The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by fanta.pl87, 2021-06-26 23:23:00

การพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียน

การพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียน

39

กล่าวโดยสรุป Balanced Scorecard (BSC) หมายถึง เคร่ืองมือเทคนิคที่ช่วยการ
จัดการองค์กร เป็นเทคนิคช่วยในการประเมินผล และวัดผลการปฏิบัติงานขององค์กร เน้นการวัดผล
การปฏิบัติงานด้านการเงินเพียงด้านเดียว แต่ BSC จะช่วยเพิ่มมุมมองด้านอ่ืนเพ่ิมข้ึน มุมมองด้าน
ลูกค้า ด้านกระบวนการภายใน ด้านการเรียนรู้ และการพัฒนาขององค์กร นอกจากน้ัน BSC ยังเป็น
เคร่ืองมือท่ีสามารถช่วยในการนากลยุทธ์ไปสู่ปฏิบัติ เพื่อให้การดาเนินการเป็นไปตามเป้าหมายของ
องคก์ ร

มมุ มองสมดลุ ของ Balanced Scorecard
Balanced Scorecard ประกอบดว้ ย มมุ มอง 4 ประการสาคัญ ดงั นี้
1. ด้านการเงิน (Financial Perspective) เป็นวัตถุประสงค์ที่สาคัญ ในด้านการ
เพ่ิมข้ึนของรายได้ (Revenue Growth) และด้านการลดลงของต้นทุน (Cost Reduction) หรือการ
เพ่ิมข้ึนของผลิตผล (Productivity Improvement) ซึ่งประกอบด้วยการใช้สินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์
มากทสี่ ดุ
2. ด้านลูกค้า (Customer Perspective) ลูกค้าเป็นแหล่งรายได้ที่จะทาให้บริษัท
หรอื องคก์ ารมีกาไร ขอ้ มลู จากลูกคา้ ชว่ ยในการปรับกลยทุ ธใ์ นการทางานใหเ้ ท่าทนั คู่แขง่
3. ด้านกระบวนการภายใน (Internal Process Perspective) มุมมองด้านน้ีเน้น
การบรหิ ารจดั การภายในองค์กรวธิ ใี นการรักษาลูกคา้ แสวงหาลูกคา้ ใหม่ๆ ซ่งึ ต้องมีกระบวนการทีด่ ใี น
การสร้างความพึงพอใจ ให้แก่ลูกค้าและบคุ ลากรในองค์กรซึ่งจะสรา้ ง ความเข้มแข็งให้กบั องค์กรด้าน
การเงินตามมา
4. ด้านการเรียนรู้และการพัฒนา (Learning and Growth Perspective) เป็น
มมุ มองท่ีมีความสาคัญมาก เพราะเป็นมุมมองของการพัฒนาในอนาคต
การนา Balanced Scorecard (BSC) มาใช้หนว่ ยงานหรอื องค์กร
BSC ได้มีการนามาใช้ในองค์กรธุรกิจต่างๆ มาใช้ในมหาวิทยาลัยในต่างประเทศแล้ว
บางแห่ง ข้อดี คือมีหลักพื้นฐานอยู่บนดัชนีท่ีแยกตามมุมมองด้านต่างๆ ท่ีครบ 4 ด้าน ซ่ึงครอบคลุม
สอดคล้องตามพันธกจิ และเป้าหมาย ไม่ใช่เพียงพิจารณาทีด่ ้านใดด้านหนึง่ เทา่ น้ัน เช่น วัดเฉพาะด้าน
การเงินเพียงดา้ นเดียว ซง่ึ ถอื เป็นส่ิงสาคัญโดยเฉพาะอย่างย่ิงสาหรบั องค์กรท่ีไมม่ ุ่งหวังผลกาไร ซ่ึงการ
ใช้ดัชนีทางการเงิน เพื่อการวัดผลเป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฏว่าองค์กรประเภทน้ีจะให้ความสาคัญมาก่อน
นอกจากน้ี BSC ยังเป็นความพยายามท่ีจะแปรให้กลยุทธ์ลงไปสู่การปฏิบัติ และนาเสนอดัชนีเพื่อ
วัดผลการดาเนินงานน้ันๆ ดัวย แนวคิดเร่ือง BSC มีความสาคัญต่อประสิทธิภาพการบริหารองค์การ
เพราะเปน็ ส่ิงท่ีสนับสนุนองค์กรในการวางแผนเชงิ กลยุทธแ์ ละการปฏบิ ัติตามแผนในด้านต่างๆ ภายใต้
เป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่กาหนด โดยมุ่งนากลยุทธ์ไปสู่ปฏิบัติและการประเมินผล แนวการวัด
ความสาเร็จตามกระบวนการท่ีกล่าวมาข้างต้นนี้ จะช่วยทาให้ผู้บริหารในแต่ละหน่วยงาน มีโอกาสได้
ร่วมมือประสานเช่อื มโยงกนั มากขน้ึ และมงุ่ เหน็ ความสาเรจ็ ตามวัตถุประสงคห์ ลักโดยรวมร่วมกนั
Kaplan and Norton (2001) ไดเ้ สนอแนะการจดั ทา BSC ในหน่วยงานไว้ดังนี้
1. หน่วยงานภาครัฐมักจะกาหนดกลยุทธ์ไมช่ ดั เจน
2. หน่วยงานภาครัฐถึงแม้จะมีวิสัยทัศน์ พันธกิจ และแผนงาน/โครงการต่างๆ
แตเ่ ม่ือนาไปปฏบิ ัติจรงิ บทบาทของหน่วยงานไมม่ คี วามพยายามนาแผนงาน/โครงการ ให้ไปสพู่ นั ธกิจ

40

3. มักจะมีความเข้าใจที่คลาดเคล่ือนว่ากลยุทธ์ หมายถึง ส่ิงที่ต้องทาต้องปฏิบัติ
อย่างเดยี ว แต่แท้ท่ีจริงแล้วกลยุทธ์ยังหมายถึงการไม่ปฏิบัติหรือการเลือกตัดสินใจว่าจะทาหรือ ไม่ทา
ในสง่ิ นั้น

วีระเดช เช้ือนาม (2547, น. 28) ได้แบ่งมิติการประเมินผลหน่วยงานราชการ
เพ่ือขอรับเงินรางวัลประจาปี ออกเป็น 5 ด้าน คือ 1) ด้านความสามารถในการบริหารทรัพยากร
2) ด้านการเงิน 3) ด้านคุณภาพของการบริหารและความพึงพอใจ 4) ด้านการพัฒนาศักยภาพของ
ส่วนราชการและมิติ 5) ด้านประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ ซึ่งต่อมามิติการประเมินท้ัง 5 ได้
พฒั นาออกมาเปน็ มุมมองตาม หลักการของการประเมนิ ผลแบบดุลยภาพ 4 ด้าน คอื

1. มุมมองดา้ นผู้มีสว่ นเกีย่ วข้องภายนอกองคก์ ร
2. มุมมองดา้ นองคป์ ระกอบภายในองคก์ ร
3. มมุ มองดา้ นนวตั กรรม
4. มมุ มองด้านการเงิน

การประยุกต์การบรหิ ารแบบดุลยภาพมาใชใ้ นหน่วยงานทางการศึกษา
องค์กรทางการศึกษาแตกต่างจากองค์กรทางธุรกิจท่ีไม่หวังผลกาไรสูงสุด แต่มุ่งหวัง
ความพึงพอใจของลูกค้า คือผู้เรียนที่จะบรรลุเป้าหมายการศึกษา คือเป็นผู้มีคุณธรรมมีความรู้และ
ความสุข ความท้าทายขององค์กรทีไ่ ม่หวังกาไรท่แี ตกต่างจากองค์กรทางธรุ กิจท่ีหวังผลกาไรอย่ทู ่ีเรื่อง
เงิน ไม่ใช่ความมุ่งหวังสุดท้ายขององค์กร แต่เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ผู้เรียนผู้ที่เก่ียวข้องเกิดมุมมอง
(Perspectives) การวัดและประเมนิ ผลความพึงพอใจสูงสุด ภายใต้งบประมาณทีจ่ ากัดและเป็นปัจจัย
เสรมิ ให้บรรลพุ ันธกิจ และวิสัยทัศนท์ ี่กาหนด (สทิ ธศิ ักด์ิ พฤกษ์ปิติกุล, 2546, น. 109)
เน่ืองจากแนวคิดหลักของ Balanced Scorecard ท่ีตัวชี้วัดประสิทธิภาพและ
ประสิทธิผล ไม่ได้อยู่ที่ตัวช้ีวัดด้านการเงินเพียงอย่างเดียว แต่ต้องใช้ตัวชี้วัดท่ีไม่ใช่ด้านการเงิน ด้วย
แนวคิดของ Balanced Scorecard จึงสามารถประยุกต์'ใช้ในหน่วยงานทางการศึกษาได้เป็นอย่างดี
เน่ืองจากมีความยืดหยุ่นในการนาไปปฏิบัติ เช่น มมุ มองต่างๆ ไม่จาเป็นต้องมี 4 มุมมอง ตามแนวคิด
เดิมของ Kaplan and Norton ภารกิจจะก่ีมุมมอง มีวัตถุประสงค์ และตัวช้ีวัดมากน้อยเท่าใดขึ้นอยู่
กับวิสัยทัศน์ พันธกิจและกลยุทธ์ ตลอดจนบริบทที่สาคัญขององค์กรนั้นๆ เช่น อาจเพิ่มมุมมอง ด้าน
ความสัมพันธ์ ชุมชน ดา้ นสังคมและสง่ิ แวดลอ้ ม เป็นต้น ตวั อย่างการนา Balanced Scorecard ไปใช้
ในองค์กรทางการศึกษาของ Olev and Watter (1990 อ้างถึงในสานักงานคณะกรรมการการศึกษา
ข้ันพ้ืนฐาน 2548, น. 7) ซ่ึงเสนอไว้ใน Performance Drivers: A Practical Guide to Using the
Balanced ดงั ตารางท่ี 1

41

ตารางที่ 1 BSC มุมมองด้านสถาบนั การศกึ ษา

มุมมอง Perspectives การวดั และประเมินผล

1. ด้านการเงิน (Finance) ผลลพั ธท์ ีไ่ ดจ้ ากการเปรียบเทียบกบั งบประมาณ

2. ดา้ นผเู้ รียน (Students) 1. คณุ ภาพผูเ้ รียน (ความรู้การพัฒนาการด้านตา่ งๆ ความตระหนกั ในเรื่อง

ความปลอดภยั ในชีวติ )

2. ความพึงพอใจของผเู้ รียน ปญั หาด้านตา่ งๆ ของผู้เรยี น การมสี ว่ นรว่ มของ

ผู้ปกครอง

3. ดา้ นผูส้ อนและบุคลากร 1. ความร่วมมอื ร่วมใจ

(Internal) 2. ความพงึ พอใจในการทางาน

3. การพฒั นาความสามารถ/ความตกลงยินยอมรว่ มกนั

4. สมรรถภาพด้านต่าง ๆ

4. ด้านการพฒั นา 1. การพัฒนาสมรรถภาพดา้ นต่าง ๆ

(Development) 2. การลงทุนดา้ นเทคโนโลยสี ารสนทศ

3. วิธีสอนแบบใหม่/นวตั กรรม

4. โปรแกรมดา้ นการจดั การศึกษาแบบใหมๆ่

5. ด้านการบรหิ าร 1. ประสิทธิภาพของคณะกรรมการสถานศึกษา
สถานศกึ ษา 2. ประสิทธภิ าพการบรหิ าร
(School 3. การพฒั นาบคุ ลากร
Administration) 4. การวัดและประเมนิ ผล

ที่มา : Olev and Watter, 1990 อ้างถึงใน สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พื้นฐาน, 2548, น.7

ปัจจุบันโรงเรียนหลายแห่งในประเทศไทยได้มีการประยุกต์ใช้การบริหารตามแนวคิด
ดุลยภาพมาใช้ในการบริหารการศึกษา (สานักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน.2548, น. 7) เช่น
โรงเรียนในฝัน (Lab School) ทั่วประเทศได้ใช้รูปแบบ Balanced Scorecard มาขับเคล่ือนกลยุทธ์
ของโรงเรียนนาไปสู่การปฏบิ ัติ โดยกาหนดมุมมองท่ีเก่ยี วข้องกบั ความสาเรจ็ ไว้ 4 ด้าน ไดแ้ ก่

1. ด้านผู้เรียน ประกอบด้วย ผู้เรียนมีทักษะในการแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเองใช้
เทคโนโลยี สารสนเทศ และการสื่อสารเพ่ือการเรียนรู้ต่างๆ มีนิสัยใฝ่รู้ มีความสามารถในการคิด
วิเคราะห์และสร้างสรรค์ ผู้เรียนมีทักษะในการดารงชีวิต และผู้เรียนมีจิตสานึกในการอนุรักษ์
ศลิ ปวฒั นธรรมและภมู ิปญั ญา

2. ด้านกระบวนการจัดการศึกษาภายในโรงเรียน ประกอบด้วย โรงเรียนมีระบบ
บริหารจัดการที่ดี มีบรรยากาศและวัฒนธรรมการปฏิบัติงานแบบกัลยาณมิตร ผนึกพลังสร้างสรรค์
และร่วมรับผิดชอบ มเี อกลกั ษณ์สอดคลอ้ งอันโดดเดน่ โดยใชโ้ รงเรยี นเปน็ ฐานในการพฒั นา ให้บริการ
ทางการศึกษาได้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย และดูแลนักเรียนในเขตพ้ืนที่บริการตามกลุ่มเป้าหมาย

42

อย่างทั่วถึง ส่งเสริมพัฒนาความสามารถ ความถนัด ความสนใจ พัฒนาหลักสูตรและกระบวนการ
จัดการเรียนการสอนท่ียืดหยุ่น เน้นการบูรณาการเรียนรู้และการดารงชีวิต สอดคล้องกับความ
ต้องการของท้องถ่ินและโรงเรียนเพ่ิมระดับคุณภาพมาตรฐาน มีผลระดับผลการศึกษาสูงขึ้นเป็นที่
ยอมรบั ของชมุ ชนและผู้ที่เกย่ี วขอ้ ง ประเมินคุณภาพการศกึ ษาสงู ข้นึ

3. ด้านการเรียนรู้และการพัฒนา มีกรรมการสถานศึกษา ผู้บริหาร ครูผู้สอน
บุคลากรทางการศึกษาและผู้เกี่ยวข้อง มีความรู้เรียนรู้ได้สอดคล้องกับศักยภาพ ความสามารถในการ
พัฒนาคุณภาพผู้เรียน โรงเรยี นเพิ่มศักยภาพในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารเพื่อพัฒนา
คณุ ภาพการศึกษา

4. ด้านงบประมาณและทรัพยากรประกอบด้วย โรงเรียนมีระบบภาคี เครือข่าย
ผู้เชี่ยวชาญ พี่เล้ียง ศึกษานิเทศก์ สถานศึกษาต้นแบบการจัดการศึกษาจากภาคีเครือข่ายชุมชนและ
ภูมิปัญญาท้องถ่ิน ที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา และมีทรัพยากรท่ีเหมาะสมใช้อย่างมี
ประสทิ ธิภาพและเกดิ ประสทิ ธิผล

อุมา ศึกษา (2550, น. 62-69) ได้ศึกษาแนวทางในการนา Balance Scorecard
มาใช้ในการบริหารงานวิชาการของวิทยาลัยบัณฑิตศึกษาการจัดการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้เสนอ
แนวทางการบริหารแบบสมดุลรอบด้านมาใช้ในการบริหารวิชาการ ดังน้ี ด้านการเรียนรู้และการ
พัฒนาประกอบด้วยการบริหารวิชาการใน 4 ด้าน ได้แก่ ปรัชญาและจุดมุ่งหมายขององค์กร
การพัฒนาอาจารย์ งานนิเทศ และงานการจัดการเรียนการสอน ด้านกระ บวนการภายใน
ประกอบด้วย การบริหารงานวิชาการใน 8 ด้าน ได้แก่ ปรัชญาและจุดมุ่งหมายขององค์การ งานวจิ ัย
ทางวิชาการ/ ความเป็นเลิศทางวิชาการ งานหลักสูตร งานการจัดการสอน ส่ือการเรียนการสอน
งานวัดผลและประเมินผล และงานห้องสมุด ด้านลูกค้าผู้รับบริการหรือนักศึกษา ประกอบด้วย
การบริหารงานวิชาการใน 4 ด้าน ได้แก่ งานนิเทศการสอน งานการจัดการเรียนการสอน งาน
หลักสูตร งานห้องสมุดและด้านการเงิน ประกอบด้วย การบริหารงานวิชาการในการบริหาร
งบประมาณอย่างคุ้มค่า หรือการลดรายจ่ายที่ไม่จาเป็น ตลอดจนช่ือเสียงหรือภาพลักษณ์ที่ดีของ
วทิ ยาลยั

ชนายุทธ คาเกล้ียง (2551, น. 123-135) ไดก้ าหนดมุมมองของการบรหิ ารงานแบบ
ดุลยภาพของโรงเรยี นในฝัน ดงั น้ี

ด้านผู้เรียน ประกอบด้วย ผู้เรียนเป็นบุคคลแห่งการเรียน ผู้เรียนมีความสามารถใน
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ผู้เรียนมีทักษะในการดารงชีวิตมีคุณธรรมม่ันใจในตนเองและกล้า
แสดงออก ผู้เรียนมีจิตสานึกในการอนุรักษ์ประเพณีศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย และผู้เรียนมี
จิตสานกึ ในการอนุรักษ์ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดล้อม

ดา้ นกระบวนการจดั การศกึ ษาภายใน ประกอบด้วย โรงเรียนบริหารจัดการด้วยหลัก
ธรรมาภิบาลและจัดการศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน จัดระบบสารสนเทศเพ่ือการบริหารการศึกษา
จัดระบบการติดต่อส่ือสารการประสานงานและการประชาสัมพันธ์ พัฒนาหลักสูตรและบูรณาการ
กระบวนการเรียนรู้ ระบบประกันคุณภาพการศึกษา ให้บริการทางการศึกษาได้ครอบคลุม
กลุ่มเป้าหมาย และมรี ะบบดแู ลช่วยเหลอื ผู้เรียน

43

ด้านการเรียนรู้และพัฒนา ประกอบด้วย ผู้บริหารโรงเรียนมีภาวะผู้นา บุคลากร
ได้รับการพัฒนาและบุคลากรมีความเป็นมืออาชีพ เพ่ิมศักยภาพในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และ
การสื่อสารเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา ผู้สอนสามารถจัดการเรียนรู้ในสภาวะจากัด ได้อย่างมี
คุณภาพ ผู้สอนสามารถจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ และผู้สอนมี
แนวทางการจดั การเรยี นรู้ที่หลากหลายเพอ่ื ตอบสนองความต้องการของผู้เรียน

ด้านงบประมาณและทรัพยากร ประกอบด้วย โรงเรียนมีทรัพยากรท่ีเหมาะสม
ใช้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล มีผู้อุปถัมภ์จากเอกชนหรือองค์กรภายนอก มีเครือข่าย
ผูเ้ ช่ียวชาญดูแลด้านหลกั สูตรและกระบวนการเรียนรู้ ประสานความร่วมมือแลกเปล่ียนเรยี นในระบบ
ภาคเครือข่ายและต้นแบบโรงเรียนในฝัน ใช้แหล่งเรียนรู้เป็นแหล่งข้อมูลกระตุ้นการศึกษาหาความรู้
และพัฒนาสิง่ แวดล้อมและใชป้ ระโยชน์อย่างคุม้ คา่

สุทธิพรรณ วรดิลก (2553, น.124-135) ได้กาหนดมุมมองการบริหารกิจการ
นักศึกษาแบบดุลยภาพของสถาบันอุดมศึกษาไว้ 6 มุมมอง โดยมีวัตถุประสงค์และตัวบ่งชี้ ดังนี้
มุมมองด้านผู้รับบริการ ด้านกระบวนการบริหารจัดการภายใน มุมมองด้านภาวะผู้นา ด้านการเรยี นรู้
และการเจรญิ เติบโต ด้านการบรหิ ารชมุ ชน และดา้ นงบประมาณของงานกิจการนกั ศึกษา

สาเริง อ่อนสัมพันธ์ (2550, น. 115-127) ได้ทาการวิจัยเร่ือง ระบบการควบคุม
ทางการบริหาร โรงเรียนในฝันโดยใช้การบริหารแบบสมดุล พบว่า โรงเรียนในฝันสังกัดสานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐานโดยใชก้ ารบริหารแบบสมดุล คือ การควบคุมด้านกระบวนการจัด
การศึกษาภายใน ดา้ นการเรยี นรแู้ ละการพัฒนา ด้านงบประมาณและทรัพยากร

กล่าวได้ว่า Balanced Scorecard (BSC) คือเครื่องมือที่ช่วยในการนากลยุทธ์ไปสู่
ปฏบิ ตั ไิ ด้ เพ่อื ให้การดาเนนิ การเป็นไปตามเป็นหมายขององค์กร

สรปุ การสังเคราะห์กระบวนการบริหารงานวชิ าการตามแนวคิดดุลยภาพ
การบริหารแบบดุลยภาพผู้วิจัยได้สังเคราะห์ประเด็นที่สนใจคือ กระบวนการ
บรหิ ารงานวิชาการตามแนวคิดดลุ ยภาพในโรงเรียน หมายถึง การปฏบิ ัติงานวิชาการของผู้บริหารและ
ผู้สอนในโรงเรียนตามแนวคดิ ดุลยภาพ ตามแนวคดิ ทฤษฎี และหลกั การต่างๆ พอสรุปได้ ดงั น้ี
1. ด้านงบประมาณและทรัพยากร ได้แก่ มีระบบภาคีเครือข่ายความร่วมมือ
เพ่ือพัฒนาคุณภาพการศึกษา มีทรัพยากรท่ีเหมาะสม ใช้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล
แหล่งเรียนรู้และการฝึกประสบการณ์วชิ าชีพท้ังในและนอกโรงเรียน เพอ่ื พัฒนาคุณภาพการศึกษาท่ีมี
ประสทิ ธิภาพ และผลลัพธ์ได้มีความคมุ้ ค่าเม่อื เปรยี บเทยี บกับงบประมาณทไ่ี ด้รบั
2. ด้านผู้เรียน ได้แก่ บุคคลแห่งการเรียนรู้มีความสามารถคิดวิเคราะห์อย่าง
สร้างสรรค์ มีมาตรฐาน มีทักษะในการดารงชีวิต มีคุณธรรม ความมั่นใจในตนเอง และกล้าแสดงออก
และมจี ติ สานึกในความเปน็ ไทยและอนุรกั ษธ์ รรมชาติ
3. ด้านผู้สอนและบุคลากร ได้แก่ ความสามารถในการปฏิบัติงานของผู้สอน และ
บุคลากร ความร่วมมือร่วมใจในการปฏิบัติงานของผู้สอนและบุคลากร ความพึงพอใจในการ
ปฏิบตั ิงานของผูส้ อนและบุคลากรและผสู้ อนมคี วามเป็นมืออาชพี
4. ด้านการเรียนรู้และการพัฒนา ได้แก่ การมีภาวะผู้นาของผู้บริหารโรงเรียน
การได้รับการพัฒนาสมรรถนะในการปฏิบัติงาน การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารเพื่อ

44

พฒั นาคุณภาพการศกึ ษา และการให้บริการทางการศึกษาครอบคลุมกลุ่มเปา้ หมาย และพัฒนาผู้เรยี น
ตามศกั ยภาพอยา่ งทัว่ ถึง

5. ด้านการบริหารโรงเรียน ได้แก่ คณะกรรมการบริหารโรงเรียนมีประสิทธิภาพ
มีระบบการบรหิ ารจัดการศกึ ษาท่ีดี มีบรรยากาศทางวชิ าการมีระบบการประกนั คุณภาพการศกึ ษาที่มี
ประสิทธภิ าพ และมีการประเมนิ ผลการปฏิบัตงิ านของผสู้ อนและบคุ ลากร

องคป์ ระกอบหลกั ท่ี 5 ภารกิจและขอบขา่ ยของการบริหารงานวชิ าการ
การบริหารงานวิชาการมีขอบเขตหลายกิจกรรม มีนักวิชาการให้ทัศนะเกี่ยวกับ
ภารกิจและขอบข่ายของการบรหิ ารงานวชิ าการไวห้ ลายประการ
ชุมศักด์ิ อนิ ทรร์ ักษ์ (2545, น. 9) ไดส้ รุปขอบเขตการบริหารวชิ าการ ดงั นี้
1. งานหลกั สูตรและการพัฒนาหลักสตู ร เกีย่ วข้องกับการจดั ประสบการณก์ ารเรียนรู้
ทั้งหมดที่เป็นเน้ือหาสาระซ่ึงหน่วยงานหรือสถานศึกษาจัดให้กับผู้เรียนหรือผู้รับบริการ เพื่อพัฒนา
ไปสู่จุดหมายที่ต้องการ การพัฒนาหลักสูตรเก่ียวข้องกับการกาหนดความมุ่งหมาย วิธีการจัด
ประสบการณ์และการประเมินผลหลักสูตร
2. งานบริหารหลักสตู รเก่ียวข้องกับการนาหลักสูตรไปใช้ ไดแ้ ก่ การวางแผน การจัด
บุคลากร การจัดทาประมวลการสอนหรือแผนการสอน การจัดตารางเวลา การเลือกกิจกรรม การจัด
สื่ออุปกรณ์ การจัดสถานท่ี และการประเมินผล การใช้หลักสูตรการประกันคุณภาพและกาหนด
มาตรฐานหลกั สูตร
3. งานสื่อและนวัตกรรม เกี่ยวกับการจัดวัสดุส่ิงพิมพ์หรือเอกสารท่ีใช้ประกอบคู่มือ
แบบเรียน หนังสืออา่ นประกอบ หนงั สืออ้างอิง สื่อการเรยี นรู้ เช่น เครื่องมอื อปุ กรณ์ โสตทศั นปู กรณ์
ได้แก่ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ การใช้ส่ือดาวเทียม โทรทัศน์ หรือวิทยุ การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์
เป็นเคร่ืองช่วยสอนและส่ิงใหม่ๆ ซึ่งรวมถึงวิธกี ารหรือกระบวนการต่างๆ ท่ีนามาใช้ในการจัดกิจกรรม
การสอน
4. งานวัดผลและประเมินผล เกี่ยวกับการออกข้อสอบ การวัดผลสัมฤทธ์ิทางการ
เรียน การประเมินคุณภาพผู้เรียน การประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้สอน รวมท้ังการประเมินผล
โครงการทางวชิ าการของโรงเรียน
5. งานนิเทศภายใน การประกันคุณภาพ เก่ียวกับการจัดกิจกรรมเพ่ือพัฒนาผู้สอน
การให้คาปรึกษา การประชุมสัมมนา หรือประชุมเชิงปฏิบัติการ การอบรม การสนทนา การบริการ
เอกสารวิชาการ การพาไปศึกษาดูงาน และการประเมินคณุ ภาพตามเกณฑ์มาตรฐานท่ีกาหนดขนึ้
6. งานส่งเสริมวิชาการ เกี่ยวกับการจัดการฝ่ายทะเบียน ฝ่ายห้องสมุด ฝ่ายบริการ
ส่ือและเอกสารสิง่ พิมพ์ ฝ่ายบริการวชิ าการแกส่ งั คม ฝ่ายสารสนเทศ ฝา่ ยวจิ ัยและพัฒนา
ขอบข่ายงานด้านวิชาการของสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2550)
กาหนดขอบข่ายงานด้านวิชาการ ประกอบด้วย การวางแผนงานวิชาการ การพัฒนาหลักสูตรของ
สถานศึกษา การจดั การเรียนการสอนและการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ การวัดประเมินผล การวิจัย
และพัฒนาคุณภาพ การนิเทศการศึกษา การพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนยังมี
การส่งเสริมให้ชุมชนมีความเข็มแข็งทางวิชาการ โดยการจัดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกับบุคคล

45

ครอบครัว องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการประสานความร่วมมือในการพัฒนา
วิชาการกับโรงเรียนและองค์กรอื่น โดยการระดมทรัพยากรเพ่ือการศึกษาตลอดจนวิทยากรจาก
ภายนอกและภูมิปัญญาท้องถ่ิน เพ่ือเสริมสร้างพัฒนาการเรียนทุกด้าน รวมทั้งสืบสานจารีตประเพณี
ศลิ ปวัฒนธรรมของทอ้ งถ่ิน

ปรยี าพร วงศอ์ นุตรโรจน์ (2553, น. 3-4) ไดเ้ ขยี นขอบขา่ ยงานวชิ าการประกอบดว้ ย
งานตอ่ ไปนี้

1. การวางแผนเกี่ยวกับงานวิชาการ เป็นการวางแผนเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตร
และการนาหลักสูตรไปใช้ การจัดการล่วงหน้าเกี่ยวกับการเรียนการสอน มีรายละเอียดของงานดังน้ี
แผนปฏิบัตงิ านวิชาการ โครงการสอน บนั ทกึ การสอน

2. การดาเนินงานเก่ียวกับการเรียนการสอน เพื่อให้การสอนในโรงเรียนดาเนินไป
ด้วยดีและสามารถปฏิบัติได้ จงึ ต้องมกี ารจดั เกี่ยวกับการเรียนการสอน ดังน้ี การจัดตารางสอนการจัด
ชั้นเรยี น การจดั ผู้สอนเขา้ สอน การจัดแบบเรียน การปรับปรุงการเรียนการสอนและการฝึกงาน

3. การบริหารเกี่ยวกับการเรียนการสอน เป็นการจัดสิ่งอานวยความสะดวก และ
การส่งเสริมการจัดหลักสูตร และโปรแกรมการศึกษาให้มีประสิทธิภาพและคุณภาพ ได้แก่ การจัดสื่อ
การเรียน การจัดหอ้ งสมุด การนิเทศการสอน และการวัดและประเมินผล

อุทยั บญุ ประเสริฐ (2540) ได้กล่าววา่ การปฏิบัติงานวิชาการมีขอบขา่ ยดังน้ี ความรู้
ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตรและการนาหลักสูตรไปใช้ การสอนและการจัดการเรียนการสอน
งานกิจกรรมผู้เรียนและการบริหารกิจกรรมผู้เรียนให้ตอบสนองต่อหลักสูตร งานส่ือการสอนและ
กิจกรรมหอ้ งสมดุ งานวดั ผลและประเมนิ ผล และงานการนเิ ทศการศึกษาและพฒั นาอาชพี

เสริมศักดิ์ วิศาลาภรณ์ (2542, น. 10-11) ได้เสนอแนวคิดว่า การบริหารงาน
วชิ าการในสถานศึกษา ควรประกอบดว้ ยภารกจิ ดงั ต่อไปน้ี

1. หลักสูตรและการสอน ผู้บริหารมีบทบาทสาคัญต่องานหลักสูตรและการสอน
เป็นอย่างยิ่ง เพราะหลักสตู รเป็นตวั กาหนดนโยบาย ทศิ ทาง ตลอดจนแนวปฏิบตั ดิ า้ นวชิ าการ

2. การส่งเสริมและควบคุมงานวิชาการ เป็นข้ันตอนที่สาคัญในการบริหารงาน
วชิ าการ เพ่ือได้มาตรฐานของงานวชิ าการ

3. การกากับกิจการทางวิชาการ เป็นขั้นตอนท่ีจะทาให้การบริหารงานมีมาตรฐาน
ทางวิชาการ ซึ่งผ้บู รหิ ารจะต้องกากับใหก้ ารบริหารงานวชิ าการ ดาเนินตามระเบียบ กฎเกณฑ์ทว่ี างไว้
และมีการตรวจสอบคุณภาพภายในดว้ ย

นิคม ลนขุนทด (2551, น. 115-120) ได้ศึกษา การพัฒนาการบริหารงานวิชาการ
ของคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ พบว่า การบริหารงานวิชาการของ
คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสรุ นิ ทร์ครอบคลมุ ขอบขา่ ย 3 ด้าน คือ 1) การเรียน
การสอน ประกอบด้วย กิจกรรมต่างๆ ตั้งแต่การบริหารหลักสูตร การปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตร
การประเมินหลักสูตร กระบวนการจัดการเรียนการสอนอาจารย์ นักศึกษา ตลอดจนการวัดและ
ประเมินผล 2) การส่งเสริมและสนับสนุนทางวิชาการ ได้แก่ กิจกรรมทางวิชาการท่ีเก่ียวข้องกับ
การสนับสนุน ช่วยเหลือส่งเสริมและพัฒนาการเรียนการสอนอาจารย์ นิสิต และสื่อการสอนและ
ประเมินผล และ 3) การประกันคุณภาพทางวิชาการ เป็นการกาหนดกิจกรรมที่ต้องมีการดาเนินการ

46

ทั้งการกากับกิจกรรมด้านการเรียนการสอน ด้านการส่งเสริมและสนับสนุนทางวิชาการและด้าน
การประกันคุณภาพทางวชิ าการ เพื่อให้การบริหารงานวชิ าการเป็นไปอย่างมคี ุณภาพ และมีมาตรฐาน
ทางวชิ าการ

สราวุธ สุตะวงศ์ (2553, น. 113-237) ได้ศึกษา การพัฒนาตัวบ่งชี้สมรรถนะการ
บริหารวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาระดับมัธยมศึกษา สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน พบว่า
สมรรถนะการบริหารวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา มี 4 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ด้านการบริหาร
การเรียนรู้ ประกอบด้วย การมุ่งผลสัมฤทธ์ิ การบริการที่ดี การพัฒนาตนเอง การทางานเป็นทีม
การพฒั นาศักยภาพของบุคลากร การสอ่ื สารและการจงู ใจ การมวี ิสัยทัศน์ การมจี ริยธรรม การมภี าวะ
ผู้นาและการบริหารการจัดการเรียนรู้ 2) ด้านการพัฒนาหลักสูตร ประกอบด้วย การวิเคราะห์และ
สังเคราะห์หลักสูตร การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา 3) ด้านการนิเทศ ประกอบด้วย การนิเทศการ
จัดการเรียนรู้ในสถานศึกษา และ 4) ด้านการส่งเสริมการวิจัย ประกอบด้วย การส่งเสริมการวิจัยใน
ช้ันเรียนและโรงเรยี น

คัมภีร์ สุดแท้ (2553, น. 179 -188) ได้ศึกษา การพัฒนารูปแบบการบริหารงาน
วิชาการของโรงเรียนขนาดเล็ก พบว่า ภารกิจและขอบข่ายการบริหารงานวิชาการ ประกอบด้วย
การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา พัฒนาสาระหลักสูตรท้องถ่ิน การวางแผนงานทางวิชาการ
การจัดการเรียนการสอนและการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ การคัดเลือกหนังสือ แบบเรียนเพื่อใช้ใน
สถานศึกษา การวัดผลประเมินผล และการเทียบโอนผลการเรียน การประกันคุณภาพภายในและ
มาตรฐานการศึกษา การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา การพัฒนาและส่งเสริมให้
มีแหล่งเรียนรู้ การส่งเสริมความรู้วิชาการแก่ชุมชน การส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการแก่บุคคล
ครอบครัว องค์กร หน่วยงานและสถาบันการศึกษาอื่นที่จัดการศึกษา และการประสานความร่วมมือ
ในการพฒั นาวชิ าการกบั สถานบันศกึ ษาอืน่

ศิริกลุ นามศิริ (2550, น. 40-53) ได้แบ่งขอบข่ายการบริหารงานวิชาการ ไว้ 5 กลุ่ม
ดังน้ี 1) การพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา 2) การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ 3) การวัดผล
ประเมินผลการเรียนรู้ 4) การพัฒนาส่ือและนวัตกรรมการเรียนรู้ และ 5) การส่งเสริมและการ
พัฒนาการประกันคณุ ภาพงานวิชาการ

เพชรินทร์ สงค์ประเสริฐ (2550, น. 83) ได้แบ่งขอบข่ายการบริหารวิชาการไว้ 12
ด้าน ดังน้ี 1) การพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา 2) การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ 3) การวัดผล
ประเมินผลและการเทียบโอนผลการเรียน 4) การประกันคุณภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา
5) การพัฒนานวัตกรรม และการใช้สื่อเทคโนโลยีเพ่ือการศึกษา 6) การพัฒนาแหล่งเรียนรู้
7) การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา 8) การนิเทศการศึกษา 9) การแนะแนวการศึกษา
10) การส่งเสริมความรู้วิชาการแก่ชุมชน 11) การประสานความร่วมมือในการพัฒนาวิชาการกับ
สถานศึกษาอ่ืน และ 12) การส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการ แก่บุคคล ครอบครัว องค์กร
หนว่ ยงานและสถาบันการศึกษาอ่นื ท่จี ัดการศึกษา

วิบลูย์ลักษณ์ ปรียาวงศากุล (2551, น. 82-83) ได้ศึกษา การพัฒนารูปแบบการ
บริหารงานวิชาการวิทยาลัยพยาบาล สังกัดสถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข ได้แบ่ง
ขอบข่ายการบริหารงานวิชาการไว้ 11 ด้าน ดังน้ี 1) การพัฒนาคุณภาพการศึกษา การกาหนด

47

นโยบาย การกากับควบคุม การพัฒนาและรักษามาตรฐาน 2) การอานวยการที่เก่ียวข้องกับการจัด
การศกึ ษา 3) การกระตุ้นส่งเสริมให้คณาจารย์ทาวจิ ัยและผลงานทางวิชาการ 4) การควบคุมคุณภาพ
งานโดยใช้ทรพั ยากรอย่างมปี ระสิทธิภาพ 5) การประกนั คุณภาพสถานศกึ ษา 6) การนเิ ทศและพัฒนา
อาจารย์ 7) การบริหารการเรียนการสอน 8) การส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม 9) การบริหารงานวิชาการ
แกส่ ังคม 10) ด้านสือ่ การเรยี นการสอน และ 11) ด้านการวดั ผลประเมินผล

เตือนใจ รักษาพงศ์ (2551, น. 98-139) ได้ศึกษา การพัฒนารูปแบบการจัดการ
ความรู้ เพื่อการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ด้วยกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการ
แบบมีส่วนร่วม ให้แบ่งสภาพการจัดการความรู้ตามภารกิจและขอบข่ายการบริหารงานวิชาการ
ประกอบด้วย 1) การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา 2) การจัดการเรียนการสอนและการพัฒนา
กระบวนการเรียนรู้ 3) การวัดผลประเมินผลและการเทียบโอนผลการเรียน 4) การประกันคุณภาพ
ภายในและมาตรฐาน 5) พัฒนาส่ือ นวัตกรรม และเทคโนโลยีเพ่ือการศึกษา 6) การพัฒนาและ
ส่งเสริมให้มีแหล่งเรียนรู้ 7) การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษา 8) การนิเทศ
การศึกษา 9) การแนะแนวการศึกษา 10) การส่งเสรมิ ความรูว้ ชิ าการแก่ชมุ ชน

สรุปได้ว่า ภารกิจและขอบข่ายการบริหารงานวิชาการ มีความแตกต่างกัน ตาม
ลักษณะของการจัดการศึกษาและแนวคิดของนักวิชาการ การวิจัยคร้ังน้ี ผู้วิจัยให้สังเคราะห์ภารกิจ
และขอบข่ายการบริหารงานวิชาการ ที่สอดคลอ้ งกับการจัดการศึกษาตามแนวคิดทฤษฎีและหลักการ
ดังนี้ การบริหารงานวิชาการ กระบวนการพัฒนาการเรียนรู้ การวัดประเมินผล การวิจัยเพ่ือการ
พัฒนา การพัฒนาส่ือนวตั ถกรรม การพัฒนาแหล่งเรยี นรู้ การนิเทศการศึกษา การแนะแนวการศกึ ษา
การพัฒนาระบบประกัน การส่งเสริมความรู้ด้านวิชาการแก่ชุมชน การประสานความร่วมมือ
การส่งเสริมสนับสนุนวิชาการกับสถานศึกษาอ่ืน ดังรายละเอียดของภารกิจและขอบข่ายการ
บริหารงานวชิ าการดงั ต่อไปน้ี

1. การบรหิ ารงานวชิ าการ
การพฒั นางานวิชาการ พัฒนาหลกั สตู รของโรงเรียน นักวชิ าการได้ให้ความหมาย

ของหลักสูตร เป็นแผนหรือแนวทางของการจัดการศกึ ษาที่จะพัฒนาให้ผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถ
ส่งเสริมให้แต่ละบุคคลพัฒนาไปสู่ศักยภาพสูงสุดของตน อันมีประสบการณ์ท่ีก่อให้เกิดการเรียนรู้
สะสมซ่ึงจะช่วยให้ผู้เรียนนาความรู้สู่การปฏิบัติ ได้ประสบความสาเร็จในการเรียนรู้ด้วยตนเอง รู้จัก
ตนเอง มีชีวติ อยู่ในโรงเรียน ชุมชน สังคม และโลกอย่างมคี วามสุข

โสภา วงศ์นาคเพ็ชร์ (2553, น. 30) ได้สรุปแนวทางปฏิบัติเก่ียวกับการพัฒนา
หลักสูตรสถานศึกษา ได้แก่ 1) ศึกษาวิเคราะห์เอกสารหลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พ.ศ.2544
สาระแกนกลางของกระทรวงศึกษาธิการ ข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับสภาพปัญหาและความต้องการ
ของสังคม ชุมชน และท้องถน่ิ 2) วิเคราะห์สภาพแวดล้อมและประเมินสภาพสถานศึกษา เพื่อกาหนด
วิสัยทัศน์ ภารกิจ เป้าหมายคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายรวมท้ัง
คณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพื้นฐาน 3) จัดทาโครงสร้างหลักสูตรและสาระต่างๆ ท่ีกาหนดให้มีใน
หลักสูตรสถานศกึ ษาทีส่ อดคลอ้ งกับวสิ ัยทศั น์ เปา้ หมายและคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ โดยบูรณาการ
เน้ือหาสาระทั้งในกลุ่มสาระการเรียนรู้ตามความเหมาะสม 4) นาหลักสูตรไปใช้ในการจัดการเรียน

48

การสอนและบริหารจัดการการใช้หลักสูตรให้เหมาะสม 5) นิเทศการใช้หลักสูตร 6) ติดตามและ
ประเมนิ ผลใชห้ ลกั สูตร และ 7) ปรับปรงุ และพฒั นาหลกั สูตรตามความเหมาะสม

กล่าวได้ว่า การบริหารงานวิชาการ ควรให้สอดคล้องกับบริบทของโรงเรียน
อันประกอบด้วย การศึกษาวิเคราะห์เอกสารทางวิชาการของหลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน สารวจ
ความต้องการในการพัฒนาแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ (หลักสูตร) พัฒนาหลักสูตรร่วมกับหน่วยงาน
อื่นๆ ท่ีเก่ียวขอ้ ง การนาหลกั สูตรไปทดลองใช้ การนิเทศตดิ ตามผล การประเมินผล การปรับปรุงและ
พัฒนาหลักสตู รสถานศึกษา

2. กระบวนการพฒั นาการเรยี นรู้
การเรียนการสอนเป็นกิจกรรมที่สาคัญที่สุดในกระบวนการใช้หลักสูตร เพราะ

เปน็ กิจกรรมทใ่ี กลช้ ิดกับผ้เู รยี นท่ไี ด้ปฏิบตั ิมากทีส่ ุด การเรียนการสอนเปน็ กจิ กรรมที่ผู้สอนและผู้เรียน
ทาร่วมกัน แยกออกเป็น 2 ส่วน คือ กิจกรรมที่ผู้เรียนทาและการสอน คือกิจกรรมที่ผู้สอนทา แต่
ในทางปฏิบัติแล้วท้ังสองอย่างนี้ทาไปพร้อมๆ กัน จึงเรียกรวมกันว่าการเรียนการสอนตามแนว
หลกั สูตร คือ ผสู้ อนและผเู้ รยี นร่วมกนั ดาเนินกิจกรรมต่างๆ โดยมีผเู้ รียนเป็นศนู ย์กลางของความสนใจ
เปน็ กิจกรรมของผเู้ รียนโดยผู้เรยี นและเพื่อผู้เรียนผสู้ อนเป็นผูด้ าเนินการใหก้ ิจกรรมเปน็ ไปในแนวทาง
ตามที่แผนการสอนและคู่มือ ข้อเสนอแนะไว้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการสอน
โดยวิธีใดๆ ผู้สอนเป็นเพียงผู้ควบคุมและแนะนา เพื่อให้การเรียนการสอนบรรลุวัตถุประสงค์การ
เรยี นรู้ของหลักสตู ร

2.1 ด้านความรู้ ผู้สอนจะต้องวิเคราะห์ภารกิจในการสอน ว่าจะจัดการเรียนรู้
อย่างไร ผู้เรียนจะเข้าใจความหมายของส่ิงท่ีจะเรียนรู้และโครงสร้างของความรู้ ประกอบด้วย ข้อมูล
ข้อเท็จจริง หลักการ กฎเกณฑ์ไปจนถึงทฤษฎีอย่างมีลาดับข้ันตอน ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนมีหลักในการ
เรียนรู้ อย่างไรก็ตามโรงเรยี นจะตอ้ งกาหนดจุดประสงคก์ ารเรียนรู้และผลการเรียนรู้ ตลอดจนสาระให้
สอดคล้องกับมาตรฐานหลกั สตู ร เพือ่ ประโยชน์ในการพัฒนาศกั ยภาพใหเ้ ป็นไปตามเป้าหมาย

2.2 ด้านคุณธรรม การพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม และค่านิยมท่ีพึงประสงค์ด้วย
การที่ผู้สอนให้ความรัก ความเมตตาต่อศิษย์จะทาให้ผู้เรียนเพ่ิมความเชื่อม่ันในตนเองเกิดพลังในการ
เรยี นรู้ กล้าคดิ กลา้ ทาในสง่ิ ทีถกู ตอ้ งเห็นคณุ ค่าของตนเองและผอู้ ืน่

2.3 ด้านกระบวนการเรียนรู้ เป็นการเรียนรู้ที่จะนาไปสู่การเน้นผู้เรียนสาคัญ
ควรเป็นการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการมากกว่าเน้ือหา ประกอบด้วย กระบวนการเรียนรู้ท่ัวไปที่ได้กับ
หลายๆ วิชา เช่น กระบวนการกลุ่ม กระบวนการเรียนรแู้ บบร่วมมือ เป็นต้น นอกจากน้ีในการเรียนรู้
แต่ละวิชา กิจกรรมจะต้องเน้นให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติตามกระบวนการเรียนรู้เฉพาะวิชา เช่น
วิชาวทิ ยาศาสตร์ จะใช้ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์

2.4 การบูรณาการตามความเหมาะสม เน่ืองจากการเรียนรู้สามารถเกิดได้ใน
ทุกท่ีและทุกโอกาส ท้ังการเรียนในห้องเรียน ในสภาพแวดล้อมและในธรรมชาติผู้เรียนจาเป็นต้องใช้
ปญั ญาเป็นเครื่องมอื ในการแสวงหาความรู้และบรู ณาการเช่ือมโยงไปสชู่ วี ติ จริง

พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ 3)
พุทธศักราช 2553 ได้กาหนดแนวการเรียนรู้ในมาตรา 24 ได้กาหนดให้สถานศึกษาและหน่วยงานท่ี

49

เกี่ยวข้องดาเนินการ (กระทรวงศึกษาธิการ 2546, น. 36) ดังต่อไปนี้ 1) จัดเน้ือหาสาระและกิจกรรม
ให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
2) ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ใช้เพื่อป้องกันและ
แก้ไขปัญหา 3) จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงฝึกการปฏิบัติให้ทาได้ คิดเป็น
รักการอ่านและเกิดการเรียนรู้อย่างต่อเน่ือง 4) จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานความรู้ด้านต่าง ๆ
อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมท่ีดีงาม และคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ไว้
ในทุกวิชา 5) ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม ส่ือการเรียนและ
อานวยความสะดวกเพื่อใหผ้ ูเ้ รียนเกดิ การเรียนรู้ และ 6) จัดการเรียนให้เกิดขึ้นได้ทกุ เวลาทุกสถานที่มี
การประสานความร่วมมือกับบิดามารดา ผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพ่ือร่วมกันพัฒนา
ผู้เรียนตามศักยภาพเพื่อให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างได้ผลดี กระบวนการท่ีโรงเรียนนาไปปฏิบัติ คือ 1)
สง่ เสรมิ ให้ผู้สอนจัดทาแผนการจดั การเรียนรู้ตามสาระและหน่วย การเรยี นรโู้ ดยเน้นผเู้ รียนเปน็ สาคัญ
2) ส่งเสริมให้ผู้สอนจัดกระบวนการเรียนรู้โดยจัดเน้ือหาสาระ และกิจกรรมให้สอดคล้องกับความ
สนใจ ความถนัดของผู้เรียน 3) จัดให้มีการนิเทศการเรียนการสอนแก่ผู้สอน 4) ส่งเสริมให้มีการ
พัฒนาผู้สอน เพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้ตามความเหมาะสม 5) ส่งเสริมให้ผู้สอนจัดกระบวนการ
เรียนรู้ โดยจัดเนอื้ หาสาระและกิจกรรมใหส้ อดคล้องกับความสามารถ

โสภา วงศ์นาคเพ็ชร์ (2553, น. 34) ได้สรุปแนวทางการปฏิบัติเก่ียวกับการ
พัฒนากระบวนการเรียนรู้ ได้แก่ 1) ส่งเสริมให้ผู้สอนจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้ ตามสามารถและ
หน่วยการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ 2) ส่งเสริมให้ผู้สอนจัดกระบวนการเรียนรู้ โดยจัดเนื้อหา
สาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจ ความถนัดของผู้เรียน 3) จัดให้มีสาระสนเทศการเรียน
การสอนในกลุ่มสาระต่างๆ โดยเน้นการนิเทศที่ร่วมมอื ช่วยเหลือกันแบบกัลยาณมิตร เช่น นิเทศแบบ
เพอ่ื นช่วยเพื่อน เพ่อื พัฒนาการเรียนการสอนร่วมกันหรือแบบอื่นๆ ตามความเหมาะสม 4) ส่งเสรมิ ให้
มีการพฒั นาผูส้ อน เพ่ือพฒั นากระบวนการเรียนรู้ตามความเหมาะสม

กล่าวได้ว่า บริหารการเรียนรู้ท่ีสอดคล้องกับโรงเรียน ประกอบด้วย ส่งเสริมให้
ผูส้ อนจดั ทาแผนการเรยี นรู้ที่มุ่งเน้นสง่ เสริมใหผ้ ู้สอนจดั กระบวนการเรยี นรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ด้วย
เทคนคิ วิธกี ารสอนที่หลากหลายทีม่ ุ่งเนน้ คุณภาพงานวิชาการ โดยจดั ให้มีการประเมนิ ผลการสอนและ
นาผลการมาพัฒนาการเรียนการสอน ส่งเสริมให้มีการจัดการเรียนรู้พัฒนางานวิชาการของผู้สอน
เพ่ือพัฒนาการเรียนการสอน สร้างเครือข่ายทางการศึกษาและประสานความร่วมมือกับองค์กรอ่ืนใน
การจัดการเรยี นรู้

3. การวัดผลประเมินผล
การวัดผลและการประเมินผล เป็นกระบวนการที่สาคัญของการจัดการศึกษา

เพราะเป็นกระบวนการที่ทาให้ทราบว่า การจัดการเรียนการสอน ตลอดจนความพยายามต่างๆ ของ
โรงเรียนที่จะส่งเสริมการเรียนการสอนให้บรรลุตามจุดหมายของหลักสูตรน้ัน ประสบความสาเร็จ
หรือไม่เพียงใด เพื่อนาผลประเมินท่ีได้มาใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขและปรับปรุงวิธีการจัดการเรียน
การสอนตา่ งๆ ดังท่นี กั วดั ผลประเมนิ ผล กลา่ วไวด้ ังนี้

50

คณะกรรมการการปฏิรูปการเรียนรู้ ได้ให้แนวทางการประเมินท่ีสอดคล้องกับ
การจัดการเรียนการสอน ว่าการประเมินผลการเรียนรู้พิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความ
ประพฤติ สังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรมและการทดสอบควบคู่กันไป ตามความ
เหมาะสมของแตล่ ะระดบั และรูปแบบการศกึ ษา มีแนวทางการประเมนิ ทสี่ าคัญมี 3 แนวทาง คือ

1. การประเมินจากสภาพจรงิ เป็นการประเมินท่เี น้นทกั ษะการคิด ความสามารถ
ในการแกป้ ัญหาการแสดงออก รวมถึงวิธกี ารปฏบิ ัติและผลการปฏิบัติตาม กิจกรรมการเรยี นการสอน
การประเมินลักษณะนี้จะมีประสิทธิภาพ เมื่อประเมินการปฏิบัติของผู้เรียนในสภาพที่เป็นจริง
ซ่ึงประเมินได้จากแฟ้มสะสมผลงาน การจัดนิทรรศการ การแสดง การทดลอง การบันทึกของผู้เรียน
ผสู้ อนและการนาเสนอรายงาน

2. การประเมนิ ภาคปฏบิ ัติ คือการทดสอบความสามารถในการทางานของผู้เรียน
ภายใต้สถานการณ์และเง่ือนไขท่ีสอดคล้องกับสภาพจริงมากที่สุด การประเมินภาคปฏิบัติ สามารถ
ประเมินได้ 3 ลักษณะ คือประเมินกระบวนการ ประเมินผลผลิต และประเมินทั้งกระบวนการและ
ผลผลิตผสมผสานกัน ลักษณะสาคัญของการประเมินภาคปฏิบัติคือ การกาหนดวัตถุประสงค์ในการ
วดั อย่างชัดเจน กาหนดวิธีการทางาน กาหนดความสาเร็จของงาน มีคาส่ังควบคุมสถานการณ์ในการ
ปฏิบัติงาน มีเกณฑ์การให้คะแนนอย่างชัดเจน และมีการประเมินพฤติกรรมข้ันสุดท้ายของการ
ปฏิบัติงาน ครูผู้สอนสามารถค้นหาข้อมูลเก่ียวกับการปฏิบัติของผู้เรียนด้วยวิธีการท่ีหลากหลาย เช่น
การสืบค้น การสังเกต การวเิ คราะห์ และการทดสอบ

3. การประเมินจากแฟ้มสะสมผลงาน แฟ้มสะสมงานเป็นแนวทางหน่ึง ที่ใช้ใน
การประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางและตรงกับสภาพเป็นจริง การ
ประเมินผลการเรียนโดยใช้แฟ้มสะสมงาน เป็นการประเมินผลงานที่ผู้เรียนแสดง กระทาหรือสร้าง
ความรู้ขึ้นมาด้วยตนเอง เพ่ือประเมินความรู้ก้าวหน้าของการเรียนและตัดสินผลการเรียนของผู้เรียน
ในการประเมินผลจากแฟ้มสะสมผลงานน้ัน ครูและนักเรียนจะต้องคานึงถึงหลักการที่สาคัญ 3 ด้าน
คอื ดา้ นเน้ือหาวิชา ดา้ นการเรยี นการสอน และดา้ นความเสมอภาค

การจัดการศึกษาในปัจจุบัน เน้นให้ผู้เรียนมีความสามารถในการปฏิบัติ มีความ
กระตือรอื ร้นท่ีจะเรียนรู้ แสวงหาความรู้แปลกใหม่มาเพิ่มพูนความรู้อยู่เสมอ ปรับตัวให้เข้ากับผู้อ่นื ได้
สามารถคดิ วิเคราะห์และประเมนิ ค่าสารสนเทศ ตลอดจนเปน็ สมาชิกท่ีดขี องสงั คม ครูต้องเลือกวธิ ีการ
วัดและประเมินผล ที่สามารถค้นหาความสามารถท่ีแท้จริงของผู้เรียนอย่างชัดเจน เพื่อให้ผลการ
ประเมินท่ีได้สะทอ้ นถงึ ภาพการปฏบิ ัติงานและผลงานของผ้เู รยี นอยา่ งแทจ้ ริง

การวัดผลและการประเมินผลโดยใช้แบบทดสอบแบบเดิมๆ จึงไม่ได้วัดสภาพท่ี
แท้จริงของผู้เรียน ไม่สามารถประเมินกระบวนการและผลผลิตท่ีผู้เรียนได้ปฏิบัติจริง รวมทั้งไม่
สามารถชี้ให้เห็นพัฒนาการได้อย่างชัดเจน ซ่ึงผลสัมฤทธ์ิที่แท้จริงจึงไม่ใช่การใช้เฉพาะแบบทดสอบ
เพียงอยา่ งเดียว การวัดผลและการประเมินผลท่ีจะให้ครอบคลุมในทุกๆ ด้าน ผสู้ อนและผู้เรียนจะตอ้ ง
ร่วมกันประเมินตามสภาพจริง และสุวิทย์ มูลคา ให้ความหมายว่า การประเมินผลตามสภาพจริง
หมายถึง การวัดผลและการประเมินผลกระบวนการทางานในด้านสมอง หรือความคิดและจิตใจของ
ผู้เรียนอย่างตรงไปตรงมาตามสิ่งท่ีผู้เรียนกระทา โดยพยายามตอบคาถามว่าผู้เรียนทาอย่างไรและ
ทาไมจึงทาอย่างนั้น การได้ข้อมูลว่า “เขาทาอย่างไร” และ “ทาไม”จะช่วยให้ผู้สอนได้ช่วยผู้เรียน

51

พัฒนาการเรียนของผู้เรียนและการสอนของผู้สอน ทาให้เกิดความอยากในการเรียนรู้ต่อไป
ซ่ึงสอดคล้องกับ ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ และคณะ ได้กล่าวถึง การประเมินผลตามสภาพจริงเป็น
กระบวนการสังเกต บันทึก หรือตรวจสอบเอกสาร ที่เกี่ยวกับงานของผู้เรียน ซ่ึงผู้เรียนได้กระทาและ
เอกสารที่เก่ียวข้องกับวิธีการท่ีผู้เรียนทาประเมินผลแบบน้ี ช่วยให้ได้ข้อมูลเชิงคุณภาพท่ีมีความ
ต่อเนื่อง ซ่ึงผู้สอนสามารถนามาใช้เปน็ แนวทางในการสอนผเู้ รียนรายบคุ คล

ลกั ษณะสาคญั ของการประเมินตามสภาพจรงิ ซงึ่ สวุ ทิ ย์ มูลคา ได้กล่าวไว้ดงั น้ี
1. เป็นการประเมินที่กระทาไปพร้อมๆ กับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและ
การเรียนรู้ของผู้เรียน ซึ่งสามารถกระทาได้ตลอดเวลากับทุกสถานการณ์ท้ังที่โรงเรียน บ้าน และ
ชมุ ชน
2. เป็นการประเมินทยี่ ึดพฤตกิ รรมการแสดงออกของผู้เรยี นท่ีแสดงออกมาจริงๆ
3. เน้นการพัฒนาผู้เรียนอย่างเด่นชัดและให้ความสาคัญในการพัฒนาจุดเด่นของ
ผูเ้ รียน
4. เนน้ การประเมนิ ตนเองของผ้เู รียน
5. ต้ังอยู่บนพ้ืนฐานของสถานการณ์ที่เป็นชีวิตจริงรวมท้ังการเช่ือมโยงการเรียนรู้
ไปส่ชู วี ิตจริง
6. ใช้ข้อมูลท่ีหลากหลายมีการเก็บข้อมูลระหว่างการปฏิบัติในทุกด้านทั้งท่ี
โรงเรียน บา้ น และชุมชนอยา่ งต่อเนื่อง
7. เน้นคุณภาพของผลงานท่ีผู้เรียนสร้างข้ืน ซึ่งเป็นผลจากการบูรณาการความรู้
ความสามารถหลายๆ ด้านของผเู้ รยี น
8. เน้นการวัดความสามารถในการคิดระดับสูง เช่น การวิเคราะห์และการ
สังเคราะห์
9. ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์เชงิ บวก มีการชื่นชม ส่งเสริมและอานวยความสะดวกในการ
เรียนรู้ของผู้เรยี นและผู้เรยี นได้เรียนอยา่ งมีความสขุ
10. เนน้ การมสี ว่ นร่วมระหวา่ งผู้เรยี น ครู และผปู้ กครอง
กล่าวโดยสรุป การประเมินตามสภาพจริง เป็นการประเมินท่ีเน้นการเรียนรู้ที่
แท้จริงของผู้เรียน เพราะต้ังอยู่บนพ้ืนฐานของสถานการณ์ในชีวิตจริง โดยเน้นการปฏิบัติเป็นสาคัญ
และต้องมีความสัมพันธ์กับการเรียนการสอน เน้นการพัฒนาท่ีปรากฏให้เห็น ใช้ผู้ที่เกี่ยวข้องในการ
ประเมินหลายฝ่าย และเกิดข้นึ ในทุกขณะเท่าท่เี ปน็ ไปได้
กลา่ วได้ว่า การวัดและประเมินผลการเรียนร้ทู ีส่ อดคล้องกับโรงเรยี น ประกอบด้วย
กาหนดระเบียบ หลักเกณฑ์และวิธีการวัดและประเมินผล มุ่งเน้นส่งเสริมให้ผู้สอนจัดทาแผนการ
วดั ผลและประเมินผลตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลายและเหมาะสม โดยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม
ในการวัดและประเมินผลมุ่งเน้นสมรรถนะ มีการเทยี บโอนผลการเรยี น ทกั ษะและประสบการณ์

4. การวิจยั เพื่อการพัฒนา
กระบวนการวิจัยเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ เป็นเครื่องมือท่ีใช้ในการพัฒนาการเรียน

การสอนการนาการวิจยั เข้าไปช่วย จะทาให้การจัดการเรียนการสอนของผ้สู อนสามารถนาผู้เรียนไปสู่

52

ความสาเร็จตามเป้าหมายของหลักสูตรได้ กระบวนการวิจัยจึงมีส่วนช่วยในการค้นหาคาตอบของ
สาเหตุปัญหา หรือข้อบกพร่องท้ังระบบการเรียนการสอนน้ันๆ และในการจัดกิจกรรมการเรียนการ
สอนเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ 5 ข้ันตอน ต้ังแต่การวิเคราะห์ความต้องการ/พัฒนาการเรียนรู้ วาง
แผนการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ประเมินผลการเรียนรู้และทารายงานผลการเรียนรู้ เป็นการนา
กระบวนการวจิ ัยมาใช้ในการดาเนินจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน โดยผู้บริหารได้ใช้กระบวนการวิจัย
ในการดาเนนิ งานบรหิ ารตั้งแตก่ ารวิเคราะห์ปัญหา และความต้องการเพื่อการกาหนดทิศทางวิสัยทศั น์
การจัดทาแผนโรงเรียน การดูแลปฏิบัติงานให้เป็นไปตามแผน การนิเทศ/ติดตาม/ประเมินผลการ
ดาเนินงาน และจัดทารายงานผลการดาเนินงานของโรงเรียน ขั้นตอนของกระบวนการวิจัยเพ่ือ
พัฒนาการเรียนรู้ที่สาคัญ 5 ข้ันตอน คือ การสารวจและวิเคราะห์ปัญหา การกาหนดวิธีการในการ
แก้ปัญหา การพัฒนาวิธีการหรือนวัตกรรมและเคร่ืองมือ การนาวิธีการหรือนวัตกรรมไปใช้และการ
วิเคราะหข์ อ้ มูลและการเสนอผล

สรปุ ได้วา่ การปฏิบัติเก่ยี วกบั การวิจยั เพ่ือพัฒนาคุณภาพการศึกษา ประกอบดว้ ย
1) ศึกษาวิเคราะห์วิจัย การบริหารจัดการ และการพัฒนาคุณภาพงานวิชาการในภาพรวมของ
โรงเรียน 2) ส่งเสริมให้ผู้สอนศึกษาวิเคราะห์วิจัย เพ่ือพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้'ให้แต่ละกลุ่มสาระ
การเรียนรู้ และ 3) ประสานความร่วมมือในการศึกษาวิเคราะห์ วิจัย ตลอดจนการเผยแพร่ผลงาน
การวิจัยหรือพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนและงานวิชาการกับโรงเรียน บุคคล ครอบครัว องค์กร
หน่วยงานและสถาบนั อน่ื

5. การพัฒนาส่อื นวัตกรรม
ความหมายของสื่อการสอน (Instructional Media) ได้มีหลายท่านได้ให้

ความหมายไว้ ดังน้ี ไชยยศ เรืองสุวรรณ (2543, น. 4, 147, กิดานันท์ มะลิทอง, 2545 น.79-80)
กล่าวว่า ส่ือการสอน หมายถึง ส่ิงที่ช่วยให้การเรียนรู้ซึ่งผู้สอนและผู้เรียนเป็นผู้ใช้ เพื่อให้การเรียน
การสอนมีประสทิ ธิภาพย่งิ ข้ึน Heinich,et al. (1993, p. 5) ได้ใหท้ ัศนะเกี่ยวกับสอ่ื การสอน หมายถึง
ส่ือชนิดใดก็ตามไม่ว่าจะเป็น สไลด์ โทรทัศน์ วิทยุ เทปบันทึกเสียง ภาพถ่าย วัสดุฉาย และวัสดุ
ส่ิงพิมพ์ ซ่ึงเป็นพาหนะนาข้อมูล จากแหล่งข้อมูลไปยังผู้รับ เม่ือนามาใช้ในการเรียนการสอนหรือ
ส่งเน้ือหาความรู้ไปยังผู้เรียนเรียกว่า สื่อการสอน ซึ่งในแต่ละด้านได้แบ่งประเภทของสื่อการสอนไว้
ดังน้ี โดยการแบ่งตามลักษณะรูปร่างของส่ือ สามารถแบ่งได้ 6 ประเภท คือ 1) สื่อประเภทเครื่องมือ
2) ส่ือประเภท วัสดุ อุปกรณ์ 3) สื่อประเภทกระบวนการและวิธีการ 4) สื่อประสม 5) คน (People)
ในทางการศึกษา โดยตรง หมายถึง บุคลากรที่อยู่ในระบบของสถานศึกษา หรือผู้ท่ีอานวยความ
สะดวกต่างๆ ในการเรียนรู้ และ 6) อาคารสถานที่ (Sittings) และในความสาคัญของบทบาท สื่อการ
สอนต่อกระบวนการ เรียนการสอน ส่ือการสอนมคี วามสาคญั และมีบทบาทตอ่ กระบวนการเรียนการ
สอนเป็นอย่างมาก ในฐานะท่ีเป็นตัวกลางที่จะช่วยเปลย่ี นพฤติกรรมการเรยี นรู้ ส่ือการสอนมีบทบาท
ดังนี้ 1) การเพ่ิมจานวนผู้เรียน ส่ือการสอนมีความสาคัญในการสื่อเพ่ือประสิทธิภาพ เพื่อให้เพียงพอ
ต่อความต้องการของผู้เรียน 2) ส่ือการสอนช่วยทาให้ผู้สอน สอนได้ดีขึ้น และช่วยให้การสอนบรรลุ
เป้าหมาย 3) สื่อการสอนสาเร็จรูปช่วยให้ผู้เรียนอยู่ในสภาพเสียเปรียบหรือผู้ยากไร้สามารถเรียนได้
ทดั เทยี มกับผมู้ ฐี านะดีกวา่

53

กระทรวงศึกษาธิการ (2546ก, น. 36) ได้กาหนดแนวทางการพัฒนาส่ือ
นวัตกรรม และเทคโนโลยีเพ่ือการศึกษา ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาส่ือนวัตกรรม ไว้ดังนี้ 1) ศึกษา
วิเคราะห์ ความจาเป็นในการใช้สื่อและเทคโนโลยี เพื่อการจัดการเรียนการสอนและการบริหารงาน
วิชาการ 2) ส่งเสริมให้ผู้สอนผลิตและพัฒนาส่ือและนวัตกรรมการเรียนการสอน 3) จัดหาสื่อ
เทคโนโลยี เพ่ือจัดการเรียนการสอนและการพัฒนางานด้านวิชาการ 4) ประสานความรว่ มมือในการ
ผลิต จัดหา พัฒนาและการใช้ส่ือนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อการจัดการเรียนการสอน และ
พัฒนาการกับสถานศึกษา บุคคล ครอบครัว องค์กรหน่วยงานและสถาบัน 5) การประเมินผลการ
พัฒนาการใช้ส่ือนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาคือ 1) การนาเสนอส่ือของผู้สอน 2) การ
ประเมินผลการอภิปรายผลระบบการใช้สื่อการสอน และโสภา วงศ์นาคเพ็ชร (2553, น. 43) ได้
แนวทางปฏิบัติไว้ดังน้ี 1) ศึกษาวิเคราะห์ความจาเป็นในการใช้ 2) ส่งเสริมให้ครูผลิตและพัฒนา 3)
จัดหาเพื่อการพัฒนาการเรียนการสอน 4) ประสานความรว่ มมือกับองค์กร หน่วยงานและสถาบันอ่ืน
ในการจดั หางาน การพัฒนาการใช้ และ 5) การประเมนิ ผลการใช้

แหล่งเรียนรู้ (Learning Resources) นักการศึกษาท้ังชาวไทยและต่างประเทศ
ได้ให้แนวคิดไว้หลายคน คือ กิดานันท์ มะลิทอง (2545, น. 83) และทิศนา แขมมณี (2548, น. 12)
โดยสรุปประเภทแหล่งการเรียนรู้ที่จะนามาใช้ประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียน
สามารถแบ่งออกเป็น 7 ประเภท คือ 1) ประเภทวัสดุ (Materials) 2) เครื่องมือ (Devices)
3) ประเภทเทคนิค (Techniques) 4) ประเภทเนื้อหา (Content) 5) ประเภทอาคารสถานท่ี
(Setting) 6) ประเภทบุคคล (People) 7) ประเภทวฒั นธรรมประเพณี

6. การพฒั นาแหล่งเรียนรู้
แหล่งการเรียนรู้ท่ีโรงเรียนสามารถจัดและดาเนินการได้มีหลายประเภท ทั้งน้ี

ข้ึนอยู่กับกาลังความสามารถของโรงเรียนแต่ละแห่ง เช่น โรงเรียนท่ีมีบริเวณพื้นที่กว้างขวางอาจจัด
แหล่งการเรียนรู้ในลักษณะของสวนพฤกษศาสตร์หรืออุทยานการศึกษา นอกเหนือจากการจัด
หอ้ งสมุดโรงเรียนและการจัดมุมต่างๆ ในบรเิ วณโรงเรียนใหเ้ ปน็ ทอ่ี ่านหนงั สือ รวมทั้งการนาผูเ้ รยี นไป
ศึกษาค้นคว้าจากแหล่งข้อมูลนอกโรงเรียน เช่น พิพิธภัณฑ์ วัด หอสมุดแห่งชาติ ห้องสมุดประชาชน
และภูมิปัญญาท้องถิ่นในชุมชน ฯลฯ ซ่ึงแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ แหล่งการเรียนรู้ในโรงเรียนและ
แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น แหล่งการเรียนรู้ในโรงเรียน เช่น ห้องสมุด โรงเรียน ห้องสมุดหมวดวิชา
ห้องสมุดเคลื่อนท่ี มุมหนังสือในห้องเรียน ห้องพิพิธภัณฑ์ ห้องมัลติมีเดีย ห้องคอมพิวเตอร์
ห้องอินเทอร์เน็ต ศูนย์วิชาการ ศูนย์วิทยบริการ ศูนย์โสตทัศนศึกษา ศูนย์สื่อการเรียนการสอน
ศูนย์พัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน สวนพฤกษศาสตร์ สวนวรรณคดี สวนสมุนไพร สวนสุขภาพ
สวนหนังสือ สวนธรรมะ เป็นต้น ส่วนแหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น เช่น ห้องสมุดประชาชน พิพิธภัณฑ์
วิทยาศาสตร์ หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อุทยานวิทยาศาสตร์ ศูนย์กีฬา
ภูมิปญั ญาท้องถ่นิ วัด ครอบครวั ชุมชน สถานประกอบการ องค์กรภาครฐั และเอกชน เปน็ ต้น

54

การพัฒนาหอ้ งสมุดโรงเรียนใหเ้ ป็นแหลง่ การเรียนรู้
ห้องสมุดโรงเรียนมีความสาคัญ ต่อการพัฒนาการเรียนการสอนของผู้สอนและ
ผู้เรียนเพราะเป็นแหล่งรวบรวม จัดเก็บ และให้บริการวัสดุสารนิเทศความรู้ ข้อมูลข่าวสารต่างๆ
ห้องสมุดเป็นแหล่งการเรียนรู้ท่ีจาเป็นสาหรับครูและนักเรียนในโรงเรียน เป็นแหล่งท่ีเปิดโอกาสให้
ทุกคนได้มาศึกษาหาความรู้ เรียนรู้จากวิทยากรๆ ได้ด้วยตนเอง ส่งเสริมนิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียน และมีนิสัย
รกั การอา่ น ซง่ึ เป็นลกั ษณะสาคญั ที่ตอ้ งพฒั นาให้เกิดแกเ่ ยาวชนของชาติ
ตามพระราชบญั ญัตกิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 กาหนดแนวการจัดการศกึ ษา
ในมาตรา 22 วา่ การจัดการศึกษาต้องยดึ หลักว่าผู้เรยี นทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเอง
ได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญที่สุด กระบวนการจดั การศกึ ษาต้องสง่ เสริมใหผ้ ู้เรยี นสามารถพัฒนา
ตามธรรมชาตแิ ละเต็มตามศักยภาพ นอกจากนี้ในมาตรา 24 ยังกาหนดวา่ การจัดกระบวนการเรยี นรู้
ให้สถานศึกษาและหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องดาเนินการจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์
จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทาได้ คิดเป็น รักการอ่าน และเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเน่ือง ส่งเสริมสนับสนุนให้
ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศสภาพแวดล้อม สื่อการเรียนและอานวยความสะดวกเพ่ือให้ผู้เรียนเกิด
การเรยี นรแู้ ละมคี วามรอบรู้ ดังน้ัน การท่ีจะจดั การศึกษาใหส้ นองแนวทางดังกล่าวโรงเรียนต้องพฒั นา
ห้องสมุดใหเ้ ป็นแหลง่ การเรยี นรู้ เพือ่ ให้ครูและนกั เรียนได้ใชป้ ระโยชนส์ งู สดุ
กล่าวได้ว่า ห้องสมุดโรงเรียนเป็นศูนย์การเรียนรู้โดยเป็นที่รวมทรัพยากร
สารนิเทศที่เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ และส่ิงไม่ตีพิมพ์หรือวัสดุส่ือโสตทัศน์ และในสังคมปัจจุบันซึ่งเป็นสังคม
อิเล็กทรอนิกส์ โรงเรียนควรพิจารณาดาเนินการพัฒนาห้องสมุดให้มีบทบาทเหมาะสมกับสภาพของ
สังคมในปัจจบุ ัน โดยการนาเทคโนโลยีต่างๆ มาใชเ้ พ่อื เพิ่มประสทิ ธิภาพการใหบ้ รกิ าร

รปู แบบของศูนยก์ ารเรยี นรใู้ นโรงเรียน
รูปแบบของศูนย์การเรียนรู้ในโรงเรียน คือ 1) ศูนย์การเรียนรู้ ได้แก่ บริเวณ
หนังส่อื ทั่วไป มุมอ้างอิง มุมวารสารและหนังสือพิมพ์ มุมเยาวชน มุมครูอาจารย์ มุมศึกษาค้นคว้าเป็น
รายบุคคล มมุ เทดิ พระเกยี รติ มมุ สื่อ มมุ ศิลปวัฒนธรรม มมุ นิทรรศการฯ 2) ศนู ยว์ ทิ ยาการ (learning
resource center) 3) ห้องสมุดหมวดวิชา 4) มุมหนังสือในห้องเรียน และ 5) รูปแบบอื่นๆ เช่น
ห้องสมุดเคล่ือนที่ ห้องสมุดไม่เคลอ่ื นที่
การจดั บรรยากาศในการเรยี นรู้
บรรยากาศและสิ่งแวดล้อมที่ดีในโรงเรียน เช่น บริเวณโรงเรียนสะอาด มีต้นไม้
ร่มร่ืน มีซุ้มหรือมุมสงบ ห้องเรียนสะอาด มีสีและแสงท่ีอ่อนโยนนุ่มนวล มีรูปภาพตกแต่งผนังอย่าง
เหมาะสม มีโรงอาหาร และห้องน้าที่สะอาดถูกสุขอนามัย จะช่วยให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นมาก
ย่ิงข้ึน เกิดความรักและไม่ต้องการให้โรงเรียนหรือห้องเรียนของตนสกปรก เกิดความเคยชินกับความ
สะอาด ความสวยงาม ความเปน็ ระเบียบจนซึมซับสิง่ ดๆี ทไ่ี ด้รบั ชว่ ยให้เกิดความรบั ผดิ ชอบและมีวนิ ัย
ในตนเอง และสามารถรับความรู้และประสบการณ์ต่างๆ ท่โี รงเรียนจัดใหไ้ ด้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ
แหลง่ เรยี นรใู้ นสถานศึกษาและชมุ ชน
จากสภาพสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงและมีความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี ทาให้เป็นสังคมมีการเปลี่ยนแปลงแหล่งข้อมูลข่าวสารต่างๆ และความรู้ทั้งหมดไม่ได้

55

อยู่ที่ตัวครูอีกต่อไป แต่จะมีท้ังที่ตัวครูในแหล่งข้อมูลข่าวสารต่างๆ แหล่งการเรียนรู้ สื่อมวลชน
ท่ีแพร่หลายทั้งในและนอกประเทศ เป็นความรู้ที่ไม่มีพรมแดน และเป็นความรู้ท่ีทุกคนในสังคม
สามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลา อย่างที่เรียกว่าเป็น สังคมแห่งการเรียนรู้ (Learning Society) ดังน้ัน
กระบวนทัศน์ของการจัดการเรียนร้ทู ่ีเคยเน้นครูเป็นสาคัญ (Teacher Center) จึงต้องเปล่ียนบทบาท
ของครูเป็นผู้จัดการเรียนรู้แก่ผู้เรียน ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ก็ต้องใช้แหล่งการเรียนรู้ท้ังใน
ห้องเรยี นและนอกห้องเรียน ไม่ใช่น่ังเรียนแต่ในห้องเรียนตลอดเวลาต้องให้ผู้เรียนได้มีโอกาสสืบเสาะ
แสวงหาความรจู้ ากแหล่งการเรียนรู้ทงั้ ในโรงเรียนและในชุมชน ผลการวจิ ัยของ ประเสริฐ ครอบแก้ว
เร่ืองบทบาทของผู้บริหารโรงเรียนในการปฏิรูปการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ พบว่า ปัญหาและ
ความต้องการของผู้บริหารโรงเรียน และครูผู้สอนที่เกี่ยวกับการปฏิรูปการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็น
สาคัญ คือโรงเรียนขาดแคลนครูผู้สอน ขาดแคลนสื่อการเรียนการสอน และแหล่งเรียนรู้ท่ีเอ้ือต่อการ
เรยี นรู้ โดยการสร้างความร่วมมือกบั ชมุ ชนน้อย

กล่าวได้ว่า การพัฒนาส่ือนวัตกรรมและแหล่งเรียนรู้ที่สอดคล้องกับโรงเรียน
ประกอบด้วย การศึกษาความจาเป็นในการใช้ส่ือนวัตกรรม และแหล่งเรียนรู้ส่งเสริมให้ผู้สอนพัฒนา
ส่ือนวัตกรรม ประสานความร่วมมือในการผลิตและจัดหาส่ือ ประเมินผลการพัฒนาการใช้ส่ือ
จัดสภาพแวดล้อมเพื่อส่งเสริมบรรยากาศแห่งการเรียนรู้แก่ผู้สอนและผู้เรยี น พัฒนาแหล่งการเรียนรู้
ท้ังในและนอกโรงเรียนให้เกิดองค์ความรู้ มีความเพียงพอและสนับสนุนให้ผู้สอนใช้แหล่งการเรียนรู้
ทงั้ ในและนอกโรงเรียนให้เกิดความคุ้มคา่ และเกดิ ประโยชน์

7. การนเิ ทศการศึกษา
ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2553, น.232-261) ให้ความหมายของการนิเทศ

การศึกษาว่า หมายถึง กระบวนการบริหารการศึกษาเพ่ือช้ีแนะให้ความช่วยเหลือร่วมกับผู้สอน และ
บคุ ลากรท่ีเกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา ในการปรับปรุงการจัดการเรยี นการสอนของผู้สอน และเพิ่ม
คุณภาพของบทเรียนให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายของการศึกษา และได้กล่าวถึง กระบวนการนิเทศ
ภายในไว้ว่า ประกอบด้วย กระบวนการดาเนินงาน 4 ข้ันตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาสภาพ
ปัจจุบนั ปัญหา และความต้องการ ขั้นตอนท่ี 2 การวางแผนและการจดั ทาโครงการนิเทศ ขั้นตอนท่ี 3
การดาเนินงาน ข้ันตอนท่ี 4 การประเมินผลการนิเทศและการนิเทศสามารถดาเนินการได้หลาย
วิธีทัง้ น้ขี ึน้ อยู่กบั สภาพของแตล่ ะโรงเรียน

อนุศักด์ิ สมิตสันต์ (2540) ได้ให้ความหมายของการนิเทศการศึกษา หมายถึง
การแนะนา การช้แี นะ การบริการ และการวางแผนรว่ มก้นเพื่อหาทางปรับปรุงการเรยี นการสอนให้ดี
ขึ้น ส่วนการนิเทศภายในโรงเรียน หมายถึง การปฏิบัติร่วมกันระหว่างผู้บริหารโรงเรียนกับครูใน
โรงเรียน ที่จะแก้ไขปรบั ปรุงพัฒนา สง่ เสริมประสิทธภิ าพทางด้านการเรียนการสอนให้ดขี ้นึ และส่งผล
โดยตรงตอ่ คณุ ภาพของผเู้ รยี น

ดุสิต ทิวถนอม (2540) กล่าวว่า การนิเทศการศึกษาภายในโรงเรียน คือ
กระบวนการซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมการบริการและวิธีการต่างๆ ท่ีมีการจัดการอย่างเป็นระบบของ
ผู้ที่เก่ียวข้องกับการจัดการศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์ เพ่ือการปรับปรุงการเรียนการสอน และการ
ทางานของครูให้มีประสิทธิภาพ ตามจุดมุ่งหมายของการนิเทศงานวิชาการภายในโรงเรียนจาก

56

การศึกษา การนิเทศการศึกษาภายในโรงเรียนมีจุดหมาย เพ่ือพัฒนาครูให้มีความรู้ ความสามารถ
มีความเชื่อมั่น สามารถพัฒนาวิชาชีพให้เจริญก้าวหน้า ช่วยเหลือครูให้รู้จักเลือกและปรับปรุง
กระบวนการเรียนการสอน เพอ่ื ให้บรรลุผลตามจดุ หมายของหลกั สูตรตอ่ ไป

สรุปได้ว่า การนิเทศการศึกษา หมายถึง กระบวนการช้ีแนะ แนะนาให้ความ
ร่วมมือต่อกิจกรรมของครูเพ่ือท่ีจะปรับปรุง การเรียนการสอนเป็นความร่วมมือร่วมใจ และ
ประสานงานกันระหว่างครูและผู้นิเทศ ในการพัฒนาปรับปรุงกระบวนการเรียนการสอนให้มี
ประสิทธิภาพ เพ่ือให้การจัดการเรียนการสอนเป็นไปตามเป้าหมายของหลักสูตร การนิเทศการศึกษา
และหน้าท่ีความรับผิดชอบของศึกษานิเทศก์ เพ่ือสนับสนุนโรงเรียนของบุคลากรที่อยู่นอกองค์กร
จะปฏิบัติในลักษณะการบริหารตามสายงานการบังคับบัญชา การนิเทศการศึกษาและการสนับสนุน
ทรัพยากรท่ีจาเป็นแก่โรงเรียน ส่วนการนิเทศการศึกษาโดยภาพรวมจะปฏิบัติงาน 3 ลักษณะใหญ่ๆ
คอื 1) นิเทศการสอนและการบริหารงานวชิ าการในโรงเรียน 2) ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพการเรียน
การสอนของครูโดยวธิ ีการตา่ งๆ และ 3) ปฏิบตั งิ านรว่ มกับหน่วยงานหรอื องค์การอ่นื ๆ

กล่าวได้ว่า การนิเทศการศึกษา หมายถึง กระบวนการบริหารการศึกษา เพ่ือ
ช้ีแนะให้ความช่วยเหลือร่วมกับผู้สอน เพ่ือการพัฒนากระบวนการเรียนการสอนของครูนาไปสู่การ
ปรับปรุงวัตถุประสงค์เพิ่มคุณภาพการศึกษา ประกอบด้วย การจัดระบบการนิเทศงานในโรงเรียน
ดาเนนิ การนิเทศงานวิชาการ ประเมินผลการนิเทศ พัฒนาระบบการนิเทศ แลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับ
การนิเทศกบั เครือข่าย จัดระบบและการอบรมพัฒนาครู ดาเนินการพัฒนาครู ติดตามและประเมินผล
ระบบการพัฒนาครู จดั การแลกเปล่ียนเรียนรู้และพฒั นาเครือขา่ ยการศกึ ษาอย่างเปน็ ระบบ

8. การแนะแนวการศกึ ษา
นักการศึกษาได้ให้ความหมายของการแนะแนวการศึกษา คัมภีร์ สุดแท้ (2553,

น. 85) ไว้ดงั น้คี อื
1. ความหมายของการแนะแนวดังนี้คือ การแนะแนว หมายถึง กระบวนการ

ดาเนินงานแนะแนวของโรงเรียนที่ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ควรมีการวางแผนจัดลักษณะ
งาน แต่งต้ังบุคลากรท่ีมีคุณสมบัติให้ปฏิบัติและกาหนดโครงการแนะแนวไว้อย่างชัดเจน และ
เหมาะสมโดยอาศยั ความเหน็ จากบุคคลท่เี กี่ยวขอ้ ง

2. จุดมุ่งหมายของการแนะแนว สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษา
แห่งชาติ (2538, น.9) ได้กล่าวไว้คือ 1) ส่งเสริมพัฒนาทุกด้านของนักเรียนทั้งทางด้านร่างกาย
อารมณ์ สังคมเป็นไปด้วยดี ต้ังแต่การเร่ิมต้นของชีวิตเองไม่ให้การพัฒนาการของนักเรียนหยุดชะงัก
2) เพ่ือเสริมสร้างแกไ้ ขพฤติกรรมที่เป็นปัญหาของนกั เรยี นให้เปลีย่ นแปลงไปในทางท่ีดี มีคณุ ภาพชีวิต
ที่พึงประสงค์และเป็นท่ียอมรับของสังคม 3) ช่วยเหลือดูแลนักเรียนให้เรียนรู้สมรรถภาพของตนเอง
เห็นคุณค่าความสาคัญของตนเอง มองเห็นชีวิตในอนาคต รู้และปฏิบัติได้อย่างชาญฉลาดซ่ึงเป็น
ประโยชนต์ ่อตนเองและสงั คม

3. หลักการแนะแนว มีความสาคัญต่อการจัดบริการแนะแนวซึ่งช่วยให้ผู้ทางาน
ในด้านน้ีมีหลักเกณฑ์สาหรับการปฏิบัติงาน มีนักการศึกษาหลายท่าน ได้เสนอแนวความคิดเห็น
เกี่ยวกับการแนะแนว คือ 1) การแนะแนวจะต้องยึดหลักการยอมรับในเร่ืองความแตกต่างระหว่าง

57

บุคคล 2) เป็นกระบวนการอย่างต่อเน่ือง 3) ต้องอยู่บนรากฐานของความจริงท่ีว่า บุคคลต้องการ
ความช่วยเหลือทุกคน 4) การแนะแนวยอมรับว่าบุคคลทุกคนมีคุณค่า 5) การแนะแนวควรช่วยเหลือ
ให้ครอบคลุมท้ังด้านการพัฒนา การป้องกันปัญหาที่จะเกิดข้ึน 6) การแนะแนวควรเน้นการแนะแนว
ชวี ติ 7) การดาเนนิ การแนะแนวท่ีมีประสิทธิภาพจะตอ้ งมีบุคคลทีม่ ีความสามารถและประสบการณ์

4. บทบาทหน้าที่ของโรงเรียนที่มีต่อการแนะแนว ผู้บริหารโรงเรียนต้องสร้าง
ความตระหนักให้ครูทกคนได้เห็นความสาคัญ และถือว่าการดาเนินการแนะแนวในโรงเรยี นเป็นหน้าที่
เม่ือครูมีความพร้อมจะดาเนินการแนะแนว มีผู้กล่าวถึงไว้ดังนี้ กรมวิชาการ (2538, น. 20)
การปฏิบัติงานแนะแนวโรงเรียนควรมีบทบาทปฏิบัติงานตามขั้นตอนดังน้ี 1) สร้างความตระหนักให้
ครู ทกุ คนเห็นความสาคญั และถอื เปน็ หนา้ ทใ่ี นการพัฒนานักเรียน 2) วเิ คราะห์เพ่ือทราบปญั หาความ
ต้องการและจุดท่ีจะพัฒนานักเรียน 3) จัดและทากิจกรรมบริการต่างๆ ให้สอดคล้องกับปัญหาความ
ต้องการและสิ่งที่พัฒนา 4) ติดตามนักเรียนและประเมินผลการดาเนินงาน 5) แสดงผลงานท่ีเกิดข้ึน
จากการปฏบิ ัติงานแนะแนวจากเอกสารท่ีกล่าวมาแล้ว

จะเห็นได้ว่า การบริหารงานแนะแนว คือการวางแผนในการจัดกิจกรรมใน
โรงเรียนให้ประสบความสาเร็จตามจุดมุ่งหมายท่ีวางไว้ โดยอาศัยการประสานงานและความร่วมมือ
ของบุคลากรในโรงเรียนท่ีมีบทบาทในการปฏิบัติงานแนะแนว ประกอบด้วยคือ การจัดระบบการ
แนะแนวในโรงเรียน การนาระบบข้อมูลการช่วยเหลือนักเรียนมาใช้วางแผน ครูทุกคนร่วมมือกันใน
การแนะแนว การติดตามประเมินผลการจัดระบบและกระบวนการต่างๆ ในโรงเรียน การประสาน
ความรว่ มมือแลกเปล่ียนเรียนรู้ในระดบั เครอื ขา่ ย

9. การพฒั นาระบบประกนั
การประกันคุณภาพภายใน เพ่ือพัฒนาคุณภาพทางการศึกษา เป็นส่ิงท่ีมี

ความสาคัญต่อการปฏิรูปการศึกษาของไทย ซึ่งในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช
2542 (และแก้ไขเพิ่มเติม คร้ังที่ 3) พ.ศ. 2553 ในหมวด 6 มาตรา 48 ในหน่วยงานต้นสังกัดและ
สถานศึกษาจัดให้มีระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา และให้ถือว่าการประกันคุณภาพ
ภายใน เป็นส่วนหนึง่ ของกระบวนการบริหารการศกึ ษาทตี่ ้องดาเนนิ การอยา่ งต่อเน่ือง

ความสาคญั ของการประกนั คณุ ภาพศึกษา
การจัดการศึกษา เพื่อพัฒนาคนให้มีคุณภาพเป็นเรื่องที่มีความจาเป็นอย่างย่ิง
โดยจะต้องเปน็ การศึกษาทมี่ คี ณุ ภาพ การประกันคุณภาพการศึกษามีความสาคัญ 3 ประการ คือ
1. ทาให้ประชาชนได้รับข้อมูลคุณภาพการศึกษาทีเช่ือถือได้ เกิดความเช่ือมั่น
และ สามารถตดั สินใจเลือกใชบ้ ริการทมี่ ีคุณภาพมาตรฐาน
2. ป้องกันการจัดการศึกษาท่ีไม่มีคุณภาพ ซึ่งจะเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคและ
เกดิ ความเสมอภาคในโอกาสทจี่ ะได้รบั การบริการการศกึ ษาทม่ี ีคุณภาพอยา่ งทั่วถึง
3. ทาให้ผู้รับผิดชอบในการจัดการศึกษามีพลังท่ีจะพัฒนาประชากรให้มีคุณภาพ
อยา่ งเปน็ รูปธรรมและต่อเนื่อง
การประกันคุณภาพการศึกษามีประโยชน์ต่อผู้เรียน สถานศึกษา ประชาชน
หนว่ ยงานและสังคม ดงั นี้

58

1. ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถคุณลักษณะต่างๆ ครบถ้วนตามหลักสูตร
มาตรฐานการศึกษาและสอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของสังคม

2. สถานศึกษามีทิศทางการจดั การศกึ ษาท่ีชดั เจน
3. ชุมชนมีความม่ันใจ ในการจัดการศึกษาของสถานศึกษาเข้าร่วมจัดการศึกษา
และส่งบตุ รหลานเข้าเรยี นในสถานศึกษา
4. สถานศึกษาและหน่วยงานที่รับผู้จบการศึกษามีความมั่นใจและพึงพอใจใน
คุณภาพของผจู้ บการศึกษา
5. สังคมม่ันใจในการจัดการศึกษาและมีหลักประกันคุณภาพของการจัด
การศกึ ษา และการรายงานผลตอ่ สาธารณชน
แนวทางการปฏบิ ัตเิ กยี่ วกับการพฒั นาระบบประกนั คุณภาพ ไดแ้ ก่
1. จัดระบบโครงสรา้ งองค์กร ให้รองรบั การจัดระบบการประกนั คณุ ภาพภายใน
2. กาหนดมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา
3. จัดทาแผนการพัฒนาจัดการการศึกษาที่มุ่งคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา
ของสถานศึกษา
4. ดาเนินการพัฒนางานตามแผนงาน ติดตาม ตรวจสอบและประเมินคุณภาพ
ภายในเพ่อื ปรบั ปรงุ พฒั นาอยา่ งตอ่ เนือ่ ง
5. ประสานความร่วมมือกับสถานศึกษา และหน่วยงานอ่ืนในการปรับปรุงและ
พฒั นา ระบบประกันคุณภาพภายใน และการพัฒนาคณุ ภาพการศึกษาตามระบบการประกันคุณภาพ
การศกึ ษา
6. ประสานงานกับต้นสังกัด เพ่ือการประเมินคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา
ตาม ระบบการประกนั คณุ ภาพการศึกษา
7. ประสานงานกับสานักงานรับรองมาตรฐานการศึกษาและประเมินคุณภาพ
การศึกษา ในการประเมนิ สถานศึกษาเพอื่ เป็นฐานในการพฒั นาอยา่ งเปน็ ระบบและต่อเน่ือง
การดาเนินงานด้านการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา หมายถึง การประกัน
คุณภาพภายในสถานศึกษาท่ีดาเนินการโดยบุคลากรในหน่วยงานเดียวกัน ท่ีกาหนดไว้ในโครงสร้าง
การบริหารงาน ประกอบด้วย 5 ข้ันตอน ได้แก่ 1) การวางแผนและปฏิบัติ 2) ระบบข้อมูลและ
ประมวลผล 3) การตรวจสอบผลการประเมิน 4) การรายงานผลการประเมิน และ 5) การใช้ผล
ประเมนิ
การประเมนิ คุณภาพภายนอก
โรงเรียนทุกแห่งต้องได้รับการประเมินคุณภาพภายนอกอย่างน้อย 1 ครั้งในทุก
5 ปี นับตั้งแต่การประเมินครั้งสุดท้าย คานึงถึงจุดมุ่งหมายและหลักการ (สานักงานรับรองมาตรฐาน
และประเมนิ คณุ ภาพการศึกษา 2553, น. 1-35) ดงั ต่อไปน้ี
1. เพอื่ ให้มกี ารพฒั นาคณุ ภาพการศึกษา
2. ยดึ หลักความเท่ยี งตรงเป็นธรรมและโปรง่ ใส มีหลักฐานข้อมูลตามสภาพความ
เป็นจรงิ และมคี วามรับผดิ ชอบท่ีตรวจสอบได้

59

3. สร้างความสมดุลระหวา่ งเสรีภาพทางการศึกษากบั จุดม่งุ หมาย และศึกษาของ
ชาติ โดยให้มีเอกภาพเชงิ นโยบาย ซึง่ สถานศึกษาสามารถกาหนดเป้าหมายเฉพาะและพัฒนาคุณภาพ
การศกึ ษาให้เตม็ ตามศักยภาพของสถานศึกษาและผ้เู รียน

4. ส่งเสริม สนับสนุนและรว่ มมือกับสถานศึกษา ในการพัฒนาระบบการประกัน
คณุ ภาพภายในของสถานศึกษา

5. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการประเมินคุณภาพ และพัฒนาการจัดการศึกษา
ของรัฐ เอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น บุคคล ครอบครัว องค์กรชุมชน องค์กรวิชาชีพ สถาบัน
ศาสนา สถานประกอบการและสถาบนั สงั คมอืน่

6. คานึงถึงความเป็นอิสระ เสรีภาพทางวิชาการ เอกลักษณ์ ปรัชญา ปณิธาน
วิสยั ทศั น์ พนั ธกิจ และเป้าหมายของสถานศกึ ษา

ความสัมพันธ์ระหว่างการประกันคุณภาพภายในกับการประเมินคุณภาพ
ภายนอก

ตามมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม
(ฉบบั ท่ี 3) พ.ศ.2553 ระบุว่า“ใหห้ น่วยงานต้นสังกดั และสถานศึกษาจัดให้มรี ะบบการประกันคณุ ภาพ
ภายในสถานศึกษา และให้ถือว่าการประกันคุณภาพภายในเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการบริหาร
การศึกษาที่ต้องดาเนินการอย่างต่อเน่ือง” ในขณะท่ีมาตรา 49 ระบุถึงการประเมินคุณภาพภายนอก
ไว้ว่า “ให้มีสานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา มีฐานะเป็นองค์การมหาชน
ทาหน้าที่พัฒนาเกณฑ์ วิธีการประเมินคุณภาพภายนอก และทาการประเมินผลการศึกษา เพื่อให้มี
การตรวจสอบคุณภาพของสถานศึกษา”จะเห็นว่าการประกันคุณภาพการศึกษาภายในเป็นส่วนหน่ึง
ของกระบวนการบริหารการศึกษาปกติที่ต้องดาเนินการอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุน้ีระบบประกัน
คณุ ภาพภายในมวี ตั ถปุ ระสงค์ เพือ่ การพัฒนาคณุ ภาพการศึกษา ส่วนการประเมินคุณภาพภายนอกท่ี
เน้นประเมินผลการจัดการศึกษา เพื่อรับรองคุณภาพการศึกษา ดังนั้น ความเช่ือมโยงระหว่างการ
ประกนั คุณภาพภายในกบั การประเมินคณุ ภาพภายนอกจึงเปน็ สง่ิ จาเป็น

กล่าวได้ว่า การพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในโรงเรียน ท่ีสอดคล้องกับ
โรงเรียน ประกอบด้วย การจัดระบบโครงสร้างขององค์กร กาหนดมาตรฐานการศึกษาของโรงเรียน
จดั ทาแผนพัฒนาการจัดการศึกษาที่มุ่งคุณภาพการศึกษา ดาเนินงานตามแผนพัฒนาการจัดการศึกษา
ของโรงเรียน จัดให้มีการประเมินคุณภาพภายในตามมาตรฐานการศึกษาของโรงเรียน ประสาน
ตน้ สังกัดเพ่ือประเมินคุณภาพภายในตามมาตรฐานการศกึ ษาของโรงเรยี นโดยต้นสงั กัด จัดทารายงาน
การประเมินคุณภาพภายในดาเนินการ เพ่ือพร้อมรับการประเมินคุณภาพภายนอก และจัดให้มีการ
พฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษาอย่างต่อเนื่อง

10. การสง่ เสริมความร้ดู า้ นวชิ าการแกช่ ุมชน
การส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการแก่ชุมชน ให้เกิดกระบวนการเรียนรู้เป็น

หน้าท่ีท่ีโรงเรียนให้บริการทางด้านการศึกษาแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องด้านต่างๆ โรงเรียนควรกาหนด
แนวทางปฏิบัติดงั น้ี 1) สารวจและศึกษาข้อมูลการจัดการศึกษา รวมท้ังความตอ้ งการในการได้รบั การ
สนับสนุนด้านวิชาการ 2) ส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาวิชาการและการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ใน

60

การจัดการศึกษา 3) จัดให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการจัดการศึกษา โดยการส่งเสริมบุคคล
ครอบครัว ชุมชน องค์กร หน่วยงาน และสถาบันสังคมอื่นที่จัดการศึกษาให้มีความเข้ มแข็ง
หลักวิชาการในการส่งเสริมความรู้ทางวิชาการ โรงเรียนควรให้ความสาคัญในการศึกษา ชุมชนและ
สร้างชุมชนให้เป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ โดยมีหลักการที่จะต้องดาเนินการ ดังน้ี 1) การศึกษาสารวจ
ความต้องการสนบั สนนุ งานวิชาการ 2) จัดให้ความรู้เสรมิ สร้างความคิดและเทคนิคทักษะทางวิชาการ
เพ่ือการพัฒนาทกั ษะวิชาชีพ และคณุ ภาพชีวติ ของประชาชนในชุมชนท้องถ่ิน 3) ส่งเสริมให้ประชาชน
ในชุมชน ท้องถ่ินเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมทางวิชาการของโรงเรียน 4) ส่งเสริมให้มีการ
เปลยี่ นแปลงเรยี นรู้ประสบการณ์ (กระทรวงศึกษาธิการ 2546ก, น. 46)

11. การประสานความร่วมมือ
นักการศึกษาได้กล่าวถึงการประสานความร่วมมือ ดังน้ี (คัมภีร์ สุดแท้ 2553,

น.103) การประสานงาน หมายถึง ความร่วมมือร่วมใจระหว่างบุคคลกับบุคคลหรือหน่วยงานกับ
หน่วยงานในลักษณะร่วมกันคิดร่วมกันทาและร่วมกันแก้ปัญหา เพ่ือให้งานประสบความสาเร็จอย่าง
ราบร่นื มีประสิทธิภาพในเวลาที่กาหนด ดงั น้ี

1. การประสานงานมีคุณภาพ คือ การจัดองค์กรท่ีต้องกาหนดสายการบังคับ
บญั ชา สถานภาพ บทบาทหน้าท่ีและมาตรฐานในการปฏิบัติงานอย่างชัดเจน 2) ทิศทางนโยบายและ
การวางแผนขององค์กรอยา่ งชัดเจน 3) เทคนคิ การบริหารผบู้ รหิ ารจะต้องใช้ภาวะผู้นาและเทคนคิ ที่มี
ความเหมาะสมในการบรหิ ารงานทจ่ี ะทาให้เกิดความร่วมมือในการปฏบิ ัติงานได้ 4) กระบวนการกลุ่ม
ที่ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการกาหนดวัตถุประสงค์ กาหนดแนวทางในการปฏิบัติงาน ร่วมมือกันในการ
ปฏิบัติงานและการประเมินผล ช่วยให้ทุกคนทางานกันอย่างประสานสัมพันธ์ 5) การติดต่อสื่อสาร
จะตอ้ งเอื้อตอ่ การประสานงาน

2. เทคนิคการประสานงานการจัดระบบสายงานท่ีมีความเหมาะสม เพ่ือ
กาหนดความรับผิดชอบของหน่วยงานในองค์กรให้ชัดเจน มีการกาหนดมาตรฐานในการปฏิบัติงาน
ใช้คณะกรรมการดาเนินงานโดยองค์คณะบุคคล จัดระบบการติดต่อสื่อสารให้มีคุณภาพ การใช้
งบประมาณของโครงการและกิจกรรม รวมถึงการนเิ ทศติดตาม ตรวจเย่ียมเพื่อการแก้ไขปัญหาในส่งิ ที่
มีความจาเป็น การมอบอานาจจากผู้บริหารระดับสูงให้แก่ระดับรองตามความเหมาะสม สร้างขวัญ
กาลังใจพบปะสังสรรค์ระหว่างองค์กรและหน่วยงานต่างๆ ผู้บริหารต้องตระหนักถึงความสาคัญ และ
การพัฒนาองคก์ ร ส่งิ แวดล้อมในการเปล่ยี นแปลงตา่ งๆ ยอ่ มมอี ิทธพิ ลตอ่ องค์กร

3. ประโยชน์ของการประสานงาน 1) บรรลุเปา้ หมายของหน่วยงานตามภารกิจ
คือ การปฏิบัติงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เพื่อให้การทางานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เน้นท่ีความ
ร่วมมือร่วมใจท่ีจะทาให้บรรลุจุดประสงค์เป้าหมายที่วางไว้ 2) ประสิทธิภาพองค์การประสานงานจะ
ช่วยให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด 3) การประหยัดทรัพยากรและงบประมาณวัสดุส่ิงของที่มีค่า 4) ลดและ
ป้องกันความซ้าซ้อนในการดาเนินงาน การประสานต้องอาศัยการวางแผน 5 ) ความเข้าใจอันดีของ
บุคลากรให้ความช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน เพ่ือให้งานดาเนินไปได้ด้วยดี 6) การคิดใหม่เสริมสร้างและ
พัฒนาอยา่ งเป็นระบบ 7) ขวญั กาลังใจที่ดีชว่ ยให้เกดิ ความเข้าใจทดี่ แี กส่ มาชกิ ในองค์กร

61

สรุปได้ว่า การประสานความร่วมมือในการพัฒนางานวิชาการกับโรงเรียนและ
หน่วยงานอ่ืนๆ มีกาหนดนโยบายและแผนในการปฏิบัติ สร้างเครอื ข่ายความร่วมมือในการพัฒนางาน
วชิ าการ และการติดตามประเมนิ ผลในการประสานความร่วมมือในองค์กร

12. การสง่ เสรมิ สนับสนนุ วชิ าการกบั สถานศกึ ษาอ่ืน
การส่งเสริมสนับสนุนงานวิชาการแก่ชุมชนและหน่วยงานอ่ืน ที่จัดการศึกษาให้

เกิดกระบวนการเรยี นรู้ เป็นหน้าท่ีของโรงเรียนท่ใี ห้บริการด้านการศึกษาแก่ผู้ทม่ี ีส่วนเก่ียวขอ้ งในดา้ น
ต่างๆ พจนานุกรม ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้ความหมายไว้ว่า การส่งเสริม หมายถึง
1) ส่ิงที่เกื้อกูลหรือช่วยเหลือสนับสนุนให้ดี 2) การสนับสนุน หมายถึง ส่งเสริม ช่วยเหลือ อุปการะ
3) สถาบัน หมายถึง สิ่งซึ่งคนในส่วนรวมคือสังคมจัดตั้งให้มีขึ้น เพราะเห็นว่ามีความต้องการและ
จาเป็นแก่ชีวิต ซึ่งโรงเรียนควรมีแนวทางในการปฏิบัติดังนี้ 1) การสารวจข้อมูลพ้ืนฐานการจัด
การศึกษา 2) ส่งเสริมสนับสนุนพัฒนางานวิชาการและการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ 3) จัดการ
แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการจัดการศึกษาของบุคคล ครอบครัว และหน่วยงาน 4) ส่งเสริมให้มีการ
แลกเปล่ียนประสบการณ์ระหว่างบุคคล นับเป็นกระบวนการสร้างสรรค์และถ่ายทอดองค์ความรู้ทาง
สังคม

สรุปได้ว่า การส่งเสริมความรู้วิชาการที่สอดคล้องกับโรงเรียน ประกอบด้วย
การสารวจความต้องการสนับสนุน และให้ความรู้แก่ประชาชนในชุมชน ส่งเสริมให้ประชาชนในชุมชน
เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมทางวิชาการของโรงเรียน และส่งเสริมให้มีการแลกเปล่ียนเรียนรู้
ประสบการณ์ระหวา่ งชุมชน

การสงั เคราะหภ์ ารกิจและขอบข่ายการบรหิ ารงานวชิ าการ
จากการศึกษาเอกสารท่ีเกี่ยวข้องตามภารกิจและขอบข่ายการบริหารงาน
วิชาการสรปุ สาระสาคญั ดงั นี้
1. การพัฒนาหลักสูตร ประกอบด้วย ศึกษาวิเคราะห์เอกสารหลักสูตร
สถานศึกษา
2. กระบวนการพฒั นาการเรยี นรู้ ประกอบด้วย สง่ เสรมิ ให้ผูส้ อนจัดทาแผนการ
เรียนรู้ ส่งเสริมให้ผู้สอนจัดกระบวนการเรียนรู้ด้วยเทคนิควิธีการสอนที่หลากหลาย ที่มุ่งเน้น
ผลสัมฤทธ์ิ จัดให้มีการประเมินผลการสอนและนาผลมาพัฒนาการเรียนการสอน ส่งเสริมให้มีการ
พัฒนางานวิชาการของผู้สอนเพ่ือพัฒนาการเรียนการสอน ส่งเสริมให้มีการสร้างเครือข่ายทาง
การศึกษาและประสานความรว่ มมือกบั องค์กรอื่นในการจดั การเรียนรู้
3. การวัดผลและประเมินผล ประกอบด้วย กาหนดระเบียบ หลักเกณฑ์และ
วธิ ีการวดั และประเมินผล มุ่งเน้น ส่งเสริมให้ผู้สอนจัดทาแผนการวัดผลและประเมินผล ตามแผนการ
จัดการเรียนรู้มุ่งเน้นทม่ี ุ่งเน้นคุณภาพ ส่งเสริมให้ผู้สอนดาเนินการวัดผลและประเมนิ ผลท่ีหลากหลาย
และเหมาะสม ส่งเสริมให้ผู้สอนดาเนินการวัดผลและประเมินผลให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการวัดและ
ประเมินผล
4. การวิจัยเพ่ือการศึกษา การปฏิบัติเกี่ยวกับการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพ
การศึกษา ประกอบด้วย 1) ศกึ ษาวิเคราะห์วิจัยการบรหิ ารจัดการและการพัฒนาคณุ ภาพงานวิชาการ

62

ในภาพรวมของโรงเรียน 2) ส่งเสริมให้ผู้สอนศึกษาวิเคราะห์วิจัย เพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้
ให้แตล่ ะกลุ่มสาระการเรียนรู้ และ 3) ประสานความร่วมมือในการศึกษาวิเคราะห์ วิจัย ตลอดจนการ
เผยแพร่ผลงาน การวิจัยหรือพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนและงานวิชาการกับโรงเรียน บุคคล
ครอบครัว องคก์ ร หนว่ ยงานและสถาบันอ่นื

5. การพัฒ นาส่ือนวัตกรรม และแหล่งเรียน รู้ ในการใช้แหล่งเรียนรู้
ประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สามารถแบ่งออกเป็น 2 วิธีคือ 1) การนาชุมชนเข้าสู่โรงเรียน
เป็นการเอาสาระต่างๆ ท่ีมีอยู่ในชุมชนมาประกอบการเรียนรู้ในโรงเรียน 2) การนาโรงเรียนออกสู่
ชุมชน เป็นการนาเอาผู้เรยี นออกไปหาสาระการเรียนรู้ในชมุ ชนตามรปู แบบตา่ งๆ

6. การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ เรียนรู้ท่ีสอดคล้องกับโรงเรียน ประกอบด้วย
การศึกษาความจาเป็นในการใช้สื่อนวัตกรรม และแหล่งเรียนรู้ส่งเสริมให้ผู้สอนพัฒนาสื่อนวัตกรรม
ประสานความรว่ มมอื ในการผลิตและจดั หาสื่อ ประเมินผลการพฒั นาการใช้สือ่ จัดสภาพแวดลอ้ มเพื่อ
สง่ เสริมบรรยากาศแห่งการเรียนรู้แก่ผู้สอนและผเู้ รียน พัฒนาแหล่งการเรียนรทู้ ้ังในและนอกโรงเรียน
ให้เกิดองค์ความรู้ มีความเพียงพอและสนับสนุนให้ผู้สอนใช้แหล่งการเรียนรู้ ทั้งในและนอกโรงเรียน
ให้เกิดความค้มุ ค่าและเกดิ ประโยชน์

7. การนิเทศการศึกษาและการพัฒนาผู้สอน ในการจัดระบบการนิเทศงานใน
โรงเรียน ดาเนินการนิเทศงานวิชาการ ประเมินผลการนิเทศโรงเรียน พัฒนาระบบการนิเทศใน
โรงเรียน แลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับการนิเทศกับเครือข่ายการศึกษา จัดระบบการพัฒนาผู้สอน
ดาเนินการพัฒนาผู้สอน ติดตามและประเมินผลระบบการพัฒนาผู้สอน จัดระบบแลกเปล่ียนเรียนรู้
การแนะนากบั เครือขา่ ยการศกึ ษา

8. การแนะแนวการศึกษา คือการวางแผนในการจัดกิจกรรมในโรงเรียนให้
ประสบความสาเร็จตามจุดมงุ่ หมายท่ีวางไว้ โดยอาศัยการประสานงานและความร่วมมือของบุคลากร
ในโรงเรียนที่มีบทบาทในการปฏิบัติงานแนะแนว คือ การจัดระบบการแนวแนวในโรงเรียน นาระบบ
ข้อมูลการช่วยเหลือนักเรยี นมาใช้วางแผน ครทู กุ คนร่วมมือกนั ในการแนะแนว การติดตามประเมินผล
การจัดระบบและกระบวนการต่างๆ ในโรงเรียน การประสานความร่วมมือแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในระดับ
เครือขา่ ย

9. การพัฒนาระบบประกันคุณภาพการศึกษา ประกอบด้วย การจัดระบบ
โครงสร้างขององค์กร เพื่อรองรับการประกันคุณภาพการศึกษา กาหนดมาตรฐานการศึกษาของ
สถานศึกษา จัดทาแผนพัฒนาการจัดการศึกษาท่ีมุ่งคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา ดาเนินงานตาม
แผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา จัดให้มีการประเมินคุณภาพภายในตามมาตรฐาน
การศึกษาของโรงเรียน ประสานต้นสังกัดเพื่อประเมินคุณภาพภายในตามมาตรฐานการศึกษาของ
โรงเรียน โดยต้นสังกัด จัดทารายงานการประเมินคุณภาพภายใน เพ่ือพร้อมรับการประเมินคุณภาพ
ภายนอก และจดั ให้มกี ารพัฒนาคณุ ภาพการศึกษาอยา่ งต่อเน่ือง

10. การส่งเสริมความรู้วิชาการแก่ชุมชน เป็นการสารวจความต้องการ
สนับสนุนงานวิชาการแก่ชุมชน จัดให้ความรู้แก่ประชาชนในชุมชน ท้องถ่ิน ส่งเสริมให้ประชาชน
ในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมทางวิชาการของโรงเรียน มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์
ระหวา่ งชมุ ชน

63

11. การประสานความร่วมมือ ในการพัฒนางานวิชาการกับโรงเรียนและ
หน่วยงานอื่นๆ ในการประสานความร่วมมือ กาหนดนโยบายและแผนในการปฏิบัติ สร้างเครือข่าย
ความร่วมมือในการพัฒนางานวิชาการ และการติดตามประเมินผลในการประสานความร่วมมือใน
องคก์ ร

12. การส่งเสริมสนับสนุนวิชาการกับสถานศึกษาอื่นๆ เป็นจัดการศึกษาให้เกิด
กระบวนการเรียนรู้เป็นหน้าท่ีของโรงเรียนท่ีให้บริการด้านการศึกษาแก่ผู้ท่ีมีส่วนเก่ียวข้องในด้าน
ต่างๆ ท่ีสนับสนุน ส่งเสริม ซึ่งโรงเรียนควรมีแนวทางในการปฏิบัติและพัฒนางานวิชาการและ
การพัฒนาคณุ ภาพผู้เรยี นที่ชดั เจน โดยการแลกเปล่ียนเรยี นรู้ในการจัดการศกึ ษาระหว่างโรงเรยี นและ
หน่วยงาน นบั ว่าเปน็ การแลกเปลย่ี นประสบการณ์ซงึ่ กนั และกนั

สรุปได้ว่า องค์ประกอบของการบริหารงานวิชาการเป็นกระบวนการทางาน
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยสนับสนุนให้ผู้เรียนสาเร็จตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรอย่างมี
ประสิทธิภาพ งานวิชาการเป็นงานท่ีสาคัญอย่างยิ่ง ทั้งน้ีการบริหารงานวิชาการมีจุดประสงค์ที่จะ
พัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ ความสามารถ มีคุณธรรม จริยธรรม สามารถท่ีจะพัฒนา ตนเองและ
ประเทศชาติ การบริหารงานวิชาการ ประกอบด้วย หลักการท่ีสาคัญๆ หลายประการ เพื่อพัฒนา
ความรู้ ความสามารถให้สู่ความเป็นเลิศ มีเป้าหมายให้บุคลากรทุกฝ่าย ร่วมคิด ร่วมทา ร่วมผลิต
โดยคานึงถึงคุณภาพ ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และความประหยัดว่าการบริหารงานวิชาการ ถ้าจะ
ให้ประสบผลสาเร็จตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรน้ัน ผู้บริหารจะต้องมีกระบวนการบริหารงานเป็น
ขั้นตอน เพื่อจะนาไปสู่คุณภาพของผู้เรียนในท่ีสุด รูปแบบการบริหารงานวิชาการที่มีคุณภาพของ
โรงเรียน คือการดาเนินการบริหารงานวิชาการในโรงเรียน เพื่อให้ได้รูปแบบการบริหารท่ีมีคุณภาพ
ของการดาเนนิ งานวชิ าการด้านการศกึ ษาขน้ั พื้นฐานท่เี หมาะสม มีประโยชน์และมีความเป็นไปได้ตาม
ภารกจิ และขอบขา่ ยการบริหารงานวิชาการในโรงเรยี น

แนวคิดเกย่ี วรูปแบบและการพัฒนารปู แบบการบริหารงานวชิ าการ

ความหมายของรปู แบบ
รูปแบบ ตรงกับคาในภาษาอังกฤษว่า Model หรือโมเดล รูปแบบเป็นรูปธรรมของ
ความคิดทเ่ี ป็นนามธรรม เชน่ เป็นคาอธิบายเป็นแผนผัง ไดอะแกรม หรือแผนภาพ เพ่ือชว่ ยให้ตนเอง
และบุคคลอ่ืนสามารถเข้าใจได้ชัดเจนข้ึน (ทิศนา แขมณี. 2548) ปัจจุบันคาว่า รูปแบบได้เข้ามามี
บทบาทในการวิจัยและการทาวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาเพ่ิมมากขึ้น โดยใช้คาว่า รูปแบบ ต้นแบบ
ตุ๊กตา วงจรแบบ แบบจาลอง ตัวแบบ เป็นต้น (อุทุมพร (ทองอุไร) จามรมาน, 2541 และนิคม
ทาแดง, 2536)
Longman Dictionary of English Language and Culture. (1992) ให้ความ
หมายของรูปแบบ โดยสรุป 3 ลักษณะใหญ่ คือ
1. รูปแบบ หมายถึง ส่งิ ซง่ึ เปน็ แบบย่อส่วนของของจริง เชน่ รปู แบบของเรอื ดานา้
2. รูปแบบ หมายถึง ส่ิงของหรือคนท่ีนามาใช้เป็นแบบอย่างในการดาเนินการ
บางอย่าง เชน่ ครแู บบอย่าง นักเดินแบบ หรอื แมแ่ บบในการวาดภาพศิลป์

64

3. รูปแบบ หมายถงึ แบบหรอื รุ่นของผลติ ภณั ฑ์ต่างๆ
แนวคิดดังกล่าวสอดคล้องกับแนวคิดของ Raj (1996) ซ่ึงได้ให้ความหมายของคาว่า
รูปแบบในหนงั สือ Encyclopedic of Psychology and Education ไว้ 2 ความหมาย ดังน้ี

3.1 รูปแบบ หมายถึง รูปย่อของความจริงของปรากฏการณ์ ซึ่งแสดงด้วย
ขอ้ ความ จานวน หรือ ภาพ โดยการลดทอนเวลาและเทศะ ทาให้เข้าใจความจริงของปรากฏการณ์ได้
ดยี ิง่ ขึ้น

3.2 รปู แบบ หมายถงึ ตัวแทนของการใช้แนวคดิ ของโปรแกรมที่กาหนดไว้เฉพาะ
รูปแบบเป็นการจาลองความจริง หรือส่ิงท่ีเข้าใจยากสามารถอธิบายให้เข้าใจความสัมพันธ์ของสิ่ง
ต่างๆ ได้ง่ายข้ึน (Keeves, 1988) ซ่ึงสามารถแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างความคิดองค์ประกอบ และ
ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่างๆ ให้เป็นแบบจาลองหรือโครงสร้างแทนสภาพความจริงอย่างใด
อย่างหน่ึง ท่ีบุคคลแสดงออกในลักษณะใดลักษณะหน่ึง กล่าวอีกนัยหน่ึงรูปแบบเป็นการสร้างขึ้นเพ่ือ
ย่อส่วนปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ผู้เสนอได้ศึกษาและพัฒนาข้ึนเพ่ือเป็นแนวทางอย่างใดอย่างหนึ่ง
(เบญจพร แก้วมีศริ, 2545) กล่าววา่ คุณคา่ ของรปู แบบในทางการวิจัย จะช่วยในการสร้างทฤษฎแี ละ
นาทฤษฎีไปใช้รูปแบบทาให้เกิดความชัดเจน ในการอธิบายช่วยให้ทราบแหล่งสมมติฐานที่ยังไม่ได้
พิสจู น์

สรุปได้ว่า รูปแบบ หมายถึง สิ่งที่สร้างขึ้นจากการศึกษาค้นคว้าจากแนวคิดทฤษฎี
และหลักการต่างๆ และพัฒนาให้มีความเหมาะสมในการนาไปใช้ ประกอบด้วยองค์ประกอบต่างๆ
เพ่ือแสดงหรืออธิบายปรากฏการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งท่ีเกิดข้ึน เพ่ือให้ง่ายต่อการทาความเข้าใจ
ตลอดจนใช้เปน็ แนวทางในการดาเนินงาน ในการวิจัยครั้งนี้หมายถึง รูปแบบการบรหิ ารงานวิชาการท่ี
ประกอบด้วย องค์ประกอบต่างๆ เพ่ือใช้เป็นแนวทางในการบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิผลของ
โรงเรยี นสังกดั สานักงานคณะกรรมการสง่ เสรมิ การศกึ ษาเอกชน

ประเภทของรปู แบบ
นกั วชิ าการหลายทา่ นไดแ้ บ่งประเภทของรปู แบบไว้หลายลกั ษณะซ่งึ แตกตา่ งกันไป
Smith and Others (1980) จาแนกประเภทของรูปแบบออกเปน็ ดงั น้ี
1. รปู แบบเชิงกายภาพ (Physical Model) ได้แก่

1.1 รูปแบบคล้ายจริง (Iconic Model) มีลักษณะคล้ายของจริง เช่น เคร่ืองบิน
จาลอง หุ่นไล่กา ห่นุ ตามร้านตดั เสือ้ ผ้า เป็นดน้

1.2 รูปแบบเหมือนจรงิ (Analog Model) มีลกั ษณะคลา้ ยปรากฏการณ์จรงิ เช่น
การทดลองทางเคมีในหอ้ งปฏิบัติการก่อนจะทาการทดลองจริงเคร่ืองบินจาลองท่ีบินได้ หรอื เครือ่ งบิน
เป็นตน้

2. รูปแบบเชงิ สัญลกั ษณ์ (Symbolic Model) ได้แก่
2.1 รูปแบบข้อความ (Verbal Model) หรือรูปแบบเชิงคุณภาพ (Qualitative

Model) รูปแบบนี้พบบ่อยมากท่ีสุด เป็นการใช้ข้อความปกติธรรมดาในการอธิบายโดยย่อ เช่น
คาพรรณนา ลักษณะงาน คาอธิบายรายวิชา เป็นต้น ผู้สรา้ งทฤษฎีระบบกล่าวว่า การมีรูปแบบที่เป็น

65

ข้อความนั้น แม้บางคร้ังจะเข้าใจได้ยากแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีรูปแบบเสียเลยเพราะอย่างน้อยก็เป็น
แนวทางในการสร้างรปู แบบประเภทอืน่ ต่อไป

2.2 รูปแบบทางคณิตศาสตร์ (Mathematical Model) หรือรูปแบบเชิงปริมาณ
(Quantitative Model) เชน่ สมการและโปรแกรมเชิงเส้น เปน็ ตน้

แนวคิดการจาแนกรูปของ Smith and Others (1980) มีความคล้ายกับแนวคิด
การจาแนกรูปแบบระบบทางการจัดการศึกษาและ นิคม ทาแดง (2536) โดยแบ่งรูปแบบออกเป็น 4
แบบ คือ แบบไอโคนิก แบบอนาล็อก แบบสัญลักษณ์ และแบบแนวคิด แต่ในที่นี้ได้รวมรูปแบบ
แนวคิดและแบบสัญลักษณ์ ไว้กับแบบอนาล็อคเพื่อความเข้าใจง่ายเพราะทั้งสองแบบเป็นประเภท
เดียวกนั

1. รูปแบบระบบแบบไอโคนิก (Iconic Models) เป็นการจาลองระบบด้วย
ภาพเหมือน ภาพถ่าย หรือสัญลักษณ์โครงสร้างทางกายภาพ ในระบบทางการศึกษารูปแบบระบบ
ไอโคนิก ความเหมาะสมท่ีจะใช้กับระบบทางการศึกษาระดับการสอนและระดับประสบการณ์การ
เรียน ระบบการทดลองทางวทิ ยาศาสตร์ ระบบการผลิตผลงานดว้ ยอาชีพเฉพาะอย่างต่างๆ เปน็ ต้น

2. ระบบแบบอนาล็อก (Analog Models) เป็นระบบเทียบเหมือนที่ใช้ส่ิงแทนที่
กาหนดข้ึนแทนส่วนประกอบ องค์ประกอบ และกระบวนการเปล่ียนแปลงของระบบจริง สามารถลด
ความสลับซับซ้อนของระบบจริงและแสดงเฉพาะส่วนสาคัญของระบบทาให้เข้าใจระบบโดยส่วนรวม
ได้ง่าย ช่ึงสามารถแสดงได้ด้วยภาษา (Language Analog) แผนภูมิ (Flow Chart) แผนที่ (Map)
และกราฟ (Graph)

2.1 รูปแบบระบบอนาล็อกภาษา ประกอบด้วยส่วนท่ีเป็นปณิธาน และ
เป้าหมาย (Mission Statement) เกณฑ์การออกแบบระบบ (Design Criteria) เป้าหมายเชิงปฏิบัติ
(Performance Goals) ส่วนที่เป็นปัจจัยนาเข้าผลลัพธ์ (Inputs/Outputs) หมายความว่า ในระบบ
ย่อย คือระบบปัจจัย นาเข้าจะต้องมีผลลัพธ์ออกมา การใส่ปัจจัยจึงจะบรรลุวัตถุประสงค์ส่วนที่เป็น
ผลลัพธ์/ปัจจัย นาเข้า (Outputs/Inputs) (หมายความว่า ส่วนท่ีเป็นผลลัพธ์บางส่วนจะต้องเป็น
ปัจจัยนาเขา้ สาหรับวงจรผลย้อนกลับดว้ ย และข้อความส่วนทเ่ี ปน็ วงจรยอ้ นกลบั ท่มี ีคนเป็นหลกั

2.2 รูปแบบระบบแบบอนาล็อกแผนภูมิ เป็นการใช้สัญลักษณ์ต่างๆ แทน
ส่วนประกอบ องค์ประกอบและกระบวนการเปล่ียนแปลง ใช้เส้นหัวลูกศรแทนทิศทางการ
เปล่ยี นแปลงและการเคล่ือนยา้ ยของขอ้ มูลต่างๆ

2.3 รูปแบบระบบแบบอนาล็อกแผนภาพ โดยเน้นโครงสร้างที่ไม่ละเอียด
เท่ากับภาพ แต่ใช้สัญลักษณ์แทนส่วนประกอบองค์ประกอบและกระบวนการเปลี่ยนแปลงของระบบ
อาจใชห้ ลายภาพหรอื หลายแผน่ แทนการเปลีย่ นแปลงในชว่ งเวลาตา่ งๆ

2.4 รูปแบบระบบอนาล็อกแผนท่ี เป็นการใช้สัญลักษณ์แทนส่วนประกอบและ
องค์ประกอบตา่ งๆ ในสถานท่ีจริง

2.5 รูปแบบระบบอนาล็อกกราฟ ใช้ระยะแกน X และ Y แทนส่วนประกอบ
หรอื องค์ประกอบของระบบ ใชเ้ ส้นและสญั ลกั ษณแ์ ทนการเคลื่อนไหวเปล่ียนแปลงของระบบ

66

นอกจากมี Keeves (1988) ได้แบ่งประเภทของรูปแบบทางการศึกษาและ
สังคมศาสตร์ โดยยึดแนวทาง capian and Tutsuka และพัฒนาการใช้รูปแบบทางการศึกษาเป็น 4
ประเภท คือ

1. รูปแบบเชิงเทียบเคียง (Analog Model) เป็นรูปแบบท่ีใช้การอุปมาอุปนัย
เทียบเคียง ปรากฏการณ์ซึ่งเป็นรูปธรรมเพื่อสร้างความเข้าใจในปรากฏการณ์ที่เป็นนามธรรม
จดุ มงุ่ หมายของรูปแบบกเ็ พื่ออธบิ ายการเปลยี่ นแปลงประชากรนักเรียนของโรงเรียน

2. รูปแบบเชิงข้อความ (Semantic Model) เป็นรูปแบบท่ีใช้ภาษาเป็นสื่อในการ
บรรยายหรืออธิบายปรากฏการณ์ที่ศึกษาด้วยภาษา แผนภูมิ หรือ รูปภาพ เพ่ือให้เห็นโครงสร้างทาง
ความคิด องค์ประกอบ และความสัมพันธ์ขององค์ประกอบของปรากฏการณ์น้ันๆ และใช้ข้อความใน
การอธบิ ายเพือ่ ให้เกิดความกระจ่างมากข้ึน

3. รูปแบบเชิงคณิ ตศาสตร์(Mathematical Model) เป็นรูปแบบที่ใช้แสดง
ความสัมพันธ์ ขององค์ประกอบหรือตัวแปรโดยสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ ปัจจุบันมีแนวโน้มว่าจะ
นาไปใช้ในด้านพฤติกรรมศาสตร์มากข้ึน โดยเฉพาะในการวัดและประเมินผลทางการศึกษา รูปแบบ
ทางคณติ ศาสตร์น้ีสว่ นมากพัฒนามาจากรปู แบบเชิงข้อความ

4. รูปแบบเชิงสาเหตุ (Causal Model) แนวคิดสาคัญของรูปแบบน้ีคือต้องสร้างขึ้น
จากทฤษฎีท่เี ก่ียวข้องหรอื งานวิจัยที่มมี าแล้ว รูปแบบจะเขียนในลักษณะสมการเสน้ ตรง แตล่ ะสมการ
แสดงความสัมพันธ์เชิงเหตุเชิงผลระหว่างตัวแปร จากนั้นมีการเก็บรวมข้อมูลในสภาพการณ์ ท่ีเป็น
จริงเพื่อทดสอบรูปแบบ รูปแบบเชิงสาเหตุนี้แบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ รูปแบบระบบเส้นเดียว
(Recursive Model) และรปู แบบเชงิ สาเหตุเส้นคู่ (Non-Recursive Model)

ทิศนา แขมณี (2548) ไดส้ รปุ รปู แบบที่นิยมใช้กนั อยู่ทวั่ ไป 4 ลกั ษณะ คือ
1. รูปแบบเชิงเปรียบเทียบ ได้แก่ ความคิดท่ีแสดงออกในลักษณะของการ
เปรียบเทียบส่ิงต่างๆ อย่างน้อย 2 สิ่งข้ึนไป รูปแบบลักษณะนี้ใช้กันมากทางด้านวิทยาศาสตร์
กายภาพสงั คมศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์
2. รปู แบบเชงิ ภาษา ไดแ้ ก่ ความคดิ ท่แี สดงออกผา่ นทางภาษา (พดู และเขยี น)
3. รูปแบบเชิงแผนผัง ได้แก่ ความคิดท่ีแสดงออกผ่านทางแผนผังแผนภาพ
ไดอะแกรม กราฟ เปน็ ตน้
4. รูปแบบเชิงสาเหตุ ได้แก่ ความคิดท่ีแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ
ระหว่างตวั แปรต่างๆ ของสภาพการณ์/ปัญหาใดๆ
Cheng (2002, pp. 56-61) ได้ศึกษาวิจัยและเสนอรูปแบบการบรหิ ารสถานศึกษาท่ี
มีประสทิ ธผิ ลว่ามี 8 รูปแบบ ดงั น้ี
รูปแบบที่1 คือรูปแบบเป้าหมาย (Goal Model) ซึ่งนิยามประสิทธิผลของ
สถานศึกษา ว่าเป็นสถานศึกษาท่ีสามารถดาเนินการบรรลุผลตามเป้าหมายทุกข้อท่ีกาหนด ตัวบ่งช้ีที่
ใช้ในการประเมินโมเดลนี้ คือ วตั ถุประสงค์หรอื เป้าหมายทส่ี ถานศึกษากาหนด
รูปแบบที่ 2 คือ รูปแบบทรัพยากร - ปัจจัยป้อน (Resource-Input Model) นิยาม
ประสิทธิผลของสถานศึกษาว่าเป็นสถานศึกษาที่สามารถจัดหาทรัพยากรหรือสามารถได้ปัจจัยป้อน

67

(เช่น ผู้เรียน) ท่ีมีคุณภาพ ตัวบ่งชี้ท่ีใช้ประเมิน คือ ทรัพยากรต่างๆ ที่จัดหาได้ ปัญหาของโมเดลน้ีคือ
การเน้นท่ีทรพั ยากรและปัจจยั ป้อนมากเกนิ ไปจนไม่ได้ให้ความสาคญั กับกระบวนการดาเนนิ งาน

รูปแบบที่ 3 คือ รูปแบบกระบวนการ (Process Model) นิยามประสิทธิผลของ
สถานศึกษาว่าเป็นสถานศึกษาท่ีมีกระบวนการดาเนินงานภายในราบร่ืน ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการ
บริหารจัดการ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โมเดลน้ีจะใช้ได้ดีถ้าแน่ใจว่ามีความสัมพันธ์ระหว่าง
ทรัพยากรในการดาเนินงานกบั ผลผลิตจริง ตวั บ่งชท้ี ่ใี ชใ้ นการประเมนิ คอื ภาวะความเป็นผู้นา วิธีการ
ตดิ ต่อสอื่ สารท่ีใช้ การมีสว่ นรว่ มในการทางานของทุกฝา่ ย

รูปแบบที่ 4 คือ รูปแบบความพึงพอใจ (Satisfaction Model) นิยามประสิทธิผล
ของสถานศึกษาว่าการบริหารสถานศึกษาท่ีมีประสิทธิผลการดาเนินงานดี ตัวบ่งช้ีท่ีใช้ในการประเมิน
ได้แก่ ความพงึ พอใจของหน่วยงานหรือคณะกรรมการ หรอื กลมุ่ ต่างๆ ทีเ่ กยี่ วขอ้ ง

รูปแบบท่ี 5 คือ รูปแบบการดาเนินงานถูกต้องตามหลักการ (Legitimate Model)
นยิ ามประสิทธิผลของสถานศึกษาว่าการบริหารสถานศึกษาท่ีมปี ระสิทธิผลการดาเนินงานดี ตัวบ่งชี้ท่ี
ใช้ในการประเมนิ คอื ภาพลกั ษณข์ องสถานศกึ ษา ชอื่ เสียงกิตติศพั ท์ เป็นตน้

รูปแบบที่ 6 คือ รูปแบบเน้นการดาเนินงานท่ียังไม่บรรลุผล (Ineffectiveness
Model) นิยามประสิทธิผลสถานศึกษาว่าเป็นสถานศึกษาท่ีสามารถดาเนินงานให้ปลอดจาก
คุณลักษณะท่ีไมพ่ ึงประสงค์ได้ ตวั บ่งช้ที ่ีใชใ้ นการประเมิน คือ สภาพปัญหาต่างๆ ที่เกดิ ข้ึนปัญหาและ
จดุ อ่อนในสถานศึกษา

รปู แบบท่ี 7 คือ รปู แบบการเรียนขององค์การ (Organizational Learning Model)
นิยามประสิทธิผลของสถานศึกษาที่สามารถพัฒนาองค์การให้เกิดการเรียนรู้ได้สามารถปรับเปลี่ยน
การดาเนินงานให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมภายนอก ตัวบ่งชี้ท่ีใช้ในการประเมิน คือ
ความตระหนักถึงความต้องการจาเป็นภายนอก การกากับติดตามงาน การวางแผนพัฒนาและ
การประเมนิ การทางานต่างๆ

รูปแบบที่ 8 คอื รูปแบบการบริหารคณุ ภาพโดยรวม (Total Quality Management
Model) นิยามประสิทธิผลสถานศึกษาว่า เป็นสถานศึกษาท่ีสามารถบริหารจัดการโดยรวมให้
ตอบสนองความต้องการของทุกฝ่ายท่ีเก่ียวข้อง และประสบผลตามเป้าหมายที่กาหนด ตัวบ่งชี้ท่ีใช้ใน
การประเมิน คอื ความเปน็ ผูน้ า การบรหิ ารจดั การ กระบวนการทางานและผลงาน

องค์ประกอบของรูปแบบ
นักการศึกษาได้เสนอความคิดมากมาย จากการศึกษาเอกสาร พบว่า ไม่ปรากฏ
หลักเกณฑ์ท่ีเป็นกฎเกณฑ์ตายตัวว่ารูปแบบนั้นจะต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง อย่างไร ส่วนใหญ่จะ
ขึ้นอยู่กับลักษณะเฉพาะของปรากฏการณ์ท่ีผู้สนใจดาเนินการศึกษา อย่างไรก็ตาม ทิศนา แขมณี
(2548) ได้เสนอองค์ประกอบของรปู แบบท่ีสาคัญมลี ักษณะดังน้ี
1. มีปรัชญา ทฤษฎี หลักการ แนวคิด หรือความเช่ือที่เป็นพ้ืนฐานหรือหลักของ
รูปแบบการพฒั นานนั้ ๆ
2. มีการบรรยายและอธิบายสภาพหรือลักษณะของการจัดการเรียนการสอนที่
สอดคล้องกบั หลักการที่ยดึ ถอื

68

3. มีการจัดระบบ คือ มีการจัดองค์ประกอบและความสัมพันธ์ขององค์ประกอบของ
ระบบใหส้ ามารถนาผ้เู รยี นไปสเู่ ปา้ หมายของระบบหรือกระบวนการนัน้ ๆ

4. มีการอธิบายหรือใหข้ ้อมลู เก่ียวกับวิธีสอนและเทคนิคการสอนต่างๆ อันจะช่วยให้
กระบวนการสร้างความคดิ รวบยอดและความสมั พันธ์ใหม่ๆ ได้

แนวทางการสร้างรูปแบบ
การสร้างรูปแบบ เป็นการกาหนดมโนทัศน์ที่เก่ียวข้องสัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบ
เพื่อช้ีให้เห็นชัดเจนว่า รูปแบบเสนออะไร เสนออย่างไร เพื่อให้ได้อะไร และส่ิงที่ได้น้ันอธิบาย
ปรากฏการณ์อะไร และนาไปสู่ข้อค้นพบอะไรใหม่ (Steiner, 1990, Keeve, 1988) แนวทางกว้างๆ
เพื่อการสร้างรปู แบบไว้ 4 ประการ (Keeves, 1988) ดงั นี้
1. รูปแบบควรประกอบด้วยความสัมพันธ์อย่างมีโครงสร้าง (ของตัวแปร) มากกว่า
ความสมั พันธ์เชิงเส้นตรงแบบธรรมดา อย่างไรก็ตามความเช่ือมโยงแบบเส้นตรงธรรมดาท่ัวไปนั้น ก็มี
ประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในการศึกษาวิจัยในชว่ งตน้ ของการพฒั นารูปแบบ
2. รูปแบบควรใช้เป็นแนวทางในการพยากรณ์ผลที่จะเกิดข้ึนจากการใช้รูปแบบได้
สามารถตรวจสอบได้โดยการสังเกต และหาข้อสนบั สนุนด้วยข้อมลู เชิงประจักษ์ได้
3. รูปแบบควรต้องระบุหรือช้ีให้เห็นถึงกลไกเชิงเหตุผลของเร่ืองที่ศึกษา ดังนั้น
นอกจากรปู แบบจะเปน็ เครื่องมอื ในการพยากรณ์ได้ควรใช้ในการอธิบายปรากฏการณ์ได้ดว้ ย
4. นอกจากคุณสมบัติต่างๆ ท่ีกล่าวมาแล้วรูปแบบควรเป็นเครื่องมือในการสร้าง
มโนทัศน์ใหม่ และการสร้างความสัมพันธ์ของตัวแปรในลักษณะใหม่ ซึ่งเป็นการขยายองค์ความรู้ ใน
เรือ่ งท่กี าลงั ศกึ ษาดว้ ย
นอกจากนี้การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวกับการพัฒนารูปแบบ พบว่า การพัฒนารูปแบบ
อาจมีข้ันตอนการดาเนินงานแตกต่างกันออกไป แต่โดยท่ัวไปแล้วอาจแบ่งออกเป็น 2 ตอนใหญ่ๆ คือ
การสร้างรูปแบบ (Construct) และการหาความตรง (Validity) ของรูปแบบส่วนรายละเอยี ดในแตล่ ะ
ขน้ั ตอนวา่ มกี ารดาเนินการอย่างไรน้ัน ขึ้นอยกู่ ับลักษณะและกรอบแนวคิดซ่งึ เปน็ พืน้ ฐานในการพัฒนา
รูปแบบนน้ั ๆ
นอกจากนี้ นิคม ทาแดง (2536) ได้เสนอหลักการสร้างรูปแบบน้ันเป็นกระบวน
พิจารณา ซ้าทวนและสร้างจากส่วนใหญ่สู่ส่วนย่อยหรือ จากส่วนย่อยแล้วเช่ือมโยงเป็นระบบใหญ่
ทัง้ น้ี รปู แบบแตล่ ะประเภทมขี น้ั ตอนการสร้างโดยดาเนนิ การดงั ต่อไปนี้
1. ค้นหาระบบย่อยจากข้อมูลและสารสนเทศในการวิเคราะห์ระบบพร้อมกับปัจจัย
นาเข้า ผลลัพธแ์ ละบูรณภาพของแต่ละระบบยอ่ ยหรอื กลมุ่ ของระบบย่อยมโนทศั น์
2. เช่ือมต่อเส้นแสดงทิศทางของปัจจัยนาเข้า ผลลัพธ์และ ผลลัพธ์/ปัจจัยนาเข้า
ของแต่ละระบบหรือกลมุ่ ระบบย่อย ซ่ึงข้อมูลและสารนเทศเหล่านี้จะได้มา จากผลของการสังเคราะห์
ระบบเป็นส่วนมาก
3. เชือ่ มโยงระบบย่อยเป็นกลุ่มระบบย่อย และเช่อื มโยงกลมุ่ ระบบยอ่ ยเปน็ เครอื ข่าย
4. จัดลาดับและตาแหน่งของระบบย่อยเพื่อให้เส้นวิถีระบบที่แสดงทิศทางและ
ระหวา่ งระบบยอ่ ยใหเ้ รียบร้อย

69

5. ดาเนนิ การข้อ 2) 3) และ 4) หลายครั้งจนได้ระบบใหญเ่ ป็นทีพ่ อใจ
6. พิจารณาตัดระบบยอ่ ยหรือกลุ่มระบบย่อยท่ีเป็นการจดั การหรอื เป็นงานตามปกติ
ซงึ่ ไมใ่ ช่กระบวนการของระบบออก
7. จัดระบบย่อยท่ีเป็นปัจจัยนาเข้า กระบวนการ ผลลัพธ์และผลย้อนกลับให้ ลาดับ
และตาแหน่งที่เหมาะสมกจ็ ะไดร้ ปู แบบระบบท่ตี ้องการ
ในการสร้างรูปแบบอีกตัวอย่างหน่ึงเป็นการควบคุมวิทยานิพนธ์ซ่ึง บุญชม
ศรสี ะอาด (2545) ดาเนินการเป็น 2 ขน้ั ตอน คอื
ข้ันตอนท่ี 1 การพัฒนารูปแบบและการทดสอบประสิทธิภาพและประสิทธิผลของ
รูปแบบในส่วนของการพัฒนารูปแบบ ดาเนินการโดยวิเคราะห์ลาดับข้ันของการทาวิทยานิพนธ์
หลักการเขียนรายงานวิจัย จุดบกพร่องที่มักจะพบในการทาวิทยานิพนธ์ฯลฯ แล้วนาองค์ประกอบ
เหลา่ น้นั มาสร้างเปน็ รปู แบบการควบคุมวิทยานิพนธต์ ามลาดบั ขน้ั ในการทาวิทยานิพนธ์
ขั้นตอนท่ี 2 คือ การนารูปแบบดังกล่าวไปทดสอบและประเมินประสิทธิภาพและ
ประสทิ ธิผลของรปู แบบการศกึ ษาวิเคราะห์
คัมภีร์ สุดแท้ (2553, น.13-15) ได้ศึกษาการพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการ
โรงเรยี นขนาดเลก็ ได้กาหนดขน้ั ตอนไวด้ ังนี้
1. ขน้ั ตอนการสรา้ งและพัฒนารูปแบบ โดยศึกษาองคป์ ระกอบรูปแบบ สร้างรปู แบบ
โดยจัดทาร่างรูปแบบ ตรวจสอบรูปแบบ ปรับปรุงรูปแบบ จัดทาคู่มือการดาเนินงานตามรูปแบบ
ประเมนิ ความเหมาะสมของคูม่ อื
2. การประเมินรูปแบบ โดยการทดลองใช้รูปแบบและประเมินผลการใช้รูปแบบ
การสร้างรูปแบบ (Model) นั้นเป็นกระบวนพิจารณาซ้าทวนและสร้างจากส่วนใหญ่สู่ส่วนย่อยหรือ
จากส่วนย่อยแล้วเชื่อมโยงเป็นระบบใหญ่มีความสัมพันธ์เชิงโครงสร้าง สามารถทานายผล ขยายผล
การทานายได้กว้างขวาง และสามารถนาไปสู่แนวคิดใหม่ ทั้งนี้ไม่มีข้อกาหนดที่ตายตัวว่าจะต้องทา
อย่างไรบ้าง แต่โดยทั่วไปจะเร่มิ ต้นจากการหาองค์ประกอบ (Intensive Knowledge) เก่ยี วกับเรื่องท่ี
เราจะสร้างรูปแบบให้ชัดเจน จากนั้นจึงค้นหาสมมติฐานและหลักการของรูปแบบที่จะพัฒนา โดย
นาเอาข้อมูลที่ศึกษามาวิเคราะห์และสังเคราะห์ เพื่อกาหนดความสัมพันธ์ขององค์ประกอบของ
รูปแบบ กาหนดโครงสร้างและเสนอของรูปแบบตามหลักการที่กาหนดข้ึนและนารูปแบบที่ สร้างข้ึน
ไปตรวจสอบ ประเมินหาคณุ ภาพของรูปแบบหรอื ความเป็นไปได้ของรปู แบบต่อไป

คณุ ลักษณะของรูปแบบท่ีดี
รูปแบบที่ดีจะเปรียบเสมือนสิ่งท่ีจะทาให้ผู้ท่ีสนใจศึกษาในเรื่องใดๆ ได้มีความเข้าใจ
เป็นเบ้ืองต้นก่อนการศึกษาในแนวลึกต่อไป เพราะรูปแบบช่วยในการสร้างทฤษฎี เช่นลดการอ้างอิง
หลักฐานจานวนมาก รูปแบบท่ีดีไม่จาเป็นต้องมีรายละเอียดมาก หากแต่การเอาส่วนสาคัญบางส่วน
ในรายละเอียดออกไปกลับทาให้รูปแบบนั้นเป็นอันตรายได้ในทางปฏิบัติ บ่อยคร้ังท่ีพบว่า
ทฤษฎีท่ีสาคัญและมีชื่อเสียงหลายทฤษฎีมีรูปแบบที่ไม่สมบูรณ์ เช่น เสนอข้อเท็จจริงของทฤษฎี
ผิดพลาด แปลความหมายผิด เป็นต้น ส่ิงเหล่านี้นักวิจัยต้องระวัง (ทาคาโอะ มิยากาวะ, คงศักด์ิ
สันติพฤกษวงศ,์ 1986) กลา่ วว่า“รูปแบบที่ดีเปรียบเสมือนสิ่งท่ีจะทาให้ผู้ท่ีสนใจศึกษาในเรื่องนน้ั ๆ ได้

70

มีความเข้าใจ เป็นเบื้องต้นก่อนการศึกษาในแนวลึกต่อไป” ดังน้ันการสร้างรูปแบบที่ดีควรมีลักษณะ
ดังนี้

1. รูปแบบควรประกอบด้วยความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างระหว่างตัวแปรมากกว่าเน้น
ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งตัวแปรแบบรวม ๆ

2. รูปแบบควรนาไปสู่การพยากรณ์ผลที่ตามมา ซ่ึงสามารถตรวจสอบได้ด้วยข้อมูล
เชิงประจักษ์โดยเมื่อทดสอบรูปแบบแล้วถ้าปรากฏว่าไม่สอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์รูปแบบนั้น
ต้องถูกยกเลิกไป

3. รูปแบบควรอธิบายโครงสร้างความสัมพันธ์เชงิ เหตุเชิงผลของเร่อื งทศี่ ึกษาได้อย่าง
ชดั เจน

4. รูปแบบควรนาไปสกู่ ารสรา้ งแนวคดิ ใหม่หรือความสัมพันธ์ของเร่อื งทศี่ ึกษาได้
5. รปู แบบในเรื่องใดจะเปน็ เชน่ ไรขนึ้ กับกรอบทฤษฎใี นเร่ืองน้นั ๆ

การทดสอบรูปแบบ
จุดมุ่งหมายทีส่ าคัญของการสร้างรปู แบบก็เพอ่ื ทดสอบหรือตรวจสอบรปู แบบนน้ั ด้วย
ขอ้ มูลเชงิ ประจักษ์โดยการประมาณค่าพารามิเตอร์ของรปู แบบ ดังนั้นรูปแบบที่สร้างขึ้นจึงควรมีความ
ชัดเจนและเหมาะสมกับวิธีการตรวจสอบ โดยปกติแล้วการวิจัยทางสังคมศาสตร์และพฤติกรรม
ศาสตร์มักจะดาเนินการทดสอบรูปแบบด้วยวิธีการทางสถิติ ผลของการทดสอบจะนาไปสู่การยอมรับ
หรือปฏิเสธรูปแบบน้ันและนาไปสู่การสร้างทฤษฎีใหม่ต่อไป การทดสอบหรือตรวจสอบรูปแบบ
สามารถจะกระทาได้ 2 ลักษณะ กล่าวคอื
1. การทดสอบรูปแบบด้วยการประเมิน Joint Committee on Standards for
Educational Evaluation ได้เสนอหลักการประเมินเพ่ือเป็นบรรทัดฐานของกิจกรรมการตรวจสอบ
รปู แบบซงึ่ จดั เป็น 4 หมวด (Madaus, Scriven and Stufflebeam, 1983) ดังนี้

1.1 มาตรฐานด้านความเป็นไปได้ (Feasibility Standards) เป็นการประเมิน
ความเปน็ ไปไดใ้ นการนาไปปฏบิ ตั ิจริง

1.2 มาตรฐานด้านความเป็นประโยชน์ (Utility Standard) เป็นการประเมินการ
สนองตอบต่อความตอ้ งการของผู้ใชร้ ปู แบบ

1.3 มาตรฐานด้านความเหมาะสม (Propriety Standards) เป็นการประเมิน
ความเหมาะสมทงั้ ในด้านกฎหมายและศีลธรรมจรรยา

1.4 มาตรฐานด้านความถูกต้อง (Accuracy Standards) เป็นการประเมินความ
เชื่อถือ และได้สาระครอบคลุมครบถ้วนตามความต้องการอยา่ งแทจ้ รงิ

2. การทดสอบรูปแบบหรือประเมินในบางเรื่องก็ไม่สามารถกระทาได้ ด้วยข้อจากัด
ของสภาพการณ์ต่างๆ ซึ่ง Eisner (1976)ได้เสนอแนวคิดของการทดสอบหรือประเมินโดยใช้
ผู้ทรงคุณวฒุ ิด้วยเห็นว่าการวิจัยทางการศึกษาส่วนใหญ่ดาเนินการตามหลักการทางวทิ ยาศาสตร์หรือ
เชงิ ปรมิ าณมากเกินไป และในบางเรื่องกต็ ้องการความละเอียดอ่อนมากกว่าการได้ตวั เลขและรูปจึงได้
ขอ้ เสนอแนวคดิ การประเมินโดยผ้ทู รงคุณวุฒิไดด้ ังนี้

71

2.1 ประเมินโดยแนวทางน้ี มิได้ประเมินโดยเน้นสัมฤทธิผลของเป้าหมาย หรือ
วัตถุประสงค์ตามรูปแบบของการประเมินแบบอิงเป้าหมาย (Goal Based Model) การตอบสนอง
ปัญหาและความต้องการของผู้ท่ีเก่ียวข้องตามรูปแบบของการประเมินแบบสนองตอบ (Responsive
Model) หรือการรับรองกระบวนการตัดสินใจตามรูปแบบของการประเมินอิงการตัดสนิ ใจ (Decision
Making Mode) แต่อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่การประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิจะเน้นการวิเคราะห์วิจารณ์
อย่างลึกซึ้งเฉพาะในประเด็นท่ีถูกนามาพิจารณา ซ่ึงไม่จาเป็นต้องเก่ียวโยงกับวัตถุประสงค์หรือผู้ที่มี
ส่วนเกย่ี วข้องกับการตัดสินใจเสมอไปแต่อาจจะผสมผสานปจั จัยต่างๆ ในการพิจารณาเขา้ ด้วยกันตาม
วจิ ารณญาณของผู้ทรงคุณวฒุ ิเพื่อให้ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับคุณภาพประสิทธิภาพ และความเหมาะสมของ
สิง่ ท่ีจะทาการประเมิน

2.2 รูปแบบการประเมินท่ีเป็นความเฉทพะทาง (Specialization) ในเร่ืองที่จะ
ประเมิน โดยที่พัฒนามาจากแบบการวิจารณ์งานศิลปะ (Art Criticism) ท่ีมีความละเอียดอ่อนลึกซ้ึง
และต้องอาศัยผู้เช่ียวชาญระดับสูงมาเป็นผู้วินิจฉัย เนื่องจากเป็นการวัดคุณค่าไม่อาจประเมินด้วย
เคร่ืองมือใด และต้องใช้ความรู้ความสามารถของผ้ปู ระเมินอย่างแท้จริง แนวคิดน้ีได้นามาประยุกต์ใช้
ในทางการศึกษาระดับสูงมากขึ้น ท้ังนี้เพราะเป็นองค์ความรู้เฉพาะสาขาผู้ท่ีศึกษาเรื่องน้ันจริงๆ จงึ จะ
ทราบและเข้าใจอย่างลกึ ซ้ึง

2.3 รปู แบบที่ใช้ตัวบุคคล คือผู้ทรงคุณวฒุ ิเป็นเครือ่ งมือในการประเมินโดยความ
เช่ือถือว่าผู้ทรงวุฒิน้ันเที่ยงธรรมและมีดุลยพินิจที่ดี ทั้งนี้มาตรฐานและเกณฑ์พิจารณาต่างๆ น้ันจะ
เกดิ ข้ึนจากประสบการณแ์ ละความชานาญของผ้ทู รงคุณวฒุ ินนั่ เอง

2.4 รปู แบบท่ียอมใหม้ ีความยืดหยุ่นในกระบวนการทางานของผู้ทรงคุณวุฒิ ตาม
อัธยาศัยและความถนัดของแต่ละคน นับตั้งแต่การกาหนดประเด็นสาคญั ท่ีจะนามาพจิ ารณา การบง่ ช้ี
ขอ้ มลู ท่ีตอ้ งการ การเก็บรวบรวมขอ้ มูล การประมวลผล การวินิจฉัยข้อมลู ตลอดจนวธิ กี ารทาเสนอ

กล่าวโดยสรุป การทดสอบรูปแบบสามารถใช้ 2 วิธีดังกล่าว คือการประเมินตาม
แนวคิดของ Joint Committee on Standard for Education Evaluation และการประเมินโดยใช้
ผู้ทรงคุณวุฒิ ตามแนวคิดของ Eisner ซึ่งเป็นวิธีที่แสดงถึงโครงสร้างความคิดโดยใช้หลักการ
เทียบเคียง แนวความคิด ประสบการณ์และข้อมูลในองค์ประกอบและความสัมพันธ์ขององค์ประกอบ
ตา่ งๆ

สรุปการสงั เคราะหร์ ปู แบบและการพัฒนารปู แบบ
จากการศึกษา ความหมายของรูปแบบ ประเภทของรูปแบบ องค์ประกอบของ
รูปแบบ แนวทางการสร้างรูปแบบ และการทดสอบรูปแบบ ผู้วิจัยได้สังเคราะห์วิธีดาเนินการทาวิจัย
รูปแบบการบริหารงานวชิ าการ ดงั นี้
1. รูปแบบที่ใช้ในการวิจัย โดยประมวลใช้รูปแบบเชิงสัญลักษณ์ (Symbolic
Model) ประเภทรูปแบบข้อความ (Verbal Model) หรือรูปแบบเชิงคุณภาพ (Qualitative Model)
ตามแนวคิดของ Smith et al (1980) รูปแบบเชิงข้อความ (Semantic Model) ตามแนวคิดของ
Keeves (1988) รูปแบบเชิงภาษาตามแนวคิดของ ทิศนา แขมณี (2548, น. 7) ซ่ึงเป็นรูปแบบที่ใช้
ภาษาเป็นสื่อในการบรรยายหรืออธิบายปรากฏการณ์ท่ีศึกษาด้วยภาษา แผนภูมิ หรือรูปภาพ เพื่อให้
เห็นโครงสร้างทางความคิด องค์ประกอบ และความสัมพันธ์ขององค์ประกอบของปรากภูการณ์นั้นๆ

72

และใช้ข้อความในการอธิบาย เพ่ือให้เกิดความกระจ่างมากข้ึนซ่ึงเป็นรูปแบบที่เป็นความคิดท่ี
แสดงออกผ่านทางภาษา (พูดและเขียน) และรูปแบบการบริหารคุณภาพโดยรวม (Total Quality
Management Model) ตามแนวคิดของ Cheng (2002, pp. 56-61)

2. ข้ันตอนการพัฒนารูปแบบประยุกต์ตามแนวคิดของ Steiner (1990) Keeve
(1988) คัมภรี ์ สุดแท้ (2553 น. 13) และบญุ ชม ศรสี ะอาด (2545) โดยกาหนดเป็น 3 ข้นั ตอน ดังนี้

2.1 การศึกษาองค์ประกอบเกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิผลมีการ
ดาเนนิ การวิจยั ดงั นี้

2.1.1 เอกสารงานวิจัยทีเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบของรูปแบบการ
บริหารงานวิชาการท่ีมีประสิทธผิ ลของของโรงเรียน

2.1.2 ศึกษาตัวแบบของโรงเรียนท่ีประสบความสาเร็จและเป็นแบบอย่าง
โดยการสมั ภาษณ์เชิงลึกผูใ้ ห้ขอ้ มูลสาคญั

2.1.3 นาข้อมูลสารสนเทศท่ีได้จากการศึกษาเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การศึกษาตัวแบบของโรงเรียนท่ีประสบความสาเร็จและเป็นแบบอย่าง และข้อมูลจากการสัมภาษณ์
มาประมวลเข้าด้วยกัน เพ่ือร่างองค์ประกอบของการพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการที่มี
ประสิทธผิ ลของของโรงเรียน

2.2 การสร้างรูปแบบการบริหารงานวิชาการที่มีคุณภาพของโรงเรียน และคู่มือ
การดาเนินการฯ ในข้ันตอนการสร้างรปู แบบการบริหารงานวิชาการ มีการดาเนินการ 5 ขั้นตอนย่อย
คือ

2.2.1 การรา่ งรูปแบบ
2.2.2 การตรวจสอบความเหมาะสม ความเป็นไปได้ของรูปแบบโดยใช้
แนวคิดของ Eisner (1976) โดยการการทดสอบหรือประเมินโดยใช้ผู้ทรงคุณวุฒิ ส่วนวิธีทดสอบ
รูปแบบด้วยการประเมินตามแนวคิดของ Joint Committee on Standards for Educational
Evaluation Madaus, Scriven and Stufflebeam (1983) ใน 2 หมวด ดังนี้

2.2.2.1 มาตรฐานด้านความเหมาะสม (Propriety Standards) เป็น
การประเมินความเหมาะสมโดยผูท้ รงคณุ วฒุ ิ

2.2.2.2 มาตรฐานด้านความเป็นไปได้ (Feasibility Standards)
เปน็ การประเมนิ ความเป็นไหไ้ ดโ้ ดยผู้ทรงคณุ วุฒิ

2.2.3 ปรบั ปรงุ รูปแบบ
2.2.4 จัดทาค่มู ีอประกอบการดาเนนิ การตามรูปแบบ
2.2.5 ประเมนิ ความเหมาะสมของคมู่ ือฯ
2.3 การประเมินผลการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการท่ีมีประสิทธิผลของ
โรงเรียน การดาเนินการวิจัยในเป็นการนารปู แบบการบริหารงานวิชาการท่ีมีประสิทธผิ ลมาทดลองใช้
จริง และทาการประเมินโดยการทดลองใชจ้ รงิ มีการดาเนนิ การดังนี้
2.3.1 กาหนดกล่มุ ตวั อยา่ งทดลองใชร้ ปู แบบฯ
2.3.2 สร้างความเข้าใจและช้ีแจงให้บคุ ลากรในโรงเรยี นทีท่ ดลองใช้
2.3.3 ดาเนินการทดลองใช้รปู แบบฯ

73

2.3.4 ประเมินผลหลังการใช้โดยใช้ผู้ที่เข้าร่วมทดลองทาการประเมินตาม
แนวคิดของ Eisner (1976) และประเมินตามวิธีทดสอบรูปแบบด้วยการประเมินตามแนวคิดของ
Joint Committee on Standards for Educational Evaluation Madaus, Scriven and
Stufflebeam (1983) ใน 3 หมวด คือ 1) มาตรฐานด้านความเหมาะสม (Propriety Standards)
เป็นการประเมินความเหมาะสมทั้งในในการนาไปปฏิบัติจริง 2) มาตรฐานด้านความเป็นไปได้
(Feasibility Standards) เป็นการประเมินความเป็นไปได้ในการไปปฏิบัติจริง และ 3) มาตรฐานด้าน
ความเป็นประโยชน์ (Utility Standards) เป็นการประเมินการสนองตอบต่อความต้องการของผู้ใช้
รูปแบบ

สรุปได้ว่า รูปแบบคือส่ิงที่สร้างข้ึนจากการศึกษาค้นคว้าจากแนวคิด ทฤษฎี และ
หลักการต่างๆ และพัฒนาให้มีความเหมาะสมในการนาไปใช้ ประกอบด้วยองค์ประกอบต่างๆ และ
กระบวนการสร้างและการทดลองใช้รูปแบบท่ีสร้างข้ึน กระบวนการสร้างและการทดลองดังกล่าว
อาศยั กระบวนการวจิ ัยและพัฒนา โดยการศึกษาองค์ประกอบของรูปแบบ สร้างรูปแบบโดยการจดั ทา
รูปแบบฉบับร่าง จัดทาคู่มือการคาเนินงานตามรูปแบบ ประเมินความเหมาะสมของคู่มือ ทดลองใช้
รูปแบบ และประเมินผลการใชร้ ปู แบบ

แนวคิดเกีย่ วกับคมู่ ือการบริหารงานวชิ าการ

ในการนารูปแบบไปใช้ให้มีประสิทธิภาพ จาเป็นต้องมีการจัดทาเป็นคู่มือการ
ดาเนินงานตามรูปแบบ เพราะคู่มือเป็นสิ่งท่ีแสดงให้เห็นถึงวิธีการในปฏบิ ัติ ซ่ึงได้กาหนดวัตถุประสงค์
ของการดาเนนิ งานไว้ ดงั นั้นผวู้ จิ ัยจึงได้ทาการศกึ ษาค้นควา้ แนวคิดเกยี่ วกับการจดั ทาคมู่ ือ ดงั นี้

ความหมายของคูม่ อื
ในการดาเนินกิจกรรมจะต้องใช้ส่ือและสื่อท่ีสาคัญคือ คู่มือจะเป็นสิ่งท่ีกาหนด
จุดมุ่งหมายของการเรียนรู้ เนื้อหาวิธีการ ส่ือ ตลอดจนการวัดผลสาเร็จของการดาเนินงาน
ความหมายของคูม่ ือนนั้ มีผู้ให้ความหมายไวห้ ลายท่าน คือ
คีรีบูน จงวุฒิเวศย์และมาเรียม นิลพันธุ (2542, น. 14) ให้ความหมายในการจัดทา
คู่มือไว้ว่า ต้องคานึงถึงคู่มือที่สร้างขึ้นมาน้ันมีความจาเป็นอย่างไร โดยคู่มือครูเป็นแหล่งของความรู้
ของผู้ศึกษา และที่สาคัญคือจะเป็นตัวช่วยให้มีความเข้าใจมากขึ้น และสามารถท่ีจะนาไปปฏิบัติ
ถูกต้องมากขึ้น ในการเขียนคู่มือน้ันไม่จาเป็นที่จะต้องอาศัยผู้เช่ียวชาญ ที่จะเปน็ ผู้สรา้ งและผู้ใช้คูม่ ือก็
ไมจ่ าเป็นอีกต่อไป ท้ังนี้ผเู้ ช่ียวชาญจะมีส่วนรว่ มอย่างมากในการให้คาแนะนาต่างๆ เช่น การแก้ไขการ
ยกตวั อย่าง เป็นต้น
ปรีชา ช้างขวัญยืน และคนอน่ื ๆ (2542, น. 153) ได้สรุปความหมายของหนังสอื คูม่ ือ
ว่าเป็นหนังสือที่ใช้ควบคู่เก่ียวกับการกระทาสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ให้หนังสือเป็นแนวทางการปฏิบัติแก่ผู้ใช้
สามารถกระทาสง่ิ นัน้ ๆ ใหบ้ รรลุผลสาเรจ็ ตามเปา้ หมาย
กล่าวได้ว่า คู่มือ หมายถึง หนังสือหรือเอกสารที่ให้ข้อความเกี่ยวกับการทาส่ิงใดส่ิง
หน่ึงแก่ผู้อ่าน โดยมุ่งหวังให้ผู้อ่านหรือผู้ใช้มีความเข้าใจสามารถ ดาเนินการในเร่ืองนั้นด้วยตนเองได้

74

อย่างเหมาะสม หรอื คอื หนังสอื หรือเอกสารท่ีใช้ประกอบควบคู่ เปน็ แนวทางในการปฏิบัติงานอยา่ งใด
อยา่ งหน่งึ เพอื่ ให้บรรลผุ ลสาเร็จตามเปา้ หมายอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ

ประเภทของคมู่ ือ
ปรชี า ช้างขวัญยืน และคนอื่นๆ (2542, น. 127-132) อธบิ ายว่า โดยทั่วๆ ไปหนังสือ
คู่มือที่พบกนั มี 3 ประเภทใหญๆ่ ไดแ้ ก่
1. คู่มือครู (Teacher’s Manual or Handbook) เป็นหนังสือท่ีให้แนวทางและ
คาแนะนาแก่ครูเก่ียวกับสาระ วิธีการ กิจกรรม ส่ือ วัสดุ อุปกรณ์ และแหล่งข้อมูลอ้างอิงต่างๆ ปกติ
มักใช้ควบคู่กับตาราเรียนหรือหนังสือเรียน เช่น คู่มือจัดกิจกรรมบูรณาการสาหรับเด็กปฐมวัย คู่มือ
ปฏบิ ัติการนเิ วศวทิ ยา เปน็ ตน้
2. คู่มือเรียนแบบฝึกปฏิบัติ (Student’s Manual or Workbook) คือหนังสือที่
ผู้เรียนใช้ควบคู่กับตาราที่เรียนปกติจะประกอบไปด้วยสาระ คาสั่ง แบบฝึกหัด ปัญหาหรือคาถามท่ี
ว่างสาหรับเขียนคาตอบและการทดสอบ ปัจจุบันคู่มือผู้เรียนไม่เพียงแต่จัดทาข้ึนเพื่อใช้ควบคู่กับ
หนังสือ ตาราเท่านั้น แต่อาจจะใช้เป็นคู่มือสาหรับการศึกษาควบคู่ไปกับสื่ออื่นๆ ท่ีทาหน้าท่ีแทนครู
หรือตารา เช่น บทเรียน วิดีทัศน์ บทเรียนทางไกล ภาพยนตร์ หรือบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
เป็นตน้
3. คู่มือทั่วไป เป็นหนังสือท่ีให้ข้อความเก่ียวกับการทาส่ิงใดสิ่งหน่ึง โดยมุ่งหวังให้
ผอู้ ่านหรือผูใ้ ช้มคี วามเข้าใจ และสามารถดาเนนิ การในเร่อื งน้นั ๆ ด้วยตนเองได้อยา่ งถกู ต้องเหมาะสม
สรุปไดว้ ่า คู่มือไม่ว่าจะมกี ่ีประเภทส่วนมากจะเกี่ยวกับการเรียนการสอนหรือการจัด
กิจกรรมเป็นคู่มือท่ีเสนอแนะแนวทาง เทคนิคในการดาเนินการสอนหรือกิจกรรมต่างๆ เพ่ือให้บรรลุ
จุดประสงคท์ วี่ างไว้ ในการจัดทาคู่มอื สว่ นประกอบท่สี าคัญๆ ทสี่ ามารถปฏบิ ัติงานได้

ลักษณะของคมู่ อื ที่ดี
มนี ักการศึกษาไดก้ ลา่ วถึงลักษณะของคู่มือท่ดี ไี ว้ ดงั เช่น
คีรบี ูน จงวุฒิเวศย์ และมาเรียม นิลพันธ์ (2542, น. 17-18) ได้แยกลักษณะคู่มือท่ีดี
เปน็ 3 ด้าน คอื
1. ด้านเน้ือหา เนื้อหาสาระหรือรายละเอียดในคู่มือ ควรตรงกับเร่ืองท่ีศึกษาและ
ไม่ยากเกินไปจนทาให้ไม่มีผู้สนใจจะหยิบอ่าน การดาเนินการกับเนื้อหาควรให้ความเหมาะสมกับ
พื้นความรู้ผู้ที่จะศึกษา ข้อมูลที่มีในคู่มือ ผู้อ่านสามารถประยุกต์ใช้ได้ เน้ือหาควรจะเหมาะสมที่จะ
อ้างอิงได้ ควรมีกรณีตัวอยา่ งประกอบในบางเรื่อง เพื่อจะได้ทาความเข้าใจง่าย และควรมีการปรับปรุง
เน้ือหาของคมู่ ือให้ทนั สมัยเสมอ
2. ด้านรูปแบบ ตัวอักษรที่ใช้ควรมีตัวโต และมีรูปแบบท่ีชัดเจน อ่านง่าย เหมาะสม
กับผู้ใช้ ควรมีภาพหรือตัวอย่างการประกอบเน้ือหา ลักษณะการจัดรูปเล่มควรทาให้น่าสนใจ การใช้
ภาษาใหเ้ ขา้ ใจง่ายเหมาะสมกับผู้ใช้ค่มู ือ และระบบการนาเสนอควรเป็นระบบจากง่ายไปหายาก หรือ
เป็นเร่อื งๆ ใหช้ ัดเจน

75

3. ด้านการนาเอาไปใช้ ควรระบุขั้นตอน วิธีการใช้คู่มือให้ชัดเจน มีแผนภูมิตาราง
ตวั อยา่ งประกอบให้สามารถนาไปใช้ปฏิบัติได้จริง มขี ้อมูลเพื่อสามารถใหป้ ระสานงานต่างๆ ได้สะดวก
รวดเรว็ และบอกสทิ ธปิ ระโยชน์ และข้อควรปฏิบัตใิ หเ้ ขา้ ใจง่าย

กล่าวไดว้ ่า คมู่ ือท่ีดีตอ้ งมลี ักษณะดังนี้ มีเนือ้ หาเหมาะสมตรงกับเร่อื งท่ีศกึ ษา ถูกต้อง
และครอบคลุมเนื้อหาสาระของคู่มือน้ัน การจัดข้อมูลเรียงลาดับนาเสนอเป็นข้ันตอนที่เข้าใจง่าย
ช่วยใหส้ ามารถดาเนินการตามแนวทางและขั้นตอนต่างๆ ได้ดแี ละรายละเอียดของค่มู ือชัดเจน ไม่ยาก
เกนิ ไป

คมู่ อื ปฏิบัติงานทีจ่ ัดทาขึ้นจะเปน็ ประโยชนต์ ่อหน่วยงานและผู้ปฏิบัติงาน ดงั น้ี
1. คู่มือปฏิบัติงานถือเป็นบรรทัดฐานสาหรบั การปฏิบัติงานคือช่วยใหก้ ารปฏิบัติงาน
เปน็ ไปอย่างมเี กณฑ์ ไมว่ ่าใครจะเป็นผู้ปฏบิ ตั ิหรอื ปฏิบัตติ อ่ ใคร ทาให้เกิดแบบแผนทีด่ ี
2. ชว่ ยใหผ้ ู้ปฏิบตั ิงานตระหนกั ในหนา้ ท่แี ละความรับผดิ ชอบอยา่ งชดั เจน
3. ใช้เปน็ คู่มอื ใหมใ่ นการฝึกบุคลากรใหมท่ าให้สามารถเรยี นร้งู านได้ถกู ต้องรวดเรว็
4. ชว่ ยลดเวลา ลดความผิดพลาดและความบกพร่องในการปฏบิ ตั ิงาน
5. ชว่ ยลดค่าใช้จ่ายในการดาเนินงาน
6. ช่วยเพ่ิมประสิทธภิ าพในการทางานองค์ประกอบของคมู่ ือ
ปรีชา ช้างขวัญยืน และคนอื่นๆ (2542, น.154-156) กล่าวถึง องค์ประกอบของ
คูม่ อื ว่าควรประกอบด้วยรายละเอียดทีส่ าคัญ ดงั น้ี
1. คาช้ีแจงการใช้คู่มือ โดยครอบคลุมถึงวัตถุประสงค์ของคู่มือความรู้พื้นฐานท่ี
จาเปน็ ในการใช้คู่มอื วิธีการใช้ และคาแนะนา
2. เน้ือหาสาระ ปกติจะมีการให้เน้ือหาสาระ โดยมีคาชี้แจงหรือคาอธิบายประกอบ
และอาจมีการวิเคราะหเ์ นอื้ หาสาระให้ผอู้ ่านเกิดความเข้าใจท่ีกระจ่าง
3. การเตรียมการ ประกอบด้วยรายละเอียดเกี่ยวกับการเตรียมสถานท่ี วัสดุ ส่ือ
อุปกรณ์และเครอื่ งมอื ท่ีจาเป็น การเตรยี มวสั ดแุ ละการตดิ ต่อประสานงานท่จี าเปน็
4. กระบวนการ วิธีการ กิจกรรม ส่วนนี้นับว่าเป็นส่วน สาคัญของคู่มือ คู่มือ
จาเป็นต้องให้ข้อมูลหรือรายละเอียดต่างๆ ดังนี้ คาแนะนาเก่ียวกับขั้นตอนและวิธีดาเนินการ
คาแนะนาและตัวอย่างเกี่ยวกับกิจกรรมท่ีจะช่วยให้บรรลุผล คาถาม ตัวอย่างแบบฝึกหัด แบบปฏิบัติ
และสื่อต่างๆ ที่ใช้และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับสิ่งควรทา ไม่ควรทา ซึ่งมักจะมาจากประสบการณ์ของ
ผเู้ ขยี นฯลฯ
5. การวัดและประเมินผล คู่มือที่ดีควรจะให้คาแนะนาท่ีเกย่ี วข้องอย่างครบถ้วน การ
วัดและประเมินผล นับเป็นองค์ประกอบสาคัญอีกองค์ประกอบหน่ึง คู่มือจาเป็นต้องให้รายละเอียด
ต่างๆ เช่น เครื่องมือวัดผล วิธีวัดผล และเกณฑ์การประเมินผล คู่มือครูอาจเสนอแนะ เกณฑ์ใน
การประเมนิ ผล หรือให้คาแนะนาในการพฒั นาเกณฑ์เพื่อประเมิน
6. ความรู้เสริม คู่มือทีด่ ีจะต้องคานึงถึงความต้องการของผ้ใู ช้ และสามารถคาดคะเน
ได้ว่าผู้ใช้มักจะประสบปัญหาในเรื่องใด และจัดหาหรือจัดทาข้อมูลท่ีจะช่วยส่งเสริมความรู้ อันจะทา
ใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพยิ่งข้ึน
7. ปญั หาและคาแนะนาเก่ียวกบั การปอ้ งกนั และแก้ไขปญั หา

76

8. แหล่งข้อมลู และแหลง่ อา้ งอิงต่าง ๆ

การเขียนคมู่ ือ
ในการจัดทาคู่มือส่วนประกอบที่สาคัญๆ สามารถปฏิบัติงานได้ ดังแนวคิดและ
ข้อสรุปของนักวชิ าการ ดังตอ่ ไปนี้
มีผู้ให้ความหมายของการเขียนคู่มือว่าเป็น กระบวนการเขียนตาราหรือเอกสาร
วิชาการ ขอ้ ควรคานึงในการเขยี นหนังสอื คู่มือ
ปรชี า ชา้ งขวัญยืน และคนอื่นๆ (2542, น. 13 -134) ประเด็นต่างๆ ควรครอบคลุม
รายละเอียดต่างๆ เนื่องจากในบางคร้ัง ผู้อ่านไม่สามารถสอบถามกับผู้เขียนได้โดยตรงจึงจาเป็นต้อง
คานึงถึงประเด็นดังต่อไปน้ี ควรระบุให้ชัดเจนว่าคู่มือน้ันเป็นคู่มือสาหรับใคร ใครเป็นผู้ใช้ กาหนด
วัตถุประสงค์ให้ชัดเจนว่าต้องการให้ผู้ใช้ได้อะไรบ้าง ควรมีส่วนนาที่จูงใจผู้ใช้ว่าคู่มือนี้จะช่วยผู้ใช้ได้
อย่างไร ผู้ใช้จะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง ควรมีส่วนท่ีให้หลักการหรือความรู้ท่ีจาเป็น แก่ผู้ใช้คู่มือ
เพ่ือให้ผู้ใช้คู่มือเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และควรมีส่วนที่ให้คาแนะนาแก่ผู้ใช้เกี่ยวกับ การเตรียมตัว
การเตรียมเคร่ืองมอื วสั ดแุ ละสิง่ จาเปน็ ในการดาเนินการท่คี มู่ ือแนะนา
กล่าวได้ว่า คู่มือท่ีดีนั้นควรมีลักษณะในประเด็นหลักๆ ดังน้ี ด้านเน้ือหาต้องถูกต้อง
และครอบคลุมสาระของคู่มือน้ันการจัดลาดับข้อมูลนาเสนอ เป็นขั้นตอนเข้าใจง่ายมีคาช้ีแจงมี
วัตถุประสงค์ชัดเจนผู้ใดอ่านแล้วสามารถนาไปปฏิบัติได้ รูปแบบของคู่มือเหมาะสมและทนต่อการใช้
งาน ใช้ภาษาเหมาะสมกับผู้ใช้เข้าใจง่ายมีตัวอย่างประกอบทาให้เข้าใจง่ายขึ้น และมีแหล่งสืบค้น
ข้อมูลหรือหนงั สอื อา้ งอิง
สรปุ การสงั เคราะห์ค่มู อื การดาเนนิ งานตามรปู แบบการบริหารงานวชิ าการ
จากการศึกษาองค์ประกอบของคู่มือ จากนักวิชาการต่างๆ ผู้วิจัยได้สังเคราะห์เป็น
แนวทางการสร้างคู่มือการดาเนินงาน ตามรูปแบบการบริหารงานวิชาการท่ีมีคุณภาพของโรงเรียน
ประกอบด้วย บทนา หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์วิธีดาเนินการตามรูปแบบ รูปแบบการ
ดาเนินการตามรูปแบบตามองค์ประกอบต่างๆ บทบาทหน้าท่ีของบุคลากรในการดาเนินงานตาม
รูปแบบ เกณฑ์การประเมินผลการใช้รูปแบบ และแบบประเมินผลการใช้รูปแบบ หลังจากน้ันนาการ
ประเมินความเหมาะสมของคู่มือการดาเนินงาน ตามรูปแบบโดยใช้ผู้เชี่ยวชาญ เกี่ยวกับความ
เหมาะสม เนื้อหาสาระ รูปแบบการพมิ พ์ความสะดวกในการนาไปใช้และลักษณะทางกายภาพ พร้อม
ทง้ั ใหข้ ้อเสนอแนะ
กล่าวได้ว่า การบริหารงานวิชาการเป็นกระบวนในการทางาน สนับสนุนการจัดการ
เรียนการสอน โดยให้ผู้เรียนสาเร็จตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรอย่างมีคุณภาพ อันมีหลักการที่
สาคัญๆ หลายประการ เพ่ือพัฒนาความรู้ความสามารถให้สู่ความเป็นเลิศ มีเป้าหมายให้บุคลากร
ทุกฝ่าย ร่วมคดิ ร่วมทา ร่วมผลติ โดยคานงึ ถึงคณุ ภาพและความประหยัด ในการบริหารงานวิชาการที่
จะประสบผลสาเร็จตามจุดมุ่งหมายน้ัน ผู้บริหารจะต้องมีกระบวนการบริหารงานเป็นขั้นตอน ได้แก่
การวางแผน การจัดองค์การ การดาเนินงาน การนิเทศ และการประเมินผล โดยมีรูปแบบการ
บริหารงานวิชาการที่มีคุณภาพของโรงเรียน คือการดาเนินการบริหารงานวิชาการโรงเรียนเอกชน
ตามแนวคิด ทฤษฎี ภาวะผู้นาทางวิชาการ การมีส่วนร่วมในการบริหารงานวิชาการ การสร้างและ

77

พัฒนาทีมงานการบริหารงานวิชาการตามแนวคิดดุลยภาพ และภารกิจและขอบข่ายการบริหารงาน
วิชาการของโรงเรียน เพื่อให้ได้รูปแบบการบริหารงานวิชาการท่ีมีคุณภาพ ที่เหมาะสม มีความเป็นไป
ได้และมคี วามเปน็ ประโยชน์

การวิเคราะห์สถานการณ์การบริหารงานวิชาการโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา
(Situational Analysis : SWOT)

จิราพร เป้ียสนิ ธุ (2554, น. 89-92) การวิเคราะห์สถานการณเ์ ป็นความพยายามของ
โรงเรียนที่จะตรวจสอบเพื่อทราบจุดแข็ง และจุดอ่อนของโรงเรียนอันเป็นปัจจัยภายใน รวมท้ัง
ตรวจสอบเพ่ือหาโอกาสและข้อจากัดอันเป็นปัจจัยภายนอกบริษัท และด้วยเหตุที่การวิเคราะห์
สถานการณ์ประกอบด้วยการวิเคราะหป์ ัจจัย 4 อยา่ งดังกล่าว ดังนัน้ บางครง้ั การวิเคราะห์สถานการณ์
จึงเรยี กวา่ “SWOT Analysis”

การวิเคราะห์สถานการณ์เป็นการหาคาตอบต่อคาถามโดยท่ัวไป 2 ประการคือ
“สภาพปัจจุบนั ของโรงเรียนเป็นอย่างไร” (What is the current position of the firm?) กับ
“ทิศทางการดาเนินงานของโรงเรียนต่อไปจะมุ่งไปทางไหน”(Where does the firm want to
be?) คาถามเหล่าน้ีจะสามารถตอบได้ด้วยการศึกษาวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของโรงเรียน
โดยการเปรยี บเทยี บกับคูแ่ ขง่ ขนั และตรวจสอบสภาพแวดลอ้ มภายนอก เพื่อหาโอกาสและอุปสรรค

สาหรับความหมายของ “จุดแขง็ –จดุ อ่อน–โอกาส–และอปุ สรรค” อธบิ ายได้ดงั น้ี
1. จุดแข็ง (Strengths) หมายถึง ข้อได้เปรียบของโรงเรียนเหนือคู่แข่งขันที่โรงเรียน
สามารถนามาใช้ในการดาเนนิ งาน ไดแ้ กส่ ิ่งต่างๆ ต่อไปน้ี

1.1 มที ีมงานบริหารท่มี ปี ระสบการณส์ ูงและมีวสิ ยั ทัศน์ที่กวา้ งไกล
1.2 มคี วามรู้เก่ียวกบั การบรหิ ารการศกึ ษาและลูกคา้ อยา่ งดี
1.3 มีความรู้ ความชานาญทางด้านเทคนิคหรอื ลักษะบางอยา่ งทโี่ ดดเดน่
1.4 มีสว่ นครองตลาดสูงเปน็ ผู้นาตลาด
1.5 มีฐานะทางการเงนิ ม่นั คงเพ่ือสรา้ งความเจริญเตบิ โตให้กับธุรกจิ
1.6 มีบคุ ลากรทางดา้ นการตลาดท่ีมีคณุ ภาพสงู
1.7 มีความสามารถในการแขง่ ขันด้านราคาดี
1.8 ประสบการณด์ า้ นการขายสูง
1.9 มชี อ่ งทางการจัดจาหนา่ ยกว้างและมั่นคง
1.10 มรี ปู แบบผลติ ภณั ฑ์ทีล่ อกเลยี นแบบไดย้ าก
1.11 มชี อื่ เสียงดเี ป็นที่ครองใจลกู ค้ามานาน
1.12 มพี นกั งานท่ชี อ่ื สัตย์และจงรักภกั ดี
1.13 มีการบริหารบคุ ลากรท่ีดี
1.14 มีความแข็งแกรง่ ด้านการโฆษณาและการสง่ เสริมการตลาด
1.15 มีชอ่ื เสียงด้านการบริการลูกค้าที่ดี
1.16 มีคณุ ภาพดา้ นผลติ ภัณฑ์ดีกว่าของคแู่ ขง่ ขนั

78

1.17 มีความได้เปรียบดา้ นตน้ ทุน
2. จุดอ่อน (Weaknesses) หมายถึง ส่ิงที่โรงเรียนยังขาดหรือมีแต่ด้อยกว่าของ
คแู่ ข่งขนั หรืออยใู่ นสภาพทีเ่ สยี เปรยี บ อนั เปน็ ปัญหาหรืออปุ สรรคในการดาเนนิ งาน ได้แก่

2.1 การขาดทรพั ยากรดา้ นการเงนิ
2.2 การขาดประสบการณด์ า้ นการบริหารนนั้
2.3 ส่วนแบง่ ตลาดน้อยกวา่
2.4 เครือ่ งมอื ด้านการผลิตมีคุณภาพดอ้ ยกว่า
2.5 ชอื่ เสียงไมม่ ี
2.6 บคุ ลากรไม่จงรักภกั ดีไม่ซ่ือสัตย์
2.7 มแี หลง่ วัตถุดิบจากัดและข้นึ อยู่กับฤดูกาล
2.8 มวี สั ดุอปุ กรณไ์ ม่ทนั สมยั และอายุการใช้งานนาน
2.9 วฒั นธรรมของโรงเรยี นไม่เออ้ื อานวย
2.10 โครงสร้างขององค์การใหญแ่ ละเชื่องช้า
2.11 ผบู้ รหิ ารไมม่ ีวิสยั ทศั น์
2.12 ใชร้ ะบบครอบครัวในการบรหิ ารงาน
2.13 ภาพลักษณข์ องโรงเรียนไมด่ ี
2.14 ทิศทางกลยุทธใ์ นการบริหารไมช่ ัดเจน
2.15 มีสิง่ อานวยความสะดวกด้านตา่ งๆท่ีล้าสมัย
2.16 มตี น้ ทนุ ตอ่ หนว่ ยสูงเม่อื เปรยี บเทยี บกับของคูแ่ ขง่ ขันหลัก
2.17 การวิจัยและพัฒนา (R & D) ยงั ลา้ หลงั
3. โอกาส (Opportunities) หมายถึง ปัจจัยหรือสถานการณ์ภายนอก ที่มีส่วนช่วย
ให้โรงเรียนสามารถใช้ความพยายามเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ท่ีวางไว้ หรือมากกว่าท่ีมุ่งหวังไว้อย่าง
มาก โอกาสของโรงเรยี นท่เี ปน็ ไปได้ (Potential Company Opportunities) ได้แก่
3.1 การเพ่มิ บริการให้กับกลุม่ ลูกคา้ ผู้ปกครองมากขนึ้
3.2 การขยายสายผลิตภณั ฑ์เพ่ิมข้ึน เพ่ือใหส้ อดคลอ้ งกับความต้องการของลกู ค้า
ทีม่ ีขอบเขตกวา้ งขึ้น
3.3 การนาความรู้ความชานาญ หรอื ความรดู้ ้านเทคโนโลยีมาใชเ้ พ่อื พัฒนา
3.4 การปิดเกมเพ่ือช่วงชิงส่วนแบง่ ตลาดจากคู่แขง่
3.5 ความสามารถในการเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วในสภาวะท่ีความต้องการ
ของผปู้ กครองหรือมีส่วนไดส้ ่วนเสียเพิ่มขึ้นมาก
3.6 การเลกิ การกดี กนั ทางการค้าในตลาดตา่ งประเทศทีน่ า่ สนใจ
3.7 การซ้ือกิจการ (Acquisition) ของบริษัทค่แู ขง่
3.8 การเป็นพันธมิตร (Alliances) หรือการเข้าร่วมลงทุน (Joint Ventures)
ของธุรกิจซ่ึงทาให้การครอบคลุมการบริหารโรงเรียน และขีดความสามารถทางการแข่งขันขยายตัว
มากขึ้น
3.9 การเปดิ ตวั นาเทคโนโลยที ี่เกดิ ข้ึนใหมม่ าใช้ประโยชนก์ ่อนคแู่ ขง่ ขนั

79

4. อุปสรรคหรือภัยคุกคาม (Threats) หมายถึง ปัจจัยภายนอกซ่ึงอาจมีผลกระทบ
ทาให้โรงเรียนหรือบริษัทประสบความล้มเหลว ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ท่ีวางไว้ สาหรบั อุปสรรคหรือภัย
คกุ คามภายนอกที่อาจเกิดขึ้นได้ (Potential Extemal Threats) ซึ่งจะมีผลกระทบต่อสวสั ดิภาพของ
โรงเรียนหรอื บริษทั ได้แก่

4.1 ความเปน็ ไปไดท้ ่ีค่แู ขง่ หนา้ ใหมท่ ่ีมีหลงั จะเขา้ มาเปน็ ค่แู ข่งในอนาคต
4.2 การเกดิ สินค้าทดทนทาให้สญู เสียยอดจานวนนักเรยี นไป (Loss of Sales)
4.3 การเจริญเติบโตของการแขง่ ขนั มอี ัตราชะลอตัวลง (Slowdown)
4.4 การเปล่ียนแปลงท่ีเป็นผลร้าย ด้านอัตราแลกเปล่ียนเงินตราประเทศ และ
นโยบายการคา้ ของรฐั บาลตา่ งประเทศ
4.5 การออกกฎระเบียบตา่ งขน้ึ ใหม่ ทาใหต้ อ้ งเสียคา่ ใช้จา่ ยเพิ่มข้นึ
4.6 ความอ่อนแอต่อการเกิดภาวะซบเซาของธุรกิจ (Recession) และวัฏจักร
ธุรกิจ (Business Cycle)
4.7 อานาจต่อรอง (Bargaining Power)ของลูกค้า ผู้จัดจาหน่ายวัตถุดิบ
(Suppliers) มีมากขึ้น
4.8 การเปลยี่ นแปลงดา้ นความต้องการ และรสนยิ มของผู้ซอ้ื ต่อผลิตภณั ฑ์
4.9 การเปลยี่ นแปลงที่เป็นผลรา้ ยทางด้านประชากรศาสตร์
4.10 ความอ่อนแอด้านพลังผลกั ดนั ขององค์กรณ์ /อตุ สาหกรรม
SWOT เป็นส่งิ สาคัญและจาเป็นในการบริหารหรือประกอบธุรกิจ ไม่ว่าเป็นก่อนเริ่ม
กิจการหรือระหว่างการดาเนินกิจการจากแนวคิดน้ี ผู้วิจัย ได้นามาเป็นแนวทางในการเริ่มต้นศึกษา
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานโรงเรียน โดยนาข้อมูลท่ีสารวจได้มาวิเคราะห์ตามแนวคิด SWOT
Analysis แลว้ จึงกาหนดแนวทางการบริหารงานต่อไป

งานวิจัยที่เกี่ยวขอ้ ง

ปาริชาติ ชมช่ืน (2555) ไดศ้ ึกษา รูปแบบการบริหารงานวิชาการแบบมีสว่ นร่วมของ
ชุมชนท่ีมีประสิทธิผลในถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการประถมศึกษา พบว่า ผลการสร้าง
รปู แบบการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมของชุมนท่ีมีประสิทธิผลในสถานศึกษา มีองค์ประกอบ
ของรูปแบบ 6 ขัน้ ตอน ไดแ้ ก่ หลักการที่ประกอบด้วยหลักการบริหารวชิ าการและหลักการมีสว่ นร่วม
ในการบริหารวิชาการ จุดมุ่งหมาย กลไกการดาเนินการ การดาเนินการ การประเมินผลและเง่ือนไข
ความสาเร็จ การบริหารแบบมสี ่วนร่วมเป็นการกระจายอานาจและความรบั ผิดชอบของผู้บรหิ ารไปยัง
ผ้ใู ตบ้ ังคับบัญชาหรือกลมุ่ งานทีม่ ีส่วนเกยี่ วข้อง เพื่อให้กลมุ่ มสี ว่ นร่วมในการตัดสินใจ กาหนดวิสัยทัศน์
เป้าหมายและยุทธศาสตร์ขององค์การ พร้อมท้ังดาเนินการให้งานบรรลุผลเป้าหมายอย่างเต็มใจและ
เกิดความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ ทั้งน้ีเน่ืองจากการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาจาเป็นต้อง
อาศัยความร่วมมือของบุคคลหลายฝ่ายในการบริหารให้เกิดประสิทธิผล จึงจาเป็นต้องใช้เทคนิค
การบรหิ ารแบบมสี ว่ นร่วม

80

เพชริน สงค์ประเสริฐ (2550) ได้ศึกษา การพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการ
โดยหลกั การทางานเป็นทีมในสถานศึกษาข้ันพื้นฐาน พบว่า การพัฒนาทีมงานวชิ าการในสถานศึกษา
ประกอบด้วย องค์ประกอบย่อยการรับรู้และการค้นหาปัญหา การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล
การวางแผนปฏิบตั ิงานการนาแผนไปปฏบิ ัติ การประเมินผลลพั ธ์ ซ่ึงกลา่ วได้วา่ องคป์ ระกอบด้านการ
พัฒนาทีมงานวิชาการในสถานศึกษาเป็นองค์ประกอบที่มีความสาคัญในการบริหารงานวิชาการ ทั้งน้ี
เนอื่ งจากทีมงานวชิ าการคอื หน่วยงานทางสังคมของสถานศึกษา ที่ประกอบไปด้วยตั้งแต่สองคนข้ึนไป
เป็นทีมงาน ทุกทีมจัดเปน็ กลุ่มทางานแตก่ ล่มุ ทางานกลุม่ และการทางานเป็นทีม ประเภทหน่ึงของการ
ทางานเป็นกลุ่ม ทีมงานทุกทีมจัดเป็นกลุ่มทางาน แต่กลุ่มทางานทุกกลุ่มมิใช่เป็นทีมเสมอไป ซึ่งจะมี
ลักษณะการทางานได้หลายแบบของแต่ละคน อาจขึ้นตรงกับงานอีกคนหนึ่ง หรือไม่ต้องประสานกัน
ตา่ งคนตา่ งทาและเมอ่ื แต่ละฝ่ายสาเรจ็ งานของตนจะไดร้ วมตวั กันอย่างมเี ป้าหมาย

สาเริง อ่อนสัมพันธ์ (2550) ได้ศึกษา ระบบการควบคุมทางการบริหารโรงเรียนใน
ฝันโดยใช้การบริหารแบบสมดุล พบว่า ระบบควบคุมทางการบริหารโรงเรียนในฝัน สังกัดสานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐานโดยใช้การบริหารแบบสมดุล มี 4 ด้าน คือ 1) การควบคุมด้าน
นักเรียน 2) การควบคุมด้านกระบวนการจัดการศึกษาภายใน 3) การควบคุมด้านการเรียนรู้และการ
พัฒนา 4) การควบคุมด้านงบประมาณและทรัพยากร ท้ังนี้ เนื่องจากการบริหารงานแบบสมดุลมี
ความสาคัญต่อประสิทฺธิภาพการบริหารองค์การ เพราะเป็นสิ่งท่ีสนับสนุนองค์กรในกรวางแผน
เชิงกลยุทธ์และการปฏิบัติตามแผนในด้านต่างๆ ภายใต้เป้าหมายและวัตถุประสงค์ขององค์การที่
กาหนด โดยมุ่งนากลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติและการประเมินผล แนวทางการจัดความสาเร็จตาม
กระบวนการ จะช่วยให้ผบู้ ริหารในแต่ละหน่วยงานของโรงเรียน มีโอกาสได้ร่วมมือประสานเชื่อมโยง
กนั มากข้นึ และความสาเร็จตามวัตถุประสงค์หลักโดยรวม

คัมภีร์ สุดแท้ (2553) ไดศ้ ึกษา การพฒั นารูปแบบการบริหารงาวิชาการของโรงเรยี น
ขนาดเล็ก พบว่า ภารกิจขอบข่ายของการบริหารงานวิชาการประกอบด้วย การพัฒนาหลักสูตร
สถานศึกษา การพัฒนาสาระหลักสูตรท้องถิ่น กาวางแผนทางวิชาการ การจัดการเรียนการสอนและ
การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ การคัดเลือกหนังสือแบบเรียนเพื่อใช้ในสถานศึกษา การวัดผล
ประเมินผล การเทยี บโอนผลการเรยี น การประกนั คุณภาพภายในและมาตรฐานการศกึ ษา การพัฒนา
ส่ือนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา การพัฒนาส่งเสริมให้มีแหล่งเรียนรู้ การวิจัยเพื่อพัฒนา
คณุ ภาพการศึกษาในสถานศึกษา การนิเทศการศึกษาและการแนะแนวการศึกษา การส่งเสริมความรู้
วิชาการแก่ชุมชน การส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการแก่บุคคล ครอบครัว องค์กรหน่วยงานและ
สถาบันการศึกษาอ่ืนท่ีจัดการศึกษา และประสานความร่วมมือในการพัฒนางานวิชาการกับ
สถาบนั การศกึ ษาอนื่

นริศ แก้วศรีนวล (2556) ได้ศึกษา รูปแบบการบริหารงานวิชาการท่ีมีประสิทธิผล
ของสถานศึกษา สังกัดสานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา พบว่า องค์ประกอบเก่ียวกับการ
บริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิผล ได้แก่ ภาวะผู้นาทางวิชาการ การมีส่วนร่วมในการบริหารงาน
วิชาการ การพัฒนาทีมงานวิชาการในกระบวนการบริหารงานวิชาการตามแนวคิดดุลยภาพใน
สถานศึกษา และภารกิจขอบข่ายของงานวิชาการในสถานศึกษา รูปแบบที่มีความเหมาะสมจะส่งผล
ให้การทดลองใช้รูปแบบมีผลการดาเนินงานอยู่ในระดับดีมาก ผลการประเมินความเหมาะสม ความ

81

เป็นไปได้และประโยชน์ของรูปแบบในระดับมาก จึงส่งผลให้การบริหารงานวิชาการของสถานศกึ ษามี
ประสทิ ธิผล

สมกิต บุญญะโพธิ์ (2555) ได้ศึกษา รูปแบบการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
สานักงานเขตพื้นที่การประถมศึกษาสู่ความเป็นเลิศ พบว่า ปัจจัยที่มีผลทาให้การพัฒนาครูและ
พฒั นาการบริหารจัดการศึกษาในสถานศึกษาขนาดเล็กให้ประสบความสาเร็จ เกิดจาการเปลี่ยนแปลง
วัฒนธรรมการเรียนรู้ การพัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอดไป โดยการสร้างจิตสานึก จิตวิญญาณความเป็น
ครู ตระหนักในหน้าท่ีความรับผิดชอบในการจัดการศึกษา การบริหารจัดการท่ีเป็นระบบมีความ
เหมาะสมกับสภาพปัญหาของแต่ละสถานศึกษา ขวัญกาลังใจของบุคลากรในถานศึกษาในเรื่องของ
การทางาน การรวมพลังสร้างสรรค์ผลงานในทิศทางเดียวกัน กระบวนการส่ือและแหล่งเรียนรู้ต่างๆ
จะเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่จะส่งผลให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้าหมายท่ีทางสถานศึกษาได้
กาหนดเอาไวอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพและประสิทธิผล

อาพร วิริยโกศล (2543, บทคัดย่อ) ได้ศึกษา กลยุทธ์ธุรกิจการค้าและการท่องเที่ยว
ชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย พบว่า การค้ารายย่อยรายใหญ่และการท่องเท่ียวชายแดนภาคใต้
ใน 5 จังหวัดคือ สงขลา สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ซึ่งใช้วิธีการศึกษาเชิงคุณภาพเป็นหลัก
และนาแนวทางทฤษฎีของการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมมาใช้ในการกาหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสม พบว่า
ปัจจัยแวดล้อมภายนอกหลายปัจจัยท่ีประสบการณ์เคยใช้ชีวิตอยู่ในสังคมโอกาส (Opportunities)
ได้แก่ 1) เทศกาลฮัจย์เป็นโอกาสในการประชาสัมพันธ์ประเทศไทยสู่นานาประเทศ 2) เทศกาลฮัจย์
เปน็ โอกาสในการเปิดตลาดการค้าของไทย

กล่าวได้ว่า ในการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนให้มี คุณภาพ จะส่งผลถึง
ความสาเร็จของการบริหารงานซ่ึงมีองค์ประกอบต่างๆ เป็นตัวบ่งชี้ของการพัฒนารูปแบบ โดยยึด
ความสอดคล้องกับนโยบาย ความเป็นนิติบุคคลและสภาพสถานการณ์ในปัจจุบันของโรงเรียน
ที่ปรับปรุงและพัฒนาตนเองให้เป็นโรงเรียนที่ดีมีคุณภาพสามารถพ่ึงพาตนเองได้ เพื่อการพัฒนางาน
วชิ าการให้มีความเจริญก้าวหน้าท่ียั่งยืนประสบผลสาเร็จน้ัน ต้องอาศัยหลักการและทฤษฎีเป็นกรอบ
สาหรับการดาเนินงาน มีรูปแบบในการปฏิบัติที่ชัดเจน พร้อมท้ังการมีวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ครู
บคุ ลากร นักเรียนและผู้ปกครอง ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจให้ทุกฝ่ายได้ร่วมกันพัฒนาให้ประสบความสาเร็จ
ตามวัตถุประสงค์

กรอบแนวคดิ ในการวิจยั

การวิจัยเร่อื ง การพัฒนารูปแบบการบริหารงานวชิ าการเพอ่ื ยกระดับคุณภาพผู้เรียน
โรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนาในเขตจังหวัดภาคใต้ ผู้วิจัยได้กาหนดกรอบแนวคิดในการ
วิจัยจากการศึกษาเอกสารงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง หลักการบริหารเกี่ยวกับโรงเรียนเอกชน การบริหาร
วิชาการของโรงเรียนที่มีคุณภาพ องค์ประกอบของการบริหารวิชาการท่ีมีคุณภาพ แนวคิดเก่ียวกับ
รูปแบบการบริหารการศึกษาและการพัฒนารูปแบบ เพื่อนาไปสู่การศึกษาองค์ประกอบเก่ียวกับการ
บริหารงานวิชาการ ที่เช่ือมโยงไปถึงการสร้างรูปแบบการบริหารงานวิชาการที่มีคุณภาพ และการ
ประเมินผลการใชร้ ปู แบบการบริหารงานวิชาการ เพอ่ื ให้ได้รูปแบบการบริหารงานวชิ าการทมี่ ีคณุ ภาพ

82

ของโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนาในเขตจังหวัดภาคใต้ สังกัดสานักงานคณะกรรมการ
ส่งเสริมการศกึ ษาเอกชน (สช.) และสามารถสรุปได้ดงั น้ี

1. กรอบแนวคิดพื้นฐานในการวิจัยเกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการได้ศึกษาแนวคิด
หลกั การและงานวจิ ยั ท่เี กีย่ วข้อง

2. กรอบแนวคิดขอบข่ายงานวิชาการของโรงเรียน โดยนาเอาแนวคิดความเปน็ ของ
ผู้นาทางวิชาการ การมีส่วนร่วมในการบริหารวิชาการ การพัฒนาทีมงานวิชาการ และกระบวนการ
บริหารงานวิชาการ ท่ีมีความสอดคล้องกับองค์ประกอบขอบข่ายการบริหารงานวิชาการในโรงเรียน
การศึกษาวิจัย การพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียน โรงเรียนการ
กุศลของวัดในพระพุทธศาสนาในเขตจังหวัดภาคใต้ จะเป็นเคร่ืองมือในการบริหารงานวิชาการใน
โรงเรียนอ่ืนๆ

3. กรอบแนวคิดการสร้างรูปแบบและองค์ประกอบของรูปแบบ ธีระ รุญเจริญ
(2550, น. 162-163) ซึ่งสามารถสรุปเป็นองค์ประกอบได้ 5 องค์ประกอบคือ 1) ชื่อของรูปแบบ
2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 3) หลักการของรูปแบบ 4) วิธีการดาเนินงานของรูปแบบ
5) แนวทางการประเมินรปู แบบ

4. สัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลการดาเนินงานการบริหารงานวิชาการโรงเรียนการกุศลของ
วัดในพระพุทธศาสนาในเขตจังหวัดภาคใต้ โรงเรียนละ 4 คน ประกอบด้วย ผู้อานวยการ
รองผอู้ านวยการ หัวหน้างานวิชาการ จากจานวน 5 โรงเรียน รวมท้ังหมด 20 คน โดยการเลือกแบบ
เจาะจง (Purposive Sampling) แล้วนามาออกแบบสอบถาม จากการสังเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการ
สอบถามสัมภาษณ์ สภาพปัญหาและความต้องการในการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนการกุศล
ของวัดในพระพทุ ธศาสนาในเขตจงั หวดั ภาคใต้

5. ศึกษาสภาพปญั หาและความต้องการในการบริหารงานวิชาการ โรงเรียนการกุศล
ของวัดในพระพุทธศาสนาในเขตจังหวัดภาคใต้ โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
อยู่ในเกณฑ์ของการคัดเลือกคือโรงเรียนขนาดกลาง ขนาดใหญ่ และขนาดใหญ่พิเศษ จานวน 5
โรงเรียน โรงเรียนละ 4 คน ประกอบด้วย ผู้อานวยการ รองผู้อานวยการฝ่ายวิชาการ หัวหน้ากลุ่ม
วชิ าการ และหวั หน้ากลุ่มสาระ รวมทง้ั หมด 20 คน

6. ยกร่างรปู แบบการบริหารวิชาการของโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา
โดยการสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) กับกลุ่มบริหาร จานวน 9 คน และนามาปรับปรุง
แก้ไขนาเสนอผู้ทรงคุณวุฒิ จานวน 5 คน ท่ีได้มาจากผู้บริหารกลุ่มโรงเรียนการกุศลของวัดในเขต
จังหวัดภาคใต้ เพ่ือประเมินความสอดคล้องของเน้ือหาสาระ ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และ
ความมีประโยชน์ของรูปแบบการบริหารวิชาการของโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนาใน
เขตจังหวัดภาคใต้ นามาปรบั ปรงุ แก้ไขให้สมบรู ณ์

7. ไดร้ ูปแบบการบริหารงานวิชาการของโรงเรยี นการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา
ในเขตจังหวัดภาคใต้ ผู้วิจัยสรุปความสัมพันธ์ของกรอบแนวคิดการวิจัยดังกล่าวกับร่างรูปแบบการ
บรหิ ารงานวิชาการ ดังภาพประกอบ

83

แนวคิดทฤษฏแี ละหลกั การท่ี ศกึ ษาองค์ประกอบเกีย่ วกบั รปู แบบการบรหิ ารงาน
การบรกิ ารงานวชิ าการที่มี วชิ าการโรงเรยี นการกศุ ลของ
เก่ยี วกบั คณุ ภาพ วดั ในพระพุทธศาสนาในเขต
1. โรงเรยี นเอกชนการกุศลของ 1. ศึกษาเอกสารแนวคดิ ทฤษฎแี ละ จงั หวัดภาคใต้
วัดในพระพทุ ธศาสนา งานวจิ ัย 1. ภาวะผู้ทางวชิ าการ
2. การบริหารงานวิชาการทีม่ ี 2. ศกึ ษาตวั แบบโรงเรียนท่ีประสบ 2. การมีสว่ นร่วมในการ
คณุ ภาพ ผลสาเร็จและเป็นแบบอย่าง บริหารงานวิชาการ
3. องค์ประกอบการบริหารงาน 3. การพฒั นาทีมงานวชิ าการ
วชิ าการท่ีมีคณุ ภาพ สรา้ งรูปแบบการบรหิ ารงาน 4. กระบวนการบรหิ ารงาน
4. แนวคิดเก่ียวกับรปู แบบการ วิชาการทีม่ ีคุณภาพ วิชาการตามแนวคิดดลุ ยภาพ
บรหิ ารงานวิชาการที่มคี ณุ ภาพ 1. จัดทารปู แบบและประเมิน 5. ภารกจิ ขอบขา่ ยการ
5. แนวคิดเก่ยี วกับคู่มอื การใช้ ความเหมาะสมความเป็นไปไดข้ อง บรหิ ารงานวิชาการ
รปู แบบการบริหารงานวิชาการ รูปแบบกบั โรงเรยี น
6. การวิเคราะห์สถานการณ์ 2. จัดทาคู่มอื การดาเนินงานตาม
การบริหารงานวิชาการโรงเรียน รปู แบบและประเมินความ
การกศุ ลของวดั ใน เหมาะสมของคู่มอื
พระพทุ ธศาสนา
7.งานวิจยั ทเ่ี กยี่ วข้อง ทดลองใช้รูปแบบการบรหิ ารงาน
วิชาการที่มคี ุณภาพ
1. ทดลองใชร้ ูปแบบและ
ประเมนิ ผลการดาเนินงานตาม
รูปแบบ
2. ประเมนิ ความเหมาะสม ความ
เป็นไปไดแ้ ละความเป็นประโยชน์
ของรูปแบบ

ภาพท่ี 2 กรอบแนวคดิ การวจิ ยั การพฒั นารปู แบบการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับคุณภาพ
ผเู้ รียนโรงเรยี นการกุศลของวัดในพระพทุ ธศาสนาในเขตจงั หวดั ภาคใต้

บทที่ 3

วิธีดำเนินกำรวิจัย

การวิจัยการพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพ่ือยกระดับคุณภาพผู้เรียน
ครั้งนี้อยู่ในกระบวนการป ฎิบัตินิยม (Pragmatism) ซ่ึงเป็นกระบวนการวิจัยและพัฒ นา
(Research and Development) และใช้วิธีการวิจัยแบบผสมวิธี (Mixed Methods Research)
(Maxcy 2002, pp. 50-90) ผ้วู ิจยั ดาเนนิ การวจิ ัยแบ่งออกเปน็ 3 ขน้ั ตอน ดงั แสดงในภาพต่อไปนี้

ข้นั ตอนที่ 1 1. ศกึ ษาเอกสารแนวคิดทฤษฎแี ละงานวิจยั ที่เกยี่ วกบั องค์ประกอบการบรหิ าร
การศึกษาสภาพการบรหิ ารงานวชิ าการ วิชาการทมี่ ีคุณภาพ ได้กรอบแนวคิด รา่ งองค์ประกอบและสรา้ งเป็นแบบ
ทีม่ ีคณุ ภาพของโรงเรียนการกุศลของวัด สมั ภาษณ์และแบบสังเกตการศึกษาตัวแบบสถานศึกษา
2. ศกึ ษาตวั แบบสถานศึกษาทมี่ ีคณุ ภาพประสบความสาเร็จและเป็นแบบอยา่ ง
ในพระพทุ ธศาสนา จานวน 5 โรงเรียน โดยการสัมภาษณ์เชงิ ลกึ แบบมีโครงสร้าง ผ้ใู ห้ข้อมลู สาคัญ
เก่ยี วกบั องคป์ ระกอบของการบริหารวิชาการท่มี คี ณุ ภาพ
ขนั้ ตอนท่ี 2 3. นาข้อมูลทไี่ ดจ้ ากการศกึ ษา งานวิจยั ทีเ่ กย่ี วขอ้ งและการศกึ ษาตวั แบบ
การสรา้ งรปู แบบการบรหิ ารงานวชิ าการ สถานศึกษามาประมวลเขา้ ดว้ ยกนั เพอื่ รา่ งองค์ประกอบของรปู แบบการ
ทีม่ ีคณุ ภาพของโรงเรยี นการกศุ ลของ บริหารวชิ าการทม่ี คี ุณภาพ

วดั ในพระพุทธศาสนา 1. นาผลการวิเคราะหจ์ ากแบบสอบถามไปจดั สนทนากลุ่ม (Focus Group
Discussion) เพื่อศกึ ษาสภาพการบรกิ ารงานวชิ าการจากผู้ทรงคณุ วุฒิดา้ น
ข้ันตอนที่ 3 บรหิ าร
การทดลองใชร้ ูปแบบการบริหารงาน 2. จดั ทารปู แบบการบริหารวชิ าการท่ีมคี ุณภาพของโรงเรยี นสังกดั สานักงาน
การศกึ ษาเอกชนฉบบั รา่ ง
วชิ าการทม่ี คี ณุ ภาพของโรงเรียน 3. ประเมินผลความเหมาะสมและความเปน็ ไปไดข้ องรูปแบบการบริหารวชิ าการ
การกศุ ลของวดั ในพระพทุ ธศาสนา ทมี่ ีคุณภาพของโรงเรยี นการกศุ ลฯ โดยวธิ ีอิงผู้ทรงคุณวุฒิ
4. ปรบั ปรงุ แก้ไขรปู แบบตามขอ้ เสนอของผู้ทรงคณุ วุฒิ
5. จดั ทาคมู่ อื การดาเนนิ งานตามรปู แบบ
6. ประเมนิ ความเหมาะสมของค่มู อื โดยวธิ ีอิงผ้ทู รงคณุ วฒุ ิ
7. ปรับปรงุ คู่มอื ตามขอ้ เสนอของผูท้ รงคุณวุฒิ

1. การกาหนดกลุ่มเป้าหมายทดลองใชร้ ปู แบบ
2. สร้างความรู้ ความเข้าใจและช้ีแจงใหผ้ ู้บริหารบุคลากรในโรงเรียนทดลองใช้
3. ดาเนนิ การทดลองใช้รูปแบบในโรงเรียน
4. สรุปผลการประเมนิ หลงั การใช้ โดยประเมินผลการดาเนนิ งานตามรปู แบบ
และประเมนิ ความเหมาะสม ความเปน็ ประโยชน์ของรูปแบบ
5. ปรบั ปรงุ พัฒนารปู แบบกอ่ นนาไปเผยแพร่

ภาพท่ี 3 ขัน้ ตอนการวจิ ยั การพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพอ่ื ยกระดับคณุ ภาพผ้เู รยี น
โรงเรยี นการกุศลของวัดในพระพทุ ธศาสนาในเขตจังหวัดภาคใต้

84

85

ข้ันตอนท่ี 1 การศึกษาองค์ประกอบเกยี่ วกับการบริหารวชิ าการเพื่อยกระดบั
คุณภาพผู้เรียนโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนาในเขตจงั หวดั ภาคใต้มีการดาเนนิ การวจิ ัย
ดงั นี้

1. การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวข้องกับองค์ประกอบของการพัฒนารูปแบบ
การบริหารวชิ าการของโรงเรียน

2. ศึกษาตัวแบบของโรงเรียนท่ีประสบความสาเร็จและเป็นแบบอย่างโดยการ
สัมภาษณเ์ ชิงลึกผ้ใู ห้ขอ้ มลู สาคญั

3. นาข้อมูลสารสนเทศที่ได้จากการศึกษาเอกสารงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง และจาก
การศึ กษ าตั วแบ บ ของโรงเรียน ท่ี ป ระส บ ค วามส าเร็ จแล ะเป็ นแบ บ อย่ างมาประมว ล เข้าด้ วยกั น
เพอ่ื สรา้ งองคป์ ระกอบของรปู แบบการบริหารงานวิชาการ

แหล่งข้อมูล
ใช้โรงเรียนในสังกัดสานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ท่ีมีผลการ
บริหารงานวิชาการท่ีประสบความสาเร็จและเป็นแบบอย่าง ได้รับการยอมรับว่าจัดการศึกษามี
คุณภาพและได้มาตรฐาน โดยมีคุณสมบัติได้รับการรับรองมาตรฐานจากสานักงานรับรองมาตรฐาน
และประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) มีผลการประเมินในระดับดีมาก ประกอบด้วย กลุ่มโรงเรียน
การกุศลของวัดในพระพุทธศาสนาในเขตจังหวัดภาคใต้ จานวน 13 โรงเรียน คัดเลือกตัวแทนของ
แต่ละกลุ่มจังหวัด จังหวัดละ 1 โรงเรียน โดยการเลือกแบบเจาะจง ประกอบด้วย โรงเรียนฆังคะทวี
ศิลป์ จังหวัดนครศรีธรรมราช โรงเรียนมัธยมวัดควรวิเศษมูลนิธิ จังหวัดตรัง โรงเรียนพุทธมงคลนิมิต
จังหวัดภูเก็ต โรงเรียนวัดนกิ รรงั สฤษฏ์ จงั หวัดตรงั โรงเรียนสมานคุณวิทยาทาน จงั หวดั สงขลา รวม 5
โรงเรียน

กล่มุ เปำ้ หมำย
กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการสัมภาษณ์ข้อมูลเก่ียวกับองค์ประกอบของรูปแบบการ
บริหารวิชาการ ได้แก่ผู้บริหารและครูในโรงเรียนตัวแบบท่ีประสบความสาเร็จและเป็นแบบอย่าง
เน่ืองจากต้องหาข้อมูลกับผู้ที่ปฏิบัติงานท่ีเกี่ยวข้องกับการบริหารงานวิชาการ ในโรงเรียนที่เป็นผู้ให้
ข้อมูลสาคัญ (Key Informants) ได้มาโดยการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง แบ่งเป็น 3 กลุ่มในแต่ละ
โรงเรียน ประกอบด้วย 1) กลุ่มผู้บริหาร ได้แก่ ผู้อานวยการ รองผู้อานวยการฝ่ายวิชาการ จานวน
2 คน 2) กลุ่มหัวหน้างานที่เกี่ยวข้องกับภารกิจขอบข่ายงานวิชาการ จานวน 1 คน และ 3) กลุ่ม
ครูผู้สอนจานวน 1 คน รวมโรงเรียนละ จานวน 4 คน รวมผู้ให้ข้อมูลสาคัญจานวน 5 โรงเรียน
ทง้ั หมดจานวน 20 คน

ตัวแปรท่ศี ึกษำ
ตัวแปรที่ศึกษา ได้แก่องค์ประกอบของการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน คือ
ภาวะผู้นาทางวิชาการ การมีส่วนร่วมในการบริหารวิชาการ การพัฒนาทีมวิชาการในโรงเรียน

86

กระบวนการบริหารงานวิชาการในโรงเรียนตามแนวคิดดุลยภาพ และภารกิจและขอบข่ายการ
บรหิ ารงานวชิ าการในโรงเรยี น

เครอื่ งมือทใี่ ชใ้ นกำรรวบรวมขอ้ มูล
เคร่ืองมือท่ีใช้ในการรวบรวมข้อมูล ขั้นตอนนี้ได้แก่ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง
(Structured Interview) ที่เป็นสารสนเทศเกี่ยวกับองค์ประกอบของรูปแบบการบริหารงานวิชาการ
มขี ัน้ ตอนการดาเนนิ งานการสร้างดงั น้ี
1. ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีจากเอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวข้องกับการบริหารงาน
วชิ าการ ตามองคป์ ระกอบหลัก ได้แก่ ภาวะผ้นู าทางวิชาการ การมีสว่ นร่วมในการบรหิ ารงานวิชาการ
การพัฒนาทีมงานวิชาการในโรงเรียน กระบวนการบริหารงานวิชาการในโรงเรียนตามแนวคิด
ดุลยภาพ และภารกิจและขอบข่ายการบริหารงานวิชาการในโรงเรียนและการสัมภาษณ์เชิงลึกเป็น
เบ้อื งตน้
2. นาขอ้ มูลสารสนเทศที่ได้มาประมวลเข้าด้วยกัน โดยการสังเคราะห์เน้ือหา เพ่ือให้
ได้กรอบแนวคิดของรูปแบบการบริหารงานวิชาการมาสร้างแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง โดยมี
สว่ นประกอบดงั น้ี
ตอนท่ี 1 ข้อมูลเกี่ยวกับการสัมภาษณ์ คือวันเดือนปี ที่สัมภาษณ์ และรายละเอียด
สว่ นตัวของผูใ้ หส้ มั ภาษณ์
ตอนที 2 ประเด็นการสัมภาษณ์ มคี าถามปลายเปดิ โดยแบ่งออกเป็น 5 ดา้ นดงั น้ี

ด้านที่ 1 ด้านภาวะผู้นาทางวิชาการ ได้แก่ ข้อคาถามเกี่ยวกับลักษณะ
พฤตกิ รรม วธิ ีการ รปู แบบในการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมทางวิชาการของผู้บริหาร

ด้านที่ 2 การมีส่วนร่วมในการบริหารวิชาการ มีข้อคาถามเก่ียวกับการ
ปฏบิ ตั ภิ ารกิจด้านวชิ าการ มีกระบวนการมีส่วนร่วมในการบริหารงานวชิ าการอย่างไร

ด้านที่ 3 ด้านการพัฒนาทีมงานวิชาการในโรงเรียน ได้แก่ ข้อคาถาม
เกย่ี วกบั การปฏบิ ัติภารกิจทางด้านวชิ าการมกี ระบวนการพัฒนาทีมงานวชิ าการอยา่ งไร

ด้านท่ี 4 ด้านกระบวนการบริหารวิชาการตามแนวคิดดุลยภาพ ได้แก่
ข้อคาถามเก่ียวกับวธิ กี ารปฏิบตั ติ ามกระบวนการบริหารงานวิชาการตามแนวคดิ ดลุ ยภาพ

ด้านท่ี 5 ด้านภารกิจขอบข่ายการบริหารวิชาการในโรงเรียน ได้แก่
ข้อคาถามเกีย่ วกบั การปฏิบัติงานตามภารกิจและขอบขา่ ยงานวิชาการในโรงเรยี น

กำรหำคุณภำพเครอ่ื งมือ
นาแบบสัมภาษณ์ที่สร้างข้ึนเสนออาจารย์ท่ีปรึกษา พิจารณา ตรวจสอบประเด็น
คาถามว่ามีการครอบคลุมเน้ือหาหรือไม่ มีความเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายหรือไม่ และนา
ข้อเสนอแนะท่ีได้ไปพิจารณาปรับปรุง ทาให้ได้ข้อคาถามท่ีได้มีความครอบคลุม มีความเข้าใจที่
คลาดเคล่อื นประการใด ผู้วจิ ยั ปรบั ปรุงข้อคาถามตามขอ้ เสนอแนะ เพื่อใชใ้ นการเก็บข้อมลู ตอ่ ไป

87

วิธกี ำรรวมรวมข้อมูล
การเกบ็ ข้อมูลด้วยการสมั ภาษณ์ ผูว้ ิจยั ดาเนนิ การดังน้ี
1. ผวู้ ิจยั ทาหนังสอื ขอความร่วมมือในการวจิ ยั จากคณะศกึ ษาศาสตรแ์ ละศิลปศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยหาดใหญ่ ถงึ ผ้บู รหิ ารโรงเรียน ครู และกลุ่มเปา้ หมายในการขออนุญาตสมั ภาษณ์
2. นดั หมายวนั เวลาในการเข้าพบกลุม่ เป้าหมายเพื่อทาการสัมภาษณ์
3. ส่งหนังสอื ขอความร่วมมือก่อนวนั นดั หมายสมั ภาษณ์ อย่างนอ้ ย 1 สปั ดาห์
4. ผวู้ จิ ยั ดาเนินการสัมภาษณ์ตามวันเวลาที่นดั หมาย โดยการดาเนนิ การดงั นี้

4.1 ประชมุ ชี้แจงรายละเอียดการดาเนินการศึกษาและรับฟังการนาเสนอผลงาน
ทป่ี ระสบความสาเร็จและเป็นแบบอย่างของโรงเรียน

4.2 ดาเนินการสมั ภาษณ์โดยผูว้ ิจยั และผู้ช่วยวจิ ัยช่วยดาเนินการบนั ทกึ ข้อมูลใน
การสัมภาษณ์ โดยทาการสัมภาษณ์ผู้อานวยการและรองผู้อานวยการโรงเรียนฝ่ายวิชาการ เป็นการ
สัมภาษณ์รายบุคคล ส่วนหัวหนา้ ที่เก่ียวข้องกบั ภารกิจและขอบข่ายบริหารวิชาการ ครูผู้สอนเป็นการ
สัมภาษณ์เป็นกลุ่ม (Group Interview) เพ่ือลดการช้ีนาจากฝ่ายวิชาการและทาให้ได้ข้อมูลครบถ้วน
รอบด้าน เป็นการตรวจสอบข้อมูลไปในตัว หลังจากนั้นจึงทาการบันทึกเพ่ิมเติมความสมบูรณ์ของ
ขอ้ มูลโดยผ้วู จิ ัย

4.3 ประชุมสรุปผลการศึกษาเก่ียวกับกลุ่มเป้าหมายเพื่อรับฟงั ความคิดเหน็
เพมิ่ เติม

3. วิเคราะหข์ ้อมูลท่ีได้จากการศึกษาเอกสารและโรงเรียนต้นแบบ
เป็นการนาข้อมูลที่ได้ จากการศึกษาโรงเรียนต้นแบบประมวลเข้าด้วยกัน

การวิเคราะห์ข้อมูลโดยการนาข้อมูลท่ีได้จาการสังเคราะห์เอกสารการศึกษาตัวแบบ การสัมภาษณ์
และข้อสังเกตเพิ่มเติมมาทาการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) และหาความสอดคล้องของ
ข้อมูลไดอ้ งคป์ ระกอบของรูปแบบการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน สังกัดสานักงานคณะกรรมการ
ส่งเสริมการศึกษาเอกชน โรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนาในเขตจังหวัดภาคใต้ เพื่อร่าง
รูปแบบต่อไป

ขัน้ ตอนท่ี 2 การสรา้ งรปู แบบการบริหารงานวชิ าการเพื่อยกระดบั คณุ ภาพผ้เู รียน
โรงเรียนการกศุ ลของวัดในพระพุทธศาสนาในเขตจังหวดั ภาคใต้

ในขนั้ ตอนการสร้างรปู แบบการบรหิ ารงานวิชาการ มกี ารดาเนนิ การ 6 ขั้นตอน
1) การจัดทารูปแบบการบริหารงานวิชาการ 2) การประเมินความเหมาะสมและ
ความเป็นไปได้ของรูปแบบการบริหารวิชาการ 3) ปรับปรุงรูปแบบการบริหารวิชาการ 4) จัดทาคู่มือ
การดาเนินการตามรูปแบบ 5) ประเมินความเหมาะสมของคู่มือการดาเนินงานตามรูปแบบ
6) ปรับปรุงคูม่ อื การดาเนนิ การตามรูปแบบ โดยมีรายละเอยี ด ดงั นี้

88

ข้ันตอน
1. การจัดทารูปแบบการบริหารวิชาการเพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนการ
กุศลของวัดในพระพุทธศาสนาในเขตจังหวัดภาคใต้ (ฉบับร่าง) โดยนาผลท่ีได้จากข้ึนตอนที่ 1
มาจดั ทารูปแบบฉบับรา่ ง มขี อบขา่ ยเนื้อหาของรปู แบบการบริหารวิชาการ ประกอบด้วยองค์ประกอบ
5 องค์ประกอบ แตล่ ะองคป์ ระกอบหลกั ประกอบดว้ ยองค์ประกอบย่อยและตัวบ่งชี้

1.1 องคป์ ระกอบหลักภาวะผู้นาทางวชิ าการ
1.2 องค์ประกอบหลกั การมสี ่วนร่วมในการบริหารงานวชิ าการ
1.3 องคป์ ระกอบหลกั การพัฒนาทีมงานวชิ าการในโรงเรยี น
1.4 องคป์ ระกอบหลกั ด้านกระบวนการบรหิ ารงานวชิ าการตามแนวคดิ ดุลยภาพ
ในโรงเรียน
1.5 องค์ประกอบหลักดา้ นภารกจิ และขอบข่ายงานวิชาการในโรงเรียน
2. การประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของรูปแบบการบริหารงาน
วชิ าการ
การประเมินรูปแบบการบริหารงานวิชาการโดยใช้อิงผู้ทรงคุณวุฒิ เป็น
ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ ความสามารถ และมีประสบการด้านการบริหารวิชาการ โดยพิจารณาความ
เหมาะสมและความเป็นไปได้ขององค์ประกอบสาคัญของรูปแบบการบริหาร มาทาเป็นแบบประเมิน
ความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของรปู แบบจากผู้ทรงคุณวุฒิ

กล่มุ เปำ้ หมำย
กลุ่มเป้าหมายท่ีใช้ในการตรวจสอบความเหมาะสมและความเป็นไปได้ ได้มาโดย
วิธกี ารเลือกแบบเจาะจง กลมุ่ เป้าหมายจานวน 30 คน ดังนี้
1. กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นนักวิชาการ ด้านการบริหารวิชาการ จานวน 10 คน
โดยผู้วิจัยกาหนดคุณสมบัติ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นนักวิชาการด้านการบริหารงานวิชาการและการ
ประกันคุณภาพการศึกษา จบการศึกษาระดับปริญญาเอกทางด้านการศึกษา มีตาแหน่งทางวิชาการ
ไม่ตา่ กว่าผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์หรอื มปี ระสบการณไ์ มน่ อ้ ยกวา่ 10 ปี
2. กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิท่ีเป็นผู้กาหนดนโยบาย ได้แก่ ผู้บริหารระดับสูงของสานักงาน
ศึกษาธิการจังหวัด จานวน 9 คน โดยผู้วิจัยกาหนดคุณสมบัติเป็นผู้บริหารระดับสูงของจังหวัดท่ี
รับผิดชอบงานด้านการบริหารงานวิชาการ และผู้อานวยการหรือรองผู้อานวยการสานักงานเขตพ้ืนที่
ทร่ี บั ผดิ ชอบงานดา้ นการบริหารงานวิชาการของสานักงานเขตพื้นที่
3. กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิผู้ปฏิบัติที่มีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารงานวิชาการ
ประกอบดว้ ย ผ้อู านวยการโรงเรียน จานวน 5 คน ศกึ ษานิเทศก์หรือผเู้ ช่ียวชาญเฉพาะดา้ นการจัดการ
บริหารการศึกษา จานวน 3 คน และครูผู้สอนในโรงเรียน จานวน 3 คน รวมจานวน 11 คน โดย
ผูว้ จิ ยั กาหนดคณุ สมบัติ ดังนี้


Click to View FlipBook Version