๒๙ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ทั้งนี้ ที่ประชุมดังกล่าวได้มีมติที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ๑) ให้ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติประสานกับกรมป่าไม้เพื่อน าบัญชี ที่พักสงฆ์ที่ยื่นขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าไม้เพื่อสร้างวัดตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ไปคัดแยกข้อมูลว่าที่พักสงฆ์ใดอยู่ในบัญชี การแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๓๘ หรือไม่แล้วแจ้งกรมป่าไม้เพื่อเป็นข้อมูลในการน าเสนอคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหา พระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้(คณะกรรมการกลาง) ต่อไป ๒) เสนอคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้ (คณะกรรมการกลาง) เพื่อให้ความเห็นในหลักเกณฑ์และแนวทางการแก้ไขปัญหา กรณีที่พักสงฆ์ ที่ยื่นขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าไม้เพื่อสร้างวัด ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ก่อนให้คณะกรรมการป้องกันและแก้ไข ปัญหาพระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้ระดับจังหวัด ตามค าสั่งคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหา พระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้ที่ ๑/๒๕๕๒ ลงวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๒ พิจารณาจ าแนกที่พักสงฆ์ ในเขตพื้นที่ป่าไม้ตามหลักการในการจ าแนกที่พักสงฆ์ในเขตพื้นที่ป่าไม้และแนวทางแก้ไขปัญหา ตามมติคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้๓ รูปแบบ ดังนี้ (๑) ผลักดันให้ออกจากพื้นที่ (๒) จัดท าโครงการส่งเสริมให้วัดหรือส านักสงฆ์ช่วยงานด้านป่าไม้ (๓) ให้ที่พักสงฆ์นั้นขออนุญาตสร้างวัดโดยถูกต้องตามกฎหมายต่อไป กล่าวโดยสรุปแล้ว วัดหรือส านักสงฆ์ที่จะสร้างวัดในเขตพื้นที่ป่าไม้ต้องด าเนินการ ตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นผู้ยื่นขออนุญาต ใช้พื้นที่ป่าไม้ ดังนี้ (๑) กรณีวัด/ส านักสงฆ์ที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ให้ด าเนินการยื่นขออนุญาต เข้าท าประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตามระเบียบคณะกรรมการพิจารณา การใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาต และการอนุญาตให้เข้าท าประโยชน์ หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๕ หมวด ๑ การขออนุญาต ข้อ ๖ (๒) และหลักเกณฑ์การพิจารณาอนุญาตต้องเป็นไปตาม หมวด ๒ หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข ข้อ ๑๒ (๒) กรณีวัด/ส านักสงฆ์ที่อยู่ในเขตพื้นที่ป่า ตามมาตรา ๔ (๑) แห่งพระราชบัญญัติ ป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ให้ด าเนินการยื่นขออนุญาตตามกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาต ท าประโยชน์ในเขตป่า พ.ศ. ๒๕๕๘ ทั้งนี้ วัดหรือส านักสงฆ์จะต้องอยู่ในบัญชีรายชื่อที่ได้ผ่านการพิจารณาของ คณะกรรมการแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้ระดับจังหวัดที่มีมติให้ขออนุญาตสร้างวัดให้ถูกต้อง ตามกฎหมายเพื่อประกอบการพิจารณา ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติยื่นขออนุญาตใช้ พื้นที่ป่าไม้เพื่อการสร้างวัด ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ และมติคณะรัฐมนตรี
๓๐ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ทั้งหมดจ านวน ๘,๕๒๙ ค าขอ เป็นวัด/ส านักสงฆ์ที่ยังไม่อยู่ ในบัญชีรายชื่อที่ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้ระดับ จังหวัดที่มีมติให้ขออนุญาตสร้างวัดให้ถูกต้องตามกฎหมาย รูปแผนผังแสดงขั้นตอน การขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ตามมาตรา ๓๑/๑ ที่มา: กองการอนุญาต กรมป่าไม้
๓๑ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ รูปแผนผังแสดงขั้นตอน การขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ตามมาตรา ๑๖ ที่มา: กองการอนุญาต กรมป่าไม้
๓๒ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ รูปแผนผังแสดงขั้นตอนการขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าไม้ ที่มา: กองการอนุญาต กรมป่าไม้
๓๓ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๓.๒ ปัญหาการขอใช้ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ประเภทพลเมือง ใช้ร่วมกัน เพื่อสร้างวัด ตั้งวัด หรือการศาสนา กรณีการขอใช้ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ประเภทพลเมืองใช้ ร่วมกัน (ที่สาธารณประโยชน์ซึ่งมีการออกหนังสือส าคัญส าหรับที่หลวง) พระราชบัญญัติลักษณะ ปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ มาตรา ๑๒๒ ก าหนดให้นายอ าเภอมีหน้าที่ร่วมกับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติ ของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน และสิ่งซึ่งเป็นสาธารณประโยชน์อื่นอันอยู่ในเขต อ าเภอ นายอ าเภอและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่มีอ านาจใช้หรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้ที่ดิน ดังกล่าว เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากผู้ว่าราชการจังหวัดและปฏิบัติตามประมวลกฎหมาย ที่ดิน และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งการใช้ที่ดินสาธารณประโยชน์ต้องได้รับอนุญาตตามประมวล กฎหมายที่ดิน โดยปฏิบัติตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วย หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ทบวงการเมืองใช้ที่ดินของรัฐ เพื่อประโยชน์ในราชการตามประมวล กฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๕๔๑ หรือระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพที่ดิน อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินส าหรับพลเมืองใช้ร่วมกันจากการใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ อย่างหนึ่งเป็นอีกอย่างหนึ่ง พ.ศ. ๒๕๔๓ แล้วแต่กรณี ซึ่งต้องดูสภาพที่ดินสาธารณประโยชน์แห่งนั้น โดยกรณีของการสร้างวัด ตั้งวัด หรือการศาสนาในที่สาธารณประโยชน์นั้นก็มีประเด็นปัญหา มายาวนาน ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์) ได้เคยวินิจฉัยไว้เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๓ ว่าให้กรมการศาสนาด าเนินการไม่ให้มีการเข้าไปบุกรุกและควบคุมไม่ให้มีการก่อสร้างวัด ตั้งวัดในที่สาธารณประโยชน์ เนื่องจากที่สาธารณประโยชน์ คือ ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติ ของแผ่นดินส าหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน โดยประชาชนทุกคนสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ ดังนั้น การที่จะใช้ที่ดินสาธารณประโยชน์เพื่อสร้างวัดและตั้งวัดจะต้องตราเป็นพระราชบัญญัติ เท่านั้น เช่น พระราชบัญญัติโอนที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินในท้องที่ต าบลเนินพระ อ าเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้แก่วัดโขดใต้ พ.ศ. ๒๕๔๖ เป็นต้น คณะกรรมาธิการได้มีการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณา หาแนวทางแก้ไขปัญหากรณีของวัด ส านักสงฆ์ หรือที่พักสงฆ์สร้างอยู่ในที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติ ของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน (ที่สาธารณประโยชน์ซึ่งมีการออกหนังสือส าคัญส าหรับที่หลวง) แต่เนื่องจากมีประเด็นด้านข้อกฎหมายเนื่องจากการจะใช้ที่สาธารณประโยชน์สร้างวัดและตั้งวัด ต้องตราเป็นพระราชบัญญัติเท่านั้น ถือเป็นปัญหาเชิงนโยบายที่รัฐบาลจะต้องพิจารณาแก้ไข อย่างจริงจัง เพราะปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นมายาวนานจนถึงปัจจุบัน เนื่องด้วยมีวัด ส านักสงฆ์ หรือที่พักสงฆ์สร้างอยู่ในที่ดินสาธารณประโยชน์ทั่วประเทศจ านวนมาก แยกออกเป็น ๒ กรณีใหญ่ ๆ กล่าวคือ (๑) กรณีที่วัด ส านักสงฆ์ หรือที่พักสงฆ์สร้างอยู่ในพื้นที่ก่อนแล้วแต่ต่อมาได้ถูกทางราชการ ออกประกาศให้พื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นที่สาธารณประโยชน์ และ (๒) กรณีวัด ส านักสงฆ์ หรือที่พักสงฆ์สร้างอยู่ในพื้นที่ที่ทางราชการประกาศเป็นที่สาธารณประโยชน์อยู่แล้ว ดังนั้น ในการแก้ไขปัญหาจะต้องพิจารณาข้อมูล ข้อเท็จจริงของแต่ละแห่งให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจน ทั้งนี้
๓๔ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ คณะกรรมาธิการได้มีการพิจารณาปัญหาของวัด ส านักสงฆ์ หรือที่พักสงฆ์ ที่สร้างอยู่ในที่ดิน อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน จึงได้มีข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไข ปัญหาดังกล่าวโดยเสนอแนะว่าควรให้มีการแก้ไขกฎหมาย กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง จึงจะสามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้แต่มีข้อสังเกตประการหนึ่งที่ส าคัญ ส าหรับกรณีการใช้ที่ดิน อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน เพื่อการศาสนา เช่น โครงการ ก่อสร้างพุทธมณฑลจังหวัด ซึ่งเป็นการด าเนินการก่อสร้าง การใช้งบประมาณ การครอบครอง การดูแลรักษา และความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน เป็นของทบวงการเมืองหรือส่วนราชการ โดยมีคณะสงฆ์เป็นฝ่ายร่วมสนับสนุน โครงการลักษณะนี้จะสามารถขอใช้ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติ ของแผ่นดิน ประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันได้ ซึ่งแตกต่างจากการสร้างวัดและตั้งวัด (เพราะเมื่อตั้ง เป็นวัดแล้ว วัดจะมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งวัดไม่ถือ เป็นทบวงการเมืองหรือส่วนราชการ จึงไม่ใช่การขอใช้เพื่อประโยชน์ในราชการตามระเบียบ กระทรวงมหาดไทยฯ ที่ผ่านมาคณะกรรมาธิการได้มีส่วนร่วมผลักดันโครงการลักษณะนี้ จนส าเร็จลุล่วงมาแล้ว คือ - โครงการก่อสร้างพุทธมณฑลสมโภช ๗๕๐ ปี เมืองเชียงราย เนื่องจากบริเวณที่จะก่อสร้างพุทธมณฑลสมโภช ๗๕๐ ปี เมืองเชียงราย (พุทธมณฑลจังหวัดเชียงราย) เป็นที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ประเภทพลเมือง ใช้ร่วมกัน ในท้องที่ต าบลบัวสลีอ าเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย ในเบื้องต้นหน่วยงานในพื้นที่
๓๕ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ มีความเห็นชอบในการใช้เป็นสถานที่สร้างพุทธมณฑลจังหวัดเชียงราย แต่ติดปัญหาข้อกฎหมาย ท าให้ไม่มีอ านาจในการพิจารณาอนุญาต คณะสงฆ์และส่วนราชการจังหวัดเชียงรายจึงเสนอ เรื่องให้คณะกรรมาธิการพิจารณาศึกษาและประสานงานกับกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย เพื่อพิจารณาถอนสภาพที่ดินแปลงดังกล่าวเพื่อสร้างพุทธมณฑลจังหวัดเชียงราย คณะกรรมาธิการ ได้เข้าหารือเรื่องดังกล่าวกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายนิพนธ์ บุญญามณี) ในฐานะที่ก ากับดูแลกรมที่ดิน เพื่อชี้แจงความจ าเป็นในการใช้พื้นที่และแจ้งให้ส่วนราชการ ในพื้นที่ด าเนินการส่งเรื่องให้รัฐมนตรีฯ พิจารณาออกประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การจัด ขึ้นทะเบียนที่ดินของรัฐ เพื่อให้ทบวงการเมืองใช้ประโยชน์ในราชการในท้องที่ต าบลบัวสลี อ าเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย ซึ่งส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติขอขึ้นทะเบียนที่ดินของรัฐ แปลง “ที่เลี้ยงสัตว์หมู่ที่ ๑๕” ในท้องที่ต าบลบัวสลี อ าเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย เนื้อที่ ประมาณ ๑๕๐ ไร่ เพื่อใช้ประโยชน์เป็นที่ตั้งพุทธมณฑลสมโภช ๗๕๐ ปี เมืองเชียงราย ต่อมา ได้มีการออกประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ และได้มีประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๘ ตอนพิเศษ ๘ ง หน้า ๑๖ เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๖๔ ส าหรับกรณีการขอสร้างวัดและตั้งวัด มีผู้แทนวัด ส านักสงฆ์ หรือที่พักสงฆ์ หลายแห่งเสนอเรื่องหรือร้องขอให้คณะกรรมาธิการพิจารณาแก้ไขปัญหาหรือติดตาม ความคืบหน้าซึ่งคณะกรรมาธิการได้พิจารณาตรวจสอบข้อมูลและให้ความเห็นและข้อเสนอแนะ โดยมีสาระส าคัญ ดังนี้ ๑) ที่พักสงฆ์มัชฌิมเจริญธรรม (วัดป่าช้า) ต าบลบางริ้น อ าเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง กรณีนี้ที่พักสงฆ์มัชฌิมเจริญธรรม (ที่พักสงฆ์ป่าช้า) ขออนุญาตตั้งเป็นวัด แบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนหนึ่งเป็นพื้นที่ป่าตามพระราชบัญญัติป่าไม้พุทธศักราช ๒๔๘๔ และอีกส่วนหนึ่งเป็นที่สาธารณประโยชน์ ซึ่งในส่วนพื้นที่ป่านั้นที่พักสงฆ์มัชฌิมเจริญธรรม โดยส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้ด าเนินการขออนุญาตใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าจากกรมป่าไม้แล้ว แต่ในส่วนที่เป็นที่สาธารณประโยชน์นั้นจะยังไม่สามารถด าเนินการได้เนื่องจากติดประเด็นปัญหา ด้านข้อกฎหมาย เนื่องด้วยการที่จะเปลี่ยนแปลงที่สาธารณประโยชน์ไปใช้ประโยชน์เพื่อสร้างวัด ตั้งวัด จะต้องตราเป็นพระราชบัญญัติ ๒) ที่พักสงฆ์บ้านด้ายกู่แก้ว (กู่แก้วชัยมงคล) ต าบลเวียงชัย อ าเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย กรณีนี้เป็นการขอสร้างวัดและตั้งวัด จากการพิจารณาและตรวจสอบ ข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ที่พักสงฆ์สร้างอยู่ในเขตที่สาธารณประโยชน์ ดังนั้น ไม่สามารถด าเนินการ ขออนุญาตสร้างวัดและตั้งวัดได้เนื่องจากติดประเด็นปัญหาด้านกฎหมาย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลง ที่สาธารณประโยชน์ไปใช้ประโยชน์เพื่อสร้างวัด ตั้งวัด จะต้องตราเป็นพระราชบัญญัติ
๓๖ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๓) โครงการก่อสร้าง “อุทยานการเรียนรู้เชิงธรรมชาติ ถิ่นมั่นในพุทธธรรม มหามงคลมหาวชิราลงกรณ มหาวชิรเกล้า ๗๒ พรรษา” จังหวัดสกลนคร โครงการนี้ตั้งอยู่ในแนวเขตหวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกาก าหนดเขตหวง ห้ามที่ดินในท้องที่อ าเภอเมือง จังหวัดสกลนคร พุทธศักราช ๒๔๘๔ โครงการดังกล่าวอยู่ ระหว่างการขออนุญาตใช้พื้นที่จากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง
๓๗ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๔) วัดป่าอรัญญวาสี ต าบลบ้านหว้า อ าเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น กรณีนี้วัดป่าอรัญญวาสีได้ยื่นขอออกโฉนดที่ดินตามหลักฐานทะเบียน ประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม ๑๒ พ.ศ. ๒๕๓๖ ซึ่งระบุวัดป่าอรัญญวาสีมีเนื้อที่ ๗๕ ไร่ ๑ งาน ๖๐ ตารางวา ทั้งนี้ ช่างรังวัดที่ดินได้ท าการรังวัด เมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๑ ผลการรังวัดได้เนื้อที่ ๗๖ ไร่ ๑ งาน ๒.๒ ตารางวา แต่ปรากฏว่าพื้นที่ดังกล่าวได้มีการออก หนังสือส าคัญส าหรับที่หลวง เลขที่ ขก ๒๘๘๙ ลงวันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๔ แปลงโคก วัดป่าอรัญญวาสี ออกทับที่ดินของวัดป่าอรัญญวาสีทั้งแปลง ทั้งนี้ จากหลักฐานวัดป่าอรัญญวาสี ได้ครอบครองท าประโยชน์ที่ดินมาก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ ดังนั้น จะต้องมีการ พิสูจน์สิทธิในที่ดินต่อไป ๕) วัดป่าภูเขียว ต าบลผักปัง อ าเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ จากการส ารวจตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าตั้งอยู่ในเขตที่สาธารณประโยชน์ ดังนั้น ยังไม่สามารถตั้งเป็นวัดตามกฎหมายได้ เนื่องจากติดประเด็นปัญหาด้านกฎหมาย ๖) ที่พักสงฆ์ศิริสุทโธ ต าบลบ้านม่วง อ าเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี กรณีที่พักสงฆ์ศิริสุทโธเป็นการขอสร้างวัดและตั้งวัด จากการพิจารณา และตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าตั้งอยู่ในที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ประเภทพลเมือง ใช้ร่วมกัน จึงยังไม่สามารถตั้งเป็นวัดได้ เนื่องจากไม่ใช่การขอใช้เพื่อประโยชน์ในราชการ จึงไม่อยู่ ในหลักเกณฑ์ที่จะด าเนินการถอนสภาพตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับ การถอนสภาพ การจัดขึ้นทะเบียนและการจัดหาผลประโยชน์ในที่ดินของรัฐ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๕๕๐ แต่ด าเนินการได้โดยการตราเป็นพระราชบัญญัติเท่านั้น
๓๘ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๗) ที่พักสงฆ์วิจิตรประชาราม ต าบลเขาย่า อ าเภอศรีบรรพต จังหวัดพัทลุง ที่พักสงฆ์วิจิตรประชารามไม่สามารถด าเนินการขออนุญาตสร้างวัดได้ เนื่องจากที่ดินแปลงที่ตั้งของที่พักสงฆ์วิจิตรประชารามเป็นที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน ตามหนังสือส าคัญส าหรับที่หลวง เลขที่ พท.๐๐๙๑ โดยไม่สามารถ ด าเนินการขอถอนสภาพที่ดินสาธารณประโยชน์เพื่อใช้สร้างวัดได้ ๘) ที่พักสงฆ์เทพมงคลทอง ต าบลบ้านดารา อ าเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่พักสงฆ์เทพมงคลทองตั้งอยู่ในที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน แม้ผู้ยกที่ดินให้สร้างวัดจะมีแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.๑) แต่เป็นการได้มาภายหลังจากการประกาศเป็นที่สาธารณประโยชน์ซึ่งมีการออกหนังสือส าคัญ ส าหรับที่หลวงแล้ว จึงไม่อาจจะน ามาขอออกโฉนดที่ดินและขอสร้างวัดและตั้งวัดได้เพราะขัด ต่อระเบียบของกระทรวงมหาดไทยที่เกี่ยวข้อง ๙) ศูนย์ปฏิบัติธรรมกาญจนาภิเษกเฉลิมพระเกียรติ สาขาวัดมหาวนาราม อ าเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี กรณีนี้มีความประสงค์จะเสนอให้ศูนย์ปฏิบัติธรรมฯ เป็นวัด แต่ติดปัญหาว่า ศูนย์ปฏิบัติธรรมฯ ตั้งอยู่ในที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน จึงไม่สามารถด าเนินการตั้งเป็นวัดได้ เพราะไม่ใช่การขอใช้เพื่อประโยชน์ในราชการของทบวง การเมือง
๓๙ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๓.๓ ปัญหาการขอใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เพื่อสร้างวัด ตั้งวัด หรือการศาสนา คณะกรรมาธิการได้มีการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณา ติดตามความคืบหน้าการขออนุญาตใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เพื่อสร้างวัด ตั้งวัด หรือการศาสนา จนส าเร็จลุล่วงไปแล้ว จ านวน ๔ แห่ง ดังนี้ ๑) วัดโคกวิริยาราม หรือที่พักสงฆ์โคกวิริยาราม ต าบลสาวะถี อ าเภอเมือง ขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น กรณีนี้เป็นการขอใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินท้องที่จังหวัดขอนแก่น จ านวน เนื้อที่ ๔๒ ไร่ ๑ งาน ๕๘ ตารางวา เพื่อสร้างวัดโคกวิริยาราม โดยพระมหาชินพันธ์ จนฺทธมฺโม หัวหน้าที่พักสงฆ์ในขณะนั้น พร้อมด้วยคณะสงฆ์ และศิษยานุศิษย์ ซึ่งได้ยื่นเรื่องต่อส านักงาน พระพุทธศาสนาจังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๓ และได้ร้องขอให้คณะกรรมาธิการ พิจารณาศึกษาและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการได้เชิญหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมและเดินทางไปศึกษาดูงาน โดยได้รับความเมตตานุเคราะห์จาก พระเทพวิสุทธิคุณ เจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุมเพื่อพิจารณา ด าเนินการตามอ านาจหน้าที่ ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น ส านักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ส านักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดขอนแก่น ส านักงาน การปฏิรูปที่ดินจังหวัดขอนแก่น อ าเภอเมืองขอนแก่น เทศบาลต าบลสาวะถี และผู้น าท้องถิ่น จนกระทั่งเมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๖๕ คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้มีมติ เห็นชอบอนุญาตให้ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติใช้ที่ดินเพื่อสร้างวัดในเขตปฏิรูปที่ดิน จ านวนเนื้อที่ ๔๒ ไร่ ๑ งาน ๕๘ ตารางวา และส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้ออกประกาศ ตั้งวัดโคกวิริยารามขึ้นเป็นวัดในพระพุทธศาสนา เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์๒๕๖๖ ตามล าดับ
๔๐ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕
๔๑ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๒) วัดพระธาตุดอยเวียงแก้ว ต าบลศรีดอนมูล อ าเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย กรณีนี้เป็นการขออนุญาตใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินท้องที่จังหวัดเชียงราย เพื่อสร้างวัดพระธาตุดอยเวียงแก้ว โดยคณะกรรมาธิการได้มีการเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมและมีการเดินทางไปศึกษาดูงาน ณ จังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามความคืบหน้า ต่อมาเลขาธิการส านักงานคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้พิจารณาอนุญาต ให้ใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน จ านวนเนื้อที่ ๑๕ ไร่ เพื่อสร้างวัดพระธาตุดอยเวียงแก้ว เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๕ และส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้ออกประกาศตั้งวัดพระธาตุ ดอยเวียงแก้วขึ้นเป็นวัดในพระพุทธศาสนา เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๕
๔๒ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๓) ที่พักสงฆ์ป่าดงสว่างธรรม ต าบลโคกนาโก อ าเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร กรณีนี้เป็นการขออนุญาตใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินท้องที่จังหวัดยโสธร เพื่อสร้างวัดป่าดงสว่างธรรม และได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อสร้างวัดป่าดง สว่างธรรม เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๕ เนื้อที่ จ านวน ๖ ไร่ และอยู่ระหว่างการตั้งวัด ทั้งนี้ จังหวัดยโสธรได้มีการออกประกาศอนุญาตให้สร้างวัดในเขตปฏิรูปดังกล่าวแล้ว แต่ภายหลัง จังหวัดยโสธรได้ส่งรายงานขออนุญาตตั้งวัดเพื่อให้ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติพิจารณา ด าเนินการตามขั้นตอนที่ก าหนดไว้ในกฎกระทรวง การสร้าง การตั้ง การรวม การย้าย และ การยุบเลิกวัด การขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมา และการยกวัดร้างขึ้นเป็นวัดมีพระภิกษุ อยู่จ าพรรษา พ.ศ. ๒๕๕๙ นั้น ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้มีหนังสือถึงส านักงาน พระพุทธศาสนาจังหวัดยโสธร เพื่อให้ตรวจสอบเอกสารหลักฐานประกอบการพิจารณา ขออนุญาตตั้งวัดของจังหวัดยโสธร โดยนายขันตี ค ามีสิทธิ์ ผู้ขอตั้งวัด ณ บ้านดงสว่าง หมู่ที่ ๖ ต าบลโคกนาโก อ าเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร ซึ่งมีข้อสังเกตว่าเมื่อพิจารณาเอกสารที่แสดงสิทธิ ที่ดินที่ขออนุญาตสร้างและตั้งวัด ตามหนังสืออนุญาตให้ใช้ที่ดินเพื่อกิจการสาธารณูปโภค และกิจการอื่น ๆ ในเขตปฏิรูปที่ดิน เลขที่ ๑๕/๒๕๖๕ เนื้อที่ที่ขออนุญาตตั้งวัด ๖ ไร่ ณ ต าบล โคกนาโก อ าเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร จากการตรวจสอบรายงานขอตั้งวัด (สถ.๓) และเอกสาร ประกอบรายการเสนาสนะและสิ่งปลูกสร้างในแปลงที่ดินที่ขออนุญาตตั้งวัด ประกอบด้วย กุฏิสงฆ์ ห้องสุขา ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าวไม่ปรากฏเสนาสนะประกอบศาสนกิจ ทั้งนี้ เพื่อให้ การพิจารณาการอนุญาตให้ตั้งวัดในพระพุทธศาสนาเป็นไปด้วยความถูกต้องตามกฎกระทรวงฯ จึงขอให้ด าเนินการตรวจสอบอาคาร เสนาสนะที่ก่อสร้างในเนื้อที่ตามเอกสารสิทธิที่ดินที่ได้รับ อนุญาตให้สร้างวัดตามหนังสืออนุญาตให้ใช้ที่ดินฯ และรับรองข้อมูลรายงานให้ส านักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติทราบต่อไป เรื่องดังกล่าว คณะกรรมาธิการมีข้อสังเกตว่า การก่อสร้างเสนาสนะ เพื่อขออนุญาตตั้งวัด ผู้ขออนุญาตต้องใช้ความระมัดระวังในการก่อสร้าง โดยต้องด าเนินการ ก่อสร้างให้อยู่ภายในขอบเขตที่ดินที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ผู้ขออนุญาตจึงจ าเป็นที่จะต้องศึกษา ขอบเขตที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้สร้างวัด เพราะหากด าเนินการก่อสร้างนอกเขตที่ดินที่ได้รับอนุญาต จะก่อให้เกิดปัญหาตามมา และจะท าให้ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติไม่สามารถพิจารณา อนุญาตให้ตั้งวัดได้
๔๓ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๔) ที่พักสงฆ์ทุ่งเจริญ ต าบลซับมะกรูด อ าเภอคลองหาด จังหวัดสระแก้ว ที่พักสงฆ์ทุ่งเจริญ ตั้งอยู่ที่บ้านทุ่งเจริญ หมู่ที่ ๘ ซึ่งหมู่บ้านแห่งนี้ ยังไม่เคยมีวัดมาก่อน ปัจจุบันภายในที่พักสงฆ์ทุ่งเจริญมีการสร้างเสนาสนะและสิ่งปลูกสร้าง ได้แก่ ศาลาการเปรียญ ห้องครัว ห้องน้ า กุฏิ เมรุ และโรงทาน โดยมีพระนอง ปญฺญาธโร เป็นประธานที่พักสงฆ์ทุ่งเจริญ ภายหลังคณะกรรมาธิการได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วม ประชุมปรึกษาหารือแล้ว คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้พิจารณาและให้ความ เห็นชอบให้ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดสระแก้ว เพื่อสร้างวัดทุ่งเจริญ โดยยกเว้นการเรียกเก็บค่าตอบแทนใช้ประโยชน์ในที่ดิน จ านวนตาม ต าแหน่งที่ดิน ๒ แปลง คือ ที่ดินแปลงเลขที่ ๑๐ ระวาง ๕๔๓๕IV๐๐๙๒ เนื้อที่ ๒ ไร่และที่ดิน แปลงเลขที่ ๓ กลุ่มที่ ๑๔๒๖ เนื้อที่ ๘ ไร่ ๓ งาน ๕๐ ตารางวาซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณา สร้างวัดและตั้งวัดตามกฎหมายต่อไป
๔๔ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ นอกจากนี้ยังมีกรณีวัด ส านักสงฆ์ และที่พักสงฆ์ที่อยู่ระหว่างการพิจารณา ของส านักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ในกรณีการขออนุญาตให้ใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน เพื่อเกษตรกรรม ที่ร้องขอให้คณะกรรมาธิการช่วยพิจารณาศึกษาและติดตามความคืบหน้า ดังนี้ ๑) ที่พักสงฆ์ล้านนา (วัดสิริบุญญาราม) อ าเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ๒) ที่พักสงฆ์ราชครูต าบลอินทนิล อ าเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ๓) ที่พักสงฆ์เนินทอง ต าบลตะโก อ าเภอทุ่งตะโก จังหวัดชุมพร ๔) ที่พักสงฆ์ตอรัง ต าบลหนองโสน อ าเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร ๕) ที่พักสงฆ์ป่าอุดมเทพนิมิตรต าบลโพนสูง อ าเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี
๔๕ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๖) ที่พักสงฆ์ห้วยเจริญศรัทธาราม ต าบลห้วยเขย่ง อ าเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ๗) ที่พักสงฆ์ศรีเจริญธรรม ต าบลยางงาม อ าเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ ๘) ที่พักสงฆ์สวนป่าบุญฤทธิ์ ต าบลวังหมี อ าเภอวังน้ าเขียว จังหวัดนครราชสีมา ๙) วัดกลองชัยสันติธรรม ต าบลป่าซาง อ าเภอเวียงเชียงรุ้ง จังหวัดเชียงราย โดยวัดและที่พักสงฆ์ทั้ง ๙ แห่ง อยู่ในเงื่อนไขที่จะขออนุญาตใช้ที่ดินในเขตปฏิรูป ที่ดินเพื่อสร้างวัดและตั้งวัดได้ตามระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ว่าด้วย การมอบหมายให้เลขาธิการส านักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพิจารณาอนุญาตให้ใช้ ที่ดินเพื่อกิจการสาธารณูปโภคและกิจการอื่น ๆ พ.ศ. ๒๕๓๖ โดยคาดการณ์ว่าจะสามารถ ด าเนินการเพื่อขออนุญาตให้แล้วเสร็จได้ภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๖ – ๒๕๖๗ และด าเนินการ ขออนุญาตสร้างวัดและตั้งวัดต่อไป กล่าวโดยสรุป การขอใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เพื่อสร้างวัด ตั้งวัด หรือการศาสนา เป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ว่าด้วย การมอบหมายให้เลขาธิการส านักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพิจารณาอนุญาตให้ใช้ ที่ดินเพื่อกิจการสาธารณูปโภคและกิจการอื่น ๆ พ.ศ. ๒๕๓๖ โดยอาศัยอ านาจตามพระราชบัญญัติ การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ ซึ่งมีสาระส าคัญเป็นการก าหนดให้เลขาธิการ ส านักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการปฏิรูปที่ดิน จังหวัด มีอ านาจให้ใช้ที่ดินเพื่อกิจการสาธารณูปโภคและกิจการอื่น ๆ (สร้างวัด) ในเขตปฏิรูป ที่ดินได้ไม่เกิน ๑๕ ไร่ ตามหลักเกณฑ์ที่ก าหนดในระเบียบนี้เฉพาะพื้นที่ที่ยังมิได้ก าหนด ในแผนงานหรือโครงการปฏิรูปที่ดินหรือในพื้นที่ที่ยังมิได้ก าหนดให้ใช้เพื่อการใดโดยเฉพาะ ในแผนงานหรือโครงการปฏิรูปที่ดินนั้น และก าหนดรายละเอียดไว้ในข้อต่าง ๆ ดังนี้ ข้อ ๕ การให้ใช้ที่ดินเพื่อกิจการสาธารณูปโภคและกิจการอื่น ๆตามระเบียบนี้ ต้องเป็นการด าเนินการโดยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐ หรือเอกชนที่ด าเนินการ โดยไม่หวังผลก าไร ข้อ ๘ การใช้ที่ดินเพื่อการศาสนา ให้ใช้ได้ตามจ านวนพื้นที่ไม่เกิน ๑๕ ไร่ ส าหรับจัดตั้งศาสนสถานตามประเพณีนิยมแห่งท้องถิ่น ข้อ ๑๗ การใช้ที่ดินเพื่อการอื่นนอกจากข้อ ๖ ถึงข้อ ๑๖ หรือการขอใช้ที่ดิน เกินจ านวนที่ก าหนด ให้เสนอต่อคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเพื่อพิจารณา ตามความจ าเป็นในกิจการนั้น ๆ ข้อ ๑๘ แบบ ขั้นตอน ตลอดจนเงื่อนไขในการอนุญาตให้ใช้ที่ดินตามระเบียบนี้ ให้ส านักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเป็นผู้ก าหนดตามความเหมาะสม ข้อ ๑๙ ถ้าปรากฏว่าผู้ได้รับอนุญาตไม่ท าประโยชน์ในที่ดินตามกิจการที่ได้ รับอนุญาตโดยไม่มีเหตุอันควร ให้เลขาการส านักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เพิกถอน การอนุญาตได้
๔๖ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ กล่าวโดยสรุป อ านาจในการอนุญาตให้ใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อกิจการ สาธารณูปโภคและกิจการอื่น ๆ เป็นของเลขาธิการส านักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัด (ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน) ตามหลักเกณฑ์ที่ก าหนดในระเบียบนี้ หากเป็นการอนุญาตให้ใช้ที่ดินเพื่อกิจการอื่นหรือเป็นการ ขอใช้ที่ดินเกินจ านวนที่ก าหนดไว้ให้เสนอคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพิจารณา ตามความจ าเป็นเพื่อกิจการนั้น การอนุญาตให้ใช้ที่ดินเพื่อกิจการสาธารณูปโภคและกิจการอื่น ๆ ได้แก่ การศึกษา การอนามัย การสาธารณสุข การศาสนา กิจการไฟฟ้า ประปา สร้างถนน ก่อสร้างหรือปรับปรุงแหล่งน้ า เพื่อการประกอบเกษตรกรรม จัดสร้างสถานที่ราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น และตามระเบียบนี้ ต้องเป็นการด าเนินการโดยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐ หรือเอกชนที่ด าเนินการ โดยไม่หวังผลก าไร การอนุญาตให้ใช้ที่ดินเพื่อการศาสนาให้ใช้ได้ตามจ านวนเนื้อที่ไม่เกิน ๑๕ ไร่ ส าหรับการจัดตั้งศาสนสถานตามประเพณีนิยมแห่งท้องถิ่น เป็นอ านาจของเลขาธิการส านักงาน การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัด) ส่วนกรณีที่มีการขอใช้ที่ดินเกินกว่า ๑๕ ไร่ ส าหรับการใช้ประโยชน์ในกิจการของวัดหรือพระพุทธศาสนา เช่น สร้างเสนาสนะในเขตสังฆาวาส สร้างพุทธอุทยาน เป็นต้น เป็นอ านาจของคณะกรรมการ ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กรณีการขออนุญาตใช้ หากผู้ขอไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล อาทิ ที่พักสงฆ์ ให้ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นผู้ยื่นค าขอแทน แต่หากเป็นวัดที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลแล้ว สามารถยื่นค าขอได้หรืออาจมอบหมายให้ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นผู้ยื่นค าขอแทน ก็ได้ เพื่อความสะดวกในการติดต่อประสานงาน นอกจากนี้ ในการประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งที่ ๓๐/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ (มติที่ ๖๒๒/๒๕๖๑ เรื่อง แนวทางการพิจารณาการขอใช้ที่ดินของวัด หรือส านักสงฆ์ในเขตปฏิรูปที่ดิน) เลขาธิการมหาเถรสมาคมเสนอว่า ส านักงานการปฏิรูปที่ดิน เพื่อเกษตรกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ กษ ๑๒๐๔/๔๐๑๐ ลงวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ แจ้งว่า ส านักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้รับค าขอ อนุญาตใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินจากวัดหรือส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเพื่อการสร้างวัด ศูนย์ปฏิบัติธรรม การก่อสร้างเจดีย์ขนาดใหญ่การปลูกป่า การพัฒนาแหล่งน้ า โดยอาศัยอ านาจ ตามระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ว่าด้วยการมอบหมายให้เลขาธิการ ส านักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพิจารณาอนุญาตการใช้ที่ดินเพื่อกิจการสาธารณูปโภค และกิจการอื่น ๆในเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. ๒๕๓๖ ในการพิจารณาการขอใช้ที่ดิน ดังเช่นที่เกิดขึ้น กับกรณีวัดสวนป่าริมธารวัดไตรสิกขาราม และวัดภูริทัตตถิราวาสซึ่งเป็นการขอใช้เนื้อที่จ านวนมาก เนื่องจากพื้นที่ที่วัดขออนุญาตใช้นั้น เดิมเคยเป็นที่ดินแปลงเกษตรกรรมที่ได้รับการจัดที่ดิน จากส านักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมซึ่งส่งผลให้การเสนอเรื่องเกิดปัญหาในการพิจารณา อนุญาต คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจึงได้มีมติในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๑
๔๗ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ให้ส านักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจัดท าร่างระเบียบ และแนวทางปฏิบัติในการพิจารณาอนุญาตให้วัดใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน โดยหารือกับ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราชก่อนที่จะน าเสนอคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พิจารณา และเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๑ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายวิวัฒน์ศัลยก าธร) ประธานคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เลขาธิการส านักงาน การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และคณะ ได้เข้าเฝ้าทูลถวายสักการะสมเด็จพระสังฆราช และกราบทูลเกี่ยวกับแนวทางการพิจารณาการใช้ที่ดินของวัดหรือส านักสงฆ์ในเขตปฏิรูปที่ดิน กรณีเนื้อที่เกินกว่า ๑๕ ไร่ โดยสรุปว่า ให้แบ่งที่ดินออกเป็น ๒ ส่วน คือ ๑) ส่วนที่ ๑ เขตสังฆาวาสเขตพุทธาวาสให้ใช้เนื้อที่ตามเหตุผลและความจ าเป็น แต่ทั้งนี้ไม่เกินจ านวน ๑๐๐ ไร่ ๒) ส่วนที่ ๒ พุทธอุทยาน หรือโครงการตามแผนงานโครงการของผู้ขออนุญาต ให้ส านักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม วัด ชุมชน ดูแลการบริหารจัดการร่วมกันตามเหตุผล และความจ าเป็น ให้มีการจัดท าผังหรือรูปแผนที่ที่ก าหนดขอบเขตอย่างชัดเจน และระบุด้วยว่า ใช้ประโยชน์อย่างไร กรณีมีการปลูกป่าต้องระบุว่าเป็นป่าไม้ประเภทหวงห้ามตามกฎหมายป่าไม้ ให้ชัดเจน แต่ทั้งนี้ไม่เกินจ านวน ๑,๐๐๐ ไร่ โดยให้ส านักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ด าเนินการตามขั้นตอนปกติและการน าเรื่องเสนอมหาเถรสมาคมพิจารณาควรเป็นเฉพาะกรณี ที่มีความส าคัญและจ าเป็น หรือกรณีขอใช้ประโยชน์ในที่ดินเกินกว่าที่ก าหนด ในการนี้ส านักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้จัดส่งแนวทาง การพิจารณาการใช้ที่ดินของวัดหรือส านักสงฆ์ในเขตปฏิรูปที่ดิน กรณีเนื้อที่เกินกว่า ๑๕ ไร่ เพื่อให้ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติน าเสนอมหาเถรสมาคมเพื่อโปรดทราบ และพิจารณา ก าหนดเป็นแนวทางปฏิบัติส าหรับวัดหรือส านักสงฆ์ต่อไป และเห็นชอบให้ส านักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติรวบรวมเรื่องเสนอมหาเถรสมาคมเป็นกรณีๆ ไป ในกรณีที่ขอใช้ ประโยชน์ในที่ดินเกินกว่าที่ก าหนด
๔๘ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๓.๔ การขอใช้ที่ราชพัสดุ เพื่อสร้างวัด ตั้งวัด หรือการศาสนา คณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับ การขอใช้พื้นที่ราชพัสดุหรือของทางราชการ เพื่อสร้างวัด ตั้งวัด หรือการศาสนา หลายกรณี ซึ่งคณะกรรมาธิการพิจารณาศึกษาแล้วพบว่า มีวัดบางแห่งได้สร้างอุโบสถ เสนาสนะในเขต ที่ราชพัสดุ และมีส านักสงฆ์ที่พักสงฆ์บางแห่งสร้างในเขตที่ราชพัสดุหรือในเขตที่ดินที่ส่วนราชการ ต่าง ๆ เป็นผู้ครอบครองใช้ประโยชน์อยู่ เช่น ที่ราชพัสดุที่อยู่ในการครอบครองและใช้ประโยชน์ ของกรมราชทัณฑ์ กรมชลประทาน หรือเขตทหาร เป็นต้น ทั้งนี้การขออนุญาตสร้างวัดและตั้งวัด ในที่ราชพัสดุหรือของทางราชการเช่นนี้จะยังไม่สามารถด าเนินการสร้างวัดตั้งวัดได้ เนื่องจาก ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินจากกรมธนารักษ์หรือส่วนราชการที่ดูแลรักษาที่ดินเหล่านั้น ถึงแม้ว่า วัด ส านักสงฆ์หรือที่พักสงฆ์จะมีการก่อสร้างถาวรวัตถุเสนาสนะอย่างครบถ้วนแล้วก็ตาม ก็ยังไม่สามารถด าเนินการขอสร้างวัด ตั้งวัดให้ถูกต้องตามพระราชบัญญัติของคณะสงฆ์ได้ เพราะที่ดินของวัด ส านักสงฆ์ หรือที่พักสงฆ์ที่ตั้งอยู่นั้นยังไม่ได้รับการอนุญาตให้ถูกต้อง ตามกฎระเบียบและกฎหมาย ดังนั้น การสร้างวัดและตั้งวัดในที่ราชพัสดุหรือทางราชการ จึงจะต้องด าเนินการขออนุญาตใช้ที่ดินจากทางราชการที่มีหน้าที่ดูแลรักษาที่ดินนั้น ๆ เสียก่อน เมื่อได้รับหนังสืออนุญาตให้สร้างวัดในที่ราชพัสดุหรือที่ของทางราชการแล้วจึงจะสามารถ ด าเนินการขออนุญาตสร้างวัดตั้งวัดต่อไปได้ ซึ่งการขออนุญาตใช้ที่ราชพัสดุเพื่อสร้างวัดและตั้งวัด จะต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวงการใช้ที่ราชพัสดุพ.ศ. ๒๕๖๓ ซึ่งออกโดยอาศัยอ านาจตามความ ในมาตรา ๕ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๑๙ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๖๒ กล่าวโดยสรุป มีขั้นตอนในการด าเนินการ เอกสารประกอบการขอใช้ที่ราชพัสดุเพื่อสร้างวัด และตั้งวัด ดังต่อไปนี้ ขั้นตอนในการด าเนินงาน ๑) ให้ผู้ยื่นขอใช้ที่ดินของทางราชการเพื่อสร้างวัด เสนอรายงานขอใช้ที่ดิน ของทางราชการเพื่อสร้างวัดให้กับเจ้าหน้าที่ปกครองบ้านเมืองและผู้ปกครองสงฆ์ให้ความเห็น และลงนาม ๒) ส านักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของค าขอ แล้วเสนอให้หน่วยงานราชการเจ้าของพื้นที่พิจารณาด าเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๓) ส านักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด ท าบันทึกข้อตกลงและรับหนังสืออนุญาต ให้ใช้ที่ดินจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมแจ้งให้ผู้ยื่นรายงานท าบันทึกข้อตกลงและให้ด าเนินการ ขออนุญาตสร้างวัด ตั้งวัดต่อไป เอกสารแบบรายงานและเอกสารหลักฐานประกอบ มีดังนี้ ๑) แบบรายงานขอใช้ที่ดินของทางราชการเพื่อสร้างวัด ๒) โครงการประกอบรายงานขอใช้ที่ดินของทางราชการเพื่อสร้างวัด ๓) ส าเนาบัตรประจ าตัวประชาชนและส าเนาทะเบียนบ้านของผู้ยื่นรายงาน ขอใช้ที่ดินของทางราชการเพื่อสร้างวัดและตั้งวัด โดยเจ้าของบัตรเซ็นรับรองส าเนาให้เรียบร้อย
๔๙ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๔) แผนที่ระวางของที่ดินของทางราชการแปลงที่ขอใช้เพื่อสร้างวัด ซึ่งแสดง บริเวณพื้นที่ที่ขออนุญาตใช้สร้างวัดและพื้นที่ข้างเคียงที่ติดต่อกับพื้นที่ที่ขอใช้สร้างวัดนั้น ๕) แผนที่สังเขปของที่ดินของทางราชการ พร้อมทั้งแสดงขอบเขตที่ดินที่ขอใช้ สร้างวัดและแผนผังแสดงรูปที่ดินที่ขออนุญาตใช้สร้างวัดโดยมีมาตราส่วนก ากับ แสดงจุดที่ตั้ง อาคารเสนาสนะที่ได้สร้างไปแล้วเป็นบางส่วนและจุดที่ตั้งอาคารเสนาสนะที่จะสร้างขึ้นในอนาคต บอกระยะความยาวในแต่ละด้าน ๖) แผนที่แสดงที่ตั้งของที่ดินของทางราชการที่ขออนุญาตใช้เพื่อสร้างวัด โดยระบุชื่อบ้าน ชื่อวัด สถานที่ส าคัญที่อยู่ข้างเคียง พร้อมให้บอกเส้นทางคมนาคมโดยระบุระยะทาง ก ากับให้ด้วย ๗) รูปถ่ายอาคารเสนาสนะที่สร้างแล้วเป็นบางส่วน ๘) รายชื่อของประชาชนพร้อมลายมือชื่อ ๙) ถ้าที่ดินของราชพัสดุแปลงที่ขอใช้เพื่อสร้างวัดและตั้งวัดนั้นเคยมีหน่วยงานรัฐ หรือเอกชนอื่นใช้ประโยชน์มาก่อน แต่ตอนหลังไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้วต้องแนบหนังสือส่งคืนที่ดิน แปลงนั้นที่หน่วยงานรัฐหรือเอกชนได้ท าเรื่องส่งคืน เพื่อเป็นหลักฐานประกอบแบบรายงานขอใช้ ที่ดินราชพัสดุหรือของทางราชการเพื่อสร้างวัดและตั้งวัดด้วย เงื่อนไขในการขออนุญาตใช้ที่ดินของทางราชการเพื่อสร้างวัด มีดังนี้ ๑) ผู้ยื่นรายงานขออนุญาตใช้ที่ดินเพื่อสร้างวัดต้องเป็นฆราวาส และเป็นผู้น า หรือเป็นที่เคารพนับถือยกย่องของประชาชนในพื้นที่ ๒) ที่ดินที่ขออนุญาตใช้เพื่อสร้างวัด ตั้งวัดต้องมีเนื้อที่ไม่น้อยกว่า ๖ ไร่ขึ้นไป เหมาะสมแก่การเป็นที่อยู่ของสมณะเพศ ๓) วัดที่จะขออนุญาตสร้างต้องตั้งอยู่ห่างจากวัดอื่นไม่น้อยกว่า ๒ กิโลเมตร ยกเว้นมีเหตุผลความจ าเป็น ๔) ต้องมีประชากรที่จะท านุบ ารุงวัดที่จะขอสร้างไม่น้อยกว่า ๑,๐๐๐ คน ยกเว้นมีเหตุผลความจ าเป็น ๕) ได้รับความเห็นชอบจากผู้ปกครองทั้งสองฝ่าย คือ ผู้ปกครองฝ่ายสงฆ์ และฝ่ายบ้านเมือง ตามล าดับ ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการได้มีการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณา หาแนวทางแก้ไขปัญหาให้แก่วัด ส านักสงฆ์และที่พักสงฆ์ที่สร้างอยู่ในที่ราชพัสดุดังนี้ ๑) ที่พักสงฆ์เขาเขื่อนลั่น ต าบลคลองไผ่ อ าเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ที่พักสงฆ์เขาเขื่อนลั่นสร้างอยู่ในที่ราชพัสดุซึ่งกรมราชทัณฑ์ขออนุญาตใช้ จากกรมธนารักษ์การสร้างที่พักสงฆ์เขาเขื่อนลั่นในพื้นที่ดังกล่าวมีการสร้างเสนาสนะครบถ้วน ด้วยหัวหน้าที่พักสงฆ์และประชาชนในพื้นที่ประสงค์ขอตั้งเป็นวัดให้ถูกต้องตามกฎหมาย จึงได้ ร้องเรียนมายังคณะกรรมาธิการเพื่อขอให้พิจารณาหาแนวทางแก้ไขปัญหา ซึ่งคณะกรรมาธิการ พิจารณาแล้วเห็นว่า ที่พักสงฆ์เขาเขื่อนลั่นมีสิ่งก่อสร้างเสนาสนะครบถ้วนแล้วและการจะขออนุญาต
๕๐ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ตั้งเป็นวัดได้ก็จะต้องได้รับอนุญาตพื้นที่บริเวณดังกล่าวให้ถูกต้องก่อน ดังนั้น จึงได้มีข้อเสนอแนะ ขอให้กรมราชทัณฑ์พิจารณาส่งคืนที่ดินราชพัสดุบริเวณที่พักสงฆ์เขาเขื่อนลั่นตั้งอยู่ จากนั้น ให้ที่พักสงฆ์เขาเขื่อนลั่นโดยส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติยื่นขออนุญาตใช้พื้นที่ดังกล่าว เมื่อได้รับการอนุญาตให้ใช้ที่ดินแล้ว จึงจะสามารถยื่นขออนุญาตสร้างวัดและตั้งวัดตามระเบียบ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องได้ต่อไป ๒) วัดเขาน้อยคงคาราม ต าบลหนองสาหร่าย อ าเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา วัดเขาน้อยคงคารามมีสถานะเป็นวัดตามกฎหมายแล้ว แต่เนื่องจาก ได้มีการก่อสร้างโบสถ์และฌาปนสถานในที่ราชพัสดุซึ่งอยู่ในการครอบครองและใช้ประโยชน์ ของกรมชลประทาน คณะกรรมาธิการพิจารณาแล้วได้มีข้อเสนอแนะว่า ขอให้กรมชลประทาน พิจารณาส่งคืนที่ราชพัสดุบริเวณที่วัดสร้างโบสถ์และฌาปนสถาน จากนั้น ให้วัดเขาน้อยคงคาราม โดยส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติยื่นขอใช้พื้นที่ดังกล่าว เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว จึงจะสามารถ สร้างโบสถ์และขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมาได้ ทั้งนี้ การขอใช้ที่ราชพัสดุสร้างโบสถ์เป็นไป เพื่อประโยชน์ของคณะสงฆ์ในการประกอบสังฆกรรม และการสร้างฌาปนสถานเพื่อประชาชน โดยรอบวัดจะได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน นอกจากนี้ ยังเป็นประโยชน์ในด้านการเผยแผ่ธรรม พัฒนาจิตใจ และสงเคราะห์ประชาชนในพื้นที่อีกด้วย ๓) วัดซอยคีรี ต าบลห้วยโป่ง อ าเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง วัดซอยคีรีขอใช้ที่ราชพัสดุเพื่อสร้างอุโบสถ์โดยคณะกรรมาธิการพิจารณาแล้ว ได้มีข้อเสนอแนะว่าขอให้ส านักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ ๙ (ชลบุรี)ผู้ขอใช้ประโยชน์เดิมส่งคืนพื้นที่ แก่กรมธนารักษ์ จากนั้น วัดซอยคีรีโดยส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติยื่นขออนุญาตใช้พื้นที่ ดังกล่าวจากกรมธนารักษ์ เมื่อได้รับอนุญาตใช้พื้นที่แล้ว วัดซอยคีรีจึงจะสามารถสร้างโบสถ์ และด าเนินการขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมาได้ต่อไป
๕๑ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๔) ที่พักสงฆ์บ้านวังตวง ต าบลบ้านแปะ อ าเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ที่พักสงฆ์บ้านวังตวงสร้างอยู่ในที่ราชพัสดุซึ่งเป็นบริเวณโรงเรียนเก่า ที่ยุบเลิกไปแล้ว ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของกรมธนารักษ์ ที่พักสงฆ์มีความประสงค์จะขออนุญาต สร้างวัดและตั้งวัดในพื้นที่ดังกล่าว คณะกรรมาธิการพิจารณาแล้วมีข้อเสนอแนะว่าขอให้ส านักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจังหวัดเชียงใหม่ เขต ๖ ส่งคืนพื้นที่ดังกล่าวให้แก่กรมธนารักษ์ หลังจากนั้น ให้ที่พักสงฆ์บ้านวังตวง โดยส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติยื่นขออนุญาตใช้พื้นที่ ดังกล่าวจากกรมธนารักษ์เพื่อสร้างวัดและตั้งวัด เมื่อได้รับอนุญาตให้ใช้พื้นที่แล้ว จึงจะสามารถ ขออนุญาตสร้างวัดและตั้งวัดได้ต่อไป ๕) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์เชียงราย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์เชียงราย ตั้งอยู่ ในที่ราชพัสดุ (อาคารศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังเก่า (ดอยจ าปี)) ซึ่งมีส่วนราชการ ครอบครองและดูแลรักษาอยู่ วิทยาลัยสงฆ์เชียงรายประสงค์จะของบประมาณเพื่อเป็นค่าเช่า ให้แก่ส่วนราชการที่ดูแลรักษาพื้นที่อยู่ แต่ไม่ได้รับความเห็นชอบจากส านักงบประมาณ จึงเสนอ เรื่องให้คณะกรรมาธิการช่วยเหลือ ซึ่งคณะกรรมาธิการติดต่อประสานงานส านักงานธนารักษ์ พื้นที่เชียงราย เพื่อขอความอนุเคราะห์อนุญาตให้มหาวิทยาลัยสงฆ์เชียงรายได้ใช้ประโยชน์ใน พื้นที่ดังกล่าวโดยไม่ต้องเสียค่าเช่า ๖) วัดเชตะวัน ต าบลไทรโยค อ าเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี คณะสงฆ์จีนนิกายได้ยื่นขอใช้ที่ราชพัสดุเพื่อสร้างวัดเชตะวันไว้แล้ว ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๘ แต่ที่ดินแปลงดังกล่าวอยู่ในการดูแลและใช้ประโยชน์ของกองพลทหารราบที่ ๙ กระทรวงกลาโหม ดังนั้น ก่อนที่กรมธนารักษ์จะสามารถพิจารณาเรื่องการอนุญาตใช้ที่ดินแปลง ดังกล่าวเพื่อสร้างวัดเชตะวันได้นั้น กระทรวงกลาโหมจะต้องมีความเห็นเกี่ยวกับการเลิกการใช้ ประโยชน์และด าเนินการส่งคืนที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่กรมธนารักษ์เสียก่อน
๕๒ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๗) วัดโชติกุนสุวรรณาราม (วัดหมูบุ่น) อ าเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ วัดโชติกุนสุวรรณารามประสงค์ขอใช้ที่ราชพัสดุในท้องที่อ าเภอเมือง เชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อสร้างวัดและตั้งวัด โดยอยู่ระหว่างการรังวัดและจัดท าแผนผังรูป ที่ดิน เพื่อประกอบการขออนุญาตใช้ที่ราชพัสดุกับส านักงานธนารักษ์พื้นที่เชียงใหม่ ๘) ที่พักสงฆ์บ้านนา ต าบลปากหมาก อ าเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่พักสงฆ์บ้านนาประสงค์ขอใช้ที่ราชพัสดุแปลงเลขที่ สฎ. ๔๕๑ ในท้องที่ อ าเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานีเพื่อสร้างวัดและตั้งวัด โดยอยู่ในระหว่างการด าเนินการของ ส านักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสุราษฎร์ธานีเพื่อยื่นขออนุญาตใช้ที่ราชพัสดุดังกล่าวต่อ ส านักงานธนารักษ์พื้นที่สุราษฎร์ธานี
๕๓ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๓.๕ ปัญหาการสร้างวัดและตั้งวัด ปัญหาการยกวัดร้างเป็นวัดมีพระภิกษุ อยู่จ าพรรษา และปัญหาการขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมา ๑) ปัญหาการสร้างวัดและตั้งวัด จากการด าเนินงานที่ผ่านมาของคณะกรรมาธิการพบว่าปัญหาเกี่ยวกับ การสร้างวัดและตั้งวัด ส่วนใหญ่เกิดจากการที่ผู้ประสงค์จะสร้างวัดไม่มีหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ ในที่ดิน ตามที่ระบุไว้ในกฎกระทรวง การสร้าง การตั้ง การรวม การย้าย และการยุบเลิกวัด การขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมาและการยกวัดร้างขึ้นเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จ าพรรษา พ.ศ. ๒๕๕๙ ข้อ ๖ (๑) ได้แก่ หนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ (โฉนดที่ดิน) หรือสิทธิครอบครองที่ดิน ส าหรับกรณี ที่จะสร้างวัดในที่ดินของเอกชน หรือหนังสืออนุญาตให้ใช้ที่ดินเพื่อสร้างวัดจากส่วนราชการ หรือหน่วยงานของรัฐ ส าหรับกรณีที่จะสร้างวัดในที่ดินของรัฐ โดยมีการกล่าวถึงการด าเนินการ เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการสร้างวัดในที่ดินของรัฐของคณะกรรมาธิการไว้แล้วในหัวข้อ ๓.๑ (ที่ป่า) หัวข้อ ๓.๒ (ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน) หัวข้อ ๓.๓ (ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม) และหัวข้อ ๓.๔ (ที่ราชพัสดุ) นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการยังได้รับการเสนอเรื่องหรือข้อร้องเรียน ให้ช่วยพิจารณาติดตามความคืบหน้าการขอสร้างวัดและตั้งวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศโดยมีความคืบหน้า ที่ส าคัญ ดังนี้ ๑.๑) วัดหนองโลคณาราม ต าบลลิ้นฟ้า อ าเภอจตุรพักตรพิมาน จังหวัด ร้อยเอ็ด กรณีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาการสร้างและตั้งวัดของส านักงาน พระพุทธศาสนาจังหวัดร้อยเอ็ด ๑.๒) วัดป่าหนองยาง อ าเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ส านักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดอุดรธานีได้แจ้งว่าด าเนินการ ขอตั้งวัดต่อส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเรียบร้อยแล้ว ๑.๓) ส านักสงฆ์สมเด็จพระธีรญาณมุนี อ าเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม กรณีนี้มีผู้ถวายที่ดินแด่สมเด็จพระธีรญาณมุนีเพื่อสร้างส านักสงฆ์ สมเด็จพระธีรญาณมุนี (ศรีวิไล) ต่อมาพระคุณเจ้ามรณภาพโดยยังไม่ได้จดทะเบียนโอนที่ดิน ดังกล่าวให้แก่ส านักสงฆ์ เนื่องจากยังด าเนินการตั้งวัดไม่แล้วเสร็จ ต่อมาเมื่อสร้างวัดเรียบร้อยแล้ว จึงยื่นเรื่องขอออกโฉนดที่ดินเพื่อตั้งวัด ในกรณีนี้ คณะกรรมาธิการได้มีการพิจารณาตรวจสอบ ข้อเท็จจริงและได้ข้อมูลว่า ผู้บริจาคที่ดินยังมีชีวิตอยู่ จึงขอให้มีการรวบรวมข้อมูลเสนอผู้ว่าราชการ จังหวัดนครปฐม เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบการตั้งวัด ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาอนุญาต ตั้งวัดของเจ้าคณะใหญ่หนกลาง
๕๔ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๑.๔) วัดป่าวีรญาณมงคล ต าบลบ้านเพชร อ าเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ กรณีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เกี่ยวกับการเสนอขอตั้งวัด ๑.๕) ที่พักสงฆ์ดอยห้างบาตร อ าเภอบ้านธิ จังหวัดล าพูน กรณีนี้อยู่ระหว่างการหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความเป็นวัดและ แนวเขตที่ดินของวัดที่ครอบคลุมขึ้นไปถึงภูเขาซึ่งมีเจดีย์เก่าแก่สมัยพระนางจามเทวี ๑.๖) วัดป่านาอุดม ต าบลโอโล อ าเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ คณะกรรมาธิการได้ประสานส านักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด ชัยภูมิให้ด าเนินการออกเลขรหัสให้แก่วัดป่านาอุดมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ๒) ปัญหาการขอยกวัดร้างขึ้นเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จ าพรรษา กรณีที่มีความประสงค์จะขอให้ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พิจารณายกวัดร้างขึ้นเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จ าพรรษานั้น ต้องปฏิบัติให้เป็นตามหลักเกณฑ์ และวิธีการตามกฎกระทรวง การสร้าง การตั้ง การรวม การย้าย และการยุบเลิกวัด การขอรับ พระราชทานวิสุงคามสีมา และการยกวัดร้างขึ้นเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จ าพรรษา พ.ศ. ๒๕๕๙ ข้อ ๒๒ – ข้อ ๒๕ โดยมีสาระส าคัญ ดังนี้ “ข้อ ๒๒ การยกวัดร้างขึ้นเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จ าพรรษาให้กระท าได้ ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากมหาเถรสมาคมแล้ว ข้อ ๒๓ การยกวัดร้างขึ้นเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จ าพรรษา ให้เป็นไป ตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
๕๕ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ (๑) วัดร้างนั้นได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์จนมีเสนาสนะเป็นหลักฐาน มั่นคง และอยู่ในสภาพที่สมควรพร้อมที่จะเป็นที่พ านักและจ าพรรษาของพระภิกษุสงฆ์และ การประกอบศาสนกิจ (๒) มีประชาชนในท้องถิ่นจ านวนมากพอที่จะท านุบ ารุงส่งเสริมให้วัด เจริญได้ (๓) วัดร้างนั้นอยู่ห่างจากวัดอื่นที่มีพระภิกษุอยู่จ าพรรษาไม่น้อยกว่า สองกิโลเมตร เว้นแต่จะมีเหตุอันสมควร (๔) มีที่ดินที่จะใช้ขยายให้วัดเจริญได้ไม่น้อยกว่าหกไร่ เว้นแต่จะมี เหตุจ าเป็น (๕) มีหลักฐานแสดงว่าผู้บูรณปฏิสังขรณ์วัดร้างนั้นได้จัดให้มีพระภิกษุ มาพ านักอยู่ และจ าพรรษาในวัดได้ไม่น้อยกว่าสี่รูป ข้อ ๒๔ ผู้ใดมีความประสงค์ที่จะบูรณปฏิสังขรณ์วัดร้างแห่งใด ให้เป็นวัดที่พระภิกษุอยู่จ าพรรษาได้ ให้ยื่นค าขอเป็นหนังสือไปยังผู้อ านวยการส านักงาน พระพุทธศาสนาจังหวัดในจังหวัดที่วัดร้างนั้นตั้งอยู่ ว่าตนมีศรัทธาที่จะบูรณปฏิสังขรณ์วัดร้างนั้น โดยแสดงหลักฐานว่าตนมีทรัพย์สินเพียงพอที่จะด าเนินการบูรณปฏิสังขรณ์วัดร้างนั้น พร้อมด้วย รายละเอียด ดังต่อไปนี้ (๑) ที่ตั้งของวัด (๒) เนื้อที่ และแผนที่แสดงเขตที่ดินของวัด (๓) ถาวรวัตถุและปูชนียสถาน (ถ้ามี) พร้อมทั้งแผนผัง (๔) จ านวนพระภิกษุที่จะจัดให้พ านักอยู่และจ าพรรษาในวัดได้ ไม่น้อยกว่าสี่รูป (๕) จ านวนประชาชนในท้องถิ่นที่จะใช้วัดประกอบศาสนกิจ ในกรณีที่ไม่ปรากฏข้อมูลวัดร้างนั้นในทะเบียนวัด ให้ผู้ยื่นค าขอ บูรณปฏิสังขรณ์วัดร้างแนบหลักฐานเกี่ยวกับวัดร้างนั้นพร้อมกับค าขอ ให้น าหลักเกณฑ์ตามข้อ ๒๓ (๓) และ (๔) มาใช้บังคับแก่วัดร้างที่จะ ขอบูรณปฏิสังขรณ์ด้วยโดยอนุโลม ข้อ ๒๕ เมื่อผู้อ านวยการส านักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดได้รับค าขอ ตามข้อ ๒๔ ให้ตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของค าขอและหลักฐาน แล้วขอความเห็นจาก เจ้าคณะต าบล เจ้าคณะอ าเภอ นายอ าเภอ และเจ้าคณะจังหวัด ที่เกี่ยวข้อง แล้วเสนอค าขอ พร้อมความเห็นต่อผู้ว่าราชการจังหวัด ในกรณีที่ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาเห็นสมควรให้บูรณปฏิสังขรณ์ วัดร้างได้ให้เสนอค าขอพร้อมความเห็นไปยังเจ้าคณะภาค เจ้าคณะใหญ่ ที่เกี่ยวข้อง และ ผู้อ านวยการส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อพิจารณาตามล าดับ
๕๖ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ เมื่อเจ้าคณะภาค เจ้าคณะใหญ่ และผู้อ านวยการส านักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติเห็นสมควรให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดร้างได้ ให้ผู้อ านวยการส านักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอค าขอบูรณปฏิสังขรณ์วัดร้างต่อมหาเถรสมาคมเพื่อพิจารณา เมื่อมหาเถรสมาคมพิจารณาเห็นชอบแล้ว ให้ผู้อ านวยการส านักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติแจ้งให้ผู้ยื่นค าขอทราบเป็นหนังสือ” ทั้งนี้ ในการดูแลรักษาและจัดการทรัพย์สินของวัดร้างนั้น กฎหมาย ก าหนดให้ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นผู้มีหน้าที่ โดยสามารถน าที่ธรณีสงฆ์และ ทรัพย์สินของวัดร้างไปจัดประโยชน์ให้เอกชนเป็นผู้เช่าเพื่อกิจการต่าง ๆ ได้ เช่น ปลูกบ้าน อยู่อาศัย ท านา ท าสวน หรือประกอบการพาณิชย์ แล้วแต่สภาพท าเลของที่ตั้งที่ดินของวัดร้าง ในการก าหนดระยะเวลาในการเช่าอาจจะเป็นการเช่ารายปี หรือเช่านานปี (เกินกว่า ๓ ปี) ก็ได้ โดยต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กฎระเบียบ ค าสั่ง มติมหาเถรสมาคม หรือมติต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง คณะกรรมาธิการได้มีการพิจารณาศึกษากรณีการขอยกวัดร้างขึ้นเป็นวัด มีพระภิกษุอยู่จ าพรรษา ดังนี้ ๒.๑) วัดกระทาโหง (ร้าง) อ าเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี คณะกรรมาธิการได้รับการร้องเรียนจากผู้มีจิตศรัทธาประสงค์ที่จะ บูรณปฏิสังขรณ์วัดกระทาโหง (ร้าง) ให้เป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จ าพรรษา จากการพิจารณาศึกษา พบว่าพื้นที่ของวัดกระทาโหง (ร้าง) ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยส านักงานพระพุทธศาสนา จังหวัดนนทบุรีได้น าที่ดินวัดกระทาโหง (ร้าง) ให้เอกชนเช่ามีเนื้อที่ดินประมาณ ๙ ไร่ ๓ งาน ๙ ตารางวา ดังนั้น ที่ดินวัดกระทาโหง (ร้าง) จึงอยู่ระหว่างการเช่าของเอกชนในอัตราค่าเช่า ปีละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท โดยมีวัตถุประสงค์การเช่าเพื่ออยู่อาศัยและท าสวน ซึ่งการจะขอยกวัดร้าง
๕๗ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ขึ้นเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จ าพรรษาได้นั้น ประการส าคัญที่ดินของวัดร้างนั้นต้องปลอดภาระ จึงจะขอยกขึ้นเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จ าพรรษาได้ซึ่งกรณีการขอยกวัดกระทาโหง (ร้าง) ยังติด ภาระสัญญาเช่าท าให้ยังไม่สามารถยื่นขอยกขึ้นเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จ าพรรษาได้ ๒.๒) วัดทุ่งโป่ง (ร้าง) และวัดโป่งเกลือใต้ (ร้าง) ต าบลดอยลาน อ าเภอ เมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย วัดทุ่งโป่ง (ร้าง) ตั้งอยู่ที่บ้านโละป่าตุ้ม หมู่ที่ ๗ ต าบลดอยลาน ส่วนวัดโป่งเกลือใต้ (ร้าง) ตั้งอยู่ที่บ้านโป่งเกลือใต้ หมู่ที่ ๑๘ ต าบลดอยลาน วัดร้างทั้งสองแห่ง ผู้น าท้องที่และประชาชนในพื้นที่มีความประสงค์จะขอยกวัดร้างขึ้นเป็นวัดมีพระภิกษุ อยู่จ าพรรษา ๒.๓) วัดจ าลอง(ร้าง) และวัดร้างพันตน (ร้าง) อ าเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ วัดจ าลอง (ร้าง) ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลแม่วาง เป็นเขตชุมชน ของชาวไทใหญ่ การก่อสร้างวัดหรือสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ มีศิลปะแบบไทใหญ่ มีการสืบสาน ประเพณีวัฒนธรรมและกิจกรรมทางด้านศาสนามาตลอด ซึ่งในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ได้มีการก่อสร้าง อุโบสถแบบศิลปะไทใหญ่ ปัจจุบันมีความช ารุดทรุดโทรม ดังนั้น ประชาชนในพื้นที่ประสงค์ ขอยกวัดจ าลอง (ร้าง) เป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จ าพรรษา และประสงค์ขอให้ส่วนราชการสนับสนุน งบประมาณในการบูรณซ่อมแซมให้สามารถใช้ในกิจของคณะสงฆ์และรักษาศิลปวัตถุแบบไทใหญ่ เพื่อเป็นศูนย์เรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมของชุมชนสืบต่อไป วัดร้างพันตน (ร้าง) ตั้งอยู่ในเขตองค์การบริหารส่วนต าบลบ้านกาด ได้มีการออกโฉนดที่ดินวัดและยื่นเรื่องขอยกเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จ าพรรษา แต่มีประเด็นปัญหา ข้อพิพาทกับประชาชนซึ่งกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์ในที่ดินว่าเป็นของตน จึงท าให้ยังไม่สามารถเข้าไป ด าเนินการจัดประโยชน์และยกเป็นวัดมีพระภิกษุจ าพรรษาได้ ทั้งนี้ วัดร้างพันตน (ร้าง) ได้มีการ ออกโฉนดที่ดินแล้วโดยจัดเก็บไว้ที่ส านักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่คณะกรรมาธิการ ได้มีข้อเสนอแนะขอให้ส านักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่ ควรเจรจากับประชาชน ในพื้นที่เพื่อให้เข้าใจถึงสิทธิของวัดตามเอกสารโฉนดที่ดิน เพราะหากนิ่งเฉยราษฎรก็จะไม่มา ท าสัญญาเช่า แต่ทั้งนี้จะต้องให้ราษฎรอยู่อาศัยและเช่าในราคาที่เหมาะสมด้วย ๒.๔) วัดดอนน้อย (ร้าง) ต าบลน้ าโมง อ าเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ประชาชนในพื้นที่มีความประสงค์ขออนุญาตปฏิสังขรณ์และขอยก วัดดอนน้อย (ร้าง) เป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จ าพรรษา คณะกรรมาธิการพิจารณาแล้วได้เสนอเรื่อง ดังกล่าวต่อส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเพื่อพิจารณาด าเนินการต่อไป ๒.๕) วัดสิงหล (ร้าง) ต าบลทะเลชุบศร อ าเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี ประชาชนในพื้นที่ผู้มีจิตศรัทธามีความประสงค์ขอยกวัดสิงหล (ร้าง) เป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จ าพรรษา แต่เนื่องจากวัดสิงหล (ร้าง) ยังไม่มีโฉนดที่ดิน จึงไม่สามารถ ขอยกขึ้นเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จ าพรรษาได้ เรื่องดังกล่าวนี้อยู่ระหว่างการขอออกโฉนดที่ดิน เมื่อวัดได้โฉนดที่ดินแล้วจึงจะขอยกวัดร้างขึ้นเป็นวัดที่มีพระภิกษุอยู่จ าพรรษาได้ต่อไป
๕๘ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๒.๖) วัดดอยตุ๊โก๋ (ร้าง) และวัดห้วยพระเจ้า (ร้าง) ต าบลน้ าบ่อหลวง อ าเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ ประชาชนในพื้นที่ประสงค์ขอยกวัดร้างทั้งสองแห่งเป็นวัดมีพระภิกษุ อยู่จ าพรรษาที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่เนื่องจากวัดร้างทั้งสองแห่งยังไม่มีโฉนดที่ดินเป็นของวัด อยู่ระหว่างขอออกโฉนดที่ดิน ทั้งนี้ เมื่อได้โฉนดที่ดินแล้วจึงจะสามารถขออนุญาตยกวัดร้าง ทั้งสองแห่งเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จ าพรรษาได้ต่อไป ๒.๗) วัดใหม่เจริญ (ร้าง) ต าบลป่าตึง อ าเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ประชาชนในพื้นที่ประสงค์ขอยกวัดใหม่เจริญ (ร้าง) ขึ้นเป็นวัด มีพระภิกษุอยู่จ าพรรษาที่ถูกต้องตามกฎหมาย เรื่องดังกล่าวนี้อยู่ระหว่างการยื่นขอออกโฉนด
๕๙ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ที่ดินเพื่อจะได้มีโฉนดที่ดินเป็นของวัดเพื่อใช้ประกอบการยื่นขออนุญาตยกวัดร้างขึ้นเป็นวัด มีพระภิกษุอยู่จ าพรรษาต่อไป ทั้งนี้ส านักงานที่ดินจังหวัดเชียงรายได้ออกไปรังวัดที่ดิน เพื่อออกรูปแปลงโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวแล้วพบว่า ที่ดินวัดใหม่เจริญ (ร้าง) บางส่วนทับซ้อน กับที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมและเขตป่าไม้ ดังนั้น จะต้องพิสูจน์กรรมสิทธิ์ในที่ดิน ต่อไป ๓) ปัญหาการขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมา ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์พ.ศ. ๒๕๐๕ บัญญัติว่า “วัด” มีสองอย่าง ได้แก่ (๑) วัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา และ (๒) ส านักสงฆ์โดยกรณีที่วัด (ส านักสงฆ์) มีความประสงค์จะขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมานั้น ต้องปฏิบัติให้เป็นตามหลักเกณฑ์และ วิธีการตามกฎกระทรวง การสร้าง การตั้ง การรวม การย้าย และการยุบเลิกวัด การขอรับ พระราชทานวิสุงคามสีมา และการยกวัดร้างขึ้นเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จ าพรรษา พ.ศ. ๒๕๕๙ หมวด ๖ การขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมา ข้อ ๒๐ – ข้อ ๒๑ โดยมีสาระส าคัญ ดังนี้ “ข้อ ๒๐ วัดใดได้สร้างขึ้นหรือได้ปฏิสังขรณ์จนเป็นหลักฐานถาวร และมีพระภิกษุพ านักอยู่ประจ าไม่น้อยกว่าห้ารูปติดต่อกันเป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปี หากประสงค์จะขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมา ให้เจ้าอาวาสแห่งวัดนั้นรายงานการขอรับ พระราชทานวิสุงคามสีมาไปยังผู้อ านวยการส านักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด เมื่อผู้อ านวยการส านักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดได้รับรายงาน การขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมาวรรคหนึ่ง ให้ขอความเห็นจากเจ้าคณะต าบล เจ้าคณะ อ าเภอ นายอ าเภอ และเจ้าคณะจังหวัดที่เกี่ยวข้อง แล้วเสนอรายงานพร้อมความเห็น ต่อผู้ว่าราชการจังหวัด ในกรณีที่ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาเห็นสมควรให้วัดใดขอรับ พระราชทานวิสุงคามสีมาให้เสนอรายงานการขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมาพร้อมความเห็น ไปยังเจ้าคณะภาค เจ้าคณะใหญ่ที่เกี่ยวข้อง และผู้อ านวยการส านักงานพระพุทธศาสนา แห่งชาติ เพื่อพิจารณาตามล าดับ เมื่อเจ้าคณะภาค เจ้าคณะใหญ่ และผู้อ านวยการส านักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติเห็นสมควรให้วัดใดขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมา ให้ผู้อ านวยการ ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอรายงานการขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมาพร้อม ความเห็นเพื่อกราบทูลสมเด็จพระสังฆราชเพื่อทรงอนุมัติ แล้วเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อน าความ กราบบังคมทูลขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมาต่อไป ระยะเวลาที่ก าหนดตามวรรคหนึ่ง มิให้ใช้บังคับแก่วัดที่สร้างอุโบสถ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้อ ๒๑ เมื่อพระราชทานวิสุงคามสีมาแก่วัดใดแล้ว ให้ผู้อ านวยการ ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติรายงานให้มหาเถรสมาคมทราบ แล้วแจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัด
๖๐ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ เจ้าคณะภาค และเจ้าคณะใหญ่ทราบและให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแจ้งการประกาศการได้รับ พระราชทานวิสุงคามสีมา ให้ผู้ขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมาและเจ้าคณะจังหวัดทราบ และให้ นายอ าเภอท้องที่ที่วัดนั้นตั้งอยู่ด าเนินการปักหมายเขตที่ดินตามที่ได้พระราชทาน” จากการด าเนินงานที่ผ่านมาของคณะกรรมาธิการพบว่ามีส านักสงฆ์ ที่ไม่สามารถขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมาได้ส าเร็จ ส่วนใหญ่เกิดจากสาเหตุส าคัญ ๒ ประการ คือ (๑) วัดไม่มีหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ตามที่ระบุไว้ในกฎกระทรวง การสร้าง การตั้ง การรวม การย้าย และการยุบเลิกวัด การขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมา และการยกวัดร้างขึ้นเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จ าพรรษา พ.ศ. ๒๕๕๙ ข้อ ๖ (๑) ได้แก่ หนังสือแสดง กรรมสิทธิ์(โฉนดที่ดิน) หรือสิทธิครอบครองที่ดิน หรือหนังสืออนุญาตให้ใช้ที่ดินเพื่อสร้างวัด จากส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ วิธีแก้ไขปัญหาในกรณีนี้ คือ วัดต้องด าเนินการยื่นเรื่อง ขอออกหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองที่ดินบริเวณที่สร้างวัด หรือยื่นเรื่อง ขออนุญาตให้ใช้ที่ดินเพื่อสร้างวัดจากส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่มีอ านาจหน้าที่ ในการดูแลรักษาที่ดินที่สร้างวัด ตามแต่กรณี (๒) วัดมีการสร้างอุโบสถอยู่นอกเหนือแนวเขตที่ดินที่วัดมีหนังสือแสดง กรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองที่ดิน หรือหนังสืออนุญาตให้ใช้ที่ดินเพื่อสร้างวัดจากส่วนราชการ หรือหน่วยงานของรัฐ เช่น กรณีวัดป่าราษฎร์ด าเนิน ต าบลหนองบัวแดง อ าเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิคณะกรรมาธิการได้พิจารณาศึกษาและตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๖๒ วัดป่าราษฎร์ด าเนินได้ขออนุญาตใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จ านวน ๑๕ ไร่ เพื่อขอสร้างวัดและตั้งวัดป่าราษฎร์ด าเนิน เมื่อได้รับการประกาศตั้งเป็นวัดแล้ว จึงด าเนินการ ก่อสร้างอุโบสถจนเมื่อใกล้จะแล้วเสร็จ จึงได้ยื่นเรื่องขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมา ต่อมามีการรังวัด แนวเขตที่ดินอุโบสถปรากฏว่า อุโบสถบางส่วนก่อสร้างอยู่นอกแนวเขตที่ดินที่ได้รับอนุญาตไว้ จึงท าให้ไม่สามารถขอพระราชทานวิสุงคามสีมาได้ในกรณีเช่นนี้ วิธีแก้ไขปัญหา เช่น การยื่น เรื่องขออนุญาตใช้ที่ดินเพิ่มเติม หรือขอแก้ไขปรับปรุงแนวเขตที่ดินที่เคยได้รับอนุญาต เป็นต้น
๖๑ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๓.๖ ปัญหาการจัดการศาสนสมบัติของวัด “ศาสนสมบัติ” ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๔๐ บัญญัติว่า ศาสนสมบัติออกเป็นสองประเภท คือ ๑) ศาสนสมบัติกลาง ได้แก่ ทรัพย์สินของพระศาสนาซึ่งมิใช่ของวัดใดวัดหนึ่ง ๒) ศาสนสมบัติของวัด ได้แก่ ทรัพย์สินของวัดใดวัดหนึ่ง การดูแลรักษาและการจัดการศาสนสมบัติกลาง ให้เป็นอ านาจหน้าที่ของ ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และเพื่อการนี้ให้ถือว่าส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นเจ้าของศาสนสมบัติกลางนั้นด้วย ส่วนการดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติของวัด ให้เป็นไปตามวิธีการที่ก าหนด ในกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๑๑) ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ จากการด าเนินงานที่ผ่านมาคณะกรรมาธิการได้รับการเสนอเรื่องหรือข้อร้องเรียน เพื่อขอความช่วยเหลือในการพิจารณาแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการจัดการศาสนสมบัติของวัดต่าง ๆ จ านวนมาก ซึ่งมีสภาพปัญหาที่แตกต่างหลากหลาย ทั้งกรณีปัญหาระหว่างวัดกับหน่วยงานของรัฐ และปัญหาระหว่างวัดกับเอกชน โดยส่วนใหญ่เป็นปัญหาเกี่ยวกับการขอพิสูจน์กรรมสิทธิ์ที่ดิน และการขอออกโฉนดที่ดินให้แก่วัดเพื่อจะได้น าไปใช้ประโยชน์ต่อไป เช่น การจัดประโยชน์ สร้างวัด ตั้งวัด ยกวัดร้างเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จ าพรรษา หรือขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมา เป็นต้น รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับการจัดประโยชน์ที่ดินของวัด และปัญหาอื่น ๆ เช่น ปัญหา การออกเลขรหัสวัด ปัญหาการขอแลกเปลี่ยนที่ดินของวัดกับที่ดินของเอกชนหรือรัฐ ปัญหาเกี่ยวกับการเวนคืนที่ดินของวัด เป็นต้น ในที่นี้ “ที่ดินของวัด” หมายถึง ที่วัดและที่ซึ่งขึ้นต่อวัด ซึ่งตามพระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๓๓ บัญญัติว่า ที่วัดและที่ซึ่งขึ้นต่อวัด มีดังนี้ ๑) ที่วัด คือที่ซึ่งตั้งวัดตลอดจนเขตของวัดนั้น ๒) ที่ธรณีสงฆ์ คือที่ซึ่งเป็นสมบัติของวัด ๓) ที่กัลปนา คือที่ซึ่งมีผู้อุทิศแต่ผลประโยชน์ให้วัดหรือพระศาสนา โดยที่ผ่านมาคณะกรรมาธิการได้มีการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาติดตามความคืบหน้าหรือแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการจัดการศาสนสมบัติ ของวัด ส านักสงฆ์ หรือที่พักสงฆ์ต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยมีกรณีที่ส าเร็จลุล่วง หรือได้รับการแก้ไข หรืออยู่ระหว่างการด าเนินการ ดังนี้
๖๒ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๑) ปัญหาเกี่ยวกับการพิสูจน์กรรมสิทธิ์ที่ดินและการขอออกโฉนดที่ดิน ให้แก่วัด ๑.๑) วัดขุนสมุทราวาส (วัดขุนสมุทรจีน) ต าบลแหลมฟ้าผ่า อ าเภอ พระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ คณะกรรมาธิการมอบหมายให้ส านักงานพระพุทธศาสนา จังหวัดสมุทรปราการด าเนินการแก้ไขปรับปรุงข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการสร้างวัดขุนสมุทราวาส และรวบรวมข้อมูลอื่น ๆ ที่สามารถยืนยันและพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ว่า วัดขุนสมุทราวาสตั้งขึ้น ก่อนปี พ.ศ. ๒๔๕๑ เช่น จากการบันทึกค าบอกเล่าจากผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียง หรือเคยเรียนหนังสือที่โรงเรียนตั้งอยู่ใกล้วัด เป็นต้น เพื่อส่งให้ส านักงานพระพุทธศาส นา แห่งชาติแก้ไขทะเบียนวัดให้มีความถูกต้อง กับพยานบุคคลซึ่งให้ข้อมูลในเบื้องต้นแล้ว จะสามารถน าไปประกอบการพิจารณาออกโฉนดที่ดินให้แก่วัดขุนสมุทราวาสต่อไป ๑.๒) วัดแค ต าบลวัดแค อ าเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม คณะกรรมาธิการได้ประชุมร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง หลายครั้ง และมอบหมายให้ส านักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐมเข้าไปช่วยเหลือ จนวัดแคได้รับโฉนดที่ดินบางส่วน และในส่วนที่ดินที่องค์การบริหารส่วนต าบลวัดแคใช้เป็น สถานที่ตั้งส านักงานซึ่งมีที่ดินจ านวน ๒ แปลง ยังไม่สามารถออกโฉนดที่ดินได้เนื่องจาก ขาดเอกสารประกอบ ได้ให้วัดประสานส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเพื่อให้ช่างรังวัด มาจัดท าแผนผังรวมที่ดินทั้งหมดส่งให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐม สาขานครชัยศรี เพื่อประกอบการขอออกโฉนดที่ดินและจัดประโยชน์ให้ถูกต้องต่อไป ๑.๓) ที่พักสงฆ์ทุ่งโค้ง ต าบลดอนศิลา อ าเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย ที่พักสงฆ์ทุ่งโค้งตั้งอยู่ในเขตป่าไม้แต่ได้กลายสภาพเป็นชุมชน หรือหมู่บ้านแล้ว และที่ดินของประชาชนโดยรอบที่พักสงฆ์ทุ่งโค้งทั้งสี่ด้านได้โฉนดที่ดินแล้ว แต่ที่พักสงฆ์ยังไม่ได้โฉนดที่ดิน ทั้งที่มีเลขที่ทะเบียนวัดเรียบร้อย คณะกรรมาธิการจึงได้ประสาน เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงรายตรวจสอบข้อเท็จจริงและออกโฉนดที่ดินให้ที่พักสงฆ์ได้ส าเร็จ และส านักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงรายได้ยื่นขอตั้งวัดตามขั้นตอนต่อไป ๑.๔) วัดท้องคุ้ง ต าบลบางหญ้าแพรก อ าเภอพระประแดง จังหวัด สมุทรปราการ ส านักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาอ าเภอพระประแดง ได้ออกโฉนดที่ดินให้แก่วัดท้องคุ้ง จ านวน ๒ ฉบับ รวมเนื้อที่ทั้งหมด ๙ ไร่ ๓ งาน ๘๖ ตารางวา เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ๑.๕) วัดถ้ าเขาวง ต าบลหนองน้ าแดงอ าเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา คณะกรรมาธิการได้ประชุมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องแล้ว พบว่า กรณีปัญหาของวัดถ้ าเขาวงแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ (๑) ปัญหาการพิสูจน์กรรมสิทธิ์ และออกโฉนดที่ดินให้แก่วัด ซึ่งได้มีการประสานงานกับส านักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา
๖๓ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ สาขาปากช่อง เพื่อพิจารณาออกรังวัดแนวเขตที่ดินที่ตั้งวัดแล้ว และ (๒) เรื่องการขออนุญาต เข้าท าประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่า เพื่อสร้างวัด ตั้งวัด หรือการศาสนา ซึ่งได้ด าเนินการ ยื่นค าขออนุญาตกับส านักจัดการทรัพยากรป่าไม้ในพื้นที่แล้ว ๑.๖) วัดสมเด็จเจริญ ต าบลสมเด็จเจริญ อ าเภอหนองปรือ จังหวัด กาญจนบุรี คณะกรรมาธิการได้มีหนังสือไปยังส านักงานที่ดินจังหวัดกาญจนบุรี สาขาบ่อพลอย เพื่อขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและพิจารณาว่าจะออกโฉนดที่ดินให้วัดได้หรือไม่ ๑.๗) วัดโมกข์ และวัดจวนด ารงราชพลขันธ์ต าบลตลาด อ าเภอ พระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ กรณีของทั้งสองวัดนี้มีหน่วยงานของรัฐและประชาชนคัดค้านว่า ที่ดินบางส่วนของวัดทั้งสองมีความทับซ้อนกับที่ดินของรัฐและประชาชน ท าให้ยังไม่สามารถ ออกโฉนดที่ดินได้ คณะกรรมาธิการจึงได้ประสานส านักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขา พระประแดง ได้ลงพื้นที่รังวัดแนวเขตที่ดินโดยมีผู้แทนวัด ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้แทนส านักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสมุทรปราการ ร่วมชี้แนวเขตตามส าเนาโฉนดที่ดิน ฉบับเก่า และปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนการออกโฉนดที่ดินให้แก่วัดทั้งสองต่อไป ๑.๘) วัดดินด า ต าบลบ้านโคก อ าเภอสร้างคอม จังหวัดอุดรธานี คณะกรรมาธิการได้ประสานส านักศิลปากรที่ ๘ ขอนแก่น และส านักงานที่ดินจังหวัดอุดรธานี สาขาอ าเภอเพ็ญ ตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเป็นที่ดินของวัด และโบราณสถาน โบราณวัตถุภายในวัดเป็นของโบราณจริง ส านักงานที่ดินจังหวัดอุดรธานี สาขาอ าเภอเพ็ญ จึงได้ออกโฉนดให้วัดตามค าขอของส านักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดอุดรธานี และหาแนวทางในการเจรจากับเจ้าของที่ดินข้างเคียงได้เปิดทางให้พระสงฆ์และประชาชน สามารถใช้ทางเท้าเดิมเข้าไปวัดได้
๖๔ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๑.๙) วัดมณีวงษ์ ต าบลย่านมัทรีอ าเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ ส านักงานที่ดินจังหวัดนครสวรรค์ สาขาพยุหะคีรี ได้ออกโฉนด ที่ดินให้วัดมณีวงษ์แล้วจ านวน ๒ แปลง ส่วนอีก ๑ แปลง อยู่ระหว่างการพิสูจน์การอ่านภาพถ่าย ทางอากาศว่าวัดได้มีการท าประโยชน์มาก่อนหรือไม่ ๑.๑๐) วัดแค ต าบลตลาด อ าเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ถนนที่ผ่านบริเวณหน้าวัดแคมีปัญหาข้อโต้แย้งระหว่างวัด กับเทศบาลต าบลตลาดว่า เป็นถนนสาธารณะหรือเป็นถนนของวัด ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการ พิจารณาแล้วเห็นว่า หากยังหาข้อยุติไม่ได้ควรน าข้อพิพาทนี้ฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรม และเมื่อ ศาลพิพากษาแล้ว จะได้ด าเนินการเกี่ยวกับเรื่องโฉนดที่ดินต่อไป
๖๕ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๑.๑๑) วัดศิริพัฒนาราม ต าบลเหล่าปอแดง และวัดพระพุทธไสยาสน์ ต าบลเชียงเครือ อ าเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร กรณีของทั้งสองวัดอยู่ระหว่างการด าเนินการของเจ้าพนักงานที่ดิน จังหวัดสกลนคร ในการน าข้อมูลเสนอต่อคณะอนุกรรมการพิสูจน์สิทธิในที่ดินของรัฐจังหวัด (สกลนคร) เพื่อพิสูจน์ว่า มีการสร้างวัดมาก่อนการประกาศบังคับใช้พระราชกฤษฎีกาก าหนด เขตหวงห้ามที่ดินในท้องที่อ าเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร พุทธศักราช ๒๔๘๔ หรือไม่ ๑.๑๒) วัดบันไดอิฐ อ าเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี เจ้าอาวาสวัดบันไดอิฐได้ร้องขอให้คณะกรรมาธิการพิจารณา ศึกษาการออกโฉนดที่ดินให้แก่วัด เนื่องจากวัดได้ตั้งมาตั้งแต่ประมาณสมัยพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) แต่ยังไม่มีโฉนดที่ดิน คณะกรรมาธิการได้เดินทางไปศึกษา ดูงาน ณ จังหวัดเพชรบุรี เพื่อร่วมประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย จังหวัดเพชรบุรี กรมศิลปากร ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และส านักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเพชรบุรี โดยมีประเด็นการพิจารณาที่ส าคัญ คือ การหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่า มีการตั้งวัดบันไดอิฐมาก่อน การประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน (๑ ธันวาคม ๒๔๙๗) ซึ่งมีการค้นพบหลักฐานเอกสารพระ ราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหนังสือของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรม พระยาด ารงราชานุภาพ จัดพิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๖ โดยองค์การค้าของคุรุสภาได้กล่าวถึงพระ ราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า เจ้าอยู่หัว เมื่อปีวอก พ.ศ. ๒๔๐๓ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า วัดบันไดอิฐได้ตั้งขึ้นอยู่ก่อนการเสด็จไป ทรงทอดพระกฐินแล้ว จึงท าให้กรมศิลปากรส ารวจความเป็นโบราณสถานได้รวดเร็วขึ้น และน ามาซึ่งการออกโฉนดที่ดิน จ านวน ๙๐ ไร่ ให้แก่วัดบันไดอิฐโดยส านักงานที่ดินจังหวัดเพชรบุรี ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการพิสูจน์สิทธิในที่ดินของรัฐจังหวัด (เพชรบุรี)
๖๖ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕
๖๗ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๑.๑๓) วัดป่าผาหวาย ต าบลปวนพุอ าเภอหนองหิน จังหวัดเลย กรณีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเลย สาขาภูกระดึง เกี่ยวกับการออกโฉนดที่ดินให้แก่วัด ๑.๑๔) วัดเจ็ดโคก ต าบลบางหญ้าแพรก อ าเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร กรณีนี้อยู่ระหว่างการด าเนินการของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด สมุทรสาครเกี่ยวกับท าเรื่องเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครเพื่อพิจารณาเพิกถอนที่ดิน สาธารณประโยชน์ตามเจตนารมณ์เดิมของผู้ถวายที่ดินให้วัด ๑.๑๕) วัดวังใหญ่ ต าบลนาทวีอ าเภอนาทวี จังหวัดสงขลา คณะกรรมาธิการขอให้วัดหรือไวยาวัจกรวัดด าเนินการให้ เจ้าของที่ดินผู้มีชื่อในโฉนดที่ดินพิพาทไปท าสัญญาโอนที่ดินให้แก่วัด หรือหากไม่สามารถติดต่อ ผู้มีชื่อในโฉนดได้ ให้ด าเนินการฟ้องร้องเป็นคดีครอบครองปรปักษ์เพื่อน าที่ดินกลับมาเป็น ของวัดตามกฎหมายต่อไป ๑.๑๖) วัดสมมติเทพฐาปนาราม (วัดแหลมสน) ต าบลปากน้ ากระแส อ าเภอแกลง จังหวัดระยอง คณะกรรมาธิการเดินทางไปศึกษาดูงานและประชุมหารือ ร่วมกับเจ้าอาวาสและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในกรณีพิพาทระหว่างวัดสมมติเทพฐาปนาราม และเทศบาลต าบลปากน้ าประแสเกี่ยวกับกรณีที่งอกริมชายฝั่งทะเลบริเวณวัดสมมติเทพฐาปนาราม
๖๘ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ สมควรจะได้มีแนวทางแก้ไข โดยให้ศาลเป็นผู้พิจารณาตัดสินว่าที่งอกริมชายฝั่งทะเลบริเวณ หน้าวัดสมมติเทพฐาปนารามเป็นของวัดหรือของเอกชน ศาลชั้นต้นได้มีค าพิพากษาให้วัด เป็นผู้ชนะคดีฟ้องขับไล่ และอยู่ในระหว่างจ าเลยยื่นอุทธรณ์ ๑.๑๗) วัดพระธาตุหนองสามหมื่น อ าเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ กรณีนี้อยู่ระหว่างการด าเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๑๘) วัดป่าแดง ต าบลเชียงดาว อ าเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ส านักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ สาขาเชียงดาว ได้ร่วมกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิสูจน์กรรมสิทธิ์ที่ดินและออกโฉนดที่ดินถวายให้วัดแล้ว
๖๙ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๑.๑๙) วัดโกมุทรัตนาราม ต าบลอ่างศิลา อ าเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี คณะกรรมาธิการมีข้อเสนอแนะว่า เจ้าอาวาสวัดโกมุทรัตนาราม ควรประชุมหารือร่วมกับเจ้าคณะต าบลอ่างศิลา เจ้าคณะอ าเภอเมืองชลบุรีและเจ้าคณะจังหวัด ชลบุรีเพื่อพิจารณาตั้งคณะกรรมการพิจารณาเรื่องการยื่นค าร้องสอดเข้าเป็นคู่ความในคดี อีกครั้งหนึ่ง ตามนัยค าวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค ๒ หรือพิจารณาด าเนินการฟ้องร้องเป็นคดีใหม่ เพื่อให้ศาลพิจารณาพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ธรณีสงฆ์ของวัดโกมุทรัตนาราม ทั้งนี้ ไวยาวัจกรวัดโกมุทรัตนารามจะได้น าความเห็นไปหารือกับเจ้าอาวาสเพื่อพิจารณาด าเนินการ ต่อไป ๑.๒๐) วัดประชุมคงคา ต าบลบางละมุง อ าเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี คณะกรรมาธิการเห็นว่า การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ในอสังหาริมทรัพย์ที่มีความคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖๑ ขณะนี้อยู่ระหว่างการเสนอให้กรมที่ดินพิจารณาสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนโอน เป็นที่สาธารณประโยชน์ ซึ่งจะต้องน าเอกสารส าคัญของผู้มีส่วนได้เสียในที่ดินแปลงข้างเคียง มาประกอบการพิจารณา ๑.๒๑) ที่พักสงฆ์วังยาว ต าบลร่อนทอง อ าเภอบางสะพาน จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ กรณีนี้เป็นการขอคัดค้านการออกหนังสือส าคัญส าหรับที่หลวง ทับซ้อนกับที่ดินของที่พักสงฆ์ โดยเจ้าพนักงานที่ดินยืนยันว่า ที่ดินที่ตั้งที่พักสงฆ์วังยาว เป็นที่สาธารณประโยชน์และสภาเทศบาลต าบลร่อนทองได้คัดค้านการขอตั้งวัด จึงไม่สามารถ ขอเพิกถอนที่ดินสาธารณประโยชน์นั้นได้ ๑.๒๒) วัดบ้านไร่ ต าบลห้วยเขย่ง อ าเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี คณะกรรมาธิการได้เดินทางไปศึกษาดูงานและประชุมร่วมกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ท าให้ทราบว่า พื้นที่บริเวณโดยรอบเป็นของวัดซึ่งได้รับโฉนดที่ดินแล้ว แต่มีพื้นที่บางส่วนตกส ารวจ ดังนั้น จึงเห็นควรมอบหมายให้ส านักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด กาญจนบุรีไปด าเนินการยื่นขอออกโฉนดที่ดินให้แก่วัดต่อไป ๑.๒๓) วัดเขาย้อย ต าบลเขาย้อย อ าเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี กรณีนี้เป็นการขอออกโฉนดที่ดินบริเวณที่ตั้งพุทธสถานบนเขาย้อย ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของวัด ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาออกโฉนดที่ดินให้แก่วัดเขาย้อยของส านักงาน ที่ดินจังหวัดเพชรบุรี สาขาเขาย้อย ๑.๒๔) วัดพระพุทธบาทบัวบก ต าบลเมืองพาน อ าเภอบ้านผือ จังหวัด อุดรธานี ตามทะเบียนประวัติวัดของส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ระบุว่า วัดมีพื้นที่ จ านวน ๒,๕๐๐ ไร่ แต่หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องหลายส่วนได้คัดค้าน
๗๐ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ การออกโฉนดที่ดิน คณะกรรมาธิการจึงขอให้มีการน าข้อมูลเข้าสู่การพิจารณาของคณะอนุกรรมการ พิสูจน์สิทธิในที่ดินของรัฐจังหวัด (อุดรธานี) เพื่อพิจารณาต่อไป ๑.๒๕) วัดปงอ้อ ต าบลแม่จัน อ าเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ทายาทผู้บริจาคที่ดินให้ตั้งวัดไม่ยอมจดทะเบียนโอนที่ดินให้วัด ท าให้ไม่สามารถออกโฉนดที่ดินได้ คณะกรรมาธิการจึงเสนอแนะให้วัดและผู้น าท้องถิ่นไปเจรจา หากการเจรจาไม่เป็นผลก็ให้วัดหรือไวยาวัจกรวัดน าคดีไปฟ้องร้องคดีต่อศาล โดยให้หาหลักฐาน หนังสือแสดงเจตนายกที่ดินให้ตั้งวัดประกอบด้วย
๗๑ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๑.๒๖) ที่พักสงฆ์สันก าแพงพบโชค ต าบลท่าข้าวเปลือก อ าเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ที่ดินอันเป็นที่ตั้งที่พักสงฆ์สันก าแพงพบโชค เป็นที่ธรณีสงฆ์ ของวัดแม่ลากต าบลท่าข้าวเปลือก อ าเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย จึงไม่อาจน ามาตั้งเป็นวัดอื่นได้ ๑.๒๗) วัดห้วยมะหินฝน ต าบลป่าตึง อ าเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ส านักงานที่ดินจังหวัดเชียงราย สาขาแม่จัน ได้ออกโฉนดที่ดิน ให้แก่วัดห้วยมะหินฝนแล้ว ๑.๒๘) วัดถ้ าเขาน้อยเกสโร ต าบลถ้ ารงค์อ าเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี กรณีนี้เป็นการขอออกโฉนดที่ดินบริเวณโบราณสถานในพื้นที่ ต าบลถ้ ารงค์ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของวัด ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือกับกรมศิลปากรเพื่อหาข้อสรุป ร่วมกัน ๑.๒๙) วัดถ้ ารงค์ ต าบลถ้ ารงค์ อ าเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี กรณีนี้เป็นการขอออกโฉนดที่ดินบริเวณโบราณสถานในพื้นที่ ต าบลถ้ ารงค์ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของวัด ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือกับกรมศิลปากรเพื่อหาข้อสรุป ร่วมกัน ๑.๓๐) วัดเครือมิตรสันติธรรม ต าบลลุ่มสุ่ม อ าเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี วัดเครือมิตรสันติธรรมได้รับการตั้งเป็นวัด เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒ แต่ยังไม่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา และไม่มีโฉนดที่ดิน ขณะนี้ วัดได้ยื่นขอออกโฉนดที่ดิน แต่ที่ดินตั้งอยู่ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์ตามกฎหมาย จึงอยู่ระหว่างการตั้ง คณะกรรมการพิสูจน์สิทธิที่ดินอ าเภอไทรโยค เพื่อร่วมกันพิจารณาตรวจพื้นที่บริเวณดังกล่าว ว่าสมควรออกโฉนดที่ดินได้หรือไม่
๗๒ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๑.๓๑) วัดท่าทุ่งนาทฤธาราม ต าบลไทรโยค อ าเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี วัดท่าทุ่งนาทฤธารามได้รับการตั้งเป็นวัด เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๑๐ และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาแล้ว เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๑๓ แต่ยังไม่มีโฉนดที่ดิน คณะกรรมาธิการแนะน าให้แจ้งขอให้รังวัดแนวเขตที่ดินและอยู่ในระหว่างการยื่นขอออกโฉนดที่ดิน ให้แก่วัดตามขั้นตอน ๑.๓๒) วัดทุ่งก้างย่าง ต าบลไทรโยค อ าเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี วัดทุ่งก้างย่างได้รับการตั้งเป็นวัดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๖ แต่ยังไม่ได้รับ พระราชทานวิสุงคามสีมา และไม่มีโฉนดที่ดิน เนื่องจากตั้งอยู่ในเขตพระราชกฤษฎีกาก าหนด เขตหวงห้ามที่ดินจังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. ๒๔๘๑ ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการพิจารณาแล้วเห็นควร
๗๓ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ขอให้เจ้าอาวาสวัดทุ่งก้างย่าง มอบอ านาจให้ผู้อ านวยการส านักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด กาญจนบุรีด าเนินการยื่นขอออกโฉนดที่ดินต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดกาญจนบุรี เนื่องจาก เป็นวัดที่ตั้งขึ้นถูกต้องตามกฎหมาย หากไม่สามารถออกโฉนดที่ดินได้ให้น าเข้าสู่การพิจารณา ของคณะอนุกรรมการพิสูจน์สิทธิในที่ดินของรัฐจังหวัด (กาญจนบุรี) ต่อไป ๑.๓๓) วัดบุญทวี (ถ้ าแกลบ) ต าบลธงชัยอ าเภอเมืองเพชรบุรีจังหวัดเพชรบุรี กรณีนี้วัดบุญทวี (ถ้ าแกลบ) ขอตรวจสอบกรรมสิทธิ์ในพื้นที่ ถ้ าเขาหลวง ต าบลธงชัย อ าเภอเมืองเพชรบุรี และบริเวณโดยรอบ โดยคณะกรรมาธิการ ได้ประชุมหารือร่วมกับผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ วัดบุญทวี (ถ้ าแกลบ) ส านักงาน พระพุทธศาสนาจังหวัดเพชรบุรี ส านักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ ๑๐ สาขาเพชรบุรี ส านัก ศิลปากรที่ ๑ ราชบุรี และองค์การบริหารส่วนต าบลธงชัย โดยที่ประชุมพิจารณาแล้วเห็นว่า จังหวัดเพชรบุรีควรมีการแต่งตั้งคณะท างานขึ้นมาคณะหนึ่งเพื่อพิจารณาแนวทางการแก้ไข ปัญหาดังกล่าว ซึ่งควรประกอบด้วย ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ เจ้าคณะจังหวัดเพชรบุรี เจ้าอาวาสวัดบุญทวี (ถ้ าแกลบ) ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี ผู้อ านวยการส านักจัดการทรัพยากร ป่าไม้ที่ ๑๐ สาขาเพชรบุรี ผู้อ านวยการส านักศิลปากรที่ ๑ ราชบุรี ผู้อ านวยการส านักงาน พระพุทธศาสนาจังหวัดเพชรบุรี และนายกองค์การบริหารส่วนต าบลธงชัย ภายหลังจาก คณะกรรมาธิการมีหนังสือแจ้งผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรีเพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรีได้แต่งตั้งคณะท างานเพื่อพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวแล้ว
๗๔ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕
๗๕ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๑.๓๔) วัดสหธรรมิการาม ต าบลท่ายาง อ าเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี คณะกรรมาธิการมีข้อเสนอแนะให้วัดด าเนินการยื่นเรื่อง การพิสูจน์สิทธิที่ดิน โดยขอให้ส านักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเพชรบุรีช่วยดูแลและถวายค าแนะน า วัดด้วย ๑.๓๕) วัดป่ารัตนาราม ต าบลบึงเนียม อ าเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น คณะกรรมาธิการได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในกรณีที่วัดป่ารัตนารามขอเพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๖๔๓๒๕ ต าบลบึงเนียม อ าเภอ เมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ซึ่งออกให้แก่วัดสระแก้ว (ร้าง) เนื่องจากออกทับที่ธรณีสงฆ์ ของวัดป่ารัตนาราม อ าเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏตามมติ มหาเถรสมาคม ครั้งที่ ๒๘/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ว่า ที่ดินของ “วัดสระแก้ว (ร้าง)” กับที่ดินของ “วัดป่ารัตนาราม” เป็นที่ดินแปลงเดียวกันซึ่งสอดคล้องกับที่ระบุไว้ใน ประวัติวัดป่ารัตนาราม จึงเป็นกรณีคลาดเคลื่อนในข้อเท็จจริงเท่านั้น ไม่ได้เป็นการไม่ชอบ ด้วยกฎหมายที่จะต้องด าเนินการเพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๖๔๓๒๕ แต่อย่างใด ดังนั้น กรมที่ดินจึงมีความเห็นว่า เมื่อโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๖๔๓๒๕ เป็นที่ธรณีสงฆ์ของวัดป่ารัตนาราม เจ้าอาวาสวัดป่ารัตนารามจึงสามารถที่จะยื่นค าขอแก้ไขชื่อในโฉนดที่ดินดังกล่าวให้ถูกต้อง ตามข้อเท็จจริงได้ ในการนี้ จังหวัดขอนแก่นและส านักงานที่ดินจังหวัดขอนแก่นได้มีหนังสือ แจ้งว่า เจ้าอาวาสวัดป่ารัตนารามได้ยื่นค าขอแก้ไขชื่อในโฉนดที่ดินดังกล่าว และเจ้าพนักงานที่ดิน ได้ด าเนินการแก้ไขชื่อในโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๖๔๓๒๕ ต าบลบึงเนียม อ าเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น จาก “วัดสระแก้ว (ร้าง)” เป็น “วัดป่ารัตนาราม (ที่ธรณีสงฆ์)” แล้ว
๗๖ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕
๗๗ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๑.๓๖) วัดพระธาตุศรีสองรัก ต าบลด่านซ้าย อ าเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย วัดพระธาตุศรีสองรักได้ยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดเลยเพื่อให้พิจารณา และพิพากษาข้อโต้แย้งเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้ว จึงให้รอผลการพิจารณาของศาล ๑.๓๗) วัดพระธาตุดอยค า ต าบลแม่เหียะ อ าเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัด เชียงใหม่ กรณีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาตรวจสอบและพิสูจน์หลักฐาน เกี่ยวกับประวัติวัดของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ก่อนเสนอให้มีการพิจารณา ตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป ๑.๓๘) วัดสามคี (วัดสามัคคี) ต าบลบ้านทุ่ม อ าเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น วัดสามคี (วัดสามัคคี) เป็นวัดร้างมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๕ จนถึง ปัจจุบัน มีเนื้อที่ประมาณ ๙ ไร่ ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๒๓ ได้มีการออกหนังสือ ส าคัญส าหรับที่หลวง เลขที่ ๑๒๑๖๑ เนื้อที่ประมาณ ๕๓ ไร่ ๒ งาน ๓๐ ตารางวา เพื่อแสดง เขตของที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน โดยรวมเอาที่ดิน ของวัดสามคี (วัดสามัคคี) เข้าไปด้วย ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๔ ได้มีพระสงฆ์มาอยู่จ าพรรษา เป็นประจ าทุกปีจนถึงปัจจุบัน คณะกรรมาธิการจึงขอให้ส านักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดขอนแก่น จัดท าเอกสารหลักฐานต่าง ๆ เพื่อส่งเรื่องให้ส านักงานที่ดินจังหวัดขอนแก่น เพื่อพิจารณา น าเสนอต่อที่ประชุมคณะอนุกรรมการพิสูจน์สิทธิในที่ดินของรัฐจังหวัด (ขอนแก่น) พิจารณา ด าเนินการต่อไป
๗๘ สรุปผลการด าเนินงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ๑.๓๙) วัดภูเขาทอง ต าบลภูเขาทอง อ าเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัด พระนครศรีอยุธยา คณะกรรมาธิการมีข้อเสนอแนะให้ส านักงานพระพุทธศาสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยายื่นเรื่องให้ส านักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยาแก้ไขโฉนดที่ดิน ฉบับที่ระบุว่า วัดภูเขาทอง (ร้าง) เป็น วัดภูเขาทอง เพราะได้มีการยกวัดภูเขาทอง (ร้าง) เป็นวัด มีพระภิกษุอยู่จ าพรรษาแล้ว