34 ทฤษฎีการรื้อสร้างตามแนวคิดของ ฌัก แดร์ริดา เป็นแนวคิดที่ไม่เชื่อว่าบทวรรณกรรม สังคม หรือมนุษย์มีระบบหรือโครงสร้างซ่อนอยู่ โดยได้สรุปประเด็นสำคัญของความไม่เชื่อใน 3 ประเด็น ด้วยกัน คือ 1) เป็นแนวคิดที่เกิดจากการไม่เชื่อเรื่องความหยุดนิ่ง โดยมีมุมมองว่าทุกสิ่งนั้นมีการเปลี่ยนแปลง ได้จึงไม่เชื่อเรื่องการมีอยู่ การดำรงอยู่ เพราะเห็นว่าความคิดเหล่านี้เป็นการคิดแบบหยุดนิ่ง แน่นอน และตายตัวที่เชื่อใน “จุดคงที่” 2) เป็นแนวคิดที่ไม่เชื่อเรื่องของความสมบูรณ์ เพราะหากมีความเชื่อว่าทุกสิ่งมีความสมบูรณ์ แล้วนั้น ก็จะไม่มีการปรากฏสิ่งใหม่ให้เกิดขึ้น 3) เป็นแนวคิดที่ไม่เชื่อในความเป็นศูนย์กลางของมนุษย์ในฐานะองค์ประธาน เชื่อว่ามนุษย์นั้น เป็นเพียง “ผลลัพธ์” ของ ระบบสังคม (ไม่เชื่อในอิสระหรืออำนาจอธิปไตยของมนุษย์) จากแนวคิดดังที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งเป็นความเชื่อว่าทุกสิ่งนั้นต้องมีการเปลี่ยนแปลงและ ความสมบูรณ์ไม่มีอยู่จริง เป็นเหตุแห่งการรื้อสร้าง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ซึ่ง แนวคิดเหล่านี้เป็นเส้นทางที่นำไปสู่การเกิดสิ่งใหม่อย่างมีเหตุมีผล ทำให้เกิดการวิพากษ์ด้วยโครงสร้าง ภาษาที่สืบทอดมาจากแนวคิดโครงสร้างนิยมก็ถูกมองข้ามไป ไม่มีสัญญะ ไม่มีโครงสร้างตายตัว สามารถเปลี่ยนไปตามสถานการณ์และบริบททางด้านเวลา การกำหนดศูนย์กลางเป็นเรื่องของบทบาท หน้าที่ (Function) ที่เปลี่ยนแปลงไปตาม สถานการณ์ ไม่ใช่สิ่งที่ดำรงอยู่ ไม่มีความเป็นคู่ตรงข้าม (Binary Opposition) ในระบบของภาษาและรหัสใดๆ วัฒนธรรมตะวันตกอิงอยู่กับการคิดแบบคู่ตรงข้าม ในแง่นี้โครงสร้างนิยมก็ยังยึดในความคิดเก่า เพราะเชื่อในวิธีคิดแบบคู่ตรงข้าม ซึ่งการคิดแบบคู่ตรงข้ามนั้น ทำให้มีการจัดลำดับความสำคัญเกิดขึ้น คำ ๆ หนึ่งอาจถูกทำให้มีค่าสูงขึ้น ในขณะที่อีกคำถูกทำให้ ต่ำลง หรือถูกลบเลือนไป เช่น การพูดมีความสำคัญกว่าการเขียน เป็นต้น การนำแนวคิดการรื้อสร้างมาใช้ในการตีความหมายและการสร้างสรรค์ละคร จึงเป็นการมองว่า หากพิจารณาคำคู่ตรงข้ามที่เคยถูกมองข้ามไป หรือถูกลดความสำคัญลงได้แสดงบทบาท และ ความสำคัญออกมา โดยมุ่งทดแทนแก้ไขสิ่งที่เสียไป ภายใต้กรอบการรื้อสร้างความแตกต่าง จะกลาย มาเป็นสิ่งที่มีความโดดเด่น และมีคุณค่ามีความน่าสนใจ สิ่งที่สำคัญคือเรื่องของวิธีการคิดแบบ คู่ตรงข้าม เป็นการสร้างระบบการคิดที่จะต้องมีคู่ตรงข้ามเข้ามาเกี่ยวข้อง วิธีคิดอีกแบบที่เรียกว่า “ความหลากเลื่อน” (Difference) ด้วยเหตุนี้หลักการสำคัญของการรื้อสร้างจึงเป็นการวิเคราะห์ การทำงานของคู่ตรงข้ามเชื่อว่าในการวิเคราะห์ การทำงานคู่ตรงข้าม จะสามารถเน้นให้ความหมายของ
35 คู่ตรงข้ามเด่นขึ้น และเน้นความหมายเพียงด้านเดียว โดยคำคู่ตรงข้ามที่ด้อยกว่าก็จะถูกมองข้าม การวิเคราะห์ของทฤษฎีการรื้อสร้างนี้ก็คือ การหาโครงสร้างภายในของวัตถุ ซึ่งทฤษฎีโครงสร้างนิยม มองว่าทุกสิ่งจะประกอบไปด้วยคู่ตรงกันข้าม ในขณะที่ทฤษฎีการรื้อสร้างต้องการชี้ให้เห็นว่า ระบบ หรือโครงสร้างต่าง ๆ ที่ทฤษฎีโครงสร้างนิยมพยายามจะแสดงออกมานั้นเป็นการกำหนดขึ้นเองจาก อำนาจของสังคม แก่นความคิดสำคัญ คือ การโต้แย้งทัศนะของนักโครงสร้างนิยมในเรื่องที่โครงสร้าง นิยมเห็นว่า ตัวภาษามีระบบหรือโครงสร้างที่เป็นสากลอยู่เบื้องหลัง ถ้าหากมีวิธีการศึกษาที่ถูกต้องก็ สามารถเข้าใจระบบธรรมชาติของภาษานั้น ทฤษฎีการรื้อสร้างจึงเป็นทฤษฎีที่เน้นการอ่านเพื่อวิเคราะห์ตัวบท ด้วยการชี้ให้เห็นถึง ความขัดแย้ง ภายในตัวบทนั้น ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของตัวบท การอ่านแบบหลังโครงสร้างนิยม จึงมิใช่เรื่องของการตีความ ความหมาย แต่เป็นเรื่องของการตระหนักรู้ถึงความขัดแย้งภายในตัวบท เป็นผลมาจาก “ธรรมชาติ” ของการเขียน ด้วยการนำส่วนต่าง ๆ มาประกอบเรียงร้อยขึ้นภายใต้รหัส ชุดต่าง ๆ ที่ขัดแย้งกัน สิ่งที่ได้จากการอ่านในแบบของทฤษฎี การรื้อสร้างจึงไม่ใช่ความหมาย แต่กลับ เป็นความเป็นไปได้ของความหมาย ซึ่งย่อมมีมากกว่าหนึ่งความหมาย เพราะการอ่านเป็นทั้งการเพิ่มเติม และการเข้าไปแทนที่ สวมรอย เป็นการอ่านเพื่อสลายเอกภาพของตัวบทจากภายในตัวบทเอง แนวคิดหนึ่ง ของทฤษฎีการรื้อสร้างเสนอว่างานวรรณกรรมทุกชิ้น จะมีความขัดแย้งทางความหมายในตัวบท มีผลทำให้ งานชิ้นนั้น “รื้อทำลาย” ตัวเอง และหากสามารถเห็นความขัดแย้งดังกล่าวได้ก็จะสามารถ “สร้าง” ความหมายใหม่ให้กับงานชิ้นนั้นได้ แต่ปัญหาก็คือ ผู้คนส่วนมากมักมองไม่เห็นข้อบกพร่องทางภาษา ของงานชิ้นนั้น ๆ เพราะผู้คนส่วนมากมักยอมรับความหมายของถ้อยคำนั้นโดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ แนวคิดที่เรียกการรื้อสร้างไว้ว่า คือวิธีการอ่านตัวบท เพื่อค้นหาความหมายอื่น ๆ ที่ตัวบทกดทับเอาไว้ เป็นการหาความหมายของความหมายหรือความหมายอื่น ๆ (Polysemy) ดังนั้นการรื้อสร้างจึงเป็น เรื่องของการตีความตัวบทมากกว่าการแสวงหาความจริงจากตัวบท (ธัญญา สังขพันธานนท์, 2560, น. 108 - 112) จากความหมายของแนวคิดการรื้อสร้างผู้วิจัยจึงสรุปได้ว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นสามารถ เกิดขึ้นได้หากมีเหตุผลในการสนับสนุนซึ่งการเปลี่ยนแปลงนั้น ๆ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนั้น เป็น การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นโดยไม่มีข้อกำหนดที่ตายตัวว่าต้องเปลี่ยนแปลงในรูปแบบใด การรื้อสร้าง ก่อให้เกิดความสร้างสรรค์ หรือองค์ความรู้ที่มีความสำคัญจากความคิดที่จะดึงสิ่งที่ซ่อนเร้น หรือถูกกดทับ ออกมานำเสนอเพื่อให้เห็นในมุมมองที่มีความแตกต่าง แสดงให้เห็นถึงคุณค่าและน่าสนใจ ซึ่ง
36 การสร้างสรรค์ละครจากการตีความหมายใหม่ของผู้วิจัยนั้น การนำแนวคิดการรื้อสร้างมาเป็นแนวทาง ในการสร้างสรรค์จะเป็นแนวทางในการค้นหาความหมายที่ซ่อนเร้น รวมถึงตัวละครที่ถูกกดทับ เพื่อนำมารื้อสร้างให้เห็นถึงความแตกต่างเพื่อนำไปสู่การเกิดองค์ความรู้ใหม่ในวงวิชาการนาฏศิลป์ 5. แนวคิดเรื่องเงาสะท้อน แนวคิดเรื่องเงาสะท้อน เป็นหนึ่งในแนวคิดหลักในการศึกษา เนื่องจากเป็นการศึกษา โดยการนำวรรณกรรมเรื่องพระอภัยมณี ตอนหึงหน้าป้อม ฉบับหอสมุดแห่งชาติ มาตีความหมายใหม่ เพื่อนำไปสู่การสร้างสรรค์ละคร เรื่อง “เงาสะท้อน” เพื่อสะท้อนความคิดจากการตีความหมายใหม่ ให้เห็นถึงความเท่าเทียมและศักดิ์ศรีของมนุษย์ผ่านตัวละครนางละเวงวัณฬาและนางสุวรรณมาลี โดยมีกระจกเป็นสัญลักษณ์ในการสะท้อนความคิดมายังผู้ชม เพื่อให้ผู้ชมได้รับรู้ความหมาย จากการตีความหมายใหม่ และถ่ายทอดออกมาในรูปแบบการของการแสดงสร้างสรรค์นำไปสู่การถ่ายทอด และส่งต่อความคิดเรื่องการเปลี่ยนของบริบททางสังคมที่พยายามในการสร้างความเท่าเทียม ระหว่างเพศ และการตระหนักให้เห็นถึงคุณค่า และศักดิ์ศรีของสตรีโดยผู้วิจัยจึงได้ศึกษาแนวคิดเรื่อง เงาสะท้อน เพื่อที่จะได้นำมาประกอบการตีความ การสร้างตัวบทใหม่ ก่อนที่จะนำมาสร้างละคร สร้างสรรค์ วรรณกรรมเรื่องพระอภัยมณี ตอนหึงหน้าป้อม ฉบับหอสมุดแห่งชาติ เป็นวรรณกรรมที่ทรงคุณค่า เป็นที่รู้จักในทุกยุคทุกสมัย การส่งต่อแนวความคิดที่ผู้ประพันธ์ต้องการจึงเป็นการถ่ายทอดแนวความคิด จากรุ่นสู่รุ่น กลายเป็นการรับ – ส่งแนวความคิดเรื่องของความไม่เท่าเทียม การลดคุณค่าของสตรี โดยไม่รู้ตัว การสะท้อนความเป็นจริงจากการตีความหมายใหม่ของผู้วิจัยจึงเป็นการเปลี่ยนแปลง โดยการนำตัวละครที่ถูกกดทับว่าเป็นตัวละครที่มีความเป็นผู้หญิง ยึดเอาความรักเป็นที่ตั้งมา ตีความหมายใหม่และสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางความคิดว่าผู้หญิงจะไม่ถูกกดทับอีกต่อไป สะท้อนให้เห็นความจริงด้านการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ความเท่าเทียมและศักดิ์ของผู้หญิงมีค่า ไม่แตกต่างจากผู้ชาย สะท้อนให้เห็นความเป็นจริงว่าแท้จริงแล้วควรตีความหมายโดยการมองให้ลึกถึง แก่นแท้และสาเหตุที่แท้จริงเป็นสิ่งที่ผู้อ่านและผู้ชมต้องให้ความสำคัญในการตีความหมาย เพื่อนำไปสู่ การเปลี่ยนแปลงการส่งความคิดจากการตีความหมายใหม่ได้ คำว่า Reflection นี้เป็นการเรียนรู้แบบสะท้อนคิดนั้นเปรียบเสมือนการส่องกระจกที่เป็น การมองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นฉากและขั้นตอน มีการคิดตรึกตรอง พิจารณาจนเกิดความเข้าใจ
37 อย่างลึกซึ้งนั่นเอง การสะท้อนคิด (Reflection) คือ การทบทวนประสบการณ์ การคิดย้อนกลับใน ประเด็นต่าง ๆ ทำให้เกิดความเข้าใจและเกิดการเรียนรู้ (สาวิตรี สีบุดศรี, 2563, น. 60) เป็นการเห็น ความสัมพันธ์แห่งเรื่องราวและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงได้ชัดเจนและนำไปสู่การดำเนินชีวิตต่อไปได้ ซึ่งแนวคิดเกี่ยวกับการสะท้อนนั้น สามารถตีความได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับผู้วิจัยว่าต้องการสะท้อน ออกมาในรูปแบบใด จากการสร้างสรรค์ละคร เรื่อง “เงาสะท้อน” เป็นการตีความหมายใหม่ผ่านแนวคิดทฤษฎีที่มี ความสำคัญเพื่อสะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางความคิดจากการตีความหมายใหม่ ซึ่งปัจจุบันได้มี การให้ความสนใจในเรื่องการตีความหมายใหม่และสะท้อนความคิดออกมาในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเป็น การสะท้อนความคิดมายังผู้ที่ได้รับสาร สร้างการตระหนักรู้และความคิดของผู้รับสารในการมองในมุม ที่มีความแตกต่างเพื่อเป็นการถ่ายทอดความคิดจากการตีความออกไป จากการศึกษาละครโทรทัศน์ เรื่อง วันทอง ซึ่งเป็นการนำเสภาขุนช้างขุนแผน มาตีความหมายใหม่และการรื้อสร้าง เพื่อที่จะถ่ายทอด มุมมองใหม่จากนางวันทองกับการลุกขึ้นสู้เพื่อศักดิ์ศรีของผู้หญิงที่ผ่านมามีคนตราหน้าว่าสองใจ (รื่นฤทัย สัจจพันธุ์, 2565, น. 142 - 143) โดยเป็นการตีความโดยนำแนวคิดสตรีนิยมมาตีความ ด้วยมุมมองใหม่เพื่อต่อต้านระบบชายเป็นใหญ่ในสังคมไทย เป็นการสะท้อนแนวความคิดให้เห็นถึง การเปลี่ยนแปลงที่ผู้หญิงจะไม่ถูกกดทับและไม่ถูกมองว่าเป็นเหตุแห่งปัญหาอีกต่อไป ชายหญิงมีอิสระ เสรีภาพเท่าเทียมกัน ทั้งเรื่องความสามารถ ศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นมนุษย์ แนวคิดด้านภาพสะท้อนสังคม เป็นจุดกำเนิดของการถ่ายทอดแนวความคิดจากรุ่นสู่รุ่น และ มีอิทธิพลต่อความคิด เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมนั้น ๆ รวมทั้งสภาพความเป็นอยู่ประเพณีวัฒนธรรม ความเชื่อค่านิยม ตลอดจนขนบธรรมเนียมของผู้ร่วมสังคม หรือแม้กระทั่งความคิดเห็น ความนึกคิด ที่ผู้เขียนเป็นผู้สร้างงานสนองความปรารถนาของผู้อ่านเสมอ เพราะผู้แต่งวรรณกรรมเป็นส่วนหนึ่ง ของสังคม จึงย่อมตกอยู่ใต้อิทธิพลของสังคม และวัฒนธรรมในยุคสมัยของตนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะนำวรรณกรรมที่มีความสำคัญในการสะท้อนแนวความคิดเพื่อมาศึกษา ตีความ รื้อสร้าง โดยให้ตัวละครหลัก อันได้แก่ นางละเวงวัณฬา และนางสุวรรณมาลี เป็นตัวแทน ในการสะท้อนให้เห็นมุมมองของสตรีในยุคสมัยนั้น เพื่อให้ผู้ชมได้เกิดมุมมองใหม่ในการรับชม วรรณกรรม เรื่องพระอภัยมณี ในมุมมองของผู้วิจัย
38 6. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง รุ่งนภา ฉิมพุฒ (2558) ศึกษาเรื่องแนวความคิดและรูปแบบในการแสดงนาฏยศิลป์ไทย สร้างสรรค์ เรื่องพระลอของ นราพงษ์ จรัสศรี ผลการศึกษาพบว่า ผลงานเรื่องนี้มีแนวความคิดในการรักษา แก่นและคุณค่าของวรรณกรรมลิลิตพระลอ ผ่านวัฒนธรรมการแสดงโดยใช้แนวความคิดเชิงสัญลักษณ์ และทฤษฎีทางทัศนศิลป์ผสมผสานกับนาฏยศิลป์ เพื่อสร้างสรรค์การแสดงที่เหมาะสมกับเยาวชน ตามองค์ประกอบการแสดงที่สำคัญ ได้แก่ 1) บทการแสดง สื่อความรักตามแก่นเรื่องลิลิตพระลอ และ การลดทอนความรุนแรงของบทเพื่อสื่อสารกับเยาวชน 2) ลีลาการแสดง มีรูปแบบที่เป็นธรรมชาติ ไม่ซับซ้อนแต่สื่อความหมายชัดเจน 3) เครื่องแต่งกาย คำนึงถึงความเหมาะสมของท้องเรื่องและ บทบาทของตัวละคร 4) ดนตรีและเสียง ใช้ดนตรีที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมท้องถิ่นตามเนื้อเรื่อง ได้แก่ ดนตรีล้านนา การจ๊อย การเอื้อนเสียงกล่อมลูก และการอ่านบทด้วยน้ำเสียงเรียบเพื่อสื่อความไพเราะ ของบทประพันธ์ 5) ฉากและอุปกรณ์การแสดง ใช้ผู้แสดงเป็นฉากและนำวัสดุอุปกรณ์ที่สื่อความเป็น ท้องถิ่นล้านนามาใช้ โดยใช้ความคิดเชิงสัญลักษณ์ในการสื่อความหมายที่เข้าใจง่าย 6) พื้นที่การแสดง นำความรู้ด้านองค์ประกอบของภาพ และความสำคัญของตำแหน่งตัวละครมาใช้ ในการออกแบบ ทำให้การแสดงมีเอกภาพ มีความหลากหลาย และเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน 7) แสง เน้นแสงที่เป็นธรรมชาติ เพื่อสร้างอารมณ์และบรรยากาศของการแสดง 8) นักแสดง ใช้นักแสดงที่มีทักษะ ความสามารถ เหมาะสมกับวัยและบทบาทที่ได้รับ แนวความคิดซึ่งถ่ายทอดผ่านการแสดงดังกล่าวทำให้สามารถ รักษาแก่นและคุณค่าของวรรณกรรมลิลิตพระลอที่สามารถสื่อสารกับเยาวชนได้ดี จุลชาติ อรัณยะนาค (2557) วิทยานิพนธ์เรื่อง เอกลักษณ์ไทยในงานนาฏยศิลป์ไทยสร้างสรรค์ “นารายณ์อวตาร” พ.ศ.2546 ของ นราพงษ์ จรัสศรี ผู้วิจัยศึกษารูปแบบและแนวคิดในการสร้างสรรค์ เอกลักษณ์ไทยในงานนาฏยศิลป์ไทยสร้างสรรค์ “นารายณ์อวตาร” พ.ศ. 2546 ของนราพงษ์ จรัสศรี ที่จัดแสดงขึ้นระหว่างวันที่ 2 - 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2546 ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เพื่อเป็น แนวทางในการสร้างงานนาฏยศิลป์ไทยแบบสร้างสรรค์ให้เป็นเครื่องมือในการอนุรักษ์มรดก ทางนาฏยศิลป์และวรรณกรรมของชาติสำหรับคนรุ่นใหม่ โดยมีเครื่องมือ 6 ชนิดที่ใช้ในการวิจัย ในครั้งนี้ คือ การสำรวจข้อมูลเชิงเอกสาร การสัมภาษณ์ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างงานนาฏยศิลป์ แบบสร้างสรรค์ การมีส่วนร่วมในงานสัมมนา สื่อสารสนเทศอื่น ๆ การสำรวจข้อมูลภาคสนาม และ เกณฑ์มาตรฐานศิลปินต้นแบบ การเก็บข้อมูลได้ดำเนินการอยู่ในช่วงของเดือนมกราคม 2554 ถึง เดือนกุมภาพันธ์ 2555 ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการแสดงนาฏยศิลป์ไทยสร้างสรรค์ “นารายณ์อวตาร”
39 ประกอบไปด้วย 1) บทการแสดง 2) การออกแบบลีลา 3) การออกแบบเครื่องแต่งกาย 4) การออกแบบ ดนตรี 5) การออกแบบพื้นที่เวที 6) การออกแบบแสง 7) การออกแบบอุปกรณ์ประกอบการแสดง 8) นักแสดง และแนวคิดในการสร้างเอกลักษณ์ไทยในงานนาฏยศิลป์ไทยสร้างสรรค์“นารายณ์อวตาร” พ.ศ. 2546 ประกอบด้วย 1) สะท้อนถึงเอกลักษณ์ไทยเพื่อการอนุรักษ์ 2) การใช้สัญลักษณ์เพื่อสร้าง เอกลักษณ์ไทย 3) การใช้ทฤษฎีทางด้านนาฏยศิลป์และทัศนศิลป์เพื่อสร้างเอกลักษณ์ไทย 4) การใช้ ความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรมเพื่อเสริมเอกลักษณ์ไทย 5) สะท้อนสภาพสังคมไทย 6) คำนึงถึง การสร้างสรรค์เพื่อสร้างเอกลักษณ์ไทย 7) สะท้อนคุณธรรมที่ยอมรับกันในสังคมไทย 8) การสร้าง อรรถรสในการแสดงเพื่อสร้างเอกลักษณ์ไทย 9) คำนึงถึงการสื่อสารเพื่อสร้างเอกลักษณ์ไทย 10) สร้างจิตสำนึกในด้านเอกลักษณ์ไทยให้กับคนรุ่นใหม่ ตรงตามวัตถุประสงค์งานวิจัยทุกประการ ภัทริยา วิริยะศิริวัฒนะ (2558) ศึกษาเรื่องการวิเคราะห์การเล่าเรื่องในภาพยนตร์ เรื่อง Les Miserables การศึกษาเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อวิเคราะห์รูปแบบการเล่าเรื่องของภาพยนตร์ เรื่อง Les Miserables (2012) 2) เพื่อศึกษาสัมพันธภาพระหว่างบริบททางสังคมของภาพยนตร์ กับการสร้างตัวละคร เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพในแบบการวิเคราะห์จากตัวบท (Texiual Analysis) โดยใช้รูปแบบกระบวนการ Interpretive Analysis ในของการตีความหมายด้วยตนเองผลการวิจัย ในครั้งนี้ พบว่ารูปแบบการเล่าเรื่องในภาพยนตร์เรื่อง Les Miserables มีเรื่องราวที่ผสมผสาน เรื่องราวของความรัก คุณค่าของความดี ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน ผ่าน การเล่าเรื่องแบบรู้รอบด้าน ที่รู้ซึ้งข้อจำกัดทางด้านเวลา นอกจากนี้ผู้วิจัย พบว่าบริบททางสังคมที่ได้มี การนำเสนอจะแตกต่างไปจากปัจจุบันมากเพียงใด สิ่งที่กล่าวมาไม่ใช่ข้อจำกัดในการนำเสนอ เพราะ จากการเปรียบเทียบระหว่างบริบททางสังคมภายในภาพยนตร์และในเหตุการณ์ของโลกแห่งความเป็นจริง กลับทำให้ผู้วิจัยได้เรียนรู้ว่ามนุษย์คงเผชิญกับเหตุการณ์ที่เป็นเหมือนวัฏจักร หรือวงจรที่รอเวลา จะหมุนวนกลับมาบรรจบอีกครั้ง ณัฐพร เพ็ชรเรือง (2561) ศึกษาเรื่อง การสร้างสรรค์นาฏศิลป์ไทยสร้างสรรค์ : วัฏสงสาร มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อสร้างสรรค์ผลงานนาฏศิลป์ไทยสร้างสรรค์ ชุดวัฏสงสาร โดยเป็นงานวิจัย เชิงสร้างสรรค์และงานวิจัยเชิงคุณภาพ ผลการวิจัยพบว่า ผู้วิจัยสามารถสร้างสรรค์การแสดง นาฏศิลป์ไทยสร้างสรรค์ได้อย่างบรรลุวัตถุประสงค์ โดยมีองค์ประกอบการสร้างสรรค์การแสดงรวม 6 องค์ประกอบ คือ 1) บทบาทการแสดง 2) นักแสดง ที่มีความสามารถด้านการแสดงและสื่ออารมณ์ 3) เพลง เป็นการผสมผสานดนตรีไทยและตะวันตก 4) เครื่องแต่งกาย ตีความรูปแบบและตีกรอบ
40 ตามสัญญะวิทยา 5) อุปกรณ์การแสดง ใช้เครื่องประดับพันศีรษะและผ้าพันร่างกาย โดยตีกรอบ ตามแนวคิดสัญญะวิทยา 6) ท่าแปรแถว และการออกแบบพื้นที่ เป็นการใช้ท่านาฏศิลป์ไทย และ นาฏศิลป์สร้างสรรค์ จากการศึกษาครั้งนี้ ส่งผลให้ผู้ชมการแสดงเกิดความเข้าใจในการสื่อสารการแสดง ทั้งยังได้แง่คิดจากการแสดงสร้างสรรค์ชุดนี้ตรงตามวัตถุประสงค์การวิจัยทุกประการ รื่นฤทัย สัจจพันธุ์ (2565) ศึกษาเรื่อง เมื่อเสภาขุนช้างขุนแผน ถูกรื้อสร้างใหม่ เป็นวันทอง เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนเป็นวรรณกรรมเอกของไทย มีพัฒนาการจากวรรณกรรมมุขปาฐะสู่วรรณกรรม ลายลักษณ์จากวรรณกรรมชาวบ้านสู่วรรณกรรมราชสำนัก จากวรรณคดีสู่ศิลปะรูปแบบอื่น และจาก สมัยอยุธยาจนถึงสมัยปัจจุบัน ละครโทรทัศน์เรื่องวันทอง ซึ่งออกอากาศทางช่องวัน ช่วงเดือนมีนาคมถึง เมษายน 2564 ได้นำเสนอด้วยจุดมุ่งหมายจะยืนยันว่าวันทองไม่ใช่หญิงสองใจ และนำเสนอการต่อสู้ เพื่อเรียกร้องสิทธิ เสรีภาพของผู้หญิงและความเท่าเทียมกับผู้ชายตามแนวคิดสตรีนิยม เมื่อ วิเคราะห์ละครเรื่องนี้ด้วยแนวคิดการรื้อสร้างใหม่ พบว่ามีการปรับเปลี่ยนหลายประการที่ทำให้ จุดมุ่งหมายดังกล่าวสัมฤทธิ์ผล แต่การปรับเปลี่ยนตอนจบของเรื่องอย่างพลิกความคาดหมายกลับ สร้างความล้มเหลวต่อการส่ง “สาร” ของเรื่องตามที่ตั้งจุดมุ่งหมายไว้แต่ต้น
41 7. กรอบแนวคิดการวิจัย จากการทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ผู้วิจัยได้สังเคราะห์ และออกแบบกรอบแนวคิดการวิจัย ดังนี้ ที่มา : ผู้วิจัย ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย ที่มา: ผู้วิจัย ศึกษาบทวรรณกรรม เรื่องพระอภัยมณี ตอนหึงหน้าป้อม แนวคิดสตรีนิยม แนวคิดการตีความ แนวคิดการรื้อสร้าง แนวคิดสัญญะและมายาคติ แนวคิดเรื่องเงาสะท้อน กระบวนการสร้างสรรค์ บทละคร ดนตรีประกอบการแสดง การคัดเลือกผู้แสดง ลีลานาฏศิลป์ เครื่องแต่งกาย อุปกรณ์ประกอบการแสดง พื้นที่เวทีและฉากการแสดง แสง เสียง และเทคนิคพิเศษ การสร้างสรรค์ละคร เรื่อง “เงาสะท้อน”
บทที่ 3 วิธีการด าเนินการวิจัย การวิจัย เรื่อง เงาสะท้อน ละเวงวัณฬา – สุวรรณมาลี: การตีความและการผสมผสานรูปแบบ การแสดงสร้างสรรค์จากเรื่องพระอภัยมณีผู้วิจัยออกแบบการแสดงโดยการคิดค้นกระบวนลีลาท่าร า และท่าเต้นแบบใหม่ที่ผสมผสานนาฏศิลป์ไทยและนาฏศิลป์ตะวันตกร่วมกัน สะท้อนให้เห็น การเปลี่ยนแปลงในเรื่องของความสามารถ ความเท่าเทียมกันระหว่างชายและหญิง คุณค่าและศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ การสร้างการแสดงสร้างสรรค์ในครั้งนี้น าเสนอในรูปแบบของสื่อวีดิทัศน์และช่องทางสื่อสังคม ออนไลน์ยูทูบ (YouTube) เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายรับชม เป็นการสร้างมิติใหม่ในการน าเสนอการแสดง สร้างสรรค์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่ต้องรักษาระยะห่าง อีกทั้งยังเป็นการท าให้การแสดง สร้างสรรค์สามารถเข้าถึงผู้ชมได้อย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น โดยการศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed - Method) ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ในการเก็บรวบรวม ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง น ามาวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการสร้างละคร ผ่านกระบวนการ สร้างสรรค์และกระบวนการสนทนากลุ่ม (Focus Group) จากนั้นใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ในการประเมินผลของการสร้างสรรค์ละคร เพื่อประเมินผลความคิดเห็น ต่อการแสดงสร้างสรรค์ สามารถแบ่งรายละเอียดได้ ดังนี้ 1. กลุ่มบุคคลผู้ให้ข้อมูล 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3. แผนการด าเนินการวิจัย 4. การเก็บรวบรวมข้อมูลและจัดกระท าข้อมูล 4.1 การเก็บรวบรวมข้อมูล 4.2 กระบวนการสร้างสรรค์ละคร เรื่อง “เงาสะท้อน” 5. การตรวจสอบข้อมูล 6. การวิเคราะห์ข้อมูล
43 7. การสรุปและน าเสนอข้อมูล 1. กลุ่มบุคคลผู้ให้ข้อมูล กลุ่มบุคคลผู้ให้ข้อมูล ในการสร้างสรรค์ละคร เรื่อง “เงาสะท้อน” สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.1 กลุ่มผู้ให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการสร้างสรรค์การแสดงด้านนาฏศิลป์ไทย นาฏศิลป์สากล ศิลปะการแสดงละครเวที ด้านดนตรี (ละครเวที) ด้านแสง (ละครเวที) ด้านการออกแบบเครื่องแต่งกาย โดยในการวิจัยครั้งนี้ใช้วิธีการคัดเลือกตัวอย่างผู้ให้ข้อมูลหลักด้วยวิธีการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) แบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม มีรายละเอียดดังนี้ 1.1.1 กลุ่มผู้ให้ข้อมูลด้านนาฏศิลป์ไทย โดยคุณสมบัติของผู้ให้ข้อมูล คือ เป็นครู อาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์ไทย มีประสบการณ์ในการแสดงด้านนาฏศิลป์ไทยไม่ต่ ากว่า 30 ปี รวมถึงมีประสบการณ์ในการร่วมชมการแสดงสร้างสรรค์อย่างหลากหลาย 1.1.1.1 นางรัจนา พวงประยงค์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (นาฎศิลป์ไทย) พุทธศักราช 2554 นักวิชาการละครและดนตรี (นาฏศิลป์ไทย –ละครนาง) สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ 1.1.1.2 รองศาสตราจารย์ ดร. ศุภชัย จันทร์สุวรรณ์ ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (นาฏศิลป์ไทย) พุทธศักราช 2548 นักวิชาการละครและดนตรี (นาฏศิลป์ไทย – โขนพระ) สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ 1.1.2 กลุ่มผู้ให้ข้อมูลด้านนาฏศิลป์สากล โดยคุณสมบัติของผู้ให้ข้อมูล คือ เป็นครู อาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์สากล มีประสบการณ์ในการแสดงด้านนาฏศิลป์ไม่ต่ ากว่า 30 ปี รวมถึงมีประสบการณ์ในการร่วมชมการแสดงสร้างสรรค์อย่างหลากหลาย 1.1.2.1 ท่านผู้หญิงวราพร ปราโมช ณ อยุธยา ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (นาฏศิลป์สากล) พุทธศักราช 2560 1.1.2.2 อาจารย์เต็มเดือน เกษะโกมล ผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์ตะวันตก สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์
44 1.1.3 กลุ่มผู้ให้ข้อมูลด้านศิลปะการแสดงละครเวทีโดยคุณสมบัติของผู้ให้ข้อมูล คือ เป็นครู อาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะการแสดงละครเวทีเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ด้านศิลปะการแสดง ละครเวทีรวมถึงการมีประสบการณ์ในการร่วมจัดการแสดงหรือร่วมชมการแสดงละคร 1.1.3.1 ศาสตราจารย์พรรัตน์ ด ารุง ภาคีสมาชิกราชบัณฑิต และอดีตอาจารย์ประจ าภาควิชา ศิลปะการละคร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 1.1.3.2 นางสาวสุวรรณดี จักราวรวุธ ศิลปินศิลปาธร สาขาศิลปะการแสดง ประจ าปี 2560 1.1.4 กลุ่มผู้ให้ข้อมูลด้านดนตรี (ละครเวที) โดยคุณสมบัติของผู้ให้ข้อมูล คือ เป็นครู อาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรี (ละครเวที) เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ด้านดนตรีในการแสดงละครเวที รวมถึงการมีประสบการณ์ในการร่วมจัดการแสดงดนตรี (ละครเวที) หรือร่วมชมการแสดงสร้างสรรค์ 1.1.4.1 รองศาสตราจารย์ ดร.ณรงค์ชัย ปิฎกรัชต์ อาจารย์ประจ าสาขาวิชาดนตรีวิทยา มหาวิทยาลัยมหิดล อาจารย์พิเศษและผู้ทรงคุณวุฒิ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กรรมการสภามหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ 1.1.4.2 นายอภิสิทธิ์ วงศ์โชติ ผู้ประพันธ์เพลง ผู้อ านวยเพลง ผู้ควบคุมวงดนตรีอิสระ 1.1.5 กลุ่มผู้ให้ข้อมูลด้านการจัดแสง (ละครเวที) โดยคุณสมบัติของผู้ให้ข้อมูล คือ เป็นครู อาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดแสง (ละครเวที) เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ด้านแสงในการแสดง ละครเวทีรวมถึงการมีประสบการณ์ในการร่วมจัดแสง (ละครเวที) หรือร่วมชมการแสดงสร้างสรรค์ 1.1.5.1 อาจารย์สุพัตรา เครือครองสุข อาจารย์พิเศษด้านการออกแบบแสง ภาควิชาศิลปะการละคร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 1.1.5.2 นายปรากรม์ กาญจนศรีสุขกุล ผู้จัดการฝ่ายออกแบบแสง บริษัท ไลท์ซอร์ส จ ากัด
45 1.1.6 กลุ่มผู้ให้ข้อมูลด้านการออกแบบเครื่องแต่งกาย โดยคุณสมบัติของผู้ให้ข้อมูล คือ เป็นครู อาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบเครื่องแต่งกายเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ด้านการออกแบบ เครื่องแต่งกาย ในการแสดงละครเวทีรวมถึงการมีประสบการณ์ในการร่วมจัดการออกแบบเครื่องแต่งกาย หรือร่วมชมการแสดงสร้างสรรค์ 1.1.6.1 นายพิสิฐ จงนรังสินแห่ง เจ้าของห้องเสื้อ Tube Gallery 1.1.6.2 นายเจษฎากรณ์ เอี่ยมอุไร เจ้าของห้องเสื้อ รามลักษณ์ 1.2 กลุ่มผู้ให้ข้อมูลในการประชุมสนทนากลุ่มย่อย (Focus group) เพื่อยืนยันความเหมาะสม ของการสร้างสรรค์ละคร เรื่อง “เงาสะท้อน” โดยมีเกณฑ์ในการคัดเลือก คือ ผู้เชี่ยวชาญจะต้อง เป็นผู้ที่มีสถานะเป็นครู อาจารย์ หรือศิลปินที่มีความรู้และจะต้องมีความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขา ที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบการสร้างสรรค์การแสดงอย่างน้อย 10 ปี ผู้เชี่ยวชาญที่ร่วมสนทนากลุ่ม จ านวน 7 คน โดยมีอาจารย์ที่ปรึกษา และคณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์เข้าร่วมการสนทนากลุ่ม ในครั้งนี้ ดังนี้ 1.2.1 รองศาสตราจารย์ ดร.เสาวณิต วิงวอน ข้าราชการบ านาญ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวรรณกรรม อาจารย์พิเศษ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อาจารย์พิเศษ หลักสูตรศิลปดุษฎีบัณฑิต และหลักสูตรศิลปมหาบัณฑิต สาขาวิชานาฏศิลป์ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ 1.2.2 อาจารย์รัตติยะ วิกสิตพงศ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (นาฏศิลป์ไทย) พุทธศักราช 2560 นักวิชาการละครและดนตรี(นาฏศิลป์ไทย -ละครพระ) สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ 1.2.3 อาจารย์นฤมัย ไตรทองอยู่ นักวิชาการละครและดนตรี(นาฏศิลป์ไทย -ละครพระ) สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ 1.2.4 อาจารย์เต็มเดือน เกษะโกมล ผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์ตะวันตก สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ 1.2.5 รองศาสตราจารย์ ดร.ณรงค์ชัย ปิฎกรัชต์ อาจารย์ประจ าสาขาวิชาดนตรีวิทยา มหาวิทยาลัยมหิดล อาจารย์พิเศษและผู้ทรงคุณวุฒิ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์
46 กรรมการสภามหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ 1.2.6 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อัควิทย์ เรืองรอง อาจารย์ที่ปรึกษาร่วมวิทยานิพนธ์ อาจารย์ประจ าสาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา อาจารย์พิเศษระดับบัณฑิตศึกษาสาขา วิชาพัฒนศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาจารย์พิเศษ หลักสูตรศิลปดุษฎีบัณฑิต และหลักสูตรศิลปมหาบัณฑิต สาขาวิชานาฏศิลป์ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ 1.2.7 รองศาสตราจารย์ ดร.จินตนา สายทองค า ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสร้างสรรค์นาฏศิลป์ไทย คณบดีคณะศิลปนาฏดุริยางค์ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ 1.3 กลุ่มผู้ให้ค าปรึกษาด้านเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย โดยผู้วิจัยได้น าเครื่องมือที่ใช้ใน การศึกษา ปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษาหลักและอาจารย์ที่ปรึกษาร่วม เพื่อให้เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษานั้น มีความน่าเชื่อถือ จ านวน 2 คน ได้แก่ 1.3.1 รองศาสตราจารย์ ดร. ศุภชัย จันทร์สุวรรณ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (นาฏศิลป์ไทย) พุทธศักราช 2548 อาจารย์ที่ปรึกษาหลักวิทยานิพนธ์ นักวิชาการละครและดนตรี(นาฎศิลป์ไทย – โขนพระ) สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ 1.3.2 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อัควิทย์ เรืองรอง อาจารย์ที่ปรึกษาร่วมวิทยานิพนธ์ อาจารย์ประจ าสาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา อาจารย์พิเศษระดับบัณฑิตศึกษาสาขา วิชาพัฒนศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาจารย์พิเศษ หลักสูตรศิลปดุษฎีบัณฑิต และหลักสูตรศิลปมหาบัณฑิต สาขาวิชานาฏศิลป์ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์
47 1.4 กลุ่มผู้ให้ข้อมูลด้านการตอบแบบสอบถามประเมินผลความคิดเห็นต่อการสร้างสรรค์ ละคร เรื่อง “เงาสะท้อน” โดยใช้วิธีการคัดเลือกการสุ่มตัวอย่างแบบง่ายจากนักศึกษา สถาบันบัณฑิต พัฒนศิลป์ ที่ได้รับชมการสร้างสรรค์ละคร เรื่อง “เงาสะท้อน” จ านวน 400 คน เนื่องจากเป็นผู้ที่มี ความรู้ด้านนาฏศิลป์เป็นอย่างดี โดยก าหนดคุณสมบัติของผู้ตอบแบบแบบสอบถามประเมินผล ความคิดเห็นต่อการสร้างสรรค์ละคร ดังนี้ 1) เป็นนักศึกษา สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ 2) ได้รับชมการสร้างสรรค์ละคร เรื่อง “เงาสะท้อน” 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ในการด าเนินการวิจัยการสร้างสรรค์ละคร เรื่อง “เงาสะท้อน” มีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ทั้งหมด 3 แบบ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 2.1 แบบสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์เกี่ยวข้องกับการแสดงละครสร้างสรรค์ 2.2 แบบบันทึกข้อมูลในการประชุมกลุ่มย่อย เพื่อยืนยันคุณภาพความเหมาะสมของละคร เรื่อง “เงาสะท้อน” 2.3 แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ชมที่มีต่อละคร เรื่อง “เงาสะท้อน” เครื่องมือในการวิจัยข้างต้นนี้ ผู้วิจัยได้ออกแบบและมีขั้นตอนการพัฒนาเครื่องมือ ดังต่อไปนี้ 1) ศึกษาเอกสาร งานวิจัย และจัดจ าแนกข้อมูลออกเป็นหมวดหมู่ 2) ก าหนดรูปแบบของเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย 3) ก าหนดประเด็นในการสัมภาษณ์และสอบถาม 4) ตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์หลัก และอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ร่วม เพื่อตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาและ ความครอบคลุมของประเด็นที่ต้องการศึกษา 5) ปรับแก้ไขตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษา 6) น าเครื่องมือไปใช้เก็บรวบรวมข้อมูล
48 3. แผนการด าเนินการวิจัย ตารางที่ 2 แผนการด าเนินการวิจัย กิจกรรม เดือนที่ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 1. หัวข้อวิทยานิพนธ์ได้รับการอนุมัติ 2. ลงพื้นที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับวิทยานิพนธ์ 3. รวบรวมข้อมูลและกระท าข้อมูล 4. ก าหนดแนวคิดและรูปแบบการแสดง 5. สร้างสรรค์องค์ประกอบการแสดงเรื่อง “เงาสะท้อน” 6. น าเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิ ประชุม สนทนากลุ่มย่อย 7. การพัฒนางานจากข้อเสนอแนะผู้เชี่ยวชาญและ ผู้ทรงคุณวุฒิ 8. น าเสนอผลการสร้างสรรค์ละคร เรื่อง “เงาสะท้อน” ต่อสาธารณชน 9. การสรุปผลการแสดง 10.จัดท ารูปเล่มฉบับสมบูรณ์ และเผยแพร่ ที่มา: ผู้วิจัย 4. การเก็บรวบรวมข้อมูลและการจัดการท าข้อมูล 4.1 การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ด าเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลทางวิชาการและข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ส าหรับ การศึกษาในครั้งนี้ เพื่อให้ข้อมูลดังกล่าวครอบคลุมประเด็นและเนื้อหาที่ท าการศึกษาโดยมีการตรวจสอบ ข้อมูลเป็นระยะเพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลที่ได้ศึกษามีความถูกต้องตรงตามวัตถุประสงค์การวิจัย โดยใช้ วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้ 4.1.1 เก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร (Document) ผู้วิจัยค้นคว้าข้อมูลจากหนังสือ ต ารา เอกสารทางวิชาการ งานวิจัย วิทยานิพนธ์ บทความ ซึ่งเป็นเอกสารทางวิชาการที่มีการศึกษา และค้นคว้ามาแล้วอย่างละเอียด สามารถแบ่งตามขอบเขตของเนื้อหาได้ดังนี้
49 4.1.1.1 ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบ และวิวัฒนาการของการแสดงเรื่อง พระอภัยมณีในอดีตที่ผ่านมาจากหนังสือ ต ารา เอกสารทางวิชาการ งานวิจัย วิทยานิพนธ์ และการแสดง ที่ปรากฏสื่อสังคมออนไลน์ เช่น 1) วรรณกรรมเรื่อง พระอภัยมณี ฉบับหอสมุดแห่งชาติ 2) การแสดงเรื่องแต่งองค์ทรงเครื่องนางละเวง วันที่ 7 ตุลาคม 2554 ณ โรงละครแห่งชาติ 3) การแสดงละครนอก เรื่องพระอภัยมณี ตอน พระอภัยมณีเกี้ยวนางละเวง วันที่ 16–19 มิถุนายน 2548 ณ โรงละครแห่งชาติ เนื่องในวาระ 104 ปี ครูมนตรี ตราโมท 4) การแสดงละครนอก เรื่องพระอภัยมณี ตอนพระอภัยมณีเกี้ยวนางละเวง 23 พฤษภาคม 2558 ณ โรงละครแห่งชาติ เนื่องในโอกาสฉลองอายุ 89 ปี ครูสุวรรณี ชลานุเคราะห์ ศิลปินแห่งชาติ พุทธศักราช 2533 สาขาศิลปะการแสดง (นาฏศิลป์ – ละครร า) 4.1.1.2 ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับแนวคิดและทฤษฎีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง 1) แนวคิดเกี่ยวกับวรรณกรรมเรื่องพระอภัยมณี 2) แนวคิดเรื่องนาฏศิลป์ไทยและนาฏศิลป์สร้างสรรค์ 3) แนวคิดเรื่องสตรีนิยม 4) แนวคิดเกี่ยวกับการตีความ 5) แนวคิดเรื่องเงาสะท้อน 4.1.2 เก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์ 4.1.2.1 ผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการสร้างสรรค์การแสดง ด้านนาฏศิลป์ไทย นาฏศิลป์ สากล ศิลปะการแสดงละครเวที ด้านดนตรี ด้านแสง (ละครเวที) ด้านการออกแบบเครื่องแต่งกาย 4.1.2.2 กลุ่มผู้เชี่ยวชาญในการประชุมสนทนากลุ่มย่อย (Focus group) 4.1.2.3 กลุ่มผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิในการตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ใน การวิจัย 4.1.2.4 กลุ่มผู้ให้ข้อมูลด้านการตอบแบบสอบถามประเมินผลความคิดเห็น ต่อการแสดงสร้างสรรค์
50 4.2 กระบวนการสร้างสรรค์การแสดง เรื่อง “เงาสะท้อน” 4.2.1 การก าหนดแนวคิด การสร้างสรรค์การแสดง เรื่อง “เงาสะท้อน” โดยแนวคิด การด าเนินงานของผู้วิจัย มีดังนี้ การสร้างการแสดงสร้างสรรค์ เรื่อง “เงาสะท้อน” ผู้วิจัยแนวคิดการสร้างผลงานที่มี ความแตกต่างจากรูปแบบการแสดงที่เคยมีมา การน าความแตกต่างของวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรม ตะวันตกมาผสมผสานกันในด้านของศิลปะการแสดง โดยการเลือกวรรณกรรม เรื่อง พระอภัยมณี ตอนหึงหน้าป้อม ที่ผู้วิจัยเห็นว่ามีตัวละครหลัก 2 ตัวที่มีความแตกต่างทางเชื้อชาติแต่เก่งกล้าสามารถ ในการปกครองเมืองและการออกรบ แต่ถูกมองว่าต้องท าสงครามเพราะหึงหวงและแย่งชิงผู้ชาย การตีความใหม่ผ่านแนวคิดทฤษฎีการตีความ การรื้อสร้าง การสะท้อน สัญญะและมายาคติ และสตรีนิยม สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของสังคมที่ผู้หญิงจะไม่แย่งชิงผู้ชายเพราะความหึงหวง อีกต่อไป และผู้วิจัยเลือกนักแสดงผู้ชายล้วนในการแสดง เพื่อให้รูปแบบการแสดงสร้างสรรค์มีความงดงาม เนื่องจากตัวละครหลัก ได้แก่ นางละเวงวัณฬาและนางสุวรรณมาลีนั้น มีศักดิ์เป็นกษัตริย์และแม่ทัพ ผู้เก ่งกล้า ดังนั้น การที ่นักแสดงเป็นผู้ชายจะสามารถถ ่ายทอดบทบาทของความเป็นผู้น าที ่มี ความเข้มแข็งได้อย่างดี ท าให้การแสดงนั้นมีความสวยงามและสมบูรณ์แบบ 4.2.2 การเตรียมการสร้างสรรค์ละคร ผู้วิจัยรวบรวมองค์ความรู้ เก็บรวบรวมข้อมูล จากเอกสาร ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับความหมาย ความเป็นมา รูปแบบ และวิวัฒนาการของละครร้อง จากหนังสือต ารา เอกสารทางวิชาการ งานวิจัย วิทยานิพนธ์ ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ แนวคิดและทฤษฎีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์นาฏศิลป์ การละคร ศึกษาจากหนังสือ งานวิจัย และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์ และการสังเกตการณ์ วางแผนกับอาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อก าหนดวัตถุประสงค์ รูปแบบ ตลอดจนองค์ประกอบในการสร้างละครให้มีความชัดเจน 4.2.3 การก าหนดรูปแบบและองค์ประกอบการแสดงให้มีความชัดเจน เพื่อให้มีแนวทาง ในการสร้างองค์ประกอบการแสดงให้ครบถ้วนและมีความสมบูรณ์ ผู้วิจัยได้ก าหนดรูปแบบและ องค์ประกอบการสร้างสรรค์ละคร เรื่อง “เงาสะท้อน” โดยการบูรณาการทั้งรูปแบบการร้อง การเต้น การร า รวมถึงการน าเทคนิคแสง เสียง เทคนิคพิเศษมาประกอบการสร้างสรรค์ละคร ซึ่งการก าหนด รูปแบบและองค์ประกอบละครสร้างสรรค์นี้ จะเป็นแนวทางในการสร้างสรรค์องค์ประกอบให้ครอบคลุม แนวคิดที่ผู้วิจัยก าหนดไว้ รายละเอียดการก าหนดรูปแบบ และองค์ประกอบ อธิบายได้ตามตาราง ต่อไปนี้
51 ตารางที่ 3 การก าหนดรูปแบบและองค์ประกอบการสร้างสรรค์ละคร เรื่อง “เงาสะท้อน” องค์ประกอบการแสดง การสร้างสรรค์ละครเรื่อง “เงาสะท้อน” บทละคร • น าบทวรรณกรรม เรื่องพระอภัยมณี ตอนหึงหน้าป้อม มาตีความหมาย ใหม่ให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในมุมมองของตัวละครให้สอดคล้องกับยุค สมัยและบริบทสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงไป • การสะท้อนเรื่องความเท่าเทียมกันเรื่องของสิทธิ ความเสมอภาค รวมไป ถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ • สร้างบทละครที่มีความหมายใหม่ โดยมีเค้าโครงจากวรรณกรรมเดิม เพื่อให้ผู้ชมสามารถเชื่อมโยงเรื่องราวของการแสดงสร้างสรรค์กับบท วรรณกรรมเดิม ดนตรี ประกอบการแสดง • การสร้างสรรค์ละคร มีการสร้างสรรค์ดนตรีและเนื้องร้องขึ้นมาใหม่ โดยเนื้อ เรื่องเดิมยังคงอยู่แต่จะมีการสร้างขึ้นใหม่จากการตีความในรูปแบบที่ ผู้วิจัยศึกษาและต้องการน าเสนอ • ก าหนดลักษณะดนตรีแบบตะวันตกและแบบไทย เพื่อน าเสนอดนตรี หลากหลายรูปแบบ เช่น การเล่าเรื่องโดยไม่ใช้ดนตรีเป็นรูปแบบอคาเปลลา (Acappella) การเล่าเรื่องที่ใช้เสียงร้องของนักร้องเป็นคอรัส • การใช้ดนตรี 2 แบบ ในการด าเนินเรื่อง เพื่อดึงเอกลักษณ์ของไทยและ ตะวันตกออกมาน าเสนอผ่านดนตรี ผู้แสดง • นักแสดงผู้ชายทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงการมีพลัง ความเข้มแข็ง และ ความแข็งแกร่งในท่วงท่าการแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว ลีลานาฏศิลป์ • ศิลปะการแสดงที่สะท้อนให้เห็นความเด่นชัดในเรื่องของศิลปะการแสดงที่มี ความแตกต่างกันแต่สามารถน ามาผสมผสานกันได้ • กระบวนลีลาท่าร าใหม่ เพื่อให้เห็นถึงความแตกต่าง ดึงเสน่ห์ของ ตะวันตกและไทยออกมาเพื่อให้เห็นอย่างชัดเจนในความงดงามของ ศิลปะการแสดงแต่ละประเภท และน ามาผสมผสานให้เกิดความกลมกลืน เครื่องแต่งกาย • เครื่องแต่งกายมีความสมจริงกับบทบาทของตัวละคร และมีความเหมาะสม กับลักษณะทางกายภาพของผู้แสดง
52 ตารางที่ 3 การก าหนดรูปแบบและองค์ประกอบการสร้างสรรค์ละคร เรื่อง “เงาสะท้อน” (ต่อ) องค์ประกอบการแสดง การสร้างสรรค์ละครเรื่อง “เงาสะท้อน” • แสดงออกถึงวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมตะวันตก • การใช้สีและรูปแบบเครื่องแต่งกายที่เหมาะสมกับวรรณะกษัตริย์ อุปกรณ์ ประกอบการแสดง • อุปกรณ์ประกอบการแสดงมีความสอดคล้องกับเนื้อเรื่อง โดยมีการมุ่งเน้น เรื่องของการแตกต่างของวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมตะวันตก • อุปกรณ์ประกอบการแสดงเหมาะสมกับวรรณะของตัวละคร พื้นที่เวทีและฉาก ในการแสดง • มีความสมจริงตามบทละคร • น าเทคนิคพิเศษมาใช้เพื่อให้ฉากสามารถถ่ายทอดเรื่องราวตามบทได้ดีที่สุด แสง เสียง และเทคนิคพิเศษ • เพิ่มความรู้สึกให้แก่ผู้ชมให้เกิดอารมณ์คล้อยตามการสร้างสรรค์ละครที่จัดขึ้น • เสริมเครื่องแต่งกายและตัวละครให้โดดเด่น ที่มา: ผู้วิจัย 4.2.4 การก าหนดวัน และเวลาในการจัดแสดง โดยผู้วิจัยก าหนดเลือกวันพุธที่ 1 มีนาคม 2566 เพื่อน าเสนอผลงานการสร้างสรรค์ละคร เรื่อง “เงาสะท้อน” ต่อผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อประชุมกลุ่มย่อย (Focus Group) รับฟังข้อเสนอแนะ และก าหนดให้วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม 2566 เป็นวันน าเสนอ เผยแพร่ผลงานการสร้างสรรค์ละคร เรื่อง “เงาสะท้อน” ในรูปแบบวีดีทัศน์ผ่านระบบออนไลน์ 4.2.5 การฝึกซ้อมการแสดงละคร เรื่อง “เงาสะท้อน” จ าเป็นต้องมีการซ้อมหลายขั้นตอน เนื่องด้วยการสร้างละครสร้างสรรค์นั้นจะมีขั้นตอนการสร้างหลายขั้นตอน ซึ่งผู้วิจัยได้วางแผนการซ้อม ดังนี้ 4.2.5.1 การซ้อมอ่านบท โดยผู้วิจัยได้ก าหนดแผนในการฝึกซ้อม เพื่อให้นักแสดง ได้ด าเนินการอ่านบท 2 ครั้ง คือการอ่านบทเดี่ยวแยกแต่ละตัวละคร เพื่อผู้วิจัยจะอธิบายให้นักแสดงที่ได้รับ บทบาทแต่ละบทฟัง และท าความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้วิจัยต้องการให้นักแสดงถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึก ออกมาในลักษณะใดบ้าง และเมื่อผู้วิจัยอธิบายบทให้นักแสดงแต่ละคนเข้าใจเกี่ยวกับบท และรูปแบบ การแสดงสร้างสรรค์ที่ผู้วิจัยต้องการให้นักแสดงได้รับ ผู้วิจัยจะนัดนักแสดงทั้งหมดมาอ่านบทร่วมกัน เพื่อให้นักแสดงได้มีการท าความเข้าใจเกี่ยวกับบท การเชื่อมโยงระหว่างตัวละครแต่ละตัว รวมถึง การซักซ้อมความเข้าใจในเรื่องของการแสดงสร้างสรรค์เพื่อการสร้างความเข้าใจให้ตรงกันก่อนที่จะ เริ่มด าเนินการในขั้นตอนต่อไป
53 ภาพที่ 2 นักแสดงซ้อมอ่านบทละคร ที่มา: ผู้วิจัย 4.2.5.2 การซ้อมร้องเพลง การแสดงสร้างสรรค์ละคร เรื่อง “เงาสะท้อน” เป็น การแสดงที่มีการแสดงประกอบการร้องเพลง ดังนั้น ผู้วิจัยจึงต้องมีการฝึกซ้อมร้องเพลง เพื่อให้เป็นไป ในแนวทางที่ผู้วิจัยก าหนดให้เหมาะสมกับละครสร้างสรรค์ ก่อนที่นักแสดงจะบันทึกเสียงเพื่อใช้ ประกอบการแสดงสร้างสรรค์ เพื่อให้การถ่ายท าเป็นไปด้วยความราบรื่น แต่เนื่องด้วยนักแสดงที่ผู้วิจัย คัดเลือกมาเป็นผู้ที่มีความสามารถการร้องเพลง จึงท าให้กระบวนการนี้เป็นไปอย่างราบรื่น ภาพที่ 3 นักแสดงซ้อมร้องเพลง ที่มา: ผู้วิจัย
54 ภาพที่ 4 นักแสดงซ้อมร้องเพลงและบันทึกเสียง ที่มา: ผู้วิจัย 4.2.5.3 การซ้อมรายละเอียดท่าทางประกอบการแสดงและลักษณะของตัวละคร และการก าหนดพื้นที่และต าแหน่งตัวละคร การซ้อมเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน ภาพที่ 5 นักแสดงซ้อมรายละเอียดท่าทางประกอบการแสดงและลักษณะของตัวละคร ที่มา: ผู้วิจัย
55 ภาพที่ 6 ผู้วิจัยซ้อมรายละเอียดท่าทางประกอบการแสดงและลักษณะของตัวละคร ที่มา: ผู้วิจัย ภาพที่ 7 ผู้วิจัยซ้อมรายละเอียดท่าทางประกอบการแสดงและลักษณะของตัวละคร ที่มา: ผู้วิจัย
56 4.2.5.4 การซ้อมใหญ่ เป็นการซ้อมเหมือนการแสดงจริงทุกประการ เพื่อดูเรื่อง ของความสมบูรณ์การแสดง น าไปสู่การลดความผิดพลาดที่อาจะเกิดขึ้นระหว่างการแสดง ภาพที่ 8 การซ้อมใหญ่ ที่มา: ผู้วิจัย ภาพที่ 9 การซ้อมใหญ่ ที่มา: ผู้วิจัย
57 จากการก าหนดแนวคิดและรูปแบบการแสดงผู้วิจัยได้น ามาก าหนดกรอบการก าหนดแนวคิด และรูปแบบการแสดง ดังนี้ ภาพที่ 10 กรอบการก าหนดแนวคิดและรูปแบบการแสดง ที่มา: ผู้วิจัย การศึกษาข้อมูล
58 4.2.6 น าเสนอผลงานการสร้างสรรค์ละคร เรื่อง “เงาสะท้อน” ต่อผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อ ประชุมกลุ่มย่อย ตรวจสอบความเหมาะสมในการสร้างสรรค์ผลงานในทุกองค์ประกอบ โดยก าหนด เกณฑ์การคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิไว้ในหัวข้อ 1.2 ได้แก่ 4.2.6.1 รองศาสตราจารย์ ดร.เสาวณิต วิงวอน 4.2.6.2 อาจารย์รัตติยะ วิกสิตพงศ์ 4.2.6.3 อาจารย์นฤมัย ไตรทองอยู่ 4.2.6.4 อาจารย์เต็มเดือน เกษะโกมล 4.2.6.5 รองศาสตราจารย์ ดร.ณรงค์ชัย ปิฎกรัชต์ 4.2.6.6 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อัควิทย์ เรืองรอง 4.2.6.7 รองศาสตราจารย์ ดร.จินตนา สายทองค า ภาพที่ 11 คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในการประชุมกลุ่มย่อย (Focus Group) ที่มา: ผู้วิจัย จากการประชุมสนทนากลุ่มย่อย (Focus Group) วันที่ 1 มีนาคม 2566 ผู้ทรงคุณวุฒิได้ พิจารณาผลงานสร้างสรรค์เรื่อง “เงาสะท้อน” และได้ให้ข้อเสนอแนะ รายละเอียดตามตารางต่อไปนี้
59 ตารางที่ 4 ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิจากการประชุมกลุ่มย่อย (Focus Group) ล าดับ ชื่อ นามสกุล ต าแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ ข้อเสนอแนะ 1 รองศาสตราจารย์ ดร.เสาวณิต วิงวอน ข้าราชการบ านาญ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวรรณกรรม อาจารย์พิเศษ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อาจารย์พิเศษ หลักสูตรศิลปดุษฎีบัณฑิต และหลักสูตรศิลปมหาบัณฑิต สาขาวิชานาฏศิลป์ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ - ขอชื่นชมการสร้างสรรค์การแสดงที่สามารถท า ออกมาได้อย่างดี สามารถสะท้อนให้เห็นตาม วัตถุประสงค์การวิจัย - แนวคิดการท าการแสดงสร้างสรรค์ ผู้วิจัย สามารถก าหนดกรอบแนวคิดด้านการท าละคร ได้ดีอย่างน่าชื่นชม ในด้านบทละครที่ประพันธ์ ขึ้นใหม่นั้น ท าได้อย่างดีมาก เป็นการรื้อสร้าง อย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงการรื้อของเก่าออกทั้ง หมดแล้วไม่สร้างต่อ - ความน่าสนใจของงานชิ้นนี้คือ การรื้อสร้างที่ยัง มีกรอบความคิดของรูปแบบเดิมอยู่ เป็นสิ่งที่ น่าสนใจ เพราะจะท าให้ผู้ชมนั้น ยังคงสามารถ เชื่อมต่อข้อมูลที่ผู้ชมเคยมีมาในอดีต และเมื่อ ม า รับชมกา รแสดงส ร้างส รรค์ก็ส าม ารถ เชื่อมโยงข้อมูลจากสิ่งที่มีและสิ่งที่รื้อสร้าง ขึ้นมาใหม่ได้ไม่ยาก การสร้างบทละครใหม่ก็ ยังคงมีการน าบางส่วนที่เป็นบทประพันธ์เดิม มี การเปลี่ยนแปลง ลดเนื้อหา และที่ส าคัญยัง เป็นอนุรักษ์ของเดิมที่ดีอยู่แล้วให้ยังคงอยู่ - ตัวละครหลักที่มีความส าคัญยังอยู่ครบ ผู้วิจัย อ่านบทได้อย่างแตกฉาน เข้าใจตัวละคร เข้าใจ ตัวบทเดิม และมีวิธีการเลือกตัวละคร 2 ตัวหลัก ที่จะมาน าเสนอได้อย่างชาญฉลาด รวมถึงการ ออกแบบการแสดงให้ตัวละคร 2 ตัวหลัก ได้แก่ นางละเวงวัณฬา และนางสุวรรณมาลีให้มีการแสดง ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ตัวละครหลักทั้ง 2 ตัวนี้ มีชะตาชีวิตเดียวกัน คือการก าพร้าบิดา มี ความแข็งแกร่ง ต้องเป็นผู้ดูแลรักษาเมือง และ เป็นผู้น าทัพในการท าศึกสงคราม
60 ตารางที่ 4 ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิจากการประชุมกลุ่มย่อย (Focus Group) (ต่อ) ล าดับ ชื่อ นามสกุล ต าแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ ข้อเสนอแนะ - การที่ผู้วิจัยน าผู้ชายมาแสดงทั้งหมด ผู้ทรงคุณวุฒิ มีความเห็นว่าเป็นเรื่องของความแข็งแรงทางการ แสดงมากกว่าการที่ต้องให้ผู้ชายเข้าถึงความรู้สึก ของตัวละครอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นข้อเสนอแนะที่ ต้องการให้ผู้วิจัยน าไปปรับใช้ในการเขียน วิทยานิพนธ์ 2 อาจารย์รัตติยะ วิกสิตพงศ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (นาฏศิลป์ไทย) พุทธศักราช 2560 นักวิชาการละครและดนตรี (นาฏศิลป์ไทย-ละครพระ) สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ - จะมีข้อเสนอแนะให้ระวังเรื่องของรายละเอียด ของนักแสดง เช่น นางละเวงวัณฬาจะมีอาวุธ คู่กายคือ ตราราหู เนื่องจากเป็นสิ่งที่อยู่ประจ า กายอยากให้เน้นรายละเอียดด้านนี้เพื่อความ สมบูรณ์มากขึ้น หรือกรณีเสื้อผ้าที ่อาจจะมี บางชุดไม่เหมาะสมกับการเคลื่อนไหว - ตัวละครถ้าเป็นผู้หญิงก็จะเป็นการแสดงแบบนิ่ม เกินไป เพราะเป็นแบบการร าแบบไทย นาฏศิลป์ไทย ไม ่สามารถท าได้ละเอียดขนาดนี้ เนื ่องด้วย การรักษาขนบธรรมเนียม สร้างการเข้าพระเข้านาง ได้อย่างดี เพราะถ้าเป็นของไทยจะได้แค่แอบอิง ไม่สามารถมองได้ลึกซึ้ง สามารถท าให้เห็นภาพได้ การจัดฉาก แสงสี เข้ากับตัวเรื่องได้ดี อยากให้ใส่ ใจรายละเอียดเรื่องของความสมจริง เช่น การเห็น ลูกกระเดือกท าให้รู้ว่าเป็นผู้ชาย ซึ่งชัดเจนเกินไป ควรจะมีการปรับเพื่อให้สมจริงมากขึ้น 3 อาจารย์นฤมัย ไตรทองอยู่ นักวิชาการละครและดนตรี (นาฏศิลป์ไทย -ละครพระ) สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ - การแสดงโดยใช้นาฏศิลป์ไทยเป็นโจทย์ที่ผู้วิจัย ต้องตีความ เนื่องจากรูปแบบการแสดงนาฏศิลป์ ตะวันตกนั้นจะต้องมีความชัด เพื่อสื่อไปยังผู้ชม มากกว่านาฏศิลป์ไทย รวมถึงเรื่องของฉาก แสง เสียง ผู้วิจัยมีการออกแบบเข้ากับตัวเรื่องการแสดง สร้างสรรค์ดี รวมไปถึงเครื่องแต่งกาย การร้อง การเต้น ที่มีการออกแบบมาได้อย่างลงตัว
61 ตารางที่ 4 ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิจากการประชุมกลุ่มย่อย (Focus Group) (ต่อ) ล าดับ ชื่อ นามสกุล ต าแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ ข้อเสนอแนะ 4 อาจารย์เต็มเดือน เกษะโกมล ผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์ตะวันตก สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ - ให้ความชื่นชม สามารถน ามาปรับโครงสร้างของ ละครที่เคยเป็นไทยแท้ แต่ผู้วิจัยสามารถท าให้ล้ ายุค ได้กับการใช้คอรัส นาฏศิลป์ไทย นาฏศิลป์สากล ท าให้เห็นรูปแบบการแสดงที่ชัด แต่ขอแนะน าเรื่อง การเต้นของยุโรป ตัวกษัตริย์ เสื้อคลุมไม่ควรอยู่ใน ห้องเต้นร าชุดที่เป็นแบบมีอินธนูจะท าให้ดูสง่างาม มากกว่า เพราะชุดที่ใช้ส่วนใหญ่จะใช้ในการออกไป ข้างนอกมากกว่าถ้ามีการพิจารณาปรับอาจจะดู สง่างามและเหมาะสมมากกว่า 5 รองศาสตราจารย์ ดร.ณรงค์ชัย ปิฎกรัชต์ อาจารย์ประจ าสาขาวิชาดนตรีวิทยา มหาวิทยาลัยมหิดล อาจารย์พิเศษและผู้ทรงคุณวุฒิ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กรรมการสภามหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ - เสนอแนะเรื่องการน าเสนอการแสดงสร้างสรรค์ เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดถึงความสวยงาม ความน่าสนใจ ซึ่งการตีความในมุมมองของผู้วิจัยนั้นเป็นที่ ประจักษ์ได้จากการรับชมการแสดงสร้างสรรค์ และต้องการให้ผู้วิจัยสกัดองค์ความรู้ที่ได้จากการ ด าเนินการสร้างการแสดงสร้างสรรค์ว่าได้องค์ ความรู้อะไรบ้าง เพื่อที่จะเป็นประโยชน์ส าหรับ วงการนาฏศิลป์ต่อไปในอนาคต เช่น การตีความ เรื่องการเกี้ยวพาราสีระหว่างพระนาง กระบวนการ ตีความ การวางแผนการด าเนินการ เป็นต้น เต็ม ไปด้วยนัยยะที่แฝงในแต่ละที่ มีความเป็นดนตรีที่ ไม่ขัดแย้งเป็นความกลมกลืนทางศิลปะ ทั้งดนตรี ถ้าเชิงปรัชญาเป็นเรื่องของคุณค่า ในสุนทรียศาสตร์ มีนาฏศิลป์ ทัศนศิลป์งานนี้เก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ครบถ้วน - ถ้าเป็นงานวิจัยสร้างสรรค์ต้องมีคือ งานวิจัย การ สร้างสรรค์ให้ได้ผลการแสดงที่ได้ผลทั้ง 2 ส่วน ได้ผลมาอย่างไรอยู่ในการสร้างสรรค์ของผู้วิจัยเอา มาจากไหนของผลการวิจัย ท าไมต้องท าให้เกิดขึ้น ส าหรับดนตรีการใช้เสียงสังเคราะห์ท าได้ดีมากๆ มีความจรรโลงใจอย่างมาก
62 ตารางที่ 4 ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิจากการประชุมกลุ่มย่อย (Focus Group) (ต่อ) ล าดับ ชื่อ นามสกุล ต าแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ ข้อเสนอแนะ 6 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อัควิทย์ เรืองรอง อาจารย์ที่ปรึกษาร่วมวิทยานิพนธ์ อาจารย์ประจ าสาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา อาจารย์พิเศษระดับบัณฑิตศึกษา สาขาวิชาพัฒนศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาจารย์พิเศษ หลักสูตรศิลปดุษฎีบัณฑิต และหลักสูตรศิลปมหาบัณฑิต สาขาวิชานาฏศิลป์ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ - การก าหนดเกณฑ์การคัดเลือกนักแสดงเป็น สิ ่งที ่ส าคัญ ใช้เหตุผลในการอธิบายเรื ่อง การคัดเลือกนักแสดง เช่น เหตุใดจึงเป็น นักแสดงที่แสดงเป็นยักษ์ทั้งคู่ เป็นต้น รวมถึง การอธิบายเรื่องกรอบแนวคิดในการรื้อสร้าง เช่น การรื้อสร้างจากชายเป็นใหญ่มาเป็นความเท่าเทียม หรือการใช้ทฤษฎีสตรีนิยมเป็นการรื้อสร้าง แบบหนึ่งซึ่งน ามาสู่การก าหนดกรอบแนวคิด ในการสร้างการแสดงสร้างสรรค์ของผู้วิจัย การตีความหรือการให้ความหมายโดยใช้ทฤษฎี สัญญะวิทยา เพื่อเป็นการน ามาตอบเรื่องของ การตีความหมายใหม่ เพื่อน าไปสู่การสร้างความ เท่าเทียมของมนุษย์ การตีความต้องตีความให้ชัด เช่น การตายนั้นตายอย่างไร ตายจริง หรือการตาย จากความรู้สึก 7 รองศาสตราจารย์ ดร.จินตนา สายทองค า ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสร้างสรรค์ นาฏศิลป์ไทย คณบดีคณะศิลปนาฏดุริยางค์ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ - การบอกให้เห็นถึงนาฏศิลป์ไทยและนาฏศิลป์ ตะวันตก ในเชิงวิชาการจะมีการตีความอย่างไร เขียนให้ชัด ควรมีเหตุผลเชิงวิชาการ เนื่องจาก มีการนาฏศิลป์ไทย นาฏศิลป์ตะวันตก โขน การเชิดหนังใหญ่ อยากให้ใส่เชิงวิชาการให้ครบ รวมถึงการเลือกนักแสดงต้องชัดว่าเพราะอะไร จึงเลือกผู้ชายแสดง ท าให้เห็นชัดว่าท าไมเลือก โขนยักษ์มาใช้ในการแสดง เช่น มีความสามารถ ในการร้อง การเต้น เป็นต้น ท าให้เป็นล าดับขั้น ให้มีความชัดเจนมากขึ้น รวมถึงเครื่องแต่งกาย ทรงผม และองค์ความรู้ใหม่ที่ได้จากการ สร้างสรรค์ละครเรื่องนี้ ที่มา: ผู้วิจัย
63 จากตารางผู้วิจัยสรุปได้ว่า การสร้างสรรค์ละคร เรื่อง “เงาสะท้อน” เป็นการแสดงที่มีความน่าสนใจ สามารถตีความ รื้อสร้าง ตามแนวคิดสตรีนิยม สัญญะและมายาคติ รวมถึงการสะท้อนเรื่องของคุณค่า และศักดิ์ของความเป็นมนุษย์ได้อย่างดี รวมถึงการรื้อสร้างที่สามารถท าได้อย่างดี เนื่องจากผู้วิจัยไม่ได้ รื้อสร้างทั้งหมด ยังคงรักษาโครงของบทวรรณกรรมเดิมไว้ เพื่อให้ผู้ชมสามารถเชื่อมโยงจาก ประสบการณ์การอ่านและการรับชมเรื่องพระอภัยมณีในอดีตและการแสดงแนวใหม่ที่ผู้วิจัยสร้างได้ การผสมผสานนาฏศิลป์ไทยและนาฏศิลป์ตะวันตกสามารถท าได้อย่างลงตัว นับเป็นการตีความ การรื้อสร้าง และการน าเสนอการแสดงสร้างสรรค์ได้อย่างสมบูรณ์ รวมถึงความน่าสนใจในการเลือกนักแสดงชาย ในการแสดงทั้งหมด เป็นการส่งเสริมให้การแสดงในบทบาทของตัวละครหลักที่เป็นกษัตริย์และแม่ทัพ แสดงออกมาได้อย่างเข้มแข็งและสวยงาม โดยผู้ทรงคุณวุฒิมีข้อเสนอแนะในการท าวิจัย สรุปใจความ ส าคัญได้ดังนี้ 1) การให้ความส าคัญรายละเอียดในองค์ประกอบการแสดง เช่น นางละเวงวัณฬาจะมีตรา ราหูเป็นอาวุธคู่กาย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของนางละเวงวัณฬา การที่ผู้วิจัยออกแบบการแสดงโดยมี รายละเอียดครบถ้วนจะท าให้การแสดงสมบูรณ์มากขึ้น 2) การให้ความส าคัญในเรื่องความสมจริง เช่น การใช้นักแสดงชายในการแสดงอาจจะเห็น ลูกกระเดือกได้ ดังนั้น หากนักแสดงชายมาแสดงเป็นหญิงควรมีการออกแบบเครื่องแต่งกายให้ปกปิด เพื่อความสวยงามและความสมจริง รวมถึงความเหมาะสมของเครื่องแต่งกายที่ต้องให้มีความ เหมาะสมกับสถานการณ์ จากข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้วิจัยจะน าไปพัฒนาการสร้างสรรค์การแสดงในโอกาส ต่อไป โดยจะให้ความส าคัญกับรายละเอียดที่เป็นองค์ประกอบหรือสัญลักษณ์ที่ส าคัญในการแสดงออก ของการแสดงเพื่อความสมจริงในการแสดงมากขึ้น 2.4.7 การเผยแพร่การสร้างสรรค์ละคร เรื่อง “เงาสะท้อน” น าเสนอการสร้างสรรค์ละคร เรื่อง “เงาสะท้อน” ทางสื่อสังคมออนไลน์ยูทูบ (Youtube) และเผยแพร่ในวิทยาลัยนาฏศิลป นักศึกษาคณะศิลปนาฏดุริยางค์ และนักศึกษาคณะศิลปศึกษา สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์
64 ภาพที่ 12 เผยแพร่ผลงานการสร้างสรรค์ละคร เรื่อง “เงาสะท้อน” ในรูปแบบวีดีทัศน์ผ่านระบบออนไลน์ ที่มา: ผู้วิจัย 4.2.8 การประเมินผลการสร้างสรรค์ละคร เงาสะท้อน ละเวงวัณฬา –สุวรรณมาลี: การตีความ และการผสมผสานรูปแบบการแสดงสร้างสรรค์จากเรื่องพระอภัยมณี การประเมินผลของการสร้างสรรค์การแสดงจากผู้ชมการแสดงสร้างสรรค์ ครั้งนี้คือ นักศึกษา วิทยาลัยนาฏศิลป นักศึกษาคณะศิลปนาฏดุริยางค์ และนักศึกษาคณะศิลปศึกษา สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ จ านวน 400 คน โดยผู้วิจัยขอความร่วมมือในการเผยแพร่การสร้างสรรค์ละคร เรื่อง เงาสะท้อน ละเวงวัณฬา – สุวรรณมาลี: การตีความและการผสมผสานรูปแบบการแสดงสร้างสรรค์จากเรื่อง พระอภัยมณีที่สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ เพื่อให้นักศึกษาวิทยาลัยนาฏศิลป นักศึกษาคณะศิลปนาฏดุริยางค์ และนักศึกษาคณะศิลปศึกษา ได้รับชมการแสดงสร้างสรรค์เรื่อง “เงาสะท้อน” เพื่อเป็นแนวทาง ในการสร้างองค์ความรู้ให้แก่นักศึกษา และเมื่อรับชมการแสดงสร้างสรรค์ ผู้วิจัยจะคัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง จ านวน 400 คน เป็นตัวแทนในการเข้าสู่กระบวนการศึกษาข้อมูล เพื่อศึกษาถึงความรู้ความเข้าใจ ในการแสดงสร้างสรรค์ตามกระบวนการตีความของผู้วิจัย ส าหรับแบบสอบถามที่เกี่ยวกับการวัดระดับ
65 ความคิดเห็น เช่น เรื่องความพึงพอใจของผู้ชมในการรับชมการแสดง เป็นค าถามในรูปแบบมาตราส่วน ประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scale) มีเกณฑ์ในการให้คะแนนความพึงพอใจ ดังนี้ เกณฑ์การให้คะแนน ระดับความพึงพอใจ 5 หมายความว่า มากที่สุด 4 หมายความว่า มาก 3 หมายความว่า ปานกลาง 2 หมายความว่า น้อย 1 หมายความว่า น้อยที่สุด ในส่วนของเกณฑ์ในการแปลความหมาย เพื่อจัดท าระดับคะแนนเฉลี่ย ได้มาจากการหาค่าทาง คณิตศาสตร์ ในที่นี้ค่าเฉลี่ยความกว้างของอันตรภาคชั้น เท่ากับ 0.8 โดยสามารถแปลค่าผลของระดับ ความส าคัญได้ ดังนี้ เกณฑ์การให้คะแนน ระดับความส าคัญ 4.21 -5.00 หมายความว่า มากที่สุด 3.41 – 4.20 หมายความว่า มาก 2.61 – 3.40 หมายความว่า ปานกลาง 1.81 – 2.60 หมายความว่า น้อย 0 – 1.8 หมายความว่า น้อยที่สุด 5. การตรวจสอบข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ใช้การศึกษาค้นคว้าข้อมูลชั้นปฐมภูมิ โดยการสัมภาษณ์ข้อมูลแล้วน ามา ตรวจสอบ ข้อมูลอย่างละเอียดว่าตรงกับข้อมูลหรือเอกสารที่เคยปรากฏมาแล้วหรือไม่ เมื่อได้ข้อมูลจาก เอกสาร การสัมภาษณ์ การสังเกตการณ์ ผู้วิจัยท าการตรวจสอบความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือของข้อมูล โดยพิจารณาจากแหล่งที่มาของข้อมูลว่ามีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด จากนั้นผู้วิจัยด าเนินการ ตรวจสอบซ้ าอย่างละเอียด เพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อมูลเพื่อลดความคลาดเคลื่อน นอกจากนี้พบว่า ข้อมูลไม่เพียงพอหรือข้อมูลเกิดความคลาดเคลื่อน ผู้วิจัยด าเนินการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญ อาจารย์ที่ปรึกษาเพิ่มเติม
66 จากนั้นน าข้อมูลที่ได้หลังจากการตรวจสอบมาจัดระเบียบข้อมูลให้เกิดความเป็นหมวดหมู่ สามารถน าไปวิเคราะห์ต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ 6. การวิเคราะห์ข้อมูล น าข้อมูลจากเครื ่องมือทุกประเภทที ่ใช้ในการวิจัยมาจ าแนกข้อมูลและจัดหมวดหมู่ ข้อมูลตามประเภทที่ก าหนดไว้และท าการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 6.1 จัดกลุ่มเอกสารที่จะวิเคราะห์ออกเป็นกลุ่มข้อมูลต่าง ๆ ได้แก่ รูปแบบการแสดง องค์ประกอบการแสดง และการแสดงสร้างสรรค์ในบริบทสังคมประเทศไทย แนวคิด ทฤษฎี การสร้างสรรค์ ละคร รวมทั้งงานวิจัยและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยเรื่องนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลตาม วัตถุประสงค์ของการวิจัย 6.2 น าข้อมูลจากการจัดกลุ่มเอกสารมาท าการวิเคราะห์เนื้อหา สรุปประเด็นที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย 6.2.1 ประเด็นเกี่ยวกับการแสดงเรื่องพระอภัยมณี 6.2.2 ประเด็นเกี่ยวกับแนวทางการสร้างสรรค์การแสดง 6.2.3 ประเด็นเกี่ยวกับการสร้างสรรค์การแสดง เรื่อง เงาสะท้อน 6.3 วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบประเมินความพึงพอใจโดยการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูล เชิงตีความสร้างข้อสรุป โดยน าเสนอรูปแบบพรรณนาวิเคราะห์ 7. การสรุปและน าเสนอข้อมูล จากการศึกษา ผู้วิจัยน าข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล โดยการเขียน เชิงพรรณนาวิเคราะห์ จากนั้นท าการสรุปผลการสร้างสรรค์และการวิจัย จัดท ารูปเล่ม เผยแพร่ ผลงานในรูปแบบการแสดงและบทความวิจัยตามล าดับ
บทที่ 4 ผลการสร้างสรรค์ละคร เรื่อง เงาสะท้อน ละเวงวัณฬา – สุวรรณมาลี: การตีความและการผสมผสานรูปแบบการแสดง สร้างสรรค์จากเรื่องพระอภัยมณี จากบทที่ 3 ผู้วิจัยได้กล่าวถึงรายละเอียดในการดำเนินการวิจัย รวมถึงการวางแนวทาง การสร้างสรรค์ละคร เรื่อง เงาสะท้อน ละเวงวัณฬา – สุวรรณมาลี: การตีความและการผสมผสาน รูปแบบการแสดงสร้างสรรค์จากเรื่องพระอภัยมณีในบทนี้ผู้วิจัยนำเสนอผลการสร้างสรรค์ละคร ซึ่งมี รายละเอียดในการประกอบสร้าง การปรับปรุงแก้ไข ตลอดจนนำเสนอข้อมูลในการประเมินคุณภาพ การแสดง โดยแบ่งเนื้อหาตามวัตถุประสงค์วิทยานิพนธ์ ดังนี้ 1. การสร้างละครสร้างสรรค์ เรื่อง เงาสะท้อน 2. การประเมินคุณภาพและความคิดเห็นของผู้ชมที่มีต่อการสร้างสรรค์ละคร เงาสะท้อน 3. การสะท้อนความคิดด้วยการตีความหมายใหม่ ให้เห็นถึงความเท่าเทียมและ ศักดิ์ศรีของ มนุษย์ โดยผ่านความคิดนางสุวรรณมาลีและนางละเวงวัณฬา 1. การสร้างสรรค์ละคร เรื่อง เงาสะท้อน 1.1 การกำหนดแนวคิด และรูปแบบการแสดง การสร้างสรรค์ละคร เรื่อง เงาสะท้อน ละเวงวัณฬา – สุวรรณมาลี: การตีความและการผสมผสาน รูปแบบการแสดงสร้างสรรค์จากเรื่องพระอภัยมณีโดยแนวคิดการดำเนินงานของผู้วิจัยมีดังนี้ 1.1.1 แนวคิดการสร้างสรรค์ละคร เรื่อง เงาสะท้อน ละเวงวัณฬา – สุวรรณมาลี: การตีความและการผสมผสานรูปแบบการแสดงสร้างสรรค์จากเรื่องพระอภัยมณีรายละเอียดดังนี้ 1.1.1.1 การกำหนดแนวคิดการสร้างสรรค์การแสดง มีจุดเริ่มต้นจากความต้องการ สร้างสรรค์ผลงานที่มีความแตกต่างจากการแสดงเรื่องพระอภัยมณีในอดีต ผู้วิจัยศึกษาข้อมูลเอกสาร และรูปแบบการแสดงเรื่องพระอภัยมณีที่ผ่านมา โดยเฉพาะตอนที่มีนางละเวงวัณฬาจะเป็นการแสดง โดยใช้นาฏศิลป์ไทยในการแสดงเป็นส่วนใหญ่ และในการแสดงทางตะวันตกก็จะเป็นเพียงการใช้มือ
68 ในการแสดงท่าทางต่าง ๆ ซึ่งผู้วิจัยมีประสบการณ์ด้านนาฏศิลป์ตะวันตก จึงต้องการสร้างสรรค์ การแสดงที่มีการผสมผสานกันระหว่างนาฏศิลป์ไทยและนาฏศิลป์ตะวันตก เพื่อเป็นการนำเสน่ห์ของ นาฏศิลป์ไทยและนาฏศิลป์ตะวันตกมาผสมผสานกันและเกิดเป็นรูปแบบการแสดงสร้างสรรค์ 1.1.1.2 การนำความแตกต่างของวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมตะวันตกมา ผสมผสานกันในด้านของศิลปะการแสดงให้เกิดความกลมกลืนของการถ่ายทอดเรื่องราว เมื่อได้ แนวคิดการสร้างสรรค์การแสดงแล้ว ผู้วิจัยได้กำหนดรูปแบบการแสดง โดยมองเห็นถึงความงดงาม ในการแสดงแบบผสมผสานนาฏศิลป์ไทยและนาฏศิลป์ตะวันตก เป็นการผสานวัฒนธรรมของทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อให้เกิดการผสมผสานกันอย่างลงตัว 1.1.1.3 การคัดเลือกวรรณกรรม เรื่อง พระอภัยมณี ตอนหึงหน้าป้อมมีเหตุผล สำคัญหลายประการ ได้แก่ 1) การโต้ตอบของตัวละคร เนื่องจากตอนหึงหน้าป้อมเป็นตอนที่นางสุวรรณมาลี และนางละเวงวัณฬายกทัพทำศึกสงครามเพื่อแย่งชิงพระอภัยมณีซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ การวิจัยที่มีการผสมผสานนาฏศิลป์ไทยและนาฏศิลป์ตะวันตก จึงสามารถกำหนดรูปแบบการแสดง ให้มีการต่อสู้กันด้วยลีลาท่ารำที่ผสมผสานกันระหว่างนาฏศิลป์ไทยและนาฏศิลป์ตะวันตก 2) การถูกกดทับของตัวละคร เนื่องจากเป็นตอนที่มีตัวละครหลัก ได้แก่ นางละเวงวัณฬาและนางสุวรรณมาลี ทั้งคู่เป็นนางกษัตริย์ที่มีความแตกต่างทางเชื้อชาติแต่เก่งกล้า สามารถในการปกครองเมืองและการนำทัพออกศึกสงคราม แต่กลับถูกมองว่าต้องทำสงครามเพราะ หึงหวงและแย่งชิงผู้ชาย ซึ่งเป็นการตีความในมุมมองที่ลดคุณค่าและศักดิ์ศรีของผู้หญิงเป็นการกดทับ ตัวละครให้ถูกมองในมุมที่ไม่มีศักดิ์ศรี การต้องการสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าและศักดิ์ศรีของมนุษย์ จึงต้องนำตัวละครที่ถูกกดทับออกมาสะท้อนให้เห็นถึงความเท่าเทียมและการมีคุณค่า 1.1.1.4 การนำวรรณกรรมเรื่องพระอภัยมณี ตอนหึงหน้าป้อม มาตีความใหม่ผ่าน แนวคิดทฤษฎีการตีความ การสะท้อน สัญญะและมายาคติ และสตรีนิยม เพื่อสะท้อนให้เห็นถึง การเปลี่ยนแปลงของสังคมที่ผู้หญิงจะไม่แย่งชิงผู้ชายเพราะความหึงหวงอีกต่อไป และผู้ชายที่ใคร ๆ คิดว่าเป็นคนดี เขาอาจจะไม่ใช่คนดีอย่างที่คิด แต่ทั้งนี้ การตีความหมายใหม่ของการแสดง แต่ผู้วิจัย ยังคงโครงเรื่องเดิม เพื่อให้ผู้ชมนั้นสามารถเชื่อมโยงเรื่องราวในการแสดงสร้างสรรค์ได้ 1.1.1.5 การเลือกนักแสดงผู้ชายล้วนในการแสดง เพื่อให้รูปแบบการแสดงสร้างสรรค์ มีความงดงาม เนื่องจากตัวละครหลักได้แก่ นางละเวงวัณฬาและนางสุวรรณมาลีนั้น มีศักดิ์เป็นกษัตริย์
69 และแม่ทัพผู้เก่งกล้า ดังนั้น การที่นักแสดงเป็นผู้ชายจะสามารถถ่ายทอดบทบาทของความเป็นผู้นำ ที่มีความเข้มแข็งได้อย่างดี ทำให้การแสดงนั้นมีความสวยงามและสมบูรณ์แบบ 1.1.2 รูปแบบการแสดงละครสร้างสรรค์ เรื่อง เงาสะท้อน ละเวงวัณฬา – สุวรรณมาลี: การตีความและการผสมผสานรูปแบบการแสดงสร้างสรรค์จากเรื่องพระอภัยมณี ผู้วิจัยได้ทำการศึกษารูปแบบและองค์ประกอบของละครเพลง (Musical Theatre) ซึ่งเป็น ละครที่นำดนตรี เพลง การเต้นรำ การรำ มารวมเข้าด้วยกัน การแสดงอารมณ์ ความรัก ความโกรธ รวมถึงการแสดงเรื่องราวที่บอกเล่าผ่านละคร การร้อง ดนตรี การเคลื่อนไหว และเทคนิคต่าง ๆ เพื่อ เป็นแนวทางในการสร้างสรรค์ละคร เรื่อง “เงาสะท้อน” โดยรูปแบบการแสดงละครสร้างสรรค์ มีดังนี้ 1.1.2.1 การร้อง ผู้วิจัยได้ศึกษารูปแบบการร้องจากการแสดงละครเพลงหลากหลายเรื่อง เช่น ละครเพลง เรื่อง “ทวิภพ” เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสรรค์ละคร เรื่อง “เงาสะท้อน” โดยรูปแบบการร้อง ที่ผู้วิจัยสร้างสรรค์ขึ้นให้มีความเหมาะสมกับเรื่องราวที่ผู้วิจัยต้องการถ่ายทอดนั้นเป็นการขับร้องแบบ SUNG THROUGH คือ ร้องตลอดทั้งเรื่องโดยไม่มีบทเจรจา และใช้การร้องแบบ MUSICAL เพื่อให้ น้ำหนักของเรื่องราวสอดคล้องและต่อเนื่องกันอย่างมีเอกภาพ เกิดสุนทรียะทางการแสดง มีหลายรูปแบบ ได้แก่ 1) การขับร้องเดี่ยว (Solo Singing) คือการร้องเพลงคนเดียว เป็นการแสดง ความสามารถทางด้านการร้องของนักแสดง ซึ่งการร้องเดี่ยวนี้เป็นการให้นักแสดงได้แสดงออกถึงบทบาท อารมณ์ ความรู้สึก ตามบทบาทที่ได้รับ เพื่อสื่อสารความคิดของตัวละครไปยังผู้ชม ผู้วิจัยสร้างสรรค์ รูปแบบการร้องเดี่ยวให้นักแสดงได้แสดงอารมณ์ความรู้สึก ผู้ขับร้องจะต้องมีทักษะทางด้านการร้องที่ดี ทั้งในเรื่องของการควบคุมเสียง การร้อง ทำนอง การจับจังหวะ และการถ่ายทอดอารมณ์เพลง 2) การร้องคู่แบบผสานเนื้อเพลง (Duet Singing) เป็นรูปแบบการร้องเพลงคู่ สองคนด้วยแนวเสียงเดียวกัน การร้องเพลงรูปแบบนี้เป็นเทคนิคการร้องเพลงสากลที่มีการร้องโต้ตอบ สลับกัน ร้องพร้อมกัน และร้องผสานกัน ในการร้องคู่แบบผสานเนื้อเพลงนี้ ผู้วิจัยสร้างสรรค์แนวการร้อง ให้อยู่ในระดับเสียงเดียวกัน แต่มีเนื้อเพลงที่แตกต่างกัน เพื่อสื่อสารความคิดของตัวละครที่อยู่ใน สถานการณ์เดียวกัน แต่มีความแตกต่างทางความคิดและการกระทำ 3) การร้องประสานเสียง (Chorus Singing) เป็นการร้องเพลงร่วมกันของ บุคคล 2 คนขึ้นไป โดยมีการคำนึงถึงความพร้องเพรียงและความไพเราะของเสียงที่มาจากผู้ขับร้อง
70 หลาย ๆ คน ซึ่งจะต้องมีการซ้อมเป็นอย่างดี ผู้วิจัยสร้างสรรค์การร้องประสานเสียง โดยเป็นการเล่าถึง ความเป็นมาของเรื่องราวที่เกิดขึ้นในละครสร้างสรรค์ จากรูปแบบการร้องทั้ง 3 ประเภทที่ผู้วิจัยนำมาใช้ในการสร้างสรรค์ละคร เพื่อให้มีสุนทรียะ ทางด้านการร้องที่เกิดขึ้นแก่ผู้ชม อีกทั้งเป็นการสร้างมิติทางด้านการแสดงให้มีความน่าสนใจ และ สามารถถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึกของผู้แสดงให้สามารถส่งถึงผู้ชมได้ตามบทบาทการแสดงที่ได้รับ โดยผู้วิจัยเลือกใช้การขับร้องเดี่ยว การขับร้องคู่แบบผสานเนื้อเพลง และการขับร้องประสานเสียง ในการแสดงสร้างสรรค์ที่มีความแตกต่างกัน เพื่อให้ผู้ชมสามารถเข้าใจเนื้อเรื่อง ความหมาย รวมถึง รูปแบบการแสดงที่ผู้วิจัยสร้างสรรค์ขึ้น นำไปสู่การตีความหมายใหม่ตามที่ผู้วิจัยสร้างสร้างสรรค์ขึ้น 1.1.2.2 การรำ – การเต้น ผู้วิจัยศึกษารูปแบบการรำ การเต้น จากหลายแหล่งความรู้ โดยเฉพาะการศึกษาจาก ผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์ไทยและนาฏศิลป์ตะวันตก เนื่องจากผู้วิจัยได้สร้างสรรค์การแสดงในรูปแบบ การสร้างสรรค์ละคร ที่มีการผสมผสานกันระหว่างนาฏศิลป์ไทยและนาฏศิลป์ตะวันตกที่สามารถนำมา ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว โดยผู้วิจัยได้กำหนดรูปแบบการแสดง ดังนี้ 1) รำและเต้นเดี่ยว (Solo) ในการรำและเต้นเดี่ยว ผู้วิจัยกำหนดให้ตัวละครสำคัญ ใช้ลีลาท่าทางที่มี ความแตกต่างกันตามเชื้อชาติ และวัฒนธรรม เพื่อสื่อสารให้ผู้ชมได้เรียนรู้ภูมิหลังของตัวละครผ่าน การออกแบบลีลาท่าทางประกอบการแสดง 2) รำและเต้นคู่ (Duet) ในการรำและเต้นคู่ ผู้วิจัยกำหนดให้มีการรำและเต้นคู่ เพื่อสื่อความหมาย ในการเกี้ยวพาราสีตัวละครฝ่ายนาง โดยสะท้อนและสื่อสารอารมณ์ให้กับผู้ชมได้คล้อยตามลักษณะ ของบทละครโดยอาศัยการเคลื่อนไหวของร่างกายตามหลักนาฏศิลป์ไทยเป็นหลัก จะทำให้ผู้ชมเข้าถึง การแสดงได้อย่างลึกซึ้ง 3) ระบำและเต้นหมู่ (Ensemble) ในระบำและการเต้นหมู่ ผู้วิจัยกำหนดให้ผู้แสดงที่เป็นตัวแทนของวัฒนธรรมไทย และวัฒนธรรมตะวันตกที่มีความแตกต่าง มาเป็นผู้สื่อสารเรื่องราวตามบทละคร โดยในการออกแบบ ลีลาท่าทางประกอบการแสดงในส่วนนี้ ผู้วิจัยใช้ลีลาตามแนวคิดหลักที่บูรณาการลีลาทางนาฏศิลป์ไทย และนาฏศิลป์ตะวันตก เกิดเป็นความพร้อมเพรียงร้อยเรียงกันอย่างมีเอกภาพ
71 1.2 องค์ประกอบการสร้างสรรค์ละคร 1.2.1 บทละคร เรื่อง เงาสะท้อน ละเวงวัณฬา–สุวรรณมาลี: การตีความและการผสมผสาน รูปแบบการแสดงสร้างสรรค์จากเรื่องพระอภัยมณี ผู้วิจัยกำหนดกระบวนการสร้างและพัฒนาบทละคร เรื่อง เงาสะท้อน ละเวงวัณฬา–สุวรรณมาลี: การตีความและการผสมผสานรูปแบบการแสดงสร้างสรรค์จากเรื่องพระอภัยมณีดังรายละเอียด ต่อไปนี้ 1.2.1.1 อ่านบทวรรณกรรม เรื่อง พระอภัยมณี ฉบับหอสมุดแห่งชาติ เพื่อศึกษา บทวรรณกรรมให้มีความเข้าใจเนื้อเรื่อง ตัวละคร บุคลิกของตัวละคร และความสัมพันธ์ของตัวละคร 1.2.1.2 คัดเลือกตอนที่จะนำมาเป็นบทละคร โดยพิจารณาจากตอนที่สามารถ นำมาสร้างสรรค์ละครที่มีการผสมผสานรูปแบบการแสดงนาฏศิลป์ไทยและนาฏศิลป์ตะวันตก และ เป็นตอนที่สามารถสะท้อนความคิดด้วยการตีความหมายใหม่ ให้เห็นถึงความเท่าเทียมและศักดิ์ศรี ของมนุษย์ 1.2.1.3 วางโครงเรื่อง (Plot) ในตอนที่สร้างสรรค์ละคร โดยมีการเชื่อมโยงกับตอน อื่น ๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการดำเนินเรื่อง 1.2.1.4 ปรับปรุงเนื้อหาเพื่อให้เกิดความกระชับ ให้เหมาะสมกับระยะเวลาในการแสดง โดยยังคงความสมบูรณ์ของโครงเรื่องหลัก 1.2.1.5 ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิด้านบทละครและอาจารย์ที่ปรึกษา 1.2.1.6 เรียบเรียงเนื้อหาของละครสร้างสรรค์ เขียนเป็นเรื่องย่อ โดยระบุเป็นฉาก เหตุการณ์ และตัวละครอย่างชัดเจน 1.2.1.7 พิจารณาความเชื่อมโยง ความเป็นเหตุเป็นผล ความเหมาะสมและความ สละสลวยของภาษาตลอดทั้งเรื่อง 1.2.1.8 ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิด้านบทละครและอาจารย์ที่ปรึกษา จากขั้นตอนข้างต้น ผู้วิจัยศึกษาบทวรรณกรรม เรื่องพระอภัยมณี ฉบับหอสมุดแห่งชาติ เพื่อให้เข้าใจบทวรรณกรรมเดิม และตีความหมายตามบทวรรณกรรม พบว่า บทวรรณกรรมเดิม เรื่อง พระอภัยมณี ตอนหึงหน้าป้อมนั้น เป็นตอนที่มีการโต้ตอบกันระหว่างนางสุวรรณมาลี และนางละเวงวัณฬา สองกษัตริย์ที่มีสามีคนเดียวกัน ต้องการแย่งชิงพระอภัยมณีกลับมาเป็นของตนเองทำให้เกิด ศึกสงครามและความเสียหายของบ้านเมือง โดยนำแนวคิดด้านการตีความ ทฤษฎีการรื้อสร้าง และ
72 การสร้างตัวบทใหม่มาใช้เป็นแนวทางในการตีความ ให้ผู้อ่านได้เห็นถึงมุมมองใหม่ที่เกิดการสะท้อน ผ่านแนวคิดทฤษฎี เป็นการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของสตรีจากความหึงหวงเป็นเรื่องของการรักษาศักดิ์ศรี ของความเป็นผู้นำ มิใช่เรื่องของความหึงหวงอีกต่อไป เมื่อได้แนวทางในการกำหนดโครงของบทละครแล้ว ผู้วิจัยได้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการประพันธ์บทละคร ได้แก่ คุณดารกา วงศ์ศิริ เพื่อประพันธ์บทละคร ตามโครงเรื่องที่ผู้วิจัยกำหนด และผู้วิจัยนำบทละครปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้านบทละคร ได้แก่ 1) รองศาสตราจารย์ ดร.เสาวณิต วิงวอน ผู้ทรงคุณวุฒิ ข้าราชการบำนาญ ผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านวรรณกรรม และอาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 2) รองศาสตราจารย์ ดร. ศุภชัย จันทร์สุวรรณ์ นักวิชาการละครและดนตรี(นาฎศิลป์ไทย – โขนพระ) สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ และศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (นาฏศิลป์) พุทธศักราช 2548 3) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อัควิทย์ เรืองรอง อาจารย์ประจำสาขาวิชาภาษาไทย คณะ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา อาจารย์พิเศษระดับ บัณฑิตศึกษาสาขาวิชาพัฒนศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาจารย์พิเศษหลักสูตร ศิลปดุษฎีบัณฑิต และศิลปมหาบัณฑิต สาขาวิชานาฏศิลป์ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ในการสร้างสรรค์บทละคร เรื่อง “เงาสะท้อน” เมื่อได้บทละครฉบับสมบูรณ์ (ร่าง 1) ผู้วิจัย มีการปรับแก้และพัฒนาบทละคร ทั้งสิ้น 2 ครั้ง ทั้งนี้การปรับปรุงพัฒนาดังกล่าวมาจากผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านบทละคร ความไพเราะสละสลวยของคำ การบรรจุเพลง การเชื่อมโยงเหตุการณ์ รวมถึงความหมาย และการสะท้อนความคิดจากการตีความหมายใหม่และนำมาสร้างเป็นบทละครที่ใช้ในการสร้างสรรค์ ละคร ผู้วิจัยสามารถอธิบายกระบวนการปรับปรุงและพัฒนาบทละครเฉพาะในส่วนที่ปรับปรุงแก้ไข ดังรายละเอียด ต่อไปนี้ 1) การประพันธ์บทละครและกระบวนการปรับปรุงและพัฒนาบทละครครั้งที่ 1 1.1) บทละครฉบับสมบูรณ์ (ร่าง 1) มีการนำเสนอเรื่องราวที่เกี่ยวผู้หญิง 4 คน ที่ถูกพระ อภัยมณีทำร้าย ไม่ว่าจะเป็น นางผีเสื้อสมุทร นางเงือก นางสุวรรณมาลี และนางละเวงวัณฬา เพื่อที่จะสื่อให้เห็นว่า พระอภัยมณีแท้จริงนั้นไม่ใช่คนดี แต่เป็นบุรุษที่สามารถทิ้งหรือทำร้ายจิตใจของ ผู้หญิงที่รักพระอภัยมณีได้ ซึ่งเรื่องราวดังกล่าวนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามวรรณกรรม ผู้วิจัยจึงหยิบยก ออกมาเพื่อให้โดดเด่นขึ้น นอกจากนี้ผู้วิจัยได้นำประเด็นที่มีความสำคัญเพื่อให้เห็นถึงความหลอกลวง
73 ของพระอภัยมณี โดยให้นางละเวงวัณฬาและนางสุวรรณมาลีต้องพบกับความสูญเสียโดยมีพระอภัย มณีเป็นสาเหตุ เพื่อเป็นการตอกย้ำความหลอกลวงของพระอภัยมณีว่าไม่ใช่คนดีอย่างที่ใครคิด 1.2) จากการปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิด้านวรรณกรรมและอาจารย์ที่ปรึกษา มีข้อเสนอแนะว่า การกล่าวถึงถึงพระอภัยมณีว่าเป็นคนไม่ดีนั้น เป็นสิ่งที่กล่าวมาตั้งแต่ต้น และมีบทละครหลายตอน ที่กล่าวถึงพระอภัยมณีว่าเป็นคนไม่ดี ดังนั้น ควรตัดเนื้อหาบางตอนที่กล่าวถึงพระอภัยมณีว่าเป็นคน ไม่ดีออก เช่น “นางยักษ์ต้องสิ้นชีวา นางเงือกต้องมาโดนทิ้ง สุวรรณมาลีโดนช่วงชิง ละเวงถูกหลอกว่า รักจริง ทุกอย่างเป็นแค่คำกลอกกลิ้งของผู้ชายใจโลเล” โดยต้องการให้ผู้วิจัยมุ่งเน้นที่จะแสดงให้เห็น ถึงความเข้มแข็งของผู้หญิงที่แม้จะมีความรักแต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญที่สุดของชีวิต ผู้วิจัยจึงได้ตัดบทละครช่วงที่มีการพรรณนาถึงการสูญเสีย การถูกหลอกลวงของสตรี รวมถึง ความเศร้าโศกเสียใจของผู้หญิงในเรื่องออกไป เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงสามารถมีความเศร้า เสียใจเรื่องความรักได้ แต่ต้องการให้ผู้หญิงมีคุณค่าและศักดิ์ศรีมากขึ้น ผู้วิจัยจึงได้ปรับปรุงและพัฒนา บทละครใหม่ โดยกำหนดให้นางสุวรรณมาลีและนางละเวงวัณฬานั้นรู้ตัวว่าทำสิ่งที่ขาดสติลงไปจาก การยกทัพทำศึกสงครามเพื่อแย่งชิงพระอภัยมณี จึงตัดสินใจสละแล้วซึ่งทางโลก มุ่งสู่ทางธรรม โดย ผู้วิจัยต้องการให้รูปแบบการแสดงนั้นจบลงด้วยการที่นางสุวรรณมาลีและนางละเวงวัณฬาตัดสินใจละ ทางโลก เป็นการจบเรื่องโดยที่นางทั้งสองตัดสินใจออกบวช เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าสุดท้ายแล้ว พระอภัยมณีไม่สำคัญกับนางทั้งสองอีกต่อไป เพื่อให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยวของนางสุวรรณมาลีและ นางละเวงวัณฬามากขึ้น รายละเอียดการปรับแก้ไขครั้งที่ 1 ดังตารางที่ 5
74 ตารางที่ 5 การประพันธ์บทละครและกระบวนการปรับปรุงและพัฒนาบทละครครั้งที่ 1 บทละคร ก่อนการปรับปรุงแก้ไข บทละคร หลังการปรับปรุงแก้ไข คอรัส (ร้อง) นางยักษ์ต้องสิ้นชีวา นางเงือกต้องมาโดนทิ้ง สุวรรณมาลีโดนช่วงชิง ละเวงถูกหลอกว่ารักจริง ทุกอย่างเป็นแค่คำกลอกกลิ้งของผู้ชายใจโลเล สุวรรณมาลี (พูด) ทุกอย่างที่ข้าเคยครอบครอง ทรัพย์สินเงินทองราชบัลลังก์ เกียรติยศศักดิ์ศรีหมดสิ้นภิณฑ์พัง แม้กระทั่งความรักก็เป็นแค่เรื่องหลอกลวง ละเวง (พูด) ทุกอย่างที่ข้าเคยมี มาบัดนี้หมดสิ้นไม่เหลือสิ่งใด ท่านพ่อ ท่านพี่ ต้องมาสิ้นชีวาวาย ความรักข้าที่คิดว่าใช่ ก็เป็นได้แค่ภาพลวงตา สุวรรณมาลี (ร้อง) ระลึกรู้ขึ้นมาก็ช้าเกินไป ละเวง (ร้อง) ข้าขอไถ่โทษให้ความผิดของข้า สุวรรณมาลี (ร้อง) บ้านเมืองถูกทำลายผู้ล้มตายวายชีวา ละเวง (ร้อง) ต่อไปนี้ข้าขอสละทุกอย่างสู่ทางธรรม ที่มา: ผู้วิจัย
75 2) การประพันธ์บทละครและกระบวนการปรับปรุงและพัฒนาบทละครครั้งที่ 2 2.1) ผู้วิจัยพัฒนาบทให้มีการจบเรื่องโดยนางสุวรรณมาลีและนางละเวงวัณฬาออกบวช โดยไม่สนใจเรื่องทางโลก ความรักหรือพระอภัยมณีเพื่อให้เห็นว่าในท้ายที่สุดแล้ว นางสุวรรณมาลี และนางละเวงวัณฬาไม่ได้เห็นว่าความรักเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดอีกต่อไป จึงได้ออกบวช เพื่อแสดงให้ เห็นความเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวว่าไม่ต้องการพระอภัยมณีอีกแล้ว แต่ของออกบวชเพื่อแสวงธรรมและ ชดใช้สิ่งที่ทำลงไปอย่างขาดสติ เป็นการตีความเพื่อเป็นการสะท้อนเรื่องของคุณค่า ศักดิ์ศรีของสตรีนั้น ควรจะมีรูปแบบการสะท้อนแนวคิดจากนางสุวรรณมาลีและนางละเวงวัณฬาว่าพระอภัยมณีไม่มี ความสำคัญอีกต่อไป ไม่ควรค่าแก่การแย่งชิง 2.2) จากการปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิด้านวรรณกรรมและอาจารย์ที่ปรึกษา มีข้อเสนอแนะว่า ตอนจบของละครด้วยการให้นางสุวรรณมาลีและนางละเวงวัณฬาออกบวชนั้นสามารถทำได้ แต่ก็จะ เป็นตอนจบที่มีความคล้ายกับวรรณกรรมเดิมที่จบด้วยการออกบวชกันทั้งหมด ซึ่งงานวิจัยของนี้ควรมี การสร้างให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลง ความเข้มแข็งได้มากกว่านี้ เพื่อให้การสร้างสรรค์ละครที่จะ แสดงออกมานั้น แสดงออกได้อย่างชัดเจนเลยว่า การต่อสู่แย่งชิงพระอภัยมณีนั้นไม่ใช่เรื่องของความ หึงหวง แต่เป็นการสร้างคุณค่าและศักดิ์ศรีของผู้หญิง ผู้วิจัยได้ศึกษาทฤษฎีสตรีนิยมเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้แนวทางการประพันธ์บทละครนั้น มี แนวทางในการสร้างคุณค่าและรักษาศักดิ์ศรีของผู้หญิง ให้เห็นมุมมองของนางสุวรรณมาลีและ นางละเวงวัณฬาในมุมมองที่แตกต่าง การแย่งชิงพระอภัยมณีไม่ใช่เรื่องของความหึงหวงอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของศักดิ์ศรีแห่งความเป็นแม่ทัพและผู้ปกครองเมือง การสร้างความแตกต่างเพื่อให้ตอนจบ ของละครนั้นน่าสนใจ ส่งให้ตัวละครหลักนั้นมีความโดดเด่นเข้มแข็ง ผู้วิจัยจึงได้กำหนดให้มีการ ตัดสินใจให้นางสุวรรณมาลีและนางละเวงวัณฬาตัดพระอภัยมณีออกจากชีวิต ไม่มีคุณค่าและ ความสำคัญอีกต่อไป โดยที่กษัตรีทั้งสองยังคงสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้เป็นการสื่อให้เห็นว่า สุดท้ายแล้วพระอภัยมณีไม่มีความสำคัญในชีวิต สามารถตัดออกไปจากชีวิตได้โดยไม่มีผลกระทบอะไร เพื่อให้ผู้หญิงสามารถอยู่ได้โดยไม่มีผู้ชาย เป็นการแสดงออกถึงการรักศักดิ์ศรีของตนเอง รายละเอียดการปรับแก้ไขครั้งที่ 2 ดังตารางที่ 6
76 ตารางที่ 6 การประพันธ์บทละครและกระบวนการปรับปรุงและพัฒนาบทละครครั้งที่ 2 บทละคร ก่อนการปรับปรุงแก้ไข บทละคร หลังการปรับปรุงแก้ไข สุวรรณมาลี (ร้อง) ระลึกรู้ขึ้นมาก็ช้าเกินไป ละเวง (ร้อง) ข้าขอไถ่โทษให้ความผิดของข้า สุวรรณมาลี (ร้อง) บ้านเมืองถูกทำลายผู้ล้มตายวายชีวา ละเวง (ร้อง) ต่อไปนี้ข้าขอสละทุกอย่างสู่ทางธรรม สุวรรณมาลี (ร้อง) จะกอบกู้ผลึกนคราขึ้นมาใหม่ ด้วยกำลังกายกำลังใจทุกอย่างที่มี ในฐานะกษัตริยา ตัวข้านี้ จะกอบกู้ศักดิ์และศรีของสตรีคืนมา ละเวง ต่อไปนี้จะใช้อำนาจกษัตริยา สร้างนคราของข้าขึ้นมาใหม่ ตัดขาดตัณหาโลกิยะให้หมดไป จะอุทิศกายและใจให้บ้านเมือง คอรัส สุวรรณมาลีและละเวงวัณฬา ต่อไปนี้สองกษัตริยาจะทำอย่างไร เลือดเนื้อประชาที่สูญเสียไป จะทดแทนได้อย่างไรให้กับทุกคน สุวรรณมาลี ละเวง ฆ่า! สุวรรณมาลี ข้าจะฆ่าเขาให้ตายวายชีวา ละเวง จะสังหารให้ชีวาเขาดับสูญ สุวรรณมาลี ละเวง ให้พระอภัยหายกลายไปเป็นจุณ ให้สาบสูญสลายไป...จากหัวใจ เหมือนไม่เคยได้ประสบพบกัน ที่มา: ผู้วิจัย
77 เมื่อได้ปรับปรุงและพัฒนาบทละคร จนสามารถสะท้อนแนวความคิดจากการตีความหมาย ใหม่และตอบวัตถุประสงค์การวิจัยได้แล้ว ผู้วิจัยได้ตัวอย่างนำบทประพันธ์เดิม และบทละครที่ผู้วิจัย สร้างสรรค์ขึ้นมาเปรียบเทียบ เพื่อให้เห็นถึงความหมายที่สร้างขึ้นผ่านบทวรรณกรรมที่นำเสนอ ผ่านตัวละครหลัก ดังนี้ “พระอภัยมณี” การตีความ “พระอภัยมณี” จากบทประพันธ์เดิม พระอภัยมณี เป็นพระเอก เป็นคนดีที่มี ความกล้าหาญ เป็นผู้เก่งกล้า และมีความสามารถ มีวิชาการเป่าปี่ที่นำมาซึ่งชัยชนะในศึกสงคราม และเป็นผู้ที่มีเสน่ห์มีสตรีที่รักใคร่หลายนางจนสตรีทั้งหลายต้องมาแย่งชิงเพื่อให้ได้คนเก่งคน คนดี และบุรุษอันเป็นที่รักมาครอบครอง ซึ่งจากลักษณะของพระอภัยมณีที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นสิ่งที่ สามารถตีความได้จากบทประพันธ์ เรื่องพระอภัยมณี ที่จะมีการกล่าวถึงความเก่ง และความดีของ พระอภัยมณี ดังนั้น เหตุการณ์ที่มีการแย่งชิง การสูญเสียนั้น เกิดจากตัวของสตรีเองทั้งสิ้นที่มีความหึงหวง แย่งชิงจนเกิดความเสียหายเกิดขึ้น โดยที่พระอภัยมณียังคงเป็นคนเก่งคนดี และไม่มีผู้ใดมองว่าเป็น สาเหตุแห่งการแย่งชิง ซึ่งจากการตีความบทประพันธ์เดิมนั้น ผู้วิจัยได้มีความเห็นต่างและมองเห็นถึง มุมมองที่แตกต่างไปจากเดิม จึงได้นำบทประพันธ์เดิมมาเข้าสู่กระบวนการตีความหมายใหม่ โดยใช้ แนวคิดทฤษฎีด้านการตีความ การรื้อสร้าง และการสร้างตัวบทใหม่ ผู้วิจัยจึงได้ตีความความบทใหม่ และนำเสนอออกมา ดังนี้
78 ตารางที่7 เปรียบเทียบบทประพันธ์เดิมและบทประพันธ์ใหม่ของพระอภัยมณี พระอภัยมณี ตัวอย่าง บทประพันธ์เดิม ตัวอย่าง บทประพันธ์ใหม่ เห็นพระองค์ทรงโฉมประโลมใจ นั่งเป่าปี่อยู่ใต้พระไทรทอง ทั้งทรวดทรงองค์เอวก็อ้อนแอ้น เป็นหนุ่มแน่นน่าชมประสมสอง (ตอนที่ 2 นางผีเสื้อลักพระอภัยมณี) เมื่อวานนี้มีสำเภาเขาแวะมา พี่จะลาโดยสารไปบ้านเมือง คิดถึงสองพระชนกที่ปกเกล้า จะสร้อยเศร้าทุกข์ตรอมจนผอมเหลือง แม้นไปถึงธานีบุรีเรือง พอแจ้งเรื่องทุกข์ร้อนไม่นอนใจ สักปีครึ่งจึงจะกลับมารับน้อง อย่ามัวหมองหมางจิตต์คิดสงไสย (ตอนที่ 13 พระอภัยมณีโดยสารเรือนางสุวรรณมาลี) ทั้งห้ามแหนแผ่นดินท้าวสิลราช แสนสวาทพระอภัยจนใหลหลง บ้างอดข้าวเอารูปให้ซูบทรง ต่างประจงแต่งตัวให้ยั่วยวน อุส่าห์เฝ้าเช้าค่ำคอยสำเหนียก เมื่อไรจะเรียกร่วมห้องครองสงวน พระองค์เก่าเถ้าแก่ก็แปรปรวน ไม่หนุ่มนวลเหมือนพระอภัยมณี (ตอนที่ 22 พระอภัยมณีครองเมืองผลึก) ** พระอภัยมณี เมตตากรุณากล้าหาญ พระอภัยมณี คือตำนานของผู้กล้า พระอภัยมณี คือบุรุษสุดโสภา พระอภัยมณี แทน นามา ของ คนดี พระอภัยมณีเรียนจนจบครบวิชา ถูกผีเสื้อสมุทรยักษาลักพาหนี โอ้ว่า อนิจจาพระอภัยมณี ต้องเสียพรหมจารีให้นางมาร ปรบมือข้างเดียวคงไม่ดัง ปรบมือสองข้างจึงเกิดเสียง พรหมจารีที่ขว้างลงข้างเตียง ของยักษีด้วยไม่ใช่เพียงอภัยมณี เงือกน้อยกำพร้าน่าสงสาร พ่อแม่ถูกสังหารจนหมดสิ้น พระอภัยมณีจึงรับเป็นคู่อยู่กิน จนหมดสิ้นวาสนาจึงลานาง คนหนึ่งฆ่าให้ตายวายวาง อีกคนทิ้งขว้างยามเบื่อหน่าย คือวีรบุรุษหรือคนไร้หัวใจ ไม่มีรักให้ใครสักคนเดียว ** พระอภัยมณี ไม่ใช่กรุณากล้าหาญ พระอภัยมณี ไม่ใช่ตำนานของผู้กล้า พระอภัยมณี ไม่ใช่ บุรุษสุดโสภา พระอภัยมณี ไม่ใช่ นามา ของ คนดี (ดารกา วงศ์ศิริ ผู้ประพันธ์บทและเนื้อร้อง) ที่มา: ผู้วิจัย
79 จากตารางที่ 7 พบว่า จากการตีความหมายใหม่ในมุมมองของผู้วิจัย ผ่านแนวคิดทฤษฎีที่มีความ เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยตีความหมายและแต่งบทวรรณกรรมใหม่ โดยยกตัวอย่างบทประพันธ์เดิม พระอภัยมณี ที่ทุกคนชื่นชมในความสามารถและความมีเสน่ห์นั้น แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิด เนื่องจากสถานการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของนางผีเสื้อสมุทรที่ต้องตายจาก เสียงปี่ของพระอภัยมณี หรือนางเงือกที่ถูกพระอภัยมณีทอดทิ้ง นางผีเสื้อสมุทร และนางเงือก ที่มี จิตใจรักให้พระอภัยมณีอย่างแท้จริงนั้น กลับไม่ได้รับความรัก หรือการดูแลจากบุรุษอันเป็นที่รักยิ่ง โดยผู้ประพันธ์ได้แสดงให้เห็นว่าพระอภัยมณีไม่รักนางผีเสื้อสมุทรด้วยเหตุที่นางผีเสื้อสมุทรมิได้เป็น มนุษย์ แต่ในขณะที่พระอภัยมณีสามารถรักนางเงือกได้ทั้งที่นางเงือกก็มิได้เป็นมนุษย์เช่นกัน ซึ่งจาก บทประพันธ์เดิมที่ผู้วิจัยยกตัวอย่างมาดังตารางข้างต้นนั้น เป็นตอนที่มีการพรรณนาถึงความงดงาม และเสน่ห์ของพระอภัยมณีที่ทุกคนต่างหลงใหล ในการนี้ ผู้วิจัยมองว่า การตีความเพื่อให้เห็น ความเป็นจริงในอีกมุมมองหนึ่งเป็นการทำให้เห็นถึงคุณค่าและศักดิ์ของสตรีที่มีจิตใจมอบให้บุรุษ ที่เป็นที่รัก ซึ่งผู้วิจัยได้กำหนดโครงเรื่องของบทละคร เพื่อให้เห็นว่า พระอภัยมณีนั้น แท้จริงแล้วไม่ใช่ คนดีอย่างที่ใครคิด พระอภัยมณีเป็นต้นเหตุแห่งการสูญเสียและศึกสงคราม “นางสุวรรณมาลี และนางละเวงวัณฬา” การตีความใหม่ของนางสุวรรณมาลี และนางละเวงวัณฬา ที่ผู้อ่านมีมุมมองจากการอ่านบทประพันธ์ เดิมนั้น ผู้วิจัยพบว่า นางสุวรรณมาลี และนางละเวงวัณฬา สตรีที่มีความสามารถในการออกรบ และ ปกครองบ้านเมือง ต้องทำศึกสงครามด้วยสาเหตุที่มาจากความหึงหวงพระอภัยมณี ต้องการแย่งชิง พระอภัยมณีมาครอบครองเนื่องจากความรัก จนเกิดความเสียหายทั้งเมืองลังกา และเมืองผลึก ซึ่งจาก การสื่อความหมายของผู้แต่งนั้น ต้องการที่จะแสดงให้เห็นว่า สตรีนั้นไม่ว่าเก่งเพียงใด แต่หากเป็นเรื่อง ความรัก ความหึงหวงและการแย่งชิง ก็สามารถนำมาซึ่งศึกสงครามความเสียหายได้ ซึ่งการนำเสนอ ในแง่มุมดังกล่าวนั้น ทำให้ภาพลักษณ์ของสตรี รวมถึงคุณค่าและศักดิ์ศรีของสตรีนั้นน้อยลง อันมาจาก ความที่เป็นสตรีสามารถทำทุกอย่างได้หากต้องการแย่งชิงบุรุษคนเดียวกัน ทำให้มุมมองของผู้อ่านนั้น สามารถตีความได้ว่าสตรีนั้น เห็นเรื่องความรักและความหึงหวงเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า เรื่องใดๆ ทั้งสิ้น แต่จาก การศึกษาผ่านแนวคิดสตรีนิยมที่มีการนำเสนอเรื่องของความเท่าเทียมระหว่างบุรุษและสตรี รวมไปถึง การสร้างให้เห็นคุณค่า และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของสตรีที่ไม่ใช่เพียงให้ความสำคัญกับเรื่องของ บุรุษและความหึงหวง จึงได้นำแนวคิดเรื่องสตรีนิยมมาใช้ในการตีความหมายใหม่และสร้างบทละคร ที่จะนำไปสู่การเห็นคุณค่าของสตรีที่ไม่ใช่แค่เรื่องของความหึงหวงแต่อย่างใด แต่ยังคงมุ่งเน้นเรื่อง
80 ของการรักษาศักดิ์ศรีของสตรีและศักดิ์ศรีของความเป็นแม่ทัพ เรื่องของบุรุษและความหึงหวงจะไม่ใช่ สิ่งสำคัญอีกต่อไป การตีความหมายใหม่นั้นนอกจากแนวคิดสตรีนิยมแล้ว ผู้วิจัยได้ใช้แนวคิดทฤษฎี ด้านการตีความ การรื้อสร้าง และการสร้างตัวบทใหม่มาใช้ในการตีความความบทใหม่ และนำเสนอ ออกมา ดังนี้ ตารางที่8 เปรียบเทียบบทประพันธ์เดิมและบทประพันธ์ใหม่ของนางสุวรรณมาลี และ นางละเวงวัณฬา นางสุวรรณมาลี และ นางละเวงวัณฬา ตัวอย่าง บทประพันธ์เดิม ตัวอย่าง บทประพันธ์ใหม่ สุวรรณมาลี ฝ่ายทัพพระมเหสีถึงที่ป้อม สะพรั่งพร้อมซ้ายขวาโยธาหาญ หยุดรถทรงตรงพลับพลานอกปราการ สั่งกุมารหน่อกษัตริย์หัสไชย พ่อเคยเข้าเฝ้าองค์พระทรงฤทธิ์ ช่วยทูลกิจจาแจ้งแถลงไข จะขอเข้าเฝ้าพระภูวไนย แม้นมิให้พบพระองค์จะสงคราม ฯ มเหสีตีทรวงเข้าฮักอัก อกมิหักแล้วหรือกรรมจะทำไฉน นางแสนแค้นแสนละห้อยน้อยพระทัย สลบไปเป็นครู่แล้วรู้องค์ สะอื้นพลางทางว่านิจจาเอ๋ย กระไรเลยภูวไนยช่างใหลหลง เสียแรงน้องปองจิตเหมือนบิตุรงค์ รักพระองค์อุสาห์ตามข้ามคงคา ไม่มีโทษโกรธตรัสถึงตัดขาด เหมือนพระบาทฟาดฟันบั่นเกศา แต่ลูกน้อยสร้อยสุวรรณจันทร์สุดา มาวันทาพระไม่ทักเลยสักคำ เคยพึ่งบุญทูลกระหม่อมเหมือนฉัตรแก้ว ไม่มีแล้วใครจะชุบอุปถัมภ์ จะสู้ตายมิให้เป็นซึ่งเวรกรรม แต่อย่าซ้ำแนมเหน็บให้เจ็บใจ อันฝรั่งลังกาเป็นข้าศึก ไม่เคยนึกว่าพระองค์จะหลงใหล แม้พวกอื่นหมื่นแสนทั้งแดนไตร น้องมิได้ข้องขัดพระอัชฌา นี่ศัตรูงูพิษมันคิดคด ให้เสียยศเสียชาติพระศาสนา เสียโอรสหมดทั้งพระอนุชา แต่ธิดาเด็กนิดยังคิดชัง ฯ ข้ายกทัพนำข้ามมหาสมุทรมา หวังจะให้เขาฟื้นคืนสติปัญญาจำข้าได้ ข้าจะไม่ยอมเสียเขาไป จะไม่ยอมให้ละเวงได้พระอภัยไป ครอบครอง ศึกครั้งนี้ข้าจะปราชัยไม่ได้ ผลึกต้องไม่พ่ายแก่ลังกา เป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีระหว่างสองนครา ที่มีผู้หญิงเป็นกษัตริยาครองเมือง
81 ตารางที่8เปรียบเทียบบทประพันธ์เดิมและบทประพันธ์ใหม่ของนางสุวรรณมาลี และ นางละเวงวัณฬา (ต่อ) ที่มา: ผู้วิจัย จากตารางที่ 8 ผู้วิจัยได้นำบทประพันธ์เดิมที่กล่าวถึงนางสุวรรณมาลีและนางละเวงวัณฬาที่มี การนำเสนอความหึงหวงและความต้องการแย่งชิงพระอภัยมณีกลับมาเป็นของตนเอง ซึ่งจากความคิด ของผู้วิจัยนั้น เหมือนการลดคุณค่าและศักดิ์ศรีของผู้หญิง จากการตีความหมายใหม่ของผู้วิจัย จึงได้ กำหนดให้บทละครยังคงความต้องการแย่งชิงพระอภัยมณีเช่นเดียวกับโครงเรื่องเดิม แต่เป็นการแย่งชิง ที่เกิดจากการปกป้องศักดิ์ศรีของความเป็นผู้ครองเมือง การได้ครอบครองพระอภัยมณีไม่ใช่ด้วยเหตุ แห่งความหึงหวง แต่เป็นเหตุจากการต้องการแย่งชิงเมืองของอีกฝ่าย นอกจากนี้บทละคร เรื่อง “เงาสะท้อน” ที่ผู้วิจัยได้จัดทำขึ้นใหม่ เป็นการเสนอเรื่องของคุณค่า ศักดิ์ศรีและความเท่าเทียมระหว่างชายหญิง ตามแนวคิดสตรีนิยมที่มีการเปลี่ยนแปลงตามบริบท ของสังคม ที่จะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามารถ ความเก่งของผู้หญิงที่แม้จะเป็นหญิงก็สามารถ นางสุวรรณมาลี และ นางละเวงวัณฬา ตัวอย่าง บทประพันธ์เดิม ตัวอย่าง บทประพันธ์ใหม่ ละเวงวัณฬา นางละเวงเกรงศึกที่ฮึกหึง จะอื้ออึงอัปยศให้อดสู คิดผ่อนปรนกลศึกฝึกต่อครู จะลองสู้ศึกรักให้หักทบ ออกรับหน้าพาผัวไปยั่วเล่น ขี้หึงเห็นใจจะหมองต้องสลบ แล้วเสแสร้งแกล้งว่าเขามารบ จะใคร่พบภูวไนยจงไปรับ แม้จะรักครองสัตย์จงตัดเขา มิโปรดเกล้ายั่งยืนจงคืนกลับ จะตามไปให้เห็นกายนางนายทัพ ได้ยินกับสองหูดูกับตา หรือว่าพระจะไม่ไปอย่างไรเล่า พลางหยิกเพลาเป่ามนต์ดลคาถา พระโอนอ่อนผ่อนผันตามวัณฬา ไปสิพากันไปล้อให้พอการ ฯ สุวรรณมาลียกทัพใหญ่มายังลังกา เมืองผลึกหวังว่าจะชนะศึกได้ อย่าคิดว่าข้าจะยอมให้มีชัย ข้าจะต่อสู้จนได้ครอบครองพระอภัยมณี ในนามแห่งกษัตริย์กรุงลังกา ละเวงวัณฬาจะไม่ยอมเสียศักดิ์ศรี ข้าต้องชนะให้ได้ในศึกนี้ ในฐานะกษัตรีย์ข้ามีหน้าที่ต้องนำชัย! ********** ไม่ใช่แค่ช่วงชิงให้ได้อภัยมณี ชายผู้เป็นสามีของทั้งสอง ใครชนะก็จะได้ครอบครอง ทั้งผู้ชายที่หมายปอง ทั้ง..ครองเมือง!! (ดารกา วงศ์ศิริ ผู้ประพันธ์บทและเนื้อร้อง)
82 ปกครองบ้านเมือง และนำทัพออกศึกสงครามได้ไม่แพ้ผู้ชาย แสดงให้เห็นว่าในปัจจุบันนี้ การเปลี่ยนแปลง ทางบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ผู้หญิงก็มีความสามารถมีบทบาทในสังคมไม่น้อยไปกว่าผู้ชาย ทั้งเรื่องการศึกษา การทำงาน หรือการดำเนินชีวิตที่ผู้หญิงสามารถทำได้ดีเช่นเดียวกัน โดยผู้วิจัย ได้นำเสนอเกี่ยวกับการวิเคราะห์บทละคร ดังนี้ “พระอภัยมณี เมตตากรุณากล้าหาญ พระอภัยมณี คือตำนานของผู้กล้า พระอภัยมณี คือบุรุษสุดโสภา พระอภัยมณี แทน นามา ของ คนดี” “เกิดใต้ร่มเศวตฉัตรา มีรูปกายาดังสุวรรณรังสี มีนามาว่าพระอภัยมณี มีปี่เป็นศาสตราคร่าวิญญาณ” จากตัวอย่างบทละครเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่สะท้อนให้เห็นในมุมมองที่ไม่แตกต่างจาก การตีความจากวรรณกรรม เรื่องพระอภัยมณี ฉบับหอสมุดแห่งชาติ เนื่องจากเป็นการชื่นชมสรรเสริญ ในตัวพระเอกของเรื่อง ว่าเป็นคนดีมีความเก่งกาจ มีเสน่ห์และมีความสามารถเหนือผู้ใดอีกทั้งยังมี อาวุธติดตัวคือ ปี่ ที่สามารถฆ่าคนได้ด้วยเสียงปี่ ซึ่งการประพันธ์บทในตอนแรกเริ่มนี้จะเห็นได้ว่าตั้งใจ ที่จะใช้บทละครในการชื่นชมให้เห็นถึงความเก่ง และความสง่างามของพระอภัยมณี เนื่องจากผู้วิจัย ต้องการให้การดำเนินเรื่องนั้นยังคงอยู่ภายใต้กรอบการดำเนินเรื่องของวรรณกรรม เรื่อง พระอภัยมณี เพื่อที่ผู้ชมจะได้สามารถเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้เนื่องจากยังคงเค้าโครงเรื่องเดิมไว้ “พระอภัยมณีเรียนจนจบครบวิชา ถูกผีเสื้อสมุทรยักษาลักพาหนี โอ้ว่า อนิจจาพระอภัยมณี ต้องเสียพรหมจารีให้นางมาร”
83 ตัวอย่างบทละครในตอนนี้ กล่าวถึงการที่พระอภัยมณีถูกนางยักษ์ลักพาตัวไปไว้ที่ถ้ำและใช้ ชีวิตอยู่ร่วมกันนั้น จากบทประพันธ์เดิม ผู้อ่านจะมีความรู้สึกสงสารและเห็นใจพระอภัยมณีที่ถูกนางยักษ์ จับตัวไปและขังเอาไว้ ซึ่งในเรื่องดังกล่าวเป็นการแสดงให้เห็นว่า พระอภัยมณีนั้นอยู่ในสถานะถูกกระทำ ซึ่งในมุมมองของผู้วิจัยได้มีความเห็นต่าง ไปว่าการที่พระอภัยมณีและนางผีเสื้อสมุทรอยู่ด้วยกันในถ้ำ จนมีบุตรด้วยกันนั้น ไม่ใช่เพียงการฝืนใจหรือถูกทำร้ายเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นการกระทำที่เกิดจาก ทั้งสองฝ่าย ดังบทละครที่ว่า “ปรบมือข้างเดียวคงไม่ดัง ปรบมือสองข้างจึงเกิดเสียง พรหมจารีที่ขว้างลงข้างเตียง ของยักษีด้วยไม่ใช่เพียงอภัยมณี” บทประพันธ์เดิมนั้น ให้ความรู้สึกเห็นใจพระอภัยมณีที่ถูกนางผีเสื้อสมุทรจับตัวไปขัง เนื่องจากนางผีเสื้อสมุทรเป็นยักษ์ จึงทำให้พระอภัยมณีไม่สามารถที่จะรักกับนางผีเสื้อสมุทรได้ แต่ใน ความเป็นจริงแล้ว นางเงือกก็ไม่ใช่มนุษย์เช่นกัน แต่พระอภัยมณีก็สามารถอยู่กินกับนางเงือกจนมีบุตร ด้วยกันได้ ซึ่งจากการตีความจากบทประพันธ์ดังกล่าวนั้น ก็จะมีการมองว่าสิ่งที่พระอภัยมณีทำไปนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ผิด พระอภัยมณีสามารถฆ่านางผีเสื้อสมุทรและทอดทิ้งนางเงือกได้โดยไม่มีผู้ใดที่รู้สึกว่า สิ่งที่พระอภัยมณีทำเป็นสิ่งที่ไม่ดี ซึ่งมุมมองของผู้วิจัยมองว่าคุณค่าและศักดิ์ศรีของผู้หญิงก็ไม่ใช่สิ่ง ที่ควรมองข้าม จึงได้ประพันธ์บทในตอนนี้เพื่อให้เห็นว่าสิ่งที่พระอภัยมณีทำนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควร มองข้าม ดังบทละครที่ว่า “คนหนึ่งฆ่าให้ตายวายวาง อีกคนทิ้งขว้างยามเบื่อหน่าย คือวีรบุรุษหรือคนไร้หัวใจ ไม่มีรักให้ใครสักคนเดียว ” การรื้อสร้างบทประพันธ์สำหรับการแสดงสร้างสรรค์เรื่อง “เงาสะท้อน” นี้ ผู้วิจัยได้รื้อสร้าง บทประพันธ์จากการตีความตามแนวคิดทฤษฎีสตรีนิยมเรื่องของคุณค่าและศักดิ์ศรีของผู้หญิง ซึ่งฉากที่มี