45
จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า ทฤษฎีการเรียนรู้และหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ที่มีความสัมพันธ์กับการ
สรา้ งแบบฝกึ คอื แบบฝึกต้องคำนึงถงึ ความพรอ้ มความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล โดยทำใหผ้ ู้เรียนมีทัศนะคติที่ดี
ต่อการเรียน ซึ่งครูอาจเสริมแรงหรือกระตุ้นให้ผู้เรียนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียน ให้เกิดความ
สนุกสนานเพลดิ เพลิน และสนใจวิชานัน้
ลกั ษณะท่ดี ีของแบบฝกึ ทกั ษะ
คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่เป็นทั้งความรู้และทักษะที่ต้องอาศัยการฝึกฝนอยู่เสมอ ดังนั้นผู้สอนควร
สร้างแบบฝึกเพื่อทบทวนความรู้หรอื ทกั ษะใหแ้ ก่ผู้เรยี น
บรูค (Brook. 1960. p 97-105) และ บาร์เน็ท (Barnett. 1969. p. 155-157, อ้างถึงใน อารี
บัวคุ้มภัย 2540:26) ได้กล่าวถึงว่า แบบฝึกที่ดีควรจะมีหลายรูปแบบ มีคำสั่งหรือตัวอย่างที่เข้าใจได้ง่าย
สามารถศกึ ษาได้ด้วยตนเอง มคี วามทนั ตอ่ เหตกุ ารณ์ และมีความหมายต่อการนำไปใช้ในชีวติ ประจำวันของผู้
ฝึกหัดอยู่เสมอ แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าใดก็ตาม ทำให้การเรียนรู้ยังคงอยู่ในความทรงจำของผู้เรียน
ตลอดไป
จากความเห็นดังกลา่ วพอสรปุ ได้วา่ ลกั ษณะของแบบฝึกทักษะทีด่ ี คือ
1. สรา้ งข้นึ ตามหลกั จติ วิทยา ใชภ้ าษางา่ ยและน่าสนใจ
2. มีคำสั่ง คำอธิบายและคำแนะนำการใช้แบบฝึกทักษะทช่ี ัดเจน เข้าใจง่าย
3. มีเนอื้ หาสอดคลอ้ งกับเรอ่ื งทเ่ี รียน มีกิจกรรมหลากหลายและมีรปู แบบทนี่ า่ สนใจ
4. มคี วามยากงา่ ยเหมาะสมกบั วัยและความสามารถของผูเ้ รยี น
5. ใชเ้ วลาในการฝึกไม่นานเกนิ ไป
อารยี ์ มนทริ าลยั (2544:45) ไดก้ ลา่ วถึงลักษณะทีด่ ีของแบบฝกึ เฉพาะอยา่ งไว้ ดงั นี้
1. เปน็ แบบฝกึ แบบฟัง - พูด
2. เป็นแบบฝกึ ทสี่ อดคล้องกับความสามารถ และความแตกต่างระหวา่ งบุคคล
มุ่งฝกึ นกั เรียนเปน็ กล่มุ เล็ก โดยจดั กลุ่มลักษณะการออกเสียงไมช่ ดั และเนน้ การฝกึ เป็นรายบคุ คล
3. เป็นแบบฝึกที่เรา้ ความสนใจและจูงใจนกั เรยี น โดยใช้ภาพประกอบแบบฝกึ และ
4. แบบฝกึ จะเรยี งลำดับจากง่ายไปหายากเป็นแบบฝกึ ท่ีเหมาะสมกับวัยของผ้เู รียน คอื เป็น
แบบฝึกส้ันๆ งา่ ยๆ แบบฝึกหนึง่ ๆจะฝกึ เฉพาะเรอื่ งใดเรอ่ื งหน่ึงเพียงเรื่องเดยี วและใชเ้ วลา
ในการฝึกครง้ั ละประมาณ 30-50 นาที
5. เป็นแบบฝึกที่มุ่งเสริมสร้างบรรยากาศที่สนุกสนาน กระตือรือร้น ในการฝึก ให้แก่
นกั เรยี น ดังนี้แบบฝึกจึงใช้ส่ือหลาย ๆ ชนดิ มาประกอบกัน เชน่ ฝกึ โดยการใช้บัตรคำ
บัตรภาพ แถบประโยค เอกสารประกอบการฝกึ บทประพนั ธ์ บทเพลง บทสนทนา บทบาทสมมติและเกม
ต่าง ๆ เปน็ ต้น
46
กุศยา แสงเดช (2545 :6) ไดก้ ล่าวถึง แบบฝึกทด่ี คี วรมีลกั ษณะ ดงั น้ี
1. เกย่ี วขอ้ งกบั เร่ืองทีเ่ รียนมาแลว้
2. เหมาะสมกบั ระดบั ชนั้ หรือวยั ของผูเ้ รยี น
3. มคี ำช้แี จงส้ันๆ เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจงา่ ย
4. ใช้เวลาทเ่ี หมาะสม
5. ควรมขี ้อแนะนำการใช้
6. มสี ่ิงที่น่าสนใจและท้าทายให้แสดงความสามารถ
7. มีใหเ้ ลอื กตอบอย่างจำกดั และตอบอยา่ งเสรี
8. ควรใช้สำนวนภาษางา่ ยๆ ฝึกให้คดิ และสนุกสนาน
9. ถา้ เปน็ แบบฝึกทต่ี ้องการให้ผู้เรยี นศึกษาคน้ คว้าด้วยตนเองแบบฝึกควรมีหลายรูปแบบ
ถวลั ย์ มาศจรสั (2550 : 21) ได้กล่าวถงึ ลกั ษณะของแบบฝึกที่ดีจะต้องมีลกั ษณะ ดงั น้ี
1. จดุ ประสงค์
1.1จดุ ประสงคช์ ัดเจน
1.2 สอดคล้องกบั การพัฒนาทักษะตามสาระการเรียนรู้ และกระบวนการเรยี นรขู้ องกลุ่ม
สาระการเรียนรู้
2. เนอ้ื หาตอ้ ง
2.1 ถกู ตอ้ งตามหลักวิชา
2.2 ใชภ้ าษาเหมาะสม
2.3 มีคำอธบิ ายและคำส่งั ท่ีชัดเจน งา่ ยตอ่ การปฏบิ ัตติ าม
2.4 สามารถพฒั นาทกั ษะการเรียนรู้ นำผู้เรยี นสกู่ ารสรุปความคดิ รวบยอด และหลักการ
สำคญั ของกลุ่มสาระการเรยี นรู้
2.5 เป็นไปตามลำดับขั้นตอนการเรียนรู้ สอดคล้องกับวิธีการเรียนรู้ และความแตกต่าง
ระหวา่ งบคุ คล
2.6 มีคำถามและกจิ กรรมที่ทา้ ทายสง่ เสริมทักษะกระบวนการเรียนร้ขู องธรรมชาติวชิ า
2.7 มกี ลยุทธก์ ารนำเสนอและการตัง้ คำถามท่ีชัดเจน นา่ สนใจปฏิบัติได้สามารถให้ข้อมูล
ยอ้ นกลับเพอื่ ปรบั ปรงุ การเรียนได้อยา่ งตอ่ เน่อื ง
จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า ลักษณะที่ดีของแบบฝึก คือ แบบฝึกต้องมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน
สอดคลอ้ งกบั กลมุ่ สาระการเรียนรู้ ความเหมาะสมกับระดับของผู้เรียน อธิบายรายละเอียดทเ่ี ข้าใจงา่ ย ชดั เจน
มีการลำดับขั้นของการเรยี นรู้ท่ีดี ตวั อย่างหลากหลายรูปแบบ มีภาพประกอบ ไม่ใช้เวลานานเกนิ ไป และต้อง
ทำให้ผู้เรียนเข้าใจง่ายสามารถศึกษาได้ด้วยตนเอง มีความทันต่อเหตุการณ์ และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันของ
47
ผู้เรียนอยู่เสมอ แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าใดก็ตาม ทำให้การเรียนรู้ยังคงอยู่ในความทรงจำของผู้เรียน
ตลอดไป
หลักการและเทคนิคการสร้างแบบฝึกทักษะ
หลักการสร้างแบบฝกึ ใหม้ ปี ระสิทธภิ าพน้นั มผี กู้ ล่าวถงึ เทคนิคการสร้างหลายท่าน ดังนี้
สุนันทา สุนทรประเสริฐ (2544 :16 – 17) กล่าวว่า ส่วนสำคัญการสรา้ งแบบฝึกใช้ประกอบในการจัดการ
เรียนการสอนในวชิ าตา่ ง ๆ น้ัน จะเน้นสอื่ การสอนในลกั ษณะเอกสารแบบฝึกเปน็ ส่วนสำคัญ ดังนน้ั การสร้าง
จึงควรใหม้ ีความสมบรู ณ์ท่ีสดุ ทัง้ ในด้านเนื้อหารูปแบบและกลวิธีในการนำไปใช้ ซ่งึ ควรเป็นเทคนิคของแต่ละ
คน ดงั นี้
1.1 พงึ ระลกึ ถึงเสมอว่าต้องใหผ้ ู้เรียนศกึ ษาเน้อื หากอ่ นใช้แบบฝกึ
1.2 ในแต่ละแบบฝึกอาจมีเน้ือหาสรุปหรอื เป็นหลักเกณฑไ์ ว้ให้ผู้เรยี นได้ศึกษาทบทวนก่อนก็
ได้
1.3 ควรสร้างแบบฝึกให้ครอบคลุมเนื้อหาและจุดประสงค์ที่ต้องการ และไม่ยากหรือง่าย
เกินไป
1.4 คำนึงถึงหลกั จิตวิทยาการเรียนรู้ของเด็กให้เหมาะสมกับวุฒภิ าวะและความแตกต่างของ
ผูเ้ รยี น
1.5 ศึกษาแนวทางการสร้างแบบฝึกใหเ้ ขา้ ใจ ก่อนปฏิบัติการสร้าง อาจนำหลักการของผู้อ่ืน
หรือทฤษฎกี ารเรยี นรู้ของนักการศึกษาหรือนกั จิตวิทยามาประยุกต์ใชใ้ ห้เหมาะสมกบั เน้ือหาและสภาพการณ์
ได้
1.6 ควรมคี มู่ อื การใชแ้ บบฝึก เพ่ือใหผ้ ู้สอนคนอ่ืนนำไปใชไ้ ด้อยา่ งกว้างขวางหากไม่มีคู่มือต้อง
มคี ำชีแ้ จงขั้นตอนการใช้ท่ชี ัดเจน แนบไปในแบบฝกึ หัดด้วย
1.7 การสร้างแบบฝึก ควรพิจารณารูปแบบให้เหมาะสมกับธรรมชาติของแต่ละเนื้อหาวิชา
รปู แบบจงึ ควรแตกตา่ งกันตามสภาพการณ์
1.8 การออกแบบชุดฝึกควรมีความหลากหลายไม่ซ้ำซาก ไมใ่ ชร้ ูปแบบเดียว เพราะจะทำให้
ผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่าย ควรมีแบบฝึกหลาย ๆ แบบ เพื่อฝึกให้ผู้เรียนได้เกิดทักษะอย่างกว้างขวางและ
ส่งเสริมความคดิ สร้างสรรค์ด้วย
1.9 การใช้ภาพประกอบเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้แบบฝึกนั้นน่าสนใจ และยังเป็นการพัก
สายตาใหผ้ เู้ รยี นอกี ด้วย
1.10 การสร้างแบบฝึก หากต้องการให้สมบูรณ์ครบถ้วน ควรสร้างในลักษณะของเอกสาร
ประกอบการสอน แต่เน้นความหลากหลายของแบบฝึกมากกว่าเน้อื หาที่สรุปไว้ จะมเี พยี งยอ่ ๆ
1.11 แบบฝึกตอ้ งมีความถูกต้อง อยา่ ให้มีข้อผิดพลาดโดยเดด็ ขาด เพราะเหมือนกับยื่นยาพิษ
ใหล้ ูกศษิ ย์โดยรเู้ ท่าไม่ถึงการณ์ เขาจะจำในส่ิงทผี่ ดิ ๆ ตลอดไป
48
1.12 คำสั่งในแบบฝึกเป็นสิ่งสำคัญที่มิควรมองข้ามไป เพราะคำสั่งคือประตูบานใหญ่ที่จะไข
ความรู้ความเข้าใจของผู้เรียนเข้าไปสู่ความสำเร็จ คำสั่งต้องสั้น กะทัดรัด ชัดเจนและเข้าใจง่าย ไม่ทำให้
ผู้เรยี นสบั สน
1.13 การกำหนดเวลาในการใช้แบบฝกึ ในแต่ละชุด ควรให้เหมาะสมกบั เนื้อหาและความสนใจ
ของผูเ้ รยี น
1.14 กระดาษทีใ่ ชค้ วรมคี ุณภาพเหมาะสม มีความเหนียวและทนทาน ไม่เปราะบาง หรอื ขาด
งา่ ยจนเกินไป
จากหลักการสร้างแบบฝึกดังกล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า การสร้างแบบฝึกต้องศึกษาปัญหาของ
เนื้อหาที่นำมาสร้างแบบฝึก โดยนำมาตั้งวัตถุประสงค์ตลอดจนรูปแบบ และวางแผนขั้นตอนการใช้แบบฝึก
การสร้างแบบทดสอบที่สอดคล้องกับเนื้อหาหรอื ทักษะที่ต้องการฝึกจำเป็นต้องนำหลักการทางจิตวิทยาการ
เรียนรู้ และจิตวทิ ยาพัฒนาการมาเปน็ แนวทางในการสร้างแบบฝกึ กอ่ นนำไปฝึกควรนำไปทดลองใช้ เพ่อื หา
ข้อบกพรอ่ งของแบบฝกึ และบททดสอบ นำมาปรับปรุงแกไ้ ข หลังจากน้ันจึงรวบรวมเป็นชุดจัดทำคำช้แี จงและ
คมู่ อื การใช้ตอ่ ไป
กติกา สุวรรณสมพงศ์ (2541 :45-46) ได้กล่าวถึง สรุปหลักการและเทคนิคในการสร้างแบบฝึกไว้
ดังต่อไปนี้
1.ให้สอดคล้องกับจิตวิทยาพัฒนาการ และลำดับขั้นตอนการเรียนรู้ของเด็ก เด็กเริ่มเรียนหรือมี
ประสบการณ์น้อย จะต้องสร้างแบบฝึกที่น่าสนใจ และจูงใจ ด้วยการเริ่มต้นจากข้อที่ง่ายไปหายากเพื่อให้เด็กมี
กำลังใจทำแบบฝึกหัด
2. เมื่อมีจุดมุ่งหมาย มุ่งจะฝึกในเรื่องใดก็จัดเนื้อหาให้ตรงกับความมุ่งหมายที่วางไว้ โดยครูต้อง
จดั ทำไว้ลว่ งหนา้ เสมอ
3. ในแบบฝกึ ตอ้ งมีคำชี้แจงง่าย ๆ สั้น ๆ เพ่ือใหเ้ ดก็ เขา้ ใจ
4. แบบฝึกต้องมคี วามถกู ตอ้ ง ครจู ะต้องตรวจพิจารณาดูใหด้ ีดว้ ยอย่าใหม้ ขี อ้ ผิดพลาดได้
5. ภาษาและภาพทีใ่ ช้ในแบบฝึกควรเหมาะสมกบั วัยและพืน้ ฐานความรู้ของผู้เรียน
6. แบบฝึกที่ดีควรแยกเป็นเรื่อง ๆ แต่ละเรื่องไม่ควรยากเกินไป แต่ควรมีกิจกรรมหลายรูปแบบ
เพ่อื เรา้ ใหน้ ักเรยี นเกดิ ความสนใจ และไมเ่ บือ่ หน่ายในการทำ และเพือ่ ฝกึ ทกั ษะใดทักษะหนง่ึ จนเกิดความชำนาญ
7. แบบฝึกที่ดี ควรมีทั้งแบบกำหนดคำตอบให้แบบให้ตอบโดยเสรีการเลือกใช้คำข้อความหรือ
รูปภาพควรเปน็ ส่งิ ทีน่ ักเรียนคุ้นเคยและตรงกับความสนใจของนักเรียน เพอ่ื วา่ แบบฝึกที่สร้างขึ้นจะก่อให้เกิดความ
เพลดิ เพลนิ และพอใจแก่ผู้ใช้ ซ่ึงตรงกบั หลักการเรียนรวู้ ่า เดก็ มกั จะเรยี นรู้ได้เรว็ ในการกระทำท่ีก่อให้เกิดความพึง
พอใจ
49
8. แบบฝึกที่ดีควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาด้วยตนเอง ให้รู้จักค้นคว้ารวบรวมสิ่งที่พบเห็นบ่อย ๆ
หรือที่ตัวเองเคยใช้ จะทำให้นักเรียนเข้าใจในเรื่องนั้น ๆ มากยิ่งขึ้นและรู้จักนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่าง
ถกู ต้อง มีหลกั เกณฑ์และมองเห็นว่าส่ิงทเ่ี ขาไดฝ้ กึ ฝนน้นั มีความหมายต่อเขาตลอดไป
9. แบบฝึกทดี่ ีมีผลตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้เรียนแต่ละคนมีความแตกต่างกันในหลาย
ๆ ดา้ น เช่น ความตอ้ งการ ความสนใจ ความพรอ้ ม ระดบั สตปิ ญั ญาและประสบการณ์ ฯลฯ ฉะน้นั การทำแบบฝึกแต่ละ
เรื่อง ควรจัดทำให้มากพอและมีทุกระดับตั้งแต่ง่าย ปานกลาง จนถึงระดับค่อนข้างยาก เพื่อว่าทั้งเด็กเรียนเก่ง ปาน
กลาง และออ่ น จะไดเ้ ลือกทำได้ตามความสามารถ ทั้งนีเ้ พอื่ ให้เดก็ ทุกคนประสบผลสำเร็จในการทำแบบฝึก
10. แบบฝึกท่ดี ีควรสามารถเร้าความสนใจของนักเรียนได้ ตัง้ แต่หนา้ แรกไปจนถึงหน้าสุดท้าย
11. แบบฝึกที่ดีควรไดร้ ับการปรับปรุงควบคู่ไปกับหนงั สือแบบเรียนอยู่เสมอ และควรใช้ได้ดีทั้งในและ
นอกห้องเรียน
12. แบบฝกึ ทด่ี ีควรเปน็ แบบฝกึ ทสี่ ามารถประเมินและจำแนกความเจรญิ งอกงามของเด็กไดด้ ว้ ย
13. แบบฝึกหัดที่ดีต้องสามารถฝึกฝนความคงทนในการเรียนรู้ ทำให้เกิดความมั่นใจในการแก้โจทย์
ปญั หา และตอ้ งสามารถฝึกเจตคติที่ดีตอ่ วิชานั้นได้ดว้ ย
จากท่กี ล่าวมาสรุปไดว้ ่า หลักการสร้างแบบฝึกทักษะจะต้องคำนงึ ถึง ความพรอ้ ม ความสนใจของผู้เรียน มี
รูปแบบที่หลากหลาย ด้วยการใช้เกม การเติมคำ เพลง แผ่นภาพ การ์ตูนประกอบ การจัดเรียงเนื้อหาเรียงลำดับจาก
ง่ายไปหายาก เวลาที่ใช้มีความเหมาะสม ถกู ตอ้ งตรงกับจุดประสงค์ท่ีตั้งไว้ กระดาษที่ใช้ทำแบบฝึกต้องมีความทนทาน
พอสมควร เนือ้ หาไม่ยากเกนิ ไป แบบฝกึ ท่ีสร้างขน้ึ ควรมกี ารหาประสิทธิภาพใหไ้ ด้ตามเกณฑ์มาตรฐาน และในการนำ
แบบฝึกไปใช้นั้นควรมีการแจ้งผลการเรียนให้กับผู้เรียนทราบผลทันที เพื่อแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าและความ
บกพร่องทต่ี อ้ งการปรบั ปรงุ แก้ไข
ข้นั ตอนการสร้างแบบฝกึ ทักษะ
สภุ วัฒน์ นามเจรญิ (2552: 40) ไดก้ ลา่ วถึง การวางแผนในการสร้างแบบฝกึ มขี นั้ ตอนในการ
ปฏบิ ตั ิ ดงั นี้
1. วตั ถปุ ระสงค์
2. ศึกษาเกี่ยวกบั เนือ้ หา
3. ขั้นตอนตา่ ง ๆ ในการสร้างแบบฝกึ
3.1ศกึ ษาปญั หาในการเรยี นการสอน
3.2 ศกึ ษาจิตวทิ ยาของเด็ก จติ วิทยาการเรยี นการสอน
3.3 ศึกษาเน้อื หาวชิ า
50
3.4 ศกึ ษาลักษณะของแบบฝกึ
3.5 วางโครงเร่ืองและกำหนดรปู แบบฝกึ ให้สมั พันธก์ บั โครงสรา้ งเรื่อง
3.6 เลอื กเนอื้ หาต่างๆทเ่ี หมาะสมมาบรรจใุ นแบบฝึกให้ครบตามกำหนด
ถวลั ย์ มาศจรัส และคณะ (2550 :20) ไดก้ ล่าวถงึ ข้ันตอนง่าย ๆ ของการสรา้ งและจัดทำแบบฝกึ
ทกั ษะ มดี งั น้ี
ภาพท่ี 2.6 แสดงข้ันตอนการจดั ทำแบบฝกึ หดั แบบฝกึ ทักษะ
1. ศกึ ษาเน้อื หาสาระสาหรบั การ
จดั ทาแบบฝึกหดั แบบฝึกทกั ษะ
2. วเิ คราะหเ์ น้อื หาสาระโดย
ละเอยี ด
3.ออกแบบการจดั ทาแบบฝึกหดั
แบบฝึก ทกั ษะ ตาม
จุดประสงค์
4. สรา้ งแบบฝึกหดั แบบฝึกทกั ษะ
และส่วนประกอบอ่นื ๆ เชน่
ขนั้ ตอนการ ขนั้ ต * แบบทดสอบก่อนฝึก
จดั ทา อนท่ี
* บตั รคาสงั่
แบบฝึกทกั ษะ
* ขั้น ต อ น กิ จ ก ร ร ม ท่ี ผู้ เ รี ย น
ตอ้ งปฏบิ ตั ิ
5. น* าแแบบบบทฝดึกสหอดั บแหบลบงั ฝฝึกึกทกั ษะไป
ใชใ้ นการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้
6. ปรบั ปรงุ พฒั นา ใหส้ มบูรณ์
ทม่ี า : ถวลั ย์ มาศจรสั และคณะ (2550 :20)
51
จากท่กี ลา่ วมาสรุปไดว้ า่ หลกั การสรา้ งแบบฝกึ ทกั ษะจะต้องคำนึงถงึ ความพร้อม ความสนใจของ
ผู้เรียน มีรูปแบบที่หลากหลาย การจัดเรียงเนื้อหาเรียงลำดับจากง่ายไปหายาก ระยะเวลาที่ใช้มีความ
เหมาะสม ถูกต้องตรงกับจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ แบบฝึกที่สร้างขึ้นควรมีการหาประสิทธิภาพให้ได้ตามเกณฑ์
มาตรฐาน และในการนำแบบฝึกไปใชน้ ้นั ควรมีการแจง้ ผลการเรียนให้กบั ผ้เู รยี นทราบผลทนั ที เพ่อื แสดงใหเ้ ห็น
ถึงความก้าวหนา้ และความบกพร่องทต่ี ้องการปรบั ปรุงแกไ้ ข
การหาประสิทธภิ าพของแบบฝกึ
แบบฝึกเมื่อสร้างเสร็จแล้วก่อนนำไปใช้ในภาคสนาม ต้องทำการตรวจสอบประสิทธิภาพ ซึ่งชัยยงค์
พรหมวงศ์ (2533 : 490-491) ไดอ้ ธบิ ายว่า การหาประสทิ ธภิ าพของแบบฝึกให้ใช้
(Try out) แล้วปรับปรุงก่อนนำไปใช้สอนจริงและนำผลที่ได้มาปรับปรุงแก้ไข เสร็จแล้วจึงดำเนินการผลิต
ออกมาเป็นจำนวนมากในการหาประสิทธิภาพของแบบฝึก จะต้องกำหนดเกณฑ์ประสิทธภิ าพไว้ เพื่อให้แบบ
ฝึกมีคุณภาพ ซึ่งเกณฑ์ที่ผู้สอนคาดหมายว่า ผู้เรียนจะเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นที่พึงพอใจโดยกำหนดให้
เปอรเ์ ซ็นตข์ องผลเฉล่ยี ของคะแนนการทำงานและ
การประกอบกิจกรรมของผู้เรียนทั้งหมดต่อเปอร์เซ็นต์ของผลการทดสอบหลังเรียนของผู้เรียนทั้งหมดต่อ
เปอร์เซ็นต์ของผลการทดสอบหลังเรียนของผู้เรียนทั้งหมด คือ E1 : E2หรือประสิทธิภาพของกระบวนการ :
ประสทิ ธิภาพของผลลพั ธ์ โดยกำหนดเป็นเปอร์เซน็ ตข์ องคะแนนเฉล่ยี ครงั้ สุดท้ายที่นักเรียนประสบผลสำเร็จซ่ึง
ปกติต้ังไว้ 80 : 80 หรอื 90 : 90
แบบฝึกท่ีสรา้ งเสรจ็ คร้งั แรกน้นั จำเปน็ ตอ้ งนำไปทดสอบหาประสิทธิภาพตามขัน้ ตอน
ตา่ ง ๆ ซึ่งชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2533 : 490-491) ได้กลา่ วถึงขน้ั ตอนการหาประสทิ ธิภาพไว้ ดังน้ี
ขั้นที่ 1 แบบเดี่ยว เป็นการทดลองกับผู้เรียน 1 คน โดยใช้เด็กอ่อน ปานกลางและเด็กเก่งคำนวณหา
ประสิทธภิ าพแลว้ ปรบั ปรงุ ให้ดขี นึ้ โดยปกตคิ ะแนนทไ่ี ด้จากการทดลองแบบเดย่ี วนี้
จะได้คะแนนต่ำกว่าเกณฑม์ าก
ขั้นที่ 2 แบบกลุ่ม เป็นการทดลองกับผู้เรียน 6-10 คน(คละผู้เรียนที่เก่งกับอ่อน) คำนวณหา
ประสทิ ธิภาพแล้วปรับปรุง ในคราวนค้ี ะแนนของผเู้ รียนจะเพม่ิ ข้นึ อีกเกือบเทา่ เกณฑ์ประมาณ
10 เปอร์เซ็นต์
ขั้นท่ี 3 ข้นั ปฏบิ ัติจรงิ เป็นการทดลองกับผเู้ รียนทง้ั ชั้น 40 – 100 คน คำนวณหาประสิทธิภาพแล้วทำ
การปรับปรงุ ผลลัพธท์ ไี่ ดค้ วรใกลเ้ คียงกับเกณฑท์ ี่ตั้งไว้
ประณีต คนชมุ (2541 : 44-45) กลา่ วไวว้ า่ เม่อื ผลิตแบบฝึกเสริมทกั ษะเปน็ ตน้ ฉบับแล้วต้องนำแบบ
ฝกึ เสรมิ ทกั ษะไปทดลองหาประสทิ ธิภาพตามขนั้ ตอน ดงั น้ี
1. การทดลองแบบเดีย่ วหรอื แบบหน่งึ ต่อหนง่ึ (One – to – one-testing) หรือ 1 : 1
คือทดลองกบั ผู้เรียน 3 คน โดยใช้เด็กท่ีมีระดบั สติปัญญาสูง ต่ำ ปานกลางนำผลที่ได้คำนวณหาประสิทธภิ าพ
เสร็จแลว้ ปรับปรุงใหด้ ีขึ้น โดยปกติคะแนนทไี่ ด้จากการทดลองแบบเด่ยี ว จะมีคา่ ตำ่ กว่าเกณฑม์ าก
52
2. การทดลองแบบกลุ่มเล็ก(Small group testing) หรือ 1 : 10 คือ ทดลองกับผู้เรียน 6-10 คน นำ
ผลท่ไี ด้คำนวณหาประสทิ ธภิ าพแล้วปรับปรุงใหเ้ หมาะสมยิง่ ขึ้น
3. การทดลองภาคสนามหรอื กลุ่มใหญ(่ Large group testing )หรอื 1 : 100 คอื ทดลองกบั ผู้เรียนท้ัง
ชั้น 30 – 100 คน นำผลที่ได้คำนวณหาประสิทธิภาพแล้ว ปรับปรุงให้สมบูรณ์อีกครั้งหนึ่งผลลัพธ์ที่ได้ควร
ใกล้เคียงกับเกณฑ์ที่ตั้งไว้ หากต่ำจากเกณฑ์ไม่เกินร้อยละ 2.5 ก็ยอมรับแต่ถ้าต่างกันมากต้องกำหนดเกณฑ์
ประสทิ ธิภาพของแบบฝึกเสรมิ ทักษะใหมโ่ ดยยึดหลักความจรงิ เป็นเกณฑ์
จากแนวคิดดังกล่าว ผู้ศึกษาได้นำแนวคิดของประณีต คนชุม มากำหนดขั้นตอนของการหา
ประสทิ ธภิ าพของแบบฝกึ ทกั ษะจำนวน 3 คร้งั ดงั นี้
ครัง้ ที่ 1 การทดลองแบบเดย่ี ว คอื นำแบบฝกึ ทกั ษะคณติ ศาสตร์ เรอื่ ง เศษส่วน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ไปทดลองใช้กับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 3 คน กับนักเรียนกลุ่มเก่ง 1
คน กล่มุ ปานกลาง 1 คน กลุ่มอ่อน 1 คน คำนวณหาประสทิ ธิภาพแลว้ ปรบั ปรุงให้ดีขนึ้
ครง้ั ท่ี 2 การทดลองแบบกลมุ่ เลก็ คอื นำแบบฝกึ ทักษะคณติ ศาสตร์ เรอ่ื ง เศษส่วน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ไปทดลองใช้กับนกั เรียน ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 5 จำนวน 9 คน กับนักเรียนกลุม่ เก่ง 3
คน กลมุ่ ปานกลาง 3 คน กลุ่มอ่อน 3 คน เพ่ือคำนวณหาประสิทธภิ าพแล้วทำการปรับปรงุ ถ้าหากไม่เป็นไป
ตามเกณฑก์ ต็ อ้ งนำมาปรับปรงุ แก้ไขและทดลองใหมจ่ นกว่าจะมปี ระสิทธภิ าพเปน็ ไปตามเกณฑ์
ครั้งท่ี 3 การทดลองภาคสนาม คือ นำแบบฝกึ ทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษสว่ น
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ไปทดลองใช้กับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ทั้งชั้นเรียน เพื่อคำนวณหา
ประสทิ ธิภาพแล้วทำการปรับปรุงผลลพั ธท์ ่ีไดค้ วรใกลเ้ คียงกบั เกณฑท์ ีต่ ง้ั ไว้
หลกั การและวธิ ีการทำแบบฝึกทกั ษะ
Johnson and Rising (1967 :95-96 อ้างอิงใน อภิรักษ์ จงวงศ์ 2549 :38) ได้กล่าวถึง หลักการ
พน้ื ฐานในการทำแบบฝกึ หัด ดงั น้ี
1. การฝึกต้องทำด้วยความต้ังใจทีจ่ ะพฒั นา
2. การฝึกควรทำดว้ ยความข้าใจและใชค้ วามคิด
3. การฝึกควรเปน็ การค้นหาและพบซง่ึ ความเขา้ ใจ
4. การฝึกจะเกี่ยวพันที่ถูกต้องค่อนข้างมากกว่าผลลัพธ์ที่ผิด ครูควรจัดคำเฉลยไว้ให้นักเรียน
ตรวจสอบ เพือ่ ขจัดความผดิ พลาดและผลลพั ธ์ทถี่ กู ตอ้ งดว้ ยตนเอง
5. การปฏิบตั คิ วรคำนงึ ถงึ ความตอ้ งการและความสามารถของนกั เรียนแต่ละคน
6. การฝึกปฏบิ ตั ิควรใช้เวลาส้ัน ๆ เพ่อื หลกี เลยี่ งการเหนอื่ ยล้า
7. ควรใหฝ้ กึ ด้วยแบบฝึกที่มีประโยชน์ สามารถส่งเสรมิ ใหน้ ำไปประยุกตใ์ ช้ได้
8. การฝกึ ควรเน้นหลกั การทวั่ ไปมากกว่ากลวธิ ี หรอื วิธีลัด
9. ควรให้ฝกึ ด้วยกิจกรรมทีห่ ลากหลาย เชน่ เกม ปรศิ นา การแขง่ ขัน
53
10. ผเู้ รยี นควรไดก้ ารสอนวธิ กี ารปฏิบัติ
11. การฝึกปฏิบตั ิต้องไม่มกี ารลงโทษ
จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า หลักการและวิธีการทำแบบฝึกหัดว่า จะต้องคำนึงถึงความสามารถของ
ผู้เรียน มีการชี้แจงให้นักเรียนเข้าใจความสำคัญของแบบฝึกหัด ควรอยู่ในการดูแล ไม่ให้งานมากหรือน้อย
เกิน ควรไดฝ้ กึ บอ่ ย ๆ แตท่ ลี ะน้อย มแี รงเสริม และหลังจากการมอบหมายงาน กำหนดระยะเวลาของการฝึก
ปฏิบตั ิ มีการติดตามและประเมนิ ผลการทำงาน
การตรวจแบบฝกึ ทกั ษะ
สุภวฒั น์ นามเจรญิ (2552:43) ได้กล่าวถงึ การตรวจแบบฝกึ หัดเป็นการให้ข้อมูลย้อนกลับ แก่นักเรียน
อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้ทราบว่าสิ่งที่ทำไปนั้นถูกหรือผิด ถ้าไม่ทราบก็ไม่สามารถปรับปรุงข้อที่ควรแก้ไขได้
นอกจากนั้นยังเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีโอกาสเปรียบเทียบการกระทำของตนกับการกระทำอันเป็นมาตรฐานสำหรับ
ทักษะนนั้ ๆ ได้ ถา้ ปรากฏว่าผลงานของตนมีความก้าวหน้าก็จะเป็นการเสริมแรงอกี วิธีหนึ่ง ซงึ่ ทำให้ผู้เรียนเกิดความ
พึงพอใจ และพรอ้ มท่ีจะปรับปรุงการทำงานของตนใหด้ ียง่ิ ขึ้น หากครูตรวจแบบฝึกหัดล่าช้า ไม่ตรงเวลา หรือไม่ตรวจ
แบบฝกึ หัด จะมผี ลทำให้ผู้เรียนปฏิเสธการเรยี นยง่ิ ขึน้ หรอื ใช้วธิ ีการอ่ืนแทน เชน่ ลอกเลยี นของเพื่อน
หลักการตรวจแบบฝึกหัด มีดงั น้ี
1. ครูควรจะบอกได้ว่าผลงานของผู้ใดมีส่วนบกพร่อง จะต้องปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้ทราบว่าตอนใด
ผู้เรียนไม่เข้าใจและมีความจำเป็นต้องช่วยเหลือกันเป็นรายบุคคลถ้าผู้เรียนยังไม่เข้าใจจุดเดียวกัน ผู้สอนจะจ้อง
สอนเน้อื หาน้นั ใหม่
2. ผู้สอนจะต้องชี้จุดผิด ผิดอย่างไร ถ้าจะทำให้ถูก ต้องทำอย่างไร เพื่อให้ผู้เรียนปรับปรุงได้ในคราว
ตอ่ ไป
3. ควรมกี ารชมเชยผลงานบ้างเพื่อให้กำลังใจผู้เรียน แตค่ ำชมเชยน้ันต้องส่ือความหมายและต้อไม่ใช้
จนผเู้ รยี นไดย้ ินพร่ำเพรื่อ
4. ต้องกระทำอยา่ งสม่ำเสมอ และสามารถแกข้ ้อบกพร่องของผู้เรียนได้ทนั ที
5. เป็นการประหยัดเวลาแตเ่ กิดผลดีทงั้ ผู้สอนและผู้เรยี น
การตรวจแบบฝึกหัด
1. การตรวจโดยใช้เครื่องหมายถูกหรือผิดในข้อความ หรือผลงานของผู้เรยี นทำแล้วลงชื่อและลงวันท่ี
กำกับไว้ วิธีนี้เป็นวิธีการที่แสดงให้เห็นว่าผ่านการตรวจแบบฝึกหัดไปแล้ว หรือบอกให้ผู้เรียนทราบว่าผิดหรือถูก
เทา่ น้นั แตไ่ มไ่ ดช้ ว้ี า่ ตรงไหนผิดและถูกต้องอย่างไรวิธนี ด้ี ีในแง่ของการประหยัดเวลา แตไ่ มเ่ กิดผลดา้ นอนื่ ๆ
2. การตรวจโดยการให้คะแนนตีราคาผลงานของผู้เรียน วธิ ีการนผี้ ู้เรียนจะไม่ทราบหลักเกณฑ์ในการ
ใหค้ ะแนนและบอกข้อสงสัยของผเู้ รียนได้
54
3. การตรวจโดยใช้เกรดตีราคาผลงานที่นักเรียนทำ เช่น ก,ข หรือ A, B เป็นวิธีการที่นิยมใน
มหาวิทยาลัยหรือวิทยาลัย แต่ไม่เหมาะกับโรงเรียนประถมศึกษา เพราะผู้เรียนไม่เข้าใจและไม่สามารถทราบได้ว่า
ผดิ ตรงไหนอยา่ งไร
4. การตรวจแบบฝึกหัดโดยให้คำชมเชย เป็นการเสริมแรงตามหลัวจิตวิทยา เชน่ ดีมาก ดี พอใช้ ฯลฯ
เป็นวิธกี ารทใ่ี ห้กำลงั ใจผู้เรียน แต่ไมส่ ามารถบอกไดว้ ่าผู้เรียนผดิ หรือถูกตรงไหน นอกจากจะต้องสอบถามครูผู้ตรวจ
เป็นรายบุคคล ถ้าครูใช้วิธีการนีเ้ ป็นประจำก็จะไม่เกิดผลในแง่ของการให้กำลังใจเพราะผู้เรียนจะรูส้ ึกวา่ เป็นเรื่อง
ธรรมดาไมม่ คี ุณคา่ แต่อย่างใด
5. การให้ผู้เรียนเปลี่ยนงานกันตรวจและครูเป็นผู้ให้ วิธีการนีด้ ตี รงท่ีประหยัดเวลาของครูและผู้เรียน
ผ้เู รยี นเหน็ วธิ กี ารทำแบบฝึกหัดที่ครูเฉลย แต่เป็นวธิ ีการที่สง่ เสริมให้ผู้เรียนจำรูปแบบและมีจุดอ่อนคือ ผู้เรียนขาด
ความประณตี ครผู ูส้ อนไมม่ ีโอกาสเห็นความผิดพลาดของผเู้ รียน
6. การตรวจโดยชี้ข้อบกพร่อง หรือข้อผิดพลาดลงในสมุดแบบฝึกหัดของผู้เรียนแต่ละคน พร้อมท้ัง
แก้ไขให้ถูกต้องหรือช้ีให้เห็นว่าผิดอย่างไร ทีถ่ ูกควรเป็นอย่างไรวิธีการนี้ผู้เรียนสามารถเห็นข้อผิดพลาดของตนเอง
และทราบว่าที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร โดยไม่ต้องไปสอบถามครูผู้สอน ครูรู้ว่าผู้เรียนแต่ละคนมีจุดอ่อนตรงไหน
ผู้เรยี นสว่ นใหญ่เขา้ ใจเรื่องใดแม้จะเสียเวลาแต่ผลทีไ่ ด้ก็คมุ้ คา่
จากเอกสารที่เกี่ยวข้องกับแบบฝึกทักษะดังกล่าวพอสรุปได้ว่า แบบฝกึ เป็นเครื่องท่ีมีประสิทธิภาพใน
การช่วยสอนคณิตศาสตร์ เนือ่ งจากเปน็ แบบฝึกท่ีสร้างขึ้นตามหลกั การซ่งึ จะช่วยให้นักเรียนได้รับฟังเน้ือหาความรู้
และทกั ษะทางคณิตศาสตรค์ วบคู่กนั ไปด้วย อกี ท้ังยังสามารถนำความรทู้ ีไ่ ด้จากการทำแบบฝกึ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์
ต่อตนเองและผู้อ่ืน ในชวี ิตประจำวนั ได้และการที่ผู้สอนจะต้องสร้างแบบฝกึ เพ่ือให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนทักษะต่าง ๆ ที่
เรียนไปแล้วนั้นควรตอ้ งศึกษาทฤษฎีหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการสร้างแบบฝึกให้ตรงกับ
หลกั การเรียนรขู้ องผู้เรียน
แนวคิดทฤษฎที ่เี กีย่ วขอ้ งกบั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน
ความหมายของผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น
จากการศึกษาคน้ คว้ามผี ใู้ หค้ วามหมายของผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น (Achiveement)ไว้ดงั นี้
รุ่งอรุณ มณีโรจน์ (2552 : 47) ได้กล่าวถึง ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหมายถึง คุณลักษณะหรือ
ความสามารถทางสมองของบุคคลท่พี ฒั นาขึน้ ทงั้ ทางด้านความรู้ ความจำ ทกั ษะ ความรสู้ กึ และค่านิยม ซ่ึงได้
จากการเรยี นรู้ประสบการณแ์ ละสิง่ แวดล้อมต่างๆ
พุธทิตา ดอนฟุ้งไพร(2548 :57) ได้กล่าวถึง ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะ
ความสามารถของบคุ คลทพ่ี ัฒนาขน้ึ จากผลการเรียนการสอน การฝกึ ฝน อบรมและประสบความสำเร็จในด้าน
ความรู้ ทักษะ และสมรรถภาพดา้ นต่าง ๆ
ทองใบ นึกอุ่นจิต (2548 :30) ได้กล่าวถึง ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหมายถึง ความรู้ความสามารถ
คุณลักษณะและประสบการณ์การเรียนร้ทู ่ีเกิดจากการเรียนการสอน ทำใหบ้ ุคคลเกดิ การเปลีย่ นแปลงสมรรถภาพทาง
สมอง สามารถวัดได้โดยใช้แบบทดสอบให้นักเรียนตอบคำถามดว้ ยกระดาษและดินสอ
55
สรุปได้ว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ ความสามารถ คุณลักษณะและประสบการณ์
การเรียนรู้ของนักเรียนที่ได้รับจากการสั่งสอนของครู สามารถตรวจสอบได้โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรยี น
การวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น
การวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นว่าสามารถวัดผลได้ 2 แบบ ตามความม่งุ หมายและลักษณะวชิ าท่ีสอน
ดงั น้ี
1. การวัดผลด้านการปฏิบัติ เป็นการตรวจสอบระดับความสามารถในการปฏิบัติหรือทักษะ
ของผู้เรียน โดยมุ่งเน้นใหผ้ ู้เรียนได้แสดงความสามารถดังกล่าวในรูปแบบของการกระทำจริงเป็นผลงาน เช่น
วิชาศิลปศึกษา พลศึกษา งานช่าง เป็นต้น การวัดผลแบบนีจ้ ึงต้องใช้ข้อสอบ “ภาคปฏิบัติ” (Performances
Test)
2. การวัดผลด้านการเนื้อหา เป็นการตรวจสอบความสามารถที่เกี่ยวกับเนื้อหา อันเป็น
ประสบการณก์ ารเรยี นร้ขู องผเู้ รียน รวมถึงพฤตกิ รรมความสามารถในด้านต่าง ๆ สามารถวดั ผลได้
โดยใช้ “ขอ้ สอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น (Achievement Test) (พุธทติ า ดอนฟุ้งไพร. 2548 : 58)
การวัดผลด้านเนื้อหาสอดรับการวัดผลตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ประกอบดว้ ยองค์ความร้ใู น
เนื้อหาที่ต้องการวดั คุณลกั ษณะของพฤติกรรมและองค์ประกอบ ซึ่งจำแนกองค์ความรู้ในเนื้อหาท่ีตอ้ งการวดั
และคุณลักษณะของพฤติกรรมออกตามความเชื่อ เช่น ระดับความรู้ความสามารถตามแนวคิดของบลูม 6
ระดับ ดังนี้
1. ความจำ คือ สามารถจำเร่อื งตา่ ง ๆ ได้ เชน่ คำจำกดั ความ สตู รตา่ ง ๆ
วธิ ีการเช่น นกั เรียนสามารถบอกช่อื สารอาหาร 5 ชนิดได้ นักเรียนสามารถบอกชอื่ ธาตทุ ่ีเปน็ องคป์ ระกอบของ
โปรตีนได้ครบถว้ น
2. ความเขา้ ใจ คอื สามารถแปลความ ขยายความ และสรปุ ใจความสำคญั ได้
3. การนำไปใช้ คือ สามารถนำความรู้ ซง่ึ เปน็ หลกั การทฤษฎี ฯลฯ ไปใชใ้ นสภาพการณ์
4. การวิเคราะห์ คอื สามารถแยกแยะข้อมลู และปัญหาต่าง ๆ ออกเป็นสว่ นย่อยเชน่
วเิ คราะห์องค์ประกอบ ความสมั พันธ์ หลักการดำเนินการ
5. การสังเคราะห์ คอื สามารถนำองคป์ ระกอบหรือส่วนต่าง ๆ เขา้ มารวมกัน
เป็นหมวดหมอู่ ยา่ งมีความหมาย
6. การประเมนิ คา่ คอื สามารถพิจารณาและตดั สนิ จากขอ้ มลู คณุ ค่าของ
หลักการโดยใช้มาตรการทผี่ ้อู นื่ กำหนดไวห้ รอื ตัวเองกำหนดขน้ึ
การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น
56
พวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2543:65) ได้สรุปว่าแบบทดสอบเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ควร
ประกอบดว้ ยลกั ษณะสำคัญต่อไปน้ี
1. มีความเท่ียงตรง (Validity) หมายถงึ แบบทดสอบทส่ี ามารถทำหน้าท่วี ดั ส่งิ
ท่เี ขาตอ้ งการวดั ไดอ้ ยา่ งถูกต้อง ตรงตามจุดมุง่ หมาย สอดคล้องกบั เนือ้ หารายวชิ าและครอบคลุม
พฤติกรรมตรงตามทีก่ ำหนดไว้ในตารางวเิ คราะหห์ ลักสตู ร หรือจุดมุ่งหมายเชงิ พฤตกิ รรม
ทก่ี ำหนดไวใ้ นเนือ้ หาแตล่ ะหนว่ ยไดอ้ ยา่ งครบถ้วน
2. มีความเชือ่ มั่น ( Reliability ) หมายถึง แบบทดสอบทส่ี ามารถให้ผลคงทีไ่ ม่ว่า
จะนำไปสอบวัดกี่คร้ังกต็ าม
3. มคี วามเป็นปรนยั (Objectivity ) คอื มีคณุ สมบัติ ตอ่ ไปนี้ คำถามมีความชัดเจน
เข้าใจตรงกนั ต้องตรวจให้คะแนนตรงกัน คอื มมี าตรฐานการให้คะแนนท่ชี ัดเจน ทำใหผ้ ู้ตรวจไมว่ ่าใคร ก็ตาม
ตรวจใหค้ ะแนนได้ตรงกนั การแปลความหมายแบบตรงกนั กลา่ วคือ คะแนนท่ีได้บอกสถานภาพของผู้สอบ
ไดต้ รงกัน
4. มีการถามลึก (Searching ) หมายถงึ คำถามจะไมถ่ ามเพียงความรู้ ความจำ
ตามตำราหรอื ถามท่ีครูสอน แต่ตอ้ งใหน้ กั เรียนนำความรไู้ ปวเิ คราะห์ วิจารณ์ และใช้ในสถานการณ์จรงิ ๆ
5. มีความยุตธิ รรม (Fair) หมายถงึ ข้อคำถามและข้อสอบน้ันจะต้องไมม่ ีช่องทาง
แนะให้เด็กฉลาดใช้ไหวพริบคาดเดาได้ถูก และไม่เปิดโอกาสให้เด็กขี้เกียจคร้านตอบได้ นั้นคือข้อสอบต้อง
ครอบคลุมทงั้ เนือ้ หาวชิ า และสมรรถภาพของสมอง
6. มีลักษณะกระตุ้น เป็นแบบอย่างที่ดี (Exemplary) หมายถึง ข้อสอบจะต้องประกอบด้วย
คำถามท่ีจะสรา้ งเป็นแบบอยา่ งท่ดี ใี ห้แก่ผเู้ รยี น ไม่ควรถามสิ่งท่เี ปน็ ตวั อยา่ งที่ไมเ่ หมาะสมไม่ควรปฏิบัติ
7. มอี ำนาจจำแนก (Discrimination) หมายถงึ ขอ้ สอบนนั่ สามารถแยกเดก็ เก่งและ
เดก็ อ่อนออกจากกัน
8. มีความยาก (Difficulty) พอเหมาะคือ ขอ้ สอบนัน้ จะต้องไม่ยากเกนิ ไปและง่าย
เกินไป ผลทดการทดสอบโดยเฉลี่ยควรเท่ากบั หรอื สงู กว่า 50 % ของคะแนนเต็มเลก็ นอ้ ย
9. มลี ักษณะเฉพาะเจาะจง (Definite) คอื ตงั้ คำถามและคำตอบทมี่ ุ่งถามเร่ืองใดเรอื่ ง
หน่ึงอย่างชดั เจน ไม่กำกวม ไม่ถามแบบครอบจกั รวาล
10. มีประสิทธิภาพ (Efficiency) คอื สามารถใหค้ ะแนนเท่ียงตรง และเชอ่ื ถือไดม้ าก
ท่ีสุดภายในเวลาท่ีสอบน้อยทีส่ ุด ใช้แรงงานและทุนน้อยทีส่ ุด
ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2538 :122-124) ไดส้ รปุ ขน้ั ตอน การสรา้ งแบบทดสอบไว้ดังนี้
1. การพจิ ารณาจุดประสงคข์ องการสอบว่าการสอบครัง้ น้มี จี ดุ ประสงค์หรอื
จดุ มุ่งหมายอะไร
2. สรา้ งตารางกำหนดรายละเอยี ด
57
3. เลอื กแบบของขอ้ สอบให้เหมาะสม
4. รวมข้อสอบทำเปน็ แบบทดสอบ
5. กำหนดวธิ กี ารดำเนินการสอบ
6. การประเมินคุณภาพของแบบทดสอบ
7. การนำผลไปใชป้ รับปรุงเปา้ ประสงคข์ องการเรียน
พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2548 : 95) ได้กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หรือพฤตกิ รรมหรือผลการเรียนรู้
ของผู้เรียนอันเนื่องมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนการผลสัมฤทธิ์สอนของครู ว่าผู้เรียนมีความสามารถหรือ
สมั ฤทธ์ิผลในแต่ละรายวชิ ามากนอ้ ยเพยี งใดผลการทดสอบวัดจะเปน็ ประโยชน์ตอ่ การพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพ
ตามจุดประสงคข์ องการเรียนรู้ หรือมาตรฐานผลการเรยี นรู้ที่กำหนดไว้ และเป็นประโยชนต์ ่อการปรบั ปรุงและ
พัฒนาการสอนของครูให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การที่จะทำให้ได้ผลการทดสอบมีความถูกต้อง
เที่ยงตรงเชื่อถือได้นั้นจะต้องใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่มีคุณภาพซึ่งผ่านการสร้างอย่างถูกต้องตามหลัก
วชิ าการ
จากการศึกษาค้นควา้ สามารถสรปุ ได้ว่า วธิ กี ารสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ท่กี ล่าวมาจะเห็นว่า
ในการสรา้ งแบบทดสอบใด ๆ ก็ตามจะต้องแปลจดุ มงุ่ หมายท่วั ไปให้เป็นจุดมงุ่ หมายเฉพาะหรอื จดุ ม่งุ หมายเชิง
พฤติกรรมและจะต้องคำนึงถึงเนื้อหาซึ่งจะเป็นสื่อที่จะให้นักเรียนบรรลุตามจุดมุ่งหมายนั้น ๆ ควบคู่กันไปใน
การทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ ในครั้งนีผ้ ู้ศกึ ษาได้ใช้แบบทดสอบแบบเลือกตอบ
(Multiple Choice Test) ข้อดีของแบบทดสอบแบบเลือกตอบและวัดได้ครอบคลุมพฤตกิ รรมด้านสติปัญญา
คือ วัดด้านความรู้ – ความจำ (Knowledge) วัดด้านความเข้าใจ (Comprehension) วัดด้านการนำไปใช้
(Application) วัดด้านการวิเคราะห์ (Analysis) วัดด้านการสังเคราะห์ (Synthesis) วัดด้านการประเมินค่า
(Evaluation)
แนวคิดทฤษฎที ีเ่ ก่ยี วข้องกับความพึงพอใจในการเรียนรู้
ความหมายของความพึงพอใจ
ความพงึ พอใจเป็นทศั นคติอย่างหนง่ึ ท่มี ีลักษณะนามธรรม ไม่สามารถมองเห็นเป็นรูปร่างได้ การท่ี
เราจะทราบว่าบุคคลมคี วามพงึ พอใจหรือไม่ สามารถสงั เกตได้จากการแสดงออก ทค่ี อ่ นขา้ งสลับซับซ้อน จึง
เปน็ การยากทจ่ี ะวัดความพงึ พอใจโดยตรง แต่สามารถวดั โดยออ้ ม โดยการวัดความรู้สึกหรอื คิดเป็นของบุคคล
เหล่าน้นั แทน และการแสดงความคดิ เหน็ นน้ั จะตอ้ งตรงกับความรสู้ ึกทีแ่ ทจ้ รงิ จงึ จะสามารถวดั ความพงึ พอใจ
นั้นได้ ตามพจนานกุ รมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 (2546: 600) กล่าวว่า “พึง” เป็นคำช่วยกรยิ าอน่ื
หมายความวา่ “ควร” เช่น พึงใจ หมายความว่า พอใจ ชอบใจ และคำวา่ “พอ” หมายความวา่ เทา่ ทตี่ ้องการ
เตม็ ความต้องการ
58
ความพงึ พอใจ (Satisfaction) หมายถึง ความรสู้ ึกท่ีดีของบุคคลท่ีได้รับการตอบสนองเม่ือบรรลุ
วตั ถุประสงค์ในสิง่ ท่ตี ้องการและคาดหวงั ความพึงพอใจเปน็ ความชอบของแต่ละบุคคลซ่ึงระดับความพึงพอใจ
ของแต่ละคนย่อมแตกตา่ งกนั อาจจะเนื่องจากพืน้ ฐานทางการศึกษาทางด้านเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม เป็น
ตน้
ปรียาพร วงศ์อนตุ รโรจน์ (2544 : 9) ได้กล่าวถงึ ความหมายของความพึงพอใจไว้วา่ ความพึงพอใจ
หมายถงึ ความรู้สกึ ของบุคคลท่ีมตี ่อการทำงานในทางบวกเปน็ ความสุขของบุคคล ทเ่ี กดิ จากการปฏบิ ัติงานและ
ผลตอบแทน คือผลที่เป็นความพึงพอใจที่ทำให้เกิดความกระตือรือร้น มีความมุ่งมั่นที่จะทำงาน มีขวัญและ
กำลงั ใจ ส่ิงเหลา่ นจ้ี ะมผี ลต่อประสทิ ธิภาพและประสิทธิผล ของการทำงานรวมท้ังการส่งผลตอ่ ความสำเร็จและ
เป็นไปตามเปา้ หมายขององคก์ ร
นงลักษณ์ วานิช (2545 : 8) ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจว่า หมายถึง ความรู้สึกทีด่ ีของ
บุคคลต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นความรู้สกึ ท่ีดีทีเ่ กิดจากการตอบสนองท้ังร่างกายและจิตใจ จนทำให้เกิดความพึง
พอใจ
อานนท์ กระบอกโท (2546 : 33) ได้สรุปความหมายความพงึ พอใจไว้วา่ ความพึงพอใจหมายถึง
ความรูส้ กึ หรือเจตคติท่ีดีต่อการทำงานนั้น เชน่ ความรู้สึกชอบ ภมู ิใจ สขุ ใจเตม็ ใจและยนิ ดีจะมีผลให้เกิดความ
พงึ พอใจในการทำงาน มกี ารเสียสละอุทิศแรงกาย แรงใจ และสติปญั ญา ให้แกง่ านอย่างแท้จริง
สรปุ ไดว้ ่า จากความหมายของความพึงพอใจ หมายถงึ ความรู้สกึ นึกคิดของบคุ คลในทางทดี่ ี ต่อการ
ทำงานหรือการปฏิบัตงิ านสิ่งใดสงิ่ หนงึ่
แนวคดิ ทฤษฎเี กีย่ วกับความพงึ พอใจ
การเรียนหรือการทำงานใด ๆ ก็ตาม มักจะเกี่ยวข้องกับความพึงพอใจที่เกิดขึ้นหลังจากการ
ปฏิบัติงานเหลา่ นั้นทุกครัง้ ซึ่งความพอใจจะเกิดมากหรอื น้อยขึ้นอยู่กบั ปัจจัยหลายประการด้วยกัน ประการ
หน่ึงน้นั กค็ ือ แรงจูงใจ ทจ่ี ะเป็นผลใหเ้ กดิ แรงผลักดนั หรือแรงจูงใจให้กระทำหรือตอบสนองเพ่ือกระตุ้นให้เกิด
พฤติกรรมท่มี ีจุดหมาย ฉะน้ัน ในการเรียนหรือการปฏิบตั ิงานใดๆ ก็ตาม ย่อมตอ้ งใช้แรงจูงใจเข้ามาเก่ียวข้อง
ทง้ั ภายในและภายนอก เพอื่ ผลักดนั ให้เกิดผลสำเร็จ ตามความม่งุ หมายไว้ ดงั น้ัน ความพงึ พอใจจึงเกีย่ วข้องกับ
ทฤษฎตี า่ ง ๆ ดงั นี้
วินิจ อิสรางกูล ณ อยุธยา และปรีดาโทนแก้ว (2534: 17-18) กล่าวถึงทฤษฎีค้ำจุน (The
Motivation – Hygiene Theory) หรือทฤษฎีองค์ประกอบค่ขู องเฮอร์ซเบริ ์ก(Frederick Herzberg) ดงั น้ี
1. ปัจจัยจูงใจ (Motivation)เป็นปัจจัยทีน่ ำไปสูท่ ัศนคตใิ นทางบวก เพราะทำใหเ้ กิดความพึงพอใจ
ในการปฏบิ ตั ิงาน ซง่ึ มลี ักษณะสมั พนั ธก์ ับเรื่องของงานโดยตรง นั่นคือ ความตอ้ งการทจ่ี ะได้รบั ความสำเร็จตาม
ความนึกคิดของตน
59
2. ปัจจยั ค้ำจุน (Hygiene)เป็นปจั จัยที่ป้องกนั ไม่ใหเ้ กดิ ความไม่พงึ พอใจในการปฏิบัติงานได้
อรพิน จิรวัฒนศิริ (2541 : 19) กล่าวถึงทฤษฎีการใช้ประโยชน์และความพึงพอใจจากสื่อ เป็น
ทฤษฎีที่ให้ความสำคัญกับผู้บริโภค (Consumer) หรือผู้รับสาร (Receiver) โดยผู้รับสารจะอยู่ในฐานะเป็น
ผู้กระทำการเลือกใช้สื่อ (Active Selector of Media Communication)ซึ่งนับได้ว่าเป็นมุมมองที่แตกต่างจากทฤษฎีท่ี
ไม่ได้ให้ความสำคัญกับผู้รับสาร เพราะแต่เดิมผู้รับสารถูกมองว่าเป็นถูกกระทำ ดงั นนั้ สมมตฐิ านของทฤษฎีการใช้
ประโยชน์และความพึงพอใจในการส่ือสาร ผสู้ ง่ สารจึงไม่อาจคาดหมายความสัมพันธ์ระหว่างข่าวสารกับประสิทธิภาพของ
การสอื่ สาร เพราะทา่ มกลางความสัมพนั ธ์ของตวั แปรทง้ั สอง มปี จั จยั ดา้ นการใช้ส่อื ของผู้รับสารเข้ามาเป็นตัวแปร
แทรกซอ้ นของกระบวนการส่ือสาร
และได้ทำการศึกษา อธบิ ายเรือ่ งการใช้ประโยชน์ การไดร้ ับความพึงพอใจจากสื่อ
ความพึงพอใจในการเรียน และผลการเรียน มีความสัมพันธ์กันในทางบวก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกิจกรรม
ที่นักเรียนได้ปฏิบัตินั้น ทำให้นักเรียนได้รับการตอบสนองความต้องการด้านร่างกายและจิตใจ
ซง่ึ เปน็ สว่ นสำคัญท่จี ะทำใหเ้ กดิ ความสมบรู ณ์ของชวี ติ
ศุภสิ รา โททอง (2547 : 47-49) ได้กล่าวถงึ ทฤษฎคี วามตอ้ งการลำดับข้ันของมาสโลว์ เขาชี้ให้เห็น
ว่ามนุษย์ถูกกระตุ้นจากความต้องปรารถนาที่จะสนองความต้องการเฉพาะอย่าง ซึ่งความต้องการนี้เขาได้
สมมตฐิ านเกีย่ วกบั ความตอ้ งการของมนษุ ยไ์ ว้ ดังนี้
1. บุคคลต้องมีความต้องการอยู่เสมอและไม่มีสิ้นสุด ขณะที่ความต้องการใดได้รับการตอบสนอง
แลว้ ความต้องการอย่างอื่นก็จะเกดิ ขนึ้ อยา่ งไมม่ วี ันจบส้นิ
2. ความตอ้ งการทไี่ ด้รับการตอบสนองแล้ว จะไม่เปน็ ส่งิ จงู ใจของพฤตกิ รรมอ่นื ต่อไป ความต้องการ
ที่ยังไมไ่ ด้รับการตอบสนองจงึ เปน็ ส่ิงจูงใจในพฤตกิ รรมของคนน้ัน
3. ความต้องการของคนจะเรียงลำดับขั้นตอนความสำคัญ เมื่อความต้องการระดับต่ำได้รับการ
ตอบสนองแล้ บคุ คลกจ็ ะใหค้ วามสนใจในความตอ้ งการระดับสงู ต่อไป
ในการดำเนินการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ความพงึ พอใจเป็นสง่ิ สำคัญที่จะกระตุ้นให้ผู้เรียนทำงานท่ี
ได้รับมอบหมายหรือต้องการปฏบิ ตั ิให้บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ ผู้สอนซ่ึงในสภาพปัจจุบันเป็นเพยี งผู้อำนวย
ความสะดวกหรือให้คำแนะนำปรึกษา จึงต้องคำนึงถึงความพอใจในการเรียนรู้ การทำให้ผู้เรียนเกิดความพึง
พอใจในการเรียนรู้ หรอื การปฏบิ ตั งิ าน มีแนวคิดพืน้ ฐานทตี่ ่างกนั 2 ลกั ษณะ คอื
1. ความพึงพอใจนำไปสกู่ ารปฏิบตั งิ าน
การตอบสนองความต้องการผู้ปฏิบัติงานจนเกิดความพึงพอใจ จะทำให้เกิดแรงจูงใจในการเพิ่ม
ประสิทธิภาพการทำงานที่สูงกว่าผู้ไม่ได้รับการตอบสนอง ทรรศนะตามแนวคิดดังกล่าวจากแนวคิดดังกล่าว
ผสู้ อนที่ต้องการให้กิจกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรยี นเปน็ ศูนยก์ ลางบรรลุผลสำเร็จ จึงตอ้ งคำนึงถึงการจัด
60
บรรยากาศและสถานการณ์ รวมทั้งสื่ออุปกรณ์การจัดการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการเรียน เพื่อตอบสนองความพึง
พอใจของผเู้ รียนให้มแี รงจงู ใจในการทำกจิ กรรมจนบรรลตุ ามวตั ถปุ ระสงคข์ องหลักสูตร
2. ผลของการปฏบิ ัติงานนำไปสคู่ วามพึงพอใจ
ความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจและผลการปฏิบัตงิ านจะถูกเชื่อมโยงด้วยปัจจัย
อื่น ๆ ผลการปฏิบตั ิที่ดีที่จะนำไปสู่ผลตอบแทนที่เหมาะสม ซึ่งในที่สดุ จะนำไปสู่การตอบสนองความพึงพอใจ
ผลการปฏิบัติงานย่อมได้รับการตอบสนองในรูปของรางวัล หรือผลตอบแทน ซึ่งแบ่งออกเป็น ผลตอบแทน
ภายใน และผลตอบแทนภายนอก โดยผ่านการรับรู้เกี่ยวกับความยุติธรรมของผลตอบแทน ซึ่งเป็นตัวบ่งช้ี
ปริมาณของผลตอบแทนที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับ นั่นคือ ความพึงพอใจในงานจะถูกกำหนดโดยความแตกต่าง
ระหวา่ งผลตอบแทนที่เกิดขึน้ จริง และการรับรู้เรอ่ื งเกีย่ วกับความยตุ ิธรรมของผลตอบแทนท่ีรับรู้แล้วความพึง
พอใจยอ่ มเกดิ ขนึ้
จากแนวคิดทฤษฎีต่าง ๆ สรุปได้ว่า ความพึงพอใจ เกิดจากแรงจูงใจทั้งภายในและภายนอก ซึ่งทำให้
บคุ คลนนั้ แสดงออกมาในด้านเจตคติ ด้านพฤติกรรม ซึ่งมีทง้ั ทางบวกและทางลบ ขนึ้ อยู่กับวา่ ได้รับการเสริมแรงไป
ทางใด เช่นเดียวกับการใช้แบบฝึกทกั ษะคณิตศาสตร์ในการเรียนของนักเรียนหากนักเรยี นมีความพึงพอใจก็จะ
เป็นแรงเสริมให้การเรียนการสอนมีประสิทธภิ าพมากข้ึนดังนั้น ในการจัดทำแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์คร้งั นี้
จึงจำเปน็ ต้องศกึ ษาความพงึ พอใจของนักเรียนตอ่ การเรยี นโดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะคณิตศาสตรท์ จ่ี ดั ทำขนึ้ ดว้ ย
งานวิจยั ที่เกี่ยวขอ้ ง
งานวิจัยในประเทศ
วีรพล อินต๊ะปะ (2549:บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเร่ือง รายงานการใช้แบบฝึกทักษะเร่ือง เศษส่วนและ
การบวก การลบ การคณู และการหาร ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 6 ผลการศกึ ษา พบว่า 1) ไดแ้ ผนการจดั การเรยี นรู้
วิชาคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 6 จำนวน 17 แผน ใชเ้ วลา 17 ช่ัวโมงผลการประเมินค่าความสอดคล้อง
อยู่ที 0.80 – 1.00 2) ได้แบบฝึกทักษะเรื่องเศษส่วนและการบวก การลบ การคูณ การหารเศษส่วน จำนวน
17 ชดุ ทมี่ ีประสทิ ธิภาพ (E1 / E2) ของแต่ละชุด สูงกวา่ เกณฑ์มาตรฐานคอื (80 / 80) 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนของนักเรียนหลังจากใช้แบบฝกึ ทักษะเรือ่ งเศษส่วนและการบวก การลบ การคูณ การหารเศษสว่ น ด้วย
ข้อทดสอบหลังเรียน 85 ข้อ ปรากฏค่า คะแนนสูงข้ึน แตกต่างกันอย่างมนี ัยสำคัญทางสถิตทิ ี่ระดับ 0.01 4)
การประเมินความพึงพอใจ ของนักเรียนท่ีมตี ่อการใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง เศษส่วนและการบวก การลบ การ
คูณ การหารเศษส่วน การแปลผล ปรากฏว่า ผลการประเมนิ ได้ค่ามากท่ีสุด 9 รายการ มคี ่าเฉล่ียสูงสุดเท่ากับ
4.88 ระดับมากทีส่ ุดตามลำดับ รองลงมา 2 รายการทไ่ี ดค้ า่ เท่ากนั มีค่าเฉล่ีย เท่ากับ 4.75 เรยี งลำดับจนถึง
ลำดับสุดทา้ ย ประเมนิ ได้ค่ามาก 1 รายการมคี า่ เฉลยี่ เทา่ กับ 4.38
กาญจนา บัวชุม (2550 : 93) ได้ทำงานวิจยั เรื่อง รายงานการใช้แบบฝึกทักษะคณติ ศาสตร์ กลุ่มสาระ
การเรียนรู้คณิตศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านโนน อำเภอซำสูง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
61
ขอนแกน่ เขต 4 มวี ัตถุประสงค์ เพอื่ พัฒนาแบบฝกึ ทักษะ คณิตศาสตรส์ ำหรับนักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 6 ที่
มปี ระสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 ศึกษา ดัชนีประสทิ ธิผลทางการเรียนของนักเรียนทเ่ี รียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ
คณิตศาสตร์ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ระหว่างก่อนการใช้และหลังการใช้แบบฝึก
ทักษะคณิตศาสตร์ และเพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจ ของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วย แบบฝึกทักษะ
คณิตศาสตร์ โดยทำการทดลองกับนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2550 โรงเรียน
บ้านโนน อำเภอซำสูง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาขอนแก่นเขต4 จำนวน 20 คน ผลการวิจัย
พบว่า (1) แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์สำหรับนกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 87.77 /
83.33 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ (2) ดัชนีประสิทธิผลทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึก
ทักษะคณิตศาสตร์เพิ่มขึ้นร้อยละ 77.55 (3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ หลังการใช้แบบฝึก
ทักษะคณติ ศาสตรม์ ีคะแนนผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนคณติ ศาสตร์มากกว่ากอ่ นใช้แบบฝกึ ทกั ษะคณิตศาสตร์ อย่าง
มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ (4) ความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยแผนการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึก
ทกั ษะคณติ ศาสตรอ์ ยใู่ นระดับมากทีส่ ุด
ยบุ ล ซ้ายขวา (2550 : 85) ได้ศกึ ษางานวิจัย เร่ือง การพัฒนาแบบฝึกทักษะวิชาคณติ ศาสตร์ เร่ือง
เศษส่วน และการบวก ลบ คูณ หารเศษส่วนสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนบ้านไทยเจริญมี
วตั ถปุ ระสงค์ 1) เพอ่ื พัฒนาแบบฝกึ ทักษะ วชิ าคณติ ศาสตร์ เรือ่ งเศษส่วน และการบวก ลบ คณู หารเศษส่วน
สำหรบั นักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ท่มี ปี ระสิทธิภาพตามเกณฑ์ 70/70 2) เพอ่ื หาคา่ ดชั นีประสิทธิผลของ
แบบฝึกทักษะ และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อแบบฝึกทักษะ
กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านไทยเจรญิ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษายโสธร
เขต 2 ซึ่งเป็นนักเรียนที่มีความสามารถในเรื่องเศษส่วน และการบวก ลบ คูณ หารเศษส่วนต่ำกว่าเกณฑ์ที่
กำหนด จำนวน 8 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวม
ข้อมูล ได้แก่ แบบฝึกทกั ษะ จำนวน 18 แบบฝกึ แผนการจัดการเรยี นรู้ แบบ constructivism จำนวน 18 แผน
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 30 ข้อและแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปที ี่ 6 ทมี่ ีตอ่ แบบฝกึ ทกั ษะได้ผลการศกึ ษา ดงั นี้ 1. แบบฝึกทกั ษะ วชิ าคณติ ศาสตร์ เร่อื งเศษส่วน
และการบวกลบ คูณ หารเศษส่วน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ
79.52/79.60 2. คา่ ดัชนีประสทิ ธผิ ลของการพฒั นาแบบฝึกทักษะวชิ าคณิตศาสตร์เร่ืองเศษส่วน และการบวก
ลบ คูณ หารเศษส่วน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีค่าเท่ากับ 0.6918 หมายความว่านักเรียนมี
ผลสัมฤทธิ์ เร่อื งเศษสว่ น และ การบวก ลบคณู หารเศษส่วน เพ่มิ ข้นึ 0.6918 หรอื คิดเปน็ ร้อยละ 69.18
3. ความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อแบบฝกึ ทกั ษะวิชาคณติ ศาสตรเ์ รื่องเศษส่วน และ
การบวก ลบ คูณ หารเศษสว่ นสำหรับนักเรยี นชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 6 โดยรวมอย่ใู นระดับมากทสี่ ุด
ศศธิ ร เถ่ือนสว่าง (2550:91) ไดท้ ำงานวิจยั เรอ่ื ง รายงานการใชแ้ บบฝกึ ทักษะกลุม่ สาระการเรียนรู้
คณิตศาสตร์ เรื่อง ทศนิยม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเทศบาล 2 วัดเสนหา (สมัครพล
62
ผดุง) สังกัดสำนักการศกึ ษา เทศบาลเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและหา
ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง ทศนิยม สำหรับนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปที ี่ 6 ตามเกณฑ์ 75/75 2) เปรยี บเทียบผลการเรยี นรูโ้ ดยใช้แบบฝกึ ทักษะกลุ่มสาระการเรียนรู้
คณิตศาสตร์ เรื่อง ทศนิยม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที ี่ 6 ก่อนเรียนและหลังเรียน 3) ศึกษาความ
พึงพอใจของผู้เรียนที่มีตอ่ แบบฝึกทักษะกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง ทศนิยม สำหรับนักเรียนช้นั
ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ผลการวจิ ยั พบวา่ แบบฝกึ ทักษะกลุม่ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง ทศนิยม สำหรับ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพ 79.73/79.80 เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด 75/75 ผลการ
เรยี นรโู้ ดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะกลมุ่ สาระการเรยี นรู้คณติ ศาสตร์ เรอื่ ง ทศนยิ ม สำหรบั นักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปีที่
6 หลงั เรียนสงู กว่ากอ่ นเรยี นอย่างมีนยั สำคญั ทางสถิตทิ ่รี ะดับ .05 และความพึงพอใจของผูเ้ รียนทม่ี ตี อ่ แบบฝึก
ทักษะกล่มุ สาระการเรียนรคู้ ณติ ศาสตร์ เรอื่ ง ทศนิยม สำหรับนักเรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 อยู่ในระดับมาก
อุทิศ คำดำ (2550 : 87-88) ได้ทำงานวจิ ัย เร่ือง การพฒั นาแบบฝกึ เสรมิ ทักษะวิชาคณติ ศาสตร์ เรื่อง
ทศนิยม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีความมุ่งหมายในการศึกษาดังนี้ (1) เพื่อพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะวิชา
คณิตศาสตร์ เรื่องทศนิยม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 (2) เพื่อหาดัชนี
ประสิทธิผลของแบบฝึกเสริมทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องทศนิยม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 (3) เพื่อศึกษาความ
คงทนในการเรียนรู้ของนักเรียนหลังจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะวิชาคณิตศาสตร์
เรื่องทศนยิ ม ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 5 และ (4) เพอื่ ศึกษาความพงึ พอใจของนักเรยี นหลังจากการจดั กิจกรรมการ
เรยี นร้โู ดยใชแ้ บบฝกึ เสริมทกั ษะวิชาคณิตศาสตร์ เรอ่ื งทศนยิ ม ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 5 ประชากร คือ นักเรียน
โรงเรียนวัดประสาทรังสฤษฎิ์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ปีการศึกษา 2550 จำนวน 15 คน ในรายงานฉบับนี้ใช้
ประชากรทั้งหมดในการศึกษา เป็นนักเรียนกลุ่มที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะวิชา
คณิตศาสตร์ เรื่องทศนิยม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ แผนการจัดการเรียนรู้วิชา
คณิตศาสตร์ เร่ืองทศนยิ ม ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 5 แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน แบบฝึกเสริมทักษะ
วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ทศนิยม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และแบบวัดความพึงพอใจผลการศึกษา พบว่า
ประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องทศนิยม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีค่าเท่ากับ
75.33/82.00 ดัชนีประสิทธิผลของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีค่าเท่ากับ 0.6739 หมายความว่า
นักเรียนมีความรู้เพ่ิมขึน้ จากเดิมร้อยละ 67.39 ความคงทนในการเรียนของนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่
ทดสอบหลงั เรียน 1 วัน กับ 14 วนั และทดสอบหลังเรยี น 1 วันกบั 1 เดอื นไม่แตกตา่ งกนั และนกั เรยี นมีความ
พึงพอใจในการจดั การเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องทศนิยม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
อยู่ในระดบั มาก
เกษม ขันธะสุวรรณ (2551:71-72)การพัฒนาแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วนสำหรับ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะ วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง
เศษส่วนสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 70/70 2) เพื่อหาค่าดัชนี
63
ประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วนสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และ 3)
เพื่อศกึ ษาความพึงพอใจของนักเรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มตี อ่ การเรยี นดว้ ยแบบฝกึ ทักษะ กลุ่มเป้าหมาย
นักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรยี นบา้ นแห่บริหารวิทย์ สำนักงานเขตพนื้ ท่ีการศกึ ษามหาสารคาม เขต 3
ซง่ึ เปน็ นกั เรียนท่ีมีผลสัมฤทธิ์ในเรอื่ งเศษส่วน ต่ำกว่าเกณฑท์ ีก่ ำหนด จำนวน 12 คนโดยการเลือกแบบเจาะจง
(Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบฝึกทักษะ จำนวน 15 แบบฝึก
แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 15 แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 30 ข้อและ
แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะ วิเคราะห์
ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การหาประสิทธิภาพ E1/E2 และค่าดัชนีประสิทธิผล
(E.I.) ไดผ้ ลการศกึ ษา ดังน้ี 1) แบบฝึกทกั ษะวชิ าคณิตศาสตร์ เรอ่ื งเศษสว่ นสำหรบั นกั เรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5
ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 2) ค่าดัชนีประสิทธิผลของการพัฒนาแบบฝึกทักษะวิชา
คณิตศาสตร์ เรื่องเศษสว่ นสำหรบั นกั เรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 5 มีค่าเท่ากบั 0.7301 หมายความว่านักเรียนมี
ผลสัมฤทธิ์ เรื่องเศษส่วน เพิ่มขึ้น 0.7301 หรือคิดเป็นร้อยละ 73.01 3) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะ วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วนสำหรับนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปที ่ี 5 โดยรวมอยูใ่ นระดบั มากทส่ี ดุ
จันทร์สุริยะ ฤทธิ์เมือง (2551:บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเรื่อง การศึกษาผลการสร้างและพัฒนาแบบฝกึ
เสรมิ ทกั ษะคณิตศาสตร์ กลุม่ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เร่ือง เศษสว่ น ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ผลการศึกษา
พบว่า 1) ประสทิ ธิภาพของแบบฝกึ เสรมิ ทักษะคณติ ศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณติ ศาสตร์เรื่อง เศษสว่ น ชัน้
ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลดารณีท่าบ่อ อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ที่ผู้รายงานสร้างขึ้นมี
ประสิทธิภาพ 88.50/86.67 แสดงว่า แบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ ดังกล่าว มปี ระสทิ ธิภาพสงู กว่าเกณฑ์ที่ตั้ง
ไว้ 80/80 2) เมื่อทำการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะ
คณิตศาสตร์ กลุม่ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์เรอื่ ง เศษส่วน ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรยี นอนุบาลดารณีท่า
บ่อ อำเภอทา่ บ่อ จงั หวดั หนองคาย ระหว่างกอ่ นเรียนและหลังเรยี น พบวา่ มีคะแนนเฉลย่ี ผลสมั ฤทธ์ิหลังเรียน
สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนยั สำคัญทางสถติ ทิ ีร่ ะดับ .01 3) ระดับความพึงพอใจของนักเรียนท่ีเรยี นโดยใช้แบบ
ฝึกเสริมทักษะคณติ ศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรคู้ ณิตศาสตร์ เรือ่ ง เศษส่วน ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 6 โดยรวมอยู่
ในระดบั มาก มีคา่ เฉล่ยี เทา่ กบั 4.43 สรปุ ได้ว่าการจัดการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกเสรมิ ทักษะคณิตศาสตร์
กลุ่มสาระการเรียนรคู้ ณิตศาสตร์ เรอ่ื ง เศษสว่ น ชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ 6 โรงเรยี นอนุบาลดารณที า่ บ่อ อำเภอท่า
บ่อ จังหวัดหนองคาย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาหนองคาย เขต 1 ที่ผู้ศึกษาได้สร้างขึ้น มีประสิทธิภาพ
เหมาะสมในการพฒั นาการเรยี นรู้ของนกั เรียน อกี ทงั้ ทำใหน้ กั เรยี นมคี วามพงึ พอใจในการเรยี น ผู้ศึกษาหวังว่า
ผลการศึกษาในครัง้ นี้ จะเป็นแนวทางในการพฒั นาการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งข้ึน
ต่อไป
64
สุภาพร สงวนรัมย์ (2551 : 83 – 84 ) ได้ศึกษาเรื่อง การพัฒนาแบบฝึกทักษะเรื่อง เศษส่วน กลุ่ม
สาระการเรยี นรูค้ ณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะท่ีมีประสิทธิภาพ
ตามเกณฑ์ 75/75 หาประสิทธผิ ล เปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนกอ่ นและหลังเรยี นด้วยแบบฝึกทักษะ
และเพื่อศึกษาความพงึ พอใจของนกั เรียนที่มีต่อการจัดการเรยี นรู้ดว้ ยแบบฝกึ ทักษะเร่ือง เศษส่วน กลุ่มสาระ
การเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียน
เกษตรศิลปวทิ ยาสำนกั งานเขตพื้นทีก่ ารศกึ ษาชยั ภมู ิ เขต 2 อำเภอเกษตรสมบูรณ์ จงั หวดั ชยั ภมู ิภาคเรียนท่ี 1
ปีการศึกษา 2551 จำนวน 20 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง(Purposive Sampling) ผลการศึกษา
ค้นคว้าปรากฏดังนี้ 1. แบบฝึกทักษะเรื่อง เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ผู้ศึกษาค้นคว้าได้พัฒนาขึ้นมี
ประสิทธิภาพ 79.88/80.17 2. ดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะ เรื่อง เศษส่วนกลุ่มสาระการเรียนรู้
คณิตศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 มคี า่ เท่ากบั 0.6416 หรือคิดเปน็ รอ้ ยละ 64.16 3. นักเรยี นที่เรียนโดยการ
ใช้แบบฝึกทักษะเรื่องเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีคะแนนเฉล่ีย
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนเพิ่มขึ้นจากก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4. ความพึง
พอใจของนักเรียนทีม่ ีต่อการจดั การเรยี นรู้ด้วยแบบฝึกทักษะ เรื่อง เศษส่วนกลุ่มสาระการเรยี นรู้คณิตศาสตร์
ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 5 มีค่าเฉลยี่ เทา่ กับ 4.57 ซึ่งอย่ใู นระดบั มากท่ีสดุ
สุภวฒั น์ นามเจรญิ (2552 :86-87) ไดศ้ กึ ษา เรอ่ื ง การพฒั นาแบบฝกึ ทักษะคณิตศาสตร์ เรือ่ ง เศษส่วน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ช้ัน
ประถมศึกษาปที ี่ 5 และเปรยี บเทียบผลสัมฤทธกิ์ ่อนและหลังเรียนของนกั เรยี นท่เี รยี นด้วยแบบฝึกเสริมทักษะ
เรื่อง เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านปากห้วยวัง
นอง สำนักงานเขตพ้ืนท่กี ารศกึ ษาอุบลราชธานี เขต 1 จำนวน 34 คน ผลการวจิ ยั พบวา่ แบบฝึกเสริมทักษะ
คณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพ 84.39 / 85.59 และผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรยี นหลงั เรียนด้วยแบบฝึกเสริมทกั ษะ เรอ่ื ง เศษส่วน ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 5 สงู กวา่ กอ่ นเรียนอย่างมนี ยั สำคัญ
ทางสถิตทิ ีร่ ะดับ .01
เสมอ สุขศีลล้ำเลิศ (2552 : 81 – 82) ได้ทำงานวิจัย เรื่องรายงานผลการใช้แบบฝึกเสริมทักษะ
คณิตศาสตร์เพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที ่ี 5 โรงเรียนบ้าน
คลองจินดา มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ เรื่องการแก้โจทย์ปัญหา สำหรับ
นกั เรยี นช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 5 ให้มีประสิทธภิ าพตามเกณฑ์มาตรฐาน 75/75 2) เพอื่ เปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ิ
การแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ของนักเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้
แบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์เรื่องการแก้โจทย์ปัญหา และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนกั เรียนท่ีมีตอ่
แบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ เรื่องการแก้โจทย์ปัญหา ประชากรที่ใช้ในการวิจัยในครั้งน้ี คือนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาที่ 5 โรงเรียนบ้านคลองจินดา ปีการศึกษา 2552 จำนวน 12 คน ผู้วิจัยดำเนินการพัฒนาโดย
ใชแ้ บบแผนการทดลองแบบ One Group Pretest - Post-test Design เครอ่ื งมอื ที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่แบบ
65
ฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ เรื่องการแก้โจทย์ปัญหา จำนวน 3 ชุด ชุดละ 7 แบบฝึก รวม 21 แบบ
ฝกึ แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธกิ์ ารแก้โจทย์ปญั หาคณิตศาสตรแ์ ละแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มี
ต่อแบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ เรื่องการแก้โจทย์ปัญหา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผลการวิจัยพบว่า 1)
แบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ เรื่องการแก้โจทย์ปัญหา มีค่าประสิทธิภาพ E1/E2เท่ากับ 79.31/78.33 ซึ่งสูง
กว่าเกณฑ์มาตรฐานท่ีกำหนดไว้ 75/75 จึงเปน็ แบบฝึกที่มปี ระสิทธิภาพนำไปใชไ้ ด้ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนโดยหลังเรียนมีคะแนน
เฉลี่ยเท่ากับ 31.33 และก่อนเรียน มีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 19.83 แสดงให้เห็นว่าแบบฝึกเสริมทักษะ
คณิตศาสตร์ เรื่องการแกโ้ จทย์ปัญหา ทำให้นักเรียนเกิดทักษะในการแก้โจทย์ปัญหามากขึ้น 3) นักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านคลองจินดา จำนวน 12 คน มีความพึงพอใจต่อแบบฝึกเสริมทักษะ
คณิตศาสตร์ เร่ืองการแกโ้ จทย์ปญั หา ในภาพรวมอยูใ่ นระดบั มาก มคี ่าเฉลี่ย 4.17
ปฏิญญา จรนามล(2553 : 76) ได้ศึกษาค้นคว้า เรื่อง การพัฒนาแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์
เรื่องเศษส่วนและการบวก ลบ คูณ หารเศษส่วน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่6 มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อ
พัฒนาแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์เรื่องเศษส่วน และการบวก ลบ คูณ หารเศษส่วน สำหรับนักเรียนช้ัน
ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 ทม่ี ีประสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ 75/75 2) เพอ่ื ศึกษาดชั นปี ระสิทธิผลของแบบฝึกทักษะวิชา
คณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วนและการบวก ลบคูณ หารเศษส่วน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และ 3)
เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะ กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนช้ัน
ประถมศกึ ษาปีที่ 6 โรงเรียนบา้ นดอนจำปาดอนสวรรค์สำนกั งานเขตพน้ื ท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษามหาสารคาม
เขต 3 ซึ่งเป็นนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ในเรื่องเศษส่วน และการบวก ลบ คูณ หารเศษส่วน ต่ำกว่าเกณฑ์ที่
กำหนด จำนวน 10 คน โดยการเลอื กแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครอ่ื งมือที่ใชใ้ นการเก็บรวบรวม
ข้อมูล ไดแ้ ก่ แบบฝกึ ทักษะ จำนวน 18 แบบฝึก แผนการจัดการเรยี นรู้ แบบ constructivism จำนวน 18
แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 30 ข้อ และแบบสอบถามความพึงพอใจของ
นักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบน
มาตรฐาน การหาประสิทธภิ าพ E1/E2 และ คา่ ดัชนีประสิทธผิ ล (E.I.) ได้ผลการศึกษา ดงั นี้ 1) แบบฝึก
ทกั ษะ วิชาคณิตศาสตร์ เรอื่ งเศษสว่ น และการบวก ลบ คณู หารเศษส่วน สำหรับนักเรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี
6 ที่พัฒนาขึน้ มี ประสทิ ธภิ าพ 87.70/80.33 สงู กวา่ เกณฑท์ ี่ตั้งไว้ 2) ดชั นปี ระสทิ ธผิ ลของแบบฝึกทักษะ
วิชาคณิตศาสตร์เร่ืองเศษส่วน และการบวก ลบคูณ หารเศษส่วน สำหรับนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 6 มีค่า
เท่ากับ 0.6974 หมายความว่านักเรียนมีความรู้ เรื่องเศษส่วน และการบวกลบ คูณ หารเศษส่วน
เพิ่มขนึ้ 0.6974 หรือ คดิ เป็นร้อยละ 69.74 3) ความพงึ พอใจของนักเรียนทม่ี ีตอ่ การเรยี นด้วยแบบฝึกทักษะ
วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน และการบวก ลบ คูณ หารเศษส่วน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
6 โดยรวมอยูใ่ นระดับมากที่สุด
งานวจิ ยั ต่างประเทศ
66
Gay and Gallagher ( 1976 : 52-59 ) ได้ทำการวิจัยเปรียบเทียบระหว่างวิธีการสอนโดยให้
นักเรียนทำแบบฝึกหัดอย่างสม่ำเสมอ ในช่วงเวลาการเรียนวิชานั้น ๆ กับการสอนโดยมีการทดสอบย่อย
ระหว่างการเรียนการสอนในเรื่องเดยี วกนั ผลการทดลองปรากฏว่า กลุ่มนักเรียนที่เรียนไดโ้ ดยมกี ารทดสอบ
ย่อย ขณะเรียนมีผลสัมฤทธิ์สูงกว่ากลุ่มนักเรียนที่เรียนโดยฝึกทักษะด้วยการทำแบบฝึกหัดเพียงอย่างเดียว
อย่างมีนัยสำคัญ
Giffune (1979:34-38) ได้ศึกษาถึงผลการสอนโจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ ที่มุ่งเน้นความเข้าใจ
ปัญหาทักษะการอ่านโจทย์ ที่มีผลปรากฏต่อทักษะการเขียนสมการการหาคำตอบ ความคงทนในการเขียน
สมการพบวา่ กลมุ่ ทดลองมีความสามารถท้งั 3 ดา้ น สงู กวา่ กลุ่มควบคุมอยา่ งมนี ัยสำคญั ทางสถติ ิทรี่ ะดับ 0.1
Hall (1979 : 119 ) ได้ศึกษาผลของการสอนการวิเคราะห์การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์และ
ความสามารถในการวิเคราะห์ ประชากรเป็นนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 60 คน ซึ่งแบ่งเปน็ กลมุ่
ทดลองและกลุ่มควบคมุ กล่มุ ละ 30 คน โดยแต่ละกลุม่ ประกอบด้วยนักเรยี นที่คาดคะเน เกง่ และไม่เก่ง กลุ่ม
ละ 15 คน กลมุ่ ทดลองไดเ้ รยี นเกย่ี วกับการวิเคราะห์ เป็นเวลา8.5 ชวั่ โมง และการแกป้ ญั หาทางคณิตศาสตร์
ผลปรากฏวา่
1. นักเรียนมีความสามารถในการวิเคราะห์สูงมีความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทาง
คณติ ศาสตร์สงู กว่านักเรียนทมี่ ีความสามารถในการวเิ คราะห์ต่ำ
2. นักเรียนที่ไดเ้ รียนการวิเคราะหม์ ีความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตรส์ ูงกวา่
นกั เรียนที่ไมไ่ ดเ้ รียนการวเิ คราะห์
Muraski (1979 :11) ได้ศึกษาผลของการสอนอ่านในทางคณิตศาสตร์กับความสามารถ ในการ
แก้โจทยป์ ญั หา ตวั อยา่ งเป็นนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่ แบ่งเปน็ กลุ่มควบคุม กลมุ่ ทดลอง กลมุ่ ละ 13 คน
กลุ่มทดลองได้รับการอ่านบทเรียน แต่ละบทเรียน แบ่งออกเป็น 5 เรื่อง ใช้เวลา 5 สัปดาห์ ต่อจากวัด
ความสามารถ ในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ของกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง ผลการวิจัยปรากฏวา่ กลมุ่
ทดลองมคี วามสารมารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์สงู กว่ากลุ่มควบคุมอยา่ งมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
0.5
จากการศึกษางานวจิ ัยท่ีเก่ียวข้อง สรุปไดว้ ่า การจดั การเรยี นรูก้ ลมุ่ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ทำ
ให้ผ้เู รียนเกดิ การเรยี นรอู้ ย่างมีประสิทธิภาพและประสทิ ธิผล และเห็นคณุ คา่ ความสำคญั ในการนำความรู้ไปใช้
ในชีวิตประจำวันได้มากขึ้น ควรสร้างแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์มาใช้ในการประกอบการเรียนการสอน เพื่อ
เป็นการช่วยใหผ้ เู้ รียนไดร้ ับการฝกึ ฝนทกั ษะการเรียนรทู้ างคณิตศาสตร์ ในดา้ นความรู้ ทกั ษะกระบวนการ และ
คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ของกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ซึง่ จะเหน็ ได้จากผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของ
67
นกั เรยี นหลังเรยี นสูงกว่าก่อนเรียนในงานวิจยั ทีเ่ กยี่ วข้องกบั แบบฝกึ ทกั ษะกล่มุ สาระการเรยี นรูค้ ณิตศาสตร์จาก
การสร้างแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผู้ศึกษาได้กำหนดกรอบแนวคิดขั้นตอนใน
การศึกษาตามแผนภาพที่ 2.7 ดังนี้
ภาพที่ 2.7 กรอบแนวคดิ ขนั้ ตอนในการศกึ ษา
ศกึ ษาเอกสารและ สรา้ งแบบฝึก ประสทิ ธภิ า
งานวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง ทกั ษะ พ
เกย่ี วกบั แบบฝึกทกั ษะ
คณติ ศาสตร์ เรอ่ื ง คณติ ศาสตร์ 75:75
เศษสว่ น ชนั้ ประถมศกึ ษา ผา่ น
ปีท่ี 5 เกณฑ์
ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 5
เร่ืองเศษส่วน
ทดลองใช้ ทดลองใช้ ทดลองใช้
แบบเดย่ี ว ภาคสนาม
แบบกลุ่ม
ย่อย
ตวั แปรตาม ตวั แปรอิสระ
จดั กจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใชแ้ บบฝึก
ศกึ ษาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นหลงั เรยี น ทกั ษะคณิตศาสตรเ์ ร่อื ง เศษส่วน ชนั้
โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะคณติ ศาสตรเ์ ร่อื ง ประถมศกึ ษาปีท่ี 5
เศษส่วนชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 5
ตวั แปรตาม
ศกึ ษาความพงึ พอใจของนกั เรยี นทเ่ี รยี น
โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะคณิตศาสตรเ์ รอ่ื ง
เศษสว่ นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 5
บทที่ 3
วิธีดำเนินการศกึ ษา
การศึกษาในครัง้ นี้มวี ัตถุประสงค์เพื่อสร้างแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนและศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้ แบบฝึกทักษะ คณิตศาสตร์ เร ื่อง
เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 4 เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของการศึกษา ผู้ศึกษาได้เสนอข้ันตอนในการ
ดำเนินการศกึ ษาตามลำดบั ดังน้ี
1. ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง
2. รปู แบบการศึกษา
3. เคร่ืองมือทใี่ ชใ้ นการศึกษาค้นคว้า
4. การสร้างและหาคณุ ภาพเครอ่ื งมอื ท่ใี ช้ในการศึกษาคน้ คว้า
5. การเก็บรวบรวมข้อมูล
6. การวเิ คราะห์ขอ้ มลู
7. สถติ ิทใ่ี ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมูล
ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง
ประชากรที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนประถมศึกษา
ธรรมศาสตร์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 ท่ีกำลังเรียนในภาคเรียนที่ 2 ปี
การศกึ ษา 2564 จำนวน 35 คน
กลุ่มตวั อย่าง ได้แก่ นกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 โรงเรยี นประถมศกึ ษาธรรมศาสตร์ สังกัด
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 ท่ีกำลังเรียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564
จำนวน 35 คน ที่ได้มาจากการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ซึ่งเป็นนักเรียนในช้ันเรียนที่ผู้ศึกษา
ปฏิบัติการสอน
รปู แบบการศึกษา
การศึกษาในครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงทดลอง ใช้รูปแบบ One Group Pretest Posttest Design คือ
หน่ึงกลมุ่ สอบกอ่ น-สอบหลัง (เกียรติสดุ า ศรสี ุข. 2552 : 60) ดงั แสดงในตารางท่ี 3.1
69
ตารางท่ี 3.1 แสดงรูปแบบการศึกษาทดลองใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรือ่ ง เศษสว่ น
การทดสอบกอ่ นเรยี น ทดลองใชแ้ บบฝึกทกั ษะ การทดสอบหลงั เรยี น
T1 X T2
T1 หมายถงึ การทดสอบกอ่ นการใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะคณติ ศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน
X หมายถงึ การทดลองใช้แบบฝกึ ทักษะคณติ ศาสตร์ เรื่อง เศษสว่ น
T 2 หมายถงึ การทดสอบหลงั การใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะคณิตศาสตร์ เรอ่ื ง เศษส่วน
จากแบบแผนการศึกษาทดลอง ผู้ศึกษาทำการทดสอบก่อนเรียน แล้วทำการสอนโดยใช้ แบบฝึก
ทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ท่ีผู้ศึกษาสร้างขึ้น เมื่อจบบทเรียนทำการสอบถาม
ความพึงพอใจของนักเรียน และทดสอบหลังเรียนอีกครั้งหนึ่ง นำผลการทดสอบก่อนเรียนกับผลการทดสอบหลัง
เรยี นมาเปรยี บเทียบความก้าวหนา้ ของนักเรียนเพื่อหาผลการใช้แบบฝกึ ทกั ษะ ตอ่ ไป
เคร่ืองมือท่ใี ชใ้ นการศกึ ษาคน้ คว้า
เคร่ืองมือทใี่ ช้ในการศึกษาคน้ ควา้ ครง้ั นีป้ ระกอบดว้ ย
1. แผนการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 7 แผน โดยใช้
ควบคู่กบั แบบฝกึ ทักษะคณิตศาสตร์ เรอื่ ง เศษส่วน ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 จำนวน 7 เล่ม 7 แผนการจัดการ
เรยี นรู้ ใชเ้ วลาในการจดั กิจกรรม แผนการจัดการเรียนร้ลู ะ 3 ชั่วโมง รวม 20 ชัว่ โมงประกอบด้วย
แผนการจัดการเรียนร้ทู ่ี 1 เรื่อง เศษสว่ นแท้ เศษสว่ นเกนิ เศษสว่ นจำนวนคละ
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 2 เรอ่ื ง เศษเกินและจำนวนคละ
แผนการจัดการเรยี นรูท้ ่ี 3 เรือ่ ง เศษส่วนที่เทา่ กนั เศษสว่ นอย่างตำ่ และ
เศษสว่ นที่เท่ากบั จำนวนนับ
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 4 เรื่อง การเปรยี บเทียบและเรยี งลำดบั เศษสว่ นและจำนวนคละ
แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 5 เรือ่ ง การบวกเศษส่วนและจำนวนคละที่ตัวสว่ นตัวหนงึ่
เปน็ พหคุ ณู ของตวั ส่วนอกี ตัวหนง่ึ
แผนการจัดการเรยี นร้ทู ี่ 6 เรอ่ื ง การลบเศษสว่ นและจำนวนคละทตี่ วั ส่วนตัวหนง่ึ
เปน็ พหุคณู ของตวั สว่ นอกี ตัวหน่งึ
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 7 เรอ่ื ง โจทยป์ ญั หาการบวกและการลบเศษส่วนและจำนวนคละ
70
2. แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรอ่ื ง เศษสว่ น ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 จำนวน 7 เล่ม ดังน้ี
เลม่ ที่ 1 เศษสว่ นแท้ เศษสว่ นเกิน เศษส่วนจำนวนคละ
เล่มที่ 2 เศษเกนิ และจำนวนคละ
เล่มท่ี 3 เศษสว่ นทเี่ ทา่ กันเศษสว่ นอย่างตำ่ และเศษส่วนทเ่ี ท่ากับจำนวนนับ
เลม่ ที่ 4 การเปรยี บเทยี บและเรยี งลำดบั เศษสว่ นและจำนวนคละ
เลม่ ท่ี 5 การบวกเศษส่วนและจำนวนคละท่ีตวั ส่วนตวั หนึ่งเปน็ พหุคณู ของตัวสว่ นอีกตัว
หนงึ่
เล่มท่ี 6 การลบเศษส่วนและจำนวนคละทตี่ ัวสว่ นตวั หน่งึ เป็นพหคุ ูณของตวั สว่ นอกี ตวั
หนึง่
เลม่ ที่ 7 โจทยป์ ญั หาการบวกและการลบเศษส่วนและจำนวนคละ
3. แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทไี่ ดร้ ับการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะคณติ ศาสตร์ เรื่อง
เศษส่วน ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 4 เป็นแบบทดสอบปรนยั ชนดิ เลอื กตอบ 4 ตัวเลอื ก จำนวน 20 ขอ้
4. แบบประเมินความพงึ พอใจตอ่ การเรียนท่ไี ด้รบั การเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง
เศษส่วน ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 4 จำนวน 10 ข้อ หลงั การทดลอง
การสร้างและหาคุณภาพเครอ่ื งมือทใี่ ช้ในการศึกษาคน้ คว้า
เครื่องมือแต่ละชนดิ มีรายละเอยี ดการสร้างดงั นี้
1. แผนการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีขั้นตอนและ
วิธีดำเนนิ การดงั นี้
1.1 ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ เช่น หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ัน
พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560 คู่มือครู คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
การวดั และประเมนิ ผล และสร้างสอื่ การเรียนการสอน เป็นต้น
1.2 วิเคราะห์หลักสูตร โดยการศึกษาเอกสารหลักสูตร จัดทำตารางวิเคราะห์ คำอธิบาย
รายวิชา เพ่ือสงั เคราะห์วา่ ส่วนใดเปน็ เน้ือหา ตัวชวี้ ดั หรอื กจิ กรรม
1.3 จดั ทำกำหนดการสอน โดยการนำตารางวเิ คราะห์ คำอธิบายรายวชิ า มาขยายความให้เป็น
ตัวชีว้ ดั เนื้อหา และแบง่ คาบเวลาเรยี นลงในตารางทกี่ ำหนด
1.4 วิเคราะห์นักเรียน เพื่อจัดกลุ่มนักเรียนตามความรู้ ความสามารถ ความสนใจ
และความถนัด
1.5 เขียนแผนการจัดการเรียนรู้ โดยยึดกำหนดการสอนที่วางไว้แล้วเป็นหลัก
โดยมีรปู แบบดังต่อไปน้ี
1.5.1 เป้าหมายการเรยี นรู้
1.5.1.1 สาระ มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวช้วี ัด
1.5.1.2 จดุ ประสงค์การเรียนร้สู ู่ตวั ช้วี ัด
71
1.5.1.3 สาระสำคญั
1.5.1.4 สาระการเรยี นรู้
1.5.2 หลกั ฐานการเรียนรู้
1.5.3 การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้
1.5.4 สือ่ การเรยี นรู้
1.5.5 วดั ผลและประเมินผลการเรียนรู้
1.5.6 บันทกึ หลงั การสอน
1.5.7 ภาคผนวก
1.6 รวบรวมแผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อเป็นคู่มือประกอบการสอนของครูโดยมีการอธิบาย
วธิ ใี ชแ้ บบฝึกทกั ษะคณติ ศาสตร์ เร่ือง เศษส่วน ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 4 เพิม่ เตมิ ในสว่ นหนา้ ของค่มู ือ
1.7 นำคู่มือที่เขียนไว้แล้วให้ผู้ทรงคุณวุฒิตรวจพิจารณาแก้ไขเกี่ยวกับรูปแบบ ภาษา
และความสอดคลอ้ งตา่ งๆ ประกอบด้วย
1.7.1 นางกาญจนา คล้ายพุฒ ตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียน วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ
โรงเรยี นประถมศกึ ษาธรรมศาสตร์
1.7.2 นางกาญจนรตั น์ วงษ์สมจารย์ ตำแหนง่ รองผอู้ ำนวยการโรงเรียน วิทยฐานะชำนาญ
การพิเศษ โรงเรยี นประถมศกึ ษาธรรมศาสตร์
1.7.3 นางดวงพร ว่องสุนทร ตำแหน่งหัวหน้างานฝ่ายวิชาการ วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ
โรงเรียนประถมศกึ ษาธรรมศาสตร์
โดยนำแผนการจดั การเรียนรู้ ทส่ี ร้างขึน้ เรียบรอ้ ยแล้วใหผ้ ู้ทรงคุณวฒุ ิ จำนวน 3 คน
ด้านการสอนวิชาคณิตศาสตร์ ด้านเทคนิควธิ สี อน และดา้ นการวดั และประเมินผล เพื่อตรวจสอบ
ความสอดคล้องขององค์ประกอบตา่ งๆ ในแผนการจัดการเรียนรู้ ด้านความเทยี่ งตรงเชงิ เนอ้ื หา (Content
Validity) ความชดั เจน ความถูกตอ้ งเหมาะสมของภาษาทีใ่ ช้ และความสอดคลอ้ งดว้ ยดัชนีความสอดคลอ้ ง
(IOC) โดยกำหนดเกณฑก์ ารพิจารณา
ให้คะแนน +1 เมอื่ เหน็ ว่าสอดคลอ้ งกบั จุดประสงค์การเรียนรู้
ใหค้ ะแนน 0 เม่อื ไม่แน่ใจว่าสอดคลอ้ งกับจุดประสงค์การเรียนรู้
ให้คะแนน -1 เมอ่ื เหน็ ว่าไมส่ อดคลอ้ งว่าสอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงค์การเรียนรู้
นำข้อมูลที่รวบรวมจากความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิมาคำนวณหาค่า IOC โดยใช้ดัชนีความ
สอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence) ของผู้ทรงคุณวุฒิมาคำนวณค่าดัชนีความสอดคล้อง
แล้วเลือกค่าดัชนีความสอดคล้องต้ังแต่ 0.5 ขึ้นไปโดยได้ค่าดัชนีความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้ ที่
สอนด้วยแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ตั้งแต่ 0.80 ขึ้นไป โดยผู้ทรงคุณวุฒิให้ข้อเสนอแนะ แก้ไข
เกี่ยวกับ ระยะเวลาในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ จากคำแนะนำของ
ผทู้ รงคุณวุฒิ ผนวกดว้ ยหลกั การและเหตุผล ตลอดถงึ ประสบการณข์ องตนเอง แลว้ จัดทำเปน็ รูปเล่ม
72
1.9 นำแผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้แล้วบันทึกผลหลังการสอนทุกครั้ง และนำมาปรับปรุง แก้ไขในส่วนท่ี
บกพรอ่ ง เพอ่ื นำไปใชใ้ นปีการศกึ ษาต่อไปขนั้ ตอนการสร้างและการหาคุณภาพแผนการจัดการเรยี นรใู้ นคู่มือการใช้
แบบฝึก มีรายละเอยี ด ปรากฏในแผนภาพท่ี 3.1 ดังน้ี
ภาพท่ี 3.1 ขนั้ ตอนการสรา้ งและหาคณุ ภาพของแผนการจดั การเรียนรู้
วเิ คราะห์หลกั สตู รคณิตศาสตร์ พุทธศกั ราช 2551 ฉบับปรบั ปรงุ พทุ ธศกั ราช 2560 คู่มือครู
แบบเรยี นคณติ ศาสตร์ ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 ของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร
วเิ คราะหต์ วั ช้ีวัดท่ีกำหนดไว้ในมาตรฐานหลักสูตรเพื่อกำหนดเปน็
จุดประสงค์การเรยี นรู้
วเิ คราะหร์ ะดับจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ที่กำหนดไว้เพ่อื กำหนดวิธีการวัด
และประเมินผลรวมทั้งประเภทของเคร่อื งมอื ท่ใี ชว้ ัดและประเมนิ ผล
จดั ทำหน่วยการเรียนรู้ เร่ือง เศษส่วน
จดั ทำแผนการจัดการเรียนรู้
นำแผนการจัดการเรยี นรูท้ ีใ่ ช้กบั แบบฝึกทกั ษะคณิตศาสตร์ เรือ่ ง เศษส่วน
ให้ผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คนตรวจสอบความเหมาะสมหาคา่ IOC
นำแผนการจัดการเรียนรูท้ ี่ใช้ควบคู่กบั แบบฝึกทักษะคณติ ศาสตร์ เรือ่ ง
เศษส่วน ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 4 ทปี่ รบั ปรงุ แล้วไปใชก้ บั กลมุ่ ตัวอย่าง
73
2. การสรา้ งและหาคุณภาพแบบฝกึ ทักษะคณิตศาสตร์ เรือ่ ง เศษส่วน ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 4
2.1 วิเคราะห์สภาพปัจจุบันและปัญหาการจัดการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้
คณิตศาสตร์ ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 ของโรงเรยี นประถมศึกษาธรรมศาสตร์ โดยดรู ายงานการพัฒนาคุณภาพ
การศึกษาประจำปี ของโรงเรียนประถมศึกษาธรรมศาสตร์ พบว่า นักเรียนมีผลการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง
เศษส่วนอย่างต่ำไมถ่ ึงเป้าหมายท่ีโรงเรยี นต้ังไวร้ ้อยละ 75
2.2 กำหนดปัญหาที่ต้องการแก้ไข ได้แก่ การพัฒนาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์
เรือ่ ง เศษสว่ น ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4
2.3 กำหนดวิธีการแกป้ ัญหา โดยสร้างแบบฝึกทักษะคณติ ศาสตรเ์ ร่อื ง เศษสว่ นจำนวน 7 เล่ม
เพ่อื ใชแ้ ก้ปญั หาการเรียนรกู้ ลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 4 และใหน้ กั เรียนฝึกในเวลาเรยี น
2.4 ศึกษา หลักการ แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง กับการสร้างแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง
เศษส่วน กลุม่ สาระการเรียนรคู้ ณิตศาสตร์ ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 4
2.5 กำหนดรปู แบบและเคา้ โครงของแบบฝึกทกั ษะคณติ ศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน
ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 4 จำนวน 7 เล่ม คือ
เล่มที่ 1 เศษส่วนแท้ เศษส่วนเกนิ เศษส่วนจำนวนคละ
เล่มที่ 2 เศษเกินและจำนวนคละ
เลม่ ที่ 3 เศษส่วนท่ีเทา่ กันเศษสว่ นอย่างต่ำและเศษสว่ นทเ่ี ท่ากับจำนวนนบั
เลม่ ท่ี 4 การเปรียบเทยี บและเรียงลำดบั เศษส่วนและจำนวนคละ
เลม่ ท่ี 5 การบวกเศษสว่ นและจำนวนคละท่ีตัวส่วนตัวหนงึ่ เปน็ พหคุ ูณของตวั สว่ นอีกตวั หนงึ่
เลม่ ท่ี 6 การลบเศษส่วนและจำนวนคละที่ตัวสว่ นตัวหนึ่งเป็นพหคุ ูณของตัวสว่ นอีกตวั หน่งึ
เล่มท่ี 7 โจทยป์ ญั หาการบวกและการลบเศษส่วนและจำนวนคละ
แตล่ ะเลม่ มี องคป์ ระกอบ ดังน้ี
1. สว่ นหน้า ประกอบด้วย คำนำ สารบญั
2. จดุ ประสงค์การเรยี นร้ปู ระจำเลม่ แตล่ ะเล่ม
3. ตวั อยา่ ง
4. แบบฝึกทักษะ
5. แบบบนั ทกึ ความก้าวหนา้ แบบฝึกคณติ ศาสตร์
74
ตารางที่ 3.2 โครงสรา้ งเนอื้ หาและเวลาเรียนในการสอนโดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะคณติ ศาสตร์
เรอ่ื งเศษสว่ น ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 4 และแผนการจัดการเรยี นรู้ที่ใช้รว่ มกัน
จำนวน 7 แผน ดงั นี้
แบบฝกึ แผนการ เร่อื ง วัน/เดอื น/ป/ี จำนวน
ทกั ษะ จดั การเรียนรู้ ทีส่ อน ชัว่ โมง
เล่มท่ี ท่ี
3
1 1 เศษส่วนแท้ เศษสว่ นเกิน 30 พฤศจิกายน และ
เศษสว่ นจำนวนคละ 2 ธนั วาคม พ.ศ. 2564 3
2 2 เศษเกินและจำนวนคละ 2-4 ธันวาคม พ.ศ.
2564
3 3 เศษสว่ นทเ่ี ท่ากันเศษสว่ นอยา่ งต่ำและ 7-8 ธันวาคม พ.ศ. 2564 3
เศษส่วนท่ีเทา่ กบั จำนวนนบั
44 การเปรียบเทยี บและเรียงลำดับ 14-16 ธันวาคม พ.ศ. 3
55 เศษสว่ นและจำนวนคละ 2564 3
การบวกเศษส่วนและจำนวนคละที่ตวั
66 สว่ นตวั หนึ่งเป็นพหคุ ณู ของตวั ส่วนอกี 17-19 ธนั วาคม พ.ศ.
77 ตัวหนึ่ง 2564
รวมจำนวนชวั่ โมงท่ีสอน การลบเศษส่วนและจำนวนคละทต่ี วั
ส่วนตวั หนึ่งเป็นพหุคณู ของตัวส่วนอกี 21-22,26 ธนั วาคม พ.ศ. 3
ตวั หน่ึง 2564
โจทยป์ ญั หาการบวกและการลบ 28-30 ธนั วาคม พ.ศ. 3
เศษส่วนและจำนวนคละ 2564 22
2.7 นำแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ไปขอความ
อนุเคราะห์ ผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมและความตรงเชิงเนื้อหา แนะนำแก้ไข จำนวน 3
ท่าน คือ
2.7.1 นางกาญจนา คล้ายพุฒ ตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียน วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ
โรงเรียนประถมศึกษาธรรมศาสตร์
75
2.7.2 นางกาญจนรัตน์ วงษส์ มจารย์ ตำแหนง่ รองผู้อำนวยการโรงเรียน วทิ ยฐานะชำนาญ
การพเิ ศษ โรงเรียนประถมศกึ ษาธรรมศาสตร์
2.7.3 นางดวงพร ว่องสุนทร ตำแหน่งหัวหน้างานฝ่ายวิชาการ วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ
โรงเรยี นประถมศึกษาธรรมศาสตร์
ดำเนินการสร้างและปรับปรุงแบบฝกึ ทกั ษะคณิตศาสตร์เร่อื ง เศษสว่ น ตามข้อเสนอแนะแล้วนำไป
ให้ผู้ทรงคุณวุฒิด้านรปู เล่ม เน้ือหา ภาษา เพอ่ื ตรวจสอบคุณภาพและความเท่ียงตรงเชงิ เนื้อหา (IOC: Index of
Item Objective Congruence) โดยกำหนดเกณฑพ์ จิ ารณาคือ
+1 เมือ่ เหน็ วา่ สอดคลอ้ งตรงกบั เนอ้ื หาทรี่ ะบุ
0 เมื่อไม่แน่ใจวา่ สอดคล้องตรงกับเนือ้ หาที่ระบุ
-1 เมอื่ เห็นว่าไม่สอดคล้องตรงกับเนื้อหาทีร่ ะบุ
นำข้อมูลที่รวบรวมจากความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิมาคำนวณหาค่า IOCโดยใช้ดัชนีความ
สอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence) ของผู้ทรงคุณวุฒิมาคำนวณค่าดัชนีความสอดคล้อง
แลว้ เลือกค่าดัชนคี วามสอดคล้องตง้ั แต่ 0.5 ข้นึ ไป โดยได้ค่าดัชนคี วามสอดคลอ้ งตง้ั แต่ 0.80 ข้นึ ไป แล้วมาปรับปรุง
แกไ้ ขขอ้ บกพรอ่ งคอื ปรับปรงุ คำแนะนำการใช้ จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ ปรบั เปลยี่ นเนือ้ หาบางเรือ่ ง เพ่ือให้เหมาะสม
เรียงลำดับจากเรือ่ งง่ายไปหาเรอ่ื งยาก
2.8 นำแบบฝกึ ทกั ษะคณติ ศาสตร์ เร่อื ง เศษส่วน ช้นั ประถมศึกษาปีที่ 4 ทีผ่ ่านการ
ตรวจสอบจากผ้ทู รงคุณวฒุ ิปรบั ปรุง แก้ไขแลว้ นำไปหาประสิทธิภาพของแบบฝกึ จำนวน 3 คร้ัง ดังน้ี
2.8.1 การทดลองแบบเดีย่ ว ทดลองใช้กบั นักเรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 4
โรงเรียนประถมศึกษาธรรมศาสตร์ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564
จำนวน 3 คน เลอื กจากนักเรียนทเ่ี รยี นอ่อน 1 คน ปานกลาง 1 คน และเกง่ 1 คน ในระหวา่ งทีท่ ำการทดลอง
ผู้ศึกษาได้สังเกตและบันทึกปัญหา รวมทั้งการสัมภาษณ์นักเรียนเพื่อสอบถามข้อบกพร่องของขั้นตอนในการ
เรียน ความชัดเจนของภาษาแล้วนำผลที่ได้มาคำนวณหาเกณฑ์ประสิทธิภาพตามสูตร E1/E2 ได้เท่ากับ
72.58/73.33 ผลที่ได้ยังไม่ถึงเกณฑ์ประสิทธิภาพที่ตั้งไว้ คือ 75/75 จากการสังเกตและตรวจสอบแบบฝึก
ทักษะเชิงเน้ือหาพบว่า แบบฝึกทักษะยังมีเนื้อหา กับข้อคำถามที่ไม่ชดั เจน จึงได้ปรับปรุงความยากง่ายของ
ภาษาและความเขา้ ใจเนื้อหาของแบบฝกึ ทักษะโดยนำไปหาประสิทธิภาพครั้งท่ี 2
2.8.2 การทดลองแบบกลุ่มเล็ก โดยนำแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน
ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้ปรับปรุงแล้วไปทดลองใช้กับนกั เรยี นช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 4 โรงเรียนประถมศึกษา
ธรรมศาสตร์ อำเภอคลองหลวง จงั หวดั ปทุมธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2564 จำนวน 9 คน เลือกจาก
กลุ่มอ่อน 3 คน ปานกลาง 3 คน และเก่ง 3 คน ในระหวา่ งท่ีทำการทดลองผ้ศู ึกษาไดส้ ังเกตและบันทึกปัญหา
รวมทง้ั การสัมภาษณ์นักเรยี นเพ่อื สอบถามข้อบกพรอ่ งของข้ันตอนในการเรียน ความชัดเจนของภาษา แล้วนำ
ผลที่ได้มาคำนวณหาเกณฑ์ประสิทธิภาพตามสูตร E1/E2 ได้เท่ากับ 74.90/74.81 ผลที่ได้ยังไม่ถึงเกณฑ์
ประสิทธิภาพที่ตั้งไว้ คือ 75/75 จากการสังเกตและตรวจสอบแบบฝึกทักษะเชิงเนื้อหาพบว่า แบบฝึกทักษะ
76
บางสว่ นยังมีเนือ้ หา กับขอ้ คำถามทไ่ี ม่ชัดเจน จึงไดป้ รบั ปรุงความยากง่ายของภาษาและความเขา้ ใจเนื้อหาของ
แบบฝกึ ทักษะโดยนำไปหาประสิทธภิ าพครง้ั ที่ 3 ได้นำขอ้ เสนอแนะ จากผูท้ รงคณุ วุฒิมาปรับปรุงแกไ้ ขแบบฝึก
ทกั ษะ เพ่อื นำไปทดลองใชก้ บั การทดลองกลมุ่ ใหญ่ต่อไป
2.8.3 การทดลองภาคสนาม ได้นำแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ชั้น
ประถมศึกษาปีท่ี 4 ท่ีปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิแล้วไปทดลองใช้เพื่อหาประสิทธิภาพ
โดยทดลองใช้กบั นักเรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรยี นประถมศกึ ษาธรรมศาสตร์ อำเภอคลองหลวง จังหวัด
ปทุมธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 35 คน เพื่อนำข้อมูลการทดลองมาวิเคราะห์หา
ประสิทธิภาพตามสูตร E1/E2 ได้เท่ากับ 78.89/76.89 จากผลที่ได้เป็นไปตามเกณฑ์ประสิทธิภาพที่ตั้งไว้ คือ
75/75 จากการสงั เกตและสมั ภาษณ์นักเรียนที่ใชท้ ดลอง พบว่า แบบฝกึ ทกั ษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 4 มีภาพที่สวยงาม มีสีสัน เน้ือหาถูกต้องเป็นที่น่าสนใจและไม่มีเร่ืองใดท่ีจะต้องปรับปรุง
แก้ไข
2.9 ตรวจสอบความเรียบรอ้ ย จดั พมิ พ์และทำรปู เล่มจำนวน 7 เล่ม เพอื่ นำไปทดลอง
ใชจ้ รงิ กับกล่มุ ตวั อย่าง เพ่ือพัฒนานกั เรยี นใหม้ คี ุณภาพตอ่ ไป
ขน้ั ตอนการสรา้ งและการหาคุณภาพของแบบฝกึ ทกั ษะคณิตศาสตรม์ ีรายละเอยี ด ปรากฏในแผนภาพ
ที่ 3.2 ดังนี้
ภาพที่ 3.2 ขนั้ ตอนการสร้างและหาคณุ ภาพของแบบฝึกทักษะคณติ ศาสตร์ เรือ่ งเศษสว่ น
ชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ 4
ศกึ ษาเอกสาร หลักเกณฑ์ และทฤษฎีเกีย่ วกบั การสรา้ งแบบฝึกทักษะ
ศกึ ษาหลกั สตู รสถานศึกษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 ฉบบั ปรบั ปรุง พทุ ธศักราช 2560 กลมุ่ สาระการ
เรยี นรู้คณิตศาสตร์
เลือกเน้อื หาทจี่ ะนำมาสรา้ งแบบฝกึ ทกั ษะ โดยผ้รู ายงานเลือกเน้อื หาท่นี ักเรียนไดค้ ะแนนตำ่ สุด คือ เร่อื ง
เศษสว่ น โดยแบง่ เน้ือหาออกเป็นเร่ืองยอ่ ยตามลำดับ
กำหนดขอบข่ายเนอื้ หา ตัวชีว้ ัด กำหนดส่อื และกิจกรรมการเรยี นรใู้ นแตล่ ะแบบฝกึ
ทักษะจากงา่ ยไปหายาก
นำสว่ นประกอบต่างๆรวบรวมเป็นแบบฝึกทักษะคณติ ศาสตร์ เร่อื ง เศษสว่ น กลุม่ สาระ
การเรยี นรู้คณติ ศาสตรช์ ัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 จำนวน 8 เล่ม
จัดทำรปู แบบสอบถามสำหรับการประเมนิ ความสอดคล้องนำไปใหผ้ ู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบ
77
แบบฝึกทกั ษะคณิตศาสตรเ์ ร่ือง เศษสว่ น ระดับชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 4 ใหผ้ ู้ทรงคุณวุฒิ
ตรวจสอบความสอดคล้องเพอ่ื หาค่าดัชนีความสอดคลอ้ ง ( IOC) และนำมาปรบั ปรุงแกไ้ ข
ปรบั ปรุงแก้ไขตามขอ้ เสนอแนะของผู้ทรงคณุ วฒุ ิ
นำแบบฝกึ ทกั ษะไปทดลองใช้ ( Try out )โดยทดลองใช้กบั นกั เรยี นกลมุ่ เด่ียว, กลุ่มเลก็ , กลมุ่ ภาคสนาม
3. การสรา้ งและนหำแาบคบณุ ฝึกภทากัพษแะบไปบใทชก้ ดับสนอักบเรวียดันผกลล่มุ สตัมวั ฤอทย่าธงิ์ทางการเรยี น
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 4 เป็นแบบทดสอบชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ มีวิธีสร้าง และหาคุณภาพ
ดังน้ี
3.1ศกึ ษาหลกั สูตร คมู่ อื ครู แบบเรยี นกลุม่ สาระการเรียนรคู้ ณติ ศาสตร์ พุทธศกั ราช 2551 ฉบับ
ปรับปรุง พุทธศักราช 2560 วิธีสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากหนังสือระเบียบวิธีการวิจยั
ทางสงั คมศาสตร์ของพชิ ิต ฤทธ์ิจรญู (2551 : 248-249)
3.2 วิเคราะห์เนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรู้ เรื่อง เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
กลุ่มสาระการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตร์ เรอ่ื ง เศษส่วน ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 4
3.3 ศกึ ษาวธิ ีเขยี นแบบทดสอบแบบเลือกตอบจากหนงั สอื ระเบยี บวิธกี ารวิจัยทางสงั คมศาสตร์
ของพิชติ ฤทธจิ์ รูญ ( 2551 : 248 - 249) ผลการเรยี นรทู้ ค่ี าดหวงั ใหค้ รอบคลมุ เนอ้ื หา เร่ือง เศษส่วน จำนวน
60 ข้อ ตอ้ งการใช้จริง 20 ขอ้ กำหนดการประเมินผลท่เี หมาะสมกบั จดุ ประสงค์การเรียนรแู้ ต่ละข้อ
3.4 การหาคุณภาพของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ ดำเนนิ การ ดังนี้
3.4.1 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิไปขอความอนุเคราะห์ผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อตรวจสอบหาความ
เทีย่ งตรงเชิงเนอ้ื หา 3 ท่าน คอื
3.4.1.1 นางกาญจนา คล้ายพุฒ ตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียน วิทยฐานะ
ชำนาญการพิเศษ โรงเรียนประถมศกึ ษาธรรมศาสตร์
3.4.1.2 นางกาญจนรัตน์ วงษ์สมจารย์ ตำแหน่งรองผู้อำนวยการโรงเรียน วิทย
ฐานะชำนาญการพเิ ศษ โรงเรียนประถมศกึ ษาธรรมศาสตร์
3.1.4.3 นางดวงพร ว่องสุนทร ตำแหน่งหัวหนา้ งานฝ่ายวิชาการ วิทยฐานะชำนาญ
การพเิ ศษ โรงเรียนประถมศกึ ษาธรรมศาสตร์
78
เพื่อตรวจสอบว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่สร้างขึ้นไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน
ตรวจสอบความตรงเชงิ เนือ้ หาและพิจารณาว่าข้อสอบสอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้หรอื ไม่ โดยใชเ้ กณฑ์
การประเมนิ ดงั น้ี
+1 หมายถึง แนใ่ จวา่ ข้อสอบขอ้ นัน้ สอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงค์การเรียนรู้
0 หมายถงึ ไม่แน่ใจว่าขอ้ สอบขอ้ นั้นสอดคล้องกบั จุดประสงค์การเรียนรู้
-1 หมายถงึ แน่ใจวา่ ขอ้ สอบขอ้ นน้ั ไม่สอดคล้องกับจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ได้รับการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิคำนวณหาค่าดัชนี
ความสอดคล้อง(IOC) และคัดเลือกข้อสอบที่มีคา่ IOC ตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป ผลปรากฏว่าแบบทดสอบมีค่า IOC
ตั้งแต่ 0.60 ขึ้นไป จำนวน 30 ข้อ โดยผู้ทรงคุณวฒุ ิให้ข้อแสนอแนะเกีย่ วกับการตั้งคำถามให้กระชับชดั เจน
มงุ่ ถามเร่ืองใดเรอื่ งหนึ่งอยา่ งชัดเจน ไม่กำกวม
3.5 นำแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิท่ีได้รบั การตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวฒุ ิแล้วไปทดลองใช้ (Try
Out) กบั นักเรียนปกี ารศกึ ษา 2564 จำนวน 3 คร้ัง ดังนี้
3.5.1 การทดสอบครั้งที่ 1 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่สร้างไว้จำนวน 40 ข้อ ไป
ทดสอบกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนประถมศึกษาธรรมศาสตร์ อำเภอคลอง
หลวง จังหวดั ปทมุ ธานี จำนวนนักเรยี น 35 คน แล้วนำกระดาษคำตอบมาตรวจให้คะแนน ทำการวิเคราะห์ข้อสอบ
โดยการหาค่าความยากง่าย (p) และค่าอำนาจจำแนก (r) จากนนั้ ทำการคัดเลอื กข้อสอบ เพื่อนำไปใช้ในการทดสอบ
ครั้งท่ี 2 ตามเกณฑ์ ดังนี้
1. ข้อสอบที่มีค่าอำนาจจำแนก ตั้งแต่ 0.20 ขึ้นไป และมีค่าความยากง่ายอยู่ระหว่าง 0.20 -
0.80
2. ข้อสอบที่มีค่าความยากง่ายอยู่ระหว่าง 0.20 - 0.80 แต่ค่าอำนาจจำแนกต่ำกว่า 0.20 ได้
นำมาปรบั ปรุงข้อคำถามและปรับปรุงตัวเลือกตวั ลวง
ไดแ้ บบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ที่สอดคล้องกบั จุดประสงค์ ครบจำนวน 50 ขอ้
3.5.2 การทดสอบครั้งท่ี 2 นำแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ท่ีผ่านการคัดเลือกจากการทดสอบ
ครั้งที่ 1 จำนวน 50 ข้อ ไปทดสอบกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนประถมศึกษา
ธรรมศาสตร์ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทมุ ธานี จำนวนนักเรยี น 35 คน แลว้ นำกระดาษคำตอบมาตรวจให้คะแนน
ทำการวิเคราะห์ขอ้ สอบโดยการหาค่าความยากง่าย (p) และค่าอำนาจจำแนก (r) แลว้ ทำการคัดเลือกข้อสอบที่มีค่า
อำนาจจำแนก ต้งั แต่ 0.20 ขึ้นไป และมีค่าความยากง่ายอยู่ระหว่าง 0.20 - 0.80 ซง่ึ ไดแ้ บบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ
ทสี่ อดคล้องกบั จุดประสงค์การเรียนรู้ครบจำนวน 30 ขอ้ และไดค้ ัดเลือกไว้ตามตอ้ งการ จำนวน 20 ข้อ ไปใช้
ทดสอบในครง้ั ที่ 3
3.5.3 การทดสอบครั้งที่ 3 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ท่ผี า่ นการคัดเลือก จากการทดสอบ
ครั้งที่ 2 จำนวน 30 ข้อ ไปทดสอบกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนประถมศึกษา
ธรรมศาสตร์ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี จำนวน 35 คน โดยกระดาษคำตอบที่ได้มาตรวจคำตอบ ทำการ
79
วิเคราะห์หาค่าความเชื่อม่นั ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทง้ั ฉบับ(บุญชม ศรสี ะอาด. 2545 : 96) โดยใช้สูตรคู
เดอร์ – ริชารด์ สนั 20 (Kuder Richardson Reliability) หรอื KR-20 ไดค้ ่าความเชื่อม่นั เทา่ กับ 0.91
และหาค่าคุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ค่าความยากง่าย (p) และค่าอำนาจจำแนก (r) รายข้อ ซึ่งได้
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท์ ่ีสอดคล้องกับจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ ครบจำนวน 30 ข้อ ตามต้องการ
3.6 จัดพิมพ์แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพแล้ว จำนวน 20 ข้อ เพื่อ
นำไปใช้กบั กล่มุ ตัวอย่าง
ขั้นตอนการสร้างและการหาคุณภาพแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีรายละเอียด ปรากฏใน
แผนภาพที่ 3.3 ดังน้ี
ภาพที่ 3.3 ขน้ั ตอนการสรา้ งและหาคุณภาพของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนของนกั เรยี น
ทเี่ รียนรู้โดยใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะคณติ ศาสตร์ เร่อื ง เศษส่วน ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 4
ศึกษาวิธกี ารสร้างแบบทดสอบปรนยั จากเอกสารประกอบหลกั สูตรคมู่ ือการวดั ผล
ประเมินผลกล่มุ ทักษะคณติ ศาสตร์
สรา้ งแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน จำนวน 60 ขอ้
สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน จำนวน 60 ข้อที่สร้างขนึ้ ไปตรวจสอบทง้ั 5 ท่าน
ตรวจสอบความตรงตามเนอ้ื หา และประเมนิ ความสอดคลอ้ งระหว่างแบบทดสอบกับจุดประสงค์(IOC)
ปรบั ปรงุ แกไ้ ขขอ้ บกพร่องตามข้อเสนอแนะของผทู้ รงคณุ วฒุ ิ
นำแบบทดสอบไปทดสอบกับนักเรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 6 จำนวน 30 คน
วเิ คราะห์ขอ้ สอบรายขอ้ และคัดเลือกข้อสอบที่มีความยากงา่ ย ตัง้ แต่ 0.20 - 0.80 และค่า
อำนาจจำแนก ตง้ั แต่ 0.2 ขนึ้ ไปรวม 30 ข้อ
นำแบบทดสอบทีค่ ัดเลอื กไว้จำนวน 30 ข้อไปทดสอบครงั้ ท่ี 3 กับนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 4
ปีการศกึ ษา 2564 โรงเรียนประถมศึกษาธรรมศาสตร์ อำเภอคลองหลวง จงั หวดั ปทุมธานี
ผลทไี่ ดม้ าหาคา่ ความเทย่ี ง (Reliability ) เท่ากบั 0.91
นำแบบทดสอบไปใช้กับนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 4 กลมุ่ ตวั อยา่ ง
โรงเรียนประถมศกึ ษาธรรมศาสตร์ ปกี ารศกึ ษา 2564
80
4. การสร้างและหาคุณภาพแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่ได้รับการ
เรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะคณติ ศาสตร์ เรอ่ื ง เศษสว่ น ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
ดำเนินการตามข้ันตอน ดังน้ี
4.1 ศึกษาทฤษฎแี ละรปู แบบการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรยี น
4.2 กำหนดเป้าหมายการสอบถามความพึงพอใจให้ครอบคลุมด้านจุดประสงค์
เนอื้ หา รูปแบบฝึกทักษะ การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ การวัดผล และประเมนิ ผล
4.3 สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนท่ีได้รับการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ
คณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยกำหนดค่าคะแนนแบบสอบถามเป็นแบบมาตราส่วน
ประมาณคา่ (Rating Scale)ตามแนวคดิ ของ ลิเคอร์ท ( Likert ) (เกษม สาหรา่ ยทิพย์. 2543 :69) กำหนดระดบั
ความพงึ พอใจออกเป็น 5 ระดับ ไดแ้ ก่
ระดับค่าประเมิน 5 หมายถึง พอใจมากท่สี ุด
ระดบั คา่ ประเมิน 4 หมายถึง พอใจมาก
ระดับคา่ ประเมิน 3 หมายถงึ พอใจปานกลาง
ระดบั ค่าประเมนิ 2 หมายถงึ พอใจน้อย
ระดับคา่ ประเมนิ 1 หมายถงึ พอใจนอ้ ยทสี่ ดุ
การแปลความหมายค่าเฉลี่ยจะใชเ้ กณฑก์ ารแปลความหมายดังนี้ (เกษม สาหร่ายทพิ ย์. 2543 : 70)
4.50 - 5.00 หมายถึง พงึ พอใจอยใู่ นระดบั มากที่สุด
3.50 - 4.49 หมายถงึ พงึ พอใจอยู่ในระดบั มาก
2.50 - 3.49 หมายถงึ พึงพอใจอยใู่ นระดบั ปานกลาง
1.50 - 2.49 หมายถงึ พงึ พอใจอยใู่ นระดับน้อย
1.00 - 1.49 หมายถงึ พึงพอใจอยใู่ นระดับนอ้ ยที่สุด
4.4 นำแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนต่อแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ไปปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อประเมินความสอดคล้อง ความเหมาะสมของข้อคำถาม
รายช่ือดังน้ี
4.4.1 นางกาญจนา คลา้ ยพฒุ ตำแหนง่ ผูอ้ ำนวยการโรงเรียน วทิ ยฐานะชำนาญ
การพิเศษ โรงเรยี นประถมศกึ ษาธรรมศาสตร์
4.4.2 นางกาญจนรัตน์ วงษ์สมจารย์ ตำแหน่งรองผู้อำนวยการโรงเรียน วิทย
ฐานะชำนาญการพิเศษ โรงเรียนประถมศกึ ษาธรรมศาสตร์
4.4.3 นางดวงพร ว่องสุนทร ตำแหน่งหัวหน้างานฝ่ายวิชาการ วิทยฐานะชำนาญ
การพิเศษ โรงเรียนประถมศึกษาธรรมศาสตร์
เพื่อตรวจสอบว่าแบบสอบถามความพึงพอใจที่สร้างขึ้นไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน
ตรวจสอบความเหมาะสมของขอ้ คำถามหรือไม่ โดยใชเ้ กณฑก์ ารประเมนิ ดงั นี้
+1 หมายถงึ แนใ่ จว่าแบบสอบถามความพงึ พอใจข้อนั้นมคี วามเหมาะสม
0 หมายถงึ ไม่แนใ่ จวา่ แบบสอบถามความพงึ พอใจข้อนั้นมีความเหมาะสม
81
-1 หมายถงึ แนใ่ จวา่ แบบสอบถามความพงึ พอใจข้อนัน้ ไม่มีความเหมาะสม
4.5 ปรับปรงุ แกไ้ ข ตามคำแนะนำของผู้ทรงคุณวุฒิ
4.6 นำแบบสอบถามความพึงพอใจไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียน
ประถมศึกษาธรรมศาสตร์ และนำข้อมูลที่ได้มาตรวจสอบ เพื่อวิเคราะห์ หาค่าความเชื่อมั่น(Reliability) โดยใช้วิธี
สัมประสทิ ธิแ์ อลฟา(α-Coefficient)ของครอนบาค(บญุ ชม ศรีสะอาด. 2545 : 99-101) มีค่าเท่ากับ 0.85
4.7 จัดพิมพ์แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนต่อแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง
เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 4 ฉบบั สมบูรณ์ เพ่อื นำไปใชก้ บั นักเรียนกลุ่มตวั อย่างตอ่ ไป
ซึ่งสามารถสรุปขั้นตอนการสร้างและหาคุณภาพของแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน ท่ี
ได้รับการเรยี นรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะคณติ ศาสตร์ เร่อื งเศษส่วน ช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 ได้ ตามแผนภาพท่ี 3.4
ดังนี้
ภาพที่ 3.4 การสร้างและหาคุณภาพของแบบสอบถามความพึงพอใจของนกั เรยี นทไ่ี ด้รับการเรยี นรู้
โดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะคณิตศาสตร์ เรอ่ื ง เศษสว่ น ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4
ศึกษาทฤษฎีและรปู แบบการสรา้ งแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน
สร้างแบบสอบถามความพงึ พอใจของนกั เรียนตอ่ การเรยี นรู้โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะคณิตศาสตร์ เรือ่ งเศษสว่ น
เปน็ แบบมาตราส่วนประมาณค่า( Rating Scale ) 5 ระดับ จำนวน 10 ขอ้
นำแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรยี นตอ่ การเรยี นรู้โดยใช้แบบฝึกทกั ษะคณิตศาสตร์ เร่อื งเศษส่วน
ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 ไปปรกึ ษาผู้ทรงคณุ วฒุ เิ พ่ือตรวจสอบความเหมาะสม
ปรับปรงุ แก้ไข ตามคำแนะนำของผทู้ รงคณุ วฒุ ิ
นำไปทดลองใชก้ บั นกั เรียนทีไ่ มใ่ ชก่ ลุ่มตัวอย่าง หาคา่ ความเชื่อม่ัน
โดยใช้วธิ ีสัมประสิทธแิ์ อลฟาของครอนบาค
การทดลองและการเก็บรวบรวมข้อมลู
ดำเนินการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ตัง้ แตว่ นั ที่ 30 พฤศจิกายน 2564 –
30 ธนั วาคม 2564 ตามขัน้ ตอน ดงั นี้
1. ทดสอบก่อนเรียน โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรอ่ื ง เศษสว่ น
ช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 4 ไปทดสอบกบั นกั เรียน รวบรวมคะแนนไว้เปน็ คะแนนก่อนเรยี น ใชเ้ วลา
1 ชั่วโมง
82
2. ผู้ศึกษาดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง
เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ จำนวน 7 แผน ใช้เวลา 22
ชวั่ โมง
3. นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทดสอบกับนักเรียนหลังการเรียนครบ
ทุกแผนการจดั การเรยี นรู้แลว้ รวบรวมคะแนนไว้เปน็ คะแนนหลังเรียน
4. นำแบบประเมินความพึงพอใจต่อการเรียนท่ีไดร้ ับการเรียนรู้โดยใช้แบบฝกึ ทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง
เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 4 จำนวน 10 ขอ้ ให้นักเรยี นประเมิน หลังเรยี นจบการทดลอง
การวเิ คราะห์ขอ้ มูล
1. วิเคราะห์ค่าประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
จำนวน 7 เลม่ ท่ีไดร้ ับการเรียนรู้โดยใช้กำหนดเกณฑ์ E1 / E2 เทา่ กบั 75/75
2. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน โดยการวิเคราะห์
การทดสอบค่า t ชนิดตัวแปรไมเ่ ป็นอสิ ระตอ่ กนั (t - test Dependent)
3. หาค่าเฉลี่ย (means) และค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation) ของระดับ
ความพึงพอใจของนักเรียนหลังการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เร่ือง เศษส่วน ช้ันประถมศกึ ษาปี
ที่ 4
สถติ ทิ ่ใี ช้ในการวิเคราะหข์ ้อมลู
1. การหาค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ของเครื่องมือโดยผู้ทรงคุณวุฒิ ใช้
สตู รดชั นีความสอดคลอ้ ง (IOC)ในการคำนวณ ดงั น้ี (ลว้ น สายยศ. 2543 : 114)
IOC = R
N
เมอ่ื IOC หมายถงึ ดชั นีความสอดคล้อง
R หมายถงึ ผลรวมของคะแนนการพจิ ารณาของผูท้ รงคณุ วฒุ ิ
N หมายถงึ จำนวนผทู้ รงคุณวฒุ ิ
2. ประสทิ ธิภาพของแบบฝึกทกั ษะคณิตศาสตร์ เรอื่ ง เศษสว่ น ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 4
(ล้วน สายยศ. 2536 : 223)
E1 = [∑ X] × 100
A
เมื่อ E1 แทน ค่าประสิทธภิ าพของกระบวนการ
∑ แทน คะแนนรวมของแบบฝึกทักษะ
A แทน คะแนนเต็มของแบบฝกึ ทักษะทุกเลม่ รวมกนั
N แทน จำนวนนักเรียนท่เี ข้าสอบ
83
E2 = [∑ Y] × 100
B
เม่อื E2 แทนค่าประสิทธภิ าพของผลลัพธ์
∑ แทนคะแนนรวมของการทดสอบหลงั เรยี น
B แทนคะแนนเต็มของการทดสอบหลงั เรียน
N แทนจำนวนนักเรียนท่เี ข้าสอบ
3. การหาความยากง่าย (P) การหาอำนาจจำแนก (r) โดยใชส้ ตู ร (บญุ ชม ศรสี ะอาด. 2545 : 80 -
84 )
สตู ร p = H + L
N
สตู ร r = H–L
N/2
โดย p แทน ค่าความยากงา่ ย
R แทน ค่าอำนาจจำแนก
H แทน จำนวนคนในกลุ่มสูงทตี่ อบถกู ในขอ้ สอบขอ้ น้ัน
L แทน จำนวนคนในกลุ่มต่ำทีต่ อบถูกในขอ้ สอบขอ้ นัน้
N แทน จำนวนคนทงั้ หมดในกลมุ่ สงู และกลุ่มตำ่
4. การหาความเชื่อมั่นโดยใช้สูตร KR-20 ของคูเดอร์ ริชาร์ดสัน (เกียรติสุดา ศรีสุข.2552. :
149)
r tt = K 1 1 − pq
K− s2
t
rtt แทน คา่ ความเชือ่ มน่ั
K แทน จำนวนขอ้ สอบทง้ั ฉบับ
p แทน สัดส่วนของผตู้ อบถูกในแต่ละข้อ
q แทน สัดสว่ นของผู้ตอบผดิ ในแตล่ ะข้อ (q = 1 – p)
S2t แทน คะแนนความแปรปรวนของคะแนน
5. การหาค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามความพึงพอใจโดยใช้วิธีสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอ
นบาค โดยใช้สตู รดงั น้ี (บญุ ชม ศรสี ะอาด. 2545 : 99 - 101)
84
s K 1 Si 2
K −1
= − 2
t
แทน คา่ ความเช่ือม่ัน
K แทน จำนวนข้อคำถามท้งั ฉบบั
∑S2i แทน ผลรวมความแปรปรวนแต่ละขอ้
S2t แทน คะแนนความแปรปรวนของคะแนนรวม
6. หาค่าเฉลี่ย (means) ของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและคะแนนความพึงพอใจ
ซงึ่ มสี ตู รในการคำนวณ ดังนี้ (เกษม สาหรา่ ยทพิ ย.์ 2543 : 64)
X = X
n
เมือ่ X หมายถึง คะแนนเฉลี่ย
X หมายถงึ ผลรวมทง้ั หมดของคะแนน
n หมายถงึ จำนวนนักเรยี น
7. ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation) ของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและ
คะแนนความพงึ พอใจ ซ่ึงมสี ูตรในการคำนวณ ดังนี้ (เกษม สาหร่ายทิพย.์ 2543 : 66)
S D. = N X 2 − ( X )2
N(N −1)
เมอ่ื S.D. หมายถงึ ค่าความเบ่ยี งเบนมาตรฐาน
X หมายถงึ ค่าคะแนน
N หมายถึง จำนวนนกั เรยี น
8. เปรียบเทียบความแตกต่างของสัมฤทธิ์ผลทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนกับหลังเรียน โดยการ
ว ิ เ ค ร า ะ ห ์ ก า ร ท ด ส อ บ ค ่ า t ช น ิ ด ต ั ว แ ป ร ไ ม ่ เ ป ็ น อ ิ ส ร ะ ต ่ อ ก ั น (t-test Dependent)
ซง่ึ มสี ูตรในการคำนวณ ดังน้ี (ล้วน สายยศ. 2543 : 299)
t= D ; เมอ่ื df = n – 1
n D2 − ( D)2
n −1
D เปน็ ความแตกตา่ งของคะแนนก่อนเรยี นกบั หลังเรียน
n เป็นจำนวนนกั เรยี น
85
บทท่ี 4
ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู
ผลการทดลองการใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ครั้งน้ี
เป็นการทดลองโดยอาศัยการศึกษาข้อมูลจากแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องผู้ศึกษาได้ทดลองใช้ในสภาพ
จริงพร้อมทั้งเก็บรวบรวมข้อมูลมาวิเคราะห์ เพื่อพิจารณาว่าการใช้แบบฝึกทักษะ คณิตศาสตร์ เรื่อง
เศษสว่ น ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 4 ท่ีผู้ศกึ ษาได้จัดทำขึ้นมีประสิทธิภาพเหมาะสมในการจัดกิจกรรมการเรียนการ
สอนเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งผู้ศึกษาจะนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามจุดมุ่งหมายของการทดลองดังนี้
สัญลักษณ์ท่ใี ช้ในการเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมลู
N แทน จำนวนนกั เรยี นในกลุม่ ตัวอย่าง
E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ
E2 แทน ประสทิ ธิภาพของผลลพั ธ์
D แทน ความแตกตา่ งของคะแนนก่อนเรยี นกับหลงั เรียน
X แทน คะแนนเฉลยี่ นกั เรียนในกล่มุ ตวั อย่าง
S.D. แทน คา่ สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐานนกั เรยี นในกลุม่ ตัวอย่าง
D แทน ผลรวมของผลตา่ งระหว่างคะแนนแตล่ ะคู่
D2 แทน ผลรวมของผลต่างระหว่างคะแนนแตล่ ะคู่ยกกำลงั สอง
t แทน คา่ สถิติทใ่ี ชท้ ดสอบความแตกต่างของผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนระหว่าง
คะแนนกอ่ นเรียนและหลังเรียน
df แทน ชน้ั แหง่ ความเป็นอิสระ
* แทน นัยสำคัญทางสถติ ิ
ผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู นำเสนอตามลำดบั ดังน้ี
ขอเสนอผลการวิเคราะหข์ อ้ มูลตามจุดประสงคข์ องการทดลองดังน้ี
1. ประสิทธภิ าพของแบบฝกึ ทกั ษะคณติ ศาสตร์ เร่อื ง เศษส่วน ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 4
2. เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ท่ีได้รับการเรียนรู้
โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4
3. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ
คณติ ศาสตร์ เรอื่ ง เศษสว่ น ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 4
86
1. ประสทิ ธิภาพของแบบฝึกทกั ษะคณิตศาสตร์ เรือ่ ง เศษสว่ น ช้นั ประถมศึกษาปีที่ 4
ผู้ศึกษาไดห้ าประสิทธภิ าพของแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เร่ือง เศษส่วน ชั้นประถมศกึ ษา
ปที ี่ 4 ปรากฏผล ดังตารางท่ี 4.1
ตารางท่ี 4.1 แสดงค่าประสิทธภิ าพของแบบฝกึ ทกั ษะคณติ ศาสตร์ เร่อื ง เศษสว่ น ช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 4
โดยเปรียบเทยี บกับเกณฑ์ประสทิ ธิภาพ 75 / 75
จำนวน คะแนนรวม ประสทิ ธิภาพของ ประสทิ ธิภาพของ E1/E2
นักเรียน ระหว่าง หลงั กระบวนการ(E1) ผลลัพธ์(E2) 80.95/82.67
เรียน เรยี น
10 1,781 248 80.95 82.67
จากตารางที่ 4.1 พบว่า คะแนนรวมระหวา่ งเรียนดว้ ยแบบฝึกทกั ษะคณติ ศาสตรเ์ รอื่ ง เศษสว่ น ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 4
เท่ากบั 1,781 คะแนน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 80.95 นน่ั คอื ประสิทธภิ าพของกระบวนการ(E1) เท่ากบั 80.95 คะแนน
รวมจาการทำแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนดว้ ยแบบฝึกทกั ษะคณิตศาสตร์เรือ่ ง เศษส่วน ช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 4 เท่ากับ 248 คิดเป็นร้อยละ 82.67 นั่นคือประสิทธิภาพของผลลัพธ์(E2) แสดงว่า
ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะคณิตศาสตรเ์ ร่อื ง เศษสว่ น ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 เท่ากับ 80.95/82.67 ซึ่งสูง
กว่าเกณฑป์ ระสทิ ธิภาพ 75 / 75 เปน็ ไปตามสมมติฐานท่ีต้ังไว้
87
2. การเปรยี บเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของนักเรียนทไี่ ดร้ ับการเรียนรู้โดยใชแ้ บบฝกึ
ทกั ษะคณิตศาสตร์ เรอื่ งเศษส่วน ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 4
การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการ
เรยี นรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะคณติ ศาสตร์ เรอ่ื งเศษส่วน ของคะแนนก่อนเรียนและหลงั เรยี น แสดงผลดงั ตารางที่
4.2
ตารางที่ 4.2 แสดงการเปรียบเทยี บผลสัมฤทธิท์ างการเรียนของนกั เรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 4
ท่ีได้รับการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทกั ษะคณติ ศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน โดยใช้ t-test
การทดสอบ คะแนนเต็ม N X D D2 t
ก่อนเรยี น 20 10 13.00
หลงั เรียน 20 10 22.40 106 1,218 10.35*
*มีนยั สำคัญทางสถติ ิท่ีระดบั .05
Df = 9
จากตารางที่ 4.2 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่หลังจาก
ได้รับการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรือ่ ง เศษสว่ น ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 4 โดยมีค่า t ท่ีคำนวณ
ไดเ้ ป็น 10.35 ซงึ่ สงู กวา่ คา่ t.05.9 9.40 ในตาราง แสดงวา่ ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นหลังเรียนสูงกวา่ ก่อนเรียน
อยา่ งมนี ยั สำคัญทางสถติ ิทรี่ ะดับ .05 เปน็ ไปตามสมมติฐานทีต่ ง้ั ไว้
3. ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้แบบฝกึ ทักษะคณิตศาสตร์เรื่อง
เศษส่วน ช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 4
ตารางท่ี 4.3 ผลการศึกษาความพงึ พอใจของนักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 4 ท่ีได้รับการเรียนรู้
โดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษสว่ น ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 4
ที่ รายการประเมนิ X S.D. ระดบั ความพงึ พอใจ
1 รูปเล่มแบบฝึกทักษะมีความสวยงามน่าใช้ 0.40 มาก
4.20
น่าศึกษา 0.50 มากทีส่ ุด
2 รปู ภาพในแบบฝกึ ทกั ษะชัดเจนสือ่ 4.50
ความหมายได้เข้าใจตรงกับเน้อื หา
3 แบบฝกึ ทกั ษะมีเน้อื หาสาระทเ่ี ขา้ ใจงา่ ย 4.60 0.49 88
เรยี งลำดับงา่ ยไปหายาก 4.50 0.50
3.80 0.40 มาก
4 เวลาท่นี ักเรียนใช้ศึกษาพอดกี บั เนอื้ หา 4.60 0.49 มาก
และการทำแบบฝึกทักษะ 4.70 0.46 มาก
4.50 0.50
5 นกั เรยี นเรยี นรแู้ ละสามารถทำแบบฝึก 4.50 0.40 มากทส่ี ดุ
ทกั ษะไดด้ ว้ ยตนเอง 5.00 0.00 มากที่สุด
4.52 0.41
6 นักเรยี นมคี วามกระตือรอื รน้ หาคำตอบได้ มาก
ด้วยตนเอง มากท่ีสดุ
มากทส่ี ดุ
7 แบบฝกึ ทักษะทำใหน้ กั เรียนเข้าใจเร่ือง มากที่สดุ
เศษส่วนมากข้นึ กว่าเดิม
8 นักเรียนได้รบั ความรู้จากแบบฝึกทักษะ
คณิตศาสตร์เรอื่ งเศษส่วน
9 แบบฝกึ ทักษะช่วยเพิ่มพูนความรแู้ ละ
ทกั ษะเร่อื งเศษส่วนให้กบั นกั เรียน
10 นักเรียนสามารถนำความรูเ้ ร่อื งเศษส่วนไป
ใชใ้ นชวี ิตประจำวันและการเรยี นช้นั สูงได้
เฉล่ยี
จากตารางที่ 4.3 พบว่านักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการเรียนรู้จากแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์
เร่อื ง เศษส่วน ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 4 ในภาพรวมมีระดบั ความพึงพอใจในระดับมากท่ีสุด ( X =4.52) ซึ่งเป็นไปตาม
สมมติฐานท่ตี งั้ ไว้ หากพิจารณาเปน็ รายข้อพบว่า ขอ้ ทีม่ ีระดับความพงึ พอใจสงู ท่ีสุด ได้แก่ ขอ้ ที่ 10 นกั เรยี นสามารถ
นำความรู้เรือ่ งเศษสว่ นไปใชใ้ นชวี ติ ประจำวนั และการเรยี นชั้นสูงได้เอง ( X =5) รองลงมาคอื ข้อท่ี 7 แบบฝึกทักษะ
ทำให้นักเรียนเข้าใจเรื่องเศษส่วนมากขึ้นกว่าเดิม (X =4.70) ส่วนข้อที่มีความพึงพอใจต่ำที่สุดคือข้อที่ 4 นักเรียน
เรยี นรู้และสามารถทำแบบฝึกทักษะได้ดว้ ยตนเอง ( X =3.80)
เมื่อพิจารณาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานแล้ว พบว่า ความพึงพอใจของนักเรียนส่วนใหญ่ใกล้เคียงกันมี
การกระจายค่อนข้างนอ้ ย ซึ่งมีคา่ สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐานเท่ากับ 4.10
89
บทท่ี 5
สรุป อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ
จากการศึกษาในครั้งนี้ ผู้ศึกษาได้ศึกษาผลการใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนประถมศึกษาธรรมศาสตร์ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ซึ่งสรุปผล
การศึกษาได้ดงั นี้
วตั ถุประสงคข์ องการศกึ ษา
ในการศกึ ษาครงั้ น้ี ผูร้ ายงานไดก้ ำหนดจดุ มงุ่ หมายของการศึกษาไวด้ งั นี้
1. เพอื่ สรา้ งแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เร่ืองเศษส่วน ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 4 ทม่ี ปี ระสิทธิภาพ
2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนที่ได้รับการ
เรียนรู้โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะคณติ ศาสตร์ เรื่องเศษสว่ น ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 4
3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์
เรอ่ื งเศษสว่ น ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4
สมมติฐานของการศึกษา
1. แบบฝกึ ทกั ษะคณิตศาสตร์เรอ่ื งเศษส่วน ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 4 มีประสทิ ธภิ าพ E1/E2 ตาม
เกณฑ์ (75/75)
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง
เศษสว่ น ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 4 สูงกวา่ กอ่ นเรียนอยา่ งมนี ยั สำคญั ทางสถติ ิทีร่ ะดบั .05
3. ความพึงพอใจของนักเรยี นที่มีตอ่ การเรียนรู้โดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะคณติ ศาสตร์ เรื่องเศษส่วน
ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 อยู่ในระดับมากขึน้ ไป
ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง
90
ประชากรที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนประถมศึกษา
ธรรมศาสตร์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 ที่กำลังเรียนในภาคเรียนที่ 2 ปี
การศึกษา 2564 จำนวน 105 คน
กลมุ่ ตวั อยา่ ง ไดแ้ ก่ นักเรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 โรงเรยี นประถมศกึ ษาธรรมศาสตร์ สังกัด
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 ที่กำลังเรียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564
จำนวน 35 คน ที่ได้มาจากการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ซึ่งเป็นนกั เรียนในช้ันเรียนทีผ่ ู้ศึกษา
ปฏิบัติการสอน
เครื่องมอื ท่ใี ชใ้ นการศึกษาค้นคว้า
เครื่องมือทใี่ ช้ในการศึกษาคน้ คว้าในคร้ังนี้ ประกอบด้วย
1. แผนการจัดการเรยี นรู้คณติ ศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้ควบคู่กับแบบ
ฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 7 แผนการจัดการเรียนรู้ ใช้เวลาในการ
สอนแผนละ 3 ชวั่ โมง รวม 20 ชว่ั โมง
2. แบบฝกึ ทกั ษะคณติ ศาสตร์ เรอ่ื ง เศษส่วน ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 4 จำนวน 7 เล่ม
3. แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน เรื่อง เศษส่วน ชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 4
จำนวน 1 ฉบบั เปน็ แบบปรนัยชนิดเลอื กตอบ 4 ตวั เลือก จำนวน 20 ขอ้
4. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์เรื่อง เศษส่วน
ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 ซึ่งเปน็ แบบมาตราส่วนประมาณคา่ มี 5 ระดบั จำนวน 10 ข้อ
การเก็บรวบรวมขอ้ มลู
1. ทดสอบก่อนเรยี นโดยใช้แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน
2. สอนตามแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน
ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 4
3. ทดสอบหลงั เรียนโดยใช้แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น
4. ประเมินความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง
เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4
91
การวิเคราะหข์ ้อมลู
ในการวเิ คราะห์ขอ้ มลู ผ้ศู ึกษาดำเนนิ การวเิ คราะห์ขอ้ มูล ดังตอ่ ไปน้ี
1. หาประสิทธิภาพของ แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
จำนวน 8 ชุด โดยเปรยี บเทียบเกณฑ์ประสิทธภิ าพ E1 / E2 เทา่ กับ 75 / 75
2. เปรยี บเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนจากการทดสอบก่อนเรยี นกับหลงั เรียน โดยการใช้แบบฝึก
ทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 วิเคราะห์ การทดสอบค่า t - test ชนิดตัวแปรไม่
เปน็ อิสระต่อกัน (t - test Dependent)
3. หาค่าค่าเฉลี่ย (means) และค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation) ของความพงึ
พอใจของนักเรยี น หลงั การเรยี นดว้ ยแบบฝกึ ทกั ษะคณิตศาสตร์ เรอื่ ง เศษสว่ น ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 4
สรปุ ผลการศกึ ษา
จากการศึกษาในคร้ังน้ี สรุปไดด้ งั ตอ่ ไปน้ี
1. ประสทิ ธิภาพแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษสว่ น ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 มีประสิทธิภาพเท่ากับ
80.95/82.67 สงู กว่าเกณฑ์ประสิทธิภาพ 75 / 75
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึก
ทกั ษะคณติ ศาสตร์ เรอื่ ง เศษส่วน หลงั การเรยี นสูงกวา่ ก่อนเรยี นอย่างมีนัยสำคญั ทางสถิติทรี่ ะดบั .05
3. นักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 4 ทไ่ี ด้รับการเรยี นรู้โดยใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะคณิตศาสตร์ เรอื่ ง เศษส่วน
ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 4 มีความพึงพอใจภาพรวมในระดับมากท่ีสดุ
อภปิ รายผล
จากผลการศกึ ษาในคร้ังน้ี มขี ้อค้นพบทีน่ า่ สนใจและควรนำมาอภิปรายผล เพิ่มเติม ดังนี้
1. จากผลการศึกษาประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะ คณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ที่พบว่า ได้ค่า
ประสทิ ธิภาพเทา่ กับ 80.95/82.67 เปน็ ไปตามเกณฑ์ท่ีกำหนดไว้ สามารถนำไปใช้จัดการเรียนการสอน เร่ือง
เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และเผยแพร่ได้ และพบว่า นักเรียนที่ได้รับการเรียนรู้สามารถทำแบบฝึก
ทักษะไดส้ ูงกวา่ เกณฑ์ประสิทธิภาพตวั แรก และสามารถทำแบบทดสอบได้สงู กว่าเกณฑป์ ระสิทธิภาพตัวหลังที่
กำหนด 75/75 ผลเป็นเช่นน้ี เพราะวา่ ผ้ศู กึ ษาดำเนนิ การสร้างแบบฝกึ ทักษะโดยอา้ งอิงมาจากทฤษฎีการสอน
คณิตศาสตร์ หลักจิตวิทยาการสอนการวิเคราะห์หลักสูตรสถานศึกษา วิเคราะห์มาตรฐานและตัวชี้วัด
โดยเฉพาะการสร้างแบบฝึกทักษะให้เนื้อหาเรียงลำดับจากง่ายไปหายาก มีคำสั่งและตัวอย่างแสดงวิธีทำท่ี
ชัดเจนเหมาะสมกับวัย มีรูปภาพประกอบคำอธิบายข้นั ตอน มแี บบวดั ผลประเมนิ ผลเพ่อื ดูความก้าวหน้าของ
92
นักเรียนในการทำแบบฝึกทักษะว่าผ่านตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่ ถ้านักเรียนผ่านก็ให้เรียนเนื้อหา
ตอ่ ไป ถ้าไม่ผา่ นตอ้ งสอนซ่อมเสรมิ ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจยั สุนนั ทา สุนทรประเสรฐิ (2544 : 16 - 17)
ไดเ้ สนอแนวทางการจัดทำรปู แบบของแบบฝกึ ทักษะทจี่ ะต้องคำนงึ ถึงลักษณะการนำไปใช้และกลุ่มผู้เรียนเป็น
สำคัญและแบบฝึกทักษะกลุม่ สาระการเรยี นรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ได้ผ่านการ
พิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ และให้ข้อเสนอแนะด้านคุณภาพที่ประกอบไปด้วย ความสอดคล้องของรูปเล่ม
ด้านเนื้อหา ด้านภาษา ตรงตามสาระการเรียนรู้ ความสอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย มาตรฐานการเรียนรู้ และ
ด้านการประยุกตใ์ ชจ้ ากผเู้ ชี่ยวชาญทม่ี ีความรู้ความเข้าใจ ในรายละเอียด ที่เก่ยี วขอ้ งด้านการผลิตสื่อการสอน
แบบฝกึ ทักษะ ดา้ นหลกั สูตรการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน ดา้ นการวจิ ัยและพัฒนานวตั กรรมทางการศึกษา ด้านการ
วดั ผลและประเมินผลทางการศึกษา และไดน้ ำไปทดลองใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่ กลุ่มตัวอย่าง แบบเดี่ยว แบบ
กลุ่ม และภาคสนาม จนได้แบบฝึกทักษะที่มีประสิทธิภาพ แล้วจึงนำมาใช้ ทดลองกับนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีท่ี 4 จำนวน 10 คน พบว่า แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษสว่ น ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4
ที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้น มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 80.95/82.67 หมายความว่า แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง
เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพด้านกระบวนการ ซึ่งเป็นคะแนนที่ได้จากการประเมิน
คุณลักษณะตามสภาพจริงและทำแบบฝึกทักษะระหวา่ งทีเ่ รียนด้วยแบบฝึกทักษะคณติ ศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 8 เล่ม ซึ่งมีค่าเฉลี่ยร้อยละ 80.95 และมีประสิทธิภาพด้านผลลัพธ์ ซึ่งเป็น
คะแนนที่ได้จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน ซึ่งมีค่าเฉลี่ยร้อยละ 82.67 ซึ่ง
สอดคล้องกับ เกณฑ์ที่กำหนด 75/75 (ไชยยศ เรืองสุวรรณ 2546 : 171)โดยอาศัยการกำหนดเกณฑ์
ประสิทธภิ าพ E1/E2 ที่ยอมรับว่าแบบฝึกทกั ษะมีประสิทธภิ าพ E 1/E 2 มคี ่า 75/75 (กรมวิชาการ 2545 :
58) และแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษสว่ น ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 มปี ระสิทธิภาพสงู กวา่ เกณฑ์ 75/75
หมายความว่า แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพด้าน
กระบวนการ ซึง่ เป็นคะแนนท่ีได้จากการประเมนิ คุณลักษณะตามสภาพจรงิ ระหว่างท่ีเรยี นดว้ ยแบบฝึกทักษะ
คณติ ศาสตร์ เร่อื ง เศษสว่ น จำนวน 8 ชุด ซึ่งมีค่าเฉลย่ี ร้อยละ 83.58 และมปี ระสิทธภิ าพดา้ นผลลัพธ์ ซึ่งเป็น
คะแนนท่ีไดจ้ ากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะคณติ ศาสตร์ เรื่อง
เศษส่วน มีค่าเฉล่ยี ร้อยละ 82.67 แสดงว่า แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เร่ือง เศษส่วน ชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 4
มีประสิทธิภาพสูงกวา่ เกณฑ์ 75/75 ที่ได้กำหนดไว้ เพราะแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ได้ผ่าน
กระบวนการตรวจสอบปรบั ปรุงแกไ้ ขจนเกิดความเหมาะสมใน ดา้ นลกั ษณะการจัดรปู เลม่ ดา้ นลกั ษณะเน้ือหา
ภาษาที่ใช้ในการสื่อความหมาย การจัดการเรียนการสอน ระยะเวลาในการทำกิจกรรม ประกอบกับ
สภาพแวดล้อมภายในห้องเรียนและนอกหอ้ งเรียนมีบรรยากาศท่ีเออื้ ต่อการจัดการเรยี นการสอน ซ่งึ สอดคล้อง
93
กับ เกษม ขันธะสุวรรณ(2551 : 71 - 72) การพัฒนาแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน สำหรับ
นกั เรียนชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 4 พบว่า
1) แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่พัฒนาขึ้นมี
ประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ทตี่ ั้งไว้ 75/75
2) คา่ ดัชนีประสทิ ธิผลของการพฒั นาแบบฝกึ ทักษะวชิ าคณิตศาสตร์ เร่ืองเศษสว่ น สำหรบั นกั เรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 4 มีค่าเท่ากับ 0.7301 หมายความว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ เรื่องเศษส่วน เพิ่มขึ้น 0.7301
หรือ คิดเป็นร้อยละ 73.01) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการเรียนด้วยแบบฝึก
ทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
เช่นเดียวกัน ผู้ศึกษาเห็นว่า การแบ่งแบบฝึกทักษะเป็นเล่มเล็ก ๆ และมีการทดสอบระหว่างเรียนทำให้นักเรียน
สามารถจดจำและเข้าใจหลักการทางคณิตศาสตร์ได้ดียิ่งขึ้น นักเรียนมีความคุ้นเคยกับภาษา ที่ใช้ในทาง
คณิตศาสตร์ ยิ่งขึ้น แสดงให้เห็นว่าแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งผู้ศึกษาสร้างข้ึน
สามารถนำไปใช้ประกอบสอนได้ เนอ่ื งจากชว่ ยใหน้ กั เรียนเกดิ การเรียนรู้ทง้ั ในระหวา่ งเรียนและหลังเรยี นในเกณฑท์ ่ีกำหนดไว้
2. ผลสัมฤทธิ์การเรียนของนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 ที่ได้รับการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ
คณิตศาสตร์ เรื่องเศษสว่ น หลังการเรยี นสูงกวา่ กอ่ นเรยี นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดบั .05 ซึ่งเป็นไปตาม
สมมติฐานท่ีตั้งไวเ้ ปน็ เพราะวา่ แบบฝกึ ทักษะคณิตศาสตร์ เร่อื งเศษสว่ น ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 4 ซ่ึงสอดคล้องกบั
ผลการศึกษาของศศิธร เถื่อนสวา่ ง (2550 : 91) ได้ทำงานวิจัย เรื่อง รายงานการใช้แบบฝึกทักษะกลุ่มสาระ
การเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง ทศนิยม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเทศบาล 2 วัดเสนหา
(สมัครพลผดุง) สังกัดสำนักการศึกษา เทศบาลเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม ที่ศึกษาโดยใช้แบบฝึกทักษะ
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์เรื่อง ทศนิยม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่า ผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .01 และสอดคล้องกับผลการศึกษาของ
นิศากร เกื้อเส้ง (2551 : 47) ได้ทำงานวิจัย เรื่อง ผลของแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ที่มีต่อ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 พบว่า ค่าเฉลี่ยของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลัง
เรยี นสงู กวา่ ก่อนเรยี นอยา่ งมนี ยั สำคัญทางสถิตทิ รี่ ะดับ .01 และสอดคลอ้ งกบั งานวจิ ยั ของสภุ วัฒน์ นามเจริญ
(2552 : 86 - 87) ไดท้ ำงานวิจัย เรอื่ ง การพฒั นาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์เร่ือง เศษส่วน ชัน้ ประถมศึกษาปีที่
4 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นหลังเรยี นด้วยแบบฝึกเสริมทักษะ เรื่อง เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 สูง
กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จะเห็นว่าการศึกษาค้นคว้างานวิจัยที่เกี่ยวข้องมีความ
สอดคล้องกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี
นัยสำคญั ทางสถติ ิ
94
3. ผลจากการวิเคราะห์แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนท่ีได้รับการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ
คณิตศาสตร์พบว่า ภาพรวมนักเรียนมีความพึงพอใจต่อแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ชั้น
ประถมศึกษาปีท่ี 4 อย่ใู นระดับมากที่สดุ และพจิ ารณาเปน็ รายขอ้ พบว่า ข้อที่มรี ะดับความพึงพอใจสูงที่สุด ได้แก่
ข้อที่ 6 นักเรียนมีความกระตือรือร้นหาคำตอบได้ด้วยตนเอง รองลงมาคือข้อที่ 9 แบบฝึกทักษะช่วยเพิ่มพูน
ความรู้และทักษะเรื่องเศษส่วนให้กับนักเรียน ส่วนข้อที่มีความพึงพอใจต่ำที่สุดคือข้อที่ 5 นักเรียนเรียนรู้และ
สามารถทำแบบฝกึ ทกั ษะไดด้ ้วยตนเอง แสดงวา่ แบบฝึกทักษะคณติ ศาสตร์ เรอื่ ง เศษสว่ น ช้นั ประถมศึกษาปีที่
4 มีความเหมาะสมตอ่ การนำไปใช้สำหรับการจดั การเรยี นการสอน ท่สี ามารถสรา้ งความสนใจของนักเรียนได้ดี
มาก เพราะแบบฝกึ ทกั ษะมีความเฉพาะเจาะจงเหมาะสมกับวยั ของผู้เรียน มีรูปภาพประกอบส่ือความหมายได้
ตรงตามเนื้อเรื่อง มีความยากง่ายเหมาะกับผู้เรียน ทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ที่คงทน และผู้ศึกษาก็ช่วย
กระตุ้นให้นักเรียนรู้จักคิดวิเคราะห์ ส่งเสริมความสามารถพร้อมทั้งให้คำแนะนำ ชมเชย ข้อเสนอแนะต่าง ๆ
เพ่ือให้นกั เรียนเกดิ ความรู้สกึ อบอุ่น มัน่ ใจในการทำแบบฝกึ ทักษะ มีความกระตือรอื ร้น มคี วามชอบและอยาก
เรยี น โดยเฉพาะมคี วามรู้สกึ เป็นสุขและมคี วามสนุกสนานตอ่ การเรียน ส่งเสรมิ ให้นกั เรยี นรู้จกั วิเคราะห์เป็น ซึ่ง
นำไปสู่ให้เกิดความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน สำหรับนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 4 และสอดคล้องกับผลการศึกษาของยุบล ซ้ายขวา (2550 : 85) ได้ศึกษางานวิจัย เรื่อง การ
พัฒนาแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน และการบวก ลบ คูณ หารเศษส่วน สำหรับนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านไทยเจริญ พบว่า ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อ
แบบฝึกทักษะ วิชาคณิตศาสตร์เรื่องเศษส่วน และการบวก ลบ คูณ หารเศษส่วน สำหรับนักเรียนช้ัน
ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 โดยรวมอยใู่ นระดับมากที่สุด สอดคล้องกบั ผลการศกึ ษาของเกษม ขันธะสวุ รรณ (2551:71
-72 ) การพัฒนาแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 พบว่า
ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะ วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง
เศษส่วน สำหรับนักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 โดยรวมอยูใ่ นระดับมากท่ีสุด