The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by กมธ. ศาสนาฯ, 2023-07-06 04:26:11

สรุปผลงานคณะกรรมาธิการชุดที่ 25

article_20230502155415

๗๙ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๑.๔๐) วัดกัลยานฤมิต ต าบลคลองน้อย อ าเภอปากพนัง จังหวัด นครศรีธรรมราช กรณีนี้เป็นปัญหาการออกหนังสือส าคัญส าหรับที่หลวงทับซ้อน กับที่ดินซึ่งวัดครอบครองอยู่ตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) โดยอยู่ระหว่าง การตรวจสอบของส านักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครศรีธรรมราชว่า ได้รับอนุญาตให้ตั้งวัด โดยการเพิกถอนที่สาธารณประโยชน์เมื่อใด และการค้นหาหลักฐานเอกสารเพื่อพิสูจน์ว่า มีการตั้งวัดมาก่อนการออกหนังสือส าคัญส าหรับที่หลวง (ประกาศเป็นที่สาธารณประโยชน์) หรือไม่ ๑.๔๑) ที่พักสงฆ์โนนเมืองเก่า ต าบลก าแพง อ าเภอเกษตรวิสัย จังหวัด ร้อยเอ็ด กรณีนี้เป็นการขอออกโฉนดที่ดินให้แก่ที่พักสงฆ์ ตามแบบแจ้ง การครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) เพื่อประกอบการขออนุญาตสร้างวัดและตั้งวัดต่อไป คณะกรรมาธิการ มีความเห็นว่า ผู้ครอบครองเอกสาร ส.ค. ๑ ผู้ใหญ่บ้านดอกรักน้อย และหัวหน้าที่พักสงฆ์ โนนเมืองเก่าควรน าเอกสาร ส.ค. ๑ ไปยื่นต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดร้อยเอ็ด สาขาเกษตรวิสัย เพื่อขอให้ตรวจสอบว่าเป็นเอกสารฉบับจริงหรือไม่ หากเป็นฉบับจริงก็ขอให้ผู้ครอบครอง เอกสาร ส.ค. ๑ ไปยื่นค าร้องต่อศาลเพื่อขอออกโฉนดที่ดินต่อไป ๑.๔๒) ที่พักสงฆ์พระธาตุเติมบุญ ต าบลคลองหนึ่ง อ าเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี คณะกรรมาธิการมีข้อเสนอแนะ ๒ ประการ คือ (๑) กรณีที่ดิน ที่ผู้บริจาคยกให้ตั้งวัดโดยมีหนังสือสัญญายกให้สร้างวัดมีผู้ว่าราชการจังหวัดรับไว้แทนส านักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาตินั้น ให้น าคดีฟ้องร้องต่อศาลเพื่อน าค าพิพากษามาขอออกโฉนดที่ดิน ให้แก่วัด และ (๒) กรณีมีการรบกวนการครอบครองที่ดินก็ให้ประสานทนายความที่ดูแลวัด ให้ช่วยเหลือทางคดีต่อไป ๑.๔๓) ที่พักสงฆ์ชมพูพฤกษาราม (ทุ่งหว้า) ต าบลกะปาง อ าเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่พักสงฆ์ก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณปีพ.ศ. ๒๔๖๕ โดยได้เริ่ม ก่อสร้างเสนาสนะและมีพระภิกษุอยู่จ าพรรษาเรื่อยมา แต่ไม่มีโฉนดที่ดินหรือเอกสารสิทธิที่ดิน แต่อย่างใด คณะสงฆ์และผู้น าหมู่บ้านจึงมีความประสงค์จะขอออกโฉนดที่ดินให้แก่ที่พักสงฆ์ ซึ่งในปีพ.ศ. ๒๕๔๙ ได้มีการเดินส ารวจที่ดินเพื่อท าการรังวัดออกโฉนดทั้งหมด ยกเว้นบริเวณ ที่พักสงฆ์ หากประสงค์จะขอออกโฉนดที่ดิน ส านักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครศรีธรรมราช ต้องด าเนินการรับรองสภาพว่าที่พักสงฆ์ดังกล่าวมีสภาพเป็นวัด มีการขึ้นทะเบียนประวัติ ของส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจึงจะสามารถด าเนินการเพื่อขอออกโฉนดที่ดินได้ คณะกรรมาธิการจึงขอให้ส านักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครศรีธรรมราชด าเนินการตามระเบียบ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป


๘๐ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๒) ปัญหาเกี่ยวกับการจัดประโยชน์ที่ดินของวัด ๒.๑) วัดชัยพฤกษมาลาราชวรวิหาร เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร กรณีนี้เป็นปัญหาของผู้เช่าที่ดินของวัดที่ปฏิบัติผิดเงื่อนไข สัญญาเช่ามีการน าไปให้เช่าช่วง และไม่ยอมรับการด าเนินการจัดประโยชน์ของวัดซึ่งด าเนินการ โดยคณะกรรมการวัด จนเกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างวัด คณะกรรมการวัด และผู้เช่าที่ดิน วัดบางส่วน คณะกรรมาธิการจึงมีข้อเสนอแนะให้วัดหรือคณะกรรมการวัดจ าแนกประชาชน ที่เช่าอาศัยอยู่เองจริง และผู้เช่าที่ไม่ได้อาศัยอยู่จริงแต่มีการน าไปให้เช่าช่วง เพื่อให้เจรจาแก้ไข ปัญหาเฉพาะราย หากรายใดไม่ยอมเจรจาหรือไม่ยอมรับก็ให้ด าเนินการทางกฎหมาย และขอให้ วัดแก้ไขปัญหาโดยยึดถือหลัก บวร มีวัดเป็นศูนย์กลางของชุมชน ๒.๒) วัดพระทรง ต าบลคลองกระแซงอ าเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี คณะกรรมาธิการได้มีหนังสือแจ้งให้ส านักงานพระพุทธศาสนา จังหวัดเพชรบุรีเข้ากราบนมัสการเจ้าอาวาสเพื่อรับทราบและหาแนวทางแก้ไขปัญหา ต่อมา ส านักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเพชรบุรีได้มีหนังสือตอบมาว่า ไม่สามารถด าเนินการ ตามข้อเสนอของผู้ร้องเรียนได้ เพราะการด าเนินการของวัดพระทรงเป็นไปตามพระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และมติมหาเถรสมาคมแล้ว


๘๑ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๒.๓) วัดอุทัยธาราม ต าบลบ่อยาง อ าเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา ส านักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสงขลาได้รายงานว่า วัดอุทัยธาราม ได้ด าเนินการตามค าพิพากษาของศาลและกฎหมายที่เกี่ยวข้องพร้อมชี้แจงรายละเอียดการเรียกเก็บ ค่าสัญญาเช่าและค่าอื่น ๆ คณะกรรมาธิการจึงได้ช่วยเจรจาประนีประนอมส าหรับประชาชน จ านวน ๑๓ คน ที่เดือดร้อนในช่วงการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) โดยไม่ขยายผลถึงประชาชนส่วนอื่นที่ไม่ได้รับความเดือดร้อน ๒.๔) วัดลาดทราย ต าบลล าไทรอ าเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กรณีนี้เป็นปัญหาความขัดแย้งกันเองระหว่างผู้เช่าที่ดินของวัด เกี่ยวกับเรื่องทางออกสู่ถนนสายเอเซีย ซึ่งตามข้อเท็จจริงวัดไม่ทราบว่า ผู้เช่าที่ดินของวัด แปลงที่มีข้อพิพาทมีผู้ใดเป็นผู้เช่า คณะกรรมาธิการจึงได้แนะน าให้วัดจัดระเบียบใหม่ โดยตั้ง คณะกรรมการวัดขึ้นมาดูแลรับผิดชอบ และเรียกผู้เช่ามาท าสัญญาให้ถูกต้อง หากรายใดไม่ยอม เจรจาหรือไม่ปฏิบัติตามก็ให้ด าเนินการทางกฎหมาย แต่ทั้งนี้ ให้ค านึงถึงการอยู่รวมกันระหว่าง วัดกับประชาชนรอบวัดด้วย ๒.๕) วัดสมุทธาราม ต าบลแหลมผักเบี้ยอ าเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี วัดสมุทธารามมีนโยบายที่จะจัดระเบียบร้านค้าที่เช่าที่ธรณีสงฆ์ ของวัดบริเวณชายหาดให้เป็นระเบียบ โดยก่อสร้างอาคารโรงอาหารให้แทน เพื่อจะน าพื้นที่ มาก่อสร้างศาสนสถานและจัดระเบียบให้สวยงามเป็นแหล่งท่องเที่ยวของชุมชน แต่มีร้านค้า จ านวน ๕ ร้าน ยังไม่พร้อมที่จะย้ายออกเนื่องจากยังหาที่ใหม่ไม่ได้ คณะกรรมาธิการจึงขอให้ ทางวัดได้ช่วยขยายเวลาให้ถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๕ ๒.๖) วัดดาวดึงษ์ ต าบลหายยา อ าเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ คณะกรรมาธิการได้พิจารณาร่วมกับทุกฝ่ายแล้วเห็นว่า สัญญา เช่าที่ดินของวัดได้ด าเนินการตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และมติมหาเถรสมาคม แล้ว ส่วนความไม่เข้าใจและความสงสัยในเรื่องการท าสัญญาเช่าก็ให้ทางวัดได้จัดประชุม เพื่อชี้แจงให้ผู้เช่าเข้าใจ ๒.๗) วัดเจ็ดลิน ต าบลพระสิงห์ อ าเภอเมืองเชียงใหม่จังหวัดเชียงใหม่ คณะกรรมาธิการได้ลงพื้นที่และประชุมร่วมกับคณะสงฆ์ ประชาชนในพื้นที่ โดยขอให้วัดจัดท าแผนผังที่ดินของวัดและจัดท าบัญชีผู้เช่าที่ดินวัด เพื่อจัดระเบียบและการปรับปรุงภูมิทัศน์ของวัดให้สวยงาม ๒.๘) วัดเพชรสมุทรวรวิหาร ต าบลแม่กลอง อ าเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม คณะกรรมาธิการมีความเห็นว่า จากการประชุมหารือร่วมกับวัด ได้ข้อมูลว่า หากผู้เช่ามีความประสงค์จะเช่าที่ดินของวัดต่อไป วัดไม่ขัดข้อง แต่ผู้เช่าต้องแก้ไข


๘๒ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ปัญหาความขัดแย้งภายในครอบครัวของผู้เช่าให้เรียบร้อยเสียก่อน ส าหรับเรื่องที่วัดเก็บค่าเช่า ที่ดินได้น้อยกว่าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเรียกเก็บนั้น ในเบื้องต้น คณะกรรมาธิการมีข้อเสนอแนะให้วัดแจ้งหรือก าหนดในสัญญาว่าให้ผู้เช่าเป็นผู้จ่ายแทนวัด ๒.๙) วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร กรณีนี้เป็นการขอรังวัดแบ่งเขตเวนคืนที่ธรณีสงฆ์ของวัดชนะ สงครามฯ ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี โดยกรมทางหลวงชนบทได้จ่ายเงินค่าผาติกรรม (เงินชดเชย การเวนคืนที่ดิน) ให้แก่วัดเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๙ ส่วนที่ดินที่ยังไม่ได้จ่ายกรมทาง หลวงชนบทไม่ทราบมาก่อน จึงขอให้ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและกรมทางหลวง ประชุมหารือร่วมกันเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและด าเนินการจ่ายค่าผาติกรรม (เงินชดเชยการ เวนคืนที่ดิน) ให้แก่วัดต่อไป ๒.๑๐) วัดอนงคารามวรวิหาร แขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร คณะกรรมาธิการมีข้อเสนอแนะให้ส านักงานพระพุทธศาสนา แห่งชาติพิจารณาหารือเรื่องการแก้ไขปรับปรุงค่าเช่าที่ธรณีสงฆ์ของวัดร่วมกับคณะกรรมการวัด และฝ่ายผู้เช่าที่ดินของวัด เพื่อแก้ไขปัญหาที่เป็นธรรมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ๓) ปัญหาอื่น ๆ เกี่ยวกับศาสนสมบัติของวัด ๓.๑) วัดพระธาตุสบแวน ต าบลหย่วน อ าเภอเชียงค า จังหวัดพะเยา กรณีนี้เป็นเรื่องการแลกเปลี่ยนที่ดินของวัดพระธาตุสบแวน กับที่ดินของเอกชน ซึ่งกองช่างรังวัด ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ลงพื้นที่รังวัดแนวเขต ที่ดินของวัดเพื่อจัดท าแผนผังรูปที่ดินเสนอให้กลุ่มนิติการแนบท้ายร่างพระราชบัญญัติ แลกเปลี่ยนที่ดินวัดกับเอกชนและเสนอตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป ๓.๒) วัดเอี่ยมวรนุช แขวงบ้านพานถม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร กรณีนี้ที่มีความห่วงกังวลว่า วัดเอี่ยมวรนุชจะถูกเวนคืนที่ดิน หรือได้รับผลกระทบเชิงลบจากโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง “เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ” ซึ่งการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้มาร่วมประชุมและมีหนังสือยืนยันว่าจะ ไม่มีการเวนคืนที่ดินภายในก าแพงวัด ส่วนที่ธรณีสงฆ์จะมีการเวนคืนเฉพาะที่จ าเป็นในการ ก่อสร้างสถานีรถไฟฟ้าเท่านั้น และเมื่อก่อสร้างเสร็จแล้วก็จะปรับปรุงพื้นที่ของวัดและรอบวัด ให้สวยงาม


๘๓ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๓.๓) วัดเปร็งราษฎร์บ ารุง ต าบลเปร็งอ าเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ กรณีนี้เป็นการติดตามค่าผาติกรรมในการเวนคืนที่ดินของ วัดเปร็งราษฎร์บ ารุง ซึ่งกรมทางหลวงชนบทจะจ่ายเงินค่าผาติกรรมที่ดินเฉพาะส่วนที่ขยายถนน เพิ่มเติม แต่ไม่รวมที่ดินเดิมที่เป็นถนนอยู่แล้ว โดยวัดมีความเห็นว่า วัดควรได้รับเงินค่าผาติกรรม จากที่ดินทั้งหมด จึงหาข้อยุติไม่ได้ คณะกรรมาธิการจึงแนะน าให้มีการยื่นเรื่องหารือไปยัง คณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อพิจารณาว่า ที่ดินเดิมที่เป็นถนนอยู่ก่อนนั้นเป็นที่ดินของวัดหรือเป็น ที่สาธารณประโยชน์เพื่อจะได้ข้อยุติและด าเนินการจ่ายค่าผาติกรรมให้วัดอย่างถูกต้อง


๘๔ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๔. การพิจารณาติดตามการก าหนดนโยบายและโครงการ หรือการด าเนินการต่าง ๆ ของรัฐเกี่ยวกับการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม คณะกรรมาธิการได้มีการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาติดตาม การก าหนดนโยบายและโครงการ หรือการด าเนินการต่าง ๆ ของรัฐเกี่ยวกับการอุปถัมภ์และ คุ้มครองศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ดังนี้ ๔.๑ แนวนโยบายการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา คณะกรรมาธิการได้พิจารณาแนวนโยบายการอุปถัมภ์และคุ้มครอง พระพุทธศาสนา โดยเชิญผู้แทนส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เข้าร่วมประชุม เพื่อน าเสนอ ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว รวมทั้งตอบข้อซักถามในประเด็นต่าง ๆ ซึ่งได้มีการด าเนินการ โดยสรุป ดังนี้ ๑) การใช้อ านาจของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ มาตรา ๔๔ ซึ่งมีผลกระทบกับ วัด พระภิกษุและพุทธศาสนิกชน โดยการออกค าสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๕/๒๕๖๐ เรื่อง มาตรการให้อ านาจก าหนดพื้นที่ควบคุมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้ กฎหมาย ลงวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ และประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๔ ตอนพิเศษ ๔๗ ง เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ๒) การสนับสนุนงบประมาณเพื่อสร้างเมรุเผาศพที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จ านวน ๑๘ วัดต่อปี ทั่วประเทศ ซึ่งเริ่มด าเนินการตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๕๔ รวมจ านวนกว่า ๑๐๐ วัด ๓) การประสานงานขอความร่วมมือให้วัดที่มีศักยภาพความพร้อมในการ ผลิตสื่อและการเผยแผ่พระพุทธศาสนาผ่านช่องทางสื่อสมัยใหม่ รวมทั้งการป้องกันและปราบปราม ข่าวปลอม (Fake News) ซึ่งจะท าการตรวจสอบและประสานงานให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และสังคมด าเนินการต่อไป พร้อมทั้งขอความอนุเคราะห์ให้พระสังฆาธิการ อาทิ เจ้าคณะจังหวัด ก ากับดูแลการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของภิกษุในปกครองด้วย ๔) การป้องกันการทุจริตเงินงบประมาณในการสนับสนุนและท านุบ ารุงวัด (กรณีทุจริตเงินทอนวัด) เป็นการกระท าความผิดโดยอาศัยต าแหน่งและอ านาจหน้าที่ เพื่อด าเนินการโดยหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์วิธีการที่มีอยู่แล้ว ๕) การดูแลงานด้านศาสนบุคคล (พระภิกษุ)ศาสนสถาน (วัด ศาสนสมบัติกลาง วัดร้าง) การเผยแผ่ศาสนธรรม และการพัฒนาการจัดการศึกษาของพระสงฆ์ อยู่ในความรับผิดชอบ ของส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ส่วนการดูแลงานด้านการเผยแผ่ศาสนธรรมไปสู่ประชาชน งานพระราชพิธีและงานรัฐพิธีที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา อยู่ในความรับผิดชอบของ กรมการศาสนา ๖) การส่งเสริมสนับสนุนควบคุมดูแลจัดการศึกษาแนวทางการศึกษา พระปริยัติธรรม


๘๕ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๗) การกระท าความผิดพระธรรมวินัยของพระภิกษุและสามเณร กรณีกระท าผิด อาญาจะประสานงานเจ้าอาวาสหรือพระสังฆาธิการเพื่อพิจารณาโทษทางพระวินัยก่อนแล้ว จึงประสานงานต ารวจเพื่อด าเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ๘) การส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนบรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุซึ่งในปัจจุบัน มีพุทธศาสนิกชนบรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุลดลงและมีเวลาในการอุปสมบทค่อนข้างน้อย มหาเถรสมาคมได้มีมติก าหนดหลักสูตรศาสนศึกษาส าหรับผู้บวชระยะสั้น ๑๕ – ๓๐ วัน โดยเน้นการอบรมพระบวชใหม่ให้มีความรู้ใน ๖ วิชา ได้แก่ ธรรมะ วินัย พุทธประวัติเทศนา ศาสนพิธี และภาวนา เพื่อให้สามารถน าหลักธรรมไปปรับใช้เป็นแนวทางในการด าเนินชีวิต ประจ าวันต่อไป ๔.๒ โครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข : สร้างสัปปายะสู่วัดด้วยวิถี ๕ ส คณะกรรมาธิการได้พิจารณาโครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข : สร้างสัปปายะ สู่วัดด้วยวิถี ๕ ส โดยเชิญผู้แทนส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และส านักงานกองทุน สนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เข้าร่วมประชุม ซึ่งได้มีการตอบข้อซักถามในประเด็นต่าง ๆ สรุปสาระส าคัญ ดังนี้ ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้กล่าวน าความเป็นมาของโครงการ วัด ประชา รัฐ สร้างสุข : สร้างสัปปายะสู่วัดด้วยวิถี ๕ ส เดิมมีชื่อว่า “วัดสร้างสุข” โดยสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เห็นควรให้องค์กรภาครัฐและองค์ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม ในการจัดท าโครงการ ซึ่งได้มีเกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยมีสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ประธาน คณะกรรมการปฏิรูปกิจกรรมพระพุทธศาสนาฝ่ายสาธารณูปการของมหาเถรสมาคม ลงนาม บันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือ (MOU) ร่วมกับรัฐมนตรีประจ าส านักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) อธิการบดีมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ส านักงานกองทุน


๘๖ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ สนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ณ พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม โดยมีเป้าหมายในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ วัดจะต้องเข้าร่วมโครงการ จ านวน ๒๔,๐๐๐ วัด โดยมีพระธรรมรัตนาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เจ้าอาวาสวัดเขียนเขต เป็นประธานโครงการ ในเวลาต่อมาได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัด เพื่อขับเคลื่อนงานให้เป็นไปตามบันทึก ข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือ (MOU) และมีการประชุมอบรมให้กับวัดและบุคลากรต่าง ๆ เพื่อสร้างความเข้าใจและขับเคลื่อนร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อการบูรณาการโครงการ ให้เป็นไปด้วยดีและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ส านักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้น าโครงการ ดังกล่าวมาจัดท ากิจกรรมในหลายมิติเพื่อสร้างความเข้มแข็งในชุมชน และการเข้าร่วมโครงการ ปิดเทอมสร้างสรรค์เพื่อน าเด็กบวชเณรภาคฤดูร้อน โดยใช้งบประมาณของส านักงานกองทุน สนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ รวมทั้งการสนับสนุนงบประมาณและทรัพยากรอื่น ๆ ที่เข้าร่วม โครงการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข ส านักงานคณะกรรมการสุขภาพ แห่งชาติ(สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ) และส านักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นอกจากนั้น ได้ให้ความส าคัญกับแนวทางการแก้ไขปัญหาเด็กรุ่นใหม่ห่างไกลวัด โดยให้วัดซึ่งเป็นศูนย์กลางของชุมชนได้มีการปรับสถานที่วัดให้เป็นสัปปายะ เพื่อสร้างจุดสนใจ ให้เด็ก เยาวชน และประชาชนเข้าวัดมากขึ้น โดยมีกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ให้การสนับสนุนโครงการที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มองค์กรทางพระพุทธศาสนา รวมทั้งได้มีแนวทาง การแก้ไขปัญหาด้านสุขภาพให้แด่พระภิกษุโดยพัฒนาวัดให้เป็นสัปปายะ ๔ ด้าน ได้แก่ อาวาสสบาย อาหารสบาย บุคคลสบาย ธรรมะสบาย รวมทั้งการจัดท าหนังสือสุขภาพ ได้แก่ สุขภาวะของ พระภิกษุการป้องกันและควบคุมโรคกระดูกสันหลังส่วนคอเสื่อม (CSR) เชิงพุทธ การจัดท า โครงการวัดบันดาลใจ โดยร่วมกับกลุ่มสถาปนิกภูมิสถาปัตย์


๘๗ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๔.๓ แนวนโยบายการบริหารจัดการงานด้านการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ตลอดจนภารกิจและแนวทางการด าเนินงานของกระทรวงวัฒนธรรม คณะกรรมาธิการได้เดินทางไปร่วมประชุมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (นายอิทธิพล คุณปลื้ม) และคณะผู้บริหาร เพื่อรับทราบแนวนโยบายการบริหารจัดการงาน ด้านการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ตลอดจนภารกิจและแนวทางการด าเนินงานของกระทรวง วัฒนธรรม โดยสรุปสาระส าคัญ ดังนี้ ๑) แนวนโยบายและภารกิจของกระทรวงวัฒนธรรม (๑) วิสัยทัศน์ของกระทรวงวัฒนธรรม ได้แก่ วัฒนธรรมและความคิด สร้างสรรค์ มีบทบาทน าในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทย (๒) พันธกิจของกระทรวง ได้แก่ (๒.๑) เทิดทูนสถาบันหลักของชาติ สืบสานศิลปวัฒนธรรม และวิถีชีวิต ที่ดีงามของสังคมไทย (๒.๒) ส่งเสริมเศรษฐกิจวัฒนธรรม เพื่อสร้างคุณค่าทางสังคมและ มูลค่าทางเศรษฐกิจ (๒.๓) พัฒนาความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมกับต่างประเทศและส่งเสริม บทบาททางวัฒนธรรมของไทยในเวทีโลก (๒.๔) เสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคม จิตส านึกค่านิยมเชิงบวก และคุณลักษณะของคนไทยที่พร้อมปรับตัวสู่อนาคต (๒.๕) ส่งเสริมการเรียนรู้ การศึกษา การสร้างสรรค์ และการจัดการ องค์ความรู้ทางวัฒนธรรม (๒.๖) บริหารจัดการงานศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมให้มีคุณภาพ มาตรฐานระดับสากล (๓) ยุทธศาสตร์ของกระทรวงวัฒนธรรม ได้แก่ (๓.๑) เสริมพลังการเทิดทูนสถาบันหลักของชาติและการสืบสาน สร้างสรรค์วัฒนธรรมอย่างยั่งยืน (๓.๒) ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากด้วยมิติทางวัฒนธรรมและพัฒนาศักยภาพ อุตสาหกรรมวัฒนธรรมให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก (๓.๓) เสริมสร้างภาพลักษณ์ เกียรติภูมิ และยกระดับบทบาทด้านวัฒนธรรม ของไทยในเวทีโลก (๓.๔) ปลูกจิตส านึกและเสริมสร้างค่านิยมเชิงบวกสู่สังคมคุณธรรม ในบริบทสังคมไทยและสังคมโลก (๓.๕) พัฒนาสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรม เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ และการสร้างสรรค์งานด้านศิลปวัฒนธรรม


๘๘ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ (๓.๖) พัฒนาศักยภาพการบริหารจัดการงานศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สู่ระดับนานาชาติ (๔) โครงสร้างของกระทรวงวัฒนธรรม ประกอบด้วย ๖ ส่วนราชการ ๓ องค์การมหาชน และ ๑ ส านักงานกองทุน (๕) นโยบายหลัก ๔ ประการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้แก่ (๕.๑) ด้านการสืบสานงานวัฒนธรรมของชาติ (๕.๒) ด้านการรักษาและหวงแหนมรดกทางวัฒนธรรม (๕.๓) การต่อยอดวัฒนธรรมด้วยการน าคุณค่าของวัฒนธรรม สร้างสรรค์สินค้าและบริการ (Creative Culture) สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวและบริการทาง วัฒนธรรม และส่งเสริมการน านวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เป็นเครื่องมือในการคิดค้น และวิจัย (๕.๔) ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยหลักธรรมาภิบาลและการสร้างคุณค่า ทางสังคม (Value Creation) ๒) ยุทธศาสตร์การด าเนินงานของกระทรวงวัฒนธรรมในส่วนภูมิภาคระดับ จังหวัด เป็นการด าเนินงานผ่านหน่วยงาน ๒ หน่วยงาน ได้แก่ (๑) ส านักศิลปากรพื้นที่ ซึ่งมี หน้าที่ดูแลด้านการอนุรักษ์โบราณสถานในแต่ละเขตพื้นที่ (๒) ส านักงานวัฒนธรรมจังหวัด มีหน้าที่ขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงผ่านทางเครือข่ายวัฒนธรรมของแต่ละจังหวัด ๓) การทับซ้อนของอ านาจหน้าที่ระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมกับกระทรวง การท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจัดสรรงบประมาณและการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง การด าเนินงานตามการพิจารณาจัดสรรงบประมาณประจ าปี พ.ศ. ๒๕๖๓ การด าเนินงานของ กระทรวงวัฒนธรรมนั้น แม้จะมีภารกิจที่คล้ายคลึงกับภารกิจของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แต่เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายเป็นคนละกลุ่มและมีการวางแผนงานแตกต่างกัน การขอจัดสรร งบประมาณจึงมิได้ซ้ าซ้อนกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแต่อย่างใด ๔) แนวทางการจัดท าแผนบูรณาการด้านวัฒนธรรม ในส่วนของการจัดท า แผนบูรณาการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง และแผนงานบูรณาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับโครงสร้าง พื้นฐานและสร้างโอกาสในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อยกระดับ คุณภาพชีวิตและสร้างรายได้ส าหรับประชาชนทุกกลุ่ม ๕) แนวทางการส่งเสริมการแต่งกายตามอัตลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ ได้ด าเนิน โครงการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ผ้าไทยหลายโครงการ อาทิ(๑) โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย (๒) โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนเศรษฐกิจพอเพียง (ผลิตภัณฑ์จากผ้าไทยร่วมสมัยชายแดนใต้) (๓) โครงการประกวดออกแบบเครื่องแต่งกายร่วมสมัยเพื่อการสวมใส่ทุกวัน (๔) กิจกรรม พัฒนาการออกแบบลายผ้าร่วมสมัยไทยแดนใต้สู่สากล (๕) การคัดเลือกสุดยอดศิลปะร่วมสมัย


๘๙ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ในรัชกาลที่ ๙ สาขาออกแบบเครื่องแต่งกาย (๖) การเปิดตัวชุดประจ าชาติ “ผีตาโขน Festival of Thailand” (๗) โครงการผ้าไทยอัตลักษณ์ไทยสู่สากล เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (๘) การจัดงาน “มหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลกปีที่ ๙” เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (๙) โครงการส่งเสริมผ้าไทยในส่วนภูมิภาค อาทิ การประกวดลายผ้าประจ าจังหวัด โครงการรากเหง้าวัฒนธรรม นุ่งซิ่น ไม่นุ่งสั้นทุกวันพระ โครงการเสน่ห์เส้นทางผ้าทอส่งเสริม หมู่บ้านวัฒนธรรมเพื่อการท่องเที่ยว เป็นต้น (๑๐) การประกาศ ขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาผ้าไทย ๖) แนวทางการจัดสรรงบประมาณในการอุดหนุนการจัดท าภาพยนตร์และ การแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. ๒๕๕๑ กระทรวงวัฒนธรรม ได้ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ผ่านกองทุน ๒ กองทุน ได้แก่ กองทุนส่งเสริม อุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ และกองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม โดยการส่งเสริมพัฒนาบุคลากร ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ให้เป็นมืออาชีพ โดยเน้นความร่วมมือกับภาคเอกชน ส่งเสริมและพัฒนาตลาดภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทย สนับสนุนการจัดกิจกรรม เทศกาล นิทรรศการด้านภาพยนตร์และวีดิทัศน์และเผยแพร่ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ในต่างประเทศ ส าหรับพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. ๒๕๕๑ นั้น มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๑ ข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการ ๑) กระทรวงวัฒนธรรมควรเป็นเจ้าภาพในการจัดท าแผนงานบูรณาการ ด้านวัฒนธรรมพลเมือง (Good Citizenship) เพื่อสร้างวัฒนธรรมความเป็นคนดีหรือวัฒนธรรม ประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนในสังคม


๙๐ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๒) กระทรวงวัฒนธรรมมีการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์โดยมี แนวคิดการให้ความหมายค าว่า“ภาพยนตร์” ในลักษณะเป็นเรื่องราวและใช้ดูเพื่อความบันเทิงนั้น ไม่ถูกต้องและครอบคลุม เนื่องจากภาพยนตร์ไม่ได้มีความมุ่งหมายให้รับชมเพื่อความบันเทิง เพียงอย่างเดียว แต่มีเป้าหมายของเรื่องหรือสิ่งที่จะสื่อสารกับผู้ชมในหลายมิติ จึงเห็นควรเสนอ ให้พิจารณาทบทวนแนวคิดดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เผยแพร่ออกสู่สาธารณะ ส่วนปัญหาหลักของตลาดภาพยนตร์ในขณะนี้ คือ ปัญหาการผูกขาด โดยกลุ่มทุน ท าให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ขาดการแข่งขัน การพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ในประเทศไทยจึงเกิดขึ้นได้ยากส าหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่ยั่งยืนนั้นจะต้องพัฒนา ทั้งระบบ กล่าวคือ นอกจากจะสนับสนุนผู้สร้างภาพยนตร์แล้ว ยังต้องสนับสนุนการจัดจ าหน่าย โดยส่งเสริมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงภาพยนตร์ที่ดีมีคุณภาพอีกด้วย ซึ่งหากพิจารณา จากศักยภาพในการสร้างแล้ว ผู้สร้างภาพยนตร์ไทยสามารถสร้างภาพยนตร์ที่มีคุณภาพได้ ทัดเทียมประเทศอื่น ๆ แต่ต้องมีการบูรณาการ ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) การให้ความส าคัญจากภาครัฐในการส่งเสริมให้ผู้สร้างภาพยนตร์ มีโอกาสน าเสนอวัฒนธรรมท้องถิ่นผ่านภาพยนตร์ที่สร้างขึ้น (๒) การสร้างวัฒนธรรมการชมภาพยนตร์ที่เข้มแข็งโดยการสร้างวัฒนธรรม การวิเคราะห์และประเมินคุณค่าภาพยนตร์เพื่อหาแนวคิดที่ภาพยนตร์ต้องการจะสื่อและฝึกฝน การคิดเชิงวิพากษ์ (๓) การสนับสนุนพื้นที่ฉายภาพยนตร์และเวลาในการฉายภาพยนตร์ส าหรับ ภาพยนตร์ไทย โดยก าหนดสัดส่วนภาพยนตร์ต่างประเทศและภาพยนตร์ไทยที่จะฉายในโรง ภาพยนตร์แต่ละแห่ง และอาจจัดโครงการ ๑ ชุมชน ๑ ธุรกิจ โดยใช้ห้องฉายภาพยนตร์ของ มหาวิทยาลัยเป็นโรงภาพยนตร์ซึ่งฉายเฉพาะภาพยนตร์ไทย แล้วลดค่าบัตรชมภาพยนตร์ลง ร้อยละ ๕๐ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สร้างภาพยนตร์รายเล็กมีพื้นที่ในการน าเสนอ ซึ่งจะน าไปสู่ การพัฒนาและส่งเสริมให้มีการหยิบยกวัฒนธรรมท้องถิ่นมาน าเสนอผ่านภาพยนตร์มากยิ่งขึ้น (๔) การแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ควรเป็นไปในแนวทางสนับสนุนและส่งเสริม มิใช่การจ ากัดควบคุม และควรประชาสัมพันธ์ให้มี การรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างทั่วถึง นอกจากนี้ รัฐควรก าหนดให้มีการเปิดเผยรายได้จากการฉายภาพยนตร์ และก าหนดให้น าเงินภาษีจากรายได้ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์มาเป็นเงินกองทุนสนับสนุน อุตสาหกรรมภาพยนตร์เพื่อใช้พัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของไทยต่อไป รวมทั้งภาครัฐ ควรจัดตั้งหน่วยงานที่ดูแลงานด้านภาพยนตร์แบบรวมศูนย์ (One-Stop Service) เพื่อลดขั้นตอน ในการติดต่อประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งมีหลายกระทรวงอันจะท าให้การด าเนินงาน รวดเร็วและเบ็ดเสร็จมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรมรับจะน าไปพิจารณาด าเนินการในส่วน ที่สามารถด าเนินการได้


๙๑ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๓) การเชื่อมโยงการด าเนินงานกับส่วนท้องถิ่นในการจัดท าแผนบูรณาการ ด้านวัฒนธรรมระดับจังหวัด ควรมีการจัดท าแผนการด าเนินงานเชื่อมโยงกับส่วนท้องถิ่น เพื่อให้ การด าเนินงานเป็นไปในแนวทางเดียวกันและเกิดประโยชน์สูงสุด กระทรวงวัฒนธรรมได้ชี้แจงการด าเนินงานที่ผ่านมาว่า วัฒนธรรมจังหวัด ได้ประสานกับส่วนท้องถิ่นมาโดยตลอด แต่เนื่องจากมีการยกเลิกวัฒนธรรมอ าเภอท าให้ความใกล้ชิด ระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมและส่วนท้องถิ่นลดลงและมีข้อจ ากัดมากขึ้น ๔) การบริหารจัดการความขัดแย้งในพื้นที่โบราณสถานเมืองพิมาย จังหวัด นครราชสีมา ซึ่งเกิดความขัดแย้งในพื้นที่อ าเภอพิมาย จากการประกาศเขตโบราณสถานเมืองพิมาย เพิ่มเติมเป็นปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไขโดยเร็ว เนื่องจากหากไม่ด าเนินการทันที อาจท าให้ ปัญหาความขัดแย้งบานปลายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะประเด็นการฟ้องด าเนินคดีต่อประชาชน ในพื้นที่ในข้อหาบุกรุกและการจัดท าประชาพิจารณ์ กระทรวงวัฒนธรรมได้ชี้แจงจากการพิจารณาข้อเท็จจริงมีความเห็นว่า การด าเนินคดีอาญากับประชาชนผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินอาจไม่เป็นธรรมกับประชาชน จึงมีความ เป็นไปได้ที่จะขอยุติการด าเนินคดีส่วนประเด็นเกี่ยวกับการจัดท าประชาพิจารณ์นั้น กรมศิลปากร มีความพร้อมที่จะด าเนินการ แต่เนื่องจากเป็นภารกิจที่เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานซึ่งมีรองผู้ว่าราชการ จังหวัดนครราชสีมาเป็นผู้รับผิดชอบหลัก จึงมีความจ าเป็นต้องรอความพร้อมจากทุกหน่วยงาน อีกครั้งหนึ่ง ๕) การบริหารจัดการพื้นที่โบราณสถานของกรมศิลปากรในปัจจุบัน ทั้งการ พิจารณาอนุญาตกรณีต่าง ๆ การเข้าซ่อมแซมพื้นที่โบราณสถานที่อยู่ในความครอบครอง ของประชาชน และการขุดค้นทางโบราณคดีในพื้นที่ชุมชนค่อนข้างใช้ระยะเวลานาน รวมทั้ง ขาดการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับชุมชนและการสื่อสารสองทางที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิด ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจนน าไปสู่ประเด็นความขัดแย้งระหว่างกรมศิลปากรและชุมชนได้ อาทิ กรณีการบูรณะถ้ าเขาหลวง จังหวัดเพชรบุรี การบูรณะเพนียดคล้องช้าง จังหวัด พระนครศรีอยุธยา การขุดค้นทางโบราณคดี ณ ข่วงหลวงเวียงแก้ว จังหวัดเชียงใหม่ ดังนั้น กระบวนการด าเนินงานของกรมศิลปากรจึงควรสร้างการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชน สร้างความสัมพันธ์อันดีกับชุมชนและการสื่อสารสองทางที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลดประเด็นปัญหา อันเกิดจากความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องตรงกันดังกล่าว กระทรวงวัฒนธรรม (โดยกรมศิลปากร) ได้ชี้แจงว่า ความล่าช้าในการ พิจารณาอนุญาตนั้น ได้เน้นย้ าให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการอ านวย ความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ อย่างเคร่งครัด ส่วนการ ด าเนินงานอื่น ๆ นั้น กระบวนการท างานต่อจากนี้จะต้องเอื้อให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น โดยการลงพื้นที่เพื่อสร้างความเข้าใจกับวัด ท้องถิ่น และประชาชน เพื่อสร้างการรับรู้และ สร้างความเข้าใจร่วมกัน พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการให้ข้อเสนอแนะ และข้อคิดเห็นด้วย ทั้งนี้เพื่อพิจารณาหาจุดผ่อนปรนในการประสานประโยชน์ร่วมกัน


๙๒ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๔.๔ การหารือข้อราชการร่วมกับรัฐมนตรีประจ าส านักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับ แนวทางการส่งเสริม สนับสนุนการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา คณะกรรมาธิการได้ประชุมหารือข้อราชการร่วมกับรัฐมนตรีประจ าส านัก นายกรัฐมนตรี (นายอนุชา นาคาศัย) และคณะผู้บริหารส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมสนับสนุนการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา โดยสรุป สาระส าคัญ ดังนี้ ๑) คณะกรรมาธิการน าเสนอร่างกฎหมายเกี่ยวกับการส่งเสริมกิจการ พระพุทธศาสนา จ านวน ๔ ฉบับ ได้แก่ (๑) ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมพุทธศาสนิกชนในการอุปถัมภ์และ คุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ. .... ซึ่งเป็นการริเริ่มของคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษา ด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ๆ โดยมีเหตุผลเพื่อให้พระพุทธศาสนาเป็นหนึ่งในสถาบันหลัก ของชาติ และเป็นที่มาของหลักศีลธรรม ปัญญา และความเข้มแข็งของสังคมไทยมาช้านาน อันถือได้ว่าเป็นสถาบันหลักที่มีความส าคัญอย่างยิ่ง ประกอบกับมาตรา ๖๗ ของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทยได้บัญญัติให้รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือ มาช้านาน และให้รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนา เถรวาท เพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้ มีการบ่อนท าลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด และพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วม ในการด าเนินมาตรการ หรือกลไกดังกล่าวด้วย สมควรที่รัฐและพุทธศาสนิกชนจะให้การอุปถัมภ์ และคุ้มครองพระพุทธศาสนาให้เจริญมั่นคงสืบไป (๒) ร่างพระราชบัญญัติสภาองค์กรส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนา พ.ศ. .... (๓) ร่างพระราชบัญญัติธนาคารพุทธแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... และ (๔) ร่างพระราชบัญญัติ ส่งเสริมการเดินทางไปพุทธสังเวชนียสถาน พ.ศ. .... ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติ ๓ ฉบับนี้ ชมรม


๙๓ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ รวมใจภักดิ์เป็นผู้เสนอ โดยคณะกรรมาธิการได้พิจารณามอบหมายให้คณะอนุกรรมาธิการ พิจารณาศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ๆ พิจารณาแก้ไขปรับปรุง เพื่อน าเสนอให้ คณะกรรมาธิการพิจารณาและมีมติเห็นชอบด้วยแล้ว ดังนั้น จึงขอเสนอให้รัฐมนตรีประจ าส านัก นายกรัฐมนตรีพิจารณาด าเนินการต่อไป รัฐมนตรีประจ าส านักนายกรัฐมนตรีได้รับร่างพระราชบัญญัติจ านวน ๔ ฉบับ ไว้พิจารณา โดยมอบหมายให้ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติรับไปพิจารณาศึกษาเพิ่มเติม เพื่อด าเนินการต่อไป ๒) คณะกรรมาธิการติดตามความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชยให้แก่พระสงฆ์และสามเณรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) โดยสอบถามข้อมูลตามที่ได้เคยมีหนังสือ น าเรียนรัฐมนตรีประจ าส านักนายกรัฐมนตรี (นายเทวัญ ลิปตพัลลภ) เพื่อขอความอนุเคราะห์ พิจารณาการจัดสรรงบประมาณเพื่อให้การช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชยแก่พระสงฆ์และสามเณร ในอัตรารูปละไม่น้อยกว่า ๑๐๐ บาทต่อวัน เป็นระยะเวลา ๓ เดือน เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพ เศรษฐกิจและเหมาะสมกับสมณสารูป รวมทั้งได้มีข้อสังเกตส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ควรมีมาตรการช่วยเหลือ เยียวยาพระสงฆ์ที่ท าหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศด้วย เนื่องจากได้รับผลกระทบอย่างมากในขณะนี้ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศในทวีปยุโรป ซึ่งอยู่ในช่วง การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ระยะที่ ๒ รัฐมนตรีประจ าส านักนายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงความคืบหน้าว่า รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง (นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ) ได้ลงนามให้ความเห็นชอบการจ่ายเงินช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชยให้แก่พระสงฆ์และสามเณรที่ได้รับผลกระทบแล้ว ตามหลักเกณฑ์ที่ก าหนด ในอัตรารูปละ ๖๐ บาทต่อวัน เป็นระยะเวลา ๓ เดือน จ านวน ๒๕๒,๘๕๑ รูป โดยจัดสรรงบประมาณ จากเงินกู้ตามพระราชก าหนดให้อ านาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟู เศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ (แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการ ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ภายใต้กรอบวงเงิน ๔๐๐,๐๐๐ ล้านบาท) ซึ่งขั้นตอน ต่อไปจะเสนอให้คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้เงินกู้ตามพระราชก าหนดให้อ านาจกระทรวง การคลังกู้เงินฯ พิจารณา (ซึ่งมีเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นประธาน กรรมการ) นอกจากนี้ ยังได้มีการติดต่อประสานงานเพื่อขอลดค่าน้ าประปาและค่าไฟฟ้า ให้แก่วัดด้วยโดยในเบื้องต้นได้รับการตอบรับว่าจะมีการลดค่าน้ าประปาและค่าไฟฟ้าลงร้อยละ ๕๐ ๓) คณะกรรมาธิการเสนอควรมีการรณรงค์ส่งเสริมให้วัดมีความตระหนักถึง ความส าคัญของการจัดท าบัญชีการเงินและบัญชีทรัพย์สินของวัด และรับทราบถึงผลกระทบ ทางกฎหมายหากไม่ด าเนินการ ประกอบกับคณะกรรมาธิการได้รับหนังสือร้องเรียนเกี่ยวกับ การจัดท าบัญชีการเงินและบัญชีทรัพย์สินของวัดพอสมควร ซึ่งมีทั้งการร้องเรียนว่าวัดไม่มี การจัดท าบัญชีหรือมีการจัดท าบัญชีแต่ไม่ถูกต้อง รวมทั้งจากการเดินทางไปศึกษาดูงานและ


๙๔ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ เข้าร่วมประชุมกับพระสังฆาธิการในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ ท าให้ได้รับทราบข้อมูลข้อเท็จจริงว่า เจ้าอาวาสบางวัดยังขาดความรู้ความเข้าใจหรือไม่ให้ความส าคัญกับการจัดท าบัญชีการเงินและ บัญชีทรัพย์สินของวัดเท่าที่ควร และโดยส่วนใหญ่ยังไม่ทราบถึงผลกระทบทางกฎหมายว่า หากไม่ด าเนินการหรือด าเนินการไม่ถูกต้องอาจมีความผิดและมีบทลงโทษตามกฎหมายได้ในฐานะ เจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๔ ประกอบกับพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๔๕ ที่บัญญัติว่า ให้ถือว่าพระภิกษุซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ด ารงต าแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์และไวยาวัจกร เป็นเจ้าพนักงานตามความในประมวลกฎหมายอาญา รัฐมนตรีประจ าส านักนายกรัฐมนตรีได้รับข้อเสนอดังกล่าว และมอบหมาย ให้ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติไปพิจารณาด าเนินการต่อไป ทั้งนี้ โดยก าหนดแนวทาง การด าเนินการในเบื้องต้น ได้แก่ (๑) ส ารวจตรวจสอบการจัดท าบัญชีการเงินและบัญชีทรัพย์สินของวัด ทั่วประเทศมีความถูกต้องครบถ้วนตามค าแนะน าของส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติหรือไม่ (๒) ปรับปรุงคู่มือการจัดท าบัญชีการเงินและบัญชีทรัพย์สินของวัด ให้ทันสมัย เข้าใจง่ายและมีการอธิบายให้ทราบถึงความส าคัญของการจัดท าบัญชีและผลกระทบ ทางกฎหมายหากไม่ด าเนินการ รวมถึงให้มีการประชาสัมพันธ์เผยแพร่คู่มือฯ ให้วัดทั่วประเทศ ได้รับทราบอย่างทั่วถึง (๓) จัดสัมมนาให้ความรู้ความเข้าใจแด่พระสังฆาธิการทั่วประเทศเกี่ยวกับ เรื่อง การจัดท าบัญชีการเงินและบัญชีทรัพย์สินของวัด รวมทั้งการถวายความรู้ในเรื่องอื่น ๆ เช่น การเขียนแผนงานเสนอของบประมาณสนับสนุนจากรัฐ การบริหารจัดการภาษีที่ดินและ สิ่งปลูกสร้างของวัด การขอใช้ที่ดินของรัฐเพื่อประโยชน์ในกิจการพระพุทธศาสนา เป็นต้น


๙๕ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๔) คณะกรรมาธิการเสนอควรมีการแก้ไขปัญหากรณีวัดถูกเรียกเก็บภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๘ (๕) บัญญัติให้ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอันเป็นทรัพย์สินของวัดซึ่งใช้ในการจัดหาประโยชน์จะต้อง ช าระภาษี โดยก าหนดให้เจ้าอาวาสเป็นผู้มีหน้าที่ยื่นแบบประเมินและเสียภาษีดังกล่าว ซึ่งก าหนด โทษอาญาในกรณีที่มิได้ด าเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย โดยที่ในความเป็นจริงแล้ว เจ้าอาวาส ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายการเงินและภาษี ประกอบกับ รัฐไม่ได้มีการบรรจุแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ให้ท าหน้าที่ในการจัดท าบัญชีการเงินและบัญชีทรัพย์สินของวัด แต่กลับมีการตรากฎหมายหลายฉบับออกมาให้เจ้าอาวาสต้องเข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องการเงิน ซึ่งอาจส่งผลให้เจ้าอาวาสต้องกระท าการที่ขัดหรือขัดแย้งกับพระธรรมวินัยได้ นอกจากนี้ วัดส่วนใหญ่มีรายรับจากการบริจาคไม่เพียงพอต่อภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ส่วนรายรับที่มาจาก การให้เอกชนหรือส่วนราชการเช่าที่ดินส่วนใหญ่ก็เป็นการเรียกเก็บในอัตราค่อนข้างต่ าไม่เป็นไป ตามสภาพเศรษฐกิจ ดังนั้น การก าหนดให้วัดจะต้องช าระภาษี จึงเป็นการสร้างปัญหาทางการเงิน ให้แก่วัด รัฐมนตรีประจ าส านักนายกรัฐมนตรีได้รับเรื่องไว้พิจารณา โดยมอบหมาย ให้ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติรับไปพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาหรือให้ค าแนะน า ในการปฏิบัติให้แก่วัดต่อไป ๕) คณะกรรมาธิการเสนอการส่งเสริมสนับสนุนการสร้างพุทธมณฑลจังหวัด เชียงใหม่ ตลอดจนการขอใช้พื้นที่ของกรมป่าไม้เพื่อใช้ประโยชน์ในกิจการพระพุทธศาสนา ทั้งนี้ โดยได้รับการประสานงานจากเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ ในนามคณะสงฆ์จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อขอให้ ประสานเรื่องการขอใช้พื้นที่ของกรมป่าไม้เพื่อใช้ประโยชน์ในการสร้างส่วนต่อขยายของพุทธมณฑล จังหวัดเชียงใหม่ และการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ เกี่ยวกับการสร้างพุทธมณฑลจังหวัดเชียงใหม่ รัฐมนตรีประจ าส านักนายกรัฐมนตรีได้รับทราบและมอบหมายให้ ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติด าเนินการสนับสนุนคณะสงฆ์จังหวัดเชียงใหม่ในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างพุทธมณฑลจังหวัดเชียงใหม่ตามความเหมาะสม นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรี ได้มีการประชุมและมีมติเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ เกี่ยวกับเรื่องการเข้าท าประโยชน์ ในพื้นที่ป่าไม้และขอผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๒๓ ในกรณีที่ปรากฏว่า ยังมีส่วนราชการใดเข้าท าประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาต ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ในหลักการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๔.๕ แนวทางการให้ความช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชยให้แก่พระภิกษุและสามเณร ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) คณะกรรมาธิการได้พิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชย ให้แก่พระภิกษุและสามเณรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อ ไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และโครงการอุดหนุนสมทบค่าเครื่องอุปโภคและบริโภคแก่


๙๖ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ พระภิกษุสามเณรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ โดยเชิญรัฐมนตรี ประจ าส านักนายกรัฐมนตรี (นายอนุชา นาคาศัย) และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ อธิบดีกรมการศาสนา ส านักงบประมาณ และส านักงาน สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เข้าร่วมประชุม สรุปสาระส าคัญ ดังนี้ ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้มีการด าเนินการที่ผ่านมาเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ ได้จัดท าโครงการอุดหนุนสมทบค่าเครื่องอุปโภคและบริโภคแก่พระภิกษุสามเณร ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ซึ่งอยู่ภายใต้มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๓ ได้ให้ความเห็นชอบในหลักการการจัดสรรงบประมาณอุดหนุนวัด เนื่องจากผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) โดยขอรับการอุดหนุน งบประมาณเป็นเงิน ๙๑๐,๒๖๓,๖๐๐ บาท (เก้าร้อยสิบล้านสองแสนหกหมื่นสามพันหกร้อยบาทถ้วน) เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา พระภิกษุสามเณร จ านวน ๒๕๒,๘๕๑ รูป อัตรารูปละ ๖๐ บาทต่อวัน เป็นระยะเวลา ๖๐ วัน ทั้งนี้ โดยเสนอโครงการดังกล่าวให้รัฐมนตรีประจ าส านักนายกรัฐมนตรี (นายเทวัญ ลิปตพัลลภ) ซึ่งให้ความเห็นชอบและลงนามในหนังสือน าเสนอไปตามขั้นตอน เพื่อเข้าสู่ กระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ส านักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ซึ่งได้มีการประชุมไปแล้วในคราวประชุมครั้งที่ ๒๗/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๓ และมีมติเห็นควรให้ส านักนายกรัฐมนตรี (ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ) ทบทวนโครงการดังกล่าว เนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ได้คลี่คลายลงแล้ว โดยมีความเห็นเพิ่มเติม ดังนี้ ๑) กรณีที่ผ่านมารัฐบาลมีการช่วยเหลือ เยียวยาภายใต้แผนงานหรือโครงการ ใช้จ่ายเงินกู้เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชยให้แก่ภาคประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เพื่อชดเชย รายได้ให้แก่แรงงานทั้งในและนอกระบบประกันสังคมที่ได้รับผลกระทบจากข้อจ ากัดทางรายได้ และการประกอบอาชีพ ซึ่งอาจส่งผลต่อเนื่องไปยังสมาชิกของครอบครัวที่ต้องพึ่งพาที่มีความเสี่ยงสูง อยู่ในสภาวะล าบาก ๒) กรณีพระภิกษุสามเณรเป็นบุคคลที่มีสถานะถึงพร้อมด้วยปัจจัย ๔ อันเป็นปัจจัยพื้นฐานในการด ารงชีวิต อีกทั้งยังได้รับเงินอุดหนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นประจ าอยู่แล้วทุกปี ๓) การจ่ายเงินเยียวยาตามโครงการดังกล่าวจ าเป็นต้องจ่ายเงินอุดหนุนเข้าบัญชี ของพระภิกษุและสามเณรโดยตรงเช่นเดียวกับมาตรการอื่น ๆ วิธีการดังกล่าวอาจไม่เหมาะสม และสอดคล้องตามหลักวินัยสงฆ์ ทั้งนี้ ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้มีการพิจารณาทบทวนโครงการ โดยน าความเห็นเพิ่มเติมของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้มาประกอบการพิจารณา ชี้แจงรายละเอียดและข้อเท็จจริงแล้ว และได้มีหนังสือเรียนรองนายกรัฐมนตรี(นายวิษณุ เครืองาม)


๙๗ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ผ่านรัฐมนตรีประจ าส านักนายกรัฐมนตรี (นายอนุชา นาคาศัย) เมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๓ เพื่อขอให้พิจารณาทบทวนโครงการโดยให้เหตุผลการชี้แจงรายละเอียดเพื่อประกอบการพิจารณา กระทรวงวัฒนธรรม (โดยกรมการศาสนา) ได้จัดท าโครงการเพื่อขอรับ การจัดสรรงบประมาณอุดหนุนศาสนสถานขององค์การศาสนาอิสลาม คริสต์ พราหมณ์– ฮินดู และซิกข์ เนื่องจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ซึ่งอยู่ภายใต้มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๓ ที่ให้ความเห็นชอบในหลักการ การจัดสรรงบประมาณอุดหนุนวัด เนื่องจากผลกระทบจากการระบาดของโรคฯ โดยขอรับ การสนับสนุนงบประมาณเป็นเงิน ๗๙,๓๗๐,๐๐๐ บาท (เจ็ดสิบเก้าล้านสามแสนเจ็ดหมื่นบาทถ้วน) ให้แก่ศาสนสถาน จ านวน ๗,๙๓๗ แห่ง แห่งละ ๕,๐๐๐ บาท เป็นเวลา ๒ เดือน สืบเนื่องจาก การด าเนินกิจกรรมทางศาสนาและการดูแลศาสนสถานพึ่งพารายได้จากการบริจาคของศาสนิกชน ที่มีความศรัทธาเดินทางไปประกอบพิธีทางศาสนา ณ ศาสนสถาน และศาสนสถานไม่สามารถ ประกอบพิธีทางศาสนาและจัดกิจกรรมต่าง ๆ อันเป็นผลมาจากมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาด ของโรคฯ ส่งผลให้เกิดความเดือดร้อนต่อการด าเนินงานของศาสนสถานและชุมชนโดยรอบ ศาสนสถาน กรมการศาสนาจึงมีความจ าเป็นเร่งด่วนที่จะต้องด าเนินการโดยทันทีเพื่อบรรเทา ความเดือดร้อนในเบื้องต้น จึงได้เสนอเรื่องน าเรียนเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อให้คณะรัฐมนตรี พิจารณาตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรีพ.ศ. ๒๕๔๘ มาตรา ๔ (๑๑) รวมทั้งสอดคล้องตามยุทธศาสตร์ชาติในด้านการศาสนา ศิลปวัฒนธรรม และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ก ากับการบริหาร ราชการกระทรวงวัฒนธรรมได้ให้ความเห็นชอบน าเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา โดยมีส านักงบประมาณให้ความเห็นสมควรเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ เพื่อพิจารณาการให้ความช่วยเหลือศาสนสถานที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดในโอกาสแรก โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และในส่วน ของส านักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้ความเห็นสมควรพิจารณา การขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามความจ าเป็นและขนาดของศาสนสถาน รวมถึงสถานการณ์ และช่วงเวลา ความรุนแรงของการระบาดของโรค เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลสูงสุด ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ได้พิจารณาแล้วมีค าสั่งให้ น าเรื่องเสนอต่อคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อพิจารณาต่อไป ส านักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มีการพิจารณา ตามกระบวนการและวิธีการด าเนินการของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ โดยมีหลักการ พิจารณาโครงการน าเสนอตามล าดับ ได้แก่ (๑) กระทรวงการคลัง (๒) คณะอนุกรรมการ กลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ (๓) คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ และ (๔) คณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ โครงการอุดหนุนสมทบค่าเครื่องอุปโภคและบริโภคแก่พระภิกษุสามเณรที่ได้รับผลกระทบ จากการระบาดของไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ได้มีการเสนอโครงการเข้ามาในช่วงประมาณ เดือนสิงหาคม – กันยายน ๒๕๖๓ ซึ่งคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้พิจารณาแล้ว


๙๘ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ มีความเห็นว่า เป็นช่วงเวลาที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคได้คลี่คลายลงแล้ว โดยมี ความเห็นเพิ่มเติม ดังนี้ ๑) โครงการไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการจัดสรรงบประมาณเงินกู้ ตามพระราชก าหนดให้อ านาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจ และสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ซึ่งอยู่ภายใต้แผนงานหรือโครงการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชยให้แก่ภาคประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ซึ่งการด าเนินการที่ผ่านมาได้ให้ความช่วยเหลือ เยียวยา ชดเชยรายได้ให้แก่ แรงงาน ทั้งที่อยู่และไม่อยู่ในระบบประกันสังคม เกษตรกร ผู้ประกอบการ และกลุ่มเปราะบาง ๒) พระภิกษุสามเณรเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัจจัย ๔ ที่ไม่ต้องประกอบสัมมาชีพ รวมถึงยังได้รับปัจจัยทางด้านอื่น ๆ เช่น ค่าตอบแทนนิตยภัต เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เป็นต้น ๓) การจ่ายเงินเข้าบัญชีพระภิกษุสามเณรอาจไม่มีความเหมาะสมกับพระวินัย ดังนั้น จึงได้มีมติขอให้ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติพิจารณาทบทวน โครงการตามความเห็นเพิ่มเติมของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ รัฐมนตรีประจ าส านักนายกรัฐมนตรีให้ข้อคิดเห็นโดยสรุปภาพรวมของการน าเสนอ โครงการอุดหนุนสมทบค่าเครื่องอุปโภคและบริโภคแก่พระภิกษุสามเณร ที่ได้รับผลกระทบ จากการระบาดของไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ของส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นั้น ได้มีการติดตามเรื่องมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในขณะนี้ได้ส่งผลการพิจารณาทบทวนโครงการให้ คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้เงินกู้พิจารณาโดยมีข้อคิดเห็นที่เป็นเหตุผลในทิศทางเดียวกัน กับคณะกรรมาธิการ และขอยืนยันที่จะผลักดันโครงการให้เห็นผลเป็นรูปธรรมต่อไป พร้อมกันนี้ ได้ให้ข้อคิดเห็นการด าเนินงานของส านักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตามที่ ได้กล่าวอ้างถึงเหตุผลที่ผ่านมาพอที่จะรับฟังได้ แต่ควรค านึงถึงข้อเท็จจริงสภาพสังคมในปัจจุบัน เป็นอย่างไร รวมถึงควรด าเนินการตั้งอยู่ในบริบทความไว้วางใจกัน ซึ่งจะท าให้เกิดประโยชน์สูงสุด ต่อประเทศชาติโดยรวม และเป็นการท านุบ ารุงพระพุทธศาสนาให้คงอยู่สืบไปด้วย ข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการ จากการรับฟังข้อมูลตามที่คณะกรรมการ กลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้น าเสนอไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริงที่สอดคล้องกับสภาพการด ารงชีพ ของพระภิกษุสามเณรในปัจจุบัน ทั้งนี้ โดยมีเหตุผลเพื่อประกอบการพิจารณา ดังนี้ ๑) พระภิกษุสามเณรถือเป็นพลเมืองของราชอาณาจักรไทยที่อยู่ภายใต้ กฎหมายรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกับประชาชน ดังนั้น การให้ความช่วยเหลือ เยียวยาภายใต้แผนงาน หรือโครงการใช้จ่ายเงินกู้ไม่ควรชี้เฉพาะเจาะจงไปที่กลุ่มเป้าหมายที่มาจากภาคประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เท่านั้น แต่ควรขยายกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุมถึงพระภิกษุสามเณรซึ่งเป็นสถาบันหลัก ที่ส าคัญของประเทศให้ได้รับความช่วยเหลือ เยียวยาเช่นเดียวกัน


๙๙ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๒) พระภิกษุสามเณรซึ่งเป็นเพศบรรพชิตถึงแม้ว่ามีสถานะถึงพร้อมด้วย ปัจจัย ๔ อันเป็นปัจจัยพื้นฐานในการด ารงชีวิตแล้วก็ตาม แต่ปัจจัย ๔ ที่ได้มาส่วนหนึ่งต้องอาศัย ความศรัทธา เกื้อกูล ร่วมแรงร่วมใจของพุทธศาสนิกชน ซึ่งในขณะนี้ล้วนได้รับความเดือดร้อน โดยทั่วกัน ส่งผลให้การท านุบ ารุงส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนาและการอุปถัมภ์พระภิกษุสามเณร เป็นไปด้วยความยากล าบาก รวมทั้งการจัดสรรงบประมาณจากหน่วยงานภาครัฐยังไม่สามารถ ให้การดูแลพระภิกษุสามเณรทั่วไปได้อย่างทั่วถึง เช่น การจัดสรรค่าตอบแทนนิตยภัตซึ่งถวาย ให้แก่พระสังฆาธิการ พระสมณศักดิ์ พระเปรียญธรรม ๙ ประโยค และพระเลขานุการเท่านั้น หรือเงินอุดหนุนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งวัดส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการอุดหนุนเท่าที่ควร เนื่องจากวัดและส านักสงฆ์หลายแห่งไม่ได้ขอขึ้นทะเบียนวัดให้เป็นวัดที่ถูกต้องตามกฎหมาย ส่งผลให้วัดและส านักสงฆ์จ านวนมากไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น ๓) กรณีการกล่าวอ้างว่าการจ่ายเงินเยียวยาตามโครงการที่จ าเป็นต้องจ่ายเงิน อุดหนุนเข้าบัญชีของพระภิกษุสามเณรโดยตรง เป็นวิธีการที่อาจไม่เหมาะสมขัดกับหลัก พระธรรมวินัยซึ่งความเป็นจริงแล้วส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้มีการจัดสรรเงินส่วนหนึ่ง ให้แก่พระภิกษุอยู่แล้ว เช่น ค่าตอบแทนนิตยภัต และเงินค่าตอบแทนอย่างอื่นผ่านบัญชีธนาคาร ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติวิสัยที่สามารถกระท าได้ในสถานการณ์วิกฤตดังกล่าว ดังนั้น คณะกรรมาธิการจึงขอให้คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ พิจารณาทบทวนโครงการดังกล่าว โดยน าข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการไปประกอบการพิจารณา เพื่อหากระบวนการและวิธีการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๓ ซึ่งให้ความเห็นชอบในหลักการการจัดสรรงบประมาณอุดหนุนวัด เนื่องจาก ผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ไว้ด้วยแล้ว ประกอบกับงบประมาณ ตามที่ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติขอรับการอุดหนุนเป็นจ านวนเงินค่อนข้างน้อยที่สามารถ น ามาบรรเทาความเดือดร้อนในการด ารงชีพในปัจจุบันให้แก่พระภิกษุสามเณร และยังเป็นการสร้าง ความรู้สึกที่ดีให้แก่ประชาชนทุกกลุ่มด้วย ทั้งนี้ ขอให้คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ พิจารณาทบทวนโครงการเพื่อหากระบวนการ และวิธีการเบิกจ่ายงบประมาณรอบที่ ๑ โดยเร่งด่วน ส่วนในรอบที่ ๒ โครงการเราชนะที่ให้ความช่วยเหลือ เยียวยาประชาชนทั่วไป ซึ่งครอบคลุมถึงพระภิกษุสามเณร แต่ให้ลงทะเบียนเพื่อขอรับสิทธิ์นั้น สมควรจะได้พิจารณา ให้มีความชัดเจน ทั้งนี้ โดยเสนอทางเลือกที่เหมาะสมควรจะได้พิจารณาจัดท าเป็นแอปพลิเคชัน แทนการลงทะเบียนเพื่ออ านวยความสะดวกให้แก่พระภิกษุสามเณรและจ่ายเป็นเงินอุดหนุนแทน จะได้หรือไม่ มติที่ประชุม คณะกรรมาธิการจะมีหนังสือกราบเรียนนายกรัฐมนตรี และเรียน เลขาธิการคณะกรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อขอให้คณะกรรมการ กลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้พิจารณาทบทวนโครงการอุดหนุนสมทบค่าเครื่องอุปโภคและบริโภค แก่พระภิกษุสามเณรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19)


๑๐๐ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ โดยมีข้อเสนอแนะเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป รวมถึงการท าหน้าที่ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งได้มีการหารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรไปแล้วนั้น จะได้มีหนังสือกราบเรียนประธาน สภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง เพื่อทราบและพิจารณาการหา มาตรการแก้ไขปัญหาในเรื่องดังกล่าวต่อไป ๔.๖ ข้อเสนอแนะเกี่ยวการจัดท างบประมาณรายจ่ายประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ของส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ คณะกรรมาธิการได้พิจารณาเกี่ยวกับการจัดท างบประมาณของส านักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยมีความห่วงใยในส่วนของการจัดสรรงบประมาณอุดหนุนวัด ซึ่งตลอดระยะเวลา ๒ ปีที่ผ่านมางบประมาณจะเน้นในด้านการบูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ของวัด เป็นส่วนใหญ่ โดยที่งานด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เช่น การอุดหนุนเงินให้กับโรงเรียน พระปริยัติธรรม การให้ทุนการศึกษาแก่พระภิกษุสามเณรที่ศึกษาพระปริยัติธรรม การจัดอบรมสัมมนา เพื่อเผยแผ่ธรรมะ เป็นต้น ได้รับงบประมาณค่อนข้างจ ากัด ดังนั้น จึงมีข้อเสนอแนะส านักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติควรจัดท าข้อสังเกตการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจ าปีงบประมาณ แนบท้าย เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ งบประมาณรายจ่ายประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ต่อไป ๔.๗ หลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียน การอนุรักษ์โบราณสถานในประเทศไทย และการถ่ายโอนภารกิจของกรมศิลปากรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คณะกรรมาธิการได้พิจารณาศึกษาแนวทางการอนุรักษ์โบราณในประเทศไทย และการถ่ายโอนภารกิจของกรมศิลปากรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเชิญผู้แทน กรมศิลปากรเข้าร่วมประชุม และได้รับทราบข้อมูลอันมีสาระส าคัญ ดังนี้


๑๐๑ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๑) การขึ้นทะเบียนโบราณสถานจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียน โบราณสถาน โดยค านึงถึงอายุ ความส าคัญทางประวัติศาสตร์ และลักษณะทางกายภาพ ของโบราณสถาน การเป็นโบราณสถานด้วยตัวของโบราณเองไม่ว่าโบราณสถานนั้นจะขึ้นทะเบียน หรือไม่ หากมีการบุกรุก ท าลายถือว่ามีความผิดทั้งสิ้น ทั้งนี้ ในปัจจุบันได้มีการขึ้นทะเบียน โบราณสถานแล้ว จ านวน ๒,๐๘๘ แห่ง และยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน จ านวน ๕,๗๐๔ แห่ง โดยเฉลี่ย สามารถประกาศขึ้นทะเบียนได้ประมาณ ๑๐ – ๑๕ แห่งต่อปีงบประมาณ ๒) การถ่ายโอนภารกิจการดูแลบ ารุงรักษาโบราณสถานให้แก่องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นนั้น มีการถ่ายโอนภารกิจ ๒ รูปแบบ ได้แก่ ภารกิจการดูแลรักษา และภารกิจ การบ ารุงรักษา ทั้งนี้ โดยส่วนใหญ่จะเป็นการถ่ายโอนภารกิจการบ ารุงรักษาให้กับกรุงเทพมหานคร ๔.๘ การแยกรายวิชาประวัติศาสตร์ออกจาก ๘ กลุ่มสาระการเรียนรู้ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ มาเป็น ๑ รายวิชาพื้นฐาน คณะกรรมาธิการได้พิจารณาศึกษาการแยกรายวิชาประวัติศาสตร์ออกจาก ๘ กลุ่มสาระการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ มาเป็น ๑ รายวิชาพื้นฐาน โดยผู้แทนส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ สภาพปัญหาความเป็นมา เป้าหมาย และแนวทางการส่งเสริมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ และหน้าที่พลเมือง โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์เป็นส าคัญ เพื่อให้ ผู้เรียนสามารถใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์มาวิเคราะห์เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเป็นระบบ รวมทั้งให้ผู้เรียนสามารถปฏิบัติตนตามหน้าที่ พลเมืองที่ดี มีค่านิยมที่ดีงาม ธ ารงรักษาประเพณี และวัฒนธรรมไทย ด ารงชีวิตร่วมกันอย่างสันติสุข ยึดมั่นศรัทธาและธ ารงรักษาไว้ซึ่งการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข


๑๐๒ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๕. การพิจารณาข้อเสนอ โครงการ กิจกรรม หรือแนวทางในการอุปถัมภ์และคุ้มครอง ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม คณะกรรมาธิการได้มีการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเดินทางไปศึกษา ดูงานเพื่อพิจารณาข้อเสนอ โครงการ กิจกรรม หรือแนวทางในการอุปถัมภ์และคุ้มครอง ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ดังนี้ ๕.๑ โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์วัดดงเฒ่าเก่า อ าเภอเมืองอ านาจเจริญ จังหวัด อ านาจเจริญ และโครงการท่องเที่ยวจาริกแสวงบุญวิถีทางศาสนาจังหวัดอ านาจเจริญ คณะกรรมาธิการได้เดินทางไปศึกษาดูงาน เรื่อง การบริหารจัดการศาสนสถาน และโบราณสถานในภาวะภัยพิบัติทางธรรมชาติ ณ จังหวัดอ านาจเจริญ โดยผู้แทนจาก ส านักงานวัฒนธรรมจังหวัดอ านาจเจริญได้บรรยายสรุปเรื่อง การบริหารจัดการศาสนสถานและ โบราณสถานในภาวะภัยพิบัติทางธรรมชาติ และได้น าเสนอโครงการท่องเที่ยวจาริกแสวงบุญ วิถีทางศาสนาจังหวัดอ านาจเจริญต่อคณะกรรมาธิการ เพื่อขอให้พิจารณาสนับสนุนและส่งเสริม การท่องเที่ยวเชิงศาสนาของจังหวัดอ านาจเจริญ ในการนี้ คณะกรรมาธิการได้มีหนังสือน าเรียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อพิจารณาให้การสนับสนุนโครงการเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงศาสนาของจังหวัดอ านาจเจริญ ตามความเหมาะสมต่อไป


๑๐๓ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๕.๒ การส่งเสริมสนับสนุนวัฒนธรรมประชาธิปไตย คณะกรรมาธิการได้มีการส่งเสริมสนับสนุนวัฒนธรรมประชาธิปไตย โดยจัดสัมมนา เชิงปฏิบัติการ เรื่อง “วัฒนธรรมประชาธิปไตยในสถานศึกษา กรณีการผลิตภาพยนตร์สั้น ผ่านมุมมองประชาธิปไตยในโรงเรียน” ณ จังหวัดนครปฐม และจังหวัดนครราชสีมา และจัดสัมมนา เรื่อง “พื้นที่วัฒนธรรมประชาธิปไตยในรั้วอุดมศึกษา” ณ มหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดชลบุรี ๕.๓ การบูรณะโบราณสถานองค์พระสมุทรเจดีย์และบริเวณโดยรอบ ต าบล ปากคลองบางปลากด อ าเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ คณะกรรมาธิการได้เดินทางไปศึกษาดูงานและประชุมติดตามความคืบหน้า การบูรณะโบราณสถานองค์พระสมุทรเจดีย์และบริเวณโดยรอบ จ านวน ๒ ครั้ง โดยเชิญ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมศิลปากร (ส านักศิลปากรที่ ๑ ราชบุรี) จังหวัดสมุทรปราการ เทศบาลต าบลพระสมุทรเจดีย์ เป็นต้น เข้าร่วมศึกษาดูงานและประชุม โดยได้รับทราบข้อมูลว่า โบราณสถานองค์พระสมุทรเจดีย์และบริเวณโดยรอบมีสภาพช ารุดทรุดโทรมหลายแห่ง อาทิ พระพุทธรูปในพระวิหารหลวงสึกกร่อน อาคารทรงยุโรปช ารุดทรุดโทรม พื้นรององค์พระสมุทรเจดีย์ โก่งตัวและแตกระเบิดหลายจุด ศาลาเก๋งจีนช ารุดทรุดโทรม ทั้งนี้ ส านักศิลปากรที่ ๑ ราชบุรี พร้อมรับไปจัดท าแผนงานบูรณะซ่อมแซมเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณให้แล้วเสร็จ ภายใน ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ แต่มีปัญหาเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (Covid-19) ส่งผลให้การของบประมาณเพื่อสนับสนุนการด าเนินการไม่เป็นไปตามเป้าหมาย และจะได้มีการจัดท าค าของบประมาณในปีถัดไป ทั้งนี้คณะกรรมาธิการมีข้อเสนอแนวทาง การบูรณะซ่อมแซม ดังนี้


๑๐๔ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๑) การบูรณะซ่อมแซมควรให้ความส าคัญเรื่องการอนุรักษ์ให้คงสภาพเดิม เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อความรู้สึกและศรัทธาของประชาชนต่อไปในอนาคต ๒) กรมศิลปากรควรพิจารณาจัดล าดับความส าคัญในการบูรณะซ่อมแซม อาทิ การเร่งด าเนินการบูรณะซ่อมแซมหลังคาพระวิหารหลวง เนื่องจากปัจจุบันพระวิหารหลวง มีความช ารุดทรุดโทรมมาก และจ าแนกรายละเอียดของโครงการแต่ละรายการว่าจะต้องใช้ งบประมาณค่าใช้จ่ายเป็นจ านวนเงินเท่าใด เพื่อเป็นข้อมูลส าหรับการระดมทุนสนับสนุนโครงการ บูรณะซ่อมแซม เนื่องจากหากรองบประมาณจากภาครัฐเพียงอย่างเดียว อาจเกิดความล่าช้า และอาจส่งผลกระทบต่อโบราณสถานท าให้ช ารุดเสียหายมากขึ้น ส าหรับการระดมทุน


๑๐๕ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ อาจด าเนินการได้หลายวิธี เช่น การของบอุดหนุนจากกรมศิลปากร การเปิดรับบริจาค การตั้ง กองผ้าป่า การจัดสร้างวัตถุมงคล การจัดวิ่งการกุศล เป็นต้น ๓) เทศบาลต าบลพระสมุทรเจดีย์ควรก าหนดกรอบแผนการด าเนินการ ระยะเวลา ๕ ปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๖๕ – พ.ศ. ๒๕๖๙ เพื่อก าหนดว่าในแต่ละปีจะบูรณะ ซ่อมแซมโครงการใด เพื่อเป็นข้อมูลส าหรับการระดมเงินทุน ทั้งนี้ การด าเนินการในส่วนของคณะกรรมาธิการได้มีหนังสือน าเรียนอธิบดี กรมศิลปากรเพื่อขอความอนุเคราะห์พิจารณาสนับสนุนการบูรณะซ่อมแซมโบราณสถาน องค์พระสมุทรเจดีย์และบริเวณโดยรอบ ซึ่งกรมศิลปากรได้มีหนังสือแจ้งว่า กรมศิลปากร โดยส านักศิลปากรที่ ๑ ราชบุรี ได้ด าเนินการจัดท าแบบรูปรายการและประมาณราคาบูรณะซ่อมแซม วิหารหลวง จ านวนเงิน ๙,๔๐๐,๐๐๐ บาท (เก้าล้านสี่แสนบาทถ้วน) เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยจะขอรับ การจัดสรรงบประมาณประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ๕.๔ โครงการก่อสร้างหอประชุมอเนกประสงค์ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์เพชรบุรีต าบลช่องสะแก อ าเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี คณะกรรมาธิการได้มีหนังสือน าเรียนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม เพื่อพิจารณาสนับสนุนโครงการดังกล่าว ซึ่งปลัดกระทรวง การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม ได้แจ้งผลการพิจารณาตรวจสอบข้อมูล โครงการแล้วพบว่า มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้มีการบรรจุโครงการในค าขอ งบประมาณรายจ่ายประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ของมหาวิทยาลัยแล้ว โดยมีรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบส่งส านักงบประมาณแล้ว และอยู่ ระหว่างการพิจารณารายละเอียดงบประมาณของส านักงบประมาณ เพื่อน าเสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป


๑๐๖ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๕.๕ การส่งเสริมสนับสนุนการสร้างสรรค์ผลงานด้านภาพยนตร์ไทย คณะกรรมาธิการได้เดินทางไปศึกษาดูงานด้านการส่งเสริมอุตสาหกรรม ภาพยนตร์ไทย ณ หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน)อ าเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม และประชุม ร่วมกับผู้แทนกลุ่มศิลปิน เพื่อรับฟังความคิดเห็น เรื่อง “คนท างานในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทย กับการปรับตัวจากสถานการณ์ (COVID-19)” ซึ่งได้มีการน าเสนอข้อมูลและแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นในประเด็นปัญหาที่กลุ่มศิลปินได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และแนวทางการแก้ไขปัญหาในเบื้องต้น เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมาธิการต่อไป ๕.๖ การจัดสรรผังรายการของสถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา เพื่อจัดท ารายการส่งเสริมสนับสนุนคุณธรรมและจริยธรรม คณะกรรมาธิการได้พิจารณาแนวทางการจัดสรรผังรายการของสถานี วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา เพื่อจัดท ารายการส่งเสริมสนับสนุนคุณธรรมและ จริยธรรม โดยได้รับทราบข้อมูลจากผู้แทนสถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา ชี้แจงว่า หลักการจัดสรรผังรายการของสถานีแยกเป็นด้านการเผยแพร่องค์ความรู้งาน ด้านนิติบัญญัติได้รับการจัดสรรเวลาร้อยละ ๗๐ และด้านอื่น ๆ ได้แก่ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สุขภาพ ได้รับการจัดสรรเวลาร้อยละ ๓๐ ซึ่งสามารถน าเสนอภารกิจการด าเนินงานของ คณะกรรมาธิการได้ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการมีข้อเสนอแนะในส่วนของรูปแบบการด าเนินรายการ


๑๐๗ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ควรจะได้มีการจัดเจ้าหน้าที่ของสถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภาร่วมเดินทางไป ศึกษาดูงานกับคณะกรรมาธิการ เพื่อบันทึกภาพและสัมภาษณ์ภารกิจการด าเนินงานของ คณะกรรมาธิการซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการเผยแพร่ที่สามารถสร้างความสนใจให้แก่ประชาชน ได้เป็นอย่างดี ๕.๗ การประสานงานเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและผลักดันการถ่ายโอนภารกิจ การบริหารจัดการศูนย์ข้อมูลโบราณสถานเวียงกุมกาม ต าบลท่าวังตาล อ าเภอสารภี จังหวัด เชียงใหม่ สืบเนื่องจากเทศบาลต าบลท่าวังตาลได้มีการขอความอนุเคราะห์ให้ คณะกรรมาธิการพิจารณาศึกษาเกี่ยวกับการถ่ายโอนภารกิจของกรมศิลปากรในการบริหาร จัดการศูนย์ข้อมูลโบราณสถานเวียงกุมกามให้แก่เทศบาลต าบลท่าวังตาล ในเรื่องนี้ คณะกรรมาธิการได้มีการเดินทางไปศึกษาดูงาน ณ โบราณสถานเวียงกุมกาม และประชุมร่วมกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมศิลปากร เทศบาลต าบลท่าวังตาล เป็นต้น ท าให้ได้รับทราบ ข้อมูลว่า กรมศิลปากรมีนโยบายที่จะถ่ายโอนภารกิจด้านการบริหารจัดการและดูแลรักษา โบราณสถานให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเป็นไปตามพระราชบัญญัติก าหนดแผน และขั้นตอนการกระจายอ านาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่ก าหนดให้ กรมศิลปากรต้องถ่ายโอนภารกิจตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ ส าหรับในส่วนของโบราณสถานเวียงกุมกามนั้น กรมศิลปากรมีนโยบายที่จะถ่ายโอนภารกิจด้านการบริหารจัดการและดูแลรักษาโบราณสถาน เบื้องต้นให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ คือ เทศบาลต าบลท่าวังตาล อ าเภอสารภี


๑๐๘ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นผู้รับมอบภารกิจ เช่น การรักษาความสะอาดและรักษาความปลอดภัย การดูแลสภาพแวดล้อมโดยรอบโบราณสถาน การบริหารจัดการศูนย์ข้อมูล เป็นต้น ยกเว้น เรื่องบูรณปฏิสังขรณ์ การซ่อมแซมโบราณสถาน หรือขุดค้นเพื่อการศึกษาค้นคว้าทางโบราณคดี เนื่องจากเป็นเรื่องที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ ยังไม่มีความพร้อมหรือความเชี่ยวชาญ เพียงพอ อันเนื่องมาจากปัญหาการขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ต่อมามีการ เปลี่ยนแปลงผู้บริหารของเทศบาลต าบลท่าวังตาล ซึ่งไม่มีความประสงค์จะรับถ่ายโอนภารกิจ การบริหารจัดการศูนย์ข้อมูลโบราณสถานเวียงกุมกาม ดังนั้น ภารกิจดังกล่าวจึงอยู่ในความรับผิดชอบ ของกรมศิลปากร โดยส านักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ ๕.๘ การก าหนดวันหยุดราชการตามประเพณีสงกรานต์ คณะกรรมาธิการได้เดินทางไปศึกษาดูงานเรื่อง “การอุปถัมภ์และคุ้มครอง ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม” และจัดการประชุมพิจารณาเรื่อง “การอุปถัมภ์และคุ้มครอง ศาสนา การอนุรักษ์ ส่งเสริม สืบทอด ศิลปะขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมท้องถิ่น ภูมิปัญญาชาวบ้าน และแนวทางการบริหารจัดการโบราณสถาน ณ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีผู้แทน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ทั้งนี้ ผู้แทนสภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ได้เสนอให้ พิจารณาเปลี่ยนแปลงวันหยุดราชการประเพณีสงกรานต์จากเดิมก าหนดให้หยุดวันที่ ๑๓ – ๑๕ เมษายน เป็นวันที่ ๑๔ – ๑๖ เมษายนของทุกปี เพื่อให้เป็นไปตามประกาศสงกรานต์ของกระทรวง วัฒนธรรมและปฏิทินโหรหลวง ตลอดจนประเพณีวิถีไทยในแต่ละท้องถิ่น คณะกรรมาธิการ พิจารณาแล้วเห็นว่า เรื่องดังกล่าวอยู่ในหน้าที่และอ านาจของกระทรวงวัฒนธรรม จึงมีหนังสือ น าเรียนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าว


๑๐๙ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๕.๙ การสนับสนุนการอนุรักษ์สืบสานต่อยอดการพัฒนาศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่นของวัดศรีสุพรรณ อ าเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ คณะกรรมาธิการได้มีหนังสือน าเรียนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว และกีฬาเพื่อพิจารณาสนับสนุนการอนุรักษ์สืบสานต่อยอดการพัฒนาศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่นของวัดศรีสุพรรณ อ าเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ทั้งนี้ การท่องเที่ยว แห่งประเทศไทยได้มีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้ตระหนักถึง ความส าคัญของการจัดงานโครงการดังกล่าว แต่เนื่องจากในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ได้รับ งบประมาณค่อนข้างจ ากัดและต้องบริหารงบประมาณให้เป็นตามแผนงานที่ได้เสนอต่อ ส านักงบประมาณไว้แล้ว จึงไม่สามารถสนับสนุนงบประมาณตามที่ขอได้ แต่ยินดีพร้อมที่จะให้ การสนับสนุนโดยประชาสัมพันธ์การจัดงานผ่านทางเว็บไซต์ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ต่อไป ๕.๑๐ โครงการก่อสร้างและจัดตั้งพุทธมณฑลประจ าจังหวัดเชียงใหม่และการก่อสร้าง อาคารของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ คณะกรรมาธิการได้รับการชี้แจงข้อมูลจากส านักงานธนารักษ์พื้นที่เชียงใหม่ว่า ได้ขอให้ส านักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่จัดท าแผนที่ให้ถูกต้องตามมาตราส่วนเนื้อที่ ๔๐ ไร่ ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการได้มีข้อเสนอแนะให้ส านักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่ ไปรับไฟล์แผนที่จากส านักงานธนารักษ์พื้นที่เชียงใหม่ และส่งให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ช่วยพิจารณาปรับปรุงแก้ไข และส่งให้ส านักงานธนารักษ์พื้นที่เชียงใหม่เพื่อเสนอให้กรมธนารักษ์ พิจารณาอนุญาตต่อไป


๑๑๐ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๕.๑๑ การฟื้นฟูข่วงหลวงเวียงแก้ว จังหวัดเชียงใหม่ คณะกรรมาธิการได้เดินทางไปศึกษาดูงานเรื่อง “การอุปถัมภ์และคุ้มครอง ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม” และจัดการประชุมพิจารณาเรื่อง “การอุปถัมภ์และคุ้มครอง ศาสนา การอนุรักษ์ ส่งเสริม สืบทอด ศิลปะขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมท้องถิ่น ภูมิปัญญาชาวบ้าน และแนวทางการบริหารจัดการโบราณสถาน ณ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม และมีการเสนอเรื่องการฟื้นฟูข่วงหลวงเวียงแก้ว จังหวัดเชียงใหม่ เดิมทีพื้นที่บริเวณข่วงหลวงเวียงแก้วเป็นแหล่งโบราณสถานที่มีความส าคัญของ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีสถานที่ส าคัญทางประวัติศาสตร์ตั้งทับซ้อนกันอยู่ โดยมีข่วงหลวงเวียงแก้ว (ซึ่งเข้าข่ายเป็นโบราณสถาน โดยมีการขุดค้นทางโบราณคดีและพบหลักฐานที่สามารถบ่งชี้ได้ว่า เป็นโบราณสถานที่มีการใช้งานมาตั้งแต่สมัยล้านนาตอนต้น ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ – ๒๑) ตั้งอยู่ในชั้นพื้นผิวดินด้านล่างและสิ่งปลูกสร้างของทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ (เดิม) ตั้งอยู่ด้านบน ซึ่งปัจจุบันมีการรื้อถอนไปหมดแล้ว เหลืออยู่เพียงอาคาร จ านวน ๓ หลัง คือ อาคารบัญชาการ เรือนเพ็ญ และเรือนแว่นแก้ว รวมทั้งแนวก าแพงบางส่วนและหอคอยมุมของเรือนจ า ซึ่งคณะกรรมการวิชาการเพื่อการอนุรักษ์โบราณสถานได้พิจารณาว่าเป็นสิ่งบ่งบอกความส าคัญ ของประวัติศาสตร์พื้นที่ จึงมีมติเลือกให้เก็บไว้ ยังไม่ให้รื้อถอน คณะกรรมาธิการพิจารณาแล้ว เห็นควรให้มีการศึกษาค้นคว้าข้อมูลทางโบราณคดีของข่วงหลวงเวียงแก้วให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ทราบถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และก าหนดขอบเขตพื้นที่ในการศึกษาค้นคว้าทางโบราณคดี เพื่อสรุปเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาก าหนดรูปแบบการอนุรักษ์และพัฒนาพื้นที่ข่วงหลวงเวียงแก้ว ในอนาคต โดยอาจเสนอข้อมูลให้คณะกรรมการวิชาการเพื่อการอนุรักษ์โบราณสถานพิจารณา แนวทางอนุรักษ์ในรูปแบบที่เหมาะสมของอาคารส่วนที่เหลือของทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ (เดิม) คือ อาคารบัญชาการ เรือนเพ็ญ เรือนแว่นแก้ว ตลอดจนแนวก าแพงบางส่วนและหอคอย


๑๑๑ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ มุมของเรือนจ า เช่น การรื้อถอน หรือการย้ายไปตั้งในสถานที่ใหม่ ทั้งนี้ รูปแบบการอนุรักษ์ และพัฒนาพื้นที่ข่วงหลวงเวียงแก้ว จ าเป็นต้องได้รับความเห็นพ้องต้องกันหรือมีการรับฟัง ความคิดเห็นของประชาชนชาวจังหวัดเชียงใหม่ด้วย ส าหรับเรื่องการรื้อถอนเศษซากอาคาร ของทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ (เดิม) ที่ได้รับการอนุญาตแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการด าเนินการ แต่ประสบปัญหาบางประการ เช่น งบประมาณสนับสนุนในการรื้อถอน สถานที่ในการเก็บ หรือทิ้งเศษซากอาคารและดิน เป็นต้น ต่อมาส านักงานจังหวัดเชียงใหม่ได้ให้ข้อมูลว่า ส านักงาน จังหวัดเชียงใหม่ได้ร่วมกับกรมศิลปากรด าเนินการปรับรูปแบบการพัฒนาข่วงหลวงเวียงแก้ว เพื่อน าเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่และจะด าเนินการจัดหาผู้รับจ้างโดยใช้งบประมาณ คงเหลือเพื่อน ามาด าเนินการต่อไป


๑๑๒ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๕.๑๒ การก่อสร้างข่วงวัฒนธรรมประจ าจังหวัดเชียงใหม่ และการขอใช้อาคาร ที่ว่าการอ าเภอเชียงใหม่ (หลังเดิม) คณะกรรมาธิการได้เดินทางไปศึกษาดูงานเรื่อง “การอุปถัมภ์และคุ้มครอง ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม” และจัดการประชุมพิจารณาเรื่อง “การอุปถัมภ์และคุ้มครอง ศาสนา การอนุรักษ์ ส่งเสริม สืบทอด ศิลปะขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมท้องถิ่น ภูมิปัญญาชาวบ้าน และแนวทางการบริหารจัดการโบราณสถาน ณ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม และมีการเสนอเรื่องการก่อสร้างข่วงวัฒนธรรม ประจ าจังหวัดเชียงใหม่ และการขอใช้อาคารที่ว่าการอ าเภอเชียงใหม่ (หลังเดิม) ในเรื่องนี้ คณะกรรมาธิการมีข้อเสนอแนะให้ส านักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่จัดท าหลักการและ เหตุผลในการขอใช้อาคารที่ว่าการอ าเภอเชียงใหม่ (หลังเดิม) เพื่อเป็นส านักงานวัฒนธรรม จังหวัดเชียงใหม่ และการก่อสร้างข่วงวัฒนธรรมประจ าจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเสนอผู้ว่าราชการ จังหวัดเชียงใหม่พิจารณาสนับสนุนตามขั้นตอนต่อไป


๑๑๓ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๕.๑๓ ข้อเสนอแนะแนวทางการปฏิบัติต่อวัดในสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และการรับมือในอนาคต คณะกรรมาธิการได้รับการชี้แจงข้อมูลจากส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติว่า ได้ให้ความช่วยเหลือวัดด้วยการลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค ค่าไฟฟ้า ค่าน้ าประปา รวมทั้ง เสนอให้พระภิกษุสามเณรได้รับเงินเยียวยารูปละ ๖๐ บาท/วัน เป็นระยะเวลา ๓ เดือน ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการพิจารณาแล้วเห็นว่า เงินเยียวยาตามที่เสนอเป็นจ านวนเงินค่อนข้างน้อยไม่สอดคล้อง กับการด ารงชีพในปัจจุบัน ดังนั้น จึงได้หาแนวทางการให้ความช่วยเหลือผลักดันร่วมกัน โดยมี หนังสือน าเรียนรัฐมนตรีประจ าส านักนายกรัฐมนตรี(นายเทวัญ ลิปตพัลลภ) เพื่อพิจารณา การเพิ่มเงินเยียวยาเป็นเงิน ๑๐๐ บาทต่อวัน เป็นระยะเวลา ๓ เดือน รวมทั้งจะได้ติดตาม ในชั้นคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาติดตามตรวจสอบการใช้เงินตามพระราชก าหนด ๓ ฉบับ เพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด ของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) อีกช่องทางหนึ่ง ๕.๑๔ ข้อเสนอแนะของมูลนิธิละครไทย ภาคีศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย และเครือข่าย พันธมิตรทางศิลปวัฒนธรรม คณะกรรมาธิการได้มีหนังสือน าเรียนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือตามข้อเสนอแนะของมูลนิธิละครไทย ภาคีศิลปวัฒนธรรม ร่วมสมัย และเครือข่ายพันธมิตรทางศิลปวัฒนธรรม


๑๑๔ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๕.๑๕ โครงการก่อสร้างอาคารและติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (โซล่าเซลล์) ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์นครพนม สืบเนื่องจากการเดินทางไปศึกษาดูงาน ณ จังหวัดนครพนม คณะกรรมาธิการ ได้รับการร้องขอให้ช่วยสนับสนุนโครงการก่อสร้างอาคารและติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (โซล่าเซลล์) ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์นครพนม คณะกรรมาธิการ พิจารณาแล้วจึงมีหนังสือน าเรียนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เพื่อพิจารณาสนับสนุนโครงการดังกล่าวตามหน้าที่และอ านาจต่อไป ๕.๑๖ โครงการส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของท้องถิ่น ถนนสายวัฒนธรรมเมืองพนม อ าเภอพระธาตุพนม จังหวัดนครพนม สืบเนื่องจากการเดินทางไปศึกษาดูงาน ณ จังหวัดนครพนม คณะกรรมาธิการ ได้รับการร้องขอให้ช่วยสนับสนุนโครงการส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ของท้องถิ่นถนนสายวัฒนธรรมเมืองพนม อ าเภอพระธาตุพนม จังหวัดนครพนม คณะกรรมาธิการ พิจารณาแล้วจึงมีหนังสือน าเรียนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวง การท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อพิจารณาสนับสนุนโครงการดังกล่าวตามหน้าที่และอ านาจต่อไป


๑๑๕ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๕.๑๗ การบูรณะศาลาการเปรียญของวัดอัปสรสวรรค์วรวิหารแขวงปากคลองภาษีเจริญ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร คณะกรรมาธิการได้รับการชี้แจงข้อมูลจากกรมศิลปากรว่า กรมศิลปากร โดยกองโบราณคดีได้ประสานงานกับวัดอัปสรสวรรค์วรวิหาร และเข้าส ารวจศาลาการเปรียญ ไม้สัก ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๓ โดยกองโบราณคดี และส านักสถาปัตยกรรมจะร่วมกันด าเนินการออกแบบและประมาณการงบประมาณการบูรณะ เพื่อขอจัดสรรงบประมาณ ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๕ คณะกรรมาธิการได้เดินทางไป ติดตามความคืบหน้าและพิธีบวงสรวงการขอบูรณะศาลาการเปรียญ (ร่วมกับเจ้าอาวาส อธิบดี กรมศิลปากร และประชาชนในพื้นที่) ณ วัดอัปสรสวรรค์วรวิหาร เนื่องจากได้รับการอนุมัติ งบประมาณในการบูรณะแล้ว จ านวน ๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท(สามสิบล้านบาทถ้วน) แบ่งพื้นที่ การบูรณะออก ๓ โซน ครอบคลุมการบูรณะศาลาการเปรียญไม้สักและธรรมาสน์โดยกรมศิลปากร สนับสนุนงบประมาณร้อยละ ๗๕ และวัดร่วมสนับสนุนงบประมาณร้อยละ ๒๕ ทั้งนี้บริเวณ ใต้อาคารศาลาการเปรียญจะมีการบูรณะและยกพื้นให้สูงขึ้น เพื่อประโยชน์ในการใช้งานต่อไป


๑๑๖ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๕.๑๘ การก่อตั้งองค์การศาสนาคริสต์ นิกายโปรเตสแตนต์ เพนเทคอสต์ลาหู่ ในประเทศไทย คณะกรรมาธิการได้รับการชี้แจงข้อมูลจากกรมการศาสนาว่ากรมการศาสนา มีนโยบายให้องค์การศาสนาที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันรวมตัวเข้าด้วยกัน เพื่อมิให้เกิดความแตกแยก ในกลุ่มศาสนาเดียวกัน รวมทั้งการเผยแผ่ศาสนาสามารถกระท าได้โดยไม่จ าเป็นต้องได้รับ การรับรองให้เป็นองค์การทางศาสนา ถือเป็นสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๕.๑๙ ข้อพิพาทกรณีการรื้อถอนอาคารศาลเจ้าแม่ทับทิม สะพานเหลือง เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร คณะกรรมาธิการได้พิจารณาข้อพิพาทกรณีการรื้อถอนอาคารศาลเจ้าแม่ทับทิม สะพานเหลือง เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นข้อพิพาทระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้ดูแลศาลเจ้าแม่ทับทิม สะพานเหลือง โดยคณะกรรมาธิการได้เชิญคู่พิพาทและผู้แทน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมประชุม เพื่อเจรจาหาทางออกร่วมกัน ซึ่งคณะกรรมาธิการได้มี ข้อเสนอแนะว่า ควรมีการปรับปรุงรูปแบบการบริหารจัดการศาลเจ้าแม่ทับทิม สะพานเหลือง (แห่งใหม่) ให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเปิดโอกาสให้เครือข่ายภาคประชาสังคมในพื้นที่ มีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น เช่น สถาบันการศึกษา ผู้แทนชุมชน ผู้แทนหน่วยงานต่าง ๆ เป็นต้น เพื่อช่วยส่งเสริมการพัฒนาและการด าเนินงานของศาลเจ้า โดยอาจด าเนินงานในรูปแบบมูลนิธิ


๑๑๗ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ หรือองค์กรการกุศลตลอดจนคณะกรรมาธิการได้มีการเดินทางไปศึกษาดูงาน ณ ศาลเจ้าแม่ทับทิม สะพานเหลือง ในที่ตั้งปัจจุบันและสถานที่ตั้งแห่งใหม่ เพื่อศึกษาข้อมูลตามสภาพความเป็นจริง ต่อมาผู้อ านายการส านักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (PMCU) ได้รายงาน ความคืบหน้าการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการว่า ได้หารือกับทายาทโดยธรรม ของตระกูลผู้ดูแลศาลเจ้าแม่ทับทิม สะพานเหลือง ซึ่งตระกูลผู้ดูแลศาลเจ้าเสนอว่า การตั้ง คณะกรรมการมูลนิธิเพื่อดูแลศาลเจ้าควรด าเนินการหลังจากการก่อสร้างศาลเจ้าแม่ทับทิม สะพานเหลือง (แห่งใหม่) แล้วเสร็จ ทั้งนี้ ภายหลังผลการเจรจาของคู่พิพาทไม่เป็นที่ยุติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงได้ด าเนินการฟ้องร้องคดีต่อศาลเพื่อด าเนินการตามขั้นตอนในการ ปรับปรุงพื้นที่ต่อไป ๕.๒๐ การน าเสนอรายการที่อ้างอิงประวัติศาสตร์ ความเชื่อและความศรัทธา ของประชาชน กรณีศึกษารายการช่องส่องผี คณะกรรมาธิการได้พิจารณาข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการน าเสนอรายการ ที่อ้างอิงประวัติศาสตร์ ความเชื่อและความศรัทธาของประชาชน กรณีศึกษารายการช่องส่องผี และมีมติเพื่อด าเนินการ ดังนี้ ๑) มอบหมายให้นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ ติดตามข้อมูลความคืบหน้าหลังจากที่พิธีกรรายการ “ช่องส่องผี” ได้มีการจัดท าพิธีขอขมา ท้าวสุรนารีหรือคุณย่าโมแล้ว ชาวนครราชสีมาในพื้นที่มีความรู้สึกอย่างไร เพื่อประกอบการพิจารณา ให้ได้ข้อสรุปแนวทางการด าเนินการต่อไป ๒) คณะกรรมาธิการมีหนังสือน าเรียนปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และสังคม โดยมีข้อเสนอแนะแนวทางการด าเนินการ ดังนี้ ๒.๑) กรณีรายการ “ช่องส่องผี” ซึ่งมีการหลอกลวง บิดเบือนน ามา ซึ่งความเสียหายต่อประชาชนอย่างชัดแจ้งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระท า ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๔ (๑) จึงควรมีการด าเนินการให้ถึงที่สุด โดยน าคลิปวีดิโอที่เผยแพร่สื่อออนไลน์ (YouTube) ทั้งหมดมาตรวจสอบ หากพบว่ามีคลิปวีดิโอ ที่เข้าข่ายกระท าความผิด ขอให้ด าเนินการยื่นฟ้องต่อศาลไปในคราวเดียวกันและให้ไปพิสูจน์ ในชั้นศาลต่อไป ๒.๒) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ควรมีการพิจารณา เพิ่มอัตราก าลังคนที่ท าหน้าที่ด้านการเฝ้าระวังให้มีจ านวนมากขึ้น เพื่อให้มีความสอดคล้อง กับปริมาณงานในปัจจุบัน


๑๑๘ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๕.๒๑ การให้ความคุ้มครองอาคารโรงภาพยนตร์สกาลาและขึ้นทะเบียน เป็นโบราณสถาน คณะกรรมาธิการได้รับการชี้แจงข้อมูลจากกรมศิลปากรว่าโรงภาพยนตร์สกาลา ไม่มีความส าคัญทางด้านประวัติศาสตร์และด้านอายุ แต่มีลักษณะการก่อสร้างที่อาจจะมีประโยชน์ ทางด้านศิลปะบ้างเล็กน้อย ดังนั้น เมื่อได้มีการประเมินโรงภาพยนตร์สกาลาแล้วจึงไม่เป็นโบราณสถาน ตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติพ.ศ. ๒๕๐๔ ๕.๒๒ การเสนอให้พระนอนวัดธรรมจักรเสมาราม ต าบลเสมา อ าเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา ขึ้นเป็นธรณีโลก คณะกรรมาธิการได้พิจารณาและมีข้อเสนอแนะ ดังนี้ ๑) จังหวัดนครราชสีมาควรตั้งคณะกรรมการเพื่อด าเนินการเกี่ยวกับการศึกษา ค้นคว้าสาเหตุของการผุกร่อนเสียหาย แนวทางการอนุรักษ์ และการปรับปรุงภูมิทัศน์ในพื้นที่ โดยรอบพระพุทธไสยาสน์ เพื่อรองรับการเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันให้อุทยานธรณีโคราช ซึ่งเป็นอุทยานธรณีระดับประเทศให้เป็นอุทยานธรณีระดับโลก (UNESCO Global Geopark) ๒) คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นควรมาจากผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น สถาบันการศึกษา และภาคประชาชน เช่น


๑๑๙ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ กรมศิลปากร (ส านักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา) กรมโยธาธิการและผังเมือง จังหวัดนครราชสีมา อ าเภอสูงเนิน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ (เทศบาลต าบลเสมา) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี สุรนารี ส านักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครราชสีมา วัดธรรมจักรเสมาราม และเครือข่าย ภาคประชาชน เป็นต้น ทั้งนี้โดยให้กรมศิลปากรเป็นเจ้าภาพหลักในการด าเนินการร่วมกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๓) จังหวัดนครราชสีมาควรมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องด าเนินการจัดท า และติดตั้งแผ่นป้ายประชาสัมพันธ์บนถนนทางหลวงและป้ายแนะน าเส้นทางในการเดินทางไป เยี่ยมชมพระพุทธไสยาสน์ วัดธรรมจักรเสมาราม เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และควรมีการ ประชาสัมพันธ์เผยแพร่ให้เป็นที่รู้จักของประชาชนโดยทั่วไป อาทิ การบรรจุไว้ในปฏิทินหรือรายการ ท่องเที่ยวของจังหวัดนครราชสีมา ๔) คณะกรรมาธิการให้ความร่วมมือในการส่งผู้แทนเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการ พิจารณาเรื่องดังกล่าว เพื่อให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๕.๒๓ การด าเนินการให้พระสงฆ์ทุกนิกายสามารถใช้ค าว่า “พระ” เป็นค าน าหน้านาม ในบัตรประจ าตัวประชาชนได้ คณะกรรมาธิการได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ร้องยื่นเรื่องต่อศาลปกครองแล้ว และศาลปกครองสูงสุดได้มีค าพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ อ.๑๔๙/๒๕๕๗ ไม่ให้นายมโนธรรม รักอโศก ใช้ค าว่า “พระ” เป็นค าน าหน้านามในบัตรประจ าตัวประชาชน ดังนั้น จึงมีหนังสือ แจ้งผู้ร้องเรียนเพื่อทราบว่า ศาลมีค าพิพากษาเป็นที่สุดแล้วและไม่อาจก้าวล่วงได้ ๕.๒๔ แนวทางปฏิบัติในการออกใบอนุโมทนาบัตร (กรณีศึกษาวัดถ้ าเขาวง อ าเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา) สืบเนื่องจากกรณีพุทธศาสนิกชนบริจาคเงินถวายวัดถ้ าเขาวง ต าบล หนองน้ าแดง อ าเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา และวัดได้ออกใบอนุโมทนาบัตรให้ ตามจ านวนเงินที่วัดได้รับบริจาค ต่อมาผู้บริจาคได้น าใบอนุโมทนาบัตรไปแสดงต่อหน่วยงาน ที่ท าหน้าที่จัดเก็บภาษี เพื่อขอลดหย่อนภาษี แต่ปรากฏว่า ผู้บริจาคไม่สามารถใช้หลักฐาน การบริจาคที่เป็นใบอนุโมทนาบัตรไปหักลดหย่อนภาษีได้ จึงได้ร้องเรียนต่อส านักงานพระพุทธศาสนา แห่งชาติ เพื่อให้ด าเนินการตรวจสอบว่าใบอนุโมทนาบัตรนั้น วัดเป็นผู้ออกให้ผู้บริจาคจริงหรือไม่ เนื่องจากองค์ประกอบหรือสาระส าคัญที่ปรากฏในใบอนุโมทนาบัตรไม่ครบถ้วน เช่น ไม่มีลายมือชื่อ เจ้าอาวาส มีแต่ตราประทับวัดอย่างเดียว หรือเจ้าอาวาสลงลายมือชื่อ แต่ไม่ประทับตราวัด ในการนี้ คณะกรรมาธิการได้เดินทางไปศึกษาดูงาน ณ วัดถ้ าเขาวง เพื่อติดตามตรวจสอบ เรื่องดังกล่าว โดยมีผู้ตรวจราชการส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเดินทางไปร่วมสังเกตการณ์ จากการประชุมปรึกษาหารือมีความเห็นว่า ใบอนุโมทนาบัตรมีข้อบกพร่องจริงและวัดถ้ าเขาวง ยินดีจะแก้ไขให้ถูกต้อง ซึ่งจากประเด็นปัญหาดังกล่าว น ามาซึ่งการก าหนดแนวปฏิบัติว่าด้วยการ


๑๒๐ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ออกใบอนุโมทนาบัตร ในกรณีที่มีผู้บริจาคทรัพย์สินให้แก่วัด ให้ถูกต้อง ครบถ้วนทุกองค์ประกอบ ซึ่ง มหาเถรสมาคมได้พิจารณาเรื่องดังกล่าว และมีมติเมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๖๓ ในการประชุม มหาเถรสมาคม ครั้งที่ ๒๐/๒๕๖๓ มติที่ ๕๐๓/๒๕๖๓ เรื่อง แนวทางปฏิบัติในการออกใบอนุโมทนาบัตร โดยก าหนดให้ใบอนุโมทนาบัตรจะต้องมีสาระส าคัญ ดังนี้ ๑) ใบอนุโมทนาบัตร ต้องมีเลขที่ เล่มที่ วัน เดือน ปี ที่บริจาค หรือออกใบ อนุโมทนาบัตร ๒) ต้องระบุชื่อผู้บริจาค ทั้งที่เป็นบุคคลทั่วไป หรือบริษัทห้างร้าน ให้ถูกต้อง ๓) ต้องระบุจ านวนเงินที่ได้รับบริจาค ทั้งที่เป็นตัวเลขและตัวอักษร ตามที่ ได้รับบริจาคจริง ๔) ต้องระบุวัตถุประสงค์ของการบริจาคให้ชัดเจน ว่าบริจาคเพื่อการใด ๕) ต้องระบุชื่อวัด และสถานที่ตั้งของวัดให้ชัดเจน (ต าบล อ าเภอ จังหวัด) ๖) ต้องลงลายมือชื่อผู้รับเงิน พร้อมวงเล็บชื่อ - สกุล และต าแหน่งที่ได้รับ มอบหมายจากวัด ๗) ผู้มีอ านาจออกใบอนุโมทนาบัตร ต้องลงลายมือชื่อ พร้อมวงเล็บชื่อเต็ม และต าแหน่ง รวมทั้งประทับตราวัดนั้น ๆ ที่ออกใบอนุโมทนาบัตร ๘) ใส่หมายเลขโทรศัพท์/ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์(e-mail)


๑๒๑ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๕.๒๕ การบูรณะโบราณสถานทวารวดี-ขอม เมืองไผ่ อ าเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว คณะกรรมาธิการได้รับการชี้แจงข้อมูลจากกรมศิลปากรว่า ส านักศิลปากร ที่ ๕ ปราจีนบุรีได้มีแผนการด าเนินงานและจัดท าค าของบประมาณประจ าปี พ.ศ. ๒๕๖๕ โครงการขุดค้นทางโบราณคดีในพื้นที่เมืองโบราณและส ารวจท าแบบบูรณะโบราณสถาน เป็นเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งล้านบาทถ้วน) ซึ่งกรมศิลปากรได้ด าเนินการแล้ว ๕.๒๖ การบูรณะอุโบสถของวัดปราสาท ต าบลบางกร่าง อ าเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี คณะกรรมาธิการได้รับทราบข้อมูลว่า อุโบสถและภาพจิตรกรรมฝาผนัง ภายในอุโบสถของวัดปราสาทมีความช ารุดทรุดโทรมมาก อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากความชื้น สะสมของผนังอุโบสถ ดังนั้น กรมศิลปากรจึงได้มีแผนการด าเนินงานและงบประมาณในการ อนุรักษ์ภาพจิตรกรรมฝาผนัง ซึ่งเริ่มด าเนินการแล้วโดยกลุ่มอนุรักษ์จิตรกรรมฝาผนังและ ประติมากรรม กองโบราณคดี และใช้งบประมาณประจ าปี พ.ศ. ๒๕๖๔ เป็นเงิน ๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท (เจ็ดล้านบาทถ้วน) โดยแบ่งเป็นงานบูรณะอุโบสถ ซ่อมเครื่องประดับหลังคา ตัดความชื้นภายใน โบราณสถาน เป็นเงิน ๖,๗๕๐,๐๐๐ บาท (หกล้านเจ็ดแสนห้าหมื่นบาทถ้วน) และงานอนุรักษ์ ลวดลายปูนปั้นประดับซุ้มประตู เป็นเงิน ๒๕๐,๐๐๐ บาท (สองแสนห้าหมื่นบาทถ้วน) ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการได้มีข้อเสนอแนะให้กรมศิลปากรพิจารณาการถ่ายโอนโบราณสถานให้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อร่วมกันอนุรักษ์และพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันจะน ามา ซึ่งรายได้ให้แก่ท้องถิ่น ทั้งนี้ การถ่ายโอนภารกิจเกี่ยวกับการบริหารจัดการโบราณสถาน ควรพิจารณาเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความพร้อมทางด้านงบประมาณและ ด้านบุคลากร เพื่อไม่ให้โบราณสถานถูกปล่อยทิ้งร้าง และก าหนดให้โอนเฉพาะงานบางส่วน เท่านั้น ส่วนงานด้านการบ ารุง การบูรณะยังคงเป็นหน้าที่หลักของกรมศิลปากร


๑๒๒ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๕.๒๗ ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พระภิกษุและสามเณร ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้น าข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการ เกี่ยวกับการรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พระภิกษุและสามเณร มอบหมายให้ ส านักเลขาธิการมหาเถรสมาคม ส านักงานเลขานุการกรม กลุ่มรับเรื่องราวร้องทุกข์และ ประสานราชการ (ส่วนกลาง) และส านักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดทุกจังหวัด (ส่วนภูมิภาค) ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบ ข้อร้องเรียน/ร้องทุกข์ฯ ขององค์กร เพื่อพิจารณาด าเนินการ แนวทางการปฏิบัติขององค์กรต่อไป ๕.๒๘ การก าหนดมาตรฐานการสอนและการสอบธรรมศึกษา คณะกรรมาธิการพิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นเรื่องที่อยู่ในหน้าที่และอ านาจ ของแม่กองธรรมสนามหลวง จึงมีหนังสือนมัสการแม่กองธรรมสนามหลวง เพื่อพิจารณา ด าเนินการเรื่องดังกล่าวต่อไป


๑๒๓ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๕.๒๙ ปัญหาความทรุดโทรมของพระธาตุปูตุง อ าเภอพญาเม็งราย จังหวัด เชียงราย คณะกรรมาธิการได้รับการชี้แจงข้อมูลจากส านักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ ว่า กรมศิลปากรได้ด าเนินการบูรณะพระธาตุปูตุง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๖ และมีแผนการขึ้นทะเบียน เป็นโบราณสถานในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการเห็นว่า ส านักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ ควรมีการจัดท าแผนการบูรณะพระธาตุปูตุงเพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจ าปี งบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ และด าเนินการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานไปในคราวเดียวกัน ๕.๓๐ แนวทางการรณรงค์ส่งเสริมสนับสนุนให้วัดจัดท าบัญชีการเงินและ ทรัพย์สินของวัดเพื่อความโปร่งใสและสร้างศรัทธาให้แก่พุทธศาสนิกชน และโครงการ จัดพิมพ์หนังสือ “คู่มือการจัดท าบัญชีทรัพย์สินของวัด” คณะกรรมาธิการได้เดินทางไปศึกษาดูงานและจัดสัมมนาเกี่ยวกับ การอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ในจังหวัดที่มีความพร้อมของแต่ละ ภูมิภาคทั่วประเทศ และเข้ากราบสักการะพระเถรานุเถระตามวัดต่าง ๆ เป็นจ านวนมาก ท าให้ ได้รับทราบปัญหาของคณะสงฆ์ที่มีความประสงค์ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องสนับสนุน การด าเนินการด้านงบประมาณ และการด าเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการถวาย ความรู้ด้านอื่น ๆ เช่น การบริหารจัดการทรัพย์สินของวัด โดยเฉพาะการจัดท าบัญชีทรัพย์สิน ของวัดให้มีมาตรฐานตามกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการได้ให้ข้อเสนอแนะแนวทางการด าเนินการควรมีการจัดท าหนังสือ “คู่มือการจัดท า บัญชีทรัพย์สินของวัด” ถวายให้แด่เจ้าอาวาสทั่วประเทศเพื่อใช้ส าหรับเป็นแนวทางในการจัดท า บัญชีทรัพย์สินของวัด โดยมีการน าเสนอข้อมูลองค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดท าบัญชีทรัพย์สินของวัด ในเบื้องต้น ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับการจัดท าบัญชีตามกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์ กฎ ระเบียบ มหาเถรสมาคม และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง วิธีการจัดท าบัญชี ตัวอย่างการลงบัญชีรายรับ-รายจ่าย รายเดือน บัญชีงบปีแสดงรายรับ-รายจ่าย และบัญชีเงินคงเหลือส าหรับปีสิ้นสุด การกันเขต จัดประโยชน์ ตลอดทั้งการอธิบายหน้าที่และอ านาจของเจ้าอาวาสตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ การปฏิบัติหน้าที่อย่างไรไม่ให้ถูกด าเนินคดีตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ และพระราชบัญญัติป้องกันและ ปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ ตลอดจนมีการน าเอาค าพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับเจ้าอาวาส ในฐานะที่เป็นเจ้าพนักงาน การบริหารจัดการวัด ที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ มรดกของพระภิกษุ และค าพิพากษาเกี่ยวกับศาสนา เพื่ออธิบายประเด็นข้อกฎหมายและแนวการวินิจฉัยของศาล ซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่และมีความส าคัญมากในปัจจุบัน ซึ่งเจ้าอาวาสจะรู้เพียงพระธรรมวินัย หรือกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์อาจจะไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติหน้าที่ มิเช่นนั้นเจ้าอาวาสอาจจะ ถูกฟ้องร้องด าเนินคดีในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้โดยหนังสือ


๑๒๔ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากมหาเถรสมาคมแล้ว ในคราวประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งที่ ๑๔/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๔ (มติที่ ๔๐๕/๒๕๖๔)


๑๒๕ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๕.๓๑ แนวทางการยกเลิกการจัดเก็บภาษีบ ารุงท้องที่ขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น เพื่อลดปัญหาความเดือดร้อนให้แก่วัดที่มีขนาดเล็กทั่วประเทศ ซึ่งมีรายรับ ไม่เพียงพอต่อภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ คณะกรรมาธิการได้ข้อเสนอเกี่ยวกับแนวทางการยกเลิกการจัดเก็บภาษี บ ารุงท้องที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อลดปัญหาความเดือดร้อนให้แก่วัดที่มีขนาดเล็ก ทั่วประเทศ ซึ่งมีรายรับไม่เพียงพอต่อภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ คณะกรรมาธิการพิจารณาแล้ว จึงมีหนังสือน าเรียนรัฐมนตรีประจ าส านักนายกรัฐมนตรี (นายอนุชา นาคาศัย) เพื่อขอให้ พิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวตามหน้าที่และอ านาจต่อไป ๕.๓๒ การแก้ไขปัญหาถนนที่ตัดผ่านพื้นที่กลางวัดเกสรศีลคุณ (วัดป่าบ้านตาด) ต าบลบ้านตาด อ าเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี คณะกรรมาธิการได้พิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาเพื่อให้การเสนอ ร่างพระราชบัญญัติการถ่ายโอนทางสาธารณประโยชน์ (ทางหลวงชนบท สาย อด. ๑๐๗๖) เป็นไปตามข้อกฎหมายที่ถูกต้องชัดเจน ดังนั้น จึงเห็นควรมอบหมายให้ส านักงานพระพุทธศาสนา แห่งชาติมีหนังสือถึงจังหวัดอุดรธานีเพื่อขอหนังสือยืนยันสถานภาพล่าสุดของทางสาธารณประโยชน์ ดังกล่าว โดยให้จังหวัดอุดรธานีน าเอกสารชุดเดิมซึ่งส านักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดอุดรธานี และเทศบาลต าบลบ้านตาดได้เคยยื่นเรื่องไว้แล้วมายืนยันอีกครั้งหนึ่ง


๑๒๖ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕


๑๒๗ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๕.๓๓ การก าหนดมาตรการป้องกันและการดูแลรักษาความปลอดภัยและความสงบ เรียบร้อยของประชาชนในการจุดและปล่อยโคมลอย โคมไฟ โคมควัน (ว่าวฮม) หรือวัตถุอื่นใด ที่คล้ายคลึงกันขึ้นไปสู่อากาศในเขตพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ คณะกรรมาธิการได้เดินทางไปศึกษาดูงานและประชุมร่วมกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง โดยมีข้อสรุปร่วมกัน ดังนี้ ๑) ควรงดการบินทุกประเภทในวันที่มีการจุดและปล่อยโคมลอย โคมไฟ โคมควัน (ว่าวฮม) ตามวันส าคัญทางประเพณีวัฒนธรรมล้านนา เช่น วันลอยกระทง วันส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ เป็นต้น ๒) ควรก าหนดขนาดและวัสดุที่ใช้ท าโคมลอย โคมไฟ โคมควัน (ว่าวฮม) หรือวัตถุอื่นใดที่คล้ายคลึงกัน เพื่อให้เหมาะสมตามวัฒนธรรมประเพณีและสอดคล้องกับ มาตรฐานความปลอดภัย ๓) จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงรายควรจัดเวทีรับฟังความคิดเห็น จากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การพิจารณาเรื่องดังกล่าวเป็นไปด้วยความรอบคอบถูกต้อง ตามกฎหมาย โดยคณะกรรมาธิการให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับการพิจารณาศึกษาข้อกฎหมาย ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการได้มีหนังสือน าเรียนผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเพื่อทราบแล้ว


๑๒๘ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๕.๓๔ การเสนอขอลดค่าน้ าประปาและค่าไฟฟ้าให้แก่วัดทั่วประเทศ คณะกรรมาธิการได้มีหนังสือน าเรียนผู้อ านวยการส านักงานพระพุทธศาสนา แห่งชาติเพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าวต่อไป ๕.๓๕ ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการแก้ไขปรับปรุงขั้นตอนการขอหนังสือเดินทางไป ต่างประเทศ และการขอขยายอายุหนังสือเดินทางประเภทบุคคลทั่วไป ส าหรับพระภิกษุ สามเณร (กรณีเดินทางไปต่างประเทศเป็นการส่วนบุคคล) คณะกรรมาธิการได้รับข้อเสนอแนะให้มีการพิจารณาแก้ไขปรับปรุงขั้นตอน การขอหนังสือเดินทางไปต่างประเทศของพระภิกษุสามเณร เพื่อให้เกิดความสะดวกและรวดเร็ว มากยิ่งขึ้น และได้รับหนังสือจากประธานสหภาพพระธรรมทูตไทยในทวีปยุโรปในการเสนอ ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการเสนอขยายอายุหนังสือเดินทางประเภทบุคคลทั่วไป ส าหรับพระภิกษุ (กรณีเดินทางไปต่างประเทศเป็นการส่วนบุคคล) จากเดิมอายุ ๕ ปี ขยายเป็น ๑๐ ปี เพื่อประโยชน์ ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและอ านวยความสะดวกในการปฏิบัติศาสนกิจของพระภิกษุไทย ในต่างประเทศ และสอดคล้องกับระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือ เดินทาง (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๔ ที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมให้หนังสือเดินทางประเภทบุคคลทั่วไป ส าหรับบุคคลที่บรรลุนิติภาวะ มีอายุ ๕ ปี หรือไม่เกิน ๑๐ ปี ดังนั้น เพื่อให้การพิจารณา เรื่องดังกล่าวเป็นไปด้วยความรอบคอบ คณะกรรมาธิการจึงมีการประชุมและขอข้อมูลจากหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและกรมการกงสุล ซึ่งได้รับทราบข้อมูล โดยสรุป ดังนี้


Click to View FlipBook Version