๔๕ ผลเดื่อเมื่อ มื่ สุกไซร้ มีพรรณ ภายนอกแดงดูฉัน ชาดบ้าย นางเอกภาพยนตร์อั ร์ อัน สวยสุด แท้ที่ท้ที่จ ที่ ริงริเป็นหม้าย ลูก ลู ตั้งตั้แปดคน (โคลงโลกนิติจำติ จำแลง: รัชรักาลที่ ๖) ๒.๕ เรีย รี งถ้อยคำ ให้เป็นประโยคคำ ถามเชิงชิวาทศิลป์ คำ ถามเชิงชิวาทศิลป์ไม่เน้นหาคำ ตอบ แต่เน้นให้คำ ตอบซึ่งซึ่แฝง อยู่ใยู่นคำ ถาม ๓. การใช้โวหาร ๓.๑ การสร้าร้งบุค บุ คลสมมุติ สมมุติใติห้สิ่งต่าต่ง ๆ แสดงกริยริาอาการ ความรู้สึรู้ สึ กเหมือ มื นมนุษ นุ ย์ เรีย รี กว่าว่บุค บุ คลวัตวั (บุคคลาธิษธิฐาน) ๓.๒ การเปรีย รี บเทีย ที บสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่งหนึ่ง ๑) อุปลักษณ์ เปรีย รี บเป็น ใช้คำช้ คำว่า เป็น คือ ใช่ เท่าท่ต่าง หรือ รื ละ คำ เปรีย รี บ ๒) อุปมา เปรีย รี บเหมือ มื น ใช้คำช้ คำว่า กล คล้าย เฉก เสมือน ประดุจ ประหนึ่ง ปาน ปูน ปู เพียง ราว ราวกับ ๓) นามนัย เปรีย รี บโดยใช้ส่ช้ ส่วนประกอบที่เที่ด่นแทนสิ่งนั้น ทั้งทั้หมด ๔) อุปมานิทัศทัน์ เปรีย รี บเทีย ที บโดยยกเรื่อ รื่ งราวมาประกอบ ๕) ปฏิพากย์ เปรีย รี บโดยใช้คำช้ คำตรงข้าม ๖) สัญลักษณ์ เปรีย รี บแทน ใช้สิ่ช้สิ่งที่มีที่มี คุณสมบัติบางอย่างร่วร่มกัน มาแทน ๗) การกล่าล่วผิดผิความเป็นจริงริอติพจน์ (กล่าวเกินจริงริ) หรือ รื อวพจน์ (กล่าล่วน้อยกว่าว่จริงริ)
๔๖ พื้นฐานในการสื่อสารได้ถูกต้องตามหลักภาษา ต้องเข้าใจเกี่ยวกับ ความหมายของคำ การใช้ถ้ช้ ถ้อยคำ การใช้สำช้ สำนวน การเขียนสะกดคำ และ ความงามในภาษา ๓.๓ การใช้เช้สียงคำ สร้าร้งภาพและความหมายพิเศษ คำ นึงถึงความหมายและเสียงของคำ เป็นลักษณะเช่นช่เดียวกับการเลือก ใช้คำช้ คำ จำ ให้ แม่น เกร็ด ร็ ความรู้
๔๗ แบบทดสอบ เรื่อรื่ง การใช้คำช้ คำและกลุ่มลุ่คำ จำ กัดกัควาคุ้ยเขี่ยขี่หาการใช้คำช้ คำและกลุ่มลุ่คำ ๑. กลุ่มลุ่คำ ในข้อข้ ใดมีคมีวามหมายกว้าว้ง ก. คุณแม่ทำม่ทำความสะอาดเครื่อรื่งเงินงิ ข. เครื่อรื่งซักซัผ้าผ้ที่บ้ที่าบ้นฉันเสียแล้วล้ ค. พี่สาวใช้เช้ครื่อรื่งเป่าผมทุกทุวันวั ง. ลุงลุซื้อซื้เครื่อรื่งดูดดูฝุ่นฝุ่ใหม่ ๒. กลุ่มลุ่คำ ในข้อข้ ใดมีคมีวามหมายมากกว่าว่๑ ความหมาย ทุกทุคำ ก. เจ้าจ้บ้าบ้น ลายคราม ข. ตามน้ำ สับหลีกลี ค. ขึ้นขึ้หม้อม้ทอดเสียง ง. หน้าไม้ หน้าบันบั ๓.คำ ในข้อข้ ใดทุก ทุ คำ ใช้ไช้ด้ทั้งทั้ความหมายตรงและความหมายโดยนัย ก. คอแข็ง ใจดี ข. มือหนัก ขาแข็ง ข็ ค. หัวแข็ง ข็ ตาโต ง. มือ มื ไว ใจอ่อน ๔. ข้อข้ ใดเป็นคำ ไวพจน์ทุกทุคำ ก. กนก รัชรัดา ข. วนิดา ปัทมา ค. อาชาไนย มโนรมย์ ง. คเชนทร์ มาตงค์ ๕. ข้อข้ ใดใช้ถ้ช้อถ้ยคำ ที่มีที่คมีวามหมายตรงตัวตัทุกทุคำ ก. เขาเป็นคนมีหมีน้ามีตมีาในสังคมไม่มีม่ ใมีครรู้ว่รู้าว่เบื้อบื้งหลังลัเขาค้ายาบ้าบ้ ข. เมื่อมื่ถูกถูฉีกหน้ากลางที่ปที่ระชุมชุเขาจึงจึตัดตั สินใจลาออก ค. ใบหน้าของเขาเหยเกด้วด้ยความเจ็บ จ็ ปวดจากบาดแผล ง. คนเราต้อต้งมีใมีจนักเลงเมื่อมื่ทำ ผิดผิต้อต้งยอมรับรัผิดผิ ให้นักเรียรีนเขียขีนเครื่อรื่งหมาย x ทับทัตัวตัอักอัษรหน้าคำ ตอบที่ถูที่กถูต้อต้ง
๔๘ ๖. ข้อข้ ใดใช้คำช้ คำถูกถูต้อต้งตามความหมาย ก. คนเราต้อต้งมีศมีาสนาเป็นเครื่อรื่งเหนี่ยวรั้งรั้จิตจิ ใจ ข. ศาลานี้เก่าก่มากจนพื้นชำ รุดลงไปแถบหนึ่ง ค. ตำ รวจมีหมีน้าที่ป้ที่ ป้องกันกัอาชญากรรม ง. แพทย์มีย์หมีน้าที่ขที่จัดจั โรคให้คนไข้ ๗. ข้อข้ ใดใช้คำช้ คำ ได้ถูด้กถูต้อต้งเหมาะสมกับกัระดับดับุคบุคล ก. ฉันดูหดูนังเรื่อรื่งนี้แล้วล้ละไม่สม่นุกนุเลย ข. อาจารย์คย์ะ ผอ.เรียรีกไปพบค่ะ ค. เชิญชิแขกทุกทุท่าท่นกินกิอาหารครับรั ง. คุณป้าจะเดินดิทางเมื่อมื่ ไหร่ล่ร่ะล่ ๘. ข้อข้ ใดใช้คำช้ คำที่มี ที่ มี ความหมายชัดชัเจน ก. เขาไม่กิม่นกิข้าข้วเย็น ข. ปลามันมัมากจริงริๆ ค. เขาตัวตั สูง สู เกินกิ ไป ง. รำ ถูกอย่าย่งนี้ไม่มีม่ ปัมี ปัญหา ๙. ข้อข้ ใดใช้คำช้ คำ ได้ถูด้กถูต้อต้งตามระเบียบีบของภาษา ก. ขลุ่ยลุ่อันอันี้เสียงเพราะดี ข. เขายื่นยื่ ใบสมัคมัรแก่เก่จ้าจ้หน้าที่ ค. หน้าตาของเขาเหมือมืนอย่าย่งกับกัพ่อ ง. ความหวังวัเป็นสิ่งหล่อล่เลี้ยลี้งหัวใจมนุษนุย์ ๑๐. ข้อข้ ใดใช้คำช้ คำ ไม่ถูม่กถูต้อต้งตามความหมาย ก. เธอมีน้ำมี น้ำ ตาคลอเบ้าบ้เมื่อมื่ ฟังเรื่อรื่งเศร้าร้สะเทือทืนใจ ข. คุณปู่โปู่กนผมไฟหลานเมื่อมื่อายุคยุรบเดือดืน ค. ในช่วช่งนี้ตอนเย็น ย็ ๆ จะได้ยิด้นยิเสียงจิ้งจิ้หรีดรีเซ็ง ซ็ แซ่ ง. เราจะบริจริาคเงินงิเท่าท่ ไรก็ไก็ ด้ ทางโรงเรียรีนไม่ไม่ด้กด้ะเกณฑ์
คุ้ยเขี่ยราชาศัพท์ บทที่ ๓
คำ ราชาศัพท์ ๑. ความหมาย ของคำ ราชาศัพท์ ๒. คำ ราชาศัพท์ สำ หรับ รั พระมหากษัตริย์ ริย์
คำ ราชาศัพท์ ๑. ความหมายของคำ ราชาศัพท์ คำ ราชาศัพท์ คือ คำ สุภ สุ าพที่ใที่ ช้ใช้ห้เหมาะสมกับฐานะของบุคคล ต่าต่งๆ คำ ราชาศัพท์เ ท์ป็นการกำ หนดคำ และภาษาที่สที่ะท้อท้นให้เห็นวัฒนธรรม อันดีงามขงไทย โอกาสใช้ใช้นชีวิ ชีวิตน้อย แต่เป็นสิ่งที่แ ที่ สดงถึงความละเอียด อ่อนและเป็นลักษณะพิเศษของภาษาไทยโดยเฉพาะการใช้กัช้ กับบุคคลกลุ่ม ลุ่ ต่าต่งๆ ดังต่อต่ ไปนี้ ๑. พระมหากษัตริย์ริ ย์ ๒. พระบรมวงศานุว นุ งศ์ ๓. พระภิกภิษุสงฆ์ สามเณร ๔. ขุน ขุ นาง ข้าข้ราชการ ๕. สุภาพชน วิธีวิก ธี ารใช้รช้าชาศัพท์นั้ ท์ นั้นต้องคำ นึงถึงผู้ฟั ผู้ฟังเป็นสำ คัญ กล่าวคือ จะต้อง ใช้คำช้ คำ ให้เหมาะสมกับกัฐานะของผู้ฟั ผู้ฟังไม่ว่ม่ ว่าผู้พู ผู้ พู ดจะเป็นใครก็ตาม เว้นแต่พระ ภิกภิษุสงฆ์เ ฆ์ ท่าท่นั้น ที่ต้ที่ต้องใช้คำช้ คำ สุภ สุ าพสำ หรับรัตนเองด้วยในบทนี้จะนำ เสนอ การใช้คำช้ คำราชาศัพท์สำท์ สำหรับรัพระมหากษัตริย์ริ ย์ พระภิกษุสงฆ์ และสุภาพชน ดังต่อต่ ไปนี้ ๒. คำ ราชาศัพท์สำท์ สำ หรับพระมหากษัตริย์ คำ ราชาศัพท์ สำ หรับรัพระมหากษัตริย์ริ ย์ เป็นคำ ที่ข้ ที่ข้าราชบริพริารใช้ เมื่อ มื่ กราบบังคมทูล ทู หรือ รื ใช้เช้มื่อกล่าวถึงพระมหากษัตริย์ริ ย์ หรือ รื พระบรมวงศา นุว นุ งศ์ คำ ราชาศัพท์สำท์ สำหรับรัพระมหากษัตริย์ริ ย์ ที่คที่วรศึกษาในระดับนี้ มีดังนี้ ๒.๑ คำ นามราชาศัพท์ เมื่อ มื่ จะใช้คำช้ คำนามเป็นคำ ราชาศัพท์ต้ ท์ ต้องเติมคำ ว่า "พระ" และ "พระราช" หน้าคำ นั้นๆเช่นช่พระชนมายุ พระราชดำ ริ พระราชทรัพรัย์ พระราชวังวัฯลฯ นอกจากนี้ มีคำ บางคำ ใช้กัช้ กับพระมหากษัตริย์ริ ย์ พระองค์เดียว เท่าท่นั้น คือ "พระบรม" และ "พระบรมราช" โดยใช้นำช้ นำหน้าคำ ดังกล่าว เช่นช่ พระบรมราชชนก พระบรมราชชนนี พระบรมราชโองการ พระบรม เดชานุภ นุ าพ (อำ นาจอันยิ่งใหญ่)ญ่พระบรมราชจักรีว รี งศ์ เป็นต้น คำ อื่น ๆ นอกจากนี้ที่นำ ที่ นำด้วย “พระราช” มีดั มี ดังนี้ ๕๑
๕๒ พระราชหฤทัยทั (ใจ) พระราชกุศ กุ ล (บุญบุ กุศ กุ ล) พระราชดำ ริ (ความคิด) พระราชประสงค์ (ความประสงค์) พระราชหัตถเลขา (จดหมาย) ๑) คำ นามหมวดร่าร่งกาย นำ ด้วย "พระ" พระพักตร์ (ดวงหน้า) พระปราง (แก้มก้ ) พระนาสิก (จมูก) พระหัตถ์ (มือ) พระเศียร (ศีรษะ) พระเนตร (ตา) ๒) คำ นามหมวดเครื่อ รื่ งภาชนะใช้สช้อย และสิ่งต่างๆ นำ ด้วย "พระ" พระสุพรรณศรี (กระโถนเล็ก) พระเต้าต้ (คนโท) พระสุพรรณราช (กระโถนใหญ่) พานพระศรี (พานหมาก) พระเต้าต้ทักทัษิโณทก (เต้ากรวดน้ำ ) ๓) คำ นามทั่วทั่ ไปที่เที่ติมติคำ "ทรง" "ต้น" "หลวง" ท้าท้ยคำ นามธรรมดา เครื่อ รื่ งทรง ผ้าผ้ทรง ข้างทรง ม้าทรง รถทรง ฯลฯ ช้าช้งต้นต้ม้าม้ต้นต้เรือ รื ต้น เรือ รื นต้น กฐินฐิต้น ฯลฯ ลูก ลู หลวง หลานหลวง เรือ รื หลวง เรือ รื นหลวง สวนหลวง วังหลวง ฯลฯ ๔) คำ นามหมวดเครื่อ รื่ งใช้ เครื่อ รื่ งประดับ นำ ด้ว ด้ ย "ฉลอง" ฉลองพระบาท (รองเท้าท้) ฉลองพระหัตถ์ส้อม (ส้อม) ฉลองพระองค์ (เสื้อ) ฉลองพระหัตถ์ช้อช้น (ช้อช้น) นำ ด้วย "พระ" พระแท่นท่ (เตีย ตี ง) พระที่ (ที่น ที่ อน - เจ้านาย) พระยี่ภู่ (ที่น ที่ อน) พระภูษา (ผ้าผ้นุ่ง นุ่ ) พระกลด (ร่มร่ )
๕๓ ๕) คำ นามขัตติยติตระกูล กู นำ ด้วย "พระ" พระอัยกา (ปู่ ตา) พระอัยยิกยิา พระอัยกี (ย่า ยาย) พระชนก พระบิดร พระบิดบิา (พ่อ) พระชนนี พระมารดร พระมารดา (แม่) พระเชษฐา (พี่ชาย) พระภคินี (พี่สาว) ๒.๒ คำ สรรพนามราชาศัพท์ การใช้คำช้ คำ สรรพนามเพื่อกราบบังคมทูล ทู พระกรุณา กราบบังคมทูล ทู กราบทูล ทู ทูล ทู ด้วยวาจา จะต้องใช้ใช้ห้ถูกต้องตามลำ ดับชั้นชั้ดังประมวลไว้ ในตาราง ลำ ดับชั้น คำ สรรพนาม บุรุ บุ รุ ษที่ ๑ บุรุ บุ รุ ษที่ ๒ พระมหากษัตริย์ริ ย์ สมเด็จ ด็ พระบรมราชินีชิ นีนาถ สมเด็จ ด็ พระบรมราชินีชิ นี* ข้าข้พระพุทพุธเจ้าจ้ ข้าข้พระพุทพุธเจ้าจ้ ข้าข้พระพุทพุธเจ้าจ้ ใต้ฝ่ต้ ฝ่าละอองธุลี พระบาท ใต้ฝ่ต้ ฝ่าละอองธุลี พระบาท ใต้ฝ่าละออง พระบาท การใช้คำช้ คำ สรรพนามราชาศัพท์ อ้างอิงตามหนังสือราชาศัพท์ ฉบับบัราชบัณฑิตฑิยสถาน แต่ในปัจจุบันมีก มี ารเปลี่ยนแปลงตามประกาศ ราชกิจกิจานุเ นุ บกษา ให้สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดทิา พัชรสุธ สุ าพิมลลักษณ พระบรมราชินีชิ นี ใช้คำช้ คำราชาศัพท์แ ท์ ละคำ กราบบังคมทูล ทู พระกรุณาเสมอ ด้วยคำ ราชาศัพท์แ ท์ ละคำ กราบบังคมทูล ทู พระกรุณาสมเด็จพระเจ้าอยู่หั ยู่หัว ทุก ทุ ประการ อันได้แก่ สรรพนามบุรุษที่ ๑ ใช้ว่ช้ว่าข้าพระพุทธเจ้า" สรรพนามบุรุษที่ ๒ ใช้ว่ช้ว่า "ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท" เกร็ด ร็ ความรู้ จำ ให้ แม่น
๕๔ การใช้คำช้ คำขึ้นขึ้ต้นต้และคำ ลงท้าท้ยเพื่อกราบบังบัคมทูลทูพระกรุณา กราบบังบัคมทูลทูกราบทูลทู ทูลทูด้วด้ยว่าว่อ้าอ้งอิงอิตามหนังสือราชาศัพท์ ฉบับบัราชบัณบัฑิตฑิยสถาน แต่ใต่นปัจจุบันบัมีกมีารเปลี่ยลี่นแปลง ตามประกาศราชกิจกิจานุเนุบกษา ไห้สมเด็จด็พระนางเจ้าจ้ สุทิสุดทิา พัชรสุธสุาพิมลลักลัษณ พระบรมราชินีชิ นี ใช้คำช้ คำราชาศัพท์แท์ละคำ กราบบังบัคมทูลทูพระกรุณาเสมอด้วด้ยคำ ราชาศัพท์แท์ละคำ กราบบังบัคมทูลทูพระ กรุณาสมเด็จด็พระเจ้าจ้อยู่หัยู่ หัวทุกทุประการ อันอั ได้แด้ก่ คำ ขึ้นขึ้ต้นต้ ใช้ว่ช้าว่"ขอพระราชทานกราบบังบัคมทูลทู พระกรุณาทรงทราบฝ่าละอองธุลีพลีระบาท" คำ ลงท้าท้ย ใช้ว่ช้าว่"ด้วด้ยเกล้าล้ด้วด้ยกระหม่อม่มควรมิคมิวร แล้วล้แต่จต่ะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าล้ โปรดกระหม่อม่ม" ผู้ฟั ผู้ ฟั ง คำ ขึ้นต้น ต้ คำ ลงท้าย พระมหากษัตริย์ริ ย์ สมเด็จ พระบรมราชินีชิ นี นาถ สมเด็จ พระบรมราชินีชิ นี* ขอเดชะฝ่าละออง ธุลีพระบาท ปกเกล้าล้ ปกกระหม่อม ด้วยเกล้าล้ ด้วยกระหม่อม ขอเดชะ ด้วยเกล้าล้ ด้วยกระหม่อม ขอเดชะ ขอเดชะฝ่าละออง ธุลีพระบาท ปกเกล้าล้ ปกกระหม่อม ขอพระราชทาน กราบบังคมทูล ทู ทราบฝ่าละอองพระบาท ด้วยเกล้าล้ ด้วยกระหม่อม /ควรมิคมิวรแล้วล้แต่ จะทรงพระกรุณา โปรดเกล้าล้ โปรดกระหม่อม เกร็ด ร็ ความรู้ จำ ให้ แม่น
๕๕ ๑) ใช้คำช้ คำ "ทรง" นำ หน้าคำ นาม หรือ รื คำ กริยริาธรรมดา คำ กริยริาที่ต้ ที่ อต้งเปลี่ย ลี่ นใช้ตช้ามราชาศัพท์ หรือ รื ใช้คำช้ คำ สุภาพต่อไปนี้ อาจ สังเกตได้ในการพูด การอ่านข่าวทางวิทยุ โทรทัศทัน์ หรือ รื อาจอ่านได้จาก หนังสือพิมพ์ เอกสารของทางราชการอยู่เ ยู่ สมอ ควรสังเกตวิธีใธี ช้จช้ากตัวอย่าง ต่อต่ ไปนี้ ๒.๓ คำ กริยริาราชาศัพท์ ทรงกีฬา (เล่นล่กีฬา) ทรงงานศิลปะ (ทำ งานศิลปะ) ทรงงานอดิเรก (ทำ งานอดิเรก) ทรงช้าช้ง (ขี่ช้าช้ง) ทรงดนตรี (เล่นดนตรี)รี ทรงธรรม (ฟังเทศน์) ทรงเจิม (เจิม) ทรงทำ นุบำ นุบำรุง (ทำ นุบำ นุบำรุง) ทรงปฏิบัติ (ปฏิบัติ) ทรงฉาย (ถ่ายรูป) ทรงพิจารณา (พิจารณา) ทรงรักรั (รักรั ) ทรงเลือก (เลือ ลื ก) ทรง นำ หน้าคำ นาม ทรง นำ หน้าคำ กริยริา ๒) ใช้คำช้ คำ "ทรงพระ" นำ หน้าคำ นาม หรือ รื คำ กริยริาราชาศัพท์ ทรงพระกรุณา (กรุณา) ทรงพระเมตตา (เมตตา) ทรงพระสุค สุ นธ์ (ทาเครื่อ รื่ งหอม) ทรงพระสุบิ สุบิน (ฝัน) ทรงพระอุตสาหะ (อุตสาหะ) ทรงพระวิริยริะ (เพียร)
๕๖ ๓) คำ กริยริาที่เ ที่ป็นราชาศัพท์อ ท์ ยู่แ ยู่ ล้ว ไม่ใม่ช้ทช้รง นำ หน้า ตรัสรั (พูด) ประสูติ (เกิดกิ ) ใช้กัช้บกัหูระบรมวงศานุว นุ งศ์ บรรทม (นอน) พระราชทาน (ให้) โปรด (ชอบ) เสด็จนิวัตวั (กลับลัมา) คำ กริยริาราชาศัพท์บ ท์ างคำ ที่ผู้ที่อื่ ผู้ อื่ น เช่นช่เจ้านาย ข้าราชการ ประชาชน ใช้กัช้บกัพระมหากษัตริย์ริ ย์ และบุคคลชั้นชั้ต่างๆ ยังมีอ มี ยู่ดั ยู่ดังที่ปที่ ระมวลไว้ใน ตาราง ต่อต่ ไปนี้ คำ กริย ริ า ผู้พูด ใช้สำ หรับ ให้ ทูล ทู เกล้าล้ฯ ถวาย (ของเล็ก) น้อมเกล้าฯ ถวาย (ของใหญ่) พระมหากษัตริย์ริ ย์ สมเด็จพระบรม ราชินีชิ นี นาถ สมเด็จ พระบรมราชินีชิ นี สมเด็จพระบรมโอ รสาธิรธิาช สยามมกุฎกุ ราชกุม กุ าร สมเด็จพระ กนิษฐาธิรธิาชเจ้า กรม สมเด็จพระเทพรัตรัน ราชสุด สุ า ฯ สยามบรม ราชกุม กุ ารี ขออนุญนุ าต ขอพระราชทาน พระบรมราชานุญนุ าต พระมหากษัตริย์ริ ย์ ขอพระราชทาน พระราชานุญนุ าต สมเด็จพระบรม ราชินีชิ นี นาถ สมเด็จ พระบรมราชินีชิ นีสมเด็จ
๕๗ พระยุพ ยุ ราช สมเด็จ พระบรมโอรสาธิรธิาช สยามมกุฏกุ ราชกุม กุ าร สมเด็จพระ กนิษฐาธิรธิาชเจ้า กรม สมเด็จพระ เทพรั่ตรั่นราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุม กุ ารี บอก กราบบังคมทูล ทู พระกรุณา พระมหากษัตริย์ริ ย์ พระดำ รัสรั พระราชวงศ์ชั้นชั้ สมเด็จเจ้า ฟ้าและพระองค์เจ้าจ้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า สมเด็จพระสังฆราชเจ้า สมเด็จพระสังฆราช การใช้คำช้ คำกริยริาราชาศัพท์ อ้างอิงตามหนังสือราชาศัพท์ ฉบับ ราชบัณบัฑิตฑิยสถาน แต่ใต่นปัจจุบันมีก มี ารเปลี่ยนแปลงตามประกาศราช กิจกิจานุเ นุ บกษา ให้สมเด็จพระนางเจ้าสุทิตทิา พัชรสุธ สุ าพิมลลักษณ พระบรมราชินีชิ นีใช้คำช้ คำราชาศัพท์แ ท์ ละคำ กราบบังคมทูล ทู พระกรุณาเสมอ ด้วยคำ ราชาศัพท์แ ท์ ละคำ กราบบังคมทูล ทู พระกรุณาสมเด็จพระเจ้าอยู่หั ยู่หัว ทุก ทุ ประการ คำ ราชาศัพท์สำท์ สำหรับรัพระภิกภิษุสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆ ปริณริายกเป็นประมุขของสงฆ์ จึงกำ หนดให้ใช้รช้าชาศัพท์กั ท์ กับสมเด็จพระ สังฆราช เทีย ที บเท่าท่พระราชวงศ์ชั้นชั้พระองค์เจ้า ส่วนพระภิกษุที่เ ที่ป็นพระ ราชวงศ์นั้นคงใช้รช้าชาศัพท์ต ท์ ามลำ ดับชั้นชั้แห่งพระราชวงศ์ เกร็ด ร็ ความรู้ จำ ให้ แม่น
๕๘ กาสาวพัสตร์ ผ้าผ้ย้อย้มฝาด คือ ผ้าผ้เหลือ ลื งพระ กลด ร่มร่ขนาดใหญ่ มีด้ มี ด้ามยาว สำ หรับรัพระธุดงค์โดย เฉพาะ จีว จี ร ผ้าผ้ สำ หรับรัห่มของภิกภิษุสามเณร คู่กับสบง สบง ผ้าผ้นุ่ง นุ่ สำ หรับรัภิกภิษุสามเณร สังฆาฏิ ผ้าผ้คลุม ลุ กันหนาวสำ หรับรัพระใช้ทช้าบบนจีวร ใช้พัช้ พัน พาดบ่าบ่ซ้าซ้ย ตาลปัตร พัดใบตาล มีด้ มี ด้ามยาว สำ หรับรัพระใช้ใช้นพิธีก ธี รรม กุฏิกุฏิเรือ รื นหรือ รื ตึกสำ หรับรัพระภิกษุสามเณรอยู่อ ยู่ าศัย วิหวิาร วัดวั ส่วนใหญ่เญ่ ป็นที่ปที่ ระดิษฐานพระพุทธรูป เจดีย์ สิ่งซึ่งซึ่ก่อก่เป็นรูปคล้ายลอมฟาง มียอดแหลม บรรจุสิ่ง ที่นัที่นับถือ เช่นช่พระธาตุ หอไตร หอสำ หรับรัเก็บพระไตรปิฎก ๓.๑ คำ นาม คำ นามที่ใที่ ช้สำช้ สำหรับรัพระภิกษุนั้น ส่วนมากใช้เช้ช่นช่เดียวกับบุคคล ทั่วทั่ ไป เว้นว้แต่คำต่ คำบางคำ ที่กำที่กำหนดไว้เฉพาะพระภิกษุสงฆ์ เช่นช่ ๑) คำ นามหมวดสถานที่แที่ละสิ่งอื่นๆ ๒) คำ นามหมวดพระภิกษุและบุคคลที่เ ที่ กี่ยวข้อง สมภาร เจ้าจ้อาวาส กรรมวาจาจารย์ อาจารย์ผู้ ย์ ใ ผู้ ห้สำ เร็จ ร็ กรรมวาจา คือ คู่สวดในการบวช นาค ชายหนุ่ม นุ่ ที่ไที่ปอยู่วัยู่ วัดเพื่อเตรีย รี มตัวบวช ทายก ทายิกยิา ชายและหญิงผู้ถ ผู้ วายจตุปัจจัยจัแก่ภิกษุ สามเณร ๓.๒ คำ สรรพนาม คำ สรรพนามที่พที่ระภิกภิษุใช้กัช้ กับบุคคลระดับต่างๆ มีดังต่อไปนี้
๕๙ บุรุ บุ รุ ษที่ ๑ สรรพนามที่ใที่ ช้ ใช้กับ ๑ ๒ อาตมา อาตมาภาพ เกล้ากระผม ผม กระผม มหาบพิตร บพิตร บุคคลธรรมดาทั่วทั่ ไป หรือ รื ผู้มี ผู้ ตำ มี ตำแหน่งสูง สู พระราชวงศ์ตั้งตั้แต่ หม่อม่มเจ้าขึ้นไป พระภิกษุที่เ ที่ป็น อุปัชฌาจารย์ หรือ รื พระภิกษุ ที่ดำที่ดำรงสมณ ศักดิ์สูงกว่า พระภิกษุด้วยกันกั พระเจ้าจ้แผ่นผ่ดิน พระรางวงศ์ คำ ขานรับรัของพระภิกภิษุ มีดังต่อไปนี้ คำ ขานรับ รั ใช้กับ พระเจ้าแผ่นผ่พระราชวงศ์ พระภิกษุด้วยกันกั ฆราวาสทั่วทั่ ไป ขอถวายพระพร ครับรัขอรับรั เจริญริพร
๖๐ คำ สรรพนามที่บุ ที่ บุ คคลทั่วทั่ ไปใช้กัช้ กับพระภิกภิษุ มีดังต่อนี้ บุรุ บุ รุ ษที่ ๑ สรรพนาม ใช้กับ ๑ ๒ กระผม ผม (ชาย) ดิฉัน (หญิง) พระภิกษุทั่วทั่ ไป พระภิกษุทั่วทั่ ไป พระสงฆ์ ทรงสมณศักดิ์ พระภิกภิษุ สงฆ์ทั่ ฆ์ วทั่ ไป พระคุณเจ้า พระคุณท่าท่น ๓.๓ คำ กริยริา มีคำ มี คำกริยริาหลายคำ ที่กำ ที่ กำหนดไว้ใช้สำช้ สำหรับรัพระภิกษุ เช่นช่ คำ ความหมาย ครองผ้าผ้ รับรับิณบิฑบาต นิมนต์ นุ่ม นุ่ ห่ม เช่นช่ครองจีวร รับรัอาหารที่ชที่าวบ้าบ้น ถวายเวลาตักตับาตร เชิญชิเป็นการเชิญชิ พระมหารับรับิณบิฑบาต ๔. คำ ศัพท์สำท์ สำหรับรับุค บุ คลทั่วทั่ ไป คำ ศัพท์สำท์ สำหรับรับุคคลทั่วทั่ ไป เรีย รี กอีกอย่างว่า คำ สุภ สุ าพ เป็นคำ ที่ใที่ ช้ ในการสื่อสารด้วยความสุภาพ มีลักษณะหลีกเสี่ยง เปลี่ยนแปลงจาก คำ ที่ถืที่ถื อว่าว่ ไม่สุภาพ หรือ รื ไม่เม่ ป็นทางการ ดังนี้
๖๑ ๑) หลีก ลี เลี่ย ลี่ งคำ พูดเหยียดหยาม คำ พูดเหยียดหยามผู้อื่ ผู้ อื่ นให้ได้รับรัความ อับอาย เช่นช่คำ หยาบ คำ ด่า คำ เสียดสี คำ เหน็บแนมตำ หนิให้ผู้ฟั ผู้ฟังเจ็บใจ เป็นคำ ที่ไที่ม่สม่มควรพูดเพราะไมใช่คำช่ คำ สุภ สุ าพ ๒) หลีกเสี่ยงคำ หยาบ คำ ด่า คำ กระด้าง เป็นคำ ที่ไที่ ม่สม่มควรพูด เช่นช่ การเรีย รี กผู้อื่ ผู้ อื่ นว่า อ้าย อี การใช้สช้รรพนาม มึง กู การด่าว่าเปรีย รี บเปรยให้ผู้ อื่นต่ำ เสมือ มื นสัตว์ เช่นช่ควาย หมา เหี้ย ฯลฯ ถ้าจะกล่าวถึงของเสียที่ขั ที่ขับถ่าย ออกจากร่าร่งกาย ก็ค ก็ วรใช้คำช้ คำอื่นแทน เช่นช่ ปัสสาวะ (แทนเยี่ยว) อุจจาระ (แทนขี้ )ผายลม (แทนตด) ถ้าของเสียนั้นเป็นของสัตว์ ตามตำ ราวจีวิภาค ของพระบาอุปกิตกิ ศิลปสารแนะนำ ให้ใช้คำช้ คำว่า "มูล มู" แทน "ขี้” เช่นช่มูลนก มูล หนู มูลค้างคาว มูลช้าช้ง ฯลฯ ส่วนคำ กระด้างนั้นเป็นคำ พูดที่ห้ที่ห้วน ไม่มีหางเสียง และมีค มี วามหมาย ไปในเชิงชิกดผู้อื่ ผู้ อื่ นให้ต่ำ ลง เช่นช่ ไล่ให้ออกไป ก็พูดว่า ไสหัวไป หรือ รื แสดง ความดูหมิ่นซ้ำ เติมเช่นช่ สมน้ำ หน้า ๓) หลีก ลี เลี่ย ลี่ งคำ ผวน คำ ผวน หรือ รื คำ ที่มี ที่ มี ความหมายสองแง่ คำ ที่ห้ ที่ ห้าม ผวนตามตำ ราวจีวิ จีวิภาคของพระยาอุปกิตศิลปสาร เช่นช่ที่ห้ ที่ ห้า ที่ห ที่ ก แปดตัว ฯลฯ แต่ถ้ต่ ถ้าคำ ผวนแล้วความหมาย ไม่หยาบ จะถือว่าเป็นศิลปะการใช้ภช้าษา เช่นช่นักร้อร้ง (น้องรักรั ) พักรบ (พบรักรั ) ฯลฯ คำ ที่มีที่ค มี วามหมายสองแง่นั้ง่ นั้น แง่หง่นึ่งมีความหมายธรรมดาตรงตัว แต่อีก แง่หง่นึ่งอาจไม่สม่มควรพูดมีค มี วามหมายไปทางเพศ จึงถือเป็นคำ ไม่สุภาพไม่ สมควรพูด ๔) หลีก ลี เลี่ยงคำ สแลง ดำ สแลงหรือ รื ดำ คะนอง เป็นคำ ที่มี ที่ ใมี ช้กัช้ กันเฉพาะ กลุ่มลุ่เช่นช่วัยรุ่นรุ่นิยมพูดเป็นช่วช่งระยะเวลาหนึ่ง แล้วผ่าผ่นไปก็มีคำ ใหม่ขึ้นมา อีก เช่นช่คำ ว่าว่แอ๊บแบ๊ว บ๊ แซว ซ่าซ่ ส์ ปิ้ง แจ้ว สุด สุ สุด ฯลฯ คำ เหล่านี้ส่วนมากผู้ ที่พูที่พู ดมักมัจะมุ่งมุ่ความสนุก นุ มากกว่าอย่างอื่น เมื่อ มื่ ใดที่จำที่จำเป็นต้องใช้ภช้าษาให้ถูก ต้อต้งตามมาตรฐานของคำ สุภาพ ผู้ใ ผู้ ช้ภช้าษาก็ย่อมมีดุลพินิจว่าควรใช้คำช้ คำ อย่าย่งไรจึง จึ จะเหมาะสม ๕) หลีกเลี่ย ลี่ งภาษาปาก แม้ว่ม้ ว่าภาษาปากจะไม่ใช่คำช่ คำหยาบหรือ รื คำ สแลง แต่อต่าจไม่เม่หมาะสำ หรับรัการใช้เช้ป็นภาษาทางการ จึงต้องเปลี่ยนให้สุภาพขึ้น ตามความเหมาะสม ดังคำ ต่อไปนี้
๖๒ เกร็ด ร็ ความรู้ จำ ให้ แม่น คำ นาม คำ กริย ริ า เกือ กื ก คำ สุภ สุ าพ รองเท้าท้ ตีน ตี คำ สุภ สุ าพ เท้าท้ เมีย มี คำ สุภ สุ าพ ภรรยา กินกิคำ สุภาพ รับรั ประทาน โกหก คำ สุภาพ พูดปด กล่าวเท็จ ท็ รู้ คำ สุภาพ ทราบ การใช้คำช้ คำราชาศัพท์ทั้ ท์ งทั้กับพระมหากษัตริย์ริ ย์ พระภิกษุสงฆ์ และการใช้ คำ สุภ สุ าพกับกับุคคลสามัญชนทั่วทั่ ไป เป็นการแสดงวัฒนธรรมทางภาษาอันดี งามของภาษาไทย ทั้งทั้ยังสะท้อท้นถึงความเคารพยกย่องในสถาบันศาสนา และสถาบันบัพระมหากษัตริย์ริ ย์ ผู้ที่ ผู้ที่ใที่ ช้คำช้ คำราชาศัพท์ไท์ ด้ถูกต้องเหมาะสมกับ บุค บุ คลและสถานการณ์ นอกจากจะได้รับรัคำ ยกย่องว่าเป็นผู้รู้ ผู้ รู้ จัรู้ จักการใช้ ภาษาได้ดีแล้วล้ยังแสดงให้เห็นว่าบุคคลผู้นั้ ผู้นั้นมีมารยาทและวัฒนธรรมอันดี งามในการใช้ภช้าษา
๖๓ แบบทดสอบ เรื่อ รื่ ง คุ้ยเขี่ย ขี่ ราชาศัพท์ ๑.) ข้อข้ ใดกล่าล่วถึงถึคำ ราชาศัพท์ถูท์กถูต้อต้งที่สุที่ดสุ ก. ถ้อถ้ยคำ ที่ใที่ช้กัช้บกัพระมหากษัตริย์ริ ย์ ข. ข้อข้ความที่ใที่ข้กัข้บกัพระราชวงศ์ ค. ภาษาที่ใที่ช้ใช้ห้เหมาะสมกับกัฐานนะของบุคบุคล ง. คำ สุภสุาพที่ใที่ช้ยช้กย่อย่งบุคบุคลในสังคม ๒.) ข้อข้ ใดเป็นคำ ราชาศัพท์ทุท์กทุคำ ก. เส้นพระเจ้าจ้ทรงกลด ประพาส ข. พระโขนง พระที่ พระสาง ค. พระเครื่อรื่ง โปรด เสวย ง. เรือรืนต้นต้คลุมลุบรรทม ทรงปืน ๓.) ข้อข้ ใดมีคำมี คำ สามัญมัรวมอยู่ ก. ทรงกราบ ประทับทัผนวช ข. กราบทูลทูพลับลัพลา พระยอด ค. บรรทมตื่นตื่ สรงน้ำ เกศากันกัต์ ง. พระสังวาล ทวาร น้ำ จัณจัฑ์ ๔.) ข้อข้ ใดใช้คำช้ คำราชาศัพท์ไท์ม่ถูม่กถูต้อต้ง ก. หม่อม่มเจ้าจ้ธานีทรงม้าม้ยามเช้าช้ ข. สมเด็จ ด็ พระพี่นางเธอเจ้าจ้ฟ้าฯ ทรงประทับทัรถม้าม้ ค. พระนางเจ้าจ้ฯ พระราชเทวีทวีรงโสมนัส ง. พระมหากษัตริย์ริ ไย์ทยทุกทุพระองค์ทรงผนวช ๕.) "พระภิกภิษุสงฆ์บฆ์อกพระเจ้าจ้แผ่นผ่ดินดิ " ควรใช้คำช้ คำว่าว่อย่าย่งไร ก. ทูลทูรายงาน ข. ถวายพระพร ค. กราบทูลทู ง. สนองรับรั สั่ง ให้นักเรียรีนเขียขีนเครื่อรื่งหมาย x ทับทัตัวตัอักอัษรหน้าคำ ตอบที่ถูที่กถูต้อต้ง
๖๔ ๖.) ข้อข้ ใดมิไมิด้หด้มายถึงถึหน้าต่าต่ง ก. พระแกล ข. พระบัญบัชร ค. สีหบัญบัชร ง. พระทวาร ๗.) "พนักงานตั้งตั้เครื่อรื่งในห้องส่วนพระองค์" คำ ที่ขีที่ดขีเส้นไต้หต้มายถึงถึสิ่งใด ก. เครื่อรื่งแต่งต่กาย ข. อาหาร ค. หนังสือ ง. อาภรณ์ ๘.) "พระบาทสมเด็จ ด็ พระเจ้าจ้อยู่หัยู่ หัวฯ เสด็จ ด็ แปรพระราชฐาน พระตำ หนักภูพภูานราชนิเวศน์" คำ ที่ขีที่ดขีเส้นใต้หต้มายความว่าว่อย่าย่งไร ก. ไปพักผ่อผ่น ข. ท่อท่งเที่ยที่ว ค. ย้าย้ยไปชั่วชั่คราว ง. เปลี่ยลี่นภูมิภูลำมิ ลำเนา ๙.) ข้อข้ ใดมีคำมี คำ สรรพนามราชาศัพท์คท์รบทั้งทั้3 ชนิด คือสรรพนามบุรุบุ รุษที่ 1 , 2 และคำ ขานรับรั ก. เกล้าล้กระหม่อม่ม หม่อม่มฉัน เพคะ ข. ข้าข้พระพุทพุธเจ้าจ้พระพุทพุธเจ้าจ้ข้าข้ ฝ่าพระบาท ค. กระหม่อม่ม เกล้าล้กระหม่อม่ม เพคะ ง. ใต้ฝ่ต้ ฝ่าพระบาท หม่อม่มเจ้าจ้ข้าข้พระพุทพุธเจ้าจ้ ๑๐.) คำ ราชาศัพท์ใท์นข้อข้ ใดที่ใที่ช้กัช้บกับุคบุลที่มีที่ฐมีานะสูงสูที่สุที่ดสุ ก. ประสูติสูติ ข. ตรัสรั ค. สวรรคต ง. พอพระทัยทั
บทที่ ๔ คุ้ยเขี่ยคำ ประพันธ์พ ธ์ าเพลิน ลิ
การแต่ง ต่ คำ ประพันธ์ ลัก ลั ษณะบัง บั คับ ๙ ประการ ของบทร้อ ร้ ยกรอง การแต่งต่คำ ประพันธ์ ประเภทโคลง กาพย์ยานี ๑๑ กาพย์ฉบัง ๑๖ กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ การแต่งต่คำ ประพันธ์ ประเภทกาพย์ โคลงสามสุภ สุ าพ โคลงสามสุภ สุ าพ
๖๗ ๑) พยางค์ คือ เสียงที่เ ที่ปล่งออกมาครั้งรั้หนึ่งๆ จะมีค มี วามหมายหรือ รื ไม่มีม่ก็ มี ไก็ ด้ การนับพยางค์ขึ้น ขึ้ อยู่กั ยู่กับลักษณะบังคับของร้อร้ยกรองแต่ละชนิด เช่นช่ ในการแต่งต่ร้อร้ยกรองประเภทฉันท์ถื ท์ ถื อว่าพยางค์ คือ ต่ำ แต่ในการแต่งต่ร้อร้ยกรองประเภทอื่น อาจนับรวม ๒ พยางค์เป็น ๑ คำ ได้ เช่นช่วจี ตลาด สนอง เป็นต้น ๒) คณะ คือ ข้อกำ หนดของร้อร้ยกรองแต่ละชนิดว่าจะต้องมีจำ นวน คำ จำ นวนวรรค จำ นวนบาท จำ นวนบทเท่าท่ ใด เช่นช่กลอนแปด กำ หนด ว่าว่๑ บทมี ๒ บาท ๑ บาท มี ๒ วรรค ๑ วรรค มี ๘ คำ เป็นต้น ๓) สัมผัส คือ ลักลัษณะบังคับให้ใช้คำช้ คำคล้องจองกัน มี ๒ ชนิด ดังนี้ ๓.๑) สัมผัสผับังบัคับ หรือ รืสัมผัสผันอก คือ ตำ แหน่งบังคับการส่งสัมผัสผั กันกัระหว่าว่งวรรค ระหว่าว่งบทของร้อร้ยกรองทุก ทุ ประเภท โดยกำ หนดใช้คำช้ คำ ที่ปที่ระสมด้วยสระ และมาตราสะกดเดียวกัน ในการรับรั ส่งสัมผัสผัดังบท ประพันธ์ ๑. ลักษณะบัง บั คับ ๙ ประการ ของบทร้อยกรอง บัดบัเดี๋ยวดังหงั่งงั่เหง่งง่วังวัเวงแว่ว สะดุ้งแล้วเหลียวแลชะแง้หง้า เห็นโยคีขี้รุ้งรุ้พุ่งออกม่าม่ ประคองพาขึ้นไปจนบนบรรพต แล้วล้ สอนว่าอย่าย่ ไว้ใว้จมนุษ นุ ย์ มันแสนสุด สุ ลึกล้ำ เหลือ ลื กำ หนด ถึงเถาวัลวัย์พันเกี่ย กี่ วที่เที่ลี้ยวลด ก็ไม่คม่ดเหมือนหนึ่งในน้ำ ใจคน พระอภัยภัมณี : สุนสุทรภู่
๖๘ ๓.๒) สัมผัสผั ใน คือสัมผัสผัภายในวรรค ซึ่งซึ่จะมีหรือ รื ไม่มีก็ได้ ไม่ได้ กำ หนดให้เป็นสัมผัสผับังคับ แต่หากมีจะช่วช่ยทำ ให้บทร้อร้ยกรองมีความ ไพเราะมากยิ่งขึ้น สัมผัสผัที่เที่กิดภายในวรรค อาจเป็นสัมผัสผั สระ คือ คำ ที่ ประสมด้วยสระ และมาตราตัวสะกดเดียวกัน หรือ รื อาจเป็นสัมผัสผัอักษร คือ คำ ที่ใที่ช้พช้ยัญชนะต้นตัวตัเดียวกันหรือ รื เสียงเดียวกัน โดยไม่คำ นึงถึงสระ และตัวตั สะกด เช่นช่ต--ตก ต่ำ แตก ต้าต้น ต้อต้น ตื่น เต้น ดังบทประพันธ์ เจ้าจ้ของตาลรักรัหวานขึ้นปีนต้น ระวังวัตนตีน ตี มือระมัดมั่นมั่ เหมือมืนคบคนคำ หวานรำ คาญครันรัถ้าถ้พลั้งลั้พลันลัเจ็บ จ็ อกเหมือมืนตกตาล (นิราศพระบาท : สุนทรภู่) สัมผัสผั สระ ตาล -หวาน, หวาน-คาญ, คำ -รำ , อก-ตก สัมผัสผัอักษร ตน-ตีน, มือ มื-มัดมั-มั่นมั่ , คบ-คน-คำ -คาญ พลั้งลั้ -พลัน, ตก-ตาล ๔) คำ ครุ คำ ลหุ คือ คำ ที่มีที่มี เสียงหนักและเสียงเบา บังคับใช้ใช้น บทร้อร้ยกรองประเภทฉันทั ๔.๑) คำ ครุ มี ๓ ลักลัษณะ ดังนี้ ๑. คำ ที่ปที่ ระสมด้วยสระเสียงยาวในแม่ ก กา เช่นช่มาลี ศรีโรีสภา ๒. คำ ที่มีที่ตั มี ตัวสะกด เช่นช่น้อง รักรันักเรีย รี น พากเพียร เขียน อ่าน ๓. คำ ที่ปที่ระสมด้วยสระอำ ใอ ไอ เอา เช่นช่น้ำ ใจ ไม่ เมา ๔.๒) คำ ลหุ มี ๒ ลักลัษณะ ดังนี้ ๑. คำ ที่ปที่ ระสมด้วยสระเสียงสั้นในแม่ ก กา เช่นช่มะลิ เอะอะ ๒. คำ ที่ปที่ระสมด้วยสระอำ อาจเป็นได้ทั้งทั้คำ ครุและลหุ ในกรณี คำ ที่ปที่ระสมด้วย สระอำ เป็นพยางค์หน้าของคำ ๒ พยางค์ ใช้เช้ป็นคำ ลหุได้ เช่นช่ตำ บล ทำ นอง สำ แดง
๖๙ ๕) คำ เอก คำ โท คือ คำ ที่บัที่บังคับใช้รูช้รู ปวรรณยุก ยุ ต์เอกและโท ในตำ แหน่งที่กำที่กำหนดไว้ ในบทร้อร้ยกรองประเภทโคลงและร่าร่ย ๑. คำ เอก คือ คำ หรือ รื พยางค์ที่มี ที่ มี รูปวรรณยุก ยุ ต์เอก เช่นช่ ไม่ ใช่ ที่ ป่า นุ่ม นุ่ ๒. คำ โท คือ คำ หรือ รื พยางค์ที่มี ที่ รู มี รู ปวรรณยุก ยุ ต์โท เช่นช่ ฟ้า ให้ น้ำ บ้าบ้น ๖) คำ เป็น คำ ตาย เป็นลักลัษณะบังคับที่ใที่ ช้ใช้นการแต่งโคลง ร่าร่ย และกลบท โดยเฉพาะโคลงสี่สุภาพใช้คำช้ คำตายแทนคำ เอกได้ ๓. คำ เอกโทษ คือ คำ โทที่เ ที่ ขียนโดยใช้รูช้รู ปวรรณยุก ยุ ต์เอก เช่นช่"ท่าท่ โขลงโขลงช้าช้งค่ามตามโขลง" (ข้าม - ค่าม) ๔. คำ โทโทษ คือ คำ เอกที่เ ที่ ขียนโดยใช้รูช้รู ปวรรณยุก ยุ ต์โท เช่นช่ "ใครติสิติ สิใครเส้อ ห่อนรู้สึรู้ สึสา" (เช่อช่- เส้อ) ๑. คำ หรือ รื พยางค์ที่ปที่ ระสมสระเสียงยาวใน แม่ ก กา เช่นช่มา ดี สี ฟ้า ๒. คำ ที่มีที่ม มี าตราตัวตั สะกด แม่กง กน กม เกย เกอว เช่นช่ กางเกง ลนลาน จุ๋มจิ๋มจิ๋ ๓. คำ ที่ปที่ระสมด้วยสระเสียงสั้น อำ ไอ ไอ เอา เช่นช่ดำ ขำ ไปไหน ใจใหญ่ ๖.๒) คำ ตาย มี ๒ ลักษณะ ดังนี้ ๖.๑) คำ เป็น มี ๓ ลักษณะ ดังนี้ ๑. คำ หรือ รื พยางค์ที่ปที่ ระสมสระเสียงสั้นใน แม่ ก กา เช่นช่ เอะอะ เลอะเทอะ ๒. คำ ที่มีที่ม มี าตราตัวตั สะกด แม่กก กด กบ เช่นช่ยึกยัก อึดอัด ซุบ ซุ ซิบซิพบรักรั ๗) เสียงวรรณยุก ยุ ต์ คือ เสียงสามัญ เสียงเอก เสียงโท เสียงตรี และเสียงจัตวาที่กำที่กำหนดใช้ใช้นบทกลอน ซึ่งซึ่ถือว่าเสียงวรรณยุก ยุ ต์เป็นสิ่ง จำ เป็นในการเขีย ขี นกลอนให้ไพเราะ ต้องรู้ว่รู้ ว่าคำ ท้าท้ยวรรดใดนิยมใช้หช้รือ รื ไม่นิม่ นิยมใช้เช้สียงวรรณยุก ยุ ต์ใต์ ด
๗๐ ๘) คำ นำ คือ คำ ขึ้นต้นสำ หรับรัร้อร้ยกรองบางประเภท เช่นช่กลอนบท ละคร กลอนสักวา กลอนดอกสร้อร้ย กลอนเสภา โดยทุก ทุ ประเภทมีลักษณะ บังบัคับเช่นช่เดียวกับกลอนสุภาพ ดังแผนผังผั กลอนบทละคร มีลั มี กลัษณะบังบัคับเช่นช่เดียวกับกักลอนสุภาพ วรรคหนึ่ง มี ๖-๙ คำ แต่นิต่ นิยมใช้เช้พียง ๖-๗ คำ จึงจะเข้าจังหวะร้อร้งและรำ โดยจะขึ้นตัน บทว่าว่เมื่อ มื่ นั้น บัดบันั้น เป็นตันตั ตัว ตั อย่างเช่น บัด บั นั้น นายทัพทัรับรั สั่งใส่เกศา ต่าต่งคนต่าต่งขับขั โยธา ทั้งทั้กองหนุน นุ กองหน้าประดัง เร่งร่พลพาชีตี ชี ก ตี ระหนาบ ตัวนายชักชัดาบออกไล่หล่ลังลั ทนายปืนยิงปืนตึงตัง เสียงดังครื้น รื้ ครั่นรั่ สนั่นดง (อิเหนา : พระราชนิพนธ์ใธ์น ร. ๒) กลอนสักวา มีลักษณะบังคับคล้าล้ยกลอนสุภาพ ต่างกันที่ต้ ที่ ต้องขึ้นต้น ว่าว่ สักวา และจบลงด้วยคำ ว่าว่เอย คณะของกลอนสักวาบทหนึ่งมี ๔ คำ กลอน หรือ รื ๘ วรรค *วรรคแรกหรือ รื วรรคสดับจะใช้คำช้ คำขึ้นต้นแตกต่างกันออกไป ตามประเภทของร้อร้ยกรอง แต่วรรคอื่นๆ กำ หนดสัมผัสผับังคับเหมือนกัน จำ ให้ แม่น
๗๑ ตัว ตั อย่างเช่น สักวาหวานอื่นมีห มี มื่น มื่ แสน ไม่เหมือนแม้นพจมานที่หที่วานหอม กลิ่นลิ่ ประเทีย ที บเปรีย รี บดวงพวงพะยอม อาจจะน้อมจิตโน้มด้วยโลมลม แม้นม้ล้อล้ลามหยามหยาบไม่ปม่ลาบปลื้ม ดังดูดดื่มบอระเพ็ดต้องเข็ดขม ผู้ดี ผู้ ดีไพร่ไร่ม่ปม่ระกอบชอบอารมณ์ ใครฟังลมเมินหน้าระอาเอย (สักว่าหวานอื่นมีหมื่นแสน : พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงบดินทรไพศาลโสภณ) กลอนดอกสร้อย บทหนึ่งมี ๘ วรรค วรรคละ ๗-๘ คำ วรรคแรกมี ๔ คำ โดยคำ ที่ ๑ และ คำ ที่ ๓ เป็นคำ เดียวกัน ส่วนคำ ที่ 2 จะต้องเป็นคำ ว่า เอ๋ย และต้อต้งจบลงด้วยคำ ว่าว่เอย เสมอ วังวัเอ๋ยวังเวง หง่าง่งเหง่งง่ย่ำ ค่ำ ระฆังฆัขาน ฝูง ฝู วัววัควายผ้าผ้ยลาทิวทิากาล ค่อยค่อยผ่าผ่นท้อท้งทุ่ง ทุ่ มุ่งถิ่นตน ชาวนาเหนื่อยอ่อนต่าต่งจรกลับลัตะวันลับอับแสงทุก ทุ แห่งหน ทิ้งทิ้ทุ่ง ทุ่ ให้มืดมัวทั่วทั่มณฑล และทิ้งทิ้ตนตูเ ตู ปลี่ยวอยู่เ ยู่ ดียวเอย ตัว ตั อย่างเช่น (กลอนดอกสร้อร้ยรำ พึงในป้าช้าช้: พระยาอุปกิศิลปสาร) กลอนเสภา มีลักษณะบังบัคับเช่นช่เดียวกับกลอนสุภาพ ใช้คำช้ คำขึ้นตันว่า ครานั้น จะกล่าล่วถึง เป็นตัน ครานั้นขุน ขุ แผนแสนสนิท คอยท่าท่ช้าช้ผิดผิหามาไม่ เยื้อ ยื้ งย่าย่งตามนางเข้าข้ห้องใน สลดใจสงสารวันวัทองนัก แลเห็นนวลน้องเจ้าจ้ร้อร้งไห้ ลมจับหลับไปยังมึนหนัก เสกน้ำ ประพรมชโลมพักตร์ ด้วยพระเวทวิเศษศักดิ์ประสิทธ์ ตัว ตั อย่างเช่น (เสภาเรื่อรื่งขุนช้าช้งขุนแผน : พระราชนิพนธ์ใธ์น ร. ๒)
๗๒ ๙) คำ สร้อ ร้ ย คือ คำ ที่ใที่ช้ลช้งท้าท้ยวรรค ท้าท้ยบาท เพื่อความไพเราะใน การเอื้อนเสียง หรือ รื เพิ่มข้อข้ความให้สมบูรณ์ ใช้เช้ป็นคำ ถาม ใช้เช้พื่อให้ครบ ความ ส่วนมากจะใช้เช้ฉพาะโคลงกับร่าร่ย เช่นช่เอย แล แฮ นา เทอญ ตัว ตั อย่างเช่น ตีนงูงู งู ไ งู ซร้หร้าก นมไก่ไก่ก่สำ คัญ หมูโจรต่อต่ โจรหัน เชิงชิปราชญ์ฉลาดกล่าล่วผู้ เห็นกัน ไก่รู้ เห็นเล่ห์ กันนา ปราชญ์รู้เรู้ชิงชิกันกั (ประชุมโคลงโลกนิติ : สมเด็จฯ กรมพระยาเดชาคิศร) ๒. การแต่งต่คำ ประพันธ์ ประเภทกาพย์ กาพย์เ ย์ป็นคำ ประพันธ์ที่ ธ์ แที่ต่งง่าง่ย มีลักษณะคล้ายฉันท์ แต่ไม่บังคับ ครุ ลหุ กาพย์ที่ ย์ นิที่นิยมใช้มีช้ มี ๓ ชนิด คือ กาพย์ยานี ๑๑ กาพย์ฉบัง ๑๖ และ กาพย์สุย์ ร สุ างคนางค์ ๒๘ ๒.๑ กาพย์ยานี ๑๑ ๑) คณะ ๑. กาพย์ย ย์ านี ๑๑ หนึ่งบทมี ๔ วรรค หรือ รื ๒ บาท บาทแรก เรีย รี กว่า บาทเอก และบาทที่ ๒ เรีย รี กว่า บาทโท ๒. บาทหนึ่งมี ๒ วรรค วรรคหน้ามี ๕ คำ วรรคหลังมี ๖ คำ ๒) เสียง คำ สุดท้าท้ยของบท ห้ามใช้คำช้ คำตาย และคำ ที่มี ที่ มี รูปวรรณยุก ยุ ต์ ลักลัษณะฉันทลักลัษณ์ของกาพย์ยานี ๑๑ ๓. สัมผัส กำ หนดสัมผัสผั ในบท ๒ แห่ง และสัมผัสผัระหว่างบท ๑ แห่ง คือ
๗๓ ๑. คำ ท้าท้ยของวรรคหน้าสัมผัสผักับดำ ที่ ๑, ๒ หรือ รื ๓ ของวรรคหลังใน บาทเอก ๒. คำ ท้าท้ยของบาทเอก สัมผัสผักับคำ ท้าท้ยของวรรคหน้าในบาทโท ๓. คำ ท้าท้ยของบทแรก สัมผัสผักับคำ ท้าท้ยของบาทเอกในบทต่อไป แผนผังผัและตัวตัอย่างกาพย์ย ย์ านี ๑๑ พระเสด็จโดยแดนชล กิ่งกิ่แก้วก้แพร้วร้พรรณราย นาวาแน่นเป็นขนัด เรือ รื ริ้วริ้ทิวทิธงสลอน ทรงเรือ รื ต้นงามเฉิดฉาย พายอ่อนหยับยัจับจังามงอน ล้วนรูปสัตว์แสนยากร สาครลั่นลั่ครั่นรั่ครื้น รื้ ฟอง (กาพย์เห่เรือรื: เจ้าฟ้าธรรมธิเธิบศร์)ร์ คำ แนะนำ บางประการในการแต่งต่กาพย์ยานี ๑๑ ๑. คำ ที่รัที่บรั สัมผัสผั ไม่นิยมใช้คำช้ คำที่มีที่มี เสียงเดียวกับคำ ที่ส่ที่ ส่งสัมผัสผัถึงแม้จะ เขีย ขี นต่าต่งกันกัเช่นช่ สาน-สาส์น-ศาล-สาร เป็นต้น ๒. ในการแต่งต่กาพย์ย ย์ านี ๑๑ ไม่มีม่ มี ข้อบังคับเสียงวรรณยุก ยุ ต์ หรือ รื รูปวรรณยุก ยุ ต์ แต่ส่วนใหญ่จญ่ะนิยมใช้เช้สียงรรณยุก ยุ ต์สามัญและจัตวา ในคำ สุด สุ ท้าท้ยของบาทโท เสียงตรี เสียงเอก ก็มีบ้ มี บ้างแต่ไม่ค่ม่ ค่อยนิยม ๓. คำ สุด สุ ท้าท้ยของบท ไม่นิม่ นิยมใช้คำช้ คำตายหรือ รื คำ ที่มี ที่ รู มี รู ปวรรณยุก ยุ ต์ ๔. กาพย์ย ย์ านี ๑๑ เหมาะกับเนื้อหาที่เ ที่ป็นพรรณนาโวหาร เช่นช่พรรณนา ความรู้สึรู้ สึ กความรักรัและความงาม ๕. สัมผัสผั ใน คือ สัมผัสผัภายในวรรคเป็นสัมผัสผั ไม่บัม่ บังคับจะมีหรือ รื ไม่มี ก็ไก็ ด้ ไม่ถืม่ ถื อเป็นข้อข้บังบัคับ และไม่เม่คร่งร่ครัดรัมากนัก แต่ถ้ามีจะทำ ให้ทำ นอง ไพเราะสละสลวยยิ่งยิ่ขึ้น
๗๔ ๒.๒ กาพย์ฉบัง ๑๖ ลักลัษณะฉันทลักษณ์ของกาพย์ฉบัง ๑๖ ๑) คณะ กาพย์ฉ ย์ บังบั๑๖ หนึ่งบท มี ๓ วรรค วรรคแรก ๖ คำ วรรคที่สที่อง ๔ คำ และวรรคท้าท้ย ๖ คำ ๒) เสียง นิยมใช้เช้สียงสามัญและเสียงจัตวาเป็นคำ ส่งสัมผัสผัและ คำ ท้าท้ยวรรค ๓) สัมผัส สัมผัสผัมีระหว่าว่งวรรค ๑ แห่ง และสัมผัสผัระหว่าง บท ๑ แห่ง สัมผัสผัระหว่าว่งวรรค คำ ท้าท้ยวรรคแรกสัมผัสผักับคำ ท้าท้ย วรรคที่สที่อง สัมผัสผัระหว่างบท ท้าท้ยวรรคของบทแรก สัมผัสผักับ คำ ท้าท้ยวรรคแรกของบทต่อไป แผนผังผัและตัวอย่าย่งกาพย์ฉบัง ๑๖ ชายใดไม่เที่ยที่วเทีย ที วไป ทุก ทุ แคว้นว้แดนไพร มิอมิาจประสบพบสุข สุ ชายใดอยู่เ ยู่ หย้าย้เนาทุก ทุ ข์ ไม่ด้ม่ ด้นชนชุก ก็ชื่ ก็ อ ชื่ ว่าว่ชั่วชั่มัวมัเมา (นิทานเวตาล : น.ม.ส.)
๗๕ คำ แนะนำ บางประการในการแต่งต่กาพย์ฉบัง ๑๖ ๑. กาพย์ฉ ย์ บังบัมีลี มี ลี ลาคึกคัก โลดโผน และสง่าง่งามกว่ากาพย์ยานี โบราณนิยมใช้แช้ต่งต่บทพากย์โขน บทสวดมนต์ การต่อสู้ ถ้าเป็นนิยาย นิทาน ก็ไช้เช้ป็นบทพรรณนาโวหารที่ต้ที่ต้องการให้ลีลา ดังกล่าว ปัจจุบัน นิยมใช้เช้ขียนบทสดุดี และบทปลุก ลุ ใจ ๒. ความไพเราะของกาพย์ฉบังขึ้นอยู่กั ยู่กับเสียงสัมผัสผั ใน มักจะเพิ่ม ในวรรคเป็นคู่ๆ ทุก ทุ วรรค ทั้งทั้ สัมผัสผั สระและสัมผัสผัอักษร ๓. คำ สุด สุ ท้าท้ยของบทนิยมใช้เช้สียงวรรณยุก ยุ ต์สามัญและจัตวา ส่วนวรรณยุก ยุ ต์อื่ ต์ อื่ น ไม่นิม่ นิยมใช้แช้ละพบไม่บ่ม่ บ่อยนัก ๔. กาพย์ฉ ย์ บัง ๑๖ ไม่บัม่ บังคับสัมผัสผัระหว่างวรรคที่ ๒ กับวรรคที่ ๓ จะมีห มี รือ รื ไม่มีม่ก็ มี ก็ได้ ๒.๓ กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ ลักลัษณะฉันทลักษณ์ของกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ ๑) คณะ กาพย์สุย์ สุ รางคนางค์ ๒๕ บทหนึ่งมี ๗ วรรค วรรคละ ๔ คำ รวม ๒๘ คำ จึงเรีย รี กว่า กาพย์สรางคนางค์ ๒๘ ๒) สัมผัส ๑. คำ ท้าท้ยวรรคหน้าสัมผัสผักับคำ ท้าท้ยวรรคที่ ๒ ๒. คำ ท้าท้ยวรรคที่ ๓ สัมผัสผักับคำ ท้าท้ยวรรคที่ ๕ และวรรคที่ ๖ ๓. สัมผัสผัระหว่าว่งบท คำ ท้าท้ยวรรคที่ ๗ ของบทแรก สัมผัสผั กับกัคำ ท้าท้ยวรรคที่ ๓ ของบทต่อไป
๗๖ แผนผังผัและตัวอย่าย่งกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ วันนั้นจันจัทร มีดารากร เป็นบริวริาร เห็นสิ้นดินฟ้า ในป่าท่าท่ธาร มาลีคลี่บ ลี่ าน ใบก้าก้นอรชร เย็น ย็ ฉ่ำ น้ำ ฟ้า ชื่น ชื่ ชะผกา วายุพ ยุ าขจร สารพันจันจัทน์อิน รื่น รื่ กลิ่นลิ่เกสร แตนต่อคลอร่อร่น ว้าว้ว่อนเวียนระวัน (กาพย์พระไขยสุริยริา : สุนทรภู่) กาพย์สุย์ ร สุ างคนางค์ไม่เคร่งร่ครัดรั สัมผัสผั ใน อาจเป็นสัมผัสผั สระ สัมผัสผั อักษร หรือ รื ไม่มี สัมผัสผั ในก็ได้ แต่เน้นความหมายคำ เป็นหลัก แบ่งจังหวะคำ ในวรรคเป็นสองคู่ เช่นช่ ไม้งม้าม/น้ำ ใส ร่มร่รื่น รื่ /ชื่น ชื่ ใจ สวนสวย/งามตา มาลี/ลีสีสัน ดุจฝัน/เห็นมา ชุ่มชุ่ชื่น ชื่ /อุรา พาเพลิน/เชิญชิชม คำ แนะนำ บางประการในการแต่งต่กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ ๑. คำ สุด สุ ท้าท้ยของวรรคที่ ๓ หากลงด้วยเสียงจัตวาจะเพิ่มความ ไพเราะยิ่งยิ่ขึ้น ขึ้ เช่นช่ บ้าบ้นหนองสารแตร ดินแดนเก่าก่แก่ ประวัติวั ติขานไข เป็นที่รที่าบสูง สู หนองน้ำ กว้าว้งใหญ่ ปลาชุมเหลือใจ ชาวบ้าบ้นชื่น ชื่ ชม
๗๗ จิตคือสื่อสัญญาณ เสริมริ ประสานการกระทำ จิตจิจดกำ หนดจำ จารประจงตรงชั่วชั่ดี จิตตนหากวนวก ก็ดังนกหลงพงพี จิตจิจักจัหนักทวี ต้อต้งปล่อยวางว่าว่งอาวรณ์ จิตเดินทางสองแพร่งร่วางตำ แหน่งให้แน่นอน จิตจิรู้อรู้ โคจร จงพิจารณ์ผ่าผ่นวิจัย จิตใดดำ เนินดี เกิดกิ สุขศรีสรี ว่าว่งใส จิตจินั้นดำ เนินไป ประกอบสุจริตริธรรม จิตสาธารณะ ผูก ผู พันธะอุปถัมภ์ จิตจิเอื้อเกื้อ กื้ กูล กู นำ เนื่องวิถีความดีครอง จิตชนคนของชาติ สุขสะอาดปัญญาส่อง จิตจิรักรัภักภัดีต้อต้ง ตอบแทนบุญบุ"คุณแผ่นผ่ดิน" ๒. ความไพเราะของกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ บางวรรคอาจจะเล่นคำ ซ้ำ คำ ซ้ำ ความ ด้วยเสียงสระหรือ รื ด้วยเสียงพยัญชนะ ก็จะเพิ่มความไพเราะ ขึ้น ขึ้ เช่นช่ เรีย รี กขานสืบมา บ้าบ้นคอยคอยท่าท่หรือ รื ว่าคอยใคร อย่าย่ลืม ลื บ้าบ้นคอย ร่อร่งรอยฝากไว้ รอคอยน้ำ ใจ อยู่ที่ ยู่ บ้ที่บ้านคอย ๓. สัมผัสผั ใน เป็นสัมผัสผั ไม่บังคับ จะมีห มี รือ รื ไม่ก็ม่ ก็ได้ ส่วนใหญ่นิยมแต่ง ให้มีเ มีป็นคู่ๆ ตัว ตั อย่าง การแต่งต่คำ ประพันธ์ปธ์ ระเภทกาพย์ จิต จิ..จิต จิ..จิต..(จิตสาธารณะ) (บทร้อร้ยกรองชนะเลิศการประกวดโครงการประกวดร้อร้ยกรองออนใลน์สมาคม นักกลอนแห่งประเทศไทย ครั้งรั้ที่ ๔ ประจำ ปี ๒๕๕๓ ประเภทกาพย์ยานี ๑๑ ระดับ มัธยมศึกษาตอนต้น ผลงานของเด็กหญิงคุณา สังฆงาม)
๗๘ บทวิเ วิ คราะห์ คำ ประพันธ์ ประเภทกาพย์ย ย์ านี ๑๑ ในหัวข้อ จิต..จิต..จิต.. (จิตจิ สาธารณะ) ที่ไที่ ด้รับรัรางวัลชนะเลิศการประกวดโครงการประกวดร้อร้ย กรองออนไลน์ มีข้ มีข้อพิจารณาที่คที่วรศึกษา วิเคราะห์เพื่อนำ ไปประยุก ยุ ต์ใช้ใช้น การแต่งต่คำ ประพันธ์ปธ์ ระเภทกาพย์ยานี ๑๑ ได้ดังนี้ ๑. สัมผัสผั กาพย์ยานี ๑๑ ทั้งทั้หกบท แต่งได้ถูกต้องตามฉันทลักษณ์ของ คำ ประพันธ์ปธ์ ระเภทกาพย์ยานี ๑๑ ทั้งทั้จำ นวนคำ และสัมผัสผับังคับ ดังนี้ สัมผัสผั ระหว่างวรรค (สัมผัสผั บังคับ) บทที่หที่นึ่ง ญาณ- สาน, ทำ -จำ บทที่สที่อง วก- นก, พี-วี บทที่สที่าม แพร่งร่- แหน่ง, นอน- จร บทที่สี่ที่ สี่ดี - ศรี, รีใส-ไป บทที่ห้ที่ห้า ณะ - ธะ, ถัมภ์ - นำ บทที่หที่ก ชาติ - อาด, ส่อง - ต้อง สัมผัสผั ระหว่างบท (สัมผัสบังคับ) บทที่หที่นึ่ง - สอง ดี - พี บทที่หที่นึ่ง - สอง ดี - พี บทที่สที่อง -สาม วรณ์ -นอน บทที่สที่าม - สี่ จัย -ใส บทที่สื่ที่สื่-ห้า ธรรม - ถัมภ์ บทที่ห้ที่ห้า - หก ครอง - ส่อง นอกจากนี้ยังยั ปรากฏสัมผัสผั ในที่ช่ ที่ วช่ยเพิ่มความไพเราะให้แก่ ร้อร้ยกรอง เช่นช่ สาน - การ กำ - จำ เป็นต้น ๒. บัง บั คับเสียง คำ ประพันธ์ปธ์ ระเภทกาพย์ย ย์ านี ๑๑ ไม่มีการบังคับเสียง ๓. รูปแบบ คำ ประพันธ์ปธ์ ระเภทกาพย์ยานี ๑๑ ทั้งทั้หกบท แต่งได้ ถูกต้อต้งตามรูปแบบของกาพย์ยานี ๑๑ ทั้งทั้ ในด้านจำ นวนคำ และสัมผัสผั บังบัคับ ๔. คำ เป็นคำ ตาย ไม่มีม่ มี ข้อบังคับคำ เป็นคำ ตาย การใช้โวช้หาร ผู้แ ผู้ ต่งใช้ สำ นวนการเขีย ขี นแบบพรรณนาโวหารกล่าวถึงความสำ คัญของจิต ที่จ ที่ ะ กำ หนดให้ไปทางดีหรือ รื ชั่วชั่ถ้าไปทางไม่ดีจะทำ ให้เดือดร้อร้น แต่ถ้าไปทาง ความประพฤติชอบ มีน้ำ ใจต่อผู้อื่ ผู้ อื่ นก็จะเกิดความสุขสดใส แล้วถ้าจิตใจ ของคนในชาติต่ติาต่งมีความจงรักรัภักดี ก็ต้องแสดงออกด้วยการตอบแทน คุณแผ่นผ่ดิน ทำ ให้บ้าบ้นเมือ มื งร่มร่เย็นเป็นสุข
๗๙ ๖. แสดงความรู้สึก ผู้แ ผู้ ต่งต่ ใช้โช้วหารภาพพจน์อุปมาเปรีย รี บจิตที่คิ ที่ คิดกลับ ไปกลับลัมาเหมือ มื นนกที่ห ที่ ลงป่า พลัดจากป่า และในบทที่ ๓ ผู้แ ผู้ ต่งได้กล่าวถึง จิตจิมีท มี างเดินอยู่สยู่องทางว่าจะเลือกเดินทางใดระหว่างดีกับชั่วชั่และในบทที่ ๔ กล่าล่วถึงหากเจ้าจ้ของจิตเดินไปในทางดี ผล ที่ไที่ด้รับรัจะมีแ มี ต่ความสุข สุ ความเจริญริทั้งทั้ต่อตนเองและประเทศชาติ ๓. การแต่งต่คำ ประพันธ์ ประเภทโคลง โคลงเป็นบทร้อร้ยกรองเก่าแก่ของไทย มีปรากฏในลิลิตโองการแช่งช่ น้ำ ซึ่งซึ่เป็นวรรณคดี เล่มล่แรกในสมัยมั สมเด็จพระรามาธิบธิดีที่ ๑ (พระเจ้า อู่ทอง) แห่งกรุงศรีอ รี ยุธ ยุ ยา โคลงแบ่งออกเป็นประเภท คือ โคลงสุภาพ โคลงดั้นดั้โคลงกระทู้ และกลโคลง ประเภทของโคลงที่คว ที่ รศึกษา ใน ระดับมัธมัยมศึกษาตอนปลาย มีดังนี้ ๓.๒ โคลงสามสุภ สุ าพ บทร้อร้ยกรองประเภทโคลงสี่สุภาพ เป็นคำ ประพันธ์ที่ ธ์ที่มี ที่ มี ลักษณะ บังบัคับคณะ สัมผัสผัและคำ เอก คำ โท ดังนี้ ๑) คณะ โคลงสี่สุภาพบทหนึ่งมี ๔ บาท บาทหนึ่งมี 6 วรรค วรรคหน้า ๕ คำ วรรคหลังลั๒ คำ ยกเว้นบาทที่ ๔ วรรคหลังมี ๔ คำ และ บาทที่หที่นึ่ง บาทที่สที่ามอาจมีคำ สร้อร้ยหรือ รื ไม่มีม่ มี ก็ได้ ๒) สัมผัสผั สัมผัสผันอกหรือ รืสัมผัสผับังคับ คือ คำ ท้าท้ยในบาทแรก ส่งสัมผัสผั ไปยังยัคำ ที่ ๕ ของบาทที่สที่องและสาม คำ ท้าท้ยของบาทที่สที่ องส่ง สัมผัสผั ไปยังคำ ที่ ๕ ของบาทที่สี่ที่สี่สัมผัสผั ในของร้อร้ยกรองประเภทโคลงสี่ สุภ สุ าพนิยมใช้สัช้ สัมผัสผัอักษรมากกว่าสัมผัสผั สระ ๓) คำ เอก คำ โท มีคำ เอก ๗ แห่ง คำ โท ๔ แห่ง ตามแผนผังผัดังนี้
แผนผังและตัว ตั อย่างโคลงสี่สุภ สุ าพ ( ) ( ) ่ ่ ่ ่ ่ ่ ่ ้ ้ ้ ้ เสียงภาเสียงเล่าล่อ้าง อันใด พี่เอย เสียงย่อย่มยอยศใคร สองเขือ ขื พี่หลับใหล สองพี่คิดเองอ้า ทั่วทั่หล้าล้ ลืมตื่น ตื่ ฤๅพี่ อย่าย่ ได้ถามเผือ ผื (ลิลิตพระลอ : ไม่ปรากฏนามผู้แผู้ต่ง) ๓.๒ โคลงสามสุภ สุ าพ ๑) คณะ โคลงสามสุภ สุ าพบทหนึ่งมี ๒ บาท แบ่งเป็น ๔ วรรค วรรคที่ ๑. ๒, ๓ มี วรรคละ ๕ คำ วรรคสุดท้าท้ยมี ๔ คำ อาจมีคำ มี คำ สร้อร้ยได้ ๒ คำ ๒) คำ เอก คำ โท มีคำ เอก ๓ แห่ง คือ คำ ที่ ๔ วรรค ๒ คำ ที่ ๒ วรรค ๓ และคำ ที่ ๑ วรรดที่ ๔ มีคำ มี คำ โท ๓ แห่ง คือ คำ สุด สุ ท้าท้ยของวรรคที่ ๒ และ ๓ และดำ ที่ ๒ วรรคที่ ๔ ๓) สัมผัสผั คำ สุด สุ ท้าท้ยของวรรคที่ ๑ ส่งสัมผัสผั ไปยังคำ ที่ ๑ หรือ รื ที่ ๒ หรือ รื ที่ ๓ ของวรรคที่ ๒ คำ สุด สุ ท้าท้ยของวรรคที่ 2 ส่งสัมผัสผั ไปยังคำ สุดท้าท้ย ของวรรดที่ ๓ สัมผัสผัระหว่าว่งบท คำ สุด สุ ท้าท้ยของบทแรกส่งสัมผัสผัยังคำ ที่ 2, ๒ หรือ รื ๓ ของบทต่อต่ ไป ๘๐
๘๑ แผนผังและตัว ตั อย่างโคลงสามสุภาพ ่ ( ) ่ ้ ่ ้ ้ กรตระกองกอดแก้วก้เรีย รี มจักร้าร้งรสแคล้ว คลาดเคล้าคลาสมร จำ ใจจรจากสร้อร้ย อยู่แยู่ม่อย่าย่ละห้อย ห่อนช้าช้คืนสม แม่แล ลิสิตตะเลงพ่าย : สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชินุตชิซีโซีนรส) การแต่งต่บทร้อร้ยกรองมีแมีบบในการเลือลืกใช้คำช้ คำคณะ สัมผัสผัแตกต่าต่งกันกั ไปตามลักลัษณะฉันทลักลัษณ์ และมีธมีรรมเนียมนิยมในการแต่งต่บทร้อร้ยกรองให้ เหมาะสมกับกังานเขียขีน ซึ่งซึ่บทร้อร้ยกรองไทยมีคมีวามไพเราะในเรื่อรื่งรสคำ และรส ความ จึงจึทำ ให้มีคุมีคุณค่าในเชิงชิวรรณศิลป์ และสังคม การแต่งต่บทร้อร้ยกรอง นอกจากจะทำ ให้มีคมีวามแตกฉานในเรื่อรื่งการใช้คำช้ คำแล้วล้บทร้อร้ยกรองที่แที่ต่งต่จะ เป็นเครื่อรื่งสะท้อท้นความคิด และวัฒวันธรรมของสังคมในยุคยุนั้นๆ ได้เด้ป็นอย่าย่งดี จำ ให้ แม่น
๘๒ แบบทดสอบ เรื่อ รื่ ง คุ้ยเขี่ยคำ ประพันธ์พ ธ์ าเพลิน ให้นักเรียรีนเขียขีนเครื่อรื่งหมาย x ทับทัตัวตัอักอัษรหน้าคำ ตอบที่ถูที่กถูต้อต้ง ๑. “มัสมัมั่นมั่แกงแก้วก้ตา หอมยี่หยี่ร่าร่รสร้อร้นแรง ชายใดได้กด้ลืนลืแกง แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา ยำ ใหญ่ใญ่ ส่สารพัด วางจานจัดจัหลายเหลือลืตรา รสดีด้ดีวด้ยน้ำ ปลา ญี่ปุ่ญี่ ปุ่นปุ่ล้ำ ย้ำ ยวนใจ " คำ ประพันธ์นี้ธ์นี้มีทั้มีงทั้หมดกี่บกี่ท ก. ๒ บท ข. ๓ บท ค. ๔ บท ง. ๕ บท ๒. กลอนสุภสุาพ ๑ บท มีกี่มีกี่คำกี่ คำกลอน ก. ๑ คำ กลอน ข. ๒ คำ กลอน ค. ๓ คำ กลอน ง. ๔ คำ กลอน ๓. บาทเอกในกลอนสุภสุาพประกอบด้วด้ยวรรคอะไรบ้าบ้ง ก. วรรครอง วรรคส่ง ข. วรรคสลับลัวรรครับรั ค. วรรครับรัวรรคส่ง ง. วรรคสลับลัวรรครอง ๔. ข้อข้ ใดลำ ดับดัชื่อชื่ของกลอนสุภสุาพได้ถูด้กถูต้อต้ง ก. รับรัรอง สดับดั ส่ง ข. รอง รับรั สดับดั ส่ง ค. สดับดัรับรัรอง ส่ง ง. สดับดัรอง รับรั ส่ง ๕. ข้อข้ความในข้อข้ ใดควรเป็นวรรครับรั ก. ตูมตูตั้งตั้บังบั ใบอรชร ข. นิลบลพ้นน้ำ ขึ้นขึ้รำ ไร ค. น้ำ ใสไหลเย็น ย็ เห็นตัวตั ปลา ง. ว่าว่ยแหวกปทุมทุาอยู่ไยู่หวไหว
๘๓ ๖. คำ ใดเมื่อมื่เติมติลงในช่อช่งว่าว่งข้าข้งล่าล่งนี้แล้วล้จะสัมผัสผัอักอัษรกับกัคำ หน้าและคำ หลังลั " กลับลักระฉอก. . .ฉวัดวัเฉวียวีน" ก. สาดซัดซั ข. ซัดซั สาด ค. ฉาดฉัด ง. ฉัดฉาด ๗. คำ ประพันธ์ปธ์ระเภทใดบังบัคับ เอก โท ก. กลอนสุภสุาพ ข. กาพย์ยย์านี ๑๑ ค. โคลงสี่สุภสุาพ ง. กาพย์ฉย์บังบั๑๖ ๘. ข้อข้ ใดมีสัมี สัมผัสผั สระคล้อล้งจองเหมาะสมที่สุที่ดสุสำ หรับรัเติมติลงในช่อช่ง ว่าว่งต่อต่ ไปนี้ " ยังยัอยากเขียขีน. . .มีปมีระโยชน์" ก. ลำ นำ ข. กลอนดี ค. คำ กลอน ง. อักอัขรวิธวิ ๙. ข้อข้ความต่อต่ ไปนี้ถ้าถ้แบ่งบ่วรรคตอนถูกถูต้อต้งจัดจัเป็นคำ ประพันธ์ปธ์ระเภท ใด " หวานใดไม่หม่วานนักเท่าท่รสรักรั สมัคมัรสมไร้รัร้กรัหนักอารมณ์หวาน เหมือมืนขมอมโศกา" ก. กาพย์ฉย์บังบั๑๖ ข. กาพย์ยย์านี ๑๑ ค. กลอนสุภสุาพ ง. โคลงสี่สุภสุาพ ๑๐.ข้อข้ความต่อต่ ไปนี้ถ้าถ้แบ่งบ่รคตอนถูกถูต้อต้งจัดจัเป็นคำ ประพันธ์ปธ์ระเภทใด "ราตรีกรีรมอกอั้นอั้อิงอิเขนยคิดชนิษฐเคียงเคยขาดเคล้าล้จักจัหลับลัมิหมิลับลัเลย หลายทุ่มทุ่ยามนาตราบอรุณรุ่งรุ่เจ้าจ้เร่งร่ร้อร้นทรวงกระศัลย์ " ก. กาพย์ฉ ย์ บังบั๑๖ ข. กาพย์ย ย์ านี ๑๑ ค. กลอนสุภ สุ าพ ง. โคลงสี่สุภาพ
บทที่ ๕ คุ้ยเขี่ยอิท อิ ธิพ ธิ ลภาษา
อิท อิ ธิพ ธิ ลของภาษา อิทอิธิพธิลของ ภาษาต่าต่งประเทศ อิทอิธิพธิลของภาษาถิ่นถิ่ สาเหตุที่ตุภที่าษาต่าต่งประเทศ เข้าข้มาในภาษาไทย อิทอิธิพธิลภาษาต่าต่งประเทศ ที่มีที่ต่มีอต่ภาษาไทย ลักลัษณะของภาษาต่าต่ง ประเทศในภาษาไทย
๘๗ สาเหตุที่ตุภที่าษาต่าต่งประเทศ เข้าข้มาในภาษาไทย ทางการเมือมืง การติดติต่อต่ผ่าผ่นความสัมพันธ์กั ธ์ กับชนชาติอื่น ไม่ว่ม่ ว่าทางไมตรี ทางการ ทูต ทู หรือ รื การทำ สงครามกันกัหากเป็นช่วช่งเวลาในสมัปมัระวัติศาสตร์ เรามี ความสัมพันธ์กั ธ์ บกัพม่าม่และเขมรมาก แต่เราได้รับรัคำ ยืมจากพม่ามาน้อยมาก ขณะที่ภที่าษาเขมรนั้นมีใมี น ภาษาไทยเป็นจำ นวนมาก อาจจะเป็นรองก็แต่ จากภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตเท่าท่นั้น ทั้งทั้นี้ เพราะเรารับรัคำ ยืมภาษา เขมรผ่าผ่นช่อช่งทางอื่นด้วย อันที่จ ที่ ริงริเรายังมีการรบทัพทัจับศึกกับญวนด้วย แต่ก็ต่มี ก็ คำ มี คำยืม ยื ภาษาเวีย วี ดนามในภาษาไทยอยู่ไ ยู่ ม่มม่ากนัก ทางวัฒวันธรรม การรับรั ศาสนา วรรณคดี ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปวิทยา ฯลฯ ของชาติอื่ติ อื่ นเข้าข้มา เมื่อรับรัเข้าข้มาก็จำ ต้องรับรัคำ ที่ใที่ ช้คู่ช้คู่ กับสิ่งเหล่านั้นมาด้วย ชาติตติะวันวัออก ที่มี ที่ อิ มี อิทธิพธิลต่อเราในด้านวัฒนธรรมมากที่สุที่สุ ดก็คืออินเดีย ซึ่งซึ่ได้นำ ศาสนา วรรณคดี ขนบธรรมเนียมประเพณี และศิลปวิทยาหลาย สาขาเข้าข้มาในดินแดนแถบนี้ ภาษาที่ไที่ ด้รับรัมาก็ คือ ภาษาบาลี ภาษา สันสกฤต ภาษาฮินดี ภาษาทมิฬ เป็นต้น ช่อช่งทางวัฒนธรรม นั้นกว้างขวาง มีห มี ลายภาษาที่ผ่ที่าผ่นเข้ามาทางนี้ เช่นช่ภาษาชวา จาก วรรณคดีเรื่อ รื่ งอิเหนา ศัพท์ภ ท์ าษาอาหรับรัที่เที่กี่ยวกับกั ศาสนาอิสลาม เป็นต้น ทางการค้า เมื่อ มื่ พ่อค้าจากต่าต่งชาติเติดินทางเข้ามายังบ้านเมือ มื งเรา ก็ได้นำ สินค้า ต่าต่งๆ เข้าข้มา แล้วล้ก็ยังนำ ชื่อ ชื่ ของสินค้า และชื่อ ชื่ ของสิ่งที่เที่กี่ยวข้องเข้ามาอีก ด้วย และในปัจจุบั จุบัน ประเทศไทยติดต่อทางการค้ากับประเทศต่างๆ มากมาย เข่นข่จีน จี ญี่ปุ่ญี่ ปุ่น เกาหลี อังกฤษ ฝรั่งรั่เศส ฯลฯ จึงทำ ให้มีการรับรัคำ ยืม ยื จากภาษานั้นเข้าข้มาในภาษาไทยด้วย
๘๘ ทางการค้า การมีอ มี าณาเขตติดต่อกับอีกประเทศหนึ่งที่มีที่มี พรมแดนร่วร่มกัน ทำ ให้ เดินทางไปมาหาสู่กั สู่ นกั ได้สะดวก คำ ในภาษาหนึ่งจะแพร่ไร่ ปยังอีกภาษาหนึ่ง ได้ง่าง่ย ชาวไทยในภาคใต้ใต้กล้ประเทศมาเลเซีย ซี จึงรับรัคำ ภาษามลายูเ ยู ข้ามาใช้ ในภาษาไทย คนไทยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างซึ่งซึ่มีพรมแดนติด กับกักัมกัพูชา ก็รั ก็ บรัคำ ภาษาเขมรเข้ามาใช้ เป็นต้น ในทำ นองเดียวกันกั ประเทศเพื่อนบ้านที่มีที่มี พรมแดนติดกับประเทศไทย ก็รั ก็ บรัคำ ไทยเข้าไปใช้ใช้นภาษาของเขาด้วยเช่นช่กัน อิทอิธิพธิลภาษาต่าต่งประเทศ ที่มีที่ต่มีอต่ภาษาไทย มีคำ มี คำ ไวพจน์ใช้มช้ากขึ้น ขึ้ ซึ่งซึ่คำ ไวพจน์ คือ คำ ที่มีที่มี ความหมายเหมือนกัน ซึ่งซึ่สะดวกและสามารถเลือ ลื กใช้คำช้ คำ ได้เหมาะสมตามความต้องการและ วัตวัถุประสงค์ เช่นช่ นก บุห บุ รง ปักษา ปักษิน สกุณ กุ า วิหค ม้าม้พาชี อาชา สินธพ หัย อัศวะ ดอกไม้ กรรณิกา บุป บุ ผชาติ บุหงา ผกา สุมาลี ท้อท้งฟ้า คคนานต์ ทิฆัทิมฆัพร นภดล โพยม อัมพร น้ำ คงคา ชลาลัย ธารา มหรรณพ สาคร พระจันจัทร์ แข จันทร์ นิศากร บุหลัน รัชรันีกร เกิดกิการหลากคำ มีคำมี คำ สะกดไม่ตม่รงตามมาตรา คำ ไทยแท้ส่ท้ ส่วนใหญ่มีญ่ตั มี ตัวสะกดตรงตามมาตรา เมื่อ มื่ ได้รับรัอิทธิพธิลภาษา ต่าต่งประเทศ คำ ใหม่จึม่ จึ งมีตัวตั สะกดไม่ตม่รงตามมาตราจำ นวนมาก เช่นช่พิพาท โลหิต สังเขป มิจฉาชีพ ชี นิเทศ ประมาณ ผจญ กัปตัน ปลาสเตอร์ คริสริต์ เคเบิลบิดีเซล โฟกัสกัเป็นต้นต้
๘๙ ภาษาไทยเป็นภาษาตระกูล กู คำ โดด คำ ส่วนใหญ่เป็นคำ พยางค์เดียว เช่นช่พ่อ แม่ พี่ น้อง เดิน ยืน นั่ง นอน เมือ มื ง เดือน ดาว ช้าช้ง แมว ม้า ป่า น้ำ เป็นต้นต้เมื่อยืม ยื คำ ภาษาอื่นมาใช้ ทำ ให้คำ มีมากพยางค์ขึ้น เช่นช่ คำ สองพยางค์ เช่นช่บิดา มารดา เชษฐา กนิษฐา ยาตรา ธานี จันทร กุญกุ ชร วิฬวิาร์ เป็นต้นต้ คำ สามพยางค์ เช่นช่ โทรเลข โทรศัพท์ พาหนะ จักรยาน ปรารถนา บริบูริร บู ณ์ เป็นต้น คำ มากกว่าว่ สามพยางค์ เช่นช่กัลกั ปาวสาน สาธารณะ อุทกภัย วินวิาศกรรม ประกาศนียบัตร เป็นต้น จำ ให้ แม่น คำ มีจำมี จำนวนพยางค์มากขึ้นขึ้ ภาษาบาลี-ลีสันสกฤต ลักลัษณะของภาษาต่าต่ง ประเทศในภาษาไทย ในบรรดาภาษาต่าต่งประเทศ ภาษาที่มี ที่ อิ มี อิทธิพธิลต่อภาษาไทยมากที่สุที่ สุ ด คือ ภาษาบาลีแ ลี ละภาษาสันสกฤต คำ ยืมในภาษาไทยที่ยื ที่ ยื มมาจากทั้งทั้ สอง ภาษานี้ เป็นคำ ที่มีที่มีใช้ใช้นชีวิ ชี ตวิ ประจำ วันเป็นจำ นวนมากทั้งทั้ภาษาพูดและภาษา เขีย ขี น ภาษาบาลีเ ลี ข้าข้มาทางศาสนาพุทธ ส่วนภาษาสันสกฤตเข้ามาทาง ศาสนาพราหมณ์และวรรณคดีเรื่อ รื่ งมหาภารตะและรามายณะ แม้ทั้ม้งทั้ภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตจะมีลั มี ลักษณะร่วร่มกันหลายประการ แต่มีต่ค มี วามแตกต่าต่งกันกัอยู่หยู่ลายประการเช่นช่กัน ที่เ ที่ ด่นชัดชัพอจะระบุได้ดังนี้ ๑. ภาษาสันสกฤตใช้ใช้นคัมภีร์ข ร์ องฮินดูเป็นหลัก และพบในคัมภีร์พุ ร์ พุ ทธ ศาสนาบ้าบ้ง ๒. ภาษาบาลีนิยมใช้ใช้นคัมภีร์ ภี พุ ร์ พุ ทธศาสนาเถรวาท และคัมภีร์ชั้ ร์ นชั้หลัง ๓. คำ ศัพท์ใท์ นภาษาสันสกฤตมีเ มีสียงควบกล้ำ จำ นวนมาก ๔. ความแตกต่างด้านไวยากรณ์ เช่นช่คำ นามในภาษาสันสกฤตมี ๓ พจน์ ในภาษาบาลีมี ๒ พจน์ การผันผัรูปคำ นามและกริยริาแตกต่างกัน
๙๐ สระในภาษาบาลี อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ สระในภาษาบาลี อะ อา อิ อี อุ อู ฤ ฤา ฦ ฦๅ เอ โอ ไอ เอา จำ ให้ แม่น เสียงไม่ก้อง เสียงก้อง ตัวตัสะกด ตัวตัตาม ตัวตัสะกด ตัวตัตาม ตัวตัสะกด [วรรค ก] ก ข ค ฆ ง {ห} [วรรค จ] จ ฉ ช ฉ ญ {ศ} [วรรค ฏ] ฏ ฐ ฑ ฒ ณ {ษ} [วรรค ต] ต ถ ท ธ น {ส} [วรรค ป] ป ผ พ ภ ม เศษวรรค ย ร ล ฬ ว ศ ษ ส ห ลักลัษณะภาษาบาลี-ลีสันสกฤต สระในภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตนั้นคล้ายกันมาก ต่างเพียงใน ภาษาบาลีมี ลี สมี ระน้อยกว่า ไม่ มี ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ และ ไอ เอา หน่วยเสียงพยัญชนะภาษาบาลีมี ๓๓ หน่วยเสียง ภาษาสันสกฤตมี ๓๕ หน่วยเสียง เพิ่มหน่วยเสียง ศ ษ ซึ่งซึ่หน่วยเสียงพยัญชนะทั้งทั้ สองภาษานี้ แบ่งบ่ออกเป็น ๒ ประเภทคือ พยัญชนะวรรค และพยัญชนะเศษวรรค ใน ภาษาสันสกฤตสมัยแบบแผนไม่ใช้เสียงพยัญชนะ ฬ (แต่พบต่ ใน ภาษา สันสกฤตสมัย มั พระเวท) ส่วนภาษาบาลีนั้นไม่มีม่เ มีสียงพยัญชนะ ศ และ ษ
๙๑ ตัวตัสะกด ตัวตัตาม ตัวตัสะกด ตัวตัตาม ตัวตัสะกด [วรรค ก] ไก่ ไข่ ควาย ฆ่า งู {ห} [วรรค จ] จับ ฉัน ชู ฌ.เฌอ หญิง {ศ} [วรรค ฏ] ปฏัก ฐาน ฑอ เฒ่า ณิง {ษ} [วรรค ต] เต่าต่ถูก ทิ้ง ธ.ธง นาย {ส} [วรรค ป] ปลา ผัก พัก ภพ ม้า เศษวรรค ยาย เรา เล่า ลือ(ฬ) ว่า ศ ษ ส ห หลักจำ แม่น ตัวตั สะกด คือ พยัญยัชนะที่ปที่ ระกอบอยู่ข้ ยู่ข้างท้าท้ยสระประสมกับสระและ พยัญยัชนะต้นต้ ตัวตัตาม คือ ตัวตัที่ตที่ามหลังตัวสะกด เช่นช่ สัตย สัจจ ทุก ทุ ข เป็นต้น คำ ในภาษาบาลีตั ลี ว ตัสะกดจะตามด้ว ด้ ยตัว ตั ตามเสมอ ภาษาบาลีพ ลี ยัญชนะตัวตัที่ ๑,๓,๕ เป็นตัวสะกดได้เท่าท่นั้น ภาษาบาลีพ ลี ยัญชนะตัวตัที่ ๑ สะกด ตัวตัที่ ๑ หรือ รื ตัวที่ ๒ เป็นตัวตามได้ ภาษาบาลีพ ลี ยัญชนะตัวตัที่ ๓ สะกด ตัวที่ ๓ หรือ รื ๔ เป็นตัวตามได้ ภาษาบาลีพ ลี ยัญชนะตัวตัที่ ๕ สะกด ทุก ทุ ตัวตั ในวรรคเดียวกันตามได้ พยัญยัชนะบาลี ตัวตั สะกดตัวตามจะอยู่ใ ยู่ นวรรคเดียวกันเท่าท่นั้นจะ พยัญยัชนะ “ฬ” จะมีใมี ช้ใช้นภาษาบาลีในไทยเท่าท่นั้น เช่นช่ ตัวตัตามในภาษาบาลี จะมาเป็นตัวสะกดในภาษาไทยโดยเฉพาะวรรค ฎ และวรรคอื่น ๆ บางตัว จะตัดตัวสะกดออก ข้าข้มไปวรรคอื่นไม่ไม่ด้ จุฬ จุ า ครุฬ อาสาฬห์ วิฬวิาร์ โอฬาร์ พาฬ เป็นต้น เหลือ ลื แต่ตัต่วตัตามเมื่อนำ มาใช้ใช้นภาษาไทย จำ ให้ แม่น
๙๒ ภาษาบาลีไลี ม่มีคำ ควบกล้ำ พยัญยัชนะสันกฤต มี ๓๕ ตัว คือ พยัญชนะบาลี ๓๓ ตัว +๒ ตัว คือ ศ, ษ เช่นช่กษัตริย์ริ ย์ศึกษา เกษียร พฤกษ์ ศีรษะ เป็นต้น ยกเว้นคำ ไทย บางคำ ที่ใที่ช้เช้ขีย ขี นด้วยพยัญยัชนะทั้งทั้๒ ตัวนี้ เช่นช่ ศอก ศึก ศอ เศร้าร้ ศก ดาษ กระดาษ ฝรั่งรั่เศส ฝีดาษ ฯลฯ ภาษาสันสกฤต ตัวตั สะกดตัวตามจะอยู่ข้ ยู่ข้ามวรรคกันได้ สระในภาษาบาลี มี ๘ ตัวตัคือ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ สระสันสกฤต คือ สระภาษาบาลี ๘ ตัว +๖ ตัวตัคือ ฤ ฤา ภ ฦา ไอ เอา ถ้ามีสมี ระเหล่าล่นี้อยู่แยู่ละสะกดไม่ตม่รงตามมาตราจะเป็นภาษาสันสกฤต เช่นช่ตฤณมัย ไอศวรรย์ เสาร์ ไปรษณีย์ ฤาษี คฤหาสน์ เป็นต้น ภาษาสันสกฤตมักจะมีคำ มี คำควบกล้ำ เช่นช่จักร อัคร บุตร สตรี ศาสตร์ อาทิตทิย์ จันทร์ เป็นต้น คำ ที่มีที่มี คำ ว่าว่ “เคราะห์” เป็นภาษาสันสกฤต เช่นช่เคราะห์ พิเคราะห์ สังเคราะห์ อนุเ นุ คราะห์ เป็นต้นต้ คำ ที่มีที่มี“ฑ” มักมัจะเป็นภาษาสันสกฤต เช่นช่จุฑา กรีฑ รี า ครุฑ มณเทีย ที ร จัณจัฑาล เป็นต้นต้ คำ ที่มีที่มี“รร” มักมัจะเป็นภาษาสันสกฤต เช่นช่ สรรค์ ธรรม์ วรรณ บรรพต ภรรยา บรรณารักรัษ์มรรยาท กรรม ทรรศนะ สรรพ เป็นต้นต้ ภาษาเขมร ภาษาเขมรเป็นภาษาคำ โดด คำ ดั้งดั้เดิมส่วนใหญ่เป็นคำ พยางค์เดียว และเป็นคำ โดด ถือเอาการเรีย รี งคำ เข้าประโยคเป็นสำ คัญเช่นช่เดียวกับภาษา ไทย แต่มีต่ลั มี กลัษณะบางอย่างต่าต่งไปจากภาษาไทย ไทยยืมคำ ภาษาเขมรมาใช้ เป็นจำ นวนมาก ภาษาเขมรนอกจากจะใช้กัช้ กันในประเทศกัมพูชาแล้ว ยังใช้ กันกั ในบรรดาคนไทยเชื้อ ชื้สายเขมรทางจังหวัดต่างๆ บางจังหวัดทางภาค ตะวันวัออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกของประเทศไทยด้วย คำ เขมรเข้าสู่ ภาษาไทยโดยทางการเมือ มื ง ทางวัฒนธรรมและทางภูมิศมิาสตร์ เรายืมคำ เขมรมาใช้โช้ดยการทับทั ศัพท์ ทับทั ศัพท์เ ท์สียงเปลี่ยนไป และเปลี่ยนเสียง เปลี่ย ลี่ นความหมาย จำ ให้ แม่น
๙๓ ลักลัษณะภาษาเขมร ภาษาเขมร หรือ รื เรีย รี กอีกอย่างว่า ภาษาขอม เป็นภาษาคำ โดด คำ ส่วน ใหญ่มีญ่เ มี พียง ๑ - ๒ พยางค์ ใช้อัช้ อักษรขอมหวัด เป็นภาษาโบราณที่ใที่ ช้จช้ารึก รึ ลง บนหิน แผ่นผ่ลาน และเป็นภาษาศักสิทธิ์ เนื่องจากภาษาเขมรเข้าสู่ภาษาไทย เพราะมีค มี วามสัมพันธ์ท ธ์ างด้านการปกครอง และถิ่นฐานที่อที่ยู่ แต่เดิมดิน แดนสุว สุ รรณภูมิ ภู นี้มินี้เป็นที่อที่ยู่ขยู่องพวกมอญ ละว้า และเขมร เมื่อไทยอพยพมาสู่ ดินแดนสุว สุ รรณภูมิ ภู แมิห่งนี้ จึง จึ ต้องอยู่ใ ยู่ นความปกครองของขอมหรือ รื เขมร ทํา ให้ต้อต้งรับรัภาษาและวัฒวันธรรมของขอมมาใช้ด้ช้ ด้วย เพราะเห็นว่าขอมหรือ รื เขมรเจริญริกว่าว่จึง จึ รับรัภาษาเขมรมาใช้ใช้นรูปคําราชาศัพท์แ ท์ ละคําที่ใที่ ช้ใช้นการ ประพันธ์ มีพยัญยัชนะ 33 ตัวตัเหมือ มื นภาษาบาลี ภาษาเขมรไม่มีม่ มี วรรณยุก ยุ ต์แต่อิทธิพธิลคำ ยืมบางคำ ให้เขมรมีรูป วรรณยุก ยุ ต์จั ต์ จัตวา (+) ใช้ ภาษาเขมรมีสระจม ๑๘ รูป สระลอย ๑๘ รูป แบ่งเป็นสระเดี่ยวยาว ๑๐ เสียง สระผสม ๒ เสียง ยาว ๑๐ เสียง สระเดี่ยวสั้น ๙ เสียง สระประสม ๒ เสียง สั้น ๓ เสียง ภาษาเขมรมีพยัญชนะควบกล้ำ มากมาย มีพยัญชนะควบกล้ำ ๒ เสียง ถึง ๘๕ หน่วย และพยัญยัชนะควบกล้ำ ๓ เสียง ๓ หน่วย เสียงไม่ก้อง เสียงก้อง [วรรค ก] ก ข ค ฆ ง [วรรค จ] จ ฉ ช ฉ ญ [วรรค ฏ] ฏ ฐ ฑ ฒ ณ [วรรค ต] ต ถ ท ธ น [วรรค ป] ป ผ พ ภ ม เศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อ
๙๔ คำ เขมรส่วนมากมักมั ใช้เช้ป็นคําราชาศัพท์ เช่นช่เสวย เขนย ถวายขนง โปรด ตรัสรัเสด็จ ดําเนิน ทรงผนวช ประชวร บรรทม มักมั สะกดด้วย จ ร ล ญ เช่นช่ สำ รวจ ตรวจ สัญจร ตำ บล มักมัออกเสียงแบบอักษรนำ หรือ รื คำ หลังลัออกเสียงจัตจัวา คำ หน้าออก เสียง อะ กึ่ง กึ่ เสียง เช่นช่ สมัย ขมับ ขนอน มักมัขึ้น ขึ้ ต้นด้วย บังบับันบับรร ประ กำ คำ ชำ ดำ ตำ ทำ สำ เช่นช่บังบัเกิด บันบั ได บำ เพ็ญ ประมุข กำ เนิด ชำ นาญ สำ เร็จ ร็ คำ นับ ดำ เนิน ธําธํมรงค์ ประทับทัเพลา กันกัแสง สรง ฯลฯ ตำ นาน ทำ เนียบ จำ ให้ แม่น รูปภาพจาก https://aduang.co/horoscope/12756