ครผู ูส้ อน กญั ญารตั น์ ศลิ าแยง
ทาไมเราถงึ บอกว่าสง่ิ นน้ั เป็นศาสนา ?
ศาสนาเกดิ ขน้ึ ได้อยา่ งไร?
นกั เรยี นรู้จกั ศาสนาอะไรบา้ ง?
ศาสนา เป็นทยี่ ดึ เหนยี่ วจติ ใจของคน มจี ุดมุง่ หมายใหท้ ุกคนทาความดี โดยใชค้ าสงั่ สอน
และความเชอ่ื ของศาสนาเป็นสง่ิ ทที่ าใหบ้ รรลุวตั ุประสงค์นน้ั
บ่อเกดิ ของศาสนา
•ความไม่รู้
•ความกลวั
•ความภกั ดี
•ปญั ญา
ศาสนา Religion
องคป์ ระกอบของศาสนา
• ศาสดา
• คาสอน
• นกั บวช
• ศาสนสถาน
• ศาสนพธิ ี
• ศาสนกิ ชน
ศาสนา Religion
ประเภทของศาสนา
เทวนิยม เชอ่ื พระเจา้ อเทวนยิ ม ไม่เชอื่ ว่าพระเจา้ สร้างทุกสง่ิ ทุกอย่าง
เอกเทวนิยม พหเุ ทวนิยม
ศาสนาต่างจากลทั ธิยงั ไง ???
ศาสนา มอี งคป์ ระกอบของ
ศาสนาชัดเจน
ลัทธิ ขาดองคป์ ระกอบที่
สาคัญ หรอื ไม่มที ม่ี าทไ่ี ป
ประวตั แิ ละความสาคัญของ
พระพุทธศาสนา
• พุทธศาสนาเป็ นศาสตรแ์ หง่ การศกึ ษา
• การศกึ ษา ตรงกบั ศพั ทบ์ าลีวา่ “สกิ ขา” หมายความว่า การฝึกอบรมตนใหง้ อกงาม
หรอื พฒั นาตนใหง้ อกงาม การพฒั นาตนใหง้ อกงาม
1.การพฒั นากาย
2.การพฒั นาศลี
3. การพฒั นาจิตใจ
4. การพฒั นาปัญญา
มนุษยท์ ุกคนมีศกั ยภาพท่ีจะพฒั นา
ตนเองใหง้ อกงามในดา้ นต่างๆได้
ดว้ ยตนเองแต่ใน
กระบวนการพฒั นาน้นั ตอ้ งอาศยั
องคป์ ระกอบอื่นๆเป็นตวั สนบั สนุน
ดว้ ย องคป์ ระกอบน้นั เรียกวา่
“บุรพภาคแห่งการศึกษา”
บุรพภาคของการศึกษา • องค์ประกอบภายใน(โยนโิสมนสกิ าร
• องค์ประกอบภายนอก(ปรโตโฆสะ) ตวั ผศู้ กึ ษาตอ้ งเป็นคนรูจ้ กั คิดพิจารณา รูจ้ กั
การใชเ้ หตผุ ล ใชค้ วามคดิ ท่ีถกู วิธี คิดเป็น
เง่ือนไขภายนอกท่ีสนบั สนนุ ใหก้ ารพฒั นาตน แยกแยะปัญหาตามสภาวะและเหตสุ มั พนั ธ์
เป็นไปดว้ ยดี เชน่ ไดร้ บั การอบรมท่ีดีจากพอ่ ของเหตปุ ัจจยั
แม่ ครูอาจารย์
กระบวนการศึกษา
กระบวนการศกึ ษาเน้นไปท่ี สมั มาทิฏฐิิ คอื ความคดิ เหน็ ทถ่ี ูกกต ออ้ ง
สามรถูกแบง่ กระบวนการศกึ ษาออกเป็นอริยมรรคมีองค์ 8 และ
สรปุ ลงเป็นขนั้ ออนใหญ่ “ไตรสิกขา”
ไตรสิกขา
การฝึ กอบรมในดา้ น การฝึ กอบรมในดา้ นจติ ใจ การฝึ กอบรมในดา้ นปัญญา
ความประพฤติ
การปลกู ฝ่ังคณุ ธรรม เสรมิ สรา้ ง เกดิ ความรคู ้ วามเขา้ ใจตามความเป็ น
ระเบยี บวนิ ยั ความสจุ รติ ทางกาย คุณภาพ สมรรถภาพ สุขภาพของจติ จรงิ รคู ้ วามเป็ นไปตามเหตุปัจจยั
วาจา คอื การละเวน้ จากการฆ่าสตั ว ์ คอื มจี ติ เป็ นสมาธิ ความมจี ติ ใจดงี าม นามาใชแ้ กป้ ญั หา รเู ้ ท่าทนั โลกและชวี ติ
ลกั ทรพั ย ์ ประพฤตผิ ดิ ในกาม พูด เขม้ แข็ง วอ่ งไวและปลอดโปรง่ เป็ นสุข พน้ จากความยดึ มน่ั ถอื ม่นั ในสงิ่ ทงั้ หลาย
เท็จ พูดส่อเสยี ด พดู คาหยาบ พดู มจี ติ ใจอสิ ระผ่องใสเบกิ บาน
เพอ้ เจอ้ ไม่เบยี ดเบยี นตนเองและ “อธจิ ติ ตสกิ ขา”
ผูอ้ นื่ “อธปิ ัญญาสกิ ขา”
“อธศิ ลี สกิ ขา”
-สัมมาวาจา -สมั มาวายามะ -สัมมาทฏิ ฐิิ
-สมั มากัมมนั ตะ -สมั มาสติ -สมั มาสงั กปั ปะ
-สัมมาอาชวี ะ -สมั มาสมาธิ
พระพุทธศาสนาเน้นความสัมพนั ธ์ของเหตปุั จจัยและวิธีการแก้ไขปั ญหหา
• พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาของเหตผุ ล คอื
เนน้ ว่าสรรพส่งิ ท่เี กิดขนึ้ มาในโลกนีเ้ กิดขนึ้ มาเพราะมี
เหตปุ ัจจยั และเส่ือมสลายไปเม่ือหมดเหตปุ ัจจยั
เมอื่ สงิ่ น้มี ี สงิ่ น้จี งึ มี
เมอื่ สงิ่ น้เี กดิ ขน้ึ สงิ่ น้จี งึ เกดิ ขน้ึ
เมอื่ สงิ่ น้ไี มม่ ี สงิ่ น้กี ไ็ มม่ ี
เมอื่ สงิ่ น้ดี บั สงิ่ น้กี ด็ บั
การทพี่ ระพทุ ธศาสนาสอนโดยเน้นทง้ั เหตุ วธิ แี กป้ ัญหาตามแนวพระพทุ ธศาสนา
ทงั้ ปัจจยั กเ็ พอ่ื ใหเ้ กดิ ผลดงั ตอ่ ไปนี้
1.ทาใหเ้ ป็นคนมเี หตผุ ล ปัญญา กรรม วริ ยิ ะ
2. ทาใหเ้ ป็นคนสายตากวา้ งไกล (ความรต้ (การลงมอื (ความ
3. ทาใหเ้ ป็นคนมใี จกวา้ ง ความเขา้ ใจ) กระทา) พากเพยี ร)
4. ทาใหเ้ ป็นคนไมย่ ดึ ม่นั ถือม่นั
5.ทาใหแ้ กป้ ัญหาได้
ความสาคญั ของพระพุทธศาสนา
• พระพทุ ธศาสนาฝึกคนไมใ่ หป้ ระมาท
• พระพทุ ธศาสนามงุ่ ประโยชนส์ ขุ และ
สนั ตภิ าพแกบ่ คุ คลสงั คม และโลก
พระพทุ ธศาสนามุ่งประโยชน์สุขและสนั ติภาพแก่บุคคลสงั คม
และโลก
1.หลักการสร้างความสุข
• ความสขุ ของผคู้ รองเรอื น (คิหสิ ขุ )
-สขุ เพราะการมีทรพั ย์ (อตั ถิสขุ )
-สขุ เพราะการใชท้ รพั ย์
-สขุ เพราะไมม่ ีหนี้
-สขุ เพราะความประพฤตไิ มม่ ีโทษ
• ความสขุ เกิดจากฌานระดบั ตา่ งๆ
-ฝึกจิตใหเ้ ป็นสมาธิ ตงั้ ม่นั บรสิ ทุ ธิ์
• ความสขุ เกิดจากพระนิพพาน
-ลดละกิเลศ อาสวะโดยสิน้ เชิง
พระพทุ ธศาสนามุ่งประโยชน์สุขและสนั ติภาพแก่บุคคลสงั คม
และโลก
2.หลกั การสร้างสันตภิ าพ
• พระพทุ ธศาสนาสอนไมใ่ หเ้ บียดเบียนทงั้ ตนเองและผอู้ ่ืน
• พระพทุ ธศาสนาสอนสอนใหม้ ีเมตตาตอ่ กนั ทงั้ ตอ่ หนา้ และลบั หลงั
• พระพทุ ธศาสนาสอนใหเ้ รามคี วามเสียสละ
• พระพทุ ธศาสนาสอนใหเ้ รามคี วามอดทน (ขนั ต)ิ และไมย่ ดึ ม่นั ในตวั ตนเกินไป
(อนตั ตา)
• พระพทุ ธศาสนาสอนใหเ้ ป็นคนใจกวา้ งยอมรบั ความแตกตา่ งได้
-ยอมรบั ความแตกตา่ งทางดา้ นความคดิ เห็น
-ยอมรบั ลทั ธิความเช่ือถือท่ีแตกตา่ งกนั
• พระพทุ ธศาสนาสอนใหเ้ อาชนะความช่วั ดว้ ยความดี
หน่วยการเรยี นรทู ้ ี่ 2
พุทธประวตั ิ พระสาวก ศาสนิกชนตวั อยา่ ง และชาดก
ครูผสู้ อน นางสาวกญั ญารัตน์ ศิลาแยง
พุทธประวตั ิ
๑. เสด็จลงสพู่ ระครรภ์ วนั พฤหสั บดี เพ็ญ ๒. เสด็จประสตู ิ วนั ศกุ ร์ เพ็ญเดือน ๖ ปีจอ ๓. เลยี้ งพราหมณ์ ๑๐๘ ทานายพทุ ธ
เดือน ๘ ปีระกา เวลาสายๆ ก่อนพทุ ธศก ๘๐ ปี ณ ป่ าลมุ พินี ลกั ษณะ และขนานพระนาม
กอ่ นพทุ ธศก ๘๐ ปี ณ พระนครกบิลพสั ดุ์ วนั
๔. พระมารดาทิวงคต วนั ศกุ ร์ เดือน ๖ แรม ๕. ทรงขดุ สระ ๓ สระ ไดป้ ฐมฌาน ทรง ๖. ทรงเสวยราชสมบตั ิ ทรงอภิเษกสมรส ปี
๗ ค่า พระชนมายไุ ด้ ๗ วนั ณ พระราชวงั ศกึ ษาศิลปะ ปีมะเสง็ พระชนมายไุ ด้ ๗ ปี ฉลู พระชนมายไุ ด้ ๑๖ ปี ภายในพระราชวงั
กรุงกบิลพสั ดุ์ ในพระราชนิเวศน์ ภายใตร้ ม่ ไมห้ วา้ ใหญ่ กรุงกบิลพสั ดุ์
ครูวิศวามิตเป็นผสู้ อน
๗. พระราหลุ กมุ ารประสตู ิ ๘. ทรงผนวช ก่อนพทุ ธศก ๕๑ ปี ณ รมิ ๙. ทรงบาเพ็ญทกุ รกิรยิ า นานถงึ ๖ ปี ณ
เสดจ็ ออกมหาภิเนษกรมณ์ พระชนมายุ ฝ่ังแมน่ า้ อโนมา ตาบลอรุ ุเวลาเสนานิคม เป็นตน้
ได้ ๒๙ ปี
๑๒. แสดงอนตั ตลกั ขณสตู ร วนั ๑๑. ตรสั ปฐมเทศนา วนั เสาร์ เพ็ญเดือน ๑๐. ทรงรบั บิณฑบาตครงั้ แรก
พฤหสั บดี เดือน ๘ แรม ๕ ค่า ปีระกา ๘ ปีระกา ณ ป่ าอสิ ปิ ตนมฤคทายวนั และทรงลอยถาด ตรสั รู้ เพญ็ เดือน ๖
ก่อนพทุ ธศก ๔๕ ปี ณ ป่ าอสิ ิปตน แขวงเมอื งพาราณสี กอ่ นพทุ ธศก ๔๕ ปี ณ ตาบลอรุ ุเวลา
มฤคทายวนั แขวงเมืองพาราณสี เสนานิคม แมน่ า้ เนรญั ชรา
ภายใตร้ ม่ ไมม้ หาโพธ์ิ แขวงมคธชนบท
๑๓. ทรงโปรดพระพทุ ธมารดา ปี เถาะ ๑๔. ทรงปลงอายสุ ังขาร วนั ศุกร์ เพญ็ เดือน ๑๕. ทรงรับปัจฉิมบิณฑบาต เวลาเชา้ วนั
ภายในพรรษา ๓ เดือน มาฆะ ปี มะโรง ณ ปาวาลเจดีย์ บา้ นเวฬุว องั คาร เพญ็ เดือน ๖ ณ เรือนของนายจุนทะ
พระชนมายุ ๔๒ พรรษา คาม แขวงเมืองไพศาลี กมั มารบุตร เมืองปาวา
๑๘. แจกพระบรมสารีริกธาตุ วนั เสาร์ เดือน ๑๗. ถวายพระเพลงิ ในวนั พธุ แรม ๘ ค่า ๑๖. เสดจ็ ดบั ขนั ธปรินิพพาน วนั องั คาร
เดือน ๖ ปี มะเส็ง ณ มกฏุ พนั ธนเจดีย์ เวลาปัจฉิมยามแห่งราตรี วิสาขปุณณมี ปี
๗ ปี มะเส็ง โดยโทณพราหมณเ์ ป็นผแู้ จก ทางทิศบูรพา แห่งนครกสุ ินารา มะเส็ง ณ สาลวโนทยาน
แก่กษตั ริย์ ๘ นคร ท่ีกสุ ินารา อทุ ยานของพวกมลั ลกษตั ริย์ นครกสุ ินารา
ทรงประทบั อยใู่ นพระครรภ์ ครบ ๑๐ เดือน ลำดบั พระชนมำยุของ ทรงเสดจ็ ออกบรรพชา พระชนมายุ ๒๙ ปี
พระพุทธเจำ้
ดารงฆราวาสวิสัย เป็นโสด นานถงึ ๑๖ ปี ทรงครองฆราวาสวสิ ัย ท้งั เป็นโสด
และมีพระชายาแลว้ รวม ๒๙ ปี
ทรงอภิเษกสมรส ครองราชย์ นานถงึ
๑๓ ปี ต้งั แต่พระชนมายุ ๑๖ ถึง ๒๙ ปี
เสดจ็ ดบั ขนั ธปรินิพพาน พระชนมายุ ทรงบาเพญ็ ทุกรกิริยาอยู่ ๖ ปี
๘๐ พระพรรษา
รวมชีวติ ท่ีทรงผนวช ๕๑ พรรษา ทรงตรัสรู้พระโพธิญาณ เม่ือ
พระชนมายุ ๓๕ พระพรรษา
ทรงบาเพญ็ พุทธกิจ ๔๕ ปี ต้งั แต่พระชนมายุ
๓๕ ถงึ ๘๐ ปี
การบริหารและธารงรักษาพระพทุ ธศาสนา
พระพทุ ธศาสนาประกอบไปดว้ ยองคป์ ระกอบ 4 ประการ
ศาสนธรรม ศาสนบุคคล ศาสนวตั ถุ/ ศาสนพธิ ี
ศาสนสถาน
การบริหารพระพุทธศาสนา
เอหิ ภกิ ขฺ ุ พ่อปกครองลกู ประชาธปิ ไตย
1.พระพทุ ธเจา้ ประทานความเป็นใหญ่แก่พระสงฆ์
2.พระพทุ ธเจา้ เองกท็ รงเคารพพระสงฆ์
3.พระพทุ ธเจา้ ถือวา่ พระสงฆม์ ีความสาคญั ยง่ิ กวา่ สิ่งอื่นใดท้งั หมด
4.กิจกรรมของภิกษสุ งฆท์ ุกรูปจะตอ้ งถือเป็นเร่ืองสาคญั
5.ใชเ้ สียงขา้ งมากในการตดั สินปัญหาท่ีมีความคิดเห็นเป็นสองฝ่ าย
การบริหารพระพุทธศาสนา
6.ภิกษุทุกรูปจะมีสิทธิในการเขา้ ประชุม
7.ภิกษุทุกรูปจะตอ้ งเขา้ ร่วมประชุม
8.เมื่อการประชุมดาเนินอยจู่ ะลุกออกจากท่ีประชุมตอ้ งใหฉ้ นั ทะ
9.ในการกระทาสงั ฆกรรมต่างๆ พระสงฆย์ ดึ ถือประโยชน์สุขของ
ส่วนรวมเป็ นท่ีต้งั
การธารงพระพุทธศาสนา
1.ทรงบัญญัตพิ ระวนิ ยั ขนึ้ เมื่อมกี ารกระทาที่ไม่เหมาะสมไม่ควร
เพื่อความยอมรับวา่ ดีของพระสงฆ์
เพอ่ื ความผาสุกของสงฆ์
เพอ่ื กาจดั คนหนา้ ดา้ นไร้ยางอาย
เพื่อความผาสุกของผมู้ ีศีลดีงาม
เพื่อบาบดั ความเสียหายทีบ่ งั เกิดในปัจจุบนั
เพอ่ื ปิ ดก้นั ความเสียหายทจ่ี ะเกิดข้ึนในอนาคต
เพอื่ ปลกู ความเล่อื มใสแก่คนทีย่ งั ไม่เลอ่ื มใส
เพื่อความดารงมนั่ แห่งพระสทั ธรรม
เพ่ืออนุเคราะหว์ เิ คราะหว์ นิ ยั คือ เพื่อใหม้ ีบทบญั ญตั ิเป็นหลกั เกณฑ์ในการจดั ระเบียบ
ของหมุ่
การธารงพระพุทธศาสนา
2.ทรงกาหนดพทุ ธบริษทั ปฏิบตั ิร่วมกนั ทุกหม่เู หล่า
(พทุ ธปณิธาน 4 คือ พทุ ธบริษทั ทุกหมู่เหลา่ )
3.ทรงแนะนาใหท้ าสงั คายนาพระธรรมวินยั
4.ทรงเตือนใหต้ ระหนกั ถึงเหตุแห่งความเจริญและความเส่ือม
อนั ตรธานแห่งพระสทั ธรรม
ความเป็นมนุษย์ผ้ฝู ึ กตนได้อย่างสูงสุดของพระพทุ ธเจ้า
“มนุษยท์ ้งั หลายมีศกั ยภาพท่ีจะฝึกฝนตนเองได้ ดว้ ยความ
พากเพียร ดว้ ยสติปัญญาของตนเอง โดยมิตอ้ งรอการ
ดลบนั ดาลจากส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิใดๆ ท้งั สิ้น”
ก่อนท่ีพระโพธิสัตวอ์ นั สถิตอยู่ ณ สวรรคช์ ้นั ดุสิต จะไดท้ รงตรัสรู้บรรลุธรรมเป็นองคส์ มเด็จพระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ เพ่ือ
โปรดชาวโลกน้นั พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจา้ ท่านไดท้ รงบาเพญ็ บารมี ๑๐ ประการ อนั ไดแ้ ก่
(๑) พระเตมีย์ ทรงบาเพญ็ เนกขมั มบารมี คือ ความอดทนสูงสุด
(๒) พระมหาชนก ทรงบาเพญ็ วริ ิยบารมี คือ ความพากเพยี รสูงสุด
(๓) พระสุวรรณสาม ทรงบาเพญ็ เมตตาบารมี คือ ความเมตตาสูงสุด
(๔) พระเนมิราช ทรงบาเพญ็ อธิษฐานบารมี คือ ความมีจิตทแี่ น่วแน่สมบูรณ์
(๕) พระมโหสถ ทรงบาเพญ็ ปัญญาบารมี คือ ความมีปัญญาสูงสุด
(๖) พระภูริทตั ทรงบาเพญ็ ศีลบารมี คือ ความมีศีลทสี่ มบูรณ์สูงสุด
(๗) พระจนั ทกุมาร ทรงบาเพญ็ ขนั ติบารมี คือ ความอดกล้นั สูงสุด
(๘) พระนารทพรหม ทรงบาเพญ็ อุเบกขาบารมี คือ การมีอเุ บกขาสูงสุด
(๙) พระวธิ ูรบณั ฑิต ทรงบาเพญ็ สัจจบารมี คือ ความมสี ัจจะสูงสุด
(๑๐) พระเวสสนั ดร ทรงบาเพญ็ ทานบารมี คือ การรู้จักให้ทานสูงสุด
บนั ทึกลาดบั ขน้ั ตอนการ
ฝึ กฝนตนของพระพทุ ธจ้า
• เสดจ็ ไปศึกษาและปฎิบตั ิระบบโยคะกบั ดาบสสองท่าน คือ อาฬารดาบส กบั อกุ ทกดาบส จนบรรลุ เนวสัญญานาสัย
ยายตนะ
• หนั ไปบาเพญ็ ตบะอยา่ งเขม้ งวด เช่น
• ประพฤติวตั รของเดียรถีร์ : ปฏิบตั ิแบบเขม้ งวดแปลกท่ีคนสมยั น้นั เช่ือวา่ จะพน้ ทุกข์
• บาเพญ็ ตบสีลวตั ร : เปลือยกาย กินผลไมห้ ลน่ เอง กินโคมยั แช่ในน้าเยน็ 7 วนั 3 เวลา
• บาเพญ็ ลขู วตั ร : ทาตวั ใหส้ กปรกเศร้ามองดว้ ยวิธีการตา่ งๆ
• บาเพญ็ เชคุจฉิวตั ร : ระมดั ระวงั เกินขอบเขต
• บาเพญ็ ปววิ ติ รวตั ร : ทาตนดุจผีตองเหลือง หนีเขา้ ป่ าลึก
• บาเพญ็ มหาวิกฏั โภชนวตั ร : คลานเขา้ ไปเอาโคมยั ของลูกโคกิน
• บาเพญ็ อุเบกขาวตั ร : ทาตนไร้ความรู้สึก นอนกลิง้ เกลือกในป่ าชา้
• ทรงทาทุกกรกิริยาอยา่ งเขม้ งวด :
ประวตั พิ ทุ ธสาวก พทุ ธสาวกิ า
พระอานนท์ พระอานนท์ เป็นพระโอรส หลงั บวชไดไ้ ม่นานกบ็ รรลุ
ของพระเจา้ สุกโกทนะ มีศกั ด์ิ
คุณธรรมท่ีควรเป็นแบบอยา่ ง โสดาบนั รับหนา้ ที่เป็น
๑ เป็นผใู้ ฝ่ รู้อยา่ งยงิ่ เป็ นอนุชาของพระบรมศาสดา “พทุ ธอุปัฏฐาก”
๒ เป็นผมู้ ีสติเสมอ
๓ มีหลกั ในการจดจาพทุ ธวจนะ ก่อนเขา้ รับหนา้ ท่ีพทุ ธอปุ ัฏฐาก
ไดท้ ูลขอพร ๘ ประการ จาก
คุณธรรมท่ีควรเป็นแบบอยา่ ง
๔ มีความเพียรกลา้ พระพทุ ธเจา้
๕ เป็นผรู้ ู้จกั กาลเทศอยา่ งยง่ิ
๖ เป็นผมู้ องการณ์ไกล ความเป็ นเลิศ
คุณธรรมท่ีควรเป็นแบบอยา่ ง -เป็ นพหูสูต
๗ เป็นผมู้ ีความเมตตากรุณาอยา่ งยง่ิ
๘ เป็นผมู้ กั นอ้ ยอยา่ งยง่ิ -เป็นผมู้ ีสติ
-เป็นผมู้ ีคติ
-เป็นผคู้ วามเพยี รพยายามอยา่ งยงิ่
-เป็นพทุ ธอุปัฏฐาก
พระปฏาจาราเถรี "พระปฏาจาราเถรี ภิกษณุ ีท่ี นางปฏาจารา เป็นธิดาของ
มีความทุกขม์ ากท่ีสุด” เศรษฐีชาวเมืองสาวตั ถี ได้
คุณธรรมที่ควรถือเป็ น หนีตามชายรับใชอ้ อกจาก
แบบอยา่ ง เรือนไป
1. เป็นผมู้ ีความต้งั ใจจริง
2. เป็นผแู้ นะแนวชีวิตที่ดี -คลอดลูกกลางทาง
เอตทคั คะ ในทางเป็นผทู้ รง -สามีถกู งูกดั ตาย
พระวินยั เป็นกาลงั ในการ -หวั ใจสลายเพราะสูญเสียลกู
เผยแพร่พระพทุ ธศาสนา นอ้ ยท้งั สอง
-ทราบขา่ วการตายของบิดา
มารดาถึงกบั เสียสติ
พระภิกษุณีปฏาจาราเทียบกบั หายบา้ แลว้ ไดบ้ วช
ชีวติ ของตนวา่ ชีวติ เหมือน
“จงกลบั ไดส้ ติเถิด นอ้ งหญิง”
น้าลา้ งเทา้
นางจฬู สุภทั ทา จูฬสุภทั ทา สตรีผทู้ าใหค้ รอบครัวของสามี คาสอน 10 ประการ
กลายเป็นผมู้ ีสัมมาทิฏฐิ
คุณธรรมที่ควรถือเป็ น 1.ไฟในอยา่ นาออก
แบบอย่าง 2.ไฟนอกอยา่ นาเขา้
-เป็ นบุตรท่ีดีของบิดามารดา 3.จงใหแ้ ก่คนที่ให้
-ดาเนินตามแบบอยา่ งที่ดีของ 4.จงอยา่ ใหแ้ ก่คนท่ีไม่ให้
บรรพชน 5.จงใหแ้ ก่คนที่ใหแ้ ละไมใ่ ห้
คุณธรรมท่ีควรถือเป็ นแบบอย่าง คาสอน 10 ประการ
-เป็นผมู้ นั่ คงในพระรัตนตรัย 6.จงนงั่ ใหเ้ ป็นสุข
-เป็นพทุ ธสาวิกาตวั อยา่ ง 7.จงนอนใหเ้ ป็นสุข
8.จงกินใหเ้ ป็นสุข
9.จงบชู าไฟ
10.จงบชู าเทวดา
นายสุมนมาลาการ ถวายดอกไมเ้ ป็น นายสุมนมาลาการ “ภิกษุท้งั หลายบุคคลทากรรมใดแลว้
พทุ ธบูชา จนไดข้ องพระราชทาน ไม่เดือดร้อนในภายหลงั เป็นผเู้ อิบอ่ิม
มีความสุขใจนนั่ แหละเรียกวา่ ”
นายสุมนมาลาการ เป็นชาวเมืองรา
ชคฤห์ เขามีหนา้ ท่ีนาดอกมะลิวนั ละ กรรมดี
๘ ทะนาน ไปถวายพระเจา้ พมิ พิสาร
แต่เชา้ ตรู่ทุกวนั ไดท้ รัพยว์ นั ละ 8 คุณธรรมที่ควรถือเป็นแบบอยา่ ง
กหาปณะ 1.เป็นผซู้ ่ือตรงต่อหนา้ ท่ี
2.เป็นผคู้ ิดเป็นทาเป็น
วนั หน่ึงขณะท่ีเขากาลงั ถือดอกไมจ้ ะ 3.เป็นคนกลา้ หาญ
เขา้ ประตูเมืองพระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ออก
บิณฑบาตทรงเปลง่ พระรัศมีเกิด
ความเล่ือมใสจึงนาดอกไมบ้ ูชา
พระพทุ ธเจา้
ชาวพุทธตวั อย่าง
พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คณุ ธรรมทีค่ วรถือเป็ น
แบบอย่าง
พระบาทสมเดจ็ พระ การทานุบารุงพระพทุ ธศาสนา 1.ทรงเป็นอบุ าสกที่เคร่งครัด
จุลจอมเกล้าเจ้าอย่หู ัว 1.การชาระและการพิมพ์ 2.ทรงอปุ ถมั ภท์ านุบารุง
เป็นรัชกาลที่ 5 แห่ง พระไตรปิ ฎก พระพทุ ธศาสนาอยา่ งดียง่ิ
ราชวงศจ์ กั รี กรุง 2.การสร้างวดั ข้ึนใหม่หลายวดั 3.ทรงมีวสิ ยั ทศั นก์ วา้ งไกล
รัตนโกสินทร์
การทานุบารุงพระพทุ ธศาสนา
พระราชกรณยี กจิ 3. การส่งเสริมใหว้ ดั เป็นศูนย์
-ยกเลกิ ประเพณีหมอบคลาน การศึกษา
และกราบ 4.การศึกษาของพระสงฆ์
-เลกิ ทาส
-ต้งั โรงเรียนหลวงสอนท้งั
ภาษาไทยและองั กฤษ
-ปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม
พระโพธิญาณเถร คุณธรรมท่ีควรถือเป็ น
(ชา สุภทฺโท) แบบอยา่ ง
1.เป็นผฝู้ ึ กฝนตนอยา่ งดีเยย่ี ม
หลวงป่ ูชา สุภทั โท 2.ขยนั หมน่ั เพียรเป็นเลิศ
นามเดิม ชา ช่วงโชติ
เกิดเมื่อวนั ที่ ๑๗ มิถุนายน คุณธรรมท่ีควรถือเป็นแบบอยา่ ง
พ.ศ.๒๔๖๑ 3.เป็นผมู้ ีวธิ ีคิดแบบ
อ.วารินชาราบ จ.อุบลราชธานี
โยนิโสมนสิการ
อุปสมบทแลว้ ท่านไดอ้ ุทิศตน มรณภาพ 4.มีเทคนิควธิ ีการสอนท่ียอดเยย่ี ม
ศึกษาพระธรรมวนิ ยั อยา่ ง
เม่ือวนั ที่ 16 มกราคม 2535 แก่นคาสอน
จริงจงั แลว้ จึงจาริกออกปฏิบตั ิ เวลา 05.30 น. อยา่ งสงบ 1.สติ
ธรรมตามป่ าเขาลาเนาไพร ท่ามกลางธรรมสงั เวชของศิษยานุ 2.ละทิฎฐิมานะ
และก่อต้งั วดั หนองป่ าพง ศิษยจ์ ากทุกสารทิศ
พระพรมคณุ าภรณ์ คุณธรรมทค่ี วรถือเป็ นแบบอย่าง
(ป.อ.ปยตุ ฺโต) 1.เป็นผมู้ ีความเพยี รเป็นเลิศ
2.เป็นผมู้ ีวนิ ยั ในตนเองและฝึกฝนตนอยา่ ง
นามเดิม ประยทุ ธ์ อารยางคก์ รู เกิดเม่ือวนั ดีเยย่ี ม
พฤหสั บดีที่ ๑๒ ม.ค ๒๔๘๑ จ.สุพรรณบุรี 3.เป็นพระท่ีมีศีลจารวตั รงดงามอยา่ งยงิ่
บรรพชาเป็นสามเณรเม่ืออายุ ๑๒ ปี ท่ีวดั คุณธรรมทีค่ วรถือเป็ นแบบอย่าง
4. มีความเป็นเลิศทางวชิ าการ
บา้ นกร่าง อ.ศรีประจนั ต์
และอุปสมบทในพระบรมราชานุเคราะห์ 5. มีวญิ ญาณปกป้อง
(นาคหลวง) ณ วดั พระศรีรัตนศาสดาราม พระพทุ ธศาสนา
ผลงานอนั เล่ืองชื่อคือ หนงั สือ "พทุ ธธรรม"
และงานนิพนธ์อนั ทรงคุณคา่ อีกไม่ต่ากวา่ ๓๕๐
-สาเร็จการศึกษาช้นั น.ธ.เอก ป.ธ.๙ เล่ม พ.ศ. ๒๕๓๗ องคก์ ารยเู นสโกไดน้ อ้ ม
(ขณะเป็นสามเณร) และพทุ ธศาสตร์
ถวายรางวลั การศึกษาเพ่ือสนั ติภาพ แก่พระ
บณั ฑิต (เกียรตินิยมอนั ดบั ๑)
ธรรมปิ ฎก (ป.อ. ปยตุ ฺโต) ซ่ึงท่านเป็นคนไทย
-ปัจจุบนั เป็นเจา้ อาวาสวดั ญาณเวศกวนั ต. คนแรกและคนเอเชียคนที่ ๑๔ ที่ไดร้ ับรางวลั อนั
บางกระทึก อ.สามพราน จ.นครปฐม ทรงเกียรติยง่ิ น้ี
ท่านอนาคาริก ธรรมปาละ
อนาคาริก ธรรมปาละ ดอน เดวดิ เทวะวติ ถรณะ ชาวสิงหล
เกิด17 ก.ย พ.ศ. 2407
มรณภาพ 29 เม.ย พ.ศ. 2476
-เป็นบุคคลที่สาคญั ท่ีสุดในการฟ้ื นฟูพระพทุ ธ
ศาสนาในประเทศอินเดีย
-เป็นผกู้ ่อต้งั สมาคมมหาโพธ์ิ และเป็นผเู้ รียกร้องเอา
พทุ ธสถานในอินเดียกลบั คืนมาเป็นของชาวพุทธ
คุณธรรมที่ควรถือเป็ นแบบอย่าง
1.มีความมุ่งมน่ั สูงมาก
2.เป็นผปู้ กป้องพระพทุ ธศาสนา
อยา่ งแทจ้ ริง
มหาชนกชาดก
พระเจา้ อริฏฐชนกผเู้ ป็นพระบิดาสวรรคตเนื่องจากแพ้
สงคราม พระมารดาจึงเสดจ็ ล้ีภยั
พระมารดาประสูติพระโอรสพระนามวา่
“มหาชนก”
เม่ือเจริญวยั จึงไดท้ รงเล่าความจริง
https://sites.google.com/site/thai010ssru/wi-kha-hlak-phasa/neux-reuxng
พระมหาชนกเสดจ็ ไปยงั เมืองมิถิลาเพ่ือแกแ้ คน้
แตเ่ กิดลมพายพุ ดั กระหน่าจนเรือแตก
พระมหาชนกทรงวา่ ยน้าอยกู่ ลาง
ทะเลได้ ๗ วนั แลว้ ทรงสมาทาน
อุโบสถศีล
นางมณีเมขลาชอ้ นพระองคไ์ ปส่งที่ในเมืองมิถิลา
แลว้ วางบนพระแท่นศิลา
https://sites.google.com/site/thai010ssru/wi-kha-hlak-phasa/neux-reuxng
พระมหาชนกอภิเษกสมรสกบั พระนางสีวลี
พระเจา้ มหาทรงปกครองแผน่ ดิน
โดยธรรม ไพร่ฟ้าประชาชนมีแต่
ความสุขสนั ตด์ ีชนก
https://sites.google.com/site/thai010ssru/wi-kha-hlak-phasa/neux-reuxng
หลักธรรมทาง
พระพุทธศาสนา
หลักธรรมคาสอนถือเป็ นหัวใจสาคัญของแต่ละศาสนา
หากปราศจากหลักธรรมคาสอนแล้ว ก็เปรียบ
เหมือนกับไม่มีศาสนา
พระพุทธ พระรัตนตรัย
พระธรรม
พระสงฆ์ พระรัตนตรัย หมายถงึ แกว้ ประเสรฐิ
3 ดวง ซง่ึ เป็นองคป์ ระกอบสาคญั ของ
พระพทุ ธศาสนา
คุ ณค่าของพระสงฆ์
1 .พร ะสง ฆ์เป็ น ผู้ สืบท อดศาสน า
2 .เป็ นตัวอย่างของชีวิตแบบพุ ทธ
3 .พร ะสง ฆ์เป็ น ผู้ อนุ เคร าะห์ชาว บ้าน
อริยสัจ 4
ค ว า ม จ ริ ง อั น ป ร ะ เ ส ริ ฐ ป ร ะ ก อ บ ไ ป ด้ ว ย ทุ ก ข์ ส มุ ทั ย นิ โ ร ธ ม ร ร ค
ประเภทของเจตสกิ ทุกข์ (ธรรมท่ีควรรู้)
อญั ญสมานาเจตสกิ (13) จติ -เจตสิก
• เจตสิกฝ่ายกลาง ๆ ท่ีสามารถเขา้ ประกอบกบั จิตได้ ทงั้ กลมุ่ จติ : ธรรมชาตทิ ่รี ูอ้ ารมณ์ สภาพท่นี กึ คิด
กศุ ลจิต กลมุ่ อกศุ ลจิต และกลมุ่ จิตท่ีไม่ใชก่ ศุ ล / อกศุ ล
หนา้ ทหี่ ลกั รบั จา คิด รูแ้ ละทาหนา้ ท่ี
• ผสั สะ เวทนา สญั ญา วริ ยิ ะ ฉนั ทะ
เจตสกิ : ธรรมท่ปี ระกอบดว้ ยจิต หรอื อาการ
อศุ ลเจตสกิ (14) คณุ สมบตั ิตา่ งๆของจิต
• เจตสกิ ฝ่ายอกศุ ล หนา้ ที่ เกิดพรอ้ มกบั จิต ดบั พรอ้ มกบั จิต มี
• โลภะ ทิฎฐิ มานะ โมหะ อสิ สา อารมณเ์ ดียวกนั กบั จิต อาศยั วตั ถเุ ดียวกนั กบั จิต
โสภณเจตสกิ (25) *** เจตสกิ จะเกิดขนึ้ ตามลาพงั โดยไมม่ ีจิตไมไ่ ด้
เหมอื นเงาของรา่ งกายจะเกิดขนึ้ โดยรา่ งกายไมม่ ี
• เจตสกิ ฝ่ายดีงาม รา่ งกายไมไ่ ด้ เจตสิกเป็นส่งิ ท่เี กิดดบั พรอ้ มจิต เม่อื จติ
• สติ สทั ธา หิรโิ อตปั ปะ สมั มาวาจา สมั มากมั มนั ตะ สมั มาอาชีวะ กรุณา ดบั เจตสิกกต็ อ้ งดบั ดว้ ย
มทุ ติ า ปัญญา
จิต-เจตสิก