอนั ประกอบดว้ ยขอ้ เทจ็ จรงิ อนั เปน็ สาระส�ำ คญั
ขอ้ กฎหมายทอ่ี า้ งองิ ขอ้ พจิ ารณาและขอ้ สนบั สนนุ ในการใชด้ ลุ พนิ จิ ตามพระราชบญั ญตั วิ ธิ ปี ฏบิ ตั ริ าชการทาง
ปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๓๗ ก็ตอ้ งน�ำ คดมี าฟ้องภายในกำ�หนด ๓๐ วนั นบั แตว่ นั รบั แจง้ ความใหท้ ราบ
ค�ำ ชข้ี าด เมอ่ื โจทกไ์ ดร้ บั แจง้ ความใหท้ ราบค�ำ ชข้ี าดเมอ่ื วนั ท่ี ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๑ แตโ่ จทกก์ ลบั น�ำ คดมี าฟอ้ ง
ต่อศาลภาษีอากรกลางเมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๑ จึงพ้นกำ�หนด ๓๐ วันนับแต่วันรับแจ้งความให้ทราบ
ค�ำ ชข้ี าด โจทกจ์ งึ ไมม่ อี �ำ นาจฟอ้ ง
และเหน็ วา่ คดนี ส้ี ว่ นทโ่ี จทกฟ์ อ้ งขอใหเ้ พกิ ถอนใบแจง้ รายการประเมนิ (ภ.ร.ด. 8) และใบแจง้ ค�ำ ชข้ี าด
(ภ.ร.ด. 11) หากโจทกช์ นะคดยี อ่ มเปน็ ผลใหโ้ จทกไ์ มม่ คี วามรบั ผดิ ในคา่ ภาษโี รงเรอื นและทด่ี นิ ตามการประเมนิ
จงึ เปน็ คดที ม่ี คี �ำ ขอใหป้ ลดเปลอ้ื งทกุ ขอ์ นั อาจค�ำ นวณเปน็ ราคาเงนิ ไดแ้ ละมที นุ ทรพั ยต์ ามจ�ำ นวนภาษโี รงเรอื น
และทด่ี นิ ตามการประเมนิ ทศ่ี าลภาษอี ากรกลางมคี �ำ พพิ ากษาและมคี �ำ สง่ั มานน้ั ศาลฎกี าแผนกคดภี าษอี ากร
เหน็ พอ้ งดว้ ย อทุ ธรณข์ องโจทกฟ์ งั ไมข่ น้ึ
พพิ ากษายนื คา่ ฤชาธรรมเนยี มในชน้ั อทุ ธรณใ์ หเ้ ปน็ พบั
102 ค�ำ พิพากษาศาลฎีกา
คำ�พิพากษาศาลฎีกาที่ 15500/2553
ป.อ. หลายกรรม (มาตรา ๒๘๒, ๓๑๒, ๙๑)
พ.ร.บ. มาตรการในการปอ้ งกนั และปราบปรามการคา้ หญิงและเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๐
(มาตรา ๕, ๗)
โจทกบ์ รรยายฟอ้ งวา่ จ�ำ เลยกบั พวกรว่ มกนั กระท�ำ ความผดิ ตอ่ กฎหมายหลายกรรมตา่ งกนั โดยตาม
วนั เวลาทร่ี ะบใุ นฟอ้ ง จ�ำ เลยกบั พวกรว่ มกนั เปน็ ธรุ ะจดั หาผเู้ สยี หายเพอ่ื สนองความใครข่ องผอู้ น่ื รวม ๓ คน
แสดงใหเ้ หน็ วา่ โจทกป์ ระสงคใ์ หล้ งโทษจ�ำ เลยทกุ กรรม แมใ้ นฟอ้ งจะไมร่ ะบวุ า่ จ�ำ เลยกบั พวกกระท�ำ ตอ่ ผเู้ สยี หาย
ทง้ั สามวนั เวลาใด แตก่ ารกระทำ�ของจ�ำ เลยกบั พวกกเ็ ปน็ การกระทำ�ตอ่ ผเู้ สยี หายแตล่ ะคนโดยเฉพาะและ
เปน็ การกระท�ำ ทม่ี เี จตนาจะใหเ้ กดิ ผลตา่ งกรรมกนั การกระท�ำ ของจ�ำ เลยจงึ เปน็ ความผดิ ตา่ งกรรมตา่ งวาระกนั
พนกั งานอยั การ ส�ำ นกั งานอยั การจงั หวดั พทั ยา โจทก์
ระหวา่ ง
นางมณั ฑนาหรอื แมเ่ ลก็ สนุ ทรวภิ าต จ�ำ เลย
โจทกฟ์ อ้ งวา่ ระหวา่ งปี พ.ศ. 2546 วนั และเดอื นใดไมป่ รากฏชดั ถงึ ปลายเดอื นเมษายน 2547 เวลา
กลางวนั และกลางคนื ตอ่ เนอ่ื งกนั จำ�เลยกบั จ�ำ เลยท่ี 1, 3, 5, 7, 10, ในคดอี าญาหมายเลขดำ�ท่ี 3461/2547
ของศาลชน้ั ตน้ กบั พวกอกี 2 คน ทห่ี ลบหนี รว่ มกนั และแยกกนั กระท�ำ ความผดิ ตอ่ กฎหมายหลายกรรมตา่ งกนั
กลา่ วคอื จ�ำ เลยกบั พวกโดยทจุ รติ และเพอ่ื สนองความใครข่ องผอู้ น่ื รว่ มกนั เปน็ ธรุ ะจดั หา ลอ่ ไป พาไป โดยการ
พดู ชกั ชวนเดก็ หญงิ ม. ผเู้ สยี หายท่ี 1 อายุ 9 ปี เดก็ หญงิ ศ. ผเู้ สยี หายท่ี 2 อายุ 9 ปี และเดก็ หญงิ ล. ผเู้ สยี หาย
ที่ 3 อายุ 14 ปี ซึ่งเป็นเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ให้หาเงินโดยวิธีขึ้นห้องกับชาวต่างชาติหลายครั้ง
เพอ่ื การอนาจาร และเปน็ การสมคบกนั ตง้ั แตส่ องคนขน้ึ ไปเพอ่ื กระท�ำ ความผดิ เกย่ี วกบั การคา้ หญงิ หรอื เดก็ โดย
จดั ใหผ้ เู้ สยี หายทง้ั สามกระทำ�การหรอื ยอมรบั การกระทำ�ใดๆ เพอ่ื สนองความใครข่ องผอู้ น่ื เพอ่ื การอนาจาร และ
เพอ่ื แสวงหาประโยชนอ์ นั มคิ วรไดโ้ ดยชอบสำ�หรบั ตนเองหรอื ผอู้ น่ื ไมว่ า่ เดก็ หรอื หญงิ นน้ั จะยนิ ยอมหรอื ไมก่ ต็ าม
อนั เปน็ การฝา่ ฝนื ตอ่ กฎหมาย เหตเุ กดิ ทต่ี �ำ บลหนองปรอื อ�ำ เภอบางละมงุ จงั หวดั ชลบรุ ี ขอใหล้ งโทษตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 83, 90, 91, 282 วรรคแรก, 282 วรรคสาม, 312 ตรี วรรคแรก, 312 ตรี วรรค
สอง พระราชบญั ญตั มิ าตรการในการปอ้ งกนั และปราบปรามการคา้ หญงิ และเดก็ พ.ศ. 2540 มาตรา 5, 7
จ�ำ เลยใหก้ ารปฏเิ สธ แตก่ อ่ นสบื พยานจ�ำ เลยขอถอนค�ำ ใหก้ ารเดมิ และใหก้ ารใหมเ่ ปน็ รบั สารภาพ
อยั การนิเทศ 103
ศาลชน้ั ตน้ พจิ ารณาแลว้ พพิ ากษาวา่ การกระท�ำ ของจ�ำ เลยเปน็ กรรมเดยี วผดิ ตอ่ กฎหมายหลายบทให้
ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 282 วรรคสาม ซง่ึ เปน็ กฎหมายทม่ี โี ทษหนกั ทส่ี ดุ และการกระท�ำ
ของจ�ำ เลยเปน็ ความผดิ หลายกรรมตา่ งกนั ใหล้ งโทษทกุ กรรมเปน็ กระทงความผดิ จ�ำ คกุ กระทงละ 5 ปี รวม 3
กระทง เปน็ จ�ำ คกุ 15 ปี จ�ำ เลยใหก้ ารรบั สารภาพ คงจ�ำ คกุ 7 ปี 6 เดอื น
จ�ำ เลยอทุ ธรณ์
ศาลอทุ ธรณภ์ าค 2 พพิ ากษาแกเ้ ปน็ วา่ การกระท�ำ ของจ�ำ เลยเปน็ ความผดิ กรรมเดยี ว จ�ำ คกุ 5 ปี ลด
โทษใหก้ ง่ึ หนง่ึ คงจ�ำ คกุ 2 ปี 6 เดอื น นอกจากทแ่ี กใ้ หไ้ ปเปน็ ตามค�ำ พพิ ากษาศาลชน้ั ตน้
โจทกฎ์ กี า
ศาลฎกี าตรวจส�ำ นวนประชมุ ปรกึ ษาแลว้ เหน็ วา่ แมโ้ จทกบ์ รรยายฟอ้ งวา่ ระหวา่ งปี 2546 วนั และ
เดอื นใดไมป่ รากฏชดั ถงึ ปลายเดอื นเมษายน 2547 เวลากลางวนั และกลางคนื ตอ่ เนอ่ื งกนั ตลอดมา จ�ำ เลยกบั
พวกรว่ มกนั โดยทจุ รติ และเพอ่ื สนองความใครข่ องผอู้ น่ื เปน็ ธรุ ะจดั หาผเู้ สยี หายทง้ั สามแตล่ ะคนเพอ่ื สนองความ
ใครข่ องผอู้ น่ื เพอ่ื การอนาจาร และเพอ่ื แสวงหาประโยชนอ์ นั มคิ วรไดโ้ ดยชอบส�ำ หรบั ตนเองหรอื ผอู้ น่ื โดยไม่
ยนื ยนั วา่ จ�ำ เลยกระท�ำ ตอ่ ผเู้ สยี หายแตล่ ะคนวนั เวลา และในสถานทต่ี า่ งกนั กต็ าม แตโ่ จทกบ์ รรยายฟอ้ งวา่ จำ�เลย
กบั พวกรว่ มกนั กระท�ำ ความผดิ ตอ่ กฎหมายหลายกรรมตา่ งกนั โดยตามวนั เวลาทร่ี ะบใุ นฟอ้ ง จ�ำ เลยกบั พวกรว่ ม
กนั เปน็ ธรุ ะจดั หาผเู้ สยี หายเพอ่ื สนองความใครข่ องผอู้ น่ื รวม 3 คน แสดงใหเ้ หน็ วา่ โจทกป์ ระสงคใ์ หล้ งโทษจำ�เลย
ทกุ กรรม ทง้ั การกระท�ำ ของจ�ำ เลยตอ่ ผเู้ สยี หายแตล่ ะคนเปน็ การกระท�ำ ทม่ี เี จตนาจะใหเ้ กดิ ผลตา่ งกรรมกนั แม้
ไมร่ ะบวุ า่ กระท�ำ ตอ่ ผเู้ สยี หายทง้ั สามวนั เวลาใดกเ็ ปน็ การกระท�ำ ตอ่ ผเู้ สยี แตล่ ะคนโดยเฉพาะ การกระท�ำ ของ
จ�ำ เลยจงึ เปน็ ความผดิ ตา่ งกรรมตา่ งวาระ ทศ่ี าลอทุ ธรณภ์ าค 2 พพิ ากษามานน้ั ศาลฎกี าไมเ่ หน็ พอ้ งดว้ ย ฎกี า
ของโจทกฟ์ งั ขน้ึ
อนง่ึ ทจ่ี �ำ เลยแกฎ้ กี าขอใหล้ งโทษสถานเบาโดยรอการลงโทษนน้ั เหน็ วา่ คำ�แกฎ้ กี าของจ�ำ เลยดงั กลา่ ว
เปน็ การขอใหศ้ าลฎกี าพพิ ากษานอกเหนอื จากค�ำ พพิ ากษา ศาลอทุ ธรณภ์ าค 2 ตอ้ งกระท�ำ โดยยน่ื ค�ำ ฟอ้ งฎกี า
จะเพยี งแตข่ อมาในค�ำ แกฎ้ กี าเชน่ นห้ี าไดไ้ ม่ ศาลฎกี าไมร่ บั วนิ จิ ฉยั
พพิ ากษาแกเ้ ปน็ วา่ ใหบ้ งั คบั คดไี ปตามค�ำ พพิ ากษาศาลชน้ั ตน้
104 คำ�พิพากษาศาลฎีกา
คำ�พิพากษาศาลฎีกาที่ 1210/2554
ป.อ. กรรมเดยี ว หลายกรรม (มาตรา ๙๑)
การพจิ ารณาวา่ การกระท�ำ ใดเปน็ กรรมเดยี วหรอื หลายกรรมตา่ งกนั มใิ ชเ่ พยี งวา่ หากเปน็ การกระท�ำ
ครง้ั เดยี วแลว้ จะตอ้ งเปน็ กรรมเดยี วเสมอไป อาจเปน็ หลายกรรมตา่ งกนั ไดห้ ากผกู้ ระท�ำ มเี จตนาทจ่ี ะใหเ้ กดิ
ผลตา่ งกรรมกนั หรอื ประสงคจ์ ะใหเ้ กดิ เปน็ ความผดิ หลายฐานตา่ งกนั
คดนี โ้ี จทกบ์ รรยายฟอ้ งวา่ จำ�เลยทง้ั สองรว่ มกนั เรยี กรบั คา่ บรกิ ารหรอื คา่ ใชจ้ า่ ยแลว้ ไมอ่ อกใบรบั
เงนิ รว่ มกนั รบั สมคั รคนหางานโดยมไิ ดย้ น่ื ค�ำ ขออนญุ าตตอ่ นายทะเบยี นและรว่ มกนั รบั คา่ บรกิ ารหรอื คา่ ใช้
จา่ ยแลว้ ไมจ่ ดั สง่ คนหางานเพอ่ื ไปทำ�งานโดยไมม่ เี หตผุ ลอนั สมควร เปน็ การบรรยายถงึ การกระทำ�ความผดิ
ของจ�ำ เลยทง้ั สองแตล่ ะขอ้ หาแยกกระทงเรยี งเปน็ ล�ำ ดบั กนั ไปตา่ งหากจากกนั แมจ้ �ำ เลยทง้ั สองกระท�ำ เพยี ง
ครง้ั เดยี วกต็ าม ลกั ษณะของความผดิ เปน็ การกระทำ�ทม่ี เี จตนาตา่ งขน้ั ตอนและแตกตา่ งกนั สามารถแยก
การกระท�ำ แตล่ ะขอ้ หาตา่ งหากจากกนั ไดอ้ ยา่ งแจง้ ชดั และเปน็ การกระท�ำ ทม่ี งุ่ ประสงคใ์ หม้ ผี ลตา่ งกรรมกนั
จงึ เปน็ ความผดิ หลายกรรมตา่ งกนั
พนกั งานอยั การ ส�ำ นกั งานอยั การสงู สดุ โจทก์
ระหวา่ ง
บรษิ ทั จดั หางานกติ ติ บราเดอร์ จ�ำ กดั ท่ี 1 กบั พวก รวม 2 คน จ�ำ เลย
โจทกฟ์ อ้ งวา่ ระหวา่ งวนั ท่ี ๑ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๕ เวลากลางวนั ถงึ วนั ท่ี ๒๘ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๖ เวลา
กลางวนั ตดิ ตอ่ กนั วนั เวลาใดไมป่ รากฏชดั จำ�เลยทง้ั สองรว่ มกนั กระทำ�ความผดิ หลายกรรมตา่ งกนั กลา่ วคอื
จ�ำ เลยทง้ั สองรว่ มกนั เรยี กเกบ็ คา่ บรกิ ารหรอื คา่ ใชจ้ า่ ยจากคนหางานเพอ่ื ไปทำ�งานในตา่ งประเทศ ๒๓ ราย รวม
เปน็ เงนิ ๗๘๖,๐๐๐ บาท แลว้ ไมอ่ อกใบรบั เงนิ ตามแบบทอ่ี ธบิ ดกี รมการจดั หางานก�ำ หนดใหแ้ กค่ นหางานทง้ั
๒๓ ราย อนั เปน็ การฝา่ ฝนื ตอ่ กฎหมาย จ�ำ เลยทง้ั สองรว่ มกนั รบั สมคั รคนหางานเพอ่ื เดนิ ทางไปท�ำ งานในตา่ ง
ประเทศ ๒๓ ราย โดยจ�ำ เลยทง้ั สองไมไ่ ดย้ น่ื ค�ำ ขออนญุ าตตอ่ นายทะเบยี นจดั หางานกลาง และจ�ำ เลยทง้ั สอง
ร่วมกันเก็บเงินค่าบริการหรือค่าใช้จ่ายจากคนหางานเพ่อื ไปทำ�งานในต่างประเทศ ๒๓ ราย รวมเป็นเงิน
๗๘๖,๐๐๐บาท แลว้ ไมจ่ ดั สง่ คนหางานเพอ่ื ไปทำ�งานในตา่ งประเทศดงั กลา่ วเพอ่ื ไปทำ�งานยงั ตา่ งประเทศตาม
ทต่ี กลงโดยไมม่ เี หตผุ ลอนั สมควร ขอใหล้ งโทษตามพระราชบญั ญตั จิ ดั หางานและคมุ้ ครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘
อยั การนิเทศ 105
มาตรา ๒๗, ๓๕, ๔๗, ๗๔, ๗๙, ๘๕ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๙๑ ใหจ้ �ำ เลยทง้ั สองรว่ มกนั คนื เงนิ
๗๘๖,๐๐๐บาท แกผ่ เู้ สยี หายทง้ั ยส่ี บิ สามคน
จ�ำ เลยทง้ั สองใหก้ ารปฏเิ สธ แตต่ อ่ มาใหก้ ารใหมเ่ ปน็ รบั สารภาพ
ศาลชน้ั ตน้ พจิ ารณาแลว้ พพิ ากษาวา่ จ�ำ เลยทง้ั สองมคี วามผดิ ตามพระราชบญั ญตั จิ ดั หางานและคมุ้ ครอง
คนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๒๗ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๔๗ มาตรา ๓๕, ๗๕, ๗๙, ๘๕ ประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา ๘๓ เปน็ ความผิดหลายกรรมตา่ งกนั ให้ลงโทษทกุ กรรมเป็นกระทงความผดิ ไปตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ จ�ำ เลยทง้ั สองใหก้ ารรบั สารภาพ เปน็ ประโยชนแ์ กก่ ารพจิ ารณา มเี หตบุ รรเทาโทษ
ลดโทษใหก้ ง่ึ หนง่ึ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงลงโทษจ�ำ คกุ จ�ำ เลยท่ี ๒ มกี �ำ หนด ๙ เดอื น และ
ปรบั ๑,๙๗๘,๐๐๐ บาท สว่ นจ�ำ เลยท่ี ๑ คงปรบั ๑,๙๗๘,๐๐๐ บาท โดยคา่ ปรบั จ�ำ นวน ๑,๙๖๕,๐๐๐ บาท
เปน็ จ�ำ นวนเดยี วกบั คา่ ปรบั ของจ�ำ เลยท่ี ๒ ไมป่ รากฏวา่ จ�ำ เลยท่ี ๒ เคยตอ้ งโทษจ�ำ คกุ มากอ่ น ประกอบกบั จ�ำ เลย
ท่ี ๒ ไดช้ ดใชค้ า่ เสยี หายใหแ้ กผ่ เู้ สยี หายแลว้ เหน็ ควรใหโ้ อกาสจ�ำ เลยท่ี ๒ กลบั ตวั เปน็ พลเมอื งดี โทษจ�ำ คกุ ให้
รอการลงโทษไวม้ กี �ำ หนด ๒ ปี
จ�ำ เลยทง้ั สองอทุ ธรณ์
ศาลอทุ ธรณพ์ พิ ากษายนื
จ�ำ เลยทง้ั สองฎกี า
ศาลฎีกาตรวจสำ�นวนประชุมปรึกษาแล้วคดีมีปัญหาในข้อกฎหมายตามฎีกาของจำ�เลยท้ังสองว่า
การกระทำ�ของจำ�เลยทงั้ สองเป็นกรรมเดียวเป็นความผดิ ตอ่ กฎหมายหลายบทหรือไม่ เห็นว่า คดนี ีโ้ จทก์ฟ้อง
บรรยายวา่ การกระทำ�ความผดิ ของจ�ำ เลยทง้ั สองแตล่ ะขอ้ หาแยกกระทงเรียงเป็นลำ�ดบั กนั ไปตา่ งหากจากกัน
กลา่ วคอื จ�ำ เลยทง้ั สองรว่ มกนั เรยี กรบั คา่ บรกิ ารหรอื คา่ ใชจ้ า่ ยแลว้ ไมอ่ อกใบรบั ตามแบบทอี่ ธบิ ดกี �ำ หนดใหแ้ ก่
คนหางานร่วมกันรับสมัครคนหางานโดยมิได้ยื่นค�ำ ขออนุญาตต่อนายทะเบียน และร่วมกันรับค่าบริการหรือ
ค่าใช้จา่ ยแลว้ ไมจ่ ดั สง่ คนหางานเพือ่ ไปทำ�งานโดยไมม่ ีเหตผุ ลอันสมควร เม่อื จำ�เลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ขอ้ เทจ็ จรงิ จงึ รบั ฟงั ไดว้ า่ จ�ำ เลยทงั้ สองรว่ มกนั กระท�ำ ความผดิ ตามฟอ้ งโจทกท์ กุ ขอ้ หา แมจ้ �ำ เลยทงั้ สองกระท�ำ
เพียงคร้ังเดียวตามที่อ้างมาในฎีกาก็ตาม แต่ในการพิจารณาว่าการกระท�ำ ใดเป็นกรรมเดียวหรือหลายกรรม
ตา่ งกนั มใิ ชแ่ ตเ่ พยี งวา่ หากเปน็ การกระท�ำ ครง้ั เดยี วแลว้ จะตอ้ งเปน็ กรรมเดยี วเสมอไป ซง่ึ อาจเปน็ หลายกรรม
ต่างกันได้หากผู้กระท�ำ มีเจตนาท่ีจะให้เกิดผลต่างกรรมกันหรือประสงค์จะให้เกิดเป็นความผิดหลายฐานต่าง
กนั ดงั นน้ั การกระทำ�ความผดิ ของจ�ำ เลยทงั้ สองในแตล่ ะขอ้ หาตามฟอ้ ง มลี กั ษณะของความผดิ เปน็ การกระทำ�
ทเ่ี จตนาตา่ งขน้ั ตอนและแตกตา่ งกนั สามารถแยกการกระทำ�แตล่ ะขอ้ หาตา่ งหากจากกนั ไดอ้ ยา่ งแจง้ ชดั และ
เป็นการกระทำ�ทีม่ ุ่งประสงคใ์ ห้มผี ลตา่ งกรรมกนั จงึ เป็นความผิดหลายกรรมตา่ งกนั หาใชเ่ ป็นกรรมเดียวเป็น
ความผดิ ต่อกฎหมายหลายบทดงั ที่จ�ำ เลยทั้งสองอา้ งมาในฎกี าแต่อย่างใดไม่ ฎีกาของจำ�เลยท้งั สองฟงั ไม่ขึน้
อนง่ึ ทศ่ี าลชนั้ ตน้ ปรบั บทลงโทษตามพระราชบญั ญตั จิ ดั หางานและคมุ้ ครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘
มาตรา ๓๕ โดยไม่ระบวุ รรค และมิได้ปรับบทตามมาตรา ๗๔ ตามค�ำ ขอทา้ ยฟ้องของโจทก์ แตป่ รบั บทตาม
มาตรา ๗๕ นั้น ไม่ถูกต้อง และที่ศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำ�เลยที่ ๒ โดยกำ�หนดว่ากรณีจำ�เลยที่ ๒ ไม่ชำ�ระ
106 ค�ำ พพิ ากษาศาลฎีกา
คา่ ปรบั ใหจ้ ดั การตามมาตรา ๒๙, ๓๐ แตม่ ไิ ดร้ ะบใุ หก้ กั ขงั เกนิ ๑ ปี หรอื ไม่ มกี ำ�หนดเทา่ ใด และศาลอทุ ธรณ์
มิได้แก้ไขน้ัน เช่นน้ี จะกักขังแทนค่าปรับเกินก�ำ หนด ๑ ปี ไม่ได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายท่ีเกี่ยวกับ
ความสงบเรียบร้อย ศาลฎกี ามอี �ำ นาจแกไ้ ขเสยี ให้ถูกตอ้ งไดป้ ระมวลกฎหมายวธิ พี ิจารณาความอาญา มาตรา
๑๙๕ วรรคสอง ประกอบดว้ ยมาตรา ๒๒๕
พิพากษาแก้เป็นว่า จำ�เลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน
พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๒๗ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๔๗ มาตรา ๓๕ วรรคหนง่ึ , ๗๔, ๗๙, ๘๕ กรณที จ่ี �ำ เลยท่ี
๒ ไมช่ �ำ ระคา่ ปรบั ใหก้ กั ขงั แทนไมเ่ กนิ ๑ ปี นอกจากทแ่ี กใ้ หเ้ ปน็ ไปตามค�ำ พพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์
อยั การนิเทศ 107
คำ�พิพากษาศาลฎีกาที่ 2602/2554
ป.อ. หลายกรรม (มาตรา ๙๑)
การทจ่ี �ำ เลยลงลายมอื ชอ่ื รบั รองคนตา่ งดา้ ว ๗ คน แมจ้ ะเปน็ การรบั รองในวนั เดยี วกนั พรอ้ ม ๆ กนั
และมเี จตนาทจ่ี ะใหท้ างราชการออกบตั รประจ�ำ ตวั ประชาชนใหแ้ กค่ นตา่ งดา้ ว ๗ คน ในเวลาเดยี วกนั กต็ าม
แตจ่ �ำ เลยไดก้ ระท�ำ ใหแ้ กค่ นตา่ งดา้ วแตล่ ะคน ยอ่ มเปน็ ความผดิ สำ�เรจ็ ในตวั ของแตล่ ะคนและอาศยั เจตนา
แตกตา่ งแยกจากกนั การกระท�ำ ของจ�ำ เลยเปน็ ความผดิ หลายกรรมตา่ งกนั
พนกั งานอยั การจงั หวดั ศรสี ะเกษ โจทก์
ระหวา่ ง
นายอดุ ทา ภาวนั จ�ำ เลย
โจทกฟ์ อ้ งวา่ จ�ำ เลยกระท�ำ ความผดิ ตอ่ กฎหมายหลายกรรมตา่ งกนั กลา่ วคอื เมอ่ื วนั ท่ี ๒๕ วนั ท่ี ๒๖
และวนั ท่ี ๒๙ เมษายน ๒๕๓๙ และวนั ท่ี ๒ วนั ท่ี ๗ วนั ท่ี ๑๔ และวนั ท่ี ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๙ จ�ำ เลยซง่ึ เปน็
ผใู้ หญบ่ า้ นหมทู่ ่ี ๑๒ ต�ำ บลผกั แพว อ�ำ เภอกนั ทรารมย์ จงั หวดั ศรสี ะเกษ กบั คนตา่ งดา้ วไมท่ ราบชอ่ื และสญั ชาติ
๑๓ คน ซง่ึ หลบหนไี ปรว่ มกนั ปลอมเอกสารโดยเขยี นกรอกขอ้ ความลงในแบบพมิ พค์ ำ�ใหก้ ารของผไู้ มม่ าขอมี
บตั รประจ�ำ ตวั ประชาชนภายในกำ�หนดกรณบี ตั รช�ำ รดุ เสยี หายอนั เปน็ เอกสารหลกั ฐานคำ�ขอมบี ตั รประจำ�ตวั
ประชาชน โดยมจี �ำ เลยเขยี นกรอกรบั รองขอ้ ความในชอ่ งค�ำ รบั รองของผใู้ หญบ่ า้ นทา้ ยเอกสารดงั กลา่ ว รบั รอง
วา่ คนตา่ งดา้ วดงั กลา่ วเปน็ บคุ คลสญั ชาตไิ ทยและมภี มู ลิ �ำ เนาอยใู่ นอ�ำ เภอกนั ทรารมย์ จงั หวดั ศรสี ะเกษ และไม่
เปน็ บคุ คลอพยพหลบหนเี ขา้ เมอื งโดยผดิ กฎหมาย แลว้ จ�ำ เลยลงลายมอื ชอ่ื ในชอ่ งผรู้ บั รอง ซง่ึ ขอ้ ความดงั กลา่ ว
เปน็ ความเทจ็ ภายหลงั จากกระท�ำ ความผดิ ดงั กลา่ วแลว้ จ�ำ เลยกบั คนตา่ งดา้ วทง้ั สบิ สามคนดงั กลา่ วไดร้ ว่ มกนั
แจง้ ความอนั เปน็ เทจ็ ตอ่ นาง ส. และนาง อ. เพอ่ื ใหจ้ ดขอ้ ความอนั เปน็ เทจ็ ตามเอกสารดงั กลา่ ว เปน็ เหตใุ หน้ าง
ส. และนาง อ. หลงเชอ่ื จงึ ไดจ้ ดขอ้ ความอนั เปน็ เทจ็ ดงั กลา่ วลงในแบบค�ำ ขอมบี ตั ร มบี ตั รใหม่ หรอื เปลย่ี นบตั ร
ประจ�ำ ตวั ประชาชน (แบบ บ.ป. ๑) อนั เปน็ เอกสารราชการและเอกสารมหาชนซง่ึ มวี ตั ถปุ ระสงคส์ ำ�หรบั ใชเ้ ปน็
พยานหลกั ฐานและจำ�เลยไดส้ นบั สนนุ คนตา่ งดา้ วทง้ั สบิ สามคนดงั กลา่ วใหย้ น่ื คำ�ขอมบี ตั รประจำ�ตวั ประชาชน
คนไทย โดยน�ำ แบบค�ำ ใหก้ ารของผไู้ มม่ าขอมบี ตั รประจ�ำ ตวั ประชาชนภายในก�ำ หนดกรณบี ตั รช�ำ รดุ สญู หายและ
แบบค�ำ ขอมบี ตั ร มบี ตั รใหมห่ รอื เปลย่ี นบตั รประจำ�ตวั ประชาชน (แบบ บ.ป.๑) ทน่ี าง ส. และนาง อ. ไดร้ บั จด
ขอ้ ความอนั เปน็ เทจ็ ตามทจ่ี �ำ เลยกบั คนตา่ งดา้ วทง้ั สบิ สามคนดงั กลา่ วรว่ มกนั แจง้ เทจ็ ไปใชอ้ า้ งแสดงเปน็ หลกั ฐาน
108 คำ�พิพากษาศาลฎีกา
ยน่ื และแจง้ ขอ้ ความเทจ็ ตอ่ นาง ส. และนาง อ. โดยทจ่ี �ำ เลยทราบดอี ยแู่ ลว้ วา่ คนตา่ งดา้ วทง้ั สบิ สามคนดงั กลา่ ว
มไิ ดเ้ ปน็ บคุ คลมสี ญั ชาตไิ ทยและเปน็ ผไู้ มม่ สี ทิ ธจิ ะมบี ตั รประจ�ำ ตวั ประชาชนคนไทยได้ และโดยการแจง้ เทจ็ ของ
จ�ำ เลยกบั คนตา่ งดา้ วทง้ั สบิ สามคนดงั กลา่ ว เปน็ เหตใุ หก้ รมการปกครองไดอ้ อกบตั รประจำ�ตวั ประชาชนคนไทย
ใหแ้ กค่ นตา่ งดา้ วทง้ั สบิ สามคนตามลำ�ดบั ดงั กลา่ ว ขอใหล้ งโทษตามพระราชบญั ญตั บิ ตั รประจำ�ตวั ประชาชน
พ.ศ. ๒๕๒๖ มาตรา ๔, ๑๔ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๘๖, ๙๑, ๑๓๗, ๒๖๔, ๒๖๗, ๒๖๘ รบิ ของกลาง
จ�ำ เลยใหก้ ารปฏเิ สธ
ศาลชน้ั ตน้ พจิ ารณาแลว้ พพิ ากษาวา่ จำ�เลยมคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๓๗, ๒๖๔,
๒๖๗, ๒๖๘, ๘๓ พระราชบญั ญตั บิ ตั รประจำ�ตวั ประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๖ มาตรา ๑๔ (๑) ใหล้ งโทษตามพระราช
บญั ญตั บิ ตั รประจ�ำ ตวั ประชาชนฯ ซง่ึ เปน็ บททม่ี โี ทษหนกั ทส่ี ดุ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จำ�คกุ
กระทงละ ๑ ปี และปรบั กระทงละ ๓๐,๐๐๐ บาท รวม ๗ กระทง รวมเปน็ จ�ำ คกุ ๗ ปี และปรบั ๒๑๐,๐๐๐
บาท โทษจ�ำ คกุ ใหร้ อการลงโทษไวม้ กี �ำ หนด ๒ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๕๖ ไมช่ �ำ ระคา่ ปรบั ให้
จดั การตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ หากกกั ขงั แทนคา่ ปรบั ตอ้ งไมเ่ กนิ ๒ ปี รบิ ของกลาง คำ�ขอ
อน่ื นอกจากนใ้ี หย้ ก
โจทกแ์ ละจ�ำ เลยอทุ ธรณ์ โดยอธบิ ดอี ยั การฝา่ ยคดศี าลสงู เขต ๓ ซง่ึ ไดร้ บั มอบหมายจากอยั การสงู สดุ
รบั รองใหโ้ จทกอ์ ทุ ธรณใ์ นปญั หาขอ้ เทจ็ จรงิ
ศาลอทุ ธรณภ์ าค ๓ พพิ ากษาแกเ้ ปน็ วา่ ค�ำ ใหก้ ารของจ�ำ เลยในชน้ั สอบสวนและทางน�ำ สบื ของจ�ำ เลย
เปน็ ประโยชนแ์ กก่ ารพจิ ารณาอยบู่ า้ ง มเี หตบุ รรเทาโทษ ลดโทษใหน้ ง่ึ ในสต่ี ามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
๗๘ คงจ�ำ คกุ ๕ ปี ๓ เดอื น ไมล่ งโทษปรบั และไมร่ อการลงโทษ นอกจากทแ่ี กใ้ หเ้ ปน็ ไปตามค�ำ พพิ ากษาศาลชน้ั ตน้
จ�ำ เลยฎกี า
ศาลฎกี าตรวจส�ำ นวนประชมุ ปรกึ ษาแลว้ ข้อเทจ็ จรงิ เบอ้ื งต้นฟงั ได้ว่า ขณะเกิดเหตคุ ดนี ี้ จ�ำ เลยด�ำ รง
ต�ำ แหน่งผู้ใหญ่บา้ นหม่ทู ี่ ๑๒ ต�ำ บลผักแพว อำ�เภอกนั ทรารมย์ จังหวดั ศรสี ะเกษ ในวนั เวลาและสถานท่เี กดิ
เหตุตามฟ้อง จำ�เลยเป็นผู้พาคนต่างด้าวไปยื่นคำ�ขอมีบัตรประจำ�ตัวประชาชน และลงลายมือช่ือรับรองคน
ตา่ งดา้ วในเอกสารรบั รองคำ�ใหก้ ารของผไู้ มม่ าขอมบี ตั รประจำ�ตวั ประชาชนของคนตา่ งดา้ วรวม ๗ คน ปญั หา
มีวา่ จำ�เลยกระท�ำ ความผิดตามค�ำ พิพากษาของศาลลา่ งทงั้ สองหรอื ไม่ ศาลฎกี าเหน็ ว่า เม่อื พิจารณาประกอบ
พฤติการณ์ จำ�เลยเป็นผู้ใหญ่บ้านย่อมรู้จักลูกบ้านของตนเป็นอย่างดี ท้ังจ�ำ เลยควรปฏิบัติหน้าที่เพื่อปกปัก
รกั ษาผลประโยชนข์ องทางราชการโดยสจุ รติ โดยตรวจสอบความถกู ตอ้ งกอ่ นวา่ บคุ คลดงั กลา่ วเปน็ ลกู บา้ นของ
ตนหรือไม่ เม่อื บคุ คลดังกล่าวเป็นคนตา่ งดา้ ว การที่จำ�เลยเขียนขอ้ ความในชอ่ งคำ�รบั รองของผูใ้ หญบ่ า้ นแล้ว
ลงลายมอื ชอ่ื ในช่องผรู้ ับรอง แล้วน�ำ เอกสารดังกลา่ วไปใช้อา้ งหรอื แสดงตอ่ นาง ส. ซึ่งเปน็ เจ้าพนกั งานตาม
กฎหมาย เปน็ เหตใุ หเ้ จา้ พนกั งานดงั กลา่ วหลงเชอ่ื จดขอ้ ความอนั เปน็ เทจ็ ดงั กลา่ วลงในคำ�ขอมบี ตั ร มบี ตั รใหม่
หรือเปลี่ยนบัตรประจำ�ตัวประชาชนอันเป็นเอกสารราชการและเอกสารมหาชน ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำ�หรับใช้
เปน็ พยานหลักฐานและสนับสนนุ ใหค้ นต่างดา้ วใหย้ ่นื คำ�ขอมบี ตั รประจำ�ตวั ประชาชนคนไทยโดยไม่มสี ทิ ธิ จงึ
เปน็ การกระทำ�เพอื่ เออื้ ประโยชนแ์ กค่ นตา่ งดา้ วโดยตรง จำ�เลยยอ่ มตอ้ งรบั ผดิ ในผลทต่ี นเองกระทำ�ค�ำ พพิ ากษา
อัยการนเิ ทศ 109
ของศาลล่างท้งั สองชอบแล้ว
ปญั หาขอ้ ตอ่ ไปทต่ี อ้ งวนิ จิ ฉยั ตามฎกี าของจ�ำ เลยมวี า่ การทจ่ี �ำ เลยลงลายมอื ชอ่ื รบั รองคนตา่ งดา้ ว ๗ คน
เปน็ การกระท�ำ หลายกรรมหรอื ไม่ เหน็ วา่ การทจ่ี ำ�เลยลงลายมอื ชอ่ื รบั รองคนตา่ งดา้ ว ๗ คน แมจ้ ะเปน็ การ
รบั รองในวนั เดยี วกนั พรอ้ มๆกนั และมเี จตนาทจ่ี ะใหท้ างราชการออกบตั รประจำ�ตวั ประชาชนใหแ้ กค่ นตา่ งดา้ ว
๗ คน ในเวลาเดยี วกนั กต็ าม แตจ่ �ำ เลยไดก้ ระท�ำ ใหแ้ กค่ นตา่ งดา้ วแตล่ ะคน ยอ่ มเปน็ ความผดิ ส�ำ เรจ็ ในตวั ของ
แตล่ ะคนและอาศยั เจตนาแตกตา่ งแยกจากกนั การกระทำ�ของจ�ำ เลยจงึ เปน็ ความผดิ หลายกรรมตา่ งกนั ตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑
อนง่ึ ในระหวา่ งพจิ ารณาของศาลชน้ั ตน้ ไดม้ พี ระราชบญั ญตั บิ ตั รประจ�ำ ตวั ประชาชน (ฉบบั ท่ี ๒ ) พ.ศ.
๒๕๔๒ มาตรา ๘ ยกเลกิ ความในมาตรา ๑๓ และ มาตรา ๑๔ แหง่ พระราชบญั ญตั บิ ตั รประจำ�ตวั ประชาชน
พ.ศ. ๒๕๒๖ และใหใ้ ชข้ อ้ ความใหมแ่ ทน แตก่ ฎหมายเดมิ เปน็ คณุ มากกวา่ กฎหมายทแ่ี กไ้ ขใหม่ จงึ ตอ้ งใชก้ ฎหมาย
ขณะกระทำ�ความผดิ บงั คบั แกจ่ ำ�เลย นอกจากนโ้ี จทกย์ งั ฟอ้ งวา่ จำ�เลยสนบั สนนุ ในการทค่ี นตา่ งดา้ วกระทำ�
ความผิดตามพระราชบัญญัติบัตรประจำ�ตัวประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๖ มาตรา ๑๔ ซึ่งเป็นความผิดฐานเป็น
ผสู้ นบั สนนุ การกระท�ำ ความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๖ ดงั นน้ั ทศ่ี าลลา่ งทง้ั สองพพิ ากษาวา่ จำ�เลย
มคี วามผดิ ตามพระราชบญั ญตั บิ ตั รประจำ�ตวั ประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๖ มาตรา ๑๔ (๑) และไมป่ รบั บทตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๖ มาดว้ ย จงึ ไมถ่ กู ตอ้ ง ปญั หาดงั กลา่ วเปน็ ขอ้ กฎหมายทเ่ี กย่ี วกบั ความสงบ
เรยี บรอ้ ย แมไ้ มม่ คี คู่ วามฝา่ ยใดฎกี า ศาลฎกี ามอี �ำ นาจยกขน้ึ วนิ จิ ฉยั เองไดต้ ามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณา
ความอาญา มาตรา ๑๙๕ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๒๒๕ และทศ่ี าลลา่ งทง้ั สองพพิ ากษาวา่ จำ�เลยมคี วามผดิ
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗, ๒๖๔, ๒๖๗, ๒๖๘, ๘๓ โดยมไิ ดร้ ะบวุ รรคมาดว้ ยกไ็ มถ่ กู ตอ้ ง ศาล
ฎกี าเหน็ สมควรแกไ้ ขใหถ้ กู ตอ้ งเสยี ดว้ ย
พพิ ากษาแกเ้ ปน็ วา่ จ�ำ เลยมคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗, ๒๖๔ วรรคแรก, ๒๖๗,
๒๖๘ วรรคแรก ประกอบมาตรา ๒๖๔ วรรคแรกและมาตรา ๘๓ พระราชบญั ญตั บิ ตั รประจำ�ตวั ประชาขน พ.ศ.
๒๕๒๖ มาตรา ๑๔ (เดมิ ) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๖ โทษและนอกจากทแ่ี กใ้ หเ้ ปน็ ไปตาม
ค�ำ พพิ ากษาศาลอทุ ธรณภ์ าค ๓
110 คำ�พิพากษาศาลฎกี า
คำ�พิพากษาศาลฎีกาที่ 3287/2554
ป.อ. ผสู้ นบั สนนุ เจา้ พนกั งานปฏบิ ตั หิ นา้ ทโ่ี ดยมชิ อบ (มาตรา 86, 157)
จำ�เลยที่ 1 เป็นประธานกรรมการบริหารองค์การบริหารส่วนตำ�บล ท. จำ�เลยที่ 2 และที่ 3 เป็น
กรรมการบริหารองค์การบริหารส่วนตำ�บล ท. และจำ�เลยที่ 4 เป็นปลัดองค์การบริหารส่วนตำ�บล ท.
โดยจำ�เลยทั้งสี่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ในระหว่างวันที่ 4 พฤษภาคม 2543 ถึง
วันที่ 18 พฤษภาคม 2543 องค์การบริหารส่วนตำ�บล ท. ได้ประกาศ สอบราคาจ้างเหมาก่อสร้าง รวม
7 โครงการ ซึ่งการประกาศสอบราคาจะต้องดำ�เนินการประกาศสอบราคาทั้งเจ็ดโครงการเผยแพร่ไปใน
ที่ต่าง ๆ รวมทั้งติดประกาศที่ทำ�การขององค์การบริหารส่วนตำ�บล ท. ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย
ว่าด้วยการพัสดุขององค์การบริหารส่วนตำ�บลพ.ศ. 2538 อันเป็นหน้าที่ของจำ�เลยที่ 4 และคณะ
กรรมการจัดจ้างโครงการดังกล่าว ประกอบด้วยคณะกรรมการเปิดซองและพิจารณาซองสอบราคามี
จำ�เลยที่ 3 เป็นประธานกรรมการ จำ�เลยที่ 2 และที่ 4 เป็นกรรมการกับคณะกรรมการตรวจรับงานจ้าง
มีจำ�เลยที่ 1 เป็นประธานกรรมการ จำ�เลยที่ 2 และที่ 3 เป็นกรรมการ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกา
ของจำ�เลยที่ 1 ถึงที่ 3 ว่า จ�ำ เลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกับจ�ำ เลยที่ 4 ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบหรือไม่ เห็น
ว่า พยานโจทก์ เบกิ ความสอดคล้องต้องกันและโจทก์มสี �ำ เนาหนงั สอื ขอซือ้ เอกสารสอบราคา ซึง่ มนี างสาว
จ. เจ้าหน้าที่ธุรการขององค์การบริหารส่วนตำ�บล ท. ลงลายมือชื่อรับไว้ และลงรายละเอียดไว้ในทะเบียน
หนังสือรับสนับสนุน พยานหลักฐานโจทก์จึงมีนํ้าหนักน่าเชื่อถือ เชื่อว่าในช่วงเวลาที่มีการ ประกาศขาย
เอกสารสอบราคาโครงการดังกล่าว โจทก์โดยนาย บ. หุ้นส่วนผู้จัดการได้ไปขอซื้อ เอกสารสอบราคาแต่
ไม่อาจซื้อได้ และไม่มีการติดประกาศเรื่องดังกล่าวไว้ที่ทำ�การองค์การบริหารส่วนตำ�บล ท. ทั้งไม่มี
เจา้ หนา้ ทที่ ราบเรอื่ งการขายเอกสารสอบราคาแตอ่ ยา่ งใด ทจ่ี ำ�เลยท่ี 1 ถงึ ท่ี 3 ฎกี าวา่ จำ�เลยท่ี 4 ไดป้ ดิ
ประกาศสอบราคาในที่ทำ�การองค์การบริหารส่วนตำ�บล ท. แล้วไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานโจทก์
นอกจากนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำ�เลยที่ 4 เป็นผู้ขายเอกสารสอบราคาเองในวันที่ 12 พฤษภาคม
2543 เพียงวันเดียว ทั้ง ๆ ที่จำ�เลยที่ 4 ยอมรับว่าไม่มีหน้าที่ขาย ประกอบจำ�เลยที่ 2 ถึงที่ 4 ซึ่งเป็น
คณะกรรมการเปิดซองและพิจารณาซองสอบราคาเห็นควรจ้างห้างหุ้นส่วนจำ�กัด ศ. ทั้งห้าโครงการตาม
ฟ้องรายเดียว จำ�เลยที่ 1 ก็อนุมัติ ทั้งจำ�เลยทั้งสี่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ทำ�การองค์การบริหารส่วนตำ�บล ท.
ด้วยกัน จำ�เลยที่ 1 ถึงที่ 3 จึงย่อมรู้เห็นการกระทำ�ของจำ�เลยที่ 4 การที่จำ�เลยที่ 4 มิได้ติดประกาศ
สอบราคาโครงการดงั กลา่ วและไมม่ กี ารขายเอกสารสอบราคาใหแ้ กโ่ จทก์ จ�ำ เลยท่ี 1 ถงึ ท่ี 3 ยอ่ มทราบดี
แต่กลับมีการเปิดซองสอบราคาและตกลงจ้างเหมาดังกล่าวอันมีลักษณะเป็นการสมคบกันปกปิด
การสอบราคา กีดกันไม่ให้โจทก์เข้าสอบราคา อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบเพื่อให้โจทก์และราชการ
เสยี หาย อย่างไรกต็ ามเมื่อปรากฏวา่ จ�ำ เลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่ได้เปน็ เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ในการปิดประกาศ
สอบราคาและขายเอกสารสอบราคาโดยตรง แต่เมื่อจำ�เลยที่ 1 ถึงที่ 3 ได้ร่วมกระทำ�กับจำ�เลยที่ 4 ด้วย
อยั การนิเทศ 111
จำ�เลยที่ 1 ถึงที่ 3 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำ�เลยที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิ
ชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำ�เลย
ที่ 1 ถึงที่ 3 ในฐานเป็นตัวการ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำ�เลยที่ 1 ถึงที่ 3 กระทำ�ความผิดในฐานเป็น
ผู้สนับสนุน ศาลฎีกาก็ลงโทษจำ�เลยที่ 1 ถึงที่ 3 ในความผิดฐานนี้ได้
หา้ งหุ้นส่วนจ�ำ กดั บญุ ทติ ย์ประยงกันทรลักษ์ก่อสร้าง โจทก์
ระหว่าง
นายบัวศรี วลิ ัย ที่ 1 กบั พวกรวม 4 คน จ�ำ เลย
โจทกฟ์ ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157 ประกอบดว้ ย มาตรา 83
และนบั โทษจ�ำ เลยท้งั สีต่ อ่ จากโทษในคดอี าญาหมายเลขดำ�ท่ี 64/2553 ด้วย
ศาลชนั้ ตน้ ไตส่ วนมูลฟ้องแล้ว เห็นวา่ คดีมมี ลู ให้ประทบั ฟอ้ ง
จำ�เลยท้ังส่ีให้การปฏิเสธ แต่รบั ว่าเปน็ บุคคลคนเดยี วกับจ�ำ เลยในคดีท่โี จทก์ขอให้นับโทษตอ่
ศาลชนั้ ตน้ พจิ ารณาแลว้ พพิ ากษาวา่ จำ�เลยท่ี 4 มคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
จำ�คุก 1 ปี ยกฟ้องจ�ำ เลยท่ี 1 ท่ี 2 และท่ี 3 ข้อห้าและคำ�ขออ่นื ให้ยก
โจทกแ์ ละจ�ำ เลยที่ 4 อทุ ธรณ์
ศาลอทุ ธรณภ์ าค 3 พพิ ากษาแกเ้ ปน็ วา่ จำ�เลยที่ 1 จ�ำ เลยท่ี 2 และจ�ำ เลยที่ 3 มคี วามผดิ ตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 157, 83 ใหจ้ ำ�คุกจ�ำ เลยที่ 1 จำ�เลยที่ 2 และจำ�เลยที่ 3 คนละ 1 ปี นอกจากท่ีแก้
ใหเ้ ป็นไปตามคำ�พิพากษาศาลช้ันต้น
จ�ำ เลยท่ี 1 ถงึ ท่ี 3 ฎีกา
จ�ำ เลยที่ 4 ฎีกา โดยอยั การสงู สดุ รับรองให้ฎกี าในปญั หาขอ้ เท็จจรงิ
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจ�ำ กัด
มีนาย บ. เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการมีวัตถุประสงค์รับเหมาก่อสร้างถนน งานก่อสร้างทุกชนิดส่วนจ�ำ เลยที่ 1 เป็น
ประธานกรรมการบริหารองค์การบริหารส่วนต�ำ บล ท. จำ�เลยที่ 2 และที่ 3 เป็นกรรมการบริหารองค์การ
บริหารส่วนตำ�บล ท. และจำ�เลยที่ 4 เป็นปลัดองค์การบริหารส่วนตำ�บล ท. โดยจำ�เลยทั้งสี่เป็นเจ้าพนักงาน
ตามประมวลกฎหมายอาญา ในระหว่างวันที่ 4 พฤษภาคม 2543 ถึงวันที่ 18 พฤษภาคม 2543 องค์การ
บรหิ ารสว่ นต�ำ บล ท. ไดป้ ระกาศสอบราคาจา้ งเหมากอ่ สรา้ งโครงการกอ่ สรา้ งสง่ิ ปลกู สรา้ งเปน็ อาคาร โครงการ
วางทอ่ ระบายนา้ํ และโครงการสรา้ งถนนรวม 7 โครงการ คอื โครงการจา้ งเหมากอ่ สรา้ งศาลาประชาคมบา้ น
รอ่ ง หมทู่ ่ี 2 โครงการจา้ งเหมากอ่ สรา้ ง ถนนคอนกรตี เสรมิ เหลก็ บา้ นตาชนุ หมทู่ ่ี 8 โครงการจา้ งเหมากอ่ สรา้ ง
112 คำ�พพิ ากษาศาลฎีกา
ถนนคอนกรีตเสริมเหล็กบ้านทุ่งใหญ่ หมู่ท่ี 4 โครงการจ้างเหมาก่อสร้างสวนสุขภาพประจ�ำ ตำ�บลทุ่งใหญ่
บรเิ วณหนองซ�ำ เหนอื โครงการจา้ งเหมาปรบั ปรงุ ถนนลกู รงั บา้ นกระมอล หมทู่ ่ี 7 โครงการจา้ งเหมาปรบั ปรงุ
ถนนลูกรังบ้านโคกเหนือหมู่ที่ 12 และโครงการจ้างเหมาวางท่อระบายนํ้าบ้านโคกเหนือหมู่ท่ี 12 กำ�หนด
ขายเอกสารสอบราคา ตัง้ แตว่ ันท่ี 4 พฤษภาคม 2543 ถึงวันท่ี 16 พฤษภาคม 2543 และก�ำ หนดยื่นซอง
สอบราคาวนั ที่ 18 พฤษภาคม 2543 พรอ้ มกนั ทงั้ เจด็ โครงการ ซง่ึ การประกาศสอบราคาจะตอ้ งดำ�เนนิ การ
ประกาศสอบราคาท้งั เจ็ดโครงการเผยแพรไ่ ปในท่ีต่าง ๆ รวมทั้งตดิ ประกาศทีท่ �ำ การขององค์การบริหารสว่ น
ต�ำ บล ท.ตามระเบยี บกระทรวงมหาดไทยวา่ ดว้ ยการพสั ดขุ ององคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำ�บล พ.ศ. 2538 อนั เปน็
หน้าที่ของจ�ำ เลยท่ี 4 และคณะกรรมการจัดจ้างโครงการดังกล่าว ประกอบด้วยคณะกรรมการเปิดซองและ
พจิ ารณาซองสอบราคามจี �ำ เลยที่ 3 เปน็ ประธานกรรมการ จ�ำ เลยที่ 2 และที่ 4 เปน็ กรรมการกบั คณะกรรมการ
ตรวจรับงานจ้างมีจำ�เลยท่ี 1 เป็นประธานกรรมการ จำ�เลยที่ 2 และท่ี 3 เป็นกรรมการ ครั้นวันที่ 12
พฤษภาคม 2543 มผี ูม้ าซื้อเอกสารสอบราคาโครงการดงั กลา่ วจ�ำ นวน 4 ถงึ 5 ราย ต่อมามีผเู้ สนอราคารบั
เหมาในโครงการทั้งเจด็ โดยเป็นโครงการตามฟ้อง 5 โครงการ คอื โครงการจ้างเหมากอ่ สร้างศาลาประชาคม
บา้ นรอ่ ง หมทู่ ี่ 2 โครงการจา้ งเหมาวางทอ่ ระบายนา้ํ บา้ นโคกเหนอื หมทู่ ่ี 12 โครงการจา้ งเหมากอ่ สรา้ งถนน
คอนกรตี เสรมิ เหล็กบา้ นทงุ่ ใหญ่ หมู่ท่ี 4 โครงการจา้ งเหมาก่อสรา้ งถนนคอนกรีตเสรมิ เหลก็ บา้ นตาซนุ หมทู่ ี่
8 และโครงการจา้ งเหมาปรบั ปรงุ ถนนลกู รงั บา้ นกระมอล หมทู่ ี่ 7 และหา้ งหนุ้ สว่ นจำ�กดั ศ. ไดร้ บั การคดั เลอื ก
6 โครงการ รวมทั้งโครงการทั้งห้าตามฟ้อง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำ�เลยที่ 1 ถึงที่ 3 ว่า
จำ�เลยที่ 1 ถงึ ท่ี 3 ร่วมกับจำ�เลยท่ี 4 ปฏบิ ัติหน้าทโ่ี ดยไมช่ อบหรือไม่ โจทก์มนี าย บ. หนุ้ ส่วนผจู้ ัดการโจทก์
นาย ช. และนาย ร. เบิกความทำ�นองเดียวกนั ได้ความว่า นาย บ. ทราบวา่ มีการประชุมอนมุ ัติโครงการจ้าง
เหมาหา้ โครงการตามฟอ้ งจากนาย ว. สมาชกิ องคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำ บล ท. ตอ่ มาในวนั ท่ี 9 พฤษภาคม 2543
นาย บ. ไปขอซอ้ื เอกสารสอบราคาจา้ งเหมาโครงการทง้ั หา้ พบจ�ำ เลยท่ี 1 และท่ี 4 ทอี่ งคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำ บล
ท. จำ�เลยที่ 4 อ้างว่าไม่ได้ติดประกาศเรื่องสอบราคา และท่ีกระดานที่ติดประกาศขององค์การบริหารส่วน
ตำ�บล ท. ก็ไม่มีประกาศสอบราคา ครั้นวันที่ 10 พฤษภาคม 2543 นาย บ. ไปขอซ้ือเอกสารสอบราคา
โครงการ ดังกล่าวอีกแต่ไม่พบจำ�เลยทั้งสี่ คงพบหัวหน้าส่วนการคลัง ช่างโยธา และเจ้าหน้าที่ธุรการ แต่
เจา้ หนา้ ทด่ี งั กลา่ วไมท่ ราบเรอ่ื งการขายเอกสารสอบราคา นาย บ. ไดพ้ บกบั นาย ร. และนาย ช. ซง่ึ ไปซอ้ื เอกสาร
สอบราคาโครงการดังกล่าวแต่ไม่สามารถซื้อได้เช่นกันและไม่มีการติดประกาศเรื่องสอบราคา นาย ช. ไดย้ นื่
หนังสือขอซ้ือเอกสารสอบราคาโครงการดังกล่าว ซึ่งเจ้าหน้าท่ีธุรการได้ประทับตราลงรับหนังสือดังกล่าวไว้
ตอ่ มาวนั ท่ี 16 พฤษภาคม 2543 นาย บ. ไดไ้ ปทอ่ี งคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำ บล ท. เพอ่ื ยน่ื หนงั สอื ขอเงนิ คา้ํ ประกนั
สัญญาจ้างโครงการอ่ืนคืนเน่ืองจากโจทก์ส่งมอบงานแล้ว แต่ไม่พบจำ�เลยทั้งสี่ คงพบแต่เจ้าหน้าท่ีองค์การ
บรหิ ารสว่ นต�ำ บล ท. เจา้ หนา้ ทแี่ จง้ วา่ ยงั ไมไ่ ดต้ ดิ ประกาศและไมท่ ราบเรอ่ื ง โจทกไ์ ดย้ น่ื หนงั สอื ขอคนื เงนิ มดั จำ�
และในวนั ท่ี 18 พฤษภาคม 2543 เวลา 14 นาฬกิ า นาย บ. และนาย ช. ไดไ้ ปทอ่ี งคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำ�บล
ท. นาย บ. ได้ยื่นหนังสือขอซื้อเอกสารสอบราคาต่อเจ้าหน้าที่ธุรการขององค์การบริหารส่วนตำ�บล ท.
เจา้ หนา้ ทธ่ี รุ การไดป้ ระทบั ตราลงรบั ไว้ ซง่ึ ในวนั ดงั กลา่ วไมเ่ หน็ มกี ารเปดิ ซองสอบราคาโครงการดงั กลา่ วจากผยู้ น่ื
อัยการนิเทศ 113
ซองสอบราคาแตอ่ ยา่ งใด เหน็ วา่ พยานโจทกเ์ บกิ ความสอดคลอ้ งตอ้ งกนั และโจทกม์ สี �ำ เนาหนงั สอื ขอซอ้ื เอกสาร
สอบราคา ซึ่งมีนางสาว จ. เจ้าหน้าทธี่ รุ การขององคก์ ารบรหิ ารส่วนต�ำ บล ท. ลงลายมอื ช่อื รับไว้ และลงราย
ละเอียดไวใ้ นทะเบยี นหนงั สอื รบั สนบั สนุน พยานหลกั ฐานโจทกจ์ งึ มนี า้ํ หนักน่าเชือ่ ถอื เชือ่ วา่ ในช่วงเวลาทม่ี ี
การประกาศขายเอกสารสอบราคาโครงการดังกล่าว โจทก์โดยนาย บ. หุ้นส่วนผู้จัดการได้ไปขอซื้อเอกสาร
สอบราคาแตไ่ ม่อาจซ้ือได้ และไมม่ ีการตดิ ประกาศเรือ่ งดังกล่าวไวท้ ่ีทำ�การองค์การบริหารส่วนตำ�บล ท. ท้งั
ไม่มีเจา้ หนา้ ที่ทราบเรอื่ งการขายเอกสารสอบราคาแตอ่ ย่างใด ท่ีจ�ำ เลยที่ 1 ถงึ ท่ี 3 ฎกี าว่า จำ�เลยท่ี 4 ไดป้ ิด
ประกาศ สอบราคาในทีท่ ำ�การองคก์ ารบรหิ ารส่วนต�ำ บล ท. แล้วไม่อาจหักลา้ งพยานหลกั ฐานโจทก์นอกจาก
นขี้ ้อเท็จจรงิ ไดค้ วามวา่ จำ�เลยท่ี 4 เป็นผ้ขู ายเอกสารสอบราคาเองในวนั ที่ 12 พฤษภาคม 2543 เพยี งวนั
เดยี ว ทง้ั ๆ ทจี่ �ำ เลยที่ 4 ยอมรบั วา่ ไมม่ หี นา้ ทข่ี าย ประกอบจ�ำ เลยที่ 2 ถงึ ท่ี 4 ซงึ่ เปน็ คณะกรรมการเปดิ ซอง
และพิจารณาซองสอบราคาเหน็ ควรจา้ งหา้ งห้นุ สว่ นจำ�กัด ศ. ท้ังหา้ โครงการตามฟอ้ งรายเดยี ว จ�ำ เลยท่ี 1 ก็
อนุมตั ิ ท้งั จำ�เลยท้งั สปี่ ฏบิ ัติหนา้ ที่อย่ทู ี่ท�ำ การองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำ�บล ท. ดว้ ยกนั จำ�เลยที่ 1 ถงึ ที่ 3 จึง
ย่อมรูเ้ หน็ การกระทำ�ของจำ�เลยที่ 4 การท่ีจำ�เลยที่ 4 มิได้ตดิ ประกาศสอบราคาโครงการ ดังกลา่ วและไมม่ ี
การขายเอกสารสอบราคาให้แก่โจทก์ จ�ำ เลยท่ี 1 ถึงที่ 3 ยอ่ มทราบดี แตก่ ลบั มกี ารเปิดซองสอบราคาและ
ตกลงจา้ งเหมาดงั กลา่ วอนั มลี กั ษณะเปน็ การสมคบกนั ปกปดิ การสอบราคา กดี กนั ไมใ่ หโ้ จทกเ์ ขา้ สอบราคา อนั
เปน็ การปฏบิ ตั หิ นา้ ทโี่ ดยไมช่ อบเพอ่ื ใหโ้ จทกแ์ ละราชการเสยี หาย อยา่ งไรกต็ ามเมอ่ื ปรากฏวา่ จ�ำ เลยที่ 1 ถงึ ที่
3 ไมไ่ ดเ้ ปน็ เจา้ พนกั งานผมู้ หี นา้ ทใ่ี นการปดิ ประกาศสอบราคาและขายเอกสารสอบราคาโดยตรง แตเ่ มอื่ จำ�เลย
ที่ 1 ถงึ ท่ี 3 ไดร้ ว่ มกระท�ำ กบั จ�ำ เลยที่ 4 ดว้ ย จ�ำ เลยที่ 1 ถงึ ที่ 3 จงึ มคี วามผดิ ฐานเปน็ ผสู้ นบั สนนุ จ�ำ เลยที่ 4
ซง่ึ เปน็ เจา้ พนกั งานปฏบิ ตั หิ นา้ ทโี่ ดยมชิ อบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 แม้
โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจ�ำ เลยท่ี 1 ถึงที่ 3 ในฐานเป็นตัวการ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจ�ำ เลยที่ 1 ถึงท่ี 3
กระท�ำ ความผดิ ในฐานเปน็ ผสู้ นบั สนนุ ศาลฎกี ากล็ งโทษจ�ำ เลยท่ี 1 ถงึ ท่ี 3 ในความผดิ ฐานนไี้ ด้ ทศ่ี าลอทุ ธรณ์
ภาค 3 พิพากษามานัน้ ศาลฎกี า เหน็ พ้องด้วยบางสว่ น ฎกี าของจ�ำ เลยท่ี 1 ถึงท่ี 3 ฟังไม่ขนึ้
พพิ ากษาแกเ้ ปน็ วา่ จ�ำ เลยท่ี 1 ถงึ ท่ี 3 มคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบ
มาตรา 86 จ�ำ คกุ คนละ 8 เดอื น นอกจากทแ่ี กใ้ หเ้ ปน็ ไปตามค�ำ พพิ ากษาศาลอทุ ธรณภ์ าค 3
114 คำ�พพิ ากษาศาลฎกี า
คำ�พิพากษาศาลฎีกาที่ 12116/2553
ป.พ.พ. อายุความละเมดิ ทางจ�ำ เป็น ภาระจ�ำ ยอม (มาตรา 448, 1349, 1401)
เมอ่ื ทด่ี นิ ของจ�ำ เลยท่ี 1 ซง่ึ เปน็ ทต่ี ง้ั สถานวี ทิ ยตุ �ำ รวจตระเวนชายแดนคา่ ยพระเจา้ ตากมที างออก
สทู่ างสาธารณะและถนนสาธารณะนน้ั กเ็ ชอ่ื มตอ่ กบั ถนนพหลโยธนิ ซง่ึ เปน็ ทางสาธารณะดว้ ย จงึ ไมใ่ ชก่ รณี
ทด่ี นิ ของจ�ำ เลยท่ี 1 มที ด่ี นิ แปลงอน่ื ลอ้ มอยจู่ นไมม่ ที างออกถงึ ทางสาธารณะ จ�ำ เลยท่ี 1 จงึ ไมอ่ าจผา่ นทด่ี นิ
โจทกซ์ ง่ึ ลอ้ มอยอู่ อกไปสทู่ างสาธารณะตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1349 วรรคหนง่ึ ได้
การทจ่ี �ำ เลยทง้ั สองอา้ งวา่ การใชถ้ นนผา่ นทด่ี นิ ของโจทกเ์ ปน็ ทางจ�ำ เปน็ แตม่ ไิ ดน้ �ำ สบื วา่ หากจะออกจาก
ทด่ี นิ แปลงซง่ึ เปน็ ทต่ี ง้ั สถานวี ทิ ยขุ องจ�ำ เลยท่ี 1 จะตอ้ งขา้ มทช่ี นั อนั เปน็ ระดบั ทด่ี นิ กบั ทางสาธารณะสงู กวา่
กนั มาก แมพ้ ยานโจทกเ์ บกิ ความวา่ เสน้ ทางดา้ นทศิ เหนอื ซง่ึ หมายถงึ ทางสาธารณะกวา้ งประมาณ 4 เมตร
รถยนตส์ ามารถแลน่ ได้ หลงั จากขยายถนนพหลโยธนิ ไมส่ ามารถน�ำ รถยนตข์ น้ึ ไดเ้ นอ่ื งจากสงู ชนั แสดงให้
เหน็ วา่ การขยายถนนพหลโยธนิ โดยเพม่ิ ชอ่ งเดนิ รถ นา่ จะมกี ารปาดไหลท่ างออกดว้ ย ซง่ึ ท�ำ ใหท้ างเขา้ ออก
จากสถานวี ทิ ยสุ ถู่ นนพหลโยธนิ มคี วามชนั เพม่ิ ขน้ึ จงึ เปลย่ี นมาใชท้ างผา่ นทด่ี นิ โจทกเ์ ขา้ ออกสสู่ ถานวี ทิ ยุ
แทน ค�ำ เบกิ ความเชน่ นแ้ี มแ้ สดงใหเ้ หน็ ความสงู ชนั ของจดุ บรรจบระหวา่ งทางสาธารณะออกจากทด่ี นิ ซง่ึ ใช้
เปน็ ทต่ี ง้ั สถานวี ทิ ยกุ บั ถนนพหลโยธนิ กต็ าม ไมถ่ อื วา่ ฝา่ ยจ�ำ เลยน�ำ สบื วา่ ทางสาธารณะออกจากทด่ี นิ ซง่ึ เปน็
ทต่ี ง้ั สถานวี ทิ ยมุ คี วามสงู ชนั กวา่ ทด่ี นิ ซง่ึ เปน็ ทต่ี ง้ั สถานวี ทิ ยขุ องจ�ำ เลยท่ี 1 อยมู่ าก ดงั นน้ั แมท้ างเขา้ ทด่ี นิ
จ�ำ เลยท่ี 1 ผา่ นทางสาธารณประโยชนซ์ ง่ึ เชอ่ื มตอ่ กบั ถนนพหลโยธนิ มคี วามสงู ชนั กวา่ กนั มาก กเ็ ปน็ ความ
สงู ชนั แตกตา่ งระหวา่ งทางสาธารณะดว้ ยกนั มใิ ชค่ วามสงู ชนั ของทด่ี นิ ของจำ�เลยท่ี 1 กบั ทางสาธารณะ
จ�ำ เลยทง้ั สองจงึ มอิ าจถอื ประโยชนต์ ามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1349 วรรคสอง ไดเ้ ชน่
กนั เมอ่ื ทางพพิ าทซง่ึ จ�ำ เลยทง้ั สองใชถ้ นนผา่ นทด่ี นิ ของโจทกไ์ มอ่ าจเปน็ ทางจำ�เปน็ ตามกฎหมายไปได้ จ�ำ เลย
ทง้ั สองอาจไดส้ ทิ ธใิ ชท้ างพพิ าทผา่ นทด่ี นิ โจทกเ์ พยี งเปน็ ทางภาระจำ�ยอมเทา่ นน้ั ซง่ึ เมอ่ื ศาลชน้ั ตน้ พพิ ากษา
ใหจ้ �ำ เลยทง้ั สองชนะคดโี ดยวนิ จิ ฉยั วา่ ทางพพิ าทเปน็ ทางจ�ำ เปน็ หากจ�ำ เลยทง้ั สองยงั ตดิ ใจในประเดน็ เรอื่ ง
ทางภาระจ�ำ ยอมอยู่ แม้จำ�เลยท้งั สองไมจ่ �ำ เปน็ ตอ้ งอุทธรณ์ แต่กต็ อ้ งยกขึ้นเป็นประเดน็ ในค�ำ แกอ้ ทุ ธรณ์
เพอ่ื ใหศ้ าลอทุ ธรณภ์ าค 6 วนิ จิ ฉยั เมอ่ื จำ�เลยทง้ั สองมไิ ดต้ ง้ั ประเดน็ ในเรอ่ื งทางภาระจำ�ยอมไวจ้ งึ ไมม่ ปี ระเดน็
ทศ่ี าลฎกี าจะวนิ จิ ฉยั
การทเ่ี คยถอื วสิ าสะใชท้ างพพิ าทผา่ นทด่ี นิ โจทกเ์ รอ่ื ยมาตง้ั แตก่ อ่ สรา้ งสถานวี ทิ ยตุ ำ�รวจตระเวน
ชายแดนคา่ ยพระเจา้ ตาก ตง้ั แตป่ ี 2529 เปน็ ตน้ มา ซง่ึ เปน็ แตเ่ พยี งถนนลำ�ลองไมท่ �ำ ใหท้ ด่ี นิ โจทกส์ ว่ นทม่ี ี
ถนนตดั ผา่ นเสอ่ื มสภาพ หากจ�ำ เลยท่ี 2 ไมก่ อ่ สรา้ งถนนถาวรบนทางพพิ าท ซง่ึ กระท�ำ กอ่ นฟอ้ งคดไี ดไ้ มเ่ กนิ
1 ปี โจทกก์ อ็ าจไมต่ ดิ ใจฟอ้ งรอ้ งด�ำ เนนิ คดนี ก้ี เ็ ปน็ ได้ จงึ ไมใ่ ชเ่ หตลุ ะเมดิ เกดิ ขน้ึ เกนิ กวา่ 10 ปี อนั จะท�ำ ให้
คดโี จทกข์ าดอายคุ วามฟอ้ งรอ้ งตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 448
อัยการนเิ ทศ 115
นางวิไลพรรณ วิสมติ ะนันทนห์ รอื วิสมิตนันทน ์ โจทก์
ระหว่าง
ส�ำ นักงานต�ำ รวจแหง่ ชาต ิ ที่ 1
บริษัท สมาร์ท บอม จำ�กดั ท่ี 2 จำ�เลย
โจทกฟ์ อ้ งวา่ โจทกเ์ ปน็ เจา้ ของกรรมสทิ ธทิ์ ดี่ นิ โฉนดเลขที่ 20707 เลขทด่ี นิ 32 ต�ำ บลไมง้ าม อ�ำ เภอ
เมอื งตาก จงั หวดั ตาก เนอ้ื ที่ 13 ไร่ 3 งาน 29.1 ตารางวา จ�ำ เลยที่ 1 มสี ทิ ธคิ รอบครองท�ำ ประโยชนใ์ นทด่ี นิ
ตดิ ต่อกับโจทก์ทางดา้ นเหนือ โดยจ�ำ เลยท่ี 1 สร้างอาคารสถานวี ทิ ยุตำ�รวจตระเวนชายแดนค่ายพระเจ้าตาก
ซงึ่ เปน็ หนว่ ยงานของกองกำ�กบั การต�ำ รวจตระเวนชายแดนท่ี 34 และอยภู่ ายใตก้ ารบงั คบั บญั ชาของจำ�เลย
ที่ 1 บนที่ดนิ ของจ�ำ เลยที่ 1 โดยจำ�เลยที่ 2 เชา่ เวลาของสถานวี ิทยตุ ำ�รวจตระเวนชายแดนคา่ ยพระเจ้าตาก
เพื่อประโยชน์ในทางการธุรกิจร่วมกับจ�ำ เลยท่ี 1 เม่ือประมาณเดือนกันยายน 2543 โจทก์น�ำ เจ้าพนักงาน
ทด่ี นิ รงั วดั สอบเขตทด่ี นิ ของโจทกพ์ บวา่ จ�ำ เลยทง้ั สองรว่ มกนั กอ่ สรา้ งถนนลาดยางกวา้ งประมาณ 6 เมตร จาก
บรเิ วณถนนพหลโยธินบุกรุกเข้ามาในทีด่ ินของโจทก์ทางดา้ นทิศเหนอื เพอ่ื เป็นเส้นทางไปยังสถานีวทิ ยุต�ำ รวจ
ตระเวนชายแดนค่ายพระเจ้าตากรวมเนื้อท่ที ีบ่ ุกรุก 1 ไร่ 16 ตารางวา โจทกต์ ดิ ตอ่ เจ้าพนักงานผู้รับผิดชอบ
ของจำ�เลยที่ 1 เพอ่ื ให้รื้อถอนถนนท่ีบกุ รุกท่ีดนิ โจทก์และปรบั สภาพพ้ืนที่ใหเ้ ป็นดังเดิม แตเ่ จ้าพนักงานของ
จำ�เลยที่ 1 มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ตดิ ตอ่ กบั จำ�เลยท่ี 2 ซึ่งเปน็ ผู้จัดสร้างถนนดังกลา่ ว โจทกต์ ดิ ตอ่ ไปยังจำ�เลย
ที่ 2 แล้ว แต่จ�ำ เลยที่ 2 เพิกเฉย การจงใจกอ่ สร้างถนนบุกรุกเขา้ ไปในท่ดี ินของโจทกท์ �ำ ให้โจทก์เสยี หาย ขอ
ให้บังคับจำ�เลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่บุกรุกเข้าไปในที่ดินโฉนดเลขที่ 20707 ตำ�บลไม้งาม อำ�เภอ
เมอื งตาก จังหวดั ตาก และปรับสภาพพืน้ ทพี่ พิ าทใหด้ ดี ังเดิม หากจำ�เลยทัง้ สองไม่ด�ำ เนนิ การก็ให้โจทกเ์ ปน็
ผดู้ �ำ เนนิ การเอง โดยใหจ้ �ำ เลยทง้ั สองออกคา่ ใชจ้ า่ ย ใหจ้ �ำ เลยทง้ั สองรว่ มกนั ชดใชค้ า่ เสยี หายแกโ่ จทก์ 212,905 บาท
พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำ�เลยทั้งสองจะชำ�ระเสร็จ
แกโ่ จทก์ ใหจ้ �ำ เลยทง้ั สองชดใชค้ า่ ขาดประโยชนใ์ นอตั ราเดอื นละ 3,000 บาท นบั แตว่ นั ฟอ้ งเปน็ ตน้ ไปจนกวา่ จะ
รอ้ื ถอนสง่ิ ปลกู สรา้ งและปรบั สภาพพน้ื ทพ่ี พิ าทใหด้ ดี งั เดมิ
จำ�เลยท้ังสองให้การปฏิเสธ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชน้ั ต้นพจิ ารณาแลว้ พพิ ากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนยี มใหเ้ ปน็ พับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอทุ ธรณภ์ าค 6 พิพากษายืน คา่ ฤชาธรรมเนยี มชน้ั อุทธรณ์ใหเ้ ป็นพับ
โจทกฎ์ ีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจ�ำ เลยทั้งสองมีสิทธิใช้
ถนนบนทางพพิ าทซง่ึ ผา่ นบนทดี่ นิ โจทกผ์ า่ นจากสถานวี ทิ ยตุ ำ�รวจตระเวนชายแดนคา่ ยพระเจา้ ตาก เขา้ ออกสู่
ทางสาธารณะหรอื ไม่ เหน็ วา่ หนงั สอื รบั รองการทำ�ประโยชนเ์ ลขท่ี 1665 ซงึ่ นาย ก. ยกทดี่ นิ เนอื้ ท่ี 5 ไร่ ให้
116 ค�ำ พพิ ากษาศาลฎีกา
แก่กระทรวงการคลังเพื่อใช้ประโยชน์ในราชการกรมตำ�รวจนั้น มีการบันทึกรายละเอียดน้ีไว้ในสารบัญจด
ทะเบียนด้วย ท่ีดินส่วนที่ได้รับยกให้น้ีจ�ำ เลยที่ 1 จึงใช้จัดตั้งสถานีวิทยุตำ�รวจตระเวนชายแดนค่ายพระเจ้า
ตากนับแต่ได้รับการยกให้ในปี 2528 เป็นต้นมา รูปที่ดินและเขตติดต่อดังระบุไว้ด้านหน้าหนังสือรับรอง
การท�ำ ประโยชนร์ ะบวุ า่ ท่ีดินแปลงซงึ่ เปน็ ทีต่ ง้ั สถานีวทิ ยนุ ้นั เปน็ แปลงคงเหลอื สว่ นทดี่ นิ แปลงอน่ื ๆ นาย ก.
แบง่ แยกไปเปน็ แปลงยอ่ ยอกี 6 แปลง ดว้ ยกนั แมท้ ดี่ นิ แปลงซง่ึ จำ�เลยท่ี 1 ไดร้ บั ยกใหแ้ ละเปน็ ทต่ี งั้ สถานวี ทิ ยุ
อยดู่ า้ นในมที ด่ี นิ แปลงอน่ื กน้ั ขวางอยกู่ ม็ กี ารขดี เสน้ เสมอื นเปน็ ถนนเชอ่ื มระหวา่ งทด่ี นิ ของจำ�เลยที่ 1 ใหต้ ดิ ตอ่
กับทางหลวงแผ่นดินสายตาก – เถิน (พหลโยธิน) ทางด้านทิศเหนือของรูปท่ีดินทั้งเจ็ดแปลงตามที่นาย ก.
เจ้าของเดิมแบ่งแยกไว้ ด้านทิศใต้ของรูปท่ีดินยังปรากฏเป็นแนวเส้นเสมือนเป็นถนนเช่ือมระหว่างทางหลวง
แผน่ ดนิ สายตาก – เถนิ (พหลโยธนิ ) กบั ทางสาธารณประโยชนด์ า้ นทศิ ตะวนั ตก ครน้ั ยอ้ นไปพจิ ารณาสารบญั
จดทะเบยี นปรากฏรายการจดทะเบยี นในเดอื นมถิ นุ ายน 2529 วา่ นาย ก. เจา้ ของเดมิ แบง่ หกั ทดี่ นิ เปน็ ทาง
สาธารณประโยชน์ 2 รายการ คอื ท่ดี นิ เน้ือที่ 5 ไร่ 3 งาน 97 ตารางวา คงเหลอื ที่ดิน 5 ไร่ 97 ตารางวา
รายการหนึ่ง กับหักท่ีดินเป็นทางสาธารณประโยชน์ เนื้อท่ีดิน 5 ไร่ 97 ตารางวา คงเหลือท่ีดิน 5 ไร่ อีก
รายการหนง่ึ ขอ้ เทจ็ จรงิ เชน่ นบี้ ง่ ชช้ี ดั วา่ ทด่ี นิ ซง่ึ จำ�เลยท่ี 1 ใชเ้ ปน็ ทตี่ งั้ สถานวี ทิ ยตุ ำ�รวจตระเวนชายแดนคา่ ย
พระเจา้ ตากซง่ึ มเี นอื้ ท่ี 5 ไร่ มกี ารกนั ทดี่ นิ ไวเ้ ปน็ ทางสาธารณประโยชนเ์ นอ้ื ที่ 97 ตารางวา เพอื่ เชอื่ มจากทดี่ นิ
ของจ�ำ เลยท่ี 1 สู่ทางหลวงแผน่ ดินสายตาก – เถิน (พหลโยธนิ ) ซ่ึงเปน็ ทางสาธารณะไว้ก่อนแล้ว ตง้ั แตน่ าย
ก. แสดงเจตนายกทด่ี นิ ใหแ้ กก่ ระทรวงการคลงั สอดคลอ้ งกบั เอกสารผงั บรเิ วณสถานวี ทิ ยุ ซง่ึ พนั ตำ�รวจโท พ.
สารวัตรแผนก 4 กองกำ�กับการตำ�รวจตระเวนชายแดนที่ 34 รับรองความถูกต้องของสำ�เนาเอกสาร ก็มี
การวาดเสน้ ขนาน เปน็ แนวถนนเชอ่ื มจากทด่ี นิ ของจำ�เลยท่ี 1 ซง่ึ เปน็ ทต่ี ง้ั สถานวี ทิ ยสุ ถู่ นนพหลโยธนิ ดว้ ยเชน่ กนั
จงึ รบั ฟงั เป็นยตุ ิตามเอกสารดังกลา่ วไดว้ ่า ท่ีดินของจำ�เลยท่ี 1 ซึง่ เป็นที่ตัง้ สถานวี ิทยุตำ�รวจตระเวนชายแดน
ค่ายพระเจ้าตากมีทางออกสู่ทางสาธารณะและถนนสาธารณะนั้นก็เช่ือมต่อกับถนนพหลโยธินซ่ึงเป็นทาง
สาธารณะดว้ ย จงึ ไมใ่ ชก่ รณที ดี่ นิ ของจำ�เลยท่ี 1 มที ดี่ นิ แปลงอนื่ ลอ้ มอยจู่ นไมม่ ที างออกถงึ ทางสาธารณะ จำ�เลย
ที่ 1 จงึ ไมอ่ าจผา่ นที่ดินโจทก์ซึ่งล้อมอยู่ออกไปสู่ทางสาธารณะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชยมาตรา
1349 วรรคหนึ่ง ได้ การที่จำ�เลยทั้งสองอ้างว่า การใช้ถนนผ่านที่ดินของโจทก์เป็นทางจำ�เป็นแต่มิได้นำ�สืบ
ว่าหากจะออกจากที่ดินแปลงซึ่งเป็นที่ตั้งสถานีวิทยุของจำ�เลยที่ 1 จะต้องข้ามที่ชันอันเป็นระดับที่ดินกับ
ทางสาธารณะสูงกว่ากันมาก พันตำ�รวจเอก ศ. พยานโจทก์เบิกความว่า เส้นทางด้านทิศเหนือ ซงึ่ หมายถึง
ทางสาธารณะกว้างประมาณ 4 เมตร รถยนต์สามารถแล่นได้ หลังจากขยายถนนพหลโยธินไม่สามารถน�ำ
รถยนตข์ ้นึ ไดเ้ นอื่ งจากสูงชนั แสดงให้เหน็ ว่าการขยายถนนพหลโยธนิ โดยเพิม่ ช่องเดนิ รถน่าจะมีการปาดไหล่
ทางออกด้วย ซึง่ ทำ�ใหท้ างเขา้ ออกจากสถานวี ิทยสุ ถู่ นนพหลโยธนิ มีความชันเพ่มิ ข้นึ จึงเปลยี่ นมาใชท้ างผา่ น
ทด่ี นิ โจทก์เขา้ ออกสู่สถานวี ิทยแุ ทน ค�ำ เบิกความเช่นนแ้ี มแ้ สดงให้เห็นความสงู ชันของจุดบรรจบระหวา่ งทาง
สาธารณะออกจากท่ีดินซ่ึงใช้เป็นที่ตั้งสถานีวิทยุกับถนนพหลโยธินก็ตาม ไม่ถือว่าฝ่ายจ�ำ เลยนำ�สืบว่า ทาง
สาธารณะออกจากท่ดี นิ ซง่ึ เป็นทตี่ ั้งสถานีวิทยุมคี วามสูงชันกว่าท่ดี นิ ซ่งึ เป็นทีต่ ั้งสถานวี ทิ ยขุ องจ�ำ เลยท่ี 1 อยู่
มาก ดงั นน้ั แมท้ างเขา้ ทด่ี นิ จำ�เลยที่ 1 ผา่ นทางสาธารณประโยชนซ์ งึ่ เชอ่ื มตอ่ กบั ถนนพหลโยธนิ มคี วามสงู ชนั
อยั การนเิ ทศ 117
กว่ากันมาก ก็เป็นความสูงชันแตกตา่ งระหวา่ งทางสาธารณะด้วยกัน มใิ ชค่ วามสูงชนั ของท่ดี ินของจำ�เลยที่ 1
กบั ทางสาธารณะ จ�ำ เลยท้ังสองจงึ มอิ าจถือประโยชนต์ ามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 1349
วรรคสอง ได้เช่นกัน เม่ือทางพิพาทซึ่งจ�ำ เลยท้ังสองใช้ถนนผ่านท่ีดินของโจทก์ไม่อาจเป็นทางจ�ำ เป็นตาม
กฎหมายไปได้ จ�ำ เลยทงั้ สองอาจไดส้ ทิ ธใิ ชท้ างพพิ าท ผา่ นทดี่ นิ โจทกเ์ พยี งเปน็ ทางภาระจ�ำ ยอมเทา่ นน้ั ซงึ่ เมอ่ื
ศาลช้ันต้นพิพากษาให้จำ�เลยท้ังสองชนะคดีโดยวินิจฉัยว่า ทางพิพาทเป็นทางจำ�เป็น หากจำ�เลยท้ังสองยัง
ตดิ ใจในประเดน็ เร่ืองทางภาระจำ�ยอมอยู่ แม้จำ�เลยทงั้ สองไม่จำ�เปน็ ต้องอุทธรณ์ แตก่ ็ต้องยกขนึ้ เปน็ ประเดน็
ในค�ำ แกอ้ ทุ ธรณ์ เพอ่ื ใหศ้ าลอทุ ธรณภ์ าค 6 วนิ จิ ฉยั เมอ่ื จ�ำ เลยทงั้ สองมไิ ดต้ ง้ั ประเดน็ ในเรอ่ื งทางภาระจ�ำ ยอม
ไว้ จงึ ไมม่ ปี ระเดน็ ทศี่ าลฎกี าจะวนิ จิ ฉยั เมอื่ ปรากฏวา่ จ�ำ เลยท่ี 2 เปน็ ผกู้ อ่ สรา้ งถนนคอนกรตี หรอื ถนนลาดยาง
ผา่ นจากสถานีวทิ ยุต�ำ รวจตระเวนชายแดนคา่ ยพระเจา้ ตากส่ถู นนพหลโยธนิ เพราะจำ�เลยท่ี 2 เปน็ ผู้เช่าเวลา
โฆษณาในการออกอากาศโดยทำ�สญั ญากบั สำ�นกั งานต�ำ รวจแหง่ ชาติ โดยไมป่ รากฏวา่ จำ�เลยท่ี 1 เจา้ ของทดี่ นิ
ซงึ่ เปน็ ทต่ี ง้ั สถานวี ทิ ยุ มสี ว่ นรเู้ หน็ ดว้ ย เมอ่ื โจทกร์ อ้ งเรยี นวา่ มกี ารสรา้ งถนนบนทางพพิ าทโดยโจทกไ์ มย่ นิ ยอม
ดว้ ยจนมกี ารสอบสวนแลว้ พนั ตำ�รวจโท พ. สารวตั รแผนก 4 กองกำ�กบั การต�ำ รวจตระเวนชายแดนที่ 34 ทำ�
บันทึกข้อความถงึ ผูก้ ำ�กับการ กองก�ำ กับการต�ำ รวจตระเวนชายแดนท่ี 34 เสนอใหท้ �ำ หนังสือแจง้ นาย ษ.
ตวั แทนจ�ำ เลยท่ี 2 กับหวั หนา้ สถานวี ิทยุเพ่ือติดตอ่ จ�ำ เลยที่ 2 ท�ำ การรอ้ื ถอนสิง่ ก่อสร้างออกจากท่ีดนิ ของ
โจทก์ ผู้กำ�กับการกองกำ�กับการตำ�รวจตระเวนชายแดนที่ 34 จึงมีหนังสือแจ้งผู้จัดการของจำ�เลยท่ี 2 ให้
ด�ำ เนนิ การดงั กลา่ วแลว้ การทจ่ี ำ�เลยท่ี 2 ถอื วสิ าสะกอ่ สรา้ งถนนถาวรผา่ นทด่ี นิ โจทกจ์ งึ เปน็ การกระทำ�ละเมดิ
ตอ่ โจทกต์ ามล�ำ พงั ทศี่ าลลา่ งทง้ั สองวนิ จิ ฉยั วา่ จ�ำ เลยทง้ั สองมสี ทิ ธใิ ชห้ รอื ท�ำ ประโยชนผ์ า่ นบนทด่ี นิ โจทกเ์ พราะ
เป็นทางจำ�เป็นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังข้ึน เม่ือการท�ำ ละเมิดน้ันเริ่มแต่ขณะที่
จ�ำ เลยที่ 2 ทำ�ถนนผา่ นทางพิพาทเปน็ ถนนลาดยางหรือถนนคอนกรตี เปน็ ต้นมา ดงั ทนี่ าย ท. นายช่างรังวัด
ท่ีดิน 5 สำ�นักงานท่ีดินจังหวัดตาก ซึ่งเป็นพยานโจทก์เบิกความตอบคำ�ถามค้านทนายจำ�เลยท่ี 2 ว่า ทาง
พิพาทเพิ่งสร้างใหม่โดยดูจากสภาพคอนกรีต การท่ีเคยถือวิสาสะใช้ทางพิพาทผ่านท่ีดินโจทก์เรื่อยมาต้ังแต่
กอ่ สรา้ งสถานวี ทิ ยุตำ�รวจตระเวนชายแดนค่ายพระเจ้าตาก ตั้งแต่ปี 2529 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นแต่เพียง
ถนนลำ�ลองไม่ท�ำ ให้ทด่ี ินโจทก์ส่วนท่ีมีถนนตดั ผา่ นเส่อื มสภาพ หากจำ�เลยท่ี 2 ไมก่ ่อสร้างถนนถาวรบนทาง
พิพาทซึ่งกระทำ�ก่อนฟ้องคดีได้ไม่เกิน 1 ปี โจทก์ก็อาจไม่ติดใจฟ้องร้องดำ�เนินคดีนี้ก็เป็นได้ จึงไม่ใช่
เหตลุ ะเมิดเกดิ ขน้ึ เกินกว่า 10 ปี อนั จะท�ำ ให้คดโี จทกข์ าดอายุความฟอ้ งรอ้ งตามประมวลกฎหมายแพง่ และ
พาณชิ ย์ มาตรา 448
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำ�เลยที่ 2 รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินโฉนดเลขที่ 20707 ตำ�บล
ไม้งาม อำ�เภอเมืองตาก จังหวัดตาก และปรับพื้นที่พิพาทซึ่งใช้ก่อสร้างถนนให้เป็นดังเดิม ให้จำ�เลยที่ 2
ชดใช้ค่าเสียหาย 39,500 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้อง
วันที่ 7 สิงหาคม 2544) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำ�ระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำ�เลยที่ 2 ชดใช้ค่าที่โจท์
ขาดประโยชน์ในการใช้ที่ดินพิพาทในอัตราเดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะรื้อ
ถอนสิ่งปลูกสร้าง และปรับสภาพพื้นที่พิพาทให้เป็นดังเดิม คำ�ขออื่นนอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้
118 คำ�พิพากษาศาลฎกี า
ให้เป็นไปตามคำ�พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ให้จำ�เลยที่ 2 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์
กำ�หนดค่าทนายความรวม 10,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีการะหว่างโจทก์และจำ�เลยที่ 1
ให้เป็นพับ
อยั การนเิ ทศ 119
คำ�พิพากษาศาลฎีกาที่ 5698/2554
ป.อ. ผลโดยตรงจากการท�ำ รา้ ยผอู้ ่ืนเป็นเหตุใหผ้ อู้ ่นื ตาย (มาตรา ๒๙๐, 59)
แพทยผ์ ตู้ รวจชนั สตู รศพผตู้ ายสนั นษิ ฐานวา่ ผตู้ ายถงึ แกค่ วามตายเนอื่ งจากหวั ใจขาดเลอื ดกะทนั หนั
ซงึ่ เกดิ จากการตกใจหรอื มคี วามเครยี ดอยา่ งรนุ แรง แมจ้ ะไดค้ วามวา่ ภาวะหลอดเลอื ดหวั ใจตบี ของผตู้ าย
เป็นภาวะทเ่ี ป็นมากอ่ นแลว้ ก็ตาม แต่การท่ีจ�ำ เลยถอื มีดดาบว่ิงไล่ขูเ่ ข็ญผตู้ ายทำ�ใหผ้ ู้ตายเกดิ อาการตกใจ
กลวั วงิ่ หนกี ารท�ำ ร้าย และการท่จี �ำ เลยกลบั มาดา่ ว่าขม่ ขูแ่ ละชกตอ่ ยท�ำ รา้ ยผตู้ ายอีกยอ่ มเป็นการกระท�ำ
อนั กระทบกระเทอื นต่อรา่ งกายและจติ ใจของผตู้ ายอยา่ งรนุ แรง เปน็ เหตุให้ระบบการหมุนเวียนโลหติ ล้ม
เหลว ขาดเลือดไปเลี้ยงหัวใจอย่างเฉียบพลันจนถึงแก่ความตาย ความตายจึงเป็นผลโดยตรงจากการ
กระท�ำ ของจ�ำ เลย
โจทก์
พนกั งานอยั การ สำ�นกั งานอยั การสงู สดุ
ระหว่าง- นางนรศิ รา อษุ ณาจิตต ์ โจทก์รว่ ม
นายพิชยา เลิศฤทธิ์วมิ านแมน จ�ำ เลย
โจทกฟ์ อ้ งวา่ จำ�เลยขบั รถยนตโ์ ดยประมาทนา่ หวาดเสยี วอนั อาจเกดิ อนั ตรายแกบ่ คุ คลและทรพั ยส์ นิ
เปน็ เหตใุ หก้ นั ชนหนา้ ดา้ นซา้ ยของรถยนตท์ จี่ ำ�เลยขบั เฉยี่ วชนกบั กนั ชนทา้ ยดา้ นขวาของรถยนตท์ ผ่ี ตู้ ายขบั ได้
รบั ความเสยี หาย จากนน้ั จ�ำ เลยขบั รถยนตถ์ อยหลงั ใหท้ า้ ยของรถชนกระแทกถกู หนา้ รถยนตท์ ผ่ี ตู้ ายขบั อยา่ ง
แรง เปน็ เหตใุ หก้ รอบแผน่ ปา้ ยทะเบยี นและอปุ การณร์ ะบบท�ำ ความเยน็ ของรถยนตด์ งั กลา่ วไดร้ บั ความเสยี หาย
แล้วจำ�เลยทำ�รา้ ยร่างกายผู้ตายโดยนำ�อาวธุ มดี ดาบปลายแหลมขนาดใบมีดยาวประมาณ ๒ ฟุต เงื้อวง่ิ ไลฟ่ ัน
ขูเ่ ข็ญท�ำ รา้ ยผ้ตู ายและชกต่อยบริเวณใบหน้าและล�ำ ตัวผ้ตู ายอย่างแรงหลายครงั้ เป็นเหตใุ หผ้ ู้ตายถึงแก่ความ
ตาย ขอใหล้ งโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๐, ๓๕๘ พระราชบญั ญตั จิ ราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๔๓, ๑๕๗
จ�ำ เลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพจิ ารณา นาง น. ภริยาโดยชอบดว้ ยกฎหมายของนาย ก. ผู้ตายยื่นค�ำ ร้องขอเข้าเปน็ โจทก์
ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะความผิดฐานท�ำ ร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตามและความผิดฐาน
ท�ำ ใหเ้ สยี ทรัพย์ ส่วนความผดิ ต่อพระราชบัญญัตจิ ราจรทางบก โจทก์รว่ มไมเ่ ป็นผเู้ สียหายจงึ ไม่อนุญาต
120 คำ�พิพากษาศาลฎีกา
ศาลช้ันต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จ�ำ เลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๐
วรรคแรก พระราชบญั ญตั จิ ราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ (๔) , ๑๕๗ การกระทำ�ของจ�ำ เลยเปน็ ความ
ผดิ หลายกรรมตา่ งกนั ใหล้ งโทษทกุ กรรมเปน็ กระทงความผดิ ไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐาน
ทำ�ร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย จำ�คุก ๑๐ ปี ฐานขับรถยนต์โดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว
ปรบั ๑,๐๐๐ บาท หากจ�ำ เลยไมช่ �ำ ระคา่ ปรบั ใหจ้ ดั การตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ ยกฟอ้ ง
โจทก์และโจทกร์ ่วมในความผิดฐานทำ�ใหเ้ สียทรัพย์
จ�ำ เลยอุทธรณ์
ศาลอทุ ธรณ์พพิ ากษายนื
จำ�เลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจส�ำ นวนประชุมปรึกษาแล้วข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าในเวลาและสถานที่เกิดเหตุตาม
ฟอ้ ง จ�ำ เลยขบั รถยนตต์ หู้ มายเลขทะเบยี น ๑๒-๙๖๙๑ กรงุ เทพมหานคร ไปตามถนนสรุ ศกั ดม์ิ งุ่ หนา้ ถนนสาทร
นาย ก. ผู้ตายขบั รถยนต์เก๋ง หมายเลขทะเบยี น ภน ๖๑๙๕ กรงุ เทพมหานคร จากถนนศรีเวยี งเลย้ี วซา้ ยเขา้
ถนนสรุ ศกั ดิ์ รถยนตท์ จี่ ำ�เลยขบั เฉย่ี วชนดา้ นทา้ ยรถยนตท์ ผ่ี ตู้ ายขบั และจำ�เลยขบั รถแซงขนึ้ ทางดา้ นขวา ปาด
หน้าใหผ้ ตู้ ายหยุดรถจากนน้ั จำ�เลย ผู้ตาย โจทกร์ ่วมและนาย อ. ซ่งึ นั่งรถมากบั ผ้ตู ายตา่ งลงจากรถ มกี ารโต้
เถยี งกนั และไม่สามารถตกลงกันได้ ผู้ตายและโจทกร์ ่วมหนจี ำ�เลยไปที่ทางเท้าดา้ นซา้ ย จ�ำ เลยตามมาโต้เถียง
กบั โจทกร์ ว่ มและผตู้ าย สกั พกั ผตู้ ายลม้ ลงหมดสตแิ ละถงึ แกค่ วามตายเนอ่ื งจากหวั ใจขาดเลอื ด ตามมรณะบตั ร
และรายงานการตรวจศพ
มปี ญั หาวนิ จิ ฉยั วา่ การกระท�ำ ของจ�ำ เลยเปน็ เหตใุ หผ้ ตู้ ายถงึ แกค่ วามตายหรอื ไม่ ไดค้ วามจากพนั ตำ�รวจเอก
ล. แพทยผ์ ตู้ รวจชนั สตู รศพผตู้ ายวา่ ผตู้ ายหวั ใจโต เสน้ เลอื ดหวั ใจเสน้ หนา้ หนาตวั ขนึ้ หลอดเลอื ดภายในเลอื ด
ผา่ นไดป้ ระมาณรอ้ ยละ ๒๐ สนั นษิ ฐานวา่ ผตู้ ายถงึ แกค่ วามตายเนอ่ื งจากหวั ใจขาดเลอื ดกะทนั หนั ซง่ึ เกดิ จากการ
ตกใจหรอื มคี วามเครยี ดอยา่ งรนุ แรง แมจ้ ะไดค้ วามจาการตอบค�ำ ถามคา้ นวา่ ภาวะหลอดเลอื ดหวั ใจตบี ของผตู้ าย
เปน็ ภาวะทเ่ี ปน็ มากอ่ นแลว้ และภาวะหวั ใจขาดเลอื ดเปน็ สาเหตทุ �ำ ใหผ้ ตู้ ายถงึ แกค่ วามตายกต็ าม แตก่ ไ็ มเ่ ปน็ เหตุ
ใหร้ บั ฟงั วา่ ผตู้ ายถงึ แกค่ วามตามโดยมใิ ชเ่ กดิ จากการท�ำ รา้ ยของจ�ำ เลย เพราะการทจ่ี �ำ เลยถอื มดี ดาบวง่ิ ไลข่ เู่ ขญ็
ผตู้ ายท�ำ ใหผ้ ตู้ ายเกดิ อาการตกใจกลวั วง่ิ หนกี ารไลท่ ำ�รา้ ยและการทจ่ี �ำ เลยกลบั มาดา่ ขม่ ขแู่ ละชกตอ่ ยท�ำ รา้ ยผตู้ าย
ยอ่ มเปน็ การกระท�ำ อนั กระทบกระเทอื นตอ่ รา่ งกายและจติ ใจของผตู้ ายอยา่ งรนุ แรง เปน็ เหตใุ หร้ ะบบการหมนุ เวยี น
โลหติ ลม้ เหลวขาดเลอื ดไปเลย้ี งหวั ใจอยา่ งเฉยี บพลนั จนถงึ แกค่ วามตาย ดงั ไดค้ วามจากนาย อ. แพทยผ์ รู้ บั ผตู้ าย
ไวเ้ บกิ ความวา่ ผตู้ ายถงึ แกค่ วามตายมากอ่ นถงึ โรงพยาบาลแลว้ เชน่ น้ี ความตายจงึ เปน็ ผลโดยตรงจากการกระทำ�
ของจ�ำ เลย ซง่ึ เปน็ ความผดิ ฐานมไิ ดเ้ จตนาฆา่ แตท่ ำ�รา้ ยผอู้ น่ื จนเปน็ เหตใุ หผ้ นู้ น้ั ถงึ แกค่ วามตาย ทศ่ี าลอทุ ธรณว์ นิ จิ ฉยั
วา่ การทผ่ี ตู้ ายถงึ แกค่ วามตาย เปน็ ผลโดยตรงจากการกระทำ�ของจ�ำ เลยมานน้ั ศาลฎกี าเหน็ พอ้ งดว้ ย ส�ำ หรบั ฎกี า
ขอ้ อน่ื ของจ�ำ เลยไมท่ �ำ ใหผ้ ลคดเี ปลย่ี นแปลง จงึ ไมจ่ �ำ ตอ้ งวนิ จิ ฉยั
พพิ ากษาแกเ้ ปน็ วา่ ใหจ้ �ำ คกุ จ�ำ เลย ๖ ปี นอกจากทแ่ี กใ้ หเ้ ปน็ ไปตามค�ำ พพิ ากษาของศาลชน้ั ตน้
อัยการนเิ ทศ 121
คำ�พิพากษาศาลฎีกาที่ 4981/2554
ป.พ.พ. เบีย้ ปรับ (มาตรา ๓๘๓)
พ.ร.บ. นํ้าบาดาล พ.ศ. ๒๕๒๐
กฎกระทรวง ฉบับที่ ๖ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ฉบบั ท่ี ๗ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ฉบับที่ ๘ (พ.ศ. ๒๕๔๓)
กรณีจะถอื เปน็ เบี้ยปรบั ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๓ วรรคหนึง่ ต้องเปน็
เบ้ียปรับอันเกิดจากการที่คู่สัญญาที่เป็นเจ้าหนี้ท�ำ สัญญาไว้ต่อกันว่าลูกหน้ีจะใช้เงินจ�ำ นวนหนึ่งเป็นเบี้ย
ปรับเมื่อตนไม่ชำ�ระหนี้หรือไม่ชำ�ระหนี้ให้ถูกต้องดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๓๗๙ ถงึ ๓๘๑ แตค่ ดนี เ้ี ปน็ กรณที จี่ �ำ เลยเปน็ ผรู้ บั ใบอนญุ าตใชน้ า้ํ บาดาลจากโจทกต์ อ้ งรบั ผดิ ช�ำ ระ
ค่าใช้น้ําบาดาลเพิ่มข้ึนเพราะฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวง ซ่ึงออกตามความในพระราชบัญญัตินํ้า
บาดาล พ.ศ. ๒๕๒๐ ค่าใชน้ ้ําบาดาลจงึ มิใช่เบ้ยี ปรบั ศาลจงึ ไม่อาจปรับลดได ้
โจทก์
กรมทรพั ยากรนํา้ บาดาล
ระหว่าง
นางสวุ มิ ล เตรยาภรณห์ รอื เตรยากรณ์ จ�ำ เลย
โจทกฟ์ อ้ งวา่ จ�ำ เลยไดร้ บั ใบอนญุ าตจากกรมทรพั ยากรธรณใี หใ้ ชบ้ าดาลจากบอ่ นา้ํ บาดาล โดยจะตอ้ ง
ชำ�ระค่าใช้น้ําบาดาลให้แกโ่ จทก์ปลี ะ 4 งวด ภายใน 30 วนั นับแตว่ ันเรม่ิ งวดถดั ไป จำ�เลยได้ชำ�ระค่าใช้นํ้า
บาดาลจนถงึ เดอื นธนั วาคม 2538 แลว้ ไมช่ ำ�ระอกี เลย ตงั้ แตเ่ ดอื นมกราคม 2539 ถงึ เดอื นกนั ยายน 2543
รวม 19 งวด เปน็ เงนิ 409,800 บาท กรมทรพั ยากรธรณมี หี นงั สอื ทวงถามจำ�เลยใหช้ �ำ ระหนด้ี งั กลา่ วภายใน
วันที่ 16 กรกฎาคม 2544 แล้ว แต่จำ�เลยเพกิ เฉย โจทก์ขอคดิ ดอกเบยี้ อัตราร้อยละ 7.5 ตอ่ ปี นบั แต่วนั ท่ี
17 กรกฎาคม 2544 ถึงวันฟ้องเป็นดอกเบ้ีย 66,943.36 บาท รวมเปน็ เงนิ ท้งั ส้ิน 476,743.36 บาท
ขอให้บังคับจำ�เลยชำ�ระเงนิ จำ�นวน 476,743.36 บาท พรอ้ มดอกเบ้ียอตั ราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของตน้ เงนิ
409,800 บาท นบั แตว่ นั ถดั จากวันฟอ้ งเป็นต้นไปจนกว่าจะช�ำ ระเสร็จแกโ่ จทก์
จ�ำ เลยใหก้ ารวา่ บอ่ นาํ้ บาดาลตามฟอ้ งช�ำ รดุ ใชก้ ารไมไ่ ดต้ งั้ แตก่ ลางเดอื นเมษายน 2539 จงึ ไมม่ กี าร
ใชน้ า้ํ บาดาลดงั กลา่ ว จำ�เลยแจง้ การยกเลกิ การใชบ้ อ่ นาํ้ บาดาลและขดุ กลบแลว้ ตงั้ แตว่ นั ที่ 9 สงิ หาคม 2545
ส�ำ หรับคา่ ใช้นา้ํ บาดาลระหวา่ งวนั ท่ี 1 มกราคม 2539 ถึงวนั ท่ี 15 เมษายน 2539 จำ�เลยชำ�ระใหโ้ จทก์
แล้ว จึงไมต่ อ้ งรับผิดอกี คดีของโจทกข์ าดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
122 ค�ำ พพิ ากษาศาลฎกี า
ศาลชนั้ ตน้ พจิ ารณาแลว้ พพิ ากษาใหจ้ ำ�เลยช�ำ ระเงนิ จ�ำ นวน 325,312.50 บาท พรอ้ มดอกเบยี้ อตั รา
ร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2544 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำ�ระเสร็จแก่
โจทก์ กับใหใ้ ชค้ ่าฤชาธรรมเนยี มแทนโจทก์ โดยกำ�หนดคา่ ทนายความ 5,000 บาท
โจทกแ์ ละจ�ำ เลยอทุ ธรณ์
ศาลอุทธรณ์พพิ ากษายืน ใหจ้ ำ�เลยใช้ค่าทนายความในชน้ั อทุ ธรณ์ 5,000 บาท แทนโจทก์
โจทก์ฎกี า
ศาลฎกี าตรวจส�ำ นวนประชมุ ปรกึ ษาแลว้ ขอ้ เทจ็ จรงิ รบั ฟงั เปน็ ยตุ ติ ามทค่ี คู่ วามไมโ่ ตแ้ ยง้ กนั ในชน้ั นว้ี า่
กรมทรพั ยากรธรณไี ดอ้ นญุ าตใหจ้ ำ�เลยใชน้ าํ้ บาดาลไมเ่ กนิ วนั ละ 50 ลกู บาศกเ์ มตร ตามใบอนญุ าตใชน้ า้ํ บาดาล
หลังจากจ�ำ เลยได้รบั ใบอนญุ าตใช้นา้ํ บาดาล จ�ำ เลยมไิ ด้ติดตั้งเครอ่ื งวัดปรมิ าณนํ้าประจำ�บอ่ บาดาล และมไิ ด้
ช�ำ ระค่าใช้นํา้ บาดาลตง้ั แตง่ วดท่ี 1/2539 ถงึ งวดท่ี 3/2543 รวม 19 งวด ซึ่งตรงกบั วนั ท่ี 1 มกราคม
2539 ถงึ วนั ท่ี 30 กนั ยายน 2543 สว่ นอตั ราคา่ ใชน้ า้ํ บาดาลโดยวธิ คี ำ�นวณตามปรมิ าณนา้ํ บาดาลทใ่ี ชเ้ ปน็
ไปตามกฎกระทรวง ฉบบั ที่ 6 (พ.ศ. 2537) ซงึ่ ออกโดยอาศยั อำ�นาจตามความในมาตรา 7 (1) และ(2) แหง่
พระราชบญั ญตั นิ า้ํ บาดาล (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2535 และมาตรา 8 แหง่ พระราชบญั ญตั นิ าํ้ บาดาล พ.ศ. 2520
ซงึ่ มผี ลบงั คบั ใชต้ ง้ั แตว่ นั ท่ี 1 กรกฎาคม 2537 เปน็ ตน้ ไป และตามกฎกระทรวง ฉบบั ท่ี 7 (พ.ศ. 2540) ซง่ึ
มผี ลบงั คบั ต้ังแตว่ ันท่ี 1 ตลุ าคม 2540 เป็นตน้ ไป และตามกฎกระทรวง ฉบับท่ี 8 (พ.ศ. 2543) ซ่ึงมีผล
บงั คับใชต้ ้ังแตว่ นั ท่ี 1 สงิ หาคม 2543 เป็นตน้ ไป
พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัย กรณีที่ผู้รับใบอนุญาตใช้นํ้าบาดาลมิได้ชำ�ระค่าใช้
นํ้าบาดาลภายในกำ�หนดเวลาสำ�หรับงวดใด และมีหน้าที่ต้องชำ�ระค่าใช้นํ้าบาดาลตามกฎกระทรวง ฉบับที่
6 (พ.ศ. 2537) ตามกฎกระทรวง ฉบบั ท่ี 7 (พ.ศ. 2540) ตามกฎกระทรวง ฉบบั ท่ี 8 (พ.ศ. 2543) ถอื เปน็
เบย้ี ปรบั ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 383 หรอื ไม่ กรณจี ะถอื วา่ เปน็ เบย้ี ปรบั ตามประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 383 วรรคหนง่ึ นน้ั ตอ้ งเปน็ เบย้ี ปรบั อนั เกดิ จากการทค่ี สู่ ญั ญาทเ่ี ปน็ เจา้ หน้ี
ท�ำ สญั ญาไวต้ อ่ กนั วา่ ลกู หนจ้ี ะใชเ้ งนิ จ�ำ นวนหนง่ึ เปน็ เบย้ี ปรบั เมอ่ื ตนไมช่ �ำ ระหนห้ี รอื ไมช่ �ำ ระหนใ้ี หถ้ กู ตอ้ งสมควร
ดงั ทบ่ี ญั ญตั ไิ วใ้ นมาตรา 379 ถงึ มาตรา 381 แตค่ ดนี เ้ี ปน็ กรณที จ่ี �ำ เลยเปน็ ผรู้ บั ใบอนญุ าตใชน้ า้ํ บาดาลจาก
โจทกต์ อ้ งรบั ผดิ ช�ำ ระคา่ ใชน้ า้ํ บาดาลเพม่ิ ขน้ึ เพราะฝา่ ฝนื ไมป่ ฏบิ ตั ติ ามกฎกระทรวง ฉบบั ท่ี 6 ถงึ ฉบบั ท่ี 8 ซง่ึ
ออกตามความในพระราชบญั ญตั นิ า้ํ บาดาล พ.ศ. 2520 มใิ ชเ่ ปน็ เรอ่ื งทโ่ี จทกก์ บั จ�ำ เลยตกลงก�ำ หนดคา่ เสยี หาย
ไวล้ ว่ งหนา้ ในลกั ษณะเบย้ี ปรบั ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ ศาลจงึ ไมอ่ าจปรบั ลดได้
สำ�หรับคดีนี้จำ�เลยไม่ได้ติดตั้งเครื่องวัดปริมาณนํ้าจำ�เลยจึงมีหน้าที่ต้องชำ�ระค่าใช้นํ้าบาดาลตาม
ปรมิ าณนา้ํ บาดาลสงู สดุ ทกี่ �ำ หนดไวใ้ นใบอนญุ าตใชน้ า้ํ บาดาล คอื วนั ละ 50 ลกู บาศกเ์ มตร เมอ่ื จ�ำ เลยไมช่ �ำ ระ
จำ�เลยจึงต้องชำ�ระค่าใช้น้ําบาดาลเพิ่มสำ�หรับงวดท่ีผิดนัดในอัตราลูกบาศก์เมตรละ 5 บาท 7 บาท และ8
บาท ตามกฎกระทรวง ฉบับท่ี 6 (พ.ศ. 2537) ฉบบั ท่ี 7 (พ.ศ. 2540) และฉบบั ที่ 8 (พ.ศ. 2543) แล้ว
แต่กรณี และจำ�เลยใช้น้ําบาดาลท่ีมีบ่อน้ําบาดาลอยู่ในท้องท่ีท่ีไม่มีนํ้าประปาใช้ และไม่ได้รับยกเว้นค่าใช้น้ํา
บาดาล จงึ ไดร้ บั ลดหยอ่ นคา่ ใชน้ า้ํ บาดาลตามกฎกระทรวงดงั กลา่ วเหลอื เพยี งรอ้ ยละ 75 ของปรมิ าณนาํ้ บาดาล
อยั การนิเทศ 123
สงู สดุ ทีก่ �ำ หนดไว้ในใบอนุญาตใชน้ ํ้าบาดาล การคดิ คำ�นวณคา่ ใชน้ ้าํ บาดาลของโจทก์ ตามบนั ทึกเรอื่ งนนั้ คา่ ใช้
นา้ํ บาดาลค้างชำ�ระ และบัญชรี ายละเอยี ดการค้างช�ำ ระค่าใช้นา้ํ บาดาล คิดเปน็ เงินรวม 408,800 บาท ถูก
ตอ้ งตามหลกั เกณฑ์ วธิ กี ารและเง่ือนไขของกฎกระทรวงดงั กลา่ วแล้ว
พพิ ากษาแกเ้ ปน็ วา่ ใหจ้ �ำ เลยช�ำ ระเงนิ จ�ำ นวน 408,800 บาท พรอ้ มดอกเบย้ี อตั รารอ้ ยละ 7.5 ตอ่ ปี
ของต้นเงินดังกลา่ วนบั แตว่ นั ที่ 17 กรกฎาคม 2544 เปน็ ตน้ ไปจนกวา่ จะช�ำ ระเสร็จแกโ่ จทก์ ท้ังนดี้ อกเบยี้
คดิ ถงึ วนั ฟอ้ ง (ฟอ้ งวนั ท่ี 19 กนั ยายน 2546) ไมใ่ หเ้ กนิ 66,943.36 บาท ตามทโ่ี จทกข์ อ คา่ ฤชาธรรมเนยี ม
อน่ื ทศ่ี าลอทุ ธรณย์ งั ไมไ่ ดส้ ง่ั นนั้ ใหเ้ ปน็ พบั นอกจากทแ่ี กใ้ หเ้ ปน็ ไปตามคำ�พพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ คา่ ฤชาธรรมเนยี ม
ชน้ั ฎีกาใหเ้ ป็นพับ
124 ค�ำ พพิ ากษาศาลฎกี า
คำ�พิพากษาศาลฎีกาที่ 1938 - 1939/2554
ป.อ. ตวั การ บุกรุก บกุ รุกโดยรว่ มกระทำ�ความผิดดว้ ยกนั ตง้ั แตส่ องคนข้นึ ไป บกุ รกุ ใน
เวลากลางคนื (มาตรา 83, 362, 365 (2) (3))
ผเู้ สยี หายท่ี 1 เปน็ เจา้ ของทด่ี นิ ตามหนงั สอื รบั รองการท�ำ ประโยชนเ์ ลขท่ี 1429 และเลขท่ี 1430
ผเู้ สยี หายที่ 2 เปน็ เจา้ ของทดี่ นิ โฉนดทด่ี นิ เลขท่ี 1074 แมผ้ เู้ สยี หายทงั้ สองยงั ไมไ่ ดค้ รอบครองทำ�ประโยชน์
ในทด่ี นิ ดังกล่าว ก็ถอื ไดว้ า่ ผเู้ สยี หายทั้งสองเป็นผเู้ สยี หายในขอ้ หาบุกรุกแลว้
การที่จ�ำ เลยทั้งสองเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นเพ่ือถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์น้ัน
ทง้ั หมดหรือบางส่วนถือว่าจำ�เลยท้ังสองมีเจตนาบกุ รกุ แลว้ การกระท�ำ ของจำ�เลยท้งั สองจงึ เป็นความผดิ
ฐานบุกรกุ
การที่จำ�เลยทั้งสองเข้าไปบุกรุกที่ดินของจ�ำ เลยท้ังสองเวลากลางวันต่อเน่ืองไปจนถึงเวลากลาง
คนื จ�ำ เลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานร่วมกันบุกรุกในเวลากลางคืน
พนกั งานอัยการจังหวดั เชียงราย โจทก์
ระหวา่ ง จำ�เลย
รอ้ ยต�ำ รวจตรบี ญุ ชุม ปัญจขนั ธ์ ท่ี 1
นางจันทร์ฟอง ปญั จขนั ธ์ ท่ี 2
พนกั งานอัยการจงั หวัดเชียงราย โจทก์
ระหวา่ ง
นางจนั ทรฟ์ อง ปญั จขนั ธ์ ที่ 2 จำ�เลย
โจทกส์ �ำ นวนแรกฟอ้ งวา่ จ�ำ เลยทงั้ สองรว่ มกนั กระท�ำ ความผดิ ตอ่ กฎหมายหลายกรรมตา่ งกนั กลา่ วคอื
เม่อื ระหว่างเดอื นมิถนุ ายน 2543 วันเวลาใดไมป่ รากฏชัด ถึงวนั ท่ี 8 มนี าคม 2545 เวลากลางวันตอ่ เนื่อง
กนั ตลอดมาทง้ั เวลากลางวนั และกลางคนื จ�ำ เลยทง้ั สองรว่ มกนั เขา้ ไปในทด่ี นิ โฉนดเลขท่ี 1074 ต�ำ บลดงมะตะ
อำ�เภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย อันเป็นอสังหาริมทรัพย์ของนาย ณ. ผเู้ สยี หายที่ 2 โดยไมไ่ ดร้ บั อนญุ าตแลว้
อัยการนิเทศ 125
ลอ้ มรัว้ ลวดหนามเพอื่ ถือการครอบครองอสงั หารมิ ทรัพย์ดงั กลา่ วบางสว่ นรวมเนอื้ ที่ประมาณ 8 ไร่ และเมอื่
ระหว่างเดอื นมิถนุ ายน 2543 วนั เวลาใดไมป่ รากฏชดั ถงึ วันที่ 10 มกราคม 2545 เวลากลางวัน วันเวลา
ใดไมป่ รากฏชดั จำ�เลยทง้ั สองรว่ มกนั ลกั ดนิ จำ�นวน 7,200 ลกู บาศกเ์ มตร ราคา 72,000 บาท ไปจากทด่ี นิ
ของผู้เสยี หายที่ 2 จำ�เลยท่ี 2 เป็นบุคคลคนเดยี วกบั จ�ำ เลยในคดอี าญา หมายเลขดำ�ท่ี 5802/2545 ของ
ศาลชนั้ ตน้ เหตเุ กดิ ทต่ี �ำ บลดงมะดะ อ�ำ เภอแมล่ าว จงั หวดั เชยี งราย ขอใหล้ งโทษตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 83, 91, 334, 335, 362, 365 และสง่ั ให้จำ�เลยทั้งสองรว่ มกันคืนหรือใช้ราคาท่ีดินแก่ผเู้ สยี หาย
ที่ 2 เปน็ เงนิ 72,000 บาท กบั ใหน้ บั โทษจ�ำ เลยที่ 2 ต่อจากโทษ ของจ�ำ เลยในคดีดังกลา่ ว
จ�ำ เลยทง้ั สองใหก้ ารปฏเิ สธ แตจ่ �ำ เลยท่ี 2 รบั วา่ เปน็ บคุ คลคนเดยี วกบั จ�ำ เลยในคดที โ่ี จทกข์ อใหน้ บั โทษตอ่
โจทก์ส�ำ นวนหลังฟอ้ งว่า เมอ่ื วันท่ี 10 มกราคม 2545 เวลากลางวัน ถงึ วันที่ 22 มีนาคม 2545
เวลากลางวันตอ่ เนือ่ งกนั ตลอดมาทัง้ เวลากลางวันและกลางคนื จ�ำ เลยที่ 2 เข้าไปในทด่ี ินตามหนังสอื รบั รอง
การท�ำ ประโยชน์ เลขที่ 1429 และ 1430 ต�ำ บลดงมะดะ อ�ำ เภอแมล่ าว จงั หวดั เชยี งราย อนั เปน็ อสงั หารมิ ทรพั ย์
ของนาย ร. ผเู้ สยี หายท่ี 1 โดยไม่ไดร้ บั อนญุ าต แลว้ ลอ้ มรว้ั ลวดหนามเพอ่ื ถอื การครอบครองอสงั หารมิ ทรพั ย์
ดงั กลา่ วทงั้ หมดหรอื แตบ่ างสว่ นรวมเปน็ เนอ้ื ทปี่ ระมาณ 7 ไร่ เหตเุ กดิ ทตี่ ำ�บลดงมะดะ อำ�เภอแมล่ าว จงั หวดั
เชยี งราย จ�ำ เลยท่ี 2 เปน็ บุคคลคนเดียวกับจำ�เลยในคดีอาญา หมายเลขดำ�ท่ี 5801/2545 ของศาลชนั้ ตน้
ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 365 และขอให้นับโทษจำ�เลยต่อจากโทษของจำ�เลย
ท่ี 2 ในคดีดังกล่าว
จ�ำ เลยท่ี 2 ใหก้ ารปฏเิ สธ แตร่ บั วา่ เปน็ บคุ คลเดยี วกบั จ�ำ เลยท่ี 2 ในคดที โ่ี จทกข์ อใหน้ บั โทษตอ่
ศาลชนั้ ต้นพจิ าณาแลว้ พพิ ากษาว่า จ�ำ เลยทงั้ สองในส�ำ นวนแรกมคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 365 (2) (3) ประกอบมาตรา 362, 83 จำ�คกุ คนละ 1 ปี ยกฟอ้ งฐานลกั ทรพั ย์ ยกคำ�ขอใหน้ บั โทษ
ต่อ และจ�ำ เลยที่ 2 ในส�ำ นวนหลงั มคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 (3) ประกอบมาตรา
362 จำ�คุก 1 ปี กบั ใหน้ บั โทษจ�ำ เลยที่ 2 ต่อจากโทษของจำ�เลยที่ 2 ในส�ำ นวนแรก
จ�ำ เลยทั้งสองอทุ ธรณ์
ศาลอทุ ธรณภ์ าค 5 พิพากษายนื
จำ�เลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำ�พิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้ฎีกา
ในปญั หาข้อเทจ็ จริง
ศาลฎกี าพเิ คราะหแ์ ลว้ ขอ้ เทจ็ จรงิ รบั ฟงั ไดใ้ นเบอ้ื งตน้ วา่ ผเู้ สยี หายท่ี 1 เปน็ เจา้ ของทดี่ นิ ตามหนงั สอื
รบั รองการท�ำ ประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1429 และเลขท่ี 1430 ต�ำ บลดงมะดะ อ�ำ เภอแม่ลาว จังหวดั
เชียงราย ผู้เสียหายท่ี 2 เป็นเจ้าของท่ีดินโฉนดท่ีดิน เลขที่ 1074 ตำ�บลดงมะดะ อำ�เภอแม่ลาว จังหวัด
เชยี งราย คดีมปี ญั หาต้องวนิ จิ ฉัยตามฎกี าของจ�ำ เลยทัง้ สองว่า ผู้เสียหายทั้งสองเปน็ ผ้เู สียหายในขอ้ หาบุกรุก
หรอื ไม่ เห็นวา่ เม่อื ขอ้ เทจ็ จริงฟงั ได้ว่า ผูเ้ สียหายที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินตามหนงั สือรบั รองการทำ�ประโยชน์
เลขท่ี 1429 และเลขที่ 1430 ผเู้ สยี หายท่ี 2 เปน็ เจา้ ของทด่ี นิ โฉนดทดี่ นิ เลขท่ี 1074 แมผ้ เู้ สยี หายทงั้ สอง
ยังไม่ได้ครอบครองท�ำ ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว ถือได้ว่า ผู้เสียหายท้ังสองเป็นผู้เสียหายในข้อหาบุกรุกแล้ว
126 คำ�พพิ ากษาศาลฎกี า
ท่จี ำ�เลยทัง้ สองฎีกาว่า หากจำ�เลยทงั้ สองมีเจตนาบุกรกุ ที่ดินพพิ าทจำ�เลยทงั้ สองคงตอ้ งครอบครองทดี่ ินของ
ผู้เสียหายท้ังสองท้ังหมดนั้น เห็นว่า การที่จำ�เลยท้ังสองเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นเพื่อถือการครอบ
ครองอสงั หารมิ ทรพั ยน์ น้ั ทงั้ หมดหรอื บางสว่ น ถอื วา่ จำ�เลยทง้ั สองมเี จตนาบกุ รกุ แลว้ การกระทำ�ของจำ�เลยทงั้
สองจงึ เปน็ ความผดิ ฐานบกุ รกุ สว่ นทจ่ี �ำ เลยทง้ั สองฎกี าวา่ จ�ำ เลยทง้ั สองไมม่ คี วามผดิ ฐานบกุ รกุ ในเวลากลางคนื
คงมีความผิดฐานบุกรุกในเวลากลางวันเท่านั้น เห็นว่า การที่จำ�เลยทั้งสองเข้าไปบุกรุกที่ดินของจำ�เลยทั้ง
สองเวลากลางวันตอ่ เน่อื งไปจนถึงเวลากลางคืน จ�ำ เลยทง้ั สองจึงมคี วามผิดฐานร่วมกนั บกุ รุกในเวลากลางคืน
ฎีกาของจ�ำ เลยทงั้ สองในส่วนนฟ้ี งั ไมข่ ้ึน
สว่ นทจ่ี �ำ เลยทงั้ สองฎกี าขอใหล้ ดโทษและรอการลงโทษแกจ่ �ำ เลยทง้ั สองนนั้ คดนี เี้ ปน็ คดบี กุ รกุ ทม่ี อี ตั รา
โทษไมส่ ูง ซ่ึงศาลอุทธรณภ์ าค 5 พิพากษาใหจ้ ำ�คกุ จำ�เลยท่ี 1 มกี �ำ หนด 1 ปี และจำ�คุกจำ�เลยที่ 2 สำ�นวน
ละ 1 ปี โดยนับโทษจ�ำ เลยที่ 2 ตอ่ จากโทษของจำ�เลยท่ี 2 ในสำ�นวนแรก เมอื่ พเิ คราะห์พฤตกิ ารณ์แห่งคดที ่ี
ผเู้ สียหายท้งั สองยงั ไมไ่ ด้รบั ความเสยี หายจากการกระท�ำ ของจ�ำ เลยทง้ั สองมากนกั ประกอบกบั จำ�เลยท้ังสอง
มอี ายมุ าก โดยเฉพาะจ�ำ เลยที่ 1 เคยรบั ราชการต�ำ รวจมานานจนเกษยี ณอายแุ ละปจั จบุ นั มสี ขุ ภาพไมแ่ ขง็ แรง
เป็นอมั พฤกษ์ การรอการลงโทษจ�ำ เลยทง้ั สองนา่ จะเป็นวิธีท่เี หมาะสมกวา่ เพ่อื ใหโ้ อกาสแกจ่ ำ�เลยทง้ั สองได้
กลับตัวทำ�คุณความดีต่อสังคมต่อไป ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำ�คุก จำ�เลยท้ังสองมาน้ันยังไม่ต้องด้วย
ความเหน็ ของศาลฎีกา เห็นควรแก้ไขใหเ้ หมาะสมฎกี าของจ�ำ เลยทง้ั สองในสว่ นน้ีฟังขึน้
พพิ ากษาแกเ้ ปน็ วา่ ใหร้ อการลงโทษจ�ำ เลยทงั้ สองไวม้ กี �ำ หนดสองปี ไมน่ บั โทษจ�ำ เลยที่ 2 ตอ่ จากโทษ
ของจ�ำ เลยท่ี 2 ในสำ�นวนแรก นอกจากทแี่ ก้ให้เป็นไปตามคำ�พิพากษาศาลอุทธรณภ์ าค 5
อยั การนิเทศ 127
คำ�พิพากษาศาลฎีกาที่ 868/2554
ป.อ. ปลน้ ทรัพย์ (มาตรา 340)
การขู่เข็ญว่าในทันใดน้ันจะใช้กำ�ลังประทุษร้ายอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานปล้นทรัพย์น้ัน
อาจขตู่ รงๆ หรอื ใชถ้ อ้ ยค�ำ ท�ำ กริ ยิ า หรอื ท�ำ ประการใดใหเ้ ขา้ ใจไดเ้ ชน่ นนั้ เปน็ การแสดงใหผ้ ถู้ กู ขเู่ ขญ็ เขา้ ใจ
ว่าจะได้รับภัยจากการกระทำ�ของผู้ขู่เข็ญ การท่ีจำ�เลยกับพวกบังคับเอาโทรศัพท์เคล่ือนท่ีของผู้เสียหาย
โดยนาย ม. พวกของจ�ำ เลยท�ำ ทา่ ทางเหมอื นจะชกั อาวุธออกมาโดยล้วงเขา้ ไปในเส้อื บริเวณเอว แมม้ ิได้
ใช้ก�ำ ลังประทุษร้าย มไิ ดใ้ ช้อาวธุ มาขู่บงั คับหรือพดู ว่าจะใช้ก�ำ ลังประทุษรา้ ยกต็ าม แตก่ ริ ิยาทา่ ทีของนาย
ม. ทที่ ำ�ทา่ ทางเหมอื นกบั จะชกั อาวธุ ออกมานนั้ ยอ่ มถอื ไดว้ า่ เปน็ การขบู่ งั คบั ประกอบกบั เหตทุ ผี่ เู้ สยี หาย
มอบโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้นาย ม. เพราะเกรงว่าจะถูกท�ำ ร้าย อันเป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าเป็นการขู่เข็ญ
วา่ ในทนั ใดนนั้ จะใชก้ �ำ ลงั ประทษุ รา้ ย ท�ำ ใหผ้ เู้ สยี หายเกดิ ความกลวั วา่ จ�ำ เลยกบั พวกจะใชก้ �ำ ลงั ประทษุ รา้ ย
จึงต้องจำ�ยอมให้โทรศัพท์เคลื่อนท่ีแก่จ�ำ เลยกับพวกไป การกระท�ำ ของจำ�เลยกับพวกดังกล่าวครบองค์
ประกอบความผดิ ฐานปลน้ ทรพั ย์แล้ว จำ�เลยจงึ มคี วามผดิ ฐานปล้นทรัพย์
พนักงานอัยการ สำ�นกั งานอยั การสูงสุด โจทก์
ระหว่าง
นายนติ วิ ัฒน์ ตนั ติอมรพงษ์ จ�ำ เลย
โจทกฟ์ อ้ งขอใหล้ งโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ใหจ้ �ำ เลยคนื โทรศพั ทเ์ คลอื่ นที่ ยห่ี อ้
โซน่ี อริ คิ สนั รนุ่ W 610 I จำ�นวน 1 เครอื่ ง หรอื หากคนื ไมไ่ ดใ้ หใ้ ชร้ าคาจำ�นวน 10,000 บาท แกผ่ เู้ สยี หาย
จำ�เลยให้การรับสารภาพ
ศาลชน้ั ตน้ พจิ ารณาแลว้ พพิ ากษาวา่ จ�ำ เลยมคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรค
แรก ขณะกระทำ�ความผดิ จ�ำ เลยมอี ายุ 19 ปี ลดมาตราสว่ นโทษใหก้ งึ่ หนง่ึ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
76 จ�ำ คกุ 5 ปี จำ�เลยใหก้ ารรบั สารภาพ เปน็ ประโยชนแ์ กก่ ารพจิ ารณา มเี หตบุ รรเทาโทษ ลดโทษใหก้ ง่ึ หนง่ึ
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำ�คกุ จ�ำ เลย 2 ปี 6 เดือน สว่ นทีโ่ จทกข์ อใหจ้ �ำ เลยคนื โทรศพั ท์
เคลอื่ นที่ ยหี่ อ้ โซนี่ อริ คิ สนั รนุ่ W 610 I จำ�นวน 1 เครอื่ ง หรอื หากคนื ไมไ่ ดใ้ หใ้ ชร้ าคาจำ�นวน 10,000 บาท
แกผ่ เู้ สยี หายนน้ั ปรากฏขอ้ เทจ็ จรงิ ในชน้ั พจิ ารณาวา่ จ�ำ เลยไดใ้ ชเ้ งนิ คา่ เสยี หายแกผ่ เู้ สยี หายเปน็ เงนิ 10,000
บาทแลว้ จงึ ใหย้ กค�ำ ขอของโจทกใ์ นสว่ นน้ี
128 คำ�พิพากษาศาลฎกี า
จ�ำ เลยอุทธรณ์
ศาลอทุ ธรณพ์ พิ ากษาแกเ้ ปน็ วา่ จ�ำ เลยมคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335 (7) วรรค
แรก ลดมาตราสว่ นโทษแลว้ จ�ำ คกุ 2 ปี และปรบั 4,000 บาท ลดโทษใหก้ ง่ึ หนง่ึ คงจ�ำ คกุ 1 ปี และปรบั
2,000 บาท โทษจ�ำ คกุ ใหร้ อการลงโทษไวม้ กี �ำ หนด 3 ปี และคมุ ความประพฤตขิ องจ�ำ เลยไวม้ กี �ำ หนด 2 ปี
นบั แตว่ นั อา่ นค�ำ พพิ ากษาศาลอทุ ธรณใ์ หจ้ �ำ เลยฟงั โดยใหจ้ �ำ เลยไปรายงานตวั ตอ่ พนกั งานคมุ ประพฤตทิ กุ 3
เดือน ต่อครั้ง เป็นเวลา 2 ปี และให้กระทำ�กิจกรรมบริการสังคมหรือ สาธารณประโยชน์ตามที่พนักงาน
คุมประพฤติและจำ�เลยเห็นสมควรเป็นเวลา 18 ชั่วโมงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำ�ระ
คา่ ปรบั ใหจ้ ดั การตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากทแ่ี กใ้ หเ้ ปน็ ไปตามค�ำ พพิ ากษาศาลชน้ั ตน้
โจทกฎ์ ีกา
ศาลฎกี าพเิ คราะหแ์ ลว้ ขอ้ เทจ็ จรงิ ทค่ี คู่ วามไมโ่ ตแ้ ยง้ กนั ในชน้ั ฎกี ารบั ฟงั เปน็ ยตุ วิ า่ ตามวนั เวลาและสถานท่ี
เกดิ เหตใุ นฟอ้ ง ขณะทน่ี าย ว. ผเู้ สยี หาย นง่ั รอเพอ่ื นอยนู่ น้ั จ�ำ เลย นาย ม. และนาย ก. เดนิ เขา้ ไปหา นาย ม.
ขอเงนิ จากผเู้ สยี หาย 100 บาท ผเู้ สยี หายไมใ่ ห้ นาย ม. ท�ำ ทา่ ทางเหมอื นจะชกั อาวธุ ออกมาโดยลว้ งเขา้ ไปใน
เสอ้ื บรเิ วณเอวแลว้ พดู วา่ เอาโทรศพั ทเ์ คลอ่ื นทม่ี า ผเู้ สยี หายจงึ ยน่ื โทรศพั ทเ์ คลอ่ื นทข่ี องกลางใหข้ ณะนน้ั นาย ก.
ยืนห่างประมาณ 1 เมตร ในลกั ษณะคอยดตู น้ ทาง ส่วนจำ�เลยพูดกับนาย ม. วา่ เร็ว ๆ หนอ่ ยมีคนก�ำ ลงั มา
หลงั จากนน้ั จ�ำ เลยกบั พวกหลบหนไี ป โดยจ�ำ เลยเปน็ ตวั การรว่ มกนั กบั นาย ม. และนาย ก. กระท�ำ ความผดิ ฐาน
ลกั ทรพั ย์ มปี ญั หาตอ้ งวนิ จิ ฉยั ตามฎกี าของโจทกว์ า่ การกระท�ำ ของจ�ำ เลยกบั พวกเปน็ การขเู่ ขญ็ วา่ จะใชก้ �ำ ลงั
ประทษุ รา้ ย อนั เปน็ ความผดิ ฐานปลน้ ทรพั ยต์ ามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคแรก หรอื ไม่ เหน็
วา่ การขเู่ ขญ็ วา่ ในทนั ใดนน้ั จะใชก้ ำ�ลงั ประทษุ รา้ ยอนั เปน็ องคป์ ระกอบความผดิ ฐานปลน้ ทรพั ยน์ น้ั อาจขตู่ รง ๆ
หรอื ใชถ้ อ้ ยค�ำ ท�ำ กริ ยิ า หรอื ท�ำ ประการใดใหเ้ ขา้ ใจไดเ้ ชน่ นน้ั เปน็ การแสดงใหผ้ ถู้ กู ขเู่ ขญ็ เขา้ ใจวา่ จะไดร้ บั ภยั จาก
การกระท�ำ ของผขู้ เู่ ขญ็ การทจ่ี �ำ เลยกบั พวกบงั คบั เอาโทรศพั ทเ์ คลอ่ื นทข่ี องผเู้ สยี หาย โดยนาย ม. พวกของจำ�เลย
ท�ำ ทา่ ทางเหมอื นจะชกั อาวธุ ออกมาโดยลว้ งเขา้ ไปในเสอ้ื บรเิ วณเอว แมม้ ไิ ดใ้ ชก้ �ำ ลงั ประทษุ รา้ ย มไิ ดใ้ ชอ้ าวธุ มา
ขบู่ งั คบั หรอื พดู วา่ จะใชก้ �ำ ลงั ประทษุ รา้ ยกต็ าม แตก่ ริ ยิ าทา่ ทขี องนาย ม. ทท่ี �ำ ทา่ ทางเหมอื นกบั จะชกั อาวธุ ออก
มานน้ั ยอ่ มถอื ไดว้ า่ เปน็ การขบู่ งั คบั ประกอบกบั ผเู้ สยี หายเบกิ ความวา่ เหตทุ ม่ี อบโทรศพั ทเ์ คลอ่ื นทใ่ี หน้ าย ม.
เพราะเกรงวา่ จะถกู ท�ำ รา้ ย อนั เปน็ พฤตกิ ารณท์ ถ่ี อื ไดว้ า่ เปน็ การขเู่ ขญ็ วา่ ในทนั ใดนน้ั จะใชก้ �ำ ลงั ประทษุ รา้ ย ท�ำ ให้
ผเู้ สยี หายเกดิ ความกลวั วา่ จำ�เลยกบั พวกจะใชก้ ำ�ลงั ประทษุ รา้ ย จงึ ตอ้ งจำ�ยอมใหโ้ ทรศพั ทเ์ คลอ่ื นทแ่ี กจ่ ำ�เลยกบั
พวกไป การกระท�ำ ของจ�ำ เลยกบั พวกดงั กลา่ วครบองคป์ ระกอบความผดิ ฐานปลน้ ทรพั ยแ์ ลว้ จำ�เลยจงึ มคี วาม
ผดิ ฐานปลน้ ทรพั ย์ ทศ่ี าลอทุ ธรณพ์ พิ ากษามานน้ั ศาลฎกี าไมเ่ หน็ พอ้ งดว้ ย ฎกี าของโจทกฟ์ งั ขน้ึ
พพิ ากษาแกเ้ ปน็ วา่ จ�ำ เลยมคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคแรกลดมาตราสว่ น
โทษลงกง่ึ หนง่ึ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ลงโทษจ�ำ คกุ 5 ปี และปรบั 15,000 บาท ลดโทษให้
กง่ึ หนง่ึ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจ�ำ คกุ 2 ปี 6 เดอื น และปรบั 7,500 บาท โทษจ�ำ คกุ ให้
รอการลงโทษไวม้ กี �ำ หนด 3 ปี นบั แตว่ นั อา่ นค�ำ พพิ ากษาศาลฎกี าใหจ้ �ำ เลยฟงั ใหค้ มุ ความประพฤตขิ องจำ�เลย
ไว้ 2 ปี โดยใหจ้ �ำ เลยไปรายงานตวั ตอ่ พนกั งานคมุ ประพฤตทิ กุ 3 เดอื นตอ่ ครง้ั ใหจ้ ำ�เลยละเวน้ การคบหาสมาคม
อยั การนเิ ทศ 129
หรอื การประพฤตใิ ดอนั อาจนำ�ไปสกู่ ารกระท�ำ ความผดิ ในท�ำ นองเดยี วกนั อกี กบั ใหจ้ �ำ เลยกระท�ำ กจิ กรรมบรกิ าร
สงั คมหรอื สาธารณประโยชนต์ ามทพ่ี นกั งานคมุ ประพฤตแิ ละจ�ำ เลยเหน็ สมควรเปน็ เวลา 30 ชว่ั โมงตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 56 ไมช่ �ำ ระคา่ ปรบั ใหจ้ ดั การตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากท่ี
แกใ้ หเ้ ปน็ ไปตามค�ำ พพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์
130 คำ�พิพากษาศาลฎีกา
คำ�พิพากษาศาลฎีกาที่ 1722/2554
ป.อ. ตัวการปลอมและใช้เอกสารปลอม (มาตรา 83, 264, 268)
ค�ำ ขอจดทะเบยี นแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ จ�ำ นวนหรอื ชอ่ื หนุ้ สว่ นผจู้ ดั การซง่ึ ลงชอ่ื ผกู พนั หา้ งหนุ้ สว่ น เปน็ เพยี ง
เอกสารทแ่ี จง้ ความประสงคใ์ หพ้ นกั งานเจา้ หนา้ ทด่ี ำ�เนนิ การจดทะเบยี นแกไ้ ขใหต้ ามรายการทข่ี อ มใิ ชห่ ลกั
ฐานแหง่ การกอ่ เปลย่ี นแปลง โอน สงวน หรอื ระงบั ซง่ึ สทิ ธิ หรอื เอกสารราชการทเ่ี จา้ พนกั งานท�ำ ขน้ึ หรอื
รบั รองในหนา้ ท่ี จงึ มใิ ชเ่ อกสารสทิ ธหิ รอื เอกสารราชการ การกระท�ำ ของจ�ำ เลยทง้ั สองจงึ เปน็ ความผดิ ฐาน
รว่ มกนั ปลอมและรว่ มกนั ใชเ้ อกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคแรก
ส�ำ หรบั ความผดิ ฐานรว่ มกนั ปลอมและรว่ มกนั ใชเ้ อกสารปลอม จ�ำ เลยทง้ั สองมคี วามผดิ ตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคแรก, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก และมาตรา 83
เมอ่ื จ�ำ เลยทง้ั สองเปน็ ผรู้ ว่ มกนั ปลอมและรว่ มกนั ใชเ้ อกสารปลอมเอง จงึ ใหล้ งโทษจ�ำ เลยทง้ั สองฐานรว่ มกนั
ใชเ้ อกสารปลอมแตเ่ พยี งกระทงเดยี วตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา
264 วรรคแรก ตามมาตรา 268 วรรคสอง
พนกั งานอัยการจังหวดั สุโขทยั โจทก์
ระหว่าง
นายอรณุ สภุ าพร ที่ 1 กบั พวกรวม 2 คน จ�ำ เลย
โจทกฟ์ อ้ งว่า เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2551 เวลาใดไม่ปรากฏชดั จำ�เลยทั้งสองรว่ มกนั ปลอมและใช้
รายการจดทะเบยี นหา้ งหนุ้ สว่ นจ�ำ กดั ส. อนั เปน็ เอกสารสทิ ธปิ ลอม ขอใหล้ งโทษตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 83, 91, 137, 264, 265, 267, 268
จำ�เลยทงั้ สองใหก้ ารรบั สารภาพ
ศาลฎกี าพเิ คราะหแ์ ลว้ เหน็ วา่ ค�ำ ขอจดทะเบยี นแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ จ�ำ นวนหรอื ชอ่ื หนุ้ สว่ นผจู้ ดั การซง่ึ ลงชอ่ื
ผกู พนั หา้ งหนุ้ สว่ น เปน็ เพยี งเอกสารทแ่ี จง้ ความประสงคใ์ หพ้ นกั งานเจา้ หนา้ ทด่ี ำ�เนนิ การจดทะเบยี นแกไ้ ขให้
ตามรายการทข่ี อ มใิ ชห่ ลกั ฐานแหง่ การกอ่ เปลย่ี นแปลง โอน สงวน หรอื ระงบั ซง่ึ สทิ ธิ หรอื เอกสารราชการท่ี
เจา้ พนกั งานท�ำ ขน้ึ หรอื รบั รองในหนา้ ท่ี จงึ มใิ ชเ่ อกสารสทิ ธหิ รอื เอกสารราชการ การกระท�ำ ของจ�ำ เลยทง้ั สองจงึ
เปน็ ความผดิ ฐานรว่ มกนั ปลอมและรว่ มกนั ใชเ้ อกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคแรก
อยั การนิเทศ 131
พพิ ากษาวา่ สำ�หรับความผดิ ฐานรว่ มกนั ปลอมและรว่ มกันใช้เอกสารปลอม จำ�เลยทั้งสองมคี วามผิด
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคแรก, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก และ
มาตรา 83 เมอื่ จ�ำ เลยทง้ั สองเป็นผูร้ ว่ มกนั ปลอมและร่วมกนั ใชเ้ อกสารปลอมเอง จงึ ใหล้ งโทษจำ�เลยทงั้ สอง
ฐานรว่ มกนั ใชเ้ อกสารปลอมแตเ่ พยี งกระทงเดยี วตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268 วรรคแรก ประกอบ
มาตรา 264 วรรคแรก ตามมาตรา 268 วรรคสอง และเปน็ กฎหมายบททมี่ ีโทษหนักทีส่ ุด ให้ลงโทษปรับ
จ�ำ เลยท้ังสองคนละ 6,000 บาท อกี สถานหนงึ่ ลดโทษให้คนละกง่ึ หนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
78 แลว้ คงปรบั คนละ 3,000 บาท โทษจำ�คกุ ใหร้ อการลงโทษไว้ 2 ปี ไมช่ �ำ ระคา่ ปรบั ใหจ้ ดั การตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ข้อหาปลอมและใช้เอกสารสทิ ธิปลอมใหย้ ก
132 ค�ำ พิพากษาศาลฎกี า
พิพากษาศาลฎีกาที่ 10959/2553
ป.อ. เอกสารสิทธิ ปลอมเอกสารสทิ ธิ (มาตรา 1 (9), 265)
แมน้ าย พ. จะเปน็ กรรมการผมู้ อี �ำ นาจของบรษิ ทั จ. จ�ำ กดั และเปน็ ผทู้ �ำ เอกสาร แตเ่ มอ่ื การแกไ้ ข
เกดิ จากการแจง้ ของจ�ำ เลยโดยไมไ่ ดร้ บั ความยนิ ยอมจากผเู้ สยี หาย ยอ่ มไมม่ อี ำ�นาจทจี่ ะแกไ้ ขเปลยี่ นแปลง
ช่ือผู้ซ้ือเครื่องยนต์ในเอกสารของผู้เสียหายให้ผิดไปจากความจริงได้ การแก้ไขเอกสารของผู้อื่นให้ผิดไป
จากความจริงโดยไมม่ อี �ำ นาจ เปน็ การปลอมเอกสาร โดยถอื ไดว้ า่ จ�ำ เลยเปน็ ผกู้ ระท�ำ ความผดิ นด้ี ว้ ยการใช้
นาย พ. เปน็ เครอ่ื งมอื
ส่วนเอกสารทีป่ ลอมนั้นเปน็ ใบส่งของ/บิลเงนิ สด และใบกำ�กับภาษีท่ีบรษิ ัท จ. จำ�กดั ออกใหแ้ ก่
ผเู้ สยี หายเมอื่ เอกสารดงั กลา่ วเปน็ ใบกำ�กบั ภาษยี อ่ มเปน็ หลกั ฐานแสดงวา่ บรษิ ทั จ. จำ�กดั ซงึ่ เปน็ ผขู้ ายได้
เรยี กเกบ็ ภาษจี ากผเู้ สยี หายซง่ึ เปน็ ผซู้ อ้ื เครอ่ื งยนตแ์ ลว้ บรษิ ทั จ. จ�ำ กดั ไมม่ สี ทิ ธเิ รยี กเกบ็ ภาษจี ากผเู้ สยี หาย
อีก ดงั นัน้ เอกสารดงั กลา่ วจึงเป็นหลกั ฐานแห่งการระงบั ไปซ่งึ สทิ ธิ เปน็ เอกสารสิทธิ
พนกั งานอยั การ สำ�นักงานอัยการสูงสดุ โจทก์
ระหวา่ ง
นายพรชัย ศกั ดอิ์ ูบลหรือศกั ดิอ์ บุ ล จำ�เลย
โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 3 กันยายน 2541 ถึงวันที่ 29 มกราคม 2542 เวลา
กลางวัน จำ�เลยรับเอกสารใบสง่ ของ บลิ เงินสดและใบก�ำ กบั ภาษี เลม่ ที่ 25 เลขที่ 1248 หนังสอื แจ้งจ�ำ หน่าย
และการรับรองหลักฐานการส่งบัญชีรับและจำ�หน่ายเครื่องยนต์ของรถยนต์ เลขเครื่องยนต์ เอเอส 167122
เอก็ ซ์ จ�ำ นวน 2 ฉบบั ทบ่ี รษิ ทั จ. จำ�กดั โดยนาย พ. ออกใหแ้ กน่ าย ว. ผเู้ สยี หายเพอื่ นำ�ไปมอบแกผ่ เู้ สยี หาย
หลังรับเอกสารไปจำ�เลยไม่ยอมส่งมอบเอกสารให้ผู้เสียหาย ได้เอาไปเสีย ทำ�ให้เสียหาย ทำ�ให้ไร้ประโยชน์
ซึ่งเอกสาร ต่อมาระหว่างต้นเดือนตุลาคม 2541 ถึงวันที่ 29 มกราคม 2542 เวลากลางวัน จำ�เลยปลอม
เอกสารสิทธิโดยนำ�เอกสารดังกล่าวไปหลอกลวงนาย พ. โดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่านาย ส. เป็นผู้ซื้อ
เครื่องยนต์รถยนต์ จนนาย พ. หลงเชื่อและแก้ไขเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ซื้อเครื่องยนต์จากผู้เสียหายในเอกสาร
เป็นชื่อของนาย ส. เพื่อให้ผู้พบเห็นหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารสิทธิที่ออกให้แก่นาย ส. เมื่อต้นเดือนมกราคม
2542 ถึงวันที่ 29 มกราคม 2542 เวลากลางวนั จำ�เลยน�ำ เอกสารสทิ ธปิ ลอมดงั กลา่ ว มอบใหน้ าย ด. ไปใช้
ยน่ื ตอ่ นายทะเบยี น กรมการขนสง่ ทางบก เพอ่ื จดทะเบยี นเปลย่ี นเครอ่ื งยนตใ์ หแ้ กร่ ถยนตค์ นั หมายเลขทะเบยี น
อยั การนิเทศ 133
6 ฐ – 7705 กรงุ เทพมหานคร ของนาย ส. โดยประการทน่ี า่ จะเกดิ ความเสยี หายแกผ่ เู้ สยี หาย กรมการขนสง่
ทางบก ผอู้ น่ื หรอื ประชาชน ขอใหล้ งโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 188, 264, 265, 268
จำ�เลยให้การปฏิเสธ
ศาลชน้ั ตน้ พจิ ารณาแลว้ พพิ ากษาวา่ จำ�เลยมคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 188,265,
และ 268 (ท่ีถกู มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265) การกระทำ�ของจำ�เลยเป็นกรรมเดยี วเป็น
ความผดิ ตอ่ กฎหมายหลายบท ลงโทษจ�ำ เลยในความผดิ เกยี่ วกบั เอกสารซง่ึ เปน็ บทหนกั ตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา 90 จำ�เลยเป็นผู้ปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม ให้ลงโทษฐานผู้ใช้เอกสารสิทธิ
ปลอมตามมาตรา 268 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 265 (ที่ถูกตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบ
มาตรา 265 ตามมาตรา 268 วรรคสอง) ให้จำ�คุก 2 ปี ลดโทษ ใหห้ น่ึงในส่ี ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 78 คงจ�ำ คกุ 1 ปี 6 เดือน ค�ำ ขออ่นื ให้ยก
จำ�เลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำ�เลยฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำ�เลยเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายว่า การแก้ไข
เปลี่ยนแปลงชื่อผู้ซื้อเครื่องยนต์ในใบส่งของ/บิลเงินสด และใบกำ�กับภาษี กับหนังสือแจ้งจำ�หน่ายและการ
รับรองหลักฐานการส่งบัญชีรับและจำ�หน่ายเครื่องยนต์เป็นการปลอมเอกสารหรือไม่ และเอกสารดังกล่าว
เป็นเอกสารสิทธิหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นาย ว. ผู้เสียหายว่าจ้างจำ�เลยให้ซ่อมและเปลี่ยนเครื่องยนต์
รถยนต์เก๋ง หมายเลขทะเบียน จ – 2677 นนทบุรี รวมทั้งให้ดำ�เนินการจดทะเบียนเปลี่ยนหมายเลข
เครื่องยนต์ จำ�เลยซื้อเครื่องยนต์เลขที่ เอเอส 167122 เอ็กซ์ จากบริษัท จ. จ�ำ กัด มาเปลี่ยนให้ผู้เสียหาย
โดยบริษัท จ. จำ�กัด ทำ�ใบส่งของ/บิลเงินสด และใบกำ�กับภาษี กับหนังสือแจ้งจำ�หน่ายและการรับรอง
หลกั ฐานการส่งบัญชรี บั และจำ�หนา่ ยเครอ่ื งยนตร์ ะบชุ ื่อผ้เู สยี หายเป็นผ้ซู ้ือเครื่องยนต์มอบใหแ้ กจ่ �ำ เลย ต่อมา
จำ�เลยนำ�ใบส่งของ/บิลเงินสด และใบกำ�กับภาษี กับหนังสือแจ้งจำ�หน่ายและการรับรองหลักฐานการส่งบัญชี
รับและจำ�หน่ายเครื่องยนต์ดังกล่าวซึ่งเป็นของผู้เสียหายไปให้บริษัท จ. จำ�กัด แก้ไขเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ซื้อ
เครื่องยนต์จากผู้เสียหายเป็นชื่อนาย ส. โดยไม่มีอำ�นาจ แล้วมอบเอกสารในนาย ด. นำ�ไปใช้ประกอบในการ
จดทะเบียนเปลี่ยนเครื่องยนต์รถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน 6 ฐ – 7705 กรุงเทพมหานคร ของนาย
ส. ท�ำ ใหผ้ เู้ สยี หายไดร้ บั ความเสยี หายเพราะไมส่ ามารถจดทะเบยี นเปลย่ี นเครอื่ งยนตร์ ถยนตเ์ กง๋ ของผเู้ สยี หาย
ได้ เห็นว่า เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงมาว่า หนังสือแจ้งจำ�หน่ายและการรับรองหลักฐานการส่งบัญชี
รับและจำ�หน่ายเครื่องยนต์กับใบส่งของ/บิลเงินสด และใบกำ�กับภาษีที่ระบุชื่อผู้เสียหายเป็นผู้ซื้อเครื่องยนต์
เป็นเอกสารของผู้เสียหายและการแก้ไขเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ซื้อเครื่องยนต์จากผู้เสียหายเป็นชื่อนาย ส. ใน
เอกสารกระทำ�โดยไม่มีอำ�นาจ ดังนั้น แม้นาย พ. จะเป็นกรรมการผู้มีอำ�นาจของบริษัท จ. จำ�กัดและเป็น
ผู้ทำ�เอกสาร แต่เมื่อการแก้ไขเกิดจากการแจ้งของจำ�เลยโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เสียหาย ย่อมไม่มี
อำ�นาจที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ซื้อเครื่องยนต์ในเอกสารของผู้เสียหายให้ผิดไปจากความจริงได้ การแก้ไข
134 คำ�พพิ ากษาศาลฎกี า
เอกสารของผู้อื่นให้ผิดไปจากความจริงโดยไม่มีอ�ำ นาจ เป็นการปลอมเอกสาร โดยถือได้ว่าจ�ำ เลยเป็นผู้กระท�ำ
ความผิดนี้ด้วยการใช้นาย พ. เป็นเครื่องมือ ส่วนเอกสารที่ปลอมนั้นเป็นใบส่งของ/บิลเงินสด และใบกำ�กับ
ภาษีที่ บริษัท จ. จำ�กัด ออกให้แก่ผู้เสียหาย เมื่อเอกสารดังกล่าวเป็นใบกำ�กับภาษีย่อมเป็นหลักฐานแสดง
ว่า บริษัท จ. จำ�กัด ซึ่งเป็นผู้ขายได้เรียกเก็บภาษีจากผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้ซื้อเครื่องยนต์แล้ว บริษัท จ. จ�ำ กัด
ไม่มีสิทธิเรียกเก็บภาษีจากผู้เสียหายอีก ดังนั้น เอกสารดังกล่าวจึงเป็นหลักฐานแห่งการระงับไปซึ่งสิทธิเป็น
เอกสารสิทธิและกรณีไม่จำ�ต้องวินิจฉัยว่าหนังสือแจ้งจำ�หน่ายและการรับรองหลักฐานการส่งบัญชีรับและ
จำ�หน่ายเครื่องยนต์เป็นเอกสารสิทธิหรือไม่เพราะไม่ทำ�ให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามา
นั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำ�เลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
อัยการนเิ ทศ 135
คำ�พิพากษาศาลฎีกาที่ 203/2554
ป.วิ.อ. ผู้เสยี หาย คู่ความ โจทก์ร่วม (มาตรา ๒ (๔) (๑๕) , ๓๐)
เม่ือโจทก์ร่วมและจำ�เลยต่างถูกพนักงานอัยการฟ้องขอให้ลงโทษฐานทำ�ร้ายร่างกายซ่ึงกันและ
กัน ข้อเท็จจริงจึงต้องรับฟังว่า โจทก์ร่วมมีส่วนร่วมในการกระทำ�ความผิดตามฟ้องโดยการสมัครใจเข้า
ววิ าททำ�ร้ายร่างกายซ่งึ กนั และกัน กรณเี ชน่ น้ีโจทกร์ ่วมจึงมิใชผ่ ู้เสียหาย และไมอ่ าจร้องขอเข้าเป็นโจทก์
รว่ มกับพนกั งานอัยการได้ ศาลชน้ั ต้นอนุญาตให้เข้าเป็นโจทกร์ ว่ มจึงไม่ชอบ
ศาลชน้ั ตน้ อนญุ าตใหโ้ จทกร์ ว่ มอทุ ธรณ์ และศาลอทุ ธรณภ์ าค ๖ รบั คดไี วพ้ จิ ารณาพพิ ากษาจงึ ไม่
ชอบเชน่ กนั เพราะผอู้ ทุ ธรณม์ ใิ ชค่ คู่ วามตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๒ (๑๕)
โจทก์
พนกั งานอัยการประจ�ำ ศาลแขวงนครสวรรค์
ระหวา่ ง นายเหรยี ญชยั พวงเพช็ ร์ โจทกร์ ่วม
นายมนู ธญั ธีรธรรม จ�ำ เลย
โจทกฟ์ อ้ งวา่ เมอื่ วนั ท่ี ๑๘ พฤศจกิ ายน ๒๕๔๓ เวลากลางวนั จ�ำ เลยใชไ้ มค้ วิ สนกุ เกอร์ ยาวประมาณ
๘๐ เซนตเิ มตร และมดี พกซึง่ มใี บมีดยาวประมาณ ๓ นิ้ว เป็นอาวุธตแี ละแทงท�ำ ร้ายนาย ห. ผู้เสยี หายจน
เปน็ เหตุให้เกดิ อันตรายแก่กาย เจ้าพนกั งานตำ�รวจยึดไม้ควิ สนุกเกอรแ์ ละมีดพกเป็นของกลาง ขอใหล้ งโทษ
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕, ๓๓ รบิ ของกลาง
จ�ำ เลยใหก้ ารปฏเิ สธ
ระหว่างพิจารณา นาย ห. ผูเ้ สยี หายยืน่ ค�ำ รอ้ งขอเข้ารว่ มเป็นโจทก์ ศาลช้ันต้นอนุญาต
เมอ่ื สบื พยานโจทกแ์ ละโจทกร์ ว่ มเสรจ็ แลว้ โจทกร์ ว่ มยน่ื ค�ำ รอ้ งขอใหศ้ าลสง่ั จ�ำ หนา่ ยคดชี ว่ั คราวเพอ่ื รอ
ฟงั ผลคดอี าญาหมายเลขดำ�ท่ี ๑๖๓๗/๒๕๔๖ ของศาลจงั หวดั นครสวรรคซ์ ง่ึ เปน็ การกระทำ�ความผดิ เกย่ี วพนั
กนั ศาลชน้ั ตน้ ยกค�ำ รอ้ ง
ศาลช้นั ตน้ พิจารณาแลว้ พิพากษายกฟอ้ ง
โจทก์รว่ มอทุ ธรณ์คำ�สัง่ และคำ�พพิ ากษา โดยผูพ้ พิ ากษาซง่ึ ลงช่ือในค�ำ พพิ ากษาศาลชนั้ ตน้ อนญุ าตให้
อุทธรณใ์ นปญั หาขอ้ เทจ็ จริง
ศาลอทุ ธรณภ์ าค ๖ พพิ ากษากลบั วา่ คงจ�ำ คกุ ๒๐ วนั และปรบั ๘๐๐ บาท ใหร้ อการลงโทษไว้ 1 ปี
ยกค�ำ ขออ่ืน
136 คำ�พิพากษาศาลฎกี า
จำ�เลยฎีกา
ศาลฎกี าตรวจส�ำ นวนประชมุ ปรกึ ษาแลว้ ขอ้ เทจ็ จรงิ รบั ฟงั ไดว้ า่ ตามวนั เวลาเกดิ เหตุ โจทกร์ ว่ มและ
จ�ำ เลยทะเลาะววิ าททำ�รา้ ยรา่ งกายซงึ่ กนั และกนั หลงั จากโจทกฟ์ อ้ งจำ�เลยเมอื่ วนั ท่ี ๑๗ มนี าคม ๒๕๔๖ แลว้
ต่อมาเม่ือวันที่ ๑๑ กันยายน ปีเดียวกัน โจทก์จึงฟ้องขอให้ลงโทษโจทก์ร่วมฐานท�ำ ร้ายร่างกายจำ�เลยตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕ เช่นกนั โจทก์รว่ มใหก้ ารรับสารภาพ ศาลช้นั ตน้ พพิ ากษา ลดโทษให้
ก่ึงหนึง่ คงจ�ำ คกุ ๒ เดอื นและปรบั ๒,๐๐๐ บาท โดยใหร้ อการลงโทษไว้ ๑ ปี ตามคดอี าญาหมายเลขแดงที่
๑๒๖๓/๒๕๕๔ คดีถึงทสี่ ดุ แลว้
เห็นว่าเมื่อโจทก์ร่วมและจำ�เลยต่างถูกพนักงานอัยการฟ้องขอให้ลงโทษฐานทำ�ร้ายร่างกายซึ่งกัน
และกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕ ข้อเท็จจริงจึงต้องรับฟังว่า โจทก์ร่วมมีส่วนร่วมในการ
กระท�ำ ความผดิ ตามฟอ้ งดว้ ย โดยการสมคั รใจเขา้ ววิ าททำ�รา้ ยรา่ งกายซงึ่ กนั และกนั กรณเี ชน่ นโ้ี จทกร์ ว่ มยอ่ ม
มิใช่บุคคลที่อยู่ในเกณฑ์สมควรได้รับความคุ้มครองตามเจตนารมณ์ของกฎหมายในฐานะผู้เสียหายตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒ (๔) จึงไม่อาจร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ
ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๐ ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เข้าเป็นโจทก์ร่วมจึงไม่
ชอบ และที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต่อมาและศาลอุทธรณ์ภาค ๖ รับคดี
ไว้พิจารณาพิพากษาจึงไม่ชอบเช่นกัน เพราะผู้อุทธรณ์มิใช่คู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
อาญา มาตรา ๒ (๑๕)
พิพากษายกคำ�ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ยกอุทธรณ์และยกค�ำ พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๖ ให้บังคับคดี
ตามคำ�พพิ ากษาศาลชน้ั ตน้
อัยการนเิ ทศ 137
คำ�พิพากษาศาลฎีกาที่ 2618/2554
พ.ร.บ.ภาษปี า้ ย พ.ศ. ๒๕๑๐ (มาตรา ๖)
ปา้ ยของโจทกท์ แ่ี สดงประเภทชนดิ และราคาจ�ำ หนา่ ยปลกี นาํ้ มนั ซงึ่ เปน็ สนิ คา้ ควบคมุ ตามประกาศ
อธบิ ดีกรมสรรพากรเก่ยี วกับภาษมี ูลค่าเพม่ิ (ฉบบั ที่ ๕๔) และประกาศคณะกรรมการกลางกำ�หนดราคา
สนิ ค้าและป้องกนั การผูกขาด ฉบับที่ ๒๐๐ พ.ศ. ๒๕๓๕ เรื่องใหผ้ จู้ �ำ หน่ายปลีกแสดงราคาจ�ำ หน่ายปลีก
สนิ คา้ ควบคมุ ลงวนั ที่ ๑๐ กนั ยายน ๒๕๓๕ ไมใ่ ชป่ า้ ยแสดงชอ่ื ยห่ี อ้ หรอื เครอื่ งหมายทใ่ี ชใ้ นการประกอบ
การคา้ หรือประกอบกิจการอนื่ เพื่อหารายไดห้ รือเพ่ือโฆษณาการคา้ หรือกจิ การอ่นื เพ่อื หารายได้ โจทก์จงึ
ไม่ตอ้ งเสียภาษีปา้ ยในส่วนนี้
บริษทั เอสโซ่ (ประเทสไทย) จ�ำ กดั (มหาชน) โจทก์
ระหว่าง
เทศบาลนครปากเกรด็ ท1ี่ กับพวกรวม 2 คน จ�ำ เลย
โจทกฟ์ ้องขอให้เพิกถอนหรอื แก้ไขหนงั สอื การประเมนิ ภาษปี า้ ยเลขที่ ๔๑/๔๙, ๔๐/๔๙, ๓๙/๔๙,
๓๘/๔๙, ๒๗/๔๙, ๓๔/๔๙, ๒๙/๔๙ และ ๒๘/๔๙ และคำ�วนิ จิ ฉยั อทุ ธรณ์ ใหจ้ ำ�เลยที่ ๑ คนื เงนิ ภาษี ๕๑,๐๖๔
บาทพรอ้ มดอกเบย้ี รอ้ ยละ ๗.๕ ตอ่ ปขี องตน้ เงนิ ดงั กลา่ วนบั แตว่ นั ฟอ้ งเปน็ ตน้ ไปจนกวา่ จะช�ำ ระเสรจ็ แกโ่ จทก์
ศาลภาษอี ากรกลางพพิ ากษาใหแ้ กไ้ ขหนงั สอื แจง้ การประเมนิ ภาษปี า้ ยเลขท่ี ๒๗/๔๙, ๓๔/๔๙, ๓๔/๔๙
(ท่ีถูก ๒๙/๔๙) และ ๒๘/๔๙ และคำ�วนิ ิจฉัยอทุ ธรณข์ องจ�ำ เลยท่ี ๒ ในส่วนท่ีให้ประเมินป้ายราคานา้ํ มนั ซง่ึ
ตดิ ตงั้ ทส่ี ถานบี รกิ ารนา้ํ มนั เลขที่ ๑๒๓ หมทู ี่ ๓ ถนนตวิ านนท์ กบั ใหจ้ ำ�เลยท่ี ๑ คนื เงนิ คา่ ภาษี ๑,๖๐๐ บาท
พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำ�ระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากนี้ให้ยก
คา่ ฤชาธรรมเนียมใหเ้ ปน็ พับ
โจทก์อทุ ธรณต์ ่อศาลฎีกา
ศาลฎกี าแผนกคดภี าษอี ากรตรวจส�ำ นวนประชมุ ปรกึ ษาแลว้ ปญั หาตอ้ งวนิ จิ ฉยั วา่ ในรายการปา้ ยใหญ่
ซงึ่ ตดิ ตงั้ ดา้ นหนา้ สถานบี รกิ ารน�ำ้ มนั เลขที่ ๕๐/๑๑๙๒ โจทกต์ อ้ งเสยี ภาษใี นสว่ นแสดงราคานาํ้ มนั หรอื ไมแ่ ละ
จำ�เลยที่ ๑ ต้องคืนเงินแก่โจทก์เพียงใด ศาลฎีกาแผนคดีภาษีอากรเห็นว่า ป้ายใหญ่ซึ่งติดตั้งด้านหน้าสถานี
บริการนํ้ามันในส่วนที่แสดงราคานํ้ามัน เป็นป้ายท่ีแสดงประเภท ชนิด และราคาจ�ำ หน่ายปลีกน้ํามันซ่ึงเป็น
สนิ คา้ ควบคมุ ตามประกาศอธบิ ดกี รมสรรพากรเกย่ี วกบั ภาษมี ลู คา่ เพมิ่ ปา้ ยดงั กลา่ วจงึ ไมใ่ ชป่ า้ ยแสดงชอ่ื ยหี่ อ้
หรอื เครอื่ งหมายทใ่ี ชใ้ นการประกอบการคา้ หรอื ประกอบกจิ การอน่ื เพอ่ื หารายไดห้ รอื โฆษณาการคา้ หรอื กจิ การ
138 ค�ำ พพิ ากษาศาลฎกี า
อน่ื เพอื่ หารายไดข้ องโจทกต์ ามพระราชบญั ญตั ภิ าษีปา้ ย พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๖ โจทก์จึงไมม่ ีหนา้ ทตี่ อ้ งเสีย
ภาษปี า้ ยในสว่ นน้ี แมใ้ นสว่ นทแี่ สดงราคานาํ้ มนั ดงั กลา่ วจะอยใู่ ตส้ ว่ นทมี่ ขี อ้ ความ “ ESSO ” และอยใู่ นโครงสรา้ ง
เดียวกนั ก็ตาม แต่เมื่อป้ายในสว่ นน้ไี ม่ใชป่ ้ายตามพระราชบัญญัติภาษีปา้ ย พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๖ จงึ ไม่อาจ
น�ำ ไปค�ำ นวณรวมกบั ปา้ ยในสว่ นทมี่ ขี อ้ ความ “ ESSO ” เพอ่ื ประเมนิ ใหเ้ สยี ภาษปี า้ ยไดอ้ กี การประเมนิ ใหเ้ สยี
ภาษปี า้ ยในปา้ ยราคานา้ํ มนั และค�ำ วนิ จิ ฉยั อทุ ธรณท์ ว่ี นิ จิ ฉยั ใหเ้ สยี ภาษปี า้ ยในปา้ ยราคานาํ้ มนั และเปลยี่ นแปลง
ขนาดป้ายจึงไม่ชอบ
พพิ ากษาแกเ้ ปน็ วา่ ใหแ้ กไ้ ขการประเมนิ ตามหนงั สอื แจง้ การประเมนิ เลขที่ ๔๑/๔๙, ๔๐/๔๙, ๓๙/๔๙
และ ๓๘/๔๙ ลงวันท่ี ๓๑ มีนาคม ๒๕๔๙ และ คำ�วินิจฉัยอทุ ธรณ์ ลงวนั ที่ ๓๑ มนี าคม ๒๕๔๙ ใหย้ กเว้น
ไม่ต้องประเมินป้ายราคาน้ํามันรายการป้ายใหญ่ซ่ึงติดตั้งด้านหลังสถานีบริการน้ํามันเลขที่๕๐/๑๑๙๒ หมู่ท่ี
๙ ถนนเจง้ วฒั นะ ใหโ้ จทกเ์ สยี ภาษปี า้ ยในรายการปา้ ยใหญป่ ระจำ�ปี ๒๕๔๕ ถงึ ปี ๒๕๔๘ รวมเปน็ เงนิ ๑๕,๐๔๐
บาท และใหจ้ �ำ เลยท่ี ๑ คนื เงิน ๑,๔๖๔ บาท พรอ้ มดอกเบยี้ ร้อยละ ๗.๕ ต่อปขี องต้นเงนิ ดงั กลา่ วนับแต่วนั
ฟ้องเป็นตน้ ไปจนกว่าจะช�ำ ระเสรจ็ แกโ่ จทก์ นอกจากท่แี กใ้ ห้เป็นไปตามค�ำ พิพากษาของศาลภาษอี ากรกลาง
คา่ ฤชาธรรมเนยี มชั้นอทุ ธรณใ์ ห้เปน็ พับ
อยั การนิเทศ 139
คำ�พิพากษาศาลฎีกาที่ 898/2554
พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๔๙
ป.ว.ิ พ. ฟอ้ งซอ้ น (มาตรา 173 วรรคสอง (๑))
พนักงานอัยการผรู้ อ้ ง ยืน่ ค�ำ ร้องขอในคดนี ข้ี อใหศ้ าลมีค�ำ ส่ังใหท้ รัพยส์ นิ ของผู้คดั คา้ นทงั้ สามตก
เป็นของแผ่นดิน อันเป็นกรณีที่จะต้องใช้สิทธิทางศาล ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการ
ฟอกเงนิ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๔๙ ซงึ่ กำ�หนดไวเ้ ปน็ มาตรการบงั คบั แกท่ รพั ยส์ นิ ในทางแพง่ สว่ นทพี่ นกั งาน
อัยการฟ้องผู้คัดค้านทั้งสามเป็นคดีอาญาตามคดีหมายเลขแดงที่ 260/2547 ของศาลอาญาธนบุรี
เปน็ การฟอ้ งขอใหล้ งโทษผคู้ ดั คา้ นทง้ั สามในความผดิ ตอ่ พระราชบญั ญตั ปิ อ้ งกนั และปราบปรามการฟอก
เงนิ พ.ศ. ๒๕๔๒ ซง่ึ ในคดอี าญาดงั กลา่ ว พนกั งานอยั การไมอ่ าจมคี ำ�ขอสว่ นแพง่ ใหท้ รพั ยส์ นิ ตกเปน็ ของ
แผ่นดินรวมเข้าไปด้วยได้ เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติให้อำ�นาจไว้ กรณีจึงมิใช่เป็นการฟ้องคดีในเรื่อง
เดียวกัน อนั จะเปน็ ฟอ้ งซอ้ นตามประมวลกฎหมายวิธพี จิ ารณาความแพง่ มาตรา ๑๗๓ วรรคสอง (๑)
พนักงานอยั การ ส�ำ นกั งานอยั การสูงสดุ ผู้ร้อง
ระหว่าง
นายปฐม ธาราพศิ ท่ี 1 กับพวก รวม 3 คน ผ้คู ัดคา้ น
ผรู้ อ้ งยนื่ คำ�รอ้ งขอวา่ เมอ่ื วนั ท่ี 21 กมุ ภาพนั ธ์ 2546 เจา้ พนกั งานตำ�รวจจบั ผคู้ ดั คา้ นทง้ั สามพรอ้ ม
ยึดเมทแอมเฟตามนี อนั เปน็ ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษในประเภท 1 จ�ำ นวน 200 เม็ด เปน็ ของกลาง แล้วด�ำ เนินคดี
แกผ่ คู้ ดั คา้ นที่ 1 ในขอ้ หามยี าเสพตดิ ใหโ้ ทษของกลางไวใ้ นครอบครองเพอื่ จ�ำ หนา่ ยและด�ำ เนนิ คดแี กผ่ คู้ ดั คา้ น
ท้งั สามในข้อหาร่วมกันฟอกเงนิ กรณปี รากฏหลกั ฐานเป็นท่ีเช่อื ไดว้ ่าทรพั ย์สินจ�ำ นวน 42 รายการตามบญั ชี
ทรพั ยท์ า้ ยคำ�รอ้ งขอ เปน็ ทรพั ยส์ นิ ทไี่ ดม้ าจากการกระทำ�ความผดิ เกยี่ วกบั ยาเสพตดิ ขอใหม้ คี ำ�สง่ั ใหท้ รพั ยส์ นิ
ดงั กล่าวพรอ้ มดอกผลของเงินสดตกเป็นของแผ่นดนิ ตามพระราชบญั ญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
พ.ศ. 2542 มาตรา 51
ศาลชัน้ ต้นไตส่ วนแล้วมีคำ�ส่ังให้ทรพั ย์สนิ จำ�นวน 42 รายการ ตามบญั ชที รพั ย์สนิ และดอกผลของ
เงนิ สดตกเป็นของแผน่ ดนิ ตามพระราชบัญญัตปิ ้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 51
วรรคหนึง่ คา่ ฤชาธรรมเนยี มใหเ้ ปน็ พับ
ผู้คัดค้านทัง้ สามอุทธรณ์
140 ค�ำ พิพากษาศาลฎกี า
ศาลอทุ ธรณ์พพิ ากษายนื คา่ ฤชาธรรมเนยี มชั้นอทุ ธรณใ์ ห้เปน็ พับ
ผ้คู ดั คา้ นทัง้ สามฎกี า
คดมี ปี ญั หาขอ้ กฎหมายตอ้ งวนิ จิ ฉยั ตามฎกี าของผคู้ ดั คา้ นทง้ั สามวา่ คดนี เ้ี ปน็ ฟอ้ งซอ้ นกบั คดหี มายเลข
แดงที่ 260/2547 ของศาลอาญาธนบรุ หี รือไมแ่ ละผู้ร้องมอี ำ�นาจยนื่ ค�ำ ร้องขอคดีนีห้ รอื ไม่ เหน็ วา่ ผู้รอ้ งยนื่
คำ�ร้องขอคดีนี้ขอให้ศาลมีค�ำ สั่งให้ทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งสามตกเป็นของแผ่นดิน อันเป็นกรณีท่ีจะต้องใช้
สิทธทิ างศาลตามท่ีพระราชบัญญัตปิ ้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 49 กำ�หนดไว้
เปน็ มาตรการบังคบั แก่ทรัพยส์ นิ ในทางแพ่ง ส่วนท่พี นักงานอยั การฟอ้ งผคู้ ดั คา้ นทงั้ สามเป็นคดหี มายเลขแดง
ที่ 260/2547 ของศาลอาญาธนบรุ เี ปน็ คดอี าญาทขี่ อใหล้ งโทษผคู้ ดั คา้ นทงั้ สามในความผดิ ตอ่ พระราชบญั ญตั ิ
ปอ้ งกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ซงึ่ ในคดอี าญาดังกลา่ ว พนกั งานอยั การไม่อาจมีค�ำ ขอสว่ น
แพ่งให้ทรพั ยส์ นิ เหลา่ นน้ั ตกเป็นของแผน่ ดินรวมเข้าไปดว้ ยได้ เพราะไมม่ ีกฎหมายบัญญัตใิ หอ้ ำ�นาจไว้ จึงมิใช่
เปน็ กรณที เี่ ปน็ การฟอ้ งคดใี นเรอ่ื งเดยี วกนั อนั จะเปน็ ฟอ้ งซอ้ นตามความหมายของประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณา
ความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ดงั ท่ีผคู้ ัดค้านทง้ั สามฎีกา ทงั้ เมอื่ กรณีปรากฏหลกั ฐานเปน็ ทเ่ี ชอื่ ได้ว่า
ทรัพย์สินใดเป็นทรัพย์สินท่ีเก่ียวกับการกระทำ�ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษอันเป็นความผิดมูลฐาน
เลขาธกิ ารคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการฟอกเงนิ กม็ อี ำ�นาจสง่ เรอื่ งใหพ้ นกั งานอยั การพจิ ารณายนื่
คำ�ร้องขอให้ศาลมีคำ�สั่งให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของแผ่นดิน หากพนักงานอัยการพิจารณาแล้วเห็นว่าเรื่อง
ดงั กลา่ วมเี หตผุ ลสมบรณู พ์ อ พนกั งานอยั การกม็ อี ำ�นาจยนื่ ค�ำ รอ้ งขอใหศ้ าลมคี ำ�สงั่ ใหท้ รพั ยส์ นิ นน้ั ตกเปน็ ของ
แผน่ ดนิ ได้ตามพระราชบัญญัติปอ้ งกนั และปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 49 และมาตรา 3
ของพระราชบัญญัติดังกลา่ ว
คดมี ปี ญั หาตอ้ งวนิ จิ ฉยั ตอ่ ไปตามฎกี าของผคู้ ดั คา้ นทงั้ สามวา่ ทรพั ยส์ นิ จำ�นวน 42 รายการ ตามบญั ชี
ทรัพย์สิน พร้อมดอกผลเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำ�ความผิดมูลฐานซ่ึงศาลต้องมีคำ�ส่ังให้ตกเป็นของ
แผน่ ดนิ หรอื ไม่ ศาลฎกี าพจิ ารณาแลว้ เหน็ วา่ พยานหลกั ฐานเพยี งพอใหร้ บั ฟงั ขอ้ เทจ็ จรงิ ไดว้ า่ ผคู้ ดั คา้ นทง้ั สาม
เปน็ ผทู้ เี่ กย่ี วขอ้ งหรอื เคยเกยี่ วขอ้ งสมั พนั ธก์ บั ผกู้ ระท�ำ ความผดิ เกยี่ วกบั ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษอนั เปน็ ความผดิ มลู ฐาน
ตามพระราชบญั ญตั ปิ อ้ งกนั และปราบปรามการฟอกเงนิ พ.ศ. 2542 ผคู้ ดั คา้ นทง้ั สามยอ่ มมภี าระการพสิ จู น์
หักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว แต่ผู้คัดค้านท้ังสามมิได้นำ�พยานหลักฐานใด ๆ มานำ�สืบโต้แย้งให้รับฟ้งเป็น
ประการอ่ืน จึงไม่อาจหักล้างข้อสันนิษฐานตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวได้ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า
ทรพั ยส์ ินจำ�นวน 42 รายการตามบญั ชที รพั ยส์ ินพร้อมดอกผลเปน็ ทรัพย์ทีเ่ ก่ียวกับการกระท�ำ ความผิดเก่ียว
กับยาเสพติดให้โทษอันเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.
2542 ซึ่งต้องมีคำ�สั่งให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของแผ่นดิน ฎีกาของผู้คัดค้านทั้งสามในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายนื
อัยการนิเทศ 141
คำ�พิพากษาศาลฎีกาที่ 2320/2554
พ.ร.บ. ควบคมุ อาคาร พ.ศ. 2522 (มาตรา 40, 42, 66 ทวิ)
คำ�สั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นให้รื้อถอนอาคารพิพาทเป็นคำ�สั่งให้นาง ม. รื้อถอนอาคารพิพาท
แม้จำ�เลยทั้งสองซึ่งเป็นบุตรเขยและบุตรสาวของนาง ม. จะเป็นผู้ครอบครองอาคารพิพาทและ
เจ้าพนักงานท้องถิ่นได้นำ�คำ�สั่งไปปิดไว้ที่อาคารพิพาทโดยได้อ่านคำ�สั่งให้จำ�เลยที่ 2 ฟังก่อนที่จะปิด
ประกาศคำ�สั่งดังกล่าวแล้วก็ตาม แต่การตีความกฎหมายที่มีโทษทางอาญาจะตีความในทางขยายความ
ให้เป็นผลร้ายหรือเป็นโทษแก่จำ�เลยทั้งสองย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น
มีคำ�สั่งให้นาง ม. รื้อถอนอาคารพิพาท โดยมิได้มีค�ำ สั่งให้จำ�เลยทั้งสองรื้อถอนอาคารพิพาทด้วย ค�ำ สั่ง
ดังกล่าวจึงมีผลบังคับให้นาง ม. ต้องปฏิบัติตามเท่านั้นไม่มีผลถึงจำ�เลยทั้งสองให้ต้องปฏิบัติตามคำ�สั่ง
ของเจ้าพนักงานท้องถ่ินดังกล่าวด้วย จ�ำ เลยท้ังสองจึงไม่มีความผิดฐานฝ่าฝืนค�ำ ส่ังเจ้าพนักงานท้องถิ่น
ที่ให้ผู้ครอบครองรื้อถอนอาคารพิพาทที่ปลูกสร้างและต่อเติมโดยไม่ได้รับอนุญาต
พนกั งานอยั การจังหวดั กันทรลกั ษ์ โจทก์
ระหว่าง
นายสุรศกั ด์ิ เจียรกุล ท่ี 1
นางมะลิวัลย์ เจียรกลุ ที่ 2 จ�ำ เลย
โจทก์ฟอ้ งขอใหล้ งโทษตามประมวลกฎหมายทด่ี ิน มาตรา 9 (1), 108 ทวิ พระราชบัญญตั คิ วบคมุ
อาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 21, 40, 42, 65, 66 ทวิ, 69, 70, 71 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83,
91 และขอใหค้ นงาน ผูร้ บั จา้ ง ผแู้ ทนและบริวารของจำ�เลยทัง้ สองออกไปจากท่ดี ินแปลงดงั กลา่ ว
จ�ำ เลยทัง้ สองใหก้ ารปฏิเสธ
ศาลช้ันตน้ พิจาณาแลว้ พพิ ากษาว่า จำ�เลยทง้ั สองมีความผดิ ตามพระราชบัญญตั ิควบคุมอาคาร พ.ศ.
2522 มาตรา 40, 42, 66 ทวิ วรรคหนึ่งและวรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
จ�ำ คุกคนละ 3 เดือน ปรบั คนละ 10,000 บาท และปรับจ�ำ เลยทั้งสองวนั ละ 100 บาท ตอ่ คน นับแตว่ นั ท่ี
19 สิงหาคม 2543 เป็นต้นไปจนกว่าจะได้ปฏิบัติตามค�ำ สั่งของเจ้าพนักงานท้องถ่ิน โทษจ�ำ คุกให้รอการ
ลงโทษไวค้ นละ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไมช่ �ำ ระคา่ ปรบั ใหจ้ ดั การตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา 29, 30 ข้อหาและคำ�ขออ่ืนใหย้ ก
จำ�เลยทั้งสองอทุ ธรณ์
142 ค�ำ พพิ ากษาศาลฎีกา
ศาลอทุ ธรณภ์ าค 3 พพิ ากษาแกเ้ ปน็ วา่ ใหย้ กฟอ้ งโจทกใ์ นขอ้ หารว่ มกนั ฝา่ ฝนื ค�ำ สง่ั เจา้ พนกั งานทอ้ งถน่ิ
ที่สั่งให้รื้อถอนอาคารที่ปลูกสร้างโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522
มาตรา 40, 52 (ที่ถกู 42), 66 ทวิ วรรคหนึง่ และวรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
ด้วย นอกจากที่แกใ้ หเ้ ป็นไปตามคำ�พพิ ากษาศาลช้นั ตน้
โจทกฎ์ ีกา
ศาลฎกี าพเิ คราะหแ์ ลว้ ขอ้ เทจ็ จรงิ เบอื้ งตน้ รบั ฟงั ไดว้ า่ จ�ำ เลยทงั้ สองเปน็ สามภี รยิ ากนั และเปน็ ผคู้ รอบ
ครองทำ�ประโยชน์ในอาคารพิพาทซ่ึงต้ังอยู่บนที่ดินของรัฐ เจ้าพนักงานท้องถ่ินมีหนังสือถึงนาง ม. มารดา
จ�ำ เลยท่ี 2 ให้รื้อถอนอาคารพิพาทและน�ำ คำ�ส่ังไปปดิ ไว้ท่ีอาคารพิพาทโดยได้อ่านค�ำ ส่งั ใหจ้ �ำ เลยท่ี 2 ซึ่งเปน็
บตุ รของนาง ม. ทราบกอ่ นปดิ ประกาศแลว้ แตไ่ มม่ กี ารรอื้ ถอนภายในกำ�หนด เจา้ พนกั งานทอ้ งถน่ิ จงึ แจง้ ความ
ร้องทุกขด์ �ำ เนนิ คดีแกจ่ �ำ เลยทง้ั สอง
ปญั หาทีต่ อ้ งวินจิ ฉยั ตามฎีกาของโจทกม์ ีวา่ จ�ำ เลยท้ังสองมคี วามผดิ ฐานฝา่ ฝืนคำ�ส่งั ของเจ้าพนักงาน
ทอ้ งถนิ่ ทใี่ หผ้ คู้ รอบครองรอ้ื ถอนอาคารพพิ าททป่ี ลกู สรา้ งและตอ่ เตมิ โดยไมไ่ ดร้ บั อนญุ าตหรอื ไม่ โจทกฎ์ กี าวา่
เจา้ พนกั งานท้องถิ่นไดอ้ อกค�ำ สัง่ ใหร้ ื้อถอนอาคารพิพาทไปยงั นาง ม. มารดาจ�ำ เลยท่ี 2 ยอ่ มหมายถึงจ�ำ เลย
ท้งั สองซง่ึ ครอบครองใช้สอยท�ำ ประโยชน์ในอาคารทแ่ี ท้จรงิ ดว้ ยน้นั เห็นว่า ค�ำ สั่งของเจา้ พนกั งานทอ้ งถิ่นให้
รื้อถอนอาคารพพิ าท เปน็ คำ�ส่ังใหน้ าง ม. ร้ือถอนอาคารพพิ าท แมจ้ ำ�เลยทัง้ สองซ่ึงเป็นบุตรเขยและบตุ รสาว
ของนาง ม. จะเป็นผคู้ รอบครองอาคารพพิ าทและเจา้ พนักงานทอ้ งถ่ินได้นำ�คำ�สง่ั ไปปดิ ไวท้ ี่อาคารพพิ าทโดย
ไดอ้ า่ นค�ำ สง่ั ใหจ้ �ำ เลยท่ี 2 ฟงั กอ่ นทจ่ี ะปดิ ประกาศค�ำ สง่ั ดงั กลา่ วแลว้ กต็ าม แตก่ ารตคี วามกฎหมายทม่ี โี ทษทาง
อาญาจะตคี วามในทางขยายความใหเ้ ปน็ ผลรา้ ยหรอื เปน็ โทษแกจ่ �ำ เลยทง้ั สองยอ่ มเปน็ การไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย
เมื่อเจา้ พนกั งานทอ้ งถิ่นมคี ำ�สงั่ ใหน้ าง ม. รอ้ื ถอนอาคารพิพาท โดยมิได้มีค�ำ สง่ั ให้จ�ำ เลยทงั้ สองรื้อถอนอาคาร
พพิ าทดว้ ย ค�ำ สงั่ ดงั กลา่ วจงึ มผี ลบงั คบั ใหน้ าง ม. ตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามเทา่ นน้ั ไมม่ ผี ลถงึ จำ�เลยทง้ั สองใหต้ อ้ งปฏบิ ตั ิ
ตามค�ำ สง่ั ของเจา้ พนกั งานทอ้ งถน่ิ ดงั กลา่ วดว้ ย จำ�เลยทง้ั สองจงึ ไมม่ คี วามผดิ ฐานฝา่ ฝนื คำ�สง่ั เจา้ พนกั งานทอ้ งถน่ิ
ที่ให้ผู้ครอบครองรื้อถอนอาคารพิพาทที่ปลูกสร้างและต่อเติมโดยไม่ได้รับอนุญาต ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3
พิพากษามานั้น ศาลฎกี าเห็นพ้องดว้ ย ฎกี าของโจทก์ฟงั ไม่ขึ้น
พพิ ากษายืน
อัยการนเิ ทศ 143
คำ�พิพากษาศาลฎีกาที่ 5800/2553
ป.พ.พ. ละเมดิ ความรับผดิ ทางละเมดิ ของนายจ้างและตัวการ
(มาตรา 420, 425, 427)
พ.ร.บ. ค้มุ ครองผบู้ รโิ ภค พ.ศ. ๒๕๒๒ (มาตรา ๓, 39)
การออกบัตรจอดรถให้เจ้าของรถยนต์ที่ผ่านเข้ามาจอดในลานจอดรถห้างจำ�เลยที่ ๑ ไม่ได้ใช้
ความระมัดระวังให้เพียงพอโดยได้ออกบัตรจอดรถให้ผู้น�ำ รถมาจอดโดยเขียนกำ�กับเฉพาะหมายเลข
ทะเบียนแต่ไม่ได้ระบุหมวดตัวอักษรหน้าหมายเลขทะเบียน และบัตรจอดรถที่ออกให้เป็นบัตรอ่อนไม่
ระบุวันเดือนปีและเวลาที่รถยนต์เข้ามาจอด จึงง่ายต่อการปลอมแปลงและน�ำ มาใช้ซํ้า การที่พนักงาน
รักษาความปลอดภัยปล่อยให้คนร้ายนำ�รถของผู้บริโภคออกจากลานจอดรถที่เกิดเหตุโดยไม่ระมัดระวัง
ในการตรวจบัตรจอดรถโดยเคร่งครัด จึงเป็นผลโดยตรงที่ท�ำ ให้รถยนต์ของผู้บริโภคถูกลักไป เป็นการ
ประมาทเลินเล่อของจำ�เลยที่ ๓ และที่ ๔ พนักงานรักษาความปลอดภัยซึ่งเป็นลูกจ้างที่กระท�ำ ในทางการ
ที่จ้างของจำ�เลยที่ ๒ อันเป็นการละเมิดต่อผู้บริโภคตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๐
และ ๔๒๕ จำ�เลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ จึงต้องร่วมกันรับผิดในผลแห่งการละเมิดต่อผู้บริโภค
ตามสัญญาว่าจ้างงานรักษาความปลอดภัย ข้อ ๑ ระบุว่านอกจากจำ�เลยที่ ๑ ว่าจ้างให้จำ�เลย
ที่ ๒ ทำ�การรักษาความปลอดภัยของจำ�เลยที่ ๑ และลูกจ้างของจำ�เลยที่ ๑ แล้วยังรวมตลอดถึงบรรดา
ทรัพย์สินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์หรืออยู่ภายใต้การควบคุมดูแลหรือครอบครองของจำ�เลยที่ ๑ ซึ่งอยู่ใน
บริเวณห้างจำ�เลยที่ ๑ ที่เกิดเหตุด้วย นอกจากนี้ยังได้ระบุใน ข้อ ๗.๓ ว่า “ประสานงานและให้ความ
ร่วมมือ ช่วยเหลือในการป้องกันและปราบปรามโจรกรรม การก่อวินาศกรรม การก่ออาชญากรรมทุก
รูปแบบตลอดจนการก่อความวุ่นวาย การจลาจลต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นภายในบริเวณสถานที่ ของ
ผู้ว่าจ้าง” ด้วย จึงย่อมรวมถึงรถยนต์ของผู้บริโภคซึ่งเป็นลูกค้าของจำ�เลยที่ ๑ ที่มาจอดในบริเวณห้าง
และถูกคนร้ายลักไป เพราะการลักทรัพย์ถือเป็นการโจรกรรมและการก่ออาชญากรรมอย่างหนึ่ง จึงอยู่
ในขอบเขตการว่าจ้างการรักษาความปลอดภัยตามสัญญาว่าจ้างงานรักษาความปลอดภัยดังกล่าว
จำ�เลยที่ ๒ จึงเป็นตัวแทนที่รับมอบหมายจากจ�ำ เลยที่ ๑ ในการรักษาความปลอดภัยทรัพย์สินในห้าง
จำ�เลยที่ ๑ ที่เกิดเหตุ เมื่อจำ�เลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ร่วมกันกระทำ�ละเมิดก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้บริโภค
โดยประมาทเลินเล่อทำ�ให้รถยนต์พิพาทของผู้บริโภคสูญหายไป จำ�เลยที่ ๑ ในฐานะตัวการจึงต้องร่วม
กันรับผิดในผลแห่งละเมิดซึ่งตัวแทนของจำ�เลยที่ ๑ ได้กระทำ�ไปในกิจการที่รับมอบหมายให้ทำ�แทน
นั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๗ ประกอบมาตรา ๔๒๕
144 คำ�พิพากษาศาลฎกี า