โยนิโสมนสกิ าร
5. วิธคี ิดแบบเหน็ คณุ – โทษและทางออก
คือ มองในเชิงคุณคา่ วา่ ส่ิงน้ัน ๆ มีคุณในแง่
ไหน มโี ทษในแง่ไหน มองท้งั คุณและโทษ
แลว้ ก็หาทางออกที่จะแกไ้ ข
“คุณอนันตโ์ ทษมหนั ต”์
โยนิโสมนสกิ าร
6. วิธคี ิดแบบปลกุ เรา้ คณุ ธรรม คิดแบบ
ปลกุ เรา้ คณุ ธรรมหรือชุดความดี
หมายถึง การบาเพญ็ ความดี ซ่ึงจะตอ้ ง
กระทาใหถ้ ึงท่ีสุด
ของบางอยา่ งมีท้งั ดา้ นดีและดา้ นไม่ดี เราตอ้ งหดั
คิดในดา้ นดี หรือแมแ้ ตเ่ รื่องไม่ดีเลยก็ใหถ้ ือเอา
ประโยชน์ใหไ้ ด้
การบรหิ ารจติ และการเจรญิ ปญั ญา
การบริหารจติ ทาใหจ้ ิตดีงาม นุ่มนวล เขม้ แขง็ และผ่อนคลายสงบสุข สติปัฏฐานเป็ นวธิ ีปฏบิ ัติท่ีเนน้ ใหใ้ ชส้ ติ
พิจารณาใหร้ ูเ้ ท่าทนั ปรากฎการณท์ ้งั หลาย ใหม้ สี ติสมั ปชญั ญะ รูต้ วั ทวั่ พรอ้ มทุกอิริยาบถการเคล่ือนไหว มิให้
ประมาทเลินเล่อ ซ่ึงสามารถนามาประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ติ ประจาวนั เชน่ การศึกษาเล่าเรียน การทางานต่างๆ การ
ฝึกใหเ้ ป็ นคนคิดโดยอุบายแยบคายหรือคิดเป็ น เป็ นวธิ ีที่ฝึกใหเ้ หิกปัญญาเรียกวา่ “โยนิโสมนสิการ” การบริหาร
จติ และการเจริญปัญญา ตลอดถึงการฝึกคิดแบบแยบคาย รอบคอบ รอบดา้ น จงึ เป็ นการชว่ ยใหค้ นในสงั คมมี
คุณภาพ คุณธรรม และสติปัญญาสามารถดาเนินชวี ติ ไดอ้ ยา่ งเจริญกา้ วหนา้ และทางานร่วมกบั ผูอ้ ืน่ ไดอ้ ยา่ งมี
ความสุข
พระพทุ ธศาสนากบั การแก้ไขปัญหาและการพฒั นา
ครูผสู้ อน นางสาวกญั ญารตั น์ ศิลาแยง
ผลกระทบจากการพฒั นาทขี่ าดคณุ ธรรม
การพฒั นาประเทศท่ผี ่านมาใหค้ วามสาคญั กบั การพฒั นาดา้ น
เศรษฐกิจ มงุ่ การขยายตวั ทางดา้ นเศรษฐกิจ
ผลตอ่ การพฒั นาสง่ ผลกระทบตอ่ สงั คมไทยดงั นี้
• 1.สังคมไทยมปี ัญหา
มงุ่ เนน้ การแข่งขนั เพ่ือสรา้ งความม่งั ค่งั ทางดา้ นรายไดเ้ ป็นหลกั ทาให้
ผคู้ นในสงั คมมีความเปน้ วตั ถนุ ิยมมากขนึ้
• 2.การพัฒนาทไ่ี ม่ย่งั ยนื
“เศรษฐกิจดี สงั คมมีปัญหา การพฒั นาไม่ย่งั ยืน”
นักเรียนคดิ ว่าพระพทุ ธศาสนาสามารถแก้ไข
ปัญหาสังคมได้อย่างไร ?
หากเรามุ่งพฒั นาประเทศดา้ นเศรษฐกจิ อย่างเดยี ว โดย
มองข้ามหลักพุทธธรรม สงั คมจะมสี ภาพอยา่ งไร?
พระพุทธศาสนากับการพฒั นาแบบย่งั ยนื
การพฒั นาแบบย่ังยนื ถา้ หากตคี วามหมายการพัฒนา
จะสามารถตคี วามหมายได้ 2 นัย คอื
พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ.2542 ไดใ้ ห้
ความหมายของ “พฒั นา” ว่าคอื “ทาใหเ้ จรญิ ” 1. “การพฒั นา” ในความเขา้ ใจแบบสมยั ใหม่ หมายถึงการ
ทาใหเ้ จรญิ ในดา้ นวตั ถุ รูปแบบ และในเชิงปรมิ าณ เช่น ถนน
ดงั นน้ั การพฒั นาจงึ หมายถึง การทาใหเ้ จรญิ หนทาง ตกึ รามบา้ นชอ่ ง ดชั นชี ีว้ ดั ทางเศรษฐกิจ เป็นตน้
การพฒั นาแบบย่งั ยืน หมายถงึ การพฒั นาท่ตี อบสนองความ 2. “การพฒั นา” ในแงข่ องพทุ ธศาสนา หมายถึง การพฒั นา
ตอ้ งการของปัจจบุ นั โดยไมท่ าใหผ้ คู้ นในอนาคตเกิดปัญหาใน คนทง้ั ในดา้ นรา่ งกายและจิตใจ โดยเนน้ ในดา้ นคณุ ภาพชีวิต
การตอบสนองความตอ้ งการของตนเอง และหลกั ของความถกู ตอ้ งพอดี ซง่ึ ใหผ้ ลประโยชนส์ งู สดุ
ความกลมกลืน และความเกือ้ กลู แก่สรรพชีวิต โดยไม่
“การพฒั นาที่ย่งั ยืน คือนโยบายทีส่ นองความตอ้ งการของ เบียดเบียน ทาลายธรรมชาติและสภาพแวดลอ้ ม
ประชาชนในปัจจบุ นั โดยไมต่ อ้ งทาลายทรพั ยากรซง่ึ จะเป็นท่ี
ตอ้ งการในอนาคต
สังคมไทยกับการพฒั นาทย่ี ่งั ยนื
การพฒั นาท่ีย่งั ยืนหมายถงึ การพฒั นาท่ีม่นั คง เกดิ ผลดีทงั้ ในปัจจบุ นั และอนาคต เป็นการ
พฒั นาท่ีไมเ่ กดิ ผลกระทบตอ่ คนรุน่ หลงั ๆ ความปรารถนาใหส้ งั คมไทยในอดุ มคตเิ ป็นสงั คมท่ีมีการ
พฒั นาอย่างย่งั ยืน ควรมีลกั ษณะสาคญั ดงั นี้
1. เป็นสงั คมท่ีมีความม่นั คงเป็นปึกแผน่ มีความภาคภมู ใิ จในความเป็นไทย ดารงไวซ้ ง่ึ
เอกลกั ษณท์ างดา้ นศลิ ปวฒั นธรรมและประเพณีอนั ดีงามของชาติ
2. เป็นสงั คมท่ีมีความม่นั คง สงบสขุ มีสนั ติ ผคู้ นอย่รู ว่ มกนั อย่างมีความสขุ ครอบครวั
อบอนุ่ ชมุ ชนเขม้ แข็ง และเศรษฐกิจเจรญิ รุง่ เรืองและม่นั คง
3. เป็นสงั คมท่ีมีความยตุ ธิ รรม มีระเบยี บวนิ ยั ผคู้ นเคารพกฎหมาย และเคารพในสิทธิซง่ึ กนั
และกนั โดยมีหลกั ธรรมทางศาสนาของตนเป็นท่ีพง่ึ และยดึ เหน่ียวในการดาเนนิ ชีวิต
พุทธธรรมกับการพฒั นาทย่ี ่ังยนื 3.หลกั พทุ ธธรรม
หลกั อรยิ สจั 4
1.การพฒั นาตนเอง
“จะปลกู พืชตอ้ งเตรยี มดิน จะกินตอ้ งเตรยี มอาหาร จะ ทกุ ข์ คือ ตอ้ งเขา้ ใจว่าอะไรคือทกุ ข์
สมทุ ยั อะไรคอื สาเหตขุ องปัญหา
พฒั นาการตอ้ งเตรยี มคน จะพฒั นาคนอืน่ เราตอ้ งพฒั นาตนเอง” นิโรธ ปัญหาดงั กลา่ วสามารถแกไ้ ขไดห้ รอื ไม่
พฒั นากาย ศลี จิต ปัญญา มรรค ทางแกไ้ ขปัญหา
2.พุทธวธิ ีในการพฒั นา หลกั อทิ ธิบาท 4 หลกั ธรรมทนี่ าไปสคู่ วามสาเรจ็
แนวทางการพฒั นาเชิงลบ (ปหานะ) (ฉนั ทะ วิรยิ ะ จิตตะ วิมงั สา)
สอนใหล้ ะสง่ิ ทจี่ ะนามาซง่ึ ความเสื่อมตา่ งๆ เชน่ กิเลส โลภ
โกรธ หลง
แนวการพฒั นาเชิงบวก (ภาวนา)
สอนใหเ้ จรญิ ในความดีตา่ งๆ เช่น เสียสละ สามคั คี ประหยดั
หลักทฏิ ฐธัมมกิ ตั ถประโยชน์ พุทธธรรมกบั การพฒั นาทยี่ ่ังยนื
-อฏุ ฐานสมั ปทา ถึงพรอ้ มดว้ ยความ
ขยนั หม่นั เพียร “เคยทอ้ แตไ่ มเ่ คยถอย” หลักอัตถะ
-อารกั ขสมั ปทา ถงึ พรอ้ มดว้ ยการรกั ษา
-กลั ป์ ยาณมติ ตา ควรมีเพ่ือนเป็นคนดี การพฒั นาใหเ้ กดิ ผลย่ังยนื ควรนาหลกั อัตถะไปเป็ น
-สมชีวติ า รูจ้ กั เลีย้ งชีวิตตามสมควรแก่กาลงั ทรพั ย์ แนวทางในการพฒั นา คือตอ้ งคานึงประโยชนท์ จ่ี ะ
ไดร้ ับ
-ทิฏฐธมั มกิ ตั ถะ การพฒั นาจะตอ้ งไดผ้ ลเรว้ ในปัจจบุ นั
-สมั ปรายกิ ตั ถะ ประโยชนเ์ บือ้ หนา้
-ปรมตั ถะ ประโยชนอ์ ย่างย่งิ และประโยชนส์ งู สดุ
หลกั ธรรมทางศาสนา
กบั การอยรู่ ว่ มกนั อยา่ งสนั ิสส ข
ครูผู้สอน นางสาวกัญญารัตน์ ศิลาแยง
หลกั ธรรมทางศาสนา
กบั การอยูร่ ว่ มกนั อยา่ งสนั ิสส ข
ทกุ ศาสนามีเปา้ หมายการสอนเพ่อื ใหศ้ าสนิกชนเป็น
คนดี เม่ือศาสนิกชนของแตล่ ะศาสนาเป็นคนดตี าม
หลกั ศาสนาแลว้ ยอ่ มสง่ ผลดตี อ่ สงั คม คือ ความ
สามคั คปี รองดอง ไมแ่ บง่ แยก เพยี งเพราะนบั ถือ
ศาสนาตา่ งกนั แตอ่ ยรู่ ว่ มกนั อยา่ งสนั ตโิ ดยปฏิบตั ิ
ตามคาสอนในศาสนาท่ีตนนบั ถือ
คณคา่ และความสาคญั ของคา่ นสยมและจรสยธรรมทางศาสนา
การสอนใหศ้ าสนิกชนทกุ คนเป็นคนดี
ก่อใหเ้ กิดความเช่ือ เชน่ ความดี
ความช่วั บญุ บาป นรก สวรรค์
หลอ่ หลอมปลกู ฝ่ังคา่ นิยมและ
จรยิ ธรรมอนั ดงี ามความเมตตา
เอือ้ เฟื้อเผ่ือแผ่
ค่านสยมและจรยส ธรรมท่ีกาหนดความเช่ือ พฤิกส รรมท่ีแิกิา่ งของศาสนสกชน
ความเช่ือเก่ียวกบั ความศรทั ธา
การแตง่ กาย
การแสดงความเคารพ
การปฏิบตั พิ ิธีกรรมทางศาสนา
การขจดั ความขดั แยง้
เพ่ือการอยรู่ ว่ มกนั อยา่ งสนั ิสส ข
การเขา้ ใจมลู เหตแุ ละแกน่ แทข้ องศาสนา
การปฎิบตั ติ อ่ กนั ระหว่างศาสนิกชนเพ่ืออยรู่ ว่ มกนั
อยา่ งสนั ติสขุ
อยา่ พยายามเปล่ียนศาสนิกชนศาสนาอ่นื มานบั
ถือศาสนาของตน
อยา่ เปรยี บเทยี บว่าศาสนาใดดีกวา่ กนั
ตอ้ งมีความจรงิ ใจตอ่ กนั
อยา่ ยดึ ความเหน็ ของตนเป็นใหญ่
ศาสนาครสิ ต์ 1.หลักบญั ญัติ 10 ประการ
มีรากฐานมาจากศาสนายวิ ซ่งึ มโี มเสสเป็นศาสดา และ 1.จงนมสั การพระเจา้ แตผ่ เู้ ดียว
เป็นผยู้ ืนยนั วา่ พระเจา้ (พระยะโฮวา) ไดร้ บั ประทาน
บญั ญตั มิ าให้ โดยศาสนิกชนตอ้ งมคี วามศรทั ธาในพระ 2. อยา่ ออกพระนามพระเจา้ โดยไมส่ มควร
เยซูสงู สดุ ในชีวิต และจงรกั เพ่ือนบา้ น เพ่ือนมนษุ ย์
เหมือนรกั ตวั เอง ตามหลกั ธรรมคาสอนดงั ตอ่ ไปนี้ 3.วนั พระเจา้ ใหถ้ ือเป็นวนั ศกั ดสิ์ ิทธิ์
4.จงนบั ถือบดิ ามารดา
5.อยา่ ฆา่ คน 6.อยา่ ลว่ งประเวณี
7.อยา่ ลกั ทรพั ย์ 8.อยา่ ขโมย
9.อยา่ เป็นพยานเทจ็ ตอ่ เพ่ือนบา้ นของเจา้
10.อยา่ โลภอยากไดเ้ รอื นของเพ่ือนบา้ น อยา่ โลภมาก
อยากไดเ้ มียของเพ่ือนบา้ น หรอื ทาสของเขา โค ลา
ของเขา หรอื ส่งิ หน่งึ ส่งิ ใดของเพ่ือนบา้ นนน้ั
ศาสนาครสิ ต์
2.หลักตรีเอกานุภาพ เป็นหลกั คาสอนท่ีใหศ้ รทั ธาในพระเจา้ พระองคเ์ ดยี ว
แตม่ ี 3 สภาวะประกอบดว้ ย
1.พระบดิ า คอื องคพ์ ระเจา้ ผสู้ รา้ งโลกและมนษุ ย์
2.พระบตุ ร คอื ผเู้ กิดมาเพ่ือชว่ ยไถ่บาปใหแ้ ก่มนษุ ย์
3.พระจติ ร คอื พระวิญญาณอนั บรสิ ทุ ธเ์ พ่ือมอบความรกั และบนั ดาลให้
มนษุ ยป์ ระพฤตดิ ี
3.หลักความรัก คาสอนเร่อื งความรกั ในศาสนาครสิ ต์ คอื การปรารถนาให้
ผอู้ ่ืนมีความสขุ มีความเมตตากรุณา ใหอ้ ภยั ซ่งึ กนั และกนั และยินดเี ม่อื เห็น
ผอู้ ่ืนไดด้ ี
ศาสนาครสิ ต์ 4.หลกั อาณาจกั รพระเจา้ เป็นหลกั คาสอนท่เี นน้ ให้
มนษุ ยส์ รา้ งศรทั ธาใหเ้ กิดขนึ้ ในจติ ใจ รูจ้ กั การเตรยี มตวั รบั
หลกั คาสอนเร่อื งความรกั ในศาสนาครสิ ต์ มี ฟังคาส่งั สอน เพ่ือจะไดน้ าไปปฏิบตั ิไดถ้ กู ตอ้ ง ซง่ึ
2 ระดบั คอื อาณาจกั รพระเจา้ แบง่ ไดเ้ ป็น 2 สว่ น คือ อาณาจกั รบนโลก
มนษุ ย์ ใหม้ นษุ ยก์ ระทาตนใหด้ ีท่สี ดุ โดยการสวดมนต์
1.ความรกั ระหว่างมนษุ ยก์ บั พระเจา้ เปรียบ เพ่ือเป็นการแสดงความศรทั ธาในพระเจา้ และอาณาจกั ร
เหมือนความรกั ระหว่างบดิ ากบั บตุ ร สวรรค์ เม่ือมนษุ ยต์ ายไป วิญญาณจะไดไ้ ปเฝา้ พระเจา้ ใน
สวรรคม์ ีชีวิตนิรนั ดร
2.ความรกั ระหวา่ งมนษุ ยก์ บั มนษุ ย์ พระเยซู
สอนใหร้ กั เพ่ือนบา้ น (มนษุ ยท์ งั้ โลก) สอนให้
รกั ศตั รู รูจ้ กั การใหอ้ ภยั และเสียสละ
พธส กี รรม
พิธีกรรมในครสิ ตศาสนาเรยี กวา่ “ศีลศกั ดิส์ ทิ ธิ์”อนั
หมายถงึ เครอ่ื งหมายภายนอกท่พี ระเยซคู รสิ ตท์ รง
ตงั้ ขนึ้ เพ่ือเป็นเครอ่ื งมือชว่ ยใหค้ นไปส่คู วามหลดุ พน้
จากความทกุ ข์
1.ศีลลา้ งบาป 2.ศลี กาลงั
3.ศีลมหาสนิท 4.ศลี อภยั บาป
5.ศลี บวช 6.ศีลเจมิ คนไข้
7.ศีลสมรส
เป็นศาสนาท่ีนบั ถือพระเจา้ ศาสนาอิสลาม
(อลั เลาะหห์ รอื อลั ลอฮ.) 1.ศรัทธา มี 6 ประการ คอื
1. ศรทั ธาในพระองคเ์ ดียว คือ อลั ลอฮ
ในทกุ สถานภาพของเขาจะลาลกึ ถงึ พระผเู้ ป็นเจา้ 2. ศรทั ธาในบรรดามลาอีกะฮของพระองค์ มลาอี
เสมอ เพราะพระผเู้ ป็นเจา้ เป็นผนู้ าทางในการ
ดารงชวี ิตทกุ ดา้ น แก่มนษุ ยท์ กุ คนโดยไม่มีการ กะห์ หรอื เทวทตู ผรู้ บั ใชพ้ ระเจา้
ยกเวน้ 3. ศรทั ธาในบรรดาคมั ภีรท์ งั้ หลายของพระองค์
4. ศรทั ธาในบรรดารอซูหรอื ศาสนทตู ท่ีพระเจา้ ได้
ทรงส่งมายงั หมมู่ นษุ ย์ หนง่ึ ในนนั้ คือ ท่านนบีมฮู มั
มดั ศาสดาองคส์ ดุ ทา้ ยของศาสนาอิสลาม
5. ศรทั ธาในวนั สดุ ทา้ ยและการเกิดใหมใ่ นวนั ปรโลก
6. ศรทั ธาในกฎกาหนดสภาวะของพระองค์
2.หลักจริยธรรม 3.หลักปฏบิ ตั ิ 5 ประการ
1.การปฏิญานตนตอ่ พระเจา้
ศาสนาอิสลามสอนวา่ ในการดาเนินชีวิต จงเลอื กสรร 2.การละหมาด
เฉพาะส่งิ ท่ดี อี นั เป็นท่ยี อมรบั ของสงั คม จงทาตนใหเ้ ป็น 3.การถือศลี อด
ผดู้ ารงอยใู่ นศีลธรรม พฒั นาตนเองไปสกู่ ารมี 4.การบรจิ าคซะกาต
บคุ ลิกภาพท่ดี ี เป็นคนท่รี ูจ้ กั หนา้ ท่ี ห่วงใย มีเมตตา 5.การประกอบพิธีฮจั ญ์
มีความรกั ซ่อื สตั ยต์ อ่ ผอู้ ่นื รูจ้ กั ปกป้องสิทธิของตนไม่
ละเมิดสทิ ธิของผอู้ ่นื เป็นผมู้ ีความเสียสละไมเ่ หน็ แกต่ วั
และหม่นั ใฝ่หาความรู้ ทงั้ หมดท่กี ลา่ วมานี้ เป็น
คณุ สมบตั ิของผมู้ ีจรยิ ธรรม ซง่ึ ความสมบรู ณท์ งั้ หมดอยู่
ท่คี วามยตุ ิธรรม
ศาสนาอิสลาม
ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู
เป็นศาสนาท่เี กา่ แก่ทมี่ ีวิวฒั นาการมาพรอ้ มกบั การมาของชาว
อารยนั ราว ๔,๐๐๐ ปีมาแลว้ ในชนั้ ตน้ พวกอารยนั นบั ถือภตู ิผีปีศาจ
อานาจตา่ งๆ ทางธรรมชาติทไ่ี มส่ ามารถอธิบายได้ ตอ่ มาการนบั ถือ
ธรรมชาตติ า่ ง ๆ จึงพฒั นามาสกู่ ารทารูปเคารพ และเทพีตา่ ง ๆ
มากมาย เชน่ พระอินทร์ พระวิรุฬ พระอคั นี เป็นตน้
ลทั ธิความเช่ือเหลา่ นเี้ องท่ีไดพ้ ฒั นาการมาเป็นศาสนาพราหมณ์
เป็นศาสนาท่ไี มม่ ีศาสดาเป็นผกู้ อ่ ตงั้ เหมือนหลาย ๆ ศาสนา ปัจจบุ นั
เรยี กว่าศาสนาฮินดู (Hinduism) มผี นู้ บั ถือท่วั โลกเกือบ 800
ลา้ นคนทงั้ อินเดีย เนปาล และบางสว่ นของอินโดนเี ซยี
ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู
คัมภรี ์ หลกั การสงู สดุ ของฮินดคู ือ "อาศรม 4" (ขอ้ ปฏิบตั ิของพราหมณ)์
ที่ระบใุ นพระเวท ไดแ้ ก่
1. ฤคเวท เป็นคมั ภีรท์ ่ีเก่ียวเนอ่ื งกบั บทสวดตา่ งๆ เพื่อสรรเสรญิ
พระเจา้ ฤทธิ์เทวะและธรรมชาติ กลา่ วถงึ การสรา้ งโลก เป็นคมั ภีร์ 1. พรหมจารี เป็นการประพฤติตนเป็นพรมจารขี องพราหมณ์
ทเ่ี ก่าแก่ท่ีสดุ มีบทสวดถึง 1,028บท เดก็ ทีอ่ ยใู่ นวยั ศกึ ษาเลา่ เรยี น
2. ยชุรเวท เป็นคมั ภีรท์ เี่ กี่ยวกบั บทรอ้ ยกรองบวงสรวงตา่ งๆ 2. คฤหสั ถ์ เป็นการครองเรอื น คือ การแตง่ งาน
ใชใ้ นพิธีการบชู ายญั ทีเ่ รยี กวา่ ยญั พิธีในทางศาสนา
3. วานปรัศน์ หลงั จากมลี กู หลาน ก็ใหล้ ะทงิ้ ครอบครวั บาเพ็ญ
3. สามเวท เป็นคมั ภีรท์ ี่เกี่ยวกบั กลศาสตรร์ วมทง้ั สงั คตี บทสวด เพียรในท่สี งบ หรอื บาเพ็ญตบะเพื่อบรรลธุ รรมขนั้ สงู
มนต์ สาหรบั ประกอบพิธีกรรมตา่ งๆ ของประชาชนท่วั ๆ ไป
4. สนั ยาสี ใหส้ ละโสดแลว้ ออกไปอยใู่ นป่า คือเป็นนกั บวชที่
4. อาถรรพเวท เป็นคมั ภีรท์ ่ีเก่ียวกบั เวทมนต์ คาถาตา่ งๆ ออกจารกิ ไปยงั สถานท่ศี กั ดสิ์ ทิ ธิ์ เป็นพราหมณผ์ ทู้ อ่ งเท่ยี ว เลยี้ ง
ชีพดว้ ยภิกขาจาร ใจมงุ่ ตรงตอ่ พระพรหม
ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู
ขอ้ ปฏิบตั ใิ นศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู มที ง้ั ที่เป็นสว่ นเฉพาะและ
สว่ นรวมตอ้ งประพฤตปิ ฏิบตั ิตามกฏประเพณีท่ที าไวส้ าหรบั วรรณะ
ของตนนนั้ แบ่งออกเป็น 4 หมวด คอื
1. กฎสาหรับวรรณะ
2. พธิ ีประจาวนั พิธีประจาบา้ นมี 12 ประการ
3. พธิ ีศราทธ์ ไดแ้ ก่ พิธีของผมู้ ศี รทั ธาคือมีใจเช่ือม่นั เป็น
การทาบญุ อทุ ศิ ใหแ้ ก่บิดา มารดา หรอื บรรพบรุ ุษท่ีลว่ งลบั ไป
แลว้
4. บชู าเทวดา
ศาสนาซิกข์
ศาสนาสกิ ข์ เป็นศาสนาท่ยี ดึ ม่นั และเช่ือถือในพระเจา้ (วาเฮ่ครุ ุ) เพียงพระองคเ์ ดียวอยา่ งเครง่ ครดั
พระศาสดาครุ นึ านกั เทพ (ครุ ุนานกั เดว) พระองคไ์ ดส้ อนหลกั ธรรมและแนวคดิ ใหมใ่ หก้ บั ทกุ คน
เพื่อใหส้ ามารถดารงชีวิตอยไู่ ดอ้ ยา่ งมีความสขุ และมีสขุ ภาพสมบรู ณแ์ ข็งแรง หลกั ธรรมและแนวคิดดงั กลา่ วมีดงั นี้
1.สอนใหท้ กุ คนรูจ้ กั ปรบั ตวั ใหเ้ ขา้ กบั สภาพแวดลอ้ ม ซง่ึ เป็นธรรมชาติท่ีไมส่ ามารถเปลยี่ นแปลงได้
2.ชีน้ าทางใหท้ กุ คนไดเ้ ขา้ ถึงพระเจา้ ดว้ ยการดารงชีวิตและดว้ ยการกระทาแตค่ ณุ งานความดี
3.การเขา้ ถึงธรรมมะและการทารงชีวิตตามหลกั สจั ธรรม ละเวน้ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความยิ่ง
ยโส และความเห็นแกต่ วั ซง่ึ เป็นวิถีทางในการระลกึ ถงึ พระเจา้ อยา่ งแทจ้ รงิ
ศาสนาซิกข์
ศาสนาสิกขเ์ ช่อื ในเรอ่ื งองการกลบั ชาติมาเกิดใหม่ มนษุ ย์
ทกุ คนควรพยายามอยา่ งท่สี ดุ เพ่ือใหห้ ลดุ พน้ จากวฏั จกั ร
ของชีวิตหรอื การเวียนวา่ ยตายเกิดดว้ ยการหม่นั ระลกึ ถงึ
พระเจา้ และการสวดมนตภ์ าวนา โดยในศาสนาสิกขเ์ ช่อื ว่า
พระเจา้ คือความจรงิ น่นั เอง
แนวทางในการจดั กสจกรรมทาง
ศาสนาเพอ่ื การพฒั นาสงั คม
จดั นทิ รรศการประกอบการสมั มนา
การจดั งานวนั กินเจของคนไทยทกุ ศาสนา
รว่ มกนั
การรบั บรจิ าคเงนิ เพ่อื นาไปใชใ้ นการกศุ ล
ในโอกาสวนั สาคญั
การสวดมนตข์ า้ มปี
ศาสนา จุดมุ่งหมาย คัมภรี ์ พระเจา้ ศาสดา พธิ ีกรรม
ศาสนาพทุ ธ สูงสุด
พระไตรปิฎก - พระพทุ ธเจา้ -กศุ ลพิธี
นิพพาน พระยะโฮวาห์ -บญุ พิธี
พระอลั ลอห์ พระเยซู -ทานพิธี
ศาสนาครสิ ต์ การไดเ้ ขา้ ไปอยกู่ บั คมั ภีรไ์ บเบิล พระพรม เรยี กวา่ พระ ศลี ศกั ดสิ์ ิทธิ์
พระยะโฮวาหช์ ่วั นิ คมั ภีรอ์ ลั กรุ อาน วาหครุ ู เมสสิอาห์
รนั ดร์ คมั ภีรพ์ ระเวท พระนบีมฮุ มั -หลกั ศรทั ธา 6
มดั -หลกั ปฎิบตั ิ 5
ศาสนาอิสลาม การไดเ้ ป็นอนั หนงึ่
อนั เดยี วกบั
พระอลั ลอห์
ศาสนาพราหมณ-์ การเป็นอนั หนง่ึ อนั -พิธีประจาบา้ น หรอื พิธี
ฮนิ ดู เดียวกบั พระเจา้ สงั สการ
-พิธีศราท์
ศาสนาซกิ ข์ ความกลมกลืนเขา้ คมั ภีรค์ รถั สาหิพ ครุ ุนานกั
กบั ชีวิตของพระเจา้ -พิธี "ปาหลุ " คอื พิธีลา้ งบาป