ครุนิพนธ์ ธนาภรณ์ บัวหลวง ครุนิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูตามหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ปีการศึกษา 2565 ลิขสิทธิ์เป็นของมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
ก กิตติกรรมประกาศ ครุนิพนธ์ฉบับนี้สำเร็จอย่างสมบูรณ์ได้ด้วยความกรุณาช่วยเหลืออย่างดียิ่งจาก อาจารย์ดร.จริญญาพร สวยนภานุสรณ์ อาจารย์ที่ปรึกษาครุนิพนธ์ ที่ได้กรุณาเสียสละเวลาอันมีค่า ในการให้คำแนะนำให้ความรู้ ข้อมูล และข้อเสนอแนะ ตลอดจนตรวจแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ด้วยความเอาใจใส่เป็นอย่างดีผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้งและขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ โอกาสนี้ ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณ คุณครูจิรภา เฮียงโฮม ครูพี่เลี้ยงขณะฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู โรงเรียนสวนอนันต์ คุณครูชุติมาดี ทิมตระกูล และคุณครูสุจินดา ทัศศะ คุณครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์(วัดน้อยใน)ในพระราชูปถัมภ์ ที่ได้กรุณาเป็นผู้เชี่ยวชาญพิจารณา ตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ตลอดจนให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ในการปรับปรุงแก้ไขงานวิจัย จนสำเร็จสมบูรณ์ ขอกราบขอบพระคุณ นายจรูญวิชญ์ ผลสุวรรณ รองผู้อำนวยการรักษาการในตำแหน่ง ผู้อำนวยการโรงเรียนสวนอนันต์เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ที่ได้ให้ความอนุเคราะห์ อำนวยความสะดวกในการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูลตลอดการจัดทำครุนิพนธ์ครั้งนี้อย่างเต็มที่ ขอกราบขอบพระคุณ รองศาสตราจารย์กิตติยา รัศมีแจ่ม ประธานสาขาวิชาภาษาไทย (ค.บ.) ที่กรุณา ตรวจสอบครุนิพนธ์ในครั้งนี้และขอขอบคุณนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ ที่ให้ความร่วมมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นอย่างดี คุณค่าและประโยชน์อันพึงมีจากครุนิพนธ์นี้ผู้วิจัยขอน้อมบูชาพระคุณบิดามารดา และบูรพาจารย์ทุกท่านที่ได้อบรมสั่งสอนวิชาความรู้และให้ความเมตตามาโดยตลอด ได้ช่วยเหลือและ เป็นกำลังใจสำคัญที่ทำให้การจัดทำครุนิพนธ์ฉบับนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี ธนาภรณ์ บัวหลวง
ข สารบัญ หน้า กิตติกรรมประกาศ ก สารบัญ ข สารบัญตาราง จ สารบัญภาพ ช ส่วนที่ 1 งานวิจัยในชั้นเรียน 1 บทคัดย่อภาษาไทย 2 บทที่ 1 บทนำ 4 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 4 วัตถุประสงค์การวิจัย 5 สมมติฐานการวิจัย 6 ขอบเขตการวิจัย 6 ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย 7 นิยามศัพท์เฉพาะ 7 กรอบแนวคิดในการวิจัย 8 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 9 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรการศึกษาแกนกลาง พุทธศักราช 2551 10 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 10 สาระการเรียนรู้และมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระภาษาไทย 11 ความรู้เกี่ยวกับคำราชาศัพท์ 12 ความหมายของคำราชาศัพท์ 12 คำราชาศัพท์สำหรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ 14 คำศัพท์เฉพาะสำหรับพระภิกษุสงฆ์ 22 คำสุภาพสำหรับบุคคลทั่วไป 26 ความรู้เกี่ยวกับชุดการเรียน 28 ความหมายของชุดการเรียน 28 ประเภทของชุดการเรียน 30
ค สารบัญ (ต่อ) หน้า ขั้นตอนการสร้างชุดการเรียน 31 ประโยชน์ของชุดการเรียน 34 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ 35 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ 35 ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ 36 ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ 37 ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ 40 ข้อแนะนำในการเขียนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ดี 43 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 44 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย 47 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 47 แบบแผนการวิจัย 47 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 48 การเก็บรวบรวมข้อมูล 51 การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิจัย 53 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 56 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 56 การนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 57 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 57 บทที่ 5 สรุปผล อภิปราย และข้อเสนอแนะ 62 สรุปผลการวิจัย 62 อภิปรายผลการวิจัย 63 ข้อเสนอแนะ 64 ส่วนที่ 2 แนวปฏิบัติที่ดีตามสมรรถนะทางวิชาชีพครู 65 หลักการและเหตุผล 66 วัตถุประสงค์ 67
ง สารบัญ (ต่อ) หน้า ขอบเขตการศึกษา 68 ความสอดคล้องกับสมรรถนะทางวิชาชีพ 68 วิธีดำเนินการแนวปฏิบัติที่ดีตามสมรรถนะทางวิชาชีพครู 75 ปัจจัยความสำเร็จของการดำเนินการ 81 ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนา 82 บรรณานุกรม 83 ภาคผนวก 87 ภาคผนวก ก ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือ 88 ภาคผนวก ข เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 94 ภาคผนวก ค คุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 215 ภาคผนวก ง ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 224 ภาคผนวก จ ผลงานที่เกิดจากแนวปฏิบัติที่ดีตามสมรรถนะทางวิชาชีพครู 233 ประวัติผู้วิจัย 235
จ สารบัญตาราง หน้า ตารางที่ 1 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางภาษาไทยชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 11 สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย ตารางที่ 2 แบบแผนการทดลอง 47 ตารางที่ 3 แจกแจงการทดลองตามช่วงเวลา 52 ตารางที่ 4 การหาค่าประสิทธิภาพของชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้น 57 มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ตารางที่ 5 การหาประสิทธิภาพชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ 58 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 จำแนกเป็นตอน ตารางที่ 6 การหาประสิทธิภาพชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ 59 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ ตอนที่ 1 คำราชาศัพท์สำหรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ ตารางที่ 7 การหาประสิทธิภาพชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ 59 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ ตอนที่ 2 คำศัพท์เฉพาะพระภิกษุสงฆ์ ตารางที่ 8 การหาประสิทธิภาพชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ 60 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ ตอนที่ 3 คำสุภาพสำหรับบุคคลทั่วไป ตารางที่ 9 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ เรื่อง คำราชาศัพท์ 61 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ ก่อนและหลังเรียนโดยใช้ชุดการเรียนเรื่อง คำราชาศัพท์ ตารางที่ 10 ตารางแผนการดำเนินการ 75 ตารางที่ 11 ตารางกำหนดการปฏิบัติและประชุมร่วมกับสมาชิกผู้ร่วมประกอบวิชาชีพ 76 ตารางที่ 12 แบบบันทึกการสะท้อนคิดหลังการประชุมร่วมกับสมาชิกผู้ร่วมประกอบวิชาชีพ 76 ตารางที่ 13 แบบบันทึกพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนระหว่างทำกิจกรรม 78 ตารางที่ 14 แบบบันทึกการสะท้อนคิดของสมาชิกผู้ร่วมประกอบวิชาชีพ ครั้งที่ 1 80 ตารางที่ 15 แบบบันทึกการสะท้อนคิดของสมาชิกผู้ร่วมประกอบวิชาชีพ ครั้งที่ 2 80
ฉ สารบัญตาราง (ต่อ) หน้า ตารางที่ 16 ผลแบบตรวจสอบคุณภาพผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อแผนการจัดการเรียนรู้ 217 เรื่อง คำราชาศัพท์ กลุ่มสาระภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ ตารางที่ 17 ผลการพิจารณาหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 219 ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ตารางที่ 18 ผลแบบตรวจสอบคุณภาพของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ 223 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ ตารางที่ 19 การหาประสิทธิภาพของชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้น 226 มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ ตารางที่ 20 การหาประสิทธิภาพของชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ (แต่ละตอน) 228 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ ตารางที่ 21 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ เรื่อง คำราชาศัพท์ ก่อนและหลังเรียน 230 โดยใช้ชุดการเรียนสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ ตารางที่ 22 การวิเคราะห์ค่า t (t-test for Dependent Samples) 232
ช สารบัญภาพ หน้า ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการวิจัย 8 ภาพที่ 2 ผลงานที่เกิดจากแนวปฏิบัติที่ดีตามสมรรถนะทางวิชาชีพครู 234
ส่วนที่ 1 งานวิจัยในชั้นเรียน
2 ชื่อเรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ โดยใช้ชุดการเรียน ชื่อผู้วิจัย ธนาภรณ์ บัวหลวง หลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชา ภาษาไทย อาจารย์นิเทศก์ อาจารย์ดร.จริญญาพร สวยนภานุสรณ์ ประธานสาขาวิชา รองศาสตราจารย์กิตติยา รัศมีแจ่ม ปีการศึกษา 2565 บทคัดย่อ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง โดยใช้กลุ่มตัวอย่างกลุ่มเดียวระหว่างก่อนและหลัง การทดสอบ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 และ 2) เปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ เรื่อง คำราชาศัพท์ ก่อนและหลังเรียนโดยใช้ชุดการเรียนสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียนสวนอนันต์ ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 10 คน ได้มาจากการสุ่มอย่างง่ายโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม ซึ่งแต่ละ ห้องเรียนได้มีการคละความสามารถแล้ว เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอนเรื่อง คำราชาศัพท์ จำนวน 7 แผน 2) ชุดการเรียนเรื่อง คำราชาศัพท์ จำนวน 3 ตอน และ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์เรื่อง คำราชาศัพท์ก่อนและหลังเรียน แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ คุณภาพของเครื่องมือ 1) ผลแบบตรวจสอบคุณภาพ ของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง คำราชาศัพท์ สอดคล้องระหว่างจุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหาและกิจกรรมการเรียนรู้ มีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1.00 สามารถนำไปใช้ได้ 2) ผลการตรวจสอบคุณภาพของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อชุดการเรียนเรื่อง คำราชาศัพท์ สอดคล้องกับ องค์ประกอบที่ตั้งไว้ มีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 0.67 – 1.00 สามารถนำไปใช้ได้ และ 3) ผลการตรวจสอบคุณภาพของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์เรื่อง คำราชาศัพท์ มีค่าดัชนี ความสอดคล้องเท่ากับ 0.67 – 1.00 สามารถนำไปใช้ได้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC ค่าประสิทธิภาพ E1/E2 และค่าทีt-test for Dependent Sample
3 ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของชุดการเรียนเรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ ที่ผู้วิจัยได้สร้างขึ้นมามีค่า E1/E2 เท่ากับ 96.33/94.00 ซึ่งมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ 80/80 และ 2) ผลสัมฤทธิ์เรื่อง คำราชาศัพท์ โดยใช้ชุดการเรียน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ พบว่า หลังเรียนโดยใช้ ชุดการเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 คำสำคัญ : ผลสัมฤทธิ์ คำราชาศัพท์ ชุดการเรียน
บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอันยาวนาน ตั้งแต่เริ่มรวมแผ่นดิน กระทั่งถึงการพัฒนาประเทศในปัจจุบัน สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่มีความเกี่ยวพันกับประเทศ และผูกพันกับประชาชนมาตลอดระยะเวลาจนถึงปัจจุบัน คนไทยมีความใกล้ชิดกับสถาบัน พระมหากษัตริย์ ด้วยพระมหากษัตริย์ไทยทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อให้พสกนิกร อยู่เย็นเป็นสุข นอกจากนี้พระองค์ยังทรงเป็นประมุขของชาติ เป็นศูนย์รวมจิตใจ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ความปรองดองของคนไทย อีกทั้งประเทศไทยเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมอันงดงาม ซึ่งมีวัฒนธรรม หลากหลายด้าน ที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นชาติไทยไว้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม ด้านขนบธรรมเนียมประเพณีด้านอาหาร ด้านการแต่งกาย และด้านภาษา แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไป วัฒนธรรมในด้านต่าง ๆ เหล่านี้ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย โดยเฉพาะวัฒนธรรมด้านภาษา เนื่องจากภาษาได้ชื่อว่าเป็นสิ่งที่มี “วิวัฒนาการ” ในตัวเอง ฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงของภาษาจึงเป็นเรื่องที่ ปกติ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เนื่องจากภาษาไทยได้มีการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เท่าทันกับยุคสมัย อีกทั้งยังรับเอาภาษาต่างประเทศ จากประเทศต่าง ๆ เข้ามาผสมผสานกลมกลืน กับภาษาไทย ทำให้ได้ภาษาใหม่และเกิดความรู้สึกว่าเป็นภาษาของไทยเราเอง ดังที่ วิเชียร เกษประทุม (ม.ป.ป. : 7) ได้กล่าวไว้ว่า ถ้าเราศึกษาวิวัฒนาการของภาษาไทย เราจะเห็นว่าภาษาไทย มีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงมาทุกระยะ อันแสดงถึงความมีชีวิตชีวา เมื่อชาวไทยได้คบหาสมาคม กับชนชาติใด ก็มักจะรับคำในภาษาของชนชาตินั้น ๆ มาเพิ่มเติมไว้ในภาษาไทยของเราเสมอ อย่างไรก็ตามภาษาแต่ละภาษาย่อมมีความแตกต่างกันออกไปในเรื่องต่าง ๆ ภาษาไทยของเรา ก็มีความแตกต่างกันออกไปตามบริบทการใช้ภาษา ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ระดับ ได้แก่ ภาษาระดับพิธีการ ภาษาระดับทางการ ภาษาระดับกึ่งทางการ ภาษาระดับไม่เป็นทางการ และภาษาระดับกันเอง ระดับของ ภาษาที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นภาษาที่นำมาใช้กับบุคคลทั่วไป โดยการเลือกใช้นั้นต้องดูถึงความถูกต้อง ตามแบบแผน ตลอดจนถูกต้องเหมาะสมตามกาลเทศะ ซึ่งภาษาทั้ง 5 ระดับนี้ยังไม่เหมาะสมที่จะนำไปใช้ กับสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากคนในสังคมไทยมีความเคารพบูชาและเทิดทูลสถาบัน พระมหากษัตริย์เป็นอย่างยิ่งสืบต่อกันมาช้านานถือเป็นขนบธรรมเนียม จารีตประเพณีของชาติไทย
5 อย่างเหนียวแน่นมาแต่อดีตกาล ทั้งนี้จึงได้มีการคิดถ้อยคำที่มีลักษณะพิเศษ เป็นเอกลักษณ์ขึ้นเพื่อใช้ให้ เหมาะสมกับฐานะของบุคคล จากเหตุผลข้างต้น การเรียนเรื่อง คำราชาศัพท์ จัดได้ว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ที่จะศึกษาและเรียนรู้เพื่อนำไปใช้ให้ถูกต้องเหมาะสม เพราะคำราชาศัพท์เปรียบเสมือนสิ่งที่แสดงถึง เอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมทางภาษาของชาติไทยอย่างหนึ่ง แม้ว่าคำราชาศัพท์จะเป็นการใช้ภาษาที่ใกล้ตัว แต่บุคคลทั่วไปยังไม่ให้ความสำคัญและมีความรู้ในเรื่องการนำคำราชาศัพท์ไปใช้อย่างไม่ถูกต้อง ทำให้เรื่องคำราชาศัพท์ กลายเป็นเรื่องที่ยากและไกลตัวสำหรับนักเรียน คือ (1) ยากที่จะเรียนรู้ให้เกิด ความเข้าใจอย่างถ่องแท้และสามารถนำไปใช้อย่างถูกต้องเหมาะสมในเวลาอันจำกัด และ (2) ยากที่จะ ถ่ายทอดกับผู้อื่น หรือสื่อสารอย่างถูกต้องเหมาะสม ไกลตัว คือ เมื่อไม่มีความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ นักเรียนจึงเลือกที่จะไม่ใช้เนื่องจากมีความกังวลว่าจะใช้ผิด รวมถึงยากสำหรับครูผู้สอนที่จะต้องคิดค้น วิธีการสอนเพื่อ สร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียนเกิดความสนใจที่จะเรียนรู้หรือจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เอื้อ ต่อความเข้าใจของนักเรียนให้ได้มากที่สุดและเชื่อมโยงให้นักเรียนเล็งเห็นถึงความสำคัญ ถึงแม้ว่าไม่ได้ใช้ ในชีวิตประจำวันอย่างสม่ำเสมอแต่ก็เป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ในฐานะการเป็นคนไทยซึ่งก็คือส่วนหนึ่ง ของการอนุรักษ์วัฒนธรรมทางภาษาสามารถเชื่อมโยงไปสู่ศาสตร์ในการเรียนวิชาภาษาไทยในระดับ ที่สูงขึ้นไปได้ จากความสำคัญที่ได้กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยจึงคิดค้นสื่อการสอน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ ให้มีความน่าสนใจเหมาะสมกับวัยของนักเรียน เพื่อช่วยกระตุ้นให้นักเรียน เกิดความสนใจ พร้อมพัฒนาเพื่อเพิ่มความรอบรู้ด้านทักษะและความสามารถให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ในการเรียนเรื่อง คำราชาศัพท์ของนักเรียน ซึ่งสื่อการสอนที่ผู้วิจัยจัดทำขึ้น คือ ชุดการเรียน ซึ่งถือเป็น สื่อชนิดหนึ่งที่มีความน่าสนใจและสามารถออกแบบให้เหมาะสมกับช่วงวัยของนักเรียนได้ ช่วยให้นักเรียน เข้าใจในเนื้อหาได้ดีมากยิ่งขึ้น โดยในชุดการเรียนประกอบด้วย ใบความรู้ และกิจกรรมแบบฝึกทักษะ ให้นักเรียนได้ฝึกฝนพัฒนาตนเอง ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะสร้างชุดการเรียนเรื่อง คำราชาศัพท์ สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทยของ นักเรียนให้สูงขึ้น อีกทั้งเป็นการพัฒนาความสามารถทางด้านภาษาไทยของนักเรียนให้มีประสิทธิภาพ ต่อไป วัตถุประสงค์การวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้กำหนดวัตถุประสงค์ ไว้ดังนี้ 1. เพื่อสร้างชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน สวนอนันต์ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80
6 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ เรื่อง คำราชาศัพท์ ก่อนและหลังเรียนโดยใช้ชุดการเรียน สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ สมมติฐานการวิจัย 1. ประสิทธิภาพของชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ คือ 80/80 2. ผลสัมฤทธิ์เรื่อง คำราชาศัพท์ โดยใช้ชุดการเรียน สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ขอบเขตการวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนสวนอนันต์ ห้อง 1 - 2 จำนวน 2 ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น 19 คน กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนสวนอนันต์ ห้อง 2/1 จำนวน 10 คน ได้มาจากการสุ่มอย่างง่ายโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม ซึ่งแต่ละห้องเรียนได้มีการคละความสามารถแล้ว ตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรอิสระ ได้แก่ ชุดการเรียนเรื่อง คำราชาศัพท์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน สวนอนันต์ เนื้อหา ขอบข่ายของเนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย คือเรื่อง คำราชาศัพท์ รายวิชาภาษาไทย (หลักภาษาและ การใช้ภาษา) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 3 ตอน ได้แก่ 1. คำราชาศัพท์สำหรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ 2. คำศัพท์เฉพาะสำหรับพระภิกษุสงฆ์ 3. คำสุภาพสำหรับบุคคลทั่วไป
7 โดยเหตุผลในการคัดเลือกเนื้อหาใช้หลักการของสมิธ แสตนเลย์และชอว์ (Smith, Stanley and Shores) (Smith, Stanley and Shores, 1950 : 278–284 อ้างถึงใน บัวลักษณ์ เพชรงาม, ม.ป.ป. : 22) ประกอบด้วย 1. ต้องมีความสำคัญต่อการเรียนรู้ 2. ต้องมีประโยชน์ในชีวิตประจำวัน 3. ต้องเป็นสิ่งที่มีคุณค่า ซึ่งสังคมต้องการรักษาไว้ 4. ต้องเป็นสิ่งที่ผู้เรียนสนใจ 5. ต้องเป็นสิ่งที่ส่งเสริมการพัฒนาสังคม 6. ต้องสอดคล้องกับเป้าประสงค์ของการศึกษาและสังคม ระยะเวลาที่ศึกษา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย 1. ได้ชุดการเรียนที่มีประสิทธิภาพ สามารถนำไปใช้ในการเรียนการสอน เรื่อง คำราชาศัพท์ได้ นักเรียนสามารถที่จะศึกษาเรียนรู้จากชุดการเรียนได้เอง โดยมีครูผู้สอนคอยให้คำแนะนำเพิ่มเติม 2. นักเรียนสามารถใช้ภาษาได้ถูกต้องเหมาะสมกับฐานะของบุคคล 3. นักเรียนสามารถฟัง อ่าน และเขียนข้อความที่ใช้คำราชาศัพท์ได้อย่างเข้าใจและถูกต้อง มากยิ่งขึ้น นิยามศัพท์เฉพาะ คำราชาศัพท์ หมายถึง ถ้อยคำสุภาพที่ร้อยเรียงขึ้นโดยมีลักษณะของคำที่พิเศษ มีเอกลักษณ์แตกต่างจากถ้อยคำการพูดสื่อสารกันในชีวิตประจำวันโดยสิ้นเชิง ซึ่งนำมาใช้ให้ถูกต้อง เหมาะสมกับฐานะของบุคคล ได้แก่ พระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ พระภิกษุสงฆ์ ข้าราชการ และสุภาพชนทั่วไป ชุดการเรียน หมายถึง เครื่องมือที่ใช้ประกอบกิจกรรมการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับ เนื้อหาวิชา เพื่อกระตุ้นความสนใจและเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนของผู้เรียนให้ดีขึ้น โดยชุดการเรียน มีทั้งหมด 3 ตอน แต่ละตอนจะประกอบไปด้วย ใบความรู้ กิจกรรมฝึกทักษะ และแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียน
8 ชุดการเรียนเรื่อง คำราชาศัพท์หมายถึง เครื่องมือที่ใช้ประกอบกิจกรรมการเรียนการสอน เรื่อง คำราชาศัพท์มีทั้งหมด 3 ตอน ได้แก่ 1) คำราชาศัพท์สำหรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ 2) คำศัพท์เฉพาะสำหรับพระสงฆ์ และ 3) คำสุภาพสำหรับบุคคลทั่วไป ผลสัมฤทธิ์หมายถึง คะแนนที่ได้จากการประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียน ซึ่งเกิดจากการทำ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนด้วยชุดการเรียน เพื่อตรวจสอบความรู้ความเข้าใจว่าเมื่อ ได้เรียนรู้ ฝึกฝนในด้านความรู้ทักษะและความสามารถต่าง ๆ ระหว่างเรียนแล้วนักเรียนสามารถบรรลุผล ตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ได้หรือไม่ ประสิทธิภาพชุดการเรียน 80/80 หมายถึง ระดับประสิทธิภาพของชุดการเรียนที่ช่วยให้ นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ตามจุดประสงค์ โดยการประเมินด้วยเกณฑ์ 80/80 เกณฑ์การประเมิน 80/80 หมายถึง เกณฑ์ที่ใช้ในการกำหนดประสิทธิภาพของชุดการเรียน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยการพิจารณากระบวนการเรียนรู้และผลการเรียนรู้ดังนี้ 80 ตัวแรก หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดจากการประเมินการทำ แบบทดสอบระหว่างเรียน มากกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 80 80 ตัวหลัง หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดจากการทำแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน มากกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 80 กรอบแนวคิดในการวิจัย ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการวิจัย ตัวแปรอิสระ ชุดการเรียนเรื่อง คำราชาศัพท์ สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน สวนอนันต์ ตัวแปรตาม ผลสัมฤทธิ์เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ โดยใช้ชุดการเรียน ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และได้นำเสนอ ตามหัวข้อดังต่อไปนี้ 1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรการศึกษาแกนกลาง พุทธศักราช 2551 1.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 1.2 สาระการเรียนรู้และมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระภาษาไทย 2. ความรู้เกี่ยวกับคำราชาศัพท์ 2.1 ความหมายของคำราชาศัพท์ 2.2 คำราชาศัพท์สำหรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ 2.3 คำศัพท์เฉพาะสำหรับพระภิกษุสงฆ์ 2.4 คำสุภาพสำหรับบุคคลทั่วไป 3. ความรู้เกี่ยวกับชุดการเรียน 3.1 ความหมายของชุดการเรียน 3.2 ประเภทของชุดการเรียน 3.3 ขั้นตอนการสร้างชุดการเรียน 3.4 ประโยชน์ของชุดการเรียน 4. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ 4.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ 4.2 ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ 4.3 ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ 4.4 ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ 4.5 ข้อแนะนำในการเขียนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ดี 5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
10 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับวิชาภาษาไทย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กระทรวงศึกษาธิการ (2551 : 1) ประกาศใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ให้เป็นหลักสูตรแกนกลางของประเทศ โดยกำหนดจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมาย และกรอบทิศทางในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีขีด ความสามารถในการแข่งขันในเวทีระดับโลก พร้อมกันนี้ได้ปรับกระบวนการพัฒนาหลักสูตร ให้มีความสอดคล้องกับเจตนารมณ์แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 ที่มุ่งเน้นการกระจายอำนาจทางการศึกษาให้ท้องถิ่นและสถานศึกษาได้มีบทบาท และมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น จุดมุ่งหมายของหลักสูตร หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดีมีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับผู้เรียนเมื่อจบ การศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ 1. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและปฏิบัติตน ตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2. มีความรู้ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยีและ มีทักษะชีวิต 3. มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกกำลังกาย 4. มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลเมืองโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิตและ การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 5. มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข สรุปได้ว่า หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เป็นหลักสูตรที่ใช้ ยึดเป็นแกนกลางการศึกษาของประเทศไทย มุ่งพัฒนานักเรียนให้เป็นคนดี มีคุณธรรม และให้อำนาจ กับสถานศึกษาในการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับแต่ละบริบทของโรงเรียน โดยมีจุดมุ่งหมาย ให้นักเรียนมีจริยธรรม ค่านิยม ยึดหลักศาสนา และดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง มีความรู้ความสามารถ ใช้เทคโนโลยีได้พร้อมทั้งมีทักษะชีวิต มีสุขอนามัยที่ดี เป็นประชาชนที่ดีของชาติและพลเมืองที่ดีของโลก อนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาของไทย มีจิตสาธารณะ
11 สาระการเรียนรู้และมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระภาษาไทย กระทรวงศึกษาธิการ (2551 : 2-3) ภาษาไทยเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ ในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อนำไปใช้ในชีวิตจริง สาระที่ 1 การอ่าน มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใน แก้ปัญหาในการดำเนินชีวิต และมีนิสัยรักการอ่าน สาระที่ 2 การเขียน มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความและเขียน เรื่องราวในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมี ประสิทธิภาพ สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และความรู้สึกในโอกาสต่าง ๆ อย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลง ของภาษาและพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดี และวรรณกรรมไทย อย่างเห็นคุณค่าและนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ตารางที่ 1 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางภาษาไทยชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 สาระที่ 4 หลักการใช้ ภาษาไทย (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551 : 50) ชั้น รหัสตัวชี้วัด ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.2 ท 4.1 ม.2/1 1. สร้างคำในภาษาไทย • การสร้างคำสมาส ท 4.1 ม.2/2 2. วิเคราะห์โครงสร้างประโยคสามัญ ประโยครวม และประโยคซ้อน • ลักษณะของประโยคในภาษาไทย - ประโยคสามัญ - ประโยครวม - ประโยคซ้อน ท 4.1 ม.2/3 3. แต่งบทร้อยกรอง • กลอนสุภาพ
12 ตารางที่ 1 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางภาษาไทยชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 สาระที่ 4 หลักการใช้ ภาษาไทย (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551 : 50) (ต่อ) ชั้น รหัสตัวชี้วัด ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.2 ท 4.1 ม.2/4 4. ใช้คำราชาศัพท์ • คำราชาศัพท์ ท 4.1 ม.2/5 5. รวบรวมและอธิบายความหมาย ของคำภาษาต่างประเทศที่ใช้ใน ภาษาไทย • คำที่มาจากภาษาต่างประเทศ สรุปได้ว่า สาระการเรียนรู้และมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระภาษาไทย ประกอบไปด้วย 5 สาระ คือ สาระที่ 1 การอ่าน สาระที่ 2 การเขียน สาระที่ 3 การฟัง การดู การพูด สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษา สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม โดยทักษะดังกล่าวทั้ง 5 ด้านนี้มีความสำคัญ ต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาระที่ 4 หลักการใช้ภาษา ในระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 นั้น ประกอบไปด้วยการสร้างคำ ลักษณะของประโยคในภาษาไทย กลอนสุภาพ คำราชาศัพท์ และคำที่มาจากภาษาต่างประเทศ จากหลักสูตรภาษาไทยที่กล่าวมาข้างต้น กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 โดยให้นักเรียนเห็นคุณค่า ของหลักการใช้ภาษาไทยซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ และสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตจริงได้ อย่างมีความสุข งานวิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ โดยใช้ชุดการเรียน มีความสอดคล้องกับสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษา มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลง ของภาษาและพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ ตัวชี้วัด ท 4.1 ม.2/4 ใช้คำราชาศัพท์ ความรู้เกี่ยวกับคำราชาศัพท์ ความหมายของคำราชาศัพท์ คำว่า “ราชาศัพท์” เกิดจากคำ ราชา + ศัพท์ นำมารวมกัน โดยวิธีสมาส จึงได้คำ “ราชาศัพท์” ราชา เป็นภาษาบาลีและสันสกฤต แปลว่า ผู้ที่ให้เกิดความพอใจ ความยินดี ตรงกับ คำว่า พระเจ้าแผ่นดิน ส่วนคำว่า ศัพท์ เป็นภาษา สันสกฤต แปลว่า เสียง คำ คำยากที่ต้องแปล เมื่อนำมาสมาสกัน ได้เป็น “ราชาศัพท์” มีความหมายตามรูปว่า ถ้อยคำที่ใช้สำหรับพระเจ้าแผ่นดิน
13 ราชบัณฑิตยสถาน (2556 : 694) ราชาศัพท์ หมายถึง คำที่ใช้กราบบังคมทูล พระเจ้าแผ่นดิน พระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ ต่อมาหมายรวมถึงคำที่ใช้กับพระภิกษุสงฆ์ ข้าราชการ และสุภาพชนด้วย นักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึง ความหมายของคำราชาศัพท์ ไว้ดังนี้ กำชัย ทองหล่อ (2554 : 207-208) ได้ให้ความหมายของคำราชาศัพท์ไว้ว่า คำราชาศัพท์ หมายถึง คำพิเศษพวกหนึ่งซึ่งต้องใช้ให้เหมาะสมกับชั้นของบุคคล ไม่เฉพาะแต่พระราชาเท่านั้น บุคคลที่ ต้องใช้ราชาศัพท์ จำแนกออกเป็น 5 ชั้น คือ 1. พระราชา 2. เจ้านาย หมายถึงพระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่หม่อมเจ้าขึ้นไป 3. พระภิกษุสามเณร 4. ขุนนางมียศและบรรดาศักดิ์ 5. สุภาพชน หมายถึงคนทั่วไป ประเทือง โพธิ์ชะออน (2551 : 15) ได้กล่าวถึงความหมายของคำราชาศัพท์ไว้ว่า ราชาศัพท์ หมายถึง ถ้อยคำที่มีความเหมาะสม และใช้ให้ถูกต้องกับฐานะของบุคคลต่าง ๆ คำราชาศัพท์ จึงเปรียบเสมือนการสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมอันดีงามของไทย แม้คำว่าราชาศัพท์จะมีโอกาสใช้ในชีวิต น้อย แต่เป็นสิ่งที่แสดงถึงความละเอียดอ่อนของภาษาไทย ที่มีคำหลายรูปหลายเสียงในความหมาย เดียวกัน และเป็นลักษณะพิเศษของภาษาไทยโดยเฉพาะ ซึ่งใช้กับบุคคลกลุ่มต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 1. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนามเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ 2. พระบรมวงศานุวงศ์และพระราชวงศ์ 3. พระภิกษุ 4. ราชการและสุภาพชนทั่วไป ภาสกร เกิดอ่อน และคณะ (2558 : 157) ได้กล่าวถึงความหมายคำราชาศัพท์ไว้ว่า คำราชาศัพท์ หมายถึง คำสุภาพที่ใช้ให้เหมาะสมกับฐานะของบุคคลต่าง ๆ คำราชาศัพท์เป็นการกำหนด คำและภาษาที่สะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมอันดีงามของไทย แม้คำราชาศัพท์จะมีโอกาสใช้ในชีวิตน้อย แต่เป็นสิ่งที่แสดงถึงความละเอียดอ่อนและเป็นลักษณะพิเศษของภาษาไทย โดยเฉพาะการใช้กับบุคคล กลุ่มต่าง ๆ คือ พระมหากษัตริย์, พระบรมวงศานุวงศ์, พระภิกษุสงฆ์สามเณร, ขุนนาง ข้าราชการ, สุภาพชน สุนันท์ อัญชลีนุกูล (2562 : 110) ได้กล่าวถึงความหมายคำราชาศัพท์ไว้ว่า คำราชาศัพท์ เป็นคำสุภาพที่สามัญชนใช้กับพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ระดับสูงจนถึงชั้นหม่อมเจ้า จากความหมายที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า คำราชาศัพท์ หมายถึง ถ้อยคำสุภาพที่ตกแต่งขึ้น
14 มีลักษณะพิเศษ เพื่อใช้ให้เหมาะสมกับฐานะของบุคคลต่าง ๆ ได้แก่ พระมหากษัตริย์, พระบรมวงศานุวงศ์, พระภิกษุสงฆ์, ข้าราชการ, สุภาพชนทั่วไป คำราชาศัพท์สำหรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ นักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึง คำราชาศัพท์สำหรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ ไว้ดังนี้ คณาจารย์ภาษาไทย (2556 : 16-21) ได้กล่าวถึงคำราชาศัพท์สำหรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ไว้ว่า 1. คำนามราชาศัพท์ คือ คำนามเฉพาะที่ใช้สำหรับเรียกชื่อคน สัตว์ สิ่งของ หากคำนามนั้น เป็นคำราชาศัพท์อยู่แล้วก็ถือเป็น “คำนามราชาศัพท์” โดยปริยาย เช่น เกศา เขนย คันฉ่อง แสงดาบ สนับเพลา เอราวัณ เป็นต้น แต่หากคำนั้นเป็นคำนามสามัญ เมื่อต้องการนำมาใช้เป็นคำราชาศัพท์จะต้อง แปลงคำนามสามัญเหล่านั้นด้วยการเติมบางคำไว้ข้างหน้าหรือตามหลังคำนามนั้น ๆ ก่อนการแปลง คำนามสามัญให้เป็นคำนามราชาศัพท์ ทำได้ดังนี้ 1.1 “พระบรมราช” ใช้นำหน้าคำนามสามัญ 1.2 “พระบรม” ใช้นำหน้าคำนามสามัญ 1.3 “พระราช” ใช้นำหน้าคำนามสามัญ 1.4 “พระ” ใช้นำหน้าคำนามสามัญ 1.5 “ราช” ใช้นำหน้าคำนามสามัญ 1.6 “พระที่นั่ง” ใช้นำหน้าคำนามสามัญ 1.7 “ทรง” กับ “ที่นั่ง” ใช้ต่อท้ายคำนามสามัญ 1.8 “บรรทม” “เสวย” “สรง” ใช้ต่อท้ายคำนามสามัญ 1.9 “ต้น” “หลวง” ใช้ต่อท้ายคำนามสามัญ 2. คำสรรพนามราชาศัพท์ คือ คำราชาศัพท์ที่กำหนดใช้ในการเรียกแทนชื่อของบุคคล สัตว์ สิ่งของ ให้เหมาะสมตามลำดับชั้น 3. คำกริยาราชาศัพท์ คือ คำราชาศัพท์ที่บ่งบอกถึงอาการ การแสดงออก การกระทำ ซึ่งมีทั้ง คำกริยาราชาศัพท์โดยตรง และคำสามัญที่ถูกแปลงให้เป็นคำกริยาราชาศัพท์ โดยการแปลงคำกริยาที่เป็น คำสามัญให้เป็นคำกริยาราชาศัพท์ ทำได้ดังนี้ 3.1 “เสด็จ” ให้วางนำหน้าคำกริยา 3.2 “ทรง” ให้วางนำหน้าคำนามสามัญ โดยมีข้อกำหนดการใช้งานดังนี้ 3.2.1 ใช้นำหน้าคำนามสามัญ เช่น ทรงช้าง ทรงเปียโน เป็นต้น 3.2.2 ใช้นำหน้าคำกริยาสามัญ เช่น ทรงฟัง ทรงยินดี เป็นต้น
15 3.3.3 ใช้นำหน้าคำนามราชาศัพท์ เช่น ทรงพระราชนิพนธ์ ทรงพระสรวล เป็นต้น สุนันท์ อัญชลีนุกูล (2562 : 120-125) ได้กล่าวถึงคำราชาศัพท์สำหรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ไว้ว่า 1. คำนามราชาศัพท์ แบ่งเป็น 1.1 คำนามราชาศัพท์โดยตรง เป็นคำนามที่ใช้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ คำนามราชาศัพท์ชนิดนี้จะมีคำนำหน้าต่าง ๆ กัน ตัวอย่าง พระบรมราช เช่น พระบรมราชโองการ พระบรมราชชนก พระบรมราชชนนี พระบรม เช่น พระบรมเดชานุภาพ พระบรมราโชวาท พระบรมโอรสาธิราช พระบรมมหาราชวัง พระราช เช่น พระราชดำรัส พระราชหฤทัย พระราชหัตถเลขา พระ เช่น พระโอษฐ์ พระกร พระเศียร พระเกศา พระกระยาหาร พระปับผาสะ พระกุณฑล ฉลองพระองค์ ฉลองพระบาท พระอาจารย์ พระพี่เลี้ยง 1.2 คำนามราชาศัพท์ที่สร้างจากคำสามัญและเติมคำว่า ต้น หลวง พระ ดังนี้ คำสามัญ + ต้น เช่น ม้าต้น ช้างต้น เรือนต้น เครื่องต้น คำสามัญ + หลวง เช่น เรือหลวง ลูกหลวง หลานหลวง รถหลวง พระ + คำสามัญ เช่น พระเก้าอี้ พระแสง พระแท่น พระถ้วย 2. คำสรรพนามราชาศัพท์ เป็นคำสรรพนามที่สามัญชนใช้กับพระมหากษัตริย์และเจ้านาย ชั้นสูง แบ่งเป็น คำสรรพนามบุรุษที่ 1 เป็นคำสรรพนามที่สามัญชนใช้แทนตัวเองขณะที่พูดกับพระมหากษัตริย์ และเจ้านายชั้นสูง เช่น ชั้นบุคคล ผู้ใช้(ชาย) ผู้ใช้(หญิง) พระมหากษัตริย์ ข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้า สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้า พระราชวงศ์ ข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้า พระองค์เจ้า เกล้ากระหม่อม เกล้ากระหม่อมฉัน หม่อมเจ้า กระหม่อม หม่อมฉัน คำสรรพนามบุรุษที่ 2 เป็นคำสรรพนามต่าง ๆ ที่สามัญชนใช้แทนองค์พระมหากษัตริย์และ เจ้านายชั้นสูง ตามระดับชั้นบุคคล เช่น ชั้นบุคคล คำสรรพนามราชาศัพท์ พระมหากษัตริย์ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
16 ชั้นบุคคล คำสรรพนามราชาศัพท์ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท พระราชวงศ์ ใต้ฝ่าละอองพระบาท สมเด็จเจ้าฟ้า ใต้ฝ่าพระบาท พระองค์เจ้า ฝ่าพระบาท หม่อมเจ้า ฝ่าพระบาท คำสรรพนามบุรุษที่ 3 เป็นคำสรรพนามต่าง ๆ ที่สามัญชนใช้แทนองค์พระมหากษัตริย์และ เจ้านายชั้นสูงตามระดับชั้นบุคคลในขณะที่กล่าวถึง เช่น สรรพนามราชาศัพท์ ชั้นบุคคล พระ, ธ พระมหากษัตริย์ละเจ้านาย ทูลกระหม่อม เจ้านายชั้นเจ้าฟ้า ท่าน เจ้านาย, ขุนนาง 3. คำกริยาราชาศัพท์ เป็นคำกริยาที่สามัญชนใช้กับพระมหากษัตริย์และเจ้านายชั้นสูง คำกริยาที่เป็นราชาศัพท์มีลักษณะต่าง ๆ ดังนี้ 3.1 คำกริยาราชาศัพท์โดยตรง เช่น คำกริยาราชาศัพท์ คำสามัญ กริ้ว โกรธ ตรัส พูด ทอดพระเนตร ดู มอง แล บรรทม นอน ประชวร ป่วย เจ็บ ประทับ อยู่กับที่ โปรด รัก ชอบ สรง อาบน้ำ ล้าง เสวย กิน 3.2 คำกริยาราชาศัพท์ที่มาจากคำกริยาสามัญ ใช้คำว่า ทรง นำหน้าคำกริยาสามัญ เช่น คำกริยาราชาศัพท์ คำสามัญ ทรงฟัง ฟัง ทรงยินดี ยินดี ทรงถวาย ถวาย
17 คำกริยาราชาศัพท์ คำสามัญ ทรงรับ รับ ทรงชุบเลี้ยง ชุบเลี้ยง ทรงผนวช บวช 3.3 คำกริยาราชาศัพท์ที่ใช้คำว่า ทรง นำหน้าคำนามราชาศัพท์ คำกริยาราชาศัพท์ ลักษณะนี้มักใช้ในที่สูง เช่น “เจ้านายผนวช” แต่ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงผนวช” เป็นต้น เช่น คำนามราชาศัพท์ คำกริยาราชาศัพท์ พระมหากรุณา ทรงพระมหากรุณา พระกรุณา ทรงพระกรุณา พระราชดำริ ทรงพระราชดำริ พระประชวร ทรงพระประชวร พระบังคน ทรงพระบังคน คำนามราชาศัพท์ คำกริยาราชาศัพท์ พระผนวช ทรงพระผนวช พระราชสมภพ ทรงพระราชสมภพ 3.4 คำกริยาราชาศัพท์ที่ใช้คำกริยา มี นำหน้าคำนามราชาศัพท์เช่น คำนามราชาศัพท์ คำกริยาราชาศัพท์ พระมหากรุณา มีพระมหากรุณา คำนามราชาศัพท์ คำกริยาราชาศัพท์ พระราชดำริ มีพระราชดำริ พระบรมราชโองการ มีพระบรมราชโองการ พระราชเสาวนีย์ มีพระราชเสาวนีย์ พระราชบัญชาสั่ง มีพระราชบัญชาสั่ง พระบัญชาสั่ง มีพระบัญชาสั่ง 3.5 คำกริยาราชาศัพท์ที่ใช้ ทรง นำหน้าคำนามสามัญ เช่น คำกริยาราชาศัพท์ คำสามัญ ทรงกีฬา เล่นกีฬา ทรงช้าง ขี่ช้าง ทรงม้า ขี่ม้า ทรงบาตร ตักบาตร
18 3.6 คำกริยาสามัญบางคำ เช่น ให้ บอก เมื่อใช้เป็นคำราชาศัพท์ต้องใช้เปลี่ยนไปตาม ระดับชั้นของบุคคล ดังนี้ คำกริยาราชาศัพท์ ที่ใช้ในความหมาย มอบให้ ใช้กับชั้นบุคคล ขอพระราชทานทูลเกล้าฯ ถวาย (ของเล็ก) พระมหากษัตริย์ (พระปรมาภิไธยหรือพระนามาภิไธย) พระราชินี ขอพระราชทานทูลเกล้าฯ ถวาย (ของใหญ่) พระยุพราช (พระปรมาภิไธยหรือพระนามาภิไธย) ขอพระราชทานถวาย (นามธรรม) ขอพระราชทานถวาย เจ้านายชั้นสูง ขอประทานถวาย เจ้านาย คำกริยาราชาศัพท์ ที่ใช้ในความหมาย มอบให้ ใช้กับชั้นบุคคล ทูลเกล้าฯ ถวาย (ของเล็ก) พระราชินี น้อมเกล้าฯ ถวาย (ของใหญ่) พระยุพราช ถวาย (นามธรรม เช่น ถวายความเห็น) พระบรมราชกุมารี คำกริยาราชาศัพท์ ขอ ใช้กับชั้นบุคคล ขอพระราชทาน พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระยุพราช เจ้านายชั้นสูง คำกริยาราชาศัพท์ ที่ใช้ในความหมาย บอก ใช้กับชั้นบุคคล กราบบังคมทูลพระกรุณา พระมหากษัตริย์ กราบบังคมทูล พระราชินี พระยุพราช กราบทูล เจ้านายชั้นสูงกว่าผู้พูด
19 ฝ่ายตำราวิชาการกู๊ดอินเตอร์บุ๊คส์ (2557 : 9-13) ได้กล่าวถึงคำราชาศัพท์สำหรับ พระมหากษัตริย์พระบรมวงศานุวงศ์ไว้ว่า 1. คำนามราชาศัพท์ คือ คำนามเฉพาะที่ใช้สำหรับเรียกชื่อคน สัตว์ สิ่งของ โดยทั่วไป หากคำนามนั้นเป็นคำราชาศัพท์อยู่แล้ว จะสามารถนำไปใช้เป็นคำนามราชาศัพท์ได้เลย เช่น คันฉ่อง สนับเพลา วัง ธิดา ธาร อัศดง เอราวัณ ยานุมาศ กลด คทา เขนย แสงดาบ ที่นั่ง เป็นต้น แต่หากคำนาม นั้นเป็นคำนามสามัญ เมื่อต้องการนำมาใช้เป็นคำราชาศัพท์จะต้องแปลงคำนามสามัญเห ล่านั้น ด้วยการเติมคำเฉพาะในตำแหน่งหน้าหรือหลังคำนามนั้น ๆ ก่อน ตัวอย่าง คำนามสามัญที่แปลงเป็นคำนามราชาศัพท์ คำนาม คำเพิ่มเติมเฉพาะ คำนามราชาศัพท์ โองการ พระบรมราช พระบรมราชโองการ ครู พระบรม พระบรมครู ตัวอย่าง คำนามสามัญที่แปลงเป็นคำนามราชาศัพท์ อำนาจ พระราช พระราชอำนาจ ม้า ทรง ม้าทรง สำหรับคำเติมเฉพาะที่ใช้ในการแปลงคำนามสามัญให้เป็นคำนามราชาศัพท์ ได้แก่ พระบรมราช พระบรม พระราช พระ ต้น หลวง พระที่นั่ง ทรงที่นั่ง เสวย บรรทม มีหลักการใช้ดังนี้ (1) ใช้ “พระบรมราช” นำหน้าคำนามสามัญเพื่อแสดงถึงความสำคัญ ในการเชิดชูเกียรติและพระราชอำนาจของพระเจ้าแผ่นดิน เช่น พระบรมราชวงศ์ พระบรมราชโองการ พระบรมราชชนก แต่ถ้าหากเป็นการกล่าวถึงพระพุทธเจ้านั้น จะใช้คำว่า “พระบรมพุทธ” เช่น พระบรมพุทโธวาท พระบรมพุทธานุสาสน์ ฯลฯ หมายเหตุ สำหรับคำว่า “วัง” นั้น กำหนดให้ใช้คำว่า “พระบรมมหาราช” นำหน้า จะได้ว่า “พระบรมมหาราชวัง” เพื่อเป็นการแสดงพระเกียรติยศอันยิ่งใหญ่เป็นพิเศษ (2) ใช้ “พระบรม” นำหน้าคำนามสามัญที่มาจากภาษาบาลีและสันสกฤตเพื่อ เป็นการเชิดชูพระอิสริยยศของพระมหากษัตริย์และพระพุทธเจ้ารองจากคำว่า “พระบรมราช” เช่น พระบรมราโชวาท พระบรมครู พระบรมวงศานุวงศ์ ฯลฯ (3) ใช้ “พระราช” นำหน้าคำนามสามัญที่มาจากภาษาบาลี สันสกฤต หรือภาษาไทย บางคำที่เกี่ยวกับพระเจ้าแผ่นดิน พระราชินี และพระยุพราช เพื่อแสดงความสำคัญรองลงมาจากคำว่า “พระบรม” โดยคำนามเหล่านั้นจะต้องอยู่ในหมวดของอวัยวะ กิริยาอาการและความเป็นไป เครือญาติ บริวาร เครื่องใช้ เช่น พระราชบิดา พระราชมารดา พระราชดำริ พระราชอำนาจ พระราชสาสน์ ฯลฯ
20 (4) ใช้ “พระ” นำหน้าคำนามสามัญที่มาจากภาษาบาลีสันสกฤต เขมร หรือภาษาไทย ที่เกี่ยวกับพระเจ้าแผ่นดินหรือเจ้านาย โดยคำนามเหล่านั้นจะต้องอยู่ในหมวดของอวัยวะ กิริยาอาการ ความเป็นไป บรรดาเหล่าเครือญาติ บริวารและเครื่องใช้ เช่น พระเนตร พระพักตร์ พระอัยกา พระฉาย ฯลฯ หมายเหตุ หากนามสามัญนั้นเป็นคำไทยแท้ให้ใช้คำว่า “พระเจ้า” นำหน้า เช่น พระเจ้าตา พระเจ้ายาย พระเจ้าปู่ พระเจ้าย่า พระเจ้าน้า พระเจ้าอา (5) ใช้ “ราช” นำหน้าคำนามสามัญที่เป็นพาหนะ บุคคล หรือสถานที่ที่มี ความเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ เช่น ราชโอรส ราชการ ราชพัสดุ ราชสมบัติ ราชรถ ราชธานี ราชกิจ ฯลฯ (6) ใช้ “พระที่นั่ง” นำหน้าคำนามสามัญที่เป็นที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดิน เช่น รถพระที่นั่ง เรือพระที่นั่ง ม้าพระที่นั่ง ฯลฯ (7) ใช้ “หลวง, ต้น” หลังคำนามสามัญเพื่อแสดงถึงการเป็นสมบัติของ พระเจ้าแผ่นดินโดยคำนามเหล่านั้นจะต้องอยู่ในหมวดของเครือญาติ พาหนะ หรือสถานที่ เช่น ลูกหลวง เรือหลวง ช้างต้น ม้าต้น ฯลฯ (8) ใช้ “ทรง, ที่นั่ง” หลังคำนามสามัญเกี่ยวกับเจ้านาย เช่น รถทรง ช้างทรง เครื่องทรง ช้างที่นั่ง ม้าที่นั่ง รถที่นั่ง ฯลฯ หมายเหตุ เว้นแต่คำว่า “รถ, เรือ” สำหรับฝ่ายในจะต้องใช้คำว่า “พระประเทียบ” หลังคำนามสามัญ เช่น รถพระประเทียบ เรือพระประเทียบ (9) ใช้ “สรง, เสวย, บรรทม” ประกอบคำนามสามัญเพื่อเป็นคำนามราชาศัพท์ เช่น คำประกอบ คำนามสามัญ คำนามราชาศัพท์ สรง ห้อง, น้ำ ห้องสรง, น้ำสรง เสวย โต๊ะ, เครื่อง โต๊ะเสวย, เครื่องเสวย บรรทม ห้อง, แท่น ห้องบรรทม, แท่นบรรทม 2. คำสรรพนามราชาศัพท์ คือ คำราชาศัพท์ที่กำหนดใช้ในการเรียกแทนชื่อบุคคล สัตว์ สิ่งของ ให้เหมาะสมตามลำดับชั้น ซึ่งประกอบไปด้วย สรรพนามบุรุษที่ แทน ตัวอย่าง 1 ผู้พูด ข้าพระพุทธเจ้า เกล้ากระหม่อม กระหม่อม หม่อมฉัน กระผม ดิฉัน ผม ฉันข้าพเจ้า 2 ผู้ฟัง ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ใต้ฝ่าละอองพระบาท ใต้ฝ่าพระบาท ฝ่าพระบาท ฝ่าบาท ท่าน คุณ เธอ 3 ผู้ที่ถูกกล่าวถึง พระองค์ พระองค์ท่าน เธอ เขา หล่อน
21 3. คำกริยาราชาศัพท์ คือ คำราชาศัพท์ที่บ่งบอกถึงการแสดงอาการหรือการกระทำ ซึ่งคำกริยาราชาศัพท์นี้นอกจากจะเป็นคำกริยาราชาศัพท์โดยตรงแล้ว ยังสามารถนำคำสามัญมาสร้างเป็น คำกริยาราชาศัพท์ได้อีก ทั้งยังถูกปรับเปลี่ยนถ้อยคำให้แตกต่างกันไปตามลำดับชั้นของบุคคลมีหลักการใช้ ดังนี้ (1) กริยาที่เป็นคำราชาศัพท์โดยตรง สามารถใช้เป็นคำราชาศัพท์ได้โดยไม่ต้องเติม คำอื่น เช่น กริ้ว ประชวร ตรัส เสด็จ เสวย (2) หากคำกริยานั้นเป็นคำสามัญ เมื่อต้องการนำมาใช้เป็นคำกริยาราชาศัพท์จะต้อง มีการเปลี่ยนรูปคำดังนี้ (2.1) ปรับแต่งรูปคำกริยาสามัญให้เหมาะตามลำดับชั้นของบุคคล ตัวอย่าง คำกริยาสามัญที่ปรับแต่งเป็นกริยาราชาศัพท์ตามลำดับชั้นของบุคคล คำสามัญ คำราชาศัพท์ ใช้สำหรับ โกนจุก โสกันต์ พระมหากษัตริย์ โกนจุก เกศากัณต์ หม่อมเจ้า ให้ พระราชทาน พระมหากษัตริย์ ให้ ประทาน พระราชวงศ์ รู้ ทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท พระมหากษัตริย์, พระบรมราชินีนาถ (3) ใช้ “เสด็จ” นำหน้าคำกริยาสามัญเพื่อให้เป็นคำกริยาราชาศัพท์ เช่น เสด็จออก เสด็จขึ้น เสด็จลง เสด็จกลับ ฯลฯ (4) ใช้ “ทรง” นำหน้าคำกริยาหรือคำนามที่เป็นคำสามัญ โดยมีข้อกำหนด 3 ข้อ หลัก ๆ ดังนี้ (4.1) ใช้ “ทรง” นำหน้ากริยาสามัญเพื่อใช้เป็นกริยาราชาศัพท์ ตัวอย่าง คำกริยาราชาศัพท์ที่เกิดจากการเติม “ทรง” นำหน้าคำกริยาสามัญ คำกริยาสามัญ คำกริยาราชาศัพท์ ความหมาย ฟัง ทรงฟัง ฟัง ยินดี ทรงยินดี ยินดี
22 (4.2) ใช้ “ทรง” นำหน้าคำนามสามัญบางคำเพื่อใช้เป็นคำกริยาราชาศัพท์ ตัวอย่าง คำกริยาราชาศัพท์ที่เกิดจากการเติม “ทรง” นำหน้าคำนามสามัญ คำนามสามัญ คำกริยาราชาศัพท์ ความหมาย ม้า ทรงม้า ขี่ม้า ดนตรี ทรงดนตรี เล่นดนตรี ธรรม ทรงธรรม ฟังธรรม ศีล ทรงศีล รับศีล เครื่อง ทรงเครื่อง แต่งตัวมีเครื่องประดับ (4.3) ใช้ “ทรง” นำหน้าคำนามราชาศัพท์เพื่อใช้เป็นคำกริยาราชาศัพท์ ตัวอย่าง คำกริยาราชาศัพท์ที่เกิดจากการเติม “ทรง” นำหน้าคำราชาศัพท์ คำนามราชาศัพท์ คำกริยาราชาศัพท์ ความหมาย พระสำราญ ทรงพระสำราญ สบาย พระดำเนิน ทรงพระดำเนิน เดิน พระสรวล ทรงพระสรวล หัวเราะ พระราชนิพนธ์ ทรงพระราชนิพนธ์ เขียน พระราชดำริ ทรงพระราชดำริ มีความคิดเห็น หมายเหตุ ห้ามใช้“ทรง” นำหน้าคำกริยาที่เป็นราชาศัพท์อยู่แล้ว เช่น เสด็จ เสวย โปรด กริ้ว ประทับ ยกเว้นคำว่า “ผนวช” สามารถใช้ “ทรงผนวช” ได้ สรุปได้ว่า คำราชาศัพท์สำหรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ มีการใช้คำทั้งหมด 3 ชนิด คือ คำนามราชาศัพท์ คำสรรพนามราชาศัพท์ และคำกริยาราชาศัพท์ โดยในการนำคำแต่ละชนิดมาใช้ จะต้องคำนึงถึงหลักการต่าง ๆ ตามข้อกำหนดของการใช้คำนั้น ๆ คำศัพท์เฉพาะสำหรับพระภิกษุสงฆ์ นักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึง คำศัพท์เฉพาะสำหรับพระภิกษุสงฆ์ ไว้ดังนี้ ฟองจันทร์ สุขยิ่ง และคณะ (2559 : 134) ได้กล่าวถึงคำศัพท์เฉพาะสำหรับพระภิกษุสงฆ์ไว้ว่า พระภิกษุสงฆ์ เป็นบุคคลซึ่งได้รับการนับถือจากบุคคลทั่วไป การใช้ถ้อยคำสำหรับพระภิกษุจึงมี การกำหนดไว้เฉพาะ เพื่อเป็นการแสดงถึงความเคารพนับถือและยกย่องพระสงฆ์ การพูดกับพระสงฆ์ จะต้องมีสัมมาคาระวะ สำรวม ไม่ใช้ถ้อยคำที่ไม่สุภาพ คือ 1. คำที่พระสงฆ์ใช้ มีดังนี้ คำสรรพนามบุรุษที่ 1 ใช้กับ อาตมา ฆราวาสทั่วไป
23 คำสรรพนามบุรุษที่ 1 ใช้กับ อาตมาภาพ พระราชวงศ์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไป และในงานพิธีการ เกล้ากระผม พระภิกษุสงฆ์ด้วยกัน ที่เป็นพระอุปัชฌาย์ หรือที่ดำรงสมณศักดิ์สูงกว่า ผม, กระผม พระภิกษุด้วยกันโดยทั่ว ๆ ไป คำสรรพนามบุรุษที่ 2 ใช้กับ มหาบพิตร พระมหากษัตริย์ บพิตร พระราชวงศ์ โยม บิดา มารดา ญาติผู้ใหญ่ที่มีอาวุโสสูงกว่า คุณ, เธอ ฆราวาสทั่วไป คำสรรพนามบุรุษที่ 3 ใช้กับ ขอถวายพระพร พระมหากษัตริย์ และพระราชวงศ์ เจริญพร ฆราวาสทั่วไป ครับ, ขอรับ พระภิกษุด้วยกันโดยทั่ว ๆ ไป 2. คำที่ใช้กับพระสงฆ์ แบ่งเป็นหมวด ดังนี้ หมวดคำนาม เช่น กุฏิ หมายถึง เรือน หรือตึกสำหรับพระสงฆ์ใช้อยู่อาศัย กาสาวพัสตร์ หมายถึง ผ้าย้อมฝาด หรือผ้าเหลืองพระ อาบัติ หมายถึง โทษที่เกิดจากการล่วงละเมิดข้อห้ามแห่ง ภิกษุ ตาลปัตร หมายถึง พัดใบตาล มีด้ามยาว สำหรับพระสงฆ์ใช้ใน พิธีกรรม เช่น ในเวลาให้ศีล ปัจจุบันอนุโลม พัดที่ทำด้วยผ้าว่าตาลปัตรเช่นกัน หมวดคำกริยา เช่น จำพรรษา หมายถึง อยู่ประจำที่วัดเป็นเวลา 3 เดือน ในฤดูฝน นมัสการ หมายถึง การแสดงความอ่อนน้อมด้วยการไหว้
24 อาราธนา หมายถึง การเชื้อเชิญ เช่น อาราธนาให้แสดงธรรมเทศนา นิมนต์ หมายถึง การเชื้อเชิญ เช่น นิมนต์ไปฉันเพลที่บ้าน สุนันท์ อัญชลีนุกูล (2562 : 125-129) ได้กล่าวถึงคำศัพท์เฉพาะสำหรับพระภิกษุสงฆ์ไว้ว่า คำภิกษุศัพท์ หมายถึง คำที่ใช้เกี่ยวกับพระภิกษุ สามเณร และคำที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา คำภิกษุศัพท์มีหลายชนิด เช่น 1. คำภิกษุศัพท์ที่เป็นคำนาม เช่น คำภิกษุศัพท์ คำแปล กุฏิ ที่อยู่ของพระในวัด จีวร ผ้าสำหรับห่มของพระภิกษุสามเณร สบง ผ้านุ่งของภิกษุสามเณร สังฆาฏิ ผ้าพาดบ่าของพระภิกษุสามเณร รัดประคด ผ้าที่ใช้รัดอกหรือสายที่ถักด้วยด้ายสำหรับรัดของ บรรพชา การบวชเป็นสามเณร อุปสมบท การบวชเป็นภิกษุ จตุปัจจัย เครื่องอาศัยเลี้ยงชีวิตของบรระชิตใพระพุทธศาสนา 4 อย่าง คือ จีวร (ผ้านุ่งห่ม) บิณฑบาต (อาหาร) เสนาสนะ (ที่อยู่) คิลานเภสัช (ยา) ปัจจัย เงินตรา บริขาร เครื่องใช้สอยของพระภิกษุในพระพุทธศาสนา มี 8 อย่าง คือ สบงจีวร สังฆาฏิ บาตร มีดโกนหรือมีดตัดเล็บ เข็มประคดเอว กระบอกกรองน้ำ เรียกว่า อัฐบริขาร อาสน์สงฆ์ ที่ยกพื้นสำหรับพระสงฆ์นั่ง อาสนะสงฆ์ ที่นั่งของพระสงฆ์ 2. คำภิกษุศัพท์ที่เป็นคำสรรพนาม คำสรรพนามที่เป็นคำภิกษุสงฆ์แบ่งออกเป็น คำสรรพนามบุรุษที่ 1 ใช้แทนตัวผู้พูด คำสรรพนามบุรุษที่ 2 ใช้แทนพระภิกษุสามเณรที่เราพูดด้วยและคำสรรพนามบุรุษที่ 3 ใช้แทนภิกษุ สามเณรที่เราพูดถึง คำสรรพนามที่เป็นภิกษุศัพท์ใช้ต่างกันตามระดับชั้นของพระภิกษุ ดังนี้ คำสรรพนามบุรุษที่ 1 ผู้ใช้ ใช้กับ ข้าพระพุทธเจ้า ผู้กราบทูล สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
25 คำสรรพนามบุรุษที่ 1 ผู้ใช้ ใช้กับ เกล้ากระหม่อม ผู้กราบทูล (ชาย) สมเด็จพระสังฆราช เกล้ากระหม่อมฉัน ผู้กราบทูล (หญิง) กระผม ผู้พูด (ชาย) สมเด็จพระราชาคณะ ดิฉัน ผู้พูด (หญิง) พระราชาคณะ ผม ผู้พูด (ชาย) พระภิกษุทั่วไป ดิฉัน ผู้พูด (หญิง) พระภิกษุทั่วไป คำสรรพนามบุรุษที่ 2 ผู้ใช้ ใช้กับ ใต้ฝ่าพระบาท ผู้กราบทูล สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กราบทูล ทราบฝ่าพระบาท ผู้กราบทูล สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ฝ่าพระบาท ผู้กราบทูล สมเด็จพระสังฆราช พระคุณเจ้า ผู้พูด สมเด็จพระราชาคณะ ท่าน ผู้พูด ภิกษุทั่วไป 3. คำภิกษุศัพท์ที่เป็นคำกริยา เป็นคำสุภาพชนใช้กับพระภิกษุสามเณร เช่น คำภิกษุศัพท์ คำแปล จำวัด นอน ฉัน รับประธาน ถวาย ให้ ทำวัตร สวดมนต์ บรรพชา บวชเป็นสามเณร บิณฑบาต ออกโปรดสัตว์ สรงน้ำ อาบน้ำ อาพาธ ป่วย อุปสมบท บวชเป็นพระภิกษุ ธุดงค์ เดินทางแสวงบุญ 4. คำกริยาภิกษุศัพท์ที่เป็นคำกริยาซึ่งพระภิกษุใช้กับพระมหากษัตริย์และสุภาพชน เช่น คำภิกษุศัพท์ คำแปล ถวายพระพร บอก พระภิกษุใช้กับพระมหากษัตริย์ เจริญพร บอก พระภิกษุใช้กับสุภาพชน
26 5. คำภิกษุศัพท์เกี่ยวกับคำขึ้นต้นและคำลงท้าย เช่น คำขึ้นต้นสุภาพชน ใช้กับ ขอประทานกราบทูล ทราบฝ่าพระบาท สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กราบทูล ทราบฝ่าพระบาท สมเด็จพระสังฆราช นมัสการ พระคุณเจ้า สมเด็จพระราชาคณะ หรือพระราชาคณะ นมัสการ พระคุณท่าน พระภิกษุทั่วไป คำลงท้าย ใช้กับ ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด สมเด็จพระสังฆราช ขอนมัสการด้วยความเคารพอย่างยิ่ง สมเด็จพระราชาคณะ ขอนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูง พระราชาคณะ ขอนมัสการด้วยความเคารพ พระภิกษุทั่วไป 6. คำภิกษุศัพท์เกี่ยวกับการขานรับ เป็นคำที่สุภาพชนใช้กับพระภิกษุ สามเณร เช่น ชาย ขอรับ ครับ หญิง เจ้าค่ะ ค่ะ สรุปได้ว่า พระภิกษุสงฆ์เป็นบุคคลที่ควรเคารพนับถือ ดังนั้นในการที่จะพูดกับพระภิกษุสงฆ์ จึงควรใช้ถ้อยคำที่แสดงถึงอาการสำรวม การมสัมมาคารวะ ซึ่งได้มีการกำหนดถ้อยคำที่จะใช้พูดกับ พระภิกษุสงฆ์ไว้โดยเฉพาะ ได้แก่ คำที่พระภิกษุสงฆ์ใช้ และคำที่ใช้กับพระภิกษุสงฆ์ แต่การที่จะนำมาใช้ ก็ต้องคำนึงถึงสมณศักดิ์ก่อน คำสุภาพสำหรับบุคคลทั่วไป นักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึง คำสุภาพสำหรับบุคคลทั่วไป ไว้ดังนี้ คณาจารย์ภาษาไทย (2556 : 199-200) ได้กล่าวถึงคำสุภาพสำหรับบุคคลทั่วไปไว้ว่า คำสุภาพเป็นถ้อยคำที่กำหนดขึ้นมาใช้ในการพูดคุย เพื่อให้เกิดความไพเราะในอีกระดับหนึ่งระหว่าง บุคคลทั่วไปหรือแม้แต่นำไปใช้ในกลุ่มคำราชาศัพท์ คำสุภาพจะมีลักษณะดังต่อไปนี้ 1. เป็นคำที่มีความหมายไพเราะอยู่ในตัวเอง 2. ไม่เป็นคำหยาบคาย 3. ไม่เป็นคำผวนที่หยาบคาย 4. ไม่เป็นคำที่เทียบกับอวัยวะเพศ หรือของหยาบ
27 5. ไม่เป็นคำสแลง หรือภาษาคึกคะนอง หรือภาษาวัยรุ่น ฟองจันทร์ สุขยิ่ง และคณะ (2559 : 135) ได้กล่าวถึงคำสุภาพสำหรับบุคคลทั่วไปไว้ว่า คำสุภาพ เป็นคำที่ใช้สื่อสารเพื่อให้เกิดความสุภาพ ถูกต้องตามกาลเทศะและบุคคล ไม่ใช้คำหยาบ คำผวน และคะนอง คำสุภาพจึงช่วยให้การสื่อสารราบรื่น เกิดความเข้าใจได้อย่างถูกต้องเหมาะสม สุนันท์ อัญชลีนุกูล (2562 : 129-131) ได้กล่าวถึงคำสุภาพสำหรับบุคคลทั่วไปไว้ว่า คำสามัญศัพท์ หมายถึงคำธรรมดาที่ใช้กับบุคคลทั่วไป ใช้กับผู้อาวุโสกว่าด้วยคุณวุฒิ วัยวุฒิ เพื่อแสดง ความเคารพยกย่องต่อผู้ที่เราพูดด้วยหรือเขียนถึงตามวัฒนธรรมภาษาไทยอันดีงาม คำสามัญศัพท์ อาจแบ่งออกเป็นระดับต่าง ๆ เช่น 1. คำสามัญในภาษาพูดและในภาษาเขียน คำสามัญในภาษาพูดยังแบ่งออกได้เป็นคำสามัญ ทั่วไปและคำสุภาพ ส่วนคำสามัญในภาษาเขียนจะเป็นคำสุภาพเท่านั้น ตัวอย่างคำสามัญในภาษาพูด และในภาษาเขียน คำสามัญทั่วไป คำสุภาพในภาษาพูด คำสุภาพในภาษาเขียน พ่อ คุณพ่อ บิดา แม่ คุณแม่ มารดา ปู่ ตา คุณปู่ คุณตา คุณปู่ คุณตา ย่า ยาย คุณย่า คุณยาย คุณย่า คุณยาย ลูกชาย ลูกชาย บุตร บุตรชาย ลูกสาว ลูกสาว ธิดา บุตรสาว รู้ ไม่รู้ ทราบ ไม่ทราบ ทราบ ไม่ทราบ กิน ทาน รับประทาน รับประทาน 2. คำสามัญและคำสุภาพ ในชีวิตประจำวันเรามักได้ยินทั้งคำสามัญและคำสุภาพที่หมายถึง สิ่งเดียวกัน คำสามัญมักใช้เป็นภาษาปาก ส่วนคำสุภาพมักใช้กับผู้อาวุโสหรือบุคคลชั้นเจ้านาย เนื่องมาจากคำบางคำถือว่าเป็นคำหยาบหรือมีเสียงพ้องกับคำไม่สุภาพ จึงคิดคำสุภาพขึ้นใช้แทนคำสามัญ คำสุภาพชนิดนี้สามารถใช้ในภาษาเขียนได้ด้วย ตัวอย่าง คำสามัญ คำสุภาพ ขนมขี้หนู ขนมทราย ขนมใส่ไส้ ขนมสอดไส้ เครื่องจิ้ม เครื่องแนม เครื่องเคียง ของคาว เครื่องคาว ของหวาน เครื่องหวาน
28 คำสามัญ คำสุภาพ ดอกสลิด ดอกขจร วัว โค ควาย กระบือ ปลาลิ้นหมา ปลาลิ้นสุนัข ผักตบ ผักสามหาว ผักกระเฉด ผักรู้นอน ขี้กลาก โรคกลาก ขี้เกลื้อน โรคเกลื้อน หมู สุกร หมา สุนัข อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันคำบางคำ เช่น คำว่า ขนมขี้หนู ผักกระเฉด อาจใช้เป็นทั้งภาษาปาก และภาษาเขียน ส่วนคำว่า ขนมทราย ผักรู้นอน มักไม่ค่อยมีผู้ใช้นัก สรุปได้ว่า คำสุภาพเป็นถ้อยคำที่ใช้สื่อสารกันระหว่างบุคคล เพื่อให้เกิดความสุภาพ มีความไพเราะ และถือว่าเป็นการให้เกียรติซึ่งกันและกัน โดยคำสุภาพจะมีลักษณะที่ไม่เป็นคำหยาบคาย คำผวน คำที่เทียบกับอวัยวะเพศ และคำสแลง จากข้อความที่กล่าวข้างต้นเกี่ยวกับคำราชาศัพท์สามารถสรุปได้ว่า คำราชาศัพท์ คือ ถ้อยคำ สุภาพที่ตกแต่งขึ้น มีลักษณะที่พิเศษ เพื่อใช้ให้เหมาะสมกับฐานะของบุคคลต่าง ๆ คำราชาศัพท์นี้สามารถ แบ่งออกตามการใช้ได้ดังนี้ 1) คำราชาศัพท์สำหรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ 2) คำศัพท์เฉพาะสำหรับพระภิกษุสงฆ์ 3) คำสุภาพสำหรับบุคคลทั่วไป ความรู้เกี่ยวกับชุดการเรียน ความหมายของชุดการเรียน ชุดการเรียน (Learning Packages) หรือชุดการสอน (Instructional Packages) เดิมมักใช้ คำว่าชุดการสอน ชุดการเรียนการสอน บทเรียนสำเร็จรูป บทเรียนโปรแกรม ชุดกิจกรรม เพราะเป็นสื่อ ที่ผู้สอนนำมาใช้ประกอบการสอนดังนั้นผู้ทำกิจกรรมคือ ครู นักเรียนเป็นฝ่ายสังเกตการณ์และฟัง แต่ต่อมามีแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นนัก การศึกษาจึงเปลี่ยนมาใช้คำว่าชุดการเรียน (learning packages) เพราะการเรียนรู้เป็นกิจกรรม
29 ของผู้เรียนและการสอนเป็นกิจกรรมของครู กิจกรรมของครูและนักเรียนจะต้องเกิดขึ้นคู่กัน ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยจึงใช้คำว่าชุดการเรียนและได้มีนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึง ความหมายของ ชุดการเรียน ไว้ดังนี้ บุญเกื้อ ควรหาเวช (2542 : 91) ได้ให้ความหมายว่า ชุดการเรียน เป็นสื่อประสม (Multimedia) ที่จัดขึ้นสำหรับหน่วยการเรียนตามหัวข้อเนื้อหาและประสบการณ์ของแต่ละหน่วย ที่ต้องการจะให้ผู้เรียนได้รับ โดยจัดเอาไว้เป็นชุด ๆ บรรจุอยู่ในซอง กล่อง หรือกระเป๋า ชุดการเรียน จะสามารถช่วยให้ผู้เรียนได้รับความรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ชาติชาย แป้นโพธิ์(2551 : 37 อ้างถึงใน ปราณี จงอนุรักษ์, 2560 : 30) ได้ให้ความหมายของ ชุดกิจกรรมว่าหมายถึง สื่อประสม ที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้เรียนได้มีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียนมาก ขึ้น เพราะกิจกรรมจะสอดคล้อง กับจุดประสงค์และเนื้อหาของบทเรียน สามารถนำไปสู่ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนที่ดีและสูงขึ้นต่อไป ณภัทร พุทธสรณ์(2551 : 21 อ้างถึงใน อรพินธร แก้วภู่, 2559 : 9) ได้กล่าวว่า ชุดกิจกรรม หมายถึง ชุดการเรียนการสอนที่ครูสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสื่อในการจัดการเรียนรู้โดยอาศัยกระบวนการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนรูปแบบต่าง ๆ มีลักษณะเป็นชุด โดยผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง มีครูเป็นที่ปรึกษา ให้คำแนะนำ ในแต่ละชุดประกอบด้วย จุดประสงค์การเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ แบบทดสอบที่นำหลักการทางจิตวิทยามาใช้ประกอบ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม การเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ณเอก อึ้งเสือ (2555 : 57) ได้ให้ความหมายว่า ชุดกิจกรรมหรือชุดกิจกรรมการเรียนรู้หมายถึง สื่อการสอนซึ่งประกอบด้วยสื่อประสมที่ถูกรวบรมไว้อย่างสมบูรณ์ เหมาะกับเนื้อหาวิชาและ จุดประสงค์ เพื่อใช้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้กับผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพตามจุดหมายที่วางไว้ ตลอดจนเสริมสร้างคุณภาพทางการศึกษาให้สูงขึ้น และช่วยให้ผู้เรียนได้สร้างเสริมหรือพัฒนาตามเป้าหมาย ซึ่งประกอบด้วย เนื้อหาสาระ บัตรคำสั่ง ใบกิจกรรมในการทำกิจกรรม วัสดุอุปกรณ์ เอกสาร ใบความรู้ เครื่องมือหรือสื่อจำเป็นสำหรับกิจกรรม ต่าง ๆ รวมทั้งแบบวัดประเมินผลการเรียนรู้ ประเสริฐ สำเภารอด (2552 : 12) ได้กล่าวว่า ชุดกิจกรรม หมายถึง ชุดการเรียนการสอน ประเภทสิ่งตีพิมพ์และกิจกรรมที่เน้นให้ผู้เรียนทำกิจกรรมด้วยกระบวนการกลุ่ม ประกอบด้วย 9 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ชื่อกิจกรรม 2) คำชี้แจง 3) จุดประสงค์ 4) เวลาที่ใช้ 5) วัสดุอุปกรณ์ 6) เนื้อหา และใบความรู้ 7) สถานการณ์ 8) กิจกรรม 9) แบบทดสอบท้ายกิจกรรม ราตรี นันทสุคนธ์ (2556 : 72) ได้ให้ความหมายของชุดการสอนไว้ว่า ชุดการสอน หมายถึง สื่อการเรียนการสอนอย่างหนึ่งที่มีลักษณะเป็นชุดสื่อประสม ประกอบด้วย สื่อตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป ที่จัดไว้
30 เป็นชุด ๆ บรรจุอยู่ในซองหรือกระเป๋าชุดการสอน สามารถนำมาใช้กับผู้เรียนเป็นรายบุคคลและใช้ ประกอบการบรรยายของผู้สอน การจัดทำชุดการสอนจะจัดทำขึ้นสำหรับหน่วยการเรียนแต่ละหน่วย ตามที่ต้องการให้ผู้เรียนได้ศึกษาเรียนรู้ สุคนธ์ สินธพานนท์ (2553 : 96) ได้กล่าวว่า ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ หมายถึง สื่อที่สร้างขึ้น เพื่อให้นักเรียนได้ทำกิจกรรมที่เป็นการทบทวนหรือเสริมเพิ่มเติมความรู้ให้แก่ผู้เรียนหรือให้นักเรียน ได้ฝึกทักษะการเรียนรู้หลาย ๆ รูปแบบเพื่อสร้างเสริมประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนมีคุณลักษณะ ตามต้องการ คณิตถึง พัตราสิงห์ (2555 : 40) ได้กล่าวว่า ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เป็นสื่อการเรียนรู้แบบผสม ที่มาประกอบเข้าด้วยกันอย่างมีระบบให้สอดคล้องกับเนื้อหา สาระการเรียนรู้ และกิจกรรมการเรียนรู้ที่ได้ จัดไว้เป็นชุดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นรายบุคคล ซึ่งผู้เรียนจะปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง สรุปได้ว่า ชุดการเรียน ชุดการสอนหรือชุดกิจกรรม คือ การนำเอาสื่อประสมที่มีการวางแผน การผลิตอย่างเป็นระบบ และมีความสัมพันธ์สอดคล้องกับเนื้อหาวิชามาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ในแต่ละหน่วย เพื่อถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์แก่นักเรียน ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยเรียกว่า “ชุดการเรียน” ประเภทของชุดการเรียน นักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึง ประเภทของชุดการเรียน ไว้ดังนี้ สุคนธ์สินธพานนท์ (2553 : 16) ได้แบ่งประเภทของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ดังนี้ 1. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้การสอนสำหรับครู เป็นชุดการสอนที่ครูใช้ประกอบการสอน ประกอบด้วยคู่มือครู สื่อการเรียนการสอนที่หลากหลาย มีการจัดกิจกรรมและสื่อการสอนประกอบ การบรรยายของครูผู้สอน ชุดกิจกรรมการเรียนรู้นี้มีเนื้อหาสาระวิชาเพียงหน่วยเดียวและใช้กับผู้เรียน ทั้งชั้นแบ่งเป็นหัวข้อที่จะบรรยาย มีการกำหนดกิจกรรมตามลำดับขั้น 2. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับกิจกรรมกลุ่ม เป็นชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้ศึกษา ความรู้ร่วมกัน โดยปฏิบัติกิจกรรมตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ในชุดกิจกรรมการเรียนรู้ หรืออาจจะ เรียนชุดกิจกรรมการเรียนรู้ในศูนย์การเรียน กล่าวคือในศูนย์การเรียนรู้จะมีชุดกิจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละ หัวข้อย่อยของหน่วยการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนศึกษา ผู้เรียนแต่ละกลุ่มจะหมุนเวียนศึกษาความรู้และ ทำกิจกรรมของชุดการสอนจนครบทุกศูนย์การเรียนรู้ 3. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้รายบุคคล เป็นชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนศึกษาหาความรู้ ด้วยตนเอง ผู้เรียนจะเรียนรู้ตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในชุดกิจกรรมการเรียนรู้ซึ่งสามารถศึกษาได้ ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน และเมื่อศึกษาจนครบตามขั้นตอนแล้วผู้เรียนสามารถประเมินผล การเรียนรู้ของตนเองได้ด้วยตนเอง
31 4. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบผสม เป็นชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีการจัดกิจกรรมหลากหลาย บางขั้นตอนอาจใช้วิธีการบรรยายประกอบการใช้สื่อ บางขั้นตอนผู้สอนอาจให้ผู้เรียนศึกษาความรู้ ด้วยตนเองเป็นรายบุคคล และบางขั้นตอนอาจให้ผู้เรียนศึกษาความรู้จากชุดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ กิจกรรมกลุ่ม จิตรา ดวงปรีชา (2554 : 34) ได้แบ่งประเภทของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้ 1. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ประกอบการบรรยาย เป็นชุดการเรียนการสอนสำหรับครู ใช้ประกอบการสอนแบบบรรยาย ช่วยให้ผู้สอนพูดน้อยลง 2. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่ม เป็นชุดการเรียนการสอนที่มุ่งให้ผู้เรียนได้ประกอบกิจกรรม กลุ่มเป็นกลุ่มย่อย 3. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้รายบุคคลหรือชุดการเรียนการสอนด้วยตนเอง เป็นชุด การเรียนการสอนที่มุ่งให้ผู้เรียนศึกษาด้วยตนเอง ตามความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้เรียนสามารถ ประเมินความรู้ได้ด้วยตนเอง 4. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ทางไกล เป็นชุดการเรียนการสอนที่ครูผู้สอนกับผู้เรียนอยู่ต่างถิ่น ต่างเวลากัน มุ่งสอนให้ผู้เรียนศึกษาด้วยตนเองโดยไม่ต้องเข้าชั้นเรียน สรุปได้ว่า ประเภทของชุดการเรียน แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ประกอบการบรรยาย เป็นชุดกิจกรรมการเรียนรู้ประกอบการบรรยายของผู้สอน 2) ชุดกิจกรรม การเรียนรู้แบบกลุ่ม เป็นชุดกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับผู้เรียนทำกิจกรรมแบบกลุ่มย่อย 3) ชุดกิจกรรม การเรียนรู้รายบุคคลเป็นชุดกิจกรรมการเรียนรู้มุ่งให้ผู้เรียนศึกษาด้วยตนเองตามความสนใจและ ความสามารถของแต่ละบุคคล และ 4) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ทางไกลเป็นชุดกิจกรรมการเรียนรู้มุ่งสอนให้ ผู้เรียนศึกษาด้วยตนเองโดยไม่ต้องเข้าชั้นเรีน ขั้นตอนการสร้างชุดการเรียน นักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึง ขั้นตอนการสร้างชุดการเรียน ไว้ดังนี้ ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (อ้างถึงใน บุญเกื้อ ควรหารเวช 2542 : 97-99) ได้กล่าวถึงขั้นตอน ในการสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้ไว้ 10 ขั้นตอน ดังนี้ 1. กำหนดหมวดหมู่เนื้อหาและประสบการณ์ อาจจะกำหนดเป็นหมวดวิชาหรือบูรณาการ เป็นแบบสหวิทยาการตามที่เห็นเหมาะสม 2. กำหนดหน่วยการสอน แบ่งเนื้อหาวิชาออกเป็นหน่วยการสอนโดยประมาณเนื้อหาวิชา ที่จะให้ครูสามารถถ่ายทอดความรู้แก่นักเรียนได้ในหนึ่งสัปดาห์หรือหนึ่งครั้ง
32 3. กำหนดหัวเรื่อง ผู้สอนจะต้องถามตนเองว่าในการสอนแต่ละหน่วยควรให้ประสบการณ์ ออกมาเป็น 4 - 6 หัวเรื่อง 4. กำหนดความคิดรวบยอดและหลักการ จะต้องให้สอดคล้องกับหน่วยหรือหัวเรื่อง โดยสรุป รวมแนวคิด สาระ และหลักเกณฑ์สำคัญไว้เพื่อเป็นแนวทางในการจัดเนื้อหาที่สอนให้สอดคล้องกัน 5. กำหนดวัตถุประสงค์ให้สอดคล้องกับหัวเรื่อง เป็นจุดประสงค์ทั่วไปก่อนแล้วเปลี่ยน วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ต้องมีเงื่อนไขและเกณฑ์พฤติกรรมทุกครั้ง 6. กำหนดกิจกรรมการเรียน ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ซึ่งจะเป็นแนวทาง ในการเลือกและการผลิตสื่อการสอน 7. กำหนดแบบประเมิน ต้องออกแบบการประเมินผลให้ตรงกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม โดยการสอบแบบอิงเกณฑ์ (การวัดผลที่ยึดเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในวัตถุประสงค์ โดยไม่มี การนำไปเปรียบเทียบกับคนอื่น) เพื่อให้ผู้สอนทราบว่าหลังจากผ่านกิจกรรมมาเรียบร้อยแล้วผู้เรียนได้ เปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่ 8. เลือกและผลิตสื่อการสอน วัสดุอุปกรณ์และวิธีการที่ครูใช้ถือเป็นสื่อการสอนทั้งสิ้น เมื่อผลิตสื่อการสอนของแต่ละหัวเรื่องแล้วก็จัดสื่อการสอนเหล่านั้นไว้เป็นหมวดหมู่ในกล่องที่เตรียมไว้ ก่อนนำไปทดลองหาประสิทธิภาพ เรียกว่า ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 9. หาประสิทธิภาพชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อเป็นการประกันว่าชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพในการสอน ผู้สร้างจำต้องกำหนดเกณฑ์ขึ้นล่วงหน้า โดยคำนึงถึงหลักการที่ว่า การเรียนรู้เป็นการช่วยในการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้เรียนบรรลุผล 10. การใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ได้ปรับปรุงและมีประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้แล้วสามารถนำไปสอนผู้เรียนตามประเภทของชุดการสอนและระดับการศึกษา โดยกำหนดขั้นตอนการใช้ดังนี้ 10.1 ผู้เรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียนเพื่อพิจารณาความรู้เดิมของผู้เรียน 10.2 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 10.3 ขั้นประกอบกิจกรรมการเรียน (ขั้นสอน) ผู้สอนบรรยายหรือแบ่งกลุ่มประกอบ กิจกรรมการเรียน 10.4 ขั้นสรุปผลการสอน เพื่อสรุปความคิดรวบยอดและหลักการที่สำคัญ 10.5 ทำแบบทดสอบหลังเรียน เพื่อดูพฤติกรรมการเรียนรู้ที่เปลี่ยนไปแล้ว สุคนธ์ สินธพานนท์ (2553 : 18) ได้กล่าวถึงขั้นตอนการสร้างชุดการเรียนการสอน ไว้ดังนี้ การที่ผู้สอนสร้างชุดการเรียนการสอนเพื่อนำไปใช้ในการเรียนการสอนนั้น ครูควรดำเนินการตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้
33 1. เลือกหัวข้อ (Topic) กำหนดขอบเขตและประเด็นสำคัญของเนื้อหา ผู้สร้างชุดการเรียน การสอนควรเลือกหัวข้อและประเด็นสำคัญ ได้จากการวิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้และสาระการเรียนรู้ ของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในระดับชั้นที่จะสอนว่าหัวข้อใดที่เหมาะสมที่ควรนำไปสร้าง ชุดการเรียนการสอนที่ให้ผู้เรียนสามารถศึกษาความรู้ได้ด้วยตนเอง 2. กำหนดเนื้อหาที่จะทำชุดการเรียนการสอน โดยคำนึงถึงความรู้พื้นฐานของผู้เรียน 3. เขียนจุดประสงค์ในการจัดการเรียนการสอน การเขียนจุดประสงค์ควรเขียนเป็น ลักษณะเฉพาะหรือจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม เพื่อให้ผู้สอนและผู้เรียนทราบจุดประสงค์ว่าเมื่อศึกษา ชุดการเรียนการสอนจบแล้ว ผู้เรียนจะต้องมีความสามารถอย่างไร 4. สร้างแบบทดสอบ การสร้างแบบทดสอบมี 3 แบบ คือ 4.1 แบบทดสอบวัดพื้นฐานความรู้เดิมของผู้เรียน เพื่อดูว่าผู้เรียนมีความรู้พื้นฐานก่อนที่ จะมาเรียนเพียงพอหรือไม่ (เมื่อทดสอบแล้วถ้าผู้เรียนมีความรู้พื้นฐานไม่เพียงพอ ผู้สอนควรแนะนำให้ ผู้เรียนแสวงหาความรู้จากแหล่งต่าง ๆ โดยวิธีใด เป็นต้น หรือผู้สอนอาจอธิบายความรู้เพิ่มเติมแก่ผู้เรียน ในเรื่องนั้น ๆ 4.2 แบบทดสอบย่อย เพื่อวัดความรู้ของผู้เรียนหลังจากเรียนจบในแต่ละเนื้อหาย่อย 4.3 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การเรียน ใช้ประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนหลังจาก การศึกษาชุดการเรียนการสอนจบแล้ว 5. จัดทำชุดการเรียนการสอน ประกอบด้วย 5.1 บัตรคำสั่ง 5.2 บัตรปฏิบัติการและบัตรเฉลย (ถ้ามี) 5.3 บัตรเนื้อหา 5.4 บัตรฝึกหัด และบัตรเฉลยบัตรฝึกหัด 5.5 บัตรทดสอบ และบัตรเฉลยบัตรทดสอบ 6. วางแผนจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ผู้สอนเตรียมออกแบบการจัดกิจกรรม การเรียนการสอน โดยมีหลักการสำคัญ คือ 6.1 ผู้เรียนมีบทบาทสำคัญในการทำกิจกรรมด้วยตนเอง ผู้สอนเป็นผู้เพียงคอยชี้แนะ และควบคุมการเรียนการสอน 6.2 เลือกกิจกรรมหลากหลายที่เหมาะสมกับชุดการเรียนการสอน 6.3 ฝึกให้ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยการคิดอย่างหลากหลาย เช่น คิดวิเคราะห์ คิดแก้ปัญหา คิดอย่างมีวิจารณญาณ คิดสร้างสรรค์ เป็นต้น 6.4 มีกิจกรรมที่ฝึกให้ผู้เรียนได้ทำงานร่วมกับผู้อื่น
34 7. การรวบรวมและจัดทำสื่อการเรียนการสอน สื่อการเรียนการสอนมีความสำคัญต่อ การจัดการเรียนรู้ของผู้เรียน สื่อการเรียนการสอนบางชนิดอาจมีผู้จัดทำไว้แล้ว ผู้สอนอาจนำมาปรับปรุง ดัดแปลงใหม่ให้สอดคล้องกับเนื้อหาสาระและจุดประสงค์ที่จะสอน ครูผู้สอนต้องสร้างสื่อการเรียน การสอนใหม่ ซึ่งต้องใช้เวลามาก สรุปได้ว่า ขั้นตอนในการสร้างชุดการเรียน แบ่งเป็นขั้นตอนหลัก ๆ ได้ 3 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ขั้นวางแผนการดำเนินงาน คือ การวางแผนการทำงานต่าง ๆ ไว้อย่างเป็นลำดับ ขั้นตอนตั้งแต่การวิเคราะห์ปัญหา วิเคราะห์ผู้เรียน การกำหนดวัตถุประสงค์ กำหนดเนื้อหา การเลือกสื่อ ที่จะสร้าง กำหนดกิจกรรมต่าง ๆ กำหนดการประเมินประสิทธิภาพและการทดลองหาประสิทธิภาพ ของชุดการเรียน 2. ขั้นดำเนินการสร้าง คือ ในการผลิตชุดการเรียนนั้น ควรคำนึงถึงการได้มีส่วนร่วม ของนักเรียน การให้นักเรียนได้ทราบผลของการใช้ชุดการเรียน 3. ขั้นทดสอบประเมินผล คือ เมื่อได้ชุดการเรียนแล้ว ก็นำมาใช้เพื่อหาประสิทธิภาพ จะได้นำผลไปแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น เพื่อให้ได้ชุดการเรียนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ประโยชน์ของชุดการเรียน นักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึง ประโยชน์ของชุดการเรียน ไว้ดังนี้ กฤษมันต์ วัฒนาณรงค์(2554 : 108-109) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของชุดการสอนไว้ ดังนี้ 1. ทำให้การสอนแต่ละเนื้อหามีความคงเส้นคงวา (Consistency) เนื่องจากมีขั้นตอน และกระบวนการของการเรียนการสอนกำกับอยู่ ไม่ขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมทางการเรียนทั้งของผู้สอน และผู้เรียน เช่น เป็นอิสระจากสภาวะทางอารมณ์ บุคลิกภาพของผู้สอนและภาวะขัดข้องทางความพร้อม ของผู้เรียน เป็นต้น 2. สามารถจัดเก็บ เรียกใช้ ปรับปรุงแก้ไขได้ง่าย เนื่องจากมีการออกแบบไว้เป็นระบบและ มีส่วนประกอบที่แยกส่วนกันไว้อย่างเป็นระบบเช่นกัน 3. เป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีร่วมสมัยมาใช้กับการเรียนการสอน เนื่องจากการพัฒนาและ ออกแบบชุดการสอนนั้นจะสอดคล้องกับเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลและกระบวนการในการสื่อสาร ของผู้เรียนและผู้สอน 4. สร้างความพร้อมและมั่นใจแก่ผู้สอน โดยเฉพาะผู้สอนที่ไม่ค่อยมีเวลาในการเตรียมการสอน ล่วงหน้า 5. เป็นการแก้ปัญหาความแตกต่างระหว่างบุคคลและส่งเสริมการศึกษารายบุคคล เนื่องจาก ชุดการสอนสามารถทำให้ผู้เรียนเรียนได้ตามความสามารถ ความถนัดและความสนใจตามเวลาและโอกาส
35 ที่เอื้ออำนวยแก่ผู้เรียนซึ่งแตกต่างกัน ช่วยขจัดปัญหาการขาดแคลนครู ช่วยในการศึกษานอกระบบ โรงเรียน เพราะชุดการสอนสามารถนำไปสอนนักเรียนได้ทุกสถานที่และทุกเวลา หริพล ธรรมนารักษ์ (2558 : 185-186) กล่าวถึงประโยชน์ของชุดกิจกรรมไว้ ดังนี้ 1. ช่วยให้ผู้สอนถ่ายทอดประสบการณ์และเนื้อหาที่สลับซับซ้อน และมีลักษณะเป็นนามธรรม สูง 2. ช่วยเร้าความสนใจของผู้เรียนต่อสิ่งที่กำลังศึกษา เพราะชุดการเรียนจะเปิดโอกาสให้ผู้เรียน มีส่วนร่วมในการเรียนของตนเองและสังคมมากที่สุด 3. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็น ฝึกการตัดสินใจ แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง และมีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม 4. ช่วยสร้างความพร้อมและความมั่นใจแก่ผู้สอน เพราะชุดการเรียนผลิตไว้เป็นหมวดหมู่ สามารถหยิบนำไปใช้ได้ทันที โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาในการเตรียมการสอนล่วงหน้า 5. ทำให้การเรียนการสอนของผู้เรียนเป็นอิสระจากอารมณ์ของผู้สอน เพราะชุดการเรียน สามารถทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าผู้สอนจะมีสภาพความขัดข้องทางอารมณ์มากน้อยเพียงใด 6. ช่วยให้การเรียนเป็นอิสระจากบุคลิกภาพของผู้สอน เนื่องจากชุดการเรียนทำหน้าที่ ถ่ายทอดความรู้แทนครูผู้สอน แม้ผู้สอนจะพูดหรือสอนไม่เก่ง ผู้เรียนก็สามารถเรียนได้อย่างมี ประสิทธิภาพจากชุดการเรียนที่ได้ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพมาแล้ว 7. กรณีที่มีผู้สอนไม่เพียงพอกับจำนวนผู้เรียน ผู้สอนคนอื่นก็สามารถสอนแทนได้ จากชุดการสอนโดยไม่ต้องเตรียมตัวมาก 8. ชุดการเรียนทางไกลและชุดการสอนรายบุคคลช่วยให้การศึกษาของมวลชนดำเนินไป อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้เรียนสามารถเรียนได้เองที่บ้าน ไม่ต้องเสียเวลาและประหยัดค่าใช้จ่าย สรุปได้ว่า ชุดกิจกรรมมีประโยชน์ต่อการจัดการเรียนรู้อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการช่วยให้ผู้เรียน สามารถเรียนรู้ได้ตามความสนใจ เป็นสื่อที่เร้าความสนใจของผู้เรียนช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียน เกิดความกระตือรือร้นในการเรียนมากขึ้น ในกรณีที่ผู้สอนมีจำนวนไม่เพียงพอต่อผู้เรียน ผู้เรียนสามารถ เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง และการใช้ชุดการเรียนยังสามารถช่วยให้ผู้สอนคนอื่น สอนแทนได้โดยไม่เป็นการเพิ่ม ภาระในการที่จะต้องเตรียมเนื้อหาเพื่อนำไปสอนมากนัก แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ความหมายของผลสัมฤทธิ์ นักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึง ความหมายของผลสัมฤทธิ์ ไว้ดังนี้
36 พวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2540 : 29) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน หมายถึงคุณลักษณะ รวมถึงความรู้ความสามารถของบุคคลอันเป็นผลจาก การเรียนการสอน หรือมวลประสบการณ์ทั้งปวงที่บุคคลได้รับจากการเรียนการสอน ทำให้บุคคล เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้านต่าง ๆ ของสมรรถภาพสมอง สมสุข ศรีสุข (2542 : 26) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์หมายถึง ความรู้ ความสำเร็จ ความสามารถในการกระทำใด ๆ ที่ต้องอาศัยความรอบรู้หรือทักษะในวิชานั้น ๆ โดยมี เครื่องมือที่ช่วยในการวัดผลสัมฤทธิ์ในการเรียน พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข (2547 : 125) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ขนาดของความสำเร็จที่ได้จากกระบวนการเรียน การสอน โชติกา ภาษีผล (2559 : 55) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ว่า เป็นความสามารถอันเป็นผลมาจากประสบการณ์การเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้รับจากการเรียนการสอนในช่วง ระยะเวลาใดเวลาหนึ่งที่ผ่านมา การวัดความรู้ความสามารถทางสมองหรือสติปัญญาของบุคคลนั้น วิธีการที่เหมาะสมที่สุด คือ การสอบ (Testing) และเครื่องมือวัดที่ใช้สำหรับการสอบ คือ แบบสอบ (Test) สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ ความสามารถของผู้เรียนที่เกิดขึ้น หลังจาก การเรียนรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งไปแล้ว โดยใช้แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพื่อวัดว่า ผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถตรงตามจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้มากน้อยเพียงใด ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ นักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึง ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ไว้ดังนี้ บุญชม ศรีสะอาด (2545 : 53) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ หมายถึงแบบทดสอบที่ใช้ วัดความรู้ความสามารถของบุคคลในด้านวิชาการ ซึ่งเป็นผลจากการเรียนรู้ในเนื้อหาสาระและ ตามจุดประสงค์ของวิชา หรือเนื้อหาที่สอนนั้น โดยทั่วไปจะวัดผลสัมฤทธิ์ในวิชาต่าง ๆ ที่เรียนในโรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย หรือสถาบันการศึกษาต่าง ๆ พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2545 : 96) ได้ให้ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ไว้ว่า เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ ทักษะ และความสามารถทางวิชาการที่ผู้เรียนได้เรียนรู้มาแล้ว ว่าบรรลุผล ตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้เพียงใด มนชิดา เรืองรัมย์ (2556 : 45) ได้ให้ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ไว้ว่า เป็นแบบทดสอบที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการวัดผลการเรียนรู้ด้านเนื้อหาของวิชานั้น ๆ และทักษะต่าง ๆ
37 ของแต่ละวิชา เพื่อให้ผู้สอนทราบว่าผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถที่เกิดจากการเรียนเป็นไปตามเป้าหมาย หรือมาตรฐานที่ผู้สอนตั้งไว้หรือไม่ เยาวดี วิบูลย์ศรี (2556 : 28) ได้ให้ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ไว้ว่า เป็นแบบทดสอบวัดความรู้เชิงวิชาการ ใช้วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เน้นการวัดความรู้ ความสามารถจากการเรียนรู้ในอดีต หรือในสภาพปัจจุบันของแต่ละบุคคล ศิริชัย กาญจนวาสี (2556 : 165) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีบทบาท สำคัญในการใช้เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่ง สำหรับการวัดและประเมินผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของผู้เรียน ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ทำให้ผู้สอนทราบว่าผู้เรียนได้พัฒนาความรู้ ความสามารถถึงระดับมาตรฐาน ที่กำหนดไว้หรือยัง หรือมีความรู้ความสามารถถึงระดับใด หรือมีความรู้ ความสามารถดีเพียงไร เมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อน ๆ ที่เรียนด้วยกัน สรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคือ เครื่องมืออย่างหนึ่งที่จะใช้วัดผล ทางการเรียน อาจเป็นแบบทดสอบความรู้ แบบทดสอบความสามารถ แบบทดสอบทางวิชาการ แบบทดสอบทักษะ เพื่อใช้วัดและประเมินผลทางการเรียนว่าบรรลุไปตามวัตถุประสงค์ ตามเกณฑ์ มาตรฐานที่ตั้งไว้หรือไม่ หรือมีความรู้ ความสามารถอยู่ในระดับใด ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ นักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึง ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ไว้ดังนี้ บุญชม ศรีสะอาด (2545 : 53) กล่าวว่า แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ จำแนกออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. แบบทดสอบอิงเกณฑ์ หมายถึง แบบทดสอบที่สร้างขึ้นตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม มีคะแนนจุดตัดหรือคะแนนเกณฑ์ สำหรับใช้ตัดสินว่าผู้สอบมีความรู้ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้หรือไม่ การวัดตรงตามจุดประสงค์เป็นหัวใจสำคัญของข้อสอบในแบบทดสอบประเภทนี้ 2. แบบทดสอบอิงกลุ่ม หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งสร้างเพื่อวัดให้ครอบคลุมหลักสูตร จึงสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร ความสามารถในการจำแนกผู้สอบตามความเก่งอ่อนได้ดี เป็นหัวใจ ของข้อสอบในแบบทดสอบประเภทนี้ การรายงานผลการสอบอาศัยคะแนนมาตรฐาน ซึ่งเป็นคะแนน ที่สามารถให้ความหมายแสดงถึงสถานภาพความสามารถของบุคคลนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลอื่น ๆ ที่ใช้กลุ่มเปรียบเทียบ บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์ (2542 : 128) กล่าวว่า ชนิดของแบบทดสอบที่นิยมเขียน มีอยู่ 5 แบบ ได้แก่ แบบความเรียง (Essay) แบบถูกผิด (True False) แบบเติมคำ (Completion) แบบจับคู่ (Matching) และแบบเลือกตอบ (Multiple Choices) แต่แบบทดสอบที่นิยมใช้มากที่สุดใน ปัจจุบัน คือ แบบทดสอบแบบเลือกตอบ ทั้งนี้เพราะใช้วัดผลการเรียนรู้ระดับสูงและซับซ้อนได้ ตรวจให้
38 คะแนนง่าย สะดวกและรวดเร็ว วัดครอบคลุมเนื้อหาได้มาก จึงมีความตรงตามเนื้อหาสูง มีความเที่ยง ในการนำไปใช้วัดผลการเรียนสูง เพราะข้อสอบแต่ละข้อมีความเป็นปรนัยมากและสามารถใช้ หาความบกพร่อง หรือตรวจสอบเนื้อหาในประเด็นต่าง ๆ ที่นักเรียนไม่เข้าใจ พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2545 : 97) ได้กล่าวถึงประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ สามารถ แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ 1. แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเอง หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนเฉพาะ กลุ่มที่ครูสอน เป็นแบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นใช้กันในสถานศึกษา มีลักษณะเป็นแบบทดสอบข้อเขียน แบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ 1.1 แบบทดสอบอัตนัย เป็นแบบทดสอบที่กำหนดคำถามหรือปัญหาแล้วให้ผู้ตอบเขียน โดยแสดงความรู้ ความคิด เจตคติได้อย่างเต็มที่ 1.2 แบบทดสอบปรนัย หรือแบบตอบสั้น ๆ เป็นแบบทดสอบที่กำหนดให้ผู้สอบเขียน ตอบสั้น ๆ หรือมีคำตอบให้เลือกแบบจำกัดคำตอบ แบบทดสอบชนิดนี้แบ่งได้เป็น 4 ชนิด คือ 1.2.1 แบบทดสอบถูก – ผิด 1.2.2 แบบทดสอบเติมคำ 1.2.3 แบบทดสอบจับคู่ 1.2.4 แบบทดสอบเลือกตอบ ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2541 : 18 อ้างถึงใน ณัฐธยาน์ การุญ, 2554 : 34) ให้ ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ว่า เป็นแบบทดสอบที่วัดความรู้ของนักเรียนที่ได้ เรียนไปแล้ว ซึ่งเป็นข้อคำถามให้นักเรียนตอบลงในกระดาษ และให้นักเรียนได้ปฏิบัติจริง แบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบ่งเป็น 2 แบบ ดังต่อไปนี้ 1. แบบทดสอบของครู หมายถึง ชุดข้อคำถามที่ครูเป็นผู้สร้างขึ้น ซึ่งเป็นข้อคำถามเกี่ยวกับ ความรู้ที่นักเรียนได้เรียนในห้องว่านักเรียนมีความรู้มากเพียงใด บกพร่องตรงไหน เพื่อจะได้สอนซ่อมเสริม หรือวัดดูความพร้อมที่จะสอนเรื่องใหม่ แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นนี้มุ่งวัดผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน เฉพาะกลุ่มที่ครูผู้สอนเป็นแบบทดสอบที่ครูขึ้น ใช้กันโดยทั่วไปในสถานศึกษา มีลักษณะเป็นแบบทดสอบ ข้อเขียน ซึ่งแบ่งได้อีก 2 ชนิดคือ 1.1 แบบทดสอบอัตนัย เป็นแบบทดสอบที่กำหนดคำถาม แล้วให้ผู้เรียนได้ตอบโดย การเขียนแสดงความรู้ความคิด เจตคติได้อย่างเต็มที่ 1.2 แบบทดสอบปรนัย เป็นแบบทดสอบที่กำหนดให้ผู้เรียนตอบแบบสั้น ๆ หรือมีคำตอบ ให้เลือก ผู้เรียนไม่สามารถแสดงความรู้ ทัศนคติได้อย่างกว้างขวางเหมือนแบบทดสอบแบบอัตนัย สามารถ แบ่งออกได้เป็น 4 แบบ ดังนี้
39 1.2.1 แบบทดสอบถูกผิด 1.2.2 แบบทดสอบจับคู่ 1.2.3 แบบทดสอบแบบเติมคำ 1.2.4 แบบทดสอบแบบเลือกตอบ 2. แบบทดสอบมาตรฐาน สร้างขึ้นจากผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาวิชาหรือจากครูผู้สอนวิชา นั้น ๆ แต่ผ่านการทดสอบหาคุณภาพหลายครั้ง จนกระทั่งมีคุณภาพดีพอจะสร้างเกณฑ์ปกติ ของแบบทดสอบนั้น สามารถใช้เป็นหลักเปรียบเทียบผล เพื่อประเมินค่าของการเรียนการสอน ในเรื่องใด ๆ ก็ได้จะใช้วัดอัตราการพัฒนาของเด็กแต่ละวัยในแต่ละกลุ่มก็ได้ จะใช้สำหรับให้ครูวินิจฉัย ผลสัมฤทธิ์ระหว่างวิชาต่าง ๆ ในเด็กแต่ละคนก็ได้ ข้อสอบมาตรฐาน นอกจากจะมีคุณภาพของ แบบทดสอบสูงแล้ว ยังมีมาตรฐานในด้านวิธีการดำเนินการสอบ กล่าวคือไม่ว่าโรงเรียนใดหรือ ส่วนราชการใดจะนำไปใช้ต้องดำเนินการสอบแบบเดียวกัน สมนึก ภัททิยธนี (2541 : 73-79) ได้ให้แบ่งประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ได้ 6 ประเภท ดังนี้ 1. ข้อสอบแบบเลือกตอบ โดยทั่วไปจะประกอบด้วย 2 ตอน คือ ตอนนำหรือตอนคำถามกับ ตอนเลือก ในตอนเลือกประกอบด้วยตัวเลือกที่เป็นคำตอบที่ถูกและตัวเลือกที่เป็นตัวลวง ข้อสอบ แบบนี้จะมีความเที่ยงตรงสูง สามารถครอบคลุมเนื้อหา และทุกพฤติกรรมด้านความรู้ รวมทั้งยังตรวจง่าย สะดวก รวดเร็ว และมีความยุติธรรม 2. ข้อสอบแบบอัตนัยหรือแบบเรียงความ เป็นข้อสอบชนิดที่มีเฉพาะข้อคำถามให้ผู้เรียน สามารถเขียนคำตอบได้อย่างเสรี เขียนบรรยายตามความรู้ และข้อคิดเห็นของแต่ละคนซึ่งสามารถ วัดพฤติกรรมต่าง ๆ ได้ทุกด้าน แต่มักจะมีความคลาดเคลื่อนในการตรวจให้คะแนน 3. ข้อสอบแบบกาถูกผิด เป็นข้อสอบแบบเลือกตอบเป็นแบบที่มี2 ตัวเลือกแต่ตัวเลือก ดังกล่าวเป็นแบบคงที่และมีความหมายตรงข้าม เป็นข้อสอบที่ให้ความยุติธรรมแก่ผู้สอบ เพราะเปิดโอกาส ให้ทุกคนได้ใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ในการเดาได้อย่างเท่าเทียม แต่มักจะวัดได้เฉพาะพฤติกรรม ด้านความรู้ ความจำได้เพียงอย่างเดียว 4. ข้อสอบแบบเติมคำ เป็นข้อสอบที่ประกอบด้วยประโยคหรือข้อความที่ยังไม่สมบูรณ์ ให้ผู้ตอบเติมคำ ประโยค ข้อความลงในช่องว่างที่เว้นไว้ เพื่อให้ประโยคมีความสมบูรณ์และถูกต้อง มักจะ วัดความรู้ความจำได้เพียงอย่างเดียว 5. ข้อสอบแบบตอบสั้น ๆ ข้อสอบประเภทนี้คล้ายข้อสอบแบบเติมคำ แตกต่างกัน ที่ข้อสอบแบบตอบสั้นเขียนเป็นประโยคคำถามสมบูรณ์แล้วให้ผู้ตอบเป็นคนเขียนตอบ ซึ่งคำตอบที่
40 ต้องการจะสั้น ๆ กะทัดรัด ได้ใจความสมบูรณ์ เหมาะกับการวัดพฤติกรรมด้านความรู้ ความจำ แต่จะมี ปัญหาในการตรวจให้คะแนน เพราะความผิดพลาดทางภาษาของผู้สอบ 6. ข้อสอบแบบจับคู่ เป็นข้อสอบเลือกตอบชนิดหนึ่งโดยมีคำหรือข้อความแยกออกจากกันเป็น 2 ชุด ให้ผู้เลือกตอบจับคู่ว่าแต่ละข้อความ ในชุดหนึ่ง (ตัวยืน) จะคู่กับคำหรือข้อความใดในอีกชุดหนึ่ง (ตัวเลือก) ซึ่งมีความสัมพันธ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่ผู้ออกข้อสอบกำหนดไว้ ตรวจให้คะแนนง่าย เปิดโอกาสให้สามารถเดาถูกได้สูง เยาวดี รางชัยกุล วิบูลย์ศรี (2556 : 23-25) กล่าวถึงประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ว่า แบ่งเป็น 2 แบบ ดังนี้ 1. แบบสอบผลสัมฤทธิ์มาตรฐาน เป็นแบบสอบที่สร้างขึ้นโดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญมากกว่าที่จะ สร้างขึ้นโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่งเพียงบุคคลเดียวเท่านั้น ตามปกติแล้วผู้สร้างแบบสอบผลสัมฤทธิ์ มาตรฐานมักจะประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญทางด้านการวัดและการประเมินผล รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญ ในสาขาวิชานั้น ๆ ตลอดจนครูในโรงเรียนต่าง ๆ ซึ่งมีบทบาทในการกำหนดขอบข่ายของเนื้อหาวิชา ที่ต้องการทดสอบให้เหมาะสม เนื้อหาของแบบสอบวัดผลสัมฤทธิ์มาตรฐาน โดยทั่วไปจะเป็นความรู้ และทักษะในระดับกว้าง ๆ เพื่อให้สามารถนำไปใช้กับนักเรียนในโรงเรียนต่าง ๆ ได้ 2. แบบสอบผลสัมฤทธิ์ที่ครูสร้างขึ้น เป็นแบบสอบซึ่งใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการเรียน การสอนโดยเฉพาะ คือใช้สำหรับวัดความก้าวหน้าเกี่ยวกับผลการเรียนของนักเรียน และค้นหา ข้อบกพร่องของระบบการเรียนการสอน ทั้งนี้เพื่อจะได้จัดหน่วยการสอนซึ่งใช้ซ่อมเสริมข้อบกพร่อง ในการเรียนให้กับนักเรียนได้ตรงตามความต้องการอย่างเหมาะสม และที่สำคัญคือ ใช้ในการตัดสิน เป้าหมายของหลักสูตรในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ว่าได้บรรลุผลตามที่คาดหวังไว้หรือไม่ เพียงใด รวมทั้ง การให้คะแนนหรือระดับผลการเรียนนักเรียนด้วย ซึ่งถือได้ว่าเป็นแบบทดสอบที่มีคุณค่าในการวัด และตรวจสอบผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนได้เหมาะสมกว่าแบบสอบประเภทอื่น ๆ สรุปได้ว่า ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบ่งได้หลายชนิดตามลักษณะ ของแบบทดสอบ คือ ตามลักษณะของผู้ออกแบบทดสอบ เช่น แบบทดสอบที่ครูสร้างเอง แบบทดสอบ ตามมาตรฐาน แบ่งตามลักษณะการตอบ เช่น แบบทดสอบอัตนัย แบบทดสอบปรนัย แบ่งตามชนิดของ แบบทดสอบ เช่น แบบทดสอบถูกผิด แบบทดสอบจับคู่ แบบทดสอบเติมคำ แบบทดสอบแบบเลือกตอบ ข้อสอบแบบกาถูกผิด แบ่งตามเกณฑ์การประเมิน เช่น แบบทดสอบอิงเกณฑ์ แบบทดสอบอิงกลุ่ม ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ นักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึง ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ไว้ดังนี้ บุญเชิด ภิญโญอนันตพงษ์ (2541 : 21-30) กล่าวถึง ขั้นตอนของกระบวนการสร้าง แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ดังนี้
41 ขั้นที่ 1 การวางแผนสร้างแบบทดสอบ พิจารณาถึงจุดประสงค์ของการนำแบบทดสอบไปใช้ การวางแผนสร้างแบบทดสอบว่าจะสร้างแบบทดสอบอย่างไร จำเป็นต้องเรียนรู้เสียก่อนว่าเราจะทำ แบบทดสอบไปใช้เพื่อทำอะไร หรือต้องการทราบจุดประสงค์ของการนำแบบทดสอบไปใช้นั่นเอง โดยหลักการการนำแบบทดสอบไปใช้จะสัมพันธ์อยู่กับการสอน ขั้นที่ 2 การตระเตรียมงานและเขียนข้อสอบ เมื่อวางแผนการสร้างแบบทดสอบ โดยการสร้าง เป็นตารางวิเคราะห์หลักสูตรเรียบร้อยแล้ว จะต้องตระเตรียมงงาน และเขียนข้อสอบต่อไป ขั้นที่ 3 การทดสอบ เมื่อเขียนข้อสอบและจัดพิมพ์เรียบร้อยก็นำไปทดลองสอบ ขั้นที่ 4 การประเมินแบบทดสอบ พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2545 : 97-98) กล่าวถึง การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ดังนี้ 1. วิเคราะห์หลักสูตรและการสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร ควรเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ หลักสูตรและสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร เพื่อวิเคราะห์เนื้อหาสาระและพฤติกรรมที่ต้องการจะวัด ซึ่งตารางวิเคราะห์หลักสูตรจะเป็นกรอบในการออกข้อสอบโดยระบุจำนวนข้อสอบในแต่ละเรื่อง และพฤติกรรมที่ต้องการจะวัด 2. กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ เป็นพฤติกรรมที่เป็นผลการเรียนรู้ที่ครูมุ่งหวังจะให้ เกิดขึ้นกับนักเรียนซึ่งครูจะต้องกำหนดไว้ล่วงหน้าสำหรับเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอน 3. กำหนดชนิดของข้อสอบและศึกษาวิธีสร้าง ครูต้องพิจารณาและตัดสินใจเลือกใช้ ชนิดของข้อสอบที่จะใช้วัดว่าจะเป็นแบบใด โดยต้องเลือกให้สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ และเหมาะสมกับวัยของนักเรียน 4. เขียนข้อสอบ ครูลงมือเขียนข้อสอบตามรายละเอียดที่กำหนดไว้ในตารางวิเคราะห์หลักสูตร 5. ตรวจทานข้อสอบ เพื่อให้ข้อสอบมีความถูกต้องตามหลักวิชา ครูต้องพิจารณาทบทวน ตรวจทานอีกครั้งก่อนที่จะจัดพิมพ์และนำไปใช้ต่อไป 6. จัดพิมพ์แบบทดสอบฉบับทอลองเมื่อตรวจทานข้อสอบเสร็จแล้วให้พิมพ์ข้อสอบทั้งหมด จัดทำเป็นแบบทดสอบฉบับทดลอง โดยมีคำชี้แจงหรือคำอธิบายวิธีตอบแบบทดสอบและจัดวางรูปแบบ การพิมพ์ให้เหมาะสม 7. ทดลองสอบและวิเคราะห์ข้อสอบ เป็นวิธีการตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบ ก่อนนำไปใช้จริง โดยนำแบบทดสอบไปทดลองสอบกับกลุ่มที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันกับกลุ่มที่ ต้องการสอบจริง แล้วนำผลการสอบมาวิเคราะห์และปรับปรุงข้อสอบให้มีคุณภาพ 8. จัดทำแบบบทสอบฉบับจริง หากพบว่าข้อสอบใดไม่มีคุณภาพ อาจจะต้องตัดทิ้งหรือ ปรับปรุงแก้ไขข้อสอบให้มีคุณภาพดีขึ้นแล้วจึงจัดทำเป็นแบบทดสอบฉบับจริงที่จะนำไปใช้ทดสอบกับ กลุ่มเป้าหมายต่อไป