คำศพั ทท์ ำงพระพุทธศำสนำ
▸ ผลสมาบตั ิ หมายถงึ การเขา้ ▸ นิโรธสมาบตั ิ หมายถงึ การเขา้
นิโรธถงึ ความดบั ทุกข ์ คอื ดบั
สมาบตั ติ ามผลทไ่ี ด ้ ผทู้ จี่ ะเขา้ ผล
สมาบตั นิ ีไ้ ดต้ อ้ งเป็ นพระอรยิ บุคคล สญั ญาความจาไดห้ มายรู ้ และ
ตงั้ แตพ่ ระโสดาบนั ขนึ้ ไป
เวทนาการเสวยอารมณ์ เรยี ก
▸ ผลสมาบตั ิ เป็ นสมาบตั เิ ฉพาะพระ
เต็มว่าเขา้ สญั ญาเวยติ นิโรธ
อรยิ เจา้ สมาบตั นิ ีป้ ฏบิ ตั ไิ ดท้ กุ วนั พระอรหนั ตแ์ ละพระอนาคามที ี่
และทกุ เวลา ผทู้ ท่ี าบญุ แกท่ า่ นที่ ไดส้ มาบตั ิ 8 แลว้ จงึ จะเขา้ นิโรธ
ออกจากผลสมาบตั ิ ทา่ นผูน้ นั้ จะมี สมาบตั ไิ ด ้
ฐานะไม่ยากจนฝื ดเคอื ง
22
พระไตรปิ ฎก
23
“พระไตรปิฎก เป็นคมั ภรี ท์ บี่ รรจคุ าสอนของพระพทุ ธศาสนา ซงึ่ เรยี ก
รวมๆ วา่ พทุ ธธรรม คาวา่ พระไตรปิฎก มาจากภาษาบาลี ตปิ ิฏก แปลวา่
ตะกรา้ สามใบหรอื คาสอนสามหมวด
(ไตรหมายถงึ สาม ปิฏกหมายถงึ ตาราคมั ภรี ห์ รอื กระจาด)
24
พระไตรปิ ฎก
พระวนิ ยั ปิ ฎก หรอื พระวนิ ยั พระสุตตนั ตปิ ฎก หรอื พระ พระอภธิ รรมปิ ฎก หรอื
ไดแ้ กป่ ระมวลระเบยี บ สูตร ไดแ้ กป่ ระมวลพระ พระอภธิ รรม ไดแ้ ก่
พุทธพจนท์ พี่ ระพุทธเจำ้ ประมวลคำสอนทเี่ ป็ น
ขอ้ บงั คบั ของบรรพชติ ที่ ทรงแสดงยงั ทตี่ ำ่ งๆ ให้
พระพทุ ธเจำ้ ทรงบญั ญตั ไิ ว้ เหมำะกบั บุคคล สถำนที่ หลกั วชิ ำกำรลว้ นๆ ไม่
และเหตุกำรณ์ มเี รอื่ งรำว เกยี่ วดว้ ยบคุ คลหรอื
สำหรบั ภกิ ษุและภกิ ษุณี ประกอบ
เหตุกำรณ์ ไม่มเี รอื่ งรำว
ประกอบ
25
พระไตรปิ ฎกมเี นือ้ หา รวมทง้ั สนิ้ 84,000 ธรรมขนั ธ ์
ฉบบั พมิ พภ์ าษาไทย นิยมจดั แยกเป็ น 45 เลม่ เพอ่ื หมายถงึ
ระยะเวลา 45 พรรษาแห่งพทุ ธกจิ
พระพุทธเจา้ ไดต้ รสั ไวค้ รง้ั หน่ึงวา่ พระธรรมวนิ ัยจะเป็ น
ศาสดาแทนพระองคภ์ ายหลงั ทพ่ี ระองคล์ ว่ งลบั ไปแลว้
พระไตรปิ ฎกจงึ เปรยี บเสมอื นตวั แทนของพระพุทธองค ์ และเป็ น
ทท่ี ชี่ าวพุทธสามารถเขา้ เฝ้ าพระศาสดาของตน
พระไตรปิ ฎกมจี ดุ เรม่ิ ตน้ มาจากการจดั รวบรวม
คาสอนของพระพุทธเจา้ ออกเป็ นหมวดหมู่ และซกั ซอ้ มทบทวน
กนั จนลงตวั ในระยะแรก พระไตรปิ ฎกถา่ ยตอ่ กนั มาโดยการ
ทอ่ งจาปากเปลา่ จนกระทง่ั ราว พ.ศ. 460 จงึ มกี ารจารกึ ลงเป็ น
ลายลกั ษณอ์ กั ษร กลา่ วไดว้ า่ พระพทุ ธศาสนาสบื ทอดมาพรอ้ ม
กบั พระไตรปิ ฎก จากสมยั พทุ ธกาลจนถงึ วนั นีเ้ ป็ นเวลากวา่
2,500 ปี
26
ความสาคญั และคณุ คา่ ของ
พระไตรปิ ฏก
27
1.เป็ นทส่ี ถติ ของพระพุทธเจา้
2.พระไตรปิ ฏกไดท้ าหนา้ ทข่ี องพระธรรม
3.พระไตรปิ ฏกเป็ นทร่ี องรบั พระสงฆ ์
4.เป็ นทปี่ รากฏแหง่ พระสทั ธรรม 3
5. พระไตรปิ ฏกเป็ นระบบฝึ กฝนพฒั นาคน
ครบวงจร
6. พระไตรปิ ฏกเป็ นมรดกทพ่ี ระพุทธเจา้
ทรงมอบใหพ้ ุทธบรษิ ทั
28
กำรศกึ ษำคน้ ควำ้ พระไตรปิ ฎก
และคมั ภรี ร์ องอนื่ ๆ
29
1.พระไตรปิ ฎก จดั เป็ นหลกั ฐานชน้ั ที่ 1 เรยี กว่า “พระบาล”ี
2.คมั ภรี อ์ ธบิ ายพระไตรปิ ฏก จดั เป็ นหลกั ฐานชน้ั ที่ 2 เรยี กว่า “อรรถ
กถา”
3.คมั ภรี อ์ ธบิ ายอรรถกถา จดั เป็ นหลกั ฐานชน้ั ที่ 3 เรยี กว่า “ฎกี า”
4.คมั ภรี อ์ ธบิ ายฎกี า จดั เป็ นหลกั ฐานชนั้ ที่ 4 เรยี กว่า “อนุฎกี า”
30
หนา้ ทชี่ าวพทุ ธและ
มารยาทชาวพทุ ธ
ครูผูส้ อน นางสาวกญั ญารตั น์ ศิลาแยง
หนา้ ที่ชาวพทุ ธ
2
ปกป้ องพระพทุ ธ ปกป้ องพระธรรม
ปกป้ องพระสงฆ ์ ปกป้ องพทุ ธ
วฒั นธรรม
3
หน้าทชี่ าวพุทธ
▸ การเขา้ คา่ ยคณุ ธรรม ▸ การเขา้ รว่ มกจิ กรรมทาง ▸ การแสดงตนเป็ น
ปลกู ฝังคณุ ธรรมเพอื่ พระพุทธศาสนา พุทธมามกะ
แกป้ ัญหาสงั คม และ
สามารถนาหลกั ธรรมไป ▸ หลกั เกณฑก์ ารเขา้ รว่ มหรอื การประกาศตนวา่ เป็ นผู ้
ใชใ้ นการดาเนินชวี ติ ได ้ ยอมรบั นับถอื
อยา่ งถกู ตอ้ ง ประกอบพธิ กี รรมทางศาสนา พระพุทธเจา้
1.มใี จม่นั
2.ถูกตอ้ งตามหลกั ทาง
พระพทุ ธศาสนา
3.ประหยดั
4.คานึงถงึ ประโยชน์
5.มคี วามเหมาะสม
4
มารยาทชาวพทุ ธ
5
การบาเพ็ญตนใหเ้ ป็ นประโยชนต์ อ่ ครอบครวั ชมุ ชน ประเทศชาตแิ ละโลก
ชุมชน
สงั คหวตั ถุ 4
ครอบครวั 1.ทาน เออื้ เฟื้อเผอื่ แผ่ชว่ ยเหลอื กนั แลกนั
กุลจริ ฎั ฐติ ธิ รรม 4 2.ปิ ยวาจา พูดจาดว้ ยความสภุ าพออ่ นโยน
1.ของหมดของหาย รจู ้ กั หามาไว ้ 3.อตั จรยิ า ทาตนใหเ้ ป็ นประโยชนแ์ กส่ ่วนรวม
2.ซอ่ มแซมของเกา่ ทช่ี ารุด ประหยดั ระมดั ระวงั ในการใชข้ อง 4.สมานัตตตา ทาตนเสมอตน้ เสมอปลาย
3.ประมาณการกนิ การใช ้ เดนิ ทางสายกลาง กนิ อยู่ตามอตั ภาพ
ครอบครวั
4.ตง้ั ผูม้ ศี ลี ธรรมดูแลบา้ น
โลก ประเทศชาติ
พรหมวหิ าร 4 วชั ชอี ปรหิ านิยธรรม 7
1.เมตตา ปรารถนาใหท้ กุ คนในโลกมแี ต่ความสุข หมน่ั ประชมุ พรอ้ มกนั เป็ นประจา
2.กรุณา ปรารถนาใหท้ กุ คนในโลกพน้ ทุกขแ์ ละปัญหาต่างๆ พรอ้ มเพยี งกนั ในกจิ กรรมตา่ งๆ
3.มุทติ า ดใี จดว้ ยเทอ่ื คนอนื่ มคี วามสขุ ไมล่ ม้ ลา้ งหลกั การเกา่ โดยปราศจากเหตผุ ล
4.อุเบกขา ทาใจเป้ นกลางเมอื่ เห็นคนไดร้ บั ผลจากการกระทาของ รบั ฟังผูอ้ าวโุ ส ไมข่ ม่ เหงสตรี
ตน เคารพบูชาเจดยี ห์ รอื ศาสนา คมุ ้ ครองคนดมี ศี ลี ธรรม
6
วนั สำคญั ทำงพระพุทธศำสนำและศำสนพธิ ี
ครูผสู้ อน นางสาวกญั ญารตั น์ ศลิ าแยง
หลกั ธรรมทเ่ี กย่ี วเน่ืองในวนั สำคญั ทำงพระพทุ ธศำสนำ
หลกั ธรรมทเี่ กย่ี วเน่ืองในวนั วสิ าขบูชา
วนั วสิ าขบูชา
วนั วิสาขบชู า คือ การบชู าในวนั เพญ็ เดอื น 6 เพ่ือนอ้ มระลกึ ถงึ สมเดจ็
พตรรสัะรสู้มัแมละาเสสมั ดพจ็ ทุดธบั เขจนัา้ ธเนป์ ่ือรนิงใิพนพโอานกาสวนั คลา้ ยวนั ท่พี ระองคป์ ระสตู ิ
หลกั ธรรมท่เี ก่ียวเน่ืองในวนั วิสาขบชู า ไดแ้ ก่
1.ความกตญั ญรู ูค้ ณุ
2.อรยิ สจั 4
3.ความไม่ประมาท
หลกั ธรรมทเี่ กย่ี วเน่ืองในวนั มาฆบชู า
• วนั มาฆบชู า เป็นวนั ท่พี ระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์
แกพ่ ระอรหนั ต์ ซง่ึ ไดม้ าประชมุ พรอ้ มเพียงกนั โดยมิไดน้ ดั
หมาย จานวน 1250 รูป ซง่ึ ทกุ องคล์ ว้ นไดร้ บั การอปุ สมบท
โดยตรงจากพระพทุ ธองค์
• เนือ้ หาโดยสรุปของโอวาทปาฎิโมกข์ คือ ใหล้ ะความช่วั ทาแต่
ความดี และทาใหจ้ ิตใจผอ่ งใส
ละความช่ัว
อกุศลกรรมบถ 10
กายกรรม หรือ การทาบาป วจกี รรม หรือ การทาบาป มโนกรรม หรือ การทาบาป
ทางใจ มี 3 คอื
ทางกาย มี 3 คอื ทางวาจา มี 4 คอื
1. ฆา่ สตั ว์ 1. พดู เท็จ 1. โลภอยากไดข้ องเขา
2. ลกั ทรพั ย์ 2. พดู สอ่ เสยี ด 2. พยาบาทปองรา้ ยเขา
3. ประพฤตผิ ิดในกาม 3. พดู คาหยาบ 3.มจิ ฉาทิฏฐิ เห็นผิดจากคลอง
4. พดู เพอ้ เจอ้ ธรรม
5
การทาแตค่ วามดี
กุศลกรรมบถ 10
ทางกายกรรม ทางวจกี รรม ทางมโนกรรม
1. เวน้ ขาดจากการฆา่ สตั ว์ 1. เวน้ ขาดจากการพดู เทจ็ 1. ไมโ่ ลภอยากไดข้ องผอู้ ่ืน
2. เวน้ ขาดจากการลกั ทรพั ย์ 2. เวน้ ขาดจากการพดู 2. ไมม่ จี ิตคดิ พยาบาทปอง
3. เวน้ ขาดจากการประพฤติ สอ่ เสยี ด รา้ ยผอู้ ่นื
ผิดในกามกศุ ล 3. เวน้ ขาดจากการพดู คา 3. มคี วามเห็นชอบ
หยาบ
4. เวน้ ขาดจากการพดู เพอ้
เจอ้
6
กำรทำจติ ให้ผ่องใส
• การทาจิตใหป้ ราศจากนิวรณซ์ ง่ึ เป็นเคร่อื งขดั ขวาง
จติ ใจไมใ่ หเ้ ขา้ ถงึ ความดี
หลกั ธรรมทเ่ี กยี่ วเน่ืองในวันอาสฬหบูชา
• วนั อาสาฬหบชู า
• เป็นวนั ท่ีพระบรมศาสดาทรง
แสดงปฐมเทศนาพระธรรม
จกั กปั ปวตั นสตู รและเป็นวนั ท่ี
มีพระอรยิ สงฆส์ าวกองคแ์ รก
บงั เกิดขนึ้ ในโลก จงึ เป็นวนั ท่ี
พระรตั นตรยั ครบ 3 องค์
มรรคมอี งค์ 8
1. สมั มาทิฏฐิ คอื การเห็นชอบ
2. สมั มาสงั กปั ปะ คือ การดารชิ อบ
3. สมั มาวาจา คอื การเจรจาชอบ
4. สมั มากมั มนั ตะคอื การประพฤติ
5. สมั มาอาชีวะ คอื การเลยี้ งชีพ
6. สมั มาวายามะ คือ การเพียรชอบ
7. สมั มาสติ คือ การตงั้ สติชอบ
8. สมั มาสมาธิ คือ การตงั้ ม่นั ชอบ
หลกั ธรรมที่เก่ยี วเนื่องในวนั อัฎฐมบี ชู า
• ขนั ธ์ 5 (เบญจขนั ธ)์ องแหง่ รูปธรรมและนามธรรมทง้ั 5 ท่ที าใหเ้ กิดเป็นตนั ตนหรอื ชวี ิตขึน้ มา
• 1. รูปขนั ธ์ หมายถงึ กองรูป สว่ นท่ีเป็นรา่ งกาย พฤตกิ รรม คณุ สมบตั ิตา่ งๆ ของรา่ งกาย และสว่ นประกอบท่ี
เป็นรูปธรรมทงั้ หมด
• 2. เวทนาขนั ธ์ หมายถงึ กองเวทนา สว่ นท่ีเป็นความรูส้ กึ ทกุ ข์ สขุ ดใี จ พอใจ
• 3. สญั ญาขนั ธ์ หมายถงึ กองสญั ญา สว่ นท่เี ป็นการจาส่งิ ท่ไี ดร้ บั
• 4. สงั ขารขนั ธ์ หมายถงึ กองสงั ขาร สว่ นท่ีเป็นการคิดปรุงแตง่ โดยสามารถแยกแยะส่ิงท่ีรูส้ กึ หรอื จดจาได้
• 5. วิญญาณขนั ธ์ หมายถงึ กองวิญญาณ หรอื จติ เป็นการรูแ้ จง้ ถงึ ส่งิ ตา่ งๆ ผ่านทางตา หู จมกู ลิน้ กาย
และใจ
ไตรลกั ษณ์
• เป็นกฎสาคญั แหง่ ธรรมชาติ ซง่ึ มีลกั ษณะ 3 อยา่ ง คอื
• 1. อนิจจงั ความไม่เท่ยี ง
• 2. ทกุ ขงั ความทนอยไู่ ม่ได้
• 3. อนตั ตา ความไม่ใชต่ วั ตน
• ผทู้ ่ไี ม่เขา้ ใจในหลกั ไตรลกั ษณย์ อ่ มมองไมเ่ หน็ ถงึ ความเป็นจรงิ ของชีวิต ตา่ งยงั หลงใหลและยดึ ในส่งิ ท่ตี นพงึ
ใจตนชอบ โดยมองไม่เหน็ ถงึ ความเปล่ียนแปลง ความทกุ ขแ์ ละความไม่เป็นตวั ตนในทกุ ส่ิง ยอ่ มยากท่จี ะทา
ใจเม่ือตอ้ งพลดั พรากจากส่ิงตา่ งๆท่ตี นชอบตนพงึ ใจและแน่นอนยอ่ มทาใหต้ นเองเป็นทกุ ขใ์ นท่สี ดุ
หลกั ธรรมและคตธิ รรมทเี่ กยี่ วเนื่องใน
วนั ธรรมสวนะและเทศกำลสำคญั
• หลกั ธรรมท่เี ก่ียวเน่ืองในวนั ธรรมสวนะ
• ฟังธรรมตามกาล
• การรกั ษาศลี
หลกั ธรรมทเี่ กยี่ วเนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา
• หลกั ธรรมสาคญั ท่ีสนบั สนนุ ใหเ้ วน้ จากการกระทาความช่วั กระทา
ความดี ชาระจิตใจใหส้ ะอาด คือ “วิรตั ิ”
• วิรตั ิ แปลวา่ งดเวน้
วิรัติ
• 1. สมั ปัตตวิรตั ิ ความเวน้ จากวตั ถทุ ่จี ะพงึ ลว่ งอนั ไดม้ าถงึ เฉพาะหนา้ คือไมไ่ ด้ รบั ถือศลี มากอ่ น แตเ่ ม่ือได้
พบสตั วม์ ีชวี ิตท่จี ะฆา่ ได้ ไปพบทรพั ยท์ ่จี ะลกั ได้ แตก่ ็เวน้ ไดไ้ ม่ฆา่ ไม่ลกั เป็นตน้ ความคิดงดเวน้ ได้ อยา่ งนีก้ ็
เป็นศลี เหมือนกนั แตถ่ า้ งดเวน้ เพราะไม่ไดโ้ อกาสไม่จดั วา่ เป็นศีล
• 2. สมาทานวิรตั ิ ความงดดว้ ยอานาจ การถือเป็นกิจวตั ร การรบั ถือศลี ท่ีเรยี กวา่ สมาทานศีล เพราะคาวา่
สมาทานแปลว่า การรบั ถือ จะสมาทานดว้ ยตนเอง คอื ตง้ั จติ ว่าจะงดเวน้ จากโทษขอ้ นนั้ ๆ เองก็ได้ จะ
สมาทานดว้ ยรบั จากผอู้ ่นื ซง่ึ เป็นผมู้ ีศีล เชน่ จากพระภิกษุสามเณรกไ็ ด้ ถงึ แมจ้ ะ รบั จากผอู้ ่นื กม็ ิใชจ่ ะรบั แต่
ปาก ตอ้ งตง้ั ใจ รบั จงึ จะไดศ้ ลี แตก่ ่อนรบั ศลี จากผมู้ ีศลี มี ธรรมเนียมขอสรณะและศลี ดังกลา่ วแลว้
• 3. สมจุ เฉทวิรตั ิ ความเวน้ ดว้ ยตดั ขาดมีอนั ไมท่ าอยา่ งนน้ั เป็นปกติตามภมู ิ ของคนผูป้ ฏิบตั ิ ทา่ นกลา่ ววา่
เป็นวิรตั ิของ พระอรยิ เจา้ แตเ่ ม่ือจะอธิบายใหฟ้ ังท่วั ๆ ไปกอ็ าจอธิบายไดว้ า่ คอื เวน้ จนเป็นปกติ ของตนจรงิ ๆ
หลกั ธรรมทเ่ี กย่ี วเนื่องในเทศกาลออกพรรษา
• ปวารณา คอื บอกเปิดโอกาสแกผ่ อู้ ่นื ใหบ้ อกกลา่ วตกั เตอื น
ได้ เพ่ือใหผ้ ทู้ ่ไี ดร้ บั การบอกกลา่ วตกั เตอื นน้ัน ไดก้ ลบั มา
ทบทวนตนเอง ศกึ ษาขอ้ ดีขอ้ ดอ้ ยของตนเอง ปรบั ลด เลิกละ
ขอ้ ดอ้ ย เพ่ิมเติมสง่ เสรมิ ขอ้ ดีใหม้ ีความกา้ วหนา้ ย่งิ ขนึ้
• อีกประการหน่งึ การปวารณา คือ การทบทวนความสมั พนั ธ์
ของพระภิกษุสงฆท์ ่อี ยจู่ าพรรษารว่ มกนั วา่ มกี าร
กระทบกระท่งั กนั บา้ งหรอื ไมอ่ ยา่ งไร หากมีการกระทบกระท่งั
กนั บา้ งก็จะไดท้ าความเขา้ ใจใหถ้ กู ตอ้ งปรบั ทศั นคตใิ หถ้ กู ตรง
และอยรู่ ว่ มกนั ดว้ ยความสมคั รสมานสามคั คตี อ่ ไป
หลกั ธรรมทเ่ี กยี่ วเนื่องในเทศกาลเทโวโรหณะ
ปรมัตถธรรม บญั ญตั ธิ รรม
• คอื ธรรมชาตทิ ่ีเป็นความจรงิ แทแ้ นน่ อน ท่ีดารง • คอื ส่ิงท่ีมนษุ ยส์ มมตุ ขิ นึ้ หรอื บญั ญตั ิช่ือขนึ้ เพ่ือใหเ้ ขา้ ใจ
ลกั ษณะเฉพาะของตนไวโ้ ดยไมผ่ นั แปรเปล่ียนแปลง ความหมายซ่งึ กนั และกนั เชน่ ช่ือ นามสกลุ สีเขียว สี
เป็นธรรมท่ีปฏเิ สธความเป็นสตั ว์ ความเป็นบคุ คล แดง ทิศเหนือ ทศิ ใต้ เวลาเชา้ เวลาเยน็ พนั โท พลเอก
ความเป็นตวั ตนโดยสนิ้ เชงิ มี 4 ประการ คือ ฯพณฯ นายกรฐั มนตรี ทา่ นเจา้ คณุ เหรยี ญ 1บาท
เหรยี ญ 5 บาท ลว้ นเป็นส่งิ สมมตุ ทิ ง้ั สนิ้ ส่ิงเหลา่ นีท้ ่าน
• 1. จิต เรยี กวา่ บญั ญตั ธิ รรม แมแ้ ตส่ ่ิงท่ีเรยี กว่า ตน้ ไม้ ภเู ขา
• 2. เจตสิก แมน่ า้ หนงั สือ ปากกา นาฬกิ า พดั ลม รถยนต์ คน และ
• 3. รูป สตั ว์ ทา่ นก็ยงั จดั วา่ เป็นบญั ญตั ธิ รรม เพราะยงั หนีไม่
• 4. นิพพาน พน้ เร่อื งของการสมมตุ ิ
ศาสนพธิ ี • ศาสนพิธีแยกได้ 4 หมวด คือ
1. หมวดกศุ ลพิธี ว่าดว้ ยการบาเพญ็ กศุ ล
• พิธีกรรมอนั เกี่ยวกบั ทางศาสนา ซ่ึงทุกศาสนากม็ ี 2. หมวดบญุ พิธี ว่าดว้ ยพิธีทาบญุ
เหตุท่ีใหเ้ กิดพทุ ธศาสนา กเ็ น่ืองจากพระพทุ ธองค์ 3. หมวดทานพิธี วา่ ดว้ ยพิธีถวายทาน
ไดท้ รงตรัสสอนสาวก และพทุ ธบริษทั ไม่ใหท้ า 4. หมวดปกิณณะ วา่ ดว้ ยพิธีเบด็ เตล็ด
ความชว่ั ใหท้ าแต่ความดี และใหช้ าระจิตใจของตน
ใหผ้ อ่ งใส เมื่อพทุ ธบริษทั พยายามปฏิบตั ิตามคา
สอนน้นั และสร้างกศุ ลใหเ้ กิดข้ึนแก่ตน จึงเป็นการ
พยายามทาความดี ซ่ึงเรียกวา่ ทาบุญ การทาบุญน้ี
พระพทุ ธองคไ์ ดท้ รงแสดงไว้ 3
ประการ คือ ทาน ศีล ภาวนา
กศุ ลพธิ ี
• พิธีกรรมตา่ ง ๆ อนั เก่ียวดว้ ยการอบรมความดีงาม
ทางพระพทุ ธศาสนา เฉพาะตวั บคุ คล หรอื การสรา้ ง
ความดีแกต่ นทางพระพทุ ธศาสนาตามพิธีน่นั เอง
พิธีทานองนี้ มีมากดว้ ยกนั แบง่ ไดเ้ ป็น 2 อยา่ ง คือ
พิธีท่พี ทุ ธบรษิ ัทพงึ ปฏิบตั ิในเบอื้ งตน้ อยา่ งสามญั
พวกหน่งึ และพิธีกรรมท่สี งฆพ์ งึ ปฏิบตั ิเพ่ือความดี
งามในพระวินยั ทง้ั สว่ นตวั ผปู้ ฏิบตั แิ ละหม่คู ณะ พวก
หนง่ึ
• พธิ ีท่ีพทุ ธบรษิ ัทพงึ ปฏิบตั ใิ นเบือ้ งตน้ อยา่ งสามญั ท่ีสาคญั มีอยู่ 3 เร่อื ง คือ
• พิธีแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะ
• พธิ ีเวียนเทียนในวนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา
• พธิ ีรกั ษาอโุ บสถ
บุญพธิ ี
• หมายถึง พิธีทาบญุ ท่ีเก่ียวกบั ประเพณีในครอบครวั
ซ่งึ เป็นประเพณีท่ีเก่ียวกบั การดาเนินชีวิตของคนท่วั ไป
มี 2 ประเภท คือ
• 1.พิธีทาบญุ ในงานมงคล ไดแ้ ก่ พิธีทาบญุ ในโอกาส
ตา่ ง ๆ เพ่ือความเป็นสิรมิ งคลแก่ตนเอง ญาตแิ ละ
เพ่ือน ๆ เชน่ พธิ ีทาบญุ วนั เกิด พิธีแตง่ งาน พิธีทาบญุ
ขนึ้ บา้ นใหม่ เป็นตน้
• 2.พิธีทาบญุ ในงานอวมงคล ไดแ้ ก่ พธิ ีทาบญุ เก่ียวกบั
การตาย เชน่ พธิ ีทาบญุ หนา้ ศพ พิธีทาบญุ อฐั ิ เป็นตน้
ทำนพธิ ี • การถวายทาน คอื การถวายวตั ถทุ ีค่ วรใหเ้ ป็นทาน ใน
พระพทุ ธศาสนาเรยี กวตั ถทุ ่ีควร
• ทานพิธี ไดแ้ ก่ พิธีถวายทานแดพ่ ระภิกษุสงฆ์ เช่น พิธี
ถวายสงั ฆทาน พิธีถวายสลาก ภตั ร พิธีทอดกฐินพิธี • ใหเ้ ป็นทานนีว้ า่ “ทานวตั ถ”ุ จาแนกไดเ้ ป็น 10 ประการ ดงั นี้
ทอดผา้ ป่า เป็นตน้ • 1.ภตั ตาหาร
• 2.นา้ รวมทงั้ เครอ่ื งดืม่ อนั สมควรแก่สมณบรโิ ภค
• การถวายทานนิยม 2 อยา่ ง คือ • 3.ทีน่ อนอนั สมควรแกส่ มณะ
• 1. ถวายเจาะจงเฉพาะพระภิกษุรูปนนั้ รูปนเี้ รยี กวา่ • 4.ท่อี ยอู่ าศยั มีกฏุ ิ เสนาสนะและเครอ่ื งสาหรบั เสนาสนะ เชน่ เตยี ง ตู้
ปาฏิบคุ ลกิ ทาน โตะ๊ เกา้ อี้ เป็นตน้
• 5.เครอ่ื งตามประทปี มีเทียน จดุ ใชแ้ สง ตะเกียง นา้ มนั ตะเกียง และ
• 2. ถวายไมเ่ จาะจงเฉพาะพระภิกษุรูปใดรูปหนง่ึ มอบ
ใหเ้ ป็นของสงฆ์ จึงเฉลี่ยกนั ใชส้ อยเองเรยี กวา่ สงั ฆทาน ไฟฟา้ เป็นตน้
• 6.ผา้ เครอ่ื งน่งุ หม่
• 7.ยานพาหนะ สงเคราะหป์ ัจจยั คา่ โดยสารเป็นตน้
• 8.มาลยั และดอกไม้ เครอ่ื งบชู าชนิดตา่ งๆ
• 9.ของหอม หมายถึงธูปเทยี น บชู าพระ
• 10.เครอ่ื งลบู ไล้ หมายถึง เครอื่ งสขุ ภณั ฑ์ สาหรบั ชาระลา้ งรา่ งกาย
ปกิณกพธิ ี
• พหมิธีทายงั้ ถ3งึ ขพา้ ธิงีเตบน้ ็ดเเชตน่ล็ดวิธไีแดสแ้ ดกง่ มคาวรายมาเทคแารลพะพระรเะบียวบิธปีปฏระิบเตคั ใินน
ของพระ วิธีอาราธนาตา่ ง ๆ วธิ ีกรวดนา้ เป็นตน้
• ปกิณกพิธี คอื พธิ ีตา่ ง ๆ ท่ีไมน่ บั เขา้ ในพิธีทงั้ 3 ขา้ งตน้
สว่ นใหญ่จะเป็นมารยาทและวธิ ีปฏบิ ตั ใิ นพิธี 3 ประการ
รวมทง้ั ขอ้ ปฏบิ ตั บิ างอยา่ งท่ีพทุ ธศาสนกิ ชนควรทราบ พิธี
เหลา่ นี้ ไดแ้ ก่ วธิ ีแสดงความเคารพพระ
• วธิ ีประเคนของพระ วธิ ีทาหนงั สืออาราธนา และทาใบ
ปวารณาถวายจตปุ ัจจยั วธิ ีอาราธนาศลี อาราธนาพระ
ปรติ ร อาราธนาธรรม วธิ ีกรวดนา้ วธิ ีจบั ดา้ ยสายสิญจน์ วิธี
ตงั้ โต๊ะหมบู่ ชู า พธิ ีของพระสงฆก์ ็มีวธิ ีบงั สกุ ลในพธิ ีทาบญุ
อายหุ รอื พิธีศพ
คุณค่ำและประโยชน์ของศำสนพธิ ี เป็ นสว่ นโอบอมุ ้ ศาสนาไวใ้ หด้ ารงอยู่
ตอ่ ไปได ้
เป็ นศูนยร์ วมใจของพทุ ธศาสนิกชน
ทาใหศ้ าสนธรรมเป็ นรูปธรรม
ทาใหเ้ กดิ ความรสู ้ กึ เลอื่ มใสศรทั ธาใน
ศาสนา
22
การบรหิ ารจติ และการเจรญิ ปญั ญา
ครูผสู้ อน นางสาวกญั ญารตั น์ ศลิ าแยง
การบรหิ ารจติ และการเจรญิ ปญั ญา
การบริหารจติ การบารุงรกั ษาจติ ใหม้ คี วามเขม็ แขง็ มี
พลงั และมปี ระสิทธิภาพ
เม่อื จติ เป็ นสมาธิ ความสงบ ความมนั่ คง และความเข็ม
แขง็ กจ็ ะเกิดข้ นึ ที่สาคญั ปัญญา คือ ความรูค้ วามเขา้ ใจ
ตามสภาพความเป็ นจริงก็จะเกิดข้ นึ ตามมาดว้ ย
การบรหิ ารจติ ในทางพทุ ธศาสนามี 2 อย่าง
1.สมถกรรมฐานหรือสมาธิภาวนา คือการฝึกจติ ใหเ้ กิดความสงบ เรียกวา่ สมาธิ
2.วปิ ัสสนากรรมฐาน คือการฝึกอบรมจติ ใหเ้ กิดปัญญา เป็ นความรแู้ จง้ เห็นจริง
ตามสภาพท่ีเป็ นจริง
ประโยชนข์ องการบรหิ ารจติ
1. ทาใหก้ ายและจติ ผ่องใส มีความสงบ
2. ทาใหจ้ าแมน่ เขา้ ใจไดร้ วดเร็ว เป็ นผลดีตอการศึกษาเล่าเรียน
3. ทาใหม้ คี วามหมายเมตตากรุณาเหน็ อกเหน็ ใจผูอ้ นื่ สตั วอ์ ่ืน
4. ทาใหม้ จี ติ ต้งั มนั่ มสี ติ สมาธิ ปัญญา อยกู่ บั ตวั ตลอดเวลา
5. ทาใหม้ ีปัญญารอบรู้ รูจ้ กั เหตุผล และส่ิงอนั ควรและไมค่ วร
6. ชว่ ยไมใ่ หป้ ระมาทในชีวติ และมีสานึกในหนา้ ที่ของตนเองอยตู่ ลอดเวลา
ฝึกการบรหิ ารจติ และเจรญิ ปญั ญาตามหลกั สตปิ ฏั ฐาน
สติ ปัฏฐาน 4 หมายถึง ธรรมอนั เป็ นท่ีต้งั แหง่ สติ 2. เวทนานุปัสสนา คือ การใชส้ ติกาหนดรอู้ ารมณข์ องเรา
หรือขอ้ ปฏิบตั ิท่ีใชส้ ติเป็ นหลกั ในการคิดพิ เองท่ีเกิดข้ นึ 3 อยา่ ง คือ ความรูส้ ึกทุกข(์ ทุกขเวทนา) ดีใจเป็ น
สุข (สุขเป็ นเวทนา) และ ไมไ่ ดด้ ีใจไมเ่ สียใจ (อุเบกขาเวทนา)
จารณา ส่ิงท้งั หลาย แบ่งออกเป็ น 4 หมวด คือ และมองเป็ นเพยี งอารมณท์ ่ีรบั รูแ้ ละไม่ยนิ ดีไปกบั อารมณ์
เหลา่ น้ัน
1. กายานุปัสสนา การใชส้ ติพจิ ารณากายใหเ้ หน็
ตามความเป็ นจริงของกาย น้ัน ๆ การฝึกโดยใชส้ ติ 3. จติ ตานุปัสสนา คือ การมีสติพิจารณาจิต (ความคิด) ท่ี
พจิ ารณากายและองคป์ ระกอบในกาย อาจฝึกได้ เกิดเศรา้ หมอง หรือยนิ ดีหรือการใชจ้ ิตตวั เองกาหนดรแู้ ละไม่
คือ ยนิ ดีไปกบั อารมณเ์ หล่าน้ัน
1 อานาปานสติ 2 อิริยาบถ 4. ธมั มานุปัสสนา คือ การใชส้ ติกาหนดพจิ ารณาธรรมต่าง
3 สมั ปชญั ญะ 4 ปฏกิ ูลมนสิการ ๆ ที่เกิดข้ นึ ในจิต เป็ นการพิจารณาธรรมเพอ่ื ใหร้ ู้ ใชเ้ ป็ นเคร่ือง
5 ธาตุมนสิการ 6 นวสีถิกา ระลึกไม่ใหเ้ ราผูป้ ฏบิ ตั ิไปยดึ มนั่ ถือมนั่
ฝึก บรหิ ารจติ และเจรญิ ปญั ญาแบบอานาปานสติ
อา นาปานสติ แปลวา่ การระลึกถึงลมหายใจเขา้ ออก 3. สมาทานศีล รบั ศีลจากพระ หรือสมาทานงดเวน้
คือ การฝึกใชส้ ติกาหนดลมขณะเขา้ และออกในแบบ ดว้ ยตนเอง เพือ่ ชาระจิตใจใหบ้ ริสุทธ์ิ เตรียมความ
ต่าง ๆ รวม ท้งั มีสติเหน็ ถึงการเกิดและดบั ของลม พรอ้ มในการปฏบิ ตั ิ
หายใจ โดยมีขน้ั ตอนปฏบิ ตั ิ ดงั น้ ี
1. เลือกสถานท่ีใหเ้ หมาะสม สงบเงยี บ เหมาะต่อการ
ปฏิบตั ิ
4. นมสั การพระรตั นตรยั สวดมนตร์ าลึกถึงคุณ ของ
2. เวลาที่ใชใ้ นการปฏบิ ตั ิตอ้ งกาหนดใหเ้ หมาะสม พระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ์
5. ตดั ปลิโพธ คือ ความหว่ งกงั วลทุกอยา่ งใหห้ มดส้ ิน
ใหก้ าหนดเฉพาะการฝึกการบริหารจิตและเจริญ
ปัญญาเท่าน้ัน โดยนัง่ ขดั สมาธิเหมือนพระพุทธรปู
ปางสมาธิแลว้ กาหนดลมหายใจเขา้ ออก
วธิ ีการบรหิ ารจิตและเจริญปัญญา สามารถนาไปใชใ้ นการพฒั นาการเรียนรู้
คุณภาพชีวติ และสงั คม โดยสามารถนาไปใชใ้ นการดาเนินชวี ติ ไดอ้ ยา่ งดี เชน่
-ดา้ นการควบคมุ จติ เพื่อสุขภาพจิตที่ดี คนเราถา้ ไดร้ บั - ดา้ นการทางาน หากทางานอะไรกต็ าม ถา้ มีสติอยู่
การอบรมจิตจนเป็ นสมาธิแลว้ จติ จะไม่ฟุ้งซ่านสงบดีและ ตลอดเวลาจะช่วยป้องกนั อนั ตรายไดเ้ ป็ นอย่างดีเพราะเม่ือ
ทาใหม้ ีสุขภาพจติ ท่ีดี เม่ือเรามีสุขภาพจติ ดีแลว้ กย็ อ่ ม ผู้ ปฏิบตั ิงานมีจิตใจท่ีสงบ มนั่ คง ไม่ฟุ้งซ่าน ผปู้ ฏิบตั ิงานก็
ส่งผลทาใหม้ ีร่างกายและสติปัญญาดี จะต้งั ใจทางานเหล่าน้ันอบยา่ งเต็มกาลงั จนงานสาเร็จไม่มี
ขอ้ ผิดพลาด และงานน้ันกอ็ อกมาอยา่ งมีคุณภาพ
- ดา้ นการศึกษาเลา่ เรยี น การนาการบริหารจติ ไปใช้
ในการศึกษา คอื เวลาท่ีเราเรียนหนังสือ อา่ นหนังสือ หรือ
ฟังครสู อนในช้นั เรียน ควรมีสติ มีสมาธิ จะทาใหเ้ รา
สามารถทาความเขา้ ใจในการเรียนไดด้ ีข้ นึ
การเจรญิ ปญั ญา
การฝึกฝนอบรมหรือการพฒั นาตนใหเ้ กดิ ปัญญา
3 ประการ ไดแ้ ก่ ปัญญาที่เกดิ จากการฟัง การ
อา่ น หรือการศึกษาเลา่ เรียน ปัญญาท่ีเกิดจาก
การคิดพจิ ารณาและปัญญาที่เกดิ จากการลงมือ
ปฏบิ ตั ิ ซึ่งปัญญาท้งั 3 น้ ีตอ้ งอาศยั จิตท่ีเป็ นสมาธิ
เป็ นพ้ นื ฐานท้งั ส้ ิน จึงจะเกดิ ข้ นึ ไดอ้ ยา่ งสมบรูณ์
การเจรญิ ปญั ญาตามหลกั โยนิโสมนสกิ าร
โยนิ โสมนสิการ การรู้จักคิดหรือคิดเป็ นจึงเป็ นทางเกิดปั ญ ญา
พระพุทธเจ้าได้แสดงโยนิ โสมนสิการไว้ 10 วิธีด้วยกัน
โยนิโสมนสกิ าร
1. วิธคี ิดแบบสบื สาวเหตปุ ัจจยั
สืบคน้ วา่ ส่ิงต่างๆที่เกดิ ข้ นึ น้ันมาจากสาเหตุ
อะไร ปัจจยั อะไรบา้ ง พิจารณาอยา่ งถ่ีถว้ น
การมองเพียงเหตุอยา่ งเดียวยอ่ มไมส่ ามารถ
เขา้ ใจสิ่งท่ีเกดิ ข้ นึ ท้งั หมดได้
โยนิโสมนสกิ าร
2. วิธีคิดแบบอรยิ สจั หรือ วิธีคิดแบบแกป้ ัญหา
◦คือ การพิจารณาปัญหามอี ะไรบา้ ง (ทุกข)์
สาเหตุอยทู่ ่ีใด (สมทุ ยั ) แนวทางและเป้าหมาย
ของการแกป้ ัญหาที่ต้งั ไว้ (นิโรธ) พิจารณาวกี าร
ดาเนินงานเพอื่ บรรลุเป้าหมาย (มรรค) ซ่ึงเรา
สามารถใชเ้ ป็ นหลกั ยดึ ในการพิจารณาถึงความ
เป็ นจริงและนาไปสู่การคิด ตามกระบวนการน้ ี
โยนิโสมนสกิ าร
3. วิธีคิดแบบอรรถธรรมสมั พนั ธ์
คิดตามหลกั การและความมงุ่ หมาย เป็ นการคิดแบบ
สุตบุรุษ หรือสปั ปุริสธรรมอนั เป็ นคุณสมบตั ิของคนดี
คือ รูจ้ กั เหตุ รูจ้ กั ผลรูจ้ กั ตน รูจ้ กั ประมาณ รูจ้ กั บุคคล
รูจ้ กั ชุมชน
คิดแบบเช่อื มโยงหลกั การและความมงุ่ หมายเขา้
ดว้ ยกนั
โยนิโสมนสกิ าร
4. คิดแบบคณุ คา่ แท-้ คณุ คา่ เทียม
รจู้ กั แยกแยะส่ิงดีชวั่ ไดอ้ ยา่ งมีเหตุผล
คนท่ีรจู้ กั คิดแบบคุณโทษและทางออก ยอ่ มรจู้ กั คุณคา่ แทค้ ุณคา่ เทียม และการดาเนินชีวติ
อิสระไมต่ กเป็ นทาสวตั ถุ