The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

อัยการนิเทศ เล่ม 77 ปี 2555

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aram.du, 2021-11-12 09:39:48

อัยการนิเทศ เล่ม 77 ปี 2555

อัยการนิเทศ เล่ม 77 ปี 2555

คณะกรรมการคุม้ ครองผ้บู ริโภค โจทก์

ระห วา่ ง บริษัท เอก – ชัย ดสี ทริบิวชั่น ซสิ เทม จำ�กดั ที่ 1
บรษิ ทั เจนเนอรัล การ์ด กรุ๊ป อินเตอร์เนชนั่ แนล จำ�กัด ท่ี 2
นายสยาม วงษ์ประกอบ ท่ี 3
นายสมนกึ ภู่สมัน ท่ี 4 จ�ำ เลย

โจทก์ฟ้องว่า นาย อ. ผู้บริโภคเข้าไปซื้อสินค้าโดยนำ�รถยนต์หมายเลขทะเบียน 1ฎ – 3500
กรุงเทพมหานคร เขา้ ไปจอดในหา้ งสรรพสินค้า ท. สาขามีนบุรี ของจ�ำ เลยที่ 1 ซง่ึ จ้างจ�ำ เลยท่ี 2 ดูแลรกั ษา
ความปลอดภัย จำ�เลยที่ 3 และจำ�เลยที่ 4 เป็นลกู จ้างของจำ�เลยที่ 2 ประมาทเลนิ เล่อไมต่ รวจความถกู ตอ้ ง
ของบตั รจอดรถยนตต์ รงชอ่ งทางออกอยา่ งเครง่ ครดั และละเอยี ดรอบคอบ เปน็ เหตใุ หร้ ถยนตข์ องนาง อ. สญู หาย
เพราะถูกคนร้ายลักไป ขอให้จำ�เลยทั้งส่ีร่วมกันหรือแทนกันคืนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 1ฎ-3500
กรุงเทพมหานคร หรือชดใช้ราคาเป็นเงิน จ�ำ นวน 220,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จาก
ต้นเงนิ ดังกลา่ วนับแต่วนั ท่ี 26 พฤษภาคม 2546 เปน็ ตน้ ไปจนกวา่ จะช�ำ ระเสรจ็ แก่นาย อ. ผู้บรโิ ภค
จำ�เลยที่ 1 ใหก้ ารวา่ โจทก์ไม่มีอ�ำ นาจฟ้อง
ศาลช้ันต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำ�เลยทั้งสี่ร่วมกันคืนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน1ฎ-3500
กรุงเทพมหานคร หรือใช้ราคาเป็นเงิน 220,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันท่ี 26
พฤษภาคม 2546 เป็นตน้ ไป จนกวา่ จะชำ�ระเสรจ็ แก่นาย อ. (ผู้บรโิ ภค)
จำ�เลยที่ 1 และที่ 2 อทุ ธรณ์
ศาลอุทธรณพ์ พิ ากษายืน
จ�ำ เลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผูบ้ รโิ ภคตรวจสำ�นวนประชุมปรกึ ษาแลว้ มีปญั หาตอ้ งวนิ จิ ฉัยตามฎกี าของจำ�เลย
ท่ี ๑ ว่าโจทก์มีอำ�นาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า แม้จ�ำ เลยที่ ๑ จะน�ำ สืบว่า จ�ำ เลยท่ี ๑ ประกอบกิจการจ�ำ หน่าย
สนิ คา้ อปุ โภคบรโิ ภค โดยไมม่ วี ตั ถปุ ระสงคใ์ นการรบั ฝากรถของลกู คา้ ทน่ี ำ�มาจอดเพอื่ ใชบ้ รกิ ารของหา้ งจำ�เลย
ท่ี ๑ กต็ าม แตจ่ �ำ เลยท่ี 1 กน็ �ำ สบื วา่ การกอ่ สรา้ งหา้ งจ�ำ เลยที่ ๑ อยภู่ ายใตพ้ ระราชบญั ญตั คิ วบคมุ อาคาร ซงึ่
กำ�หนดให้เจ้าของอาคารต้องมที ่จี อดรถ ๑ คันต่อพนื้ ท่ีทุก ๆ ๒๐ ตารางเมตร จำ�เลยที่ ๑ จึงต้องจัดสร้างท่ี
จอดรถดงั กลา่ วและไดค้ วามวา่ จำ�เลยท่ี ๑ ไดว้ า่ จา้ งจำ�เลยท่ี ๒ ในการดแู ลรกั ษาความปลอดภยั หา้ งของจำ�เลย
ที่ ๑ ดงั กลา่ ว ซง่ึ ในการนำ�รถยนต์เข้ามาจอดรถในหา้ งดังกล่าว ตอ้ งรบั บตั รจอดรถจากพนกั งานรักษาความ
ปลอดภยั ของจ�ำ เลยที่ ๒ และเม่ือจะนำ�รถยนตอ์ อกจากหา้ งตอ้ งแสดงบตั รจอดรถทีต่ รงกบั หมายเลขทะเบียน
รถต่อพนักงานรกั ษาความปลอดภยั ของจ�ำ เลยที่ ๒ ตรวจดวู า่ ถกู ต้องจงึ จะอนญุ าตใหน้ ำ�รถออกจากห้างของ
จ�ำ เลยท่ี ๑ ได้ แมจ้ �ำ เลยท่ี ๑ จะอา้ งวา่ ไมม่ กี ารเกบ็ คา่ จอดรถกต็ าม แตก่ เ็ ปน็ การจดั ทจี่ อดรถใหแ้ กล่ กู คา้ ตาม
บทบญั ญตั ขิ องกฎหมาย และตามพฤตกิ ารณย์ งั เปน็ การใหบ้ รกิ ารอยา่ งหนง่ึ ของหา้ งจำ�เลยท่ี ๑ ทม่ี ผี ลตอ่ ยอด

อัยการนเิ ทศ 145

จำ�หนา่ ยสินคา้ ของจำ�เลยท่ี ๑ โดยตรง ถือไดว้ า่ จ�ำ เลยที่ ๑ ได้รบั ผลประโยชนต์ อบแทนอน่ื จ�ำ เลยท่ี ๑ จงึ
เป็นผู้ให้บริการตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓ ทั้งห้างของ
จ�ำ เลยท่ี ๑ มลี กู คา้ ขบั รถยนตม์ าจอดและเขา้ ซอ้ื สนิ คา้ ในหา้ งจ�ำ เลยท่ี ๑ เปน็ จ�ำ นวนมากและนอกจากรถโจทก์
แล้ว ยงั มีนาย ป. นาย พ. และนาย ส. ซึ่งขบั รถเขา้ ไปจอดรถในทจี่ อดรถของจ�ำ เลยท่ี ๑ แล้วรถยนต์ทีจ่ อด
สญู หายไปดว้ ย การด�ำ เนนิ คดยี อ่ มเปน็ ประโยชนแ์ กผ่ บู้ รโิ ภคโดยสว่ นรวมตามพระราชบญั ญตั คิ มุ้ ครองผบู้ รโิ ภค
พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๙ โจทก์ย่อมมีอ�ำ นาจรับเรื่องไวพ้ จิ ารณาและแต่งตัง้ ให้พนักงานอยั การด�ำ เนินคดแี ทน
ผบู้ ริโภคได้ โจทกจ์ งึ มีอำ�นาจฟอ้ ง ฎกี าข้อนีข้ องจำ�เลยท่ี ๑ ฟงั ไมข่ นึ้
มปี ัญหาต้องวนิ จิ ฉัยตามฎีกาของจำ�เลยที่ ๑ ขอ้ ตอ่ ไปวา่ จ�ำ เลยท่ี ๑ ท�ำ ละเมดิ ต่อผู้บริโภคและต้อง
รับผิดต่อผู้บริโภคหรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ ๑๙ นาฬิกา ผู้บริโภคขับ
รถยนตพ์ พิ าทไปจอดทลี่ านจอดรถของหา้ งสรรพสนิ คา้ ท. สาขามนี บรุ ี ของจำ�เลยท่ี ๑ โดยรบั บตั รจอดรถจาก
จ�ำ เลยที่ ๔ ซงึ่ เปน็ พนกั งานรกั ษาความปลอดภยั ของจ�ำ เลยที่ ๒ ทป่ี ระจ�ำ อยปู่ ระตทู างเขา้ ของหา้ งเกดิ เหตุ โดย
จ�ำ เลยท่ี ๔ ไดเ้ ขยี นกำ�กบั หมายเลขทะเบยี นรถยนตข์ องผบู้ รโิ ภคไวใ้ นบตั รจอดรถกอ่ นมอบใหผ้ บู้ รโิ ภคเมอ่ื จอด
รถแลว้ ผเู้ สยี หายไดเ้ ขา้ ไปซอื้ สนิ คา้ ในหา้ งของจำ�เลยที่ ๑ หลงั จากนนั้ ประมาณ ๕๐ นาที ผบู้ รโิ ภคไดก้ ลบั มาท่ี
จอดรถพพิ าท ปรากฏวา่ รถยนตพ์ พิ าทหายไปแลว้ โดยบตั รจอดรถยงั อยทู่ ผี่ บู้ รโิ ภค ผบู้ รโิ ภคจงึ แจง้ ใหพ้ นกั งาน
รักษาความปลอดภัยทราบและช่วยกันค้นหาแต่ไม่พบจึงไปตรวจสอบที่ประตูทางออก พบว่ามีบัตรจอดรถ
ที่มหี มายเลขทะเบยี นตรงกับรถของผู้บริโภคอกี ฉบบั หนึ่งอยูท่ ปี่ ระตูทางออก ซง่ึ ขณะทพ่ี บเขยี นแตห่ มายเลข
ทะเบียนรถโดยไมไ่ ด้ระบุหมวดตวั อักษร “๑ฎ” แต่อย่างใด ต่อมานาย บ. พนกั งานรกั ษาความปลอดภยั ของ
จ�ำ เลยท่ี ๒ จงึ ไดเ้ ขยี นขน้ึ ในภายหลงั ทง้ั ขณะเกดิ เหตมุ พี นกั งานรกั ษาความปลอดภยั ของหา้ งเดนิ ตรวจตราอยู่
ในบรเิ วณลานจอดรถดว้ ย เหน็ ไดว้ า่ การออกบตั รจอดรถใหเ้ จา้ ของรถยนตท์ ผ่ี า่ นเขา้ มาจอดในลานจอดรถหา้ ง
จ�ำ เลยที่ ๑ ไมไ่ ดใ้ ชค้ วามระมดั ระวงั ใหเ้ พยี งพอ โดยไดอ้ อกบตั รจอดรถใหผ้ นู้ �ำ รถมาจอดโดยเขยี นก�ำ กบั เฉพาะ
หมายเลขทะเบียนแตไ่ มไ่ ดร้ ะบหุ มวดตวั อักษรหนา้ หมายเลขทะเบยี น และบตั รจอดรถทอี่ อกใหเ้ ปน็ บัตรอ่อน
ไมร่ ะบวุ นั เดอื นปแี ละเวลาทรี่ ถยนตเ์ ขา้ มาจอด จงึ งา่ ยตอ่ การปลอมแปลงและน�ำ มาใชซ้ าํ้ การทพี่ นกั งานรกั ษา
ความปลอดภยั ปลอ่ ยใหค้ นรา้ ยน�ำ รถของผบู้ รโิ ภคออกจากลานจอดรถทเ่ี กดิ เหตโุ ดยไมร่ ะมดั ระวงั ในการตรวจ
บตั รจอดรถโดยเครง่ ครดั จงึ เปน็ ผลโดยตรงทท่ี �ำ ใหร้ ถยนตข์ องผบู้ รโิ ภคถกู ลกั ไป เปน็ การประมาทเลนิ เลอ่ ของ
จ�ำ เลยที่ ๓ และที่ ๔ พนกั งานรกั ษาความปลอดภยั ซงึ่ เปน็ ลกู จา้ งทก่ี ระทำ�ในทางการทจ่ี า้ งของจำ�เลยที่ ๒ อนั
เปน็ การละเมดิ ตอ่ ผูบ้ รโิ ภคตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๔๒๐ และ ๔๒๕ จ�ำ เลยที่ ๒ ท่ี ๓
และท่ี ๔ จงึ ตอ้ งรว่ มกนั รบั ผดิ ในผลแหง่ การละเมดิ ตอ่ ผบู้ รโิ ภค สำ�หรบั จำ�เลยที่ ๑ แมจ้ ะนำ�สบื วา่ ตามสญั ญา
วา่ จา้ งงานรกั ษาความปลอดภยั ครอบคลมุ เฉพาะการรกั ษาความปลอดภยั ในทรพั ยส์ นิ ของผวู้ า่ จา้ งและลกู จา้ ง
ของผวู้ า่ จา้ งเทา่ นนั้ กต็ าม แตต่ ามสญั ญา ขอ้ ๑ ระบวุ า่ นอกจากจ�ำ เลยท่ี ๑ วา่ จา้ งใหจ้ �ำ เลยที่ ๒ ท�ำ การรกั ษา
ความปลอดภยั ของจ�ำ เลยที่ ๑ และลกู จา้ งของจ�ำ เลยที่ ๑ แลว้ ยงั รวมตลอดถงึ บรรดาทรพั ยส์ นิ ซง่ึ เปน็ กรรมสทิ ธ์ิ
หรืออยู่ภายใตก้ ารควบคุมดแู ลหรือครอบครองของจำ�เลยที่ ๑ ซ่ึงอยู่ในบริเวณหา้ งจำ�เลยที่ ๑ ทเี่ กิดเหตุดว้ ย
นอกจากนย้ี งั ได้ระบุในสัญญาว่าจา้ งงานรักษาความปลอดภัย ขอ้ ๗.๓ ว่า “ประสานงานและใหค้ วามรว่ มมือ

146 คำ�พิพากษาศาลฎีกา

ช่วยเหลือในการป้องกันและปราบปรามโจรกรรม การก่อวินาศกรรม การก่ออาชญากรรมทุกรูปแบบตลอด
จนการก่อความวนุ่ วาย การจลาจลตา่ ง ๆ ที่อาจจะเกิดข้ึนภายในบรเิ วณสถานที่ของผวู้ ่าจา้ ง” ดว้ ย จงึ ยอ่ ม
รวมถงึ รถยนตข์ องผบู้ รโิ ภคซง่ึ เปน็ ลกู คา้ ของจำ�เลยท่ี ๑ ทม่ี าจอดในบรเิ วณหา้ งและถกู คนรา้ ยลกั ไปเพราะการ
ลักทรัพย์ถือเป็นการโจรกรรมและการก่ออาชญากรรมอย่างหนึ่ง จึงอยู่ในของเขตการว่าจ้างการรักษาความ
ปลอดภัยตามสัญญาว่าจ้างงานรักษาความปลอดภัยดังกล่าว จ�ำ เลยที่ ๒ จึงเป็นตัวแทนท่ีรับมอบหมายจาก
จำ�เลยที่ ๑ ในการรกั ษาความปลอดภัยทรพั ยส์ นิ ในหา้ งจ�ำ เลยที่ ๑ ทเ่ี กิดเหตุ เมอื่ จ�ำ เลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ร่วมกนั
กระท�ำ ละเมดิ กอ่ ใหเ้ กดิ ความเสยี หายแกผ่ บู้ รโิ ภคโดยประมาทเลนิ เลอ่ ทำ�ใหร้ ถยนตพ์ พิ าทของผบู้ รโิ ภคสญู หาย
ไป จ�ำ เลยท่ี ๑ ในฐานะตัวการจงึ ตอ้ งร่วมกันรบั ผิดในผลแหง่ ละเมดิ ซึ่งตวั แทนของจ�ำ เลยที่ ๑ ได้กระทำ�ไปใน
กิจการท่ีรับมอบหมายให้ทำ�แทนนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๗ ประกอบมาตรา
๔๒๕ ท่ีศาลอุทธรณว์ ินิจฉัยใหจ้ �ำ เลยที่ ๑ ต้องร่วมรับผิดในผลแหง่ การละเมดิ น้ัน ศาลฎีกาเห็นดว้ ย ฎีกาของ
จำ�เลยท่ี ๑ ฟังไม่ข้นึ
พิพากษายนื ค่าฤชาธรรมเนียมช้นั ฎีกาในสว่ นของจ�ำ เลยท่ี ๑ ใหเ้ ป็นพับ

อยั การนิเทศ 147

คำ�พิพากษาศาลฎีกาที่ 13464/2553

ป.อ. วงิ่ ราวทรพั ย์ ลกั ทรัพย์ พยายาม (มาตรา 336, 334, 80)
ป.ว.ิ อ. โจทกไ์ ม่ประสงคใ์ ห้ลงโทษ ความผิดตามฟอ้ งรวมการกระท�ำ หลายอยา่ ง
(มาตรา 192)

จ�ำ เลยขอเงนิ ผเู้ สยี หายไปซอ้ื สรุ า เมอ่ื ผเู้ สยี หายไมใ่ หเ้ งนิ จ�ำ เลยกใ็ ชม้ อื แยง่ กระเปา๋ เงนิ ทผี่ เู้ สยี หาย
ถอื อย่มู เี งินภายใน ๗๐๐ บาทไปซงึ่ หน้า ผู้เสยี หายจึงแยง่ กระเป๋าเงนิ คืน การกระท�ำ ของจำ�เลยเปน็ ความ
ผดิ ฐานพยายามว่งิ ราวทรัพย์
โจทกฟ์ ้องจำ�เลยในขอ้ หาปล้นทรัพย์โดยไมไ่ ดบ้ รรยายฟอ้ งวา่ จ�ำ เลยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า แสดงวา่
โจทก์ไม่ประสงค์ใหล้ งโทษฐานวิ่งราวทรพั ยแ์ ตค่ วามผดิ ฐานนีร้ วมความผดิ ฐานลกั ทรพั ยซ์ ึ่งเป็นความผิด
ทร่ี วมอยใู่ นความผดิ ฐานปลน้ ทรพั ยท์ โี่ จทกฟ์ อ้ งมา ศาลลงโทษจำ�เลยฐานพยายามลกั ทรพั ยไ์ ดต้ ามประมวล
กฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒


พนกั งานอัยการประจ�ำ ศาลจังหวัดทุ่งสง โจทก์

ระหว่าง

นายอุดม สืบสกุลวงศ ์ จำ�เลย

โจทกฟ์ อ้ งวา่ จ�ำ เลยกบั พวกอกี สองคนทห่ี ลบหนยี งั ไมไ่ ดต้ วั มาฟอ้ ง รว่ มกนั พยายามปลน้ ทรพั ยเ์ งนิ สด
700 บาท ของนาง ว. ผเู้ สยี หายไปโดยใชก้ ำ�ลงั ประทษุ ร้ายแยง่ เงินสดดงั กลา่ วจากผเู้ สียหาย และใชอ้ าวธุ ปนื
ขเู่ ขญ็ แตก่ ารกระทำ�นน้ั ไม่บรรลุผลเนื่องจากผเู้ สยี หายแย่งเงินสดดงั กล่าวคนื มาได้ขอให้ลงโทษตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 340, 340 ตรี
จำ�เลยใหก้ ารปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพพิ ากษาวา่ จำ�เลยมีความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคแรก, 80
ประกอบมาตรา 83 จ�ำ คุก 5 ปี ขอ้ หาอนื่ ใหย้ ก
จำ�เลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พพิ ากษากลบั ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทกฎ์ ีกา

148 คำ�พิพากษาศาลฎีกา

ศาลฎีกาตรวจส�ำ นวนประชมุ ปรกึ ษาแล้ว คำ�ใหก้ ารช้ันสอบสวนของผู้เสยี หายในเบื้องตน้ รับฟังไดว้ ่า
ตามวัน เวลาเกดิ เหตุจำ�เลยพูดขอเงนิ ผูเ้ สียหายเพื่อไปซ้ือสุรา แต่นาง ถ. เบกิ ความวา่ นาย ด. เป็นคนแยง่ เงิน
ในมอื ผู้เสียหาย จำ�เลยยืนดูอยู่ นาย ม. เบิกความว่าหลงั จากที่จ�ำ เลยขอเงินผเู้ สยี หายแลว้ ไมใ่ ห้ จ�ำ เลยจึงตบ
ตผี เู้ สยี หายจนลม้ ลง ค�ำ เบกิ ความของประจกั ษพ์ ยาน 2 ปาก จงึ ขดั แยง้ กนั อยวู่ า่ จำ�เลยแยง่ เงนิ ไปจากผเู้ สยี หาย
แล้วตบตีผู้เสียหายหรือไม่ ส่วนตัวผู้เสียหายแม้จะไม่ได้มาเบิกความในศาล แต่โจทก์ยังมีคำ�ให้การในชั้น
สอบสวน เมอ่ื น�ำ มาพจิ ารณาประกอบกบั ประจกั ษพ์ ยานแลว้ ท�ำ ใหเ้ หน็ ไดว้ า่ จ�ำ เลยเปน็ คนเอย่ ปากขอเงนิ ผเู้ สยี หาย
ไปซื้อสุรา เมื่อผู้เสียหายไม่ให้เงิน จำ�เลยก็ใช้มือชิงกระเป๋าเงินที่ผู้เสียหายถืออยู่มีเงินภายใน 700 บาท
ผู้เสียหายจึงแย่งกระเป๋าเงินคืน คำ�พยานในส่วนนี้จึงรับฟังได้ว่าจำ�เลยเป็นคนเอากระเป๋าเงินไปจาก
ผู้เสียหายแต่ก็ไม่ปรากฏว่าจ�ำ เลยทำ�ร้ายร่างกายผู้เสียหายแต่อย่างใด เพราะผู้เสียหายให้การในชั้นสอบสวน
วา่ นาย ด.เปน็ คนใชม้ อื ตบถกู ทหี่ วั คว้ิ ซา้ ยและเทา้ เตะบรเิ วณคอ และขนึ้ เขา่ บรเิ วณทอ้ งผเู้ สยี หายโดยไมป่ รากฏ
วา่ จำ�เลยใช้ จา้ ง วาน ยยุ งสง่ เสรมิ ใหน้ าย ด. ทำ�รา้ ยรา่ งกายผเู้ สยี หายแตอ่ ยา่ งใด การทำ�รา้ ยรา่ งกายจงึ เกดิ ขนึ้
จากการกระทำ�ของนาย ด. เอง และมิใช่เป็นการท�ำ รา้ ยร่างกายเพื่อท่ีจะเอาทรัพยส์ นิ จากผเู้ สยี หายแตอ่ ยา่ ง
ใด โดยจะเหน็ ได้วา่ หลังจากที่นาย ด. ทำ�รา้ ยร่างกายผ้เู สียหายแลว้ ก็มิไดแ้ ยง่ กระเปา๋ เงินคืนจากผูเ้ สียหายมา
ไว้ในครอบครอง คงปลอ่ ยใหเ้ รื่องเลิกรากนั ไป การทน่ี าย ด. ทำ�รา้ ยรา่ งกายผู้เสียหายจงึ เชอ่ื ไดว้ า่ เป็นผลจาก
การทผ่ี เู้ สยี หายดา่ วา่ จ�ำ เลยมากกวา่ ซง่ึ เปน็ การกระท�ำ ตามล�ำ พงั ของนาย ด. เองไมเ่ กยี่ วขอ้ งกบั จ�ำ เลย เพราะ
ในเรอ่ื งนีก้ ไ็ มป่ รากฏว่าจ�ำ เลยกบั นาย ด. มีพฤตกิ ารณ์ทจ่ี ะร่วมกนั ชิงทรพั ย์เอาจากผ้เู สียหาย เนือ่ งจากจำ�เลย
กบั นาย ด. กไ็ มท่ ราบมากอ่ นวา่ ผเู้ สยี หายจะเดนิ ผา่ นมาบรเิ วณนี้ เปน็ เหตกุ ารณท์ เ่ี กดิ ขน้ึ ในทนั ทที นั ควนั จำ�เลย
กับนาย ด. จึงมิได้มีเจตนาร่วมกันจะมาชิงทรัพย์ของผู้เสียหายแต่อย่างใด ในส่วนของจ�ำ เลยลำ�พังแต่เพียง
จ�ำ เลยขอเงนิ ผเู้ สยี หายมาซอื้ สรุ าสกั ขวดพยี งเทา่ นจ้ี �ำ เลยยงั ไมม่ คี วามผดิ อาญาใด ๆ แตห่ ลงั จากทผ่ี เู้ สยี หายไม่
ใหเ้ งนิ จำ�เลย จำ�เลยพยายามแย่งเอาเงนิ จากผเู้ สยี หายไปซึ่งหนา้ การกระทำ�ในตอนหลงั นจี้ ำ�เลยจงึ มคี วามผดิ
ฐานพยายามแยง่ เอาทรัพย์ไปจากผู้เสียหายอนั เปน็ ความผิดฐานพยายามวิง่ ราวทรัพย์ ซึ่งจากพยานหลักฐาน
กไ็ มป่ รากฏวา่ จำ�เลยใชก้ �ำ ลงั ประทษุ รา้ ยผเู้ สยี หายแตอ่ ยา่ งใด เพราะผใู้ ชก้ ำ�ลงั ประทษุ รา้ ยคอื นาย ด. มใิ ชจ่ ำ�เลย
จำ�เลยจึงมีความผิดเพียงฐานพยายามว่ิงราวทรัพย์เท่านั้น แต่โจทก์ฟ้องจ�ำ เลยในข้อหาปล้นทรัพย์โดยไม่ได้
บรรยายฟอ้ งว่าฉกฉวยซงึ่ หน้า แสดงว่าไมป่ ระสงค์ให้ลงโทษฐานวงิ่ ราวทรัพย์ แตค่ วามผดิ ฐานน้รี วมความผิด
ฐานลกั ทรพั ยซ์ งึ่ เปน็ ความผดิ ทรี่ วมอยใู่ นความผดิ ฐานปลน้ ทรพั ยท์ โี่ จทกฟ์ อ้ งมาดว้ ยแลว้ ดงั นนั้ ศาลกส็ ามารถ
ลงโทษจำ�เลยฐานพยายามลกั ทรพั ยไ์ ด้ตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคทา้ ย
ซึ่งบัญญัติว่าถ้าความผิดตามที่ฟ้องน้ันรวมการกระทำ�หลายอย่างแต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง
ศาลจะลงโทษจ�ำ เลยในการกระท�ำ ผิดอย่างหน่งึ อยา่ งใดตามทีพ่ จิ ารณาไดค้ วามกไ็ ด้ พยานหลักฐานจ�ำ เลยไมม่ ี
น้าํ หนักเพียงพอทีจ่ ะฟงั หักล้างพยานหลักฐานโจทก์ ฎีกาโจทก์ฟังขน้ึ บางสว่ น
พพิ ากษาแกเ้ ปน็ วา่ จำ�เลยมคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334, 80 ฐานพยายามลกั
ทรพั ย์ จำ�คกุ 6 เดือน ขอ้ หาอน่ื ใหย้ ก

อัยการนเิ ทศ 149

คำ�พิพากษาศาลฎีกาที่ 144/2554

ป.พ.พ. ลดคา่ ปรับ จา้ งทำ�ของ (มาตรา ๓๘๓)

จ�ำ เลยเรม่ิ งานกอ่ สรา้ งงานงวดแรกถงึ งวดทสี่ ามแตม่ อี ปุ สรรคท�ำ ใหส้ ง่ มอบงานไมต่ รงตามก�ำ หนด
สญั ญาซ่ึงจ�ำ เลยท่ี ๑ ก็ได้รับการขยายกำ�หนดเวลาการส่งมอบงาน แต่นบั จากสง่ มอบงานงวดทส่ี ามแล้ว
จำ�เลยก็ยังทำ�งานล่าช้า แม้งานงวดที่สี่ก็ไม่สามารถส่งมอบได้ สมควรท่ีโจทก์จะใช้สิทธิตามสัญญาจ้าง
บอกเลิกสัญญา ไม่น่าจะปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมาเป็นปี จึงค่อยใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา ท่ีศาลล่างใช้
ดลุ พนิ จิ ลดคา่ ปรับให้จ�ำ เลยจงึ เหมาะสมแก่พฤติการณแ์ หง่ คดแี ลว้


จังหวัดชัยนาท โจทก์

ระหวา่ ง

หา้ งหุน้ ส่วนจำ�กัด ภาณุก่อสร้าง ที่ 1 กับพวกรวม 5 คน จำ�เลย

โจทกฟ์ อ้ งและแกไ้ ขคำ�ฟอ้ งวา่ โจทกเ์ ปน็ นติ บิ คุ คลตามพระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ
พ.ศ. ๒๕๓๔ สงั กดั กระทรวงมหาดไทย ทำ�สญั ญาวา่ จา้ งจำ�เลยที่ ๑ กอ่ สรา้ งสำ�นกั งานสาธารณะสขุ ทดแทน
๑ แหง่ ทห่ี มทู่ ่ี ๖ ตำ�บลชยั นาท อำ�เภอเมอื งชัยนาท จังหวดั ชัยนาท ในราคากอ่ สรา้ ง ๒๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ก�ำ หนดสง่ มอบงานและจา่ ยคา่ จา้ งเปน็ ๗ งวด เรม่ิ กอ่ สรา้ งภายในวนั ที่ ๖ ตลุ าคม ๒๕๓๘ ตอ้ งแลว้ เสรจ็ ภายใน
วันท่ี ๒๓ กันยายน ๒๕๓๙ โดยจำ�เลยที่ ๕ ทำ�สัญญาคํ้าประกันการปฏิบัติตามสัญญาจ้างเป็นเงินไม่เกิน
๑,๒๕๐,๐๐๐ บาท หลงั จากทำ�สญั ญาโจทกข์ ยายเวลาการกอ่ สรา้ งตามมตคิ ณะรฐั มนตรใี หแ้ กจ่ ำ�เลยท่ี ๑ ออก
ไป ๒ คร้งั แตจ่ ำ�เลยที่ ๑ ยงั กอ่ สรา้ งล่าชา้ และโจทกเ์ ห็นว่ากำ�หนดเวลาตามสญั ญาจ้างส้ินสดุ แล้ว โจทกจ์ งึ มี
หนงั สอื ลงวนั ท่ี ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๔๑ บอกเลกิ สญั ญาจา้ ง เนอ่ื งจากจำ�เลยที่ ๑ ผดิ สญั ญาจา้ ง เปน็ เวลา ๓๒๙
วนั คดิ คา่ ปรบั วนั ละ ๒๕,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงนิ คา่ ปรบั ๘,๒๒๕,๐๐๐ บาท
ศาลชน้ั ตน้ พจิ ารณาแลว้ พพิ ากษาใหจ้ �ำ เลยท่ี ๑ ที่ ๒ ท่ี ๓ และที่ ๔ รว่ มกนั ช�ำ ระเงนิ จ�ำ นวน ๓,๖๑๙,๐๐๐
บาท พรอ้ มดอกเบย้ี อตั รารอ้ ยละ ๗.๕ ตอ่ ปี ของเงนิ ตน้ ดงั กลา่ ว และใหจ้ ำ�เลยที่ ๕ รว่ มรบั ผดิ ชำ�ระเงนิ จ�ำ นวน
๑,๒๕๐,๐๐๐ บาท พรอ้ มดอกเบยี้ อตั รารอ้ ยละ ๗.๕ ตอ่ ปี ของตน้ เงนิ ดงั กลา่ ว นบั แตว่ นั ฟอ้ งเปน็ ตน้ ไปจนกวา่
จะช�ำ ระเสรจ็ แกโ่ จทก์ กบั ใหจ้ �ำ เลยทัง้ หา้ ใชค้ า่ ฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะคา่ ขน้ึ ศาลใหใ้ ชแ้ ทนเทา่ ทโ่ี จทก์
ชนะคดี โดยก�ำ หนดคา่ ทนายความ ๑๐,๐๐๐ บาท ค�ำ ขออน่ื ใหย้ ก
โจทก์อทุ ธรณ์

150 คำ�พิพากษาศาลฎีกา

ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำ�เลยทั้งห้าชำ�ระดอกเบี้ยแก่โจทก์ นับแต่วันที่ ๑๐
ตุลาคม ๒๕๔๑ เป็นตน้ ไปจนกวา่ จะชำ�ระเสร็จ นอกจากทแ่ี กใ้ ห้เปน็ ไปตามค�ำ พิพากษาศาลช้ันตน้ ใหจ้ �ำ เลย
ทั้งหา้ ใชค้ า่ ฤชาธรรมเนียมช้นั อุทธรณ์แทนโจทก์ เฉพาะค่าข้นึ ศาลให้ใชแ้ ทนตามทุนทรพั ยเ์ ท่าท่ีโจทกช์ นะคดี
จำ�เลยแตล่ ะรายในชน้ั อทุ ธรณ์ โดยกำ�หนดคา่ ทนายความช้นั อทุ ธรณ์ให้ ๘,๐๐๐ บาท
โจทกฎ์ กี า
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า มีเหตุสมควรลดค่าปรับจากวันละ ๒๕,๐๐๐ บาท ตามท่ี
ก�ำ หนดในสญั ญาจา้ งมาเปน็ ปรบั วนั ละ ๑๑,๐๐๐ บาท หรอื ไม่ เหน็ วา่ แมต้ อนเรม่ิ กอ่ สรา้ งงานงวดแรกถงึ งวด
ทสี่ ามจะมอี ุปสรรคทำ�ให้ไม่สามารถส่งมอบตรงตามกำ�หนดสัญญา จ�ำ เลยที่ ๑ ก็ได้รบั การขยายก�ำ หนดเวลา
การสง่ มอบงาน แตน่ บั จากสง่ มอบงานงวดทส่ี ามแลว้ จำ�เลยที่ ๑ กย็ งั ทำ�งานลา่ ชา้ แมก้ ระทงั่ งานงวดทส่ี ่ี จำ�เลย
ที่ ๑ ก็ไมส่ ามารถสง่ มอบแกโ่ จทก์ สมควรทีโ่ จทก์ควรใช้สิทธิตามสญั ญาจ้างบอกเลกิ สญั ญากบั จำ�เลยท่ี ๑ ไม่
น่าจะปล่อยเวลาให้ลว่ งเลยกำ�หนดเสร็จตามสัญญามาเป็นปี จงึ คอ่ ยใชส้ ิทธิบอกเลิกสัญญา ดังนี้ท่ศี าลล่างใช้
ดลุ พินิจลดค่าปรับลงมาเหลอื คา่ ปรับวนั ละ ๑๑,๐๐๐ บาท จึงเหมาะสมแก่พฤตกิ ารณแ์ ห่งคดแี ล้ว ฎีกาของ
โจทกข์ ้อน้ฟี งั ไม่ขน้ึ
พพิ ากษายนื ค่าฤชาธรรมเนียมชน้ั ฎีกาใหเ้ ป็นพบั .

อัยการนเิ ทศ 151

คำ�พิพากษาศาลฎีกาที่ 1265/2554

ป.วิ.อ. อนุญาตให้ฎกี าในปญั หาขอ้ เท็จจรงิ ต้องห้ามฎีกา (มาตรา ๒๒๑)
พ.ร.บ. จัดต้งั ศาลเยาวชนและครอบครวั และวธิ ีพจิ ารณาคดีเยาวชนและครอบครัว
พ.ศ. ๒๕๓๔ (มาตรา ๑๒๔ ประกอบมาตรา ๑๒๑ (๒))

ผู้พิพากษาที่จะอนุญาตให้จำ�เลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงในคดีนี้ได้คือผู้พิพากษาซ่ึงพิจารณา
และลงชอื่ ในค�ำ พพิ ากษาศาลชัน้ ต้นหรือคำ�พพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ภาค ๘
จำ�เลยฎีกาว่าพยานหลักฐานทโี่ จทก์นำ�สืบมายังรบั ฟงั ไมไ่ ด้ว่าจำ�เลยกระทำ�ความผดิ ฐานรว่ มกัน
พยายามฆา่ ผู้เสียหายที่ ๒ นน้ั เป็นฎีกาในปัญหาขอ้ เท็จจรงิ แม้จำ�เลยไดร้ บั อนุญาตใหฎ้ ีกาในปญั หาขอ้
เท็จจริงจากผูพ้ พิ ากษาหวั หนา้ ศาลชั้นต้น ก็เปน็ การไม่ชอบ
สว่ นฎกี าของจำ�เลยที่ขอใหร้ อการลงโทษแทนการสง่ ตวั ไปควบคมุ เพ่ือฝึกและอบรมหรือก�ำ หนด
ระยะเวลาการฝกึ และอบรมใหต้ าํ่ ลง เปน็ การโตแ้ ยง้ เกยี่ วกบั การกำ�หนดวธิ กี ารสำ�หรบั เดก็ และเยาวชนซงึ่
ตอ้ งหา้ มฎกี าในปญั หาดงั กลา่ ว ทง้ั เปน็ กรณที ผ่ี พู้ พิ ากษาหวั หนา้ ศาลเยาวชนและครอบครวั หรอื อธบิ ดี
ผพู้ พิ ากษาศาลเยาวชนและครอบครวั ไมอ่ าจอนญุ าตใหฎ้ กี าได้ ศาลชน้ั ตน้ สง่ั รบั ฎกี าของจำ�เลยจงึ ไมช่ อบ



พนักงานอัยการคดเี ยาวชนและครอบครัวจงั หวัดภูเกต็ โจทก์

ระหว่าง

นายสธุ นหรือธน ศรีพฒุ ทอง จำ�เลย

โจทก์ฟ้องว่า จำ�เลยกับพวกอีก ๑ คน ร่วมกันพาอาวุธไม้ติดตัวไปตามถนนศักดิเดช อันเป็นเมือง
หมบู่ า้ น หรอื ทางสาธารณะโดยเปดิ เผยและโดยไมม่ เี หตสุ มควร แลว้ จ�ำ เลยกบั พวกรว่ มกนั ท�ำ ใหเ้ สยี ทรพั ยข์ อง
ผเู้ สยี หายที่ 1 และพยายามฆา่ ผเู้ สยี หายท่ี 2 ขอใหล้ งโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐, ๘๓, 9๑,
๒๘๘, ๓๕๘, ๓๗๑
จำ�เลยใหก้ ารปฏเิ สธ
ศาลชนั้ ตน้ พจิ ารณาแลว้ พพิ ากษาวา่ จ�ำ เลยมคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๒๘๘, ๘๐,
๓๕๘, ๓๗๑, ๘๓ ลดมาตราสว่ นโทษให้กง่ึ หน่งึ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๖ (ทถี่ กู มาตรา ๗๕ )
เรยี งกระทงลงโทษฐานรว่ มกนั พยายามฆา่ ผอู้ น่ื จ�ำ คกุ ๕ ปี ฐานท�ำ ใหเ้ สยี ทรพั ย์ จ�ำ คกุ ๑ ปี ฐานพาอาวธุ ตดิ ตวั
ไปในเมอื ง หมบู่ ้าน ทางสาธารณะ ปรับ ๕๐ บาท รวมจ�ำ คกุ ๖ ปี และ ปรบั ๕๐ บาท อาศัยอำ�นาจตาม

152 ค�ำ พพิ ากษาศาลฎีกา

พระราชบญั ญตั จิ ดั ตง้ั ศาลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา
๑๐๔ (๒) (๕) ใหเ้ ปลย่ี นโทษจ�ำ คกุ เปน็ สง่ ตวั จ�ำ เลยไปฝกึ และอบรมทศ่ี นู ยฝ์ กึ และอบรมเดก็ และเยาวชนเขต ๘
จำ�เลยฎกี า โดยผ้พู ิพากษาหัวหน้าศาลชั้นต้นอนญุ าตให้ฎกี าในปญั หาข้อเทจ็ จรงิ
ศาลฎกี าแผนกคดเี ยาวชนและครอบครวั ตรวจส�ำ นวนประชมุ ปรกึ ษาแลว้ เหน็ วา่ เปน็ กรณที ศี่ าลชนั้ ตน้
อนั เปน็ ศาลเยาวชนและครอบครวั ใช้วธิ กี ารส�ำ หรบั เด็กและเยาวชนแทนการลงโทษทางอาญาแก่จำ�เลย จึงไม่
เป็นการลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘ และต้องถือว่าศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาให้ลงโทษ
จ�ำ คกุ จ�ำ เลยเกนิ ๕ ปี ศาลอทุ ธรณภ์ าค ๘ พพิ ากษายนื จ�ำ เลยยน่ื ฎกี าขณะพระราชบญั ญตั จิ ดั ตง้ั ศาลเยาวชนและ
ครอบครวั และวธิ ีพจิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๓๔ มผี ลใชบ้ งั คบั ฎกี าของจำ�เลยจึงตอ้ งห้ามมิ
ให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘ วรรคหนึ่ง
ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว
พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา 124 ที่จ�ำ เลยฎีกาว่า พยานหลักฐานท่ีโจทก์น�ำ สืบมายังรับฟังไม่ได้ว่าจ�ำ เลยกระท�ำ
ความผดิ ฐานรว่ มกนั พยายามฆา่ ผเู้ สยี หายท่ี ๒ นน้ั เปน็ ฎกี าในปญั หาขอ้ เทจ็ จรงิ ฎกี าของจำ�เลยจงึ ตอ้ งหา้ มตาม
บทกฎหมายดงั กลา่ วและแม้จำ�เลยไดร้ บั อนุญาตใหฎ้ ีกาในปญั หาขอ้ เทจ็ จรงิ จากผู้พิพากษาหวั หนา้ ศาลชนั้ ตน้
กเ็ ปน็ การไมช่ อบ เนอื่ งจากผพู้ พิ ากษาทจ่ี ะอนญุ าตใหจ้ ำ�เลยฎกี าในปญั หาขอ้ เทจ็ จรงิ ในกรณนี ไี้ ดค้ อื ผพู้ พิ ากษา
ซงึ่ พจิ ารณาและลงช่อื ในค�ำ พพิ ากษาศาลชั้นตน้ หรือคำ�พพิ ากษาศาลอุทธรณภ์ าค ๘ ตามประมวลกฎหมาย
วธิ ีพจิ ารณาความอาญา มาตรา ๒๒๑ ส่วนฎกี าของจำ�เลยทขี่ อใหร้ อการลงโทษแทนการส่งตวั ไปควบคมุ เพื่อ
ฝึกและอบรมหรือกำ�หนดระยะเวลาการฝึกและอบรมให้ต่ําลง อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับการกำ�หนดวิธีการ
สำ�หรบั เด็กและเยาวชนตาม มาตรา ๑๐๔ (๒) แห่งพระราชบัญญตั ิจดั ต้งั ศาลเยาวชนและครอบครวั และวิธี
พจิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๓๔ ซงึ่ ตอ้ งหา้ มฎกี าในปญั หาดงั กลา่ ว ตามมาตรา ๑๒๔ ประกอบ
มาตรา ๑๒๑ (๒) ทง้ั เปน็ กรณที ผ่ี พู้ พิ ากษาหวั หนา้ ศาลเยาวชนและครอบครวั หรอื อธบิ ดผี พู้ พิ ากษาศาลเยาวชน
และครอบครัวไม่อาจอนุญาตให้ฎีกาได้ เพราะหากกฎหมายประสงค์จะให้มีการอนุญาตให้ฎีกาในปัญหา
ดงั กลา่ วไดก้ ช็ อบทจ่ี ะบญั ญตั ไิ วโ้ ดยชดั แจง้ เชน่ เดยี วกบั การอนญุ าตใหอ้ ทุ ธรณต์ าม มาตรา ๑๒๒ และในกรณนี ้ี
ไมอ่ าจนำ�บทบัญญตั ิแหง่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 โดยอาศัยพระราชบญั ญัติ
จัดตง้ั ศาลเยาวชนและครอบครัวและวธิ ีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครวั มาตรา ๖ มาใชบ้ ังคบั ได้ ดงั น้ี
ท่ีศาลชั้นต้นสั่งรับฎกี าของจ�ำ เลยมาจงึ เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไมร่ บั วนิ ิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของจ�ำ เลย

อยั การนิเทศ 153

คำ�พิพากษาศาลฎีกาที่ 2114/2553
ป.พ.พ. ละเมิด (มาตรา 420)
ป.ว.ิ อ. อำ�นาจยึดสิง่ ของท่ีอาจใชเ้ ปน็ พยานหลกั ฐานได้ (มาตรา 85 วรรคสาม)
พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าท่ี พ.ศ. 2539 (มาตรา 5)

แม้การส่ังไมค่ ืนรถคนั พิพาทในเรอื่ งไมช่ ดใชค้ ่าเสียหายโดยผูเ้ สียหายไมต่ ิดใจเรียกรอ้ งจะเปน็ การ
ใชด้ ลุ พนิ จิ ในการสง่ั ทไ่ี มส่ มควรนกั กต็ าม แตก่ ารยดึ รถคนั พพิ าทไวเ้ ปน็ ของกลางในคดคี วามผดิ ฐานพยายาม
ฆ่าเจ้าพนักงานก็อยู่ในอำ�นาจโดยชอบที่จะยึดไว้ได้จนกว่าคดีถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา มาตรา ๘๕ วรรคสาม เพยี งแต่จ�ำ เปน็ หรอื ไมท่ จ่ี ะยึดไว้เปน็ ของกลางนัน้ เป็นปัญหาในทาง
ปกครอง และกรณที โ่ี จทกม์ ไิ ดร้ เู้ หน็ เปน็ ใจในการกระท�ำ ความผดิ ดว้ ยนนั้ กม็ ใิ ชเ่ ปน็ เหตทุ จี่ ะน�ำ มาพจิ ารณา
วา่ สมควรยดึ รถคันพพิ าทไวเ้ ป็นของกลางหรือไม่ หากแตเ่ ปน็ เหตทุ ีจ่ ะพจิ ารณาสั่งฟ้องว่า เห็นควรขอรบิ
รถคนั พิพาทของกลางหรอื ไม่ หรือเป็นเหตทุ ีจ่ ะขอคืนของกลางเม่ือศาลสงั่ รบิ ดงั นน้ั กรณีเชน่ น้ียงั ถอื ไม่
ได้ว่าเป็นการทำ�ละเมิดต่อโจทก์ จ�ำ เลยท่ี 2 จึงไมต่ ้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน
แมเ้ หตลุ ะเมดิ คดนี เี้ กดิ ขน้ึ กอ่ นทพ่ี ระราชบญั ญตั คิ วามรบั ผดิ ทางละเมดิ ของเจา้ หนา้ ท่ี พ.ศ. 2539
ใช้บังคับ แต่เมื่อโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้นั้นพระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับแล้ว สิทธิของโจทก์ในการฟ้อง
เจา้ หนา้ ทห่ี นว่ ยงานของรฐั ใหร้ บั ผดิ ทางละเมดิ จงึ ตอ้ งเปน็ ไปตามพระราชบญั ญตั ฉิ บบั นี้ เมอ่ื มลู เหตลุ ะเมดิ
ตามที่โจทก์น�ำ คดีมาฟ้องจ�ำ เลยท่ี 1 และท่ี 2 ต่อโจทก์เป็นการกระทำ�ในการปฏิบัติหน้าที่ โจทก์จึงต้อง
หา้ มมใิ หฟ้ อ้ งจ�ำ เลยท่ี 1 และท่ี 2 ตามมาตรา 5 แหง่ พระราชบญั ญตั คิ วามรบั ผดิ ทางละเมดิ ของเจา้ หนา้ ที่
พ.ศ. 2539 ดงั กล่าว

นางนสนิ ี กมลเลศิ วณชิ โจทก์
ร ะหว า่ ง จำ�เลย

กรมต�ำ รวจ ท่ี 1
พันต�ำ รวจเอกสรุ พันธ์ โสรัตน ์ ที่ 2
สิบตำ�รวจเอกไพศาล ม่งั ม ี ที่ 3

154 ค�ำ พิพากษาศาลฎกี า

โจทกฟ์ อ้ งและแกไ้ ขค�ำ ฟอ้ งวา่ เมอื่ วนั ท่ี 28 มนี าคม 2539 นาย ส. ซง่ึ เปน็ ลกู จา้ งของโจทกไ์ ดข้ บั รถ
บรรทุกสบิ ลอ้ ย่หี ้อมติ ซบู ชิ ิ หมายเลขทะเบยี น 81-6777 นครปฐม ของโจทก์ ในทางการทีจ่ ้างของโจทก์ใน
ชอ่ งทางเดนิ รถที่ 2 อนั เปน็ ความผดิ ตอ่ พระราชบญั ญตั จิ ราจรทางบก พ.ศ. 2522 ในทอ้ งท่ี สถานตี ำ�รวจนครบาล
คลองตัน จึงถกู จา่ สิบต�ำ รวจ ร. จบั กุมส่งพนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับ แต่นาย ส. ไมช่ �ำ ระคา่ ปรับและ
ขบั รถหลบหนจี ากสถานตี �ำ รวจนครบาลคลองตนั จ�ำ เลยท่ี 3 ไดพ้ บเหน็ รถคนั ดงั กลา่ วจงึ เขา้ จบั กมุ แตน่ าย ส.
ขับรถหลบหนี ขณะทีจ่ �ำ เลยที่ 2 ติดตามจับกมุ ได้ปฏบิ ัตหิ นา้ ท่โี ดยมิชอบ จงใจใช้อาวุธปนื ยงิ ยางรถของโจทก์
เสียหาย 5 เสน้ อนั เป็นการละเมิดต่อโจทก์ หลังจากนัน้ จำ�เลยที่ 3 ได้ยดึ รถของโจทก์น�ำ ไปจอดทงิ้ ไวท้ ่ีลาน
ดินข้างสถานตี ำ�รวจ โดยอา้ งว่าเพื่อตรวจสอบ ตอ่ มาวันท่ี 1 เมษายน 2539 โจทกไ์ ปติดตอ่ ขอรบั รถคนื แต่
จ�ำ เลยที่ 2 ซง่ึ มอี �ำ นาจหนา้ ทปี่ ฏบิ ตั ริ าชการใหเ้ ปน็ ไปตามกฎหมายและระเบยี บแบบแผนของจ�ำ เลยท่ี 1 และ
มีหน้าที่พิจารณามีค�ำ ส่ังเก่ียวกับการคืนรถของโจทก์ ได้จงใจใช้อ�ำ นาจหน้าท่ีโดยมิชอบมีค�ำ ส่ังไม่คืนรถให้แก่
โจทก์ เพอื่ ชว่ ยเหลอื จำ�เลยที่ 3 ซง่ึ เปน็ ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาของตนมใิ หต้ อ้ งรบั ผดิ และไมม่ คี วามจำ�เปน็ ตอ้ งยดึ รถ
ไวเ้ ปน็ หลักฐานทางคดี อันเป็นการละเมดิ ทำ�ให้โจทก์ได้รบั ความเสยี หาย จำ�เลยที่ 1 ซึง่ เป็นนิติบคุ คลเป็น
ผบู้ งั คบั บญั ชาสงู สดุ ของจำ�เลยที่ 2 และท่ี 3 ตอ้ งรว่ มรบั ผดิ ขอใหบ้ งั คบั จำ�เลยทงั้ สามรว่ มกนั หรอื แทนกนั คนื
รถบรรทกุ สบิ ลอ้ ยหี่ อ้ มติ ซบู ชิ ิ หมายเลขทะเบยี น 81-6777 นครปฐม แกโ่ จทกแ์ ละชดใชค้ า่ เสยี หายจากการ
ไมส่ ามารถน�ำ รถออกใชป้ ระโยชนใ์ นอตั ราวนั ละ 3,000 บาท นบั ถดั จากวนั ขอคนื รถถงึ วนั ฟอ้ ง 1,000,000
บาท และจากการเสอ่ื มสภาพของรถทไี่ มม่ กี ารดแู ลรกั ษา 200,000 บาท รวมเปน็ 1,200,000 บาท พรอ้ ม
ดอกเบีย้ ในอัตรารอ้ ยละ 7.5 ตอ่ ปขี องต้นเงนิ 1,000,000 บาท นบั ถดั จากวนั ฟอ้ งจนกวา่ จะชำ�ระเสร็จแก่
โจทก์ กบั ใช้คา่ ขาดประโยชนใ์ นอัตราวนั ละ 3,000 บาท นบั ถดั จากวนั ฟ้องจนกวา่ จะส่งมอบรถคันพิพาท
คนื โจทก์
จำ�เลยทงั้ สามให้การวา่ โจทก์ไมใ่ ชเ่ จ้าของรถคนั พิพาท จ�ำ เลยที่ 2 และท่ี 3 ไดป้ ฏิบัติราชการตาม
ระเบยี บแบบแผนของทางราชการโดยชอบแลว้ ไมเ่ ปน็ ละเมดิ โจทกจ์ งึ ไมม่ อี �ำ นาจฟอ้ ง คา่ เสยี หายทโี่ จทกเ์ รยี ก
มาสูงเกินไป และตามพระราชบญั ญัติความรับผดิ ทางละเมิดของเจา้ หนา้ ที่ พ.ศ. 2539 บญั ญัติใหผ้ ูเ้ สยี หาย
ฟอ้ งไดเ้ ฉพาะจ�ำ เลยที่ 1 ซงึ่ เปน็ หนว่ ยงานของรฐั แตจ่ ะฟ้องจำ�เลยท่ี 2 และที่ 3 ซง่ึ เปน็ เจ้าหนา้ ท่ขี องรฐั ไม่
ได้ ขอใหย้ กฟอ้ ง
ศาลชนั้ ตน้ พจิ ารณาแลว้ พพิ ากษาใหจ้ ำ�เลยที่ 1 คนื รถบรรทกุ สบิ ลอ้ ยห่ี อ้ มติ ซบู ชิ หิ มายเลขทะเบยี น
81-6777 นครปฐม แก่โจทก์ และชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 50,000 บาท กับให้จำ�เลยที่ 1 ใช้ค่า
ฤชาธรรมเนยี มแทนโจทก์ โดยก�ำ หนดคา่ ทนายความ 5,000 บาท ยกฟอ้ งจ�ำ เลยท่ี 2 และ ท่ี 3 คา่ ฤชาธรรมเนยี ม
สำ�หรับโจทกแ์ ละจำ�เลยท่ี 2 และท่ี 3 ใหเ้ ปน็ พบั
โจทกอ์ ุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พพิ ากษายืน คา่ ฤชาธรรมเนียมชน้ั อทุ ธรณใ์ หเ้ ป็นพบั
โจทกฎ์ กี า
ศาลฎีกาตรวจสำ�นวนประชมุ ปรึกษาแลว้ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎกี าของโจทกว์ า่ จ�ำ เลยท่ี ๒ และ
ที่ ๓ ท�ำ ละเมิดตอ่ โจทกแ์ ละตอ้ งรับผดิ ใช้สนิ ไหมทดแทนหรือไม่

อัยการนิเทศ 155

กรณีจำ�เลยที่ ๓ ใช้อาวุธปืนยิงยางรถล้อหน้ากบั กระจกประตูรถซกี ซ้ายแตก และจำ�เลยที่ ๓ กบั พวก
ใชอ้ าวุธปืนยิงยางรถลอ้ หลงั กบั ถงั นาํ้ มนั เชื้อเพลิงทะลุ โจทก์ฎกี าอ้างว่าพฤติการณ์ที่เกดิ ขึ้นและการเข้าจับกมุ
นาย ส. จนมีการขับรถคันพิพาทหลบหนีฝ่าสัญญาณไฟแดงนั้น มีเหตุไม่น่าเชื่อห้าประการด้วยกัน ประการ
แรก จำ�เลยที่ ๓ กับจ่าสิบตำ�รวจ ร. ซึ่งเป็นพยานคู่เบิกความขัดแย้งแตกต่างกัน โดยจ�ำ เลยที่ ๓ เบิกความว่า
เห็นรถคันพิพาทแล้วจำ�ได้ จึงวิทยุบอกให้จ่าสิบตำ�รวจ ส. ไปนำ�รถคันพิพาทเข้าข้างทาง แต่จ่าสิบตำ�รวจ ส.
เบกิ ความวา่ จ�ำ เลยที่ ๓ เดนิ มาทรี่ ถคนั พพิ าทและขอดใู บสงั่ ของเจา้ พนกั งานจราจร จงึ จ�ำ ไดว้ า่ เปน็ รถคนั พพิ าท
ที่เคยจบั เหน็ วา่ ค�ำ เบกิ ความดงั กลา่ วมใิ ชข่ อ้ ขดั แยง้ แตเ่ ปน็ ความแตกตา่ งในเรอ่ื งทม่ี ใิ ชข่ อ้ สาระสำ�คญั เพราะไม่
ว่าจ�ำ เลยที่ ๓ จะจำ�รถคันพิพาทด้วยเหตุใดกต็ าม แต่ขอ้ เท็จจรงิ กฟ็ ังไดว้ า่ นาย ส.จำ�จำ�เลยที่ ๓ ไดข้ บั รถคนั
พพิ าทฝา่ สญั ญาณไฟแดงหลบหนไี ป ประการทสี่ อง พฤตกิ ารณแ์ ละระยะเวลาในการไลจ่ บั นาย ส. ไมส่ อดคลอ้ ง
กนั ในเรื่องระยะเวลากับระยะทางกลา่ วคือ เหตเุ กิดเวลา ๒๑ นาฬกิ าเศษ ระยะเวลาพบรถคันพิพาทจนถงึ นำ�
ไปไว้ที่สถานีตำ�รวจใช้เวลา ๓ ช่ัวโมงเศษ จึงน่าจะถึงสถานีตำ�รวจเวลาประมาณ 1 นาฬิกา แต่ลงบันทึกใน
รายงานประจำ�วันระบเุ วลารอ้ งทกุ ข์ ๐๐.๑๐ นาฬิกา ผิดเวลาเกือบ ๑ ชว่ั โมง และลกั ษณะการไลจ่ ับนาย ส.
โดยขบั รถจกั รยานยนตด์ ้วยความเรว็ สงู เกอื บ ๑๐๐ หรือเกนิ ๖๐ กโิ ลเมตรต่อชัว่ โมง ไมส่ มั พันธก์ ับระยะทาง
๑ ถงึ ๒ กิโลเมตร ซ่ึงใชเ้ วลาประมาณ ๑ นาที แตม่ ีการใช้เวลา ๑๐ ถงึ ๒๐ นาที และการไลจ่ ับนาย ส. จาก
หนา้ รา้ นอาหาร ร. ถงึ สะพานพระโขนงระยะทางประมาณ ๒ กโิ ลเมตร ซงึ่ ขบั รถจกั รยานยนตไ์ ลด่ ว้ ยความเรว็
๒๐ หรือ ๔๐ กโิ ลเมตรต่อชั่วโมง นา่ จะใชเ้ วลาเพยี ง ๕ ถึง ๖ นาที เม่อื รวมระยะทางจากสัญญาณไฟแดงถงึ
สะพานพระโขนงน่าจะใช้เวลาเพยี งเลก็ น้อย แต่พยานจ�ำ เลยใช้เวลารวมกัน ๓๐ ถึง ๔๐ นาที แสดงว่ารถคัน
พพิ าทจอดอยทู่ หี่ นา้ รา้ นอาหาร ร. นานถงึ ๑ ชว่ั โมงเศษ ซงึ่ ไมส่ อดคลอ้ งกบั เหตกุ ารณท์ พ่ี ยานจำ�เลยกลา่ วอา้ ง
เห็นวา่ ในเร่อื งระยะทาง ความเรว็ และการใช้เวลาไล่จับนาย ส. นั้นเป็นเพียงการกะประมาณเท่านั้น ไม่นา่
จะถงึ ขนาดขดั ตอ่ เหตผุ ลหรือไม่สอดคล้องสัมพันธก์ นั จนไม่น่าเชอ่ื เพราะถึงอยา่ งไรขอ้ เทจ็ จริงทโี่ จทกม์ ิได้
โต้เถียงกฟ็ งั ได้ว่า นาย ส. ขบั รถคนั พิพาทหลบหนีจนเล้ยี วชนรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน ๖ ห- ๐๓๓๔
กรุงเทพมหานคร แล้วขับรถหลบหนีไปอีกจนตอ้ งมีการใช้อาวุธปนื ยงิ ยางรถเพอ่ื สะกดั ใหร้ ถหยดุ อีก ประการ
ที่สาม เกี่ยวกับพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นที่หน้าร้านอาหาร ร. ค�ำ ให้การชั้นสอบสวนของจ่าสิบตำ�รวจ ร. และจำ�เลย
ที่ ๓ กับคำ�เบิกความชั้นศาลของบุคคลทั้งสองดังกล่าว ไม่สอดคล้องต้องกัน เห็นว่า เมื่อพิจารณาเอกสาร
ดังกล่าวทั้งหมดแล้วก็ไม่เห็นมีข้อไม่สอดคล้องต้องกันหรือจะต่างกันบ้างก็ไม่ใช่ข้อสาระส�ำ คัญถึงขนาดที่
จะทำ�ให้เห็นว่าไม่น่าจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นที่หน้าร้านอาหาร ร. แต่อย่างใด ประการที่สี่ กรณีการยิงยางรถ
น่าจะมาจากสาเหตุอื่น มิใช่นาย ส. ขับรถคันพิพาทจะชนจ�ำ เลยที่ ๓ เพราะเพิ่งจะแจ้งข้อหาพยายามฆ่า
เจ้าพนักงานหลังจากโจทก์ขอรับรถคันพิพาทคืน เห็นว่า โจทก์ก็ไม่มีพยานหลักฐานมานำ�สืบให้เห็นว่าการยิง
ยางรถเกิดจากสาเหตุอื่นใดและรายงานประจ�ำ วันก็มีข้อความว่านาย ส. พยายามขับรถคันพิพาทเฉี่ยวชน
จ�ำ เลยท่ี ๓ การแจง้ ขอ้ หาพยายามฆา่ เจา้ พนกั งานในภายหลงั จงึ ไมม่ ขี อ้ พริ ธุ และประการทหี่ า้ พนั ต�ำ รวจโท พ.
พยานจำ�เลยซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญตรวจสภาพรถคันพิพาทแล้วเบิกความท�ำ นองว่า รถยนต์บรรทุกสิบล้อนา้ํ หนัก
ประมาณ ๒๑ ตัน กรณียางรถล้อหน้าไม่มีลม รถจะเคลื่อนตัวได้เล็กน้อย และช่วงหน้าของรถจะยุบตัวลง

156 ค�ำ พพิ ากษาศาลฎีกา

ทำ�ให้การทรงตัวและบังคับเลี้ยวทำ�ได้ยาก ทำ�ให้การขับรถหลบหนีไปหลายกิโลเมตรไม่น่าจะเกิดขึ้นจริง
เห็นว่าเป็นเพียงพยานความเห็นกรณียางรถล้อหน้าไม่มีลม แต่ทางน�ำ สืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่ายางรถล้อ
หน้าที่ถูกยิงมีรอยรั่วหรือฉีกขาดขนาดใดทำ�ให้ลมรั่วออกจนหมดภายในเวลาเท่าใด ประกอบกับข้อเท็จจริง
ซึ่งฟังได้ว่า หลังจากยางรถล้อหน้าถูกยิงแล้ว นาย ส. ยังขับรถคันพิพาทข้ามเกาะกลางถนนไปเฉี่ยวชนรถยนต์
กระบะที่วิ่งสวนทางมาได้และยังหลบหนีไปอีก ดงั นนั้ การขบั รถคนั พพิ าทหลบหนไี ปอกี หลายกโิ ลเมตรจงึ เปน็
เรอ่ื งอาจเกดิ ขน้ึ ได้ สรปุ แลว้ จากเหตดุ งั ไดว้ นิ จิ ฉยั มาแลว้ ยอ่ มเหน็ ไดว้ า่ กรณมี เี หตนุ า่ เชอ่ื วา่ มเี หตกุ ารณท์ นี่ าย
ส. ขบั รถคนั พพิ าทในลกั ษณะทที่ ำ�ใหจ้ �ำ เลยท่ี ๓ เชอื่ วา่ นาย ส. พยายามขบั รถคนั พพิ าทจะเฉย่ี วชนรถจกั รยานยนต์
ท่ีขับมาและยังหลบหนีอีก การยิงล้อรถเพ่ือสะกัดให้หยุดรถซ่ึงเป็นการทำ�บุบสลายหรือทำ�ลายทรัพย์ ย่อม
เป็นการป้องกันสทิ ธิของจ�ำ เลยที่ ๓ หรือบุคคลภายนอกจากภยันตรายอนั มมี าโดยฉุกเฉินเพราะรถคันพิพาท
นั้นเองเป็นเหตุ และความเสียหายที่เกิดข้ึนไม่เกินสมควรแก่เหตุ จำ�เลยที่ ๓ จึงหาต้องรับผิดใช้ค่าสินไหม
ทดแทน ๒๕๐,๐๐๐ บาท ทโี่ จทกฟ์ อ้ งเรยี กรอ้ งแต่อยา่ งใดไม่
กรณีจำ�เลยที่ ๒ ส่ังไม่คืนรถคันพิพาท ทำ�ให้โจทก์ขาดรายได้จากการใช้รถในการประกอบอาชีพ
๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท พรอ้ มดอกเบย้ี และคา่ ซอ่ มรถคนั พพิ าทเพมิ่ อกี ๑๕๐,๐๐๐ บาท โจทกฎ์ กี าอา้ งวา่ จ�ำ เลย
ที่ ๒ สง่ั ไมค่ นื รถคนั พพิ าทดว้ ยเหตผุ ลเดยี ว คอื โจทกไ์ มช่ ดใชค้ า่ เสยี หายใหแ้ กเ่ จา้ ของรถยนตก์ ระบะทถี่ กู เฉยี่ ว
ชนเสียหาย หรือแม้จะยดึ รถคันพิพาทไว้เป็นของกลางในคดีที่นาย ส. ถูกพนกั งานอัยการสั่งฟ้องในความผิด
ฐานพยายามฆา่ เจา้ พนกั งาน กเ็ ปน็ กรณที ไ่ี มม่ คี วามจ�ำ เปน็ ตอ้ งยดึ ไวเ้ มอื่ ตรวจสภาพรถเสรจ็ แลว้ และโจทกเ์ ปน็
เจา้ ของรถคนั พพิ าททมี่ ไิ ดร้ เู้ หน็ เปน็ ใจในการกระท�ำ ความผดิ ดว้ ย เหน็ วา่ นาย ก. ซง่ึ เปน็ ทนายความโจทก์ กบั
นาย ธ. ซ่งึ เปน็ สามีและผรู้ บั มอบอ�ำ นาจโจทก์เบกิ ความเป็นพยานโจทก์ยอมรับวา่ จำ�เลยที่ ๒ สงั่ ไม่คนื รถคัน
พพิ าทเพราะยดึ ไวเ้ ปน็ ของกลางในคดคี วามผดิ ฐานพยายามฆา่ เจา้ พนกั งานดว้ ย จงึ มใิ ชเ่ รอ่ื งไมช่ ดใชค้ า่ เสยี หาย
เหตผุ ลเดยี ว ซงึ่ แมก้ ารสงั่ ไมค่ นื รถคนั พพิ าทในเรอ่ื งไมช่ ดใชค้ า่ เสยี หายโดยผเู้ สยี หายไมต่ ดิ ใจเรยี กรอ้ งจะเปน็ การ
ใช้ดุลพินิจในการส่ังท่ีไม่สมควรนักก็ตาม แต่การยึดรถคันพิพาทไว้เป็นของกลางในคดีความผิดฐานพยายาม
ฆา่ เจา้ พนกั งานกอ็ ย่ใู นอ�ำ นาจโดยชอบทีจ่ ะยดึ ไว้ได้จนกว่าคดถี ึงทสี่ ุดตามประมวลกฎหมายวิธีพจิ ารณาความ
อาญา มาตรา ๘๕ วรรคสาม เพยี งแตจ่ ำ�เปน็ หรอื ไมท่ จี่ ะยดึ ไวเ้ ปน็ ของกลางนน้ั เปน็ ปญั หาในทางปกครองและ
กรณีทีโ่ จทก์มไิ ดร้ เู้ หน็ เป็นใจในการกระทำ�ความผิดด้วยนั้น ก็มิใช่เป็นเหตทุ ี่จะน�ำ มาพิจารณาว่าสมควรยดึ รถ
คนั พพิ าทไวเ้ ปน็ ของกลางหรอื ไม่ หากแตเ่ ปน็ เหตทุ จี่ ะพจิ ารณาสง่ั ฟอ้ งวา่ เหน็ ควรขอรบิ รถคนั พพิ าทของกลาง
หรือไม่ หรือเป็นเหตทุ ีจ่ ะขอคืนของกลางเมื่อศาลส่ังริบ ดังนั้น กรณีเช่นนี้ยงั ถือไม่ได้ว่าเปน็ การทำ�ละเมดิ ต่อ
โจทก์ จ�ำ เลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรบั ผดิ ใช้คา่ สนิ ไหมทดแทน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบย้ี ส่วนคา่ ซ่อมรถคัน
พิพาทนัน้ โจทกฎ์ กี าวา่ ล้อรถยนต์ ๑๐ ล้อ เส่อื มสภาพ ก็มากกวา่ ๕๐,๐๐๐ บาทแลว้ และค่าอะไหลก่ ็ราคา
สงู ขน้ึ กวา่ ขณะฟอ้ งคดี เหน็ วา่ เมอ่ื พจิ ารณาใบเสนอราคา สงั่ ซอ่ มรถยนตท์ โ่ี จทกน์ �ำ สบื วา่ เปน็ คา่ เสยี หาย ปรากฏ
วา่ เปน็ ทง้ั รายการความเสยี หายทเ่ี รยี กไมไ่ ด้ เชน่ ยางลอ้ รถ 5 เสน้ ทถ่ี กู ยงิ เสยี หายทไ่ี ดว้ นิ จิ ฉยั มาแลว้ และความ
เสียหายทเี่ สือ่ มไปตามสภาพปกติ เช่น ระบบไฟฟ้าความเสียหายท่เี หลอื ท่ีศาลชนั้ ตน้ และศาลอทุ ธรณก์ �ำ หนด
ให้ 50,000 บาทนั้น เหมาะสมแลว้ ไมม่ รี ายการ ความเสียหายใดทีจ่ ะเพ่มิ ใหอ้ ีก

อยั การนิเทศ 157

มปี ญั หาทต่ี อ้ งวนิ จิ ฉยั ตามฎกี าของโจทกใ์ นประการตอ่ ไปทวี่ า่ จ�ำ เลยที่ 2 และท่ี 3 ตอ้ งรว่ มกบั จ�ำ เลย
ท่ี 1 รับผดิ ตอ่ โจทกเ์ พราะพระราชบญั ญัติความรับผิดทางละเมดิ ของเจา้ หนา้ ท่ี พ.ศ. 2539 ประกาศใช้หลัง
เกดิ เหตลุ ะเมิดคดนี ้ีนัน้ เหน็ ว่า แม้เหตุละเมดิ คดีน้ีเกดิ ขน้ึ กอ่ นทพี่ ระราชบัญญตั คิ วามรับผดิ ทางละเมิดของ
เจา้ หนา้ ท่ี พ.ศ. 2539 ใชบ้ งั คบั แตเ่ มอ่ื โจทกฟ์ อ้ งเปน็ คดนี น้ี น้ั พระราชบญั ญตั ฉิ บบั นใ้ี ชบ้ งั คบั แลว้ สทิ ธขิ องโจทก์
ในการฟอ้ งเจา้ หนา้ ทห่ี นว่ ยงานของรฐั ใหร้ บั ผดิ ทางละเมดิ จงึ ตอ้ งเปน็ ไปตามพระราชบญั ญตั ฉิ บบั น้ี เมอ่ื มลู เหตุ
ละเมดิ ตามทโ่ี จทกน์ �ำ คดมี าฟอ้ งจ�ำ เลยที่ 1 และท่ี 2 ตอ่ โจทกเ์ ปน็ การกระท�ำ ในการปฏบิ ตั หิ นา้ ที่ โจทกจ์ งึ ตอ้ ง
ห้ามมิให้ฟ้องจำ�เลยท่ี 1 และท่ี 2 ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
พ.ศ. 2539 ดงั กลา่ ว ค�ำ พพิ ากษาของศาลอทุ ธรณช์ อบแลว้ ศาลฎกี าเหน็ พอ้ งดว้ ย ฎกี าทกุ ขอ้ ของโจทกฟ์ งั ไมข่ น้ึ
พพิ ากษายืน คา่ ฤชาธรรมเนยี มช้นั ฎกี าใหเ้ ปน็ พบั

158 คำ�พิพากษาศาลฎกี า

คำ�พิพากษาศาลฎีกาที่ 14087/2553 (ประชมุ ใหญ่)
ป.อ. อ�ำ นาจศาลในการกำ�หนดโทษใหมต่ ามกฎหมายทบี่ ญั ญัตใิ นภายหลัง
(มาตรา 3 (1))
ป.วิ.อ. การแก้ไขคำ�พพิ ากษา (มาตรา 190)
พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522

คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษและเพ่ิมโทษจำ�เลยที่ 1 จนคดีถึงที่สุดแล้วจึงไม่มีเหตุที่จะ
เปลี่ยนแปลงแก้ไขการเพ่ิมโทษในคดีหลังได้ และเม่ือศาลอ่านคำ�พิพากษาจนคดีถึงที่สุดแล้ว ศาลนั้นจะ
แกไ้ ขคำ�พพิ ากษาเก่ียวกบั การเพ่ิมโทษหาไดไ้ ม่ เพราะไม่ใชก่ ารแก้ไขถอ้ ยคำ�ทเ่ี ขียนหรือพิมพผ์ ิดพลาดซ่งึ
ขดั ตอ่ ประมวลกฎหมายวธิ พี ิจารณาความอาญา มาตรา 190 และกรณีดังกลา่ วไม่ต้องด้วยบทบญั ญตั ิ
แหง่ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) ท่ีจะทำ�ให้ศาลมีอำ�นาจยกคดีข้นึ พจิ ารณาและพิพากษาใหม่
ได้ ทีศ่ าลอทุ ธรณ์ไมง่ ดเพม่ิ โทษจำ�เลยท่ี 1 น้นั ชอบแล้ว

พนกั งานอยั การ ส�ำ นกั งานอัยการสงู สุด โจทก์

ระหว่าง นายวษิ ณหุ รอื ต๋ี อมรชยั นนท์ ท่ี 1 จ�ำ เลย
นางศิริพรหรอื เล็ก เพ็งรักษา ที่ 2



คดีสืบเนื่องมาจากศาลอุทธรณ์มีคำ�พิพากษาถึงที่สุด เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2550 ว่าจำ�เลยที่
1 มีความผิดตามพระราชบญั ญัตยิ าเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสอง
ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จ�ำ คกุ จ�ำ เลยท่ี 1 มกี �ำ หนด 7 ปแี ละปรบั 400,000 บาท เพมิ่
โทษกงึ่ หนงึ่ เปน็ จำ�คกุ 10 ปี 6 เดอื น และปรบั 600,000 บาท ลดโทษกง่ึ หนงึ่ คงจำ�คกุ 5 ปี 3 เดอื น และ
ปรบั 300,000 บาท นับโทษจ�ำ เลยท่ี 1 ต่อจากโทษจ�ำ คุกของจำ�เลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อย.
1479/2549 ของศาลอาญา หากจำ�เลยที่ 1 ไมช่ ำ�ระคา่ ปรบั ใหจ้ ดั การตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
29, 30 โดยใหก้ กั ขงั แทนค่าปรบั เป็นระยะเวลา 1 ปี ริบของกลาง
เมอ่ื วนั ที่ 4 มถิ นุ ายน 2551 จ�ำ เลยท่ี 1 ยนื่ ค�ำ รอ้ งวา่ ตามค�ำ พพิ ากษาคดอี าญาหมายเลขแดงท่ี อย.
1479/2549 ของศาลอาญา พิพากษาว่า เนื่องจากศาลยังไม่ได้มีคำ�พิพากษาในคดีอาญาหมายเลขดำ�ท่ี
3732/2548 ของศาลชั้นต้น จึงใหย้ กคำ�ขอนับโทษต่อของโจทก์ จ�ำ เลยท่ี 1 จงึ มคี วามสงสยั ว่าจ�ำ เลยท่ี 1

อัยการนิเทศ 159

ต้องโทษจำ�คุกทั้งสองคดีเป็นเวลานานเท่าใด และตามที่ได้มีพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสท่ีพระบาท
สมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชมพี ระชนมพรรษา 80 พรรษา พ.ศ. 2550 มผี ลตอ่ คดที ง้ั สองอยา่ งไร
ศาลชน้ั ตน้ พจิ ารณาแลว้ มีค�ำ สั่งว่า ตามค�ำ รอ้ งขอ้ 1.1 โทษจ�ำ คกุ ของจำ�เลยท่ี 1 ในคดนี ี้ใหถ้ อื ตาม
หมายจำ�คกุ เมอื่ คดถี งึ ทส่ี ดุ ของจำ�เลยที่ 1 ลงวนั ที่ 28 พฤศจกิ ายน 2550 โดยใหน้ บั โทษจำ�คกุ จ�ำ เลยท่ี 1 ใน
คดนี ซ้ี ง่ึ มกี �ำ หนด 5 ปี 3 เดอื น ตอ่ จากโทษจ�ำ คกุ ของจ�ำ เลยท่ี 1 ในคดอี าญาหมายเลขแดงที่ อย. 1479/2549
ของศาลอาญา สำ�หรบั ผลของพระราชบัญญัตลา้ งมลทนิ ในวโรกาสทีพ่ ระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล
อดุลยเดชมพี ระชนมพรรษา 80 พรรษา พ.ศ. 2550 ตามข้อ 1.2 นน้ั เนื่องจากคดีน้ศี าลตัดสนิ ลงโทษและ
เพิ่มโทษจำ�เลยท่ี 1 จนคดีถึงท่ีสุดไปแล้วก่อนวันท่ีพระราชบัญญัติล้างมลทินฯ ดังกล่าวใช้บังคับ (วันท่ี 5
ธนั วาคม 2550) แมค้ วามผดิ ทจี่ �ำ เลยท่ี 1 ตอ้ งโทษในคดกี อ่ นทเี่ ปน็ เหตใุ ห้เพิม่ โทษในคดนี จ้ี ะเกิดขึน้ กอ่ นวนั
ที่ 5 ธนั วาคม 2550 และจำ�เลยที่ 1 พน้ โทษคดกี อ่ นไปแลว้ กต็ าม กไ็ มม่ เี หตเุ ปลย่ี นแปลงโทษในคดนี แี้ ตอ่ ยา่ ง
ใดตามพระราชบัญญัตลิ ้างมลทนิ ฯ ดงั กลา่ วกไ็ มม่ ผี ลตอ่ ค่าปรบั ที่จำ�เลยท่ี 1 ไม่ชำ�ระคา่ ปรบั ตามค�ำ พพิ ากษา
กรณกี ักขงั แทนคา่ ปรับ ให้กักขังไมเ่ กนิ 1 ปี ยกคำ�รอ้ ง
จำ�เลยที่ 1 อทุ ธรณ์
ศาลอทุ ธรณ์พิพากษายืน
จ�ำ เลยท่ี 1 ฎกี า
ศาลฎีกาตรวจสำ�นวนประชุมปรึกษาแล้ว ที่จำ�เลยที่ 1 ฎีกาว่า จำ�เลยที่ 1 ได้รับประโยชน์ตาม
พระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา
80 พรรษา พ.ศ. 2550 จงึ ไมอ่ าจเพม่ิ โทษจ�ำ เลยท่ี 1 ไดน้ น้ั ศาลฎกี าโดยมตทิ ป่ี ระชมุ ใหญ่ เหน็ วา่ คดนี ศ้ี าลอทุ ธรณ์
พิพากษาลงโทษและเพิ่มโทษจ�ำ เลยที่ 1 จนคดถี ึงทส่ี ุดแลว้ จงึ ไมม่ เี หตุทจี่ ะเปลีย่ นแปลงแกไ้ ขการเพิ่มโทษใน
คดหี ลังได้ และเม่ือศาลอา่ นคำ�พพิ ากษาจนคดถี งึ ทสี่ ดุ แล้ว ศาลน้ันจะแก้ไขคำ�พิพากษา เกีย่ วกบั การเพิม่ โทษ
หาได้ไม่ เพราะไม่ใช่การแก้ไขถ้อยคำ�ที่เขียนหรือพิมพ์ผิดพลาดซึ่งขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
อาญา มาตรา 190 และกรณดี งั กลา่ วไม่ต้องดว้ ยบทบัญญตั แิ ห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) ทีจ่ ะ
ท�ำ ใหศ้ าลมอี �ำ นาจยกคดขี น้ึ พจิ ารณาและพพิ ากษาใหมไ่ ด้ ทศี่ าลอทุ ธรณไ์ มง่ ดเพมิ่ โทษจำ�เลยที่ 1 นนั้ ชอบแลว้
ฎีกาของจ�ำ เลยที่ 1 ฟงั ไมข่ ้ึน
พพิ ากษายืน

160 คำ�พพิ ากษาศาลฎกี า

ส�ำ นกั งานอยั การสงู สดุ คำ�พิพากษา

ศาลปกครองสูงสุด

162 คำ�พพิ ากษาศาลฎกี า

คำ�พิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 124/๒๕๕4
พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 (มาตรา 82 วรรคสาม)

พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 82 วรรคสามได้กำ�หนดการ
กระท�ำ ทจ่ี ะถอื วา่ เปน็ การกระท�ำ ผดิ วนิ ยั อยา่ งรา้ ยแรง ฐานทจุ รติ ตอ่ หนา้ ทรี่ าชการนน้ั จะตอ้ งมอี งคป์ ระกอบ
ทสี่ �ำ คญั 4 ประการ คอื (1) มหี นา้ ทร่ี าชการทต่ี อ้ งปฏบิ ตั ริ าชการ (2) ได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ
หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ ซึ่งคำ�ว่า “โดยมิชอบ” หมายความว่า ไม่เป็นไปตาม
กฎหมาย ระเบยี บทางราชการ ค�ำ สง่ั ของผู้บังคับบัญชาฯ (3) เพอ่ื ให้ตนเองหรอื ผอู้ ่ืนไดป้ ระโยชนท์ ่ีมคิ วร
ได้ ซึ่งคำ�ว่า “ประโยชน์” หมายถึง ส่ิงที่ได้รับอันเป็นคุณแก่ผู้ได้รับ ซึ่งอาจเป็นทรัพย์สินหรือประโยชน์
อยา่ งอ่นื ทม่ี ใิ ช่ทรพั ย์สนิ ก็ได้ และค�ำ ว่า “มิควรได”้ หมายถงึ ไมม่ ีสทิ ธโิ ดยชอบธรรมท่จี ะได้รับประโยชน์
ใด ๆ ตอบแทนจากการปฏิบัติหน้าท่ีน้ัน และ (4) โดยมีเจตนาทุจริตซ่ึงคำ�ว่า “ทุจริต” ตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 1 (1) หมายความว่า เพื่อแสวงหาประโยชน์ท่ีมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
ส�ำ หรบั ตนเองหรอื ผ้อู ื่น และการพจิ ารณาว่าการกระท�ำ ผิดเป็นการทุจรติ ต่อหนา้ ท่รี าชการหรือไม่นัน้ จะ
ต้องพิจารณาลงไปถึงเจตนาของผู้กระทำ�ด้วยว่า มีเจตนาทุจริตหรือมีจิตอันชั่วร้ายในการปฏิบัติหน้าท่ี
ราชการหรอื ละเวน้ การปฏบิ ตั หิ นา้ ทร่ี าชการโดยมงุ่ ทจ่ี ะใหต้ นเองหรอื ผอู้ น่ื ไดร้ บั ประโยชนท์ มี่ คิ วรได้ ดงั นน้ั
กรณีทีจ่ ะเป็นผกู้ ระทำ�ผดิ ฐานทจุ รติ ต่อหน้าที่ราชการตามมาตรา 82 วรรคสาม จะตอ้ งมกี ารกระท�ำ ทเ่ี ขา้
ลกั ษณะตามองคป์ ระกอบทง้ั 4 ประการดงั กลา่ วขา้ งตน้

จ่าสบิ ตำ�รวจ วสิ า เสงย่ี มณรงคก์ ลุ ผู้ฟ้องคดี
ผ้ถู กู ฟอ้ งคดี
ผบู้ ญั ชาการตำ�รวจภูธร ภาค 1 ที่ 1
ระหว ่าง คณะกรรมการขา้ ราชการต�ำ รวจ ท่ี 2
นายกรฐั มนตรี ที่ 3


คดนี ผี้ ้ฟู ้องคดีฟอ้ งว่าขณะท่ีผฟู้ อ้ งคดีเป็นข้าราชการตำ�รวจดำ�รงต�ำ แหนง่ ผู้บังคับหมูง่ านธรุ การสถานี
ต�ำ รวจภธู รอ�ำ เภอพระประแดงจงั หวดั สมทุ รปราการไดร้ บั มอบหมายใหเ้ ปน็ ผทู้ �ำ หนา้ ทค่ี วบคมุ ดแู ลและควบคมุ
การเบกิ จา่ ยเงินไปใช้ในราชการตลอดจนรายงานการซ่อมแซมยานพาหนะในกรณยี านพาหนะช�ำ รุด ซ่งึ เมื่อ
วันที่ 20 ตุลาคม 2540 ผู้ฟ้องคดีได้ตรวจสอบสภาพรถยนต์จิ๊ป ทะเบียนโล่ 00114 พบว่ารถยนต์คัน
ดงั กลา่ วช�ำ รดุ ทรดุ โทรมมาก จงึ รายงานใหผ้ บู้ งั คบั บญั ชาทราบ ตอ่ มา ไดม้ คี ำ�สง่ั แตง่ ตง้ั คณะกรรมการตรวจสภาพ

อัยการนเิ ทศ 163

รถยนต์คันดังกล่าว โดยคณะกรรมการได้ร่วมกับนายช่างซ่อมยานพาหนะท�ำ การตรวจสภาพรายการที่ช�ำ รุด
จงึ ทราบวา่ รถยนตจ์ ป๊ิ ทะเบยี นโล่ 00114 เปน็ รถยนตท์ ไ่ี ดร้ บั ความชว่ ยเหลอื จากตา่ งประเทศช�ำ รดุ เสอ่ื มสภาพการ
ใชง้ าน ไมม่ เี ครอ่ื งอะไหลจ่ �ำ หนา่ ย ไมส่ ามารถท�ำ การซอ่ มแซมไดห้ รอื ซอ่ มแลว้ ไมค่ มุ้ คา่ จงึ เหน็ สมควรขายทอด
ตลาดและจ�ำ หนา่ ยออกจากบญั ชคี มุ สง่ิ ของหลวงเพอ่ื ขอรบั รถยนตใ์ หมม่ าทดแทนตอ่ ไป ระหวา่ งทรี่ อคำ�สง่ั จาก
ผบู้ งั คบั การต�ำ รวจภธู รจงั หวดั สมทุ รปราการอยนู่ นั้ นาย ช. ซง่ึ เปน็ อาสาสมคั รต�ำ รวจหมบู่ า้ นของสถานตี �ำ รวจ
ภธู รอ�ำ เภอพระประแดง มาสอบถามเรอ่ื งรถยนตค์ นั ดงั กลา่ วกบั ผฟู้ อ้ งคดวี า่ จะมกี ารเปดิ ประมลู ขายทอดตลาด
เมื่อใด จะมาสู้ราคาและขอให้แจ้งให้ทราบด้วย ระหว่างน้ันเทศบาลเมืองพระประแดงประสงค์จะใช้สถานท่ี
บริเวณทจ่ี อดรถยนตจ์ ป๊ิ ให้ผู้ฟอ้ งคดีหาสถานท่จี อดใหมเ่ พือ่ มิให้เกิดความเสยี หาย ประกอบกบั สถานีต�ำ รวจ
ภูธรอำ�เภอพระประแดงไม่มีสถานท่ีจอดรถท่ีเก็บรักษาไว้รอการประมูลขายทอดตลาดเพราะก�ำ ลังปรับปรุง
สถานท่กี อ่ สร้างอาคารใหม่ เมื่อนาย ช. ไดม้ าพบผ้ฟู อ้ งคดีและสอบถามเร่อื งวันเวลาทจี่ ะประมูลขายรถยนต์
จ๊ปิ คันดงั กลา่ วอกี ครง้ั จึงไดแ้ จง้ ใหท้ ราบว่าค�ำ ส่งั ให้ประมูลขายทอดตลาดยงั ไม่อนมุ ตั ิ และก�ำ ลงั หาสถานท่ี
เก็บรักษารถ นาย ช. จึงเสนอให้นำ�รถยนต์จิ๊ปคันดังกล่าวไปเก็บรักษาไว้ที่อู่ บ. ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ผฟู้ อ้ งคดจี งึ ใหช้ า่ งทอี่ ู่ บ. ลากรถยนตจ์ ป๊ิ ไปเกบ็ รกั ษาไวท้ อี่ ู่ ซงึ่ ไดไ้ ปถา่ ยภาพประกอบการจ�ำ หนา่ ยตามระเบยี บ
ของทางราชการไวแ้ ลว้ โดยไดร้ ายงานใหผ้ ูบ้ ังคับบญั ชาทราบดว้ ยวาจา และนำ�ผูบ้ งั คับบญั ชาไปตรวจสอบท่ี
อู่ บ. ดว้ ย ตอ่ มาเมอ่ื ผฟู้ อ้ งคดไี ปตรวจสอบพบวา่ รถยนตจ์ ป๊ิ ไดถ้ กู ซอ่ มสปี ะผุ จงึ ไดส้ อบถามชา่ งทอี่ ู่ บ. ไดค้ วาม
ว่า นาย ช. ส่ังใหท้ ำ� ผฟู้ อ้ งคดจี งึ สง่ั ระงับการซอ่ มให้คงไว้เชน่ เดิม ซ่ึงทางอู่ บ. แจ้งว่าเสยี คา่ ใช้จา่ ยไป 7,000
บาท ผู้ฟ้องคดีจงึ ให้นาย ช. จ่ายเงินเอง เพราะรถคนั ดงั กลา่ วยังไมไ่ ด้ท�ำ การประมลู ขายทอดตลาด เม่อื มีสถานท่ี
วา่ งแลว้ จงึ ไดล้ ากรถยนตจ์ ปิ๊ คนั ดงั กลา่ วมาเกบ็ รกั ษาไวเ้ พอ่ื รอการประมลู ตามระเบยี บของทางราชการ ระหวา่ ง
น้นั ได้มกี ารร้องเรียนวา่ ผู้ฟ้องคดไี ม่สามารถสง่ มอบรถยนต์กระบะ ยี่หอ้ โตโยตา้ ทะเบยี นโล่ 20434 ใหแ้ ก่
นางสาว จ. ซ่งึ ประมูลจากการขายทอดตลาดได้ เนอ่ื งจากเมือ่ นางสาว จ. ประมลู รถยนตก์ ระบะคนั ดงั กลา่ ว
ได้ แตเ่ มอ่ื เหน็ สภาพของรถยนตก์ ระบะในภายหลงั จงึ เปลยี่ นใจไมย่ อมรบั รถแตข่ อใหผ้ ฟู้ อ้ งคดรี บั ผดิ ชอบชดใช้
เงนิ คนื ให้ ซึง่ ผฟู้ อ้ งคดกี ด็ �ำ เนินการใหม้ ีการชดใชเ้ งินคืนเปน็ เงนิ 15,000 บาทจนเปน็ ทพี่ อใจแล้ว และเม่อื มี
การอนุมัติให้เปิดประมูลขายทอดตลาดรถยนต์จิ๊ป ทะเบียนโล่ 00114 จึงได้ทำ�การประมูลขายทอดตลาด
ตามระเบยี บของทางราชการทกุ ประการ โดยผปู้ ระมลู ไดช้ �ำ ระเงนิ แกผ่ บู้ งั คบั การต�ำ รวจภธู รจงั หวดั สมทุ รปราการ
เปน็ เงินจ�ำ นวน 39,000 บาท และได้สง่ เงินเข้ากองการเงนิ โครงการ กรมวเิ ทศสหการ สำ�นักนายกรัฐมนตรี
จึงเห็นได้ว่าทางราชการตำ�รวจมิได้รับความเสียหายจากการที่รถยนต์จิ๊ปได้ถูกลากไปเก็บรักษาไว้ที่อู่ บ. แต่
อยา่ งใด และก็ไดร้ บั การเสนอราคาท่สี ูงกวา่ ปกติ ส่วนกรณีทีไ่ ดม้ ีการแต่งต้งั คณะกรรมการสอบสวนทางวนิ ยั
ผฟู้ อ้ งคดี นนั้ คณะกรรมการสอบสวนเหน็ วา่ การกระท�ำ ของผฟู้ อ้ งคดยี งั ไมเ่ ปน็ ความผดิ ตอ่ หนา้ ทร่ี าชการ แต่
เมอื่ ผฟู้ อ้ งคดยี อมรบั วา่ รถยนตช์ �ำ รดุ เสยี หายเพราะความประมาทเลนิ เลอ่ ของผฟู้ อ้ งคดี เหน็ ควรลงทณั ฑก์ กั ขงั
มกี �ำ หนด 7 วนั ตอ่ มาผบู้ งั คบั การต�ำ รวจภธู รจงั หวดั สมทุ รปราการไดม้ คี �ำ สงั่ ท่ี 25/2542 ลงวนั ท่ี 3 มนี าคม
2542 ลงทณั ฑก์ กั ขงั ผฟู้ ้องคดมี กี ำ�หนด 30 วนั และกรณีทถี่ กู กลา่ วหาวา่ กระทำ�ผดิ วนิ ยั อยา่ งรา้ ยแรง ยงั รบั
ฟงั ไม่ได้ว่าผู้ฟ้องคดกี ระทำ�ผิด จึงไดส้ งั่ ระงบั เรื่องที่ถูกกล่าวหาหลังจากที่ได้รับการลงทัณฑ์กักขังแล้ว

164 ค�ำ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสุด

ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้รายงานต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ซ่ึงอนุกรรมการคณะกรรมการข้าราชการตำ�รวจเกี่ยวกับ
การดำ�เนินการทางวินัย ทำ�การแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 พิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีปฏิบัติหรือละเว้นการ
ปฏิบัตหิ น้าท่ีราชการโดยมชิ อบ เพ่ือใหต้ นเองหรือผู้อืน่ ไดป้ ระโยชนท์ ่ีมิควรไดเ้ ปน็ การทุจริตต่อหน้าทร่ี าชการ
จงึ เสนอผ้ถู กู ฟ้องคดที ี่ 2 ส่ังการใหผ้ ถู้ ูกฟอ้ งคดีท่ี 1 เพิม่ โทษเป็นไล่ผูฟ้ อ้ งคดีออกจากทางราชการ ผู้ถูกฟ้อง
คดที ี่ 2 พจิ ารณาแลว้ มมี ตเิ หน็ ชอบตามเสนอ ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี 1 จงึ มคี ำ�สง่ั ที่ 499/2544 ลงวนั ที่ 12 ธนั วาคม
2544 ให้เพิม่ โทษผู้ฟอ้ งคดีจากลงทณั ฑก์ กั ขงั มกี ำ�หนด 30 วนั เป็นลงโทษไลอ่ อกจากราชการ และได้แจง้
ค�ำ สงั่ ใหผ้ ฟู้ อ้ งคดที ราบเมอ่ื วนั ที่ 28 ธนั วาคม 2544 โดยทผ่ี ู้ฟ้องคดีเห็นว่า ค�ำ สั่งที่เพิ่มโทษแก่ผู้ฟ้องคดีเป็น
ลงโทษไล่ออกจากราชการเป็นคำ�สั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จงึ อทุ ธรณค์ �ำ สงั่ ตอ่ ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ี่ 2 ซงึ่ อนกุ รรมการ
คณะกรรมการขา้ ราชการตำ�รวจเกยี่ วกบั อทุ ธรณแ์ ละรอ้ งทกุ ขท์ ำ�การแทนผถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี 2 พจิ ารณาแลว้ มมี ติ
ว่า ผู้ฟ้องคดีกระท�ำ ผิดตามท่ีถูกกล่าวหา คำ�ส่ังลงโทษไล่ออกจากราชการเหมาะสมแล้ว ให้ยกอุทธรณ์ แล้ว
รายงานผถู้ กู ฟอ้ งคดที ี่ 3 ซง่ึ ตอ่ มาผถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี 2 มคี �ำ วนิ จิ ฉยั ยกอทุ ธรณแ์ ละไดแ้ จง้ ใหผ้ ฟู้ อ้ งคดที ราบ จงึ ฟอ้ ง
คดีน้ีต่อศาล
ขอใหศ้ าลมคี �ำ พพิ ากษาหรอื สง่ั เพกิ ถอนค�ำ สง่ั ของผถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี 1 ตามค�ำ สง่ั ท่ี 499/2544 ลงวนั ท่ี
12 ธันวาคม 2544 ทใ่ี ห้เพม่ิ โทษผ้ฟู ้องคดีจากลงทณั ฑ์กักขงั มีกำ�หนด 30 วนั เป็นลงโทษไลผ่ ู้ฟ้องคดีออก
จากราชการ และให้ผู้ฟ้องคดีเข้ารับราชการตามขั้นและยศเดิม และมีผลตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2544
เปน็ ตน้ มา
ผู้ถกู ฟอ้ งคดที งั้ สามใหก้ ารขอใหย้ กฟอ้ ง
ศาลปกครองชั้นต้นพจิ ารณาแล้ว พพิ ากษายกฟ้อง
ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์ขอให้ศาลปกครองสูงสุดพิพากษากลับคำ�พิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นและ
พิพากษาตามค�ำ ขอท้ายฟอ้ งของผู้ฟ้องคดี
ศาลปกครองสูงสุดพิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาท่ีจะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีว่าผู้ฟ้องคดี
กระท�ำ ความผดิ ในกรณที สี่ อง ทผ่ี ฟู้ อ้ งคดถี กู กลา่ วหาวา่ นำ�รถยนตจ์ ปิ๊ ทะเบยี นโล่ 00114 ไปขายใหแ้ กน่ าย
ช. ในราคา 7,000 บาท ในขณะทเ่ี รอื่ งอยรู่ ะหวา่ งรอคำ�สงั่ อนมุ ตั จิ ำ�หนา่ ยและขายทอดตลาดจากผวู้ า่ ราชการ
จงั หวดั สมุทรปราการ เปน็ การกระท�ำ ฐานทจุ ริตตอ่ หน้าท่รี าชการอันเป็นความผดิ วนิ ยั อยา่ งร้ายแรง ตามที่
ถูกกล่าวหาหรอื ไม่
เมือ่ พเิ คราะหพ์ ระราชบัญญัติระเบยี บข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 82 วรรคสาม แล้ว
เหน็ วา่ บทบญั ญตั มิ าตรา 82 วรรคสาม แหง่ พระราชบญั ญตั ดิ งั กลา่ วไดก้ ำ�หนดการกระทำ�ทจ่ี ะถอื วา่ เปน็ การ
กระท�ำ ผดิ วนิ ยั อยา่ งรา้ ยแรง ฐานทจุ รติ ตอ่ หนา้ ทรี่ าชการนน้ั จะตอ้ งมอี งคป์ ระกอบทสี่ �ำ คญั 4 ประการ คอื (1)
มหี นา้ ทรี่ าชการทตี่ อ้ งปฏบิ ตั ริ าชการ (2) ไดป้ ฏบิ ตั หิ นา้ ทรี่ าชการโดยมชิ อบหรอื ละเวน้ การปฏบิ ตั หิ นา้ ทรี่ าชการ
โดยมิชอบ ซึ่งคำ�ว่า “โดยมิชอบ” หมายความว่า ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบทางราชการ คำ�สั่งของ
ผบู้ งั คบั บญั ชาฯ (3) เพอ่ื ใหต้ นเองหรอื ผอู้ น่ื ไดป้ ระโยชนท์ ม่ี คิ วรได้ ซง่ึ ค�ำ วา่ “ประโยชน”์ หมายถงึ สง่ิ ทไ่ี ดร้ บั อนั
เปน็ คณุ แกผ่ ไู้ ดร้ บั ซง่ึ อาจเปน็ ทรพั ยส์ นิ หรอื ประโยชนอ์ ยา่ งอน่ื ทม่ี ใิ ชท่ รพั ยส์ นิ กไ็ ด้ และค�ำ วา่ “มคิ วรได”้ หมาย

อยั การนิเทศ 165

ถงึ ไม่มีสิทธโิ ดยชอบธรรมทีจ่ ะไดร้ ับประโยชน์ใด ๆ ตอบแทนจากการปฏิบัตหิ นา้ ทน่ี ั้นและ (4) โดยมเี จตนา
ทจุ รติ ซง่ึ คำ�วา่ “ทจุ รติ ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (1) หมายความวา่ เพอ่ื แสวงหาประโยชนท์ ม่ี ิ
ควรไดโ้ ดยชอบดว้ ยกฎหมายสำ�หรบั ตนเองหรอื ผอู้ น่ื และการพจิ ารณาวา่ การกระทำ�ผดิ เปน็ การทจุ รติ ตอ่ หนา้ ท่ี
ราชการหรือไม่น้ัน จะต้องพิจารณาลงไปถึงเจตนาของผู้กระทำ�ด้วยว่า มีเจตนาทุจริตหรือมีจิตอันชั่วร้ายใน
การปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าท่ีราชการโดยมุ่งท่ีจะให้ตนเองหรือผู้อ่ืนได้รับประโยชน์ท่ี
มิควรได้ดังนั้น กรณที จี่ ะเปน็ ผู้กระทำ�ผิดฐานทุจรติ ตอ่ หนา้ ท่ีราชการ ตามมาตรา 82 วรรคสาม จะต้องมีการ
กระท�ำ ทเ่ี ขา้ ลกั ษณะตามองคป์ ระกอบทง้ั 4 ประการดงั กลา่ วขา้ งตน้ เมอ่ื ขอ้ เทจ็ จรงิ ในคดนี ร้ี บั ฟงั ไดว้ า่ ในขณะ
ที่ผู้ฟอ้ งคดีด�ำ รงตำ�แหนง่ ผู้บงั คับหมู่ งานธรุ การ สถานตี ำ�รวจภูธรอ�ำ เภอพระประแดง ได้รบั มอบหมายจาก
ผบู้ งั คบั บญั ชาใหเ้ ปน็ ผทู้ �ำ หนา้ ทคี่ วบคมุ ดแู ล และควบคมุ การเบกิ จา่ ยเงนิ ไปใชใ้ นราชการตลอดจนการซอ่ มแซม
ยานพาหนะในกรณียานพาหนะชำ�รดุ รวมถึงการด�ำ เนินการเกยี่ วกบั การขายทอดตลาด และจำ�หน่ายรถยนต์
ออกจากบัญชีคุมสิ่งของหลวง ของสถานีตำ�รวจภูธรอำ�เภอพระประแดง เมื่อผู้ฟ้องคดีตรวจพบรถยนต์จิ๊ป
ทะเบยี นโล่ 00114 ของสถานตี �ำ รวจภธู รอำ�เภอพระประแดงใชก้ ารไม่ได้ อยใู่ นสภาพทจ่ี ะทำ�การขายทอด
ตลาดได้ จึงรายงานต่อผู้บังคับบัญชา เพื่อดำ�เนินการตามข้ันตอนของการจำ�หน่ายต่อไป ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผู้
มหี นา้ ท่รี าชการทตี่ ้องปฏิบัตเิ ก่ียวกับการขายทอดตลาดรถยนต์ของทางราชการคนั ดงั กลา่ ว แม้จะยงั มิได้เปน็
ผู้ทำ�หน้าที่ในการเปิดประมูลการขายทอดตลาดโดยตรง ซ่ึงเป็นอีกข้ันตอนหน่ึงต่างหาก แต่ก็ถือว่าผู้ฟ้องคดี
เปน็ ผมู้ หี นา้ ทร่ี าชการในการดแู ลเกยี่ วกบั การจ�ำ หนา่ ยรถยนตข์ องสถานตี �ำ รวจภธู รอ�ำ เภอพระประแดงจนกวา่
จะมกี ารจ�ำ หนา่ ยรถยนตค์ นั ดงั กลา่ วออกจากบญั ชคี มุ สงิ่ ของหลวง ซง่ึ ในระหวา่ งทก่ี ำ�ลงั ด�ำ เนนิ การขออนญุ าต
เพ่ือขายทอดตลาดรถยนตจ์ ิป๊ คนั ดงั กลา่ วตามขั้นตอนของระเบยี บว่าดว้ ยการพสั ดอุ ย่นู น้ั ปรากฏว่า นาย ช.
มคี วามประสงคท์ จ่ี ะไดร้ ถยนตจ์ ป๊ิ ไวใ้ ชง้ าน จงึ ไดต้ ดิ ตอ่ ขอทราบขอ้ มลู กบั ผฟู้ อ้ งคดี ผฟู้ อ้ งคดจี งึ ไดแ้ จง้ ขอ้ เทจ็ จรงิ
ให้ทราบว่า รถยนต์จิ๊ปคันที่นาย ช. ต้องการ กำ�ลังอยู่ในขั้นตอนการขออนุมัติประมูลขายทอดตลาด และ
โดยทีน่ าย ช. ได้แสดงความประสงค์จะเขา้ ประมูลซอ้ื รถยนตจ์ ๊ปิ คันดงั กลา่ วในการขายทอดตลาดมาเป็นของ
ตน แมจ้ ะอย่รู ะหวา่ งการขออนุมัตเิ พ่ือขายทอดตลาดก็ตาม แต่เนื่องจากรถยนต์ดงั กลา่ วอยใู่ นสภาพทใี่ ชง้ าน
ไมไ่ ด้ นาย ช. จงึ ตอ้ งการและเสนอแกผ่ ฟู้ อ้ งคดที จี่ ะใหน้ �ำ รถไปเขา้ อซู่ อ่ มไวก้ อ่ น โดยยนิ ยอมจา่ ยคา่ ซอ่ มรถยนต์
ดังกลา่ วดว้ ยเงินของตนเอง ผฟู้ ้องคดีเหน็ ว่าไม่น่าจะเกิดความเสยี หายแกร่ าชการ จงึ ไดย้ นิ ยอมให้นำ�รถยนต์
จิ๊ปคันท่จี ะขายทอดตลาดไปซอ่ มทีอ่ ู่ บ. และต่อมาภายหลงั ได้รับเงินจำ�นวน 7,000 บาท จากนาย ช. เป็น
คา่ ซอ่ มรถยนต์ โดยนาย ล. เจา้ ของอไู่ ดร้ บั รถยนตแ์ ละเงนิ คา่ ซอ่ มจ�ำ นวนดงั กลา่ ว ขณะก�ำ ลงั ท�ำ การซอ่ มรถยนต์
คันดังกล่าวอยู่น้ัน ผู้ก�ำ กับการสถานีต�ำ รวจภูธรอ�ำ เภอพระประแดงเห็นว่า รถยนต์จ๊ิป ทะเบียนโล่ 00114
ซง่ึ อยรู่ ะหวา่ งการอนมุ ตั ใิ หข้ ายทอดตลาดหายไปจากสถานทจ่ี อดรถ จงึ ไดต้ ดิ ตามสอบถามและทราบวา่ ผฟู้ อ้ งคดี
น�ำ ไปซอ่ มที่อู่ บ. จงึ สั่งให้ผฟู้ ้องคดีและนาย ช. ไปน�ำ กลับมา เพ่อื รอการขายทอดตลาดต่อไป กรณจี ึงเห็น
ไดว้ า่ ผฟู้ อ้ งคดไี ดร้ อู้ ยแู่ ลว้ วา่ รถยนตจ์ ปิ๊ ทะเบยี นโล่ 00114 ซงึ่ อยใู่ นการดแู ลรกั ษาของตน และอยรู่ ะหวา่ ง
การอนมุ ตั ขิ ายทอดตลาดจากผู้บังคับบญั ชาและตนเองมีหน้าท่ใี นการดำ�เนินการต้งั แต่ขั้นตอนการรายงานให้
ผบู้ ังคบั บญั ชาทราบ จนมกี ารแตง่ ต้ังคณะกรรมการตรวจสภาพ และเสนอขออนุมตั ิขายทอดตลาด แต่ได้

166 คำ�พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุด

ยินยอมและดำ�เนินการให้นำ�รถยนต์คันที่ขออนุมัติขายทอดตลาดไปอยู่ที่อู่ซ่อม เพ่ือทำ�การซ่อมตามความ
ต้องการของนาย ช. ซึ่งเปน็ ผู้ที่มีความประสงค์จะเข้าซอ้ื รถยนต์คนั นจ้ี ากการขายทอดตลาด จากการกระท�ำ
และพฤติการณ์ของผู้ฟอ้ งคดีดงั กล่าว ถือได้ว่า ผฟู้ อ้ งคดไี ดป้ ฏิบตั ิหนา้ ทร่ี าชการไปโดยไมถ่ ูกตอ้ งตามระเบยี บ
สำ�นกั นายกรฐั มนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 ที่ก�ำ หนดเกี่ยวกบั การขายทอดตลาดวา่ จะต้องได้รบั การ
อนมุ ตั ใิ หข้ ายทอดตลาดและเปดิ ประมลู ขายทอดตลาดโดยชอบแลว้ สว่ นการกระทำ�ดงั กลา่ วของผฟู้ อ้ งคดี จะ
เป็นผลให้ผู้ฟอ้ งคดีหรือนาย ช. ไดป้ ระโยชน์ที่มคิ วรไดห้ รอื ไม่ นั้น เหน็ ว่า ข้อเท็จจริงรับกันวา่ ผู้ฟ้องคดไี ดร้ ับ
เงนิ จ�ำ นวน 7,000 บาท จากนาย ช. และถกู น�ำ ไปใชจ้ า่ ยเปน็ คา่ ซอ่ มรถคนั พพิ าทจรงิ ซง่ึ นาย ล. เจา้ ของอซู่ อ่ ม
รถยนต์ได้ให้ถ้อยคำ�แก่คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยว่าได้รับเงินดังกล่าวไปจริง นอกจากเงินดังกล่าวไม่
ปรากฏวา่ ผูฟ้ อ้ งคดีไดร้ ับเงินหรือประโยชน์อื่นใดจากนาย ช. ผู้ฟ้องคดีจงึ ไม่ได้เป็นผู้ได้รับประโยชนจ์ ากการก
ระทำ�ดงั กล่าว สว่ นนาย ช. น้นั แมจ้ ะเสยี เงนิ จำ�นวน 7,000 บาท เพ่อื จา่ ยเปน็ คา่ ซ่อมรถยนตจ์ ๊ปิ คนั พิพาท
ไปแลว้ ยังได้ซอื้ อะไหลม่ าซ่อมแซมอีกเปน็ จ�ำ นวนเงนิ 20,000 บาท ก็เปน็ เพยี งความมุ่งหมายของนาย ช.
วา่ เมือ่ เขา้ รว่ มประมูลการขายทอดตลาดรถยนตค์ ันดงั กลา่ วจะชนะการประมูลได้เปน็ ของตน แมก้ ารกระทำ�
ดงั กลา่ วของนาย ช. อาจดเู สมอื นเปน็ เจา้ ของรถยนตค์ นั พพิ าท แตน่ าย ช. กย็ งั ไมอ่ าจอา้ งการเปน็ เจา้ ของหรอื
ผมู้ กี รรมสทิ ธไ์ิ ด้ เพราะเหตทุ ผี่ ฟู้ อ้ งคดมี ใิ ชเ่ ปน็ ผมู้ กี รรมสทิ ธใ์ิ นรถยนตค์ นั พพิ าท และนาย ช. ยงั ตอ้ งเขา้ ประมลู
ในการขายทอดตลาดรถยนต์คันน้ี โดยเข้าสู้ราคากับผูป้ ระมลู คนอ่ืนซงึ่ อาจมรี าคาสงู ข้นึ กวา่ การขายในสภาพ
เดิม และเงินในส่วนน้ีนาย ช. ก็ไม่ได้ใช้สิทธิเรียกร้องเอาคืนจากผู้ฟ้องคดี หรือจากสถานีต�ำ รวจภูธรอำ�เภอ
พระประแดง จงึ ถือไดว้ ่า นาย ช. ได้ยอมตนเขา้ รับภาระทีต่ นไม่จำ�ต้องรบั โดยรูอ้ ย่วู า่ ตนเองยังไมม่ กี รรมสทิ ธิ์
ในรถยนตค์ นั พพิ าท ซงึ่ บคุ คลในภาวะวสิ ยั ทว่ั ไปรวมถงึ นาย ช. ยอ่ มทราบดี เพราะยงั มขี นั้ ตอนการประมลู ขาย
ทอดตลาด และผฟู้ อ้ งคดกี ม็ ใิ ชเ่ จา้ หนา้ ทรี่ บั ผดิ ชอบในการขายทอดตลาดทจี่ ะมอี �ำ นาจหรอื สามารถเออ้ื ประโยชน์
ให้แก่นาย ช. ไดโ้ ดยตรง นาย ช. จงึ ยงั ไมไ่ ดร้ บั ประโยชนอ์ นั ใดที่เกิดจากการกระทำ�ของผฟู้ ้องคดี การกระท�ำ
ของผู้ฟ้องคดียังไม่อาจถือได้ว่าเป็นการกระท�ำ ท่ีเป็นผลให้ตนเองหรือนาย ช. ได้ประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใด
กรณจี งึ ยงั ฟงั ไมไ่ ดว้ า่ ผฟู้ อ้ งคดแี ละนาย ช. ไดต้ กลงซอื้ ขายรถยนตจ์ ป๊ิ ทะเบยี นโล่ 00114 คนั พพิ าทแลว้ การ
กระทำ�ของผู้ฟ้องคดีจึงยังไม่ครบองค์ประกอบของการกระทำ�ที่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยไม่ชอบที่
จะถือว่าเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ อันเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง และเม่ือฟังไม่ได้ว่าผู้ฟ้องคดี
กระท�ำ การทเี่ ปน็ การทจุ รติ ตอ่ หนา้ ทร่ี าชการตามมาตรา 82 วรรคสาม แหง่ พระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บขา้ ราชการ
พลเรือน พ.ศ. 2535 จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตาม มาตรา 98 วรรคสอง แห่ง
พระราชบญั ญตั เิ ดยี วกนั การทผี่ ฟู้ อ้ งคดอี ทุ ธรณว์ า่ ผฟู้ อ้ งคดมี ไิ ดม้ เี จตนาขายรถยนตข์ องทางราชการคนั พพิ าท
ใหแ้ ก่นาย ช. และมิได้มีการกระท�ำ ทเี่ ปน็ ความผดิ ฐานทุจริตต่อหน้าทร่ี าชการ นั้น จึงฟังขนึ้
พพิ ากษากลบั เปน็ เพกิ ถอนค�ำ สง่ั ของผถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี 1 ที่ 499/2544 ลงวนั ที่ 12 ธนั วาคม 2544
ท่ลี งโทษไล่ผู้ฟ้องคดอี อกจากราชการ และคำ�สั่งของผู้ถูกฟอ้ งคดีที่ 2 ทย่ี กอุทธรณ์ ของผฟู้ ้องคดี ทงั้ น้ี ตัง้ แต่
วนั ทมี่ ีคำ�ส่ังดังกลา่ ว

อัยการนเิ ทศ 167

คำ�สั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ค. 4/๒๕๕4
พ.ร.บ. อนญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545 (มาตรา 20 วรรคสอง, 22)


ตามมาตรา 20 วรรคสอง แหง่ พระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545 บญั ญตั วิ า่ ถา้ การ
คดั คา้ นโดยวธิ ตี ามทค่ี พู่ พิ าทตกลงกนั หรอื ตามวธิ ที บ่ี ญั ญตั ไิ วใ้ นวรรคหนง่ึ ไมบ่ รรลผุ ล คพู่ พิ าทฝา่ ยทคี่ ดั คา้ น
อาจยน่ื ค�ำ รอ้ งคดั คา้ นตอ่ ศาลทม่ี เี ขตอ�ำ นาจ และเมอ่ื ศาล ไตส่ วนค�ำ คดั คา้ นนน้ั แลว้ ใหม้ คี �ำ สงั่ ยอมรบั หรอื
ยกเสยี ซง่ึ ค�ำ คดั คา้ นนนั้ .... จากบทบญั ญตั ดิ งั กลา่ ว จะเหน็ ไดว้ า่ ในการพจิ ารณาคำ�รอ้ งคดั คา้ นอนญุ าโตตลุ าการ
และการก�ำ หนดค�ำ บงั คบั ของศาลนน้ั ศาลมอี �ำ นาจแตเ่ พยี งพจิ ารณาถงึ ความเปน็ กลางและความเปน็ อสิ ระ
ของอนุญาโตตลุ าการผถู้ กู คัดค้านและมีคำ�สงั่ ยอมรับหรอื ยกเสยี ซ่งึ ค�ำ คดั คา้ นอนญุ าโตตุลาการของผ้รู ้อง
เทา่ นน้ั โดยหากศาลมีคำ�สัง่ ยอมรับค�ำ คดั คา้ นอนุญาโตตุลาการของผรู้ ้องแล้ว การเปน็ อนญุ าโตตุลาการ
ของผู้ถูกคัดค้านก็สิ้นสุดลงโดยผลของกฎหมายตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งเมื่อ
พระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545 ไมไ่ ดใ้ หอ้ ำ�นาจศาลในการเพกิ ถอนคำ�สงั่ ยกค�ำ รอ้ งคดั คา้ น
อนญุ าโตตลุ าการของคณะอนญุ าโตตลุ าการไดแ้ ละคณะอนญุ าโตตลุ าการมใิ ชห่ นว่ ยงานทางปกครองหรอื
เจ้าหน้าท่ขี องรฐั และการด�ำ เนินการของคณะอนุญาโตตลุ าการมิได้เปน็ การใชอ้ ำ�นาจทางปกครอง การท่ี
ศาลปกครองจะเขา้ ไปตรวจสอบและก�ำ หนดค�ำ บงั คบั จงึ ตอ้ งเปน็ ไปตามทพ่ี ระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ
พ.ศ. 2545 บัญญัติให้อำ�นาจไว้ ศาลปกครองจึงไม่อาจพิจารณากำ�หนดคำ�บังคับให้เพิกถอนคำ�ส่ังยก
ค�ำ ร้องคัดค้านอนุญาโตตุลาการของคณะอนญุ าโตตุลาการได้

บริษทั ทรู คอร์ปอเรช่นั จำ�กดั (มหาชน) ผู้รอ้ ง


ระหวา่ ง

บริษัท ทีโอที จำ�กัด (มหาชน) ผู้คดั คา้ น

คดนี ผี้ รู้ อ้ งยน่ื ค�ำ รอ้ ง ขอใหศ้ าลปกครองชนั้ ตน้ มคี ำ�สงั่ เพกิ ถอนคำ�วนิ จิ ฉยั ของคณะอนญุ าโตตลุ าการท่ี
ยกค�ำ คดั คา้ นของผรู้ อ้ งและมคี �ำ สง่ั ยอมรบั ค�ำ คดั คา้ นของผรู้ อ้ งโดยหา้ มมใิ หน้ าย ป.ปฏบิ ตั หิ นา้ ทอี่ นญุ าโตตลุ าการ
ในขอ้ พพิ าทหมายเลขด�ำ ท่ี 63/2548
ศาลปกครองชั้นตน้ พิจารณาแล้วมคี ำ�สงั่ ยกค�ำ รอ้ งคดั ค้านอนุญาโตตุลาการของผ้รู อ้ ง
ผรู้ อ้ งยน่ื ค�ำ รอ้ งอทุ ธรณ์ ขอใหศ้ าลปกครองสงู สดุ มคี ำ�สง่ั กลบั ค�ำ สงั่ ของศาลปกครองชนั้ ตน้ โดยมคี �ำ สง่ั

168 คำ�พิพากษาศาลปกครองสูงสดุ

เพิกถอนคำ�สั่งยกคำ�ร้องคัดค้านอนุญาโตตุลาการของคณะอนุญาโตตุลาการ และมีค�ำ สั่งยอมรับคำ�คัดค้าน
อนุญาโตตลุ าการของผ้รู ้อง
ศาลปกครองสงู สดุ พเิ คราะหแ์ ลว้ เหน็ วา่ ตามมาตรา 20 วรรคสอง แหง่ พระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ
พ.ศ. 2545 บัญญัติว่า ถ้าการคัดค้านโดยวิธีตามท่ีคู่พิพาทตกลงกัน หรือตามวิธีท่ีบัญญัติไว้ในวรรคหน่ึงไม่
บรรลุผล คู่พิพาทฝ่ายท่ีคัดค้านอาจยื่นค�ำ ร้องคัดค้านต่อศาลที่มีเขตอ�ำ นาจและเม่ือศาลไต่สวนค�ำ คัดค้านนั้น
แลว้ ใหม้ คี �ำ สงั่ ยอมรบั หรอื ยกเสยี ซงึ่ ค�ำ คดั คา้ นนนั้ .... จากบทบญั ญตั ดิ งั กลา่ วจะเหน็ ไดว้ า่ ในการพจิ ารณาค�ำ รอ้ ง
คัดค้านอนุญาโตตุลาการ และการกำ�หนดคำ�บังคับของศาลนั้น ศาลมีอำ�นาจแต่เพียงพิจารณาถึงความเป็น
กลางและความเป็นอิสระของอนุญาโตตุลาการผู้ถูกคัดค้านและมีคำ�ส่ังยอมรับหรือยกเสียซ่ึงคำ�คัดค้าน
อนุญาโตตลุ าการของผรู้ อ้ งเท่าน้นั โดยหากศาลมคี �ำ สั่งยอมรบั คำ�คดั ค้านอนญุ าโตตุลาการของผู้รอ้ งแล้ว การ
เปน็ อนญุ าโตตุลาการของผูถ้ ูกคัดคา้ นก็ส้นิ สุดลงโดยผลของกฎหมาย ตามมาตรา 22 แหง่ พระราชบญั ญตั ิ
ดังกล่าว ซ่ึงเม่ือพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 ไม่ได้ให้อ�ำ นาจศาลในการเพิกถอนค�ำ สั่งยก
คำ�ร้องคัดค้านอนุญาโตตุลาการของคณะอนุญาโตตุลาการได้ และคณะอนุญาโตตุลาการมิใช่หน่วยงานทาง
ปกครองหรอื เจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั และการด�ำ เนนิ การของคณะอนญุ าโตตลุ าการมไิ ดเ้ ปน็ การใชอ้ �ำ นาจทางปกครอง
การทศี่ าลปกครองจะเขา้ ไปตรวจสอบและกำ�หนดค�ำ บงั คบั จงึ ตอ้ งเปน็ ไปตามทพี่ ระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ
พ.ศ. 2545 บัญญตั ใิ หอ้ ำ�นาจไว้ ศาลปกครองจึงไมอ่ าจพจิ ารณาก�ำ หนดค�ำ บังคับให้เพกิ ถอนค�ำ สั่งยกค�ำ รอ้ ง
คัดคา้ นอนุญาโตตลุ าการของคณะอนญุ าโตตุลาการได้
จึงมีคำ�สั่งกลับคำ�สั่งของศาลปกครองชั้นต้น และมีคำ�สั่งยอมรับซึ่งคำ�คัดค้านอนุญาโตตุลาการของ
ผู้รอ้ ง ค�ำ ขออน่ื นอกจากนีใ้ หย้ ก

อยั การนเิ ทศ 169

คำ�พิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ ฟ. 33/2553

พ.ร.บ.จัดตง้ั ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดปี กครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ (มาตรา ๓)


เม่ือประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมเรื่องกำ�หนดเขตพื้นที่และมาตรการ
คุ้มครองสิ่งแวดล้อม เป็นกฎท่ีจำ�กัดเสรีภาพในการประกอบกิจการอุตสาหกรรมของผู้ฟ้องคดีดังนั้นกฎ
ดงั กลา่ วจะชอบดว้ ยรฐั ธรรมนญู กต็ อ่ เมอื่ เปน็ ไปตามเงอ่ื นไขดงั ตอ่ ไปน้ี (1) กฎดงั กลา่ วออกโดยอาศยั อ�ำ นาจ
ตามบทบญั ญตั ิแห่งกฎหมายเฉพาะเพือ่ การทร่ี ฐั ธรรมนูญกำ�หนดไว้ (2) กฎดงั กล่าวจ�ำ กัดเสรภี าพในการ
ประกอบกจิ การอตุ สาหกรรมของผฟู้ อ้ งคดที งั้ ยส่ี บิ คนและบคุ คลอน่ื ทปี่ ระกอบอาชพี นใี้ นทอ้ งทที่ กี่ ฎดงั กลา่ ว
ใชบ้ งั คบั เพยี งเทา่ ทจ่ี �ำ เปน็ และ (3) กฎดงั กลา่ วไมก่ ระทบกระเทอื นสาระส�ำ คญั แหง่ เสรภี าพในการประกอบ
อาชพี ดังกลา่ วของผูฟ้ ้องคดีและของบคุ คลอืน่
ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อมฯ ข้อ 4 (1) และขอ้ 11 เปน็ มาตรการท่ี
สามารถบรรลผุ ลในการฟนื้ ฟทู รพั ยากรธรรมชาตไิ ดม้ ากกวา่ มาตรการอน่ื เพราะหากปลอ่ ยใหข้ ยายโรงงาน
หรอื เพมิ่ ก�ำ ลงั การผลติ แมจ้ ะเปน็ พน้ื ทที่ ไ่ี ดร้ บั อนญุ าตไวเ้ ดมิ กจ็ ะทำ�ใหป้ ญั หาสภาพสง่ิ แวดลอ้ มเสอื่ มโทรม
มีความรุนแรงมากขึ้นและยากแก่การแก้ไขภายหลัง ดังน้ัน แม้ว่ามาตรการดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อ
เสรภี าพในการประกอบอาชพี กจิ การโรงงานอตุ สาหกรรมของผฟู้ อ้ งคดใี นทอ้ งทดี่ งั กลา่ วอยบู่ า้ ง แตก่ ถ็ อื ได้
ว่าเป็นมาตรการที่จ�ำ เป็นต้องด�ำ เนินการเพื่อให้บรรลุผลในการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ การที่ผู้ฟ้องคดี
ไมอ่ าจขยายโรงงานหรอื เพมิ่ ก�ำ ลงั การผลติ อาจท�ำ ใหก้ ระทบตอ่ รายได้ แตก่ เ็ ปน็ เพยี งระยะเวลา 5 ปี โดย
ผู้ถูกฟ้องคดีมิได้ตัดสิทธิผู้ฟ้องคดีที่จะยื่นค�ำ ขอต่ออายุใบอนุญาตหรือยื่นค�ำ ขออนุญาตใหม่ในพ้ืนท่ีเดิม
ภายในระยะเวลาทตี่ อ้ งหา้ มดังกลา่ วแต่อยา่ งใด
แมว้ า่ มาตรา 3 ของรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย(ฉบบั ชว่ั คราว) พทุ ธศกั ราช 2549 ประกอบ
มาตรา 46 มาตรา 56 และมาตรา 59 ของรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2540จะบญั ญตั ิ
ใหบ้ คุ คลมสี ว่ นรว่ มในการแสดงความคดิ เหน็ ในโครงการของรฐั ทอ่ี าจมผี ลกระทบตอ่ สง่ิ แวดลอ้ ม วฒั นธรรม
อาชีพ ทรัพยากรธรรมชาติ ท้ังนี้ ตามท่ีกฎหมายบัญญัติก็ตาม แต่ที่ขณะออกประกาศกระทรวง
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมฯยังไม่มีการตรากฎหมายตามความในมาตราดังกล่าวมาบังคับใช้
จะมกี แ็ ตเ่ พยี งระเบยี บสำ�นกั นายกรฐั มนตรี วา่ ดว้ ยการรบั ฟงั ความคดิ เหน็ ของประชาชน พ.ศ. 2548 ใช้
บังคับเท่านั้น โดยข้อ 5 วรรคหนึ่งของระเบียบส�ำ นักนายกรัฐมนตรีฉบับดังกล่าว กำ�หนดว่าก่อนเริ่ม
ดำ�เนินการโครงการของรัฐ หน่วยงานของรัฐที่เป็นผู้รับผิดชอบโครงการต้องจัดให้มีการเผยแพร่ข้อมูล
ตามขอ้ 7 ใหป้ ระชาชนทราบ และจะรบั ฟงั ความคดิ เหน็ ของประชาชนโดยวธิ ใี ดวธิ หี นง่ึ หรอื หลายวธิ ตี าม
ขอ้ 9 ดว้ ยกไ็ ด้ วรรคสองก�ำ หนดวา่ หนว่ ยงานของรฐั ทเ่ี ปน็ ผรู้ บั ผดิ ชอบโครงการของรฐั ทมี่ ผี ลกระทบอยา่ ง
รุนแรงตอ่ ประชาชนเป็นสว่ นรวม ตอ้ งจดั ใหม้ กี ารรับฟังความคิดเห็นของประชาชนโดยวธิ ใี ดวิธหี น่งึ หรือ
หลายวิธีตามข้อ 9 ก่อนเริ่มดำ�เนินการ เม่ือข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ก่อนการประกาศใช้ประกาศกระทรวง

170 คำ�พิพากษาศาลปกครองสงู สดุ

ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ มฯ ผถู้ กู ฟอ้ งคดไี ดจ้ ดั ใหม้ กี ารประชมุ ส�ำ รวจพน้ื ที่ วจิ ยั และรบั ฟงั ความ
คดิ เหน็ จากหนว่ ยราชการทเ่ี กย่ี วขอ้ ง องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ภาคเอกชน ตวั แทนจากกลมุ่ สาขาอาชพี
ตา่ ง ๆ ในพนื้ ทดี่ งั กลา่ วแลว้ อกี ทง้ั ยงั ไดส้ ง่ รา่ งประกาศกระทรวงทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ มฯให้
หนว่ ยราชการและองคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถ่นิ พิจารณาใหค้ วามเหน็ รวมท้ังสน้ิ 49 หนว่ ยงาน กรณจี ึง
ถือได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้ท่ีเกี่ยวข้องแลว้ ตามสมควร กอ่ นทจ่ี ะมกี าร
ประกาศใชป้ ระกาศกระทรวงทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ มฯ แลว้ ดงั นน้ั ขอ้ 4 (1) และขอ้ 11 ของ
ประกาศกระทรวงทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ ม เรอ่ื ง ก�ำ หนดเขตพน้ื ทแ่ี ละมาตรการคมุ้ ครองสง่ิ แวดลอ้ ม
ในทอ้ งทอ่ี �ำ เภอครุ ะบรุ ี อ�ำ เภอตะกว่ั ปา่ อ�ำ เภอทา้ ยเหมอื ง อ�ำ เภอทบั ปดุ อ�ำ เภอเมอื งพงั งา อ�ำ เภอตะกว่ั ทงุ่
และอ�ำ เภอเกาะยาว จงั หวดั พงั งา ลงวนั ท่ี 15 มนี าคม 2550 จงึ เปน็ กฎทช่ี อบดว้ ยกฎหมาย

บริษัท ฉลองคอนกรีต 1999 จ�ำ กัด กบั พวกรวม 22 คน ผฟู้ อ้ งคดี

ระหวา่ ง ผ้ถู ูกฟ้องคดี


กระทรวงทรพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ้ ม

คดนี ผ้ี ฟู้ อ้ งคดที งั้ ยสี่ บิ สองคนฟอ้ งและแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ คำ�ฟอ้ งวา่ ผฟู้ อ้ งคดที ง้ั ยส่ี บิ สองคนเปน็ ผปู้ ระกอบ
กิจการโรงงานอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ ในพนื้ ทจ่ี งั หวัดพังงา ได้รบั ความเดือนรอ้ นหรือเสยี หายจากการ
ทผ่ี ถู้ กู ฟอ้ งคดอี อกประกาศกระทรวงทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม เรอ่ื ง ก�ำ หนดเขตพนื้ ทแ่ี ละมาตรการ
คมุ้ ครองส่ิงแวดล้อมในทอ้ งท่อี ำ�เภอคุระบรุ ี อ�ำ เภอตะกว่ั ปา่ อ�ำ เภอท้ายเหมือง อ�ำ เภอทบั ปุด อ�ำ เภอเมอื ง
พังงา อำ�เภอตะกั่วทุ่งและอำ�เภอเกาะยาว จังหวัดพังงา ลงวันที่ 15 มีนาคม 2550 โดยประกาศใน
ราชกจิ จานเุ บกษาเมอ่ื วนั ท่ี 26 มนี าคม 2550 ซง่ึ ขอ้ 4 (1) ก�ำ หนดวา่ หา้ มกอ่ สรา้ ง ดดั แปลง หรอื เปลย่ี นการ
ใชอ้ าคารโรงงาน เวน้ แต่โรงงานประเภทซัก อบ รดี โรงงานท�ำ นํา้ แขง็ โรงงานทำ�นาํ้ ดม่ื และโรงงานท�ำ นํา้ ให้
บริสทุ ธิ์ ทใี่ ช้เครอ่ื งจักรไม่เกนิ 200 แรงมา้ และมีพ้นื ท่อี าคารรวม ไม่เกนิ 300 ตารางเมตร ในพื้นทีท่ ีไ่ ด้มี
การก�ำ หนดใหเ้ ปน็ เขตอนรุ กั ษแ์ ละเขตควบคมุ อาคารของจงั หวดั พงั งาตามแผนทท่ี า้ ยประกาศกระทรวงดงั กลา่ ว
และข้อ 11 กำ�หนดว่า มิให้กระทำ�หรือประกอบกิจกรรมหรือกิจการใดเพ่ิมขึ้นหรือนอกเหนือจากท่ีได้รับ
อนญุ าตไว้แลว้ ผ้ฟู อ้ งคดที ัง้ ยี่สิบสองคนเห็นวา่ ผู้ฟอ้ งคดที ั้งยส่ี บิ สองคนประกอบกจิ การโรงงานอตุ สาหกรรม
ตอ่ เนอื่ งจากผลติ ผลทางการเกษตรไมไ่ ดเ้ ปน็ อตุ สาหกรรมหนกั และโดยธรรมชาตขิ องการประกอบกจิ การ เมอ่ื
มีผลส�ำ เรจ็ ของการประกอบการ ก็มักจะมีการขยายการประกอบกิจการโรงงาน ผู้ฟ้องคดีทั้งยี่สิบสองคน
ก็เช่นกันถ้าประสบความส�ำ เรจ็ กจ็ ะตอ้ งขยายก�ำ ลงั การผลติ เพอื่ ใหไ้ ดผ้ ลผลติ เพม่ิ ขนึ้ ซงึ่ นอกจากจะเปน็ ประโยชน์
ต่อผู้ฟ้องคดีท้ังย่ีสิบสองคนแล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อประเทศในด้านการสร้างงานการเพิ่มรายได้ประชาชาติ

อัยการนเิ ทศ 171

พัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขนั กบั ต่างประเทศ ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ ม
ดังกล่าวจึงลิดรอนสิทธิในการประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งผู้ฟ้องคดีทั้งย่ีสิบสองคนได้รับอนุญาต
ใหป้ ระกอบกจิ การโรงงานอตุ สาหกรรมตามพน้ื ทที่ ขี่ ออนญุ าตไว้ โดยในขณะทไ่ี ดร้ บั อนญุ าตมไิ ดม้ กี ารประกาศ
กำ�หนดเขตพนื้ ทจ่ี ากภาครัฐแต่อยา่ งใด อีกทัง้ ผถู้ ูกฟ้องคดีก็มไิ ด้จดั ใหม้ กี ารรบั ฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบ
การทว่ั ไปรวมทั้งผู้ฟ้องคดีทั้งยี่สิบสองคนซึ่งเป็นผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้องกับประกาศดังกล่าว นอกจากนั้น
ยังเป็นการจำ�กัดสิทธกิ ารประกอบกจิ การในบางสาขาอาชพี อย่างไมเ่ ป็นธรรม
ขอใหศ้ าลปกครองสงู สดุ มคี ำ�พพิ ากษาหรอื ค�ำ สงั่ ใหผ้ ถู้ กู ฟอ้ งคดแี กไ้ ขประกาศกระทรวงทรพั ยากรธรรมชาติ
และสง่ิ แวดลอ้ มเรอ่ื งก�ำ หนดเขตพน้ื ทแ่ี ละมาตรการคมุ้ ครองสงิ่ แวดลอ้ ม ในทอ้ งที่ อ�ำ เภอครุ ะบรุ ี อ�ำ เภอตะกวั่ ปา่
อ�ำ เภอทา้ ยเหมอื ง อำ�เภอทบั ปดุ อำ�เภอเมอื งพงั งา อำ�เภอตะกว่ั ทงุ่ และอำ�เภอเกาะยาว จงั หวดั พงั งา ลงวนั ที่
15 มีนาคม 2550 เพื่อให้เหมาะสมและเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายโดยให้แก้ไขเพ่ิมเติมข้อ 11 วรรคหนึ่งและ
วรรคสาม เพอ่ื ใหผ้ ทู้ ไ่ี ดร้ บั อนญุ าตใหป้ ระกอบกจิ การอยกู่ อ่ นวนั ทป่ี ระกาศดงั กลา่ วใชบ้ งั คบั กระท�ำ หรอื ประกอบ
กิจกรรมหรือกจิ การใดเพม่ี ขึ้นหรอื นอกเหนอื จากทไี่ ด้รับอนญุ าตไวแ้ ลว้ ตามพื้นทที่ ีไ่ ดร้ บั อนญุ าตไว้เดิมได้
ผู้ฟ้องคดีทั้งยี่สิบสองคนมีคำ�ขอทุเลาการบังคับตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง
แวดลอ้ มฯ ไวก้ อ่ นจนกวา่ ศาลจะมคี �ำ พพิ ากษาถงึ ทส่ี ดุ โดยขอใหผ้ ฟู้ อ้ งคดที ง้ั ยส่ี บิ สองคนสามารถกอ่ สรา้ งตอ่ เตมิ
ขยายกำ�ลงั การผลิตในพ้ืนท่ที ่ผี ู้ฟ้องคดที ั้งยส่ี บิ สองคนได้รับอนญุ าตไวแ้ ล้ว ต่อมาศาลปกครองสงู สุดมคี ำ�ส่ังให้
จ�ำ หนา่ ยคดขี องผฟู้ อ้ งคดที ี่ 1 และผฟู้ อ้ งคดที ี่ 13 ออกจากสารบบความ เนอื่ งจากศาลปกครองสงู สดุ มคี �ำ สง่ั
ใหผ้ ฟู้ อ้ งคดที ง้ั สองจดั สง่ เอกสารทแ่ี สดงวา่ เปน็ นติ บิ คุ คลทช่ี อบดว้ ยกฎหมายทม่ี สี ทิ ธฟิ อ้ งคดตี อ่ ศาลแตผ่ ฟู้ อ้ งคดี
ทงั้ สองไม่ดำ�เนินการตามค�ำ สง่ั ศาลดังกล่าว และไมแ่ จ้งเหตขุ ัดขอ้ งให้ทราบ ท้งั นี้ ตามมาตรา 62 วรรคหนง่ึ
แหง่ พระราชบญั ญตั จิ ดั ตง้ั ศาลปกครองและวธิ พี จิ ารณาคดปี กครอง พ.ศ. 2542 นอกจากน้ี ศาลปกครองสงู สดุ
ไดม้ คี �ำ สง่ั ยกค�ำ ขอของผฟู้ อ้ งคดที ง้ั ยส่ี บิ สองคน เนอ่ื งจากค�ำ ขอทเุ ลาการบงั คบั ตามประกาศฯ ของผฟู้ อ้ งคดที ง้ั
ยส่ี บิ สองคนดงั กลา่ วไมเ่ ขา้ เงอ่ื นไขตามขอ้ 72 วรรคสาม แหง่ ระเบยี บของทป่ี ระชมุ ใหญต่ ลุ าการในศาลปกครองสงู สดุ
วา่ ด้วยวิธพี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543 ด้วย
ผ้ถู กู ฟอ้ งคดีใหก้ าร ขอใหศ้ าลปกครองสงู สุดพิพากษายกฟอ้ ง
ศาลปกครองสงู สดุ พจิ ารณาแลว้ คดมี ปี ระเดน็ ทจี่ ะตอ้ งวนิ จิ ฉยั วา่ ขอ้ 4 (1) และขอ้ 11 ของประกาศ
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำ�หนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมใน
ทอ้ งทอี่ �ำ เภอครุ ะบรุ ี อำ�เภอตะกว่ั ปา่ อำ�เภอทา้ ยเหมอื ง อำ�เภอทบั ปดุ อำ�เภอเมอื งพงั งา อำ�เภอตะกว่ั ทงุ่ และ
อำ�เภอเกาะยาว จังหวัดพงั งา ลงวนั ที่ 15 มนี าคม 2550 เปน็ กฎหมายทช่ี อบดว้ ยกฎหมายหรือไม่
ประเด็นย่อยที่หนึ่ง ข้อ 4 (1) และข้อ 11 ของประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง
แวดล้อมฯ เป็นกฎที่จำ�กัดเสรีภาพในการประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรมของผู้ฟ้องคดีทั้งยี่สิบคนโดย
มิชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

172 คำ�พพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ

พิเคราะห์แลว้ เห็นวา่ มาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย (ฉบับชวั่ คราว) พทุ ธศักราช
2549 ซ่ึงใชบ้ งั คับอยใู่ นขณะมกี ารประกาศกระทรวงทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ มฯ บญั ญตั วิ า่ ภายใต้
บังคบั บทบัญญตั แิ หง่ รัฐธรรมนญู นี้ ศกั ดศิ์ รคี วามเปน็ มนุษย์ สทิ ธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค บรรดาทีช่ น
ชาวไทยเคยได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา
กษตั รยิ ท์ รงเปน็ ประมขุ และตามพนั ธกรณรี ะหวา่ งประเทศทปี่ ระเทศไทยมอี ยแู่ ลว้ ยอ่ มไดร้ บั การคมุ้ ครองตาม
รฐั ธรรมนูญน้ี จากบทบัญญัตดิ งั กล่าว จะเหน็ ได้วา่ ศักด์ิศรีความเป็นมนษุ ย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอ
ภาค ซง่ึ เปน็ สทิ ธขิ น้ั พน้ื ฐานทเี่ คยไดร้ บั การคมุ้ ครองตามประเพณกี ารปกครองประเทศในระบอบประชาธปิ ไตย
ยังคงได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ดังน้ัน สิทธิข้ันพื้นฐานที่เก่ียวกับการประกอบกิจการหรือ
การประกอบอาชีพทไี่ ด้ถกู บญั ญตั ไิ วใ้ นรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทยฉบบั ตา่ ง ๆ ที่ผา่ นมา อาทิ มาตรา
48 วรรคหนึ่ง ของรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช 2534 บญั ญตั วิ า่ สทิ ธขิ องบคุ คลในการ
ประกอบกิจการหรอื อาชพี และการแข่งขนั โดยเสรีอยา่ งเป็นธรรม ยอ่ มไดร้ บั ความคมุ้ ครอง วรรคสองบัญญัติ
วา่ การจ�ำ กดั สทิ ธติ ามวรรคหนง่ึ จะกระท�ำ ไดก้ แ็ ตโ่ ดยบทบญั ญตั แิ หง่ กฎหมาย เพอื่ ประโยชนใ์ นการรกั ษาความ
มน่ั คงปลอดภยั ของรฐั หรอื เศรษฐกจิ ของประเทศ การคมุ้ ครองประชาชนในดา้ นสาธารณปู โภคการรกั ษาความ
สงบเรยี บรอ้ ยและศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน การจดั ระเบยี บการประกอบอาชพี การคมุ้ ครองผบู้ รโิ ภค การ
ผังเมือง การรกั ษาทรพั ยากรธรรมชาติหรอื สง่ิ แวดล้อม สวสั ดิภาพของประชาชนหรือเพือ่ ป้องกันการผกู ขาด
หรือการขจดั ความไม่เปน็ ธรรมในการแขง่ ขนั มาตรา 29 วรรคหนง่ึ ของรฐั ธรรมณญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย
พุทธศกั ราช 2540 บัญญัติว่าการจำ�กัดสิทธิและเสรภี าพของบุคคทีร่ ัฐธรรมนูญรองรับไว้จะกระท�ำ มิได้ เว้น
แต่โดยอาศัยอำ�นาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะเพื่อการท่ีรัฐธรรมนูญน้ีก�ำ หนดไว้และเท่าที่จำ�เป็น
เท่าน้ันและจะกระทบกระเทือนสาระส�ำ คัญแห่งสิทธิและเสรีภาพน้ันมิได้ และมาตรา 50 วรรคหนึ่งของ
รฐั ธรรมนญู ฉบบั เดยี วกนั บญั ญตั วิ า่ บคุ คลยอ่ มมเี สรภี าพในการประกอบกจิ การหรอื ประกอบอาชพี และการ
แขง่ ขนั โดยเสรอี ยา่ งเปน็ ธรรม และวรรคสอง บญั ญตั วิ า่ การจ�ำ กดั เสรภี าพตามวรรคหนงึ่ จะกระท�ำ มไิ ด้ เวน้
แตโ่ ดยอาศัยอ�ำ นาจตามบญั ญัติแห่งกฎหมายเฉพาะเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของรัฐหรือ
เศรษฐกิจของประเทศการคุ้มครองประชาชนในด้านสาธารณูปโภค การรักษาความสงบเรียบร้อยหรือ
ศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน การจดั ระเบยี บการประกอบอาชพี การคมุ้ ครองผบู้ รโิ ภค การผงั เมอื ง การรกั ษา
ทรพั ยากรธรรมชาติหรือส่ิงแวดลอ้ ม สวสั ดภิ าพของประชาชน หรอื เพ่ือป้องกนั การผกู ขาด หรอื ขจัดความ
ไมเ่ ป็นธรรมในการแขง่ ขัน จงึ เห็นไดว้ า่ ท่ีผ่านมา รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทยท้ังสองฉบับได้บญั ญตั ิ
รบั รองสทิ ธแิ ละเสรภี าพของบคุ คลในการตดั สนิ ใจกระท�ำ การหรอื งดเวน้ กระท�ำ การอยา่ งใด ๆ โดยองคก์ รของ
รฐั จะกระท�ำ การใด ๆ ใหก้ ระทบกระเทอื นตอ่ สารตั ถะของสทิ ธเิ สรภี าพของประชาชนไมไ่ ด้ เวน้ แตจ่ ะมกี ฎหมาย
ใหอ้ �ำ นาจไว้ ดงั นน้ั ประกาศกระทรวงทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ มดงั กลา่ ว ซง่ึ เปน็ กฎทจ่ี �ำ กดั เสรภี าพ
ในการประกอบกิจการอุตสาหกรรมของผู้ฟ้องคดีท้ังยี่สิบคน จะชอบด้วยรัฐธรรมนูญก็ต่อเม่ือเป็นไปตาม
เงอ่ื นไขดงั ตอ่ ไปน้ี (1) กฎดงั กลา่ วออกโดยอาศยั อ�ำ นาจตามบทบญั ญตั แิ หง่ กฎหมายเฉพาะเพอ่ื การทรี่ ฐั ธรรมนญู
ก�ำ หนดไว้ (2) กฎดงั กลา่ วจำ�กดั เสรภี าพในการประกอบกจิ การอตุ สาหกรรมของผฟู้ อ้ งคดที ง้ั ยสี่ บิ คนและบคุ คล

อัยการนเิ ทศ 173

อนื่ ทป่ี ระกอบอาชพี ในทอ้ งทที่ กี่ ฎดงั กลา่ วใชบ้ งั คบั เพยี งเทา่ ทจี่ �ำ เปน็ และ (3) กฎดงั กลา่ วไมก่ ระทบกระเทอื น
สาระสำ�คัญแห่งเสรภี าพในการประกอบอาชพี ดังกล่าวของผ้ฟู อ้ งคดีท้งั ย่สี ิบคนของบุคคลอื่น
กรณีจึงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่า ข้อ 4 (1) และข้อ 11 ของประกาศกระทรวง
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมฯ เป็นการจ�ำ กัดเสรีภาพของผู้ฟ้องคดีทั้งยี่สิบคนที่เป็นไปตามเงื่อนไข
ทั้งสามประการดังกล่าวหรือไม่
เงื่อนไขประการแรกข้อ 4 (1) และข้อ 11 ของประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง
แวดล้อมฯ ออกโดยอาศยั อ�ำ นาจตามบทบญั ญัติแห่งกฎหมายเฉพาะเพ่อื การที่รฐั ธรรมนูญกำ�หนดไว้ หรือไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า มาตรา 45 วรรคหน่ึง แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพส่ิง
แวดลอ้ มแหง่ ชาติ พ.ศ. 2535 บญั ญตั วิ า่ ในพน้ื ทใ่ี ดทไี่ ดม้ กี ารก�ำ หนดใหเ้ ปน็ เขตอนรุ กั ษเ์ ขตผงั เมอื งรวม เขต
ผังเมืองเฉพาะ เขตควบคุมอาคาร เขตนิคมอตุ สาหกรรม ตามกฎหมายว่าด้วยการน้ันหรือเขตควบคุมมลพิษ
ตามพระราชบญั ญัติน้ไี ว้แล้ว แตป่ รากฏว่ามสี ภาพปญั หาคุณภาพสง่ิ แวดล้อมรนุ แรงเข้าขน้ั วิกฤตซง่ึ จำ�เป็นจะ
ตอ้ งไดร้ บั การแก้ไขโดยทันที และส่วนราชการทีเ่ กี่ยวขอ้ งไมม่ อี ำ�นาจตามกฎหมายหรอื ไม่สามารถทจี่ ะทำ�การ
แกไ้ ขปญั หาได้ ใหร้ ฐั มนตรโี ดยความเหน็ ชอบของคณะกรรมการสงิ่ แวดลอ้ มแหง่ ชาตเิ สนอตอ่ คณะรฐั มนตรขี อ
อนมุ ตั เิ ขา้ ด�ำ เนนิ การ เพอ่ื ใชม้ าตรการคมุ้ ครองอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ หรอื หลายอยา่ งตามมาตรา 44 ตามความจ�ำ เปน็
และเหมาะสม เพื่อควบคุมและแก้ไขปัญหาในพ้ืนที่น้ันได้ วรรคสอง บัญญัติว่าเม่ือได้รับอนุมัติจากคณะ
รัฐมนตรีตามวรรคหน่ึงแล้ว ให้รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษาก�ำ หนดเขตพื้นที่รายละเอียดเก่ียวกับ
มาตรการคมุ้ ครองและกำ�หนดระยะเวลาทจ่ี ะใชม้ าตรการคมุ้ ครองดงั กลา่ วในพน้ื ทน่ี นั้ ทง้ั นี้ มาตรา 44 แหง่
พระราชบัญญัติดงั กล่าว ได้กำ�หนดมาตรการคุม้ ครองไว้ ดงั ต่อไปนี้ (1) กำ�หนดการใชป้ ระโยชน์ในที่ดนิ เพอื่
การรักษาสภาพธรรมชาตหิ รือมิใหก้ ระทบกระเทือนตอ่ ระบบนิเวศนต์ ามธรรมชาตหิ รือคุณคา่ ของสง่ิ แวดล้อม
ศลิ ปกรรม (2) หา้ มการกระท�ำ หรอื กจิ กรรมใด ๆ ทอ่ี าจเปน็ อนั ตรายหรอื กอ่ ใหเ้ กดิ ผลกระทบในทางเปลยี่ นแปลง
ระบบนิเวศน์ของพ้ืนที่น้ันจากลักษณะตามธรรมชาติหรือเกิดผลกระทบต่อคุณค่าของส่ิงแวดล้อมศิลปกรรม
ฯลฯ เม่ือข้อเท็จจริงปรากฏว่า เจตนารมณ์ในการออกกฎดังกล่าว สืบเนื่องมาจากบริเวณพื้นที่ตามแนว
ชายฝงั่ ทะเลของจงั หวดั พงั งา อนั เปน็ ทตี่ งั้ ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ มของจงั หวดั พงั งาไดร้ บั ผลกระทบ
จากการขยายตวั ของชุมชนและการพฒั นาตา่ ง ๆ สภาพปัญหาคณุ ภาพส่ิงแวดล้อมรุนแรงเข้าข้ันวิกฤต โดย
ไมม่ ีการก�ำ หนดเขตพน้ื ทปี่ ระกอบการอตุ สาหกรรมเพอื่ รองรบั อุตสาหกรรมและป้องกนั ผลกระทบจากปัญหา
สง่ิ แวดลอ้ ม อกี ทง้ั กฎหมายวา่ ดว้ ยการควบคมุ อาคารและกฎหมายวา่ ดว้ ยโรงงานมไิ ดพ้ จิ ารณาถงึ ความเหมาะสม
และผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแต่อย่างใด นอกจากน้ีความพยายามในการฟื้นฟูและ
ปอ้ งกนั ภยั ธรรมชาตบิ างกรณกี ไ็ มถ่ กู ตอ้ งตามหลกั วชิ าการ ดงั นน้ั เพอื่ แกไ้ ขปญั หาคณุ ภาพสงิ่ แวดลอ้ มอยา่ ง
เรง่ ดว่ น ผถู้ กู ฟอ้ งคดจี งึ เหน็ ควรก�ำ หนดเขตพน้ื ทแ่ี ละมาตรการคมุ้ ครองสง่ิ แวดลอ้ มในบรเิ วณพน้ื ทอี่ ำ�เภอครุ ะบรุ ี
อ�ำ เภอตะกว่ั ปา่ อ�ำ เภอทา้ ยเหมอื ง อ�ำ เภอตะกว่ั ทงุ่ อ�ำ เภอเมอื งพงั งา อ�ำ เภอทบั ปดุ และอ�ำ เภอเกาะยาว จงั หวดั
พงั งา โดยกำ�หนดมาตรการคมุ้ ครองเปน็ เวลา 5 ปี นบั แตว่ นั ทปี่ ระกาศในราชกจิ จานเุ บกษา กรณจี งึ ถอื ไดว้ า่
ข้อ 4 (1) และข้อ 11 ของประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดล้อม ฯ ออกโดยอาศยั อำ�นาจ

174 คำ�พพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ

ตามบทบญั ญัตมิ าตรา 45 ประกอบมาตรา 44 (1) และ (2) แห่งพระราชบัญญตั ิส่งเสริมและรกั ษาคณุ ภาพ
สงิ่ แวดลอ้ ม พ.ศ. 2535 ซง่ึ เปน็ กฎหมายเฉพาะ เพอ่ื ประโยชนใ์ นการรกั ษาทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม
ใหม้ คี วามอดุ มสมบรู ณส์ ามารถใช้ประโยชนไ์ ด้ตลอดไป ตามทีร่ ัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทยกำ�หนดไว้
เงื่อนไขประการที่สอง ข้อ 4 (1) และข้อ 11 ของประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ
สงิ่ แวดล้อมฯ จำ�กัดเสรภี าพในการประกอบกิจการโรงงานของผปู้ ระกอบกจิ การโรงงานเท่าทจ่ี �ำ เปน็ หรือไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นว่าการออกประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ฯ สืบเนื่องมา
จากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้มอบหมายให้ส�ำ นักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีพิจารณาดำ�เนินการประกาศให้จังหวัดพังงาเป็นพื้นที่
คุ้มครองสิ่งแวดล้อม โดยสำ�นักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้มอบหมายให้
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ศึกษาข้อมูลในพื้นที่บริเวณชายฝั่งจังหวัดพังงา ซึ่งผลการศึกษาพบว่าในพื้นที่
ดังกล่าวคุณภาพสิ่งแวดล้อมเข้าขั้นวิกฤต กล่าวคือ (1) ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเสื่อมโทรม ได้แก่
(1.1) ป่าชายเลนบริเวณพื้นที่อำ�เภอคุระบุรีและอำ�เภอตะกั่วทุ่ง เสื่อมโทรมจากการลักลอบตัดไม้ การบุกรุก
พื้นที่และมลพิษที่ปล่อยลงสู่สาธารณะ (1.2) ปะการังบริเวณชายฝั่งเกาะพระทอง อ�ำ เภอคุระบุรี แหลม
กรังใหญ่ อำ�เภอตะกั่วป่า เขาหน้ายักษ์ อำ�เภอท้ายเหมือง และเกาะยาวน้อย อำ�เภอเกาะยาว เสื่อมโทรม
จากการท่องเที่ยว การทำ�ประมงผิดวิธี และเหตุการณ์ธรณีพิบัติ (1.3) หญ้าทะเลบริเวณบ้านทับละมุ
อำ�เภอท้ายเหมือง และชายฝั่งของเกาะยาว อ�ำ เภอเกาะยาว ถูกท�ำ ลายและเสื่อมโทรมจากเครื่องมือประมง
บางชนิด การสัญจรผ่านแหล่งหญ้าทะเล และกิจกรรมบางประเภทที่มีผลต่อหญ้าทะเล (1.4) ชายหาด
บริเวณบ้านนํ้าเค็ม บ้านบางสักเหนือ อ�ำ เภอตะกั่วป่าและชายฝั่งด้านใต้ของเกาะพระทอง อ�ำ เภอคุระบุรี
เกิดการกดั เซาะจากการเปลย่ี นแปลงของกระแสนา้ํ ตามธรรมชาติ การเสยี สมดลุ จากกจิ กรรมตา่ ง ๆ เชน่ การ
ขดุ ถม การก่อสร้างรุกลา้ํ เข้าไปในทะเล และเหตุการณ์ธรณีพิบัติ (2) การรบกวนแหล่งวางไข่ของสัตว์ทะเล
หายากบริเวณชายหาดเกาะพระทอง อำ�เภอคุระบุรี และชายหาดอำ�เภอท้ายเหมือง ด้วยสิ่งก่อสร้างและการ
เปลี่ยนแปลงสภาพชายหาดตลอดจนการท่องเที่ยว (3) มลพิษและสารตกค้างจากขบวนการผลิตและการ
บริโภคที่ปล่อยสู่สาธารณะ พื้นที่ดังกล่าวมีการขยายตัวด้านการท่องเที่ยวอย่างรวดเร็ว โดยขาดการคำ�นึง
ถึงความสมดุลกับศักยภาพและความพร้อมในการบริหารจัดการและ (4) การสูญเสียสมดุลของระบบนิเวศน์
จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น แต่ขาดการคำ�นึงถึงความสมดุลกับศักยภาพและความพร้อมในการ
บริหารจัดการ สำ�นักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยได้รับความเห็นชอบจาก
คณะอนุกรรมการพิจารณาการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมและคณะกรรมการสิ่ง
แวดล้อมแห่งชาติ จึงได้เสนอร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดังกล่าวต่อคณะ
รัฐมนตรีและได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2550 ผู้ถูกฟ้องคดีจึงได้ออกประกาศ
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำ�หนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมใน
ท้องที่อำ�เภอคุระบุรี อำ�เภอตะกั่วป่า อำ�เภอท้ายเหมือง อำ�เภอทับปุด อำ�เภอเมืองพังงา อำ�เภอตะกั่วทุ่ง
และอำ�เภอเกาะยาว จังหวัดพังงาลงวันที่ 15 มีนาคม 2550 โดยข้อ 4(1) กำ�หนดว่า ในพื้นที่ที่ได้มีการ

อยั การนิเทศ 175

กำ�หนดให้เป็นเขตอนุรักษ์และเขตควบคุมอาคาร ห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารใด ๆ
เป็นอาคารหรือประกอบกิจการ ดังนี้ โรงงานทุกประเภทหรือทุกชนิดตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน เว้นแต่
โรงงานประเภทซัก อบ รีด โรงงานทำ�นา้ํ แข็ง โรงงานทำ�นา้ํ ดื่ม และโรงงานทำ�นาํ้ ให้บริสุทธิ์ที่ใช้เครื่องจักรไม่
เกิน 200 แรงม้า และมีพื้นที่อาคารรวมไม่เกิน 300 ตารางเมตร โรงงานปรับคุณภาพของเสียรวมชุมชน
โรงงานเกีย่ วกบั ระบบสาธารณปู โภค และโรงงานทีจ่ ำ�เปน็ ตอ้ งกอ่ สรา้ งทดแทนของเดมิ เพือ่ ปรบั ปรงุ กระบวนการ
ผลิตของโรงงานให้ดีกว่าเดิมและไม่เข้าข่ายขยายโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน แต่การเพิ่มเครื่องจักร
เพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมให้กระทำ�ได้ ทั้งนี้ ให้ก่อสร้างได้เฉพาะในบริเวณพื้นที่เดิมเท่านั้น และ ข้อ 11
วรรคหนึ่ง กำ�หนดว่า การกระทำ�กิจกรรมหรือกิจการใดที่ต้องห้ามมิให้ดำ�เนินการตามข้อ 3 และข้อ 4
ที่ได้รับอนุญาตอยู่ก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ให้ด�ำ เนินการต่อไปได้จนกว่าจะสิ้นก�ำ หนดระยะเวลาที่ได้รับ
อนุญาต ทั้งนี้ มิให้กระทำ�หรือประกอบกิจกรรมหรือกิจการใดเพิ่มขึ้นหรือนอกเหนือจากที่ได้รับอนุญาต
ไว้แล้ว วรรคสอง กำ�หนดว่า ในกรณีที่ผู้ได้รับอนุญาตตามวรรคหนึ่งประสงค์จะด�ำ เนินการนั้นต่อไปภายหลัง
สิ้นระยะเวลาที่ได้รับอนุญาต ให้ยื่นคำ�ขอต่ออายุหรือยื่นคำ�ขออนุญาตใหม่ตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น แล้ว
แต่กรณี และวรรคสาม กำ�หนดว่า การอนุญาตตามวรรคสอง ให้อนุญาตตามพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตไว้เดิม
จากข้อกำ�หนดดังกล่าว จะเห็นได้ว่า เหตุที่ผู้ถูกฟ้องคดีก�ำ หนดมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมเนื่องจากเห็น
ว่าปัญหาคุณภาพสิ่งแวดล้อมและความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติชายฝั่งทะเลจังหวัดพังงาส่วนหนึ่ง
มาจากการขยายตัวของโรงงานอุตสาหกรรมจึงห้ามโรงงานทุกประเภทหรือทุกชนิดตามกฎหมายว่าด้วย
โรงงาน ก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารใด ๆ เป็นอาคารหรือประกอบกิจการ เว้นแต่โรงงานที่
เป็นไปเพื่อบริการชุมชนหรือมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ได้แก่ โรงงาน
ประเภทซัก อบ รีด โรงงานทำ�นา้ํ แข็ง โรงงานทำ�นา้ํ ดื่ม และโรงงานทำ�น้ําให้บริสุทธิ์ ที่ใช้เครื่องจักรไม่เกิน
200 แรงม้า และมีพื้นที่อาคารรวมไม่เกิน 300 ตารางเมตร โรงงานปรับคุณภาพของเสียรวมชุมชน โรงงาน
ที่เกี่ยวกับระบบสาธารณูปโภค และโรงงานที่จำ�เป็นต้องก่อสร้างทดแทนของเดิมเพื่อปรับปรุงกระบวนการ
ผลติ ของโรงงานใหด้ กี วา่ เดิมและไม่เข้าข่ายขยายโรงงานตามกฎหมายวา่ ดว้ ยโรงงาน แตก่ ารเพิ่มเติมเครื่องจักร
เพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมให้กระทำ�ได้โดยจำ�กัดให้ก่อสร้างได้เฉพาะในบริเวณพื้นที่เดิมเท่านั้น ส่วนการ
กำ�หนดขอบเขตการดำ�เนินการต่อไปของผู้ประกอบการกิจการอุตสาหกรรมที่ได้รับอนุญาตอยู่ก่อนวันที่
ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนี้ใช้บังคับก็สามารถด�ำ เนินการได้ต่อไปโดยการต่ออายุ
ใบอนุญาตหรือยื่นคำ�ขออนุญาตใหม่ตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ การอนุญาตดังกล่าวต้อง
เป็นการอนุญาตตามพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตไว้เดิม ดังนั้น มาตรการห้ามขยาย โรงงานหรือย้ายโรงงานที่มีผล
กระทบต่อสิ่งแวดล้อมรุนแรง จึงก�ำ หนดมาตรการควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการอุตสาหกรรมให้อยู่ใน
บริเวณเดิม ไมใ่ หม้ กี ารกอ่ มลพษิ เพิ่มมากขึน้ ทัง้ ยงั เปน็ การฟืน้ ฟสู ภาพความเสื่อมโทรมของทรพั ยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อมด้วย จึงเห็นได้ว่า ข้อ 4 (1) และข้อ 11 ของประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง
แวดล้อม ฯ เป็นมาตรการที่สามารถบรรลุผลในการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติได้มากกว่ามาตรการอื่น เพราะ
หากปล่อยให้ขยายโรงงานหรือเพิ่มกำ�ลังการผลิต แม้จะเป็นพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตไว้เดิม ก็จะทำ�ให้ปัญหา

176 ค�ำ พิพากษาศาลปกครองสูงสดุ

สภาพสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมมีความรุนแรงมากขึ้นและยากแก่การแก้ไขในภายหลัง ดังนั้น แม้ว่ามาตรการ
ดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพกิจการโรงงานอุตสาหกรรมของผู้ฟ้องคดีทั้งยี่สิบ
คนในท้องที่ดังกล่าวอยู่บ้าง แต่ก็ถือได้ว่าเป็นมาตรการที่จ�ำ เป็นต้องดำ�เนินการเพื่อให้บรรลุผลในการฟื้นฟู
ทรัพยากรธรรมชาติ การที่ผู้ฟ้องคดีทั้งยี่สิบคนไม่อาจขยายโรงงานหรือเพิ่มกำ�ลังการผลิตอาจทำ�ให้กระทบ
ต่อรายได้ แต่ก็เป็นเพียงระยะเวลา 5 ปี โดย ผู้ถูกฟ้องคดีมิได้ตัดสิทธิผู้ฟ้องคดีทั้งยี่สิบคนที่จะยื่นคำ�ขอต่อ
อายุใบอนุญาตหรือยื่นคำ�ขออนุญาตใหม่ในพื้นที่เดิมภายในระยะเวลาที่ต้องห้ามดังกล่าวแต่อย่างใด อีกทั้ง
ก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งยี่สิบคนมีแผนงานที่จะขยายโรงงานหรือเพิ่มก�ำ ลังการผลิตโรงงานที่ได้
รับอนุญาตให้ประกอบกิจการอยู่เดิมภายในก�ำ หนดระยะเวลา 5 ปี ที่ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อมฯ ใช้บังคับแต่อย่างใด กรณจี งึ เปน็ เพยี งการคาดคะเนของผฟู้ อ้ งคดที ง้ั ยส่ี บิ คนวา่ จะไดร้ บั ผล
กระทบจากการใชม้ าตรการดงั กลา่ ว ซง่ึ จะเหน็ ไดว้ า่ เมอ่ื น�ำ ผลประโยชนข์ องสว่ นรวมทจ่ี ะไดร้ บั จากการก�ำ หนด
มาตรการตา่ ง ๆ ของผู้ถูกฟ้องคดีเพื่อฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติให้อยู่ยั่งยืนตลอดไปมาเปรียบเทียบกับความ
เสียหายที่ผู้ฟ้องคดีทั้งยี่สิบคนได้รับหรือคาดคะเนว่าจะได้รับผลประโยชน์ของส่วนรวมย่อมมีมากกว่า
เงื่อนไขประการที่สาม ข้อ (4) และข้อ 11 ของประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง
แวดลอ้ มฯมีผลกระทบกระเทอื นสาระสำ�คญั แหง่ เสรภี าพในการประกอบกิจการโรงงานของผ้ปู ระกอบกิจการ
โรงงานหรอื ไม่
พเิ คราะห์แลว้ เห็นวา่ ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อมฯมิไดห้ า้ มมใิ หผ้ ฟู้ อ้ งคดี
ทั้งยี่สิบคนและบุคคลอ่ืนท่ีได้รับอนุญาตอยู่ก่อนวันที่ประกาศน้ีใช้บังคับ ด�ำ เนินการกิจการต่อไปกล่าวคือ
สามารถยนื่ ค�ำ ขอตอ่ อายใุ บอนญุ าตหรอื ยนื่ ค�ำ ขออนญุ าตใหมค่ งหา้ มแตก่ ารขยายหรอื เพมิ่ ก�ำ ลงั การผลติ ภายใน
5 ปี นบั แตว่ ันทป่ี ระกาศกระทรวงทรพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ้ มฯ ใช้บงั คบั จงึ มิใชก่ ารหา้ มโดยสิ้นเชิง
และตลอดไป กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่า กฎดังกล่าวกระทบกระเทือนสาระสำ�คัญแห่งเสรีภาพในการประกอบ
กจิ การโรงงานของผูฟ้ อ้ งคดีท้ังย่สี บิ คนและบคุ คลอนื่ ทป่ี ระกอบกจิ การโรงงาน
ประเด็นย่อยที่สอง ข้อ 4 (1) และข้อ 11 ของประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง
แวดล้อมฯ ไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากมิได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ฟ้องคดีทั้งยี่สิบคนและ
ผู้ประกอบกิจการโรงงานอื่นท่ีเกย่ี วข้องก่อนทจ่ี ะมีการออกประกาศ หรอื ไม่
พเิ คราะหแ์ ลว้ เหน็ วา่ แมว้ า่ มาตรา 3 ของรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย(ฉบบั ชว่ั คราว) พุทธศักราช
2549 ประกอบมาตรา 46 มาตรา 56 และมาตรา 59 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
2540 จะบัญญัติให้บุคคลมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นในโครงการของรัฐที่อาจมีผลกระทบต่อสิ่ง
แวดล้อม วัฒนธรรม อาชีพ ทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติก็ตาม แต่ขณะที่ออก
ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมฯยังไม่มีการตรากฎหมายตามความในมาตราดังกล่าว
มาบังคับใช้ จะมีก็แต่เพียงระเบียบสำ�นักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ.
2548 ใชบ้ งั คบั เทา่ นนั้ โดยขอ้ 5 วรรคหนง่ึ ของระเบยี บสำ�นกั นายกรฐั มนตรฉี บบั ดงั กลา่ ว กำ�หนดวา่ กอ่ น
เรมิ่ ด�ำ เนนิ การโครงการของรฐั หนว่ ยงานของรฐั ทเ่ี ปน็ ผรู้ บั ผดิ ชอบโครงการตอ้ งจดั ใหม้ กี ารเผยแพรข่ อ้ มลู ตาม

อยั การนิเทศ 177

ขอ้ 7 ให้ประชาชนทราบ และจะรบั ฟงั ความคดิ เหน็ ของประชาชนโดยวิธีใดวิธหี น่งึ หรือหลายวธิ ีตามขอ้ 9
ดว้ ยกไ็ ด้ วรรคสองกำ�หนดวา่ หนว่ ยงานของรฐั ทเ่ี ปน็ ผรู้ บั ผดิ ชอบโครงการของรฐั ทม่ี ผี ลกระทบอยา่ งรนุ แรงตอ่
ประชาชนเปน็ สว่ นรวม ตอ้ งจดั ใหม้ กี ารรบั ฟงั ความคดิ เหน็ ของประชาชนโดยวธิ ใี ดวธิ หี นง่ึ หรอื หลายวธิ ตี ามขอ้
9 กอ่ นเรม่ิ ด�ำ เนนิ การ เมอ่ื ขอ้ เทจ็ จรงิ ฟงั ไดว้ า่ กอ่ นการประกาศใชป้ ระกาศกระทรวงทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละ
สงิ่ แวดล้อมฯ ผถู้ กู ฟอ้ งคดีได้จัดให้มีการประชุมส�ำ รวจพนื้ ท่ีวิจยั และรับฟังความคดิ เห็นจากหน่วยราชการท่ี
เกี่ยวข้อง องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถ่ิน ภาคเอกชน ตัวแทนจากกลมุ่ สาขาอาชีพต่าง ๆ ในพืน้ ทีด่ ังกลา่ วแลว้
อกี ทง้ั ยงั ไดส้ ง่ รา่ งประกาศกระทรวงทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ มฯ ใหห้ นว่ ยงานราชการและองคก์ รปกครอง
ส่วนทอ้ งถ่นิ พิจารณาให้ความเหน็ รวมทงั้ สน้ิ 49 หน่วยงาน กรณีจงึ ถือได้ว่าผู้ถูกฟอ้ งคดีได้จดั ให้มกี ารรับฟงั
ความคดิ เหน็ ของผทู้ เ่ี กยี่ วขอ้ งแลว้ ตามสมควร กอ่ นทจ่ี ะมกี ารประกาศใชป้ ระกาศกระทรวงทรพั ยากรธรรมชาติ
และสงิ่ แวดลอ้ มฯ แลว้ ดงั นนั้ ขอ้ 4 (1) และขอ้ 11 ของประกาศกระทรวงทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม
เรื่อง กำ�หนดเขตพ้ืนท่ีและมาตรการคุ้มครองส่ิงแวดล้อมในท้องที่อ�ำ เภอคุระบุรี อำ�เภอตะก่ัวป่า อำ�เภอ
ทา้ ยเหมือง อำ�เภอทับปดุ อำ�เภอเมอื งพงั งา อำ�เภอตะก่วั ทงุ่ และอำ�เภอเกาะยาว จงั หวดั พงั งา ลงวันที่ 15
มนี าคม 2550 จงึ เป็นกฎท่ีชอบดว้ ยกฎหมาย
พิพากษายกฟ้อง

178 ค�ำ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุด

คำ�พิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 229/๒๕๕4
พ.ร.บ. ระเบยี บข้าราชการพลเรอื น พ.ศ. 2535 (มาตรา 42)
พ.ร.บ. ระเบียบบรหิ ารราชการแผ่นดนิ พ.ศ. ๒๕๓๔ (มาตรา 16 วรรคสาม)

ตำ�แหน่งรองปลัดส�ำ นักนายกรัฐมนตรจี ัดอยใู่ นตำ�แหน่งระดบั ๑๐ ประเภท (ข) ซงึ่ เปน็ ต�ำ แหน่ง
สำ�หรับผู้บริหารระดับสูงในฐานะรองหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง ส่วนต�ำ แหน่งผู้ตรวจราชการ
สำ�นกั นายกรัฐมนตรีหรอื ผู้ตรวจราชการกระทรวงจัดอยใู่ นต�ำ แหนง่ ระดับ ๑๐ ประเภท (จ) เป็นตำ�แหนง่
ส�ำ หรบั ผปู้ ฏบิ ตั งิ านซง่ึ มลี กั ษณะงานตรวจและแนะนำ�การปฏบิ ตั ริ าชการหรอื ลกั ษณะงานใหค้ ำ�ปรกึ ษาของ
สว่ นราชการระดบั กระทรวง... แมจ้ ะเปน็ ต�ำ แหนง่ ระดบั ๑๐ เชน่ เดยี วกนั แตก่ เ็ หน็ ไดว้ า่ ตำ�แหนง่ รองปลดั
สำ�นักนายกรัฐมนตรีเป็นตำ�แหน่งผู้บริหารระดับสูง ซ่ึงย่อมต้องมีขอบเขตอ�ำ นาจหน้าที่และความรับผิด
ชอบที่สูงกว่าตำ�แหนง่ ผูต้ รวจราชการกระทรวงซึง่ ถูกก�ำ หนดใหเ้ ปน็ ต�ำ แหน่งสำ�หรบั ผปู้ ฏบิ ตั งิ าน
เมอ่ื ข้อเท็จจรงิ ในคดนี ้ปี รากฏว่า ผู้ฟอ้ งคดเี ปน็ ผดู้ �ำ รงตำ�แหนง่ รองปลดั ส�ำ นกั นายกรฐั มนตรีซงึ่ มี
อาวโุ สล�ำ ดบั ทห่ี นง่ึ จงึ เปน็ ผบู้ งั คบั บญั ชาขา้ ราชการและรบั ผดิ ชอบในการปฏบิ ตั ริ าชการรองจากปลดั ส�ำ นกั
นายกรัฐมนตรีตามความในมาตรา ๑๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
พ.ศ. ๒๕๓๔ และเปน็ กรณที กี่ ฎหมายก�ำ หนดใหเ้ ปน็ ผบู้ งั คบั บญั ชาของหวั หนา้ ผตู้ รวจราชการและผตู้ รวจ
ราชการส�ำ นกั นายกรฐั มนตรี ซึ่งเป็นข้าราชการในสงั กัดส�ำ นกั งาน ปลัดส�ำ นักนายกรัฐมนตรีดว้ ย ดงั นั้น
การพิจารณาแต่งตั้งให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งด�ำ รงตำ�แหน่งรองปลัดส�ำ นักนายกรัฐมนตรีท่ีมีอาวุโสเป็นอันดับหน่ึง
และมโี อกาสความกา้ วหนา้ ในสายงานทจ่ี ะเลอื่ นขนึ้ ด�ำ รงต�ำ แหนง่ ปลดั ส�ำ นกั นายกรฐั มนตรี ใหโ้ อนไปด�ำ รง
ต�ำ แหนง่ ในตา่ งกระทรวงในต�ำ แหนง่ ผตู้ รวจราชการกระทรวงมหาดไทยนนั้ จงึ เหน็ ไดอ้ ยา่ งชดั เจนวา่ กรณี
มีลักษณะเป็นการลดบทบาท หน้าท่ีความรับผิดชอบและโอกาสความก้าวหน้าท่ีผู้ฟ้องคดีจะได้เล่ือนข้ึน
ด�ำ รงตำ�แหนง่ ท่ีสูงขึ้นในสายงานของตน

นายจาดุร อภชิ าตบตุ ร ผ้ฟู ้องคดี

นายกรัฐมนตรี ที่ ๑ ผ้ถู กู ฟ้องคดี
ระหา่ ง ปลดั ส�ำ นักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒
ปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่ ๓ อัยการนเิ ทศ
คณะรัฐมนตรี ท่ี ๔


179

คดีน้ีผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า เดิมผู้ฟ้องคดีด�ำ รงตำ�แหน่งรองปลัดสำ�นักนายกรัฐมนตรี (นักบริหาร ๑๐)
ส�ำ นกั งานปลดั ส�ำ นกั นายกรฐั มนตรี ไดร้ บั ค�ำ สง่ั ใหโ้ อนไปด�ำ รงต�ำ แหนง่ ผตู้ รวจราชการกระทรวง (ผตู้ รวจราชการ
๑๐) สำ�นกั งานปลดั กระทรวงมหาดไทย การออกค�ำ สง่ั โอนผฟู้ อ้ งคดไี ปดำ�รงตำ�แหนง่ ดงั กล่าวเป็นการกระทบ
สทิ ธิ ท�ำ ใหผ้ ฟู้ อ้ งคดไี มไ่ ดร้ บั ความเปน็ ธรรมและไดร้ บั ความเดอื ดรอ้ นเสยี หาย เนอ่ื งจากกอ่ นหนา้ นน้ั ผฟู้ อ้ งคดี
เคยด�ำ รงต�ำ แหนง่ ผตู้ รวจราชการส�ำ นกั นายกรฐั มนตรเี มอ่ื วนั ท่ี ๘ มถิ นุ ายน ๒๕๔๓ ตอ่ มา ไดร้ บั แตง่ ตง้ั ใหด้ �ำ รง
ตำ�แหน่งหัวหน้าผู้ตรวจราชการสำ�นักนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๗ และได้รับแต่งต้ังให้ดำ�รง
ตำ�แหน่งรองปลัดสำ�นักนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๘ รวมเป็นเวลาประมาณ ๘ ปี ๕ เดือน
บทบาทหนา้ ที่ของผูต้ รวจราชการส�ำ นกั นายกรัฐมนตรีและหวั หนา้ ผู้ตรวจราชการส�ำ นักนายกรฐั มนตรีมหี นา้ ท่ี
เสมอื นเปน็ ตัวแทนของรฐั บาลในการกำ�กับตดิ ตามงานของทุกสว่ นราชการทั้งในสว่ นกลาง ส่วนภมู ภิ าค และ
สว่ นทอ้ งถนิ่ เพอื่ ใหเ้ ปน็ ไปตามนโยบายของรฐั บาลทไ่ี ดแ้ ถลงตอ่ รฐั สภา แตผ่ ตู้ รวจราชการกระทรวงมหาดไทย
มีบทบาทหน้าที่ในการกำ�กับติดตามงานเฉพาะขอบเขตงานของกระทรวงท่ีรับผิดชอบเท่าน้ัน จึงเป็นการลด
บทบาทหน้าที่และศักดิ์ศรีในทางราชการของผู้ฟ้องคดี นอกจากน้ี กระบวนการโอนผู้ฟ้องคดีตั้งแต่ต้นจนถึง
ขนั้ ตอนการเสนอผถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี ๔ พจิ ารณามมี ตอิ นมุ ตั ิ มกี ารเรง่ ด�ำ เนนิ การภายในวนั เดยี ว คอื วนั ที่ ๒ กนั ยายน
๒๕๕๑ จนเปน็ ท่สี งสัยว่าเป็นไปตามข้ันตอนหรอื ไม่ เพราะไมม่ กี ารสอบถามความสมัครใจจากผู้ฟอ้ งคดีก่อน
ในวนั ดงั กลา่ วมกี ารเสนอขอโอนผฟู้ อ้ งคดเี พยี งต�ำ แหนง่ เดยี ว ทงั้ ทต่ี �ำ แหนง่ ผตู้ รวจราชการกระทรวงมหาดไทย
จะว่างใน วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ จำ�นวน ๗ ตำ�แหน่ง อีกทั้ง กระทรวงมหาดไทยได้พิจารณาตำ�แหน่ง
ที่ว่างทั้งหมดในภาพรวมและนำ�เสนอคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๑ รวมทั้งสิ้น ๖๒ ตำ�แหน่ง
อนั เปน็ การขดั กบั หลกั ปฏบิ ัติของส�ำ นักเลขาธกิ ารคณะรฐั มนตรีและไมเ่ ป็นไปตามมตคิ ณะรัฐมนตรีเมือ่ วนั ที่
๑๓ มกราคม ๒๕๔๗ ที่ก�ำ หนดแนวทางการออกคำ�ส่งั แต่งตง้ั ข้าราชการพลเรอื นให้ด�ำ รงต�ำ แหน่งทย่ี ังไมว่ ่าง
ในขณะทอี่ อกค�ำ สงั่ โดยใหค้ �ำ สง่ั มผี ลใชบ้ งั คบั เมอื่ ต�ำ แหนง่ ดงั กลา่ ววา่ งลงแลว้ ใหก้ ระท�ำ ไดเ้ ฉพาะกรณที จ่ี �ำ เปน็
เชน่ การแต่งตั้งให้ดำ�รงต�ำ แหน่งแทนผู้เกษยี ณอายแุ ละเปน็ ตำ�แหนง่ ทจ่ี �ำ เป็นต้องมีผูป้ ฏบิ ัตงิ านต่อเนอื่ ง และ
ยงั ปรากฏขอ้ เทจ็ จรงิ วา่ ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ี่ ๓ ไดม้ บี นั ทกึ ลงวนั ท่ี ๒๙ กนั ยายน ๒๕๕๑ ถงึ รฐั มนตรวี า่ การกระทรวง
มหาดไทยว่าการแต่งตัง้ ผฟู้ ้องคดีใหด้ �ำ รงตำ�แหนง่ ผตู้ รวจราชการกระทรวงมหาดไทยน่าจะมเี บอื้ งหลงั และไม่
ถูกต้องตามขั้นตอน มีการดำ�เนินการท่ีเร่งด่วนและไม่มีเหตุผลความจำ�เป็นเพียงพอ พร้อมท้ังเสนอแนวทาง
พิจารณาสองแนวทาง คือ ควรให้ส�ำ นักนายกรัฐมนตรีรับโอนผู้ฟ้องคดีกลับไปด�ำ รงตำ�แหน่งรองปลัดสำ�นัก
นายกรัฐมนตรีดังเดิม เน่ืองจากการรับโอนผู้ฟ้องคดีทำ�ให้กระทรวงมหาดไทยเสียอัตราตำ�แหน่งข้าราชการ
ระดับ ๑๐ ไป ๑ อัตรา หรือกระทรวงมหาดไทยควรปรับย้ายผู้ฟ้องคดีไปด�ำ รงตำ�แหน่งรองปลัดกระทรวง
มหาดไทยหรืออธิบดีกรมใดกรมหนึ่งในกระทรวงมหาดไทย ตามความรู้ ความสามารถ และความเหมาะสม
หากกระทรวงมหาดไทยไม่ได้ปรับย้ายให้ผู้ฟ้องคดีดำ�รงตำ�แหน่งดังกล่าว จะถือว่าไม่เป็นธรรมอย่างย่ิง แต่
ปรากฏว่ากระทรวงมหาดไทยมิได้ดำ�เนินการตามข้อเสนอ โดยกระทรวงมหาดไทยได้เสนอแต่งต้ังตำ�แหน่ง
ตา่ งๆ ในภาพรวมทงั้ หมด และน�ำ เสนอผถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี ๔ พจิ ารณาใหค้ วามเหน็ ชอบเมอ่ื วนั ที่ ๙ ตลุ าคม ๒๕๕๑
รวม ๖๒ ตำ�แหน่ง ผู้ฟ้องคดีได้ร้องทุกข์ต่อ ก.พ. และรองนายกรัฐมนตรี (นาย ช.) ได้พิจารณาสั่งยก

180 คำ�พิพากษาศาลปกครองสงู สุด

ค�ำ รอ้ งทกุ ข์ ผฟู้ อ้ งคดเี หน็ วา่ การออกค�ำ สง่ั ใหโ้ อนผฟู้ อ้ งคดไี ปด�ำ รงต�ำ แหนง่ ผตู้ รวจราชการกระทรวงมหาดไทย
เปน็ ค�ำ สง่ั ทไี่ มช่ อบดว้ ยกฎหมาย ขดั กบั หลกั คณุ ธรรม เปน็ การกลน่ั แกลง้ ลดบทบาทหนา้ ทแ่ี ละศกั ดศิ์ รใี นทาง
ราชการของผู้ฟ้องคดี ทำ�ให้ผู้ฟ้องคดีเสื่อมเสียเกียรติและศักดิ์ศรีของข้าราชการ ผู้ฟ้องคดีจึงฟ้องคดีต่อ
ศาลปกครอง
ขอให้ศาลมีคำ�พิพากษาหรือคำ�สั่งให้เพิกถอนคำ�สั่งให้โอนผู้ฟ้องคดีไปดำ�รงตำ�แหน่งผู้ตรวจราชการ
กระทรวงมหาดไทยตามมตคิ ณะรัฐมนตรีเม่ือวันที่ ๒ กนั ยายน ๒๕๕๑ และใหผ้ ู้ฟอ้ งคดกี ลบั ไปดำ�รงตำ�แหนง่
รองปลดั ส�ำ นักนายกรัฐมนตรีตามเดมิ
ผูถ้ ูกฟอ้ งคดที ั้งสี่ ใหก้ ารปฏิเสธ ขอให้ยกค�ำ ฟ้อง
ศาลปกครองชั้นต้นพพิ ากษาให้เพกิ ถอนประกาศส�ำ นักนายกรัฐมนตรี ลงวันท่ี ๑๘ กันยายน ๒๕๕๑
เร่ือง แต่งต้งั ขา้ ราชการพลเรือน ทีใ่ ห้ผฟู้ อ้ งคดีพน้ จากต�ำ แหน่งรองปลัดส�ำ นักนายกรฐั มนตรี (นักบรหิ าร ๑๐)
ส�ำ นกั งานปลดั ส�ำ นกั นายกรฐั มนตรี ส�ำ นกั นายกรฐั มนตรี และแตง่ ตง้ั ใหด้ �ำ รงต�ำ แหนง่ ผตู้ รวจราชการกระทรวง
(ผู้ตรวจราชการ ๑๐) สำ�นักงานปลัดกระทรวง กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ ตามที่
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ มีมติอนุมัติการโอนเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๑ และดำ�เนินการให้ผู้ฟ้องคดีกลับไป
ดำ�รงตำ�แหน่งรองปลัดสำ�นักนายกรฐั มนตรใี หแ้ ล้วเสรจ็ ภายใน ๑๕ วัน นบั แตว่ นั ทศ่ี าลมีคำ�พิพากษา
ผู้ถกู ฟ้องคดที ี่ ๑, 2 และผถู้ ูกฟ้องคดีท่ี ๔ อุทธรณ์ ขอให้ศาลปกครองสงู สุดพิพากษายกฟ้อง
ศาลปกครองสูงสุดพิเคราะห์แล้วที่ผู้ถูกฟ้องคดีอ้างว่าการแต่งตั้งผู้ฟ้องคดีซ่ึงด�ำ รงตำ�แหน่งรองปลัด
สำ�นกั นายกรฐั มนตรีให้ดำ�รงตำ�แหนง่ ผ้ตู รวจราชการกระทรวงมหาดไทย ไม่ถือเป็นการลดบทบาทหนา้ ท่ีและ
ศักด์ิศรีในทางราชการของผู้ฟ้องคดี นั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
มาตรา ๔๒ บัญญัติว่า ให้ ก.พ. จัดท�ำ มาตรฐานก�ำ หนดตำ�แหน่งไว้เป็นบรรทัดฐานในการก�ำ หนดตำ�แหน่ง
ขา้ ราชการพลเรอื นสามญั ทกุ ตำ�แหนง่ โดยจำ�แนกตำ�แหนง่ เปน็ ประเภทและสายงานตามลกั ษณะงาน และจดั
ตำ�แหน่งในประเภทเดียวกันและสายงานเดียวกันท่ีคุณภาพของงานอยู่ในระดับเดียวกันโดยประมาณเป็น
กลุ่มเดียวกันและระดับเดียวกัน ทั้งน้ี โดยคำ�นึงถึงลักษณะหน้าที่ความรับผิดชอบและคุณภาพของงานตาม
หลกั เกณฑ์ดังต่อไปน.ี้ .. (๑๐) ตำ�แหนง่ ระดบั ๑๐ ไดแ้ ก.่ .. (ข) ตำ�แหนง่ สำ�หรบั ผ้บู รหิ ารระดับสูงในฐานะรอง
หัวหน้าสว่ นราชการระดับกระทรวงหรอื ทบวง... (จ) ต�ำ แหนง่ สำ�หรบั ผู้ปฏิบัตงิ านซง่ึ มลี กั ษณะงานตรวจและ
แนะน�ำ การปฏบิ ตั ริ าชการ หรอื ลกั ษณะงานใหค้ �ำ ปรกึ ษาของสว่ นราชการระดบั กระทรวง ทบวงซงึ่ จ�ำ เปน็ ตอ้ ง
ปฏิบตั โิ ดยมคี วามร้คู วามสามารถและประสบการณท์ ่เี กี่ยวข้องมาแล้ว หรือลักษณะงานอืน่ ทมี่ หี นา้ ทีค่ วามรบั
ผิดชอบ ความยาก และคุณภาพของงานเทียบได้ในระดับเดียวกัน ซ่ึงเม่ือพิจารณาจากมาตรฐานก�ำ หนด
ตำ�แหน่งที่ ก.พ. ก�ำ หนดไว้ดังกล่าวแล้ว เห็นได้ว่า ต�ำ แหน่งรองปลัดส�ำ นักนายกรัฐมนตรีจัดอยู่ในต�ำ แหน่ง
ระดบั ๑๐ ประเภท (ข) ซง่ึ เปน็ ตำ�แหนง่ ส�ำ หรบั ผบู้ รหิ ารระดบั สงู ในฐานะรองหวั หนา้ สว่ นราชการระดบั กระทรวง
ส่วนตำ�แหน่งผู้ตรวจราชการสำ�นักนายกรัฐมนตรีหรือผู้ตรวจราชการกระทรวงจัดอยู่ในตำ�แหน่งระดับ ๑๐
ประเภท (จ) เปน็ ต�ำ แหนง่ ส�ำ หรบั ผปู้ ฏบิ ตั งิ านซงึ่ มลี กั ษณะงานตรวจและแนะน�ำ การปฏบิ ตั ริ าชการหรอื ลกั ษณะ
งานใหค้ �ำ ปรกึ ษาของสว่ นราชการระดบั กระทรวง... แมจ้ ะเปน็ ตำ�แหนง่ ระดบั ๑๐ เชน่ เดยี วกนั แตก่ เ็ ห็นไดว้ า่

อยั การนเิ ทศ 181

ตำ�แหน่งรองปลัดสำ�นักนายกรัฐมนตรีเป็นตำ�แหน่งผู้บริหารระดับสูงซ่ึงย่อมต้องมีขอบเขตอำ�นาจหน้าที่และ
ความรับผิดชอบท่ีสูงกว่าตำ�แหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงซ่ึงถูกกำ�หนดให้เป็นตำ�แหน่งสำ�หรับผู้ปฏิบัติงาน
และโดยทมี่ าตรา ๑๖ วรรคหน่ึง แหง่ พระราชบัญญัตริ ะเบยี บบริหารราชการแผ่นดนิ พ.ศ. ๒๕๓๔ บัญญัตวิ ่า
สำ�นกั นายกรฐั มนตรี นอกจากมีนายกรัฐมนตรี รองนายกรฐั มนตรี และรฐั มนตรปี ระจ�ำ สำ�นกั นายกรัฐมนตรี
ใหม้ ปี ลดั ส�ำ นกั นายกรฐั มนตรคี นหนง่ึ มอี �ำ นาจหนา้ ทด่ี งั น้ี (๑) รบั ผดิ ชอบควบคมุ ราชการประจ�ำ ในส�ำ นกั นายก
รฐั มนตรี กำ�หนดแนวทางและแผนการปฏิบัติราชการของสำ�นกั นายกรฐั มนตร ี และลำ�ดับความสำ�คัญของ
แผนการปฏบิ ตั ริ าชการประจ�ำ ปขี องสว่ นราชการในส�ำ นกั นายกรฐั มนตรใี หเ้ ปน็ ไปตามนโยบายทนี่ ายกรฐั มนตรี
กำ�หนด... (๒) เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการของส่วนราชการในสำ�นักนายกรัฐมนตรีรองจากนายกรัฐมนตรี
รองนายกรฐั มนตรี และรฐั มนตรปี ระจำ�ส�ำ นกั นายกรฐั มนตรี ยกเวน้ ขา้ ราชการของสว่ นราชการซง่ึ หวั หนา้ สว่ น
ราชการขน้ึ ตรงตอ่ นายกรฐั มนตรี (๓) เปน็ ผบู้ งั คบั บญั ชาขา้ ราชการในสำ�นกั งานปลดั สำ�นกั นายกรฐั มนตรี และ
รับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของสำ�นักงานปลัดสำ�นักนายกรัฐมนตรี วรรคสอง บัญญัติว่า ในการปฏิบัติ
ราชการของปลดั ส�ำ นกั นายกรฐั มนตรตี ามวรรคหนง่ึ ใหม้ รี องปลดั ส�ำ นกั นายกรฐั มนตรเี ปน็ ผชู้ ว่ ยสง่ั และปฏบิ ตั ิ
ราชการ และจะใหม้ ผี ชู้ ว่ ยปลดั ส�ำ นกั นายกรฐั มนตรเี ปน็ ผชู้ ว่ ยสงั่ และปฏบิ ตั ริ าชการดว้ ยกไ็ ด้ วรรคสาม บญั ญตั ิ
วา่ ในกรณที มี่ รี องปลัดสำ�นักนายกรฐั มนตรีหรอื ผู้ชว่ ยปลัดสำ�นักนายกรัฐมนตรีหรอื มีท้ังรองปลัดส�ำ นักนายก
รฐั มนตรแี ละผชู้ ว่ ยปลดั ส�ำ นกั นายกรฐั มนตรี ใหร้ องปลดั ส�ำ นกั นายกรฐั มนตรหี รอื ผชู้ ว่ ยปลดั ส�ำ นกั นายกรฐั มนตรี
เปน็ ผบู้ งั คบั บญั ชาขา้ ราชการและรบั ผดิ ชอบในการปฏบิ ตั ริ าชการรองจากปลดั ส�ำ นกั นายกรฐั มนตรี เมอ่ื ขอ้ เทจ็ จรงิ
ในคดีนี้ปรากฏว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ดำ�รงตำ�แหน่งรองปลัดสำ�นักนายกรัฐมนตรีซึ่งมีอาวุโสลำ�ดับที่หนึ่งจึงเป็น
ผู้บังคับบัญชาข้าราชการและรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการรองจากปลัดสำ�นักนายกรัฐมนตรีตามความใน
มาตรา ๑๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ และจึงเป็นกรณีที่
กฎหมายกำ�หนดให้เป็นผบู้ ังคับบญั ชาของหวั หนา้ ผู้ตรวจราชการและผตู้ รวจราชการส�ำ นกั นายกรัฐมนตรี ซง่ึ
เปน็ ขา้ ราชการในสงั กดั ส�ำ นกั งานปลดั ส�ำ นกั นายกรฐั มนตรดี ว้ ย ดงั นนั้ การพจิ ารณาแตง่ ตง้ั ใหผ้ ฟู้ อ้ งคดซี งึ่ ด�ำ รง
ต�ำ แหนง่ รองปลดั ส�ำ นกั นายกรฐั มนตรที ม่ี อี าวโุ สเปน็ อนั ดบั หนงึ่ และมโี อกาสความกา้ วหนา้ ในสายงานทจี่ ะเลอื่ น
ขน้ึ ด�ำ รงต�ำ แหนง่ ปลดั ส�ำ นกั นายกรฐั มนตรี ใหโ้ อนไปด�ำ รงต�ำ แหนง่ ในตา่ งกระทรวงในต�ำ แหนง่ ผตู้ รวจราชการ
กระทรวงมหาดไทยน้ัน จึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่า กรณีมีลักษณะเป็นการลดบทบาท หน้าที่ความรับผิดชอบ
และโอกาสความกา้ วหนา้ ทผ่ี ฟู้ อ้ งคดจี ะไดเ้ ลอ่ื นขน้ึ ด�ำ รงต�ำ แหนง่ ทส่ี งู ขน้ึ ในสายงานของตน นอกจากนข้ี อ้ เทจ็ จรงิ
ยังปรากฏอกี ดว้ ยวา่ เมอ่ื ครง้ั ทผ่ี ฟู้ อ้ งคดดี �ำ รงต�ำ แหนง่ รองปลดั ส�ำ นกั นายกรฐั มนตรไี ดร้ บั เงนิ รางวลั ตอบแทน
ประจ�ำ ปใี นฐานะผบู้ รหิ ารในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ จ�ำ นวน ๑๒๐,๐๐๐ บาท และในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ จ�ำ นวน ๙๔,๓๐๐
บาท แตเ่ มอ่ื ไดร้ บั แตง่ ตง้ั ใหด้ �ำ รงต�ำ แหนง่ ผตู้ รวจราชการกระทรวงมหาดไทยผฟู้ อ้ งคดไี ดร้ บั เงนิ รางวลั ตอบแทนใน
ฐานะผรู้ บั ผดิ ชอบตวั ชว้ี ดั ของหนว่ ยงานซง่ึ ทผ่ี า่ นมาไดร้ บั เงนิ รางวลั ประจำ�ปปี ระมาณ ๖,๐๐๐ บาท ถงึ ๑๐,๐๐๐
บาท ซง่ึ คดิ เปน็ สดั สว่ นเงนิ รางวลั ตอบแทนทไ่ี ดร้ บั นอ้ ยกวา่ เมอ่ื ครง้ั ด�ำ รงต�ำ แหนง่ รองปลดั ส�ำ นกั นายกรฐั มนตรี เปน็
อยา่ งมาก ดงั นน้ั การแตง่ ตง้ั ผฟู้ อ้ งคดซี ง่ึ ด�ำ รงต�ำ แหนง่ รองปลดั ส�ำ นกั นายกรฐั มนตรใี หด้ �ำ รงต�ำ แหนง่ ผตู้ รวจราชการ
กระทรวงมหาดไทยในคดนี จ้ี งึ มลี กั ษณะเปน็ การลดบทบาท หนา้ ท่ี ความรบั ผดิ ชอบและโอกาสความกา้ วหนา้ ใน

182 ค�ำ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ

สายงาน รวมถงึ สทิ ธปิ ระโยชนท์ ผ่ี ฟู้ อ้ งคดพี งึ ไดร้ บั ใหล้ ดนอ้ ยลงไปอกี ดว้ ย ขอ้ อา้ งของผถู้ กู ฟอ้ งคดใี นประเดน็ นจ้ี งึ
ไมอ่ าจรบั ฟงั ได้
ดังนั้น เม่ือได้วินิจฉัยแล้วว่า การโอนผู้ฟ้องคดีไปดำ�รงตำ�แหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย
ตามมตขิ องผู้ถกู ฟ้องคดที ี่ ๔ เม่ือวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๑ มไิ ดเ้ ปน็ การใช้อ�ำ นาจโดยถกู ตอ้ งตามท่กี ฎหมาย
กำ�หนด ประกอบกับการพิจารณาตกลงยินยอมการโอนผู้ฟ้องคดีไปด�ำ รงตำ�แหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง
มหาดไทยมไิ ดเ้ ปน็ การใชด้ ลุ พนิ จิ โดยชอบดว้ ยกฎหมาย ทศี่ าลปกครองชนั้ ตน้ มคี �ำ พพิ ากษาใหเ้ พกิ ถอนประกาศ
สำ�นักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๑ เรื่อง แต่งต้ังข้าราชการพลเรือน ที่ให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจาก
ตำ�แหน่งรองปลัดสำ�นักนายกรัฐมนตรี (นักบริหาร ๑๐) สำ�นักงานปลัดสำ�นักนายกรัฐมนตรี สำ�นักนายก
รัฐมนตรี และแต่งตั้งให้ดำ�รงตำ�แหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผตู้ รวจราชการ ๑๐) ส�ำ นกั งานปลดั กระทรวง
กระทรวงมหาดไทย ต้ังแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ ตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๔ มีมติอนุมัติการโอนเมื่อวันที่ ๒
กันยายน ๒๕๕๑ และด�ำ เนินการให้ผู้ฟ้องคดีกลับไปด�ำ รงต�ำ แหน่งรองปลัดส�ำ นักนายกรัฐมนตรีให้แล้วเสร็จ
ภายใน ๑๕ วนั นบั แตว่ ันท่ีศาลมคี ำ�พพิ ากษานน้ั ศาลปกครองสูงสุดเห็นพอ้ งดว้ ยบางส่วน
พิพากษาแก้ เป็นให้เพิกถอนประกาศสำ�นักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๑ เรื่องแต่ง
ตั้งข้าราชการพลเรือน ที่ให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตำ�แหน่งรองปลัดสำ�นักนายกรัฐมนตรี (นักบริหาร ๑๐) สำ�นักงาน
ปลัดสำ�นักนายกรัฐมนตรีสำ�นักนายกรัฐมนตรีและแต่งตั้งให้ดำ�รงตำ�แหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผตู้ รวจ
ราชการ ๑๐) ส�ำ นกั งานปลดั กระทรวง กระทรวงมหาดไทย ตง้ั แตว่ นั ท่ี ๑ ตลุ าคม ๒๕๕๑ ตามทผ่ี ถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี ๔
มีมติอนุมัติการโอนเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๑ ทั้งนี้ โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ประกาศฉบับดังกล่าว
มีผลบังคับ โดยมีข้อสังเกตเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการด�ำ เนินการให้เป็นไปตามคำ�พิพากษาตามมาตรา
๖๙ วรรคหนึ่ง (๘) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ว่าให้
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ร่วมกันดำ�เนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนของกฎหมายเพื่อให้ผู้ฟ้องคดีกลับไปดำ�รง
ตำ�แหน่งรองปลัดสำ�นักนายกรัฐมนตรี สำ�นักงานปลัดสำ�นักนายกรัฐมนตรี โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่
๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ และให้คืนสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่ผู้ฟ้องคดีพึงมีพึงได้ตามตำ�แหน่งดังกล่าวทั้งนี้ ภายใน
๓๐ วัน นับแต่วันที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำ�พิพากษา

อยั การนเิ ทศ 183

คำ�พิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 350/2554

พ.ร.บ. ระเบยี บขา้ ราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๓๕
(มาตรา ๘๒ วรรคสาม, ๘๕ วรรคสอง, ๙๘ วรรคสอง)


ในคดอี าญานน้ั ศาลจะพพิ ากษาลงโทษจำ�เลยไดต้ อ่ เมอื่ มพี ยานหลกั ฐานปรากฏชดั แจง้ ปราศจาก
ขอ้ สงสยั สว่ นการลงโทษทางวนิ ยั ผบู้ งั คบั บญั ชาสามารถใชด้ ลุ พนิ จิ สงั่ ลงโทษผถู้ กู กลา่ วหาไดโ้ ดยพจิ ารณา
จากพยานหลักฐานและพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาท่ีปรากฏในส�ำ นวนของคณะกรรมการสอบสวนเป็น
สำ�คัญ โดยไม่จำ�เป็นต้องปรากฏพยานหลักฐานชัดแจ้งปราศจากข้อสงสัยดังเช่นคดีอาญาและไม่ต้องรอ
ฟังผลคดีอาญาให้ถึงทีส่ ดุ แตอ่ ยา่ งใด
แม้ว่าในคดีอาญาจะไม่มีการลงโทษทางอาญาแก่ผู้ฟ้องคดีก็ตาม แต่ผลการลงโทษทางวินัยก็
หาจำ�ต้องมีผลไปในทางเดียวกันไม่ เพราะกระบวนการพิจารณาทางวินัยและทางอาญามีความแตก
ต่างกัน การรับฟังพยานก็อาจจะมีความแตกต่างกันได้


จ่าสิบตำ�รวจ นิกร เมฆวิลัย ผู้ฟ้องคดี

ระหว่าง ผู้บัญชาการ กองบัญชาการตำ�รวจสอบสวนกลาง ที่ 1
คณะกรรมการข้าราชการตำ�รวจ ที่ 2
นายกรัฐมนตรี ที่ 3 ผู้ถูกฟ้องคดี

คดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า เดิมผู้ฟ้องคดีรับราชการตำ�รวจ ตำ�แหน่งผู้บังคับหมู่ฝ่ายปฏิบัติการที่ 2 ส่วน
ปราบปรามการทจุ รติ และประพฤตมิ ชิ อบในวงราชการ กองบญั ชาการต�ำ รวจสอบสวนกลาง ส�ำ นกั งานต�ำ รวจ
แห่งชาติ ในขณะที่ผู้ฟ้องคดีด�ำ รงตำ�แหน่งผู้บังคับหมู่ แผนก 2 กองก�ำ กับการ 6 กองปราบปราม ผู้ฟ้องคดี
ถูกจับกุมในคดีอาญาข้อหากรรโชกทรัพย์ผู้อื่น หน่วงเหนี่ยวกักขัง ทำ�ให้เสื่อมเสียหรือปราศจากเสรีภาพ
ในร่างกาย และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ผลการด�ำ เนินคดีอาญา
ปรากฏวา่ ศาลจังหวัดนครปฐมมคี �ำ พิพากษาใหล้ งโทษจำ�คกุ ผ้ฟู อ้ งคดี 9 ปี ศาลอทุ ธรณ์ภาค 3 พพิ ากษายนื
แต่ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากเหตุยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่ผู้ฟ้องคดี ซึ่งนอกจาก
ผู้ฟ้องคดีจะถูกดำ�เนินคดีอาญา แล้ว ผู้ฟ้องคดียังถูกดำ�เนินการทางวินัยด้วย ผลการสอบสวนปรากฏว่า
คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงเห็นว่า เมื่อศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องผู้ฟ้องคดีจึงไม่มีนา้ํ หนัก
เพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าผู้ฟ้องคดีได้กระทำ�ความผิดตามข้อกล่าวหา เห็นควรยุติเรื่อง แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1

184 ค�ำ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุด

เห็นว่า แม้ศาลฎีกาจะพิพากษายกฟ้องก็ตาม แต่ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องก็เพราะยกประโยชน์แห่งความ
สงสัย จึงสั่งลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ ตามคำ�สั่งกองบัญชาการตำ�รวจสอบสวนกลาง ที่ 73/2545
ลงวันที่ 22 มีนาคม 2545 ผู้ฟ้องคดีจึงได้อุทธรณ์คำ�สั่งลงโทษต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ซึ่งอนุกรรมการ
คณะกรรมการข้าราชการตำ�รวจเกี่ยวกับอุทธรณ์และร้องทุกข์ทำ�การแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้พิจารณาแล้ว
เห็นว่า อุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีฟังไม่ขึ้น จากนั้นได้รายงานไปยังผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 โดยรองนายกรัฐมนตรี
(พลเอก ช.) ปฏิบัติราชการแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 พิจารณาแล้วมีคำ�สั่งให้ยกอุทธรณ์ ตามหนังสือสำ�นักงาน
คณะกรรมการข้าราชการตำ�รวจ ที่ ตช 0009.5/298 ลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2547 ซึ่งผู้ฟ้องคดีได้รับ
ทราบหนังสือดังกล่าวเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2547 ผู้ฟ้องคดีไม่ได้กระท�ำ ผิดวินัยแต่ผู้ฟ้องคดีกลับ
ถูกลงโทษไล่ออกจากราชการ
ขอให้ศาลมีคำ�พิพากษาหรือคำ�สั่ง เพิกถอนคำ�สั่งลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ เพิกถอนมติ
ของผู้ถกู ฟ้องคดีที่ 2 ท่ีใหย้ กอทุ ธรณ์ เพิกถอนค�ำ สัง่ ของผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี 3 ทส่ี งั่ ยกอทุ ธรณ์ และสงั่ ให้ผูฟ้ อ้ งคดี
กลับเข้ารับราชการ
ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์
ศาลปกครองสูงสุดได้ตรวจพิจารณาแล้ว เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นาย ด. ได้ให้การต่อ
พนกั งานสอบสวนและตอ่ ศาลจงั หวดั นครปฐมประกอบกบั การใหถ้ อ้ ยค�ำ ในการชภ้ี าพถา่ ยและชต้ี วั ของผฟู้ อ้ งคดี
ว่าเป็นผู้ที่แสดงตนว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำ�รวจและเข้าทำ�การตรวจค้นรถ คำ�ให้การของนาย ด. จึงน่าเชื่อถือ
มีนํ้าหนักรับฟังได้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 พิจารณา เห็นว่า ผลคดีอาญามีพยานหลักฐาน พนักงานสอบสวน
และพนกั งานอยั การมคี วามเหน็ สง่ั ฟอ้ ง ศาลจงั หวดั นครปฐมมคี ำ�พพิ ากษาลงโทษจ�ำ คกุ ผฟู้ อ้ งคดมี กี �ำ หนด 9 ปี
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องคดีเนื่องจากเหตุที่นาย ด. ผู้เสียหายได้เบิกความ
เพียงปากเดียวที่ยืนยันว่าผู้ฟ้องคดีกระทำ�ความผิด และไม่มีพยานหลักฐานอื่นที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้ฟ้องคดี
ร่วมกับนาย อ. กระทำ�ความผิดตามฟ้อง จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่ผู้ฟ้องคดีตามมาตรา
227 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะไม่มีผลการลงโทษทาง
อาญาแก่ผู้ฟ้องคดีก็ตาม แต่ผลการลงโทษทางวินัยก็หาจำ�ต้องมีผลไปทางเดียวกันไม่ เพราะกระบวนการ
พิจารณาทางวินัยและทางอาญามีความแตกต่างกัน การรับฟังพยานหลักฐานก็ย่อมแตกต่างกัน ทั้งการมีอยู่
ของพยานหลักฐานและการให้ถ้อยค�ำ หรือการเบิกความของพยานอาจจะมีความแตกต่างกันได้ โดยในคดี
อาญานั้น ศาลจะพิพากษาลงโทษจำ�เลยได้ต่อเมื่อมีพยานหลักฐานปรากฏชัดแจ้งปราศจากข้อสงสัย ส่วน
การลงโทษทางวินัยผู้บังคับบัญชาสามารถใช้ดุลพินิจสั่งลงโทษผู้ถูกกล่าวหาได้โดยพิจารณาจากพยานหลัก
ฐานและพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาที่ปรากฏในส�ำ นวนของคณะกรรมการสอบสวนเป็นส�ำ คัญ โดยไม่จำ�เป็น
ต้องปรากฏพยานหลักฐานชัดแจ้ง ปราศจากข้อสงสัยดังเช่นคดีอาญาและไม่ต้องรอฟังผลคดีอาญาให้ถึงที่
สุดแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อพฤติการณ์และการกระทำ�ของผู้ฟ้องคดีซึ่งศาลจังหวัดนครปฐมและศาลอุทธรณ์
ภาค 3 พิพากษาลงโทษถึงจำ�คุก ทำ�ให้มีพยานหลักฐานชี้ชัดและเชื่อได้ว่าผู้ฟ้องคดีร่วมกับนาย อ. กระทำ�

อยั การนเิ ทศ 185

ความผิดตามข้อกล่าวหาจริงอันเป็นการกระทำ�อันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 82
วรรคสาม มาตรา 85 วรรคสอง และมาตรา 98 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. 2535 อุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีฟังไม่ขึ้น
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีคำ�สั่งที่ 73/2545 ลงวันที่ 22 มีนาคม 2545 ลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออก
จากราชการฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้เป็นการทุจริต
ต่อหน้าที่ราชการ ปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ และกระทำ�
การอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 82 วรรคสาม
มาตรา 85 วรรคสอง และมาตรา 98 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.
2535 และเมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ไดว้ นิ จิ ฉยั อทุ ธรณข์ องผฟู้ อ้ งคดแี ลว้ ไดส้ ง่ั ยกอทุ ธรณข์ องผฟู้ อ้ งคดตี ามมตขิ อง
ผฟู้ อ้ งคดที ่ี 2 จงึ เปน็ การใชด้ ลุ พนิ จิ ทช่ี อบดว้ ยกฎหมายการลงโทษไลผ่ ฟู้ อ้ งคดอี อกจากราชการเปน็ โทษทเ่ี หมาะสม
กบั ความผดิ ทผ่ี ฟู้ อ้ งคดไี ดก้ ระท�ำ แลว้
พพิ ากษายนื

186 ค�ำ พิพากษาศาลปกครองสูงสดุ

คำ�ชี้ขาดความเห็นส�ำ นักงานอยั การสงู สดุ
แย้งของอัยการสูงสุด

188 ค�ำ ชี้ขาดความเห็นแยง้ ของอัยการสูงสดุ

คำ�ชี้ขาดความเห็นแย้งฐานกระทำ�โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส
(ชี้ขาดความเห็นแย้งที่ 165/2553)

ป.อ. ตวั การ กระทำ�โดยประมาทเปน็ เหตใุ ห้ผ้อู ่นื รบั อนั ตรายสาหัส
(มาตรา 83, 300)

การที่จะเป็นความผิดฐานกระทำ�โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อ่ืนรับอันตรายสาหัสตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 300 ตอ้ งมกี ารกระทำ�โดยประมาทและการกระท�ำ โดยประมาทนนั้ เปน็ ผลโดยตรง
ใหผ้ อู้ น่ื ไดร้ บั อนั ตรายสาหสั คดนี ป้ี รากฏขอ้ เทจ็ จรงิ วา่ ผตู้ อ้ งหาที่ 3 เปน็ แพทยผ์ ทู้ �ำ การตรวจรกั ษาอาการ
ปว่ ยของผู้ป่วยรายนีใ้ นเบอื้ งแรกโดยฉีดยาและจา่ ยยารักษาอาการปลายประสาทอักเสบแต่หลงั จากนน้ั
ผ้ตู ้องหาที่ 3 มไิ ดร้ กั ษาอาการปว่ ยของผปู้ ่วยอีกตอ่ ไป โดยมีแพทยค์ นอื่นเปน็ ผ้รู กั ษาจนอาการป่วยของ
ผปู้ ว่ ยดขี น้ึ และออกจากโรงพยาบาลไปและตอ่ มาผปู้ ว่ ยไดถ้ กู นำ�ไปรกั ษาอาการปว่ ยจากแพทยท์ โ่ี รงพยาบาล
อน่ื อกี หลายแหง่ ดงั นน้ั การทผ่ี ปู้ ว่ ยมอี าการทรดุ ลงในเวลาตอ่ มาจงึ เปน็ การไมแ่ นน่ อนวา่ เกดิ จากการตรวจ
รักษาของผู้ต้องหาที่ 3 อาจเป็นแพทย์คนอื่นก็ได้ ส�ำ หรับการวินิจฉัยอาการป่วยของผู้ต้องหาที่ 3 ใน
ผู้ป่วยรายนี้เป็นการวินิจฉัยอาการป่วยและดูแลรักษาผู้ป่วยถูกต้องตามมาตรฐานการประกอบวิชาชีพ
เวชกรรมแลว้ และผู้ต้องหาท่ี 3 ได้ใชค้ วามระมัดระวงั ในการตรวจวินจิ ฉยั และรกั ษาตามภาวะวสิ ัยและ
พฤตกิ ารณข์ องแพทยท์ จี่ ะตอ้ งท�ำ การรกั ษาแลว้ แมค้ ณะกรรมการแพทยสภาจะไดล้ งโทษวา่ กลา่ วตกั เตอื น
ผตู้ อ้ งหาท่ี 3 เนอื่ งจากผตู้ อ้ งหาท่ี 3 ไมไ่ ดท้ ำ�การตรวจและบนั ทกึ ความแขง็ แรงของกลา้ มเนอื้ และการรบั
ความรสู้ กึ ทง้ั ทเ่ี ปน็ อาการทส่ี ำ�คญั ทน่ี ำ�ผปู้ ว่ ยมาโรงพยาบาล อันถือได้ว่าผู้ต้องหาที่ 3 ประกอบวิชาชีพ
เวชกรรมโดยไม่รักษามาตรฐานในระดับดีที่สุด ก็เปน็ เพยี งการลงโทษเกย่ี วกบั กรณไี มล่ งบนั ทกึ เวชระเบยี น
ประวัติการรักษาผู้ป่วยให้สมบรู ณเ์ ท่านัน้ ไม่ใช่เป็นเร่อื งของวิธีการรกั ษาหรือให้ยาในผปู้ ่วยรายน้แี ต่อยา่ ง
ใด กรณจี งึ มพี ยานหลกั ฐานฟงั ไดว้ า่ ผตู้ อ้ งหาท่ี 3 ไดท้ ำ�การตรวจรกั ษาอาการปว่ ยของผปู้ ว่ ยโดยใชค้ วาม
ระมดั ระวงั ตามวิสัยและพฤติการณ์แล้ว มิใช่กระทำ�โดยประมาทแตป่ ระการใด

คดนี ้ี พนกั งานอยั การ ส�ำ นกั งานอยั การพเิ ศษฝา่ ยคดศี าลแขวง 7 (แขวงธนบรุ )ี มคี �ำ สง่ั ไมฟ่ อ้ งผตู้ อ้ งหา
ท่ี 1 ถึงท่ี 3 ฐานร่วมกนั กระทำ�โดยประมาทเป็นเหตใุ ห้ผู้อน่ื รับอันตรายสาหัส
ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำ�รวจแห่งชาติปฏิบัติราชการแทนผู้บัญชาการตำ�รวจแห่งชาติมีความเห็นแย้ง
ค�ำ สง่ั ไมฟ่ อ้ งผตู้ อ้ งหาทง้ั สาม อยั การสงู สดุ พจิ ารณาแลว้ ขอ้ เทจ็ จรงิ ฟงั ไดว้ า่ กอ่ นเกดิ เหตนุ าย ม. ปว่ ยมอี าการชาท่ี
มอื ขา้ งขวาไมม่ แี รงหยบิ จบั สง่ิ ของมานาน 14 วนั ตอ่ มาวนั ท่ี 9 มนี าคม 2546 นางสาว ส. ผกู้ ลา่ วหา ซง่ึ เปน็
ภรรยา ไดพ้ านาย ม. ไปรกั ษาทโ่ี รงพยาบาล ก. ซง่ึ มนี ายแพทย์ ศ. ผตู้ อ้ งหาท่ี 1 เปน็ ผไู้ ดร้ บั ใบอนญุ าตใหด้ �ำ เนนิ
การสถานพยาบาล นายแพทย์ ช. เปน็ ผอู้ �ำ นวยการโรงพยาบาล และพนั เอกนายแพทย์ ร. ผตู้ อ้ งหาท่ี 3 เปน็

อัยการนเิ ทศ 189

แพทยผ์ รู้ กั ษา ผกู้ ลา่ วหาไดเ้ ลา่ อาการของผปู้ ว่ ยใหผ้ ตู้ อ้ งหาท่ี 3 ทราบและขอใหท้ �ำ การตรวจเอก็ ซเรยส์ มองกบั
ตรวจคลน่ื หวั ใจผปู้ ว่ ยดว้ ย แตผ่ ตู้ อ้ งหาท่ี 3 เพยี งแตต่ รวจรา่ ยกายทว่ั ไปและตรวจเลอื ดผปู้ ว่ ยแลว้ มคี วามเหน็ วา่
ผปู้ ว่ ยมอี าการเนอ้ื สมองตายเพราะขาดเลอื ดไปเลย้ี ง ซง่ึ อาการดงั กลา่ วไมส่ ามารถรกั ษาใหห้ ายปกตไิ ดแ้ ละจะ
ตอ้ งท�ำ การรกั ษาด้วยวิธีการทางกายภาพบ�ำ บัดเท่านั้น และเนื่องจากผู้ป่วยมีอาการป่วยมาก่อนหน้าที่จะมา
พบแพทย์ประมาณ 2 สัปดาห์ จงึ ไมม่ คี วามจ�ำ เปน็ เรง่ ดว่ นทจ่ี ะรกั ษาผปู้ ว่ ยอยา่ งใกลช้ ดิ และไมจ่ �ำ ตอ้ งรบั ผปู้ ว่ ย
ไวเ้ ปน็ คนไขใ้ น และไดร้ กั ษาผปู้ ว่ ยตามอาการโดยฉดี ยารกั ษาอาการประสาทอกั เสบให้ 1 เขม็ กบั จดั ยารกั ษา
อาการปลายประสาทอกั เสบใหท้ านอกี 30 เมด็ โดยนดั ผปู้ ว่ ยมาพบแพทยอ์ กี ครง้ั ประมาณ 2 สปั ดาห์ ภายหลงั
ออกจากโรงพยาบาลประมาณ 3 วนั ผปู้ ว่ ยมอี าการชาตามขาและล�ำ ตวั ดา้ นขวา ผกู้ ลา่ วหาจงึ น�ำ ผปู้ ว่ ยไปรกั ษา
ทโ่ี รงพยาบาล ก. อกี โดยมแี พทยค์ นอน่ื เปน็ ผรู้ กั ษาจนอาการดขี น้ึ จงึ ไปรกั ษาตวั ตอ่ ทบ่ี า้ นโดยท�ำ กายภาพบ�ำ บดั
ตอ่ มาผกู้ ลา่ วหาเหน็ วา่ อาการปว่ ยของผปู้ ว่ ยยงั ไมป่ กตจิ งึ พาไปรกั ษาทโ่ี รงพยาบาลอน่ื อกี หลายแหง่ และผปู้ ว่ ย
ได้ถึงแก่ความตายในเวลาอีก 2 ปีต่อมาด้วยสาเหตติดเชื้อในกระแสเลือด ผู้กล่าวหาเห็นว่าเหตุที่ผู้ป่วยมี
อาการปว่ ยดงั กลา่ วจนประกอบกรณยี กจิ ไมไ่ ดต้ ามปกตเิ กดิ จากการทผ่ี ตู้ อ้ งหาท่ี 3 ไมไ่ ดต้ รวจรกั ษาผปู้ ว่ ยตาม
ทแ่ี จง้ ความประสงคไ์ ว้ จงึ รอ้ งเรยี นไปยงั แพทยสภาและรอ้ งทกุ ขด์ �ำ เนนิ คดกี บั ผตู้ อ้ งหาทง้ั สามเปน็ คดนี ้ี เหน็ วา่
การที่จะเป็นความผิดฐานกระทำ�โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 300 ตอ้ งมกี ารกระท�ำ โดยประมาทและการกระท�ำ โดยประมาทนน้ั เปน็ ผลโดยตรงใหผ้ อู้ น่ื ไดร้ บั อนั ตราย
สาหสั คดนี ป้ี รากฏขอ้ เทจ็ จรงิ วา่ ผตู้ อ้ งหาท่ี 3 เปน็ แพทยผ์ ทู้ �ำ การตรวจรกั ษาอาการปว่ ยของผปู้ ว่ ยรายนใ้ี นเบอ้ื ง
แรก โดยฉดี ยาและจา่ ยยารกั ษาอาการปลายประสาทอกั เสบ แตห่ ลงั จากนน้ั ผตู้ อ้ งหาท่ี 3 มไิ ดร้ กั ษาอาการปว่ ย
ของผปู้ ว่ ยอกี ตอ่ ไป โดยมแี พทยค์ นอน่ื เปน็ ผรู้ กั ษาจนอาการปว่ ยของผปู้ ว่ ยดขี น้ึ และออกจากโรงพยาบาลไป และ
ตอ่ มาผปู้ ว่ ยไดถ้ กู นำ�ไปรกั ษาอาการปว่ ยจากแพทยท์ โ่ี รงพยาบาลอน่ื อกี หลายแหง่ ดงั นน้ั การทผ่ี ปู้ ว่ ยมอี าการ
ทรดุ ลงในเวลาตอ่ มา จงึ เปน็ การไมแ่ นน่ อนวา่ เกดิ จากการตรวจรกั ษาของผตู้ อ้ งหาท่ี 3 อาจเปน็ แพทยค์ นอน่ื กไ็ ด้
ประกอบกับในการตรวจรักษาอาการผู้ป่วยรายนี้ของผู้ต้องหาที่ 3 ทางคณะกรรมการแพทยสภาและนาย
แพทย์ ส. นายกแพทยสภา ไดต้ รวจสอบเรอ่ื งแลว้ เหน็ วา่ แมก้ ารเจาะเลอื ดตรวจจะไมเ่ พยี งพอทจ่ี ะท�ำ ใหท้ ราบ
ไดว้ า่ ผปู้ ว่ ยมอี าการเนอ้ื สมองตายเพราะขาดเลอื ดกต็ าม แตก่ ารเจาะเลอื ดตรวจกท็ ำ�ใหท้ ราบวา่ ผปู้ ว่ ยมปี จั จยั
เสย่ี งอะไรบา้ ง ผปู้ ว่ ยทม่ี อี าการเนอ้ื สมองตายเพราะขาดเลอื ดนน้ั ไมส่ ามารถรกั ษาใหห้ ายขาดได้ แตอ่ าจรกั ษาให้
หายจนมอี าการเกอื บปกตไิ ดโ้ ดยผปู้ ว่ ยจะตอ้ งมารกั ษาอาการภายใน 3 ชว่ั โมง นบั แตม่ อี าการปว่ ยดว้ ยการใช้
ยาละลายลม่ิ เลอื ด ซง่ึ การตรวจเอก็ ซเรยส์ มองและการตรวจคลน่ื หวั ใจนน้ั ไมเ่ พยี งพอใหว้ นิ จิ ฉยั ไดว้ า่ ผปู้ ว่ ยมอี าการ
เนอ้ื สมองตายเพราะขาดเลอื ดไปเลย้ี ง จะตอ้ งทำ�การตรวจรา่ งกายดว้ ยจงึ จะสามารถวนิ จิ ฉยั อาการปว่ ยไดอ้ ยา่ ง
แมน่ ย�ำ ส�ำ หรบั การวนิ จิ ฉยั อาการปว่ ยของผตู้ อ้ งหาท่ี 3 ในผปู้ ว่ ยรายนเ้ี ปน็ การวนิ จิ ฉยั อาการปว่ ยและดแู ลรกั ษา
ผปู้ ว่ ยถกู ตอ้ งตามมาตรฐานการประกอบวชิ าชพี เวชกรรมแลว้ และผตู้ อ้ งหาท่ี 3 ไดใ้ ชค้ วามระมดั ระวงั ในการ
ตรวจวนิ จิ ฉยั และรกั ษาตามภาวะวสิ ยั และพฤตกิ ารณข์ องแพทยท์ จ่ี ะตอ้ งท�ำ การรกั ษาแลว้ แมค้ ณะกรรมการ
แพทยสภาจะไดล้ งโทษวา่ กลา่ วตกั เตอื นผตู้ อ้ งหาท่ี 3 เนอ่ื งจากผตู้ อ้ งหาท่ี 3 ไมไ่ ดท้ �ำ การตรวจและบนั ทกึ ความ
แข็งแรงของกล้ามเนื้อและการรับความรู้สึก ทั้งที่เป็นอาการที่สำ�คัญที่นำ�ผู้ป่วยมาโรงพยาบาล อันถือได้ว่า

190 คำ�ชข้ี าดความเหน็ แย้งของอัยการสูงสุด

ผตู้ อ้ งหาท่ี 3 ประกอบวชิ าชพี เวชกรรมโดยไมร่ กั ษามาตรฐานในระดบั ดที ส่ี ดุ กเ็ ปน็ เพยี งการลงโทษเกย่ี วกบั กรณี
ไม่ลงบนั ทกึ เวชระเบียนประวัติการรักษาผู้ปว่ ยให้สมบูรณเ์ ท่านน้ั ไมใ่ ช่เปน็ เร่อื งของวิธีการรกั ษาหรอื ใหย้ าใน
ผปู้ ว่ ยรายนแ้ี ตอ่ ยา่ งใด กรณจี งึ มพี ยานหลกั ฐานฟงั ไดว้ า่ ผตู้ อ้ งหาท่ี 3 ไดท้ ำ�การตรวจรกั ษาอาการปว่ ยของผปู้ ว่ ย
โดยใชค้ วามระมดั ระวงั ตามวสิ ยั และพฤตกิ ารณแ์ ลว้ มไิ ดก้ ระทำ�โดยประมาทแตป่ ระการใด สว่ นผตู้ อ้ งหาท่ี 1
และท่ี 2 ไมป่ รากฏพยานหลกั ฐานวา่ ไดร้ ว่ มกบั ผตู้ อ้ งหาท่ี 3 ท�ำ การตรวจรกั ษาผปู้ ว่ ยรายนด้ี ว้ ย การกระท�ำ ของ
ผตู้ อ้ งหาทง้ั สามจงึ ไมเ่ ปน็ ความผดิ ตามขอ้ กลา่ วหา
จึงชี้ขาดไม่ฟ้องนายแพทย์ ศ. ผู้ต้องหาที่ 1 นายแพทย์ ช. ผู้ต้องหาที่ 2 และพันเอกนายแพทย์
ร. ผู้ต้องหาที่ 3 ฐานร่วมกันกระทำ�โดยประมาทและการกระทำ�นั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300, 83

อัยการนเิ ทศ 191

คำ�ชี้ขาดความเห็นแย้งความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ผู้อื่น และใช้ผู้อื่นให้กระทำ�ความผิด
โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำ�ความผิด
หรือพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม
(ชี้ขาดความเห็นแย้งที่ 358/2553)

ป.อ. ยักยอกทรัพย์ (มาตรา 352)

การที่อธิบดีอัยการภาค มีคำ�สั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาตามข้อกล่าวหา ย่อมรวมถึงข้อหาลักทรัพย์
ของผู้อื่นโดยใช้ยานพาหนะเพื่อความสะดวกแก่การกระท�ำ ความผิดหรือพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้น
การจับกุม ที่พนักงานอัยการชั้นต้นได้มีความเห็นควรสั่งฟ้องไว้ด้วย เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดมีความ
เห็นว่าผู้ต้องหามีความผิดในข้อหาดังกล่าว จึงเป็นกรณี ผู้ว่าราชการจังหวัดมีความเห็นแย้งตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 145
นาง ต. ซึ่งเป็นมารดาของนาย ณ. ผู้ต้องหาและนางสาว ช. น้องสาวของผู้ต้องหา ได้ยกที่ดิน
ให้แก่ผู้ต้องหาโดยไม่ได้ทำ�เป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หลังจากนั้นผู้ต้องหาได้
ครอบครองที่ดินดังกล่าวและปลูกสร้างบ้านที่เกิดเหตุบนที่ดินดังกล่าวไว้พักอาศัยกับครอบครัว ต่อมา
วันที่ ๒o ธันวาคม ๒๕๔๘ นาง ต. ได้ยกที่ดินดังกล่าวให้แก่นางสาว ช. โดยท�ำ เป็นหนังสือและจด
ทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย แต่ผู้ต้องหาที่ก็ยังคงครอบครองที่ดินดังกล่าวและบ้านที่เกิดเหตุอยู่ และ
ต่อมาวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๔๙ นางสาว ช. ได้ขายฝากที่ดินดังกล่าวและบ้านที่เกิดเหตุให้กับนาง จ.
ผู้เสียหาย ครั้นครบกำ�หนดระยะเวลาไถ่ถอนซึ่งผู้เสียหายได้ขยายระยะเวลาไถ่ถอนการขายฝากให้หลาย
ครั้งจนกระทั่งครบกำ�หนดระยะเวลาไถ่ถอนการขายฝากที่อนุญาตให้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์
๒๕๕๑ นางสาว ช. ไม่สามารถทำ�การไถ่ถอนทรัพย์ที่นำ�ไปขายฝากได้ ทำ�ให้ที่ดินดังกล่าวและบ้านที่
เกดิ เหตุตกเปน็ กรรมสิทธข์ิ องผู้เสียหาย การทผี่ ู้ตอ้ งหาซ่ึงยังครอบครองและพักอาศัยอยู่ในท่ีดินดังกล่าว
และบ้านที่เกิดเหตุได้สั่งให้นาย ส. รื้อรั้วเหล็กของกลางซึ่งกั้นแนวเขตที่ดินดังกล่าวออกแล้วน�ำ ไปขาย
เอาเงินไปใช้ประโยชน์ส่วนตน การกระทำ�ของผู้ต้องหาถือได้ว่าเป็นการเบียดบังทรัพย์ของผู้อื่นเป็น
ของตนโดยทุจริต จึงมีความผิดฐานยักยอก หาใช่ความผิดฐานลักทรัพย์ไม่


คดกี ลา่ วหาวา่ นาย ณ. ผตู้ อ้ งหา รว่ มกนั ลกั ทรพั ยผ์ อู้ น่ื และใชผ้ อู้ น่ื ใหก้ ระท�ำ ความผดิ โดยใชย้ านพาหนะ
เพอ่ื สะดวกแกก่ ารกระท�ำ ความผดิ หรอื พาทรพั ยน์ น้ั ไป หรอื เพอ่ื ใหพ้ น้ จากการจบั กมุ
ขอ้ เทจ็ จรงิ ได้ความวา่ เมอ่ื วนั ที่ ๒๒ กนั ยายน ๒๕๔๙ นาง จ. ผู้เสยี หาย ได้รบั ซอื้ ฝากบา้ นที่เกิดเหตุ
มาจากนางสาว ช. นอ้ งสาวของผตู้ อ้ งหา เม่ือครบก�ำ หนดระยะเวลาไถ่ถอนนางสาว ช. ไม่สามารถนำ�เงินมา

192 ค�ำ ชขี้ าดความเหน็ แย้งของอัยการสงู สุด

ไถถ่ อนไดซ้ ง่ึ ผเู้ สยี หายไดข้ ยายระยะเวลาไถถ่ อนให้ ๙ ครงั้ แลว้ ตอ่ มาวนั ที่ ๗ มนี าคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๗.oo
นาฬิกา ผู้เสียหายไปที่บ้านเกิดเหตุ เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยพบว่ารั้วเหล็กทางด้านทิศตะวันตก
และตะวันออกของบ้านได้ถูกตัดออกไป จำ�นวนรวม ๒๓ ช่อง ค่าเสียหาย ๓๔,๕oo บาท สอบถามนาง ฬ.
ภรรยาของผู้ต้องหาแจ้งว่าให้ไปถามผู้ต้องหา ผู้เสียหายตกลงกับผู้ต้องหาไม่ได้ โดยผู้เสียหายทราบว่า
ผู้ต้องหาเป็นผู้ใช้ให้นาย ส. เป็นผู้ตัดถอดและน�ำ รั้วเหล็กดังกล่าวไปขายที่ร้าน พ. โดยใช้รถยนต์กระบะ คัน
หมายเลขทะเบียน ผฉ - ๙๕๖๒ นครราชสีมา เป็นยานพาหนะ ผู้เสียหายจึงติดตามไปซื้อคืนมาในราคา
๔,๒๕๖ บาท ต่อมาผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน
เหตุเกิดเมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๒ เวลา o๘.oo นาฬิกา ที่ต�ำ บลหนองจะบก อำ�เภอเมือง จังหวัด
นครราชสีมา
ชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ
พนักงานสอบสวนมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาฐานร่วมกันลักทรัพย์ผู้อื่น และใช้ผู้อื่นให้กระทำ�
ผิดโดยใช้ยานพาหนะ เพื่อสะดวกแก่การกระทำ�ความผิด หรือพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม
ต่อมาวันที่ 27 กรกฎาคม 2552 ผู้ต้องหาร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการจังหวัด
พนักงานอัยการเจ้าของสำ�นวนและอัยการจังหวัดมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาฐานลักทรัพย์
โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำ�ความผิดฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334, 336
ทวิ และเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาฐานร่วมกันลักทรัพย์ของผู้อื่น และใช้ผู้อื่นกระทำ�ความผิดตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 83, 84, 335 (7) ขอให้ผ้ตู อ้ งหาคืนหรือใชร้ าคาทรพั ย์ 34,500 บาทแก่ผเู้ สยี หาย
ของกลางให้จัดการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 85 กรณีผู้ต้องหายร้องขอ
ความเป็นธรรม เสนออธิบดีอัยการเขต เพื่อพิจารณาตามระเบียบสำ�นักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการด�ำ เนิน
คดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2547 ข้อ 48 ที่แก้ไขใหม่
อธิบดีอัยการเขต สั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาตามข้อกล่าวหา
ผู้ว่าราชการจังหวัดมีความเห็นแย้งคำ�สั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาโดยเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาฐาน
ลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำ�ผิดและพาทรัพย์นั้นไป
อัยการสูงสุดพิจารณาแล้ว เห็นว่า การที่อธิบดีอัยการภาค มีคำ�สั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาตาม ข้อกล่าวหา
ย่อมรวมถึงข้อหาลักทรัพย์ของผู้อื่นโดยใช้ยานพาหนะเพื่อความสะดวกแก่การกระท�ำ ความผิดหรือพาทรัพย์
นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม ที่พนักงานอัยการชั้นต้นได้มีความเห็นควรสั่งฟ้องไว้ด้วย เมื่อผู้ว่าราชการ
จังหวัดมีความเห็นว่าผู้ต้องหามีความผิดในข้อหาดังกล่าว จึงเป็นกรณี ผู้ว่าราชการจังหวัดมีความเห็น
แย้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๕ นาง ต. ซึ่งเป็นมารดาของนาย ณ. ผู้ต้องหาและนางสาว
ช. น้องสาวของผู้ต้องหา ได้ยกที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๖๙๒๒ ตำ�บลหนองจอก อำ�เภอเมืองนครราชสีมา จังหวัด
นครราชสีมา เนื้อที่ ๑ งาน ๙๘ ตารางวา ให้แก่ผู้ต้องหาโดยไม่ได้ทำ�เป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงาน
เจ้าหน้าที่ หลังจากนั้นผู้ต้องหาได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวและปลูกสร้างบ้านที่เกิดเหตุบนที่ดินดังกล่าวไว้

อัยการนิเทศ 193

พักอาศัยกับครอบครัว ต่อมาวันที่ ๒o ธันวาคม ๒๕๔๘ นาง ต. ได้ยกที่ดินดังกล่าวให้แก่นางสาว ช. โดยท�ำ
เป็นหนังสือและจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย แต่ผู้ต้องหาก็ยังคงครอบครองที่ดินดังกล่าวและบ้านที่เกิด
เหตุอยู่ และต่อมาวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๔๙ นางสาว ช. ได้ขายฝากที่ดินดังกล่าวและบ้านที่เกิดเหตุให้กับ
นาง จ. ผู้เสียหาย ครั้นครบกำ�หนดระยะเวลาไถ่ถอนซึ่งผู้เสียหายได้ขยายระยะเวลาไถ่ถอนการขายฝากให้
หลายครั้ง จนกระทัง่ ครบกำ�หนดระยะเวลาไถถ่ อนการขายฝากทีอ่ นญุ าตใหค้ รัง้ สดุ ทา้ ยเมือ่ วนั ที่ ๒๒ กมุ ภาพนั ธ์
๒๕๕๑ นางสาว ช. ไม่สามารถท�ำ การไถ่ถอนทรัพย์ที่นำ�ไปขายฝากได้ ทำ�ให้ที่ดินดังกล่าวและบ้านที่เกิดเหตุ
ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้เสียหาย การที่ผู้ต้องหาซึ่งยังครอบครองและพักอาศัยอยู่ในที่ดินดังกล่าวและบ้านที่
เกิดเหตุได้สั่งให้นาย ส. รื้อรั้วเหล็กของกลางซึ่งกั้นแนวเขตที่ดินดังกล่าวออกแล้วนำ�ไปขายเอาเงินไปใช้
ประโยชน์ส่วนตน การกระทำ�ของผู้ต้องหาถือได้ว่าเป็นการเบียดบังทรัพย์ของผู้อื่นเป็นของตนโดยทุจริต จึง
มีความผิดฐานยักยอก หาใช่ความผิดฐานลักทรัพย์ไม่
จึงชี้ขาดไม่ฟ้องนาย ณ. ผู้ต้องหา ฐานลักทรัพย์ของผู้อื่นโดยใช้ยานพาหนะเพื่อความสะดวกแก่
การกระทำ�ความผิดหรือพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
๓๓๔ , ๓๓๖ ทวิ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๑๓ และสั่ง
ฟ้องผู้ต้องหา ฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒

อนึ่ง ให้แจ้งพนักงานสอบสวนทำ�การแจ้งข้อหาและสอบคำ�ให้การผู้ต้องหาตามฐานความผิดที่สั่ง
ฟ้องโดยปฏิบัติให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่แก้ไขใหม่ก่อนยื่นฟ้องส่วนรั้วเหล็ก
ของกลาง ให้แจ้งเจ้าพนักงานสอบสวนจัดการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 85
กับให้แจ้งสำ�นักงานอัยการจังหวัดส่งสำ�นวนคดีนี้ให้พนักงานสอบสวนนำ�ส่งสำ�นักงานอัยการคดีศาลแขวง
เพื่อดำ�เนินการต่อไป

194 ค�ำ ช้ขี าดความเห็นแย้งของอยั การสงู สุด


Click to View FlipBook Version