๙๕ ภาษาอังกฤษมีก มี ารเปลี่ยนแปลงรูปคำ หรือ รื เติมท้าท้ยศัพท์ใท์ นลักษณะ ต่าต่งๆ กันกัเพื่อแสดงลักลัษณะไวยากรณ์ เช่นช่การบอกเพศ พจน์ กาล (gowent-gone) หรือ รื ทำ ให้คำ เปลี่ยนความหมายไป คำ ในภาษาอังกฤษมีก มี ารลงน้ำ หนัก ศัพท์คำ ท์ คำเดียวกันถ้าลงน้ำ หนัก ต่าต่งพยางค์กันกัก็ย่อย่มเปลี่ย ลี่ นความหมายและหน้าที่ข ที่ องคำ ภาษาอังกฤษมีตั มี วตัอักษร ๒๖ ตัว สระเดี่ยว (สระแท้)ท้๕ ตัว สระประสม มากมาย การเทีย ที บอักษรไทยกับอังกฤษ ภาษาอังอักฤษ ภาษาอังกฤษได้รับรัความนิยมใช้เช้ป็นภาษาเพื่อการสื่อสารมากที่สุที่ สุ ด มี ประเทศต่าง ๆ ยอมรับรัภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ คนไทยได้ศึกษา ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สที่องมาเป็นเวลานาน จนภาษาอังกฤษเข้ามามี อิทธิพธิลต่อต่ชีวิ ชีวิตของคนไทยมากขึ้น ทั้งทั้ ในด้านการพูดและการเขียนสื่อสาร ในชีวิ ชี ตวิ ประจำ วันวั โดยเฉพาะในปัจจุบันคนไทยศึกษาความรู้แรู้ละวิทยาการ ต่าต่งๆ จากตำ ราภาษาอังกฤษ และสนใจเรีย รี นรู้ภรู้าษาอังกฤษกันมากขึ้น คำ ยืม ยื จากภาษาอังกฤษจึงหลั่งลั่ไหลเข้ามาในภาษาไทยมากขึ้นทุก ทุ ขณะ ทั้งทั้ ใน วงการศึกษา ธุรกิจกิการเมือ มื ง การบันเทิงทิ ลักลัษณะภาษาอังอักฤษ
๙๖ ในการทับทั ศัพท์จ ท์ ากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย อักษรโรมันหลายตัว สามารถถอดด้วย อักษรไทยแบบหนึ่งต่อหนึ่ง เช่นช่ d=ด, r=ร, l=ล, f=ฟ เป็นต้นต้คำ ทับทั ศัพท์ภ ท์ าษาอังกฤษบางคำ ก็ได้รับรัการบรรจุลงในพจนานุก นุ รม ภาษาไทย เพื่อกำ หนดการสะกดคำ ในภาษาให้ตรงตามพจนานุก นุ รมอย่าง ถาวร และถือว่าว่เป็นคำ ยืมในภาษาไทย ภาษาอังกฤษมีพ มี ยัญยัชนะควบกล้ำ มากมาย คำ ที่คน ที่ ไทยออกเสียงควบ ไม่ไม่ด้ มักมัจะแยกพยางค์ หรือ รื ตัดเสียงพยัญชนะใดทิ้งทิ้พยัญชนะควบ ๒ เสียง เช่นช่stamp แสตมป์ ออกเสียง /สะ-แตม/, speed สปีด ออกเสียง /สะปีด/, start สตาร์ต ร์ ออกเสียง /สะ-ต๊าต/ พยัญชนะควบ ๓ เสียง เช่นช่spray สเปรย์ ออกเสียง /สะ-เปฺรปฺ/, screw สกรู ออกเสียง /สะ-กฺรูกฺ รู / มักมัออกเสียงคล้าล้ยกับคำ ในภาษาเดิม เช่นช่Technology อ่านว่า เทคโนโลยี Computer อ่านว่า คอมพิวเตอร์ จำ ให้ แม่น ภาษาจีนจี ไทยและจีน จี เป็นชนชาติที่มี ที่ ค มี วามสัมพันธ์เ ธ์ กี่ยวข้อง กันมาเป็นเวลาอัน ยาวนานมากตั้งตั้แต่ก่ต่อก่นสมัยมั ประวัติศาสตร์ไร์ ทยมาถึงสมัยมั ปัจจุบัน ถ้อยคำ ภาษาจีน จี จึง จึ เข้ามาปะปนอยู่ใยู่นภาษาไทยมากมายจากหลายสาเหตุ ทั้งทั้ความ สัมพันธ์ท ธ์ างด้านถิ่นที่อที่ยู่อ ยู่ าศัยตามสภาพภูมิ ภูมิศาสตร์ ความสัมพันธ์ท ธ์ างด้าน เชื้อ ชื้ ชาติ ความสัมพันธ์ท ธ์ างด้านประวัติศาสตร์ ความสัมพันธ์ท ธ์ างด้าน วัฒวันธรรมและประเพณี ความสัมพันธ์ท ธ์ างด้านการค้า เป็นต้น เรายืมคำ ภาษาจีน จี มาใช้หช้ลายลักลัษณะ เช่นช่ทับทั ศัพท์ทั ท์ บทั ศัพท์เ ท์สียงเปลี่ยนไป ใช้คำช้ คำ ไทยแปลคำ จีน จี ใช้คำช้ คำ ไทยประสมหรือ รื ซ้อซ้นกับคำ จีนเป็นต้น
๙๗ ภาษาจีน จี มีลักษณะคล้ายคลึงกับภาษาไทย คือ เป็นภาษาคำ โดดและมี เสียงวรรณยุก ยุ ต์ใช้เช้ช่นช่เดียวกันกัคำ ทุก ทุ คำ จะมีร มี ะดับเสียงสูง ต่ำ เป็นส่วน ประกอบ ระดับเสียงสูงต่ำ นี้คือเสียงวรรณยุก ยุ ต์ เพราะทำ ให้คำ มีความหมาย แตกต่าต่งกันกัเมื่อ มื่ ระดับเสียงเปลี่ยนความหมายก็จะเปลี่ยนด้วย เช่นช่ mā 妈 คล้าล้ยกับกัเสียง “มา” (แม่)ม่ má ⿇ คล้ายกับกัเสียง “หมา” (ปอ, ป่าน) mă ⻢ คล้ายกับเสียง “หม่า” (ม้า) mà 骂 คล้าล้ยกับกัเสียง “ม่า” (ด่า) คำ ภาษาจีน จี ยังยัมีคำ ที่บที่อกเพศในตัว เช่นช่เดียวกับภาษาไทยอีกด้วย เช่นช่เฮีย(พี่ชาย), ซ้อซ้ (พี่สะใภ้)ภ้, เจ๊(พี่สาว) คำ ส่วนมากมีพยางค์เดียว ไม่มีการ ผันผัรูปคำ ทางไวยากรณ์ มีก มี ารใช้คำช้ คำขยายวางข้างหน้าคำ ที่ถู ที่ ถู กขยาย เช่นช่ โป๊ยเซีย ซี น (โป๊ย หมายถึงจำ นวนแปด เซีย ซี น หมายถึงผู้วิ ผู้วิเศษ) หมายถึง ผู้ วิเวิศษทั้งทั้แปด เป็นคำ เรีย รี กกลุ่ม ลุ่ เซีย ซี นในเทพปกรณัมจีน ซึ่งซึ่ใน ภาษาไทยยัง เรีย รี กชื่อ ชื่ไม้ดม้อกชนิดหนึ่งด้วย นอกจากนี้การสะกดคำ ภาษาจีนในภาษาไทยยังใช้ตัช้ ตัวสะกดตรงตาม มาตราตัวตั สะกดทั้งทั้๘ มาตรา และมีการใช้ทัช้ณทัฑฆาต หรือ รื ตัวการันรัต์ด้วย ลักลัษณะภาษาจีนจี เป็นคำ ที่ไที่ม่มีม่ มี ตัวการันรัต์หรือ รื ไม่ใช้เช้ครื่อ รื่ งหมายทัณทัฑฆาตท้าท้ยคำ ส่วนใหญ่ เป็นคำ หนึ่งพยางค์ หรือ รื คำ สองพยางค์ หลายคำ ใช้เช้ครื่อ รื่ งหมาย วรรณยุก ยุ ต์ ทั้งทั้เอก โท ตรี และจัตวา โดยเฉพาะวรรณยุก ยุ ต์ตรีแ รี ละจัตวามี ใช้มช้าก นอกจากนี้ยังยัมีหลายคำ ที่ใที่ ช้พช้ยัญชนะ ฮ ซึ่งซึ่พบได้ มากกว่า ในภาษาไทยหรือ รื คำ ยืม ยื จากภาษาอื่น จำ ให้ แม่น ๑. ชื่อ ชื่ อาหาร เช่นช่ก๋วยเตี๋ยว เต้าทึง ทึ แป๊ะซะ เฉาก๊วย จับฉ่าย เป็นต้น ๒. สิ่งของเครื่อ รื่ งใช้ เช่นช่ตะหลิว ตึก เก้าอี้ เก๋ง ฮวงซุ้ยซุ้ ๓. การค้าและการจัดระบบทางการค้า เช่นช่เจ๋ง บ๋วย หุ้น ห้าง โสหุ้ย ๔. คำ ที่ใที่ช้วช้รรณยุก ยุ ต์ตรี จัตวา เป็นส่วนมาก เช่นช่ก๋วยจั๊บ จั๊ กุ๊ย กุ๊ เก๊ เก๊ก ตุ๋น ตุ๋ เป็นต้น ข้อข้ สังเกต
๙๘ อิทอิธิพธิลของภาษาถิ่นถิ่ ภาษาถิ่น หมายถึง ภาษาที่ใที่ช้กัช้ กันเฉพาะในกลุ่ม ลุ่ ชนหนึ่ง ซึ่งซึ่แตกต่างจาก ภาษามาตรฐาน เป็นภาษาพื้นเมือ มื ง หรือ รื ภาษาที่ใที่ช้พูช้พู ดกันตามท้อท้งถิ่นต่าง ๆ ในประเทศไทย ได้แก่ ภาษาถิ่นเหนือ ภาษาถิ่นกลาง ภาษาถิ่นอีสาน ภาษา ถิ่นใต้ และอาจรวมถึงภาษาของชนกลุ่ม ลุ่ น้อย ซึ่งซึ่อาศัยอยู่ใ ยู่ น ประเทศไทย เช่นช่ชาวเขา ชาวส่วย ชาวเล ฯลฯ ความสำ คัญและอิทอิธิพธิลของภาษาถิ่นถิ่ ๑. ภาษาถิ่นใช้เช้ป็นเครื่อ รื่ งมือศึกษาประวัติ และวิวัฒนาการของภาษา ทำ ให้ทราบที่มที่าของคำ เนื่องจากภาษาถิ่นมีค มี วามเปลี่ยนแปลงช้าช้ สามารถ รักรัษาเสียง และความหมายเดิมไว้ได้มากกว่า ภาษามาตรฐาน (ภาษาถิ่น กลาง) จึง จึใช้ตช้รวจสอบหาความหมายดั้งดั้เดิมของคำ ได้ เช่นช่แปดเปื้อน ซึ่งซึ่แปด ภาษาเหนือ หมายถึง ป้าย , เปื้อน ซึ่งซึ่มีค มี วามหมายว่า เลอะเทอะ แขนแมน ซึ่งซึ่แมน ภาษาอีสาน หมายถึง มือ, แขน พบปะ ซึ่งซึ่ปะ ภาษาใต้ หมายถึง มาเจอกันกัฯลฯ ๒. ภาษาถิ่นเป็นส่วนหนึ่ง และเป็นที่มที่าของภาษาไทย วรรณคดีไทย การศึกษาภาษาถิ่นทำ ให้เข้าใจภาษา และวรรคดีได้ลึกซึ้งซึ้ยิ่งขึ้น ๓. ภาษาถิ่นในการสืบทอดวัฒวันธรรม ซึ่งซึ่แสดงภูมิปัญญาท้อท้งถิ่นได้ เป็นอย่าย่งดี ได้แก่ การละเล่นล่เพลงพื้นบ้าน ประเพณี และวรรณกรรมท้อท้ง ถิ่น เป็นต้น ๔. ภาษาถิ่นช่วช่ยรักรัษาคำ ดั้งดั้เดิมของภาษา คำ เรีย รี กเครือ รื ญาติ ชื่อ ชื่ อวัยวะ ธรรมชาติ กิริกิยริาทั่วทั่ ไป เช่นช่พ่อ แม่ ลูก ลู ผัวผัเมีย มี หัว หู ดิน น้ำ กิน นอน ฯลฯ ๕. ภาษาถิ่นมีอิ มี อิทธิพธิลต่อการออกเสียงภาษามาตรฐาน เนื่องจากภาษา ในแต่ลต่ะถิ่นมีสำมี สำเนียแตกต่างกันไป จึงทำ ให้ภาษาถิ่นออกเสียงภาษา มาตรฐานไปตามสำ เนียงท้อท้งถิ่น บางครั้งรั้อาจทำ ให้การสื่อสารคลาด เคลื่อ ลื่ นไป ซึ่งซึ่ต้อต้งอาศัยการฝึกฝนจึงจะออกเสียงได้ถูกต้อง
๙๙ ภาษาถิ่นที่อที่ยู่ใ ยู่ นถิ่นเดียวกันจะมีค มี วามแตกต่างกันบ้างเล็กน้อยส่วนภาษา ถิ่นอยู่ที่ยู่ต่ที่ต่างถิ่นกันกัจะมีค มี วามแตกต่างกันมาก โดยเฉพาะเสียงวรรณยุก ยุ ต์ และคำ ศัพท์ ภาษาถิ่นกลางเป็นภาษาที่ไที่ดรับรัอิทธิพธิลจากภาษาต่าง ประเทศมากกว่าว่ภาษาถิ่นอื่น ๆ จำ ให้ แม่น ลักษณะ ภาษาถิ่นเหนือ ภาษาถิ่นอีสาน ภาษาถิ่นใต้ ภาษาถิ่นกลาง กลายเสียง พยัญชนะต้น พี่-ปี้ ช้าช้ง-จ๊าง นั้น-หั้น เรา-เฮา ช้าช้ง-ซ่าซ่ง รักรั-ฮัก เรือรืน-เฮือน งาน-ฮ่าน รั้วรั้-หลั่วลั่ เงินงิ-เฮิน ง่าง่ย-หาย มีลักษณะเดียวกับ ภาษากรุงเทพ สำ เนียงเพี้ยนตาม แต่ละท้อท้งถิ่น กลายเสียงสระ - เสือ-เสีย ถึง-เถิง ทุนทุ-ทึนทึถูก-ถืก ชื่อชื่-เช่อช่อิ่ม-เอม ปลูกลู-โปลก เสียงควบกล้ำ เปรต-เผต โคลง-กะลง มะปราง- หม่าผาง แขวน-แขน กลัว-กัว กวาง-กวง* เคล้า-ขล่าว กราบ-กลาบ*** ลื่น-เมฺลิ่น**** ฝา-คว้า***** ภาษาถิ่นเหนือ เรีย รี กว่าว่อู้คำ เมือง ใช้พูช้พู ดกันในแถบจังหวัดภาคเหนือ อาจจะมีภ มี าษาถิ่นเหนือย่อย่ย ๆ เช่นช่ภาษาไทยเขิน ไทยยอง ไทยลื้อ ภาษาถิ่นอีสอี าน เรีย รี กว่า เว้าอีสาน ใช้พูช้พู ดกันในแถบจังหวัดภาคอีสาน อาจจะมีภ มี าษาถิ่นย่อย่ย เช่นช่ภาษาเขมร ภาษาส่วย (กุย กุ ) ภาษาโซ่หซ่รือ รื กะโส้ ภาษาชาวบน ภาษาผู้ไ ผู้ ทย และภาษาย้อ ภาษาถิ่นใต้ เรีย รี กว่าว่แหลงใต้ ใช้พูช้พู ดกันกั ในแถบจังหวัดภาคใต้ อาจจะ มีภ มี าษาถิ่นย่อย เช่นช่ภาษายาวี ภาษาก็อยหรือ รื ซาไก และภาษาชาวเล ภาษาถิ่นกลาง ใช้พูช้พู ดกันในแถบจังจัหวัดภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันวัตก และภาคเหนือตอนล่าง อาจจะมีภ มี าษาถิ่นของกลุ่ม ลุ่ ย่อย เช่นช่ ภาษาสุพ สุ รรณ ภาษาระยอง ภาษาเพชรบุรี ทำ ให้มีเสียงเพี้ยนหรือ รื เสียง เหน่อในแต่ลต่ะท้อท้งถิ่น ลักลัษณะของภาษาถิ่นถิ่
๑๐๐ ลักษณะ ภาษาถิ่นเหนือ ภาษาถิ่นอีสาน ภาษาถิ่นใต้ ภาษาถิ่นกลาง กลายเสียง พยัญชนะสะกด เกือก-เกิบ หีบ-หีด เสียด-เสียบ กุดกุ-กุ้นกุ้ลืม-มื้น กระบอก-กะโบง แฝด-แฝบ คับ-คัด เอือม-เอือน มีลักษณะเดียวกับ ภาษากรุงเทพ สำ เนียงเพี้ยนตาม แต่ละท้อท้งถิ่น วรรณยุกยุต์ ตรีเรีพี้ยน - ตรี ตรีเรีพี้ยน จัตวา อื่น ๆ - สับเสียงพยัญชนะ ตะกร้าร้-กะต้า ตัดพยางค์หน้า จมูก-มู้ก สำ รับรั-มฺรับรั** ใช้ หมาก แทน มะ มะม่วง-หมากม่วง กลมกลืนเสียง มะระ-มฺล๋ะ มะลิ-เมฺล๋ะ * ควบกล้ำ ว สระ อา จะออกเสียงเฉพาะพยัญชนะตัวแรก และกลาย เสียงสระ อา เป็น อัว เช่นช่ขวา-ขัว ** การตัดตัคำ ที่มีที่มี ม นำ หรือ รื ห นำ ทำ ให้เกิดเสียงควบกล้ำ เช่นช่ ชำ แหละ-แหมฺละ *** ภาษาใต้นิต้ นิยมควบกล้ำ แต่จะเปลี่ยน ร เป็น ล **** ภาษาใต้นิต้ นิยมควบกล้ำ แม้คำ นั้นจะไม่ใม่ช่คำช่ คำควบกล้ำ ก็ตาม เช่นช่ ลืม ลื ตา-เมฺลินลิตา ***** ภาษาใต้นิยมควบกล้ำ มีก มี ารกลายเสียงควบกล้ำ บางคำ เช่นช่ ขวาน-ฟ้าน ฟ้า-ขว่า ฟัน-ควั่นวั่ ลองคิด ตาม
๑๐๑ แบบทดสอบ เรื่อ รื่ ง คุ้ยเขี่ยอิทธิพธิลภาษา ให้นักเรีย รี นเขียนเครื่อ รื่ งหมาย x ทับทัตัวอักษรหน้าคำ ตอบที่ถู ที่ ถู กต้อง ๑. เหตุใตุดจึงจึมีกมีารยืมยืคำ ภาษาต่าต่งประเทศมาใช้ใช้นภาษาไทย ก. เพราะในปัจจุบัจุนบัมีคมีนนิยมใช้กัช้นกัมาก ข. เพราะต้อต้งการให้ประเทศไทยทันทั สมัยมัมากขึ้นขึ้ ค. เพราะมีกมีารติดติต่อต่ระหว่าว่งประเทศทั้งทั้ด้าด้นการทูตทูการค้าขาย ง. เพราะภาษาต่าต่งประเทศมีมมีากจึงจึต้อต้งนำ มาใช้ใช้นประเทศไทยบ้าบ้ง ๒. ข้อข้ ใดเป็นคำ ที่มที่าจากภาษาต่าต่งประเทศทุกทุคำ ก. เกาเหลา ข้าข้วเปล่าล่ข. บันบั ได แก้วก้น้ำ ค. ทุเทุรียรีน จานข้าข้ว ง. กัลกั ปังหา กีตกีาร์ ๓. ข้อข้ ใดกล่าล่วถึงถึข้อข้ สังเกตลักลัษณะของคำ ที่มที่าจากภาษาเขมรได้ถูด้กถูต้อต้ง ก. เป็นคำ ที่สที่ะกดตรงตามมาตรา ข. มักมั ใช้พช้ยัญยัชนะ ศ ษ ค. มีวมีรรณยุกยุต์หต์ลากหลาย ง. มักมัจะเป็นคำ ควบกล้ำ ๔. ข้อข้ ใดเป็นคำ ที่มที่าจากภาษาเขมร ก. ปวง ข. ชน ค. สฤษฏ์ ง. ถวาย ๕. ข้อข้ ใดเป็นคำ ที่มที่าจากภาษาอังอักฤษทุกทุคำ ก. คอนเสิร์ตร์แท็ก ท็ ซี่ นอต ข. เกียกีร์ ดีเดีซล จับจักังกั ค. ทีวีทีวีบัดบักรี ชอล์กล์ง. จาระบี เรดาห์ สักหลาด ๖. ข้อข้ ใดเป็นคำ ที่มที่าจากภาษาจีนจีทุกทุคำ ก. โบตั๋นตั๋กุยกุช่าช่ย เท็ม ท็ ปุรปุะ ข. คะน้า ท้อท้ สึนามิ ค. ก๋วก๋ยเตี๋ยตี๋ว โจ๊ก จ๊ โอเลี้ยลี้ง ง. จับจัเลี้ยลี้ง ซาโยนาระ โหวงเฮ้ง ๗. ประโยคในข้อข้ ใด ไม่มีม่ มีคำ บาลีสัลี สันสกฤตอยู่เยู่ลย ก. ถ้ำ หลวงเขานางนอนมีฤมีๅษีอยู่ข้ยู่าข้งใน ข. ศาสตราจารย์ค้ย์ ค้นพบสิ่งมีชีมีวิชีตวิ ใหม่ ค. โรงเรียรีนขายก๋วก๋ยเตี๋ยตี๋วถูกถูมาก ง. เป็นนักเรียรีนควรมีวิมีทวิยา จรรยา ปัญญา
๑๐๒ ๘. ฉิมพลี วิธีวิกธีารสะกดคำ ตามหลักลัภาษาบาลี อยู่ใยู่นวรรคใด และสะกด อย่าย่งไร ก. วรรคกะ สะกดด้วด้ยแถวที่ ๑ ตามด้วด้ยแถวที่ ๒ ข. วรรคจะ สะกดด้วด้ยแถวที่ ๓ ตามด้วด้ยแถวที่ ๔ ค. วรรคฏะ สะกดด้วด้ยแถวที่ ๕ ตามด้วด้ยแถวที่ ๒ ง. วรรคปะ สะกดด้วด้ยแถวที่ ๕ ตามด้วด้ยแถวที่ ๓ ๙. คำ ในข้อข้ ใดยืมยืมาจากภาษาสันสกฤตทุกทุคำ ก. กรีฑรีา อัชอัฌาสัย สมุทร ข. กีฬกีา บรรทัดทัพรรณนา ค. ศิษย์ พฤกษา เคราะห์ ง. พาณิชย์ มัธมัยมศึกษา ปราชญ์ ๑๐. ข้อข้ ใดเป็นลักลัษณะของคำ ภาษาจีนจีที่ใที่ช้ใช้นภาษาไทย ก. ส่วนใหญ่เญ่ ป็นเสียงสามัญมั ข. ไม่มีม่ตัมีวตั สะกดแต่นิต่ นิยมผสมด้วด้ยสระเสียงยาว ค. พยัญยัชนะต้นต้เป็นอักอัษรกลางมากกว่าว่อักอัษรอื่นอื่ ง. ส่วนใหญ่เญ่ ป็นคำ พยางค์เดียดีว ไทยนำ มาสร้าร้งคำ ใหม่ เป็นคำ ประสม
บทที่ ๖ คุ้ยเขี่ยร่า ร่ งการสร้า ร้ งคำ
คำ ซ้อซ้น คำ มูล มู คำ ประสม คำ ซ้ำ คำ สมาส การสร้า ร้ งคำ ในภาษาไทย คำ สนธิ
๑๐๕ คำ ที่ใที่ช้ใช้นภาษาไทยดั้งดั้เดิม ส่วนมากจะเป็นคำ พยางค์เดียว เมื่อโลก วิวัวิฒวันาการ มีสิ่มีสิ่งแปลกใหม่เม่พิ่มขึ้น ภาษาไทยก็จะต้องพัฒนาทั้งทั้รูปคำ และ การเพิ่มจำ นวนคำ เพื่อให้มีคำ ใช้ใช้นการสื่อสารให้เพียงพอ กับการ เปลี่ย ลี่ นแปลงของวัตวัถุสิ่งของและเหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วยการสร้าร้งคำ ยืมคำ และเปลี่ย ลี่ นแปลงรูปคำ ซึ่งซึ่จะมีรายละเอียดดังนี้ แบบสร้าร้งคำ แบบสร้าร้งคำ คือ วิธีก ธี ารนำ อักษรมาประสมเป็นคำ เกิดความหมาย และเสียงของแต่ลต่ะพยางค์ ใน ๑ คำ จะต้องมีส่มี ส่วนประกอบ ๓ ส่วน เป็น อย่าย่งน้อย คือ สระ พยัญชนะและวรรณยุก ยุ ต์ อย่างมากไม่เม่กิน ๕ ส่วน คือ สระ พยัญยัชนะ วรรณยุก ยุ ต์ ตัวสะกด ตัวการันรัต์ รูปแบบของคำ คำ ไทยที่ใที่ ช้อช้ยู่ปั ยู่ปัจจุบั จุ นบัมีทั้งทั้คำ ที่เ ที่ป็นคำ ไทยดั้งดั้เดิม คำ ที่ม ที่ าจากภาษา ต่าต่งประเทศ คำ ศัพท์เ ท์ ฉพาะทางวิชาการคำ ที่ใที่ช้เช้ฉพาะในภาษาพูด คำ ชนิด ต่าต่ง ๆ เหล่าล่นี้มีชื่อ ชื่ เรีย รี กตามลักษณะและแบบสร้าร้งของคำ เช่นช่คำ มูล คำ ประสม คำ ซ้ำ คำ ซ้อซ้น คำ พ้องรูป คำ พ้องเสียง คำ เหล่านี้มีลักษณะพิเศษ เฉพาะ ผู้เ ผู้ รีย รี นจะเข้าใจลักษณะแตกต่างของคำ เหล่านี้ได้จากแบบสร้าร้งของ คำ คำ มูล มู คำ มูล คือ คำ ๆ เดียวที่มิที่ไมิด้ประสมกับคำ อื่น อาจมี ๑ พยางค์ หรือ รื หลายพยางค์ก็ได้แต่เต่มื่อ มื่ แยกพยางค์แล้วแต่ละพยางค์ไม่มีม่ มี ความหมาย คำ ภาษาไทยที่ใที่ ช้มช้าแต่เดิมส่วนใหญ่ เป็นคำ มูลที่มี ที่ มี พยางค์เดียวโดด ๆ เช่นช่พ่อ แม่ กินกิเดิน ประเภทของคำ มูล ๑. คำ มูลพยางค์เดียว เช่นช่เพลง,ชาม,พ่อ,ยืน,หิว,ยิ้ม,สุข สุ ,ใน (คำ ไทย แท้)ท้ ฟรี,ไรี มค์,ธรรม (คำ ที่ม ที่ าจากภาษาอื่น)
๑๐๖ ๒. คำ มูลหลายพยางค์ เป็นคำ หลายพยางค์ เมื่อ มื่ แยกแต่ละพยางค์ แล้วล้อาจมีค มี วามหมายหรือ รื ไม่มีค มี วามหมายก็ได้ แต่ความหมายของแต่ละ พยางค์ไม่เม่กี่ย กี่ วข้องกับกัความหมายของคำ มูลนั้นเลย เช่นช่กระดาษ ศิลปะ กำ มะลอ หรือ รื กล่าล่วได้ว่าว่คำ มูล คือคำ ที่มี ที่ ลั มี ลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้ ๒.๑ ประกอบด้วยพยางค์ที่ไที่ ม่มีค มี วามหมาย เช่นช่จิ้งหรีด รี จะเห็นว่า พยางค์ "จิ้งจิ้" และ "หรีด รี " ต่าต่งก็ไม่มีม่ มี ความหมาย ๒.๒ ประกอบด้วยพยางค์ที่มี ที่ ค มี วามหมายเพียงบางพยางค์ เช่นช่กิริยริา จะเห็นว่าว่พยางค์ "ยา" มีค มี วามหมายเพียงพยางค์เดียว ๒.๓ ประกอบด้วยพยางค์ที่มี ที่ มี ความหมาย แต่ความหมายของคำ นั้น ไม่มีม่เ มี ค้าความหมายของแต่ละพยางค์เหลืออยู่เ ยู่ ลย คำ มูลหลายพยางค์ ควรดูว่าในคำ หลายพยางค์นั้นมีความหมายทุก ทุ พยางค์หรือ รื ไม่ ถ้ามีความหมายบ้างไม่มีความหมายบ้าง เป็นคำ มูลหลายพยางค์ จำ ให้ แม่น คำ ประสม คำ ที่สที่ร้าร้งขึ้นใหม่โม่ดยนำ คำ มูลตั้งตั้แต่ ๒ คำ ขึ้นไปมาประสมกัน เกิด เป็นคำ ใหม่ขึ้ม่ขึ้น ขึ้ อีกคำ หนึ่ง ซึ่งซึ่มีคุณสมบัติบางประการ ดังนี้ ๑. เกิดกิความหมายใหม่ ๒. ความหมายคงเดิม ๓. ความหมายให้กระชับชัขึ้น หลักลัคำ ประสม คำ ที่จที่ะนำ มาประสมกันนั้น จะเป็นคำ ในภาษาใดก็ได้ แต่ส่วนมากจะ เป็นคำ ไทยกับกัคำ ไทย ตัวตัอย่างเช่นช่คำ ไทย+คำ ไทย เช่นช่ลูก ลู บ้าน แม่สื่อ พ่อตา น้องชาย ดาวตก
๑๐๗ โครงสร้าร้งของคำ ที่มที่าประสม ๑. คำ นามเป็นคำ หลักและวางอยู่ห ยู่ น้าคำ ที่นำ ที่ นำมาประสม ๒. คำ กริยริาเป็นคำ หลักลัและวางอยู่ห ยู่ น้าคำ ที่นำ ที่ นำมาประสม ๓. คำ วิเวิศษณ์เป็นคำ หลักลัและวางอยู่ห ยู่ น้าคำ ที่นำ ที่ นำมาประสม คำ นามเป็นคำ หลักลัวางอยู่ห ยู่ น้าคำ ประสมที่เที่ป็นคำ นาม โดยคำ ที่นำ ที่ นำ มาประสมนั้นอาจเป็นคำ นาม คำ กริยริา หรือ รื คำ วิเศษณ์ ก็ได้ ดังต่อไปนี้ - นาม+นาม เช่นช่เงินงิเดือน ปากกา ดินปืน รถไฟ หัวใจ - นาม+กริยริา เช่นช่น้ำ ตก ลูก ลู เลี้ยง โรงเรีย รี น บ้านเช่าช่ ไฟฉาย - นาม+วิเวิศษณ์ เช่นช่ครูใหญ่ แกงเผ็ด ผ็ ตู้เย็น ดาวเทีย ที ม น้ำ แข็ง - นาม+บุพ บุ บท เช่นช่เครื่อ รื่ งใน หมอนข้าง ของกลาง บ้านนอก ความหลัง - นาม+กริยริา+นาม เช่นช่ห้องพักครู เครื่อ รื่ งดูดฝุ่น ช่าช่งตัดเสื้อ คนขับรถ มีลัมีกลัษณะที่สำที่สำคัญ ๑. เกิดเป็นคำ ใหม่ที่ม่มีที่ค มี วามหมายคล้ายคำ มูลเดิม ตัวอย่างเช่นช่ แม่+ม่บ้าบ้น แม่บ้ม่าบ้น ความหมาย หญิงผู้จั ผู้จัดการงานในบ้าน ๒. เกิดกิเป็นคำ ใหม่ที่ม่มีที่มี ความมหายแตกต่างจากคำ มูลเดิม ตัวอย่างเช่นช่ ลูก ลู +น้อง ลูก ลู น้อง ความหมาย ผู้ใ ผู้ ต้บังคับบัญชา ผู้อ ผู้ ยู่ใ ยู่ นปกครอง ๓. เป็นการนำ คำ ที่เ ที่ป็นการย่อข้อความยาว ๆ มาประสม แต่เดิมที่มี ที่ มี ความหมายหนึ่งให้เป็นคำ ที่ใที่ช้เช้ฉพาะมาประสมกับคำ อื่น ตัวอย่างเช่นช่ ผู้ชำ ผู้ ชำนาญการฝีมืออย่าย่งใดอย่างหนึ่ง เช่นช่ช่าช่งทอง ช่าช่งไม้ ช่าช่งยนต์ ช่าช่งไฟฟ้า ช่าช่งสิบหมู่ กลุ่มลุ่ที่มีที่อ มี าชีพ ชี เดียวกัน เช่นช่ชาวนา ชาวสวน ชาวไร่ ชาวไทย ชาว ประมง กลุ่มลุ่คนที่มี ที่ อ มี าชีพ ชี อย่าย่งใดอย่างหนึ่ง เช่นช่นักเรีย รี น นักร้อร้ง นักพูด นักบินบินักสืบ แหล่งล่ถิ่น หรือ รื สถานที่ เช่นช่ที่พั ที่ พัก ที่น ที่ อน ที่ห ที่ มาย ที่ท ที่ าง ที่ปที่ ระทับทั คนที่ทำที่ทำหน้าที่อที่ย่าย่งใดอย่าย่งหนึ่ง เช่นช่ผู้นำ ผู้นำผู้ดี ผู้ ดี ผู้ต้ ผู้ต้องหา ผู้อำ ผู้อำนวยการ ผู้รู้ ผู้ รู้ หรู้รือ รื ผู้ชำ ผู้ ชำนาญการอย่าย่งใดอย่างหนึ่ง เช่นช่หมอนวด หมอฟัน หมอ ขวัญวัหมอดู หมอลำ
๑๐๘ ๔. เกิดกิจากการนำ เอาคำ ว่าการ หรือ รื ความ มาประสมนำ หน้าคำ นาม คำ กริยริา หรือ รื คำ วิเวิศษณ์ ตัวอย่างเช่นช่การเรีย รี น การเล่น การคลัง การบ้าบ้น การเมือง การเขีย ขี น ความชั่วชั่ความบริสุริท สุ ธิ์ ความสะอาด คำ ซ้อซ้น เป็นการประสมกันของคำ ที่มีที่มี ความหมายคล้ายกัน หรือ รื ตรงกันข้าม มาประสมกันกัเมื่อ มื่ ประสมกันกัแล้วจะช่วช่ยขยายความของกันและกัน และ อาจจะมีเ มีสียงที่ก ที่ ลมกลืน ลื หรือ รื คล้องจองกัน แบ่งออกเป็น ๒ ชนิดคือ ๑. คำ ซ้อซ้นที่เที่น้นเรื่อ รื่ งการขยายความหมายของกันและกัน หรือ รื เรีย รี กว่า คำ ซ้อซ้นเพื่อความหมาย แบ่งได้ ๒ ชนิด คือ ๑)คำ ซ้อซ้นที่คที่วามหมายเหมือนกัน หรือ รื ใกล้เคียงกัน เช่นช่กีดขวาง ปิดบังบัขัดขัแย้งย้คัดเลือ ลื ก ใช้จ่ช้าจ่ย ดูแล ทุบ ทุ ตี ทิ้งทิ้ขว้าง ปิดบัง ดูดดื่ม ใหญ่โต อุ้มชู แกว่งว่ ไกว เหี่ยวแห้ง นุ่ม นุ่ นวล เสื่อสาด โกรธแค้น เล็กน้อย วัดวา อาราม ภูต ภู ผีปีผี ปีศาจ ก่อก่ร่าร่งสร้าร้งตัว เป็นต้น ๒)คำ ซ้อซ้นที่คที่วามหมายตรงกันกัข้าม เช่นช่ชั่วชั่ดี ถี่ห่าง ดีร้าร้ย อ้วนผอม ยากง่าง่ย ผิดผิถูก มากน้อย หน้าหลัง เท็จ ท็ จริงริตื้นลึกหน้าบาง สูงต่ำ ดำ ขาว บาปบุญบุ คุณโทษ เป็นต้น ๒. คำ ซ้อซ้นที่มี ที่ เ มีสียงสัมผัสผัคล้อล้งจอง หรือ รื เรีย รี กว่า คำ ซ้อซ้นเพื่อเสียง คือ คำ ซ้อซ้นที่มีที่พ มี ยัญยัชนะต้นต้ตัวตัเดียวกัน หรือ รื มีสระเสียงเดียวกัน จะมีความ หมายเพียงคำ เดียวเท่าท่นั้น เช่นช่งอแง จู้จี้ ซอกแซก ปุ่ป่ะ โผงผาง รุ่มรุ่ร่าร่ม อวบอิ่ม โลเล โวยวาย เอะอะ อุ้ยอ้าย เปรี้ยรี้งปร้าร้ง คลอนแคลน มากมาย ก่าก่ยกอง สวิงวิสวาย อินังขังขัขอบ เตลิดเปิดเปิง เป็นต้น คำ ซ้อซ้นมีลั มี กลัษณะคล้าล้ยคำ ประสม คือ คำ ซ้อซ้นมาจากคำ ในภาษาใดก็ได้ เป็นคำ ชนิดใดก็ได้ ไม่ว่าว่จะเป็น คำ นาม สรรพนาม กริยริา วิเศษณ์ ๒ คำ ขึ้น ขึ้ ไปมาประสมกันกั โดยจะแตกต่างจากคำ ประสมตรงที่ คำ ซ้อซ้นจะมา จากคำ มูลที่มีที่ค มี วามหมายคล้ายกันหรือ รื เกี่ยวข้องในเรื่อ รื่ งเดียวกัน โดยเป็นไปในทางเดียวกัน หรือ รื ทางตรงกันข้ามก็ได้ จำ ให้ แม่น
๑๐๙ เปรียรีบเทียทีบความแตกต่าต่งกันกัของคำ ซ้อซ้นและคำ ประสม คำ ซ้อน คำ ประสม รากฐาน ภูมิฐาน เรือรืแพ เรือรืรบ บ้านเรือรืน บ้านนอก ลูกลูหลาน ลูกลูค้า รูปร่าร่ง รูปถ่าย ปูปลา ปูเค็ม ความหมายของคำ ซ้อซ้นจะอยู่ใยู่นคำ มูลคำ ใดคำ หนึ่งเพียงคำ เดียว ส่วนคำ ประสมความหมายจะเป็นความหมายใหม่ต่ม่ ต่างจากคำ มูลเดิม จำ ให้ แม่น คำ ซ้อน คำ ประสม กีดกัน (ความหมายอยู่ที่ยู่ที่คำที่ คำว่า กัน) กันสาด (ความหมายใหม่) เขตแดน (ความหมายอยู่ที่ยู่ที่คำที่ คำว่า เขต หรือรืแดน) ดินแดน (ความหมายใหม่) เนื้อตัว (ความหมายอยู่ที่ยู่ที่คำที่ คำว่า ตัว) เล่นตัว (ความหมายใหม่) ปากคอ (ความหมายอยู่ที่ยู่ที่คำที่ คำว่า ปาก) ปากกา (ความหมายใหม่)
๑๑๐ คำ ซ้ำ คำ ซ้ำ มีรู มี รู ปแบบคล้าล้ยกับกัคำ ซ้อซ้น คือ เป็นคำ ที่เ ที่ กิดจากคำ มูลตั้งตั้แต่ 2 คำ ขึ้น ขึ้ ไปมาประสมกันกัแต่คำต่ คำมูลที่นำที่นำมาประสมกันนั้นต้องเป็นคำ เดียวกัน จึง จึ จะเกิดกิเป็นคำ ซ้ำ โดยคำ ที่เ ที่ กิดขึ้นใหม่ จะมีความหมายคล้ายเดิม แต่ เน้นน้ำ หนักของความหมายให้หนักขึ้นหรือ รื เบาลง หรือ รื อาจเปลี่ยนความ หมายเป็นอย่าย่งอื่นก็ได้ ลักลัษณะของคำ ซ้ำ ๑. เป็นคำ ประเภทใดก็ไก็ ด้ เช่นช่คำ นาม สรรพนาม กริยริา วิเศษณ์ ๒. นำ คำ หนึ่งคำ มาซ้ำ กันกั สองครั้งรั้เช่นช่“ร้อร้นๆ” “หนาวๆ” “เด็กๆ” “เล่นล่ๆ” ๓. นำ คำ ซ้อซ้นมาแยกเป็นคำ ซ้ำ สองคำ เช่นช่“ลูบ ลู คลำ ” เป็น “ลูบ ลู ๆ คลำ ๆ” “ดีชั่วชั่” เป็น “ดีๆ ชั่วชั่ๆ” “เงินงิทอง” เป็น “เงินงิๆ ทองๆ” ๔. นำ คำ ซ้ำ มาประสมกัน เช่นช่“งูๆงู ปลาๆ” “ไปๆ มาๆ” “ลมๆ แล้งๆ” ความหมายของคำ ซ้ำ อาจเปลี่ยนไปจากคำ เดิมได้ เช่นช่ บอกความเป็นพหูพจน์ คำ เดิมอาจจะเป็นคำ เอกพจน์หรือ รื พหูพน์ อย่าย่งใดอย่าย่งหนึ่ง แต่คำ ที่ซ้ำที่ซ้ำที่เ ที่ กิดขึ้นใหม่จะเป็นพหูพจน์ได้อย่างเดียว เช่นช่ “ไปเที่ย ที่ วกับเพื่อน” (เอกพจน์หรือ รื พหูพจน์ ได้ทั้งทั้๒ กรณี) “ไปเที่ยที่วกับเพื่อนๆ” (เป็นพหูพจน์ เพราะเพื่อนหลายคน) “เด็กอยู่ใ ยู่ นห้อง” (เอกพจน์หรือ รื พหูพจน์ ได้ทั้งทั้๒ กรณี) “เด็กๆ อยู่ใยู่นห้อง” (เป็นพหูพจน์ เพราะเด็กหลายคน) บอกความเน้นหนักของคำ คำ วิเศษณ์บางคำ เมื่อเป็นคำ ซ้ำ จะมี ความหมายเน้นหนักมากกว่าว่เดิมโดยมากเป็นภาษาพูด โดยออกเสียงคำ แรกเป็นเสียงตรี เช่นช่ “สวยๆ” ออกเสียงเป็น “ซ้วซ้ยสวย” “ดีๆ” ออกเสียงเป็น “ดี๊ดี” “มากๆ” ออกเสียงเป็น “ม้ากมาก” “ดำ ๆ” ออกเสียงเป็น “ด๊ำ ดำ ”
๑๑๑ บอกความไม่เน้นหนัก คำ วิเศษณ์บางคำ เมื่อ มื่ เป็นคำ ซ้ำ ความหมาย อาจคลายความหนักแน่นไปกว่าคำ เดิม แตกต่างจากคำ ที่ใที่ ห้ความหมาย เน้นหนัก เพราะไม่เน้นเสียงคำ แรกเป็นเสียงตรี ส่วนมากคำ เหล่านี้ใช้ใช้น ภาษาพูด มากกว่าว่ภาษาเขียน แดง : “ฉันชอบสีแดง” (แดงเลย) กับ “ฉันชอบสีแดงๆ” (ขอให้ออกแดง หน่อย) ใกล้ : “ธนาคารอยู่ใ ยู่ กล้” (ใกล้จริงริ) กับ “ธนาคารอยู่ใ ยู่ กล้ๆ” (อยู่ไ ยู่ ม่ไกล) เย็น ย็ : “วันวันี้อากาศเย็น” (เย็นจริงริ) กับ “วันนี้อากาศเย็นๆ” (ค่อนข้าง เย็น ย็ ) บอกคำ สั่ง คำ วิเศษณ์ที่เที่ป็นคำ ซ้ำ บางครั้งรั้มีความหมายเป็นคำ สั่ง ใช้ใช้นภาษาพูด ถ้าผู้พู ผู้ พู ดออกเสียงหนักๆ ก็จะเป็นคำ สั่งที่ชั ที่ ดชัเจนยิ่งขึ้น “เงีย งี บๆ” (สั่งให้งดใช้เช้สียง) “เบาๆ” (สั่งให้ระวัง) “ดังๆ” (สั่งให้พูดดังขึ้น ขึ้ ) “นิ่งๆ” (สั่งไม่ใม่ห้ขยับยั ) เปลี่ย ลี่ นความหมายใหม่ คำ ซ้ำ บางคำ จะเปลี่ยนเป็นความหมายใหม่ ไปเลย โดยไม่มีเค้าของคำ คำ เดิม เช่นช่ “กล้วยๆ” (ง่าง่ยมาก) “หมูๆ” (ง่าง่ยมาก) “ลวกๆ” (ขอไปที)ที “งูๆงู ปลาๆ” (รู้แรู้ค่ผิวผิเผินผิ ) คำ สมาส คำ ที่เที่กิดกิจากการนำ คำ ในภาษาบาลีและสันสกฤตมารวมเข้าด้วยกัน เพื่อทำ ให้เกิดกิคำ ใหม่ ที่มี ที่ ค มี วามหมายใหม่ โดยยังมีเ มี ค้าของความหมายเดิม อยู่
๑๑๒ ลักลัษณะของคำ สมาส ๑. เกิดกิจากคำ มูลตั้งตั้แต่สต่องคำ ขึ้นไป ๒. เป็นคำ ที่มีที่ร มี ากศัพท์ม ท์ าจากภาษาบาลีและสันสกฤตเท่าท่นั้น เช่นช่กาฬ พักตร์ ภูมิ ภู ศมิาสตร์ ราชธรรม บุต บุ รทาน อักษรศาสตร์ อรรถคดี ฯลฯ ๓. พยางค์สุด สุ ท้าท้ยของคำ หน้า หากมีสมี ระ อะ หรือ รื มีตั มี ตัวการันรัต์อยู่ ให้ยุบ ยุ ตัวตันั้นออก (ยกเว้นว้คำ บางคำ เช่นช่กิจจะลักษณะ เป็นต้น) ๔. แปลความจากหลังมาหน้า เช่นช่ราชบุตร แปลว่า บุตรของพระราชา, เทวบัญบัชา แปลว่าว่คำ สั่งของเทวดา,ราชการ แปลว่า งานของพระเจ้าแผ่นผ่ ดิน ๕. ส่วนมากออกเสียงพยางค์ท้าท้ยของคำ หน้า แม้จะไม่มีม่ มี รูปสระกำ กับ อยู่ โดยจะใช้เช้สียง อะ อิ และ อุ (เช่นช่เทพบุตร) แต่บางคำ ก็ไม่ออกเสียง (เช่นช่ สมัยมันิยม สมุทรปราการ) ๖. คำ บาลีสัลี สันสกฤตที่มี ที่ คำ มี คำว่าว่พระ ซึ่งซึ่กลายเสียงมาจากบาลีสันสกฤต ก็ถื ก็ ถื อว่าว่เป็นคำ สมาส (เช่นช่พระกร พระจันทร์)ร์ ๗. ส่วนใหญ่จญ่ะลงท้าท้ยว่า ศาสตร์ กรรม ภาพ ภัย ศึกษา ศิลป์ วิทยา (เช่นช่ ศึกษาศาสตร์ ทุก ทุ ขภาพ จิตวิทยา) ๘. อ่านออกเสียงระหว่างคำ เช่นช่ ประวัติวั ติศาสตร์ อ่านว่า ประ –หวัด –ติ –ศาสตร์ นิจศีล อ่านว่า นิจ –จะ –สีน ไทยธรรม อ่านว่าว่ ไทย –ยะ –ทำ อุทกศาสตร์ อ่านว่า อุ –ทก –กะ –สาด อรรถรส อ่านว่าว่อัด –ถะ –รด จุลสาร อ่านว่า จุน –ละ –สาน ๙. คำ ที่มีที่คำ มี คำเหล่าล่นี้อยู่ด้ยู่ ด้วย มักจะเป็นคำ สมาส คือ การ กร กรรม คดี ธรรม บดี ภัยภัภัณภัฑ์ ภาพ ลักลัษณ์ วิทยา ศาสตร์
๑๑๓ หลักลั สังเกตคำ สมาส ๑. ไม่ใม่ช่คำช่ คำที่มที่าจากภาษาบาลีสัลี สันสกฤตทั้งทั้หมด เช่นช่เทพเจ้า (เจ้าจ้เป็นคำ ไทย) ๒. คำ ที่ไที่ม่สามารถแปลความจากหลังมาหน้าได้ไม่ใม่ช่คำช่ คำ สมาส เช่นช่ ประวัติวัวติรรณคดี แปลว่า ประวัติของวรรณคดี ๓. คำ สมาสบางคำ ไม่อม่อกเสียงสระตรงพยางค์ของคำ หน้า เช่นช่ ปรากฏการณ์ อ่านว่า ปรา – กด – กาน จำ ให้ แม่น หลักลัารสร้าร้งคำ สมาส ๑. คำ ตั้งตั้แต่สต่องคำ ขึ้นไปที่มี ที่ มี รากศัพท์ม ท์ าจากบาลีและสันสกฤตเท่าท่นั้น เช่นช่ - วิทวิย์ (สันสกฤต) + ศาสตร์ (สันสกฤต) = วิทยาศาสตร์ ถ้าคำ ที่นำ ที่ นำมาสร้าร้งนั้นคำ ใดคำ หนึ่งไม่ใม่ช่บช่าลีหรือ รืสันสกฤตจะไม่ นับว่าว่เป็นคำ สมาส เช่นช่ - สรรพ (สันสกฤต) + สิ่ง (ไทย) = สรรพสิ่ง (ประสม) - ราช (บาลี) + วังวั (ไทย) = ราชวัง (ประสม) ๒. ถ้าพยางค์สุดท้าท้ยของคำ หน้ามีรูปสระ ะ หรือ รื ตัวการันรัต์ ต้องตัดสระ หรือ รื ไม้ทัม้ณทัฑฆาต ( ) ออก เช่นช่ - ศิลปะ + ศึกษา = ศิลปศึกษา ๓. การเรีย รี งคำ เข้าสมาส คำ ที่เที่ป็นคำ หลักจะวางไว้หลัง คำ ขยายจะวาง ไว้หว้น้า เมื่อ มื่ แปลความหมายจะต้อง แปลจากหลังมาหน้า เช่นช่ - ภูมิ ภู ศมิาสตร์ หมายถึง วิชวิาที่ว่ ที่ว่าด้วยโลก - ราชโอรสหมายถึง ลูก ลู ชายพระราชา ๔. การออกเสียงคำ สมาส ต้อต้งออกเสียงสระที่พ ที่ ยางค์สุดท้าท้ยของคำ หน้า ถ้าพยางค์สุด สุ ท้าท้ยของคำ หน้าไม่มี รูปสระกำ กับ ให้อ่านออกเสียง อะ เช่นช่ - รัฐรั+ ศาสตร์ = รัฐรั ศาสตร์ อ่าน รัดรั– ถะ – สาด - ภูมิ ภูมิ+ ทัศทัน์ = ภูมิทัมิ ศทัน์ อ่าน พูม – มิ – ทัดทั
๑๑๔ ๕. คำ บาลี–ลี สันสกฤต ซึ่งซึ่มีคำ ว่า “พระ” ซึ่งซึ่แผลงมาจาก “วร” ที่เ ที่ป็น ภาษาบาลีประกอบข้าข้งหน้าจัดจัว่า เป็นคำ สมาสเช่นช่เดียวกัน - พระ + กรรณ = พระกรรณ ในทางตรงกันข้าข้ม คำ ว่า “พระ” อยู่ข้ ยู่ข้างหน้าคำ ภาษาอื่นที่ไที่ม่ใช่ ภาษาบาลี –สันสกฤต คำ นั้นไม่ใม่ช่คำช่ คำ สมาส เช่นช่ - พระ + เขนย = พระเขนย “เขนย”เป็นคำ เขมร ดังนั้นคำ ว่า “พระ เขนย” จึง จึไม่ใม่ช่คำช่ คำ สมาส ๖. คำ ส่วนใหญ่ที่ลที่งท้าท้ยด้วยคำ ว่า กิจ การ กรรม กร ศึกษา ภัย สถาน ภาพ วิทวิยา ศิลป์ ธรรม ศาสตร์ เช่นช่ - เศรษฐกิจกิ คำ สนธิ เป็นการสมาสโดยการเชื่อ ชื่ มคำ เข้าระหว่างพยางค์หลังของคำ หน้า กับกัพยางค์หน้าของคำ หลังลัเป็นการย่ออักขระให้น้อยลงเวลาอ่านจะเกิด เสียงกลมกลืน ลื เป็นคำ เดียวกันกั หลักลัการสร้าร้งคำ สนธิ นอกจากเชื่อ ชื่ มคำ สองคำ ด้วยกันแล้ว ยังมีค มี วามกลมกลืนของเสียง ซึ่งซึ่สนธิมีธิด้ มี ด้วยกัน ๓ ชนิด คือ สนธิสธิระ (สระสนธิ)ธิ, สนธิพธิยัญชนะ (พยัญยัชนะสนธิ)ธิและสนธินิธิ นิคหิต (นิคหิตสนธิ)ธิ สระสนธิ ตัดตั สระพยางค์ท้าท้ยคำ หน้า แล้วใช้สช้ระพยางค์หน้าคำ หลัง เช่นช่ คือการนำ คำ ที่ลที่งท้าท้ยด้วยสระไปสนธิกัธิ กับคำ ที่ขึ้ ที่ขึ้นค้นด้วยสระ ซึ่งซึ่เมื่อ มื่ สนธิแธิล้วล้จะมีก มี ารเปลี่ยนแปลงรูปสระตามกฏเกณฑ์ ราช อานุภ นุ าพ = ราชานุภ นุ าพ สาธารณ อุปโภค = สาธารณูป ณู โภค นิล อุบล = นิลุบ ลุ ล
๑๑๕ ตัดตั สระพยางค์ท้าท้นคำ หน้า และใช้สช้ระพยางค์ต้นของคำ หลัง โดย เปลี่ย ลี่ นสระพยางค์ต้นต้ของคำ หลัง เปลี่ย ลี่ นสระพยางค์ท้าท้ยของคำ หน้าเป็นพยัญชนะ ใช้สช้ระพยางค์ต้นต้ของคำ หลังซึ่งซึ่อาจเปลี่ยนรูปหรือ รื ไม่เม่ ปลี่ยนรูปก็ได้ ในกรณีที่สที่ ระพยางค์ต้นต้ของคำ หลังไม่ใช่ อิ อี อุ อู อย่างสระตรง พยางค์ท้าท้ยของคำ หน้า เช่นช่ คำ สนธิบธิางคำ ไม่เม่ ปลี่ย ลี่ นสระ อิ อี เป็น ย แต่ตัดทิ้งทิ้ทั้งทั้ สระพยางค์ หน้าคำ หลังลัจะไม่มี อิ อี ด้วยกัน เช่นช่ อะ เป็น อา อิ เป็น เอ อุ เป็น อู อุ, อู เป็น โอ เช่นช่ พงศ อวตาร = พงศาวตาร ปรม อินทร์ = ปรเมนทร์ มหา อิสี = มเหสี อิ อี เป็น ย อุ อู เป็น ว จำ ให้ แม่น จำ ให้ แม่น กิตกิติ อากร = กิตกิยากร สามัคมัคี อาจารย์ = สามัคมัยาจารย์ ธนู อาคม = ธันธัวาคม ศักคิ อานุภนุาพ = ศักดานุภนุาพ ราชินีชิ นีอุปถัมถัภ์ = ราชินูชิ ปนูถัมถัภ์ หัสดี อาภรณ์ = หัสดาภรณ์
๑๑๖ พยัญยัชนะสนธิ คือการเชื่อ ชื่ มคำ ด้วยพยัญชนะเป็นการเชื่อ ชื่ มเสียง พยัญยัชนะในพยางค์ท้าท้ยของคำ แรกกับเสียงพยัญชนะหรือ รืสระใน พยางค์แรก ของคำ หลัง นฤคหิตสนธิ คือ การเชื่อ ชื่ มคำ ด้วยนฤคหิต เป็นการเชื่อ ชื่ มเมื่อพยางค์ หลังลัของคำ แรกเป็นนฤคหิตกับเสียงสระในพยางค์แรกของคำ หลัง มี ๓ วิธีวิ ธี คือ - สนธิเธิข้าข้ด้วยวิธีวิ ธีโลโป คือลบพยางค์สุดท้าท้ยของคำ หน้าทิ้งทิ้เช่นช่ - สนธิเธิข้าข้ด้วยวิธีวิ ธี อาเสโท คือแปลงพยัญชนะท้าท้ยของคำ หน้า เป็นสระ โอ แล้วล้ สนธิตธิามปกติ เช่นช่ นิรส ภัยภั= นิรภัยภั ทุรทุส พล = ทุรทุพล อายุรยุส แพทย์ = อายุรยุแพทย์ มนส ภาพ = มโนภาพ ยสส ธร = ยโสธร รหส ฐาน = รโหฐาน ๑. นฤคหิตสนธิกัธิบกั สระ ให้เปลี่ยนนฤคหิตเป็น ม แล้วสนธิกัธิ กัน เช่นช่ สํ อาคม = สม อาคม = สมาคม สํ อุทัยทั= สม อุทัยทั= สมุทัยทั ๒. นฤคหิตสนธิกัธิบกัพยัญชนะของวรรค ให้เปลี่ยนนฤคหิต เป็นพยัญยัชนะตัวตั สุด สุ ท้าท้ยของพยัญชนะในแต่ละวรรค ได้แก่ วรรคกะ เป็น ง วรรคจะ เป็น ญ วรรคตะ เป็น น วรรคฏะ เป็น ณ วรรคปะ เป็น ม สํ จร = สญ จร = สัญจร สํ นิบาต = สน นิบาต = สันนิบาต
๑๑๗ ๓. วรรคกะ เป็นสนธิกัธิ กับพยัญชนะเศษวรรค ให้เปลี่ยน นฤคหิตเป็น ง เช่นช่ สํ สาร = สงสาร สํ หรณ์ = สังหรณ์ สระสนธิ คือ การกลมกลืนลืคำ ด้วด้ยเสียงสระ พยัญ ยั ชนะสนธิ คือ การกลมกลืนลืเสียงระหว่าว่งพยัญยัชนะกับกั พยัญยัชนะ นิคหิตสนธิ คือ การเชื่อชื่มคำ ที่ขึ้ที่ ขึ้นขึ้ต้นต้ด้วด้ยนิคหิต หรือรืพยางค์ท้าท้ย ของคำ หน้าเป็นนิคหิต กับกัคำ อื่นอื่ๆ จำ ให้ แม่น
๑๑๘ แบบทดสอบ เรื่อ รื่ ง คุ้ยเขี่ยร่าร่งการสร้าร้งคำ ให้นักเรีย รี นเขีย ขี นเครื่อ รื่ งหมาย x ทับทัตัวอักษรหน้าคำ ตอบที่ถู ที่ ถู กต้อง ๑. ข้อข้ ใดมีทั้มีงทั้คำ ประสม คำ ซ้อซ้น และคำ ซ้ำ ก. น้าสาวจะอ่ออ่นเพลียลีอยู่บ่ยู่อบ่ยๆ ข. ยามค่ำ คืนอย่าย่ออกนอกเรือรืนชาน ค. เราต้อต้งตกแต่งต่ช่อช่งให้น่าอยู่ ง. ไหนๆก็ทำ ก็ ทำงานอย่าย่ท้อท้แท้ ๒. ข้อข้ ใดเป็นคำ มูลทุกทุคำ ก. พ่อ ดีใดีจ ชาวนา ข. กินกิ สวน ไป ค. น้อง ไก่ชก่น บ้าบ้นพัก ง. งอกงาม ข้าข้วเปล่าล่น้ำ เชื่อชื่ม ๓. ข้อข้ ใดเป็นคำ ประสมที่เที่กิดกิจากคำ นามประสมกับกักริยริา ก. น้าสาว ข. น้ำ ปลา ค. มดแดง ง. หมอดู ๔. ข้อข้ ใดเป็นคำ ประสมที่เที่กิดกิจากคำ นามประสมกับกัคำ กริยริา ก. ห่อหมก ข. ตาขาว ค. ปลากัดกัง. บ้าบ้นใหม่ ๕. ข้อข้ ใดไม่มีม่คำมี คำซ้อซ้น ก. ใดใดในโลกล้วล้นอนิจจังจัข. สิ่งของต่าต่งๆนานา ค. ให้นั่งที่ที่ที่เที่ก้าก้อี้ตัอี้วตันั้น ง. แจกนมให้เด็ก ด็ เป็นคนๆไป ๖. ข้อข้ ใดเป็นคำ ซ้อซ้น ก. สาวสวย ข. ฟืนไฟ ค. น้ำ แข็ง ข็ ง. รถพ่วง ๗. ข้อข้ความใดไม่เม่ ป็นคำ ซ้อซ้น ก. จะเร่งร่ระมัดมั ฟืนไฟ ข. ที่ชที่อบช่วช่ยยกยอ ค. ไปเรือรืนท่าท่นอย่าย่นิ่งนาน ง. คนพาลอย่าย่พาลผิดผิ
๑๑๙ ๘. “อย่าย่เผื่อผื่แผ่คผ่วามผิดผิอย่าย่ผูกผูมิตมิรคนจร” จากสำ นวนนี้คำ ใดเป็นคำ ประสม ก. เผื่อผื่แผ่ ข. ความผิดผิ ค. ผูกผูมิตมิร ง. คนจร ๙. ข้อข้ ใดเป็นคำ ซ้อซ้นที่มีที่คมีวามหมายเป็นพหูพจน์ ก. เด็ก ด็ ๆนั่งเล่นล่อยู่ใยู่นสนามหญ้าญ้ข. เธอใส่เสื้อสีขาวๆ ค. ฉันชอบนั่งรถคันใหญ่ๆญ่ง. คิดๆดูแดูล้วล้ฉันคงไม่ไม่ ป ๑๐. ข้อข้ ใดเป็นเหตุผตุลที่ทำที่ทำให้มีกมีารสร้าร้งคำ ในภาษาไทย ก. คำ ในภาษาไทยมีน้มี น้อย ข. เพื่อให้มีคำมี คำที่ใที่ช้มช้ากขึ้นขึ้ ค. เพื่อแสดงถึงถึความเจริญริทางภาษา ง. เพื่อให้เกียกีรติภติาษาอื่นอื่
บทที่ ๗ คุ้ยเขี่ยหาการใช้สื่อ
สื่อสิ่งพิมพ์และอิเ อิ ล็ก ล็ ทรอนิกส์ การใช้สื่ช้ สื่อสิ่งพิมพ์ การใช้สื่ช้ สื่ ออิเอิล็ก ล็ ทรอนิกส์
๑๒๓ การใช้สื่ช้ สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อสิ่งพิมพ์ หมายถึง สื่อที่เ ที่ป็นสิ่งพิมพ์ทุก ทุ ชนิด ได้แก่ หนังสือพิมพ์ โฆษณา นิตยสาร วารสาร สารคดี นวนิยาย เรื่อ รื่ งสั้น หนังสือพิมพ์ หมายถึง สิ่งพิมพ์ประเภทหนึ่งที่มีที่มี กำ หนดตีพิมพ์ ซึ่งซึ่หนังสือพิมพ์เผยแพร่รร่ายวัน รายสัปดาห์ รายปักษ์ หรือ รืประจำ รอบ ตามระยะเวลาที่กำ ที่ กำหนดอย่าย่งสม่ำ เสมอ ไม่เย็บเล่ม และไม่มีปก เนื้อหา ส่วนใหญ่มุ่งนำ เสนอข่าข่วสารต่างๆ มีก มี ารใช้ภช้าษาที่มีที่มี ลักษณะเฉพาะ เพื่อเสนอข่าวให้น่าสนใจ สะดุดใจผู้อ่ ผู้อ่าน เนื้อหาข่าวในหนังสือพิมพ์ ประกอบไปด้วยข้อข้เท็จ ท็ จริงริและข้อคิดเห็นปะปนกัน ซึ่งซึ่ข้อเท็จ ท็ จริงริและ ข้อข้คิดเห็นแตกต่าต่งกันกัดังนี้ ข้อข้เท็จ ท็ จริงริ คือข้อข้ความแห่งเหตุการณ์ที่เที่ป็นมาหรือ รื เป็นอยู่ต ยู่ ามจริงริข้อความ อาจเป็นจริงริหรือ รื เป็นเท็จ ท็ ก็ไก็ ด้ ถ้าเป็นจริงริหมายถึงข้อความตรงกับ เหตุก ตุ ารณ์ที่เที่กิดขึ้น ขึ้ จริงริๆ ถ้าเป็นเท็จ ท็ หมายถึงข้อความไม่ตม่รงกับ เหตุก ตุ ารณ์ที่เที่กิดขึ้น ขึ้ จริงริจะเห็นได้ว่า ลักษณะเด่นของข้อเท็จ ท็ จริงริก็คือ จะต้อต้งถูกตรวจสอบหรือ รื พิสูจน์ได้เสมอว่าจริงริหรือ รื เท็จ ท็ เช่นช่ “สมัยมักรุงธนบุรี บุ มี รี พ มี ระเจ้าแผ่นผ่ดินพระองค์เดียว” ข้อความนี้สามารถ พิสูจ สู น์ได้ว่าว่จริงริหรือ รื เท็จ ท็ โดยตรวจสอบจากบันทึก ทึ ข้อมูล มู และหลักฐาน ทางประวัติวั ศติาสตร์ห ร์ รือ รื พงศาวดาร (ซึ่งซึ่จะพบว่าข้อความนี้เป็นจริงริ) “คัมภีร์ ภี ไร์ บเบิลบันทึก ทึ ว่า พระเจ้าสูง สู สุด สุ มี ๓ พระองค์” ข้อความนี้พิสูจน์ ได้โดยตรวจสอบข้อความที่บัที่บันทึก ทึ ไว้ในไบเบิล (ซึ่งซึ่จะพบว่าข้อความนี้ เป็นเท็จ ท็ ) บางกอกรีครีอร์เร์ดอร์ (Bangkok Recorder) เป็นหนังสือพิมพ์ฉบับบั แรกของประเทศไทย กําหนดออกเป็นรายปักษ์ จัดจัพิมพ์เมื่อมื่วันวัที่ 4 กรกฎาคม 2387 โดยหมอบรัดรัเล พิมพ์ทั้งทั้ภาษาไทยและภาษา อังอักฤษ มีอมีายุเยุพียง 15 เดือดืน ก็ล้ ก็ มล้เลิกลิ จำ ให้ แม่น
๑๒๔ ข้อข้เท็จ ท็ จริงริคือข้อข้ความที่พิที่พิสูจสูน์ได้ โดยอาจพิสูจสูน์ว่าว่จริงริก็ไก็ ด้ หรือรือาจ พิสูจสูน์ว่าว่เท็จ ท็ ก็ไก็ ด้ แต่ต้ต่อต้งเป็นอย่าย่งใดอย่าย่งหนึ่งเท่าท่นั้น ไม่อม่าจเป็น ทั้งทั้จริงริและเท็จ ท็ พร้อร้มกันกัและไม่อม่าจเป็นทั้งทั้ ไม่จม่ริงริและไม่เม่ท็จ ท็ จะต้อต้ง มีค่มี ค่าความจริงริเป็นอย่าย่งใดอย่าย่งหนึ่งเสมอ ต่าต่งจากข้อข้คิดเห็นที่ไที่ม่มีม่ มี ค่าความจริงริ ไม่อม่าจพิสูจสูน์หรือรืบอกได้ว่ด้าว่จริงริหรือรืเท็จ ท็ จำ ให้ แม่น ข้อข้คิดเห็น คือความเห็น ความรู้สึรู้ สึ กนึกคิดของผู้ส่ ผู้ส่งสารที่สที่อดแทรกอยู่ใ ยู่ น เนื้อหา ซึ่งซึ่ไม่ไม่ด้เป็นข้อข้เท็จ ท็ จริงริ ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าจริงริหรือ รื เท็จ ท็ เป็น ทรรศนะหรือ รื ความเห็นส่วนตัวเท่าท่นั้น อาจเป็นการให้ค่ากับเรื่อ รื่ งราว ต่าต่งๆ ด้วยมุมมองของผู้เ ผู้ ขีย ขี น เช่นช่ “มวยไทยเป็นศิลปะป้องกันกัตัวตัที่ดีที่ดี ที่สุที่ด สุ ในโลก” ข้อความนี้เป็นเพียง ข้อข้คิดเห็นเท่าท่นั้น เพราะไม่อม่าจพิสูจน์ได้ว่าจริงริหรือ รื เท็จ ท็ เนื่องจากคำ ว่า “ดีที่สุที่ด สุ” มีค มี วามคลุม ลุ เครือ รื ว่าหมายถึงอะไร ถ้าจะเปลี่ย ลี่ นข้อข้ความนี้ให้เป็นข้อเท็จ ท็ จริงริต้องกำ หนดให้ชัดชัลงไป ว่าว่เกณฑ์ใฑ์ นการตัดตั สินว่าว่ “ดีที่สุที่ สุ ด” คืออย่างไร เช่นช่ ศิลปะการต่อต่ สู้ที่ดีที่ดี ที่สุที่สุ ดคือ ศิลปะการต่อสู้ที่มีที่มี อัตราการชนะสูงที่สุที่ สุ ดเมื่อ เทีย ที บกับกัจำ นวนครั้งรั้ ในการต่อสู้ที่เที่ท่าท่กัน ซึ่งซึ่ก็อาจจะต้องไปรวบรวม สถิติกติารเปรีย รี บมวยของทั้งทั้ โลกตั้งตั้แต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันมาดู ลักลัษณะเด่นด่ของการใช้ภช้าษาหนังสือพิมพ์ ๑. ใช้ภช้าษาแปลกใหม่เพื่อให้สะดุดตา สะดุดใจ และจำ ง่าง่ย เป็นการเรีย รี กร้อร้งความสนใจ โดยเฉพาะส่วนพาดหัวข่าว ตัวอย่างเช่นช่ “บิ๊กบิ๊เปย ฮึ่ม! นักการเมือมืงล้วล้งลูกลู” “ส่อแววโอละพ่อ สาวแจ้งจ้จับจั โจ๋บุจ๋กบุปล้ำ ” “ปูดปูค่าตัวตังูเงูห่าย้าย้ยมุ้งมุ้๑๒๐ ล้าล้น”
๑๒๕ ๒. มีก มี ารใช้ภช้าษาปากมากที่สุที่ สุ ด ด้วยเหตุผลที่ต้ที่ต้องเสนอข่าวสาร และเหตุก ตุ ารณ์ให้ผู้อ่ ผู้อ่านรู้สึรู้ สึ กสดใหม่ ทันทัข่าว ทันทัเหตุการณ์ มีความรู้สึรู้ สึ ก เหมือ มื นอยู่ใ ยู่ นเหตุการณ์นั้น อีกทั้งทั้เพื่อให้ผู้อ่ ผู้อ่านทุก ทุ ระดับเข้าใจได้ใน ทันทัที ภาษาปากจึง จึ ถูกนำ มาใช้มช้ากเพราะเป็นคำ พื้นๆ เข้าใจได้ชัดชัเจน ภาษาปากได้แก่คำ เฉพาะกลุ่ม ลุ่ คำ ตลาด คำ คะนอง สำ นวน และคำ ทับทั ศัพท์ ๓. บางครั้งรั้ ใช้ถ้ช้ ถ้อยคำ ฟุ่มเฟือย เหตุผลที่ภที่าษาในหนังสือพิมพ์ ต้อต้งใช้คำช้ คำ ฟุ่ม ฟุ่ เฟือย เนื่องจากต้องการขยายรายละเอียดของข่าวหรือ รื เหตุก ตุ ารณ์ให้ชัดชัเจน และต้อต้งการให้ข้อความมีค มี วามยาวพอเหมาะกับ เนื้อที่ขที่องกระดาษ ๔. บางครั้งรั้ ใช้ถ้ช้ ถ้อยคำ รวบรัดรั ในกรณีที่พื้ที่พื้ นที่หที่น้ากระดาษมีจำ กัด อย่าย่งเช่นช่ ในส่วนของพาดหัวข่าว ก็จำ เป็นต้องใช้ภช้าษาที่สั้ที่สั้น กระชับชั และชัดชัเจน เช่นช่ ๕. มีการใช้ตัช้วตัย่อย่มาก เนื่องจากความจำ เป็นในเรื่อ รื่ งของเวลาที่ เร่งร่รัดรัและความกำ จัดของพื้นที่ข่ที่ข่าว เมื่อผนวกกับคำ บางคำ ที่ย ที่ าวมาก จึง จึ ต้อต้งเลือ ลื กใช้ตัช้วตัย่อย่แทน ตัวย่อบางคำ เป็นการย่อกันเอง ไม่ใช่คำช่ คำย่อที่ เป็นทางการ ตัวตัอย่าย่งภาษาปาก “ย้าย้ยสารวัตวัรคนดังดัเซ่นซ่คดีส่ดี ส่วย “ครูยืนยืยันยัเป็นเจ้าจ้ของหวย ๓๐ ล้าล้น” “พริตริตี้ดัตี้งดัแฉยับยับาร์ฉร์าว” “วิสวิามัญมั โจรเหี้ยมชิงชิทองกลางห้างดังดั ” “สิบล้อล้ โวยตำ รวจยัดยัยาบ้าบ้ ” ตัวตัอย่าย่งคำ ย่อย่ “ฝนถล่มล่กทม. จมใต้บต้าดาล” “ชาวนาโอด ขอผลัดลัชำ ระหนี้ ธ.ก.ส.” “เผยมติ ครม. รับรัมือมืฝุ่นฝุ่พิษ”
๑๒๖ ประเภทของสื่อสิ่งพิมพ์ ประเภทหนังสือ หนังสือสารคดีตำดี ตำรา แบบเรียรีน หนังสือบันบัเทิงทิคดี ประเภทเผยแพร่ข่ร่าข่วสาร หนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร จุลจุสาร ประเภทการบรรจุภัจุณภัฑ์ สิ่งพิมพ์หลักลั ได้แด้ก่ สิ่งพิมพ์ที่ใที่ช้ ปิดรอบขวด หรือรืกระป๋อง ผลิตลิภัณภัฑ์กฑ์ารค้า สิ่งพิมพ์รอง ได้แด้ก่ สิ่งพิมพ์ที่เที่ป็นก ล่อล่งบรรจุ หรือรืลังลั ประเภทสิ่งพิมพ์มีค่มี ค่า เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่เที่น้นการนำ ไปใช้ เป็นหลักลัฐานสำ คัญต่าต่ง ๆ ซึ่งซึ่ กำ หนดตามกฎหมาย เช่นช่ธนาณัติ บัตบัรเครดิตดิเช็ค ช็ ธนาคาร ตั๋วตั๋แลก เงินงิหนังสือเดินดิทาง โฉนด สิ่งพิมพ์ลักลัษณะพิเศษ เป็นสื่อสิ่งพิมพ์มีกมีารผลิตลิขึ้นขึ้ตาม ลักลัษณะพิเศษแล้วล้แต่กต่ารใช้งช้าน ได้แด้ก่นก่ามบัตบัร บัตบัรอวยพร ปฏิทิฏินทิ ใบส่งของ ใบเสร็จ ร็ รับรัเงินงิ สิ่งพิมพ์ บนแก้วก้ สิ่งพิมพ์บนผ้าผ้เป็นต้นต้ การใช้สื่ช้ สื่ออิเอิล็ก ล็ ทรินิริ นิกส์ สื่ออิเล็ก ล็ ทรอนิกส์ หมายถึง สื่อที่รั ที่ บรั ส่งข้อมูล มู สารสนเทศด้วยวิธี การทางอิเล็ก ล็ ทรอนิกส์ เป็นการรับรั ส่งหรือ รื บันทึก ทึ อักขระแบบดิจิตอล ไม่สม่ามารถอ่านได้ด้วยตาเปล่า ต้องใช้เช้ครื่อ รื่ งแปลรหัสอย่าง คอมพิวเตอร์ใร์ นการอ่าน และบันทึก ทึ ข้อมูล มักจะอยู่ใ ยู่ นลักษณะของสื่อ ประสม หรือ รื มัลติมีติเ มี ดีย (Multimedia) แสดงผลออกมาหลายรูปแบบ เช่นช่เป็นภาพเคลื่อนไหว มีเสียงประกอบ สิ่งพิมพ์โฆษณา โบรชัวชัร์ ใบปลิวลิ แผ่นผ่พับ ใบปิด
๑๒๗ ภาษาที่ใที่ช้ใช้นสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ควรเป็นภาษาทางการหรือ รื ภาษา เขีย ขี นเท่าท่นั้น ยกเว้นว้ถ้าเป็นการพูดคุยกับเพื่อนสนิทที่เ ที่ป็นการส่วนตัว ก็อ ก็ าจใช้ภช้าษาพูดได้ ภาษาที่ใที่ช้ใช้นการคุยกับเพื่อนสนิท หรือ รื ใช้ภช้ายในกลุ่ม ลุ่ เฉพาะ มัก ใช้ภช้าษาปาก คำ แสลง คำ ที่แที่ผลงไปจากภาษาปกติ เพื่อความสะดวก รวดเร็ว ร็ ในการสื่อสาร เช่นช่ “วันวัพะหัดนี้จะไปเดินงานกะเสด เทอจะไปด้วยกันมั้ยมั้ ” หรือ รื “เทอไป ช่ะช่? เด๋วดูก่อก่นว่าว่ว่าว่งป่าว” บางครั้งรั้การดัดแปลงภาษาในการคุยผ่าผ่นสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ก็ไม่ ได้เป็นไปเพื่อให้คำ สั้นลงและง่าง่ยในการสื่อสาร แต่เป็นไปตามกระแส นิยมของวัยวัรุ่นรุ่ที่นิ ที่ นิยมการใช้ภช้าษาวิบัติ หรือ รื คำ ที่จ ที่ งใจสะกดให้ผิดผิเช่นช่ “เพิ่ล-เพื่อน”, “ขุ่น ขุ่ แม่-คุณแม่”, “ตั้ลตั้ล้าก-น่ารักรั ”, “น่าวงวาร-น่าสงสาร”, “เมพ-เทพ(เก่ง)”, “ลาก่อก่ย-ลาก่อน”, “อัลไล-อะไร” ประเภทของสื่ออิเอิล็ก ล็ ทรินิริ นิกส์ ประเภทออฟไลน์ ข้อข้มูลที่ถูที่กถูเก็บ ก็ อยู่ใยู่นอุปกรณ์บันบัทึกทึข้อข้มูลมู - ซีดีซีรดีอม (CD-ROM) - ฮาร์ดร์ดิสดิก์ - แผ่นผ่ดิสดิก์ - ดีวีดีดีวี ดี(DVD) สื่ออิเอิล็ก ล็ ทรอนิกส์ประเภทนี้ผู้อ่ผู้าอ่น สามารถเข้าข้ถึงถึได้โด้ดยตรงจากเครื่อรื่ง คอมพิวเตอร์ หรือรืเครื่อรื่งเล่นล่ต่าต่งๆ เช่นช่ภาพยนตร์ ดนตรี สารานุกนุรม หรือรื วารสารวิชวิาการในรูปของซีดีซีรดีอม
๑๒๘ แนวทางในการอ่าอ่นสื่ออิเอิล็ก ล็ ทรอนิกส์ พิจารณาความน่าเชื่อชื่ถือถืของข้อข้มูลมูที่นำที่นำเสนอ พิจารณาความถูกถูต้อต้งของข้อข้มูลที่นำที่นำเสนอ พิจารณาความทันทั สมัยมั ประเภทออนไลน์ สื่อที่ถูที่กถูเก็บ ก็ อยู่ใยู่นเครื่อรื่งคอมพิวเตอร์อื่ร์นอื่ผู้อ่ผู้าอ่นจะเข้าข้ถึงถึสื่อได้โด้ดยผ่าผ่น บริกริารต่าต่งๆ ของเครือรืข่าข่ยการสื่อสารข้อข้มูลมูที่ใที่ห้บริกริารผ่าผ่นอินอิเทอร์เร์น็ต
๑๒๙ แบบทดสอบ เรื่อ รื่ ง คุ้ยเขี่ย ขี่ หาการใช้สื่ช้ สื่ อ ให้นักเรีย รี นเขียนเครื่อ รื่ งหมาย x ทับทัตัวอักษรหน้าคำ ตอบที่ถู ที่ ถู กต้อง ๑. สื่อสิ่งพิมพ์ คืออะไร ก. สมุด ข. แผ่นผ่กระดาษ ค. วัตวัถุใถุดๆ ที่พิที่พิมพ์ขึ้นขึ้ง. ถูกถูทุกทุข้อข้ ๒. สื่อสิ่งพิมพ์ประเภทใดใช้เช้ผยแพร่ข่ร่าข่วสาร ก. หนังสือพิมพ์ ข. โบร์ชัร์วชัร์ ค. ใบปลิวลิง. ถูกถูทุกทุข้อข้ ๓. สื่อสิ่งพิมพ์มีคมีวามหมายตรงกับกัข้อข้ ใดมากที่สุที่ดสุ ก. การสร้าร้งและบันบัทึกทึข้อข้มูลภาพและเสียงให้อยู่ใยู่นรูปแบบของ ระบบคอมพิวเตอร์ ข. การสร้าร้งชิ้นชิ้งานจากการพิมพ์ด้วด้ยวิธีวิต่ธีาต่งๆลงบนวัตวัถุที่ถุหที่ลาก หลายเพื่อใช้ติช้ดติต่อต่กันกั ค. การสร้าร้งชิ้นชิ้งานจาการพิมพ์ด้วด้ยเครื่อรื่งคอมพิวเตอร์ใร์นรูปแบบ ของภาพเพื่อใช้เช้ผยแพร่ถึร่งถึกันกั ง. การสร้าร้งภาพหรือรืสิ่งที่เที่กี่ยกี่วข้อข้งกับกัการแสดงภาพทั้งทั้ ในทาง คอมพิวเตอร์ทั้ร์งทั้ทางตรงและทางอ้ออ้ม ๔. ข้อข้ ใดไม่ใม่ช่สิ่ช่ สิ่งพิมพ์ประเภทสิ่งพิมพ์โฆษณา ก. โบร์ชัร์วชัร์ ข. ใบปลิวลิ ค. จุลจุสาร ง. แผ่นผ่พับ ๕. ข้อข้ ใดคือสื่อสิ่งพิมพ์เพื่อเผยแพร่ข่ร่าข่วสาร ก. ใบเสร็จ ร็ รับรัเงินงิข. ตั๋วตั๋แลกเงินงิ ค. วารสารนิตยสาร ง. ปฏิทิฏินทิ ๖. โฉนดที่ดิที่นดิเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ประเภทใด ก. สิ่งพิมพ์หนังสือ ข. สิ่งพิมพ์ลักลัษณะพิเศษ ค. สิ่งพิมพ์เพื่อเผยแพร่ข่ร่าข่วสาร ง. สิ่งพิมพ์มีค่มี ค่า ๗. ข้อข้ ใดคือสื่ออิเอิล็ก ล็ ทรอนิกส์ประเภทออฟไลน์ ก. DVD ข. Facebook ค. email ง. Line
๑๓๐ ๙. ข้อข้ ใดคือความหมายของสื่ออิเอิล็ก ล็ ทรอนิกส์ ก. สื่อที่ใที่ช้ใช้นการพัฒนาการเรียรีนรู้ใรู้ห้มีปมีระสิทธิภธิาพ ข. สื่อที่สที่ามารถเชื่อชื่มต่อต่และใช้งช้านได้อด้ย่าย่งไร้พร้รมแดน ค. สื่อที่บัที่นบัทึกทึ สารสนเทศด้วด้ยวิธีวิกธีารทางอิเอิล็ก ล็ ทรอนิกส์บันบัทึกทึ อักอัขระแบบดิจิดิตจิอลไม่สม่ามารถอ่าอ่นได้ด้ด้วด้ยตาเปล่าล่ต้อต้งใช้ เครื่อรื่งคอมพิวเตอร์บัร์นบัทึกทึและอ่าอ่นข้อข้มูลมู ง. สื่อที่บัที่นบัทึกทึ สารสนเทศซึ่งซึ่สามารถอ่าอ่นได้ด้ด้วด้ยตาเปล่าล่ ๑๐. ข้อข้ ใดเป็นเครื่อรื่งแปลงสัญญาณที่นำที่นำเสนอภาพนิ่งและภาพเคลื่อลื่นไหว ก. ปริ้นริ้เตอร์ ข. โปรเจคเตอร์ ค. วิทวิยุสื่ยุสื่อสาร ง. เครื่อรื่งวิชวิวลไลเซอร์ ๘. ข้อข้ ใดคือสิ่งพิมพ์ลักลัษณะพิเศษ ก. นามบัตบัร ข. บัตบัรอวยพร ค. ปฏิทิฏินทิง. ถูกถูทุกทุข้อข้
บรรณานุก นุ รม ญจนา นาคสกุล กุ และคณะ. ๒๕๔๕. บรรทัดทัฐานภาษาไทย เล่ม ๑-๒. กรุงเทพมหานคร: สถาบันบัภาษาไทย กรมวิซวิาการ กระทรวงศึกษาธิกธิาร. ภาสกร เกิดกิอ่อน และคณะ. ๒๕๕๘. หลักภาษาและการใช้ภช้าษาไทย. พิมพ์ครั้งรั้ที่ ๑๐ . กรุงเทพมหานคร : อักษรเจริญริทัศทัน์ อจท.จำ กัด. ช่อช่งทรูปลูกลูปัญญา.(๒๕๖๕). บทเรียรีนออนไลน์ วิชวิาภาษาไทย เรื่อรื่ง การใช้ ภาษาในการ สื่อสาร. สืบค้นเมื่อมื่๑๓ กุมกุภาพันธ์ ๒๕๖๖, จาก https://www.trueplookpanya.com ช่อช่งทรูปลูกลูปัญญา.(๒๕๖๕). ช่อช่งทรูปลูกลูปัญญา.(๒๕๖๕). บทเรียรีนออนไลน์ วิชวิา ภาษาไทย เรื่อรื่ง การใช้ ภาษาในการ สื่อสาร. สืบค้นเมื่อมื่๑๓ กุมกุภาพันธ์ ๒๕๖๖, จาก https://www.trueplookpanya.com .
ภาคผนวก
เฉลยแบบทดสอบ เรื่อ รื่ ง คุ้ยเขี่ย ขี่ หาธรรมชาติของภาษาไทย ให้นักเรีย รี นเขียนเครื่อ รื่ งหมาย x ทับทัตัวอักษรหน้าคำ ตอบที่ถู ที่ ถู กต้อง ๑. สัตว์ชว์นิดใดตั้งตั้ชื่อชื่จากการเลียลีนเสียงธรรมชาติ ก. นก ข. เสือ ค. ตุ๊ก ตุ๊ แก ง. ควาย ๒. ข้อข้ ใดไม่ไม่ด้เด้กิดกิจากการกร่อร่นเสียง ก. หมากพร้าร้ว ข. หมากม่วม่ง ค. สายดือดืง. สายใจ ๓. ข้อข้ ใดไม่ใม่ช่คำช่ คำที่มที่าจากภาษาอังอักฤษ ก. รถจิ๊ปจิ๊ข. รถตุ๊ก ตุ๊ ๆ ค. รถแบ็ค บ็ โฮ ง. รถมอเตอร์ไร์ซด์ ๔. ข้อข้ ใดมีคมีวามหมายแคบ ก. เครื่อรื่งครัวรัข. เครื่อรื่งจักจัร ค. เครื่อรื่งยนต์ ง. เครื่อ รื่ งซักผ้า ผ้ ๕. นักเรียรีนส่งข้อข้ความทางโทรศัพท์ถึท์งถึเพื่อนงานวันวัเกิดกิข้อข้ ใดเป็นสาร ก. นักเรียรีน ข. ข้อความ ค. โทรศัพท์ ง. เพื่อน ๖. คำ ว่าว่น้ำ อ่าอ่นว่าว่น้าม แสดงว่าว่มีกมีารเปลี่ยลี่นแปลงภาษาในด้าด้นใด ก. คำ ข. เสียง ค. ความหมาย ง. สำ นวน ๗. ข้อข้ ใดเรียรีงลำ ดับดัของประโยคจากประธานขยายประธาน กริยริา กรรม ขยายกรรม ขยายกริยริา ก. รถยนต์สีต์ สี ขาว ชนรถกระบะสีดำ พังยับ ยั เยินยิ ข. นักเรียรีนบำ เพ็ญประโยชน์ในวันวั สิ่งแวดล้อล้ม ค. ครูประจำ ชั้นชั้นำ นักเรียรีนไปทัศทันศึกษา ง. ภารโรงช่วช่ยดูแดูลความสะอาดของโรงเรียรีน
๘. ข้อข้ ใดเป็นวัจวันภาษา ก. ตำ รวจจราจรโบกมือห้ามรถ ข. กรรมการเป่านกหวีด วี หมดเวลาการแข่งขัน ค. นักเรียนร้อ ร้ งเพลงประกวดในวันแม่ ง. คนรักรัมอบดอกกุห กุ ลาบวันวาเลนไทน์ ๙. ข้อข้ ใดเป็นอวัจนภาษา ก. นักเรีย รี นฟังครูอธิบธิาย ข. ทุกบ้า บ้ นมีภ มี าพในหลวงไว้บูช บู า ค. คุณยายอวยพรให้หลาน ๆ มีสุขภาพแข็งแรง ง. คุณพ่อชอบอ่านข่าข่วหนังสือพิมพ์ ๑๐. ข้อข้ ใดคือสิ่งที่ทำ ที่ ทำ ให้ภาษามีลักษณะต่างกัน ก. ใช้เช้สียงสื่อความหมาย ข. มีวิธีวิก ธี ารสร้าร้งศัพท์ขึ้ ท์ขึ้นใหม่ ค. มีโครงสร้าร้งไวยากรณ์ที่ต่ที่ต่างกัน ง. มีก มี ารเปลี่ย ลี่ นแปลงตามสิ่งแวดล้อม
เฉลยแบบทดสอบ เรื่อรื่ง คุ้ยเขี่ยขี่หาการใช้คำช้ คำและกลุ่มลุ่คำ ๑. กลุ่มลุ่คำ ในข้อข้ ใดมีคมีวามหมายกว้าว้ง ก. คุณแม่ทำม่ทำความสะอาดเครื่อ รื่ งเงินงิ ข. เครื่อรื่งซักซัผ้าผ้ที่บ้ที่าบ้นฉันเสียแล้วล้ ค. พี่สาวใช้เช้ครื่อรื่งเป่าผมทุกทุวันวั ง. ลุงลุซื้อซื้เครื่อรื่งดูดดูฝุ่นฝุ่ใหม่ ๒. กลุ่มลุ่คำ ในข้อข้ ใดมีคมีวามหมายมากกว่าว่๑ ความหมาย ทุกทุคำ ก. เจ้าจ้บ้าบ้น ลายคราม ข. ตามน้ำ สับหลีก ลี ค. ขึ้นขึ้หม้อม้ทอดเสียง ง. หน้าไม้ หน้าบันบั ๓.คำ ในข้อข้ ใดทุก ทุ คำ ใช้ไช้ด้ทั้งทั้ความหมายตรงและความหมายโดยนัย ก. คอแข็ง ใจดี ข. มือหนัก ขาแข็ง ข็ ค. หัวแข็ง ตาโต ง. มือ มื ไว ใจอ่อน ๔. ข้อข้ ใดเป็นคำ ไวพจน์ทุกทุคำ ก. กนก รัชรัดา ข. วนิดา ปัทมา ค. อาชาไนย มโนรมย์ ง. คเชนทร์ มาตงค์ ๕. ข้อข้ ใดใช้ถ้ช้อถ้ยคำ ที่มีที่คมีวามหมายตรงตัวตัทุกทุคำ ก. เขาเป็นคนมีหมีน้ามีตมีาในสังคมไม่มีม่ ใมีครรู้ว่รู้าว่เบื้อบื้งหลังลัเขาค้ายาบ้าบ้ ข. เมื่อมื่ถูกถูฉีกหน้ากลางที่ปที่ระชุมชุเขาจึงจึตัดตั สินใจลาออก ค. ใบหน้าของเขาเหยเกด้ว ด้ ยความเจ็บ จ็ ปวดจากบาดแผล ง. คนเราต้อต้งมีใมีจนักเลงเมื่อมื่ทำ ผิดผิต้อต้งยอมรับรัผิดผิ ให้นักเรียรีนเขียขีนเครื่อรื่งหมาย x ทับทัตัวตัอักอัษรหน้าคำ ตอบที่ถูที่กถูต้อต้ง
๖. ข้อข้ ใดใช้คำช้ คำถูกถูต้อต้งตามความหมาย ก. คนเราต้อต้งมีศมีาสนาเป็นเครื่อรื่งเหนี่ยวรั้งรั้จิตจิ ใจ ข. ศาลานี้เก่าก่มากจนพื้นชำ รุดลงไปแถบหนึ่ง ค. ตำ รวจมีหมีน้าที่ป้ที่ ป้องกันกัอาชญากรรม ง. แพทย์มีย์หมีน้าที่ขที่จัดจั โรคให้คนไข้ ๗. ข้อข้ ใดใช้คำช้ คำ ได้ถูด้กถูต้อต้งเหมาะสมกับกัระดับดับุคบุคล ก. ฉันดูห ดู นังเรื่อ รื่ งนี้แล้ว ล้ ละไม่สม่นุกเลย ข. อาจารย์คย์ะ ผอ.เรียรีกไปพบค่ะ ค. เชิญชิแขกทุกทุท่าท่นกินกิอาหารครับรั ง. คุณป้าจะเดินดิทางเมื่อมื่ ไหร่ล่ร่ะล่ ๘. ข้อข้ ใดใช้คำช้ คำที่มี ที่ มี ความหมายชัดชัเจน ก. เขาไม่กิม่นกิข้าข้วเย็น ข. ปลามันมัมากจริงริๆ ค. เขาตัวตั สูง สู เกินกิ ไป ง. รำ ถูกอย่าย่งนี้ไม่มีม่ ปัมี ปัญหา ๙. ข้อข้ ใดใช้คำช้ คำ ได้ถูด้กถูต้อต้งตามระเบียบีบของภาษา ก. ขลุ่ยลุ่อันอันี้เสียงเพราะดี ข. เขายื่นยื่ ใบสมัคมัรแก่เก่จ้าจ้หน้าที่ ค. หน้าตาของเขาเหมือมืนอย่าย่งกับกัพ่อ ง. ความหวังวัเป็นสิ่งหล่อล่เลี้ยลี้งหัวใจมนุษนุย์ ๑๐. ข้อข้ ใดใช้คำช้ คำ ไม่ถูม่กถูต้อต้งตามความหมาย ก. เธอมีน้ำมี น้ำ ตาคลอเบ้าบ้เมื่อมื่ ฟังเรื่อรื่งเศร้าร้สะเทือทืนใจ ข. คุณปู่โปู่กนผมไฟหลานเมื่อมื่อายุคยุรบเดือดืน ค. ในช่วช่งนี้ตอนเย็น ย็ ๆ จะได้ยิด้นยิเสียงจิ้งจิ้หรีดรีเซ็ง ซ็ แซ่ ง. เราจะบริจริาคเงินงิเท่าท่ ไรก็ไก็ ด้ ทางโรงเรียรีนไม่ไม่ด้กด้ะเกณฑ์
เฉลยแบบทดสอบ เรื่อ รื่ ง คุ้ยเขี่ย ขี่ ราชาศัพท์ ๑.) ข้อข้ ใดกล่าล่วถึงถึคำ ราชาศัพท์ถูท์กถูต้อต้งที่สุที่ดสุ ก. ถ้อถ้ยคำ ที่ใที่ช้กัช้บกัพระมหากษัตริย์ริ ย์ ข. ข้อข้ความที่ใที่ข้กัข้บกัพระราชวงศ์ ค. ภาษาที่ใที่ ช้ให้เหมาะสมกับ กั ฐานนะของบุค บุ คล ง. คำ สุภสุาพที่ใที่ช้ยช้กย่อย่งบุคบุคลในสังคม ๒.) ข้อข้ ใดเป็นคำ ราชาศัพท์ทุท์กทุคำ ก. เส้นพระเจ้าจ้ทรงกลด ประพาส ข. พระโขนง พระที่ พระสาง ค. พระเครื่อรื่ง โปรด เสวย ง. เรือ รื นต้น ต้ คลุม ลุ บรรทม ทรงปืน ๓.) ข้อข้ ใดมีคำมี คำ สามัญมัรวมอยู่ ก. ทรงกราบ ประทับทัผนวช ข. กราบทูลทูพลับลัพลา พระยอด ค. บรรทมตื่นตื่ สรงน้ำ เกศากันกัต์ ง. พระสังวาล ทวาร น้ำ จัณ จั ฑ์ ๔.) ข้อข้ ใดใช้คำช้ คำราชาศัพท์ไท์ม่ถูม่กถูต้อต้ง ก. หม่อม่มเจ้าจ้ธานีทรงม้าม้ยามเช้าช้ ข. สมเด็จ ด็ พระพี่นางเธอเจ้า จ้ฟ้าฯ ทรงประทับ ทั รถม้า ม้ ค. พระนางเจ้าจ้ฯ พระราชเทวีทวีรงโสมนัส ง. พระมหากษัตริย์ริ ไย์ทยทุกทุพระองค์ทรงผนวช ๕.) "พระภิกภิษุสงฆ์บฆ์อกพระเจ้าจ้แผ่นผ่ดินดิ " ควรใช้คำช้ คำว่าว่อย่าย่งไร ก. ทูลทูรายงาน ข. ถวายพระพร ค. กราบทูลทู ง. สนองรับรั สั่ง ให้นักเรียรีนเขียขีนเครื่อรื่งหมาย x ทับทัตัวตัอักอัษรหน้าคำ ตอบที่ถูที่กถูต้อต้ง
๖.) ข้อข้ ใดมิไมิด้หด้มายถึงถึหน้าต่าต่ง ก. พระแกล ข. พระบัญบัชร ค. สีหบัญบัชร ง. พระทวาร ๗.) "พนักงานตั้งตั้เครื่อรื่งในห้องส่วนพระองค์" คำ ที่ขีที่ดขีเส้นไต้หต้มายถึงถึสิ่งใด ก. เครื่อรื่งแต่งต่กาย ข. อาหาร ค. หนังสือ ง. อาภรณ์ ๘.) "พระบาทสมเด็จ ด็ พระเจ้าจ้อยู่หัยู่ หัวฯ เสด็จ ด็ แปรพระราชฐาน พระตำ หนักภูพภูานราชนิเวศน์" คำ ที่ขีที่ดขีเส้นใต้หต้มายความว่าว่อย่าย่งไร ก. ไปพักผ่อผ่น ข. ท่อท่งเที่ยที่ว ค. ย้าย้ยไปชั่วชั่คราว ง. เปลี่ยลี่นภูมิภูลำมิ ลำเนา ๙.) ข้อข้ ใดมีคำมี คำ สรรพนามราชาศัพท์คท์รบทั้งทั้3 ชนิด คือสรรพนามบุรุบุ รุษที่ 1 , 2 และคำ ขานรับรั ก. เกล้าล้กระหม่อม่ม หม่อม่มฉัน เพคะ ข. ข้าพระพุท พุ ธเจ้า จ้ พระพุท พุ ธเจ้า จ้ ข้า ฝ่าพระบาท ค. กระหม่อม่ม เกล้าล้กระหม่อม่ม เพคะ ง. ใต้ฝ่ต้ ฝ่าพระบาท หม่อม่มเจ้าจ้ข้าข้พระพุทพุธเจ้าจ้ ๑๐.) คำ ราชาศัพท์ใท์นข้อข้ ใดที่ใที่ช้กัช้บกับุคบุลที่มีที่ฐมีานะสูงสูที่สุที่ดสุ ก. ประสูติสูติ ข. ตรัสรั ค. สวรรคต ง. พอพระทัยทั
เฉลยแบบทดสอบ เรื่อ รื่ ง คุ้ยเขี่ยคำ ประพันธ์พ ธ์ าเพลิน ให้นักเรียรีนเขียขีนเครื่อรื่งหมาย x ทับทัตัวตัอักอัษรหน้าคำ ตอบที่ถูที่กถูต้อต้ง ๑. “มัสมัมั่นมั่แกงแก้วก้ตา หอมยี่หยี่ร่าร่รสร้อร้นแรง ชายใดได้กด้ลืนลืแกง แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา ยำ ใหญ่ใญ่ ส่สารพัด วางจานจัดจัหลายเหลือลืตรา รสดีด้ดีวด้ยน้ำ ปลา ญี่ปุ่ญี่ ปุ่นปุ่ล้ำ ย้ำ ยวนใจ " คำ ประพันธ์นี้ธ์นี้มีทั้มีงทั้หมดกี่บกี่ท ก. ๒ บท ข. ๓ บท ค. ๔ บท ง. ๕ บท ๒. กลอนสุภสุาพ ๑ บท มีกี่มีกี่คำกี่ คำกลอน ก. ๑ คำ กลอน ข. ๒ คำ กลอน ค. ๓ คำ กลอน ง. ๔ คำ กลอน ๓. บาทเอกในกลอนสุภสุาพประกอบด้วด้ยวรรคอะไรบ้าบ้ง ก. วรรครอง วรรคส่ง ข. วรรคสลับ ลั วรรครับ รั ค. วรรครับรัวรรคส่ง ง. วรรคสลับลัวรรครอง ๔. ข้อข้ ใดลำ ดับดัชื่อชื่ของกลอนสุภสุาพได้ถูด้กถูต้อต้ง ก. รับรัรอง สดับดั ส่ง ข. รอง รับรั สดับดั ส่ง ค. สดับ ดั รับ รั รอง ส่ง ง. สดับดัรอง รับรั ส่ง ๕. ข้อข้ความในข้อข้ ใดควรเป็นวรรครับรั ก. ตูมตูตั้งตั้บังบั ใบอรชร ข. นิลบลพ้นน้ำ ขึ้นขึ้รำ ไร ค. น้ำ ใสไหลเย็น ย็ เห็นตัวตั ปลา ง. ว่าว่ยแหวกปทุม ทุ าอยู่ไยู่หวไหว
๖. คำ ใดเมื่อมื่เติมติลงในช่อช่งว่าว่งข้าข้งล่าล่งนี้แล้วล้จะสัมผัสผัอักอัษรกับกัคำ หน้าและคำ หลังลั " กลับลักระฉอก. . .ฉวัดวัเฉวียวีน" ก. สาดซัดซั ข. ซัดซั สาด ค. ฉาดฉัด ง. ฉัดฉาด ๗. คำ ประพันธ์ปธ์ระเภทใดบังบัคับ เอก โท ก. กลอนสุภสุาพ ข. กาพย์ยย์านี ๑๑ ค. โคลงสี่สุภ สุ าพ ง. กาพย์ฉย์บังบั๑๖ ๘. ข้อข้ ใดมีสัมี สัมผัสผั สระคล้อล้งจองเหมาะสมที่สุที่ดสุสำ หรับรัเติมติลงในช่อช่ง ว่าว่งต่อต่ ไปนี้ " ยังยัอยากเขียขีน. . .มีปมีระโยชน์" ก. ลำ นำ ข. กลอนดี ค. คำ กลอน ง. อักอัขรวิธวิ ๙. ข้อข้ความต่อต่ ไปนี้ถ้าถ้แบ่งบ่วรรคตอนถูกถูต้อต้งจัดจัเป็นคำ ประพันธ์ปธ์ระเภท ใด " หวานใดไม่หม่วานนักเท่าท่รสรักรั สมัคมัรสมไร้รัร้กรัหนักอารมณ์หวาน เหมือมืนขมอมโศกา" ก. กาพย์ฉย์บังบั๑๖ ข. กาพย์ย ย์ านี ๑๑ ค. กลอนสุภสุาพ ง. โคลงสี่สุภสุาพ ๑๐.ข้อข้ความต่อต่ ไปนี้ถ้าถ้แบ่งบ่รคตอนถูกถูต้อต้งจัดจัเป็นคำ ประพันธ์ปธ์ระเภทใด "ราตรีกรีรมอกอั้นอั้อิงอิเขนยคิดชนิษฐเคียงเคยขาดเคล้าล้จักจัหลับลัมิหมิลับลัเลย หลายทุ่มทุ่ยามนาตราบอรุณรุ่งรุ่เจ้าจ้เร่งร่ร้อร้นทรวงกระศัลย์ " ก. กาพย์ฉ ย์ บังบั๑๖ ข. กาพย์ย ย์ านี ๑๑ ค. กลอนสุภ สุ าพ ง. โคลงสี่สุภาพ
เฉลยแบบทดสอบ เรื่อ รื่ ง คุ้ยเขี่ยอิทธิพธิลภาษา ให้นักเรีย รี นเขียนเครื่อ รื่ งหมาย x ทับทัตัวอักษรหน้าคำ ตอบที่ถู ที่ ถู กต้อง ๑. เหตุใตุดจึงจึมีกมีารยืมยืคำ ภาษาต่าต่งประเทศมาใช้ใช้นภาษาไทย ก. เพราะในปัจจุบัจุนบัมีคมีนนิยมใช้กัช้นกัมาก ข. เพราะต้อต้งการให้ประเทศไทยทันทั สมัยมัมากขึ้นขึ้ ค. เพราะมีก มี ารติดติต่อต่ระหว่าว่งประเทศทั้ง ทั้ ด้า ด้ นการทูต ทู การค้าขาย ง. เพราะภาษาต่าต่งประเทศมีมมีากจึงจึต้อต้งนำ มาใช้ใช้นประเทศไทยบ้าบ้ง ๒. ข้อข้ ใดเป็นคำ ที่มที่าจากภาษาต่าต่งประเทศทุกทุคำ ก. เกาเหลา ข้าข้วเปล่าล่ข. บันบั ได แก้วก้น้ำ ค. ทุเทุรียรีน จานข้าข้ว ง. กัล กั ปังหา กีต กี าร์ ๓. ข้อข้ ใดกล่าล่วถึงถึข้อข้ สังเกตลักลัษณะของคำ ที่มที่าจากภาษาเขมรได้ถูด้กถูต้อต้ง ก. เป็นคำ ที่สที่ะกดตรงตามมาตรา ข. มักมั ใช้พช้ยัญยัชนะ ศ ษ ค. มีวมีรรณยุกยุต์หต์ลากหลาย ง. มัก มั จะเป็นคำ ควบกล้ำ ๔. ข้อข้ ใดเป็นคำ ที่มที่าจากภาษาเขมร ก. ปวง ข. ชน ค. สฤษฏ์ ง. ถวาย ๕. ข้อข้ ใดเป็นคำ ที่มที่าจากภาษาอังอักฤษทุกทุคำ ก. คอนเสิร์ต ร์ แท็ก ท็ ซี่ นอต ข. เกียกีร์ ดีเดีซล จับจักังกั ค. ทีวีทีวีบัดบักรี ชอล์กล์ง. จาระบี เรดาห์ สักหลาด ๖. ข้อข้ ใดเป็นคำ ที่มที่าจากภาษาจีนจีทุกทุคำ ก. โบตั๋นตั๋กุยกุช่าช่ย เท็ม ท็ ปุรปุะ ข. คะน้า ท้อท้ สึนามิ ค. ก๋ว ก๋ ยเตี๋ย ตี๋ ว โจ๊ก จ๊ โอเลี้ย ลี้ ง ง. จับจัเลี้ยลี้ง ซาโยนาระ โหวงเฮ้ง ๗. ประโยคในข้อข้ ใด ไม่มีม่ มีคำ บาลีสัลี สันสกฤตอยู่เยู่ลย ก. ถ้ำ หลวงเขานางนอนมีฤมีๅษีอยู่ข้ยู่าข้งใน ข. ศาสตราจารย์ค้ย์ ค้นพบสิ่งมีชีมีวิชีตวิ ใหม่ ค. โรงเรีย รี นขายก๋ว ก๋ ยเตี๋ย ตี๋ วถูกมาก ง. เป็นนักเรียรีนควรมีวิมีทวิยา จรรยา ปัญญา
๘. ฉิมพลี วิธีวิกธีารสะกดคำ ตามหลักลัภาษาบาลี อยู่ใยู่นวรรคใด และสะกด อย่าย่งไร ก. วรรคกะ สะกดด้วด้ยแถวที่ ๑ ตามด้วด้ยแถวที่ ๒ ข. วรรคจะ สะกดด้วด้ยแถวที่ ๓ ตามด้วด้ยแถวที่ ๔ ค. วรรคฏะ สะกดด้วด้ยแถวที่ ๕ ตามด้วด้ยแถวที่ ๒ ง. วรรคปะ สะกดด้ว ด้ ยแถวที่ ๕ ตามด้ว ด้ ยแถวที่ ๓ ๙. คำ ในข้อข้ ใดยืมยืมาจากภาษาสันสกฤตทุกทุคำ ก. กรีฑรีา อัชอัฌาสัย สมุทร ข. กีฬกีา บรรทัดทัพรรณนา ค. ศิษย์ พฤกษา เคราะห์ ง. พาณิชย์ มัธมัยมศึกษา ปราชญ์ ๑๐. ข้อข้ ใดเป็นลักลัษณะของคำ ภาษาจีนจีที่ใที่ช้ใช้นภาษาไทย ก. ส่วนใหญ่เญ่ ป็นเสียงสามัญมั ข. ไม่มีม่ตัมีวตั สะกดแต่นิต่ นิยมผสมด้วด้ยสระเสียงยาว ค. พยัญ ยั ชนะต้น ต้ เป็นอัก อั ษรกลางมากกว่าว่อัก อั ษรอื่น อื่ ง. ส่วนใหญ่เญ่ ป็นคำ พยางค์เดียดีว ไทยนำ มาสร้าร้งคำ ใหม่ เป็นคำ ประสม
เฉลยแบบทดสอบ ให้นักเรีย รี นเขีย ขี นเครื่อ รื่ งหมาย x ทับทัตัวอักษรหน้าคำ ตอบที่ถู ที่ ถู กต้อง เรื่อ รื่ ง คุ้ยเขี่ยร่าร่งการสร้าร้งคำ ๑. ข้อข้ ใดมีทั้มีงทั้คำ ประสม คำ ซ้อซ้น และคำ ซ้ำ ก. น้าสาวจะอ่ออ่นเพลีย ลี อยู่บ่ยู่อบ่ยๆ ข. ยามค่ำ คืนอย่าย่ออกนอกเรือรืนชาน ค. เราต้อต้งตกแต่งต่ช่อช่งให้น่าอยู่ ง. ไหนๆก็ทำ ก็ ทำงานอย่าย่ท้อท้แท้ ๒. ข้อข้ ใดเป็นคำ มูลทุกทุคำ ก. พ่อ ดีใดีจ ชาวนา ข. กินกิ สวน ไป ค. น้อง ไก่ชก่น บ้าบ้นพัก ง. งอกงาม ข้าข้วเปล่าล่น้ำ เชื่อชื่ม ๓. ข้อข้ ใดเป็นคำ ประสมที่เที่กิดกิจากคำ นามประสมกับกัคำ กริยริา ก. น้าสาว ข. น้ำ ปลา ค. มดแดง ง. หมอดู ๔. ข้อข้ ใดเป็นคำ ประสมที่เที่กิดกิจากคำ นามประสมกับกัคำ กริยริา ก. ห่อหมก ข. ตาขาว ค. ปลากัด กั ง. บ้าบ้นใหม่ ๕. ข้อข้ ใดไม่มีม่คำมี คำซ้อซ้น ก. ใดใดในโลกล้วล้นอนิจจังจัข. สิ่งของต่าต่งๆนานา ค. ให้นั่งที่ที่ ที่ที่เ ที่ ก้า ก้ อี้ตั อี้ ว ตั นั้น ง. แจกนมให้เด็ก ด็ เป็นคนๆไป ๖. ข้อข้ ใดเป็นคำ ซ้อซ้น ก. สาวสวย ข. ฟืนไฟ ค. น้ำ แข็ง ข็ ง. รถพ่วง ๗. ข้อข้ความใดไม่เม่ ป็นคำ ซ้อซ้น ก. จะเร่งร่ระมัดมั ฟืนไฟ ข. ที่ชที่อบช่วช่ยยกยอ ค. ไปเรือ รื นท่าท่นอย่าย่นิ่งนาน ง. คนพาลอย่าย่พาลผิดผิ