The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สื่อการสอนพระพุทธศาสนาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Kanyarat Silayang, 2020-11-02 01:48:21

สื่อการสอนพระพุทธศาสนาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6

สื่อการสอนพระพุทธศาสนาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6

สมุทัย (ธรรมที่ควรละ)

1. ปฎจิ จสมุปบาท
2. นิวรณ์ 5
3. อุปาทาน 4

ปฎิจจสมุปบาท

ปฏจิ จสมุปบาท (/ปะติดจะสะหฺมบุ บาด/) อทิ ปั ปัจจยตา หรอื ปัจจยาการ

เป็ นหลักธรรมทอ่ี ธบิ ายถงึ การเกดิ ขึน้ พร้อมแหง่ ธรรมทงั้ หลายเพราะอาศัยกนั ,
การทส่ี งิ่ ทงั้ หลายอาศัยกนั จงึ เกดิ มขี ึน้ เช่น ทกุ ขเ์ กดิ ขึน้ เพราะมปี ัจจยั 12 เรื่อง
เกดิ ขึน้ สืบ ๆ เน่ืองกนั มาตามลาดับดังนี้ คอื

เพราะเกิด (ชาต)ิ เป็นเหตุ จงึ ตอ้ งแก่และตาย (ชรามรณะ)
เพราะ ความเป็นส่ิงนนั้ ๆ (ภพ) ทาใหม้ ีการเกิด (ชาต)ิ
เพราะความยดึ ติด (อุปาทาน) ความเป็นส่งิ นนั้ ๆ (ภพ) จึงมี
เพราะความอยาก (ตณั หา) ทาใหเ้ กิดความยดึ ตดิ (อุปาทาน)
เพราะความรูส้ กึ (เวทนา) ทาใหเ้ กิดความอยาก (ตัณหา)
เพราะการสมั ผสั (ผัสสะ) ทาใหเ้ กิดความรูส้ กึ (เวทนา)
เพราะอายตนะทงั้ 6 ไดแ้ ก่ ตา หู จมกู ลิน้ กาย และใจ (สฬายตนะ)
ทาใหเ้ กิดการสมั ผสั (ผัสสะ)
เพราะการรวมกนั ระหว่างรูปกบั นาม คือจิตกบั กาย (นามรูป) ทาให้
เกิดอายตนะทงั้ 6 (สฬายตนะ)

เพราะการรบั รูท้ างอารมณ์ (วญิ ญาณ)ทาใหเ้ กิดจิตกบั กาย (นามรูป)
เพราะการปรุงแต่ง (สังขาร) ทาให้เกิดการรับรู้ทางอารมณ์
(วญิ ญาณ)
เพราะความไมร่ ู้ (อวชิ ชา) ทาใหเ้ กิดการปรุงแตง่ (สังขาร)





นิวรณ์ 5

นิวรณ์ คือ เครอ่ื งกีดกนั้ การทางานของจิต สง่ิ ท่ี
ขดั ขวางความดีงาม• นิวรณ์ คือ เคร่อื งกีดกน้ั การทางานของจติ ส่ิงท่ีขดั ขวางความดีงาม

กามฉันท์ พยาบาท ถนี มทิ ธะ อุธัจจกุกกุจจะ วจิ กิ จิ ฉา

โทสะ
โกธะ
ปฏฆิ ะ

นิวรณ์ 5

เมอ่ื เข้าใจถึงเหตขุ องนวิ รณว์ ่าเกดิ จาก
อะไร และรูว้ ธิ ีแกว้ า่ จะตอ้ งใชเ้ ทคนิค
อยา่ งไรแล้ว ก็พยายามแกท้ ่ตี ้นเหตุ
นิวรณ์ 5 กจ็ ะครอบงาจิตใจไดย้ ากหรอื

ไม่ได้เลย

อุปาทาน 4 :การยึดม่ันถือม่ันทางจิตใจ

• กามุปาทาน : ความยดึ ม่นั ในกาม • สลี ัพพตั ตุปาทาน : ความยดึ ม่นั ในศลี
และพรต

• ทฏิ ฐุปาทาน : ความยดึ ม่นั ในทิฎฐิ • อัตตวาทปุ าทาน : ความยดึ ม่นั ใน
ตวั ตน

• นิพพาน คือ ดบั เยน็ นิพพานในพระพทุ ธศาสนา มอี ยู่ 3 อย่าง นิ โ ร ธ
ดงั นี้ ( ธ ร ร ม ท่ี ค ว ร บ ร ร ลุ )

• การสนิ้ กเิ ลสหรือการดบั กเิ ลส เรยี กว่า นิพพาน นิโรธ คือ การดบั ทกุ ข์ หมายถึง
การดบั หรอื การละตณั หา 3
• ผลทเี่ กดิ ขนึ้ เป็ นความสงบปราศจากความทกุ ขโ์ ดยสิน้ เชงิ ประการดงั กลา่ วแลว้ ได้ ตณั หา
หรอื ภาวะท่ปี ราศจากความทกุ ข์ อนั เกิดจากการสนิ้ กิเลสน่นั เอง เป็นเหตใุ หเ้ กิดทกุ ข์ ถา้ ดบั เหตไุ ด้
ทกุ ขซ์ ง่ึ เป็นผลก็ดบั ไปเอง
• ธรรมธาตุอย่างหน่ึง เป็นท่ดี บั ของกิเลสและเป็นสภาพท่ีมีอยู่
นิรนั ดร เม่อื ปฏิบตั ใิ หถ้ งึ พรอ้ ม กิเลสของนนั้ ก็ดบั ไป ธรรมธาตอุ นั นี้
ถกู วา่ จดั วา่ เป็นนิพพาน

อริยมรรคมีองค์แปด เป็ นทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) คือ ทางท่ีนาไปสู่การพ้นทุกข์ ท่ี
พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยปั ญญาอันย่ิง ทาญาณให้เกิด ย่อมเป็ น ไปเพ่ือความสงบเพ่ือความรู้

ย่ิง เพ่ือความตรัสรู้ เพ่ือนิพพาน

มรรค
(ธรรมท่ีควรเจริญ)

อธิปไตย 3 : ความเป็นใหญ่หรอื ภาวะท่ีถือ
อะไรบางอยา่ งเป็นใหญ่

1. อตั ตาธิปไตย หมายถงึ การถือตนเป็นใหญ่
2. โลกาธิปไตย หมายถึงการถือโลกเป็นใหญ่
3. ธัมมาธิปไตย หมายถึงการถือธรรมคอื
ความถกู ตอ้ งเป็นใหญ่

สาราณียธรรม 6 ช่วยให้ระลึกถึงกัน เป็นธรรมท่ีสร้างความสามัคคี การ

ร่วมมือสมัครสมานสามัคคีกันทั้งกาย วาจา

ทฎิ ฐิ เมตตา เมตตา
สามญั ญตา กายกรรม วจีกรรม

สีล สาราณียธรรม เมตตา
สามญั ญตา 6 มโนกรรม

สาธารณ
โภคี

สาราณียธรรม 6

1. เมตตากายกรรม 2. เมตตาวจีกรรม

• การกระทาทางกายท่ีประกอบดว้ ยเมตตา เช่นการ • การมีวาจาท่ีดี สภุ าพ
ใหก้ ารอนเุ คราะหช์ ว่ ยเหลือ

สาราณียธรรม 6

3. เมตตามโนกรรม 4.สาธารณโภคี

• ความคิดท่ีประกอบดว้ ยเมตตาทงั้ ตอ่ หนา้ และลบั • การรูจ้ กั แบง่ ส่งิ ของใหก้ นั และกนั ตามโอกาสอนั
หลงั ควร

สาราณียธรรม 6 6. ทิฏฐิสามัญญตา

5. สีลสามัญญตา • การมีความเห็นรว่ มกนั ไมเ่ หน็ แก่ตวั

• ความรกั ใครส่ ามคั คี รกั ษาศลี อยา่ งเครง่ ครดั
เหมาะสม มีความประพฤตเิ สมอภาคกนั

ทศพิธราชธรรม

ทศพิธราชธรรม หรอื ราชธรรม 10
คอื จรยิ วตั ร 10 ประการท่ีพระเจา้
แผน่ ดินทรงประพฤติเป็น
หลกั ธรรม ประจาพระองค์ หรอื
เป็นคณุ ธรรมประจาตนของ
ผปู้ กครองบา้ นเมือง ใหม้ ีความ
เป็นไปโดยธรรมและยงั ประโยชน์
สขุ ใหเ้ กิดแก่ประชาชนจนเกิด
ความช่ืนชมยินดี

Cr: จตพุ งษ์ ยศพิมพา https://www.gotoknow.org/posts/618539

ทศพิธราชธรรม

ทศพิธราชธรรม

ทศพิธราชธรรม

ทศพิธราชธรรม

ทศพิธราชธรรม

วิปั สสนาญาณ 9

ญาณท่ีทาความเห็นแจ้ง , ความรู้ท่ีเห็นส่ิงทั้งปวงตามความเป็ นจริงว่าตกอยู่ใต้ไตร
ลักษณ์ มี 9 อย่าง

• อุทยพั พยานุปัสสนาญาณ เหน็ ความเกิดและความดบั
กาหนดเหน็ สงั ขารจนแจม่ แจง้ วา่ สงั ขารทงั้ ปวงเม่ือเกิดแลว้
กด็ บั ทงั้ หมด

• ภงั คานุปัสสนาญาณ เหน็ ความดบั กาหนดเหน็ แจง้ วา่
สงั ขารทงั้ ปวงตอ้ งดบั หมด

• ภยตปู ัฏฐานญาณ เหน็ สงั ขารเป็นของนา่ กลวั กาหนด
เหน็ ความเส่อื มและสนิ้ ไปแหง่ สงั ขาร

• อาทนี วานุปัสสนาญาณ เหน็ โทษของสงั ขาร กาหนด
เหน็ โทษเพราะการแปรเปล่ยี นและดบั ไป ซา้ แลว้ ซา้ เลา่ ไม่
สนิ้ สดุ ของสงั ขาร

วิปั สสนาญาณ 9

ญาณท่ีทาความเห็นแจ้ง , ความรู้ท่ีเห็นส่ิงทั้งปวงตามความเป็ นจริงว่าตกอยู่ใต้ไตร
ลักษณ์ มี 9 อย่าง

• นิพพทิ านุปัสสนาญาณ เห็นความเบ่อื หน่าย กาหนดพิจารณาสงั ขารวา่
เป็นภยั ท่ีน่ากลวั มีแตโ่ ทษจนเกิดความเบ่อื หนา่ ยในสงั ขาร

• มุญจติ ุกมั ยตาญาณ พิจารณาเพ่ือหาทางหลกี พน้ จากสงั ขาร อยากพน้
จากการเกิดดบั ของสงั ขาร

• ปฏสิ ังขานุปัสสนาญาณ หาทางหลีกพน้ จากสงั ขาร ดว้ ยการหยิบสงั ขาร
ขนึ้ มาพิจารณากาหนดดว้ ยไตรลกั ษณอ์ ีกครงั้ หนง่ึ

• สังขารุเปกขาญาณ พิจารณาเหน็ ความจรงิ ของสงั ขารแลว้ วางใจใหเ้ ป็น
กลางในสงั ขาร จนจิตเกิดความวางเฉยไมย่ ินดยี ินรา้ ย ไมย่ ดึ ม่นั

• สัจจานุโลมกิ ญาณ พิจารณาสงั ขารนอ้ มเขา้ หาอรยิ สจั

มงคล 38

มงคล คอื เหตแุ หง่ ความสขุ
ความกา้ วหนา้ ในการดาเนินชีวิต

ธรรมท่นี ามาซง่ึ ความสขุ ความ
เจรญิ มีทงั้ หมด 38 ขอ้

มงคล 38 ป ร ะ พ ฤ ติ พ ร ห ม จ ร ร ย์

ความเพียรเผากิเลส (ตโป จ)

มงคล 38

1.เพียรเผากิเลส 2.การประพฤติ
ตบะ : ทาใหร้ อ้ น พรหมจรรย์

บาเพ็ญตบะ:การทาความ กามารมณ์ คอื อารมณท์ ่ี
เพียรเผาผลาญความช่วั คือ นา่ รกั น่าใคร่ นา่ ปรารถนา
กิเลสทกุ ชนดิ ใหร้ อ้ นจนทนอยู่ หากเราปลอ่ ยตวั ปลอ่ ยใจ
ไมไ่ ด้ เกาะใจเราไมต่ ิดตอ้ ง ใหต้ กอยใู่ ตก้ ามารมณไ์ ม่
เผน่ หนีไป แลว้ ใจของเราก็จะ ควบคมุ เราจะขาดสติ ไม่

ผอ่ งใส เป็นมงคลแกช่ ีวติ

มงคล 38 บ ร ร ลุ นิ พ พ า น

เ ห็ น อ ริ ย สั จ

มงคล 38 การบรรลุนิพพาน

เหน็ อริยสัจ -ความสญู ดบั กิเลส ดบั
ทกุ ข์
ทกุ ข์ : ความไมส่ บายกาย ใจ
ตา่ งๆ -ความพน้ ทกุ ข์
สมทุ ยั : สาเหตทุ ่ีทาใหเ้ กิด
ทกุ ข์ นิพพาน เป็นท่ีซง่ึ ความทกุ ข์
นิโรธ : ความดบั ทกุ ข์ ทงั้ หลายเขา้ ไปไมถ่ งึ อย่พู น้
มรรค : วิธีการปฎบิ ตั ิเพ่อื ไปสู่ กฎของใตรลกั ษณ์ ไม่มีการ
ความดบั ทกุ ข์ เวียนวา่ ยตายเกิด ไมม่ ีแก่
เจบ็ ตาย ทกุ อย่างเป็นสขุ งั

เป็นนิจจงั เป็นอตั ตา



หน่วยการเรยี นรทู ้ ี่ 4
เรอื่ ง พุทธศาสนสภุ าษติ คาศพั ทท์ าง

พระพทุ ธศาสนา และพระไตรปิ ฎก

ครูผสู้ อน นางสาวกญั ญารตั น์ ศิลาแยง

พุทธศาสนสภุ าษติ
วธิ อี า่ นภาษาบาลี

1. พยญั ชนะทไี่ มม่ สี ระกำกบั อ่ำน
เหมอื นมสี ระ อะ
ภคว อา่ นวา่ ภะ-คะ-วะ (ภควโต)
อรห อา่ นวา่ อะ-ระ-หะ (อรหโต)
ปน อา่ นวา่ ปะ-นะ
จ อา่ นวา่ จะ

2. พยญั ชนะทมี่ สี ระกำกบั อ่ำนตำม
สระนน้ั ๆ เหมอื นคำไทย
อติ ปิ ิ โส อา่ นวา่ อ-ิ ต-ิ ปิ -โส

2

วธิ อี ำ่ นภำษำบำลี

▸ 3. จุดบน เรยี กวำ่ นิคหติ ▸ 4. จดุ ลำ่ ง เรยี กวำ่ พนิ ทุ ทำหนำ้ ทเี่ ป็ น
หรอื นฤคหติ พยญั ชนะทมี่ ี
จุดบน อำ่ นเหมอื น + องั ตวั สะกด

▸ ส (=ส + องั ) อา่ นวา่ สงั ▸ 4.1 หน้ำตวั สะกดมสี ระกำกบั อำ่ นตำมสระ

▸ น (=น + องั ) อา่ นวา่ นัง นน้ั ๆ + ตวั สะกด

▸ ม (=ม + องั ) อา่ นวา่ มงั ▸ วชิ ชฺ า(มสี ระ อิ ท่ี ว) =วดิ -ชา
▸ ถา้ เป็ น วชิ ชา (ไม่มจี ดุ ลา่ ง) ตอ้ งอา่ น ว-ิ ชะ-ชา
▸ พทุ ธฺ (มสี ระ อุ ท่ี พ) =พดุ -ทงั
▸ ถา้ เป็ น พุทธ (ไม่มจี ดุ ลา่ ง) ตอ้ งอ่าน พุ-ทะ-ธงั
▸ เมตตฺ า(มสี ระ เอ ท่ี ม) =เมด-ตา
▸ ถา้ เป็ น เมตตา (ไม่มจี ดุ ล่าง) ตอ้ งอ่าน เม-ตะ-ตา

3

วธิ อี ำ่ นภำษำบำลี

▸ 4.2 หนำ้ ตวั สะกดไม่มสี ระ ▸ 5. มสี ระ และมจี ุดบนดว้ ย
กำกบั อำ่ นเหมอื นมไี มห้ นั ▸ 5.1มสี ระ อุ และมจี ดุ บน
อำกำศ
อำ่ นเป็ นเสยี ง องุ
▸ สตถฺ า=สดั -ถา (ตฺ เป็ นตวั สะกด ▸ พาหุ อา่ นว่า พา-หุง
หนา้ ตฺ คอื ส ไมม่ สี ระกากบั ) ▸ กาตุ อา่ นว่า กา-ตงุ

▸ ธมโฺ ม=ธมั -โม (มฺ เป็ นตวั สะกด
หนา้ มฺ คอื ธ ไม่มสี ระกากบั )

▸ สงโฺ ฆ=สงั -โฆ (งฺ เป็ นตวั สะกด
หนา้ งฺ คอื ส ไมม่ สี ระกากบั

4

▸ 5.2 มสี ระ อิ และมจี ดุ บน วธิ อี ำ่ นภำษำบำลี
(เขยี นคลำ้ ยสระ อ)ึ อ่ำนเป็ น
เสยี ง องิ

▸ อหสึ ก อา่ นวา่ อะ-หงิ -สะ-กะ
***โปรดจา
▸ อหึ ไม่ใช่ อะ-หึ (เสยี งหวั เราะ หึ ห)ึ

แตเ่ ป็ น อะ- หงิ

▸ 6. พฺรหมฺ ออกเสยี ง พ และ ห แผว่ นิดหน่ึง
ให้ พ ไปรวมกบั ร และ ห ไปรวมกบั ม (ลอง
ออกเสยี งชา้ ๆ เป็ น พะ-ระ-หะ-มะ แลว้ รวบให้
เรว็ ขนึ้ เป็ น พระ-ห-มะ หรอื จะออกเสยี งเป็ น
พรา-มะ ตรงๆ ก็ได ้ แตพ่ งึ เขา้ ใจวา่ เสยี งจรงิ ๆ
คอื พะ ระ หะ มะ หรอื พระ-ห-มะ)

5

วธิ อี ำ่ นภำษำบำลี

▸ 7. ทวฺ (ในคาวา่ ทวฺ าร, เทวฺ เป็ นตน้ )
▸ ออกเสยี ง ท แผ่วนิดหนึ่ง ให้ ท รวมกบั

ว ไมใ่ ช่ ทะ ว แตเ่ ป็ นเสยี งคลา้ ยคาวา่
ทวั

▸ ทวฺ าร= ทวั -อา-ระ(เสยี งไทยอา่ นวา่ ทะ-

วา-ระ, ทะ-วาน)

▸ เทวฺ = ทวั -เอ(เสยี งไทยอา่ นวา่ ทะ-เว)

▸ 8. ตวฺ า ไมใ่ ช่ ตะ วา แตค่ ลา้ ยคาว่า ตวั

อา ออกเสยี งเรว็ ๆ เชน่

▸ กตวฺ า = กดั -ตวั อา (ไม่ใช่ กดั ตะ
วา หรอื กดั -วา)

▸ สตุ วฺ า = สดุ -ตวั อา (ไม่ใช่ สดุ ตะ
วา หรอื สดุ -วา)

6

พุทธศาสนสภุ าษิต

7

▸ ราชา มขุ ํ มนุสสฺ านํ

▸ พระราชาเป็นประมขุ ของ
ประชาชน

8

มนุษยเ์ ป็ นสตั วส์ งั คม ตอ้ งมผี นู้ าเพอื่ ทาหนา้ ทช่ี นี้ าใหด้ าเนินชวี ติ ไปในแนวทางทถี่ กู ตอ้ ง
ดงี าม เกดิ สนั ตสิ ขุ ภายในและภายนอก ปกป้ องมใิ หเ้ กดิ ความแตกแยกสามคั คี

พระมหากษตั รยิ ไ์ ทยในฐานะประมขุ ของ ชาติ ไดน้ าหลกั ธรรมคาสอนทางพระพุทธศาสนา
มาประยกุ ตใ์ ชใ้ หเ้ ขา้ กบั ยคุ สมยั ทรงมพี ระปรชี าญาณหยง่ั รแู ้ ละเขา้ ถงึ หลกั ธรรม ทรงทา
หนา้ ทเ่ี สยี สละความสขุ สว่ นพระองคม์ าเหนี่ยวนาพสกนิกรในชาตไิ ทยใหพ้ น้ วกิ ฤตตา่ ง ๆ
ทรงมพี ระปรชี าสามารถดารงเอกราชสบื ทอดถงึ อนุชนลกู หลานไทยในปัจจบุ นั ดว้ ยเหตนุ ี้
พระมหากษตั รยิ ไ์ ทยทกุ พระองคจ์ งึ ทรงเป็ นประมขุ ของปวงชนชาวไทยที่ แทจ้ รงิ ตลอดมา

9

▸ พระมหากษตั รยิ ไ์ มยทรงปฎบิ ตั พิ ระราชกรณียกจิ ในฐานะประมขุ โดยยดึ
หลกั ธรรมเรอื่ ง “สงั คหวตั ถุ 4”

▸ 1.ทาน : พระองคพ์ ระราชทานสงิ่ ของแกผ่ ไู้ ดร้ บั ความลาบากเนอื่ งจากภยั
ตา่ งๆ

▸ 2.ปิ ยวาจา : พระองคท์ รงมพี ระราชดารสั กบั พสกนกิ รดว้ ยปิยวาจาเสนอ
▸ 3.อตั ถจริยา : พระองคท์ รงบาเพญ็ ประโยชน์แกพ่ สกนกิ รอยเู่ สมอ
▸ 4.สมานัตตตา : พระองคไ์ มถ่ อื พระองค์ ทรงรว่ มทกุ ขร์ ว่ มสขุ กบั ประชาชน

10

▸ สติ โลกสมฺ ิ ชาคโร

▸ สตเิ ป็นเครอื่ งตนื่ ในโลก

11

สติ หมายถงึ ความระลกึ ได ้ ระลกึ ไดเ้ พราะการเคลอ่ื นไหว การนึกคดิ สตมิ คี ณุ คา่ โดยเป็ น
เครอ่ื งคอยกากบั คนทกุ คนใหอ้ ยใู่ นอาการทค่ี วบคมุ ตวั เองได ้ และควบคมุ สตสิ มั ปชญั ญะให้

อยกู่ บั ตวั ตลอดเวลา ความมสี ตจิ งึ เป็ นเครอ่ื งประคบั ประคองโลกใหต้ น่ื ตลอดเวลา
สตจิ งึ เป็ นเครอื่ งกาหนดในการดาเนิน ชวี ติ ขณะทเ่ี ราปฏบิ ตั สิ งิ่ ใดถา้ มสี ตอิ ยกู่ บั ตวั การปฏบิ ตั ิ
หนา้ ทกี่ ็สมบูรณเ์ พยี บ พรอ้ มทกุ อยา่ ง สตเิ ป็ นองคค์ ณุ ของการไมป่ ระมาทจงึ มคี วามสาคญั ใน

ฐานะเป็ นเครอ่ื งปลกุ ใหค้ นใน โลกตน่ื ตวั อยตู่ ลอดเวลา

12

“▸ การฝึกตนใหม้ สี ติ

▸ 1.สติ ตนื่ ตวั อยเู่ สมอ รตู้ วั วา่ กาลงั ทาอะไรกบั ใคร
อยทู่ ไี่ หน

▸ 2.ทมะ การรจู้ กั ขม่ จติ ของตน (ธรรมขอ้ หนึง่ ใน
ฆราวาสธรรม : สจั จะ ทมะ ขนั ติ จาคะ)

▸ 3.ขนั ติ : การอดกลนั้

13

▸ นตฺถิ สนฺติ ปร สขุ

▸ สขุ อนื่ ยงิ่ กวา่ ความสงบไมม่ ี

14

จติ เป็ นสง่ิ ทปี่ ระเสรฐิ ทส่ี ดุ ของ รา่ งกาย จติ
เป็ นผูน้ า สว่ นรา่ งกายเป็ นเพยี งผปู้ ฏบิ ตั ติ าม
คาสง่ั ของจติ ดงั นั้นจติ ทสี่ งบเป็ นจติ ทไี่ ม่ฟ้ ุงซา่ น
สามารถควบคมุ กเิ ลสตา่ ง ๆ ได ้ การฝึ กจติ หรอื
ฝึ กสมาธใิ นทางพระพุทธศาสนาเรยี กวา่
กมั มฏั ฐาน แปลวา่ เป็ นทต่ี ง้ั ของการกระทาแบง่
ออกเป็ น 2 ประการ คอื
1. สมถกรรมฐำน แปลวา่ การทาจติ ใหส้ งบ
หรอื ทาสมาธติ ามอบุ ายทกี่ าหนดให ้

2. วปิ ัสสนำกรรมฐำน แปลวา่ การฝึ กจติ ใหร้ ู ้
แจง้ เห็นจรงิ ในชน้ั สงู หรอื กลา่ วไดว้ า่ ทาปัญญา
ใหร้ แู ้ จง้ เห็นสภาพตามความเป็ นจรงิ

15

▸ ความสขุ สามารถแบง่ ได้ 2 ประเภทใหญๆ่

ความสขุ ทางกาย ความสขุ ทางใจ

ความสขุ จากเน้อื หนงั สขุ ทเ่ี กดิ จากตาหู -สขุ จากการทม่ี คี นรกั ใคร

จมกู ลน้ิ กาย ไดป้ ระสบกบั สงิ่ ทพ่ี งึ พอใจ -สขุ ทไ่ี ดช้ ว่ ยเหลอื เพอ่ื นมนุษย์

ทางรปู ธรรม -สขุ ทเ่ี กดิ จากการปฎบิ ตั พิ รวหิ าร 4

(เมตตา กรณุ า มทุ ติ า อุเบกขา)

-สขุ จากการหลดุ พน้ โลภ โกรธ หลง

16

▸ นิพพฺ า นํ ปรมํ สขุ ํ

▸ นิพพานเป็นสุขอยา่ งยงิ่

17

นิพพาน หมายถงึ การดบั กเิ ลสซงึ่ เป็ นเหตแุ หง่ ทกุ ข ์
นิพพานเป็ นโลกุตตรธรรมเป็ นจดุ มุง่ หมายสงู สุดใน
พระพุทธศาสนา เพราะนิพพานเป็ นการดบั ทกุ ขท์ ต่ี น้ เหตจุ น
หมดสนิ้ เขา้ ถงึ ความสุขอย่างแทจ้ รงิ หาความสขุ อน่ื

เปรยี บเทยี บไม่ได ้

18

▸ ความสุขในทางพระพทุ ธศาสนา
▸ 1.กามสขุ สขุ ทางกายทวั่ ไป
▸ 2.ฌานสขุ สุขทางใจ
▸ 3.นิพพานสขุ ความสขุ ขนั้ สงู สุด

19

คาศพั ทท์ าง
พระพทุ ธศาสนา

20

สมั มตั ตะ หมำยถงึ ควำมถูกตอ้ ง ภำวะ สมั มตั ตะ-มจิ ฉัตตะ/ณานสมาบตั ิ
ทถี่ ูกตอ้ ง
มจิ ฉตั ตะ หมำยถงึ ควำมผดิ สภำวะที่ ▸ ฌานสมาบตั ิ หมายถงึ การ
ผดิ ถงึ พรอ้ มหรอื การเขา้ ถงึ จดุ
ของอารมณท์ เ่ี ป็ นสมาธทิ ี่
สมั มตั ตะ(อเสขธรรม) เรยี กวา่ ฌาน
1.สมั มาทฐิ ิ (ความเห็นทถ่ี กู ตอ้ ง
2.สมั มาสงั กปั ปะ (ความคดิ ทถี่ กู ตอ้ ง) ▸ ผูท้ บี่ าเพ็ญกศุ ลแกท่ ่านท่ี
3.สมั มาวาจา (วาจาทถ่ี กู ตอ้ ง) ออกจากฌานสมาบตั ิ
4.สมั มากมั มนั ตะ (การปฏบิ ตั ทิ ถ่ี กู ตอ้ ง)
5.สมั มาอาชวี ะ (การหาเลยี้ งชพี ทถ่ี กู ตอ้ ง) จะทรงฐานะไวด้ ว้ ยดไี มย่ ากจน
6.สมั มาวายามะ (ความเพยี รทถี่ กู ตอ้ ง) กวา่ เดมิ มแี ตจ่ ะเจรญิ งอกงาม
7.สมั มาสติ (การมสี ตทิ ถี่ กู ตอ้ ง) ขนึ้ เป็ นลาดบั
8.สมั มาสมาธิ (การมสี มาธทิ ถ่ี กู ตอ้ ง)
9.สมั มาญาณะ (การหยง่ั รถู ้ กู ตอ้ ง)
10.สมั มาวมิ ุตติ (การหลดุ พน้ ถกู ตอ้ ง)

21


Click to View FlipBook Version