The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ตำราเรื่อง แนวคิดและวิธีการประวัติศาสตร์ท้องถิ่น จัดทำขึ้นเพื่อใช้ประกอบการจัดการเรียนการสอนรายวิชาดังกล่าว ซึ่งเป็นรายวิชาเอกบังคับของหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนรู้และเข้าใจเกี่ยวกับพัฒนาการของการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น แนวคิด วิธีการ เครื่องมือศึกษา อีกทั้งมีเนื้อหาการเรียนรู้เกี่ยวกับพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงของชุมชนท้องถิ่นเพื่อให้นักศึกษาสามารถใช้เป็นกรณีศึกษาหรือเปรียบเทียบวิเคราะห์กับประเด็นร่วมสมัยได้ ตลอดจนให้ผู้เรียนเข้าใจ<br>ถึงความสำคัญและบทบาทของงานประวัติศาสตร์ท้องถิ่นกับการพัฒนาเชิงพื้นที่

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by teresio.natthawat, 2023-01-15 04:07:44

ตำราแนวคิดและวิธีการประวัติศาสตร์ท้องถิ่น

ตำราเรื่อง แนวคิดและวิธีการประวัติศาสตร์ท้องถิ่น จัดทำขึ้นเพื่อใช้ประกอบการจัดการเรียนการสอนรายวิชาดังกล่าว ซึ่งเป็นรายวิชาเอกบังคับของหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนรู้และเข้าใจเกี่ยวกับพัฒนาการของการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น แนวคิด วิธีการ เครื่องมือศึกษา อีกทั้งมีเนื้อหาการเรียนรู้เกี่ยวกับพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงของชุมชนท้องถิ่นเพื่อให้นักศึกษาสามารถใช้เป็นกรณีศึกษาหรือเปรียบเทียบวิเคราะห์กับประเด็นร่วมสมัยได้ ตลอดจนให้ผู้เรียนเข้าใจ<br>ถึงความสำคัญและบทบาทของงานประวัติศาสตร์ท้องถิ่นกับการพัฒนาเชิงพื้นที่

Keywords: ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น

41 (แช่ม บุนนาค) ซึ่งเขียนเป็นตอนๆ ลงในวารสารวชิรญาณ และต่อมาใน พ.ศ 2449 ได้ปรับปรุงให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นและรวมพิมพ์ออกมาในหนังสือที่รู้จักคือ “พงศาวดารโยนก” ส่วนในภาคอีสาน มีงานเขียนประวัติของเมือง โดยกล่าวถึง การอพยพเป็นลำดับจากศูนย์กลางอำนาจ หลวงพระบาง เวียงจันทน์ จำปาศักดิ์ และศูนย์อำนาจอื่น และตั้งเมืองแล้วจึงได้ลำดับผู้ปกครองเรื่องและ เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นภายใต้การดูแลควบคุมของราชสำนักที่กรุงเทพฯ โดย เนื้อหาของประวัติศาสตร์เมืองเหล่านี้มาจากการรวบรวมจากพงศาวดารเมืองที่ มีปรากฏอยู่แล้ว โดยมีผู้นำมาชำระและเรียบเรียงใหม่ ได้แก่ ประวัติเมือง ร้อยเอ็ด มหาสารคาม กาฬสินธุ์ มุกดาหาร อุบลราชธานีสกลนคร สุรินทร์ นครราชสีมา ซึ่งผู้เรียบเรียงมักเป็นผู้ปกครองในท้องถิ่นแต่บางครั้งข้าราชการ จากส่วนกลางได้ทำหน้าที่ดังกล่าวเช่นกัน ดังกรณีงานเขียนของหม่อมอมรวงษ์ วิจิตร (ม.ร.ว. ปฐม คเนจร) ได้รวบรวมงานเขียนที่มีอยู่เดิมเป็นหนังสือ “พงศาวดารมณฑลอีสาน”2 เช่นเดียวกับการศึกษาของพันเอกเยรินี (G.E. Gerini) หรือพระสารสาส์นพลขันธ์ ชาวอิตาเลียนที่ได้เข้ามารับราชการในช่วง ปลายรัชกาลที่ 5 ก็ได้ใช้เอกสารต่างประเทศมาสืบค้นประวัติความเป็นมาของ เกาะภูเก็ตอย่างละเอียดรอบด้าน ภายใต้ชื่อ “Historical Retrospect of Junkceylon Island” และตีพิมพ์ครั้งแรกลงในวารสารสยามสมาคมใน พ.ศ. 24483 2 ทวีศิลป์ สืบวัฒนะ, แนวคิดและแนวทางการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, 35. 3 ยงยุทธ ชูแว่น, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นไทย, (กรุงเทพฯ: ยิปซี กรุ๊ป, 2562), 50.


42 นอกจากงานศึกษาเรื่องราวท้องถิ่นเพื่อประโยชน์ในการอ้างอิงข้อมูล เป็นหลักฐานในการสร้างความชอบธรรมครอบครองท้องถิ่นหรือต่อรองกับชาติ มหาอำนาจที่มีอิทธิพลอย่างชัดเจนในช่วงสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นต้นมา ในอีกด้าน หนึ่งเป็นวิธีการที่ชนชั้นสูงของไทยต้องการค้นหาเอกลักษณ์ที่มีลักษณะเป็น สากล แต่ยังคงวางอยู่บนรากฐานของความเป็นไทย ฉะนั้นการศึกษา ประวัติศาสตร์ไทยจึงเป็นทางออกสำคัญของชนชั้นนำไทยหรืออาจกล่าวได้ว่า วิกฤติการณ์ทางเอกลักษณ์ ผลักดันให้ประวัติศาสตร์ไทยกลับมาคึกคักขึ้นใหม่4 ดังที่จะเห็นได้ถึงความสนพระทัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในเรื่องประวัติศาสตร์และโบราณคดี นอกจากการค้นพบและให้ความสำคัญแก่ ศิลาจารึกหลักที่ 1 แล้วพระองค์ยังโปรดให้ชำระพระราชพงศาวดาร กรุงศรีอยุธยาลงมาจนถึงต้นรัตนโกสินทร์ โดยกรมหลวงวงศาธิราชสนิทเป็นผู้มี ส่วนร่วมในการชำระครั้งนี้ นับเป็นปัญญาชนไทยรุ่นแรกคนหนึ่งที่มีความรู้ เกี่ยวกับวิทยาการจากตะวันตก ไม่เพียงแต่การตรวจสอบคำสำนวนในฉบับเก่า ให้ถูกต้องตามสมัยนิยม หากแต่ได้เพิ่มเติมเนื้อความโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ชาติข้างเคียงลงไว้อย่างละเอียดขึ้นด้วย5 ในช่วงเวลานี้แม้ว่าจะมีการเก็บรวบรวมบันทึกประวัติศาสตร์ของเมือง ต่างๆ ซึ่งบางชิ้นเป็นงานที่คนท้องถิ่นนั้นๆ เขียนขึ้นไว้ก็ตาม งานเหล่านั้นถูกมอง เป็นเพียงส่วนหนึ่งของพงศาวดาร เมื่อมีการรวบรวมอธิบายความและตีพิมพ์ได้ 4 นิธิ เอียวศรีวงศ์, “200 ปีของการศึกษาประวัติศาสตร์ไทย”, กรุงแตก, พระเจ้าตากฯ และประวัติศาสตร์ไทย ว่าด้วยประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์ นิพนธ์, (กรุงเทพฯ : มติชน, 2550), 14. 5 เรื่องเดียวกัน.


43 เรียกชื่อว่า “ประชุมพงศาวดาร” ธิดา สาระยา ให้ความเห็นว่าประชุม พงศาวดารส่วนหนึ่งเป็นงานพิมพ์รวบรวมประวัติของเมืองต่างๆ ภายใต้การ ปกครองของกรุงเทพฯ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ส่งให้เจ้าเมืองหรือข้าราชการที่ส่งไป ปกครองเขียนรวบรวมของเดิมบางทีเรียกพงศาวดารเมือง งานเหล่านี้บางชิ้น ฉบับแท้ดั้งเดิมมีรูปแบบเป็นตำนานประวัติศาสตร์แต่กลับถูกพิจารณาว่าเป็น พงศาวดารชนิดหนึ่งทั้งสิ้น 6 ช่วงเวลาก่อนทศวรรษ 2500 การผลิตงานด้านประวัติศาสตร์จำนวน มากของชนชั้นนำไทย โดยเฉพาะงานพระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรง ราชานุภาพ และงานพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 5 หันมาให้ความสนใจเรื่องราว เกี่ยวกับท้องถิ่นมากขึ้น ดังเช่นการเสด็จประพาสต้นตามหัวเมืองท้องถิ่นต่างๆ ทรงบันทึกการเดินทางในลักษณะจดหมายเหตุ บันทึกประจำวัน หรือรายงาน ตรวจราชการ โดยเนื้อความอธิบายถึงเส้นทางการเดินทาง ชุมชนหมู่บ้าน ลักษณะบ้านเรือน ผู้คน วิถีชีวิตความเป็นอยู่ รวมถึงตำนาน เกร็ดเรื่องเล่าจาก ท้องถิ่น ดังเช่น พระราชหัตถเลขาเรื่อง “เสด็จประพาสลำน้ำมะขามเฒ่า ร.ศ. 127 (พ.ศ. 2451)”7 เมื่อคราวเสด็จโดยสารทางรถไฟจนถึงเมืองนครสวรรค์ และขากลับล่องลงทางคลองมะขามเฒ่าหรือแม่น้ำท่าจีนมาเมืองสุพรรณบุรี บ้านผักไห่ อ่างทอง แล้วเสด็จเข้าทางบางแก้วเข้ากรุงเก่าหรือ พระ 6 ธิดา สาระยา, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น: ประวัติศาสตร์ที่สัมพันธ์กับสังคม มนุษย์, (กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, 2539), 58. 7 ดูเพิ่มเติมใน พระราชหัตถเลขาเรื่องเสด็จประพาสลำน้ำมะขามเฒ่า, เข้าถึงเมื่อ 30 พฤศจิกายน 2565, เข้าถึงได้จาก https://digital.library.tu.ac.th/tu _dc/frontend/Info/item/dc:48294.


44 ราชหัตถเลขาเรื่องเสด็จเลียบมณฑลฝ่ายเหนือ พ.ศ. 2444 หรืองานพระราช นิพนธ์เรื่อง “เสด็จประพาสไทรโยค พ.ศ. 2420”8 รวมทั้งงานพระนิพนธ์ในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ผู้มี บทบาทอย่างสูงในฐานะนักประวัติศาสตร์และงานโบราณคดีในราชสำนักไทยใน ช่วงเวลาดังกล่าว อีกทั้งในช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย (พ.ศ. 2435-2458) ส่งผลให้ต้องเดินทางตรวจราชการ และบันทึกรายงานตรวจ ราชการ รวมทั้งความสนใจในงานด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดียิ่งส่งเสริม ความสนใจใคร่รู้ ดังปรากฏในพระนิพนธ์คำนำในพระพระราชพงศาวดารฉบับ พระราชหัตถเลขา พิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2455 กล่าวถึงโบราณวัตถุ โบราณสถานในพุทธศาสนาที่พบมากทางพื้นที่ด้านตะวันตกของลุ่มน้ำ เจ้าพระยา ซึ่งมีความสอดคล้องกับพระราชวินิจฉัยในรัชกาลที่ 4 ที่ให้ ความสำคัญกับหลักฐานจากท้องถิ่น ดังเช่นกรณีการเสนอข้อคิดเห็นใหม่จาก หลักฐานที่พบโดยอธิบายให้เห็นถึงความเก่าแก่ของนครปฐมและพระปฐมเจดีย์ อันเป็นรากฐานสำคัญต่อพระวินิจฉัยเรื่อง สุวรรณภูมิ ของสมเด็จฯ กรมพระยา ดำรงราชานุภาพ ที่มีการขยายความและเสนอข้อคิดเห็นใหม่ๆ ตามหลักฐานที่ ค้นพบภายหลัง โดยเชื่อมโยงนครปฐมหรือเมืองโบราณอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงอาทิ เมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรีกับสุวรรณภูมิอย่างชัดเจน โดยขยายการอธิบาย เรื่องหลักฐานที่พบในเมืองโบราณอู่ทองว่าเป็นจุดเริ่มต้นการเชื่อมโยงกับสุวรรณ ภูมิและย้ำความสำคัญ ดังข้อความที่ว่า 8 ดูเพิ่มเติมใน พระราชนิพนธ์เสด็จประพาสไทรโยค, เข้าถึงเมื่อ 30 พฤศจิกายน 2565, เข้าถึงได้จาก https://digital.library.tu.ac.th/tu_dc/fronten d/Info/item/dc:599.


45 “เมืองโบราณชื่อว่าสุพรรณภูมิ คือเมืองอู่ทองของเรามี แม้จะว่าด้วย เรื่องทองที่เป็นเหตุให้เรียกว่าประเทศสุวรรณภูมิ ในเมืองมอญไม่มีบ่อทอง มามี ในเมืองเรา ก็เป็นพยานอยู่.....คำเรียกสุวรรณภูมิประเทศจะหมายความว่า ประเทศทางนี้ ตั้งแต่รามัญลงมาจนถึงประเทศสยามข้างฝ่ายตะวันตก หรือบาง ทีจะตลอดออกไปจนถึงเมืองญวนทุกวันนี้ ในครั้งนั้นจะรวมเรียกว่าสุวรรณภูมิ ประเทศทั้งสิ้น ..” 9 หรือในงานนิพนธ์เรื่อง “นิทานโบราณคดี” ของสมเด็จฯ กรมพระยา ดำรงราชานุภาพ ที่อธิบายความรู้เกี่ยวกับท้องถิ่นต่างๆ จากความทรงจำ ประสบการณ์จริงของพระองค์ผนวกกับความสนใจส่วนตัว เห็นได้ว่านิทาน โบราณคดีเป็นหนังสือบุกเบิกที่ให้ภาพเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่น รวมทั้งเป็นเอกสารหลักฐานจากคำบอกเล่าความทรงจำของท้องถิ่นได้เป็นอย่าง ดี ดังวัตถุประสงค์ในการนิพนธ์ปรากฏอย่างชัดเจนในคำนำของพระองค์ท่านใน พ.ศ. 2485 ดังนี้ “....เรื่องต่างๆ ที่จะเล่าต่อไปนี้ล้วนเป็นเรื่องจริง ซึ่งตัวฉันได้รู้ ได้เห็น เองมิได้ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ แต่เป็นเกร็ดนอกพงศาวดาร จึงเรียกว่า นิทาน โบราณคดี.. ฉันจึงได้เริ่มเขียนนิทานโบราณคดีมาตั้งแต่ พ.ศ. 2483 แต่ไม่ได้ กำหนดว่าจะเขียนเรื่องชนิดใด สุดแต่นึกเรื่องอะไรขึ้นได้ เห็นว่าน่าจะเขียน 9 ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จฯ กรมพระยา, พระราชพงศาวดารฉบับพระ ราชหัตถเลขา, (กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, 2505), ส่วนนำ.


46 ก็เขียนลงเป็นนิทาน นึกเรื่องใดได้ก่อนก็เขียนก่อน เรื่องใดนึกขึ้นได้ภายหลังก็ เขียนทีหลัง..” 10 ในหนังสือเล่มนี้ไม่ได้อธิบายเฉพาะเรื่องโบราณสถานหรือโบราณวัตถุ เพียงอย่างเดียวเท่านั้นแต่ยังเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่ทรงพบเห็นในอดีต แต่การที่ พระองค์(ผู้แต่ง) ไม่ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ เพราะการศึกษาประวัติศาสตร์ใน สมัยพระองค์ เน้นถึงบทบาทพระมหากษัตริย์และถือว่าเรื่องราวในพงศาวดาร เป็นประวัติศาสตร์ ดังนั้นเมื่อพระองค์ทรงถือว่าความเป็นประวัติศาสตร์ต้อง เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ จึงทำให้มองพระนิพนธ์ชุดนี้ว่าเป็นเพียงเกร็ดนอก พงศาวดาร เช่น ในเรื่องการหาเจดีย์ยุทธหัตถี พงศาวดารกล่าวเพียงว่าสมเด็จ พระนเรศวรสร้างเจดีย์สวมพระบรมศพพระมหาอุปราชไว้ ณ ตำบลตระพังตรุ แต่ก็ไม่ได้ให้รายละเอียดว่าตำบลนี้อยู่ที่ไหน ในเมื่อสถานที่ทั้งสองแห่งสัมพันธ์ กับพระมหากษัตริย์ พระองค์เป็นเพียงผู้สืบค้นอดีตที่ไม่ปรากฏแน่ชัดให้เป็นที่ ประจักษ์ จึงถือว่าเป็นเพียง “เกร็ด” เรื่องหนึ่งในพงศาวดาร11 นอกจากนี้ยังมี เรื่องราวอันหลากหลายในนิทานโบราณคดี ที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิตของ ชาวบ้านท้องถิ่นต่างๆ เช่น นิทานเรื่องความไข้เพชรบูรณ์ เรื่องโจรประหลาด เรื่องพระครูวัดฉลอง เรื่องเสือใหญ่เมืองชุมพร เป็นต้น 10 ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จฯ กรมพระยา, นิทานโบราณคดี, (กรุงเทพฯ: คลังวิทยา, 2517). 11 นนทพร อยู่มั่งมี, “นิทานโบราณคดีในฐานะประวัติศาสตร์นิพนธ์” ใน วารสารสมาคมประวัติศาสตร์ ฉบับที่ 30, (กรุงเทพฯ : พิมพ์ดี, 2551), 216-217.


47 แม้ว่านิทานโบราณคดี ไม่ถูกนับเป็นงานเขียนประวัติศาสตร์แต่อยู่ใน ฐานะนิทานหรือเกร็ดเรื่องเล่าในอดีต ดังที่ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ก็ไม่นับงานพระ นิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ หลัง พ.ศ. 2475 ว่าเป็นงาน ประวัติศาสตร์ ซึ่งต้องอาศัยการค้นคว้าจากหลักฐานอย่างกว้างขวางดังที่เคย กระทำก่อนหน้านั้น อีกทั้งยังเห็นว่า นิทานโบราณคดีเป็นงานนิพนธ์ขึ้นจาก ความทรงจำเท่านั้น เช่นเดียวกับพระนิพนธ์เรื่อง ความทรงจำ12 อย่างไรก็ตาม นิทานโบราณคดีมีความเป็นประวัติศาสตร์ในแง่ของการเป็นประวัติศาสตร์ ท้องถิ่นที่ถูกถ่ายทอดผ่านมุมมองจากส่วนกลาง13 แม้ว่าท่านจะไม่ได้ค้นคว้า หลักฐานจำนวนมากเหมือนงานก่อนช่วง พ.ศ. 2475 แต่เรื่องราวที่เล่ามาจาก ประสบการณ์ตรงโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่งเสนาบดี กระทรวงมหาดไทย ซึ่งต้องเดินทางตรวจราชการ ได้พบปะกับผู้คนและสัมผัส ข้อมูลหลักฐานจากท้องถิ่น ทั้งในด้านสภาพภูมิประเทศ การดำรงชีวิต ทรัพยากร การประกอบอาชีพ ความหลากหลายด้านเชื้อชาติแหล่งโบราณ สถานและเรื่องราวอื่นๆ ในแต่ละท้องถิ่น ดังเช่นเล่าเรื่องจากการเดินทางตรวจราชการมณฑลอุดรและอีสาน เมื่อ พ.ศ. 2449 อธิบายถึงความแตกต่างของผู้คนในท้องถิ่นที่นอกจากจะมีคน ไทยล้านช้างเป็นส่วนใหญ่แล้วในท้องถิ่นนี้ก็ยังมีกลุ่มชนที่แตกต่างกัน 8 จำพวก ได้แก่ ผู้ไทย กะเลิง ย้อ แสก โย้ย กะตาก กะโซ้ และเขมร อีกทั้งยังได้เล่าเรื่อง 12 นิธิ เอียวศรีวงศ์, “200 ปีของการศึกษาประวัติศาสตร์ไทย”, กรุงแตก, พระเจ้าตากฯ และประวัติศาสตร์ไทย ว่าด้วยประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์ นิพนธ์, 16. 13 นนทพร อยู่มั่งมี, “นิทานโบราณคดีในฐานะประวัติศาสตร์นิพนธ์”, 218.


48 ความแตกต่างในด้านวิถีชีวิตขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีความเฉพาะของแต่ละ กลุ่มชาติพันธุ์ ตัวอย่างเช่น “การเต้นสาก” ของพวกแสก ที่อาศัยอยู่บริเวณเขต เมืองนครพนม ซึ่งมีถิ่นฐานเดิมอยู่ทางฝั่งซ้ายใกล้เชิงเขาบรรทัด รอยต่อดินแดน ญวณ ทรงเล่ารายละเอียดการเต้นสาก ไว้ดังนี้ “มีผู้หญิง 10 คู่ นั่งหันหน้าหากันเรียงเป็นแถว แต่ละคนถือปลายไม้ พลองมือละอันทั้งสองข้าง วางไม้พลองบนไม้ขอนที่ทอดไว้ตรงหน้า 2 ท่อนมี ทางอยู่กลาง เวลาเล่นหญิง 10 คู่นั้นขับร้อง แล้วเอาไม้พลองที่ถือลงกระทบไม้ ขอนพร้อมๆ กันเป็นจังหวะ จังหวะ 1 กับจังหวะ 2 ถือไม้พลองให้ห่างกัน ถึง จังหวะ 3 รวบไม้พลองเข้าชิดกัน มีหญิงสาว 4 คน ผลัดกันเต้นทีละคู่ เต้นตาม จังหวะไปในระหว่างช่องไม้พลองที่คนถือทั้ง 10 คู่ ต้องระวังเมื่อถึงจังหวะ 3 อย่าให้ถูกไม้พลองหนีบข้อตีน กระบวนเล่นมีเท่านั้น แต่ประหลาดอยู่ที่การเล่น “เต้นสาก” นี้ มีพวกกะเหรี่ยงทางชายแดนเมืองราชบุรีเล่นอีกพวกหนึ่ง พวก กะเหรี่ยงกับพวกแสกอยู่ห่างกันอย่างสุดหล้าฟ้าเขียว ไฉนจึงรู้จักการเล่น เช่นเดียวกัน ข้อนี้น่าพิศวง” 14 การศึกษาเรื่องราวของท้องถิ่นจากมุมมองของชนชั้นนำที่มีต่อท้องถิ่น ยังสะท้อนได้ดีในกรณีการจัดทำหนังสือ “สมุดราชบุรี” ที่จัดพิมพ์รวบรวมข้อมูล ของรัฐท้องถิ่นภายใต้ระบบมณฑลเทศาภิบาล โดยมีวัตถุประสงค์ของการพิมพ์ เผยแพร่เพื่อเป็นหนังสือประกอบการจัดการแสดงสยามรัฐพิพิธภัณฑ์ พ.ศ. 2468 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งถือได้ว่าเป็น 14 ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จฯ กรมพระยา, “นิทานที่ 17 เรื่องแม่น้ำโขง” ใน นิทานโบราณคดี, (กรุงเทพฯ: คลังวิทยา, 2517), 320–337.


49 การดำเนินรัฐประศาสนโยบายที่สืบต่อสมเด็จพระบรมราชชนก อันที่จริงในสมัย ของพระองค์ก็ได้แสดงตัวตนของสยามประเทศต่อนานาชาติเริ่มตั้งแต่การที่ทรง นำประเทศสยามเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับประเทศมหาอำนาจตะวันตกใน สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ภาพที่ 2.1 หนังสือนิทานโบราณคดี ภาพที่ 2.2 หนังสือสมุดราชบุรี การจัดการแสดงสยามรัฐพิพิธภัณฑ์จึงถือเป็นความต้องการที่จะแสดง ตัวตนของสยามต่อนานาชาติอีกครั้งหนึ่งสะท้อนให้เห็นจากพระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัด งานนี้ 3 ประการคือ 1) เพื่อโฆษณาประเทศต่อนานาชาติ 2) เพื่อให้ชาวสยาม ภูมิใจในความอุดมสมบูรณ์ของบ้านเมืองตนเอง 3) เพื่อเชิญชวนให้คนต่างชาติ มาเที่ยวสยามรวมทั้งให้เข้ามาทำการค้าขาย โดยในการจัดเตรียมการแสดง สยามรัฐพิพิธภัณฑ์พบว่ามีการจัดทำหนังสือพิมพ์เผยแพร่ในงานอย่างน้อย 2


50 เล่ม เล่มแรกเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง คือ หนังสือที่ระลึกสยามรัฐ พิพิธภัณฑ์ (The Souvenir of the Siamese Kingdom Exhibition) และเล่ม ที่ 2 คือ สมุดราชบุรี ซึ่งเมื่อพิจารณาจากเนื้อหาสาระของหนังสือทั้งสอง พบว่า หนังสือที่ระลึกสยามรัฐพิพิธภัณฑ์เป็นตัวแทนของรัฐส่วนกลางโดยเฉพาะ กรุงเทพฯ ส่วนสมุดราชบุรีเป็นตัวแทนของการเป็นรัฐท้องถิ่นภายใต้ระบบ มณฑลเทศาภิบาล และเมื่อพิจารณาจากคำนำของหนังสือที่เขียนโดย พระยาคทาธรบดี จางวางโท (เทียม อัศวรักษ์) สมุหเทศาภิบาลมณฑลราชบุรีใน ขณะนั้น กล่าวไว้ว่าสมุดราชบุรีจัดทำขึ้นในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งแห่งหอของ มณฑลราชบุรีในการแสดงสยามรัฐพิพิธภัณฑ์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อ “ให้ผู้อ่าน ได้ทราบประวัติความเป็นมาของมณฑลราชบุรี ทั้งอดีตและปัจจุบันกาล กับจะ ได้เห็นภูมิประเทศ สถานที่โบราณบางอย่างเป็นเครื่องประกอบความรู้ยิ่งขึ้น ด้วย” การเรียบเรียงหนังสือนี้ดำเนินการโดยข้าราชการปกครองในระบบที่ได้ จัดตั้งขึ้นใหม่ คือ ระบบมณฑลเทศาภิบาล ดังนั้นสมุดราชบุรีจึงเป็นการนำเสนอ ในทัศนะของชนชั้นนำที่มีต่อท้องถิ่น มากกว่าจะเป็นการสะท้อนภาพจาก ท้องถิ่นโดยคนท้องถิ่นเอง สำหรับเนื้อหาแบ่งออกเป็น 5 ภาค คือ ตำนานเมือง และการปกครอง อาชีพและสินค้าสำคัญ สถานที่ท่องเที่ยว การสงครามและ เรื่องราวเบ็ดเตล็ด15 อาจกล่าวได้ว่าสมุดราชบุรีทำหน้าที่เป็นเอกสารตัวแทน ของท้องถิ่นในการประชาสัมพันธ์ประเทศสยามให้นานาชาติรับรู้ในความสำคัญ ของพื้นที่ทั้งในมิติด้านประวัติศาสตร์ การเมืองการปกครอง ผู้คน วัฒนธรรม และทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญของท้องถิ่น 15 ฉลอง สุนทราวาณิชย์ (บรรณาธิการ), สมุดราชบุรี พ.ศ. 2468, พิมพ์ ครั้งที่ 2, 2550, คำนำ (11)-(13).


51 ภาพที่ 2.3 ชายชาวเกรี่ยง (กะเหรี่ยง) มณฑลราชบุรี ที่มา: สมุดราชบุรี พ.ศ. 2468 ภาพที่ 2.4 การเคี่ยวน้ำตาลใส่หม้อ ที่มา: สมุดราชบุรี พ.ศ. 2468 ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 บรรยากาศ การศึกษาเกี่ยวกับท้องถิ่นมีความตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งทั้งนี้เพราะจุดหมาย สำคัญของการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นพร้อมกับบรรยากาศของประชาธิปไตย ความรู้เกี่ยวกับท้องถิ่นเป็นสิ่งสำคัญที่รัฐต้องทำความเข้าใจ และการที่รัฐบาลได้ เชิญสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรุ่นแรกให้มาปาฐกถาเรื่องสภาพจังหวัดของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นทางด้านประวัติความเป็นมา สภาพภูมิศาสตร์และความเป็นอยู่ ทั่วไปของราษฎรทั่วๆ ไป ย่อมเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสนใจต่อท้องถิ่น ของรัฐได้อย่างชัดเจน รวมทั้งเนื้อหาบางส่วนของปาฐกถาแสดงให้เห็นถึงสำนึก ที่มีต่อท้องถิ่นของตน ตลอดจนความมุ่งหวังให้ท้องถิ่นผนวกเป็นส่วนหนึ่งของ รัฐสมัยใหม่


52 ปาฐกถาดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์รวมเล่มครั้งแรกใน พ.ศ. 2478 ภายใต้ชื่อว่าปาฐกถาของผู้แทนราษฎรเรื่องสภาพของจังหวัดต่างๆ และได้รับ การพิมพ์ซ้ำอีกครั้งเมื่อ พ.ศ. 253916 ตลอดจนการเกิดกลุ่มนักวิชาการท้องถิ่น ตามภูมิภาคต่างๆ ที่ต้องการมีบทบาทต่อการพัฒนาความรู้ในภูมิภาคของตน โดยส่วนใหญ่เป็นการศึกษางานโบราณคดีและประวัติศาสตร์ไทยโบราณที่แสดง ให้เห็นว่าท้องถิ่นมีวัฒนธรรมเป็นของตนเองอย่างชัดเจน สรุปได้ว่าการขยายตัวของสถานภาพการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ก่อน พ.ศ. 2500 ยังคงเน้นอุดมการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เน้นความเป็น ศูนย์กลาง ซึ่งส่งผลต่อการใช้หลักฐานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์หลักใน การศึกษา จึงส่งผลให้หลักฐานที่สัมพันธ์กับเรื่องอื่นที่ไม่ใช่ “ชาติ” ถูกละเลย และลดคุณค่าลงไป แต่ในขณะเดียวกันก็เริ่มเกิดบรรยากาศการเติบโตทาง ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์อย่างกว้างขวาง สนใจเรื่องราว ขนบธรรมเนียม ประเพณี เรื่องของชุมชนหมู่บ้าน กลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ จนนำไปสู่ ความสนใจหรือการแสวงหาหลักฐานใหม่อื่นๆ และเป็นที่น่าสังเกตว่า ความสนใจเกี่ยวกับท้องถิ่นได้ขยายตัวพร้อมกับปัญญาชนไทย เกิดการผลิตผล งานทางประวัติศาสตร์ที่ใช้หลักฐานอย่างหลากหลายมากขึ้น เช่น หลักฐานทาง โบราณคดี ศิลปกรรม ประเพณีพิธีกรรมของท้องถิ่น รวมทั้งการใช้คำบอกเล่า เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์เรื่องราวในอดีตของท้องถิ่น อีกทั้งยังมี ความก้าวหน้าในทางด้านเนื้อหา แนวคิด วิธีการจากมุมมองจากผู้รู้ นักวิชาการ หลากหลายสาขาที่ให้ความสนใจ 16 ยงยุทธ ชูแว่น, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นไทย, 52.


53 2.2 พัฒนาการการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นหลัง พ.ศ. 2500 ผลจากการปฏิรูปการเมืองการปกครอง ช่วงสมัยรัชกาลที่ 4-5 ทำให้ ขุนนางท้องถิ่นรวบรวมเขียนประวัติของเมือง และชุมชนไว้เป็นเอกสารของ หลวงและส่งเสริมมาอย่างสืบเนื่อง เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการปฏิรูป การเมืองการปกครอง เช่น กลุ่มงานพงศาวดารเมืองฯ เทศาภิบาล วชิรญาณวิเศษ วารสารสยามสมาคม ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ ได้แก่ พงศาวดารโยนก เขียนโดย พระยา ประชากิจกรจักร หรือ แช่ม บุนนาค จัดพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2449 ในสมัย รัชกาลที่ 5 จากการรวบรวมข้อเขียนต่างๆ ของท่านที่เคยคัดแปลข้อความ โดยสังเขปจากอักษรไทยเหนือลงพิมพ์ในหนังสือวชิรญาณ ในระหว่าง พ.ศ. 2441-2442 กล่าวถึงเนื้อหาของตำนานพื้นเมืองต่างๆ เช่น ตำนานเมือง สุวรรณโคมคำ ตำนานสิงหนวัติ ตำนานเมืองหริภุญไชยและจามเทวีวงศ์ ตำนาน พระแก้ว ตำนานพระธาตุดอยตุง ตำนานพระสิหิงค์ เหล่านี้ถือเป็นหลักฐานที่ สะท้อนให้เห็นโลกทัศน์และความรู้ความเข้าใจทางประวัติศาสตร์และสังคมต่อ ท้องถิ่นภาคเหนือในสมัยรัชกาลที่ 5 ด้วยจุดมุ่งหมายสำคัญในการทำความรู้จัก เมืองประเทศราชอย่างล้านนา17 ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เกิดงานเขียนประเภท พงศาวดารเมืองต่างๆ เช่น พงศาวดารเมืองสงขลา พงศาวดารเมืองพัทลุง เป็น ต้น ทั้งนี้การเขียนพงศาวดารมีสาระที่เป็นเรื่องราวเหตุการณ์และประวัติของ ผู้ปกครองนั้นๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นการอ้างสิทธิธรรมในการปกครองและ การสืบต่ออำนาจจากการเป็นเจ้าเมืองภายในสายตระกูล โดยกลุ่มขุนนางที่เป็น 17 ประชากิจกรจักร์ (แช่ม บุนนาค) พระยา, พงศาวดารโยนก, (กรุงเทพฯ: แพร่วิทยา, 2515), 4-5.


54 ผู้เขียน ต่างบันทึกประวัติของตระกูลในฐานะของเจ้าเมืองของราชอาณาจักร สยาม18 ในงานชุดต่างๆ นี้เห็นได้ว่ายังคงอยู่ภายในภายใต้กรอบ “ชาตินิยม” แต่ถือได้ว่างานเขียนต่างๆ เหล่านี้เป็นการชี้ชวนให้รู้จักกับท้องถิ่นต่างๆ มากขึ้น จนกระทั่งเข้าสู่การปฏิวัติ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 จนถึงช่วงหลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2488) ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจารีตของ ประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทยแต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ใช่ “ถอนรากถอนโคน” แต่หากมีส่วนใดส่วนหนึ่งที่ยังเป็นประโยชน์ก็สามารถใช้สืบเนื่องไป ดังนั้นส่วน ใหญ่เป็นการปรับปรุงเพิ่มเติม หรือเน้นประเด็น เรื่อง “ชาตินิยม” แต่ขยายเป็น ชาติ-ศาสน์-กษัตริย์-รัฐธรรมนูญ โดยเน้นประเด็นความเจริญ ความเสื่อม ความ เข้มแข็ง ความอ่อนแอ เช่น การเน้นย้ำภาพของสุโขทัยและภาพของอยุธยา ลักษณะแนวอธิบายประวัติศาสตร์บ้านเมืองของตนส่วนหนึ่งที่ยังเป็น ส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติไทย มักแบ่งเป็นยุคสมัยของท้องถิ่น (อย่างเช่น จังหวัด) เป็นสมัยสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี รัตนโกสินทร์ โดยไม่พิจารณาจาก พัฒนาการของท้องถิ่นของตนและให้ความสำคัญกับเมืองที่เป็นราชธานีที่เป็น ศูนย์กลางการปกครอง อาจเนื่องด้วยงานเขียนประวัติศาสตร์แนวนี้ส่วนใหญ่ เป็นผลงานที่เรียบเรียงขึ้นโดยข้าราชการในท้องถิ่น ดังเช่น เรื่องราวต่างๆ ที่ ปรากฏในหนังสือชุดประชุมพงศาวดาร ได้ถูกนำมาเรียบเรียงเขียนเรื่องสำคัญ ของเมืองในระยะเวลาต่อมา เช่น หนังสือรวบรวมภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ จังหวัดพิษณุโลก ตีพิมพ์เผยแพร่ พ.ศ. 2477 ซึ่งเรียบเรียงโดยกลุ่มข้าราชการที่ ใช้นามว่า คณะพิษณุโลก และหนังสือนำเที่ยวเมืองสองแควหรือพิษณุโลก 18 อดิศร ศักดิ์สูง, “สังคมพหุลักษณ์” ใน วารสารมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ. 1 (1) (เม.ย.-ก.ย. 2549), 74-75.


55 ตีพิมพ์เผยแพร่ พ.ศ. 2482 โดยบุญชด แสงตัน และ หนังสือ ตำนานเมือง พิษณุโลกกับประวัติพระพุทธชินราชและโบราณวัตถุบางอย่าง โดยร้อยเอก หลวงเชื้อชำนาญเกณฑ์ พิมพ์เผยแพร่ใน พ.ศ. 249719 นับได้ว่าเป็นเอกสารการ เรียบเรียงประวัติศาสตร์เมืองในระยะแรกของกลุ่มเมืองในเขตภาคเหนือ ตอนล่างในยุคโบราณจากเรื่องเล่า ตำนาน อันเป็นพื้นฐานของการศึกษา ประวัติศาสตร์ชาติไทยในเวลาต่อมา หนังสือเรื่อง ปาฐกถาของผู้แทนราษฎร เรื่องสภาพของจังหวัดต่างๆ20 จัดพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2478 เนื้อหาของหนังสือฉบับนี้ประกอบด้วยเรื่องราว ของจังหวัดต่างๆ จำนวน 36 จังหวัด ที่ประมวลมาเสนอทางวิทยุกระจายเสียง ของสำนักงานโฆษณาการ โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดนั้นๆ ดังนั้น ความน่าสนใจของปาฐกถาจึงเป็นการสะท้อนคติและสำนึกของตัวผู้แทนราษฎร ของจังหวัดต่างๆ ที่มีต่อท้องถิ่นของตนในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของรัฐสมัยใหม่ แต่ในฐานะความเป็นท้องถิ่น ทำให้ผู้ฟังรวมทั้งผู้อ่านได้ทำความเข้าใจท้องถิ่นใน เชิงภายภาพ ทั้งภูมิประเทศ ป่าเขา และถนนหนทาง ส่วนเชิงวัฒนธรรมได้รู้จัก ในแง่ของวิถีชีวิต ด้านชาติพันธุ์ ประเพณี วัฒนธรรมและความเป็นอยู่ 19 วศิน ปัญญาวุธตระกูล, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น: วิธีการศึกษาเชิง ปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม, (พิษณุโลก: รัตนสุวรรณการพิมพ์ 3, 2562), 48. 20 ปาฐกถาของผู้แทนราษฎรเรื่องสภาพของจังหวัดต่าง ๆ, (กรุงเทพฯ: สมาคมมิตรภาพญี่ปุ่น – ไทย, 2539), (7) –(8).


56 ภาพที่ 2.5 หนังสือ ปาฐกถาของผู้แทนราษฎร เรื่องสภาพของจังหวัดต่างๆ


57 เช่นเดียวกับหนังสือที่ระลึกที่จังหวัดจัดทำในวาระต่างๆ เกี่ยวกับ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ชาติพันธุ์ เป็นต้น แต่เอกสารที่ผลิตขึ้น ในช่วงนี้ยังคงให้ภาพของประวัติศาสตร์ของรัฐเป็นแก่นเรื่อง เช่น ในสมัยจอม พล ป. พิบูลสงคราม กับ โครงการการจัดพิมพ์หนังสือวัฒนธรรมทั้ง 71 จังหวัด โดยผ่านสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ ที่อธิบายความเป็นอยู่ของกลุ่มชนในแต่ละ จังหวัด ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ สถานที่น่าสนใจ บุคคลสำคัญในท้องถิ่น และเป็นการสร้างความรู้สึกเป็นคนจังหวัดเดียวกัน หรือสมุดที่ระลึกของจังหวัด ต่างๆ เนื่องในงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ ที่ให้ความสำคัญกับสถานที่ที่เกี่ยวกับ พุทธศาสนา การทำนุบำรุงศาสนาสถานที่สำคัญๆ 21 ต่อมาหลัง พ.ศ. 2500 แนวทางการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เริ่มมี ความชัดเจนมากขึ้น โดยสามารถแบ่งพัฒนาการการศึกษาตามบริบททาง ประวัติศาสตร์ที่สำคัญต่อการเปลี่ยนแแปลงยุคสมัย ออกเป็น 3 ช่วงเวลา ได้แก่ ยุคก่อร่าง พ.ศ. 2500-2520 ยุคเฟื่องฟู พ.ศ. 2520-2540 และ ยุคเติบโต พ.ศ. 2540-ปัจจุบัน 2.2.1 ยุคก่อร่าง พ.ศ. 2500-2520 ในช่วงเวลานี้การศึกษาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชาติมีความ ตื่นตัวขึ้นเป็นอย่างมาก และเรื่องราวของท้องถิ่นก็ได้รับความสนใจจากคนใน ท้องถิ่นเองเพิ่มขึ้น ปัจจัยที่สำคัญคือการส่งเสริมจากรัฐบาลในการศึกษา ประวัติศาสตร์ชาติด้วยเหตุผลทางการเมืองที่ต้องการสร้างอำนาจของศูนย์กลาง 21 “งานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ”. [ม.ป.ท.]:โรงพิมพ์อักษรสารการพิมพ์, 2500, สืบค้นเมื่อ 20 มิถุนายน 2565, เข้าถึงได้จาก http://digital.library.tu. ac.th/tu_dc/frontend/Info/item/dc:47362.


58 ให้เข้มแข็ง จึงขยายผลไปสู่การศึกษาเรื่องราวของท้องถิ่นทั้งโดยทางตรงและ ทางอ้อม อีกทั้งความสนใจของนักวิชาการต่างชาติต่อชนบทไทย ก็ทำให้เกิดองค์ ความรู้เกี่ยวกับสังคมและวัฒนธรรม บริบทของการขยายตัวในด้านสถานภาพ ความรู้ทางประวัติศาสตร์ในช่วงเวลานี้ที่สำคัญนอกจากความสนใจจากคนใน ท้องถิ่นแล้วยังเกิดจากพื้นที่ถ่ายทอดความรู้ เช่น วารสารวิชาการ22 สถาบันวิจัย และวารสารภายในสถาบันการศึกษาตามภูมิภาคต่างๆ รวมทั้งการก่อตั้งศูนย์ วัฒนธรรมประจำจังหวัด เพื่อรวบรวมองค์ความรู้ เรื่องราวเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ ชาติพันธุ์ ภาษาและวัฒนธรรมของท้องถิ่น ดังนั้นประวัติศาสตร์ท้องถิ่นช่วงยุคก่อร่างเป็นช่วงยุคพัฒนาราว ทศวรรษ 2500 แต่ยังคงอยู่ในกรอบประวัติศาสตร์ชาติไทยเช่นเดียวกับยุคก่อน หน้า โดยเนื้อหาความสนใจยังคงอยู่ที่เรื่องเศรษฐกิจและการเมืองโดยได้รับการ สนับสนุนจากหน่วยงานรัฐ ทั้งนี้การส่งผ่านอุดมการณ์รัฐไทยมีความชัดเจน อย่างมากในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยการรณรงค์ในทุกรูปแบบของ “การพัฒนา” ภายหลังที่มีการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 1 พ.ศ. 2504 เห็นได้จากคำกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดประชุมปฐมนิเทศงานพัฒนาการท้องถิ่น 24 ตุลาคม พ.ศ. 2503 ที่ว่า “...ความจำเป็นขั้นแรก คือ เราจะต้องพยายามให้ ราษฎรเข้าใจและเห็นชอบในเรื่องที่ว่าประเทศชาติเราจะต้องมีการพัฒนา 22 วารสารวิชาการด้านโบราณคดี ประวัติศาสตร์ ท้องถิ่นในประเทศไทย ที่ สำคัญ ได้แก่ วารสารเมืองโบราณ ฉบับแรกตีพิมพ์พ.ศ. 2517 วารสารรวมบทความ ประวัติศาสตร์ (2521) วารสารศิลปวัฒนธรรม (2522).


59 มนุษย์จะต้องก้าวหน้าวันพรุ่งนี้ จะต้องดีกว่านี้” 23 เหล่านี้เป็นตัวอย่างของการ เร่งรัดผลักดันให้เกิดการพัฒนาทั้งมิติทางกายภาพ เศรษฐกิจ และสังคม เช่น การสถาปนาเมืองในตัว “จังหวัด” ให้เป็นศูนย์รวมอำนาจรัฐในท้องถิ่น การ ออกแบบศูนย์ราชการ เพื่อเป็นที่ตั้งของหน่วยงานราชการ เช่น ศาลากลางจังหวัด ศาลจังหวัด สถานีตำรวจ สาธารณสุข การวางผังเมืองให้ ทันสมัย เช่นสวนสาธารณะ วงเวียนน้ำพุ การพัฒนาเมืองหลักในภูมิภาค เช่น ขอนแก่น สงขลา เชียงใหม่ การจัดตั้งมหาวิทยาลัยเป็นสถาบันการศึกษาใน ภูมิภาค การตัดถนนเชื่อมต่อเมืองหลักกับจังหวัดอื่นๆ ที่อยู่รายรอบ การสร้าง โรงเรียน รวมทั้งการพัฒนาสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ การปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม วิถีการดำเนินชีวิต และพฤติกรรมของ คนในสังคมเพื่อความเป็นไทยที่ทันสมัย แต่ยังคงรักษาคติอนุรักษ์นิยมแบบเดิม เช่น การดำรงความเป็นชาติ การรื้อฟื้นความสำคัญของ “สถาบันกษัตริย์” ยังคงส่งเสริมพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรม วงศานุวงศ์ รวมถึงการสร้างการรับรู้ผ่านสื่อต่างๆ จากการเสด็จพระราชดำเนิน ไปยังท้องที่ต่างๆ และโครงการพระราชดำริจึงเห็นได้ว่าในช่วงเวลาดังกล่าว ท้องถิ่นกับรัฐไทยยิ่งมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งกายภาพ ความคิดและ อุดมการณ์ จึงอาจจะเรียกได้ว่า ยังเป็นท้องถิ่นภายใต้โครงเรื่องของ ประวัติศาสตร์ชาติ 23 สฤษดิ์ ธนะรัชต์, จอมพล, ประมวลสุนทรพจน์ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะ รัชต์ พ.ศ. 2502-2504. (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี, 2507).


60 ก่อนทศวรรษ 2500 คำเรียกประวัติศาสตร์ท้องถิ่นยังเป็นการเรียก ประวัติท้องที่ ตำนานท้องถิ่น หรือประวัติบ้านเมือง คำว่า “ประวัติศาสตร์ ท้องถิ่น” เกิดขึ้นในราวทศวรรษ 2510 เมื่อ นิธิ เอียวศรีวงศ์เขียนคำนำในหนังสือ “ประวัติศาสตร์อีสาน” ของเติม วิภาคย์พจนกิจ พ.ศ. 2513 เป็นงานเขียน เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของเมืองต่างๆ ในภาคอีสานอย่างละเอียด โดยใช้ข้อมูล และวิธีการเขียนที่โยงกับการบริหารราชการส่วนกลาง เน้นเรื่องชนชั้นการ ปกครอง การสงคราม สถานที่ที่เกี่ยวกับชนชั้นปกครองส่วนกลางที่กรุงเทพฯ จึง เห็นได้ว่างานประวัติศาสตร์อีสาน ของ เติม วิพาคย์พจนกิจ ยังมีเนื้อหาสอดคล้อง กับความรู้กระแสหลักและใช้ข้อมูลชุดเดียวกับ พงศาวดารหัวเมืองมณฑลอีสาน ของ หม่อมอมรวงศ์จิตรที่ได้รับการส่งเสริมจากราชการให้ตีพิมพ์ พ.ศ. 2499 นาย ตรี อมาตยกุล เห็นว่า “...เพื่อเป็นประโยชน์ในการนำเที่ยวจังหวัดต่างๆ ของภาค อีสานต่อไป นอกจากนี้ความรู้ชุดนี้ยังสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจ การเมืองของชาติ จึงมีการตีพิมพ์หลายครั้ง …”24 รวมทั้งแนวทางการศึกษาเรื่องราวของเมืองและชุมชนในยุคโบราณ ของมานิต วัลลิโภดม นักวิชาการกรมศิลปากร ผู้มีความโดดเด่นเรื่องวิธีวิทยาที่ เน้นการลงพื้นที่ภาคสนาม ศึกษาสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ โบราณสถาน โบราณวัตถุและเอกสารประเภทตำนานท้องถิ่น ดังงานศึกษาเรื่อง สภาพ ภูมิศาสตร์บ้านเมืองในลุ่มน้ำเจ้าพระยาก่อนพุทธศตวรรษที่ 20 (2509) แสดงถึง บ้านเมืองที่หลากหลายในลุ่มน้ำเจ้าพระยา โดยใช้วิธีการสำรวจภาคสนาม การ 24 เติม วิพาคย์พจนกิจ, ประวัติศาสตร์อีสาน, (กรุงเทพฯ: สมาคม สังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, 2513).


61 สัมภาษณ์ การตรวจสอบภาพถ่ายทางอากาศ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการตีความ หลักฐานและให้ความสำคัญกับพัฒนาการของชุมชน นอกจากนี้ยังมีงานเขียนประเภทประวัติศาสตร์บ้านเมือง เป็นงาน ศึกษาประวัติศาสตร์เมือง จังหวัด ภูมิภาค หรือประวัติบุคคลสำคัญ ส่วนใหญ่ เป็นผลงานของนักวิชาการท้องถิ่น หรือข้าราชการท้องถิ่น สถาบันการศึกษา ท้องถิ่น ตีพิมพ์ในงานวิชาการเรื่องท้องถิ่นในวารสารต่างๆ เช่น อนุสารอ.ส.ท. สังคมศาสตร์ปริทัศน์ วารสารศิลปากร วารสารโบราณคดี และวารสารวาไรตี้ ทั่วไป เช่น ชาวกรุง ช่อฟ้า ชุมนุมจุฬา สยามสมัย รวมทั้งปรากฏการณ์ความ สนใจในสถาบันการศึกษาต่างๆ เช่น ต้นทศวรรษ 2500 กรมการฝึกหัดครูเปิด โรงเรียนและวิทยาลัยครูทั่วประเทศ 16 แห่ง พ.ศ. 2509 มหาวิทยาลัยส่วน ภูมิภาค เช่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เปิดสอนวิชาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น พ.ศ. 2510 การจัดสัมมนาประวัติศาสตร์และโบราณคดีล้านนา (การจัดสัมมนา ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นครั้งแรก) เนื้อหาแสดงถึงสัมพันธภาพระหว่างท้องถิ่นกับ ส่วนกลาง เน้นประวัติศาสตร์เมือง จังหวัด การตั้งเมือง การแต่งตั้งผู้นำ และ การเน้นบทบาทชุมชน เช่น ประวัติตระกูล ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ ภายใต้ระบบทุนนิยมเพื่อก้าวสู่ความทันสมัย ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในขอบเขตของ รัฐเป็นทรัพยากรพื้นฐานในการพัฒนาประเทศ ดังนั้นความรู้ทางประวัติศาสตร์ และมรดกทางวัฒนธรรมต่างๆ ในท้องถิ่นถูกสร้างเพื่อสร้างความรู้ที่เป็น เอกลักษณ์ของชาติกับสำนึกความเป็นพลเมืองและการใช้ความรู้เป็นรูปสินค้า ทางศิลปวัฒนธรรมในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เช่น การตั้งพิพิธภัณฑ์สถาน


62 แห่งชาติ การกำหนดเขตโบราณสถาน อุทยานประวัติศาสตร์ การขุดแต่งและ บูรณะโบราณสถานในช่วงทศวรรษ 2520-2530 นอกจากนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวยังมีการเขียนประวัติศาสตร์ของกลุ่ม ชาติพันธุ์มากขึ้น แต่ความสนใจอยู่ที่การศึกษาของนักมานุษยวิทยาตะวันตกที่ เข้ามาศึกษาสังคมและวัฒนธรรมเรื่องกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ งานต่างๆ สะท้อน พลวัตของวิถีชีวิตชาวบ้านอย่างชัดเจน ประวัติศาสตร์ชุมชนท้องถิ่น รุ่นแรกจึงดูเหมือนว่ายังไม่ได้รับความสนใจจากนักประวัติศาสตร์มากนัก ท้ายที่สุดในภายหลังได้กลายเป็น “หลักฐานชั้นต้น” ของการศึกษา ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ข้อน่าสังเกตบางประการ ในการศึกษาท้องถิ่นในช่วงนี้ คือ นักประวัติศาสตร์เริ่ม มีการใช้หลักฐานที่หลากหลายมากขึ้น แต่เนื้อหาหลักยังคงสอดคล้องกับเนื้อหาของรัฐ แต่งานศึกษาที่โดดเด่นในช่วงนี้ เป็นกลุ่มงานเขียนของจิตร ภูมิศักดิ์ ภายหลังจากงานเขียนเรื่อง โฉมหน้าศักดินาไทย ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า การที่ ผู้เขียนไม่สนใจหรือไม่สามารถอธิบายวิวัฒนาการของสังคมเกิดขึ้นได้อย่างไร เช่น การเปลี่ยนผ่านจากสังคมทาสมาเป็นสังคมศักดินาได้อย่างไร ดังนั้นในงาน ชิ้นต่อมา เรื่อง ความเป็นมาของคำสยาม ไทย ลาว ขอม และลักษณะทางสังคม ของชื่อชนชาติซึ่งถูกเขียนขึ้นใน พ.ศ. 2501-2507 ระหว่างจิตรถูกจองจำ25 จิตร ใช้หลักฐานของท้องถิ่นหลากหลายและใช้วิธีการของศาสตร์ต่างๆ เช่น จารึก มอญ จารึกพม่า จารึกจามปา จารึกเขมร จารึกไทย รวมทั้งตำนานต่างๆ ของ ล้านนา ล้านช้าง ไทยใหญ่ และตำนานไทยอาหม จดหมายเหตุจีน พงศาวดาร 25 จิตร ภูมิศักดิ์, ความเป็นมาของคำสยาม ไทย ลาว ขอม และลักษณะ ทางสังคมของชื่อชนชาติ, พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ดวงกมล, 2524).


63 จีน กฎหมายไทย เป็นต้น นอกจากนี้ยังใช้ความรู้ด้านภาษาต่างๆ และนิรุกติ ศาสตร์ มาช่วยในการวิเคราะห์ และตีความ 2.2.2 ยุคเฟื่องฟู พ.ศ. 2520-2540 ผลสืบเนื่องจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 และ การเผยแพร่ หนังสือเรื่อง โฉมหน้าศักดินาไทย (2517) และความเป็นมาของคำสยามฯ (2519) ของจิตร ภูมิศักดิ์ ส่งผลให้นักวิชาการ ผู้รู้ในชุมชนท้องถิ่นหันมาให้ ความสำคัญและสนใจศึกษาความเป็นตัวตนของท้องถิ่นด้านการเมืองมากขึ้น โดยมีการเพิ่มเติมรายละเอียดเนื้อหาและมุมมองด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมมากขึ้น อย่างไรก็ตามรัฐไทยยังมีการส่งเสริมให้ศึกษา ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในส่วนอำเภอ และจังหวัด ทศวรรษ 2520 ได้แก่ หนังสือ ชุดประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดต่างๆ ตัวอย่างเช่น ประวัติมหาดไทย ส่วนภูมิภาค จังหวัดแม่ฮ่องสอน26 เรียบเรียงขึ้นเพื่อเป็นเอกสารในการศึกษา ค้นคว้าจังหวัดแม่ฮ่องสอนตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน (พ.ศ. 2528) ทั้งในเรื่องประวัติ ความเป็นมา สถานที่ท่องเที่ยว โบราณสถาน ขนบธรรมเนียมประเพณี การละเล่นพื้นเมือง และบุคคลสำคัญ เอกสารชิ้นนี้ให้รายละเอียดประวัติความ เป็นมาของอำเภอต่างๆ อันประกอบด้วย อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน อำเภอ แม่สะเรียง อำเภอแม่ลาน้อยและอำเภอปาย ทั้งนี้เนื้อหาในภาพรวมของงานชุด นี้ (หมายความรวมถึงจังหวัดต่างๆ) ยังคงเป็นประวัติศาสตร์ชาติไทยที่เป็น ศูนย์กลางของการศึกษา หากเพิ่มเติมเน้นเรื่อง “เอกลักษณ์ของท้องถิ่น” 26 สำนักงานจังหวัดแม่ฮ่องสอน กระทรวงมหาดไทย, ประวัติมหาดไทย ส่วนภูมิภาคจังหวัดแม่ฮ่องสอน. (แม่ฮ่องสอน: องค์การบริหารส่วนจังหวัด, 2528).


64 เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยรัฐบาลที่เกิดขึ้นช่วง พ.ศ. 2530 ประกาศเป็น “ปีท่องเที่ยวไทย” นอกจากนี้ยังมีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องจากสถาบันการศึกษา ต่างๆ โดยเฉพาะสถานศึกษาส่วนภูมิภาคที่มีการเคลื่อนไหวในแวดวงวิชาการ เช่น ในช่วง พ.ศ. 2516 คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดตั้ง ศูนย์วิจัยลานนาไทย และมีการจัดตั้งโครงการสำรวจคัมภีร์ใบลานและสมุดข่อย ดำเนินการสำรวจ รวบรวมและปริวรรต (ต่อมาเป็นสถาบันวิจัยทางสังคม พ.ศ. 2524) 27 หรือใน พ.ศ. 2515 มหาวิทยาลัยศิลปากรมีโครงการจัดตั้ง เครือข่ายข้อมูลและสารสนเทศ ภูมิภาคตะวันตก อันเป็นโครงการที่เกิดขึ้น เนื่องมาจากการจัดการเรียนการสอนสาขาสังคมศาสตร์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ ต่อมาได้พัฒนาเป็นศูนย์ข้อมูลภาคตะวันตกใน พ.ศ. 2527 โดยแบ่งการดำเนินงานเป็น 2 ส่วนคือ การเก็บรวบรวมข้อมูล และ การ จัดระบบและให้บริการ มีขอบเขตพื้นที่ครอบคลุมพื้นที่ภูมิภาคตะวันตก ตาม แนวคิดของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่ง ครอบคลุมพื้นที่ 8 จังหวัด คือ กาญจนบุรี นครปฐม ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี 27 สรัสวดี อ๋องสกุล, “ความก้าวหน้าของการศึกษาประวัติศาสตร์ล้านนาใน รอบร้อยปี (พ.ศ. 2450-2550)” ใน สมาคมประวัติศาสตร์ในพระราชูปถัมภ์, วารสาร สมาคมประวัติศาสตร์ฯ ฉบับที่ 30, 2551.


65 ราชบุรีสมุทรสงคราม สมุทรสาคร และสุพรรณบุรี และมีขอบเขตข้อมูล สารสนเทศด้านภูมิปัญญา ประวัติศาสตร์ สังคม เศรษฐกิจและศิลปวัฒนธรรม28 ช่วงทศวรรษ 2520 งานศึกษาที่เป็นส่วนขยายรายละเอียดของความ เปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของ “ท้องถิ่น” ด้านต่างๆ ดังเช่นการศึกษาในยุคปฏิรูปการเมืองการปกครองสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งมีเนื้อหา สาระเกี่ยวกับกระบวนการสร้างรัฐชาติแบบใหม่ในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงใน ระเบียบการปกครอง การศาล ระบบเศรษฐกิจ การศาล ฯลฯ โดยผู้ศึกษาจะยก กรณีศึกษาหนึ่งมาอธิบายกระบวนการปฏิรูปโดยเชื่อมโยงหัวเมือง (พื้นที่ศึกษา) เข้ากับเหตุการณ์การปฏิรูปดังกล่าว ตัวอย่างงาน เช่น สมโชติ อ๋องสกุล เรื่อง “การปฏิรูปการปกครองมณฑลปัตตานี พ.ศ. 2449-2475” (2521)29 สรัสวดี ประยูรเสถียร เรื่อง “การปฏิรูปการปกครองมณฑลพายัพ พ.ศ. 2436-2476” (2522)30 วิบูลย์ ทานุชิต เรื่อง“การปฏิรูปการศึกษาในมณฑลพายัพ พ.ศ. 28 ศูนย์ข้อมูลภาคตะวันตก หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์, เข้าถึงเมื่อ 19 มิถุนายน 2565, เข้าถึงได้จาก http://www.snc.lib.su.ac.th/westweb/?page_id = 174. 29 สมโชติ อ๋องสกุล, “การปฎิรูปการปกครองมณฑลปัตตานี พ.ศ. 2449- 2474”, (วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรี นครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, 2521). 30 สรัสวดี ประยูรเสถียร, “การปฏิรูปการปกครองมณฑลพายัพ พ.ศ.2436- 2476”, (วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรี นครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, 2522).


66 2442-2476” (2528)31 เป็นต้น หรืองานศึกษาที่เน้นเนื้อหาด้านเศรษฐกิจและ สังคม ตัวอย่างงาน ได้แก่ชยันต์ ออไอสูญ เรื่อง “สภาพเศรษฐกิจมณฑลราชบุรี พ.ศ. 2437-2453” (2526)32 มณฑล คงแถวทอง เรื่อง“เศรษฐกิจข้าวและ น้ำตาลทราย ในลุ่มแม่น้ำท่าจีน พ.ศ. 2398-2453)” (2527)33 และนวลสวาท อัศวินานนท์ เรื่อง “ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจของเมือง เพชรบุรี พ.ศ. 2400-2460” (2534)34 ซึ่งงานส่วนใหญ่เป็นงานศึกษาของ สถาบันวิจัย งานวิจัยระดับบัณฑิตศึกษา รวมทั้งรายงานวิจัยประเด็นเฉพาะของ ชุมชนท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีแนวทางการศึกษาของนักวิชาการที่มีแนวทาง การศึกษาผสมผสานทางวัฒนธรรม โดยให้ความสำคัญกับการอธิบายจากปัจจัย ภายในท้องถิ่นที่ส่งผลต่อพัฒนาการของชุมชนที่เกิดการปรับตัวทางวัฒนธรรม 31 วิบูลย์ ทานุชิต, “การปฏิรูปการศึกษาในมณฑลพายัพ พ.ศ.2442- 2476”, (วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรี นครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, 2528). 32 ชยันต์ ออไอสูญ, “สภาพเศรษฐกิจมณฑลราชบุรี พ.ศ. 2437-2453”, (วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียง ใต้ มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2526). 33 มณฑล คงแถวทอง, “เศรษฐกิจข้าวและน้ำตาลทราย ในลุ่มแม่น้ำท่าจีน พ.ศ. 2398-2453”, (วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2527). 34 นวลสวาท อัศวินานนท์, “ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจของ เมืองเพชรบุรี พ.ศ. 2400-2460” (วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา ประวัติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2534).


67 จากภายนอกให้เข้ากับสภาวะท้องถิ่นของตนเอง ได้แก่ ศรีศักร วัลลิโภดม ในงานศึกษาเรื่อง แอ่งอารยธรรมอีสาน (2533) 35 ที่อธิบาย พัฒนาการของบ้านเมืองโดยใช้การวิเคราะห์ตามยุคสมัยจากหลักฐานโบราณคดี สภาพแวดล้อม รวมทั้งเอกสารพื้นเมืองเพื่อเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับชุมชนที่อยู่ ภายนอก รวมถึงงานศึกษาของธิดา สาระยา เรื่อง (ศรี) ทวารวดี: ประวัติศาสตร์ ยุคต้นของสยาม (2532)36 เป็นการศึกษาพัฒนาการของทวารวดีในลักษณะที่ เป็นความสัมพันธ์ ระหว่าง “หน่วยย่อย” คือ บริเวณบ้านเมืองที่เรียกว่า ทวาร วดี กับ “หน่วยใหญ่” คือดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และได้ข้อสรุปที่ สำคัญของทวารดีว่า ขอบเขตทางด้านการเมือง (อำนาจ) ไม่ได้ครอบคลุมลุ่มน้ำ เจ้าพระยาในภาคกลางทั้งหมด หากแต่อยู่เพียงบริเวณลุ่มน้ำท่าจีนแม่กลองตอนล่าง ซึ่งเป็นซีกตะวันตกของลุ่มน้ำเจ้าพระยาเท่านั้น ส่วนด้าน ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมยังมีปฏิสัมพันธ์กับชุมชนบริเวณชาย ขอบทางตะวันตก รวมทั้งตอนเหนือและตะวันออกของลุ่มน้ำเจ้าพระยาอีกด้วย ขณะเดียวกันยังมีแนวทางการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในลักษณะ การปริวรรตและรวบรวมหลักฐานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง จากความสนใจของ นักวิชาการท้องถิ่น และการดำเนินงานของกรมศิลปากรที่มีหน้าที่ในการ รวบรวมองค์ความรู้ที่ยังกระจัดกระจาย หรือยังไม่ได้มีการจัดการทำระบบ ข้อมูล ดังเช่นกรณีภาคเหนือหรือล้านนา ทั้งนี้เพราะว่าดินแดนบริเวณนี้มี 35 ศรีศักร วัลลิโภดม, แอ่งอารยธรรมอีสาน, (กรุงเทพฯ : ศิลปวัฒนธรรม, 2533). 36 ธิดา สาระยา, (ศรี) ทวารวดี: ประวัติศาสตร์ยุคต้นของสยามประเทศ, (กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, 2532).


68 ภูมิหลังที่เคยเป็นรัฐหรืออาณาจักรที่รุ่งเรืองมาก่อน ดังนั้นจึงมีเอกสารโบราณที่ เกี่ยวข้องกับรัฐและอดีตของบ้านเมืองอยู่มาก เช่น พงศาวดาร ตำนาน กฎหมาย เป็นต้น รวมทั้งยังปรากฏแนวทางการศึกษาที่เสนอความเป็นอิสระของท้องถิ่น ความเป็น “พลวัต” ที่ให้ความสำคัญต่อผู้คน ท้องถิ่นบนเงื่อนไขของเวลาและ สถานที่ เสนอเรื่องราวหรือเหตุการณ์ตามบริบทที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ ให้ ความสำคัญกับเงื่อนไขภายในท้องถิ่นและปัจจัยภายนอกที่ทำให้เกิดการ เปลี่ยนแปลง ดังเช่น งานศึกษาของนิธิ เอียวศรีวงศ์ เรื่อง “จากรัฐชายขอบถึง มณฑลเทศาภิบาล: ความเสื่อมสลายของกลุ่มอำนาจเดิมในเกาะภูเก็ต” ที่ได้นำเสนอในงานสัมมนาประวัติศาสตร์ถลาง ณ จังหวัดภูเก็ต ใน พ.ศ. 2526 นับได้ว่าเป็นความพยายามในการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นแนวทางใหม่ที่ เน้นความเป็นอิสระของพื้นที่ นิธิชี้ให้เห็นว่าเกาะภูเก็ต มีพัฒนาการการเมือง การปกครองที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา หรือกล่าวได้ว่า เกาะภูเก็ต เป็นรัฐชาย ขอบที่มีความผันผวนทางการเมืองในบางครั้งอำนาจจากศูนย์กลางอำนาจในลุ่ม น้ำเจ้าพระยาก็ไม่สามารถมีอิทธิพลได้อย่างต่อเนื่อง ผู้ปกครองภูเก็ตจึงดำเนิน นโยบายการเมืองของตนเองได้อย่างเป็นอิสระในบางช่วงเวลาและสืบทอด อำนาจโดยอิงกับผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจการค้าแร่ดีบุกเป็นสำคัญ37 37 นิธิ เอียวศรีวงศ์, “จากรัฐชายขอบถึงมณฑลเทศาภิบาล: ความเสื่อม สลายของกลุ่มอำนาจเดิมในเกาะภูเก็ต” ใน กรุงแตก, พระเจ้าตากฯ และ ประวัติศาสตร์ไทย ว่าด้วยประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์นิพนธ์, พิมพ์ครั้งที่ 9, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2550), 163-217.


69 สำหรับงานศึกษาที่ปรากฏให้เห็นถึงการศึกษาแนวประวัติศาสตร์ ท้องถิ่นในภูมิภาคตะวันตก ดังเช่นงานของ สุภาภรณ์ จินดามณีโรจน์ ที่ได้รับทุน สนับสนุนจากศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งตระหนักถึงความสำคัญของ ภูมิภาคตะวันตก โดยเฉพาะในบริเวณลุ่มแม่น้ำท่าจีน ได้แก่ จังหวัดชัยนาทตอน ใต้ สุพรรณบุรี นครปฐมและสมุทรสาคร งานวิจัยเรื่อง การศึกษาประวัติศาสตร์ สมัยใหม่-ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นลุ่มน้ำท่าจีน (2527) 38 เป็นการเก็บข้อมูลจาก การสำรวจข้อมูลเอกสารและการลงพื้นที่ภาคสนาม จากพื้นที่ต้นแม่น้ำท่าจีน จนถึงปากอ่าวที่แม่น้ำท่าจีนไหลออกทะเล ซึ่งช่วยให้เห็นภาพการตั้งถิ่นฐานและ ความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนต่างๆ ทั้งไทย ลาว จีน ญวนและมอญ จากนั้นได้มี การขยายความสนใจของการศึกษาของท้องถิ่นในพื้นที่ลุ่มน้ำท่าจีน ในงานวิจัย เรื่อง ประวัติศาสตร์สังคมของชุมชนในลุ่มแม่น้ำท่าจีน (2532)39 ซึ่งถือได้ว่าเป็น งานวิจัยระยะที่สองสืบเนื่องจากงานวิจัยชิ้นแรกที่บุกเบิกในพื้นที่ลุ่มน้ำท่าจีน โดยใช้ข้อมูลหลักฐานท้องถิ่นเพื่อการอธิบายให้เกิดความเข้าใจประวัติศาสตร์ จากภายในมากขึ้นกว่างานศึกษาประวัติศาสตร์เศรษฐกิจและสังคมที่ผ่านมา งานวิจัยชิ้นนี้ช่วยอธิบายการเข้ามาตั้งถิ่นฐานและการขยายชุมชนใน ลุ่มแม่น้ำท่าจีนในช่วงก่อนสมัยกรุงเทพฯ กระทั่งถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ สอง โดยมีเงื่อนไขและสาเหตุการอพยพของกลุ่มคนต่างๆ ที่เข้ามาแตกต่าง 38 สุภาภรณ์ จินดามณีโรจน์, รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง การศึกษาประวัติศาสตร์สมัยใหม่-ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นลุ่มน้ำท่าจีน (กรุงเทพฯ: ศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2527). 39 สุภาภรณ์ จินดามณีโรจน์, ประวัติศาสตร์สังคมของชุมชนลุ่มน้ำท่าจีน (กรุงเทพฯ: สร้างสรรค์, 2554).


70 ออกไปแต่ละช่วงเวลา ในช่วงแรกก่อน พ.ศ. 2398 เป็นผลจากสงคราม จึงมีการ กวาดต้อนผู้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานตามหัวเมืองต่างๆ รอบกรุงเทพฯ รวมทั้งพื้นที่ บริเวณลุ่มแม่น้ำท่าจีนด้วย หรือการอพยพเข้ามาของกลุ่มคนเนื่องจากการค้า กับต่างประเทศที่ขยายตัว และเป็นพื้นที่แหล่งปลูกอ้อยและผลิตอุตสาหกรรม น้ำตาลบริเวณลุ่มแม่น้ำท่าจีน ส่วนในพื้นที่สมุทรสาคร พบว่ามีการเข้ามาของ กลุ่มชาวมอญที่เข้ามาเพื่อหาที่ดินทำกินที่อุดมสมบูรณ์และมีความปลอดภัย รวมทั้งชาวจีนโพ้นทะเลที่เข้ามาในฐานะแรงงานหรือกุลีจำนวนมาก เริ่มมี ความสำคัญเด่นชัดในสมัยหลังเนื่องจากการค้าต่างประเทศขยายตัว ตั้งหลัก แหล่งทำการค้าขาย อุตสาหกรรมและการประมง ในช่วงท้ายของทศวรรษ 2530 งานศึกษาเกี่ยวกับการวิจัยและวิชาการ เกิดขึ้นมากขึ้นเมื่อสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) หรือ The Thailand Research Fund (TRF) ทำหน้าที่สนับสนุนการสร้างองค์ความรู้ทั้ง ในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ โดยใช้การวิจัยเป็นกลไกสร้างฐานความรู้ สำหรับการแก้ปัญหาให้แก่สังคม ตั้งแต่ พ.ศ. 2535 ต่อมาได้ตั้งฝ่ายชุมชนขึ้นใน พ.ศ. 2539 ด้วยมีวัตถุประสงค์ในเชิงพัฒนาเพื่อเสริมสร้างให้เกิดความเข้มแข็ง ทั่วประเทศโดยรวดเร็ว การสนับสนุนการวิจัยของสกว. โดยเฉพาะทุนวิจัยแก่ นักวิชาการในสถาบันการศึกษาและนักวิจัยท้องถิ่น ทำให้ทศวรรษ 2540 เป็น ต้นมา จึงเกิดโครงการวิจัยด้านสังคมศาสตร์มากมายในหลายพื้นที่ของประเทศ ไทย เป็นการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น รวมถึงผลักดันให้เกิดการร่วม ทุนกับภาคเอกชน หน่วยงานในประเทศ และต่างประเทศ40 40 สีลาภรณ์ บัวสาย, พลังท้องถิ่น บทสังเคราะห์งานวิจัยด้านชุมชน, (กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, 2547).


71 นอกจากนี้ พ.ศ. 2539 ยังเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงครองราชย์ครบ 50 ปี ภายใต้บริบทของความเป็นปีมหามงคล และการเฉลิมฉลองนี้มีการจัดงานเฉลิมฉลอง กิจกรรมฉลองต่างๆ เช่น งานฉลองเชียงใหม่ 700 ปี การสร้างอนุสาวรีย์ตามท้องถิ่นต่างๆ และหนังสือ อนุสรณ์ต่างๆ จะเห็นได้ว่าความก้าวหน้าของการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นใน ช่วงเวลานี้ เป็นการค้นคว้าหลักฐานเพิ่มเติม การปริวรรตและการเผยแพร่ หลักฐานประเภทจารึกและตำนาน การศึกษาหลักฐานโบราณคดีและศิลปกรรม จากการสำรวจ ขุดแต่งและบูรณะงานโบราณสถานของกรมศิลปากร การ ศึกษาวิจัยตามมาตรฐานสากลให้ความสำคัญกับการค้นคว้าเอกสาร การ ประเมินความน่าเชื่อถือให้ความสำคัญกับการสำรวจภาคสนาม และการใช้ เอกสารท้องถิ่นมากขึ้น เรื่องราวของท้องถิ่นถูกทำให้เด่นชัดขึ้นเนื้อหาครอบคลุมชาติพันธุ์ วิถีชีวิต คติความเชื่อ คติชน ภาษา วรรณกรรมของแต่ละท้องถิ่นแต่ละจังหวัด ผ่านการนำเสนอ “วัฒนธรรม” ของปราชญ์ท้องถิ่น ใช้ข้อมูลจากคำบอกเล่า ของคนในท้องถิ่น แต่อย่างไรก็ตามเป็นการบันทึกด้วยภาษาใหม่ เป็นการรวบ รวบข้อมูลทางวัฒนธรรมมาจัดเรียงอย่างเป็นระบบ มีการพรรณนาถึงเหตุการณ์ ต่างๆ ได้ภาพที่ชัดเจน รวมทั้งการเสนอด้วยจารีตวิชาการแบบใหม่ และยังคง เป็นในรูปแบบของการพัฒนาของรัฐเชื่อมโยงพื้นที่ทางกายภาพ กับความรู้สึก นึกคิดของท้องถิ่นให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน


72 2.2.3 ยุคเติบโต พ.ศ. 2540-ปัจจุบัน ผลพวงจากการพัฒนาประเทศตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 2530 เป็นต้นมา ที่มุ่งเน้นอุตสาหกรรม การพัฒนาเศรษฐกิจตามกระแสทุนนิยม ตลอดจน นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยเน้นความเจริญเติบโตของมูลค่าทางเศรษฐกิจ ของประเทศ แต่อีกด้านหนึ่งได้สร้างปัญหาต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อท้องถิ่นทั้ง เรื่องความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม รวมทั้งปัญหาความเสื่อมโทรม ทางด้านสภาพแวดล้อมและความไม่เป็นธรรมในเรื่องของสิทธิ์และการจัดการ ทรัพยากรของท้องถิ่น ท่ามกลางกระแสยุคโลกาภิวัฒน์เป็นช่วงที่เกิดการ ขยายตัวขององค์กรพัฒนาเอกชน เครือข่ายชาวบ้าน นักวิชาการ และปัญญาชน ร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหาที่เป็นวิกฤตการณ์ทางสังคมและวัฒนธรรม เป็นไปได้ว่า “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น” ได้รับความสนใจอย่างจริงจัง ภายหลังมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ซึ่งมีสาระสำคัญในบางมาตรา ที่เป็นการให้สิทธิ์และอำนาจแก่ชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมในการฟื้นฟูจารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น ตลอดจนการมีส่วนร่วมในการจัดการ การใช้ประโยชน์จาก ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน เช่น มาตราที่ 46 ที่กำหนดให้ “บุคคลที่รวมตัวกันเป็นชุมชนท้องถิ่นดั่งเดิม ย่อมมีสิทธิอนุรักษ์ฟื้นฟูจารีตประเพณีภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะหรือวัฒนธรรม อันดีงามของท้องถิ่นและของชาติ…”(รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540) มาตราที่ 56 “สิทธิของบุคคลที่จะมีส่วนร่วมกับรัฐและชุมชนในการ บำรุงรักษา และการได้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลาย


73 ทางชีวภาพ และในการคุ้มครอง ส่งเสริม และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ อยู่ได้อย่างปกติและต่อเนื่อง…” ดังนั้นจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จึงทำให้เป็นการเปิดโอกาสให้มีการศึกษา มีลักษณะการสืบค้นอัตลักษณ์ ทางวัฒนธรรมของชุมชนเพื่อเป็นฐานความรู้ใน การพึ่งตนเอง และมีการศึกษาเพื่อต่อยอด “เศรษฐกิจพอพียง” เพื่อแสดงให้ เห็นว่าท้องถิ่นดำรงตนทางประวัติศาสตร์อยู่บนพื้นฐานเศรษฐกิจแบบนี้ นอกจากนี้การศึกษาวัฒนธรรมชุมชน มุ่งอำนาจท้องถิ่นเพื่อการต่อรองเรื่องการ จัดการทรัพยากรและการมีส่วนร่วมในการใช้อำนาจรัฐ มุ่งกระบวนการวิจัย แบบมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อปลูกฝังให้เกิดสำนึกทางประวัติศาสตร์แบบ ใหม่ ทั้งยังเป็นการเปิดพื้นที่ให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมในการวิจัยทาง ประวัติศาสตร์ การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นแม้จะเริ่มต้นอย่างชัดเจนอย่างช้า ภายในทศวรรษ 2520 และได้ดำเนินเรื่อยมาดังที่กล่าวไปข้างต้น แต่การ ขยายตัวและเติบโตอย่างมากในทศวรรษ 2540 นับเป็นสิ่งที่สร้างความสนใจ และคาดหวังที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคม ส่งผลให้เกิดการทำงานอย่าง ต่อเนื่องของนักวิชาการที่แตกแขนงออกไปหลายศาสตร์สาขา รวมทั้งการศึกษา โดยใช้มิติทางประวัติศาสตร์เพื่ออธิบายและทำความเข้าใจท้องถิ่น ตัวอย่างงาน สำคัญ เช่น การวิจัยประวัติศาสตร์หมู่บ้าน ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึง ปัจจุบัน (พ.ศ. 2546) ภายใต้ชุดโครงการวิจัย “เศรษฐกิจชุมชนหมู่บ้านไทย” (2543-2546) โดย ฉัตรทิพย์ นาถสุภา กับนักวิชาการในกลุ่ม คือ คริส เบเกอร์ ผาสุก พงษ์ไพจิตร ยศ สันตสมบัติ สุวิทย์ ธีรศาศวัต สงบ ส่งเมือง พอพันธ์


74 อุยยานนท์ และนักวิชาการท่านอื่นๆ รวม 27 ท่าน ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ หมู่บ้านช่วงประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังได้รับแรงผลักดันและการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุน สนับสนุนการวิจัย (สกว.) ที่ได้ให้ความสำคัญกับการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น อย่างจริงจัง อันนำไปสู่กระบวนการมีส่วนร่วมของชาวบ้านและชุมชนที่เข้ามา เป็นนักวิจัยท้องถิ่น เรียนรู้กระบวนการวิจัยโดยการประสานงานของฝ่าย 4 (ฝ่ายชุมชนและสังคม) และ ฝ่ายงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น ที่เข้ามาสนับสนุนให้เกิด ผลงานวิจัยทางด้านประวัติศาสตร์ชุมชนท้องถิ่นจำนวนมาก โดยมีทั้งลักษณะ ของชุดโครงการและโครงการวิจัยย่อยต่างๆ ในช่วงเวลานี้ยังมีงานศึกษาที่เกี่ยวข้องกับภูมิภาคท้องถิ่นในประเทศ ไทย ปรากฏให้เห็นกลุ่มงานที่ถูกผลิตขึ้นจากหน่วยงานราชการและท้องถิ่น ดังเช่น งานศึกษาของคณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ ที่ ดำเนินการจัดทำหนังสือใน พ.ศ. 2543 เรื่อง วัฒนธรรม พัฒนาการทาง ประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาของทุกจังหวัด พิมพ์ขึ้นเนื่องในโอกาส พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2542 ใน งานชุดนี้ให้ข้อมูลภาพรวมของพื้นที่ สภาพภูมิศาสตร์สิ่งแวดล้อมและสังคม พัฒนาการของประวัติศาสตร์ท้องถิ่น มรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาชาวบ้าน เอกลักษณ์ของแต่ละจังหวัดแยกเป็นรายเล่ม นอกจากนี้ยังมีการผลิตเอกสารจากหน่วยงานราชการอื่นๆ เพื่อ เผยแพร่องค์ความรู้ต่างๆ ตามวาระพิเศษ ตัวอย่างเช่น การจัดทำเอกสารและ พิมพ์เอกสารเผยแพร่ของท้องถิ่นจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งดำเนินการจัดทำโดย หน่วยงานราชการภายในท้องถิ่นหรือคณะกรรมการดำเนินงานที่มาจาก


75 บุคลากรจากภาคส่วนราชการผู้รับผิดชอบ รวมทั้งผู้รู้ ปราชญ์ท้องถิ่นของ จังหวัดสมุทรสาคร “วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และ ภูมิปัญญา จังหวัดสมุทรสาคร” 41 (2543) “ประวัติศาสตร์ ท่าฉลอม สุขาภิบาล หัวเมืองแห่งแรกของไทย” 42 (2552) “สุขาภิบาลท่าฉลอม ปฐมบทการ ปกครองท้องถิ่นไทย” 43 (2554) “สมุทรสาคร เมืองแห่งทะเลและสายน้ำ” 44 (2556) “สมุทรสาคร” 45 (2560) “มรดกภูมิปัญญา พหุวัฒนธรรม ชาติพันธุ์ สาครบุรี” 46 (2563) โดยเอกสารที่จัดพิมพ์ในกลุ่มนี้อยู่ในรูปแบบการเรียบเรียง เนื้อหาจากเอกสารหลักฐานสมัยจารีต แบ่งหัวเรื่องการนำเสนอตามลำดับเวลา และเหตุการณ์สำคัญของประวัติศาสตร์ไทยและมีเป้าหมายการจัดทำตาม ภารกิจของหน่วยงานประจำ หรือการเผยแพร่ต่อสถาบันการศึกษา หน่วยงาน ราชการในพื้นที่ และผู้สนใจเรื่องราวของท้องถิ่นสมุทรสาคร ดังนั้นจึงยังไม่ 41 คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุฯ, วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดสมุทรสาคร (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, 2543). 42 เทศบาลนครสมุทรสาคร, สำนักงาน, ประวัติศาสตร์ ท่าฉลอม สุขาภิบาลหัวเมืองแห่งแรกของไทย, 2552. 43 กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย, สุขาภิบาลท่า ฉลอม ปฐมบทการปกครองท้องถิ่นไทย, 2554. 44 วัฒนธรรมจังหวัดสมุทรสาคร, สำนักงาน, สมุทรสาครเมืองแห่งทะเล และสายน้ำ, 2556. 45 จังหวัดสมุทรสาคร, สำนักงาน, สมุทรสาคร, 2560. 46 วัฒนธรรมจังหวัดสมุทรสาคร, สำนักงาน, มรดกภูมิปัญญา พหุ วัฒนธรรม ชาติพันธุ์สาครบุรี, 2563.


76 ปรากฏเนื้อหาการอธิบายให้เห็นถึงสาเหตุ หรือกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่ เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์47 ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เป็นยุคเติบโตของวิทยานิพนธ์และงานวิจัย ช่วงทศวรรษ 2540 เกิดโครงการวิจัยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่นโดยตรงและ โครงการด้านสังคมศาสตร์อื่นๆ เช่น การศึกษาชุด “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น 4 ภาค” เป็นงานวิจัยที่ริเริ่มโดยนักวิชาการที่ผู้ริเริ่มส่วนใหญ่เรียนจบทาง สาขาวิชาประวัติศาสตร์โดยตรง ประกอบด้วยครูอาจารย์นักวิชาการทางสาย ประวัติศาสตร์ในท้องถิ่นที่เข้าร่วมงานจำนวนมาก กล่าวได้ว่าโครงการวิจัยชุดนี้ เป็นโครงการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ทำกันมาในรอบหลาย ทศวรรษ48 เพราะเป็นการวิจัยที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน กระจายทั่วภูมิภาคของ ประเทศ โดยมีผู้เข้าร่วมงานในหลายระดับและมีผลกระทบอย่างกว้างขวาง ซึ่ง ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) มีการนำ แนวคิด ทฤษฎีและวิธีการศึกษามาใช้อย่างชัดเจน ทำให้งานประวัติศาสตร์ ท้องถิ่นมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ร่วมสมัย โดยเน้นพิจารณาความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และ วัฒนธรรม ขยายการศึกษาไปยังหน่วยการศึกษาอื่นๆ เช่น ลุ่มน้ำ ชุมชนหมู่บ้าน กลุ่มชาติพันธุ์ อีกทั้งยังมีความก้าวหน้าด้านระเบียบวิธีวิทยา ที่เน้นการศึกษา แบบสหวิชาการมากขึ้น 47 ดูเพิ่มเติมใน สิริวรรณ สิรวณิชย์, รายงานการวิจัยเรื่องการศึกษา สำรวจสถานภาพความรู้ทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่นชุมชนบ้านท่าจีน จังหวัด สมุทรสาคร. กรุงเทพฯ: คณะโบราณคดีมหาวิทยาลัยศิลปากร, 2563. 48 ยงยุทธ ชูแว่น, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นไทย, 215.


77 ตัวอย่างงานที่น่าสนใจหนึ่ง ได้แก่ ชุดโครงการวิจัยประวัติศาสตร์เพื่อ ท้องถิ่น สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย พ.ศ. 2544-2546 ดำเนินงานวิจัยครอบคลุมทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสานและภาคใต้ มี วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์จากความเปลี่ยนแปลงภายในของสังคม ท้องถิ่นเอง โดยการทำงานร่วมกันของนักวิจัยหลากหลายสาขาวิชา และการใช้ กระบวนการศึกษาที่มีชาวบ้านในสังคมท้องถิ่นเข้ามาร่วมงานวิจัยอย่างเข้มข้น จนก่อให้เกิดความเข้าใจและมองเห็นภาพที่สลับซับซ้อนในความเปลี่ยนแปลง มิติต่างๆ ของสังคมท้องถิ่นอย่างชัดเจน แต่ละภาคจะมีผู้ประสานงานโครงการ เปิดมิติใหม่ในการศึกษา ที่ใช้ชุมชนเป็นแกนศึกษา ได้แก่ (1) ชุดโครงการ “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นภาคเหนือ: ประวัติศาสตร์เพื่อ ชุมชน” ประสานงานโดยอรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) (2) ชุดโครงการ “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นภาคอีสาน: การขยายตัวของ ชุมชนลุ่มน้ำชี” ประสานงานโดยทวีศิลป์ สืบวัฒนะ (มหาวิทยาลัยมหาสารคาม) (3) ชุดโครงการ “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นภาคกลาง” ประสานงานโดยชู พินิจ เกษมณี (มหาวิทยาลัยศรีนครนทรวิโรฒ) (4) ชุดโครงการ “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นภาคใต้บริเวณลุ่มทะเลสาบ สงขลาในมิติประวัติศาสตร์” ประสานงานโดยยงยุทธ ชูแว่น (มหาวิทยาลัย ศิลปากร) โครงการวิจัยประวัติศาสตร์ท้องถิ่น 4 ภาคนี้ มุ่งศึกษาประวัติศาสตร์ ชุมชน โดยแบ่งออกเป็น 2 กรอบความคิดหลัก49 คือ 1) การศึกษาประวัติศาสตร์ ทั้งหมดแบบองค์รวม (Total History) เป็นแนวทางการศึกษาที่พิจารณาความ 49 ยงยุทธ ชูแว่น, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นไทย, 215-216.


78 เปลี่ยนแปลงต่างๆ การอธิบายกิจกรรมหรือประสบการณ์ทั้งหมดของท้องถิ่นให้ มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การใช้ ทรัพยากร ศิลปวัฒนธรรม เพื่อมุ่งไปสู่การเขียนภาพรวมของประวัติศาสตร์ ทั้งหมด และ 2) การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นด้านสำนึกประวัติศาสตร์ (Historical Consciousness) เป็นการศึกษาประวัติศาสตร์ย่อยลงมาซึ่งมีความ แตกต่างหลากหลายในแต่ละพื้นที่ เป็นการศึกษาความเปลี่ยนแปลงหรือการ ดำรงอยู่ของชุมชน โดยเฉพาะความสัมพันธ์ภายในชุมชนและระหว่างชุมชนกับ ภายนอกที่มีผลโดยตรงต่ออำนาจหรือสิทธิในการจัดการ “สมบัติของชุมชน” ใน แต่ละช่วงเวลา นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการคืนความทรงจำร่วมหรือ พื้นที่ทางประวัติศาสตร์ให้แก่สังคม บนพื้นฐานของความเคารพและเชื่อมั่นใน ศักยภาพ มีพลังในการแก้ปัญหาและสร้างสรรค์ชุมชนและสังคมไทยต่อไป50 อีกชุดโครงการที่ดำเนินการในภูมิภาคต่างๆ อย่างโครงการยุววิจัย ประวัติศาสตร์ เป็นโครงการที่มุ่งพัฒนานักเรียนให้มีความรู้ ทักษะทาง ประวัติศาสตร์ ตามพระราชเสาวนีย์ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ พระบรม ราชานีนาถ ใน พ.ศ. 2551 โดยให้นักเรียนสืบค้นและเขียนเล่าเรื่องราวใน ท้องถิ่นตนเองด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ ซึ่งได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจาก กองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ทั่วประเทศ ทั้งในภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง และภาคอีสาน51 ประกอบด้วยยุววิจัยประวัติศาสตร์ท้องถิ่นจังหวัดลำปาง 50 อรรถจักร์สัตยานุรักษ์, ประวัติศาสตร์เพื่อชุมชน: ทิศทางใหม่ของ การศึกษาประวัติศาสตร์, (กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, 2548) 51 ทวีศิลป์ สืบวัฒนะ, แนวคิดและแนวทางการศึกษาประวัติศาสตร์ ท้องถิ่น, 49.


79 ชุติมา คำบุญชู/ ยุววิจัยประวัติศาสตร์ท้องถิ่นพื้นที่ภาคกลาง อภิญญา บัวสรวง / ยุววิจัยประวัติศาสตร์ท้องถิ่นภาคใต้ เลิศชาย ศิริชัย / ยุววิจัยประวัติศาสตร์ ท้องถิ่นภาคเหนือ เรณู อรรฐาเมศร์ / ยุววิจัยประวัติศาสตร์ท้องถิ่นภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ กลุ่มที่ 2 (ร้อยเอ็ด สกลนคร ขอนแก่น หนองบัวลำภู เลย และนครราชสีมา) ทม เกตุวงศา / ยุววิจัยประวัติศาสตร์ท้องถิ่นจังหวัด มหาสารคาม ประสพสุข ฤทธิเดช ทั้งนี้ตามวัตถุประสงค์ของโครงการ คือ 1) เพื่อสร้างและพัฒนา ศักยภาพนักวิจัยระดับมัธยมศึกษา ด้วยการสนับสนุนให้นักเรียนระดับ มัธยมศึกษาได้ทำโครงการวิจัยประวัติศาสตร์ท้องถิ่น โดยการหนุนเสริมทักษะ ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการวิจัยสู่โรงเรียนระดับมัธยมศึกษา 2) เพื่อใช้ ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเป็นเครื่องมือในการวิจัยเพื่อปฏิรูปการเรียนรู้ และสร้าง ภูมิคุ้มกันให้เด็กรุ่นใหม่ 3) เพื่อสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ในพื้นที่ต่างๆ และ 4) เพื่อสื่อสารความรู้ที่ได้รับในการวิจัยประวัติศาสตร์ ท้องถิ่นต่อสาธารณชนในท้องถิ่นและในพื้นที่สาธารณะอื่นๆ ผ่านสารคดี นิทรรศการ และเว็บไซด์ในยุคสมัยนี้ นอกจากนี้ สกว. เริ่มสนับสนุน “งานวิจัยเพื่อท้องถิ่น” ตั้งแต่เดือน ตุลาคม พ.ศ. 2541 เป็นต้นมา โดยจัดตั้งสำนักงานภาค (สกว.สำนักงานภาค ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น สกว.ฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่น) ขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี ยุทธศาสตร์สำคัญเน้นการเพิ่มขีดความสามารถของชุมชนท้องถิ่นเน้นให้ “คน” ในชุมชนท้องถิ่นใช้ประโยชน์จากงานวิจัยด้วยการเข้าร่วมกระบวนการวิจัยทุก ขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็น การวิเคราะห์ชุมชนเพื่อกำหนดโจทย์/คำถามวิจัย การ ทบทวนทุนเดิมในพื้นที่ การออกแบบการวิจัยและการวางแผนปฏิบัติการวิจัย


80 การเก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล การทดลองปฏิบัติจริงเพื่อสร้าง รูปธรรมในการตอบโจทย์วิจัยหรือแก้ปัญหาในพื้นที่วิจัย และการประเมินและ สรุปบทเรียน ในช่วง พ.ศ. 2558-2560 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้สนับสนุนทุนวิจัยใน โครงการการศึกษาความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและ สังคมของไทยในปริทรรศน์ประวัติศาสตร์ โดยมี ดร. วินัย พงศ์ศรีเพียร เป็น หัวหน้าชุดโครงการวิจัย ร่วมทำงานกับนักวิจัยรุ่นใหม่และรุ่นกลาง ที่ส่วนใหญ่ เป็นอาจารย์ผู้สอนในมหาวิทยาลัย จำนวน 20-25 คน และเมื่อสิ้นสุดโครงการก็ ได้ผลิตผลงานวิจัยจำนวน 19 เรื่อง ชุดโครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้าง ผลงานวิจัยที่ขยายพรมแดนความรู้ใหม่และช่วยให้เข้าใจรากฐานของเศรษฐกิจ และสังคมไทย 52 มีประเด็นการวิจัยที่หลากหลายและบางประเด็นเป็นการหันสู่ ทิศทางใหม่ เช่น ประวัติศาสตร์ธุรกิจ ประวัติศาสตร์กลุ่มทุนท้องถิ่น ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจส่วนภูมิภาค และประวัติศาสตร์เศรษฐกิจในมุมมองของ โครงสร้างพื้นฐานและกฏหมาย 53 ตัวอย่างเช่น งานของชัยพงษ์ สำเนียง เรื่อง “พัฒนาการของกลุ่มทุนและเครือข่ายธุรกิจภาคเหนือของประเทศไทย 52 วินัย พงศ์ศรีเพียร, รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ โครงการการศึกษา สถานภาพความรู้เรื่อง “ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมไทยใน ปริทรรศน์ประวัติศาสตร์, (กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย), 2559. 53 ศุภการ สิริไพศาล และชัยพงษ์ สำเนียง (บรรณาธิการ), ความ เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมของไทยในปริทรรศน์ประวัติศาสตร์: สถานภาพความรู้ปัจจุบัน ลำดับที่ 4, (กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการ วิจัย), 2560.


81 (พ.ศ.2466-ปัจจุบัน)” 54 สะท้อนให้เห็นเรื่องการพัฒนาที่มีต่อการขยายตัวทาง เศรษฐกิจและส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจในมิติต่างๆ รวมทั้งการ สะสมทุนของกลุ่มทุนที่สำคัญ เช่น ทุนป่าไม้ ทุนยาสูบ ทุนการค้า โดยแต่ละ กลุ่มมีการสร้างสายสัมพันธ์กับทุน รัฐและกลุ่มอิทธิพลการเมืองท้องถิ่น หรือ งานของศุภการ สิริไพศาล เรื่อง “พัฒนาการของกลุ่มทุนและเครือข่ายธุรกิจ ท้องถิ่นในภาคใต้ของประเทศไทยจากอดีตถึงปัจจุบัน” 55 ศึกษากลุ่มทุนภาคใต้ โดยพิจารณาในประเด็นเรื่องการสร้างฐานธุรกิจ วิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จ และความล้มเหลวของการรวมกลุ่มทุนท้องถิ่นในภาคใต้ที่อาศัยข้อได้เปรียบ จากปัจจัยเรื่องตำแหน่งที่ตั้งที่มีลักษณะเป็นพื้นที่เปิด มีความอุดมสมบูรณ์ด้วย ทรัพยากรธรรมชาติและมีเมืองท่าชายฝั่งเหมาะสมแก่การตั้งถิ่นฐาน รวมทั้ง การสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มทุนและอำนาจรัฐ ตลอดจนการ ปรับตัวภายหลังวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ที่มีการบริหารจัดการภายในแบบ สมัยใหม่ ปรับตัวจากการบริหารแบบครอบครัวไปสู่การบริหารที่เป็นสากลมาก ขึ้น กระแสความนิยมในการศึกษาประวัติศาสตร์ชุมชนท้องถิ่นในทศวรรษ นี้ยังมองเห็นได้ชัดเจนจากหัวข้อวิทยานิพนธ์ สารนิพนธ์ทั้งในระดับปริญญาโท 54 ดูเพิ่มเติม ชัยพงษ์ สำเนียง, พัฒนาการของกลุ่มทุนและเครือข่ายธุรกิจ ในภาคเหนือของประเทศไทย พ.ศ.2446-ปัจจุบัน: โครงการวิจัยฯ ที่ 10, (กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย), 2560. 55 ศุภการ สิริไพศาล, พัฒนาการของกลุ่มทุนและเครือข่ายธุรกิจท้องถิ่น ในภาคใต้จากอดีตถึงปัจจุบัน: โครงการวิจัยฯ ที่ 8, (กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุน สนับสนุนการวิจัย), 2560.


82 สาขาประวัติศาสตร์และสาขาทางสังคมศาสตร์มนุษยศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมหาวิทยาลัยตามภูมิภาคต่างๆ ของประเทศไทย เช่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่ให้ ความสนใจศึกษาประวัติศาสตร์ชุมชนโดยตรง หรือเป็นการศึกษาเฉพาะเรื่องที่ เกี่ยวกับชุมชนท้องถิ่นในภาพรวมเพิ่มขึ้น สรุป พัฒนาการการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของประเทศไทยในยุค เริ่มต้นก่อน พ.ศ. 2500 ส่วนใหญ่จะเป็นในรูปแบบเอกสารท้องถิ่นแบบจารีต เป็นการเขียนเรื่องราวของท้องถิ่นผ่านนิทาน ตำนาน พื้นเมือง ต่อมาเมื่อเกิด อุดมการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เน้นความเป็นศูนย์กลาง ในสมัยรัชกาลที่ 4-5 ซึ่ง เป็นสัญลักษณ์อันช่วยให้เกิดการสร้างเอกภาพของรัฐสมัยใหม่ ส่งผลต่อ การศึกษาประวัติศาสตร์ การกำหนดโครงเรื่องทางประวัติศาสตร์ที่เน้นเฉพาะ เหตุการณ์ทางการเมืองหรือบุคคลสำคัญ คือกษัตริย์หรือวีรบุรุษ และศูนย์ อำนาจทางการเมืองที่สัมพันธ์กับบุคคลสำคัญ ดังนั้นเรื่องราวของประวัติศาสตร์ ท้องถิ่น จึงมีลักษณะเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับประวัติความความเป็นมาของเมือง ตั้งแต่ยุคเริ่มแรก โดยเรียงตามลำดับเวลาหรือสอดแทรกเรื่องราวที่สัมพันธ์กับ ประวัติศาสตร์ชาติไทย เช่น ประวัติเจ้าเมืองคนสำคัญหรือสายตระกูลสำคัญของ หัวเมือง เช่น พงศาวดารเมืองสงขลา พงศาวดารเมืองนครเชียงใหม่ เมืองลำปาง เมืองลำพูน พงศาวดารหัวเมืองมณฑลอีสาน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ารัฐให้ความ สนใจต่อท้องถิ่นในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติหรืออาจกล่าวได้ว่า เป็นข้อมูลพื้นฐานที่รัฐจะเข้าไปบริหารจัดการปกครองและควบคุมผลประโยชน์


83 ทางเศรษฐกิจ ต่อมาในช่วงหลัง พ.ศ. 2475 ส่งผลให้การความตื่นตัวทาง การเมือง เกิดความใคร่รู้และต้องการเข้าใจความเป็นมาของรากเหง้าท้องถิ่น ตัวเองที่ไม่ได้เน้นการศึกษาเพียงแต่กษัตริย์ราชวงศ์เท่านั้น แต่เป็นเรื่องราวทาง ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ภูมิศาสตร์และคติชนวิทยา เพิ่มมากขึ้น หลังจากนั้นในช่วง พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา การศึกษาประวัติศาสตร์ชาติ ไทยได้ขยายขอบเขตเนื้อหาสู่ชุมชนท้องถิ่น ทั้งในเรื่องของการวิธีการศึกษา การใช้ หลักฐาน ได้แก่ ตำนานท้องถิ่น การสำรวจภาคสนาม การใช้ข้อมูลจากการ สัมภาษณ์ รวมทั้งความก้าวหน้าทางวิธีวิทยาแบบสหวิชาการใช้แนวคิดทฤษฎีทาง สังคมศาสตร์วิเคราะห์สภาพสังคม การเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรม โดยเฉพาะ ในช่วงเวลาหลังทศวรรษ 2540 เป็นต้นมา ซึ่งถือว่าเป็นยุคเติบโตของการศึกษา ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอันเป็นผลจากการสนับสนุนที่สำคัญจากกองทุนสนับสนุน การวิจัย (สกว.) รวมทั้งความก้าวหน้าของการศึกษาประวัติศาสตร์ที่เป็นสห วิชาการ (interdisciplinary) ซึ่งหมายถึง การใช้องค์ความรู้หลายสาขาวิชา หลาย ศาสตร์มาผสมผสานในการวิเคราะห์ประเด็นปัญหาให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องอาศัยวิธีการศึกษาที่หลากหลาย ผสานแนวคิดจากสาขาวิชาต่างๆ เพื่อนำไปสู่การเชื่อมโยงของท้องถิ่น เช่น ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ระบบกรรมสิทธิ์ ระบบเครือข่ายทางสังคม การศึกษาประวัติศาสตร์วัฒนธรรมท้องถิ่น ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นกับการท่องเที่ยว เศรษฐกิจและสังคมของท้องถิ่น ประวัติศาสตร์และโบราณคดีท้องถิ่น กลุ่มชาติพันธุ์ในท้องถิ่น และบุคคลสำคัญใน ท้องถิ่น เป็นต้น


85 บทที่ 3 หลักฐานและแนวทางการศึกษา ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ประวัติศาสตร์ไม่ใช่ป็นการท่องจำเรื่องราวในอดีต แต่เป็นการจัดการ หลักฐานเพื่อที่จะสร้างคำอธิบายเกี่ยวกับอดีต ดังนั้นหากขาดหลักฐานแล้วผู้ที่ ศึกษาอดีตก็ไม่สามารถหาคำตอบเพื่อทำความเข้าใจต่อเรื่องราวในอดีต ดังได้ กล่าวมาแล้วว่าการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยให้เกิด การเรียนรู้เรื่องราวของมนุษย์ ชุมชน สังคมที่อยู่นอกเหนือศูนย์กลางอำนาจทาง การเมืองของรัฐ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำความเข้าใจประสบการณ์ ความ หลากหลายของชีวิตผู้คนที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละพื้นที่ศึกษา โดยผู้ศึกษา สามารถกำหนดขอบเขตการศึกษาในหน่วยการวิเคราะห์ที่มีขนาดแตกต่างและ หลากหลายบนพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของ ผู้ศึกษา เช่น หมู่บ้าน เมือง ย่านชุมชน ชุมชนลุ่มน้ำ กลุ่มชาวจีน กลุ่มอาชีพ เครือข่ายทางสังคม กลุ่มชาติพันธุ์หรือกลุ่มทางสังคมอื่นๆ หรือเนื้อหาในบทนี้ ต้องการอธิบายถึงความสำคัญของหลักฐาน ข้อจำกัด วิธีการประเมินคุณค่า หลักฐานและแนวทางการศึกษาที่เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่น


86 3.1 ประเภทของหลักฐาน การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นยังคงให้ความสำคัญกับการใช้หลักฐาน ประเภทต่างๆ เพื่อทำความเข้าใจและเชื่อมโยงเรื่องราวในการศึกษา ประวัติศาสตร์ หลักฐานเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด กล่าวได้ว่าถ้าขาดหลักฐาน การศึกษาประวัติศาสตร์มิอาจเกิดขึ้นได้ หลักฐานอาจแบ่งได้เป็นสองประเภท คือ หลักฐานชั้นต้นและหลักฐานชั้นรอง หลักฐานชั้นต้น ได้แก่ หลักฐานที่บันทึก ขึ้นโดยผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์หรือกิจกรรมในอดีตโดยตรงหรือรู้เห็น เหตุการณ์ด้วยตนเอง เช่น รายงาน จดหมายเหตุ บันทึก เป็นต้น ส่วนหลักฐาน ชั้นรอง นั้นหมายถึง บันทึกของผู้ที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์โดยตรง เช่น อาจรับฟังหรือได้ยินมาจากคำบอกเล่าของคนอื่น หลักฐานประเภทนี้ได้แก่ หนังสือ และตำนานต่างๆ เป็นต้น การแบ่งหลักฐานออกเป็น 2 ประเภท เพื่อความสะดวกต่อการ ประเมินหลักฐานและตามความเชื่อเดิมที่มักเข้าใจกันว่าหลักฐานชั้นต้นย่อมมี น้ำหนักความน่าเชื่อถือกว่าหลักฐานชั้นรอง เพราะหลักฐานชั้นต้นบันทึกโดยผู้ที่ อยู่ใกล้ชิดเหตุการณ์ ส่วนหลักฐานชั้นรองที่ถูกบันทึกภายหลังหรือรับฟังจาก ผู้อื่นย่อมมีน้ำหนักความน่าเชื่อถือน้อยกว่า อย่างไรก็ตามเมื่อวิธีการ ประวัติศาสตร์ที่มีความก้าวหน้าขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการประเมินความ น่าเชื่อถือที่เรียกว่า “วิพากษ์วิธีทางประวัติศาสตร์” จึงทำให้การแบ่งประเภท หลักฐานแบบเดิมมีปัญหาอยู่ไม่น้อย กล่าวคือ หลักฐานชั้นต้นนั้นปรากฏ หลักฐานชั้นรองปะปนอยู่ เช่น ศิลาจารึก ปรากฏข้อความที่กล่าวย้อนเหตุการณ์ ไปไกลมากจนอาจหาข้อเท็จจริงได้ยาก ในทางกลับกันหลักฐานชั้นรองบางชิ้นมี ข้อมูลบางอย่างที่น่าเชื่อถือ ทั้งในสิ่งที่ผู้บันทึกพยายามจะบอกหรือเมื่อเราศึกษา


87 ในเรื่องของความคิดของผู้บันทึกต่อเรื่องราวต่างๆ จะพบว่าหลักฐานประเภท หลังนี้มีความน่าเชื่อถือขึ้นมาอย่างมาก หรือกล่าวได้ว่า การศึกษาประวัติศาสตร์ ความคิดนั้นย่อมทำให้หลักฐานชั้นรองกลายเป็นหลักฐานชั้นต้นขึ้นมาทันที 1 จากปัญหาเรื่องความลักลั่นของหลักฐานชั้นต้นและชั้นรองอยู่ใน หลักฐานชิ้นเดียวกัน หรือ การประเมินข้อสนเทศที่ปรากฏในหลักฐานก็ไม่ สามารถกล่าวได้ว่าหลักฐานชั้นต้นมีความน่าเชื่อถือกว่าหลักฐานชั้นรองเสมอไป นอกจากนั้นการแบ่งหลักฐานชั้นต้นและชั้นรองดังกล่าวยังคับแคบเกินไป เนื่องจากปัจจุบันหลักฐานประเภทอื่นๆ ที่มีคุณค่าต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ ท้องถิ่นมีอยู่มาก เช่น หลักฐานทางโบราณคดี คำบอกเล่า ศิลปะการแสดง เป็นต้น ด้วยเหตุนี้จึงนิยมแบ่งตามลักษณะที่เป็นลายลักษณ์อักษรและหลักฐาน ที่ไม่ใช่ลายลักษณ์อักษร 3.1.1 หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร หลักฐานประเภทนี้เป็นหลักฐานที่นักประวัติศาสตร์นิยมใช้และดูจะ ได้รับการยอมรับว่ามีความน่าเชื่อถือกว่าหลักฐานที่ไม่ใช่ลายลักษณ์อักษร เนื่องจากหลักฐานประเภทนี้สามารถตรวจสอบได้ เปรียบเทียบ พิสูจน์ได้ ในขณะที่หลักฐานที่ไม่ใช่ลายลักษณ์อักษรอาศัยการตีความของผู้ศึกษา หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรมีหลายประเภท ประกอบด้วย จารึก ตำนาน พระราชพงศาวดาร จดหมายเหตุ เอกสารราชการหรือเอกสารปกครอง 1 ยงยุทธ ชูแว่น, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นไทย, (กรุงเทพฯ: ยิปซี กรุ๊ป, 2562), 326.


88 บันทึกส่วนบุคคล จดหมาย ชีวประวัติ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วารสาร วรรณกรรมและงานนิพนธ์ทางประวัติศาสตร์ (1) จารึก หมายถึง การเขียนรอยลึกเป็นตัวอักษรลงบนวัสดุต่างๆ เช่น ศิลา ปูชนียสถาน ฐานพระพุทธรูป เหรียญ ใบลาน แผ่นโลหะ เป็นหลักฐาน ประเภทลายลักษณ์อักษรที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย เนื่องจากบันทึกเรื่องราว ไว้บนวัสดุที่มีความคงทน เช่น ศิลา แผ่นโลหะ จึงไม่สูญสลายไปตามกาลเวลา เหมือนหลักฐานอื่น2 ในประเทศไทยมีจารึกที่ได้พบและรวบรวมไว้แล้วเป็น จำนวนมาก เป็นอักษรและภาษาต่างๆ บางชิ้นยังไม่สามารถถ่ายทอดและแปล ความได้ก็มี นักวิชาการได้แบ่งจารึกต่างๆ เหล่านี้ออกเป็นยุคสมัยต่างๆ เพื่อ ความสะดวกในการศึกษา โดยแบ่งเป็น สองแนวทาง คือ การแบ่งตามสมัยของ อาณาจักรโบราณในประเทศไทย ซึ่งเป็นวิธีการที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชา นุภาพได้ทรงเริ่มไว้ แบ่งออกเป็น 7 สมัย คือ จารึกทวารวดี จารึกศรีวิชัย จารึก กัมพูชา จารึกหริภุญไชย จารึกสุโขทัย จารึกล้านนาไทย จารึกกรุงศรีอยุธยา และรัตนโกสินทร์ อีกวิธีหนึ่งคือ การแบ่งตามสมัยของการใช้ตัวอักษรแต่ละ รูปแบบ ได้แก่ อักษรปัลลวะ อักษรมอญโบราณ อักษรไทยสมัยพ่อขุน รามคำแหงและวิวัฒนาการเป็นอักษรไทยปัจจุบัน3 เนื้อความในจารึกมีความ หลากหลายตามผู้ประสงค์ให้จารึก เช่น จารึกที่เกี่ยวข้องกับศาสนา มีทั้งภาษิต ทางศาสนา การประกาศบุญที่ได้ สร้างศาสนสถาน การถวายที่ดิน สิ่งของมีค่า 2 ยงยุทธ ชูแว่น, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นไทย, 40. 3 วีณา เอี่ยมประไพ, หลักฐานทางประวัติศาสตร์, (กรุงเทพฯ: โอ เอส พริ้นติ้ง, 2535), 45-46.


89 ให้แก่วัด หรือคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นคาถาสั้นๆ เช่น จารึกที่ขึ้นต้นว่า “เย ธัมมา...” ซึ่งพบได้มากในจารึกท้องถิ่นภาคกลางของไทย จารึกเกี่ยวกับบุคคล บันทึกเหตุการณ์อันได้แก่ การสรรเสริญพระ เกียรติคุณหรือบันทึกพระราชกรณียกิจของกษัตริย์ จารึกประกาศจากทาง ราชการ เป็นจารึกที่มีลักษณะเป็นประกาศสาธารณะ มีจุดมุ่งหมายที่แจ้งให้ ทราบโดยทั่วไปและอาจให้ปฏิบัติตามด้วย จารึกที่เป็นส่วนหนึ่งของวัตถุนั้น จารึกประเภทนี้มักปรากฏอยู่ตามฐานพระพุทธรูปหรือรูปเคารพอื่นๆ ซึ่งมักบอก ที่มาของวัตถุนั้น เช่น ผู้สร้าง และ วัน เดือน ปีที่สร้าง หรือไม่ก็เป็นคาถาหรือ หลักธรรมอันสำคัญ ซึ่งจารึกไว้กับรูปเคารพหรือสัญลักษณ์ทางศาสนา4 แม้ว่า เนื้อหาของจารึกจำกัดเฉพาะเรื่องราวที่แวดล้อมตัวผู้จารึก ไม่ได้มีจุดมุ่งหมาย บันทึกให้คนรุ่นหลังโดยตรง แต่มีคุณค่าต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ที่สำคัญ กล่าวคือ จารึกเป็นหลักฐานชั้นต้นที่น่าเชื่อถือ เนื่องจากวัสดุที่ใช้มีความคงทน และสามารถคงสภาพของหลักฐานเดิม โดยไม่ถูกดัดแปลงหรือคัดลอกตกหล่น ผิดพลาดเช่นหลักฐานอื่น เนื้อความในจารึกให้ข้อเท็จจริงพื้นฐานที่สำคัญบาง ประการ เช่น พระนามกษัตริย์ ชื่อสถานที่ วันเดือนปี รวมทั้งเนื้อหาในจารึก ทำให้ทราบพฤติกรรมที่สำคัญของผู้คนในอดีต เนื่องจากเป็นการบันทึกเฉพาะ กิจกรรมที่สำคัญ การใช้จารึกเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์มีข้อจำกัดบางประการ ดังเช่นเนื้อหาจารึกจะมีความเกี่ยวข้องแต่เฉพาะเรื่องราวที่ผู้บันทึกเห็นว่า มีความสำคัญ ไม่ได้เชื่อมโยงกับสภาพสังคมหรือวิถีชีวิตของประชาชน 4 นิธิ เอียวศรีวงศ์ และ อาคม พัฒิยะ, หลักฐานประวัติศาสตร์ในประเทศ ไทย, (กรุงเทพฯ: ดวงดีการพิมพ์, 2525), 42-43.


90 โดยส่วนรวม ทั้งนี้อาจเนื่องจากผู้จารึกไม่ได้ให้ความสนใจ ความยากลำบากใน การจารึก ตลอดจนเนื้อที่จำกัดของวัสดุที่ใช้ในการจารึก การชำรุดแตกหักของ วัสดุที่ใช้จารึกก็เป็นอีกข้อจำกัดหนึ่งที่ส่งผลให้ข้อความลบเลือน ขาด รายละเอียดหรือเนื้อหาไม่ครบถ้วน รวมทั้งการเคลื่อนย้ายจารึกจากแหล่งเดิม อาจทำให้เกิดการตีความสับสน โดยเฉพาะเรื่องสถานที่และการกำหนดอายุ จารึก ปัญหาเรื่องภาษาและการตีความ เนื่องจากว่าจารึกมีการสร้างมาเป็น เวลานาน การใช้ภาษาหรือถ้อยคำที่ปรากฏในจารึกจึงแตกต่างจากปัจจุบัน การ นำเอาความหมายปัจจุบันไปตีความจารึกย่อมทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนได้ ด้วยข้อจำกัดดังกล่าว ทำให้ผู้ศึกษาที่ต้องใช้หลักฐานประเภทจารึกจึงต้องใช้ ความรู้หลายด้านประกอบ ทั้งความเชี่ยวชาญทางภาษาศาสตร์ที่ถ่ายทอดอักษร โบราณให้เป็นอักษรไทยปัจจุบัน หรือการนำหลักฐานด้านอื่นๆ เช่น หลักฐาน โบราณคดี และศิลปะมาร่วมวิเคราะห์ ตรวจสอบกับหลักฐาน วิเคราะห์ด้วย วิธีการทางประวัติศาสตร์จะช่วยให้หลักฐานประเภทจารึกมีความน่าเชื่อถือมาก ขึ้น5 (2) ตำนาน หมายถึง เรื่องราวที่สืบต่อกันมาทั้งโดยการบอกเล่าและ รวบรวมเรียบเรียงขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร เรื่องราวของตำนานมีความ เกี่ยวข้องกับประวัติความเป็นมาของเมือง ปูชนียสถาน บุคคลสำคัญ ปูชนียวัตถุ ที่สืบตกทอดกันมา เปรียบเสมือนเครื่องมือที่ช่วยถ่ายทอดเรื่องราวทาง ประวัติศาสตร์ สะท้อนให้เห็นถึงชีวิต ความคิด ความเชื่อ รวมถึงประเพณีต่างๆ ของสังคม ในสมัยหนึ่งก่อนที่คำว่าประวัติศาสตร์จะใช้กันอย่างแพร่หลายใน 5 วีณา เอี่ยมประไพ, หลักฐานทางประวัติศาสตร์, 48.


Click to View FlipBook Version