42 เยาวดี วิบูลย์ศรี (2540 : 178-179) กล่าวถึง การสร้างแบบวัดผลสัมฤทธิ์ ดังนี้ 1. กำหนดวัตถุประสงค์ทั่วไปของการสอบให้อยู่ในรูปแบบของวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม โดยระบุเป็นข้อ ๆ ซึ่งต้องสอดคล้องกับเนื้อหาสาระที่ต้องการทดสอบด้วย 2. กำหนดโครงเรื่องของเนื้อหาสาระที่จะทดสอบให้ครบถ้วน 3. เตรียมตารางเฉพาะ หรือผังของแบบทดสอบ เพื่อแสดงน้ำหนักของเนื้อหาวิชาแต่ละส่วน และพฤติกรรมต่าง ๆ ให้มีความชัดเจน 4. สร้างข้อสอบทั้งหมดที่ต้องการจะทดสอบ ให้เป็นไปตามสัดส่วนของน้ำหนักที่ระบุไว้ใน ตารางเฉพาะ เสริม ทัศศรี (2536 : 56) กล่าวว่า ในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผู้สร้าง ต้องทราบขั้นตอนในการสร้างและปฏิบัติตามขั้นตอน จะทำให้สร้างข้อสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งขั้นตอนในการสร้างข้อสอบมี 5 ขั้น คือ 1. ขั้นวางแผน สิ่งที่ควรปฏิบัติในการวางแผนสร้างข้อสอบ คือ 1.1 กำหนดจุดมุ่งหมาย ในการสร้างข้อสอบทุกครั้งต้องกำหนดจุดมุ่งหมายให้ชัดเจน และแน่นอนว่าเพื่อวัตถุประสงค์ใด 1.2 กำหนดเนื้อหาและพฤติกรรมที่ต้องการวัด ในขั้นนี้หากกำหนดขอบข่ายของเนื้อหา และพฤติกรรมที่จะออกข้อสอบได้เหมาะสม ก็จะช่วยให้ข้อสอบมีความเที่ยงตรง 1.3 กำหนดชนิดและรูปแบบของข้อสอบ ในการสอบวัดต้องเลือกใช้ชนิดและรูปแบบของ ข้อสอบให้เหมาะสม 1.4 กำหนดส่วนประกอบอื่น ๆ ที่จำเป็นในการออกข้อสอบ และในการเลือกข้อสอบ คือ การกำหนดเวลาในการสร้างข้อสอบ บุคลากรในการสร้างข้อสอบ จำนวนของข้อสอบ เวลา ในการทดสอบ วิธีการตรวจและให้คะแนน เป็นต้น 2. ขั้นเตรียมงาน เป็นการเตรียมสิ่งที่เอื้ออำนวยต่อการสร้างข้อสอบ ได้แก่หลักสูตรหนังสือ แบบเรียน ทำการวิเคราะห์หลักสูตร อุปกรณ์ในการพิมพ์ การอัดสำเนา เป็นต้น 3. ขั้นลงมือปฏิบัติ เป็นขั้นลงมือเขียนข้อสอบ ในกรณีการสร้างข้อสอบนั้นทำในรูปของ คณะกรรมการ คณะกรรมการแบ่งงานกันเขียนข้อสอบ แล้วนัดหมายเวลาหรือประชุมวิจารณ์ข้อสอบ ที่สร้างขึ้น 4. ขั้นประเมินเบื้องต้น คือ การวิจารณ์ข้อสอบหรือตรวจสอบคุณภาพของข้อสอบ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปปรับปรุงข้อสอบ ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ 4.1 ข้อคำถามวัดในสิ่งที่ต้องการวัดหรือไม่ 4.2 ข้อคำถามชัดเจนเข้าใจตรงกันหรือไม่
43 4.3 ข้อคำถามมีคำตอบเพียงคำตอบเดียวหรือไม่ 4.4 ข้อคำถามใช้ภาษารัดกุม เหมาะสมกับระดับชั้นของนักเรียนหรือไม่ 4.5 ในกรณีเป็นข้อสอบเลือกตอบ พิจารณาว่าคำถามและตัวเลือกเหมาะสมหรือไม่ การเรียงข้อคำถามถูกต้องตามหลักหรือไม่ เช่น เรียงตามลำดับเนื้อหาเรียงจากง่ายไปยาก และการเรียง ตัวเลือกในแต่ละข้อเหมาะสมสวยงามหรือไม่ 5. ขั้นตรวจสอบคุณภาพหลังการทดสอบ ข้อสอบที่ผ่านการทดสอบแล้วนำมาตรวจ ให้คะแนนและตรวจสอบคุณภาพอีก โดยพิจารณาในเรื่องต่อไปนี้ 5.1 ความยากง่ายของข้อสอบ 5.2 อำนาจจำแนกของข้อสอบ 5.3 หาค่าสถิติพื้นฐานของข้อสอบ ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและค่าความแปรปรวน สรุปได้ว่า ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเสริม เริ่มจากขั้นวางแผน กำหนดจุดมุ่งหมายในการสร้างข้อสอบ กำหนดเนื้อหาและพฤติกรรมที่ต้องการวัดตามจุดประสงค์ การเรียนรู้ กำหนดชนิดและรูปแบบของข้อสอบ กำหนดขอบเขตของข้อสอบ เช่น เนื้อหาที่จะใช้สร้าง แบบทดสอบ จำนวนของข้อสอบ เวลาในการทดสอบ วิธีการตรวจและให้คะแนน แบ่งสัดส่วนของ แบบทดสอบกับเนื้อหาให้เหมาะสม ขั้นออกข้อสอบ ออกแบบทดสอบตามเนื้อหารูปแบบ และขอบเขตที่ได้วางแผนไว้ ขั้นประเมินคุณภาพของข้อสอบ เช่น การหาค่าความยากง่าย อำนาจจำแนก ความแม่นยำ หากพบข้อบกพร่องของข้อสอบต้องปรับปรุงก่อนที่จะนำมาใช้จริง จากนั้นจึงจัดพิมพ์ ข้อสอบ และตรวจสอบคุณภาพหลังการทดสอบ ข้อแนะนำในการเขียนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ดี ทรงเกียรติ อิงคามระธร (2555 : 159) ได้กล่าวถึงข้อแนะนำในการเขียนข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ไว้ว่า 1. สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ทางการศึกษา (ผลการเรียนรู้) และตารางวิเคราะห์หลักสูตร 2. เขียนให้สอดคล้องกับพฤติกรรมที่ต้องการวัด 3. แบบทดสอบต้องถามในเรื่องที่มีความสำคัญ ไม่ถามเรื่องที่ไม่ใช่แก่นสาระของเนื้อหา 4. เขียนข้อสอบให้เฉพาะเจาะจง มีคำสั่งที่ชัดเจน ใช้ภาษาถูกต้อง เข้าใจง่าย 5. หลีกเลี่ยงคำ ข้อความ หรือร่องรอยต่าง ๆ ที่จะแนะคำตอบ 6. เขียนข้อสอบให้ความยากง่ายเหมาะสม 7. เขียนข้อสอบให้สามารถหาคำตอบที่ถูกต้องโดยไม่มีข้อโต้แย้งในการตัดสินหาคำตอบถูก 8. ควรเขียนข้อสอบให้มีจำนวนข้อเกินกว่าที่ต้องการใช้จริง 9. ควรมีการตรวจสอบและวิจารณ์จากผู้สอนในรายวิชาหรือระดับชั้นเดียวกัน
44 มลิวัลย์ ผิวคราม (2557 : 73) ได้กล่าวถึงข้อแนะนำในการเขียนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ดี ไว้ว่า 1. มีความรู้ในเนื้อหา ถ้าขาดความรอบรู้แม้จะเปิดหนังสือประกอบก็ตามย่อมเขียนข้อสอบ ให้ดีได้ยาก 2. รู้จุดมุ่งหมายของรายวิชา หรือรู้ลักษณะความสามารถที่ต้องการจะวัดนั้นเป็นอย่างดี เพื่อที่จะได้เขียนข้อสอบให้สามารถวัดได้ตรงตามจุดมุ่งหมายและลักษณะความสามารถนั้น ๆ 3. รู้วิธีการถาม คือ รู้เทคนิคและวิธีการตั้งคำถามเพื่อให้สามารถเลือกเฟ้นชนิดของคำถาม ที่เหมาะสม พฤติกรรมนั้นควรถามแบบไหน ด้วยคำถามประเภทใดจึงจะเหมาะสม และสามารถถามได้ อย่างมีประสิทธิภาพ 4. มีทักษะในการใช้ภาษา เป็นคุณสมบัติที่จะช่วยให้ข้อสอบมีความชัดเจนจนเกิดเป็น ความปรนัย เพราะคำถามที่ชัดเจน รัดกุม ใช้ภาษาอย่างเหมาะสมนั้นจะช่วยสื่อความหมายให้ผู้สอบ เข้าใจความต้องการของผู้ถามได้อย่างตรงจุด 5. มีทักษะในการเขียนและวิจารณ์ข้อสอบ ถ้าเคยเขียนข้อสอบมามากก็ย่อมเขียนข้อสอบได้ คล่อง ยิ่งเคยพบเห็นข้อสอบมามาก ก็ยิ่งทำให้มองแง่มุมการถามได้กว้างขวางขึ้น สรุปได้ว่า ในการเขียนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์นั้นเราควรคำนึงถึงข้อต่าง ๆ กล่าวคือ คำนึงถึงเนื้อหาสาระว่าครอบคลุมหรือไม่ การตั้งคำถามควรมีความยากง่ายตามความเหมาะสม ไม่ควร ชี้แนะคำตอบ เขียนข้อสอบให้รัดกุมที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดข้อโต้แย้งต่าง ๆ และควรใช้ภาษาให้เหมาะสม ชัดเจนในการเขียนข้อสอบ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดุจกาญจน์ ชัยวิศิษฎ์(2546 : บทคัดย่อ) ได้สร้างชุดการสอนภาษาไทย เรื่องคำราชาศัพท์ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างชุดการสอนวิชาภาษาไทย ระดับชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 และมีค่าดัชนีประสิทธิผลตั้งแต่ .05 ขึ้นไป กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ใน การหาประสิทธิภาพของชุดการสอนคือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนขอนแก่นวิเทศศึกษา จังหวัดขอนแก่น ปีการศึกษา 2545 จำนวน 13 คน และโรงเรียนเทศบาลสวนสนุก จังหวัดขอนแก่น ปีการศึกษา 2545 จำนวน 48 คน โดยให้กลุ่มตัวอย่างจากโรงเรียนขอนแก่นวิเทศศึกษา ทดสอบหาประสิทธิภาพของชุดการสอนแบบ 1:1 จำนวน 3 คน และหาประสิทธิภาพแบบกลุ่มเล็ก จำนวน 10 คน ส่วนนักเรียนจากโรงเรียนเทศบาลสวนสนุก จำนวน 48 คน ทดสอบหาประสิทธิภาพของ ชุดการสอนแบบภาคสนาม ผลการวิจัยพบว่า การสร้างชุดการสอนวิชาภาษาไทย เรื่องคำราชาศัพท์
45 ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพ 90.24/81.09 และมีค่าดัชนีประสิทธิผล .67 แสดงว่า ชุดการสอนที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ บัวทิพย์ ชูกลิ่น (2550 : บทคัดย่อ) ได้พัฒนาแบบฝึกการใช้คำราชาศัพท์สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนศรีอยุธยา ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร โดยมีความมุ่งหมายเพื่อสร้างและพัฒนาแบบฝึกการใช้ คำราชาศัพท์ และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2549 โรงเรียนศรีอยุธยา ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาสิริโสภาพัณณวดี จำนวน 50 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม จำนวน 1 ห้องเรียน ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพของแบบฝึกการใช้คำราชาศัพท์เป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 87.45/89.90 และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการสอนโดยใช้แบบฝึกการใช้คำราชาศัพท์ มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สุรีรัตน์ ชาติกุล (2559 : บทคัดย่อ) ได้ใช้แบบฝึกพัฒนาความรู้เรื่อง คำราชาศัพท์ ที่มีผลต่อ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนตราษตระการคุณ ผลการวิจัยพบว่า แบบฝึกพัฒนาความรู้เรื่องคำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน ตราษตระการคุณ มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 81.70/84.92 และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภาษาไทยเรื่องคำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนตราษตระการคุณ ที่เรียนด้วย แบบฝึกพัฒนาความรู้เรื่อง คำราชาศัพท์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ทิพย์วรรณ พูลเพิ่ม (2563 : บทคัดย่อ) ได้พัฒนาความสามารถในการใช้คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านและการเขียนคำราชาศัพท์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการใช้คำราชาศัพท์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านและการเขียนคำราชาศัพท์ และเพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการจัดการเรียน รู้โดยใช้ แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านและการเขียนคำราชาศัพท์ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/13 โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย จำนวน 40 คน ได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถ ในการใช้คำราชาศัพท์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่าน และการเขียนคำราชาศัพท์สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้โดยนักเรียนมีค่าเฉลี่ยร้อยละ 60.25 ซึ่งหลังการพัฒนา นักเรียนมีค่าเฉลี่ยร้อยละ 82.00 และมีค่าเฉลี่ยร้อยละความก้าวหน้าเท่ากับ 32.75 ทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการใช้คำราชาศัพท์สูงขึ้นร้อยละ 80 มณฑกาญจน์ ศิริมงคล (2563 : บทคัดย่อ) ได้พัฒนาการอ่านและการเขียนคำราชาศัพท์โดยใช้ แบบฝึกทักษะของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ มีวัตถุประสงค์
46 เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนคำราชาศัพท์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/3 และเพื่อสร้าง และพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขียนคำราชาศัพท์ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 โดยศึกษา จากกลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/3 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ จำนวน 43 คน โดยเลือกแบบเจาะจง ผลการวิจัยพบว่า แบบฝึกทักษะการเขียนคำราชาศัพท์ที่ผู้วิจัย สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 82.095/81.14 เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ที่ตั้งไว้ และผู้เรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2/3 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องคำราชาศัพท์สูงขึ้น คิดเป็นร้อยละ 81.14 จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องข้างต้นแสดงให้เห็นว่า การเรียนเรื่องคำราชาศัพท์เป็นเรื่องที่ มีความละเอียดอ่อน ชุดการเรียน ชุดการสอน หรือชุดแบบฝึกทักษะที่สร้างขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถช่วยพัฒนาทักษะเรื่องคำราชาศัพท์ให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจ ช่วยพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนเรื่องคำราชาศัพท์ของนักเรียนให้สูงขึ้นตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ตลอดจนพัฒนาให้นักเรียนสามารถ ใช้คำราชาศัพท์ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บทที่ 3 วิธีดำเนินงานวิจัย การวิจัยนี้ เป็นวิจัยเชิงทดลอง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 และ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ เรื่อง คำราชาศัพท์ ก่อนและหลังเรียนโดยใช้ชุดการเรียนสำหรับนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ ซึ่งผู้วิจัยได้ดำเนินการวิจัย ดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. แบบแผนการวิจัย 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร คือ ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน สวนอนันต์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ห้อง 1 – 2 จำนวน 2 ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น 19 คน กลุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียน สวนอนันต์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 มีจำนวนนักเรียนทั้งหมด 10 คน โดยการสุ่มอย่างง่าย แบบแผนการวิจัย การวิจัยนี้ เป็นการวิจัยเชิงทดลอง ผู้วิจัยใช้แบบแผนการทดลองแบบ 1 กลุ่ม ทดสอบก่อนและ หลังการจัดการเรียนรู้ โดยมีแบบแผนการทดลอง ดังนี้ ตารางที่ 2 แบบแผนการทดลอง ทดสอบก่อนเรียน ทดลอง ทดสอบหลังเรียน T1 X T2
48 สัญลักษณ์ที่ใช้ในแบบแผนการทดลอง T1 คือ การทดสอบก่อนเรียนด้วยชุดการเรียนที่สร้างขึ้น X คือ ชุดการเรียน T2 คือ การทดสอบหลังเรียนด้วยชุดการเรียนที่สร้างขึ้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1. แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง คำราชาศัพท์ จำนวน 7 แผน ใช้สอน 7 คาบ ใช้เวลา ในการสอนคาบละ 50 นาที ดังนี้ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 - 3 คำราชาศัพท์สำหรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 - 5 คำศัพท์เฉพาะสำหรับพระภิกษุสงฆ์ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 - 7 คำสุภาพสำหรับบุคคลทั่วไป 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ เป็นข้อสอบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ 3. ชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ จำนวน 1 ชุด 3 ตอน ตอนที่ 1 คำราชาศัพท์สำหรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ ตอนที่ 2 คำศัพท์เฉพาะสำหรับพระภิกษุสงฆ์ ตอนที่ 3 คำสุภาพสำหรับบุคคลทั่วไป ผู้วิจัยได้จัดทำเครื่องมือในการวิจัยครั้งนี้ประกอบไปด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียน และชุดการเรียนเรื่อง คำราชาศัพท์ ผู้วิจัยดำเนินการสร้างและวิเคราะห์ คุณภาพเครื่องมือ ดังรายละเอียดต่อไปนี้ เครื่องมือชิ้นที่ 1 ผู้วิจัยดำเนินการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ ดังมีขั้นตอนต่อไปนี้ ขั้นตอนการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ 1. ศึกษาหลักสูตร สืบค้นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับสาระการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ และตัวชี้วัดของกลุ่มสาระภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สาระหลักการใช้ภาษาไทย 2. ศึกษาเนื้อหาและข้อมูลจากแบบเรียนและเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง คำราชาศัพท์
49 3. กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้และออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ให้มีความสอดคล้อง กับชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ 4. เขียนแผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้ชุดการเรียนในการจัดการเรียนการสอนรายชั่วโมง เรื่อง คำราชาศัพท์ จำนวน 7 แผน ใช้สอน 7 คาบ ใช้เวลาในการสอนคาบละ 50 นาที ดังนี้ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 - 3 คำราชาศัพท์สำหรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 - 5 คำศัพท์เฉพาะสำหรับพระภิกษุสงฆ์ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 - 7 คำสุภาพสำหรับบุคคลทั่วไป 5. หาคุณภาพแผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้ชุดการเรียนในการจัดการเรียนการสอนเรื่อง คำราชาศัพท์ โดยการนำแผนการจัดการเรียนรู้ไปเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบ ความถูกต้องและหาค่าประสิทธิภาพความเชื่อมั่นของรูปแบบการจัดทำแผนการเรียนรู้ รวมไปถึง ความสัมพันธ์ระหว่างสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด เนื้อหา กิจกรรม สื่อและแหล่งการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล มาแก้ไขปรับปรุง โดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญคนที่ 1 คือ นางสาวจิรภา เฮียงโฮม ตำแหน่ง ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนสวนอนันต์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 ผู้เชี่ยวชาญคนที่ 2 คือ นางชุติมาดี ทิมตระกูล ตำแหน่ง ครูชำนาญการ กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดน้อยใน) ในพระราชูปถัมภ์ฯ สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 ผู้เชี่ยวชาญคนที่ 3 คือ นายสุจินดา ทัศศะ ตำแหน่ง ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดน้อยใน) ในพระราชูปถัมภ์ฯ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร เขต 1 6. นำแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง คำราชาศัพท์ ที่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขแล้ว ไปใช้กับ กลุ่มเป้าหมาย เครื่องมือชิ้นที่ 2 ผู้วิจัยดำเนินการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ดังมีขั้นตอนต่อไปนี้ ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ 1. ศึกษาวิธีการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ เรื่อง คำราชาศัพท์ จากเอกสารและตำรา ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง 2. กำหนดเนื้อหาและพฤติกรรมที่ต้องการวัด เพื่อที่จะวัดได้ครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมด 3. ดำเนินการสร้างข้อสอบโดยให้สอดคล้องกับเนื้อหา ตัวชี้วัด และจุดประสงค์การเรียนรู้ ที่กำหนดไว้เป็นจำนวน 45 ข้อ
50 4. รวบรวมจัดข้อสอบเป็นตอน โดยจัดเรียงลำดับคำถามตามกลุ่มเนื้อหาก่อนหลังตามที่สอน และเตรียมคำชี้แจงต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับข้อสอบ 5. ตรวจสอบคุณภาพของข้อสอบด้านความเที่ยงตรงโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญคนที่ 1 คือ นางสาวจิรภา เฮียงโฮม ตำแหน่ง ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนสวนอนันต์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 ผู้เชี่ยวชาญคนที่ 2 คือ นางชุติมาดี ทิมตระกูล ตำแหน่ง ครูชำนาญการ กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดน้อยใน) ในพระราชูปถัมภ์ฯ สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 ผู้เชี่ยวชาญคนที่ 3 คือ นายสุจินดา ทัศศะ ตำแหน่ง ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดน้อยใน) ในพระราชูปถัมภ์ฯ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร เขต 1 เพื่อขอคำแนะนำ พิจารณาความเหมาะสมของเนื้อหาและความสอดคล้อง เพื่อจะได้นำไป ปรับปรุงแก้ไข โดยเกณฑ์ให้คะแนนมีดังนี้ ให้ +1 หมายถึง แน่ใจว่าข้อสอบข้อนั้นสอดคล้องกับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ให้ 0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่าข้อสอบข้อนั้นสอดคล้องกับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ให้ -1 หมายถึง แน่ใจว่าข้อสอบข้อนั้นไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 6. นำข้อสอบที่ผ่านการพิจารณาจากผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่านแล้ว มาวิเคราะห์หาค่าดัชนี ความสอดคล้องของข้อสอบ 7. คัดเลือกข้อสอบที่มีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาที่มีระดับ 0.5 ขึ้นไป จำนวน 30 ข้อ มาจัดทำ ชุดข้อสอบ 8. นำแบบทดสอบ เรื่อง คำราชาศัพท์ ไปใช้กับกลุ่มเป้าหมาย เครื่องมือชิ้นที่ 3 ผู้วิจัยดำเนินการสร้างชุดการเรียน ดังมีขั้นตอนต่อไปนี้ ขั้นตอนการสร้างชุดการเรียน 1. ศึกษาขั้นตอนการสร้างชุดการเรียนที่มีประสิทธิภาพ และศึกษาหาข้อมูลจากแบบเรียน ตำรา และเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคำราชาศัพท์ ได้แก่เรื่อง คำราชาศัพท์สำหรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ คำศัพท์เฉพาะสำหรับพระภิกษุสงฆ์ และคำสุภาพสำหรับบุคคลทั่วไป 2. กำหนดเนื้อหา รูปแบบ จุดประสงค์การเรียนรู้ให้สอดคล้องกับคำอธิบายรายวิชา และความเหมาะสมของผู้เรียน โดยความเหมาะสมของคำราชาศัพท์ดูจากเนื้อหาและพัฒนาการตาม
51 ช่วงวัยในการเรียนรู้ของผู้เรียน คำศัพท์เป็นเรื่องที่ผู้เรียนสามารถที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตได้จริง หรือเป็นเรื่องใกล้ตัวผู้เรียน 3. ดำเนินการสร้างชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ โดยชุดการเรียนมีทั้งหมด 1 ชุด 3 ตอน ได้แก่ ตอนที่ 1 คำราชาศัพท์สำหรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์, ตอนที่ 2 คำศัพท์เฉพาะสำหรับ พระภิกษุสงฆ์, ตอนที่ 3 คำสุภาพสำหรับบุคคลทั่วไป 4. นำชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ ที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญคนที่ 1 คือ นางสาวจิรภา เฮียงโฮม ตำแหน่ง ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนสวนอนันต์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 ผู้เชี่ยวชาญคนที่ 2 คือ นางชุติมาดี ทิมตระกูล ตำแหน่ง ครูชำนาญการ กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดน้อยใน) ในพระราชูปถัมภ์ฯ สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 ผู้เชี่ยวชาญคนที่ 3 คือ นายสุจินดา ทัศศะ ตำแหน่ง ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดน้อยใน) ในพระราชูปถัมภ์ฯ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร เขต 1 เพื่อตรวจสอบคุณภาพโดยใช้เกณฑ์การประเมิน จากแบบตรวจสอบคุณภาพ และขอคำแนะนำ จากการพิจารณาความเหมาะสมของเนื้อหา และรูปแบบโครงสร้างของชุดการเรียนเรื่อง คำราชาศัพท์ เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไข 5. ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ ตามคำแนะนำ 6. นำชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ ไปใช้กับกลุ่มเป้าหมาย การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิจัยนี้ เป็นการวิจัยเชิงทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง 1 กลุ่ม ผู้วิจัยได้ดำเนินการจัดกิจกรรม การเรียนการสอนด้วยตนเอง ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2566 ใช้ระยะเวลาในการทดลอง 1 เดือน และดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้ 1. ระยะก่อนการทดลอง ในระยะก่อนการทดลองผู้วิจัยได้รวบรวมข้อมูลอยู่ในช่วงเวลาตั้งแต่ 31 ตุลาคม 2565 – 2 ธันวาคม 2565 ผู้วิจัยได้ดำเนินการดังนี้ 1.1 ส่งคำร้องขอหนังสือขอความอนุเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญตรวจเครื่องมือวิจัย
52 1.2 สร้างเครื่องมือวิจัย ได้แก่ ชุดการเรียน แผนการจัดการเรียนรู้ และแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์เรื่อง คำราชาศัพท์ 1.3 ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัย แล้วดำเนินการแก้ไขตาม ข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญก่อนนำไปทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง 1.4 วิเคราะห์หาค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์เรื่อง คำราชาศัพท์ แล้วคัดเลือก 30 ข้อ ก่อนนำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง 1.5 ขออนุญาตผู้อำนวยการโรงเรียน และครูพี่เลี้ยงในการดำเนินการวิจัยกับนักเรียน ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ห้อง 1 โรงเรียนสวนอนันต์ 1.6 ชี้แจงวัตถุประสงค์ ระยะเวลา และการเตรียมตัวในการเข้าร่วมเป็นกลุ่มตัวอย่าง 1.7 ทดสอบก่อนเรียนกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างจำนวน 10 คน โดยใช้แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์เรื่อง คำราชาศัพท์ จำนวน 30 ข้อ 2. ระยะทดลอง ผู้วิจัยได้เตรียมเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยและได้ดำเนินการดังต่อไปนี้ 2.1 ผู้วิจัยดำเนินการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง คำราชาศัพท์ ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 จำนวน 7 แผน แผนละ 1 คาบ รวม 7 คาบเรียน พร้อมทั้งใช้ชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เป็นเครื่องมือในการวิจัย จำนวน 1 ชุด 3 ตอน ตารางที่ 3 แจกแจงการทดลองตามช่วงเวลา สัปดาห์ ขั้นตอนในระยะทดลอง เดือนธันวาคม 1 2 3 4 1. ชุดการเรียนเรื่องคำราชาศัพท์ ตอนที่ 1 คำราชาศัพท์สำหรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ 2. ชุดการเรียนเรื่องคำราชาศัพท์ ตอนที่ 2 คำศัพท์เฉพาะพระภิกษุสงฆ์ 3. ชุดการเรียนเรื่องคำราชาศัพท์ ตอนที่ 3 คำสุภาพสำหรับบุคคลทั่วไป 3. ระยะหลังการทดลอง หลังสิ้นสุดการทดลองผู้วิจัยได้รวบรวมข้อมูลการทดลองในระยะเวลาตั้งแต่ 21 ธันวาคม 2565 – 26 ธันวาคม 2565 ผู้วิจัยได้ดำเนินการดังต่อไปนี้
53 3.1 ทดสอบหลังเรียนกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างจำนวน 10 คน โดยใช้แบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์เรื่อง คำราชาศัพท์ จำนวน 30 ข้อ 3.2 นำคะแนนที่ได้จากการทำกิจกรรมแบบฝึกทักษะ เรื่อง คำราชาศัพท์ทั้งหมดทุกตอน และการทำแบบทดสอบหลังเรียนมาวิเคราะห์หาค่าทางสถิติ การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิจัย การวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย โดยใช้ชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผู้วิจัยดำเนินการโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ ตามขั้นตอน ดังนี้ 1. ศึกษาผลสัมฤทธิ์เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยการหาคะแนน เฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และร้อยละ เพื่อหาประสิทธิภาพของชุดการเรียนตามเกณฑ์ 80/80 2. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ระหว่าง คะแนนก่อนและหลังเรียนด้วยการทดสอบค่าเฉลี่ยของ 2 กลุ่มสัมพันธ์กันด้วย (t-test for Dependent Sample) สถิติที่ใช้ในการวิจัย 1. สถิติที่ใช้หาประสิทธิภาพของชุดการเรียนและคุณภาพของแบบทดสอบ 1.1 การหาค่าเฉลี่ย ใช้สูตร (พรรณี ลีกิจวัฒนะ, 2557 : 244) มีสูตรดังนี้ x̅ = ∑ x n เมื่อ x̅แทน ค่าเฉลี่ยของคะแนน Σx แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด n แทน จำนวนนักเรียนจากกลุ่มที่ศึกษา 1.2 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (พรรณี ลีกิจวัฒนะ, 2557 : 244) มีสูตรดังนี้ S.D. = √ ∑(x−x̅) 2 n−1 เมื่อ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
54 Σ แทน ผลรวม x แทน คะแนนแต่ละตัวในชุดข้อมูล x̅แทน ค่าเฉลี่ยของคะแนนในชุดข้อมูล n แทน จำนวนข้อมูลทั้งหมด (ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง) 2. สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ดัชนีความสอดคล้อง หาค่าความเที่ยงตรงของแบบทดสอบโดยใช้สูตรดัชนีค่า ความสอดคล้อง IOC ดังนี้ (ประสาท เนืองเฉลิม, 2556 : 190) IOC = ΣR N เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับลักษณะพฤติกรรม ΣR แทน ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด 3. สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน หาประสิทธิภาพของชุดการเรียน การหาค่าประสิทธิภาพชุดการเรียนตามเกณฑ์ 80/80 คำนวณสูตร E1 /E2 (ประสาท เนืองเฉลิม, 2556 : 214) E1 = ΣΧ Ν Α ×100 เมื่อ E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ Σx แทน คะแนนรวมของผลงานนักเรียน A แทน คะแนนเต็มของชุดการเรียน N แทน จำนวนผู้เรียน E2 = ΣX2 Ν B ×100 เมื่อ E2 แทน ประสิทธิภาพของผลผลิต
55 2 แทน คะแนนรวมของการทดสอบหลังเรียน B แทน คะแนนเต็มของการทดสอบหลังเรียน N แทน จำนวนผู้เรียน 4. สถิติทดสอบค่าที แบบ t-test (Dependent Sample) การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ โดยใช้สถิติตรวจสอบสมมติฐาน t-test (Dependent sample) (โชติกา ภาษีผล, 2559 : 75) t = ΣD √ nΣD2−(ΣD) 2 n−1 Df = n – 1 เมื่อ t แทน ค่าวิกฤตที่ใช้ในการพิจารณาการแจกแจงแบบถี่ D แทน ผลรวมของค่าความแตกต่างจากการทดสอบก่อนและ หลังการเรียน ΣD แทน ผลรวมของค่าความแตกต่างจากการทดสอบก่อนและ หลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะแต่ละตัว (ΣD) 2 แทน ผลรวมของค่าความแตกต่างจากการทดสอบก่อนและ หลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะแต่ละตัวด้วยกำลังสอง n แทน จำนวนนักเรียน
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ โดยใช้ชุดการเรียน กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2/1 โรงเรียนสวนอนันต์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 1 ห้องเรียน นักเรียนรวม 10 คน ซึ่งผู้วิจัยได้เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตามลำดับ ดังนี้ 1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 2. การนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิจัย โดยมีสัญลักษณ์และความหมายที่ใช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้ n หมายถึง กลุ่มตัวอย่าง x̅ หมายถึง ค่าเฉลี่ยของคะแนน S.D. หมายถึง ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน IOC หมายถึง ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ E1 หมายถึง ประสิทธิภาพของกระบวนการ E2 หมายถึง ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ t-test หมายถึง ค่าสถิติที่ใช้ในการพิจารณาตรวจสอบสมมติฐาน D หมายถึง ผลต่างระหว่างคู่คะแนน (ก่อน - หลังเรียน) Df หมายถึง ชั้นของความอิสระ * หมายถึง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
57 การนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล โดยแบ่งออกเป็น 2 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 ผลการหาค่าประสิทธิภาพของชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ เรื่อง คำราชาศัพท์ ก่อนและหลังเรียนด้วย ชุดการเรียนเรื่อง คำราชาศัพท์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ โดยใช้การทดสอบ ค่าที (t-test for Dependent Sample) ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ ตอนที่ 1 ผลการหาค่าประสิทธิภาพของชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 จำนวน 1 ชุด 3 ตอน ได้แก่ 1) ชุดการเรียนเรื่องคำราชาศัพท์ ตอนที่ 1 คำราชาศัพท์สำหรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ 2) ชุดการเรียนเรื่องคำราชาศัพท์ ตอนที่ 2 คำศัพท์เฉพาะสำหรับพระภิกษุสงฆ์ 3) ชุดการเรียนเรื่องคำราชาศัพท์ ตอนที่ 3 คำสุภาพสำหรับบุคคลทั่วไป ตารางที่ 4 การหาค่าประสิทธิภาพของชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ n คะแนนเต็ม คะแนนรวม x̅ S.D. ค่าประสิทธิภาพ E1/ E2 ระหว่างเรียน (กระบวนการ) 10 30 289 28.90 1.10 96.33 หลังเรียน (ผลลัพธ์) 10 30 282 28.20 1.48 94.00 จากตารางที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่าคะแนนเฉลี่ยของการทดสอบระหว่างเรียน ได้ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 28.90 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.10 และค่าประสิทธิภาพของชุดการเรียน
58 เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ รวม 3 ตอน (E1 ) เท่ากับ 96.33 ส่วนคะแนนเฉลี่ยของการทดสอบหลังเรียนได้ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 28.20 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.48 และค่าประสิทธิภาพของชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน สวนอนันต์ รวม 3 ตอน (E2 ) เท่ากับ 94.00 ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพจริง เนื่องจาก มีค่าประสิทธิภาพ (E1/ E2 ) เท่ากับ 96.33/94.00 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด คือ 80/80 ตารางที่ 5 การหาประสิทธิภาพชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 จำแนกเป็นตอน ชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ คะแนนเฉลี่ย ระหว่างเรียน (10) ร้อยละ คะแนนเฉลี่ย หลังเรียน (10) ร้อยละ ตอนที่ 1 คำราชาศัพท์สำหรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ 9.30 93.00 9.20 92.00 ตอนที่ 2 คำศัพท์เฉพาะสำหรับพระภิกษุสงฆ์ 9.80 98.00 9.30 93.00 ตอนที่ 3 คำสุภาพสำหรับบุคคลทั่วไป 9.80 98.00 9.70 97.00 จากตารางที่ 5 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่าชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 รวมทั้งสิ้น 3 ตอน มีรายละเอียดดังนี้ ตอนที่ 1 มีคะแนนเฉลี่ยระหว่างเรียนเท่ากับ 9.30 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนน ร้อยละ 93.00 และมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 9.20 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนน ร้อยละ 92.00 ตอนที่ 2 มีคะแนนเฉลี่ยระหว่างเรียนเท่ากับ 9.80 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนน ร้อยละ 98.00 และมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 9.30 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนน ร้อยละ 93.00 ตอนที่ 3 มีคะแนนเฉลี่ยระหว่างเรียนเท่ากับ 9.80 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนน
59 ร้อยละ 98.00 และมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 9.70 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นคะแนน ร้อยละ 97.00 ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รวมทั้งสิ้น 3 ตอน มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ซึ่งได้จากการพิจารณาคะแนนเฉลี่ยระหว่างเรียน ด้วยชุดการเรียนเรื่อง คำราชาศัพท์ ตอนที่ 1 – 3 พบว่ามีคะแนนเฉลี่ยตั้งแต่ 9.30 ถึง 9.80 คิดเป็น คะแนนร้อยละ 93.00 ถึง 98.00 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนอยู่ที่ 9.20 ถึง 9.70 คิดเป็นคะแนนร้อยละ 92.00 ถึง 97.00 ตารางที่ 6 การหาประสิทธิภาพชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ ตอนที่ 1 คำราชาศัพท์สำหรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ กิจกรรมวัดผลสัมฤทธิ์ n คะแนนเต็ม คะแนนรวม x̅ S.D. ร้อยละ ระหว่างเรียน 10 10 93 9.30 1.06 93.00 หลังเรียน 10 10 92 9.20 1.03 92.00 จากตารางที่ 6 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่าชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 ตอนที่ 1 คำราชาศัพท์สำหรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น มีคะแนนเฉลี่ยของการทดสอบระหว่างเรียนเท่ากับ 9.30 มีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.06 คิดเป็นร้อยละ 93.00 ส่วนผลสัมฤทธิ์หลังเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 9.20 มีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.03 คิดเป็นร้อยละ 92.00 ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าชุดการเรียนเรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 ตอนที่ 1 คำราชาศัพท์สำหรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 93.00/92.00 ซึ่งแสดงว่า ชุดการเรียนมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ตารางที่ 7 การหาประสิทธิภาพชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ ตอนที่ 2 คำศัพท์เฉพาะพระภิกษุสงฆ์ กิจกรรมวัดผลสัมฤทธิ์ n คะแนนเต็ม คะแนนรวม x̅ S.D. ร้อยละ ระหว่างเรียน 10 10 98 9.80 0.63 98.00 หลังเรียน 10 10 93 9.30 0.67 93.00
60 จากตารางที่ 7 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่าชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 ตอนที่ 2 คำศัพท์เฉพาะพระภิกษุสงฆ์ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีคะแนนเฉลี่ยของการทดสอบ ระหว่างเรียนเท่ากับ 9.80 มีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.63 คิดเป็นร้อยละ 98.00 ส่วนผลสัมฤทธิ์ หลังเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 9.30 มีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.67 คิดเป็นร้อยละ 93.00 ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าชุดการเรียนเรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ตอนที่ 2 คำศัพท์เฉพาะพระภิกษุสงฆ์ มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 98.00/93.00 ซึ่งแสดงว่า ชุดการเรียน มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ตารางที่ 8 การหาประสิทธิภาพชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ ตอนที่ 3 คำสุภาพสำหรับบุคคลทั่วไป กิจกรรมวัดผลสัมฤทธิ์ n คะแนนเต็ม คะแนนรวม x̅ S.D. ร้อยละ ระหว่างเรียน 10 10 98 9.80 0.42 98.00 หลังเรียน 10 10 97 9.70 0.48 97.00 จากตารางที่ 8 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่าชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 ตอนที่ 3 คำสุภาพสำหรับบุคคลทั่วไป ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีคะแนนเฉลี่ยของการทดสอบ ระหว่างเรียนเท่ากับ 9.80 มีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.42 คิดเป็นร้อยละ 98.00 ส่วนผลสัมฤทธิ์ หลังเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 9.70 มีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.48 คิดเป็นร้อยละ 97.00 ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าชุดการเรียนเรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ตอนที่ 3 คำสุภาพ สำหรับบุคคลทั่วไป มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 98.00/97.00 ซึ่งแสดงว่า ชุดการเรียนมีประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80
61 ตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ เรื่อง คำราชาศัพท์ ก่อนและหลังเรียนด้วย ชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ โดยใช้การทดสอบ ค่าที(t-test for Dependent Sample) ตารางที่ 9 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน สวนอนันต์ ก่อนและหลังเรียนโดยใช้ชุดการเรียนเรื่อง คำราชาศัพท์ กลุ่มตัวอย่าง n df คะแนนเต็ม ก่อนเรียน หลังเรียน T x̅ S.D. x̅ S.D. นักเรียน 10 9 30 8.50 1.96 27.30 1.77 23.5* * ค่า t มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (ค่าวิกฤตของ t ที่ระดับ .05, df 9 เท่ากับ 2.262) จากตารางที่ 9 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 ก่อนและหลังเรียนโดยใช้ชุดการเรียนเรื่อง คำราชาศัพท์ พบว่า ค่าเฉลี่ยจากคะแนนแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนเท่ากับ 8.50 มีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.96 และมีค่าเฉลี่ยจากคะแนน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หลังเรียนเท่ากับ 27.30 มีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.77 พบว่าค่า t ที่คำนวณได้มีค่าเท่ากับ 23.5 และมีค่าวิกฤตของค่า t จากตารางเท่ากับ 2.262 มีค่ามากกว่า t ในตาราง แสดงให้เห็นว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนโดยใช้ชุดการเรียนเรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ มีผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ โดยใช้ชุดการเรียน มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 และ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ เรื่อง คำราชาศัพท์ ก่อนและหลังเรียนโดยใช้ชุดการเรียนสำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียน สวนอนันต์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 1 ห้องเรียน มีจำนวนนักเรียนทั้งหมด 10 คน ลักษณะการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างได้มาจากการสุ่มอย่างง่ายโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม ซึ่งแต่ละ ห้องเรียนได้มีการคละความสามารถแล้ว เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลมี 3 ชนิด ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ ชุดการเรียน และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์เรื่อง คำราชาศัพท์วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC ค่าประสิทธิภาพ E1/E2 และค่าทีt-test for Dependent Sample สรุปผลการวิจัย การวิเคราะห์ข้อมูลจากการใช้ชุดการเรียนเรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. ประสิทธิภาพของชุดการเรียนเรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน สวนอนันต์ ที่ผู้วิจัยได้สร้างขึ้นมามีค่า E1/E2 เท่ากับ 96.33/94.00 ซึ่งมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน ที่กำหนดไว้ 80/80 2. ผลสัมฤทธิ์เรื่อง คำราชาศัพท์ โดยใช้ชุดการเรียน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ค่าเฉลี่ยจากคะแนนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนเท่ากับ 8.50 มีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.96 และมีค่าเฉลี่ยจากคะแนนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หลังเรียน เท่ากับ 27.30 มีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.77 ซึ่งมีผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
63 อภิปรายผลการวิจัย การวิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ โดยใช้ชุดการเรียน พบว่าผลการวิจัยประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ซึ่งสามารถอภิปรายผลได้ดังนี้ 1. ผลการทดลองพบว่า ชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ ที่ผู้วิจัยได้สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 96.33/94.00 แสดงว่า ชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ มีมาตรฐานสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้สอดคล้อง กับงานวิจัยของมณฑกาญจน์ศิริมงคล (2563 : บทคัดย่อ) ได้สร้างและพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านและ การเขียนคำราชาศัพท์ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.095/81.14 เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ จากผลการทดลองใช้ชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ พบว่า ชุดการเรียนมีความเหมาะสมกับนักเรียน เนื้อหาและกิจกรรมสอดคล้อง กับจุดประสงค์การเรียนรู้รายวิชาภาษาไทย รูปแบบของชุดการเรียนมีความน่าสนใจสามารถสร้าง แรงจูงใจให้นักเรียนอยากที่จะศึกษาเรียนรู้เรื่องคำราชาศัพท์เพิ่มมากขึ้น ลักษณะของชุดการเรียน ออกแบบเพื่อให้นักเรียนสามารถศึกษา ค้นคว้า และฝึกทักษะได้ด้วยตนเอง การนำชุดการเรียนมาใช้จึงมี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 แสดงว่า ชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น สามารถนำไปใช้กับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2. จากการทดลองพบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียนสวนอนันต์ ที่ได้เรียนรู้ จากชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยการเปรียบเทียบค่า t ที่คำนวณได้ มีค่าเท่ากับ 23.5 และค่า t ในตาราง เท่ากับ 2.262 ซึ่งค่า t ที่ คำนวณได้มีค่ามากกว่า ค่า t ในตาราง ดังนั้นสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์เรื่อง คำราชาศัพท์ โดยใช้ชุดการเรียน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 สอดคล้องกับงานวิจัยของบัวทิพย์ ชูกลิ่น (2550 : 75) ได้พัฒนาแบบฝึกการใช้ คำราชาศัพท์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนศรีอยุธยา ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าภคินี- เธอเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาสิริโสภาพัณณวดี เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร ผลการวิจัยพบว่า นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการสอนโดยใช้แบบฝึกการใช้คำราชาศัพท์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากผลการทดลองใช้ชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ พบว่า การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์เรื่อง คำราชาศัพท์ โดยใช้ชุดการเรียน หลังเรียน
64 สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 สามารถสรุปได้ว่า ชุดการเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ส่งผลให้นักเรียนมีความรู้ทางการเรียนสาระหลักการใช้ภาษาไทย เรื่อง คำราชาศัพท์ เพิ่มมากขึ้น ข้อเสนอแนะ การวิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ เรื่อง คำราชาศัพท์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนอนันต์ โดยใช้ชุดการเรียน มีข้อเสนอแนะดังนี้ ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ 1. ไม่ควรจำกัดเวลาในการเรียนการสอนด้วยชุดการเรียน ควรให้นักเรียนได้เรียนรู้ ตามความต้องการและความสามารถของตนเอง เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพ 2. ควรนำสื่อเทคโนโลยีมาใช้ประกอบการเรียนรู้ร่วมกับชุดการเรียน เพื่อให้นักเรียน เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรมีการจัดทำวิจัยเพื่อพัฒนาชุดการเรียนวิชาภาษาไทย ทั้งหลักภาษาและวรรณคดี เรื่องต่าง ๆ เพิ่มเติม 2. ควรมีการวิจัยเพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลักภาษาและการใช้ภาษา เรื่อง คำราชาศัพท์ ที่จัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบหรือเทคนิควิธีการสอนแบบอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับ กลุ่มเป้าหมายมากที่สุด เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่มีคุณภาพ
ส่วนที่ 2 แนวปฏิบัติที่ดีตามสมรรถนะ ทางวิชาชีพครู
66 แนวปฏิบัติที่ดีตามสมรรถนะทางวิชาชีพครู ชื่อผลงาน “หนังสือนิทาน สืบสานคุณธรรม” หลักการและเหตุผล วิวัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีของโลกในปัจจุบัน มีความเจริญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ระบบการสื่อสารสมัยใหม่ที่กำลังจะเปลี่ยนผ่านจากยุคแอนะล็อก ไปสู่ยุคดิจิตอลอย่างเต็มรูปแบบ การโทรคมนาคมที่ก้าวเข้าสู่ยุคสามจี สี่จี และห้าจี เป็นเหตุให้เครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่ สามารถแสดง ข้อมูลภาพและเสียงได้อย่างรวดเร็ว และเชื่อมโยงถึงกันในทุกมุมโลก การส่งผ่านข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ด้วยความเร็วสูง ก่อให้เกิดสังคมออนไลน์ที่เรียกว่าโซเชียลเน็ตเวิร์ก (Social network) ที่มีขนาดใหญ่ มหึมา และมีอิทธิพลต่อการศึกษา การดำเนินธุรกิจ และการดำรงชีวิตประจำวันของคนในสังคม ที่จำต้อง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้สอดรับกับเทคโนโลยี และวิทยาการสมัยใหม่ พร้อมทั้งเรียนรู้ที่จะใช้เทคโนโลยี เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด จากการสังเกต ยิ่งโลกมีความเจริญทางด้านเทคโนโลยีมากขึ้นเท่าไร ก็มิได้ส่งผลให้มนุษย์เรา มีความเจริญทางด้านจิตใจมากขึ้นไปตาม การนำเทคโนโลยีไปใช้ในทางที่ผิด และเป็นไปในทางเสื่อมเสีย กลับมีมากขึ้น การใช้สื่อออนไลน์เป็นช่องทางแพร่กระจายสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ เช่น การทุจริตคอรัปชั่น การพนัน การค้ายาเสพติด การค้าประเวณี การทำผิดวินัยและผิดศีลธรรมในวิชาชีพต่าง ๆ และสื่อลามก ในรูปแบบของไฟล์อิเล็กโทรนิกส์ที่สามารถเข้าถึงได้ด้วยการคลิกเม้าส์ไม่กี่ครั้ง อีกทั้งไม่มีระบบตรวจสอบ คัดกรองข้อมูลที่มีประสิทธิภาพมากพอ เป็นเหตุกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมเสื่อมในหมู่วัยรุ่น ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ซึ่งเป็นวัยเรียนที่กำลังพัฒนา มีความอยากรู้ อยากลอง ตลอดจนเกิดเป็นพฤติกรรม การเลียนแบบ โดยทอดทิ้งวัฒนธรรมไทยที่มีความอ่อนน้อม สุภาพสวยงามไปอย่างไม่ใยดี การไม่ใส่ใจ การศึกษา ไม่ใคร่ฝึกอบรมเรื่องศีลธรรมและจริยธรรม เป็นเหตุสำคัญที่ทำให้จิตใจเกิดความเสื่อมโทรม และขาดปัญญา ทั้งไม่สามารถมองเห็นปัญหาและมีวิธีการแก้ปัญหาอย่างถูกต้องดีงาม สร้างพฤติกรรม เสื่อมที่รุนแรงยิ่งขึ้น และนำมาซึ่งปัญหาอาชญากรรม ที่สร้างความสูญเสียให้กับสังคมและประเทศชาติ อย่างไม่อาจประมาณค่าได้จึงจำเป็นต้องตระหนักถึงภัยร้ายที่กำลังคุกคามเยาวชนของชาติอยู่ในเวลานี้ และต้องรณรงค์ช่วยกันแก้ปัญหาอย่างจริงจัง เทคโนโลยีแม้จะมีคุณอนันต์ แต่ก็แฝงไว้ด้วยโทษอันมหันต์ เพราะทุกสิ่งในโลก ย่อมมีคุณและโทษอยู่ในตัวเอง
67 ด้วยเหตุนี้จึงต้องอบรมให้เยาวชนเกิดสติปัญญา มีความรู้ความฉลาดคิด ฉลาดใช้ชีวิต สามารถ วินิจฉัยใคร่ครวญได้ด้วยตนเอง ในเรื่องราวต่าง ๆ ที่มาเกี่ยวข้อง ก่อนที่จะกระทำการสิ่งใด ต้องคำนึงถึง เหตุผลและความถูกต้องดีงาม ให้รู้จักว่า “สิ่งใดเป็นคุณ สิ่งใดเป็นโทษ อันใดใช่ประโยชน์ อันใดมิใช่ ประโยชน์ อันใดควรละ อันใดควรบำเพ็ญ ประพฤติตนให้ตั้งอยู่ในคลองธรรม และรู้จักรักษาตัวรอด เป็นยอดดี” เพียงเท่านี้ ก็จะทำให้ปัญหาต่าง ๆ ที่สร้างภาระหนักให้กับสังคม คลี่คลายและลดน้อยลงไปได้ ดังนั้น เพื่อให้นักเรียนซึ่งเป็นอนาคตของชาติเติบโตขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพสามารถเป็นกำลัง ที่เข้มแข็งของชาติได้ในอนาคต จึงต้องปลูกฝังทักษะความรู้ควบคู่หลักคุณธรรมความดีเข้าด้วยกัน ให้เป็นผู้ที่มีความรู้รักษาตน พัฒนาสังคมได้และมีคุณธรรมความดี เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ช่วยสร้างสังคมให้สุขสงบได้ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง โคลงสุภาษิตพระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผ่านการศึกษาให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง วิเคราะห์ถอดบทเรียน แล้วนำมาสร้างผลงาน “หนังสือนิทาน สืบสานคุณธรรม” นอกจากจะเน้นในเรื่องคุณธรรมความดีที่จะเกิด กับนักเรียนแล้ว ยังเป็นการฝึกฝนพัฒนาทักษะการอ่าน การเขียนให้นักเรียนเป็นผู้ที่มีนิสัยรักการอ่านและ มีความสามารถเป็นนักเขียนที่ดี ผ่านการใช้ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการของตนเองในการรังสรรค์ ผลงาน รวมถึงเป็นการรณรงค์ให้นักเรียนหันมาให้ความสนใจและเห็นคุณค่าของหนังสือมากยิ่งขึ้น เกิดความภาคภูมิใจในหนังสือนิทานที่ตนเป็นผู้สร้าง และมีใจอนุรักษ์วัฒนธรรมการอ่าน โดยการศึกษา ค้นคว้าข้อมูลจากหนังสือให้คงอยู่สืบไป วัตถุประสงค์ มุ่งพัฒนานักเรียนให้เป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพด้านกระบวนการคิด คิดอย่างมีเหตุผล คิดริเริ่มสร้างสรรค์ คิดเชิงบูรณาการ และคิดเชิงออกแบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประพฤติตนเป็นนักเรียน ที่มีคุณธรรมความดีในการดำเนินชีวิต จึงกำหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับนักเรียน ดังนี้ 1. เพื่อให้นักเรียนตระหนักถึงคุณธรรมคำสอนและนำไปใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต 2. เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนมีทักษะในการอ่าน การเขียน และความคิดสร้างสรรค์ 3. เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนมีความรู้และความเข้าใจในการจัดทำหนังสือนิทานเล่มเล็ก สำหรับเด็ก 4. เพื่อสร้างชิ้นงาน หรือนวัตกรรมที่เกิดจากกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ
68 ขอบเขตการศึกษา กลุ่มเป้าหมายประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนสวนอนันต์ ห้อง 1 - 2 จำนวน 2 ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น 19 คน กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนสวนอนันต์ ห้อง 2/1 จำนวน 10 คน ได้มาจากการสุ่มอย่างง่ายโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม ซึ่งแต่ละห้องเรียนได้มีการคละความสามารถแล้ว เนื้อหา ขอบข่ายของเนื้อหาที่ใช้ในการดำเนินการ คือเรื่อง โคลงสุภาษิตพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งรวบรวมไว้ในหนังสือเรียนรายวิชาภาษาไทย (วรรณคดีและ วรรณกรรม) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 3 โคลงสุภาษิต ได้แก่ 1. โคลงสุภาษิตโสฬสไตรยางค์ 2. โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ 3. โคลงสุภาษิตอิศปปกรณำ โดยเหตุผลในการคัดเลือกเนื้อหาใช้หลักการของธำรง บัวศรี (ธำรง บัวศรี, 2542 : 212–213 อ้างถึงใน บัวลักษณ์ เพชรงาม, ม.ป.ป. : 25) ประกอบด้วย 1. ต้องมีประโยชน์ต่อนักเรียนทั้งในปัจจุบัน และอนาคต 2. สอดคล้องกับวุฒิภาวะ และประสบการณ์ของนักเรียน 3. ต้องมีความสำคัญต่อการเรียนรู้ของนักเรียนในระดับการศึกษานั้น 4. ต้องเชื่อถือได้ และเป็นแก่นสารของความรู้ในวิชานั้น ๆ 5. ต้องสอดคล้องกับปัญหาและความต้องการของสังคม 6. ต้องครอบคลุมความรู้หลาย ๆ ด้าน ความสอดคล้องกับสมรรถนะทางวิชาชีพครู ด้านการจัดการเรียนรู้ ➢ สมรรถนะย่อย 1.1 พัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การจัดการเรียนรู้ สื่อ การวัดและ ประเมินผลการเรียนรู้ • พฤติกรรมบ่งชี้ 1.1.1 สามารถวิเคราะห์ความสอดคล้องของสาระการเรียนรู้ กับมาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตรแกนกลาง และหลักสูตรสถานศึกษา ในระดับคุณภาพ 5 คือ แผนการจัดการเรียนรู้มีความสอดคล้องระหว่างสาระการเรียนรู้กับ
69 (1) มาตรฐานการเรียนรู้ (2) ตัวชี้วัด (3) สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน (4) การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ • พฤติกรรมบ่งชี้ 1.1.2 สามารถวิเคราะห์ความสอดคล้องของสาระการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีปัญญารู้คิดและมีความเป็นนวัตกร ในระดับคุณภาพ 5 คือ แผนการจัดการเรียนรู้ มีความสอดคล้องระหว่างสาระการเรียนรู้กับ (1) แนวทางการพัฒนาผู้เรียนให้สามารถประเมินความคิดของตนเอง (2) แนวทางการพัฒนาผู้เรียนให้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (3) แนวทางการพัฒนาผู้เรียนให้ลงมือสร้างชิ้นงานที่เกิดจากความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ (4) แนวทางการส่งเสริมผู้เรียนให้เผยแพร่ชิ้นงานที่เกิดจากความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ ➢ สมรรถนะย่อย 1.2 บูรณาการความรู้และศาสตร์การสอนในการวางแผนและจัดการ เรียนรู้ที่สามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีปัญญารู้คิด และมีความเป็นนวัตกร • พฤติกรรมบ่งชี้ 1.2.1 สามารถเขียนแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียน ให้มีปัญญารู้คิดและมีความเป็นนวัตกร ในระดับคุณภาพ 5 คือ (1) เขียนแผนการจัดการเรียนรู้ที่ระบุวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม กิจกรรม สื่อ วิธีการและเครื่องมือวัดและประเมินผลการเรียนรู้ (2) ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ (3) ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนเป็นผู้ทำกิจกรรม (4) ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์และสรุปองค์ความรู้ ด้วยตนเอง (5) ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนคิดริเริ่ม และสร้างสรรค์ชิ้นงาน • พฤติกรรมบ่งชี้ 1.2.2 สามารถจัดการเรียนรู้ให้เป็นไปตามแผน การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีปัญญารู้คิดและมีความเป็นนวัตกร ในระดับคุณภาพ 5 คือ (1) จัดกิจกรรมการเรียนรู้ ประกอบด้วย ขั้นนำ ขั้นสอนและขั้นสรุปให้เป็นไป ตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ระบุถึงวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม กิจกรรม สื่อ วิธีการและเครื่องมือวัดและประเมินผลการเรียนรู้ (2) จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้
70 (3) จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนเป็นผู้ทำกิจกรรม (4) จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์และสรุปองค์ความรู้ ด้วยตนเอง (5) จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนคิดริเริ่ม และสร้างสรรค์ชิ้นงาน ➢ สมรรถนะย่อย 1.3 จัดกิจกรรม และสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีความสุข ในการเรียน โดยตระหนักถึงสุขภาวะของผู้เรียน • พฤติกรรมบ่งชี้ 1.3.1 สามารถจัดกิจกรรม และสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนมีความสุขในการเรียน ในระดับคุณภาพ 5 คือ จัดกิจกรรมการเรียนรู้และสร้างบรรยากาศ ผ่อนคลายที่ทำให้ผู้เรียนสนุก รู้สึกปลอดภัย กล้าซักถาม และกล้าแสดงความคิดเห็น • พฤติกรรมบ่งชี้ 1.3.2 สามารถจัดกิจกรรม และสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนให้ผู้เรียนโดยตระหนักถึงสุขภาวะของผู้เรียน ในระดับคุณภาพ 5 คือ จัดกิจกรรมและสร้าง บรรยากาศการเรียนรู้โดยคำนึงถึงสุขภาวะของผู้เรียนครบ 4 ข้อ ตามรายการต่อไปนี้ (1) ความพร้อมทางด้านร่างกาย (2) ความพร้อมทางด้านอารมณ์ (3) การมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม (4) ความสามารถในการเรียนรู้ ด้านความสัมพันธ์กับผู้ปกครองและชุมชน ➢ สมรรถนะย่อย 2.1 ร่วมมือกับผู้ปกครองในการพัฒนาและแก้ปัญหาผู้เรียนให้มี คุณลักษณะที่พึงประสงค์ • พฤติกรรมบ่งชี้ 2.1.1 ร่วมมือกับผู้ปกครองในการพัฒนาผู้เรียนให้มี คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของสถานศึกษา ในระดับคุณภาพ 5 คือ (1) มีการกำหนดแนวทางความร่วมมือกับผู้ปกครองในการพัฒนาผู้เรียนให้มี คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของสถานศึกษา (2) มีการร่วมมือกับผู้ปกครองในการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ของสถานศึกษา (3) มีการสรุปผลการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของสถานศึกษา (4) มีการติดตามผลการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของ สถานศึกษาอย่างต่อเนื่อง
71 (5) มีการรายงานผลความร่วมมือกับผู้ปกครองในการพัฒนาผู้เรียนให้มี คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของสถานศึกษา • พฤติกรรมบ่งชี้ 2.1.2 ร่วมมือกับผู้ปกครองในการแก้ปัญหาผู้เรียนให้มี คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของสถานศึกษา ในระดับคุณภาพ 5 คือ (1) มีการกำหนดแนวทางความร่วมมือกับผู้ปกครองในการแก้ปัญหาผู้เรียนให้มี คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของสถานศึกษา (2) มีการร่วมมือกับผู้ปกครองในการแก้ปัญหาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะที่ พึงประสงค์ของสถานศึกษา (3) มีการสรุปผลการแก้ปัญหาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของ สถานศึกษา (4) มีการติดตามผลการแก้ปัญหาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของ สถานศึกษาอย่างต่อเนื่อง (5) มีการรายงานผลความร่วมมือกับผู้ปกครองในการแก้ปัญหาผู้เรียนให้มี คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของสถานศึกษา ด้านการปฏิบัติหน้าที่ครู และจรรยาบรรณวิชาชีพครู ➢ สมรรถนะย่อย 3.1 มุ่งมั่นพัฒนาผู้เรียนด้วยจิตวิญญาณความเป็นครู • พฤติกรรมบ่งชี้ 3.1.1 มุ่งมั่นพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ ทักษะปฏิบัติ และคุณลักษณะที่ดีงาม อย่างเต็มความสามารถด้วยวิธีการที่เหมาะสมกับระดับความสามารถและช่วงวัย ในระดับคุณภาพ 5 คือ (1) จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยคำนึงถึงความถนัดและความสนใจของผู้เรียน (2) ให้ความสำคัญกับผู้เรียนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม (3) คิดค้นวิธีการพัฒนา/แก้ไขข้อบกพร่องด้านการเรียนรู้ ทักษะปฏิบัติ และคุณลักษณะที่ดีงามของผู้เรียนได้เหมาะสมกับระดับความสามารถ และช่วงวัย (4) นำวิธีการพัฒนา/แก้ไขปัญหามาใช้กับผู้เรียนได้อย่างเหมาะสมกับ สถานการณ์ (5) ติดตามและตรวจสอบผลการพัฒนาผู้เรียน • พฤติกรรมบ่งชี้3.1.2 รักเมตตา เอาใจใส่ ช่วยเหลือและพัฒนาผู้เรียน อย่างเหมาะสมด้วยความบริสุทธิ์ใจ ในระดับคุณภาพ 5 คือ
72 (1) ดูแลเอาใจใส่นักเรียนทุกคนในห้องเรียนอย่างเท่าเทียมกัน (2) รับฟังปัญหาของผู้เรียนโดยเสมอหน้า (3) ช่วยชี้แนะแนวทางแก้ไขปัญหาผู้เรียนทั้งเรื่องการเรียนและการใช้ชีวิต (4) ชี้แนะและช่วยเหลือผู้เรียนอย่างต่อเนื่องจนปัญหาเบาบางลงหรือหมดไป (5) ให้การชี้แนะจนผู้เรียนสามารถหาแนวทางหรือวิธีการแก้ไขปัญหาได้ ด้วยตนเอง ทั้งด้านการเรียนและการใช้ชีวิต ➢ สมรรถนะย่อย 3.2 ส่งเสริมการเรียนรู้ เอาใจใส่ และยอมรับความแตกต่างของผู้เรียน แต่ละบุคคล • พฤติกรรมบ่งชี้ 3.2.1 ส่งเสริมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องด้วยความเอาใจใส่ ในระดับคุณภาพ 5 คือ (1) วิเคราะห์ความต้องการ/ปัญหาการเรียนรู้ของผู้เรียน (2) จัดหาสื่อ/อุปกรณ์/นวัตกรรมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ (3) เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ (4) มีวิธีการกระตุ้นให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กันเพื่อเสริมสร้างคุณภาพการเรียนรู้ (5) ปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการเรียนรู้ให้น่าสนใจและทันสมัยอยู่เสมอ ➢ สมรรถนะย่อย 3.3 สร้างแรงบันดาลใจผู้เรียนให้เป็นผู้ใฝ่เรียนรู้ และผู้สร้างนวัตกรรม • พฤติกรรมบ่งชี้ 3.3.1 กระตุ้นและเสริมสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้แก่ผู้เรียน โดยใช้การเสริมแรงทางบวก ในระดับคุณภาพ 4 คือ (1) สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนได้ (2) มีเทคนิคที่หลากหลายเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ (3) ใช้การเสริมแรงทางบวกเพื่อกระตุ้นและสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ได้ อย่างเหมาะสม (4) ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้ในทางบวก • พฤติกรรมบ่งชี้ 3.3.2 ส่งเสริมให้ผู้เรียนแสดงความสามารถและความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์อย่างเต็มศักยภาพ ในระดับคุณภาพ 5 คือ (1) มีเทคนิคการสอนที่กระตุ้นให้ผู้เรียนได้แสดงความสามารถและความคิด ริเริ่มสร้างสรรค์ (2) เปิดโอกาส/แสวงหาโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความสามารถและความคิด ริเริ่มสร้างสรรค์
73 (3) สนับสนุนทรัพยากรหรือเอื้ออำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนได้แสดง ความสามารถและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (4) ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อพัฒนาความสามารถและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ของผู้เรียน (5) ผู้เรียนสามารถสร้างชิ้นงานหรือผลงานที่แปลกใหม่น่าสนใจได้ ➢ สมรรถนะย่อย 3.4 พัฒนาตนเองให้มีความรอบรู้ ทันสมัยและทันต่อการเปลี่ยนแปลง • พฤติกรรมบ่งชี้ 3.4.1 ติดตามข้อมูลข่าวสารการศึกษาสังคม การเมือง การปกครอง และเศรษฐกิจ โดยสามารถนำมาปรับใช้/เชื่อมโยงกับเนื้อหาในการจัดการเรียนรู้ได้อย่างมี ประสิทธิภาพส่วนหนึ่งในการออกแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสม ในระดับคุณภาพ 4 คือ (1) สามารถเข้าถึงสื่อ/แหล่งความรู้ต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย (2) สามารถวิเคราะห์และประเมินความน่าเชื่อถือของสื่อ/แหล่งความรู้ต่าง ๆ ได้ (3) มีความรู้เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารการศึกษา สังคม การเมือง การปกครอง และเศรษฐกิจที่ถูกต้อง ทันสมัยและทันต่อการเปลี่ยนแปลง (4) สามารถนำความรู้มาปรับใช้/เชื่อมโยงกับเนื้อหาในการจัดการเรียนรู้ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ➢ สมรรถนะย่อย 3.5 ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรม และมีความ เป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง • พฤติกรรมบ่งชี้ 3.5.1 ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี ทั้งทางกาย วาจา และจิตใจ มีคุณธรรมจริยธรรม ในระดับคุณภาพ 5 คือ (1) พูดจาสุภาพและแต่งกายเหมาะสมกับกาลเทศะ (2) รับผิดชอบในการทำงานที่ได้รับมอบหมาย (3) ยินดีรับข้อวิพากษ์วิจารณ์และทบทวนแก้ไขข้อบกพร่องในการปฏิบัติงาน (4) ปฏิบัติงานด้วยความกระตือรือร้น (5) อาสาทำงานและช่วยเหลือเพื่อนครูและโรงเรียนด้วยความเต็มใจ • พฤติกรรมบ่งชี้ 3.5.2 ปฏิบัติตนโดยยึดหลักความเป็นธรรม เท่าเทียม และมีส่วนช่วยให้คนในองค์กรอยู่ร่วมกันอย่างสันติในระดับคุณภาพ 5 คือ (1) ปฏิบัติงานและปฏิบัติตนโดยยึดหลักความถูกต้อง (2) ใจกว้างยอมรับความคิดเห็นที่หลากหลาย (3) ปฏิบัติตนต่อผู้เรียนและเพื่อนร่วมอาชีพอย่างเท่าเทียมไม่เลือกข้าง (4) ใช้วิธีการแก้ปัญหาได้อย่างสร้างสรรค์และสันติวิธี
74 (5) ปฏิบัติตนโดยคำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญ ➢ สมรรถนะย่อย 3.6 จรรยาบรรณต่อตนเอง • พฤติกรรมบ่งชี้ 3.6.1 ปฏิบัติตนตามข้อตกลง กฎกติกาของโรงเรียน ด้วยความสมัครใจทั้งในด้านการปฏิบัติการสอนและการปฏิบัติหน้าที่อื่นในโรงเรียน ในระดับคุณภาพ 4 คือ (1) ประพฤติตนเหมาะสมกับสถานภาพ (2) เป็นแบบอย่างที่ดีในการดำเนินชีวิตตามประเพณีและวัฒนธรรมไทย (3) ปฏิบัติงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จอย่างมีคุณภาพ (4) ศึกษาความรู้วางแผนพัฒนาตนเองอยู่เสมอ • พฤติกรรมบ่งชี้ 3.6.2 ติดตามข้อมูลและปรับเปลี่ยนตนเองให้สอดคล้องกับ การเปลี่ยนแปลงทางวิชาชีพ วิทยาการ เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ในระดับคุณภาพ 4 คือ (1) ปฏิบัติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีในการเป็นผู้นำของการเปลี่ยนแปลง (2) มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาตนเองด้านวิชาชีพและบุคลิกภาพ (3) เข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาตนเองอย่างสม่ำเสมอ (4) ปรับเปลี่ยนตนเองให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางวิชาชีพ วิทยาการ เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ➢ สมรรถนะย่อย 3.7 จรรยาบรรณต่อวิชาชีพ • พฤติกรรมบ่งชี้ 3.7.1 ศรัทธา ซื่อสัตย์ สุจริต และรับผิดชอบต่อวิชาชีพครู ในระดับคุณภาพ 5 คือ (1) ปฏิบัติงานทั้งกาย วาจา และใจ ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต (2) ปฏิบัติงานโดยยืนหยัดบนความถูกต้อง (3) ปฏิบัติหน้าที่ที่รับผิดชอบอย่างเต็มความสามารถ (4) ปฏิบัติตนตามกฎเกณฑ์และกติกาอย่างเคร่งครัด (5) เห็นคุณค่าและความสำคัญของวิชาชีพครูที่มีต่อสังคม ➢ สมรรถนะย่อย 3.8 จรรยาบรรณต่อผู้รับบริการ • พฤติกรรมบ่งชี้ 3.8.2 ไม่เรียกรับหรือยอมรับผลประโยชน์จากการใช้ ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ ในระดับคุณภาพ 5 คือ (1) มีความซื่อสัตย์ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความจริงใจ (2) ไม่เรียกรับผลประโยชน์จากการใช้ตำแหน่งโดยมิชอบ
75 (3) ไม่ยอมรับผลประโยชน์แม้มีผู้เต็มใจเสนอให้ (4) ปฏิบัติตามกฎระเบียบ โดยคำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นต่อองค์กร (5) พัฒนาถึงบทบาทหน้าที่ของตนเองที่พึงรับผิดชอบต่อผู้รับบริการ วิธีดำเนินการแนวปฏิบัติที่ดีตามสมรรถนะทางวิชาชีพครู ขั้นตอนวางแผนงาน (Plan : P) 1. แผนดำเนินการ จัดเตรียมแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง โคลงสุภาษิตพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อนำเข้าที่ประชุมในการวิเคราะห์และประเมินผลความเหมาะสม ที่จะนำไปใช้จากผู้เชี่ยวชาญและผู้ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย Expert, Senior Education, และ Buddy teacher นำแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง โคลงสุภาษิตพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ผ่านการวิเคราะห์และประเมินผลจากผู้เชี่ยวชาญและผู้ที่เกี่ยวข้อง มาแก้ไขเพิ่มเติม ก่อนนำไปใช้จริง โดยมีแผนดำเนินการดังตารางต่อไปนี้ ตารางที่10 ตารางแผนดำเนินการ ลำดับขั้นตอน สัปดาห์ 1 2 3 4 5 6 7 8 1. เตรียมความพร้อม ศึกษาบริบท 2. ขั้นตอนวางแผนงาน (Plan : P) 3. ขั้นตอนดำเนินการ (Do : D) 4. ขั้นตอนการตรวจสอบและประเมินผล (Check : C) 5. ขั้นตอนการปรับปรุงตามผลการประเมิน (Action : A) 2. การวางแผนกำหนดการปฏิบัติและประชุมร่วมกับสมาชิกผู้ร่วมประกอบวิชาชีพ จัดเตรียมการวางแผน การพัฒนาบทเรียนระหว่างนักศึกษา Buddy ครูพี่เลี้ยง และอาจารย์นิเทศก์เพื่อให้นักเรียนได้รับองค์ความรู้และพัฒนาทักษะกระบวนการทางด้านภาษาไทย อย่างเต็มประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่นักเรียน รวมถึงนักเรียนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง ในการดำเนินชีวิต ดังตารางต่อไปนี้
76 ตารางที่ 11 ตารางกำหนดการปฏิบัติและประชุมร่วมกับสมาชิกผู้ร่วมประกอบวิชาชีพประชุมวิเคราะห์ แผน (ว/ด/ป) Plan Do Check Action ประชุมสรุป (ว/ด/ป) ว/ด/ป เวลา ว/ด/ป เวลา ว/ด/ป เวลา ว/ด/ป เวลา 31 ต.ค. 65 14 พ.ย. 65 9.00 น. 28 พ.ย. 65 10.00 น. 13 ธ.ค. 65 9.00 น. 19 ธ.ค. 65 9.00 น. 26 ธ.ค. 65 ตารางที่ 12 แบบบันทึกการสะท้อนคิดหลังการประชุมร่วมกับสมาชิกผู้ร่วมประกอบวิชาชีพ รายการสะท้อนคิด สรุปข้อเสนอแนะจากการประชุม หมาย เหตุ 1. วัตถุประสงค์การเรียนรู้ - สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2. เนื้อหาสาระการเรียนรู้ - เนื้อหาสาระการเรียนรู้ สาระสำคัญ มาตรฐานและ ตัวชี้วัดสอดคล้องกัน - เนื้อหาครบถ้วน - เนื้อหาสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรมอันดี ซึ่งมี ความสำคัญกับนักเรียน - เนื้อหาสาระเป็นเรื่องใกล้ตัวนักเรียน นักเรียน สามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ประโยชน์ได้จริง ในการดำเนินชีวิต 3. การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ และสื่อ - แผนการจัดการเรียนรู้มีความเหมาะสมกับ ธรรมชาติของรายวิชาและเหมาะสมกับนักเรียน - กิจกรรมน่าสนใจ สามารถพัฒนาทักษะการทำงาน กลุ่ม นักเรียนได้แสดงความสามารถและความคิด ริเริ่มสร้างสรรค์ - กิจกรรมเป็นกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) - สื่อมีความน่าสนใจ ละเอียด ชัดเจน
77 ตารางที่ 12 แบบบันทึกการสะท้อนคิดหลังการประชุมร่วมกับสมาชิกผู้ร่วมประกอบวิชาชีพ (ต่อ) รายการสะท้อนคิด สรุปข้อเสนอแนะจากการประชุม หมาย เหตุ 4. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ - การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ชัดเจน - การวัดและประเมินผลการเรียนรู้เหมาะสมกับ นักเรียน 5. การบริหารจัดการชั้นเรียน - นักเรียนสามารถเรียนรู้ตามมาตรฐานการเรียนรู้ - ระยะเวลาในการจัดกิจกรรมเหมาะสม และ สามารถควบคุมชั้นเรียนได้เป็นอย่างดี ขั้นตอนดำเนินการ (Do : D) นำแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง โคลงสุภาษิตพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ปรังปรุงแก้ไขเพิ่มเติมแล้วมาใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 จำนวน 10 คน ซึ่งเป็นกลุ่ม ตัวอย่างที่ใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม กิจกรรมการเรียนรู้เน้นให้นักเรียนได้ลงมือ ปฏิบัติและใช้ทักษะกระบวนการทำงานรูปแบบกลุ่มในการสร้างชิ้นงานให้แล้วเสร็จ แผนการจัดการเรียนรู้ มีลำดับ ดังนี้ 1. การสร้างองค์ความรู้ให้กับนักเรียนในเรื่อง โคลงสุภาษิตพระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 2. การสอดแทรกประเด็นท้าทายเพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ 3. การอ่านโคลงสุภาษิต และถอดคำประพันธ์ 4. การเชื่อมโยงคุณค่าจากบทประพันธ์ สู่การนำไปใช้จริงในการดำเนินชีวิต 5. ศึกษาตัวอย่างหนังสือนิทานเล่มเล็ก เพื่อศึกษาองค์ประกอบ และหลักวิธีการออกแบบ หนังสือนิทานเล็มเล็กที่ถูกต้อง 6. นักเรียนลงมือปฏิบัติ 6.1 วางแผน เลือกหลักคุณธรรมความดีจากโคลงสุภาษิตโสฬสไตรยางค์ หรือโคลง สุภาษิตนฤทุมนาการที่ได้ศึกษาไปก่อนหน้า เพื่อใช้เป็นแก่นของเรื่องหรือข้อคิดจากเรื่อง 6.2 วางโครงเรื่อง ตั้งชื่อเรื่อง 6.3 วางโครงสร้างเนื้อหาโดยแบ่งเป็นตอน เพื่อจัดลำดับเรื่อง 6.4 จัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับสร้างผลงาน
78 6.5 จัดทำหนังสือนิทานเล่มเล็กโดยใส่องค์ประกอบให้ครบถ้วนสมบูรณ์ 7. ประเมินผลนักเรียนโดยใช้เกณฑ์การประเมินที่กำหนด 8. บันทึกพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนระหว่างการทำกิจกรรม ดังตารางที่ 2.3 ตารางที่ 13 แบบบันทึกพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนระหว่างทำกิจกรรม แบบบันทึกพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนระหว่างการทำกิจกรรม คำชี้แจง : การบันทึกจากการสังเกตเป็นข้อมูลสำคัญในการทำความเข้าใจพฤติกรรมการเรียนรู้ของ นักเรียน เพื่อพัฒนาความสามารถของนักเรียนได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยมีประเด็นบันทึกข้อมูลดังนี้ 1. ข้อมูลเกี่ยวกับเป้าหมายการสังเกต วันที่ 29 เดือน พฤศจิกายน ปี 2565 เวลา 10.00 – 10.50 น. สถานที่ ห้องเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 (343) โรงเรียนสวนอนันต์ เป้าหมายของการสังเกต (นักเรียน หรือกลุ่มนักเรียน หรือห้องเรียน) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 สามารถนำความรู้ที่ได้จากการเรียน เรื่อง โคลงสุภาษิตพระราชนิพนธ์ พระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อยอดสู่การทำกิจกรรมและสร้างชิ้นงาน 2. การบันทึกข้อมูลจากการสังเกต (บันทึกข้อมูล) เวลา 10.00 – 10.50 น. (สิ่งที่สังเกตเห็นขณะทำกิจกรรม) นักเรียนมีความกระตือรือร้น ตั้งใจศึกษาเรียนรู้ ร่วมกันตอบ คำถามในบทเรียน นักเรียนบางส่วนมีการพูดคุยเกี่ยวกับวิธีการออกแบบชิ้นงาน เนื่องจากเป็นเรื่อง ที่แปลกใหม่สำหรับนักเรียน นักเรียนไม่เคยมีประสบการณ์ในการสร้างชิ้นงานหนังสือนิทาน กิจกรรมการเรียนรู้ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงศักยภาพในการลงมือ ออกแบบหนังสือด้วยตนเอง ก่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ ๆ รวมถึงสามารถประเมินทักษะ กระบวนการคิด คิดอย่างมีเหตุผล คิดริเริ่มสร้างสรรค์ คิดเชิงบูรณาการ และคิดเชิงออกแบบได้ อย่างมีประสิทธิภาพผ่านการทำกิจกรรมของนักเรียน 3. หลังจบการทำกิจกรรม (วิเคราะห์ทำความเข้าใจ และสรุปผลการเรียนรู้ของนักเรียน) 3.1 สิ่งที่นักเรียนได้รับจากการทำกิจกรรม 1) ทักษะกระบวนการคิดในการลำดับขั้นตอนการปฏิบัติงาน การคิดอย่างเป็นระบบ เชื่อมโยงทางความคิดจนเกิดเป็นผลงานที่มีคุณภาพ 2) ตระหนักถึงคุณธรรมที่ได้จากการศึกษาโคลงสุภาษิตพระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เห็นถึงคุณค่าของการนำไปใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต
79 ตารางที่ 13 แบบบันทึกพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนระหว่างทำกิจกรรม (ต่อ) แบบบันทึกพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนระหว่างการทำกิจกรรม คำชี้แจง : การบันทึกจากการสังเกตเป็นข้อมูลสำคัญในการทำความเข้าใจพฤติกรรมการเรียนรู้ของ นักเรียน เพื่อพัฒนาความสามารถของนักเรียนได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยมีประเด็นบันทึกข้อมูลดังนี้ 3. หลังจบการทำกิจกรรม (วิเคราะห์ทำความเข้าใจ และสรุปผลการเรียนรู้ของนักเรียน) (ต่อ) 3.1 สิ่งที่นักเรียนได้รับจากการทำกิจกรรม 3) เกิดองค์ความรู้ใหม่ด้านการออกแบบและหลักในการจัดทำหนังสือนิทานเล่มเล็ก ที่ถูกต้อง 3.2 ถ้านักเรียนเรียนรู้แล้ว จะทำอย่างไรต่อ นำผลงานของนักเรียนออกเผยแพร่สู่สังคมภายนอก เพื่อแบ่งปันให้ผู้อื่นได้อ่านงานเขียน ของนักเรียน เพื่อปลูกฝังคุณธรรมความดี และช่วยพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ ที่สอดแทรกอยู่ใน หนังสือนิทาน โดยให้นักเรียนเป็นผู้ดำเนินการจัดกระทำ ได้แก่ 1) การเผยแพร่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ในช่องทางใดก็ได้ 2) ส่งต่อหนังสือนิทานให้กับโครงการต่าง ๆ หรือส่งไปรษณีย์ไปยังโรงเรียนที่มี ความประสงค์รับบริจาคหนังสือนิทาน 3.3 ถ้านักเรียนที่ไม่เกิดการเรียนรู้จะทำอย่างไรต่อ ค้นหาเทคนิควิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบอื่น ๆ ให้เหมาะสมกับนักเรียน แต่ละบุคคล ขั้นตอนการตรวจสอบและประเมินผล (Check : C) หลังจากนำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุมไปใช้กับนักเรียน จึงให้ สมาชิกผู้ร่วมประกอบวิชาชีพที่ได้ลงมติเห็นชอบในที่ประชุม ร่วมกันประเมินผลการจัดการเรียนการสอน โดยประเมินจากนักเรียนขณะทำกิจกรรม ซึ่งได้นำแบบบันทึกการสะท้อนคิดของสมาชิกผู้ร่วมประกอบ วิชาชีพมาใช้ในการประเมินผล ดังตารางที่ 2.4 และตารางที่ 2.5 รายละเอียดมีดังต่อไปนี้ ตารางที่ 2.4 การประเมินผลการจัดการเรียนรู้หลังนำไปใช้กับนักเรียนครั้งที่ 1 เพื่อปรับปรุง พัฒนานำไปสู่การประเมินผลการจัดการเรียนรู้ครั้งที่ 2 ตารางที่ 2.5 การประเมินผลการจัดการเรียนรู้หลังนำไปใช้กับนักเรียนครั้งที่ 2
80 ตารางที่ 14 แบบบันทึกการสะท้อนคิดของสมาชิกผู้ร่วมประกอบวิชาชีพ ครั้งที่ 1 รายการสะท้อนคิด สรุปข้อเสนอแนะจากการประชุม หมาย เหตุ 1. วัตถุประสงค์การเรียนรู้ - สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2. เนื้อหาสาระการเรียนรู้ - เนื้อหาสาระการเรียนรู้ สาระสำคัญ มาตรฐานและ ตัวชี้วัดสอดคล้องกัน - เนื้อหาครบถ้วน 3. การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ และสื่อ - แผนการจัดการเรียนรู้มีความเหมาะสมกับ ธรรมชาติของรายวิชาและเหมาะสมกับนักเรียน 4. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ - การเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ - ชิ้นงานของนักเรียน “หนังสือนิทานเล่มเล็ก” 5. การบริหารจัดการชั้นเรียน - ใช้กระบวนการทำงานรูปแบบกลุ่ม ให้สมาชิกใน กลุ่มได้มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม 6. อื่น ๆ - ตารางที่ 15 แบบบันทึกการสะท้อนคิดของสมาชิกผู้ร่วมประกอบวิชาชีพ ครั้งที่ 2 รายการสะท้อนคิด สรุปข้อเสนอแนะจากการประชุม หมาย เหตุ 1. วัตถุประสงค์การเรียนรู้ - สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 - จุดประสงค์การเรียนรู้สอดคล้องกับสิ่งที่ต้องการ วัดและประเมินผล 2. เนื้อหาสาระการเรียนรู้ - เนื้อหาสาระการเรียนรู้ สาระสำคัญ มาตรฐานและ ตัวชี้วัดสอดคล้องกัน - เนื้อหาครบถ้วน - เนื้อหาสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรมอันดี ซึ่งมี ความสำคัญกับนักเรียน
81 ตารางที่ 15 แบบบันทึกการสะท้อนคิดของสมาชิกผู้ร่วมประกอบวิชีชีพ ครั้งที่ 2 (ต่อ) รายการสะท้อนคิด สรุปข้อเสนอแนะจากการประชุม หมาย เหตุ 3. การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ และสื่อ - แผนการจัดการเรียนรู้มีความเหมาะสมกับ ธรรมชาติของรายวิชาและเหมาะสมกับนักเรียน - สื่อมีทั้งที่เป็นเทคโนโลยีและสื่อพื้นฐาน 4. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ - การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ชัดเจน - การวัดและประเมินผลการเรียนรู้เหมาะสมกับ นักเรียน 5. การบริหารจัดการชั้นเรียน - นักเรียนสามารถเรียนรู้ตามมาตรฐานการเรียนรู้ - ระยะเวลาในการจัดกิจกรรมเหมาะสม และ สามารถควบคุมชั้นเรียนได้เป็นอย่างดี ขั้นตอนปรับปรุงตามผลการประเมิน (Action : A) การจัดการเรียนรู้ตามแผนดังกล่าวประสบผลสำเร็จ มีประสิทธิภาพเป็นที่น่าพอใจแล้ว สามารถนำแผนนั้นมาบูรณาการแบบองค์รวมร่วมกับชุมชน หรือประยุกต์องค์ความรู้ที่ได้สู่ภายนอก โดยให้นักเรียนเป็นผู้ถ่ายทอดในฐานะผู้สร้างผลงาน เพื่อพัฒนาทักษะของนักเรียน และอาจสร้างอาชีพ ให้กับนักเรียนได้ในอนาคต แต่หากการจัดการเรียนรู้ตามแผนดังกล่าวไม่ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย นำเข้าสู่กระบวนการวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงแก้ไข หรือนำไปสู่การทำวิจัยเพื่อพัฒนานักเรียนต่อไป ปัจจัยความสำเร็จของการดำเนินการ 1. แผนการจัดการเรียนรู้มีองค์ประกอบสำคัญครบถ้วน และมีประเด็นท้าทายที่น่าสนใจ 2. การจัดการเรียนรู้เน้นนักเรียนเป็นหลัก เพื่อส่งเสริม พัฒนาทักษะและคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ที่สำคัญให้กับนักเรียน เช่น ทักษะกระบวนการคิด ทักษะการทำงานอย่างเป็นระบบ ทักษะกระบวนการทำงานรูปแบบกลุ่ม และการให้ความสำคัญในเรื่องคุณธรรมความดี 3. นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติสร้างผลงานด้วยตนเอง 4. ความรู้และคุณค่าค่าด้านต่าง ๆ ที่ได้รับจากการศึกษาเนื้อหาหรือร่วมกิจกรรม การจัดการเรียนรู้ สามารถต่อยอดสู่เส้นทางอาชีพได้
82 5. การนำหลักคุณธรรมจากเนื้อหาสาระที่ได้ศึกษา มาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงาน ร่วมกับเพื่อนสมาชิกกลุ่ม ส่งผลให้งานสำเร็จลุล่วงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนา 1. ควรให้อิสระอย่างเปิดกว้างกับนักเรียนในการใช้จินตนาการออกแบบและสร้างสรรค์ผลงาน เพื่อให้นักเรียนได้ใช้ทักษะความสามารถได้อย่างเต็มศักยภาพ 2. การออกแบบและสร้างสรรค์ผลงานใช้ระยะเวลาที่ไม่แน่นอน ครูผู้สอนควรวางแผน และมีการตรวจสอบความคืบหน้าเป็นระยะ ๆ เพื่อความสำเร็จของงาน 3. ควรแนะนำขั้นตอนการจัดทำหนังสือนิทานเล่มเล็ก ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และเข้าใจ อย่างถูกต้องชัดเจน 4. การจัดทำหนังสือนิทานเล่มเล็กควรจัดให้นักเรียนทำงานในรูปแบบกลุ่ม แต่ละกลุ่มควรมี นักเรียนที่มีความสามารถแตกต่างกัน ทั้งการจัดทำเนื้อหาสาระ การออกแบบ วาดรูป ระบายสีเพื่อให้ นักเรียนได้ทำงานร่วมกับผู้อื่นและเพื่อให้สามารถแบ่งหน้าที่ในการรับผิดชอบงานกันได้อย่างมี ประสิทธิภาพ 5. การสร้างหนังสือนิทานสามารถนำไปออกแบบเป็นกิจกรรมในรายวิชาอื่น ๆ ได้
83 บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. กฤษมันต์ วัฒนาณรงค์. (2554). นวัตกรรมและเทคโนโลยีเทคนิคศึกษา. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ : ศูนย์ผลิตตำราเรียนมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ. กำชัย ทองหล่อ. (2554). หลักภาษาไทย. (พิมพ์ครั้งที่ 53). กรุงเทพฯ : รวมสาส์น. คณาจารย์ภาษาไทย. (2556). คำราชาศัพท์และคำสุภาพ. นนทบุรี: ไอดีซี พรีเมียร์. คณิตถึง พัตราสิงห์. (2555). การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องการสร้างคำ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี. จิตรา ดวงปรีชา. (2554). การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างความสามารถด้าน การเขียนสะกดคำและการเข้าใจความหมายของคำ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร. โชติกา ภาษีผล. (2559). การวัดและประเมินผลการเรียนรู้. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. ไชยยศ เรืองสุวรรณ. (2522). หลักการและทฤษฎีเทคโนโลยีทางการศึกษา. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ : เรือนแก้วการพิมพ์. ณเอก อึ้งเสือ. (2555). การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและ เทคโนโลยี เรื่อง งานประดิษฐ์ใบตอง สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. วิทยานิพนธ์ ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยบูรพา. ณัฐธยาน์ การุญ. (2554). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลักภาษาไทยและความสนใจในการเรียน ภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่สอนโดยบทเรียนสำเร็จรูปกับการสอนตามคู่มือ ครู. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชามัธยมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ดุจกาญจน์ ชัยวิศิษฎ์. (2546). การสร้างชุดการสอนวิชาภาษาไทย เรื่องคำราชาศัพท์ ระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาเทคโนโลยีการศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
84 ทรงเกียรติ อิงคามระธร. (2555). การวัดและประเมินผลการศึกษา. ราชบุรี: มหาวิทยาลัยราชภัฏ หมู่บ้านจอมบึง. บุญเกื้อ ควรหาเวช. (2542). นวัตกรรมการศึกษา. (พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพฯ : ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. บุญชม ศรีสะอาด. (2545). การวิจัยเบื้องต้น. (พิมพ์ครั้งที่ 7). กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น. บุญเชิด ภิญโญอนันตพงษ์. (2541). การทดสอบแบบอิงเกณฑ์แนวคิดและวิธีการ. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์. (2542). เทคนิคการสร้างเครื่องมือรวบรวมข้อมูลสำหรับการวิจัย. (พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพฯ : บีแอนด์บี พับลิชชิ่ง. บัวทิพย์ ชูกลิ่น. (2550). การพัฒนาแบบฝึกการใช้คำราชาศัพท์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนศรีอยุธยา ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าภคิณีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาสิริ โสภาพัณณวดี เขตราชเทวีกรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการมัธยมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. บัวลักษณ์ เพชรงาม. (ม.ป.ป). การเลือกและจัดเนื้อหา และประสบการณ์การเรียนรู้. สืบค้นเมื่อ 1 มกราคม 2566, จาก http://elsd.ssru.ac.th/bualak_na/pluginfile.php/72/mod_page/intro/บทที่%208%20 การเลือกและจัดเนื้อหา%20และประสบการณ์การเรียนรู้.pdf. ประเทือง โพธิ์ชะออน. (2551). ราชาศัพท์. กรุงเทพฯ : ดอกหญ้า 2000. ประสาท เนืองเฉลิม. (2556). วิจัยการเรียนการสอน. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ประเสริฐ สำเภารอด. (2552). การพัฒนาชุดกิจกรรมเรื่องระบบนิเวศในโรงเรียน สำหรับนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเซนต์ดอมินิก. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาการมัธยมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ปราณี จงอนุรักษ์. (2560). ผลการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยบูรพา. ฝ่ายตำราวิชาการกู๊ดอินเตอร์บุ๊คส์. (2557). เรียนรู้คำราชาศัพท์และคำลักษณนามไทย. นครราชสีมา : กู๊ดอินเตอร์บุ๊คส์. พรรณี ลีกิจวัฒนะ. (2557). วิธีการวิจัยทางการศึกษา. (พิมพ์ครั้งที่ 9). กรุงเทพฯ : คณะครุศาสตร์ อุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง.
85 พวงรัตน์ ทวีรัตน์. (2540). วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์. (พิมพ์ครั้งที่ 7). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข. (2547). วิธีวิทยาการสอนวิทยาศาสตร์ทั่วไป. กรุงเทพฯ : คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. พิชิต ฤทธิ์จรูญ. (2545). หลักการวัดและประเมินผลการศึกษา. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ : เฮ้าท์ ออฟ เคอร์มิสท์. ฟองจันทร์ สุขยิ่ง, กัลยา สหชาติโกสีย์, ศรีวรรณ ช้อยหิรัญ, ภาสกร เกิดอ่อน และ ระวีวรรณ อินทรประพันธ์. (2559). ภาษาไทย หลักภาษาและการใช้ภาษา ม.2. (พิมพ์ครั้งที่ 16). กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์. ภาสกร เกิดอ่อน, ระวีวรรณ อินทรประพันธ์, ฟองจันทร์ สุขยิ่ง, กัลยา สหชาติโกสีย์ และ ศรีวรรณ ช้อยหิรัญ. (2558). ภาษาไทย หลักภาษาและการใช้ภาษา ม.4. (พิมพ์ครั้งที่ 13). กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์. มณฑกาญจน์ ศิริมงคล (2563). วิจัยในชั้นเรียน เรื่องการพัฒนาการอ่านและการเขียนคำราชาศัพท์ โดยใช้แบบฝึกทักษะของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนมัธยม วัดสิงห์. สืบค้นเมื่อ 1 กันยายน 2565, จาก https://pubhtml5.com/lwjp/xfxp/basic/. มนชิดา เรืองรัมย์. (2556). การพัฒนาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย มหาวิทยาลัย ศิลปากร. มลิวัลย์ ผิวคราม. (2557). การวัดและประเมินผลการศึกษา. ชุมพร : ชุมพรพริ้นท์แอนด์ดีไซน์. เยาวดี รางชัยกุล วิบูลย์ศรี. (2556). การวัดผลและการสร้างแบบสอบผลสัมฤทธิ์. (พิมพ์ครั้งที่ 11). กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ราชบัณฑิตยสถาน. (2556). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554. กรุงเทพฯ : ศิริวัฒนา อินเตอร์พริ้นท์. ราตรี นันทสุคนธ์. (2556). การวิจัยในชั้นเรียนและการวิจัยพัฒนาการเรียนการสอน (การวิจัยสำหรับ ครูและบุคลากรทางการศึกษา. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ : จุดทอง. วิเชียร เกษประทุม. (ม.ป.ป). ราชาศัพท์ฉบับสมบูรณ์. กรุงเทพฯ : ธนธัชการพิมพ์. ศิริชัย กาญจนวาสี. (2556). ทฤษฎีการทดสอบแบบดั้งเดิม. (พิมพ์ครั้งที่ 7 ฉบับปรังปรุงเพิ่มเติม). กรุงเทพฯ : คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
86 สมนึก ภัททิยธนี. (2541). การวัดผลการศึกษา. (พิมพ์ครั้งที่ 3). มหาสารคาม : ภาควิชาวิจัยและพัฒนา การศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. สมสุข ศรีสุข. (2542). ผลของการเรียนการสอนด้วยกิจกรรมบทบาทสมมุติที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง ดัชนีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาคณิตศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. สุคนธ์ สินธพานนท์. (2553). นวัตกรรมการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาคุณภาพเยาวชน ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 2. (พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพฯ : 9119 เทคนิคพริ้นติ้ง. สุนันท์ อัญชลีนุกูล. (2562). ระบบคำภาษาไทย. (พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สุรีรัตน์ ชาติกุล. (2559). ผลของการใช้แบบฝึกพัฒนาความรู้เรื่อง คำราชาศัพท์ ที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนตราษตระการคุณ. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย มหาวิทยาลัย รามคำแหง. เสริม ทัศศรี. (2536). เอกสารประกอบการสอน วิชา วผ 401 การวัดผลการศึกษา. กรุงเทพฯ : มหาวิทยลัยศรีนครินทรวิโรฒ. หริพล ธรรมนารักษ์. (2558). นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษายุคดิจิทัล. กรุงเทพฯ : ทริปเพิ้ลกรุ๊ป. อรพินธร แก้วภู่. (2559). การพัฒนาชุดกิจกรรมรายวิชาทัศนศิลป์ ตามแนวคอนสตรัคติวิสซึม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน วิทยาลัยครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์.
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือ - รายนามผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือ - ใบขอความอนุเคราะห์เป็นผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือ
89 รายนามผู้เชี่ยวชาญ 1. นางสาวจิรภา เฮียงโฮม ตำแหน่ง ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนสวนอนันต์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร 2. นางชุติมาดี ทิมตระกูล ตำแหน่ง ครูชำนาญการ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดน้อยใน) ในพระราชูปถัมภ์ฯ เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร 3. นายสุจินดา ทัศศะ ตำแหน่ง ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดน้อยใน) ในพระราชูปถัมภ์ฯ เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร
ใบขอความอนุเคราะห์เป็นผู้เชี่ยวชาญตรวจเครื่องมือวิจัย
91