The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ได้กำหนดให้ภาษาไทย ซึ่งเป็นภาษาประจำชาติ เป็นรายวิชาพื้นฐานที่ผู้เรียนทุกคนต้องเรียน เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนให้สามารถใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้องตามหลักการใช้ภาษาไทยและเกิดความรู้ความเข้าใจในเอกลักษณ์ทางภาษาของชาติ
ภาษาไทย เป็นเอกลักษณ์ของชาติ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันทำให้เกิดเอกภาพและเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร เพื่อสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์อันดีของคนในชาติ นอกจากนี้ ภาษาไทยยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยในการแสวงหาความรู้ความเข้าใจ และเลือกสรรใช้ภาษาไทยที่ถูกต้อง เพื่อธำรงไว้ซึ่งเอกภาพของชาติไทย และสามารถนำไปใช้พัฒนาอาชีพต่างๆ เพื่อประโยชน์ของตนเองและสังคม
สำหรับหนังสือหลักภาษาใส่ไข่นี้ ทางผู้เรียบเรียงได้แบ่งเนื้อหาออกเป็น ๗ บท ได้แก่ บทที่ ๑ ธรรมชาติของภาษาไทย บทที่ ๒ การใช้คำและกลุ่มคำ บทที่ ๓ ระดับของภาษาและคำราชาศัพท์ บทที่ ๔ การแต่งคำประพันธ์ บทที่ ๕ คุ้ยเขี่ยอิทธิพลภาษา บทที่ ๖ คุ้ยเขี่ยร่างการสร้างคำ และบทที่ ๗ คุ้ยเขี่ยหาการใช้สื่อ
หนังสือหลักภาษาใส่ไข่ มีเนื้อหามุ่งเน้นให้ผู้เรียนเข้าใจในหลักการใช้ภาษาไทยกว้างขึ้น ทั้งนี้การที่ผู้เรียนจะสามารถใช้ภาษาไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องเรียนรู้ จดจำ ฝึกทำ และนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
ผู้เรียบเรียงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้จะสามารถพัฒนาความรู้ความเข้าใจ ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔-๖

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Pacharada Pinjai, 2023-02-15 14:02:48

หลักภาษาใส่ไข่

ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ได้กำหนดให้ภาษาไทย ซึ่งเป็นภาษาประจำชาติ เป็นรายวิชาพื้นฐานที่ผู้เรียนทุกคนต้องเรียน เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนให้สามารถใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้องตามหลักการใช้ภาษาไทยและเกิดความรู้ความเข้าใจในเอกลักษณ์ทางภาษาของชาติ
ภาษาไทย เป็นเอกลักษณ์ของชาติ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันทำให้เกิดเอกภาพและเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร เพื่อสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์อันดีของคนในชาติ นอกจากนี้ ภาษาไทยยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยในการแสวงหาความรู้ความเข้าใจ และเลือกสรรใช้ภาษาไทยที่ถูกต้อง เพื่อธำรงไว้ซึ่งเอกภาพของชาติไทย และสามารถนำไปใช้พัฒนาอาชีพต่างๆ เพื่อประโยชน์ของตนเองและสังคม
สำหรับหนังสือหลักภาษาใส่ไข่นี้ ทางผู้เรียบเรียงได้แบ่งเนื้อหาออกเป็น ๗ บท ได้แก่ บทที่ ๑ ธรรมชาติของภาษาไทย บทที่ ๒ การใช้คำและกลุ่มคำ บทที่ ๓ ระดับของภาษาและคำราชาศัพท์ บทที่ ๔ การแต่งคำประพันธ์ บทที่ ๕ คุ้ยเขี่ยอิทธิพลภาษา บทที่ ๖ คุ้ยเขี่ยร่างการสร้างคำ และบทที่ ๗ คุ้ยเขี่ยหาการใช้สื่อ
หนังสือหลักภาษาใส่ไข่ มีเนื้อหามุ่งเน้นให้ผู้เรียนเข้าใจในหลักการใช้ภาษาไทยกว้างขึ้น ทั้งนี้การที่ผู้เรียนจะสามารถใช้ภาษาไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องเรียนรู้ จดจำ ฝึกทำ และนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
ผู้เรียบเรียงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้จะสามารถพัฒนาความรู้ความเข้าใจ ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔-๖

Keywords: หลักภาษา

ศศิตา เอาะน้อย พัชรดา ปิ่นใจ หลักภาษาใส่ไข่ ชั้นมัธยมสึกษาปีที่ ๔ กลุ่มสาระเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑ สาขาวิชาการสอนภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร


หลักภาษาใส่ไข่ หลักภาษาไทยชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔


หลักภาษาใส่ไข่ หลักภาษษไทยชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ จัดทำ โดย นางสาวศศิตา เอาะน้อย นางสาวพัชรดา ปิ่นใจ สาขาวิชาการสอนภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร


คำ นำ ตามหลักลั สูตสูรแกนกลางการศึกษาขั้นขั้พื้นฐาน พุทพุธศักราช ๒๕๕๑ ได้ กำ หนดให้ภาษาไทย ซึ่งซึ่เป็นภาษาประจำ ชาติ เป็นรายวิชวิาพื้นฐานที่ผู้ที่เผู้รียรีน ทุกทุคนต้อต้งเรียรีน เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้เผู้รียรีนให้สามารถใช้ภช้าษาไทยได้ อย่าย่งถูกถูต้อต้งตามหลักลัการใช้ภช้าษาไทยและเกิดกิความรู้ครู้วามเข้าข้ ใจใน เอกลักลัษณ์ทางภาษาของชาติ ภาษาไทย เป็นเอกลักลัษณ์ของชาติ เป็นสมบัติบัทติางวัฒวันธรรมอันอัทำ ให้ เกิดกิเอกภาพและเป็นเครื่อรื่งมือมืที่ใที่ช้ใช้นการติดติต่อต่ สื่อสาร เพื่อสร้าร้งความเข้าข้ ใจ และความสัมพันธ์อัธ์นอัดีขดีองคนในชาติ นอกจากนี้ ภาษาไทยยังยัเป็นเครื่อรื่งมือมื สำ คัญที่ช่ที่วช่ยในการแสวงหาความรู้ครู้วามเข้าข้ ใจ และเลือลืกสรรใช้ภช้าษาไทยที่ ถูกถูต้อต้ง เพื่อธำ รงไว้ซึ่ว้งซึ่เอกภาพของชาติไติทย และสามารถนำ ไปใช้พัช้ พัฒนา อาชีพชีต่าต่งๆ เพื่อประโยชน์ของตนเองและสังคม สำ หรับรัหนังสือหลักลัภาษาใส่ไข่นี้ข่นี้ทางผู้เผู้รียรีบเรียรีงได้แด้บ่งบ่เนื้อหาออก เป็น ๗ บท ได้แด้ก่ บทที่ ๑ ธรรมชาติขติองภาษาไทย บทที่ ๒ การใช้คำช้ คำและกลุ่มลุ่ คำ บทที่ ๓ ระดับดัของภาษาและคำ ราชาศัพท์ บทที่ ๔ การแต่งต่คำ ประพันธ์ บทที่ ๕ คุ้ยเขี่ยขี่อิทอิธิพธิลภาษา บทที่ ๖ คุ้ยเขี่ยขี่ร่าร่งการสร้าร้งคำ และบทที่ ๗ คุ้ย เขี่ยขี่หาการใช้สื่ช้ สื่อ หนังสือหลักลัภาษาใส่ไข่ มีเมีนื้อหามุ่งมุ่เน้นให้ผู้เผู้รียรีนเข้าข้ ใจในหลักลัการใช้ ภาษาไทยกว้าว้งขึ้นขึ้ทั้งทั้นี้การที่ผู้ที่เผู้รียรีนจะสามารถใช้ภช้าษาไทยได้อด้ย่าย่งมี ประสิทธิภธิาพ จำ เป็นต้อต้งเรียรีนรู้ จดจำ ฝึกทำ และนำ ไปใช้ใช้นชีวิชีตวิ ประจำ วันวั ผู้เผู้รียรีบเรียรีงหวังวัเป็นอย่าย่งยิ่งยิ่ว่าว่หนังสือเล่มล่นี้จะสามารถพัฒนาความรู้ ความเข้าข้ ใจ ตามมาตรฐานการเรียรีนรู้แรู้ละตัวตัชี้วัชี้ดวัหลักลั สูตสูรแกนกลางการ ศึกษาขั้นขั้พื้นฐาน พุทพุธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มลุ่ สาระการเรียรีนรู้ภรู้าษาไทย ชั้นชั้มัธมัยมศึกษาปีที่ ๔-๖ ก


สารบัญ บั ข หน้า ก ข ค ๑ ๓๓ ๔๙ ๖๕ ๘๕ ๑๐๓ ๑๒๑ คำ นำ สารบัญบั มาตรฐานการเรียรีนรู้ บทที่ ๑ ธรรมชาติขติองภาษาไทย บทที่ ๒ การใช้คำช้ คำและกลุ่มลุ่คำ บทที่ ๓ ระดับดัของภาษาและคำ ราชาศัพท์ บทที่ ๔ การแต่งต่คำ ประพันธ์ บทที่ ๕ คุ้ยเขี่ยขี่อิทอิธิพธิลภาษา บทที่ ๖ คุ้ยเขี่ยขี่ร่าร่งการสร้าร้งคำ บทที่ ๗ คุ้ยเขี่ยขี่หาการใช้สื่ช้ สื่อ ภาคผนวก


ตัว ตั ชี้วัด วั อิทอิธิพธิลของภาษา ท ๔.๑ ม.๔/๑ อธิบธิายธรรมชาติขติองภาษา พลังลัของภาษาและลักลัษณะขอภาษา ท ๔.๑ ม.๔/๒ ใช้คำช้ คำและกลุ่มลุ่คำ สร้าร้งประโยคตรง ตามวัตวัถุปถุระสงค์ ท ๔.๑ ม.๔/๓ ใช้ภช้าษาเหมาะสมแก่โก่อกาส กาลเทศะ และบุคบุคลรวม ทั้งทั้คำ ราชาศัพท์ อย่าย่งเหมาะสม ท ๔.๑ ม.๔/๔ แต่งต่บทร้อร้ยกรอง ท ๔.๑ ม.๔/๕ วิเวิคราะห์อิทอิธิพธิลของภาษาต่าต่งประเทศ และภาษาถิ่นถิ่ ท ๔.๑ ม.๔/๖ อธิบธิายและวิเวิคราะห์หลักลัการสร้าร้งคำ ในภาษาไทย ท ๔.๑ ม.๔/๗ วิเวิคราะห์และประเมินมิการใช้ภช้าษาจาก สื่อสิ่งพิมพ์และสื่อ อิเอิล็ก ล็ ทรอนิกส์ ม า ต ร ฐ า น มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ย ลี่ นแปลงของภาษาและพลังของภาษา ภูมิ ภูมิปัญญาทางภาษา และรักรัษาภาษาไทยไว้เว้ป็นสมบัติของชาติ ตัวชี้วัชี้วัดของชั้มัชั้ธมัยมศึกษาปีที่ ๔ แผนผังผั สาระการเรีย รี นรู้ หลักลัภาษา ม.๔ ธรรมชาติขติองภาษาไทย การใช้คำช้ คำและกลุ่มลุ่คำ คำ ราชาศัพท์ การแต่งต่คำ ประพันธ์ การสร้าร้งคำ ในภาษาไทย สื่อสิ่งพิมพ์ และอิเอิล็ก ล็ ทรอนิกส์ ค


๑ คุ้ยเขี่ยหาธรรมชาติข ติ องภาษาไทย บทที่


ลักลัษณะของภาษาไทย ธรรมชาติข ติ องภาษาไทย ธรรมชาติขติองภาษา พลังลัของภาษา ความหมายของภาษา ประเภทของภาษาที่ใที่ช้ใช้น การสื่อสาร ธรรมชาติขติองภาษา ลักลัษณะสำ คัญของภาษาไทย เสียงในภาษาไทย ส่วนประกอบของภาษา


เครื่อ รื่ งหมายที่ม ที่ นุษ นุ ย์ใช้สื่ช้ สื่ อความหมายกัน เช่นช่ สัญญาณไฟ สัญญาณ ควันวัรหัส ท่าท่ทาง ดนตรี เสียง การแต่งกาย ฯลฯ เครื่อ รื่ งหมายเหล่านี้ไม่ใช่ คำ พูดแต่สต่ามารถใช้สื่ช้ สื่ อสารได้ จะเห็นได้ว่าแม้แม้ผ่นผ่ ป้ายโฆษณาจะใช้คำช้ คำเพียง ไม่กี่ม่กี่คำ กี่ คำแต่ใต่ห้อารมณ์หรือ รื ความรู้สึรู้ สึ กพึงพอใจได้มาก และทำ ให้ทราบจุด ประสงค์ของการโฆษณานั้นด้วยภาพเป็นส่วนใหญ่ การอธิบธิายภูมิประเทศก็ อาจแสดงด้วยแผนที่ ซึ่งซึ่จะทำ ให้เข้าใจได้ดีกว่าการใช้คำช้ คำพูดเพียงอย่างเดียว ภาษาพวกนี้เรีย รี กว่า อวัจนภาษา คือ ภาษาที่ไที่ ม่ใม่ช่คำช่ คำพูด ในปัจจุบันภาษา ชนิดนี้มีค มี วามสำ คัญมากขึ้น และมีห มี ลักเกณฑ์ในการใช้มช้ากขึ้นกว่าแต่ก่อน ธรรมชาติข ติ องภาษา ภาษาเป็นเครื่อ รื่ งมือ มื ที่ม ที่ นุษ นุ ย์ใช้ใช้นการติดต่อสื่อสาร เพื่อแลกเปลี่ยน ความคิดความเห็น ทฤษฎี อารมณ์ ความรู้สึรู้ สึ ก หรือ รื เพื่อทำ ให้เกิดความเข้าใจ ความพึง-พอใจ ความเคียดแค้น เป็นต้น กิจกรรมที่ใที่ ช้ภช้าษามีมากมาย เช่นช่ การให้ข้อข้มูล การชี้แชี้จง การแสดงความคิดเห็น การโฆษณา การอภิปราย การเล่าล่เรื่อ รื่ ง การโต้-ต้แย้ง ตลอดจนการสนทนาในชีวิ ชีวิตประจำ วัน อาจกล่าว ได้ว่าว่กิจกิกรรมเกือบทั้งทั้หมดในชีวิ ชีวิตของมนุษ นุ ย์ล้วนแต่อาศัยภาษาทั้งทั้ สิ้น ๑.๑ ความหมายของภาษา คำ ว่าว่"ภาษา" อาจแบ่งบ่ความหมายออกได้เป็น ๒ ประเภท คือ "ภาษาในความหมายกว้าง" หมายถึง ภาษาที่ใที่ ช้คำช้ คำพูด (วัจนภาษา) และภาษา ที่ไที่ม่ไม่ด้ใช้คำช้ คำพูดหรือ รื ภาษาท่าท่ทาง (อวัจนภาษา) ทั้งทั้นี้ภาษาในความหมายนี้ อาจนับรวมภาษาของสัตว์ด้วยแต่เรื่อ รื่ งภาษาของสัตว์นี้ยังมีข้อมูลไม่มากนัก จึง จึไม่ค่ม่ ค่อยมีใครนำ มากล่าวรวมกับภาษาของมนุษ นุ ย์"ภาษาในความหมายแคบ" หมายถึง ภาษาที่ใที่ ช้คำช้ คำพูด จะเป็นคำ พูดหรือ รื ลายลักษณ์อักษร ซึ่งซึ่เป็น เครื่อ รื่ งหมายใช้แช้ทนคำ พูดก็ไก็ ด้ ดังนั้น ความหมายของภาษาที่เ ที่ ขียนเพื่อการ สื่อสารในชีวิ ชีวิตประจำ วันวัก็คือความหมายประการหลังซึ่งซึ่หมายถึง ถ้อยคำ ที่ มนุษ นุ ย์ใย์ ช้สื่ช้ สื่ อความกันได้ นักภาษาจึงเรีย รี กความหมายของภาษาในแง่นี้ง่นี้ว่า "ความหมายแคบ" เพราะจำ กัดอยู่เ ยู่ พียงคำ พูดของมนุษ นุ ย์เท่าท่นั้น อย่างไร ก็ต ก็ ามเมื่อ มื่ มนุษ นุ ย์พัฒนาขึ้นก็มี ก็ มี วิธีถ่ ธี ถ่ายทอดเสียงพูดเป็นสิ่งอื่น ในการสื่อสาร สิ่งที่ใที่ช้แช้ทนเสียงก็คื ก็ คื อ ตัวอักษร เช่นช่เดียวกับที่ถ่ ที่ ถ่ายเสียงภาษาไทยเป็นตัว อักษรไทย ๓ ๑


๔ ๑.๒ ประเภทของภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร มนุษ นุ ย์ที่ ย์ อที่ยู่ร่ ยู่ วร่มกันในสังคมสามารถสื่อสารกันได้หลายทาง ตั้งตั้แต่การ พูดให้ฟัง การเขียนให้อ่าน การสื่อสารผ่าผ่นสื่อเทคโนโลยี ฯลฯ เป็นการส่ง สารด้วยภาษาถ้อยคำ ถ่ายทอดจากผู้ส่ ผู้ส่งสารไปยังผู้รั ผู้ บรั สาร ทั้งทั้นี้สารจะมี ประสิทธิภธิาพเพียงใด ขึ้น ขึ้ อยู่กั ยู่กับทักทัษะการใช้ภช้าษาของผู้รั ผู้ บรั สารและผู้ส่ ผู้ส่ง สาร กล่าล่วคือ ผู้ส่ ผู้ส่งสารต้อต้งมีความสามารถในการใช้ถ้ช้ ถ้อยคำ สามารถแสดง น้ำ เสียง ท่าท่ทาง หน้าตา ได้อย่างเหมาะสม ส่วนผู้รั ผู้ บรั สารต้องมีความ สามารถในการตีค ตี วามให้กระจ่าง ทั้งทั้จากถ้อยคำ น้ำ เสียง บุค บุ ลิก แววตา และท่าท่ทางของผู้ส่ ผู้ส่งสาร ภาษาที่ใที่ช้ใช้นการสื่อสารนี้แบ่งได้ ๒ ประเภท ดังนี้ ๑) ลัก ลั ษณะและรูปแบบของอวัจนภาษา อวัจนภาษา คือ ภาษาที่ไที่ ม่ใม่ช้ ถ้อยคำ มีลั มี กลัษณะและรูปแบบที่สำที่สำคัญ ดังนี้ ๑.๑) การแสดงออกทางใบหน้า สามารถบอกเจตนาได้ เช่นช่ การแสดงออกทางใบหน้า ยิ้มยิ้แย้มย้แจ่มจ่ ใส ตกใจ โกรธ แสดงเจตนา เต็ม ต็ ใจ พอใจ ตกใจ ไม่เม่ต็ม ต็ ใจ ๑.๒) น้ำ เสียง เป็นสิ่งสำ คัญในการสื่อสารเพราะสามารถบอก อารมณ์ ความรู้สึรู้ สึ กของผู้ส่ ผู้ส่งสาร สังเกตได้จากน้ำ เสียง ดังตัวอย่างต่อไปนี้ น้ำ เสียง -เสียงดังดัพอได้ยิด้นยิ สูงสูต่ำ พอประมาณ ยืดยืเสียงเล็ก ล็ น้อย -เสียงดังดัมาก กระโชกโฮกฮาก สั้นห้วน -เสียงค่อยเกินกิ ไป พูดพูอ่ออ่ยๆ


๕ อารมณ์ของผู้ส่ ผู้ส่งสาร -แสดงความสุภสุาพ -แสดงความไม่สุม่ภสุาพ -แสดงความไม่แม่น่ใจ ลังลัเลใจ ๑.๓) ท่าท่ทาง คือ กิริกิยริาท่าท่ทางขณะส่งสาร ได้แก่ ท่าท่นั่ง ท่าท่ยืน และการ ทรงตัวตัมีผ มี ลต่อการส่งสาร เช่นช่ -ท่าท่ทางสุภสุาพ ได้แด้ก่ ท่าท่นั่งหรือรืยืนยือย่าย่งสุภสุาพ -ท่าท่ทางไม่สุม่ภสุาพ ได้แด้ก่ ท่าท่ยืนยืทำ ตัวตัตามสบาย เอามือมืล้วล้งกระเป๋า หรือรืท่าท่นั่ง ไขว้ห้ว้ ห้างต่อต่หน้าผู้อผู้าวุโวุสกว่าว่ ๑.๔) การแต่งต่กาย ควรแต่งกายให้เหมาะสมกับโอกาส กาลเทศะ และ สภาพแวดล้อม การแต่งกายที่สุที่ภ สุ าพทั้งทั้เสื้อผ้าผ้รองเท้าท้ฯลฯ จะช่วช่ยให้ผู้ ฟังเกิดกิความประทับทั ใจและความเชื่อ ชื่ ถือในตัวผู้พู ผู้ พู ด แต่ถ้ำ แต่งกายไม่สุภาพ และไม่เม่หมาะสมกับสถานที่ อาจจะทำ ให้เกิดความเสื่อมศรัทรัธา ๑.๕) การเคลื่อนไหว ในขณะพูดต้องเคลื่อ ลื่ นไหวบ้างพอเหมาะกับเนื้อหาที่พู ที่ พู ด แต่อต่ย่าย่เคลื่อ ลื่ นไหวมากเกินกิ ไปเพราะอาจดูเหมือ มื นการแสดงละคร ๑.๖) การใช้มือ มื และแขน ขณะพูดควรใช้มืช้ มื อหรือ รื แขนให้สอดคล้องกับเรื่อ รื่ ง ที่พูที่พู ด เช่นช่ กำ มือมื ผายมือมื ยกมือมืทั้งทั้ สองข้าข้งพร้อร้มกันกั เป็นการแสดงความสำ คัญ เป็นการบอกทิศทิทาง ยกมือมืทั้งทั้ สองข้าข้งพร้อร้มกันกัเป็นการบอกขนาด ๑.๗) การใช้นัยน์ตา หรือ รื แววตาสามารถสื่ออารมณ์ของผู้พู ผู้ พู ดได้ เช่นช่แปลก ใจ สงสัย มั่นมั่ ใจ ลังลัเลใจ สมใจ สะใจ ฯลฯ ๑.๘) การใช้ภาษาสัญลักษณ์ต่าต่งๆ ที่กำที่กำหนดขึ้นโดยสังคมกลุ่มลุ่ต่างๆ หรือ รื ภาษาสากล ล้วนใช้สื่ช้ สื่ อความหมายแทนสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้เป็นที่เ ที่ ข้าใจตรงกัน เช่นช่ตัวตัหนังสือ สัญญาณมือ สัญญาณไฟ ธง ป้ายจราจร สัญญาณนกหวีด สัญญาณเสียงต่าต่งๆ และภาษามือ มื ของผู้พิ ผู้พิการอวัจนภาษาเหล่านี้ สามารถนำ ไปใช้ปช้ระกอบกับกัการใช้วัช้จวันภาษาเพื่อให้การสื่อสารมีปมี ระสิทธิภธิาพยิ่งขึ้น เช่นช่ขณะที่พูที่พู ดอาจใช้มืช้อ มื ทำ ท่ทท่างประกอบ ใช้สีช้ สี หน้า หรือ รืสัญลักษณ์ต่างๆ ประกอบด้วยได้


๖ ๒) ลัก ลั ษณะและรูปแบบของวัจนภาษา ภาษาไทยมีถ้ มี ถ้อยดำ ที่แ ที่ สดงความลด หลั่นลั่ชั้นชั้เชิงชิของภาษาอยู่ม ยู่ าก ทั้งทั้ถ้อยดำ สำ นวน โวหาร การเลือกสรร ถ้อยคำ จึง จึ เป็นเรื่อ รื่ งสำ คัญที่สุที่สุ ดในการสื่อสาร เพราะถ้าใช้ถ้ช้ ถ้อยคำ ภาษาผิดผิ อาจส่งผลให้การสื่อสารไม่ตม่รงเป้าหมายที่ต้ ที่ ต้องการ หรือ รื ทำ ให้เกิดความ เข้าข้ ใจผิดผิ ได้ การใช้วัช้วัจนภาษาให้เหมาะกับกาลเทศะและบุคคลจึงเป็นเรื่อ รื่ งที่ ควรศึกษาในที่นี้ ที่นี้จะขอยกข้อสังเกตของการใช้วัช้วัจนภาษาเพื่อศึกษา พิจารณา และเลือ ลื กใช้ดำช้ ดำ ได้ถูกต้อต้งเหมาะสมยิ่งขึ้น ดังนี้ ๒.๑) ดำ ที่มี ที่ ค มี วามหมายเหมือนกัน มีที่ใที่ ช้ต่าต่งกัน การใช้คำช้ คำเหล่านี้ต้องคำ นึง ถึงโอกาส สถานที่ และสัมพันธภาพระหว่างบุคคล เช่นช่ ระดับ ดั บุค บุ คล คำ ศัพท์ การใช้ภาษา พระภิกภิษุ พระบรมวงศานุวนุงศ์ บุคบุคลทั่วทั่ ไป กินกิ กินกิ กินกิ รับรั ประทาน ฉัน เสวย ๒.๒) คำ ที่เ ที่ป็นภาษาพูด เมื่อนำ คำ ที่เ ที่ป็นภาษาพูดมาเขียนเป็นภาษาเขียน จะเขีย ขี นไม่ตม่รงกับกัเสียงพูด เช่นช่ ภาษาพูด พู ภาษาเขียน เค้าเอาของชั้นชั้ ไปแล้วล้ ไม่คืม่ คืนได้ได้ง เขาเอาของฉันไปแล้วล้ ไม่คืม่ คืนได้อด้ย่าย่งไร ๒.๓) คำ ที่เป็นภาษาปาก คำ ที่เที่ป็นภาษาปาก ไม่นิยมนำ มาเป็นภาษาเขียน เช่นช่


๗ ภาษาปาก ภาษาเขียน เยอะแยะ ใบขับขัขี่ มหาลัยลั มากมาย มหาวิทวิยาลัยลั ใบอนุญนุาตขับขัขี่ ๒.๕) การใช้สำ นวน เป็นลักษณะเด่นของการสื่อสาร เพื่อใช้เช้ปรีย รี บเทีย ที บ ให้ผู้ฟั ผู้ฟังเข้าข้ ใจได้ทันทัที สำ นวนเหล่านี้จะมีความหมายไม่ตรงกับคำ ที่เ ที่ ขียน เช่นช่ -ใจยักยัษ์ หมายถึงถึมีจิมีตจิ ใจดุร้ดุาร้ย โหดเหี้ยม -คอแข็ง ข็ หมายถึงถึทนต่อต่รสอันอัเข้มข้ข้นข้รุนแรงของสุรสุาได้ ๒.๕) การใช้ศัพท์เฉพาะในแวดวงเดียวกัน และการใช้คำช้ คำผวน การใช้ศัช้ ศัพท์ เฉพาะในแวดวงเดียวกัน อาจทำ ให้คนนอกกลุ่ม ลุ่ ฟังไม่เม่ข้าใจ เช่นช่พยาบาล คุยกันกัว่าว่"วันนี้ต้องขึ้นวอร์ด ร์ หรือ รื เปล่า" คนที่ไที่ม่เม่กี่ยวข้องจะไม่รู้ว่รู้ ว่า วอร์ด ร์ คือ การเข้าข้เวรปฏิบัฏิติบัหติน้าที่ หรือ รื การพูดคำ ผวน เช่นช่ -หมาตาย หมายถึงถึหมายตา -แจ้วจ้หลบ หมายถึงถึจบแล้วล้ การพูดคำ ผวนต้อต้งระมัดมัระวังวั ไม่ใม่ห้หยาบโลน มีบางคำ ที่ผ ที่ วนแล้วมี ความหมายทางหยาบโลน จึง จึ ต้องพยายามหลีกเลี่ยง ๒.๖) การใช้ภาษาถิ่น ภาษาถิ่นเป็นภาษาที่ใที่ ช้กัช้ กันเฉพาะหมู่ และนิยมใช้ เป็นภาษาพูด แต่มีต่บ มี างคำ เป็นที่รู้ ที่ รู้ จัรู้ จักกันดีอยู่แ ยู่ ล้ว เช่นช่ แซบ ในภาษาถิ่นอีสาน หมายถึง อร่อร่ย ลำ ในภาษาถิ่นเหนือ หมายถึง อร่อร่ย หรอย ในภาษาถิ่นใต้ หมายถึง อร่อร่ย


๘ ๒.๙) การใช้คำ คะนอง และสแลงเฉพาะสมัย เป็นการใช้คำช้ คำ สื่อสารกันกั เพียงชั่วชั่คราว เช่นช่ซ่าซ่ ส์ มั่วมั่ ปิ้ง จ๊าบ ฯลฯ จึงเหมาะที่จที่ะใช้ใช้นการพูดเฉพาะ กลุ่มลุ่ที่สที่ามารถสื่อสารกันกัอย่าย่งเข้าใจ ไม่เม่หมาะที่จ ที่ ะนำ ไปใช้ใช้นการสนทนา ทั่วทั่ ไปหรือ รื การเขีย ขี น ๑.๓ ธรรมชาติข ติ องภาษา ภาษาทุก ทุ ภาษาต่าต่งมีเ มี อกลักลัษณ์เฉพาะแต่อย่างไรย่อมมีลักษณะทั่วทั่ ไปร่วร่มกัน ดังนี้ ๑) ภาษาใช้เสียงสื่อความหมาย คนแต่ละชาติ แต่ละกลุ่ม ลุ่ แต่ละพวก ต่าต่งกำ หนดเสียงที่ใที่ช้พูช้พู ดสื่อความหมายเฉพาะในกลุ่ม ลุ่ ตนว่าจะให้เสียงใดมี ความหมายอย่าย่งใด เมื่อ มื่ ใด ด้วยเหตุนี้ เสียงในแต่ละภาษาจึงต่างกัน เช่นช่ ในภาษาไทยไม่มีม่เ มีสียงสะกด ล /, ส /s/ อย่างในภาษาอังกฤษหรือ รื ภาษา อังกฤษไม่มีม่เ มีสียงสะกด ป /p/, ต // เพราะเสียงสะกดนี้ในภาษาอังกฤษ ต้อต้งมีก มี ารพ่นลม เป็นตันตัจะมีก็ มี ก็ แต่คำ ที่เ ที่ กิดจากการเลียนเสียงธรรมชาติ เท่าท่นั้นที่อที่าจจะมีเ มีสียงใกล้เคียงกันมากกล่าวคือ อาจคล้ายคลึงกันทั้งทั้เสียง พยัญยัชนะและสระ เช่นช่ตุ๊กแก (กาษาไทยกลาง) ตึกโต (ภาษาไทยเหนือ) เก๊ก ก๊ โก (ภาษาอังกฤษ) หรือ รื ดล้ายคลึงกันเพียงเสียงใดเสียงหนึ่ง เช่นช่แมว (ภาษาไทย) งาว (ภาษาจีน) การที่ต้ที่อต้งกำ หนดเสียงและความหมายใช้ใช้นภาษาเป็นจำ นวนมาก ทำ ให้ เสียงที่ใที่ช้ใช้นภาษามีค มี วามสัมพันธ์กั ธ์ กับความหมายโดยธรรมชาติได้ยากุ อาจมี บ้าบ้งบางเสียงที่กำ ที่ กำหนดให้คล้ายคลึงกัน มีความหมายใกล้เคียงกัน หรือ รื มี ความหมายไปในทางเดียวกันกัแต่ก็ไม่น่ม่ น่าจะถือว่าเสียงสัมพันธ์กั ธ์ กับความ หมายโดยธรรมชาติ ดังเช่นช่เซ เฉ เป๋ เหล่ เก เย้ แปลว่า ไม่ตรง คำ เหล่านี้ ลงเป็นคำ ที่กำที่กำหนดขึ้นในระยะแรก แต่ภายหลังคำ อื่นที่ผที่สมสระเดียวกันนี้ ก็มิ ก็ ไมิด้แปลความหมายเช่นช่นั้น นอกจากนี้คนที่ไที่ม่รู้จัรู้ จักคำ เหล่านั้นมาก่อน เมื่อ มื่ ได้ยินยิคำ เหล่าล่นั้นก็ไม่อม่าจบอกความหมายได้ทันทัที ดังนั้น ถ้าพูดว่า "เสียงสัมพันธ์กั ธ์ บกัความหมายโดยธรรมชาติ" ก็ควรจะหมายถึง เสียงบอก ความหมายได้ แม้จม้ะมิไมิด้นัดหมายกันไว้ก่อน แม้คม้นที่ไที่ ม่รู้ภรู้าษานั้น ๆ ได้ยิน เสียงคำ เหล่าล่นั้นก็พ ก็ อจะรู้ครู้วามหมายได้เช่นช่กัน


๙ คำ หรือ รื เสียงที่จที่ะถือว่ามีความสัมพันธ์กั ธ์ กับความหมาย มักจะเป็นคำ จำ พวก ที่เที่กิดกิจากการเลียนเสียง จะเป็นการเลียนเสียงธรรมชาติ เช่นช่ครืน รื ๆ (เลียน เสียงฟ้าร้อร้ง) หวิววิๆ (เลียนเสียงลม) ฯลฯ เลียนเสียงสัตว์ร้อร้ง เช่นช่เหมียว (เสียงร้อร้งของแมว) โฮ่ง (เสียงเห่าของสุนัข) แปร๋นร๋ (เสียงร้อร้งของช้าช้ง) ฯลฯ เลีย ลี นเสียงเด็กอ่อนหรือ รื เด็กที่กำ ที่ กำลังหัดพูด เช่นช่อุแว้ หม่ำ อึ ฯลฯ หรือ รื คำ ที่ เป็นเสียงอุทาน เช่นช่ โอ๊ย! อูย! เช้อช้! เป็นต้น ๒) หน่วยในภาษาประกอบกันเป็นหน่วยที่ใที่ หญ่ขึ้น หน่วยในภาษา หมายถึง ส่วนประกอบของภาษา หน่วยที่เ ที่ ล็กที่สุที่ สุ ดของภาษา คือ หน่วยเสียง หากนำ หน่วยเสียงมาประกอบกันจะได้หน่วยที่ใที่ หญ่ขึ้น คือ พยางค์ เมื่อ มื่ กำ หนดความหมายให้พยางค์แล้ว พยางค์เหล่านั้นก็จะเป็นคำ สำ หรับรั ใช้ใช้นภาษา เพราะคำ กับพยางค์แตกต่างกันที่คำที่คำจำ เป็นต้องมีความ หมาย ส่วนพยางค์ไม่จำม่ จำเป็นต้องมีค มี วามหมายก็ได้ และเมื่อนำ คำ มาประกอบ กันกัเข้าข้ตามระบบการใช้ถ้ช้ ถ้อยคำ ของแต่ละภาษา ก็จะได้หน่วยภาษาที่ใที่ หญ่ขึ้น เป็นกลุ่มลุ่คำ หรือ รื วลี ถ้านำ คำ มาเรีย รี งลำ ดับกันและได้ความหมายครบถ้วนก็ กลายเป็น ประโยค ซึ่งซึ่จะสั้นหรือ รื ยาวขึ้นอยู่กั ยู่กับความต้องการของผู้ส่ ผู้ส่งสาร เป็นสำ คัญ เสียง พยางค์ คำ กลุ่มลุ่คำ (วลี)ลี ประโยค เรื่อ รื่ ง ภาษาไทยมีทั้ มี งทั้เสียงพยัญยัชนะและเสียงสระเช่นช่เดียวกับภาษาอื่นอีกหลาย ภาษา และที่พิที่พิเศษ คือ ภาษาไทยมีเ มีสียงวรรณยุก ยุ ต์ ทำ ให้สามารถสร้าร้งคำ ขึ้น ได้มากมาย แต่บต่างคำ อาจมีฐ มี านะเป็นเพียงพยางค์เพราะไม่มีความหมาย เช่นช่ ใช้พช้ยัญยัชนะ ก ประสมกับเสียงสระ ออ ก็ผันผัวรรณยุก ยุ ต์ได้ถึง ๕ เสียง คือ กอ ก่อก่ก้อก้ก๊อ ก๊ ก๋อก๋ ถ้านำ เสียงพยัญยัชนะ ๓ หน่วยเสียง เช่นช่ง /ทู ย // ว /w/ กับสระ ๑ เสียง เช่นช่อา และเสียงวรรณยุก ยุ ต์สามัญ จะสามารถสร้าร้งพยางค์ได้ถึง ๑๒ เสียง ดังนี้


๑๐ งา งาง งาย งาว ยา ยาง ยาย ยาว วา วาง วาย วาว ในภาษาไทยกลางได้กำ หนดความหมายของคำ เหล่านี้ให้ใช้เช้พียง ๙ คำ คือ งา ยา วา ยาง ยาย ยาว วาง วาย วาว แต่ไม่ได้กำ หนดความหมายให้ งาง งาย งาว อย่าย่งไรก็ตามภาษาไทยเหนือได้กำ หนดความหมายให้คำ งาย หมายถึง เช้าช้และ งาว เป็นชื่อ ชื่ อำ เภอหนึ่งส่วน งาง ยังไม่มีการใช้เช้ป็นคำ ใน ภาษาไทยทุก ทุ ภาค งาง จึง จึ เป็นเพียงพยางค์ที่ไที่ม่มีความหมาย เมื่อมื่นำ คำ เหล่าล่นั้นประกอบกันกัอาจจะได้คำด้ คำ ใหม่ กลุ่มลุ่คำ หรือรืประโยคซึ่งซึ่ต่าต่ง จากภาษาอื่นอื่เช่นช่วางวาย วางยา วายาว ยางยาว งายาย ยายาย วายาย ยายวางยา เป็นต้นต้ นอกจากนี้ ภาษาไทยยังยัมีวิ มี ธีวินำ ธี นำ ประโยคมาเรีย รี บเรีย รี งให้ได้ประโยคยาว ออกไป โดยจะอยู่ใยู่นรูปประโยคความรวมหรือ รืประโยคความซ้อซ้น เช่นช่ ฉันไปเที่ยที่ว ฉันไปเที่ยที่วกับกัแม่ ฉันไปเที่ยที่วหัวหินกับกัแม่ ฉันไปเที่ยที่วหัวหินกับกัแม่แม่ละน้อง ๆ ฉันไปเที่ยที่วหัวหินกับกัแม่แม่ละน้อง ๆ เมื่อมื่ ปิดเทอมคราวที่แที่ล้วล้ ฉันไปเที่ยที่วหัวหินกับกัแม่แม่ละน้อง ๆ เมื่อมื่ ปิดเทอมคราวที่แที่ล้วล้ ส่วนพ่ออยู่ เฝ้าบ้าบ้นเพราะต้อต้งเลี้ยลี้งสุนัสุนัขอีกอี๕ ตัวตั การแต่งต่ ประโยคให้ยาวขึ้นสามารถทำ ได้โดยการเติมคำ ที่เ ที่ป็น ส่วน ขยาย ไว้หว้ลังลัคำ ที่ต้ที่อต้งการขยาย ต่างจากภาษาอื่นโดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ซึ่งซึ่จะนำ ส่วนขยายมาไว้ข้าข้งหน้าคำ ที่ต้ ที่ ต้องการขยาย ส่วนภาษาไทยมีการเติม ส่วนขยาย ดังนี้ เช่นช่ขยายคำ ว่า "เที่ยที่ว"ด้วยคำ ว่า "กับแม่""หัวหิน" และ "เมื่อ มื่ ปิดเทอมคราวที่แที่ล้วล้ " นอกจากนี้ยังขยายประโยคให้ยาวขึ้นด้วยการ เติมติ ประโยค "ส่วนพ่ออยู่เ ยู่ ฝ้าบ้าน" และ "เพราะต้องเลี้ยงสุนัขอีก ๕ ตัวตั"ทำ ให้ประโยดสุดท้าท้ยเป็นประโยดความรวม


๑๑ การกลืนเสียง อย่าย่งนั้น ยังยังั้นงั้ การกลายเสียง สะพาน ตะพาน การตัดเสียง อุโบสถ โบสถ์ การกร่อร่นเสียง ลูก ลู อ่อน ละอ่อน ผู้สื่ผู้สื่อสารอาจนำ ประโยคต่าต่ง ๆ มาเรียรีงกันกั ให้ได้คด้วามหมายหลักลัอย่าย่งใด อย่าย่งหนึ่ง หน่วยที่เที่กิดกิจากการรวมกันกัของประโยคในลักลัษณะดังดักล่าล่ว คือ ย่อย่หน้า หรือรืมหรรถสัญญา โดยมักมันำ ประโยคที่ยที่าวไม่มม่ากมาเรียรีงกันกัเป็น ย่อย่หน้า มากกว่าว่จะแต่งต่ ประโยคให้ยาวมาก ๆ เพราะประโยคยิ่งยิ่ซับซัซ้อซ้นก็ยิ่ ก็ ยิ่งยิ่เข้าข้ ใจ ยาก ทำ ให้วิเวิคราะห์ความหมายยากไปด้วด้ย ๓) ภาษามีก มี ารเปลี่ยนแปลง ภาษาที่ไที่ ม่มีม่ มี การนำ มาใช้ใช้นชีวิ ชีวิตประจำ วันวัแล้วล้เรีย รี กว่าภาษาตาย ภาษาที่ตที่ายแล้วจะไม่มีม่ มี การเปลี่ยนแปลงอีก เช่นช่ ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ภาษาละติน การศึกษาภาษาเหล่านี้ก็เพื่อ หาความรู้ใรู้นส่วนที่เ ที่ กี่ยวข้อข้ง หรือ รื เพื่อรู้เรู้รื่อ รื่ งราวที่เ ที่ ขียนด้วยภาษานั้น ๆ เท่าท่นั้น เช่นช่ ศึกษาภาษาบาลีเพื่อนำ ไปอ่านบทสวดมนต์ หรือ รืศึกษาภาษา สันสกฤตเพื่อให้รู้ครู้วามหมายของคำ ศัพท์ เป็นต้น มิใช่ศึช่ ศึ กษาเพื่อการ สื่อสารในชีวิ ชีวิตประจำ วันวั ส่วนภาษาที่ยัที่ยังใช้อช้ยู่ย่ ยู่ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง บาง คำ อาจเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยจนไม่ทัม่นทั สังเกต บางคำ อาจเปลี่ยนไป โดยสิ้นเชิงชิ ๓.๑) การเปลี่ยนแปลงอันเกิด กิ จากธรรมชาติข ติ องการออกเสียง เป็น ลักลัษณะทางเสียงที่เ ที่ กิดเหมือน ๆ กันทุก ทุ ภาษา เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เ ที่ กิด ขึ้น ขึ้ ในชีวิ ชี ตวิ ประจำ วันวั ได้แก่ ทั้งทั้นี้ความหมายอาจคงเดิม หรือ รื ดวามหมายอาจต่างไปจากเดิมก็ได้ นอกจากนี้ ยังยัมีการเปลี่ยนแปลงของภาษาที่เที่กิดจากการเลียนภาษาของ เด็ก เช่นช่การที่เที่ด็กออกเสียงไม่ตม่รงกับผู้ใ ผู้ หญ่ หรือ รื เข้าใจความหมายของคำ ไม่ตม่รงกับกัผู้ใ ผู้ หญ่ จัดเป็นการเปลี่ยนแปลงทางภาษาในลักษณะที่เ ที่ กิดขึ้นโดย ธรรมชาติด้ติ ด้วย


๑๒ ๓.๒) การเปลี่ย ลี่ นแปลงที่เ ที่ กิดจากอิทธิพลภายนอก มีลั มี กลัษณะ ดังนี้ ๑. การยืมคำ หรือ รื ลักษณะการใช้ถ้ช้ ถ้อยคำ แล้วมิได้ดัดแปลงให้เป็น ลักลัษณะของตนโดยสิ้นเชิงชิจึงมีอิ มี อิทธิพธิลทำ ให้ภาษาของตนเปลี่ยนแปลงไป อาจมีเ มีสียงเพิ่มขึ้น ขึ้ หรือ รื เสียงแปลกขึ้น เช่นช่ภาษาไทยไม่มีม่ มี เสียง ล /l/ สะกด มี แต่ น /n/ สะกด เมื่อรับรัคำ ว่า ฟุตบอล มาใช้ก็ช้ ก็ มีผู้อ ผู้ อกเสียง ล /l/ สะกดใน คำ นี้ ซึ่งซึ่การยืมคำ จากภาษาหนึ่งเข้าไปใช้ใช้นอีกภาษาหนึ่งทำ ได้ ๓ ลักษณะ ดังต่อต่ ไปนี้ การทับทั ศัพท์ เป็นวิธีวิก ธี ารยืม ยื คำ จากภาษาหนึ่งเข้าไปใช้ใช้นอีกภาษาหนึ่ง โดยตรง ไม่มีม่ก มี ารเปลี่ย ลี่ นแปลง รูป เช่นช่ เทนนิส tennis ตัวฉ่าย กีวี กีวี kiwi เต้กต้เจี้ยว เทอม term ซีอิ๊ ซี อิ๊ ว เมล Mail ทักทัษิณ เครดิต credit วิญวิญาณ การแปลศัพท์คำ ท์ คำยืม เป็นการยืมความหมายของอีกภาษาหนึ่งมาใช้โดช้ย แปลความหมายของศัพท์ช ท์ นิดคำ ต่อคำ เช่นช่ black sheep แปลเป็น แกะดำ weekend แปลเป็น วันวั สุดสัปดาห์ standpoint แปลเป็น จุดยืน ยื การยืม ยื ความหมาย เป็นวิธีก ธี ารยืมความหมายซึ่งซึ่เดิมไม่มีม่ มีใช้ใช้นภาษาเข้า มาใช้ และสร้าร้งคำ ขึ้นมาใหม่เม่พื่อใช้กัช้ กับความหมายที่ยืที่ยื มมา เช่นช่ กิจกิกรรม ยืมความหมายมาจากคำ ว่า activity วัฒนธรรม ยืมความหมายมาจากคำ ว่า culture รายงาน ยืมความหมายมาจากคำ ว่า report ทดสอบ ยืมความหมายมาจากคำ ว่า test สัมมนา ยืม ยื ความหมายมาจากคำ ว่า seminar


๑๓ ๒. การใช้คำช้ คำและสำ นวนต่าต่งไปจากเดิม เช่นช่การนำ คำ ภาษาต่างประเทศ มาใช้ ดังต่อไปนี้ ภาษา คำ ความหมาย ภาษาเขมร เมิล สไบ ทูลทู ดู ผ้าผ้แถบ ผ้าผ้ห่มผู้ห ผู้ ญิง บอก ภาษาเปอร์เ ร์ ซีย ซี ตรา จาระบี กุห กุ ลาบ มีรอยดุน น้ำ มันมั หล่อล่ลื่น สีแดง ดอกไม้ ภาษาอาหรับรัขันที กะลาสี พวกลูก ลู เสือ ผู้ช ผู้ ายที่ถูที่ถู กตอน ภาษาโปรตุเ ตุ กส ภาษาญี่ปุ่น ปุ่ เลหลัง ขายลดราคา กำ มะลอ การลงรักรั แบบญี่ปุ่ญี่ ปุ่น ปุ่


๑๔ ๓.๓) การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม เช่นช่การเลิกลิ สิ่งเก่าก่รับรั สิ่ง ใหม่ การรับรัความคิดหรือ รื กระบวนการใหม่ ๆ การสร้าร้งสิ่งใหม่ ๆ เช่นช่ข้าว ของเครื่อ รื่ งใช้ ก็ทำ ก็ ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในภาษา เพราะต้องสรรคำ มาใช้เช้รีย รี กสิ่งใหม่ๆม่เช่นช่คอมพิวเตอร์ บุฟเฟ่ต์ จนดำ เดิมอาจสูญไปหรือ รื อาจ จะใช้สื่ช้ สื่ อความไม่ได้กับผู้ใ ผู้ ช้ภช้าษาที่ต่ ที่ ต่างรุ่นรุ่กันมาก ๆ เช่นช่ถ้าพูดว่าแต่งตัว เปิ๊ดสะก๊า ก๊ ด คนรุ่นรุ่ ใหม่อาจไม่คุ้น เพราะปัจจุบันไม่ไม่ด้ใช้คำช้ คำนี้แล้ว แต่จะพูด ว่าว่แต่งต่ตัวตัดูหรู ดูไฮ (โซ) ทั้งทั้ที่ค ที่ วามหมายเดียวกัน แต่ด้วยยุคส ยุ มัยที่เ ที่ปลี่ยน ไปทำ ให้มีคำ มี คำ ใหม่ ๆ มาใช้เช้รีย รี กแทน การเปลี่ย ลี่ นแปลงอีกประการหนึ่งที่ต้ที่ต้องมีอยู่ทุ ยู่ ก ทุ ภาษา คือ การสร้าร้งคำ ใหม่จม่ากคำ เติมซึ่งซึ่เป็นการเปลี่ยนแปลงจากศัพท์เ ท์ ดิม หรือ รื นำ ศัพท์อื่ ท์ อื่ นมา ประสมกับกั ศัพท์เ ท์ ดิม เช่นช่ภาษาไทยมีก มี ารประสมคำ ซ้ำ คำ ซ้อซ้นคำ เพื่อสร้าร้ง คำ ใหม่ การนำ คำ เดิมที่มีที่มี อยู่มยู่าสร้าร้งคำ ไหมนี้ ทำ ให้ภาษาไทยมีคำ หลาก หลายมากขึ้น ขึ้ และคำ เหล่านี้จะช่วช่ยให้สิ่งใหม่ที่ม่ที่เ ที่ กิดขึ้นมีชื่อ ชื่ เรีย รี กที่เ ที่ป็นที่รู้ ที่ รู้ จัรู้ จัก และยอมรับรัร่วร่มกันกั ในสังคม การเปลี่ยนแปลงที่เที่กิดขึ้นเป็นสิ่งแสดงให้เห็น ว่าว่ภาษานั้นๆ เป็นภาษาที่ยั ที่ ยังไม่ตม่าย ยังคงมีก มี ารปรับรัเปลี่ยนตามบริบริททาง สังคม ธรรมชาติปติระการหนึ่งของภาษา คือ การเปลี่ยนแปลงโดยมีลักษณะ การเปลี่ย ลี่ นแปลงทางด้านเสียง ด้านความหมาย ตลอดจนการสร้าร้งคำ สำ นวนจากศัพท์คำ ท์ คำเดิมทำ ให้คำ ศัพท์นั้ ท์ นั้นๆเปลี่ยนแปลงความหมายและ หน้าที่ไที่ป ดังนั้น ผู้ใ ผู้ ช้ภช้าษาจึงควรศึกษาการเปลี่ยนแปลงของภาษาเพื่อให้ ใช้ภช้าษาสื่อสารได้อย่างมีปมี ระสิทธิภธิาพ ๔. ภาษาต่าต่งๆ มีลักษณะที่ต่ ที่ ต่างและคล้ายกัน แม้ว่าภาษาจะมีลักษณะที่ ต่าต่งกันกัอยู่บ้ยู่าบ้ง แต่ภาษาก็มี ก็ มี ลักษณะที่ค ที่ ล้ายคลึงกันหลายประการ ดังนี้ ๔.๑) ภาษาแต่ลต่ะภาษาใช้เช้สียงสื่อความหมาย โดยเสียงที่ใที่ช้สื่ช้ สื่ อความ หมายในทุก ทุ ภาษาอย่างน้อยต้อต้งประกอบด้วยหน่วยเสียงพยัญชนะต้นและ หน่วยเสียงสระ ซึ่งซึ่บางภาษาอาจมีห มี น่วยเสียงวรรณยุก ยุ ต์ประกอบด้วย ๔.๒) ภาษาแต่ละภาษาสามารถสร้าร้งศัพท์ใท์ หม่จม่ากศัพท์เ ท์ ดิม โดยอาจ จะเปลี่ย ลี่ นแปลงศัพท์เ ท์ ดิมหรือ รื นำ ศัพท์อื่ ท์ อื่ นมาประสมกับศัพท์เ ท์ ดิม เช่นช่ภาษา ไทยมีก มี ารสร้าร้งคำ ด้วยวิธี


๑๕ การประสมคำ เช่นช่รถไฟ น้ำ ปลา เตารีด รี ชาวบ้าน การซ้อซ้นคำ เช่นช่ดูแล ขุ่นมัว ซื้อ ซื้ ขาย สูงต่ำ การซ้ำ คำ เช่นช่หลับลัๆ ตื่น ๆ ส่วนภาษาอังกฤษมีการเติมติ Prefix หรือ รื คำ อุปสรรคเติมหน้าคำ ทำ ให้คำ นะนั้นมีค มี วามหมายผิดผิ ไปจากเดิม เช่นช่un- (ไม่) ใช้เช้ติมหน้า คำ คุณศัพท์ หรือ รื คำ กริยริาวิเวิศษณ์ ทำ ให้มีความหมายตรงกันข้าม เช่นช่Suitable แปลว่าว่เหมาะสม เมื่อ มื่ เติม un- เป็น Unsuitable แปลว่า ไม่เม่หมาะสม ส่วน Suffix หรือ รื คำ ปัจจัยเติมท้าท้ยคำ เช่นช่-Ness เมื่อเติม หลังลัคำ ว่าว่ kind (ใจดี ใจกว้าง) เป็น kindness แปลว่า ความใจดี ในรูป ประโยคว่าว่We'll never forget your kindness. เป็นต้น ๔.๓) ภาษาแต่ละภาษามีสำ นวน และมีก มี ารใช้คำช้ คำ ในความหมายใหม่ เช่นช่ ในภาษาไทย มีการใช้คำช้ คำว่า "สีหน้า" ซึ่งซึ่ไม่ได้หมายถึง สีของหน้า แต่ หมายถึง การแสดงออกทางใบหน้า หรือ รื ภาษาอังกฤษมีคำ มี คำว่า hot air ซึ่งซึ่ ไม่ไม่ด้หมายความว่าว่อากาศร้อร้น ลมร้อร้น แต่หมายถึง การคุยโม้ การ แสดงกิริกิยริาอาการโอ้อวด เป็นต้น ๔.๔) ภาษาแต่ละภาษามีคำ ชนิดต่าง ๆ คล้ายกัน เช่นช่คำ นาม คำ ขยายนามคำ กริยริา คำ ขยายกริยริา เป็นต้น ๔.๕) ภาษาแต่ละภาษามีวิธีข ธี ยายประโยคให้ยาวออกไปได้เรื่อ รื่ ยๆ โดยการเติมติ ส่วนขยาย ๔.๖) ภาษาแต่ละภาษามีวิธีวิแ ธีสดงความคิดคล้ายกันได้ เช่นช่ ทุก ทุ ภาษาต่างมีปมี ระโยคที่ใที่ช้ถช้าม ปฏิเสธ หรือ รื ใช้สั่ช้ สั่ง ๔.๗) ภาษาแต่ลต่ะภาษาต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา


๑๖ ๕)ภาษาย่อมมีส่วนประกอบที่เป็นระบบ มีระเบียบแบบแผน ภาษา ต้อต้งมีร มี ะบบที่มี ที่ ร มี ะเบีย บี บแบบแผน จึงสามารถใช้สื่ช้ สื่ อสารกันให้เข้าใจได้ ส่วน ประกอบที่สำที่สำคัญ คือ สัญลักษณ์ คำ ประโยค และความหมาย ทุก ทุ ส่วน ประกอบเหล่าล่นี้ จะรวมกันอย่างเป็นระบบตามระเบียบแบบแผน ทำ ให้เกิด เป็นภาษาที่สที่มบูร บู ณ์ ถ้าขาดส่วนประกอบใดก็จะไม่เป็นภาษา เช่นช่ต้องนำ สัญลักลัษณ์มาประกอบกันกัเป็นคำ จึงจะเกิดความหมาย การนำ คำ มาประกอบ เป็นประโยคก็ต้ ก็ อต้งเรีย รี บเรีย รี งตามระเบียบแบบแผนของภาษา ๒ พลัง ลั ของภาษา ภาษาเป็นเครื่อ รื่ งมือ มื สำ คัญในการดำ รงชีวิ ชีวิตของมนุษ นุ ย์ มนุษ นุ ย์จึงสามารถ เรีย รี นรู้ภรู้าษา เพื่อการดำ รงชีวิ ชี ตวิและพัฒนาภาษาของตนเองได้ ภาษาช่วช่ยให้มนุษ นุ ย์จั ย์ กจัคิดโดยแสดงออกผ่าผ่นทางการพูด การเขียน และ การกระทำ ซึ่งซึ่เป็นผลจากการคิด ถ้าไม่มีภาษามนุษ นุ ย์จะคิดไม่ได้ ถ้ามนุษ นุ ย์มี ภาษาน้อย มีคำ มี คำ ศัพท์น้ ท์ น้อยความคิดของมนุษ นุ ย์ย่อมแคบไม่กว้างไกล ผู้ที่ ผู้ที่ใที่ ช้ ภาษาได้ดีจะมีค มี วามคิดดีด้วย ส่งผลให้การเรีย รี นรู้ใรู้นสิ่งต่างๆดีขึ้นตามไป ด้วย เช่นช่ผู้ที่ ผู้ รู้ที่รู้ ภรู้าษาไทยดี มีทักทัษะในการอ่านดี เมื่อ มื่ อ่านแล้วสามารถจับใจ ความและสรุปความได้ ย่อย่มส่งผลให้อ่านสาระวิชาความรู้ใรู้นแขนงต่างๆ ได้ อย่าย่งเช้าช้ใจ ดังนั้นผู้ที่ ผู้ จที่ะเรีย รี นวิชาใดๆ ให้ได้ดีควรจะมีทั มี กทัษะทางภาษาไทย อย่าย่งดีเสียก่อก่น เพื่อเป็นพื้นฐานในการแสวงหาความรู้ต่รู้ ต่อไป นอกจากนี้มนุษ นุ ย์ยั ย์ งยั ใช้คช้วามคิดและถ่ายทอดความคิดเป็นภาษา ซึ่งซึ่ส่ง ผลไปสู่ก สู่ ารกระทำ ผลของการกระทำ ส่งผลไปสู่ความคิด ความคิดที่ดี ที่ ดี ย่อม ช่วช่ยกันกัธำ รงสังคมให้มนุษ นุ ย์อยู่ร่ ยู่ วร่มกันอย่างสงบสุข มีไมตรีต่ รี ต่อกัน ช่วช่ยเหลือ กันกัด้วยการใช้ภช้าษาติดต่อสื่อสาร ช่วช่ยให้บุคคลปฏิบัติตนตามกฎเกณฑ์ของ สังคม เช่นช่การเจรจาเจริญริ สัมพันธไมตรีกั รี กับต่างประเทศ หรือ รื การติดต่อ ค้าขาย ล้วล้นมีภ มี าษาเป็นสื่อกลาง


๑๗ ภาษาช่วช่ยให้มนุษ นุ ย์เกิดการพัฒนา โดยใช้ภช้าษาในการแลกเปลี่ยน ความคิดเห็น การอภิปภิรายได้แย้งเพื่อนำ ไปสู่ผลสรุป มนุษ นุ ย์ใช้ภช้าษาในการ เรีย รี นรู้ จดบันบัทึก ทึ ความรู้ แสวงหาความรู้แรู้ละช่วช่ยจรรโลงใจด้วยการอ่าน บทกลอน ร้อร้งเพลง ภาษาจึงมีพ มี ลังในตนเอง เพราะ ประกอบด้วยเสียงและ ความหมาย การใช้ภช้าษา ถ้อยคำ จึงทำ ให้เกิดความรู้สึรู้ สึ กต่อผู้รั ผู้ บรั สาร เช่นช่ เกิดกิความชื่น ชื่ ชอบ ความรักรัความรู้สึรู้ สึ กอคติ เหล่านี้ล้วนเกิดจากพลัง ของภาษา ๓ ลัก ลั ษณะของภาษาไทย ๑. ลัก ลั ษณะสำ คัญของภาษาไทย ภาษาไทยเป็นภาษาที่อที่ยู่ใ ยู่ นตระกูล กู ภาษาคำ โดด มีลักษณะเฉพาะของ ตนเองซึ่งซึ่แตกต่างจากภาษาอื่น ดังนี้ ๑) คำ ภาษาไทยแท้ส่วนใหญ่มีพยางค์เดียว และมีค มี วามหมายสมบูรณ์ ในตัวตัเอง มักมัเป็นคำ ที่ใที่ช้เช้รีย รี กสิ่งต่างๆ ตลอดจนกิริยริาอาการของมนุษ นุ ย์ เช่นช่ คำ ที่ใช้เรีย รี กชื่อ ตัว ตั อย่างคำ เครือ รื ญาติ ส่วนต่าง ๆ ของร่าร่งกาย สิ่งของเครื่อ รื่ งใช้ กิริยริาอาการ พ่อ แม่ ปู่ ย่าย่พี่ น้อง ลุง ลุ ป้า น้า อา หัว หน้า คอ ตา คิ้ว หู ปาก คาง ลิ้นลิ้ เสื้อ ผ้าผ้ถ้วย ชาม ช้อช้น โอ่ง ไห จอบ เสียม ไป มา นอน วิ่งวิ่ นั่ง ยืน พูด กิน


๑๘ ๒) ภาษาไทยเป็นภาษาที่ไม่มีม่ มี การเปลี่ยนแปลงรูปศัพท์ คำ แต่ละ คำ มีค มี วามหมายสมบูรณ์ในตัวตัเอง ใช้ไช้ด้อย่างอิสระ โดยไม่มีการ เปลี่ย ลี่ นแปลงรูปศัพท์ไท์ปตามเพศ พจน์ กาล เพราะภาษาไทยจะใช้คำช้ คำอื่นมา ประกอบ หรือ รื อาจทราบได้จากบริบริท เปรีย รี บเทีย ที บกับภาษาบาลี ซึ่งซึ่มีการ เปลี่ย ลี่ นแปลงรูปศัพท์เ ท์ พื่อบอกเพศ เช่นช่กุม กุ าร หมายถึง เด็กชาย กุม กุ ารี หมายถึง เด็กหญิง หรือ รื เทวะ หมายถึง เทวดาชาย เทวี หมายถึง เทวดา หญิงญิ ๓) ภาษาไทยสะกดตรงมาตรา มาตราตัวสะกดในภาษาไทยมี ๘ มาตรา ซึ่งซึ่คำ ไทยแท้มีท้ตั มี วตั สะกดตรงตามมาตรา เช่นช่แม่กก ใช้ "ก”เป็น ตัวตั สะกด ดำ ที่สที่ะกดด้วย "ก" มักเป็นคำ ไทยแท้ เช่นช่มัก ชักชันัก เป็นต้น อย่าย่งไรก็ต ก็ ามมีคำ ในภาษาไทยบางคำ ที่มี ที่ มี ตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา เช่นช่ ตัวตั สะกดแม่กม่ด นอกจากใช้ "ด" สะกดแล้วยังใช้อัช้ อักษรอื่นสะกด เช่นช่ดุจ รส บท เป็นต้น เนื่องจากได้รับรัอิทธิพธิลคำ ภาษาต่างประเทศที่ไที่ ทยรับรัเข้า มาใช้ ๔)ภาษาไทยมีการเรีย รี งคำ ในประโยค ระบบไวยากรณ์ภาษาไทย ถือว่าว่การเรีย รี งคำ ในประโยดมีค มี วามสำ คัญ หากเรีย รี งคำ ในตำ แหน่งต่างๆ สลับลัที่กัที่นกัจะทำ ให้ความหมายเปลี่ยนไป เพราะคำ ไทยบางคำ มีหลายความ หมายและทำ หน้าที่ไที่ ด้หลายหน้าที่ ดังเช่นช่คำ ว่า "ขัน" คำ ที่ใที่ ช้เรียกชื่อ ทำ หน้าที่ ความหมาย ขันขั ใบนี้ซื้อ ซื้ ที่ไที่หน นายขนมต้นต้ขันขั อาสาต่อต่ยมวยจนชนะ น้องพูดจาน่าขันขั เป็นประธาน ของประโยค กริยริา เป็นส่วนขยายกริยริา ภาชนะสำ หรับรั ตักหรือ รื ใส่น้ำ เสนอตัวตัเข้ารับรั ทำ ด้วยความเต็มใจ น่าหัวเราะ ชวนหัวเราะ


๑๙ ๕) ภาษาไทยจะวางคำ ขยายไว้หลัง ลั คำ ที่ถูกขยาย เนื่องจากภาษาไทย เป็นภาษาเรีย รี งคำ หากมีคำ มี คำขยายจะวางอยู่ห ยู่ ลังคำ และอยู่ติ ยู่ติดกับคำ ที่ถู ที่ ถู กขยาย เช่นช่น้องร้อร้งเพลงเสียงหวานไพเราะ แมวนอนใต้โต๊ะทำ งานห้องพ่อ ๖) ภาษาไทยมีคำ ลัก ลั ษณนาม คำ ลักษณนามเป็นคำ ที่บ ที่ อกลักษณะ ของนามช้าช้งหน้า มักใช้ตช้ามหลังคำ วิเศษณ์บอกจำ นวน เช่นช่กระเทีย ที ม ๔ กลีบ ลี ตะกร้าร้๒ ใบ ฯลฯ และใช้ตช้ามหลังคำ นามทั่วทั่ ไปเพื่อเน้นน้ำ หนัก และ เพื่อบอกให้ทราบลักลัษณะของคำ นามนั้น เช่นช่นิยายเรื่อ รื่ งนี้สนุก นุ มาก น้ำ ตกแห่งนั้นสวยงาม ธนูคั นูคันนี้ของใคร ฯลฯ ๗) ภาษาไทยมีก มี ารสร้างคำ ขึ้นใหม่ โดยวิธีก ธี ารประสมคำ การซ้อซ้นคำ การซ้ำ คำ การสมาส และการสนธิ ดังตัวอย่างต่อไปนี้ การประสมคำ การซ้อนคำ การซ้ำ คำ การสมาส การสนธิ พุทธันธัดร สมาคม มนุษ นุ ยชาติ ราชูปโภค คณิตศาสตร์ เล็ก ล็ ๆ อุทกภัยภั น้อย ๆ สวย ๆ แข็ง ข็ แกร่งร่ บ้าบ้นเรือ รื น เกรงกลัวลั แม่บ้ม่าบ้น ขายหน้า ยางลบ ๘) ภาษาไทยมีเ มีสียงวรรณยุก ยุ ต์ คำ ในภาษาไทยมีการใช้วช้รรณยุก ยุ ต์ ซึ่งซึ่การใช้วช้รรณยุก ยุ ต์ที่ ต์ที่แ ที่ ตกต่าต่งกันนี้ส่งผลให้ความหมายของคำ เปลี่ยนไป ทำ ให้มีคำ มี คำ ในภาษาเพิ่มมากขึ้น เช่นช่ คา หมายถึง ค้างอยู่ ติดอยู่ ค่า หมายถึง ราคา คุณประโยชน์ ค้า หมายถึง หาของมาขาย ซื้อ ซื้ ขายแลกเปลี่ยน


๒๐ ๙) ภาษาไทยมีร มี ะดับ ประเทศไทยมีวัฒวันธรรมทางภาษา มีการใช้คำช้ คำ พูดให้เหมาะสม แก่บุก่ค บุ คลตามกาลเทศะ ระดับฐานะของบุคคล จึงทำ ให้ ภาษามีห มี ลายระดับ เช่นช่คำ ราชาศัพท์ สำ หรับรัพระมหากษัตริย์ริ ย์ พระบรมวงศานุว นุ งศ์ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณริายก พระสงฆ์ คำ สุภาพ หรือ รื แม้แม้ต่ภต่าษากวี เป็นต้นต้ ๑๐) ภาษาไทยมีว มี รรคตอนในการเขียนและจังหวะในการพูด เพื่อ กำ หนดความหมายที่ต้ ที่ อต้งการ หากแบ่งวรรคตอนผิดผิหรือ รื พูดเว้นจังหวะผิดผิ จะทำ ให้ความหมายเปลี่ยนแปลงไป ๒. เสียงในภาษา เสียงที่ค ที่ นทุก ทุ ชาติทุติก ทุ ภาษากำ หนดขึ้นใช้สื่ช้ สื่ อความเข้าใจ ย่อมมีจำ นวน จำ กัดกัแต่ไต่ม่ไม่ด้หมายความว่าว่ผู้ใ ผู้ ช้ภช้าษาจะออกเสียงที่ไที่ ม่มีในภาษาของตน ไม่ไม่ด้ เพียงแต่ต้อต้งใช้กช้ารฝึกฝนมากบ้าง น้อยบ้าง ตามความถนัดและความ สามารถของแต่ลต่ะคน การที่เ ที่สียงในภาษามีจำ มี จำกัด เครื่อ รื่ งหมายที่ใที่ ช้แช้ทน เสียงซึ่งซึ่ส่วนใหญ่ก็ญ่คื ก็ คื อ ตัวอักษร จึงมีจำ กัดไปด้วย เสียงในภาษาไทยเมื่อ เทีย ที บกับกัภาษาอื่น เช่นช่ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งรั่เศส จะเห็นว่าภาษาไทยมี เสียงมากกว่าว่ทำ ให้การถ่ายเสียงเป็นภาษาไทยเป็นไปได้ค่อนข้างดี และแม้ ในกาษาอังกฤษจะปรากฏเสียงที่ไที่ม่มีม่ มีในภาษาไทย เช่นช่ /r/ /sh/ /z/ ก็ตาม เสียงในภาษาไทยมี ๓ เสียง คือ เสียงสระ เสียงพยัญชนะ เสียงวรรณยุก ยุ ต์ ดังนี้ ๑. เสียงสระและรูปสระ เสียงสระ หรือ รื เรีย รี กว่า เสียงแท้ เพราะเป็น เสียงที่ผ่ที่าผ่นลำ คอออกมาโดยตรงไม่ถูม่ถู กปิดหรือ รื ถูกกัก ณ ที่ใที่ ดที่ห ที่ นึ่งเลย หากเสียงที่เที่ปล่งล่ออกมาถูกปิดหรือ รื ถูกกักจน เสียงเปลี่ยนไปหรือ รื แปรไป ก็จ ก็ ะเป็นเสียงแปร หรือ รื เสียงพยัญชนะ ในการเปล่งเสียงแต่ละครั้งรั้จะมี เสียงสูง สู ๆ ต่ำ ๆ ต่างกันกัซึ่งซึ่ไม่ว่ม่ ว่าในภาษาใดก็ย่อมมีเสียงสูงๆ ต่ำ ๆ ในการพูด ทั้งทั้ สิ้น แต่ที่ต่ที่พิ ที่ พิเศษสำ หรับรัภาษาไทย คือ การกำ หนดให้เสียงสูง-ต่ำ มี ความหมาย กล่าล่วคือ เมื่อ มื่ เปลี่ย ลี่ นระดับเสียงของคำ ส่งผลให้ความหมายของ คำ นั้นเปลี่ย ลี่ นแปลงไปด้วย เรีย รี กเสียงระดับต่างๆ ที่กำที่กำหนดขึ้นนี้ว่า เสียงวรรณยุก ยุ ต์


๒๑ ภาษาไทยมีเ มีสียงสระเดี่ยวหรือ รืสระแท้ ๙ คู่ หรือ รื ๑๘ หน่วยเสียง สระประสมหรือ รืสระเลื่อน ๓ หน่วยเสียง ดังนี้ ลิ้นลิ้ ส่วนหน้า ลิ้นลิ้ ส่วนกลาง ลิ้นลิ้ ส่วนหลังลั สระเดี่ยว ๙ คู่ ๑๘ หน่วยเสียง อิ อี เอะ เอ เเอะ แอ อึ อือ เออะ เออ อะ อา อุ อู โอะ โอ เอาะ ออ สระประสมปัจจุบัจุนบั กำ หนดเพียง ๓ หน่วยเสียง ได้แด้ก่ เอียอีเอืออื และอัวอั = = = เอีย เอือ อัว อี + อา อือ + อา อุ + อา โดยปกติจะเขียนรูปสะอย่างง่าง่ยๆ ดังนี้ สระแท้ ะ -าิ ี ึ ื ุ ู เ-ะ เ- แ-ะ แ- โ-ะ โ- เ-าะ -อ เ-อะ เ-อ สระประสม เ-ีย เ-ือ -ัว เมื่อ มื่ เติมรูปพยัญชนะ ลงตรงช่อช่งว่าง (-) จะอ่านออกเสียงได้ เช่นช่นะ นา โน เป็นต้นต้การรู้จัรู้ จักรูปสระช่วช่ยให้เข้าใจการสะกดคำ เช่นช่คำ ว่า เตา ถ้า รู้ว่รู้าว่ สระเอา ประกอบด้วยรูปสระ ๒ รูป คือ เ- (ไม้หน้า) กับ -า (ลากข้าง) เวลาสะกดคำ จะบอกอย่าย่งถูกต้องว่า ต-สระเอา ออกเสียงว่า เตา ไม่ใช่ สระเอ-ต-สระอา แล้วออกเสียงว่า เตา ๒) เสียงพยัญชนะและรูปพยัญชนะ พยัญชนะไทยมี ๔๔ รูป หรือ รื ๔๔ ตัวตัแต่ใต่ช้เช้สียงซ้ำ กันหลายตัว จึงเหลือเสียงเมื่อเป็นพยัญชนะต้นเพียง ๒๑ เสียง และเป็นพยัญชนะท้าท้ยเพียง ๘ เสียง


๒๒ พยัญชนะต้น ต้ เดี่ย ดี่ ว เสียง รูป /p/ , /ป/ /t/ , /ต/ /c/ , /ฉ/ /k/ , /ก/ /ʔ/ , /อ/ /ph/ , /พ/ /th/ , /ท/ /ch/ , /ช/ /kh/ , /ค/ /b/ , /บ/ /d/ , /ด/ ป ต ฏ จ ก อ พ ผ ภ ท ถ ฐ ฑ ฒ ธ ฉ ช ฌ ค ข ฆ (ฃ ฅ) บ ด ฎ (ฑ ในบางคำ ) หน่วยเสียง พยัญยัชนะ ๒๑ หน่วยเสียง ในภาษาไทย สามารถปรากฏ เป็นพยัญยัชนะต้นต้ ของพยางค์ได้ ทุกทุหน่วย


๒๓ /m/ , /ม/ /n/ , /น/ /η/ , /ง/ /l/ , /ล/ /r/ , /ร/ /f/ , /ฟ/ /s/ , /ซ/ /h/ , /ฮ/ /w/ , /ว/ /y/ , /ย/ ม น ณ ง ล ฬ ร ฟ ฝ ซ ศ ษ ส ห ฮ ว ย ญ หน่วยเสียง พยัญยัชนะ ๒๑ หน่วยเสียง ในภาษาไทย สามารถปรากฏ เป็นพยัญยัชนะต้นต้ ของพยางค์ได้ ทุกทุหน่วย พยัญชนะควบกล้ำ ในภาษาไทยมีหมีน่วยเสียงพยัญยัชนะที่สที่ามารถออกเสียงควบกล้ำ คือ ออกเสียงพยัญยัชนะ ๒ ตัวตัติดติกันกั โดยไม่มีม่เมีสียงสระคั่นคั่กลาง และ ปรากฏเป็นพยัญยัชนะต้นต้ของพยางค์ได้ ๑๑ คู่ ปัจจุบัจุนบัมีคำมี คำยืมยืจาก ภาษาอังอักฤษทำ ให้มีพมียัญยัชนะควบกล้ำ เพอ่มอ่ขึ้นขึ้หลายคู่


๒๔ เสียง รูป /pr/ /pl/ /tr/ /kl/ /kw/ /phl/ /phr/ /khl/ /khr/ /khw/ /br/ /bl/ ปร ปล ตร กล กว พล ผล พร คล ขร คร ขร คว ขว บร บล


๒๕ เสียง รูป /dr/ /thr/ /fr/ /fl/ /str/ ดร ทร ฟร ฟล ซตร พยัญยัชนะท้าท้ย (ตัวตั สะกด) เสียง รูป ตัว ตั อย่างคำ /n/ /ต/ /ป/ /ง/ /น/ น ญ ณ ร ล ฬ ง บ ป พ ฟ ภ ด จ ช ซ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ต ถ ท ธ ศ ษ ส ก ข ค ฆ (ฃ ฅ) มาก สุข ภาค เมฆ จัด ดุจ ธุช กฎ ปรากฏ รัตรัน์ สามารถ อาวุธ พินาศ อาวาส บวบ บาป ภาพ ปรารภ วง จน ผจญ คำ รณ การณ์ อุบล วิรุวิรุ ฬห์


๒๖ ๑. รูปพยัญชนะมีม มี ากกว่าว่เสียงพยัญชนะ ๒.รูปพยัญชนะแตกต่าต่งกันแต่มีเ มีสียงเดียวกัน เมื่อใช้เช้ขียนคำ แล้วจะ พิสูจ สู น์ได้ชัดชัว่าว่เป็นเสียงเดียวกันจริงริๆ เช่นช่ค่า ข้า ฆ่าฆ่รูปพยัญชนะต่างกัน หมดแต่เต่ สียงเดียวกันกัหรือ รื ซ้ำ ฉ่ำ ต่างกัน แต่เสียงวรรณยุก ยุ ต์ คือ ช่ำ เป็น เสียงวรรณยุก ยุ ต์โต์ ท ฉ่ำ เป็นเสียงวรรณยุก ยุ ต์เอก ๓. รูปพยัญยัชนะบางรูปเลิกใช้แช้ล้ว เช่นช่ฃ ฅ ๔.การที่ภที่าษาไทยมีรู มี รู ปพยัญยัชนะหลายรูป เนื่องจากการยืมคำ ในภาษา อื่นมาใช้ เช่นช่ภาษาบาลี สันสกฤต เขมร แต่ออกเสียงตามอย่างภาษาเดิมไม่ ได้ จึง จึ ออกเสียงตามเสียงที่มีที่มีในภาษาไทย เช่นช่ออกเสียง ศ ษ ส ให้ต่างกัน เหมือ มื นเสียงในภาษาสันสกฤตไม่ไม่ด้ ๕. รูปพยัญชนะบางรูปไม่ออกเสียง เช่นช่ เสียง รูป ตัว ตั อย่างคำ จม ยาย ว ยาว ย /ม/ ม /ย/ /ว/ ข้อควรสังเกตรูปและเสียงของอักษรไทย พยัญยัชนะที่มีที่มีไม้ทัม้ณทัฑฆาตกำ กับ เช่นช่การณ์ รัตรัน์ วิรุฬห์ พยัญชนะ ร หรือ รื ห ที่นำที่นำหน้าพยัญชนะสะกดในคำ บางคำ ซึ่งซึ่ มาจากภาษาบาลี-ลีสันสกฤต เช่นช่ สามารถ พราหมณ์ พยัญชนะซึ่งซึ่ตามหลังลัพยัญชนะสะกดในคำ ซึ่งซึ่มาจากภาษา บาลี-ลีสันสกฤต เช่นช่วัตวัร พุทธ ร ซึ่งซึ่เป็นส่วนหนึ่งของอักษรควบไม่แม่ท้ เช่นช่ สร้าร้ง จริงริ ห หรือ รื อ ซึ่งซึ่นำ อักษรต่ำ เดี่ยว เช่นช่หลาก อยาก


๒๗ ๓) เสียงวรรณยุก ยุ ต์แ ต์ ละรูปวรรณยุก ยุ ต์ ภาษาไทยเป็นภาษาที่มี ที่ มี วรรณยุก ยุ ต์ กล่าล่วคือ มีก มี ารเปลี่ยนระดับเสียงของคำ ในภาษาซึ่งซึ่ทำ ให้ความหมายของคำ เปลี่ย ลี่ นไป แม้ว่ม้าว่ภาษาทุก ทุ ภาษามีเสียง สูง สู ๆ ต่ำ ๆ ในการพูด แต่ถ้าเสียงสูง ต่ำ นั้นไม่ทำม่ทำให้ความหมายเปลี่ยนไป ภาษาเหล่านั้นก็มีเพียงระดับเสียงต่าง ๆ ในการพูด ไม่นัม่ นับว่ามีวรรณยุก ยุ ต์ และในบรรดาภาษาที่มีที่มี วรรณยุก ยุ ต์ ภาษา ไทยมีลั มี กลัษณะพิเศษ คือ มีทั้งทั้เสียงและรูปวรรณยุก ยุ ต์ ๓.๑) เสียงวรรณยุก ยุ ต์ เสียงวรรณยุก ยุ ต์ในภาษาไทยมี ๕ เสียง ๑. ภาษาไทยมีว มี รรณยุก ยุ ต์ ๕ เสียง หมายถึง ภาษาไทยกลางหรือ รื ภาษา ถิ่นภาคกลาง ซึ่งซึ่เป็นภาษามาตรฐาน เป็นภาษาที่ใที่ ช้ใช้นราชการ หากเป็น ภาษาถิ่นอื่นอาจแตกต่าต่งไปบ้าง เช่นช่ภาษาถิ่นเหนือมีเ มีสียงวรรณยุก ยุ ต์ ๖ เสียง ๒. การที่ภ ที่ าษาไทยมีเ มีสียงวรรณยุก ยุ ต์ ทำ ให้สามารถสร้าร้งเสียงต่าง ๆ ได้มากมาย กลายเป็นคำ ที่มี ที่ ค มี วามหมายและเป็นพยางค์ที่ไที่ ม่มีความหมาย เนื่องจากการเปลี่ยนเสียงวรรณยุก ยุ ต์ทำ ให้ความหมายเปลี่ยนไป เช่นช่ สามารถผันผัวรรณยุก ยุ ต์ กอ ก่อ ก้อ ก๊อ ก๋อ ได้ครบ ๕ เสียง แต่ใช้เช้พียง ๒ เสียง คือ กอ และ ก่อ ส่วนอีก ๓ เสียง คือ ก้อ ก็อ ก๋อ เป็นเพียงพยางค์ที่ ไม่ไม่ด้ใช้ใช้นคำ ไทย นอกจากนี้เสียงบางเสียงอาจใช้เช้ขียนคำ ที่ม ที่ าจากภาษาอื่น เช่นช่เกี๊ย กี๊ ะ หรือ รื ใช้เช้ขีย ขี นคำ เลีย ลี นเสียง เช่นช่เผีย ผี ะ เปรี๊ย รี๊ ะ เป็นต้น อย่าย่งไรก็ตาม พยางค์ทุก ทุ พยางค์ที่คที่นไทยออกเสียงมีเสียงวรรณยุก ยุ ต์ กำ กับกัอยู่ด้ยู่ ด้วยเสมอ แต่บางพยางค์เท่าท่นั้นที่สที่ ามารถใช้เช้ป็นคำ คือ มีความ หมายในตนเอง ๓. วรรณยุก ยุ ต์มี ต์ มี ๕ เสียง จะสมบูรณ์จริงริเฉพาะการพูด หรือ รื การออก เสียงหมายความว่าว่ สามารถออกเสียงวรรณยุก ยุ ต์ได้ ๕ เสียงจริงริทั้งทั้คำ เป็น และคำ ตาย แต่ไนการเขียนจะเขียนได้ไม่สมบูรณ์ เช่นช่คำ ตาย ออกเสียง สามัญมั ได้ แต่เต่ขียนเสียงสามัญไม่ไม่ด้ การเขียนจึงเป็น ดังนี้ เสียง/ชนิดคำ สามัญ เอก โท ตรี จัตวา คำ เป็น คำ ตาย กา ก่า ก้า ก๊า ก๋า - กะ ก้ะ ก๊ะ ก๋ะ


๒๘ ๓.๒) รูปวรรณยุก ยุ ต์ การใช้รูช้รู ปวรรณยุก ยุ ต์ในภาษาไทย สังเกตได้ ดังนี้ ๑. ภาษาไทยมีรู มี รู ปวรรณยุก ยุ ต์ ๔ รูปคือ่ ้ ๊ ๋รูปกับกัเสียง วรรณยุก ยุ ต์ใต์ นภาษาไทยอาจไม่ตรงกัน คือ ถ้าพยัญชนะต้นเป็นอักษรต่ำ เสียงและรูปวรรณยุก ยุ ต์จ ต์ ะไม่ตม่รงกัน หรือ รื จะจำ ง่าง่ยๆ เป็นสูตรว่า ต่ำ ไม่ ตรงรูป คือ ถ้าพยัญยัชนะต้นเป็นอักษรต่ำ รูปวรรณยุก ยุ ต์เอก จะเป็นเสียง โท เช่นช่ค่า ล่ำ ค่ะ หากเป็นรูปวรรณยุก ยุ ต์โทจะเป็นเสียงตรี เช่นช่ค้า แล้ว ด้วยเหตุนี้ ตุนี้อักษรต่ำ จึง จึไม่ใม่ช้ไช้ม้ตรีเ รี ลย ๒. คำ ที่มี ที่ มี พยัญยัชนะต้นต้ สองตัวตั ได้แก่ อักษรควบ หรือ รื อักษรนำ เช่นช่กล- คว- ตร- สล- อร- อย- ฯลฯ ถ้ามีวรรณยุก ยุ ต์ต้องเขียนไว้บน พยัญยัชนะตัวตัหลัง แต่การผันผัวรรณยุก ยุ ต์ถือพยัญชนะตัวหน้าเป็นหลัก ๓. ส่วนประกอบของภาษา ส่วนประกอบของภาษา ได้แก่ เสียง คำ และประโยค ในภาษาไทย มีเ มีสียงพยัญยัชนะ ๒๑ เสียง เสียงสระ ๒๑ เสียง และเสียงวรรณยุก ยุ ต์ ๕ เสียง เมื่อ มื่ นำ เสียงเหล่านี้มาประกอบกันทั้งทั้หมดจะได้คำ เพิ่มมากขึ้น และเมื่อ มื่ ประกอบเป็นคำ แล้วล้ สามารถนำ มาเรีย รี งเป็นกลุ่ม ลุ่ คำ และประโยค ได้เป็นจำ นวนมาก นอกจากนั้น ยังสามารถนำ ประโยคที่มีที่มี อยู่ม ยู่ ารวมกัน หรือ รื ซ้อซ้นกันกัทำ ให้ได้ประโยคยาวออกไปเรื่อ รื่ ยๆ โดยไม่จำ กัดจำ นวน ๑) องค์ประกอบของพยางค์ เสียงพยัญชนะ เสียงสระ และเสียง วรรณยุก ยุ ต์ แม้จม้ะแยกเป็นประเภทได้อย่างชัดชัเจน แต่เสียงเหล่านี้จะอยู่ รวมกันกัเสมอโดยประกอบกันกัขึ้นเป็นพยางค์ เสียงพยัญชนะที่อ ที่ ยู่ห ยู่ น้า เสียงสระในพยางค์เรีย รี กว่า เสียงพยัญชนะต้น ส่วนเสียงพยัญชนะที่อ ที่ ยู่ หลังลัเสียงสระในพยางค์เรีย รี กว่า เสียงพยัญชนะท้าท้ย หรือ รื เสียงพยัญชนะ สะกด ซึ่งซึ่เสียงนี้บางพยางค์ไม่มีม่ มี แต่ทุก ทุ พยางค์จะต้องมีเสียงพยัญชนะ ต้นต้เสียงสระ และเสียงวรรณยุก ยุ ต์เสมอ เสียงพยัญชนะต้นอาจมีเสียง เดียว เช่นช่ตา มีเ มีสียง /ต/ เป็นเสียงพยัญชนะต้น หรือ รื อาจมีสองเสียง ควบกันกัเช่นช่ครู กว่าว่เสียงพยัญชนะเสียงที่สที่ องนั้นจะเป็นเสียง /ร/ล/ว เท่าท่นั้น เรีย รี กเสียงที่ค ที่ วบกันกันี้ว่า เสียงควบกล้ำ พยางค์ จึง จึ หมายถึง เสียงที่เที่ปล่งออกมาครั้งรั้หนึ่ง ๆ จะมีค มี วาม หมายหรือ รื ไม่มีม่ค มี วามหมายก็ไก็ ด้ พยางค์มีอ มี งค์ประกอบ ๓ ส่วนดังนี้


๒๙ ๑. พยัญยัชนะต้นต้อาจเป็นพยัญยัชนะต้นเดี่ยวหรือ รื พยัญชนะต้นควบ ๒. สระ อาจเป็นสระเดี่ยวเสียงสั้นหรือ รืสระเดี่ยวเสียงยาว หรือ รืสระเลื่อน ๓. วรรณยุก ยุ ต์ การนำ องค์ประกอบทั้งทั้๓ ส่วน คือ พยัญชนะต้น สระ และวรรณยุก ยุ ต์ มาประสมกันกัเรีย รี กว่าว่วิธีปธี ระสมอักษร พยางค์หนึ่งจะมีก มี ารประสมอักษร ตั้งตั้แต่ ๓ ส่วนขึ้น ขึ้ ไป วิธีปธี ระสมอักษรมี ๓ วิธี ดังนี้ ๑.๑) การประสมอักษร ๓ ส่วน วิธีนี้ ธีนี้เรีย รี กว่า มาตรา กะ กา หรือ รื แม่ ก กา มีสมี ระ พยัญยัชนะ และวรรณยุก ยุ ต์ ประสมด้วยสระจำ นวน ๒๑ เสียง ยกเว้นว้ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ เช่นช่กะ กา กิ กี กึ กื กุ กู เกะ เก แกะ แก โกะ โก เกาะ กอ เกอะ เกอ เกีย เกือ กื กัว ส่วนพยางค์ที่มี ที่ มีสระ อำ ไอ ไอ เอา กำ หนดตาม รูปสระจะเป็นการประสมอักษร ๓ ส่วน จัดอยู่ใ ยู่ น ก กา เช่นช่ดำ ใจ ไป เรา เป็นต้นต้ ถ้าตามสำ เนียงอักษรประสมกันแล้ว ต้องอยู่ใ ยู่ นวิธีปธี ระสม ๔ ส่วน เพราะ เป็นเสียงมีตั มี วตั สะกด เช่นช่ สระ อำ จะมีเสียง ม เป็นตัวสะกด ๑.๒) การประสมอักษร ๓ ส่วน วิธีนี้ ธีนี้มี ๒ อย่างคือ ๑. ประสม ๔ ส่วนปกติ คือ การประสมอักษร ๓ ส่วน แล้วเพิ่มเติม ตัวตั สะกดเป็นส่วนที่ ๔ เรีย รี กต่างกันเป็น มาตรา ๘ มาตรา คือ แม่กก แม่กง แม่กม่ด แม่กม่น แม่กบ แม่กม่ม แม่เกย แม่เกอว เป็นคำ ตาย ๓ แม่ คือ แม่กก แม่กม่ด แม่กม่บ นอกนั้นเป็นคำ เป็น พยางค์ประสม ๔ ส่วนปกติ แม่กม่ก ประสมด้วยสระต่างๆ เช่นช่กัก กาก กิกกิกีก กี กึก กึ กืก กุก กุ กูก กู เก็กเกก แก็ก แกก กก โกก ก็อก กอก เกิก เกีย กี ก เกือ กื ก กวก พยางค์ที่ปที่ระสมสระอำ อยู่ใ ยู่ นแม่กมพยางค์ที่ปที่ ระสมสระ ไอ ไอ อยู่ใยู่นแม่เกยพยางค์ประสมสระเอา อยู่ใ ยู่ นแม่เกอว ๒. การประสมอักษร ๔ ส่วนพิเศษ คือ วิธีปธี ระสม ๓ ส่วน ซึ่งซึ่มีตัว การันรัต์เ ต์ พิ่มเข้าเป็นส่วนที่ ๔ ได้แก่ แม่ ก กา มีตั มี ตัวการันรัต์ เช่นช่การ์ตู ร์ ตู น สัปดาห์ อาคเนย์ เป็นต้นต้ ๑.๓) การประสมอักษร ๕ ส่วน ได้แก่ วิธีปธี ระสม ๔ ส่วนปกติ ซึ่งซึ่มีตัว การันรัต์เ ต์ ดิมเข้าเป็นส่วนที่ ๕ ได้แก่ มาตราทั้งทั้๘ แม่ ที่มี ที่ มี ตัวการันรัต์ เช่นช่ อัปลักลัษณ์ เหตุก ตุ ารณ์ แสตมป์ เป็นต้น


๓๐ ๒) องค์ประกอบของคำ คำ คือ เสียงที่เ ที่ปล่งออกมาและมีความหมาย อย่าย่งหนึ่งจะเป็นกี่พ กี่ ยางค์ก็ไก็ ด้ พยางค์ที่มี ที่ มี ความหมายอาจประกอบด้วย พยางค์เดียวหรือ รื หลายพยางค์ก็ได้ คำ ที่ปที่ ระกอบด้วยพยางค์เดียวเรีย รี กว่า คำ พยางค์เดียว เช่นช่เย็น ย็ มา เดิน เพลิน สวน พ่อ ชาย หญิง ส่วนคำ ที่ ประกอบด้วยพยางค์หลายพยางค์ เรีย รี กว่า คำ หลายพยางค์ เช่นช่ตุ๊กตา อาหาร พยัคยัฆ์ เป็นต้นต้คำ จึงประกอบด้วยเสียงและความหมายซึ่งซึ่มี จำ นวนพยางค์เท่าท่ ไรก็ไก็ ด้ ภาษาไทยประกอบด้วยเสียงและความหมาย ในการใช้ภช้าษาไทยให้ ถูกต้อต้งและมีประสิทธิผธิลจำ เป็นต้องคำ นึงถึงการใช้เช้สียงในภาษาให้ถูก ต้อต้ง เพื่อสามารถสื่อความหมายได้ชัดชัเจน โดยอาศัยการเรีย รี นรู้แรู้ละนำ ไป ใช้ผ่ช้าผ่นทักทัษะการฟัง การพูด การเขียนในชีวิ ชีวิตประจำ วัน เกร็ด ร็ ความรู้ จำ ให้ แม่น


๓๑ แบบทดสอบ เรื่อ รื่ ง คุ้ยเขี่ย ขี่ หาธรรมชาติของภาษาไทย ให้นักเรีย รี นเขียนเครื่อ รื่ งหมาย x ทับทัตัวอักษรหน้าคำ ตอบที่ถู ที่ ถู กต้อง ๑. สัตว์ชว์นิดใดตั้งตั้ชื่อชื่จากการเลียลีนเสียงธรรมชาติ ก. นก ข. เสือ ค. ตุ๊กตุ๊แก ง. ควาย ๒. ข้อข้ ใดไม่ไม่ด้เด้กิดกิจากการกร่อร่นเสียง ก. หมากพร้าร้ว ข. หมากม่วม่ง ค. สายดือดืง. สายใจ ๓. ข้อข้ ใดไม่ใม่ช่คำช่ คำที่มที่าจากภาษาอังอักฤษ ก. รถจิ๊ปจิ๊ข. รถตุ๊กตุ๊ ๆ ค. รถแบ็ค บ็ โฮ ง. รถมอเตอร์ไร์ซด์ ๔. ข้อข้ ใดมีคมีวามหมายแคบ ก. เครื่อรื่งครัวรัข. เครื่อรื่งจักจัร ค. เครื่อรื่งยนต์ ง. เครื่อรื่งซักซัผ้าผ้ ๕. นักเรียรีนส่งข้อข้ความทางโทรศัพท์ถึท์งถึเพื่อนงานวันวัเกิดกิข้อข้ ใดเป็นสาร ก. นักเรียรีน ข. ข้อข้ความ ค. โทรศัพท์ ง. เพื่อน ๖. คำ ว่าว่น้ำ อ่าอ่นว่าว่น้าม แสดงว่าว่มีกมีารเปลี่ยลี่นแปลงภาษาในด้าด้นใด ก. คำ ข. เสียง ค. ความหมาย ง. สำ นวน ๗. ข้อข้ ใดเรียรีงลำ ดับดัของประโยคจากประธานขยายประธาน กริยริา กรรม ขยายกรรม ขยายกริยริา ก. รถยนต์สีต์ สีขาว ชนรถกระบะสีดำ พังยับยัเยินยิ ข. นักเรียรีนบำ เพ็ญประโยชน์ในวันวั สิ่งแวดล้อล้ม ค. ครูประจำ ชั้นชั้นำ นักเรียรีนไปทัศทันศึกษา ง. ภารโรงช่วช่ยดูแดูลความสะอาดของโรงเรียรีน


๓๒ ๘. ข้อข้ ใดเป็นวัจวันภาษา ก. ตำ รวจจราจรโบกมือห้ามรถ ข. กรรมการเป่านกหวีด วี หมดเวลาการแข่งขัน ค. นักเรีย รี นร้อร้งเพลงประกวดในวันแม่ ง. คนรักรัมอบดอกกุห กุ ลาบวันวาเลนไทน์ ๙. ข้อข้ ใดเป็นอวัจนภาษา ก. นักเรีย รี นฟังครูอธิบธิาย ข. ทุก ทุ บ้าบ้นมีภาพในหลวงไว้บูชา ค. คุณยายอวยพรให้หลาน ๆ มีสุขภาพแข็งแรง ง. คุณพ่อชอบอ่านข่าข่วหนังสือพิมพ์ ๑๐. ข้อข้ ใดคือสิ่งที่ทำ ที่ ทำ ให้ภาษามีลักษณะต่างกัน ก. ใช้เช้สียงสื่อความหมาย ข. มีวิธีวิก ธี ารสร้าร้งศัพท์ขึ้ ท์ขึ้นใหม่ ค. มีโครงสร้าร้งไวยากรณ์ที่ต่ที่ต่างกัน ง. มีก มี ารเปลี่ย ลี่ นแปลงตามสิ่งแวดล้อม


๒ บทที่ คุ้ยเขี่ยหาการใช้คำ และกลุ่ม ลุ่ คำ


การใช้สำช้ สำนวน การใช้คำ และกลุ่ม ลุ่ คำ จำ กัด กั ความ ความหมายของคำ การเลือลืกใช้คำช้ คำ การเรียรีงร้อร้ยประโยค การใช้คำช้ คำ การสะกดคำ ความงามกับกัภาษา กรใช้สำช้ สำนวน การเลือลืกคำ การเรียรีงคำ การใช้โช้วหาร การใช้เช้ครื่อรื่งหมาย ทัญทัฑฆาต ( ์ ) การใช้ -ำ -ัม -รรม ไ- ใ- -ัย คำ ที่ปที่ระวิสวิรรชนีย์ และไม่ปม่ระวิสวิรรชนีย์ การเลือลืกคำ การเรีย รี งคำ การใช้โช้วหาร ประเภทของสำ นวนไทย การใช้สำช้ สำนวนไทย คุณค่าของสำ นวนไทย


๓๕ ความหมายนัยตรง ความหมายตามตัว หรือ รื ความหมายเชิงชิอุปมาที่ เข้าข้ ใจทั่วทั่ ไป ความหมายในประหวัดวัความหมายเชิงชิอุปมา ชวนให้หวนคิดไปทาง ใดทางหนึ่ง เช่นช่เจ้าจ้พ่อ หมายถึง ผู้มี ผู้ อิ มี อิทธิพธิลในถิ่นนั้น อาจนึกประหวัด ว่าว่เป็นคนดีมีศีมี ศี ลธรรม หรือ รื คนทุร ทุ ศีลก็ได้ การใช้คำ ๑. ความหมายของคำ ๑.๑ คำ ที่มี ที่ มี ความหมายเฉพาะ ๑) คำ ที่มีที่มี ความหมายตามตัวกับความหมายเชิงชิอุปมา ความหมายตามตัว = ความหมายเดิม เช่นช่ลูก ลู เสือคล้าล้ยลูก ลู แมว (ลูก ลู ของ เสือ) ความหมายเชิงชิอุปมา =ความหมายเทีย ที บเคียง เช่นช่การที่เที่ขาอุปการะลูก ลู ของโจรที่ถูที่ถู กประหารชีวิ ชีวิตไว้เท่าท่กับเลี้ยงลูก ลู เสือไว้ใว้นบ้าน (ลูก ลู ของโจร) ๒) คำ ที่มี ที่ ค มี วามหมายนัยตรงกับความหมายนัยประหวัด ๑.๒ คำ ที่มีค มี วามหมายเปรียบเทียบกับคำ อื่น ๑) คำ ที่มีที่มี ความหมายเหมือนกันกัหรือ รื อย่างเดียวกัน คำ ไวพจน์ คือ คำ พ้องความหมาย เช่นช่บอก กล่าว เล่า แจ้ง แถลง ดำ รัสรัทูล ทู มีพระดำ รัสรัมีพระราชดำ รัสรัมีพ มี ระราชกระแส หมายถึง พูด คำ ไวพจน์ไม่สามารถใช้แช้ทนกันได้ทุก ทุ คำ ต้องคำ นึงถึงระดับภาษา ความเป็นทางการ โอกาส ความคุ้นเคย เช่นช่ภาษาสุภาพกับไม่สุภาพ ภาษาแบบแผนกับไม่แม่บบแผน ภาษาสำ หรับรัเด็กกับผู้ใ ผู้ หญ่ ภาษาสามัญ กับกัภาษาการประพันธ์ ๑


๓๖ ๒) คำ ที่มี ที่ ค มี วามหมายคล้ายกันหรือร่วร่มกัน บางคำ มีค มี วามหมายบางส่วนร่วร่มกัน แต่มีค มี วามหมายเฉพาะต่างกัน ความหมาย ร่วร่ม ศัพท์ ความหมาย เฉพาะ ตัว ตั อย่าง หลังโกง คิ้วโก่ง แผ่นผ่ ไม้โก่ง ไม่ตม่รง โกง โก่งก่ ทำ ให้ ไม่สม่ะดวก ดูแล กีดขวาง ขัดขัขืน ขื คุ้มครอง ปกครอง ทำ ให้ไม่สะดวก การใช้งช้าน การไม่ทำม่ ทำตาม รักรัษา หรือ รืปกป้อง ดูแลด้วยการ ดำ เนินการ หรือ รื จัดการ หัวหน้า ปกครอง ลูก ลู น้อง เขาบนบาน เทพเจ้าจ้ ให้ช่วช่ย คุ้มครอง ภัยอันตราย วางของกีด กี ขวางทางเดิน คนร้าร้ยขัดขัขืน การจับกุม กุ ของ ตำ รวจ ใช้กัช้บกัหลังลั ไม่ตรงอย่าง คันธนู ใช้กัช้ กับ ของแบนยาว ๓) คำ ที่มี ที่ ค มี วามหมายตรงกันข้าม ความหมายตรงข้ามภายในตัว ไม่ต้ม่ ต้อง ใช้คำช้ คำว่าว่ ไม่ ประกอบข้าข้งหน้า เช่นช่รวย-จน ชนะ-แพ้ ๔) คำ ที่มี ที่ มี ความหมายครอบคลุม ลุ คำ อื่น ความหมายกว้าว้งครอบคลุม ลุ คำ จำ พวกเดียวกัน เช่นช่เครื่อ รื่ งสำ อาง เครื่อ รื่ งครัวรั สุข สุ ภัณภัฑ์


๓๗ ๒. การเลือกใช้คำ ๒.๑ ใช้คำช้ คำ ให้ตรงความหมาย ไม่ใม่ช้คำช้ คำที่มี ที่ มี ความกำ กวม ควรใช้บช้ริบริทช่วช่ยเพื่อระบุความชัดชัเจน ของคำ ให้มีค มี วามหมายตรงตามที่ต้ ที่ ต้องการ ใช้คำช้ คำเชื่อ ชื่ ม คำ บุพบท ลักษณ นาม คำ ขยายให้เหมาะสมกับกัเรื่อ รื่ งราว เช่นช่ เขารักรัลูก ลู น้องมาก ต้อต้งระบุใ บุ ห้ชัดชัเจนว่า ลูก ลู ของน้อง หรือ รื ลูก ลู น้องร่วร่มงาน ลักลัษณนาม รูป ใช้กัช้ กับภิกภิษุสามเณร องค์ ใช้กัช้ กับสิ่งที่เที่คารพบูชา ในศาสนา และใช้เช้ป็นลักษณะนามของอวัยวะหรือ รื ของบางอย่างใน พระเจ้าจ้แผ่นผ่ดิน ลักษณนาม โรง ใช้กัช้บกั สิ่งปลูก ลู สร้าร้งซึ่งซึ่เรีย รี กว่าโรง หลัง ใช้กัช้ กับ สิ่งปลูก ลู สร้าร้งที่มี ที่ ลั มี กลัษณะเป็นเรือ รื น ใช้ จ้ะจ้จ๊ะ จ๊ จ๋าจ๋ค่ะ คะ ขา ให้ถูกต้อง ๒.๒ ใช้คำช้ คำ ให้ตรงความนิยม คำ ที่มีที่มี ความหมายเหมือนกัน มักใช้ต่ช้ ต่างกันตามความนิยม เช่นช่ คำ ที่มีที่ค มี วามหมายว่าว่มาก ได้แก่ ชุก ใช้กัช้ กับผลไม้ ชุม ชุกชุม ใช้กัช้ กับสัตว์ คนไม่ดีม่ ดี ความเจ็บไข้ ดก ใช้กัช้ กับสิ่งที่เที่กิดขึ้นตามธรรมชาติ เป็นต้น ใช้คำช้ คำ ให้สุภาพและเหมาะสมกับโอกาส สถานที่ และบุคคล ๒.๔ การใช้คำช้ คำ ไม่ซ้ำม่ซ้ำซาก เลือกใช้คำช้ คำที่มีที่ค มี วามหมายใกล้เคียงกัน เพื่อให้เกิดความ แตกต่าต่ง ดึงดูดความสนใจ การเรีย รี งร้อยประโยค ๑. การเชื่อม คล้อล้ยตาม = และ ทั้งทั้ทั้งทั้...และ อีกทั้งทั้รวมทั้งทั้ อนึ่ง อีกประการหนึ่ง ๒


๓๘ ขัดขัแย้งย้= แต่ แต่ทต่ว่าว่แม้ แม้แม้ต่ แม้ว่ม้ ว่า กว่า...ก็ เลือ ลื ก = หรือ รื หรือ รื ไม่ก็ มิฉมิะนั้น มิฉะนั้น...ก็ เหตุผ ตุ ล = จึง จึ เลย เพราะฉะนั้น...จึง ลำ ดับเวลา = แล้วล้แล้วจึง จึ แล้วก็ และแล้ว ต่อจากนั้น เงื่อ งื่ นไข = ถ้า แม้.ม้..ก็ หากว่า เมื่อ มื่...ก็ ๒. การซ้ำ กล่าล่วซ้ำ คำ เดิมในประโยคถัดไป อาจมีวิเศษณ์ชี้เชี้ฉพาะ นี่ นั่น โน่น เช่นช่ผลไม้ที่ม้รัที่บรั ประทานมีทั้ มี งทั้ ส้ม กล้วยหอม และมะละกอ ส้มหมดก่อน ที่สุที่ด สุ กล้วล้ยหอมยังเหลือ ลื อยู่บ้ยู่าบ้ง มะละกอไม่มีม่ มีใครแตะต้องเลย ๓. การละ ละคำ ที่ซ้ำที่ซ้ำกับกัคำ ในประโยคแรก เช่นช่ดวงตะวันเริ่มริ่ผุด ผุ ขึ้นตรงขอบฟ้า เป็นรูปกลมแสงสด เริ่มริ่ทอแสงจ้าขึ้นเรื่อ รื่ ย ๆ ในไม่ช้ม่าช้ก็เปล่งรัศรัมีเรือ รื ง สว่าว่งไปทั่วทั่ โลก (ละคำ ดวงตะวัน ในประโยคหลัง) ๔. การแทน นำ คำ หรือ รื วลีอื่นที่มีที่ใมี จความอย่างเดียวกันมาแทน เช่นช่ทุก ทุ คนได้เห็น ลูก ลู ช้าช้ง มีค มี วามยินยิดี จับจังวง ลูบ ลู ใบหู ส่งกล้วยให้กิน ฉันเองก็เช่นช่กัน การใช้สำ นวน ๑. ลัก ลั ษณะของสำ นวนไทย สำ นวนไทยมีลักลัษณะเป็นคำ คมที่มี ที่ ค มี วามหมายโดยนัย ต้องอาศัย การตีค ตี วาม อาจแสดงโดยการเปรีย รี บเทีย ที บ สอดแทรกความคิดเห็น หรือ รื คำ ติชติม มีสัมี สัมผัสผัคล้อล้งจองเพื่อให้เกิดความไพเราะ ๒. ประเภทของสำ นวนไทย ๑) สำ นวน มีความหมายในเชิงชิเปรีย รี บเทีย ที บ อาจมีเ มีสียงสัมผัสผั คล้อล้งจอง เช่นช่ ปีกกล้าขาแข็ง ข็ ผักผัชีโรชี ยหน้า ๓


๓๙ ๒) คำ พังเพย กล่าวลอย ๆ เป็นคำ ติชมหรือ รื แสดงความคิดเห็น เช่นช่ เกลือ ลื เป็นหนอน กบเลือ ลื กนาย ๓) สุภ สุ าษิต คติสอนใจให้ปฏิบัฏิ บัติในสิ่งที่ดีที่ดี งาม เช่นช่ทำ ดีได้ดี ทำ ชั่วชั่ ได้ชั่วชั่ ๔) อุปมาอุปไมย เปรีย รี บเทีย ที บระหว่างสิ่งหนึ่งกับสิ่งหนึ่งเพื่อให้เกิด ภาพพจน์ เช่นช่กินเหมือ มื นหมู ๓. การใช้สำ นวนไทย การใช้สำช้ สำนวนไทยควรศึกษาความหมายของสำ นวนก่อน แล้วใช้สำช้ สำนวน ให้ถูกต้อต้งตามคำ เดิม ตรงความหมาย สอดคล้องกับเรื่อ รื่ งราวที่ต้ ที่ ต้องการ สื่อสาร พอเหมาะไม่ฟุ่มเฟือย และเหมาะสมกับกาลเทศะ เช่นช่ สุนั สุนัขเรื้อ รื้ นตัวนี้ดูน่าเกลีย ลี ดน่าชังชัควรใช้คำช้ คำว่า น่าเกลียด เพราะ น่าเกลียดน่าชังชั ใช้กัช้บกัเด็ก เขาจะทิ้งทิ้ไพ่ใบสุด สุ ท้าท้ย ก่อนลาจากวงการนี้ ควรใช้คำช้ คำว่า ทิ้งทิ้ทวน หมายถึง ทำ เป็นครั้งรั้ สุด สุ ท้าท้ย สำ นวนที่ใที่ ช้ผิช้ดผิคำ เดิม เช่นช่ ปรักรัหักพัง (ไม่ใม่ช้ สลักหักพัง) คาหนังคาเขา (ไม่ใม่ช้ คาหลังคาเขา) ๔. คุณค่าของสำ นวนไทย สำ นวนไทยนับว่าเป็นศิลปะทางภาษาที่เที่ป็นมรดกสืบทอดต่อกันมา มีค มี วามไพเราะสละสลวย ช่วช่ยสื่อความหมายได้ชัดชัเจนขึ้น ให้ข้อคิด สะท้อท้น ความเชื่อ ชื่ และสืบสานวัฒนธรรมมิใมิห้สูญหาย การสะกดคำ ๑. คำ ที่ปที่ ระวิสวิ รรชนีย์และไม่ประวิสวิ รรชนีย์ ๑) คำ ที่ปที่ระวิสวิรรชนีย์ (๑) คำ ไทยแท้ที่ท้ที่อ ที่ อกเสียงสระอะ ไม่มีม่ มี พยัญชนะสะกด เช่นช่ กะทัดทัรัดรัขะมักเขม้นม้ ปะทะปะทังทั (๒) คำ จากภาษาอื่นที่พ ที่ ยางค์ท้าท้ยออกเสียงสระอะ เช่นช่พันธนะ ศิลปะ สวัสวัติกติะ อมตะ ๔


๔๐ (๓) คำ กร่อร่นที่ก ที่ ลายเสียงจากภาษาอื่น เช่นช่ฉะนั้น (กร่อร่นจาก ฉันนั้น) ตะปู (กร่อร่นจาก ตาปู) (๔) คำ จากภาษาอื่น พยางค์ที่อ ที่ อกเสียงสระ อะ เต็มมาตรา เช่นช่ กะละมังมับะหมี่ ดะโต๊ะ ต๊ กำ มะถัน (๕) พยางค์ต้นต้หรือ รื กลางที่มีที่มี พยัญชนะควบ กร คร ชร ตร ปร พร สร เช่นช่กระจง คระไล ชระง่อง่น (๖) คำ อัพภาส หรือ รื คำ ซ้ำ อักษรหน้าศัพท์อ ท์ อกเสียงสระ อะ เช่นช่ คะครื้น รื้ (ครื้น รื้ ) ยะยิ้มยิ้ (ยิ้มยิ้ ) ๒) คำ ที่ไที่ม่ประวิสวิรรชนีย์ (๑) พยางค์ที่อ ที่ อกเสียง อะ แต่ไม่ใม่ช่พช่ยางค์สุดท้าท้ย เช่นช่กตัญญู คติ สฤษฏ์ อคติ (๒) พยางค์ที่เที่ป็นอักษรนำ เช่นช่ขนม ขยะ ฉมวก ฉงน สนาม (๓) ตัวตั สะกดที่อที่อกเสียง อะ เช่นช่ ปรกติ สัปดน อลหม่าน (๔) คำ เฉพาะที่ไที่ด้รับรัการยกเว้น เช่นช่ณ (แปลว่า ใน ณ ที่นี้ ที่นี้) ธ (แปลว่าว่เธอ ธ ประสงค์ใด) (๕) คำ จากภาษาเขมรที่อ่ที่อ่านออกเสียงอย่างอักษรนำ หรือ รื ออกเสียง อะ ไม่เม่ต็ม ต็ เสียง (๖) คำ สมาส เช่นช่ภารกิจกิรัตรันตรัยรัวีรชน สาธารณสุข สุ อิสรภาพ (๗) พยางค์ต้นหต้รือ รื กลางที่อ ที่ อกเสียง อะ ของคำ จากภาษาอังกฤษ ยุโ ยุ รป ประวิสรรชนีย์ห ย์ รือ รื ไม่ก็ม่ ไก็ ด้ ๒. การใช้ -ำ -ัม -รรม ไ- ใ- -ัย ๑) การใช้ -ำ (๑) ใช้กัช้บกัคำ ไทยแท้ เช่นช่กำ จำ นำ ดำ ลำ ทองคำ รำ มะนาด (๒) ใช้กัช้บกัคำ ที่แที่ผลงมาจากภาษาอื่น เช่นช่กำ แหง (แข็ง) ตำ รวจ (ตรวจ) รำ ไพ (รวิ)วิ (๓) คำ เขมรที่ลที่งอาคม คือ ทำ คำ กริยริาให้เป็นนาม เช่นช่ กำ เนิด (เกิด) บำ เพ็ญ (เพ็ญ) อำ นาจ (อาจ) (๔) คำ ภาษาอื่นๆ เช่นช่กำ มะลอ กำ ยาน รำ มะนา สำ ปั้น


๔๑ ๒) การใช้ -ัม (๑) คำ บาลีสันสกฤตที่มี ที่ มี พยัญชนะวรรค ปะ (บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม) ตามหลังลัเช่นช่คัมภีร์ สัมมา อัมพร (๒) คำ ที่เที่กิดจากคำ นฤคหิตสนธิกัธิ กับพยัญชนะวรรค ปะ เช่นช่ สัมปชัญชัญะ (สํ + ปชญญ) (๓) คำ ที่มที่าจากภาษาอังกฤษ เช่นช่กรัมรัรัมรัมี่ ปั๊ม สกรู ๓) การใช้ -รรม ใช้กัช้บกัคำ สันสกฤตที่มี ที่ มี“รฺม” ประสมอยู่ เช่นช่กรรม จรรม ธรรม ๔) การใช้ ไ (ไม้ม ม้ ลาย) (๑) ใช้กัช้บกัคำ ไทยแท้ทุท้ก ทุ คำ เช่นช่ ไกล ไต่ ไจ ไป ไฟ ไหล ไส ไว (๒) คำ ที่ม ที่ าจากภาษาเขมร เช่นช่ ไข ได ไถง ไผท (๓) คำ ที่ม ที่ าจากภาษาสันสกฤต เช่นช่ ไพบูลย์ ไอศวรรย์ ไศล (๔) คำ บาลีสัลี สันสกฤตที่แที่ผลงมาจาก อิ, อี, เอ เช่นช่ ไมตรี (แผลงจาก เมตฺติตฺ )ติ ไพจิตจิร (แผลงจาก วิจิตจิร) (๕) คำ ที่มที่าจากภาษาอื่น ๆ เช่นช่ ไมล์ อะไหล่ เจียระไน ไวตะมิน ไหหลำ ไอร์แ ร์ ลนด์ ๕) การใช้ ใ (ไม้ม้ว ม้ น) คำ ไทยแท้ ใกล้ ใคร ใคร่ ใจ ใช่ ใช้ ใด ใต้ ใน ใบ ใบ้ ใฝ่ ใย สะใภ้ ใส ใส่ ให้ ใหญ่ ใหม่ หลงใหล ๖) การใช้ -ัย ใช้กัช้ กับคำ ที่ม ที่ าจากภาษาบาลีสันสกฤตเท่าท่นั้น รูปเดิมของคำ มี ตัวตัย ตาม เช่นช่วินัวิ นัย (วินย) สมัยมั (สมย) ๓. การใช้เครื่องหมายทัณ ทั ฑฆาต ( ์ ) ๑) ใช้กัช้บกัคำ ที่ม ที่ าจากภาษาบาลีสันสกฤต อังกฤษ เช่นช่ สังข์ องค์ สงฆ์ จันจัทร์ ปอนด์ ไมล์ ๒) ตัวตัการันรัต์อาจเป็นพยัญชนะตัวเดียวหรือ รื หลายตัวก็ได้ เช่นช่ รักรัษ์ ลักลัษณ์ ลักษมณ์ ยนตร์ อินทร์ ๓) ตัวตัการันรัต์อ ต์ าจอยู่ก ยู่ ลางคำ ก็ได้ เช่นช่ ฟิล์ม เสิร์ฟร์ โอห์ม เทอร์โร์ มมิเตอร์ ฟังก์ชันชั


๔๒ ๔) ตัวตัการันรัต์อ ต์ าจมีรู มี รู ปสระกำ กับก็ได้ เช่นช่ โพธิ์ สิทธิ์ กษัตริย์ริ ย์ พันธุ์ บาทบงสุ์ ๕) พยัญยัชนะสะกดที่คที่วบกับ ร ใช้เช้ป็นตัวการันรัต์ไม่ได้ เช่นช่จักร มิตร สมุทร นริศริร ๖) พยัญยัชนะสะกดที่คที่วบกับ ร ใช้เช้ป็นตัวการันรัต์ได้ เพราะไม่ใช่ ตัวตั สะกด เช่นช่พักตร์ ศาสตร์ ความงามกับ กั ภาษา ๑. การเลือกคำ ๑.๑ ความหมายของคำ ๑) ใช้คำช้ คำที่มีที่ค มี วามหมายตรงตามที่ผู้ ที่ เ ผู้ ขียนมุ่งประสงค์ บางคำ ใกล้เล้คียงกัน แต่ความหมายต่างกัน ต้องใช้ใช้ห้ถูก ต้อต้ง เช่นช่วางใจ ไว้ใจ กักกักัน กักขัง อนุญนุ าต อนุมั นุ ติมั ติปฏิญญา ปฏิญาณ เกลี้ย ลี้ กล่อล่ม กล่อล่มเกลา แข็ง ข็ กร้าร้ว แข็งแกร่งร่ ๒) ใช้คำช้ คำที่มี ที่ มี ความหมายสอดคล้องกับบริบริท ซึ่งซึ่ได้แก่ คำ หรือ รื ข้อข้ความแวดล้อมเลือ ลื กใช้คำช้ คำ ให้เหมาะสมกับลักษณะเรื่อ รื่ ง เช่นช่เรื่อ รื่ งสดุดี บุค บุ คลใช้ศัช้ ศัพท์สูท์ ง สู เรื่อ รื่ งวิชวิาการใช้ศัช้ ศัพท์บั ท์ บัญญัติ ๓) ใช้คำช้ คำ ไวพจน์ให้สอดคล้องกับบริบริท คำ ไวพจน์ไม่สามารถใช้แช้ทนกันได้ทุก ทุ คำ ควรคำ นึงถึงบริบริทและระดับ ภาษา เช่นช่ดงผู้ร้ ผู้ าร้ย ไม่สม่ามารถใช้ ป่าผู้ร้ ผู้ าร้ย, ตา ไม่สามารถใช้แช้ทน เนตร ได้ ๔) ใช้คำช้ คำ ให้เหมาะสมแก่ลักษณะของคำ ประพันธ์ คำ สร้อร้ย เช่นช่เทอญ นา แล แลนา เอย เฮย แฮ ใช้เช้ฉพาะในโคลงและร่าร่ย ส่วน เอย ใช้ลช้งท้าท้ยดอกสร้อร้ยและสักวา ฉันท์นิ ท์ นิยมใช้คำช้ คำบาลีสันสกฤต มากกว่าว่คำ ประพันธ์ช ธ์ นิดอื่น บังคับคำ ครุ ๑.๒ เสียงของคำ ๑) คำ เลีย ลี นเสียงธรรมชาติ คำ เลียนเสียงธรรมชาติจะกระทบต่ออารมณ์ความรู้สึรู้ สึ ก ช่วช่ย สร้าร้งภาพพจน์ให้ชัดชัเจนยิ่งยิ่ขึ้น ขึ้ ๕


๔๓ ๒) คำ ที่มีที่เ มีสียงวรรณยุก ยุ ต์เ ต์ รีย รี งตามลำ ดับรูปวรรณยุก ยุ ต์ เรีย รี งคำ ตามรูปวรรณยุก ยุ ต์สามัญ เอก โท ไว้ต่อเนื่องกัน เพื่อให้ ไพเราะ เช่นช่ โคแดงแรงแร่งร่แร้งร้รุยราย จับจั ไผ่ไผ่ทรเทริงริหวาย หว่ายหว้าย ควายเสี้ยวเสี่ยวเสียวปลาย เขาโค่ง หวงห่วงห้วงน้ำ ก้าย เกี่ยวเกี้ยวเครีย รี มครึม รึ (โคลงอักษรสามหมู่: พระศรีมรี โหสถ) ๓) คำ ที่มีที่มี เสียงสัมผัสผั สัมผัสผัอักษรและสัมผัสผั สระ ให้เกิดความคล้องจอง เปล่งเสียงได้ สะดวกและชวนฟัง พบทั้งทั้ ในร้อร้ยกรองและร้อร้ยแก้วที่ใที่ช้ใช้นชีวิ ชีวิตประจำ วัน การสนทนา คำ ขวัญวั โฆษณาต่าง ๆ เช่นช่คลุก ลุ คลีตีโมง โง่เง่ง่าง่เต่าตุ่น ๔) คำ พ้องรูปพ้องเสียง คำ ที่เ ที่ ขียนเหมือนกันกัมีเสียงสระหรือ รื พยัญชนะเหมือ มื นกัน แต่มี ความหมายต่าต่งกันกัเช่นช่กา หมายถึง ชื่อ ชื่ นก กับ กา หมายถึง ภาชนะใส่น้ำ ๕) คำ ย้ำ หรือ รื ข้อความย้ำ การกล่าวซ้ำ คำ หรือ รื ข้อความเดียวกันเพื่อเน้นความหมายให้ หนักแน่นยิ่งยิ่ขึ้น เจ็บ จ็ รักรัเจ็บ จ็ จากช้ำ เจ็บเยีย ยี ว ยากนา เจ็บ จ็ ใคร่คืร่ คื นหลังเหลียว สู่หย้าย้ว เจ็บ จ็ เพราะลูก ลู มาเดียว แดนท่าท่น เจ็บ จ็ เร่งร่เจ็บองค์ท้าท้ว ธิรธิาชร้อร้นใจถึง ลูก ลู ฤๅ (ลิลิลิตลิพระลอ)


๔๔ ๖) คำ ซ้ำ ซ้ำ เสียงคำ เดิม ในร้อร้ยแก้วจะใช้ไช้ม้ยม้กมก แต่ในร้อร้ยกรองจะ เขีย ขี นเต็ม ต็ รูปคำ ลดความหนักของความหมาย แต่เพิ่มความเสนาะของเสียง ๗) เสียงหนักเบา คำ ครุและคำ ลหุบังคับในคำ ประพันธ์ปธ์ ระเภทฉันท์ และใช้กัช้ กับ คำ ประพันธ์ช ธ์ นิดอื่น ทำ ให้เกิดกิจังหวะลีลาซึ่งซึ่กระทบต่อความรู้สึรู้ สึ ก เช่นช่ หงอยเหงา ซึม ซึ เศร้าร้ท้อท้ถอย ขบขัน ร่าร่เริงริคึกคัก แข็งกล้า ฮึกเหิม ๒. การเรียงคำ ๒.๑ เรีย รี งข้อข้ความโดยวางสาระสำ คัญไว้ท้าท้ยสุด ข้อความเงื่อ งื่ นไขอยู่ต ยู่ อนต้นต้ผลอยู่ต ยู่ อนท้าท้ย เช่นช่ถึงแม้งาน นี้จะยากแต่เต่ขาก็พยายามทำ จนสำ เร็จ ร็ ๒.๒ เรีย รี งข้อข้ความที่มี ที่ ค มี วามสำ คัญเท่าท่ๆ กันคู่เคียงไป ใช้สัช้ สันธานแสดงความคล้อยตามกันหรือ รื เลือกอย่างใดอย่าง หนึ่งเป็นคำ เชื่อ ชื่ ม เช่นช่ธงชาติไทยเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ริ ย์ ๒.๓ เรีย รี งใจความจากความสำ คัญน้อยไปยังความสำ คัญมากขึ้น ตามลำ ดับขั้นขั้ ๑) คนเราเมื่อ มื่ เกิดกิแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ และต้องตายในที่สุที่สุ ด ๒) เจ็ดวันเว้นว้ดีดซ้อซ้ม ดนตรี อักขระห้าวันวัหนี เนิ่นช้าช้ สามวันจากนารี เป็นอื่น วันหนึ่งเว้นล่างหน้า อับเศร้าร้ศรีห รี มอง (โคลงโลกนิติ:ติ สมเด็จ ด็ ฯ กรมพระยาเดชาดิศดิร) ๒.๔ เรีย รี งใจความให้เน้นหนักขึ้นไปตามลำ ดับ แต่คลายลงใน ตอนท้าท้ยอย่าย่งฉับพลันลัหรือ รื จบลงด้วยสิ่งที่ด้ที่ด้อยกว่าอย่างพลิกความคาดหมาย


Click to View FlipBook Version