สรุปผลการด าเนินงาน คณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ (๑๑ กันยายน ๒๕๖๒ – ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๖) กลุ่มงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ส านักกรรมาธิการ ๓ ส านักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
สรุปผลการด าเนินงาน คณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ (๑๑ กันยายน ๒๕๖๒ – ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๖) กลุ่มงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ส านักกรรมาธิการ ๓ ส านักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
ชื่อหนังสือ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ คณะผู้จัดท ำ ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ กลุ่มงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม ส านักกรรมาธิการ ๓ ส านักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เลขที่ ๑๑๑๑ ถนนสามเสน แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ ๑๐๓๐๐ โทรศัพท์ ๐ ๒๒๔๒ ๕๙๐๐ ต่อ ๗๒๐๑ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ [email protected] www.parliament.go.th ครั้งที่พิมพ์ พิมพ์ครั้งที่ ๑ ปีที่พิมพ์ เมษายน ๒๕๖๖ จ ำนวนพิมพ์ ๕๐๐ เล่ม สถำนที่พิมพ์ ส านักการพิมพ์ ส านักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
ก สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ค าน า หนังสือสรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ เล่มนี้ จัดท าขึ้นเพื่อสรุปรวบรวมผลการด าเนินงานที่ผ่านมา กว่า ๓ ปีเศษ (๑๑ กันยายน ๒๕๖๒ – ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๖)ของคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม และประชาสัมพันธ์เผยแพร่ให้คณะสงฆ์ สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หน่วยงานของรัฐ องค์กรภาคเอกชน สื่อมวลชน และประชาชน ได้รับทราบและน าไปต่อยอด ให้เกิดประโยชน์ต่อไป คณะกรรมาธิการมีหน้าที่และอ านาจตามข้อบังคับการประชุม สภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙๐ (๓๐)คือ กระท ากิจการ พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริง หรือศึกษาเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวกับการอุปถัมภ์ท านุบ ารุงและคุ้มครองศาสนาและโบราณสถาน การอนุรักษ์และส่งเสริมศิลปะ ขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่น วัฒนธรรม ประชาธิปไตย ภูมิปัญญาชาวบ้าน เอกลักษณ์แบบวิถีชีวิตไทย และศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย หนังสือสรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการฯ เล่มนี้ เป็นการสรุป รวบรวมผลการด าเนินงานที่เกิดจากการประชุม การศึกษาดูงาน และการจัดสัมมนา ให้ความรู้เชิงวิชาการและปฏิบัติการ โดยคณะกรรมาธิการได้มีการประชุมและการเดินทางไป ศึกษาดูงานเพื่อพิจารณาศึกษาและติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาเรื่องต่าง ๆ จนแล้วเสร็จหรือได้ข้อสรุปหรือมีความคืบหน้าอย่างมีนัยส าคัญ ประกอบด้วยผลงาน ที่ส าคัญ ๗ ด้าน ดังนี้ ๑. การเสนอร ่างพระราชบัญญัติเกี ่ยวกับการอุปถัมภ์และคุ้มครอง พระพุทธศาสนา ๒. การเสนอรายงานผลการศึกษาเกี่ยวกับการอุปถัมภ์และคุ้มครอง ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ๓. การพิจารณาแก้ไขปัญหาการขออนุญาตใช้ที่ดินของรัฐเพื่อการศาสนา ปัญหาการสร้างวัดและตั้งวัด ปัญหาการยกวัดร้างเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จ าพรรษา ปัญหา การขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมา และปัญหาการจัดการศาสนสมบัติของวัด ๔. การพิจารณาติดตามการก าหนดนโยบายและโครงการ หรือการด าเนินการ ต่าง ๆ ของรัฐเกี่ยวกับการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ๕. การพิจารณาข้อเสนอ โครงการ กิจกรรม หรือแนวทางในการอุปถัมภ์ และคุ้มครองศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ๖. การพิจารณาตรวจสอบข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ พฤติกรรม หรือการกระท าใด ๆ ของหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือภาคเอกชน ที่อาจส่งผลกระทบ ต่อศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม
ข สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๗. การพิจารณาติดตามการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ พฤติกรรม หรือ การกระท าใด ๆ ของพระสังฆาธิการหรือพระภิกษุที่ไม่เหมาะสมหรือถูกต้องตามพระวินัย หรือกฎหมาย ที่อาจส่งผลกระทบต่อคณะสงฆ์หรือพระพุทธศาสนา อนึ่ง คณะกรรมาธิการได้พิจารณาเรื่องร้องเรียนจ านวนมากเกี่ยวกับ การอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา แต่มิได้ละเลยศาสนาอื่น ๆ ที่ทางราชการรับรอง ซึ่งมีการเสนอเรื่องร้องเรียนมาจ านวนหนึ่ง โดยคณะกรรมาธิการได้ประสานงานกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องเพื่อด าเนินการแก้ไขปัญหาเช่นเดียวกัน คณะกรรมาธิการขอกราบขอบพระคุณมหาเถรสมาคมและพระเถรานุเถระ ทุกรูป ขอขอบคุณกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กรมศิลปากร กรมป่าไม้ กรมที่ดิน กรมธนารักษ์กรมชลประทาน ส านักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม หน่วยงานของรัฐ และองค์กรภาคเอกชนทุกแห่ง ที่ได้ให้ความอนุเคราะห์และความร่วมมือกับคณะกรรมาธิการ เป็นอย่างดียิ่ง ทั้งในเรื่องการประชุม การศึกษาดูงาน การจัดสัมมนา การให้ข้อมูล และเรื่องอื่น ๆ ตลอดจนขอขอบคุณผู้ร้องเรียนหรือผู้ที่เสนอเรื่องต่าง ๆ เข้ามาให้คณะกรรมาธิการได้พิจารณา ตามหน้าที่และอ านาจ ซึ่งท าให้คณะกรรมาธิการได้รับทราบสภาพปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยใช้อ านาจหน้าที่ตามกลไกของฝ่ายนิติบัญญัติในการพิจารณา หาแนวทางแก้ไขให้ถูกต้อง ส่งผลให้การด าเนินงานของคณะกรรมาธิการมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น คณะกรรมาธิการหวังว่า หนังสือสรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการ เล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการสืบสาน รักษา และต่อยอดงานด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ของชาติต่อไป ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมาธิการ การศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๖
ค สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ สารบัญ ค าน า ก สารบัญ ค รายนามคณะกรรมาธิการ จ บทสรุปผู้บริหาร ญ ข้อเสนอแนะและข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการ ฒ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการ ๑ - สรุปผลการประชุมและการศึกษาดูงานของคณะกรรมาธิการ ๒ ๑. การเสนอร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ๓ ๒. การเสนอรายงานผลการศึกษาเกี่ยวกับการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ๑๓ ๓. การพิจารณาแก้ไขปัญหาการขออนุญาตใช้ที่ดินของรัฐเพื่อการศาสนา ปัญหาการสร้างวัดและตั้งวัด ปัญหาการยกวัดร้างเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จ าพรรษา ปัญหาการขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมา และปัญหาการจัดการศาสนสมบัติของวัด ๑๗ ๓.๑ ปัญหาการขออนุญาตเข้าท าประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่า เพื่อสร้างวัด ตั้งวัด หรือการศาสนา ๑๗ ๓.๒ ปัญหาการขอใช้ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน เพื่อสร้างวัด ตั้งวัด หรือการศาสนา ๓๓ ๓.๓ ปัญหาการขอใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เพื่อสร้างวัด ตั้งวัด หรือการศาสนา ๓๙ ๓.๔ ปัญหาการขอใช้ที่ราชพัสดุ เพื่อสร้างวัด ตั้งวัด หรือการศาสนา ๔๘ ๓.๕ ปัญหาการสร้างวัดและตั้งวัด ปัญหาการยกวัดร้างเป็นวัดมีพระภิกษุ อยู่จ าพรรษา และปัญหาการขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมา ๕๓ ๓.๖ ปัญหาการจัดการศาสนสมบัติของวัด ๖๑ ๔. การพิจารณาติดตามการก าหนดนโยบายและโครงการ หรือการด าเนินการ ต่าง ๆ ของรัฐเกี่ยวกับการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ๘๔ ๕. การพิจารณาข้อเสนอ โครงการ กิจกรรม หรือแนวทางในการอุปถัมภ์ และคุ้มครองศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ๑๐๒
ง สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ สารบัญ (ต่อ) ๖. การพิจารณาตรวจสอบข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ พฤติกรรม หรือการกระท าใด ๆ ของหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือภาคเอกชน ที่อาจส่งผลกระทบต่อศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ๑๕๖ ๗. การพิจารณาติดตามการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ พฤติกรรม หรือการกระท าใด ๆ ของพระสังฆาธิการหรือพระภิกษุที่ไม่เหมาะสม หรือถูกต้องตามพระวินัยหรือกฎหมาย ที่อาจส่งผลกระทบต่อคณะสงฆ์ หรือพระพุทธศาสนา ๑๗๖ - การจัดสัมมนาของคณะกรรมาธิการ ๑๗๗ ภาคผนวก - รายนามคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ๆ - รายนามคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านศิลปะและวัฒนธรรม - รายนามที่ปรึกษา ผู้ช านาญการ นักวิชาการ และเลขานุการประจ าคณะกรรมาธิการ (ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ – ๒๕๖๕) - รายนามที่ปรึกษาประจ าคณะกรรมาธิการที่ไม่มีค่าตอบแทน - รายนามที่ปรึกษาประจ าคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านพระพุทธศาสนา และศาสนาอื่นๆ - รายนามที่ปรึกษาประจ าคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านศิลปะและวัฒนธรรม - รายนามคณะผู้จัดท า
จ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ รายนาม คณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ณ วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๖ นางพรเพ็ญ บุญศิริวัฒนกุล รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่หนึ่ง นายเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สาม นายวุฒิพงษ์ นามบุตร รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สี่ รองศาสตราจารย์รงค์ บุญสวยขวัญ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่ห้า
ฉ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ นางสาวณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่หก พลต ารวจตรี สุรินทร์ ปาลาเร่ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ นายชวน ชูจันทร์ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ นางสาวละออง ติยะไพรัช ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ นางมนพร เจริญศรี โฆษกคณะกรรมาธิการ นายทองแดง เบ็ญจะปัก โฆษกคณะกรรมาธิการ
ช สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ นายรองรักษ์ บุญศิริ กรรมาธิการ นายยอดยิ่ง แสนยากุล กรรมาธิการ นายบุญแก้ว สมวงศ์ กรรมาธิการ นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา กรรมาธิการ
ซ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ รายนาม อดีตกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ นายสุชาติ อุสาหะ ประธานคณะกรรมาธิการ (๑๑ กันยายน ๒๕๖๒ – ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๕) นายชัชวาลล์ คงอุดม (๑๑ กันยายน ๒๕๖๒ – ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๒) นายเทพไท เสนพงศ์ (๑๑ กันยายน ๒๕๖๒ – ๑๖ กันยายน ๒๕๖๓) นางสาวสุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา (๑๑ กันยายน ๒๕๖๒ – ๑๐ กันยายน ๒๕๖๔)
ฌ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ นายไพบูลย์ นิติตะวัน (๑๑ กันยายน ๒๕๖๒ – ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๔) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง (๑๑ กันยายน ๒๕๖๒ – ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๕) นายกฤษณ์ แก้วอยู่ (๑๑ กันยายน ๒๕๖๒ – ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๕) นายนพดล แก้วสุพัฒน์ (๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ – ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๕) นางสมหญิง บัวบุตร (๑๑ กันยายน ๒๕๖๒ – ๔ มกราคม ๒๕๖๖) นางสาวไพลิน เทียนสุวรรณ (๑๑ กันยายน ๒๕๖๒ – ๒๑ กุมภาพันธ์๒๕๖๖)
ญ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ บทสรุปผู้บริหาร ด้วยในคราวประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ปีที่ ๑ ครั้งที่ ๒๑ (สมัยสามัญ ประจ าปี ครั้งที่หนึ่ง) เมื่อวันพุธที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๒ ที่ประชุมได้ลงมติตั้งคณะกรรมาธิการ การศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙๐ โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๖๗ มีบทบัญญัติว่า รัฐพึง อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ๆ ในการอุปถัมภ์และคุ้มครอง พระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือมาช้านาน รัฐพึงส่งเสริมและ สนับสนุนการศึกษาและการเผยแพร่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาทเพื่อให้เกิดการพัฒนา จิตใจและปัญญา และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนท าลาย พระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด และพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการด าเนิน ตามมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย ประกอบกับข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙๐ (๓๐) บัญญัติว่า ให้สภาตั้งคณะกรรมาธิการสามัญได้สามสิบห้าคณะ แต่ละคณะ ประกอบด้วยกรรมาธิการมีจ านวนสิบห้าคน โดยให้คณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและ วัฒนธรรม มีหน้าที่และอ านาจกระท ากิจการ พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริง หรือศึกษาเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวกับการอุปถัมภ์ ท านุบ ารุงและคุ้มครองศาสนาและโบราณสถาน การอนุรักษ์และส่งเสริม ศิลปะ ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมท้องถิ่น วัฒนธรรมประชาธิปไตย ภูมิปัญญาชาวบ้าน เอกลักษณ์ แบบวิถีชีวิตไทย และศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย คณะกรรมาธิการในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ และเป็นกลไกส าคัญในการท าหน้าที่สอบหาข้อเท็จจริง และศึกษาเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวกับการอุปถัมภ์ ท านุบ ารุงและคุ้มครองศาสนาและโบราณสถานตามหน้าที่และอ านาจที่บัญญัติรองรับไว้ใน ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรดังกล่าว เมื่อตั้งคณะกรรมาธิการตามมติที่ประชุมของสภาผู้แทนราษฎร เมื่อช่วงเดือน กันยายน ๒๕๖๒ คณะกรรมาธิการได้พิจารณาแผนการด าเนินงานตลอดระยะเวลาเกือบครบวาระ อายุสภาผู้แทนราษฎร ๔ ปี (การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๒) ในเบื้องต้นคณะกรรมาธิการได้พิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติที่ส าคัญเกี่ยวกับการอุปถัมภ์ และส่งเสริมพระพุทธศาสนาเพื่อเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริม พุทธศาสนิกชนในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติสภาส่งเสริม กิจการพระพุทธศาสนา พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการเดินทางไปพุทธสังเวชนียสถาน พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติธนาคารพุทธแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... เมื่อคณะกรรมาธิการ พิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติทั้ง ๔ ฉบับ เสร็จแล้วได้น าไปร่วมประชุมกับรัฐมนตรี ประจ าส านักนายกรัฐมนตรี และส่งมอบร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว หลังจากนั้น รัฐมนตรีประจ า ส านักนายกรัฐมนตรีได้มอบให้ผู้แทนมหาเถรสมาคมและส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร่วมประชุมและพิจารณาปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติทั้ง ๔ ฉบับ ให้มีความสมบูรณ์ร่วมกับ คณะกรรมาธิการ จนกระทั่งได้ส่งมอบร่างพระราชบัญญัติที่ร่วมกันพิจารณาปรับปรุงแล้ว
ฎ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ให้รัฐมนตรีประจ าส านักนายกรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่งเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ต่อไป ในขณะเดียวกันสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรส่วนหนึ่งซึ่งเป็นกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการ การศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติทั้ง ๔ ฉบับ ต่อสภาผู้แทนราษฎร คู่ขนานกันไป โดยมีความมุ่งหวังที่ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจะเข้าสู่การพิจารณาของ สภาผู้แทนราษฎรในคราวเดียวกัน อีกทั้ง ในช่วงระยะเวลาก่อนหน้าดังกล่าวได้เกิดปัญหา ที่รุนแรงและส่งผลกระทบต่อพระพุทธศาสนาอย่างหนัก เช่น กรณีปัญหาทุจริต “เงินทอนวัด” ท าให้พระสงฆ์ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระท าความผิดในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ คณะกรรมาธิการ จึงได้ศึกษาและหาวิธีการเพื่อแก้ไขปัญหาโดยได้น างบประมาณของคณะกรรมาธิการจัดพิมพ์ หนังสือคู่มือการจัดท าบัญชีทรัพย์สินของวัด จ านวน ๒๕,๐๐๐ เล่ม และขอความอนุเคราะห์ ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจัดพิมพ์เพิ่มเติมอีกจ านวน ๑๐,๐๐๐ เล่ม เพื่อเป็นหนังสือคู่มือ และเป็นการถวายความรู้แด่พระสังฆาธิการ เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอ าเภอ เจ้าคณะต าบล เจ้าอาวาส และไวยาวัจกร เพื่อจัดท าบัญชีทรัพย์สินของวัดเบื้องต้น และเป็นข้อมูลป้องกัน การกล่าวอ้างว่าทุจริตอันจะน าไปสู่การด าเนินคดีตามกฎหมาย นอกจากการจัดพิมพ์หนังสือถวายแล้ว ยังได้ถวายความรู้โดยการจัดสัมมนา หรือกรณีพระสงฆ์จะถูกเจ้าหน้าที่ต ารวจจับกุมเนื่องจาก เข้าไปตั้งวัดในเขตพื้นที่ป่าไม้ป่าสงวนแห่งชาติ อุทยานแห่งชาติ เขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม รวมถึงที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน (ที่สาธารณประโยชน์) หรือที่ราชพัสดุ ซึ่งคณะกรรมาธิการได้รับเรื่องร้องเรียน และมอบให้คณะอนุกรรมาธิการพิจารณา ศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ๆ ได้พิจารณาศึกษาทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย น าไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน และก าหนดเป็นกรณีตัวอย่าง/แบบอย่าง (Role Model) เพื่อน าไปแก้ไขปัญหากับเรื่องอื่น ๆ ที่มีปัญหาในลักษณะเดียวกัน กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ การขอใช้ที่ดินของรัฐเพื่อตั้งวัด ได้แก่ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายที่ดิน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายอาญา พระราชบัญญัติ ป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ กฎกระทรวง การสร้าง การตั้ง การรวม การย้าย และการยุบเลิกวัด การขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมา และการยกวัดร้าง ขึ้นเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จ าพรรษา พ.ศ. ๒๕๕๙ ระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ว่าด้วยการมอบหมายให้เลขาธิการส านักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพิจารณาอนุญาต ให้ใช้ที่ดินเพื่อกิจการสาธารณูปโภคและกิจการอื่น ๆ พ.ศ. ๒๕๓๖ ระเบียบคณะกรรมการ พิจารณาการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การขออนุญาต และการอนุญาตให้เข้าท าประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๕ ในส่วน ของการศึกษาพระปริยัติธรรมซึ่งพระราชบัญญัติการศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. ๒๕๖๒ มีผล ใช้บังคับแล้วแต่ยังมีปัญหาเกี่ยวกับการก าหนดมาตรฐานกลางการบริหารงานบุคคล กรณีการก าหนด ต าแหน่ง อัตราก าลัง เงินเดือน เงินประจ าต าแหน่ง และเงินวิทยฐานะให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน ๒ ประเภท ในโรงเรียนสอนพระปริยัติธรรม ดังนี้ (๑) ประเภทผู้ปฏิบัติงานสอน ได้แก่ ครูสอนพระปริยัติธรรม และครูโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา และ (๒) ประเภทผู้สนับสนุนการศึกษา ได้แก่ บุคลากรทางการศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้านวิชาการ ซึ่งท าหน้าที่
ฏ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ให้บริการเกี่ยวกับการจัดกระบวนการเรียนการสอน การนิเทศ และการบริหารการศึกษา ในสถานศึกษาพระปริยัติธรรม ซึ่งมีทั้งหมด ๓๕ ต าแหน่ง คณะกรรมาธิการได้พิจารณาศึกษา และร่วมประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ ครูผู้สอนที่เป็นพระสงฆ์และฆราวาส ส านักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติ กรมบัญชีกลาง ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา หลายครั้งอย่างต่อเนื่อง และติดตามความคืบหน้าอยู่ตลอดเวลา เมื่อพบปัญหาว่าติดขัด ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องใด จะรีบด าเนินการแก้ไขโดยทันที ดังนั้น จึงเป็นความส าเร็จที่คณะกรรมาธิการได้ด าเนินการ ตามหน้าที่และอ านาจ เพื่ออุปถัมภ์พระพุทธศาสนาและช่วยเหลือครูผู้สอนในโรงเรียนพระปริยัติธรรม ทั้ง ๓ แผนก ได้แก่ แผนกบาลีสนามหลวง แผนกธรรมสนามหลวง และแผนกสามัญศึกษา ขณะนี้กรมบัญชีกลางเห็นชอบอนุมัติเบื้องต้น จ านวน ๑๖ ต าแหน่ง ในส่วนที่เหลือจะต้อง ก าหนดเกณฑ์มาตรฐานเพื่อให้บุคลากรทั้งหมดได้รับเงินค่าตอบแทนหรือเงินเดือนเช่นเดียวกัน ซึ่งถือว่าได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของการสอนพระปริยัติธรรมในประเทศไทยสม ดังค าแนะน าของสมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต) อดีตเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต อดีตกรรมการมหาเถรสมาคม และอดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ในส่วนของโครงการก่อสร้างพุทธมณฑลของจังหวัดต่าง ๆ ตั้งแต่คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๗ คณะกรรมาธิการเดินทางไปศึกษาดูงานในแต่ละจังหวัด จึงพบปัญหาว่า ในแต่ละจังหวัดมีการก่อสร้างที่ต่างกัน เช่น จ านวนและขนาดของที่ดิน ระยะทาง และความสะดวกที่ประชาชนสามารถเดินทางไปร่วมกิจกรรม การหาเจ้าภาพที่จะเริ่มการก่อสร้าง รวมถึงการท านุบ ารุงรักษาในระยะยาวต่อไป เพื่อใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ไม่ปล่อยให้เป็นสถานที่ร้าง พบข้อเท็จจริงว่าบางจังหวัดมีความพร้อมมากสามารถก่อสร้างได้ตรงตามวัตถุประสงค์คือ พุทธอุทยาน นครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ เริ่มโครงการก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๘ โดยคณะสงฆ์เป็นผู้ดูแล รักษา ท านุบ ารุง ในขณะที่พุทธมณฑลจังหวัดขอนแก่นมีองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น เป็นผู้รับผิดชอบดูแลรักษา จากสภาพที่พบเห็นเมื่อมีการก่อสร้างแล้ว ต่อมาช ารุดทรุดโทรม ต้องจัดหางบประมาณมาซ่อมแซมและด าเนินการได้ยาก คณะกรรมาธิการมีความเห็นว่า ในพุทธมณฑลควรมีส านักงานเจ้าคณะจังหวัด ส านักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด และส านักงาน วัฒนธรรมจังหวัด เพื่อเกิดจุดศูนย์รวมในการประกอบกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาอย่างสม่ าเสมอ และยั่งยืน ระหว่างวัด พระสงฆ์ และประชาชนทั่วไป รวมถึงการเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงพระพุทธศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมของจังหวัด ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการปฏิบัติตามหลักธรรมค าสอนทางพระพุทธศาสนา และด าเนินชีวิตอย่างมีความสุข รวมทั้งสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น การพิจารณาศึกษาการขอออกโฉนดที่ดินให้แก่วัด มีกรณีตัวอย่างที่ศึกษาแล้ว เกิดผลส าเร็จหลายเรื่องด้วยกัน เช่น เจ้าอาวาสวัดบันไดอิฐขอให้คณะกรรมาธิการพิจารณาศึกษา การออกโฉนดที่ดินให้แก่วัดซึ่งตั้งมาตั้งแต่ประมาณสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) คณะกรรมาธิการได้ลงพื้นที่ศึกษาดูงานที่วัดบันไดอิฐ อ าเภอเมืองเพชรบุรีจังหวัด เพชรบุรี และร่วมประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ส านักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเพชรบุรี กรมศิลปากร ได้พิสูจน์สิทธิโดยอาศัยหลักฐานเอกสารพระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
ฐ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ เจ้าอยู่หัว ในหนังสือของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาด ารงราชานุภาพ จัดพิมพ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๖ โดยองค์การค้าของคุรุสภาได้กล่าวถึงพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปีวอก พ.ศ. ๒๔๐๓ ซึ่งวัดบันไดอิฐได้ตั้งขึ้นอยู่ก่อนการเสด็จไปทรงทอดพระกฐินแล้ว จึงท าให้กรมศิลปากรส ารวจ ความเป็นโบราณสถานได้รวดเร็วขึ้น และกรณีการขอใช้ที่ดินของรัฐเพื่อตั้งวัด เช่น การขอตั้งวัด พระธาตุดอยเวียงแก้ว (ครูบาบุญชุ่ม) ต าบลศรีดอนมูล อ าเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ได้รับอนุญาต ให้ตั้งวัดตามกฎหมาย โดยขอใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จ านวน ๑๕ ไร่ เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๕ การขอต่ออายุเข้าท าประโยชน์ในที่ป่าไม้ของวัดห้วยปลากั้ง ต าบลริมกก อ าเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย และการขอใช้ที่ป่าสงวนแห่งชาติของมูลนิธิวิมุตตยาลัย เพื่อตั้งวัดไร่เชิญตะวัน มหาวิชชาลัยพุทธเศรษฐศาสตร์ และศูนย์วิปัสสนาสากล (ไร่เชิญตะวัน) ต าบลห้วยสัก อ าเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้เมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๖ อีกทั้งการขับเคลื่อนจากคณะสงฆ์จังหวัดเชียงใหม่ในการสร้างทางเดินเท้าขึ้นไป วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหารเพื่อความปลอดภัยของผู้เดินทาง และการสร้างพุทธมณฑล จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งหน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือในการพิจารณาศึกษา หาแนวทางด าเนินงานเป็นอย่างดี คณะกรรมาธิการได้พิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชย ให้แก่พระภิกษุและสามเณรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัส โคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เสนอผ่านกรมบัญชีกลาง ส านักงบประมาณ และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ในส่วนของเรื่องร้องเรียนพระภิกษุ หรือสามเณร ประพฤติตนไม่เหมาะสมกับสมณสารูป ได้ด าเนินการพิจารณาแก้ไขปัญหาร่วมกับส านักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติ ก าหนดหมายเลขโทรศัพท์สายด่วน ๑๓๗๔ เพื่อให้ส านักงาน พระพุทธศาสนาจังหวัดทั่วประเทศสามารถประสานฝ่ายปกครองในพื้นที่เพื่อความเข้มงวด ในการลงพื้นที่ให้มากขึ้น รวมทั้งรายงานมายังส่วนกลางเพื่อแก้ไขปัญหาเชิงรุก รวมทั้งประสาน กับกองอ านวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรทุกจังหวัด เพราะกรณีของพระสงฆ์ มีผลกระทบต่อความมั่นคงของสถาบันศาสนา นอกจากนี้ ยังให้ความส าคัญกับการเสนอให้บรรจุ การเรียนการสอนด้านศีลธรรม และจริยธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ต่อกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จะน าข้อเสนอแนะไปประกอบการพิจารณาในการปรับปรุงหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ต่อไป การปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการจึงประสบผลส าเร็จเป็นอย่างดี ได้รับความชื่นชม จากสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หน่วยงานราชการ รวมทั้งภาคเอกชนซึ่งล้วนแต่มีจิตใจบริสุทธิ์ มีความมุ่งหวังที่จะอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนอยู่คู่กับประเทศชาติและ ประชาชน ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการได้เข้ากราบนมัสการสมเด็จพระสังฆราชและมหาเถรสมาคม เพื่อถวายรายงานผลการด าเนินงานของคณะกรรมาธิการตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คณะสงฆ์ทราบถึงแนวทางการด าเนินงานและผลส าเร็จของการด าเนินงาน
ฑ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ในส่วนของการอนุรักษ์และส่งเสริมศิลปะ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม ท้องถิ่น วัฒนธรรมประชาธิปไตย ภูมิปัญญาชาวบ้าน เอกลักษณ์ แบบวิถีชีวิตใหม่ และศิลปะ ร่วมสมัย คณะกรรมาธิการได้ตั้งคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านศิลปะและวัฒนธรรม โดยการศึกษาข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย ร่วมกับกรมศิลปากร เจ้าอาวาส ไวยาวัจกร จัดหางบประมาณ เพื่อบูรณปฏิสังขรณ์โบราณสถาน เช่น วัดใหญ่สุวรรณารามวรวิหาร อ าเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัด เพชรบุรี มีศาลาการเปรียญที่เป็นงานศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยา ตัวหลังคาและเสาปูนนั้นมีน้ าหนักมาก ท าให้เกิดการยุบตัวและเกิดความเสียหาย คณะกรรมาธิการได้เดินทางไปศึกษาดูงานและร่วมประชุม กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจนเกิดความร่วมมือและจัดหางบประมาณแบบบูรณาการระหว่างวัด กรมศิลปากร และประชาชน จนเกิดความส าเร็จเป็นแผนงบประมาณและแผนการด าเนินการ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ รวมถึงกรณีองค์พระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ กรณีหลวงพ่อโต วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร จังหวัดสุพรรณบุรี กรณีพระพุทธรูปเศียรขาด บริเวณวิหารคดของวัด กันมาตุยาราม เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ โดยเป็นการจัดหางบประมาณแบบบูรณาการร่วมกัน ระหว่างวัด กรมศิลปากร และประชาชนผู้มีจิตศรัทธา จนกระทั่งสามารถบูรณปฏิสังขรณ์ ได้ส าเร็จ ถือเป็นการอนุรักษ์ศิลปะและโบราณสถานให้เป็นสถานที่เรียนรู้และท่องเที่ยวได้ เป็นอย่างดี คณะกรรมาธิการได้ด าเนินการตามหน้าที่และอ านาจตามข้อบังคับการประชุม ในเชิงรุกคือการเดินทางไปศึกษาดูงานเพื่อศึกษาข้อเท็จจริงในพื้นที่ และร่วมประชุมกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แม้ในช่วงเวลาที่ประสบปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) มิได้เป็นอุปสรรค เมื่อลงพื้นที่ไม่ได้จึงได้ปรับรูปแบบเป็นการประชุมผ่านสื่อ อิเล็กทรอนิกส์ (Application Zoom Meeting) ท าให้การด าเนินงานเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และส่งผลให้การด าเนินงานของคณะกรรมาธิการมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยได้พิจารณาศึกษา เรื่องร้องเรียนต่าง ๆ ร่วมกับฝ่ายคณะสงฆ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและได้เสนอต่อฝ่ายบริหาร เป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย นอกจากนี้ยังได้รับความพึงพอใจในการด าเนินงานตามหน้าที่ และอ านาจของฝ่ายนิติบัญญัติจากคณะสงฆ์ ภาคราชการ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป ที่สามารถอาศัยกลไกการด าเนินงานของคณะกรรมาธิการช่วยแก้ปัญหาและมีข้อเสนอแนะ เชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาให้มีความมั่นคง และเป็นศูนย์รวมของความศรัทธาที่ประชาชนสามารถน าไปใช้ในการด าเนินชีวิตได้อย่างดีต่อไป โดยเฉพาะคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ๆ ซึ่งมี การประชุมจ านวนมากกว่าหนึ่งร้อยครั้ง และคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านศิลปะ และวัฒนธรรมซึ่งด าเนินการพิจารณาศึกษาและใช้กลไกการแก้ปัญหาผ่านคณะกรรมาธิการ นับได้ว่า คณะกรรมาธิการได้ท าหน้าที่อุปถัมภ์ ท านุบ ารุงและคุ้มครองศาสนาและโบราณสถาน ตลอดจนอนุรักษ์และส่งเสริมศิลปะ ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมท้องถิ่น วัฒนธรรม ประชาธิปไตย ภูมิปัญญาชาวบ้าน เอกลักษณ์ แบบวิถีชีวิตไทย และศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ได้อย่างแท้จริง
ฒ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ข้อเสนอแนะและข้อสังเกต ของคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม จากการด าเนินงานในช่วงเวลากว่า ๓ ปีเศษ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ – ๒๕๖๖ (๑๑ กันยายน ๒๕๖๒ – ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๖) คณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ได้รับทราบข้อมูล ข้อเท็จจริง สภาพปัญหา และอุปสรรคต่าง ๆ ตลอดจนแนวคิด แนวทาง ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริม อุปถัมภ์ และคุ้มครองศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม โดยสรุปเป็นสาระส าคัญเพื่อประโยชน์ในการด าเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ดังนี้ ๑. การขออนุญาตเข้าท าประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่า เพื่อสร้างวัด ตั้งวัด หรือการศาสนา ๑.๑ ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและกรมป่าไม้ควรมีการจัดท า ฐานข้อมูลวัด ส านักสงฆ์ หรือที่พักสงฆ์ ที่ตั้งอยู่ในเขตป่าหรือใช้ที่ดินเพื่อกิจการทางศาสนา ในเขตป่าแล้วให้ทั้งสองหน่วยงานบูรณาการข้อมูลร่วมกันเป็นเครือข่ายในการดูแลรักษาป่า และมีข้อมูลถูกต้องตรงกันและเชื่อมโยงกัน เพื่อประโยชน์สูงสุดในการแก้ไขปัญหาการใช้พื้นที่ป่า โดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างยั่งยืน ๑.๒ กรมป่าไม้ควรมีการพิจารณาทบทวนการน าบทนิยาม ค าว่า “ป่า” ตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ มาใช้ในการพิจารณาให้ ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐต้องยื่นขออนุญาตท าประโยชน์ในเขตป่า เนื่องจากบทนิยาม ค าว่า “ป่า” หมายความว่า ที่ดินที่ยังมิได้มีบุคคลได้มาตามกฎหมายที่ดิน ดังนั้น จึงอาจท าให้ เกิดความซ้ าซ้อนกับที่ดินประเภทอื่น ๆ ที่มีการจ าแนกเฉพาะออกมาแต่ยังไม่มีการส่งมอบให้ หน่วยงานอื่นเข้าไปจัดสรรตามกฎหมาย เช่น พื้นที่ที่จ าแนกออกมาเฉพาะของกรมพัฒนาที่ดิน เป็นต้น ๑.๓ กรมป่าไม้ควรมีการพิจารณาแก้ไข ปรับปรุงกฎหมาย หรือระเบียบ ที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาอนุญาตให้ส่วนราชการที่ขอใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้หรือป่าสงวน แห่งชาติเพื่อให้กระบวนการพิจารณาอนุญาตมีความรวดเร็ว ชัดเจน และก าหนดเงื่อนระยะเวลา ให้สามารถติดตามกระบวนงานได้ด้วย นอกจากนี้ อาจมอบอ านาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือระดับหัวหน้าหน่วยงานในพื้นที่ให้มีอ านาจพิจารณาอนุญาตได้โดยไม่ต้องส่งค าขอไปที่ ราชการส่วนกลางอีก ๒. การขอใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เพื่อสร้างวัด ตั้งวัด หรือการศาสนา การด าเนินการพิจารณาค าขออนุญาตใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เพื่อสร้างวัด ตั้งวัด หรือการศาสนา ควรได้รับการพิจารณาโดยเร็ว ตั้งแต่ในชั้นการรังวัดแผนที่
ณ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ การตรวจสอบเนื้อที่ และการพิจารณาค าขอทั้งในส่วนภูมิภาคและส่วนกลางของคณะกรรมการ ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (คปก.) และควรมีการก าหนดกรอบระยะเวลา ขั้นตอนการด าเนินการ ในแต่ละขั้นตอน รวมถึงสามารถตรวจสอบสถานะค าขออนุญาตได้ด้วย เพื่อให้ผู้ขออนุญาต รับทราบขั้นตอนการขออนุญาตว่าอยู่ระหว่างขั้นตอนใดแล้ว ๓. การแก้ไขปัญหาวัด ส านักสงฆ์ หรือที่พักสงฆ์ สร้างอยู่ในที่สาธารณประโยชน์ ด้วยมีวัด ส านักสงฆ์ หรือที่พักสงฆ์ สร้างอยู่ในที่สาธารณประโยชน์ (ที่ดิน อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน ซึ่งมีการออกหนังสือส าคัญ ส าหรับที่หลวง) จ านวนหลายแห่งทั่วประเทศ ซึ่งมีทั้งกรณีที่วัด ส านักสงฆ์ หรือที่พักสงฆ์ สร้างอยู่ก่อนที่จะมีการออกหนังสือส าคัญส าหรับที่หลวงให้ที่ดินบริเวณนั้นเป็นที่สาธารณประโยชน์ และกรณีที่วัด ส านักสงฆ์ หรือที่พักสงฆ์ สร้างอยู่ในที่สาธารณประโยชน์ซึ่งมีการออกหนังสือ ส าคัญส าหรับที่หลวงแล้ว โดยทั้งสองกรณีได้สร้างปัญหาความขัดแย้งมาอย่างยาวนาน ในหลายพื้นที่ ดังนั้น รัฐบาลควรให้ความส าคัญและก าหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ให้ชัดเจนเพื่อให้ปัญหาแก้ไขโดยเร็วโดยให้ประชาชนในพื้นที่เป็นผู้พิจารณาผ่านการท าประชาคม หรือประชามติแล้วแต่กรณีและการแก้ไขกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง การจัดท าฐานข้อมูล วัด ส านักสงฆ์ หรือที่พักสงฆ์ ที่สร้างอยู่ในที่สาธารณประโยชน์ เป็นต้น ๔. การขอยกวัดร้างขึ้นเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จ าพรรษา การขอยกวัดร้างขึ้นเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จ าพรรษามีขั้นตอนปฏิบัติมากเกินไป ซึ่งจะต้องผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบตามล าดับ ตั้งแต่เจ้าคณะต าบล เจ้าคณะอ าเภอ นายอ าเภอ เจ้าคณะจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด เจ้าคณะภาค เจ้าคณะใหญ่ และมหาเถรสมาคม การก าหนดขั้นตอนไว้เช่นนี้ไม่เอื้อต่อการขอยกวัดร้างขึ้นเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จ าพรรษาท าให้ ด าเนินการได้ยากและใช้ระยะเวลานาน ดังนั้น จึงควรให้มีการแก้ไขกฎหมาย กฎ และระเบียบ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การขอยกวัดร้างขึ้นเป็นวัดที่มีพระภิกษุอยู่จ าพรรษาด าเนินการได้สะดวก และรวดเร็วขึ้น โดยควรก าหนดให้ขั้นตอนทั้งหมดแล้วเสร็จภายในจังหวัดนั้น ๆ โดยให้ประชาชน ในชุมชนได้มีส่วนพิจารณาตัดสินว่าควรยกขึ้นเป็นวัดมีพระอยู่จ าพรรษาหรือไม่และควรจะก าหนด ให้การขอยกวัดร้างขึ้นเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จ าพรรษาส าเร็จเป็นดัชนีชี้วัดความส าเร็จในการ ด าเนินงานของส านักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด เพื่อส่งเสริมให้มีวัดในพระพุทธศาสนา และความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาสืบต่อไป
ด สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๕. การป้องกันผู้ล่วงละเมิดพระวินัย ขั้นอาบัติปาราชิก กลับมาอุปสมบท เป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติควรมีการจัดท าทะเบียนประวัติพระภิกษุ ผู้ต้องค าวินิจฉัยให้สละสมณเพศหรือลาสิกขาด้วยเหตุที่ล่วงละเมิดพระวินัย ขั้นอาบัติปาราชิก เพื่อแจ้งเวียนให้พระสังฆาธิการ เจ้าอาวาส และพระอุปัชฌาย์ทราบ ควรมีการปรับปรุงข้อมูล ทะเบียนประวัติฯ ให้เป็นปัจจุบัน และพระอุปัชฌาย์หรือผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงข้อมูล เพื่อตรวจสอบประวัติผู้ประสงค์จะขออุปสมบทได้โดยสะดวก ๖. การเพิ่มคุณค่าและมูลค่าทางวัฒนธรรม (Soft Power) รัฐบาลควรผลักดันการเพิ่มคุณค่าและมูลค่าทางวัฒนธรรม (Soft Power) ให้ก าหนดเป็นนโยบายเกี่ยวกับ “แผนพัฒนาวัฒนธรรมแห่งชาติ” เพื่อก าหนดแนวทาง การด าเนินงานของหน่วยงานด้านวัฒนธรรมอย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านศิลปะและวัฒนธรรม ส ารวจและรวบรวมข้อมูลศิลปะ และวัฒนธรรมของแต่ละจังหวัด โดยใช้เครือข่ายทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น เช่น องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น สภาวัฒนธรรมจังหวัด สภาวัฒนธรรมอ าเภอ เป็นต้น นอกจากนี้ ควรส่งเสริม การเปิดพื้นที่กิจกรรมศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยให้แพร่หลายทั่วประเทศ เพื่อสร้างมูลค่า ทางเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมต่อไป ๗. การส่งเสริมการเรียนการสอนด้านศาสนา ศีลธรรม วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และหน้าที่พลเมือง ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ เพื่อให้ความส าคัญและส่งเสริมการเรียนการสอนด้านศาสนา ศีลธรรม วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง อย่างจริงจัง เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้น คณะกรรมาธิการจึงมีข้อเสนอแนะ ดังนี้ ๗.๑ ควรจัดให้มีการเรียนการสอนรายวิชาในกลุ่มสาระการเรียนรู้ศาสนา ศีลธรรมและวัฒนธรรม เป็นคาบเรียนแรกของวันที่มีการเรียนการสอนรายวิชาในกลุ่มสาระนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมด้านร่างกายและจิตใจของผู้เรียนก่อนการเริ่มต้นเรียนรู้รายวิชาอื่น ๆ ๗.๒ ควรมีการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตร การเรียนการสอนรายวิชาในกลุ่ม สาระการเรียนรู้ศาสนา ศีลธรรมและวัฒนธรรมให้ครอบคลุมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เช่น การฝึกสติเจริญสมาธิ เป็นต้น ควรมีการพิจารณาปรับปรุง ทบทวน หรือช าระประวัติศาสตร์ ทั้งในระดับชาติหรือท้องถิ่นที่ปรากฏอยู่ในต ารา หนังสือ แบบเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ ควรมีการปรับปรุงและพัฒนาวิธีการ กระบวนการ และสื่อการเรียนการสอนให้มีความน่าสนใจ สอดคล้องกับความสนใจและวิธีการเรียนของผู้เรียน ควรให้ความส าคัญกับกระบวนการ หรือวิธีการศึกษาประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องเหมาะสม เพื่อเป็นการปลูกฝังและเสริมสร้างทักษะ
ต สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ แนวคิดขั้นพื้นฐานที่ส าคัญให้แก่เด็กและเยาวชน ตลอดจนศึกษาเปรียบเทียบกับการศึกษา ของภาคเอกชนหรือต่างประเทศที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาที่ดี ๗.๓ ควรมีการพัฒนาสาระความรู้ ทักษะ และเทคนิคการสอนของครูผู้สอน รายวิชาด้านศาสนา ศีลธรรม วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง เพื่อให้มีความสอดคล้อง กับผู้เรียนในยุคปัจจุบัน โดยครูผู้สอนจะต้องมีความเข้าใจและรู้วิธีการเรียนรู้ของผู้เรียน ในยุคปัจจุบัน โดยครูผู้สอนควรมีบทบาทในเรื่องของการสอนให้ผู้เรียนรู้จักการใช้สื่ออย่างสร้างสรรค์ และชาญฉลาด มีทักษะและประสบการณ์ในการวิเคราะห์แยกแยะสาระที่มากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมถึงควรสอนทักษะความเป็นมนุษย์ให้แก่ผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนเด็กมีทักษะความรู้ในการรับมือ กับปัญหาใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน ๗.๔ ควรมีการแก้ไขหลักเกณฑ์หรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อเปิดโอกาส ให้ผู้เรียนสามารถน าชั่วโมงเรียนในการศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์มาเทียบโอนเป็นหน่วยกิต หรือชั่วโมงเรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ได้ เพื่อเป็น การแก้ไขปัญหาเรื่องเวลาเรียนตามหลักสูตรที่มีค่อนข้างจ ากัดและเป็นการส่งเสริมการศึกษา พระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ตลอดจนควรเปิดโอกาสให้วัดหรือศาสนสถานต่าง ๆ หรือบุคลากร ทางศาสนา เช่น พระภิกษุ อิหม่าม บาทหลวง เป็นต้น มีส่วนร่วมหรือให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับ การเรียนรู้ด้านศาสนา ศีลธรรม วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง ๗.๕ ควรมีการส่งเสริมให้มีการจัดการเรียนการสอนอย่างจริงจังและเหมาะสม เกี่ยวกับรายวิชาด้านศาสนา ศีลธรรม วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง ในการศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ระดับอาชีวศึกษา และระดับอุดมศึกษาด้วย
๑ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ สรุปผลการด าเนินงาน คณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ (๑๑ กันยายน ๒๕๖๒ – ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๖) เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๒ สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ได้มีมติตั้งคณะกรรมาธิการ การศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ซึ่งเป็นคณะกรรมาธิการสามัญประจ าสภาผู้แทนราษฎร ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙๐ (๓๐) เพื่อให้ท าหน้าที่กระท า กิจการ พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริง หรือศึกษาเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวกับการอุปถัมภ์ ท านุบ ารุง และคุ้มครองศาสนาและโบราณสถาน การอนุรักษ์และส่งเสริมศิลปะ ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมท้องถิ่น วัฒนธรรมประชาธิปไตย ภูมิปัญญาชาวบ้าน เอกลักษณ์ แบบวิถีชีวิตไทย และศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย จนถึงวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๖ รวมเวลากว่า ๓ ปีเศษ คณะกรรมาธิการชุดนี้ได้ด าเนินภารกิจตามหน้าที่และอ านาจ ประกอบด้วยรูปแบบการด าเนินงาน ที่ส าคัญ คือ การประชุม การศึกษาดูงาน และการจัดสัมมนา โดยมีสาระส าคัญโดยสรุป ดังนี้
๒ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ สรุปผลการประชุมและการศึกษาดูงาน ของคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ในช่วงเวลากว่า ๓ ปีเศษ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ – ๒๕๖๖ (๑๑ กันยายน ๒๕๖๒ – ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๖) คณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ได้มีการ ประชุม จ านวน ๘๘ ครั้ง และเดินทางไปศึกษาดูงานในประเทศ จ านวน ๖๙ ครั้ง เพื่อพิจารณา ศึกษาและติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาเรื่องต่าง ๆ ตามหน้าที่และอ านาจจนแล้วเสร็จ หรือได้ข้อสรุปหรือมีความคืบหน้าอย่างมีนัยส าคัญ ประกอบด้วยผลงานที่ส าคัญ ๗ ด้าน ได้แก่ ๑. การเสนอร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ๒. การเสนอรายงานผลการศึกษาเกี่ยวกับการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ๓. การพิจารณาแก้ไขปัญหาการขออนุญาตใช้ที่ดินของรัฐเพื่อการศาสนา ปัญหาการสร้างวัด และตั้งวัด ปัญหาการยกวัดร้างเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จ าพรรษา ปัญหาการขอรับพระราชทาน วิสุงคามสีมา และปัญหาการจัดการศาสนสมบัติของวัด ๔. การพิจารณาติดตามการก าหนดนโยบายและโครงการ หรือการด าเนินการต่าง ๆ ของรัฐ เกี่ยวกับการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ๕. การพิจารณาข้อเสนอ โครงการ กิจกรรม หรือแนวทางในการอุปถัมภ์และคุ้มครอง ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ๖. การพิจารณาตรวจสอบข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ พฤติกรรม หรือการกระท าใด ๆ ของหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือภาคเอกชน ที่อาจส่งผลกระทบต่อศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ๗. การพิจารณาติดตามการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ พฤติกรรม หรือการกระท าใด ๆ ของพระสังฆาธิการหรือพระภิกษุที่ไม่เหมาะสมหรือถูกต้องตามพระวินัยหรือกฎหมาย ที่อาจส่งผล กระทบต่อคณะสงฆ์หรือพระพุทธศาสนา โดยมีรายละเอียดโดยสังเขป ดังนี้
๓ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๑. การเสนอร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมพุทธศาสนิกชนในการอุปถัมภ์และคุ้มครอง พระพุทธศาสนา พ.ศ. .... เหตุผลประกอบการเสนอร่างพระราชบัญญัติ โดยที่พระพุทธศาสนาเป็นหนึ่งในสถาบันหลักของชาติ และเป็นที่มาของหลัก ศีลธรรม ปัญญา และความเข้มแข็งของสังคมไทยมาช้านาน อันถือได้ว่าเป็นสถาบันหลักที่มี ความส าคัญอย่างยิ่ง ประกอบกับมาตรา ๖๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้บัญญัติ ให้รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ในการอุปถัมภ์และคุ้มครอง พระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือมาช้านาน และให้รัฐพึงส่งเสริม และสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาทเพื่อให้เกิด การพัฒนาจิตใจและปัญญา และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนท าลาย พระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด และพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการด าเนิน มาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย สมควรที่รัฐและพุทธศาสนิกชนจะให้การอุปถัมภ์และคุ้มครอง พระพุทธศาสนาให้เจริญมั่นคงสืบไป จึงจ าเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ สาระส าคัญของร่างพระราชบัญญัติ ๑) ก าหนดความหมายบทนิยามร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมพุทธศาสนิกชน ในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ. .... (ร่างมาตรา ๓) ๒) ก าหนดให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามร่างพระราชบัญญัติส่งเสริม พุทธศาสนิกชนในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ. .... โดยให้มีหน้าที่และอ านาจ
๔ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ออกระเบียบและประกาศเพื่อให้การอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาบรรลุวัตถุประสงค์ และเจตนารมณ์ของกฎหมาย (ร่างมาตรา ๔) ๓) ก าหนดมาตรการการสนับสนุน ส่งเสริมการอุปถัมภ์และคุ้มครอง พระพุทธศาสนา เพื่อให้รัฐและพุทธศาสนิกชนใช้เป็นแนวทางในการการอุปถัมภ์และคุ้มครอง พระพุทธศาสนา (ร่างมาตรา ๕) ๔) ก าหนดให้มีองค์กรหรือหน่วยงานที่ต้องปฏิบัติและรับผิดชอบในการ ก ากับดูแลและเป็นกลไกในการขับเคลื่อนและก าหนดแนวนโยบายหรือแนวทางการอุปถัมภ์ และคุ้มครองพระพุทธศาสนา โดยก าหนดให้มีคณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา เป็นองค์กรหรือหน่วยงานหลักในการปฏิบัติหน้าที่ก าหนดนโยบายหรือแนวทางในการอุปถัมภ์ และคุ้มครองพระพุทธศาสนา และก าหนดให้มีคณะกรรมการสมัชชาอุปถัมภ์และคุ้มครอง พระพุทธศาสนาประจ าจังหวัดท าหน้าที่และมีอ านาจในการขับเคลื่อนและด าเนินการตามนโยบาย หรือแนวทางการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา โดยให้ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ท าหน้าที่หน่วยงานธุรการและรับผิดชอบเกี่ยวกับการด าเนินงานของคณะกรรมการทั้งสอง (ร่างมาตรา ๖ – มาตรา ๒๑) ๕) ก าหนดให้มีการจัดตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการอุปถัมภ์ และคุ้มครองพระพุทธศาสนา โดยก าหนดให้มีคณะกรรมการบริหารกองทุน เป็นองค์กร หรือหน่วยงานปฏิบัติในการบริหารจัดการและขับเคลื่อนการด าเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ ของกองทุน (ร่างมาตรา ๒๒ – มาตรา ๒๔) ๖) ก าหนดมาตรการแนวทางการคุ้มครองพระพุทธศาสนา โดยก าหนด มาตรการคุ้มครองและการให้ความช่วยเหลือทางคดีให้กับพระภิกษุหรือสามเณรที่ถูกกล่าวหา ว่ากระท าความผิดอาญา (ร่างมาตรา ๒๕ – มาตรา ๒๖)
๕ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติสภาองค์กรส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนา พ.ศ. .... เหตุผลประกอบการเสนอร่างพระราชบัญญัติ โดยที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้บุคคลมีสิทธิรวมตัวกันเพื่อจัดตั้งเป็นองค์กร และให้รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาท เพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการ บ่อนท าลายพระพุทธศาสนาและพระภิกษุสามเณรไม่ว่าในรูปแบบใด และพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชน มีส่วนร่วมในการด าเนินมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย สมควรที่รัฐและพุทธศาสนิกชน จะด าเนินการเพื่อให้เกิดการรวมตัวกันจัดตั้งองค์กรส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนาและสภาองค์กร ส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนา เพื่อให้การอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาให้เจริญมั่นคง สืบไป จึงจ าเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ สาระส าคัญของร่างพระราชบัญญัติ ๑) ก าหนดบทนิยามเพื่ออธิบายความหมายของถ้อยค าที่ใช้ในร่างพระราชบัญญัตินี้ (ร่างมาตรา ๓) ๒) ก าหนดให้องค์กรส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนามีสิทธิรวมกันด าเนินการ เพื่อจัดตั้งสภาองค์กรส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนา (ร่างมาตรา ๔) ๓) ก าหนดให้องค์กรส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนาที่จะรวมตัวกันด าเนินการ ต้องไม่มีวัตถุประสงค์ขัดแย้งต่อหลักธรรมตามพระพุทธศาสนา ไม่ถูกครอบง า โดยหน่วยงาน ของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือพรรคการเมือง (ร่างมาตรา ๕) ๔) ก าหนดให้องค์กรส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนาที่ประสงค์จะเข้าร่วมจัดตั้ง หรือเป็นสมาชิกของสภาองค์กรส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนาให้แจ้งสถานะความเป็นองค์กร ส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนาไว้ต่อนายทะเบียน (ร่างมาตรา ๖)
๖ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๕) ก าหนดให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยหรือผู้ซึ่งปลัดกระทรวงมหาดไทย มอบหมายเป็นนายทะเบียนกลาง มีหน้าที่รับแจ้งสถานะความเป็นองค์กรส่งเสริมกิจการ พระพุทธศาสนาได้ทั่วราชอาณาจักร และมีหน้าที่อื่นตามพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งให้ผู้ว่าราชการ จังหวัดหรือผู้ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมายเป็นนายทะเบียนประจ าจังหวัด และมีหน้าที่ รับแจ้งสถานะความเป็นองค์กรส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนาภายในจังหวัดนั้น (ร่างมาตรา ๗) ๖) ก าหนดให้บุคคลที่เห็นว่าองค์กรส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนาที่ได้แจ้งไว้ มีลักษณะไม่ถูกต้องตามมาตรา ๕ มีสิทธิยื่นค าคัดค้านพร้อมทั้งหลักฐานต่อนายทะเบียนกลางได้ และเมื่อนายทะเบียนกลางได้รับค าคัดค้านให้ด าเนินการสอบข้อเท็จจริงแล้ววินิจฉัยโดยเร็ว หากเห็นว่าองค์กรส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนานั้น มีลักษณะไม่ถูกต้องตามมาตรา ๕ ให้เพิกถอน การรับแจ้งพร้อมทั้งแจ้งให้ผู้ร้องและองค์กรส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนาที่เกี่ยวข้องทราบ ทั้งนี้ ค าวินิจฉัยของนายทะเบียนกลางให้เป็นที่สุด (ร่างมาตรา ๘) ๗) ก าหนดให้องค์กรส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนาไม่น้อยกว่าห้าสิบองค์กร มีสิทธิเข้าชื่อกันแจ้งต่อนายทะเบียนกลางเพื่อเป็นผู้เริ่มก่อการในการจัดตั้งสภาองค์กรส่งเสริม กิจการพระพุทธศาสนา ตลอดจนก าหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการจัดตั้งสภาองค์กร ส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนา (ร่างมาตรา ๙) ๘) ก าหนดให้สภาองค์กรส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนาเป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์เพื่อการส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนาและด าเนินการอื่นใดตามที่บัญญัติไว้ ในพระราชบัญญัตินี้ และก าหนดให้มีความเป็นอิสระ ไม่อยู่ภายใต้อาณัติหรือการครอบง า หรือการสั่งการไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมจากหน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือพรรคการเมือง (ร่างมาตรา ๑๐)
๗ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๙) ก าหนดให้เมื่อจัดตั้งสภาองค์กรส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนาแล้ว ให้คณะผู้เริ่มก่อการจัดท าร่างข้อบังคับสภาองค์กรส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนาและเรียกประชุม สมาชิกภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ประกาศการจัดตั้งในราชกิจจานุเบกษา เพื่อด าเนินกิจกรรม จัดท าข้อบังคับสภาองค์กรส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนา เลือกตั้งประธานและคณะกรรมการ นโยบายของสภาองค์กรส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนา ก าหนดนโยบาย แนวทาง หรือแผนงาน เกี่ยวกับการส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนา และกิจการอื่นที่คณะผู้เริ่มก่อการเห็นสมควร (ร่างมาตรา ๑๑) ๑๐) ก าหนดให้การจัดท าข้อบังคับสภาองค์กรส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนา ต้องมีเรื่องที่ระบุไว้ในมาตรานี้เป็นอย่างน้อย (ร่างมาตรา ๑๒) ๑๑) ก าหนดให้สภาองค์กรส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนา มีอ านาจด าเนินการ ในเรื่องต่าง ๆ ตามมาตรานี้ นอกจากที่ได้ก าหนดไว้ให้มีอ านาจด าเนินการตามวัตถุประสงค์ (ร่างมาตรา ๑๓) ๑๒) ก าหนดให้เป็นหน้าที่ของสภาองค์กรส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนา ในการจัดให้มีการประชุมสมาชิก เพื่อรายงานผลการด าเนินงานของสภาองค์กรส่งเสริมกิจการ พระพุทธศาสนาและรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะอันจะยังประโยชน์แก่การส่งเสริม กิจการพระพุทธศาสนา และการปรับปรุงแก้ไขการด าเนินงานของสภาองค์กรส่งเสริมกิจการ พระพุทธศาสนา (ร่างมาตรา ๑๔) ๑๓) ก าหนดให้เป็นหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทยที่จะเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาจัดสรรเงินอุดหนุนเป็นรายปีเป็นการจ่ายขาดให้แก่สภาองค์กรส่งเสริมกิจการ พระพุทธศาสนา (ร่างมาตรา ๑๕) ๑๔) ก าหนดให้มีการประเมินผลการด าเนินงานของสภาองค์กรส่งเสริม กิจการพระพุทธศาสนาตามระยะเวลาที่สภาองค์กรส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนาก าหนด แต่ต้องไม่เกินสามปี (ร่างมาตรา ๑๖) ๑๕) ก าหนดให้สภาองค์กรส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนาจัดท ารายงาน ผลการปฏิบัติงานประจ าปี ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคเผยแพร่ให้ประชาชนทราบและเสนอต่อ คณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา เพื่อทราบภายในหกเดือนนับแต่วันสิ้นปีปฏิทิน (ร่างมาตรา ๑๗) ๑๖) ก าหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ (ร่างมาตรา ๑๘)
๘ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๑.๓ ร่างพระราชบัญญัติธนาคารพุทธแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... เหตุผลประกอบการเสนอร่างพระราชบัญญัติ โดยที่ปัจจุบันการประกอบธุรกิจทางการเงินของธนาคารมีส่วนส าคัญในการ พัฒนาประเทศ แต่การด าเนินการของธนาคารโดยส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นในการแสวงหาก าไร และผลประโยชน์ทางการเงินเป็นหลัก ดังนั้น เพื่อให้มีธนาคารที่มีวัตถุประสงค์เป็นสถาบัน ทางการเงินที่เป็นกลไกส าคัญในการส่งเสริมและปลูกฝังให้ประชาชนมีศีลธรรม จริยธรรม คุณธรรม และปลูกจิตส านึกให้รู้รักษาผลประโยชน์ของส่วนรวมและของชาติ สมควรจัดตั้ง ธนาคารพุทธแห่งประเทศไทยตามแนวทางพุทธวิถีขึ้น เพื่อเป็นกลไกส่งเสริมและสนับสนุน การระดมเงินออมและการลงทุน อันจะเป็นการอ านวยประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ของประเทศและสร้างเสริมศีลธรรม จริยธรรมและคุณธรรมควบคู่กันไป จึงจ าเป็นต้องตรา พระราชบัญญัตินี้ สาระส าคัญของร่างพระราชบัญญัติ ๑) ก าหนดให้มีการจัดตั้งธนาคารพุทธแห่งประเทศไทย มีฐานะเป็นนิติบุคคล โดยให้ตั้งส านักงานใหญ่ในกรุงเทพมหานครหรือจังหวัดใกล้เคียง และจัดตั้งสาขาหรือส านักงาน ผู้แทน ณ ที่ใดภายในหรือภายนอกราชอาณาจักรก็ได้ (ร่างมาตรา ๕ – มาตรา ๖) ๒) ก าหนดทุนเรือนหุ้นของธนาคารพุทธแห่งประเทศไทยไว้จ านวน ๒,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญ จ านวน ๒๐๐,๐๐๐,๐๐๐ หุ้น มูลค่าหุ้นละ ๑๐ บาท โดยให้รัฐจ่ายเป็นทุนประเดิม จ านวน ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และให้ธนาคารพุทธ แห่งประเทศไทยขายหุ้นให้แก่บุคคลอื่น จ านวน ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งธนาคารต้องมี จ านวนหุ้นที่บุคคลผู้มีสัญชาติไทยถืออยู่ไม่ต่ ากว่าอัตราร้อยละ ๕๑ และต้องมีกรรมการ เป็นบุคคลผู้มีสัญชาติไทยไม่ต่ ากว่า ๒ ใน ๓ ของจ านวนกรรมการทั้งหมด รวมถึงก าหนดให้ ภายหลังที่ธนาคารได้มีผู้ถือหุ้น และได้มีการประชุมผู้ถือหุ้นเลือกตั้งกรรมการ ให้น าบทบัญญัติ ว่าด้วยบริษัทมหาชนจ ากัดมาใช้บังคับแก่ธนาคารโดยอนุโลม เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อพระราชบัญญัตินี้ (ร่างมาตรา ๗ – มาตรา ๑๑)
๙ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๓) ก าหนดให้ธนาคารมีวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจทางการเงิน ตามแนวทางวิถีพุทธเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนประกอบกิจกรรมหรือด าเนินธุรกิจโดยยึดหลัก ตามแนวทางพระพุทธศาสนาในการส่งเสริมและปลูกฝังให้ประชาชนมีศีลธรรม จริยธรรม คุณธรรมและปลูกจิตส านึกให้รู้รักษาผลประโยชน์ของส่วนรวมและของชาติ และประกอบ กิจการอื่นตามที่กฎหมายก าหนด รวมถึงห้ามมิให้ธนาคารกระท าการใดตามที่กฎหมายก าหนดไว้ (ร่างมาตรา ๑๒ – มาตรา ๑๓) ๔) ก าหนดให้มีคณะกรรมการธนาคารพุทธแห่งประเทศไทย ก าหนด องค์ประกอบวาระการด ารงต าแหน่ง การพ้นจากต าแหน่ง และลักษณะต้องห้ามของคณะกรรมการ (ร่างมาตรา ๑๖ – มาตรา ๒๐) ๕) ก าหนดให้คณะกรรมการธนาคารพุทธแห่งประเทศไทยมีอ านาจหน้าที่ วางนโยบายและก ากับดูแลโดยทั่วไป ซึ่งกิจการของธนาคารภายในขอบวัตถุประสงค์ รวมถึง มีอ านาจต่าง ๆ ตามที่กฎหมายก าหนดไว้ และมีอ านาจแต่งตั้งผู้จัดการเพื่อปฏิบัติหน้าที่ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของธนาคารและให้เป็นไปตามนโยบายที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการ ตลอดจนก าหนดให้ผู้จัดการเป็นผู้บังคับบัญชาพนักงานและลูกจ้างของธนาคารทุกต าแหน่ง ในกิจการของธนาคารที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอกให้ผู้จัดการเป็นผู้แทนของธนาคาร และก าหนด วาระการด ารงต าแหน่ง รวมถึงการพ้นจากต าแหน่งของผู้จัดการ (ร่างมาตรา ๒๓ – มาตรา ๒๙) ๖) ก าหนดให้ธนาคารด ารงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์ หนี้สิน หรือภาระผูกพัน ก าหนดให้ธนาคารด ารงเงินสดส ารองและด ารงสินทรัพย์สภาพคล่อง เป็นอัตราส่วนกับเงินฝากและเงินให้ยืม ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ก าหนด ในกฎกระทรวง โดยการจัดสรรก าไรสุทธิประจ าปีให้คณะกรรมการจัดสรรเป็นเงินส ารอง ไว้ในกิจการของธนาคารไม่ต่ ากว่าร้อยละ ๑๐ ของก าไรสุทธิ (ร่างมาตรา ๓๐ – มาตรา ๓๒) ๗) ก าหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีอ านาจหน้าที่ก ากับดูแล กิจการของธนาคาร โดยจะสั่งให้ธนาคารชี้แจงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็น ท ารายงาน หรือยับยั้งการกระท าอันจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ธนาคาร รวมทั้งก าหนดหลักเกณฑ์ การก ากับดูแล (ร่างมาตรา ๓๓) ๘) ก าหนดให้คณะกรรมการธนาคารพุทธแห่งประเทศไทย สอบบัญชี ของธนาคาร เสนองบดุล บัญชีก าไรขาดทุน ต่อที่ประชุมสามัญประจ าปีเพื่อพิจารณา และให้เสนอ รายงานกิจการประจ าปีของธนาคารต่อที่ประชุมสามัญประจ าปีพร้อมกันด้วย และก าหนดให้ ธนาคารรายงานกิจการประจ าปี งบดุล บัญชีก าไรขาดทุน ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อทราบและให้เปิดเผยต่อสาธารณชนทราบด้วย (ร่างมาตรา ๓๔ – มาตรา ๓๖) ๙) ก าหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีอ านาจแต่งตั้งพนักงาน เจ้าหน้าที่เพื่อตรวจสอบกิจการ สินทรัพย์ ลูกหนี้ และผู้ที่เกี่ยวข้องของธนาคารเป็นการทั่วไป หรือเป็นการเฉพาะก็ได้ (ร่างมาตรา ๓๗)
๑๐ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๑๐) ก าหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอ านาจสั่งให้กรรมการ พนักงานหรือลูกจ้าง ของธนาคาร ผู้สอบบัญชีของธนาคาร และผู้รวบรวมหรือประมวลข้อมูลของธนาคารด้วยเครื่อง คอมพิวเตอร์หรือด้วยอุปกรณ์อื่นใด มาให้ถ้อยค าเกี่ยวกับกิจการสินทรัพย์ และหนี้สินของธนาคาร ส่งส าเนาหรือแสดงสมุดบัญชี เอกสาร ดวงตราหรือหลักฐานอื่น มีอ านาจเข้าไปในสถานที่ ประกอบธุรกิจของธนาคาร หรือสถานที่ซึ่งรวบรวมหรือประมวลข้อมูลของธนาคารด้วยเครื่อง คอมพิวเตอร์หรือด้วยอุปกรณ์อื่นใดเพื่อตรวจสอบ และมีอ านาจยึดหรืออายัดทรัพย์สิน เอกสาร หรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับการกระท าความผิดเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบหรือด าเนินคดี รวมถึงมีอ านาจในการเข้าไปตรวจสอบฐานะหรือการด าเนินงานในสถานที่ประกอบธุรกิจของลูกหนี้ ของธนาคาร รวมทั้งสั่งให้ลูกหนี้หรือผู้ที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยค า ส่งส าเนา หรือแสดงสมุดและบัญชี เอกสารดวงตราหรือหลักฐานอื่นเมื่อมีเหตุอันควรสงสัย (ร่างมาตรา ๓๘) ๑๑) ก าหนดโทษผู้เปิดเผยกิจการของธนาคารที่สงวนไว้ ก าหนดโทษ กรณีธนาคารกระท าการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย และก าหนดโทษผู้ให้ถ้อยค าอันเป็นเท็จ ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ รวมถึงก าหนดโทษกรณีกรรมการ ผู้จัดการ พนักงาน หรือผู้มีอ านาจ กระท าการแทนธนาคารฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมาย กระท าการฉ้อโกง ประชาชน กระท าผิดหน้าที่โดยทุจริต กระท าการยักยอกทรัพย์ ท าให้เสียทรัพย์ แสวงหาประโยชน์ ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย (ร่างมาตรา ๔๐ – มาตรา ๔๙)
๑๑ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๑.๔ ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการเดินทางไปพุทธสังเวชนียสถาน พ.ศ. .... เหตุผลประกอบการเสนอร่างพระราชบัญญัติ โดยที่ได้มีพุทธด ารัสขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งได้ตรัสไว้ใน มหาปรินิพพานสูตรว่าพุทธสังเวชนียสถานทั้งสี่เป็นสถานที่อันควรแก่การสักการะของพุทธศาสนิกชน เพื่อให้เกิดความสังเวชและเกิดพุทธานุสติ และน ามาซึ่งบุญกุศลและความปลาบปลื้ม แช่มชื่น ดังนั้น การส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนได้เดินทางไปพุทธสังเวชนียสถานจะช่วยให้เกิดความเลื่อมใส ในพระพุทธศาสนาและมั่นคงตามหลักค าสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าในการด ารงศีล สมาธิ และปัญญา และสามารถสืบทอดพระพุทธศาสนาให้ด ารงสืบไป จึงจ าเป็นต้องตรา พระราชบัญญัตินี้ สาระส าคัญของร่างพระราชบัญญัติ ๑) ก าหนดให้มีบทนิยามต่าง ๆ เช่น นิยามค าว่า “พุทธสังเวชนียสถาน” เป็นต้น (ร่างมาตรา ๓) ๒) ก าหนดให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง เรียกว่า “คณะกรรมการส่งเสริม การเดินทางไปพุทธสังเวชนียสถาน” (ร่างมาตรา ๔) ๓) ก าหนดให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอยู่ในต าแหน่งคราวละสามปี กรรมการ ซึ่งพ้นจากต าแหน่งอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ (ร่างมาตรา ๖) ๔) ก าหนดให้การประชุมคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่า กึ่งหนึ่งของจ านวนกรรมการทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม (ร่างมาตรา ๘) ๕) ก าหนดให้คณะกรรมการมีหน้าที่ เช่น เสนอนโยบายเกี่ยวกับการส่งเสริม การเดินทางไปพุทธสังเวชนียสถานต่อคณะรัฐมนตรี ก าหนดแนวทางการสร้างเครือข่าย ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการส่งเสริม การเดินทางไปพุทธสังเวชนียสถาน ประสานหรืออ านวยความสะดวกให้ผู้ประกอบธุรกิจการน าพุทธศาสนิกชนไปพุทธสังเวชนียสถาน เป็นต้น (ร่างมาตรา ๑๐) ๖) ก าหนดให้กรมการศาสนาท าหน้าที่รับผิดชอบงานธุรการและงานวิชาการ ของคณะกรรมการส่งเสริมการเดินทางไปพุทธสังเวชนียสถานมีหน้าที่และอ านาจ เช่น จัดท า แผนงานและยุทธศาสตร์เพื่อส่งเสริมให้เกิดแนวทางการเดินทางไปพุทธสังเวชนียสถาน เสนอคณะกรรมการเพื่อให้ความเห็นชอบ จัดเก็บและเผยแพร่ข้อมูลของบุคคลซึ่งได้รับการส่งเสริม การเดินทางไปพุทธสังเวชนียสถานและโครงการที่ได้รับการส่งเสริม เป็นต้น (ร่างมาตรา ๑๔) ๗) ก าหนดให้จัดตั้งกองทุนขึ้นกองทุนหนึ่งในกรมการศาสนา เรียกว่า “กองทุนส่งเสริมการเดินทางไปพุทธสังเวชนียสถาน” มีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นแหล่งเงินทุน ส าหรับใช้จ่ายเกี่ยวกับการส่งเสริมให้พระสงฆ์และพุทธบริษัทในการเดินทางไปพุทธสังเวชนียสถาน โดยกองทุนประกอบด้วยเงินและทรัพย์สิน ได้แก่ (๑) เงินที่โอนมาจากกองทุนส่งเสริมการเผยแผ่ พระพุทธศาสนาเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา (๒) เงินที่รัฐบาลจัดสรรให้จากงบประมาณประจ าปี
๑๒ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ (๓) เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้แก่กองทุน (๔) ดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินของกองทุน (๕) เงินรายได้อื่น (ร่างมาตรา ๑๕ – มาตรา ๑๖) ๘) ก าหนดให้มีคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการเดินทางไป พุทธสังเวชนียสถานคณะหนึ่ง ประกอบด้วย อธิบดีกรมการศาสนา เป็นประธานกรรมการ ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนส านักงบประมาณ ผู้แทนหน่วยงานของรัฐที่มีทุนหมุนเวียนที่ไม่มี สถานะเป็นนิติบุคคล เป็นกรรมการ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจ านวนไม่เกินห้าคน โดยมี อ านาจหน้าที่ เช่น ก าหนดนโยบาย ก ากับดูแลการบริหารจัดการและติดตามการด าเนินงาน ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุน ก าหนดข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานบุคคล การเงิน การพัสดุ ตลอดจนการก าหนดค่าตอบแทนสิทธิประโยชน์หรือสวัสดิการต่าง ๆ ของพนักงาน และลูกจ้าง เป็นต้น (ร่างมาตรา ๑๗ และร่างมาตรา ๒๐) ทั้งนี้ เมื่อในคราวประชุมคณะกรรมาธิการครั้งที่ ๖๗ วันพฤหัสบดีที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๕ ณ ห้องประชุมกรรมาธิการ CA 303 ชั้น ๓ อาคารรัฐสภา คณะกรรมาธิการได้ส่งมอบร่าง พระราชบัญญัติที่เกี่ยวกับการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ทั้ง ๔ ฉบับ ให้รัฐมนตรี ประจ าส านักนายกรัฐมนตรี(นายอนุชา นาคาศัย) เพื่อพิจารณาเสนอร่างพระราชบัญญัติทั้ง ๔ ฉบับ ในนามรัฐบาลต่อไป นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการได้เสนอร่างพระราชบัญญัติ ทั้ง ๔ ฉบับ ในนามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๓๓ (๒)
๑๓ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๒. การเสนอรายงานผลการศึกษาเกี่ยวกับการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม ๒.๑ รายงาน เรื่อง การส่งเสริมการเรียนการสอนด้านศีลธรรมและจริยธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ สาระส าคัญของรายงาน ๑) ความเป็นมาและความส าคัญของเรื่อง เป็นการอธิบายถึงเหตุผลความจ าเป็น ที่จะต้องมีการส่งเสริมการเรียนการสอนด้านศีลธรรมและจริยธรรมให้แก่เด็กและเยาวชน ๒) ประเด็นการพิจารณา มีการก าหนดประเด็นการพิจารณาว่า หลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ มีการให้ความส าคัญกับการเรียนการสอน ด้านศีลธรรมและจริยธรรมอย่างเหมาะสมเพียงพอหรือไม่ ๓) ข้อมูลประกอบการพิจารณา เป็นการสรุปข้อมูลหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ในประเด็นเกี่ยวกับการเรียนการสอนด้านศีลธรรม และจริยธรรม ทั้งในระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ๔) วิเคราะห์ประเด็นการพิจารณา เป็นการวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ว่า ไม่ได้ให้ความส าคัญกับการเรียนการสอน ด้านศีลธรรมและจริยธรรมเท่าที่ควร เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบจากจ านวนชั่วโมงเรียนที่ก าหนดไว้ ในหลักสูตรซึ่งไม่มีความสอดคล้องกับความส าคัญและตัวชี้วัดของการเรียนด้านศีลธรรม และจริยธรรม
๑๔ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๕) ความเห็นและข้อเสนอแนะ เป็นการสรุปความเห็นว่า เลขาธิการ คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) ควรพิจารณาปรับปรุงหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ เพื่อเป็นการ ให้ความส าคัญกับการเรียนการสอนด้านศีลธรรมและจริยธรรมอย่างจริงจังและเหมาะสม โดยการเสนอแยกสาระที่ ๑ ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม และสาระที่ ๒ หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการด าเนินชีวิตในสังคม (ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม) ออกมาตั้งเป็นอีกหนึ่งกลุ่มสาระการเรียนรู้ ในชื่อ “กลุ่มสาระการเรียนรู้ศาสนา ศีลธรรมและ วัฒนธรรม” และให้มีเวลาเรียนจ านวนไม่น้อยกว่า ๘๐ ชั่วโมงต่อปีในทุกระดับชั้น เพื่อให้ เหมาะสมกับเนื้อหาสาระความรู้และตัวชี้วัดตามหลักสูตร และมีการเพิ่มเติมตัวอย่างโครงสร้าง เวลาเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ – ๖ และตัวอย่างโครงสร้างเวลาเรียน ในระดับชั้น มัธยมศึกษาตอนต้น ตามที่คณะกรรมาธิการเสนอแนะ ทั้งนี้ เมื่อในคราวประชุมคณะกรรมาธิการ ครั้งที่ ๑๖ วันพฤหัสบดีที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ คณะกรรมาธิการมีมติเห็นชอบรายงานและให้เสนอรายงานต่อนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อพิจารณาและด าเนินการตามที่เห็นสมควร ต่อมาส านักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐานได้มีหนังสือตอบกลับมาว่า จะน าข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการไปประกอบ การพิจารณาในการปรับปรุงหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานต่อไป
๑๕ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๒.๒ รายงาน เรื่อง การเพิ่มคุณค่าและมูลค่าทางวัฒนธรรม (Soft Power) สาระส าคัญของรายงาน คณะกรรมาธิการมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการเพิ่มคุณค่าและมูลค่าทางวัฒนธรรม (Soft Power) ดังนี้ ๑) กระทรวงวัฒนธรรมควรมีการจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการด าเนินงาน Soft Power ทั้ง ๕ ด้าน ได้แก่ อาหาร ภาพยนตร์ แฟชั่น มวยไทย และเทศกาลประเพณี รวมทั้งจัดหาแหล่งทุนเพื่อสนับสนุนภาคเอกชนและภาคประชาชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการ ด าเนินงาน ๒) รัฐบาล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรสนับสนุน และผลักดันให้มีการน าเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาอุตสาหกรรมดนตรี ศิลปะและนันทนาการ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศไทย รวมทั้งการใช้กระแสความนิยมของ Soft Power ผ่านสื่อภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ โดยจะต้องมีการสร้างนวัตกรรมในเนื้อหา
๑๖ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ การผลิต และความคิด ซึ่งภาพยนตร์และละครโทรทัศน์เป็นสื่อที่สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และส่งเสริมการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างมาก ๓) การผลักดันให้มีการก าหนดเป็นนโยบายเกี่ยวกับ “แผนพัฒนาวัฒนธรรม แห่งชาติ” เพื่อก าหนดแนวทางด าเนินงาน ดังนี้ ๓.๑) ก าหนดให้มีหน่วยงานที่รับผิดชอบสนับสนุนงานด้านวัฒนธรรม ในแต่ละด้าน เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ าซ้อนของการด าเนินงาน ๓.๒) ก าหนดระยะเวลาในการด าเนินงานเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการ สนับสนุนงานด้านวัฒนธรรม ๓.๓) ก าหนดมาตรฐานการด าเนินงานด้าน Soft Power ทั้ง ๕ ด้าน เพื่อให้เกิดการยอมรับจากสังคมโดยรวม ๔) กระทรวงวัฒนธรรมควรมีการส ารวจและรวบรวมข้อมูลวัฒนธรรมที่มี ศักยภาพ ๕ ด้าน ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดต่าง ๆ โดยใช้เครือข่ายด้านวัฒนธรรม เช่น สภาวัฒนธรรม จังหวัด สภาวัฒนธรรมอ าเภอ เป็นต้น โดยอาจเริ่มต้นจากเรื่องอาหารที่มีชื่อเสียงของจังหวัด ต่าง ๆ จังหวัดละ ๕ รายการ เพื่อเป็นตัวอย่างน าร่องในการประชาสัมพันธ์และขับเคลื่อน Soft Power ด้านอาหาร ซึ่งข้อมูลอาหารประจ าจังหวัดควรประกอบด้วย เรื่องราวความเป็นมา ส่วนผสม สถานที่จัดจ าหน่าย ประโยชน์ทางโภชนาการและสรรพคุณทางยาของอาหาร เป็นต้น รวมถึงควรร่วมมือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น ในการวางแผนส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดต่าง ๆ โดยการน าประเด็น เรื่องอาหารเป็นตัวชูโรงร่วมกับสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ทั้งนี้ เมื่อในคราวประชุมคณะกรรมาธิการ ครั้งที่ ๗๓ วันพฤหัสบดีที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๕ คณะกรรมาธิการมีมติเห็นชอบรายงานและให้เสนอรายงานต่อรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อพิจารณาด าเนินการต่อไป
๑๗ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๓. การพิจารณาแก้ไขปัญหาการขออนุญาตใช้ที่ดินของรัฐเพื่อการศาสนา ปัญหา การสร้างวัดและตั้งวัด ปัญหาการยกวัดร้างเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จ าพรรษา ปัญหาการขอรับ พระราชทานวิสุงคามสีมา และปัญหาการจัดการศาสนสมบัติของวัด จากการด าเนินงานที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการได้รับการเสนอเรื่องหรือข้อร้องเรียน เกี่ยวกับปัญหาการขออนุญาตใช้ที่ดินของรัฐเพื่อการศาสนา ปัญหาการสร้างวัดและตั้งวัด ปัญหาการยกวัดร้างเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จ าพรรษา ปัญหาการขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมา และปัญหาการจัดการศาสนสมบัติของวัด เพื่อขอให้คณะกรรมาธิการติดตามความคืบหน้า หรือด าเนินการแก้ไขปัญหาเป็นจ านวนมาก โดยมีสาระส าคัญที่เป็นประโยชน์ต่อการอุปถัมภ์และ คุ้มครองศาสนาและการศึกษาค้นคว้า ดังนี้ ๓.๑ ปัญหาการขออนุญาตเข้าท าประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าเพื่อสร้างวัด ตั้งวัด หรือการศาสนา คณะกรรมาธิการได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหาหรือติดตาม ความคืบหน้าเกี่ยวกับการขออนุญาตเข้าท าประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่า (ตามความหมาย ในพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔) หรือป่าสงวนแห่งชาติ(ตามความหมายในพระราชบัญญัติ ป่าสงวนแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๐๗) เพื่อสร้างวัด ตั้งวัด หรือการศาสนา ตามที่วัด ส านักสงฆ์ ที่พักสงฆ์หรือบุคคล หรือองค์กรต่าง ๆ ทั่วประเทศ เสนอเรื่องเข้ามา โดยมีกรณีที่เกิดผลส าเร็จ หรือมีความคืบหน้าอย่างมีนัยส าคัญ ดังนี้ ๑) วัดไร่เชิญตะวัน มหาวิชชาลัยพุทธเศรษฐศาสตร์ ธรรมสมโภช ๗๕๐ ปี รัตนบุรีเชียงราย โรงเรียนชาวนาพุทธเศรษฐศาสตร์และศูนย์วิปัสสนาสากล (ไร่เชิญตะวัน) ต าบลห้วยสัก อ าเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย กรณีนี้เป็นการขออนุญาตเข้าท าประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวน แห่งชาติป่าดอยปุย ซึ่งที่ดินแปลงที่ขออนุญาตนั้นได้รับการส่งคืนมาจากส านักงานการปฏิรูป ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม คณะกรรมาธิการได้พิจารณาติดตามเรื่องดังกล่าวร่วมกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง ปัจจุบัน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้ออกหนังสืออนุญาตให้เข้าท าประโยชน์ หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ (ป่าดอยปุย) ให้แก่มูลนิธิวิมุตตยาลัย เพื่อใช้เป็น สถานที่ตั้งมหาวิชชาลัยพุทธเศรษฐศาสตร์ ธรรมสมโภช ๗๕๐ ปี รัตนบุรีเชียงราย โรงเรียน ชาวนาพุทธเศรษฐศาสตร์และเพื่อใช้เป็นสถานที่วิปัสสนากรรมฐาน เนื้อที่ ๑๑๓ ไร่ ๑ งาน ๘๒ ตารางวา ตั้งแต่วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๖ จนถึงวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๙๖ เป็นเวลา ๓๐ ปี ส่วนการขออนุญาตเข้าท าประโยชน์เพื่อตั้งวัดไร่เชิญตะวันอยู่ระหว่างการด าเนินการตามระเบียบ และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง
๑๘ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕
๑๙ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๒) วัดไชยราช (เนินสุเทพ) ต าบลเขาไชยราช อ าเภอปะทิว จังหวัดชุมพร กรณีนี้เป็นการขออนุญาตเข้าท าประโยชน์ภายในเขตป่าไม้ซึ่งเป็นพื้นที่ คาบเกี่ยวระหว่างเขตป่าไม้จังหวัดชุมพรและจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เดิมได้รับอนุญาตให้เข้าท า ประโยชน์ภายในเขตป่าไม้จังหวัดชุมพรแล้วแต่ภายหลังเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่รังวัดสอบเขตแล้ว พบว่ามีพื้นที่บางส่วนอยู่ในเขตรับผิดชอบของป่าไม้จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งภายหลังการพิจารณา คณะกรรมาธิการได้มอบหมายให้ส านักจัดการทรัพยากรป่าไม้ในเขตรับผิดชอบเร่งประชุม หาข้อสรุป เพื่อให้วัดด าเนินการขอใช้พื้นที่เพิ่มเติมต่อไป
๒๐ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๓) วัดถ้ าอมรวิสุทธาราม (วัดบ้านทุ่งนาเมือง) ต าบลนาโพธิ์กลางอ าเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี กรณีนี้เป็นการขออนุญาตเข้าท าประโยชน์ภายในเขตอุทยานแห่งชาติ ซึ่งได้ด าเนินการเพิกถอนเขตอุทยานแห่งชาติออกบางส่วนแล้ว ภายหลังเป็นที่ป่าไม้และต้อง ด าเนินการจัดการรับฟังความคิดเห็นประกอบการจัดท ารายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม เพิ่มเติม ๔) ที่พักสงฆ์ถ้ าวัวแดง อ าเภอภักดีชุมพล จังหวัดชัยภูมิ กรณีนี้เป็นการขอพิสูจน์สิทธิที่ดินของที่พักสงฆ์ว่า มีการสร้างมาก่อน หรือหลังการประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ซึ่งเป็นเรื่องที่คณะอนุกรรมการพิสูจน์สิทธิ ในที่ดินของรัฐจังหวัดชัยภูมิได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ที่พักสงฆ์ไม่มีหลักฐานอื่นมาแสดงได้ว่า มีการ เข้ามาอยู่ก่อนการประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าต่อมาผู้แทนที่พักสงฆ์ได้มีการจัดท าหนังสือ ภาพถ่ายแผนที่ทางอากาศเสนอเพิ่มเติมมา คณะกรรมาธิการจึงได้ส่งต่อให้ส านักงานคณะกรรมการ นโยบายที่ดินแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทที่ดินระหว่างหน่วยงานของรัฐ กับเอกชนพิจารณาและด าเนินการต่อไป ๕) วัดละเมาะ ต าบลหนองพลับ อ าเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กรณีนี้เป็นการขอปรับแผนผังการขออนุญาตเข้าท าประโยชน์ภายในเขต ป่าไม้ จากเดิมที่เคยได้รับอนุญาตแล้ว เพื่อให้ถูกต้องตามการเข้าท าประโยชน์ที่แท้จริง โดยวัด ได้ด าเนินการสร้างอุโบสถเรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อท าการระวางพื้นที่พบว่ามีส่วนที่เกินจากขอบเขต ที่ได้รับอนุญาตไว้ จึงจ าเป็นต้องขอปรับแผนผังอนุญาตให้ถูกต้อง
๒๑ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๖) วัดป่าวิเวกภูเขาวง ต าบลผาขาว อ าเภอผาขาว จังหวัดเลย กรณีนี้เป็นการขออนุญาตเข้าท าประโยชน์ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ (ป่าภูผาขาวและป่าภูผายา) เพื่อขยายเขตไฟฟ้าให้แก่วัด ซึ่งตามรายงานประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร พบว่า วัดป่าวิเวกภูเขาวง เป็นวัดมาก่อนปี พ.ศ. ๒๔๘๑ มีเนื้อที่ ๒๐๐ ไร่ แต่เนื่องจากพื้นที่ของ วัดป่าวิเวกภูเขาวงตั้งอยู่บนเนินเขาสูงในเขตป่าสงวนแห่งชาติและอยู่ในเขตก าหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ า
๒๒ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ชั้นที่ ๑ บางส่วน ดังนั้น การขออนุญาตใช้พื้นที่จากกรมป่าไม้จะต้องมีการจัดท าข้อมูลรายงาน ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EAR) ประกอบค าขอด้วย ซึ่งทางวัดป่าวิเวกภูเขาวง ส านักงาน พระพุทธศาสนาจังหวัดเลย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเลย และนักวิชาการจะร่วมกัน จัดท ารายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EAR) ประกอบการขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าให้ส าเร็จ โดยเร็วต่อไป ๗) วัดห้วยปลากั้ง ต าบลริมกก อ าเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย กรณีนี้เป็นการขอต่ออายุการขออนุญาตให้เข้าท าประโยชน์ภายในเขตป่าไม้
๒๓ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๘) วัดถ้ ากกดู่ ต าบลโนนหวาย อ าเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี กรณีนี้เป็นการขออนุญาตเข้าท าประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าไม้ ซึ่งยื่นขอ อนุญาตตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ แล้ว นอกจากนี้ มีกรณีการขออนุญาตเข้าท าประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ตามมติ คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ แต่เป็นปัญหาว่าที่พักสงฆ์ดังกล่าวไม่ผ่านการพิจารณา คณะกรรมการแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๐ (คณะกรรมการชุดนี้ตั้งขึ้น ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๓๘) หรือสร้างขึ้นหลังจากที่คณะกรรมการมีการพิจารณา ไปแล้ว ซึ่งโดยหลักการไม่สามารถขออนุญาตเข้าท าประโยชน์ได้ ซึ่งมีจ านวนมากหลายพันแห่ง ทั่วประเทศ เป็นปัญหาที่กรมป่าไม้และส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้มีการประชุมร่วมกัน เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยจะต้องให้คณะกรรมการแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ในเขตป่าไม้ ระดับจังหวัดพิจารณารับรอง ว่าที่พักสงฆ์แห่งดังกล่าวสมควรตั้งเป็นวัด หรือให้เข้าร่วมโครงการ ดูแลป่าไม้ หรือให้ผลักดันออกจากเขตป่าไม้ ก่อนที่จะน าความเห็นเสนอกรมป่าไม้พิจารณา ด าเนินการตามระเบียบต่อไป โดยมีที่พักสงฆ์เสนอเรื่องให้คณะกรรมาธิการช่วยพิจารณาติดตาม เป็นจ านวนมาก ดังตัวอย่างต่อไปนี้ ๑) ที่พักสงฆ์บ้านหินดาด อ าเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง ๒) ที่พักสงฆ์พนังศิลาอาสน์ อ าเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ๓) ที่พักสงฆ์ห้วยคลองนา อ าเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ ๔) ที่พักสงฆ์ภูแป้งโพธิบัลลังก์ อ าเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ ๕) ที่พักสงฆ์บ้านป่าหมาก อ าเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน
๒๔ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๖) ที่พักสงฆ์พุทธคีรี ต าบลช่องไม้แก้ว อ าเภอทุ่งตะโก จังหวัดชุมพร ๗) ที่พักสงฆ์ดอยงุ้ม อ าเภอบ้านธิ จังหวัดล าพูน ๘) ที่พักสงฆ์ชัยยะมังคะละราม ต าบลเสริมกลาง อ าเภอเสริมงาม จังหวัดล าปาง ๙) ที่พักสงฆ์ป่าด ารงธรรม ต าบลนางแดด อ าเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ ๑๐) ที่พักสงฆ์ชัยบาดาลปอประสิทธิ์ อ าเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี ๑๑) ที่พักสงฆ์ยอดคีรีศรีวนาราม ต าบลห้วยท่าช้าง อ าเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ๑๒) ที่พักสงฆ์สิทธิเจริญศรัทธาต าบลชากบก อ าเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง
๒๕ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๑๓) ที่พักสงฆ์ท่าเสลา ต าบลยางน้ ากลัดเหนือ อ าเภอหนองหญ้าปล้อง จังหวัดเพชรบุรี ๑๔) ที่พักสงฆ์ต้นน้ าปราณ ต าบลป่าเด็ง อ าเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ๑๕) ที่พักสงฆ์ถ้ าเทวา อ าเภอทุ่งตะโก จังหวัดชุมพร ๑๖) ที่พักสงฆ์ป่าห้วยไทร อ าเภอทุ่งตะโก จังหวัดชุมพร กล่าวโดยสรุป คณะกรรมาธิการได้พิจารณาแก้ไขปัญหาการขออนุญาตใช้ที่ดิน ของรัฐ เพื่อสร้างวัด ตั้งวัด หรือการศาสนา เกี่ยวกับการขออนุญาตเข้าท าประโยชน์ในที่ป่าไม้ ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ และที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติตามพระราชบัญญัติ ป่าสงวนแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๐๗ ผลการพิจารณาพบข้อมูลว่า มีวัด ส านักสงฆ์ และที่พักสงฆ์ ตั้งอยู่หรือเข้าท าประโยชน์ในที่ป่าหรือเขตป่าสงวนแห่งชาติ เพื่อประกอบศาสนกิจทางพระพุทธศาสนา ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ จ านวนกว่า ๗,๐๐๐ แห่ง โดยมีทั้งที่อยู่ระหว่างการด าเนินการขออนุญาต เข้าท าประโยชน์และที่ยังไม่ได้ด าเนินการขออนุญาต คณะกรรมาธิการได้พิจารณาติดตาม การด าเนินการของส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและกรมป่าไม้ในเรื่องดังกล่าว เนื่องจาก คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ เพื่อให้หน่วยงานของรัฐที่เข้าท าประโยชน์ ในที่ป่าหรือเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้เร่งรัดด าเนินการขออนุญาตให้เรียบร้อย ภายใน ๑๘๐ วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ (ครบก าหนดระยะเวลาในวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๓) ซึ่งคณะกรรมาธิการได้ให้ความส าคัญกับเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างมาก และมีความ
๒๖ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ กังวลว่า ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่จะเป็นผู้ขออนุญาตใช้ที่ดิน แทนวัด ส านักสงฆ์ และที่พักสงฆ์ทั่วประเทศ จะด าเนินการเรื่องดังกล่าวไม่ทันตามก าหนด ระยะเวลา เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวประเทศไทยประสบปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ประกอบกับมีวัด ส านักสงฆ์ และที่พักสงฆ์จ านวนมากที่มี การใช้ประโยชน์หรือตั้งอยู่ในที่ป่าหรือเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยยังไม่ได้รับการอนุญาตอย่างถูกต้อง จึงมีความเห็นที่สอดคล้องกับกรมป่าไม้ ๒ ประการ คือ ๑) เสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบขยายเวลาในการยื่น ค าขออนุญาตเข้าท าประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ โดยให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐยื่นค าขออนุญาตเข้าท าประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ภายใน ๑๒๐ วัน นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ขยายเวลาในการยื่นค าขออนุญาต (ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวและมีมติเห็นชอบแล้ว) ๒) เสนอให้คณะกรรมการพิจารณาการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พิจารณาให้ความเห็นชอบร่างระเบียบเกี่ยวกับการพิจารณาให้บุคคลเข้าท าประโยชน์หรืออยู่อาศัย ในเขตป่าสงวนแห่งชาติได้ ตามมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ เพื่อลดขั้นตอนในการพิจารณาค าขออนุญาต เนื่องจากภายหลังคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ มีหน่วยงานของรัฐยื่นค าขอมาเป็นจ านวนมากกว่า ๕๐,๐๐๐ ค าขอ จากการพิจารณาติดตามเรื่องดังกล่าวของคณะกรรมาธิการร่วมกับส านักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติ ท าให้วัดและที่พักสงฆ์ต่าง ๆ ที่เข้าท าประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้และป่าสงวน แห่งชาติเกิดการตื่นตัว โดยมีการยื่นค าขออนุญาตฯ ผ่านส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อขออนุญาตเข้าท าประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เพื่อสร้างวัด ตามมติ คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ และวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ จ านวน ๘,๕๒๙ ค าขอ (เดิมมีจ านวน ๑๐,๗๓๐ ค าขอ แต่ภายหลังการตรวจสอบความซ้ าซ้อนแล้ว คงเหลือ ๘,๕๒๙ ค าขอ) อย่างไรก็ตาม คณะกรรมาธิการพิจารณาทราบข้อมูลจากการเชิญผู้แทนกรมป่าไม้ และหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมประชุมว่า กรณีที่ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติขออนุญาต เข้าท าประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าไม้/ป่าสงวนแห่งชาติเพื่อสร้างวัด ตั้งวัด ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ นั้น เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ กองการอนุญาตกรมป่าไม้ ได้จัดประชุมคลินิกกองการอนุญาต เพื่อติดตามการด าเนินการโครงการจัดที่ดินท ากินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล (คทช.) และติดตาม การด าเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ได้รับทราบปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ส านักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด และเจ้าหน้าที่ส านักจัดการทรัพยากร ป่าไม้ที่ ๑ - ๑๓ และสาขาทุกสาขา ในเรื่องของบุคลากรและงบประมาณในการท างาน ซึ่งกองการอนุญาต ได้ชี้แจงให้ทราบว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ได้จัดท าร่างงบประมาณรายจ่ายประจ าปี งบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ เพื่อมารองรับกิจกรรมการด าเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๗ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ส าหรับในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ จะขอรับการสนับสนุนงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ (งบกลาง) มาด าเนินการและได้รับทราบ ปัญหาอีกประเด็นหนึ่งคือค าขอของส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติขออนุญาตเข้าท าประโยชน์ หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติเพื่อสร้างวัดตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ซึ่งมีจ านวน ๔,๕๒๙ ค าขอ ซึ่งการพิจารณา ค าขอของส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะต้องมีมติที่ประชุมคณะกรรมการป้องกัน และแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ระดับอ าเภอ และระดับจังหวัด มีมติให้สร้างวัดตามล าดับ เนื่องจากปัจจุบัน ไม่มีป่าไม้อ าเภอ และป่าไม้จังหวัด เพื่อให้การพิจารณาค าขอของส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ขออนุญาตเข้าท าประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติเพื่อสร้างวัดตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ จ านวน ๔,๕๒๙ ค าขอ เป็นไปด้วยความรวดเร็ว ถูกต้อง และมีความคล่องตัว จึงขอความเห็นชอบ จากคณะกรรมการฯ ว่าค าขอของส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติขออนุญาตเข้าท าประโยชน์ หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติเพื่อสร้างวัดตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ให้น าเสนอคณะกรรมการป้องกันและแก้ไข ปัญหาพระสงฆ์ระดับจังหวัดโดยไม่ต้องน าเสนอคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ ระดับอ าเภอ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ผ่อนผันให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่เข้าท าประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ ก่อนได้รับอนุญาต โดยให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐยื่นค าขออนุญาตเข้าท าประโยชน์ ในพื้นที่ป่าไม้ภายในก าหนดระยะเวลาตามที่คณะรัฐมนตรีก าหนดส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ยื่นขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าไม้เพื่อการสร้างวัด ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ทั้งหมดจ านวน ๘,๕๒๙ ค าขอ เป็นวัด และส านักสงฆ์ที่ยังไม่อยู่ในบัญชีรายชื่อที่ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการแก้ไขปัญหา พระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้ระดับจังหวัดที่มีมติให้ขออนุญาตสร้างวัดให้ถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้น กรมป่าไม้จึงได้เชิญส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและหน่วยงานภายในกรมป่าไม้หารือการแก้ไขปัญหาและก าหนด หลักเกณฑ์ร่วมกันต่อไป นอกจากนี้ คณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้ได้มีมติ ในการประชุม ครั้งที่ ๒/๒๕๔๐ เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ เห็นชอบหลักเกณฑ์ในการจ าแนก ที่พักสงฆ์ในเขตพื้นที่ป่าไม้และแนวทางแก้ไขปัญหา โดยก าหนดหลักเกณฑ์การจ าแนกที่พักสงฆ์ ในพื้นที่ป่าไม้แต่ละประเภทไปด าเนินการ ๓ รูปแบบ ดังนี้ (๑) ผลักดันให้ออกจากพื้นที่ (๒) จัดท าโครงการส่งเสริมให้วัดหรือส านักสงฆ์ช่วยงานด้านป่าไม้ (๓) ให้ที่พักสงฆ์นั้นขออนุญาตสร้างวัดโดยถูกต้องตามกฎหมาย
๒๘ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ กรมป่าไม้ได้มีการหารือเรื่องการแก้ไขปัญหาและก าหนดหลักเกณฑ์กรณีการขออนุญาต เข้าท าประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าไม้เพื่อการสร้างวัด เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๕ โดยมีประเด็น ดังนี้ ๑) ยึดแนวทางตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๓๘ และ คณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้ระดับจังหวัด ตามค าสั่งคณะกรรมการ ป้องกันและแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้ที่ ๑/๒๕๕๒ ลงวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๒ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๓๘ ได้เห็นชอบในหลักการ ป้องกันและแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ จ านวน ๓ ข้อ ดังนี้ (๑) ให้กรมป่าไม้พิจารณาด าเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ ในพื้นที่ป่าไม้โดยถือเป็นนโยบายส าคัญและเร่งด่วน ทั้งนี้ให้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างใกล้ชิด (๒) ให้กรมป่าไม้ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส ารวจที่พักสงฆ์ซึ่งอาศัยอยู่ โดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายในพื้นที่ป่าไม้โดยขั้นตอนการส ารวจจะยังไม่ด าเนินการตามกฎหมาย กับที่พักสงฆ์เหล่านั้น (๓) ให้กรมป่าไม้ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่กรมการศาสนา กรมการปกครอง และมหาเถรสมาคม เพื่อก าหนดแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ ในพื้นที่ป่าไม้ตลอดจนก าหนดแนวทางในการส่งเสริมให้วัดหรือส านักสงฆ์มีส่วนช่วยงาน ด้านป่าไม้อย่างจริงจังและต่อเนื่องในรูปแบบที่เหมาะสม เห็นชอบให้มีคณะกรรมการร่วมพิจารณา ๓ ระดับ คือ คณะกรรมการกลาง คณะกรรมการระดับจังหวัด และคณะกรรมการระดับอ าเภอ ๒) พิจารณาจ าแนกที่พักสงฆ์ในเขตพื้นที่ป่าไม้ตามหลักการในการจ าแนก ที่พักสงฆ์ในเขตพื้นที่ป่าไม้และแนวทางแก้ไขปัญหาตามมติคณะกรรมการป้องกันและแก้ไข ปัญหาพระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้ครั้งที่ ๒/๒๕๔๐ เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ เพื่อประกอบ ในการพิจารณาอนุญาตใช้พื้นที่ป่าไม้เพื่อการสร้างวัด ให้จ าแนกที่พักสงฆ์ในเขตพื้นที่ป่าไม้ แต่ละประเภทไปด าเนินการ ๓ รูปแบบ ดังนี้ (๑) ผลักดันให้ออกจากพื้นที่ (๒) จัดท าโครงการส่งเสริมให้วัดหรือส านักสงฆ์ช่วยงานด้านป่าไม้ (๓) ให้ที่พักสงฆ์นั้นขออนุญาตสร้างวัดโดยถูกต้องตามกฎหมาย ให้คณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้ระดับจังหวัด จัดท าบัญชีแนบท้ายแต่ละกลุ่มแจ้งกรมป่าไม้เพื่อรวบรวมรายงานคณะกรรมการกลางพิจารณา ต่อไป