91 ภาษาไทย นักประวัติศาสตร์ใช้คำว่า “พงศาวดาร” แทนงานประวัติศาสตร์ทาง การเมือง แต่งานที่ไม่เป็นประวัติศาสตร์การเมืองไม่อาจใช้คำว่าพงศาวดารได้ จึงเลี่ยงไปใช้คำว่าตำนานแทน6 ด้วยเหตุผลที่ตำนานทั้งหลาย มักจะเริ่มต้นด้วย การจดจำบอกเล่ากันมาเป็นเวลานาน ก่อนที่จะมีผู้รวบรวมเขียนขึ้นไว้เป็นลาย ลักษณ์อักษร ตำนานจึงผสมปนอยู่กับความเชื่อ คติชาวบ้าน นิทาน นิยายและ ข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์หลายยุคหลายสมัยเข้าไว้ในเรื่องเดียวกัน ลักษณะ เช่นนี้ได้กลายเป็นลักษณะเด่นอย่างหนึ่งของตำนาน เนื้อหาของตำนาน ตำนานมีอยู่มากมายและมีอยู่ทั่วทุกท้องถิ่นทุกภาค ของประเทศไทย แต่มีเนื้อหาและลักษณะร่วมกัน จัดแบ่งออกเป็นประเภทได้ ดังนี้ 7 1) ตำนานที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับศาสนา เกิดจากความเชื่อมั่นศรัทธาใน ศาสนาที่เป็นศูนย์กลางจิตใจ และคาดหวังที่จะพบพระศรีอาริย์ ความหวาดวิตก ว่าพระพุทธศาสนาจะสิ้นสุดลงตามพุทธทำนาย (5,000 ปี) จึงเร่งการกุศล รวมทั้งการบันทึกตำนานพุทธศาสนาเพื่อเป็นอานิสงส์ให้ศาสนาสืบต่อไป ตำนานที่สำคัญในกลุ่มนี้ ได้แก่ ชินกาลมาลีปกรณ์ ตำนานมูลศาสนา จามเทวีวงศ์ สังคีติยวงศ์ ซึ่งมีโครงเรื่องของเนื้อหาคล้ายคลึงกัน กล่าวคือ เริ่มต้นด้วยพุทธประวัติ การเผยแพร่ศาสนาไปยังดินแดนต่างๆ รวมทั้งเรื่องราว ของพุทธศาสนาในท้องถิ่นด้วย ตัวอย่างเช่น“ตำนานชินกาลมาลีปกรณ์” แปล ความว่า เรื่องราวแห่งกาลเวลาของพระพุทธศาสนาอันร้อยกรองไว้ประดับหนึ่ง 6 นิธิ เอียวศรีวงศ์ และ อาคม พัฒิยะ, หลักฐานประวัติศาสตร์ในประเทศ ไทย, 63. 7 วีณา เอี่ยมประไพ, หลักฐานทางประวัติศาสตร์, 49-50.
92 พวงดอกไม้ เป็นคัมภีร์พระพุทธศาสนา เรียบเรียงและแต่งขึ้นโดย พระรัตน ปัญญาเถระ ภิกษุชาวล้านา เนื้อความกล่าวถึงเรื่องพุทธพยากรณ์ ทั้ง 24 พระองค์ โดยในส่วนแรกเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าองค์ต่างๆ โดย ละเอียดเรียงลำดับลงมาจนถึงพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ในส่วนนี้ถือว่าเป็นการ รวบรวมประวัติความเป็นมาของพุทธฝ่ายเถรวาทของไทยมาลำดับความไว้โดย สรุป ต่อจากนั้นก็เริ่มเรื่องราวของพงศาวดารแว่นแคว้นฝ่ายเหนือ ได้แก่ เมือง หริภุญไชย โยนกและล้านนา มีเนื้อหาเกี่ยวกับตำนานพระพุทธสิหิงค์ เรื่องพระ มหาธาตุ เรื่องพระแก้วมรกต จนกระทั่งสุดเรื่องที่ประวัติราชวงศ์มังรายในสมัย ของผู้แต่ง คือ สมัยพระเมืองแก้ว กษัตริย์รัชกาลที่ 15 ในราชวงศ์มังราย 2) ตำนานปูชนียสถานและปูชนียวัตถุ มีเนื้อหาในกรอบ พระพุทธศาสนาเช่นกัน แต่มีขอบเขตแคบกว่า เน้นเฉพาะเรื่องราวปูชนียสถาน และปูชนียวัตถุเท่านั้น เช่น ตำนานพระธาตุหริภุญไชย ตำนานพระธาตุพนม ตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช ตำนานพระธาตุช่อแฮ ส่วนตำนาน ปูชนียวัตถุที่สำคัญ ได้แก่ ตำนานพระแก้วมรกต ตำนานพระพุทธสิหิงค์ 3) ตำนานที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับกำเนิดบ้านเมือง เชื้อชาติ ราชวงศ์ฯลฯ มีเนื้อหาผสมผสานกับนิทานพื้นบ้าน จึงนับเป็นประวัติศาสตร์สามัญชนที่สืบ ทอดด้วยการบอกเล่า เช่น ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ตำนานสุวรรณโคมคำ หรือ ตำนานหิรัญนครและตำนานสิงหนวัติกุมาร เป็นเรื่องของการตั้งถิ่นฐานของคน ไทยในบริเวณลุ่มน้ำกก เรื่องราวมักเริ่มต้นด้วยเหตุการณ์ในอดีตนับตั้งแต่การ กำเนิดโลก กำเนิดชนเผ่าต่างๆ พุทธประวัติ การเผยแพร่ศาสนา พร้อมกับ ลงท้ายด้วยเหตุการณ์ร่วมสมัยของผู้บันทึก ลักษณะที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ เนื้อหาที่แสดงถึงอิทธิพลของศาสนาต่อผู้คนในอดีต อธิบายประวัติความเป็นมา
93 ของบ้านเมือง และเรื่องราวบรรพบุรุษ แต่ผูกเรื่องราวตามทัศนคติทางศาสนา เช่น การยกย่องชนชั้นผู้ปกครอง หรือวีรบุรุษผู้มีบุญญาบารมีที่จรรโลงพุทธ ศาสนาให้ดำรงอยู่ในสังคม ตำนานต่างๆ เหล่านี้ ล้วนแต่มีข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของท้องถิ่น แฝงอยู่ เพราะมีเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงเป็นพื้นฐาน แต่การที่มี เรื่องพิสดารผิดแผกไปจากความเป็นจริงนั้น เป็นเพราะเหตุหลายประการ เช่น เพิ่มเติมเสริมแต่งให้เหมาะสมกับศรัทธาความเชื่อของคนตามกาลสมัย พยายาม อธิบายหรือเล่าเรื่องใหม่ โดยอาศัยพื้นฐานของเรื่องเดิมเป็นส่วนประกอบ ตัวอย่างเช่น เรื่องพระร่วง พระลือ เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ถูกนำมา ประกอบกับตำนานต่างๆ มากมายหลายเรื่อง นอกจากนี้ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ตำนานมักจะเริ่มด้วยการบอกเล่าจดจำมาก่อนทั้งสิ้น ทำให้มีการดัดแปลงเสริม แต่งได้ง่าย แม้ว่าตำนานจะมีที่มาจากการบอกเล่า โดยมีจุดมุ่งหมายอย่างหนึ่งเพื่อ ความบันเทิง แต่ในแง่การศึกษาประวัติศาสตร์ ตำนานอาจใช้เป็นหลักฐานใน การศึกษาเรื่องราวต่างๆ ดังเช่นการสะท้อนถึงปรัชญาความคิดและค่านิยมของ ผู้คนในอดีต ซึ่งสืบเนื่องต่อกันมา ที่เห็นได้ชัดคือความศรัทธาเชื่อมั่นในศาสนา ซึ่งเชื่อมโยงเข้ากับเรื่องราวด้วยการกล่าวถึงพุทธประวัติ พุทธทำนาย ปาฏิหาริย์ ของพระพุทธเจ้าด้วยการประทับรอยพระพุทธบาทไว้ในสถานที่ต่างๆ ซึ่งเป็น เมืองใหญ่หรือปูชนียสถานในเวลาต่อมา รวมทั้งความเชื่อในเรื่องผลแแห่งกรรม ตำนานที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับบ้านเมือง การกำเนิดเผ่าพันธุ์ บ่งบอกถึง สำนึกทางประวัติศาสตร์ของคนในอดีต ให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับชื่อสถานที่ พระนามกษัตริย์ เช่น ในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่กล่าวถึงพระยามังรายแห่ง
94 อาณาจักรล้านนา พระยาร่วงแห่งกรุงสุโขทัย และพระยางำเมือง เจ้าเมือง ภูกามยาวว่าเป็นมิตรสหายต่อกัน จากการตรวจสอบหลักฐานประเภทอื่นๆ ปรากฏว่ากษัตริย์ทั้งสามครองราชย์ร่วมสมัยกัน เนื้อหาบางส่วนของตำนาน อาจใช้เป็นหลักฐานในการศึกษาประวัติศาสตร์สังคม เกี่ยวกับการตั้งหลักแหล่ง และการขยายตัวของชุมชนได้ (3) พระราชพงศาวดาร เป็นบันทึกเรื่องราวที่เกี่ยวกับอาณาจักร พระมหากษัตริย์ พระราชกรณียกิจ พระราชสำนัก อันเป็นเรื่องราวในขอบเขต ศูนย์กลางแห่งอำนาจโดยเรียบเรียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามเวลา วิธีการเขียน ดังกล่าวได้รับการพัฒนาจากแนวการเขียนพงศาวดารแบบลังกาใช้ พระพุทธศาสนาเป็นแกนกลางของเรื่องราว เริ่มแรกอาศัยข้อมูลจาก พระไตรปิฎกและคัมภีร์อรรถกถา ผสมกับตำนาน นิทานพื้นเมือง ต่อมาในสมัย อยุธยา การเขียนพระราชพงศาวดารได้รับความนิยมซึ่งแทนที่จะใช้ พระพุทธศาสนาเป็นแกนกลางกลับใช้เรื่องราวกษัตริย์ที่ครองราชย์ กรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลาง เรียกว่าพระราชพงศาวดาร อันมีความหมายว่า เรื่องขององค์พระเป็นเจ้าผู้อวตารสืบวงศ์ลงมา8 วิธีการเขียนประวัติศาสตร์ใน รูปแบบพระราชพงศาวดารเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาและสืบทอดเรื่อยมาจน สิ้นสุดในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่อย่างไรก็ตามเนื้อหาในพระราชพงศาวดารให้รายละเอียดประวัติ ราชวงศ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ธนบุรีและรัตนโกสินทร์ ได้ละเอียดกว่าหลักฐาน อื่นๆ ทั้งการลำดับราชวงศ์ พระราชกรณียกิจต่างๆ รายละเอียดในเนื้อหาพระ ราชพงศาวดารให้ความรู้ด้านขนบธรรมเนียมประเพณี แบบแผนของราชสำนัก 8 วีณา เอี่ยมประไพ, หลักฐานทางประวัติศาสตร์, 69.
95 และการปกครอง ซึ่งถือเป็นระเบียบวิธีการสำหรับราชวงศ์และข้าราชการ ดังเห็นได้จากในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงโปรดให้มีการชำระและแต่งพระราชพงศาวดาร รวม 7 ฉบับ เพื่อเป็น แนวทางในการวางพระราโชบายในการปกครองและหลักปฏิบัติส่วนพระองค์ พระราชพงศาวดารจึงเป็นตำราของชนชั้นปกครองและสาระสำคัญของ ธรรมเนียมตามโบราณ ในแง่ของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ พระราชพงศาวดารไม่ใช่บันทึก ร่วมสมัย กล่าวคือ เป็นเอกสารชั้นรองที่อาศัยข้อมูลจากจดหมายเหตุ ปูมโหร ใบบอก ฯลฯ แล้วแต่งเรียบเรียงขึ้นใหม่โดยเรียงลำดับเหตุการณ์ตามกาลเวลา รวมทั้งปัญหาความคลาดเคลื่อนในเนื้อความของพระราชพงศาวดาร ซึ่งเกิดขึ้น จากการคัดลอกผิดพลาดหรือตกหล่นโดยไม่เจตนาหรือการแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อ วัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งธรรมเนียมการชำระ พระราชพงศาวดาร ซึ่งมักมีการเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ แก้ไขสำนวนโวหารตาม ความประสงค์ของผู้ให้ชำระ ตัวอย่างของเหตุการณ์ที่ได้รับการบันทึกเกี่ยวกับท้องถิ่น มักสะท้อน ความสัมพันธ์ระหว่างส่วนกลางกับท้องถิ่นผ่านพระราชกรณียกิจต่างๆ เช่น การสงคราม การเดินทางติดต่อกับหัวเมืองต่างๆ ดังเห็นได้จากพระราช พงศาวดารในสมัยต่างๆ ยกตัวอย่าง จากงานศึกษาสำรวจสถานภาพความรู้บ้าน ท่าจีนที่ได้ทบทวนหลักฐานสมัยจารีตที่กล่าวถึงความสำคัญของพื้นที่ 9 ดังเช่น 9 สิริวรรณ สิรวณิชย์, รายงานการวิจัยเรื่องการศึกษาสำรวจสถานภาพ ความรู้ทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่นชุมชนบ้านท่าจีน จังหวัดสมุทรสาคร, (กรุงเทพฯ: คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2563).
96 เนื้อหาในพระราชพงศาวดารฉบับพันจันทานุมาศ (เจิม) กล่าวถึง เรื่องการตั้ง บ้านท่าจีน เป็นเมืองสาครบุรี ในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ หลังเหตุการณ์พระราชทานเพลิงศพสมเด็จพระศรีสุริโยทัยที่สิ้นพระชนม์คราว สงครามกับพระเจ้าหงสาวดีตะเบ็งชะเวตี้ ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. 2092 ระบุว่า “...แล้วสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า ไพร่บ้านพลเมืองตรีจัตวาปากใต้ เข้าพระนครนี้น้อย หนีออกอยู่ดงห้วยเขาต้อนไม่ได้เป็นอันมาก ให้บ้านท่าจีนตั้ง เป็นเมืองสาครบุรี ให้เอาบ้านตลาดขวัญตั้งเป็นเมืองนนทบุรี ให้แบ่งเอาแขวง เมืองราชบุรี แขวงเมืองสุพรรณบุรี เป็นเมืองนครชัยศรี...” 10 จากเนื้อความที่ปรากฏสะท้อนให้เห็นว่าพื้นที่บริเวณบ้านท่าจีน11 น่าจะมีชุมชนตั้งอยู่ก่อนแล้วแต่คงมีไพร่พลน้อย รัฐส่วนกลางจึงได้รวบรวมบ้าน จัดตั้งขึ้นเป็นเมืองสาครบุรี เพื่อปกครองรวบรวมกำลังผู้คนไว้ในยามศึกสงคราม กรณีตัวอย่างเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับท้องถิ่นสมุทรสาครอีกกรณีหนึ่ง คือ เหตุการณ์การขุดคลองมหาชัย ดังเนื้อความที่ปรากฏในพระราชพงศาวดาร ฉบับพระพนรัตน์ คราวที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระเสด็จพระราชดำเนินมา ทรงเบ็ดที่ปากแม่น้ำท่าจีน เมื่อไปถึงคลองมหาชัยเห็นคลองนั้นขุดยังไม่แล้วค้าง 10 พันจันทานุมาศ (เจิม), พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา (กรุงเทพฯ: คลังวิทยา, 2506), 60. 11 บ้านท่าจีน เป็นชื่อเดิมของเมืองสาครบุรี ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อเป็นเมือง สมุทรสาคร ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเปลี่ยนเป็นจังหวัด สมุทรสาครในปี 2456.
97 อยู่ ครั้นทรงเบ็ดแล้วกลับคืนมาถึงพระนคร จึงทรงพระกรุณาตรัสสั่งให้กะเกณฑ์ คนหัวเมืองปากใต้แปดหัวเมือง มาขุดคลองมหาชัยให้เสร็จ ดังความว่า “…จึงทรงพระกรุณาตรัสสั่งให้พระราชสงครามเป็นนายกอง ให้กะ เกณฑ์คนหัวเมืองปากใต้ แปดหัวเมือง ให้ได้คนสามหมื่นเศษแล้วถวายบังคมลา ไป ครั้นถึงคลองมหาชัยจึงให้ฝรั่งส่องกล้องแก้วดูให้ตรงปากคลองปักกรุยลงเป็น สำคัญ ทางไกลสามร้อยสี่สิบเส้น ขุดที่ก่อนนั้น ได้ที่แล้วหกเส้นเศษ ยังไม่แล้ว นั้นมากถึงสามร้อยสี่สิบเส้น ให้ขุดลึกหกศอก กว้างแปดวาเท่าเก่า เกณฑ์กันเป็น หน้าที่ คนสามหมื่นเศษ ขุดสองเดือนเศษจึงแล้ว พระราชสงครามกลับมาเฝ้า กราบทูลพระกรุณาให้ทรงทราบทุกประการ สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินได้ทรงทราบ ทรงพระปีติปราโมทย์ จึงตั้งพระราชสงครามให้เป็นพระยาราชสงคราม แล้ว พระราชทานเจียดทองเสื้อผ้าเงินตราเป็นอันมาก คลองนั้นชื่อคลองมหาชัยมา ตราบเท่าทุกวันนี้” 12 และในพระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทานุมาศ (เจิม) ได้กล่าวความตอนหนึ่งไว้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับเมืองปากใต้ว่า “เกณฑ์ไพร่ พลเมืองให้ขุด จากเมืองนนทบุรี เมืองสมุทรปราการ เมืองสาครบุรี เมือง สมุทรสงคราม เมืองเพชรบุรี เมืองราชบุรี เมืองนครชัยศรี ๘ เมือง..” จึงทำให้ เข้าใจว่าเมืองปากใต้ที่ปรากฏในเอกสารนั้น หมายถึงหัวเมืองที่อยู่ทางใต้ของ กรุงศรีอยุธยารอบปากอ่าวไทย เมื่อพิจารณาจากหลักฐานพระราชพงศาวดาร สะท้อนถึงความสำคัญ ของเมืองสาครบุรีหรือสมุทรสาคร เป็นหนึ่งในแปดเมืองปากใต้ที่อยู่ทางทิศ ตะวันตกของราชอาณาจักรอยุธยาและใช้เป็นเส้นทางเดินทางคมนาคมติดต่อ 12 พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหมอบรัดเล, (กรุงเทพฯ: โฆษิต, 2549), 393.
98 หรือลำเลียงสินค้าเข้ามายังอยุธยา โดยใช้เส้นทางภายในอาณาจักร คือแม่น้ำ สายหลักและคลองสาขาต่างๆ ที่สำคัญคือ แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำ เจ้าพระยา แม่น้ำทั้งสามสายนี้เชื่อมประสานเข้าด้วยกันโดยระบบคลองภายใน ซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมมาตั้งแต่อดีตและยังเป็นเส้นทางออกสู่ทะเลที่ปากอ่าว ไทยอีกด้วย (4) จดหมายเหตุ เป็นหลักฐานร่วมสมัย จดบันทึกเรื่องราวที่ใกล้เคียง กับวันเวลาที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น โดยทั่วไปแล้วจะเป็นการบันทึกเพียงเหตุการณ์ เดียวหรือเหตุการณ์ที่มีระยะเวลา ประสบการณ์ของคนในช่วงชีวิตเดียวหรือ เพียงส่วนหนึ่งของผู้บันทึก13 เอกสารประเภทนี้จะให้รายละเอียดและ ความถูกต้องในเรื่องเวลา ขณะเดียวกันระหว่างบันทึกผู้บันทึกมักสอดแทรก ความคิดเห็นลงไป บันทึกซึ่งถือว่าเป็นจดหมายเหตุทางประวัติศาสตร์มีหลาย ประเภท ได้แก่ จดหมายเหตุของหลวง จดหมายเหตุโหร (ปูมโหร) จดหมายเหตุ ชาวต่างชาติ จดหมายเหตุของบุคคล คำให้การ มีรายละเอียดสังเขปดังนี้ 14 จดหมายเหตุของหลวง หมายถึง บันทึกเหตุการณ์ของฝ่ายปกครอง ซึ่ง ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นภาระหน้าที่ของเจ้าพนักงานเก็บรวบรวมไว้ในหอ ศาสตราคม จดหมายเหตุลักษณะนี้มีความคล้ายคลึงกับพระราชพงศาวดาร แต่ มีข้อแตกต่างที่สำคัญ คือ พระราชพงศาวดารเป็นเรื่องราวที่รวบรวมขึ้นภายหลัง ที่เหตุการณ์ผ่านไปแล้วเป็นเวลานาน เน้นเนื้อหาเกี่ยวกับองค์พระมหากษัตริย์ เท่านั้น ส่วนจดหมายเหตุของหลวงเป็นบันทึกเหตุการณ์ร่วมสมัยเพียง เหตุการณ์เดียว เพื่อให้ความรู้และแนวปฎิบัติต่อไป ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ก็ได้ 13 วีณา เอี่ยมประไพ, หลักฐานทางประวัติศาสตร์, 55. 14 เรื่องเดียวกัน, 55-57.
99 มีการจดบันทึกเหตุการณ์ การพระราชพิธี ซึ่งได้จัดขึ้นโดยสอบสวนจากผู้รู้ครั้ง กรุงเก่าแล้วจดบันทึกไว้เป็นจดหมายเหตุเพื่อใช้เป็นตำราในการจัดการครั้งต่อไป เช่น จดหมายเหตุพระราชพิธีโสกันต์เจ้านาย จดหมายเหตุสมโภชช้างเผือก เป็นต้น จดหมายเหตุโหร เป็นบันทึกเหตุการณ์แต่เฉพาะที่โหรเห็นว่าสำคัญ โดยเรียงตามลำดับ วัน เวลาและฤกษ์ยาม ต่อมาได้มีผู้บันทึกดังกล่าวหลายๆ ปี เข้าด้วยกันเรียกว่า ปูม เช่น จดหมายเหตุโหรในปูม แม้ว่าหลักฐานประเภทนี้จะ ไม่ให้รายละเอียดของเหตุการณ์ต่างๆ แต่มีความถูกต้องในเรื่องวันเวลาที่เกิด เหตุการณ์ขึ้น จดหมายเหตุชาวต่างชาติเป็นบันทึกเรื่องราวเกี่ยวประเทศของ ชาวต่างชาติที่เข้ามาติดต่อกับไทยในสมัยต่างๆ นับตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา เป็นต้น มา ให้ความรู้ในแง่มุมต่างๆ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ประโยชน์จากลักษณะ งานเขียนประเภทนี้ ช่วยเสริมหลักฐานข้อมูลที่ไม่ได้จดบันทึกเนื่องจากเห็นว่า เป็นเรื่องสามัญชนคนธรรมดา นอกจากนี้ยังมีคุณค่าในการตรวจสอบกับ หลักฐานประเภทอื่น ซึ่งหลักฐานจดหมายเหตุชาวต่างชาติมีประโยชน์อย่างมาก ต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เพราะทำให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวสภาพ พื้นที่ ลักษณะภูมิศาสตร์ แผนที่ ชื่อบ้านนามเมือง รวมทั้งเรื่องราวของชุมชน วิถีชีวิตผู้คน ตลอดจนมุมมองของผู้บันทึกที่มีต่อสังคมไทยในแง่มุมต่างๆ ดังตัวอย่างในงานศึกษาของเพชรรุ่ง เทียนปิ๋วโรจน์ ได้สะท้อนถึง ความสำคัญของหลักฐานประเภทจดหมายเหตุการเดินทางที่สำคัญเรื่องหนึ่ง คือ จดหมายเหตุเจมส์ โลว์ (Journal of Public Mission to Raja of Ligor) บันทึก โดยร้อยโทเจมส์ โลว์ เจ้าหน้าที่บริษัทอินเดียวตะวันออกของอังกฤษประจำปีนัง
100 บันทึกเรื่องราวการเดินทางจากปีนังไปนครศรีธรรมราช ระหว่างวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1824 / พ.ศ. 2367 ถึงวันที่ 10 สิงหาคม ค.ศ. 1824 / พ.ศ. 2367 ซึ่งตรงกับรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และเป็นช่วงหัวเลี้ยว หัวต่อทางความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับอังกฤษ 15 ในช่วงเวลานั้น เจมส์ โลว์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าหน้าที่ที่ปีนัง ซึ่งตรง กับช่วงเวลาที่อินเดียตะวันออกของอังกฤษต้องการฟื้นฟูการค้าในเอเชียโดย สนใจดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะเส้นทางการค้าระหว่างอินเดียกับ จีน และจุดยุทธศาสตร์การป้องกันรักษาอินเดียของอังกฤษ อังกฤษได้เข้ามาเช่า เกาะหมากจากพระยาไทรบุรีตั้งแต่ ค.ศ. 1786 / พ.ศ. 2329 จึงทำให้อังกฤษ เข้ามาเกี่ยวข้องกับปัญหาความขัดแย้งระหว่างสยามกับหัวเมืองมลายู เจมส์ โลว์ เป็นเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่มีบทบาทในการขยายอิทธิพลของอังกฤษในคาบสมุทร มลายู เนื่องจากความรอบรู้เกี่ยวกับสยามและหัวเมืองมลายู เขาจึงได้รับการ แต่งตั้งจากข้าหลวงแห่งเกาะปีนังให้เป็นทูตไปยังเมืองนครศรีธรรมราช เพื่อชี้แจงสถานการณ์สงครามระหว่างอังกฤษกับพม่าที่กำลังดำเนินการอยู่ ใน ค.ศ. 1824 เรื่องการว่าจ้างเรือและซื้อเสบียงอาหารจากหัวเมืองปักษ์ใต้ของ สยาม รวมทั้งเรื่องปีนังและไทรบุรี ใน ค.ศ. 1821 / พ.ศ. 2364 การที่ สุลต่านอะหมัด เจ้าเมืองไทรบุรีเดิม ลี้ภัยไปอยู่ที่ปีนัง ทำให้เป็นปัญหาเรื้อรัง ระหว่างสยาม อังกฤษและไทรบุรี ในขณะนั้นด้วย จดหมายเหตุหรือบันทึก รายวันนี้เป็นผลมาจากภารกิจในการเดินทางมานครศรีธรรรมราช เขียนขึ้น 15 เพชรรุ่ง เทียนปิ๋วโรจน์, “จดหมายเหตุเจมส์ โลว์ ในฐานะหลักฐาน ชั้นต้นในการศึกษาประวัติศาสตร์หัวเมืองปักษ์ใต้” ใน 100 เอกสารสำคัญ: สรรพ สาระประวัติศาสตร์ไทย, (กรุงเทพฯ: ศักดิโสภาการพิมพ์, 2555).
101 รายงานต่อผู้ว่าราชการที่เกาะปีนังจึงถือได้ว่าเป็นเอกสารสำคัญในการศึกษา จุดเริ่มต้นของการขยายอิทธิพลของอังกฤษในคาบสมุทรมลายู จดหมายเหตุฉบับนี้ยังให้มุมมองที่มีต่อระบบข้าราชการสยาม รวมถึง การวิพากษ์วิจารณ์การเมืองของสยามไว้ว่า โดยทั่วไปแล้วข้าราชการส่วนใหญ่ ฉลาดแกมโกงและไม่ซื่อ ผู้ปกครองที่ยุติธรรมมีน้อยมาก ผู้ใต้ปกครองไม่หวังที่ จะได้รับความยุติธรรมจากผู้ปกครองและต้องทนกับการกดขี่ข่มเหง ดังข้อความ ในจดหมายเหตุที่ว่า “สภาพการที่มณฑลต่างๆ ของสยามหลายมณฑลไม่อาจติดต่อถึงกัน ได้และถูกตัดขาดจากกันและกันนั้น เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความลำบากแก่รัฐบาลใน การจะได้รับความช่วยเหลือจากบรรดาภูมิภาคเหล่านี้ ในเวลาที่เกิดเรื่องฉุกเฉิน ปัจจุบันทันด่วน พลเมืองของสยามซึ่งมีจิตใจเข้มแข็งและละเอียดจนแก้แต่ สมบูรณญาสิทธิราชย์อันกดขี่ก็เกือบจะทำให้เชื่องได้ยากนั้น รู้สึกว่ามีความ สมัครใจเพียงเล็กน้อย ที่จะต่อสู้เพื่อเจ้านายที่ไม่รู้จักขอบคุณและไม่จ่ายเงิน..” และยังได้วิเคราะห์ข้อความที่ปรากฏในเอกสารบันทึกฉบับนี้ว่า เจมส์ โลว์ มี ทัศนคติต่อชาวสยามในแง่ลบ และมองว่าชาวสยามมีความรู้น้อย โง่งม ล้าหลัง แต่กลับคิดว่าตนเองมีความยิ่งใหญ่ เหตุที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากความไม่รู้เป็น สาเหตุสำคัญที่ทำให้ชาวสยามเย่อหยิ่ง 16 นอกจากนี้แล้วสาระสำคัญที่ปรากฏในเอกสารจดหมายเหตุการ เดินทางของเจมส์ โลว์ ยังช่วยให้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาติของหัวเมืองปักษ์ใต้ และหัวเมืองมลายู รวมทั้งสภาพ บ้านเมือง เศรษฐกิจการค้าของแต่ละหัวเมืองในช่วงเวลานั้นได้เป็นอย่างดี 16 วีณา เอี่ยมประไพ, หลักฐานทางประวัติศาสตร์, 133-134.
102 ดังเช่น กรณีเมืองถลางหรือจังซีลอน (Junk Ceylon) มีสภาพเป็นเกาะที่มีดิน อุดมสมบูรณ์ ตั้งอยู่ในเขตอิทธิพลของลมมรสุม จึงทำให้ปลูกเครื่องเทศและ พริกไทยได้เป็นอย่างดี รวมทั้งพืชผักผลไม้เมืองร้อน หรือ การบรรยายถึงสภาพ ภูมิประเทศของพังงาว่ามีลักษณะแปลกไม่เหมือนที่อื่นและงามเหมือนภาพวาด และกล่าวด้วยว่า “เมืองนี้มีผู้คนอยู่ไม่เกิน 10 หลังคาเรือน ประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ ในกระท่อมซึ่งปลูกติดต่อกัน ประมาณ 30 หลังคาเรือน และเป็นชาวจีนที่เข้ามา ตั้งรกราก บ้านเรือนกว้างใหญ่สะดวกสบายและสร้างอย่างเป็นระเบียบ...พังงา ในเวลานั้นมีประชากรประมาณ 6,000-7,000 คน ไม่รวมพวกคนมลายู ชาวจีน อาศัยอยู่ที่นี่ประมาณ 600 คน 2 ใน 3 เป็นชาวมาเก๊าอพยพและ มีชาวมลายูหลายร้อยคนกระจัดกระจายอยู่ตามอ่าว ประชากรส่วนใหญ่ของ พังงารับจ้างเป็นแรงงานเหมืองดีบุกประมาณครึ่งปี แล้วมาเก็บเกี่ยวข้าวใน ระหว่างเวลาที่เหลือ เจมส์ โลว์ เล่าว่า เจ้าเมืองพังงาส่งคนไทยไปทำงานที่ เหมือง ส่วนแร่ที่ขุดได้นำไปขายแก่ผู้รับเหมาชาวจีน ผลกำไรตกอยู่แก่ เจ้าเหมือง โดยที่นายเหมืองชาวจีนไม่ต้องเสียภาษีอะไร และมักพอใจที่จะได้รับ ประโยชน์จากสิทธิพิเศษภายใต้รัฐบาลสยาม” 17 ปัญหาสำคัญของการใช้เอกสารหลักฐานจดหมายเหตุ คือข้อมูลอาจ คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ซึ่งมีสาเหตุหลายประการ เช่น ความเข้าใจผิด ซึ่งมักพบในจดหมายเหตุชาวต่างชาติที่ผู้บันทึกเข้ามาพำนักอยู่ในประเทศไทย ระยะหนึ่งจึงไม่อาจเข้าใจเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่พบเห็นอย่างถ่องแท้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านวัฒนธรรมที่มีความแตกต่างกัน ย่อมมีส่วนสำคัญที่ทำให้ 17 วีณา เอี่ยมประไพ, หลักฐานทางประวัติศาสตร์, 135-137.
103 มองปัญหาต่างกัน หรือการมีวัตถุประสงค์ของการบันทึกจดหมายเหตุ ซึ่งอาจ แทรกทัศนคติ เนื้อหาที่มีอารมณ์ความรู้สึกหรือก่อให้เกิดทัศนคติในแง่ลบต่อ เหตุการณ์ที่พบเห็นจนอาจเกิดความเข้าใจผิดจากความเป็นจริง (5) เอกสารราชการหรือเอกสารปกครอง หมายถึง เอกสาร การติดต่อในหน่วยราชการต่างๆ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ส่วนใหญ่ของ เอกสารการปกครองในประวัติศาสตร์ไทยได้สูญหายไปหมดแล้ว ทั้งนี้อาจเป็น เพราะเหตุสงครามจากการเสียกรุงศรีอยุธยา กอปรกับไทยไม่มีธรรมเนียมการ บันทึกและระบบการจัดเก็บเอกสารมาตั้งแต่สมัยโบราณ จนกระทั่งมีการตั้ง กระทรวงทบวงกรมขึ้นตามแบบใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงได้เริ่มมีการรวบรวม เอกสารการราชการเท่าที่หาตามหน่วยงานราชการได้ และได้พัฒนาการเก็บ เอกสารราชการอย่างมีระบบสืบต่อกันมา โดยในปัจจุบันได้เก็บรักษาเอกสารไว้ ในรูปแบบดั้งเดิมก่อนที่จะมีเทคโนโลยีการพิมพ์ ซึ่งเป็นการจารหรือเขียนลงบน วัสดุต่างๆ เช่น ใบลาน กระดาษจุ้ม กระดาษสา เก็บรักษาที่แผนกตัวเขียนและ จารึก หอสมุดแห่งชาติ ส่วนเอกสารสมัยหลังที่มีการเขียน พิมพ์ดีดลงบนกระดาษฝรั่งเป็น เอกสาร เก็บรักษาที่กองจดหมายเหตุแห่งชาติ โดยจะแยกเอกสารตาม หน่วยงาน กระทรวง ภายในกระทรวงจะแยกตามหน่วยงานย่อยหรือหัวเรื่อง สำคัญ เอกสารดังกล่าวมีวิธีการจัดเก็บเป็นลำดับขั้นตอน คือ เอกสารที่จัดเก็บ ต้องมีอายุเกิน 5 ปี โดยมีการใช้งานในหน่วยงานแล้วจึงนำมาเก็บรักษาใน หอจดหมายเหตุ พร้อมจัดลำดับความสำคัญของเอกสารในการเผยแพร่
104 เอกสารราชการ มีหลากหลายลักษณะตามวัตถุประสงค์ของการ สื่อสาร ตัวอย่างเช่น หนังสือตราตั้ง ใบบอก ประกาศ รายงานการตรวจราชการ และรายงานเสด็จประพาสหัวเมือง ซึ่งถูกบันทึกโดยหน่วยราชการต่างๆ เช่น กรมราชเลขาธิการ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตราธิการ เอกสารราชการ เหล่านี้ปรากฏอยู่ในห้องวชิรญาณ หอสมุดแห่งชาติ และกองจดหมายเหตุ แห่งชาติ เอกสารการปกครองประเภต่างๆ มีเนื้อหาที่แตกต่างกัน ประกอบด้วย18 ก. ใบบอก หมายถึง หนังสือรายงานของข้าราชการส่วนภูมิภาคหรือ จากหัวเมืองต่างๆ เป็นลักษณะการรายงานการตรวจราชการส่งกลับไปยัง รัฐบาลกลาง เพื่อกราบทูลเรื่องการปฎิบัติราชการในหัวเมืองต่อพระมหากษัตริย์ หรือเสนาบดีประจำกระทรวง นับตั้งแต่เรื่องปกติในการปกครอง เช่น เรื่องการ ส่งส่วย การทำนา ปริมาณน้ำฝน การปราบปรามโจรผู้ร้าย คดีความต่างๆ ฯลฯ หรือเรื่องใหญ่ๆ เช่น การรบการทัพ นโยบายความมั่งคงระหว่างประเทศ เหตุการณ์ปฏิกิริยาของผู้นำท้องถิ่นหรือราษฎรที่ต่อต้านรัฐบาล เป็นต้น ข. สารตราศุภอักษร สารตรา คือหนังสือจากเสนาบดีที่มีไปถึง เจ้าเมือง กรมการเมืองในราชการต่างๆ ส่วน ศุภอักษร คือ หนังสือของเสนาบดี ที่มีไปยังเจ้าประเทศราช หรือ จากเจ้าประเทศราชมีมายังเสนาบดี มีเนื้อหาสั่ง การในเรื่องต่างๆ เช่น การพระราชทานสัญญาบัตร แต่งตั้ง เลื่อน ถอด ยศ 18 นิธิ เอียวศรีวงศ์ และ อาคม พัฒิยะ, หลักฐานประวัติศาสตร์ในประเทศ ไทย, 72-75.
105 ศักดินา เจ้าเมือง ข้าราชการสัญญาบัตรและเจ้าภาษีนายอากรให้จัดเก็บภาษี ส่วยสิ่งของ เงิน หรือการเกณฑ์แรงงาน เป็นต้น ค. หนังสือตอบโต้ราชการ หมายถึง หนังสือราชการภายหลัง การปฎิรูป พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นการติดต่อระหว่างเสนาบดีกระทรวงหรือหัวหน้า กรมกองต่างๆ รวมทั้งหนังสือกราบทูลเพื่อขอพระราชวินิจฉัย สั่งการ หรือขอ พระบรมราโชบายจากพระมหากษัตริย์ ง. บัญชีทูลเกล้า เอกสารเหล่านี้มักอยู่ในรูปของสมุดดำ ที่เป็นรายงาน ของเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง ทำขึ้นเป็นบัญชีสรุปรายปีเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เพื่อ ทูลเกล้าถวายให้พระเจ้าแผ่นดิน บัญชีเหล่านี้มีอยู่หลายชนิด เช่น บัญชีปืนใหญ่ บัญชีเลิกไพร่กรมกองต่างๆ บัญชีภาษี บัญชีการใช้จ่าย บัญชีเกี่ยวกับการค้าขาย กับเมืองจีน หรือเมืองอื่นๆ ตลอดจนบัญชีหนังสือในหอหลวง เป็นต้น จ. รายงานการประชุม ได้แก่ การประชุมสมัยต่างๆ เช่น รายงานการ ประชุมเสนบดีสภาในตอนต้นรัชกาลที่ 5 รวมทั้งรายงานประชุมสภา ผู้แทนราษฎร และรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีภายหลังการเปลี่ยนแปง การปกครอง พ.ศ. 2475 ฉ. เอกสารการทูต คือ รายงานของทูตต่างประเทศประจำประเทศ ไทย เช่น เอกสารทูตอังกฤษ เอกสารทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ซึ่ง ได้รายงานเหตุการณ์ต่างๆ ในประเทศไทยกลับไปยังรัฐบาลของตน รายงาน เหล่านี้มีทั้งรูปแบบสำเนาและไมโครฟิล์ม
106 ภาพที่ 3.1 ตัวอย่าง เอกสารหนังสือราชการ จดหมายเหตุเมืองสมุทรสาคร ปี จ.ศ. 1227 (พ.ศ. 2408) ตัวอย่างหลักฐานประเภทนนี้ เช่น เอกสารประเภทหนังสือราชการ “จดหมายเหตุเมืองสมุทรสาคร” ปีจุลศักราช 1227 (พ.ศ. 2408)19 เป็นอักษร ตัวเขียนประเภทสมุดข่อย ตัวหนังสือขาวเขียนลงบนกระดาษสีดำ เรียกว่า “สมุดไทยดำ” เนื้อความสำคัญเกี่ยวกับการขออนุญาตจับจองที่ดินเพื่อการทำ นาเกลือ “นายรองขันมหาดเล็ก ขอจับจองที่ดินที่ป่า ตำบลบางหญ้าแพรก เมืองสมุทรสาคร” หลักฐานลายลักษณ์ชิ้นนี้เป็นเอกสารหนังสือตัวเขียน จาก เจ้าพระยารวิวงษมหาโกษาธิบดี มาถึง พระสมุทษาครานุรักษา เมื่อวันอังคาร แรม 5 ค่ำ เดือน 11 ปีฉลูสัปตศก (ปีที่15 ของรัชกาลที่ 4) มีใจความสำคัญสืบ 19 “นายรองขันมหาดเล็ก ขอจับจองที่ดินที่ป่า ตำบลบางหญ้าแพรก เมือง สมุทรสาคร”, สมุดไทยดำ, เส้นดินสอขาว, จมห.ร.4 จ.ศ.1227 เลขที่ 135, หอสมุด แห่งชาติ.
107 เนื่องจากมหาดเล็กนายรองขัน นำเรื่องเข้ากราบทูลพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้า จุฬาลงกรณ์ ขออนุญาตจับจองพื้นที่รกร้างว่างเปล่า ที่ยังไม่มีผู้ใดจับจองในเขต ตำบลบางหญ้าแพรก สมุทรสาคร เพื่อทำนาเกลือ ในการนี้จึงได้มีหนังสือจาก เจ้าพระยารวิวงษมหาโกษาธิบดี มาถึง พระสมุทรษาครานุรักษา (เจ้าเมือง สมุทรสาคร) อนุญาตให้นายรองขัน จับจองที่ดินรกร้างเพื่อทำนาเกลือได้ นอกจากเอกสารราชการที่มีเนื้อหาอันหลากหลายของเอกสารการ ปกครองประเภทต่างๆ แล้วยังมีความสำคัญต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ซึ่งทำให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นต่อประเด็นที่ เกี่ยวข้องกับการปกครอง เศรษฐกิจและสังคม หรือประเด็นการต่อรอง ต่อต้าน รัฐบาลกลางจากท้องถิ่น ดังเช่นในงานของชัยพงษ์ สำเนียง20 ศึกษา ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองแพร่เพื่อทำความเข้าใจพลวัตของเมืองในฐานะเมือง ขนาดเล็ก แต่สามารถดำเนินปรับตัวทั้งในด้านมิติความสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ ไปตามเงื่อนไขในแต่ละช่วงเวลา ดังกรณีเมืองแพร่หลังเกิดเหตุการณ์กบฏเงี้ยว ใน พ.ศ. 2445 รัชกาลที่ 5 ได้ทุ่มงบประมาณในการสร้างกองทัพสมัยใหม่ถึง 3.74 ล้านบาท21 อีกทั้งรัฐสยามมีความพยายามดึงอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางเพื่อ ควบคุมและจัดการ โดยมีนโยบายจัดการเมืองให้เรียบร้อยเพื่อให้หัวเมืองอื่น เห็นและยอมรับในอำนาจ ในเอกสารราชการ พระราชหัตเลขารัชกาลที่ 5 ถึง กรมหลวงดำรงราชานุภาพ ลงวันที่ 4 ธันวาคม (ร.ศ.122) พ.ศ. 2447 20 ชัยพงษ์ สำเนียง, ประวัติศาสตร์เมืองแพร่ รัฐจารีตสู่การสร้างอาณา นิคมภายในภายใต้วาทกรรม “รัฐชาติ”, พิษณุโลก: ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 2564. 21 เรื่องเดียวกัน, 112.
108 มีพระราชกระแสรับสั่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “..เมืองแพร่เป็นเมืองที่ไม่ใหญ่โตก็จริง แต่เป็นเมืองสำคัญ เพราะเป็นเมืองที่ใจคอผู้คนปรวนแปร เคยถูกเหตุที่หนักๆ มาเสียแล้ว ถ้าจะทำอะไรใหม่ คงคิดให้ดีกว่าที่เคยเสียที...ทั้งเมืองแพร่จะเป็น ตัวอย่างให้พวกลาวนิยมการปกครองของเรา..” 22 การใช้เอกสารราชการเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ควรมี ข้อระมัดระวัง เนื่องจากเป็นเอกสารที่รัฐเป็นฝ่ายผลิตเพื่อการสื่อสารทั้งภายใน องค์กรหน่วยงานและภายนอก ดังนั้นอาจมองไม่เห็นถึงข้อเท็จจริงของ เหตุการณ์หรือปัญหาด้านต่างๆ ด้านอื่น รวมทั้งยังมีข้อจำกัดด้านวัตถุประสงค์ ของเนื้อหาที่มีความเฉพาะ ตัวอย่างเช่น เหตุการณ์การจลาจลในหัวเมือง ย่อมถูกพิจารณาว่าเป็นกบฏต่อรัฐบาลกลางโดยละเลยสาเหตุอื่นๆ อย่างเช่น ความขัดแย้งในท้องถิ่น ซึ่งอาจเป็นสาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่ง นอกจากนั้น เอกสารการปกครองบางส่วนกระจัดกระจายตามสถานที่ราชการเนื่องจากว่า ระบบการจัดเก็บเอกสารของไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 ถูกรวบรวม และจัดเก็บไว้ ในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ หรือไม่ก็แผนกตัวหนังสือเขียน หอสมุดแแห่งชาติ โดยในช่วงหลัง พ.ศ. 2475 เอกสารบางส่วนมีการจัดเก็บที่หอจดหมายเหตุ แห่งชาติ เป็นต้นว่าเอกสารที่ส่งไปจากกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรี แต่เอกสาร การปกครองส่วนอื่นๆ ยังกระจัดกระจายตามกระทรวงทบวงกรมอื่นๆ อีกมาก เอกสารในแหล่งต่างๆ เหล่านี้บางส่วนถูกเปิดให้เข้าค้นคว้าได้ แต่ขณะเดียวกันก็ มีบางส่วนไม่น้อยที่เป็นความลับของทางราชการที่ไม่เปิดโอกาสให้ศึกษาค้นคว้า ได้ 22 ชัยพงษ์ สำเนียง, ประวัติศาสตร์เมืองแพร่ รัฐจารีตสู่การสร้างอาณา นิคมภายในภายใต้วาทกรรม “รัฐชาติ”, 122.
109 (6) บันทึกส่วนบุคคล หลักฐานประเภทนี้มีจุดมุ่งหมายถึงการบันทึก ส่วนตัวของบุคคล ซึ่งไม่เกี่ยวด้วยกับระบบราชการหรือหน่วยงานที่ผู้บันทึก สังกัด อันได้แก่ บันทึกความทรงจำ บันทึกส่วนตัวของผู้นำหรือบุคคลที่มี ความสำคัญในประวัติศาสตร์ เป็นการบันทึกเรื่องราวในอดีตที่ผู้บันทึกมีส่วน เกี่ยวข้องหรือมีประสบการณ์ร่วมด้วย ดังนั้นการใช้หลักฐานประเภทนี้ ต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะเรื่องอคติในการเขียนเรื่องราว ซึ่งอาจเป็นการยกย่อง เข้าตนเอง หรือตำหนิติเตียนผู้อื่นเกินจริง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันหลักฐานประเภทนี้ถือได้ว่ามีความน่าสนใจต่อ การศึกษาเรื่องราวประวัติศาสตร์ท้องถิ่น โดยส่วนใหญ่จะเป็นบันทึกในรูปแบบ ความทรงจำมากกว่าบันทึกรายวัน การบันทึกดังกล่าวจะมีลักษณะคล้าย จดหมายเหตุแต่แตกต่างตรงเนื้อหา เป็นการเล่าย้อนอดีตเพื่อระลึกความหลัง หรือเป็นหลักฐานเตือนความทรงจำต่อเหตุการณ์ที่ผู้บันทึกมีส่วนเกี่ยวข้องหรือ รับรู้23 กล่าวได้ว่าบันทึกความทรงจำเป็นหลักฐานที่มีประโยชน์ต่อการศึกษา ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เนื่องด้วยบันทึกความทรงจำส่วนบุคคล มีทั้งเรื่องราวของ บุคคลสำคัญที่มีความสำคัญทางการเมืองของชาติและระดับท้องถิ่น หรือเป็นผู้ที่ มีบทบาทต่อเหตุการณ์นั้น ตัวอย่างหลักฐานประเภทบันทึกความทรงจำ เช่น บันทึกความทรงจำ จากขุนสมุทรมณีรัตน์(2479) ผู้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาชุมชนท่าฉลอม ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5-7 ตามรายละเอียดจากรายงานการสำรวจศึกษาแหล่ง 23 วศิน ปัญญาวุธตระกูล, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น วิธีการศึกษาเชิงปฎิบัติ การแบบมีส่วนร่วม, (พิษณุโลก: ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 2562).
110 ศิลปกรรมเมืองสมุทรสาคร: ท่าฉลอม ท่าจีน24 กล่าวถึงแหล่งที่มาของเอกสาร ฉบับนี้ว่าได้สำเนาเอกสารชิ้นนี้ ในรูปแบบเป็นตัวพิมพ์ดีดค่อนข้างเลือนราง มี ต้นเรื่องหัวบรรทัดเขียนว่า “ประวัติสังเขปของขุนสมุทรมณีรัตน์ กำนันตำบลท่า ฉลอม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร” โดยให้บุตรสาวคนโต คือ นางสาวพอ พิศ มณีรัตน์ พิมพ์ดีดลงกระดาษฟุลสแก๊ป เมื่อ พ.ศ. 2479 จำนวน 11 แผ่น เอกสารถูกเรียบเรียงขึ้นโดยแบ่งหัวข้อหลักจำนวน 19 หัวข้อ ได้แก่ 1) ประวัติชีวิตวัยเด็ก บรรพบุรุษการบวชเรียน 2) การทํานุบํารุง ปฏิสังขรณ์ สร้างสาธารณูปโภควัดแหลมสุวรรณาราม 3) การทำนุบำรุง ปฏิสังขรณ์ สร้าง สาธารณูปโภควัดกลางอ่างแก้ว 4) การทำนุบำรุง ปฏิสังขรณ์ สร้าง สาธารณูปโภควัดบางหญ้าแพรก 5) การทํานุบํารุง ปฏิสังขรณ์ สร้าง สาธารณูปโภควัดใหญ่จอมปราสาท 6) การทำนุบำรุง ปฏิสังขรณ์ สร้าง สาธารณูปโภควัดช่องลม (วัดสุทธิวาตวราราม) 7) การทํานุบํารุง ปฏิสังขรณ์ สร้างสาธารณูปโภควัดเจษฎารามและที่อื่นๆ 8) การทำนุบำรุง ปฏิสังขรณ์ สร้าง สาธารณูปโภควัดตึกมหาชยาราม 9) การทำนุบำรุง ปฏิสังขรณ์ สร้าง สาธารณูปโภควัดกลาง ตำบลปากน้ำ อำเภอท่านา (นครชัยศรี) 10) บริจาคเงิน ช่วยซ่อมพระปฐมเจดีย์ถวายเป็นพระราชกุศลแก่รัชกาลที่ 6 11) ซ่อมถนนเข้า วัดบางสีคต ตำบลบางกระเจ้า อำเภอเมืองสมุทรสาคร 12) บำรุงและสร้าง 24 ประภัสสร์ ชูวิเชียร (บรรณาธิการ), รายงานการสำรวจศึกษาแหล่ง ศิลปกรรมเมืองสมุทรสาคร: ท่าฉลอม ท่าจีน มหาชัย ภายใต้โครงการศึกษาข้อมูล เชิงประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม ชุมชนท่าฉลอมและ ริมฝั่งมหาชัย จังหวัด สมุทรสาคร, คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ร่วมกับ บริษัทสมุทรสาครพัฒนา เมือง (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด, 2561.
111 โรงเรียนวัดคอกควาย อำเภอเมืองสมุทรสาคร 13) การรับเสด็จรัชกาลที่ 5 และ ทำนุบำรุงสุขาภิบาลท่าฉลอม เช่น ซ่อมสร้างถนน สะพาน 14) ซ่อมถนนและ สะพานในตำบลโกรกกราก 15) สร้างศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร สร้าง สนามบินและกิจการเกี่ยวกับจังหวัดสมุทรสาคร 16) การดูแลทุกข์สุข ประชาชน 17) การดูแลคดีความการทะเลาะ อาชญากรรม การตั้งโรงเรียน 18) การทำกิจการนาเกลือ ค้าขายเกลือ ตั้งห้างร้านที่กรุงเทพฯ 19) เกียรติ ประวัติ กุลบุตร กุลธิดา ปัญหาการทำประมงและจบท้ายที่บอกอายุของท่าน ขณะนั้น25 เอกสารชิ้นนี้มีคุณค่าต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เนื่องจากมี เรื่องราว เหตุการณ์ บุคคลที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของสมุทรสาคร ในช่วง ราวสมัยรัชกาลที่ 5-7 อยู่เป็นจำนวนมาก ตลอดจนบทบาทสำคัญของขุนสมุทร มณีรัตน์ ผู้มีส่วนสำคัญให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจและสังคมใน ท้องถิ่นบ้านท่าจีน ท่าฉลอม และพื้นที่อื่นๆ (7) หนังสืออนุสรณ์งานศพ หลักฐานประเภทหนังสืออนุสรณ์งานศพ นอกจากจะทำให้เรารู้จักประวัติชีวิตของผู้วายชนม์แล้วยังสามารถทำความ เข้าใจบริบททางสังคม สภาพความเปลี่ยนแปลง หรือเหตุการณ์สำคัญที่ เกี่ยวเนื่องในช่วงเวลานั้น รวมทั้งความรู้สึกนึกคิดของคนอื่นที่มีต่อผู้วายชนม์อีก ด้วย 25 ประภัสสร์ ชูวิเชียร (บรรณาธิการ), รายงานการสำรวจศึกษาแหล่ง ศิลปกรรมเมืองสมุทรสาคร: ท่าฉลอม ท่าจีน มหาชัย ภายใต้โครงการศึกษาข้อมูล เชิงประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม ชุมชนท่าฉลอมและ ริมฝั่งมหาชัย จังหวัด สมุทรสาคร.
112 ประเพณีการแจกหนังสือในงานศพ เกิดขึ้นมาและแพร่หลายเมื่อ เทคโนโลยีการพิมพ์เริ่มแพร่หลายเข้ามาสู่ชนชั้นนำของสังคมไทย ต่อมาในสมัย รัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงให้มีการจัดตั้งโรง พิมพ์หลวงในพระบรมมหาราชวังเพื่อดำเนินการจัดพิมพ์งานของ พระบรมมหาราชวัง ในส่วนของการแจกหนังสือเป็นของที่ระลึกในงานพิธีศพ เริ่มขึ้นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2423 ในงานพระเมรุการพระศพสมเด็จพระนางเจ้า สุนันทากุมารรีรัตน์ พระบรมราชเทวี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ากรรณา ภรณ์เพชรรัตน์ โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้จัดพิมพ์ หนังสือสวดมนต์ ฉบับภาษาไทย จำนวน 10,000 เล่ม 26 จากนั้นการพิมพ์ หนังสืออนุสรณ์งานศพได้แพร่หลายจากชนชั้นนำขยายสู่กลุ่มพ่อค้าและสามัญ ชนทั่วไป หลักฐานประเภทนี้มีคุณค่าในการบันทึกความทรงจำ เรื่องราวของผู้ วายชนม์ ให้เป็นที่รับรู้และจดจำของสังคม ดังนั้นเนื้อหาที่ปรากฏมักสะท้อนให้ เห็นถึงคุณความดีงามของผู้ที่ล่วงลับในส่วนของคำไว้อาลัยและประวัติผู้ตายที่มี ผู้เขียนถึง ภายใต้ความสัมพันธ์ในฐานะญาติ เพื่อน หรือผู้ใกล้ชิด ดังนั้นการใช้ ข้อมูลเนื้อหาในเอกสารชนิดนี้ ผู้ศึกษาจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง และเทียบเคียงกับเอกสารหลักฐานอื่นๆ 26 อ่านเพิ่มเติมใน อนรรฆ พิทักษ์ธานิน, “หนังสืออนุสรณ์งานศพ พื้นที่แห่ง ความทรงจำ (ที่ถูกเลือก)”,วารสารดำรงวิชาการ ปีที่6 ฉบับที่ 1 (มกราคมมิถุนายน), 2550, 134-158.
113 (8) หนังสือพิมพ์ วารสารท้องถิ่น หลักฐานประเภทนี้ถือว่าเป็น เอกสารร่วมสมัยที่สำคัญอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งอาจใช้ศึกษาเรื่องราวต่างๆ ได้อย่าง กว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการเมืองเศรษฐกิจ และสังคม เนื้อหาของสิ่งพิมพ์ประเภทนี้ที่ตีพิมพ์ในปัจจุบันมีทั้งรูปแบบข่าวสาร บทความวิชาการ บทวิเคราะห์วิจารณ์ การโฆษณาสินค้า ดังนั้นการใช้เป็น หลักฐานทางประวัติศาสตร์จึงไม่ได้จำกัดเฉพาะในด้านประวัติศาสตร์การเมือง เพียงอย่างเดียว หากแต่ยังให้เนื้อหาสาระที่หลากหลายซึ่งเอื้อต่อการศึกษา ประวัติศาสตร์ร่วมสมัย รวมทั้งยังมีคุณค่าในการสะท้อนถึงความรู้สึกนึกคิด ความสนใจของประชาชนในแต่ละยุคสมัยได้เป็นอย่างดี ในส่วนของหนังสือพิมพ์ ท้องถิ่นที่เริ่มขึ้นในทศวรรษ 2470 นั้น นอกจากจะรายงานข่าวแล้ว จะให้ข้อมูล ในรายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางสังคมในท้องถิ่นอย่างชัดเจน อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภัยธรรมชาติ ข่าวโจรผู้ร้าย โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ตลอดจนการโฆษณาสินค้าที่ทำให้เรามองเห็นถึงสภาพการณ์และ ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมท้องถิ่น27 27 ยงยุทธ ชูแว่น, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นไทย, (กรุงเทพฯ: ยิปซี กรุ๊ป, 2562), 338.
114 ภาพที่3.2 วารสารเสียงรามัญ ภาพที่ 3.3 หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น จ. ลำปาง (9) วรรณกรรมประเภทต่างๆ เป็นหลักฐานชนิดหนึ่งที่มีอยู่มากตาม ท้องถิ่น มีทั้งร้อยแก้ว ร้อยกรอง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบันทึกเรื่องราว ภูมิปัญญา บ้างก็มีความเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา วรรณกรรมคำสอน ตำรายา ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ในสังคม จึงย่อมมีความสัมพันธ์อันใกล้ชิด กับสังคมและสะท้อนภาพความเป็นอยู่ของผู้คนในแต่ละยุคสมัย อีกทั้งยัง สะท้อนให้เห็นถึงการสะสมความรู้และประสบการณ์ในชีวิตจริงของผู้ประพันธ์ หรือวรรณกรรมบางประเภทก็มีเป้าหมายการแต่งอย่างชัดเจน เช่น ลิลิต นิราศ หรือ ตำราพื้นบ้านภูมิปัญญาที่สืบทอดความรู้มาจากบรรพบุรุษ ในปัจจุบัน วรรณกรรมประเภทต่างๆ ได้รับความสนใจจากนักวิชาการมากขึ้น เอกสาร เหล่านี้ล้วนมีคุณค่าที่สะท้อนให้เห็นความเชื่อ โลกทัศน์และความคิดของผู้คนใน ท้องถิ่น
115 ตัวอย่างเช่น นิราศพระแท่นดงรัง (2392) 28 แต่งโดยสามเณรกลั่น หมื่นพรหมสมพัตสร (เสมียนมี) เมื่อคราวติดตามสุนทรภู่ เดินทางไปนมัสการ พระแท่นดงรัง จังหวัดกาญจนบุรี โดยเดินทางจากกรุงเทพฯ ผ่านท้องถิ่นต่างๆ เนื้อหาของนิราศนี้สะท้อนภูมินามและชื่อเรียก ที่สัมพันธ์กับลักษณะการตั้งถิ่น ฐานของชุมชน สภาพสังคม เศรษฐกิจเมื่อต้นกรุงรัตนโกสินทร์ รวมทั้งกล่าวถึง สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ อาชีพของคนในพื้นที่ ผู้คนที่มีความหลากหลาย ทางชาติพันธุ์ ได้แก่ มอญ จีน พม่า เป็นต้น ดังข้อความตอนหนึ่งว่า …แสมดำตำบลที่คนอยู่ ดูรุงรังฝั่งน้ำล้วนรำราม ถึงชะวากปากชลามหาชัย มีปีกป้องช่องปืนที่ยืนรบ ถึงท่าจีนถิ่นฐานโรงร้านมาก ไม่น่าดูสู้เบือนทำเชือนแช ตะบูนต้นผลลูกดังผูกห้อย ถึงนาขวางข้างซ้ายนายภาษี เรียกภาษีที่เรือเกลือทั้งปวง แต่จีนเถ้าเจ้าภาษีมีเมียสาว ถึงเขตแขวงแหล่งหลักสุนัขหอน ทั้งพ่วงแพแซ่ซ้อนเจ๊กมอญไทย สังเกตดูฟืนตองเขากองหลาม ถึงโคกขามบ้านขอมล้วนลอมฟืน… เห็นป้อมใหญ่อยู่ข้างขวาสง่างาม ที่หลีกหลบแล่นลากลงขวากหนาม… ที่เขาตากไว้ล้วนแต่อวนแห ชมแสมไม้ปะโลงเหล่าโกงกาง ระย้าย้อยหยิบสนัดไม่ขัดขวาง… ตั้งอยู่ที่ปากคลองเก็บของหลวง บ้างทักท้วงเถียงกันสนั่นดัง ไว้เล็บยาวเหมือนอย่างครุฑนั่งจุดหลัง… เรือสลอนลอยรอถือถ่อไสว บ้างมาไปปะกันเสียงครั่นครื้น 28 ศิลปากร,กรม, นิราศพระแท่นดงรัง ของสามเณรกลั่น (ฉบับชำระใหม่) (ม.ป.ท, 2506).
116 บ้างโดนดุนรุนรับดูกลับกลอก หลีกเรือฝางขวางเรือเกลือติดเรือฟืน บ้างเข้าออกอึดอัดต่างขัดขืน โกรธคนอื่นอื้ออึงขึ้นมึงกู… จากเนื้อหาที่ปรากฏข้างต้น นอกจากจะกล่าวถึงเส้นทางคมนาคม เริ่มต้นการเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปพระแท่นดงรัง ท่ามะกา เมืองกาญจนบุรี แล้ว เนื้อหาในนิราศยังบรรยายถึงผู้คนหลายกลุ่มชาติพันธุ์ ทั้งคนไทย จีน มอญ เขมร ตามเส้นทางที่ผู้ประพันธ์เดินทางและเห็นถึงสภาพบรรยากาศบ้านเรือน เรือนแพ วิถีชีวิต พ่อค้านานาชนิดต่างใช้สัญจรในคลองเหล่านี้ ความแออัด คับคั่งของผู้คน รวมทั้งสินค้าที่ผลิตจากท้องถิ่น เช่น เกลือ หมากพลู กุ้งปู กะปิ ไม้ฟืน ถ่าน เป็นต้น การใช้หลักฐานประเภทวรรณกรรมในการอธิบายสภาพความ เปลี่ยนแปลงของวิธีคิดและสภาพสังคมไทย ปรากฏให้เห็นดังตัวอย่างงานศึกษา ของวีรยุทธ ศรีสุวรรณกิจ ที่ศึกษาเรื่องการพักผ่อนหย่อนใจแบบตะวันตกที่ เจริญเข้ามาในสยามช่วงปลายรัชกาลที่ 5 จนถึงรัชกาลที่ 7 โดยอธิบายการ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสยามภายใต้การนำของบรรดาชนชั้นนำนั้นเป็น ส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงสังคมโดยรวม ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิต การจัด เวลาการทำงาน การพักผ่อน การใช้เวลาว่างและกลายเป็นที่รู้จักของสังคมอีก ทั้งยังขยายตัวไปยังต่างจังหวัด29 ดังปรากฏในเนื้อหางานประพันธ์ของ 29 วีรยุทธ ศรีสุวรรณกิจ, “การพักผ่อนหย่อนใจแบบตะวันตกของชนชั้นนำ สยาม พ.ศ. 2445-2475” ในวารสารสมาคมประวัติศาสตร์ฉบับที่ 30, 2551, 168- 169.
117 ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เรื่องสี่แผ่นดิน ที่กล่าวถึงการแบ่งเวลาทำงานที่ชัดเจน ของข้าราชการเพื่อทำกิจกรรมตามเวลาที่กำหนดไว้อย่างแน่นอน ไว้ว่า “....ตื่น 11 ก.ท.(ก่อนเที่ยง) กินข้าวแล้วไปออฟฟิต เพราะมีงานมาก กลับ 3 ล.ท.(หลังเที่ยง) ไปถึงบ้านแต่งตัวไปเล่นเทนนิส หรือ บิลเลียด หรือตีผี สางแล้วแต่ถนัด กลับจากเล่นเทนนิส กินข้าว แล้วนั่งรถยนต์ไปหย่อนใจตามที่ เช่า หรือ ตามโรงภาพยนตร์ หรือตีผี (โสเภณี) จน 1 หรือ 2 ก.ท. แล้วกลับบ้าน นอน..” อย่างไรก็ดีการใช้หลักฐานประเภทงานวรรณกรรม ควรมีข้อพึงระวังที่ สำคัญ คือ การแยกข้อเท็จจริงออกจากอารมณ์ ความรู้สึกรวมทั้งจินตนาการ ของผู้ประพันธ์ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการตรวจสอบข้อมูล สาระสำคัญ กับหลักฐานประเภทอื่นด้วย (10) งานนิพนธ์ทางประวัติศาสตร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิทยานิพนธ์ และงานวิจัยที่มีการใช้หลักฐานประเภทต่างๆ อย่างกว้างขวาง และใช้ระเบียบ วิธีทางประวัติศาสตร์ในการวิเคราะห์วิจารณ์หลักฐาน ส่วนงานวิจัย บทความ และงานนิพนธ์ประวัติศาสตร์อื่นๆ เป็นการสร้างสรรค์ผลงานของนักวิชาการ และผู้ที่สนใจศึกษาประวัติศาสตร์ ทั้งที่เป็นนักประวัติศาสตร์และนักวิชาการ สาขาอื่นที่มีความสนใจในวิชาประวัติศาสตร์ เช่น นักมานุษยวิทยา นักเศรษฐศาสตร์ นักรัฐศาสตร์ เป็นต้น มีคุณค่ายิ่งต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ ทั้งในด้านการให้ความรู้พื้นฐานเบื้องต้น เพื่อการกำหนดขอบเขตของหัวข้อเรื่อง ก่อนที่จะเริ่มค้นคว้ารวบรวมหลักฐาน ประโยชน์เรื่องแนวคิดทฤษฎีต่างๆ ที่สามารถนำไปเป็นเครื่องมือศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น หรือนำไปสู่การศึกษา หลักฐานอื่นๆ ต่อไป
118 3.1.2 หลักฐานที่ไม่ใช่ลายลักษณ์อักษร การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในบางพื้นที่อาจขาดแคลนเอกสารที่ เป็นลายลักษณ์อักษร หรืออาจมีเพียงแต่เอกสารราชการหรือเอกสารการ ปกครอง ซึ่งส่วนใหญ่จะให้มุมมองท้องถิ่นจากส่วนกลาง จึงอาจส่งผลให้ขาด หลักฐานที่ช่วยให้ภาพของประวัติศาสตร์ท้องถิ่นมีความชัดเจน หลักฐานที่ไม่ใช่ ลายลักษณ์อักษรจึงเป็นหลักฐานสำคัญที่ช่วยให้เข้าใจถึงกิจกรรมหรือพฤติกรรม ของมนุษย์ในอดีต อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นหรือแสดงออกในทาง ปฏิบัติซึ่งบ่งบอกถึงแนวคิด ศรัทธา ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี รวมถึง สิ่งประดิษฐ์ สิ่งก่อสร้าง วัตถุต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งเป็นหลักฐานที่ช่วย ส่งเสริมให้ภาพในอดีตมีความชัดเจนมากขึ้น ดังนั้นผู้ศึกษาจำเป็นต้องใช้ หลักฐานเหล่านี้เพื่อการค้นคว้าอ้างอิง รวมทั้งต้องอาศัยการตีความจาก ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านอีกด้วย หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร แบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ดังนี้30 (1) หลักฐานทางโบราณคดีหมายถึง สิ่งของที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นไว้ใน อดีตและยังคงเหลือร่องรอยมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งผลงานทางด้านศิลปะหรือ เครื่องใช้สอยต่างๆ โดยมุ่งทำความเข้าใจเรื่องราวของชุมชนที่เป็นเจ้าของวัตถุ เหล่านั้น ด้วยการแปลความหมายและสร้างเรื่องราวที่เป็นประวัติศาสตร์ เห็นได้ ว่าหลักฐานทางโบราณคดีมีคุณค่าต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ในแง่ต่างๆ ไม่เฉพาะเรื่องราวในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ยังไม่มีลายลักษณ์อักษรเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมการศึกษาหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น การใช้หลักฐานทางโบราณคดีอธิบายเรื่องการตั้งถิ่นฐานของชุมชน 30 วีณา เอี่ยมประไพ, หลักฐานทางประวัติศาสตร์, 55.
119 ที่ได้จากการสำรวจแหล่งชุมชนโบราณด้วยการหาร่องรอยคันดินคูน้ำ หรือจากการตีความ วิเคราะห์สิ่งก่อสร้าง ชิ้นส่วนโบราณวัตถุที่พบในบริเวณ ศึกษา เช่น โครงกระดูกของคนและสัตว์ เครื่องมือเครื่องใช้ องค์ความรู้ที่ได้ จากการศึกษาด้านโบราณคดีหรือแหล่งโบราณคดีที่มีการขุดค้นในประเทศไทย ทำให้การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นสามารถเชื่อมโยงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับ การตั้งถิ่นฐาน การเคลื่อนย้ายของผู้คน เทคโนโลยีของมนุษย์ในมิติต่างๆ ทั้ง ทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ตัวอย่างเช่น แหล่งที่ตั้งของชุมชนโบราณเมืองคูบัว อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรีพบร่องรอยของเนินดินที่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ ตั้งอยู่บนลุ่มน้ำ แม่กลองส่งผลให้เมืองคูบัวมีเส้นทางคมนาคมใช้ติดต่อกับชุมชนภายนอก ไม่ว่า จะเป็นด้านทิศเหนือที่มีร่องน้ำเก่าขนานกับแม่น้ำแม่กลอง ในเขตอำเภอบ้าน โป่ง ซึ่งเป็นแหล่งโบราณสถานเนื่องในวัฒนธรรมทวารวดีที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งขึ้น ไปจนถึงเมืองโบราณพงตึก ในเขตอำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี หรือด้าน ทิศใต้ที่ยังปรากฏแนวสันทรายที่เรียกกันว่า “ถนนท้าวอู่ทอง” เป็นเส้นทางไปสู่ เมืองเพชรบุรีและต่อไปยังพม่ารวมทั้งคาบสมุทรภาคใต้ได้ และด้านทิศ ตะวันออกมีร่องรอยแนวสันทรายใช้เป็นทางเดินไปสู่เมืองโบราณนครชัยศรีหรือ นครปฐมโบราณ แล้วใช้ลำน้ำท่าจีนเดินทางต่อไปยังเมืองโบราณอู่ทอง ในเขต อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี หรือชุมชนต่างๆ ทั้งในและนอกดินแดน ประเทศไทยปัจจุบันได้ รวมไปถึงด้านทิศตะวันตกที่สามารถใช้ลำห้วยชินสีห์ อ้อมไปยังลำน้ำอ้อม ลำน้ำแม่กลองและอ่าวไทยได้ หรือขึ้นไปตามลำน้ำ
120 แม่กลองผ่านพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีข้ามช่องเขาของเทือกเขาตะนาวศรีไปยัง พม่าและมหาสมุทรอินเดียต่อไปได้31 นอกจากหลักฐานทางโบราณคดีจะช่วยให้ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ ท้องถิ่นทำความเข้าใจต่อสภาพภูมิศาสตร์ที่ตั้ง การตั้งถิ่นฐาน ระบบนิเวศทาง วัฒนธรรม ความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างชุมชนท้องถิ่นแล้วยังช่วยให้ผู้ศึกษา เข้าใจพัฒนาการและปฏิสัมพันธ์ของผู้คนที่มีการติดต่อสัมพันธ์กัน โดยเฉพาะ การรับรู้แลกเปลี่ยนทางด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรมทั้งในภายในและภายนอก ภูมิภาค ตัวอย่างเช่น แหล่งโบราณคดีเขาสามแก้ว จังหวัดชุมพร สะท้อนให้เห็น ว่าพื้นที่มีความสำคัญในฐานะเมืองท่ายุคแรกเริ่ม ระหว่างมหาสมุทรอินเดียและ ทะเลจีนใต้ (The Maritime Silk Road) จากโบราณวัตถุที่พบ ได้แก่ ภาชนะ ดินเผา ลูกปัดสี หิน โลหะ กลองมโหระทึกและสันนิษฐานว่าชุมชนเมืองท่าที่ เขาสามแก้ว อาจจะมีพัฒนาการมาก่อนการเดินเรืออ้อมคาบสมุทรโดยใช้ เส้นทางผ่านหุบเขาและลำนำต่างๆ ในแถบคอคอดกระเป็นเส้นทางเชื่อม ระหว่างอ่าวเบงกอลกับทะเลจีนใต้ อีกทั้งชุมชนเขาสามแก้ว ยังมีปฏิสัมพันธ์กับ ชุมชนโบราณอื่นๆ อีกด้วย 31 สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 1 ราชบุรี, พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรีและจังหวัดราชบุรี, (กรุงเทพฯ: สมาพันธ์, 2544), 49-51.
121 ภาพที่ 3.4 กลุ่มโบราณวัตถุ ประเภทหินมีค่าและเครื่องประดับ ทำจากหินจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชุมพร ภาพที่ 3.5 กลองมโหระทึกสำริด จากแหล่งโบราณคดีเขาสามแก้ว จ.ชุมพร เห็นได้ว่าการใช้หลักฐานโบราณคดีในการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ช่วยเพิ่มเติมข้อมูลในพื้นที่ศึกษาให้มีความชัดเจน มากขึ้น โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการตั้งถิ่นฐาน พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ กิจกรรมทางสังคมด้านต่างๆ การปรับตัวให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทาง ธรรมชาติ วัฒนธรรรมความเชื่อ ภูมิปัญญาที่เป็นรากฐานสำคัญทาง ประวัติศาสตร์ (2) หลักฐานศิลปกรรม หลักฐานประเภทนี้ประกอบด้วย สถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม ฯลฯ งานด้านศิลปะสามารถนำมาใช้ ศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ในอดีตได้ เนื่องจากศิลปะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการ ดำรงชีวิตของมนุษย์ในด้านต่างๆ เช่น รูปแบบการสร้างบ้านเรือนให้เหมาะสม กับสภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ การประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้ใน
122 ชีวิตประจำวัน ตลอดจนสิ่งที่ผลิตขึ้นเพื่อประกอบพิธีกรรมต่างๆ ดังนั้นงานด้าน ศิลปะจึงมีส่วนสะท้อนค่านิยม อุดมการณ์ สิ่งแวดล้อมและชีวิตความเป็นอยู่ของ มนุษย์ในอดีต อีกทั้งยังช่วยเปิดเผยให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของสังคมต่างๆ ในอดีต โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมซึ่งมีต่อกัน เป็นการเติมข้อมูลที่ ขาดหายไปในหลักฐานประเภทอื่น ตัวอย่างเช่น วิหารแกลบวัดเขาเหลือ อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี มีลักษณะเป็นวิหารอุด ก่ออิฐถือปูนขนาดเล็ก หลังคาทรงจั่วฉาบปูนเรียบ ฐาน วิหารมีลักษณะอ่อนโค้งท้องสำเภาหรือหย่อนท้องช้างซึ่งเป็นคตินิยมของ สถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาตอนปลาย ภายในมีพระพุทธรูปสลักหินทราย ศิลปะ ในสมัยอยุธยา บนผนังมีจิตรกรรมที่ชำรุดลบเลือนมาก จากร่องรอยที่หลงเหลือ สันนิษฐานว่า แต่เดิมคงเป็นรูปพุทธประวัติและเทพชุมนุม จากลักษณะของการ เขียนภาพลงบนรองพื้นที่สีขาวเบาบาง ใช้สีฝุ่นน้อยสี รวมทั้งการใช้เส้นคดโค้ง และสถาปัตยกรรม เป็นตัวแบ่งเรื่องราวของภาพที่นิยมใช้กันในงานจิตรกรรมฝา ผนังสมัยอยุธยาตอนปลาย แสดงให้เห็นว่าน่าจะเขียนขึ้นในระยะเดียวกับการ สร้างอาคาร และยังมีความโดดเด่นของภาพเทพชุมนุมที่มีรูปร่างหน้าตา และ การแต่งกายคล้ายกับชาวต่างชาติที่เข้ามาในราชบุรีในช่วงเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็น ชาวจีน ชาวตะวันออกกลางหรือเปอร์เซีย และชาวยุโรป จึงนับว่าเป็นหลักฐาน ที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาพผู้คนในสังคมเมืองราชบุรีในสมัยนั้นรวมทั้งปฏิสัมพันธ์ ทางวัฒนธรรมและผู้คนในอดีตได้เป็นอย่างดี32 32 สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 1 ราชบุรี , พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติราชบุรีและจังหวัดราชบุรี, 2544, 70.
123 ภาพที่ 3.6 วิหารแกลบ วัดเขาเหลือ อ.เมือง จ.ราชบุรี ภาพที่ 3.7 เทพชุมนุม ลักษณะคล้ายชาวต่างชาติ ภาพจิตรกรรมภายในวิหารแกลบ วัดเขาเหลือ
124 นอกจากงานศิลปกรรมจะสะท้อนให้เห็นถึงร่องรอยของผู้คนและ วัฒนธรรมที่มีปฏิสัมพันธ์กันผู้คนในพื้นที่แล้ว ยังสามารถสะท้อนให้เห็นถึง บริบททางประวัติศาสตร์ในมิติด้านการเมืองของชุมชนท้องถิ่นที่มีความสัมพันธ์ กับศูนย์กลางอำนาจได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่น งานศิลปกรรมที่ปรากฏในชุมชน ชาวมอญ จังหวัดราชบุรีที่พบว่ามีประวัติการอพยพจากเมืองหน้าด่านในเมือง กาญจนบุรี โดยเข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณริมน้ำแม่กลอง ในเขตอำเภอบ้านโป่ง และอำเภอโพธาราม ซึ่งต่อมาได้ขยายขนาดเป็นชุมชนขนาดใหญ่และได้มีการ สร้างวัดขึ้นเพื่อใช้เป็นศาสนสถานทางพุทธศาสนา ส่วนใหญ่ย่านชุมชนมอญใน จังหวัดราชบุรี มักตั้งถิ่นฐานทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกของแม่น้ำแม่กลอง ตั้งแต่บ้านโป่งถึงบ้านโพธาราม โดยมีวัดของชุมชนชาวมอญที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัย อยุธยาและอพยพเข้ามาเป็นจำนวนมากในสมัยกรุงเทพฯ ตอนต้น ดังเช่น ตัวอย่างวัดที่ก่อตั้งสมัยอยุธยา ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำแม่กลอง คือ วัดนครชุมน์ (พ.ศ. 2295) และฝั่งตะวันตกตรงข้าม คือ วัดม่วง (พ.ศ.2223) เป็น ต้น33 รวมทั้งยังปรากฏร่องรอยหลักฐานงานศิลปกรรมที่วัดคงคาราม เดิม ชื่อว่า วัดกลาง ส่วนภาษามอญจะเรียกว่า“เภี้ยโต้” เป็นวัดเก่าแก่ ตามประวัติ วัดสร้างมาตั้งแต่สมัยธนบุรี (พ.ศ. 2320) โดยบรรพบุรุษชาวมอญกลุ่มรามัญ 7 หัวเมือง พบหลักฐานศิลปกรรมที่น่าสนใจ คือ เจดีย์ก่ออิฐถือปูน รายรอบ อุโบสถ 7 องค์ ลักษณะเป็นเจดีย์มอญตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยม ฐานเจดีย์ถัดขึ้นไป 33 สุภาภรณ์ จินดามณีโรจน์, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นลุ่มน้ำแม่กลอง: ความ หลากหลายของผู้คน ชุมชนและวัฒนธรรม บ้านโป่ง-เจ็ดเสมียน, (กรุงเทพฯ: เอราวัณการพิมพ์, 2554), 22-27.
125 เป็นฐานแปดเหลี่ยม บางองค์มีการตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้นเป็นลายกระจัง หรือลายดอกไม้ ส่วนยอดมีลักษณะคล้ายดอกบัวตูม มีฉัตรโลหะปักอยู่บนยอด สุด ตามประวัติกล่าวว่า หลังจากพระยามอญ 7 องค์ สร้างอุโบสถเสร็จแล้วได้ ร่วมกันสร้างเจดีย์ขึ้นไว้รอบๆ จำนวน 7 องค์34 ซึ่งมีความหมายถึงเมืองหน้าด่าน ทั้ง 7 หัวเมืองมอญ35 ได้แก่ เมืองทองผาภูมิ เมืองท่าขนุน เมืองไทรโยค เมืองท่า ตะกั่ว เมืองลุ่มสุ่ม เมืองสมิงสิงหบุรี และเมืองท่ากระดาน ขึ้นตรงกับเจ้าเมือง กาญจนบุรี มีความสำคัญในฐานะเมืองหน้าด่านเพื่อประโยชน์ในทางยุทธศาสตร์ การเมือง โดยให้เจ้าเมืองที่เป็นชาวมอญปกครองกันเอง มีหน้าที่ลาดตระเวน ด่านยามศึกสงคราม และทำหน้าที่ส่งส่วยทอง ดีบุกและสิ่งอื่นๆ ให้กับราชธานี36 เห็นได้ว่าหลักฐานศิลปกรรมนอกจากจะสะท้อนความสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรม 34 กรมศิลปากรที่ 1 ราชบุรี, “รอยอดีตลุ่มน้ำแม่กลอง ตอนที่ 2 วัดมอญ: วัดคงคาราม”, เข้าถึงเมื่อ 6 ธันวาคม 2565, เข้าถึงได้จาก https://www.fineart s.go.th/fad1/view/22651. 35 เอกสารราชการสมัยรัชกาลที่ 4-5 ปรากฏชื่อเรียกกลุ่มหัวเมืองเหล่านี้ ว่า “รามัญ 7 เมือง” ดังเช่นเนื้อความในประชุมประกาศรัชกาลที่ 4 กล่าวว่า “เมืองศรี สิงหบุรี 1 เมืองลุ่มสุ่ม 1 เมืองท่าตะกั่ว 1 เมืองไทรโยค 1 เมืองท่าขนุน 1 เมืองทองผา ภูมิ 1 เมืองท่ากระดาน 1 แต่เดิมก็ไม่เป็นเมืองเป็นแต่ที่ตั้งค่ายที่ด่านตั้งอยู่เท่านั้น แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินแต่ก่อนทรงพระราชดำริว่าจะให้มีเกียรติศัพท์ดัง ออกไปข้างเมืองพม่า ว่ามีหัวเมืองแน่นหนาหลายชั้น จึงโปรดให้เป็นหัวเมืองขึ้นมี กรมการรักษาทุกๆ เมือง” 36 ฉลอง สุนทราวาณิชย์ (บรรณาธิการ), สมุดราชบุรี พ.ศ. 2468, พิมพ์ ครั้งที่ 2, 2550, 23-25.
126 แล้วนั้นยังแสดงให้เห็นถึงปฏิสัมพันธ์ทางด้านการเมืองของสังคมในพื้นที่ได้อีก ด้วย ภาพที่ 3.8 เจดีย์วัดคงคาราม อ.โพธาราม จ.ราชบุรี ภาพที่ 3.9 คัมภีร์ใบลานและผ้าห่อคัมภีร์ ภายในพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดม่วง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี
127 (3) หลักฐานประเภทโสตทัศน์หลักฐานประเภทนี้ ได้แก่ ภาพถ่าย แผนที่ แถบบันทึกเสียง โปสเตอร์ แผ่นเสียงและภาพยนตร์ เป็นการนำเอา วิทยาการสมัยใหม่มาศึกษาประวัติศาสตร์ เช่น การใช้ภาพถ่ายทางอากาศ และ ภาพถ่ายจากดาวเทียม ตลอดจนการบันทึกเสียง หลักฐานประเภทนี้มีความ พิเศษแตกต่างจากหลักฐานอื่นๆ ที่มักมีตัวอักษรกำกับอยู่ เช่น แผนที่ แผนผัง ซึ่งช่วยในการกำหนดอายุ หรือหลักฐานประเภทภาพยนตร์มีความเคลื่อนไหว เป็นสื่อให้เห็นถึงความมีชีวิต เป็นหลักฐานที่จำลองชีวิตจริง เช่น ภาพถ่าย ที่อาจให้ข้อมูลได้อย่างแจ่มชัดกว่าหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรและกระจ่าง ชัดกว่าการใช้ถ้อยคำบรรยาย ภาพที่ 3.10 การขนส่งสินค้าที่สถานีรถไฟ ที่มา: สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ มหาชัย
128 ภาพที่ 3.11 เรือฉลอมที่ท่าฉลอม จากชุดภาพถ่ายของพลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ที่มา: สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ปัจจุบันการใช้หลักฐานประเภทโสตทัศน์มีเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ เช่น การใช้ภาพถ่ายในการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ซึ่งสามารถใช้ประกอบกับ หลักฐานประเภทอื่นๆ หรือในบางครั้งภาพถ่ายอาจบอกเล่าเรื่องราว รายละเอียดของผู้คนที่มีประสบการณ์ร่วมในช่วงเวลาดังกล่าวได้เป็นอย่างดี ดังเช่นตัวอย่างภาพถ่ายเก่าสมัยรัชกาลที่ 5 ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครที่สะท้อน ถึงสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในช่วงเวลาในอดีต กล่าวคือ เป็นพื้นที่ตั้งอยู่ ในบริเวณตอนล่างของแม่น้ำท่าจีน มีลักษณะภูมิประเทศค่อนข้างลุ่ม บางส่วนมี น้ำทะเลท่วมถึงจึงไม่เหมาะต่อการทำเกษตรกรรมแบบที่นาลุ่มเนื่องจากดินเค็ม และน้ำทะเลท่วมถึงจึงเหมาะแก่การทำนาเกลือ ทำประมง เลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง อีกทั้งยังใช้เรือเป็นพาหนะในการสัญจร ขนส่งสินค้าตามเส้นทางคมนาคมน้ำ
129 และหลังจากนั้นในช่วง พ.ศ. 2447 เกิดเส้นทางรถไฟสายท่าจีน (สถานีปาก คลองสาน-มหาชัย) เชื่อมต่อกับกรุงเทพฯ จึงส่งผลให้การติดต่อคมนาคม ขนส่ง สินค้ามีความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น (4) นาฏกรรมและดนตรี ท่าทาง การร่ายรำ เนื้อร้องและทำนอง ดนตรี นับว่าเป็นศิลปะที่ได้รับการถ่ายทอดมาแต่อดีต จึงมีส่วนช่วยให้เข้าใจ พฤติกรรมนุษย์ในอดีตได้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ แต่ทั้งนี้ก็ ต้องอาศัยผู้ที่มีความรู้เฉพาะด้านการตีความก่อนแล้วนักประวัติศาสตร์จึง นำมาใช้ประโยชน์ งานศึกษาเพลงพื้นบ้าน “รำเหย่ย” หรือ เพลงเหย่ย นิยมร้องเล่นกัน ในภาคกลางและจังหวัดกาญจนบุรี แต่เดิมนั้นมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปแต่ละ ท้องถิ่น อาทิ เพลงดอกแคร่วง เพลงรำแคนและเพลงกลองยาว เป็นต้น โดยนิยมเล่นกันในช่วงวันตรุษสงกรานต์ งานเทศกาล งานบุญ งานมงคล และ ยามว่างหลังจากการทำนา โดยนิยมเล่นในเขตอำเภอพนมทวน มีหลายหมู่บ้าน คือ บ้านห้วยสะพาน บ้านทวน บ้านพังตรุ บ้านทุ่งสมอ บ้านหนองปลง บ้านเก่า รวมถึงในเขตอำเภอเมืองด้วย37 ลักษณะการร้องเพลงเล่นโดยทั่วไปของชาวบ้าน มักจบท่อนท้ายวรรคด้วยคำว่า เอย จึงสันนิษฐานว่าคำว่า เหย่ย นั้นเป็นเสียง เพี้ยนมาจากคำว่า เอย จึงเรียกเพลงเหย่ย หรือ รำเหย่ย มาจนถึงปัจจุบัน 37 สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดกาญจนบุรี, รำเหย่ย, เข้าถึงเมื่อ 1 พฤษภาคม 2565, เข้าถึงได้จาก https://www.museumthailand.com/th/1659/ storytelling/รำเหย่ย/.
130 การเล่นรำเหย่ยนั้นมีลักษณะคล้ายคลึงกับการเล่นเพลงพื้นบ้านอื่นๆ คือ เป็นการล้อมวงกันทั้งชายและหญิง ร้องเพลงส่งรับกันไปมาและผลัดกัน ออกมาเต้นเกี้ยว โดยการเละเล่นของรำเหย่ยนั้นไม่มีการจำกัดจำนวนคนยิ่งมาก ยิ่งมีความสนุกสนาน โดยแบ่งกลุ่มเป็นฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ซึ่งแต่ละฝ่ายจะมี นักร้องที่เป็นพ่อเพลง แม่เพลง ลูกคู่ และคนรำ หรือบางครั้งก็ทั้งร้องเป็นลูกคู่ และสร้างจังหวะประกอบร้องไปด้วย สำหรับคนที่เล่นเครื่องดนตรีนั้นก่อนเริ่ม การแสดงจะทำพิธียกครูก่อน โดยพ่อเพลงแม่เพลงจะเป็นผู้จุดธูปเทียนบูชาครู อาจารย์เป็นผู้ถ่ายทอดวิชาดังกล่าว หลังจากนั้นการละเล่นจะเริ่มขึ้นด้วยฝ่าย ชายเป็นผู้เริ่มร้องเชิญชวนฝ่ายหญิง หากฝ่ายตรงข้ามตอบรับก็จะเริ่มรวมตัวตั้ง เป็นวง ผลัดกันออกมาร่ายรำทีละคู่ ขณะที่พ่อเพลงและแม่เพลงจะใช้ไหวพริบ และทักษะการต่อเพลงในการตอบแก้เพลงเป็นวรรคๆ กันไปมา ส่วนลูกคู่ก็จะ คอยร้องรับ ซึ่งเนื้อหาของเพลงมักเกี่ยวกับการหยอกล้อ เกี้ยวพาราสีกันของ ชายหญิง อาทิ
131 พ่อเพลงร้องชวน “เชิญมาเล่นกับ ฉันอย่านิ่งให้นานเหย่ย” (ลูกคู่ร้องซ้ำ 1 รอบ) แม่เพลงร้องตอบ “จะเล่นอะไร น้องไม่เข้าใจเลยเหย่ย” (ลูกคู่ร้องซ้ำ 1 รอบ) พ่อเพลงร้องโต้ “เล่นเพลงของไทย เพลงเหย่ยยังไงน้องเหย่ย” (ลูกคู่ร้องซ้ำ 1 รอบ)38 ฯลฯ การแต่งกายของชาวบ้านเวลาเล่นรำเหย่ยนั้นจะมีความพิถีพิถัน เนื่องจากการละเล่นดังกล่าวมักจัดขึ้นในช่วงเทศกาลหรือมีงานสำคัญ ประกอบ กับเป็นช่วงเวลาพิเศษที่หนุ่มสาวจะได้ออกมาพบปะกัน ฝ่ายชายนิยมใส่เสื้อ คอกลม แขนสั้นสีสันสดใส นุ่งโจงกระเบนผ้าพื้น คาดเอวด้วยผ้าขาวม้า สีสดหรือพาดผ้าขาวม้าไว้ที่ไหล่ให้ชายผ้าอยู่ด้านหลัง ขณะที่ฝ่ายหญิงใส่เสื้อคอ กลมแขนกระบอก นุ่งโจงกระเบนผ้าลาย ห่มสไบสีสด และทัดดอกไม้ ส่วนเครื่องดนตรีที่ใช้นั้นประกอบด้วย เครื่องประกอบจังหวะ เช่น กลองยาว ฉิ่ง ฉาบ รำมะนา และกรับ เป็นต้น เพื่อเป็นการช่วยส่งจังหวะการร้องโต้ตอบไปมา 38วรรณวิภา มัธยมนันท, “รำเหย่ย:การละเล่นพื้นบ้านสู่นาฏศิลป์ กรม ศิลปากร”, (วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชานาฏยศิลป์ไทย คณะ ศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2553), 3.
132 การละเล่นเพลงพื้นบ้านดังกล่าว นอกจากจะมีวัตถุประสงค์เพื่อความ บันเทิงสนุกสนานแล้วนั้นยังสะท้อนให้เห็นถึงการถ่ายทอดองค์ความรู้ ภูมิปัญญาด้านนาฏกรรมและดนตรีไม่ว่าจะเป็นเครื่องดนตรีพื้นบ้านของแต่ละ ท้องถิ่น การสอดแทรกเรื่องราวของสังคมผ่านบทเพลงและการร่ายรำ ผสมผสานทางวัฒนธรรมที่แสดงออกเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของจังหวัด กาญจนบุรีที่มีการถ่ายทอดองค์ความรู้จากรุ่นสู่รุ่น การใช้หลักฐานประเภทนี้ใน งานประวัติศาสตร์ท้องถิ่นจึงสามารถสะท้อนให้เห็นถึงสภาพสังคม ชีวิตความ เป็นอยู่ของผู้คนได้อย่างแท้จริงหรืออาจใช้เทียบเคียงกันในแต่ละท้องถิ่น ทั้งใน ด้านของเนื้อหา ฉันทลักษณ์ คำร้อง โอกาสการละเล่น หรือใช้เพื่อศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างท้องถิ่นได้อีกด้วย (5) หลักฐานประเภทบอกเล่า ปัจจุบันการใช้หลักฐานประเภทบอก เล่าในการศึกษาประวัติศาสตร์อย่างแพร่หลาย เนื่องจากนักประวัติศาสตร์ให้ ความสนใจ เห็นคุณค่าและความจำเป็นของหลักฐานประเภทนี้มากขึ้น คำว่า “บอกเล่า” (oral) มีความหมายในสองลักษณะ คือการไม่ใช้ตัวหนังสือและการ ใช้ภาษาพูด การบอกเล่ายังหมายถึงการแสดงออกด้วยคำพูด เช่น การร้องเพลง การเล่านิทาน การใช้คำพังเพย หรือสุภาษิต ซึ่งเป็นการแสดงออกทาง วัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์แตกต่างจากการแสดงออกแบบอื่นที่ต้องใช้ตัวหนังสือ ในทางปฏิบัติความหมายของการบอกเล่าอาจเป็นอะไรก็ได้เพราะว่าการบอก เล่าใช้อธิบายลักษณะที่เกิดขึ้นและจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลมาอธิบาย ทั้งจาก ประสบการณ์ชีวิต ความทรงจำในอดีต ความรู้สึก จิตสำนึกร่วมในสังคม ข้อมูล จากหลักฐานการบอกเล่าประเภทนี้มีคุณค่าต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ในแง่ ต่างๆ เช่น นิทานมักแฝงข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ
133 บุคคลและสถานที่ อันเป็นประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าต่อไป ในด้าน ขนบธรรมเนียมประเพณีและพิธีการต่างๆ บ่งบอกถึงสภาพการดำรงชีวิตของ ประชาชน ค่านิยมและความเชื่อที่ยึดถือกันมาตั้งแต่ในอดีต ส่วนประวัติศาสตร์ บอกเล่า เป็นวิธีการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ร่วมสมัย ข้อมูลที่ รวบรวมได้จากประวัติศาสตร์บอกเล่า ประกอบด้วยอัตชีวประวัติ ชีวิต ประสบการณ์ของบุคคล และเรื่องราวเหตุการณ์ใดเหตการณ์หนึ่งโดยเฉพาะ ข้อจำกัดของหลักฐานคำบอกเล่าที่สำคัญ คือ ความทรงจำ อันเป็น ที่มาของข้อมูลจากการบอกเล่า จึงอาจคลาดเคลื่อนได้ง่ายและหลักฐานประเภท คำบอกเล่าเผยแพร่ได้ในวงจำกัดเฉพาะผู้ที่สามารถเข้าถึงตัวแหล่งข้อมูล รวมทั้ง อคติของผู้เล่าหรือผู้ให้สัมภาษณ์ซึ่งอาจทำให้เข้าใจเหตุการณ์คลาดเคลื่อนจาก ความจริง ปัญหาสำคัญอีกประการคือ การที่ผู้ให้สัมภาษณ์บอกเล่าเหตุการณ์ใน อดีตด้วยสภาพที่เป็นจริงย่อมต้องมีการสอดแทรกทัศนคติ ค่านิยม ปัจจุบันของ ตนเองในสาระของเรื่องที่บอกเล่านั้นด้วย39 ดังนั้นข้อมูลจากหลักฐานประเภท บอกเล่าควรมีการตรวจสอบกับหลักฐานอื่น รวมทั้งควรมีระเบียบวิธีการเก็บ ข้อมูลสัมภาษณ์อย่างเป็นระบบเพื่อความถูกต้องและแน่นอน 39 วีณา เอี่ยมประไพ, หลักฐานทางประวัติศาสตร์, 86-87.
134 สรุป หลักฐานต่างๆ ซึ่งเป็นร่องรอยที่หลงเหลือให้ผู้ศึกษาใช้เป็นเครื่องมือ ในการศึกษาอดีตนั้น มีหน้าที่เชื่อมโยงข้อมูลหรือข้อสนเทศที่พบจากหลักฐาน ประเภทต่างๆ ให้มีความสัมพันธ์เพื่อเป็นการอธิบายเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นว่าเป็น อย่างไรและทำไมจึงเกิดขึ้น การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นมีระเบียบวิธีที่ไม่ แตกต่างจากการศึกษาประวัติศาสตร์โดยทั่วไป เริ่มจากการตั้งคำถาม กำหนด ประเด็นหัวข้อที่จะศึกษา แล้วก็ทบทวนสถานภาพความรู้จากหัวข้อเรื่องที่ ต้องการศึกษาเพื่อประเมินความน่าสนใจ และความเป็นไปได้ในการศึกษา แล้ว ก็นำไปสู่การค้นหา รวบรวมข้อมูลจากหลักฐานประเภทต่างๆ จากนั้นก็จัด ระเบียบข้อมูล ซึ่งเป็นกระบวนการเพื่อให้ข้อมูลเป็นระเบียบพร้อมนำเสนอเป็น ระบบ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบการเขียนพรรณนาที่ต้องอาศัยความสามารถ ทางด้านศาสตร์และศิลปะในการเล่าเรื่องเพื่อถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้รับรู้ และให้ ความสำคัญกับการอธิบายความบนพื้นฐานข้อเท็จจริงจากหลักฐานที่ผ่านการ ประเมินความน่าเชื่อถือ แต่ในความเป็นจริงแล้วขั้นตอนการศึกษาสามารถ ดำเนินการไปพร้อมๆ กันได้ เพื่อเป็นการตรวจสอบ ประเมินความรู้ที่ได้จากการ เก็บรวบรวมข้อมูลทั้งจากเอกสารและจากภาคสนาม
135 บทที่ 4 วิธีการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เนื้อหาในบทนี้ต้องการอธิบายวิธีการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ตลอดจนความสำคัญของงานภาคสนาม เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล การใช้หลักฐานจากภาคสนามและกระบวนการวิจัยทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่น อาจกล่าวได้ว่าวิธีวิทยาของประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเป็นแนวทางการศึกษาที่ เป็นสหวิชาการมาตั้งคำถามเพื่อค้นหาคำตอบจากสนาม รวมทั้งยังคงให้ ความสำคัญกับระเบียบวิธีทางประวัติศาสตร์ที่นำข้อมูลหลักฐานที่ได้จากการ วิพากษ์ตรวจสอบและนำมาเชื่อมโยง ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลหลักฐานอื่นๆ อันเป็นหน้าที่สำคัญของนักประวัติศาสตร์ท้องถิ่น 4.1 ความสำคัญของการทำงานภาคสนามกับการทำงานประวัติศาสตร์ ท้องถิ่น การเข้าถึงประวัติศาสตร์ท้องถิ่นต้องทำความเข้าใจและเห็นคนในพื้นที่ ซึ่งมีลักษณะเป็นประวัติศาสตร์ของสังคม อาจเริ่มต้นจากการศึกษาคนในพื้นที่ ก่อนด้วยการศึกษาโครงสร้างทางสังคมเป็นจุดเริ่มต้น แล้วโยงความสัมพันธ์ทาง ส ั ง ค ม แ ล ะ เ ร ื ่ อ ง ร า ว ช ี ว ิ ต ค ว า ม เ ป ็ น อ ย ู ่ ข อ ง ผ ู ้ ค น ท ั ้ ง ใ น ร ะ ดั บ เครือญาติ สังคม ชุมชน
136 4.1.1 ความหมาย ความสำคัญของภาคสนาม “สนาม คือที่ไหน เลือกอย่างไร เข้าไปอย่างไร” ดังที่ทราบกันดีแล้วว่าการลงพื้นที่ภาคสนาม เป็นหัวใจสำคัญของ การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นแต่หากย้อนไปจุดเริ่มต้นของความสนใจศึกษา ประวัติศาสตร์ที่ต้องอาศัยข้อมูลจากการลงพื้นที่ นักประวัติศาสตร์เริ่มให้ ความสำคัญในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่มีความพยายามค้นหาเรื่องราว ประวัติศาสตร์ด้านเศรษฐกิจและสังคมของสำนัก Annales ของฝรั่งเศส ในช่วง ทศวรรษ 1950 ที่มีความก้าวหน้าของวิธีการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจ ประวัติศาสตร์แบบทั้งหมด (Total history) ดังนั้นจึงเลือกศึกษา “หน่วยศึกษา” ที่เล็กลงในระดับภูมิภาคหรือท้องถิ่น จึงส่งผลทำให้เกิดการ พัฒนาการของวิชาการทางด้านประวัติศาสตร์และวิธีการที่จะแสวงหาเนื้อหา และข้อมูลต่างๆ เพื่อตอบสนองความอยากรู้ของคนในสังคม อย่างไรก็ตาม การทำงานภาคสนามเป็นที่รู้จักในวงกว้างและเป็น เครื่องมือ วิธีการศึกษาที่สำคัญของนักมานุษยวิทยา ซึ่งถือว่าผู้บุกเบิกการ ทำงานในด้านนี้ โดย “สนาม” ในยุคเริ่มแรกของสาขามานุษยวิทยานั้นให้ ความสำคัญกับการศึกษาผู้คนที่มีความแตกต่างหลากหลายทางชาติพันธุ์และ ต่างวัฒนธรรม จึงเริ่มให้ความสำคัญกับการศึกษาผู้คนในพื้นที่ห่างไกล มีการ กำหนดขอบเขตการศึกษาที่ชัดเจน เช่น หมู่บ้านที่มีชุมชน มีผู้คนรวมกลุ่มทาง สังคม มีความเชื่อและวัฒนธรรมร่วมกัน หรือเรียกได้ว่ามี “หน่วยการศึกษา” ที่ชัดเจน (Unit of analysis) โดยใช้วิธีการศึกษาแบบฝังตัว เพื่อสังเกต สนทนา เรียนรู้วิถีชีวิตผู้คน และปรากฏการณ์ทางสังคมต่างๆ จากนั้นบันทึกข้อมูล เขียน เรียบเรียง เสมือนเป็นการบันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ชุมชน
137 พัฒนาการของการศึกษาภาคสนาม ปรากฏให้เห็นตั้งแต่ช่วงต้น คริสต์ศตวรรษที่ 19 ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในช่วงแรกคือ Franz Boas (ค.ศ. 1858-1942) ผู้ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาของนักมานุษยวิทยา อเมริกัน1 ถือเป็นนักชาติพันธุ์วรรณาที่ทำงานบุกเบิกการศึกษาอินเดียแดงกลุ่ม Kwakiutl และชนเผ่าอื่นๆ ทางชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือในเขตบริติชโคลัมเบีย ตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ 1880 จนถึงแก่กกรรมใน ค.ศ. 1942 2 ต่อมา นักมานุษยวิทยาชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงคนสำคัญ Bronsilow Malinowski (ค.ศ. 1884-1942) ผู้ก่อตั้งสาขาวิชา Social Anthropology สำนักคิด มานุษยวิทยาหน้าที่นิยม (The Functionalist School of Social Anthropology) และเป็นผู้มีอิทธิพลที่ส่งผลให้นักมานุษยวิทยาสมัยใหม่ คือ การให้ความสำคัญกับการลงพื้นที่ ภาคสนามเป็นระยะเวลาหลายปีเพื่อการเก็บ ข้อมูลภาคสนามอย่างละเอียด งานศึกษาชิ้นสำคัญ คือ การลงภาคสนามแบบฝังตัวอยู่ ร่วมกับชน พื้นเมืองโทรเบียน (Trobrian Island) ระหว่างปีค.ศ. 1915-1918 และสร้าง ธรรมเนียมทางมานุษยวิทยาที่เน้นการสังเกตแบบมีส่วนร่วมกับเจ้าของ วัฒนธรรม (Observing and Participating) ซึ่งระเบียบวิธีนี้ได้ส่งผลต่อวิธี การศึกษาทางมานุษยวิทยาอย่างมากในคริสต์ศตวรรษที่ 20 มาลินอฟสกี้ 1 ปิยณัฐ สร้อยคำ, “งานภาคสนาม สำคัญอย่างไร” ใน จดหมายข่าวศูนย์ มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน), ปีที่ 16 ฉบับที่ 82 (มกราคม-เมษายน), 2557. 2 ดำรงพล อินทร์จันทร์, นิทรรศการ มานุษยวิทยา พัฒนา-กาล, (กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), 2561), 23.
138 กล่าวถึงวิธีวิทยาและการทำงานภาคสนาม โดยเสนอวิธีการ 3 แบบ เพื่อทำ ความเข้าใจความคิดของชาวบ้าน ได้แก่ 1) การศึกษาสถาบันทางสังคม 2) การศึกษาชีวิตประจำวันของชาวบ้าน 3) การบันทึกเรื่องราวต่างๆ ที่ชาวบ้าน พูดสนทนา ซึ่งนักมานุษยวิทยาต้องเป็นผู้กระตือรือร้น ขวนขวาย สอดรู้ ใส่ใจที่ จะหาข้อมูลเกี่ยวกับชาวบ้าน โดยเข้าไปอยู่อาศัยและเรียนรู้ที่จะพูดภาษา เดียวกันกับชาวบ้าน3 ปัจจุบัน “สนาม” ในมุมมองของนักมานุษยวิทยา เป็นพื้นที่ทางสังคม ที่ซับซ้อนมากกว่าเดิมอาจเป็นหน่วยศึกษาที่เป็นหมู่บ้าน ชุมชนชนบท ชุมชน เมือง สถาบัน องค์กร ฯลฯ หรืออาจไม่ได้มีขอบเขตทางกายภาพที่ชัดเจน เช่น โลกโซเชียลออนไลน์ เครือข่าย อีกทั้งยังมีความซับซ้อนและหลากหลายมากขึ้น เช่น ชุมชนชนบทที่มีการเคลื่อนย้ายแรงงานเข้าไปทำงานชั่วคราวในเมืองและ ย้ายกลับบ้านในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ดังนั้นสนามจึงมีความซับซ้อน มีการปะทะทาง วัฒนธรรม เป็นพื้นที่ที่บรรจุความรู้ แนวคิด ค่านิยมความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ระหว่างบุคคล มีการต่อรอง ปรับเปลี่ยนและมีปฏิบัติการทางสังคมและ วัฒนธรรมอยู่ตลอด ส่วนการศึกษาประวัติศาสตร์ในช่วงทศวรรษ 2500 ซึ่งถือว่าเป็นยุค ของการตื่นตัวและวางรากฐานการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น พบว่าความ สนใจในการลงพื้นที่ภาคสนาม เน้นการศึกษาเรื่องราวของชุมชนหมู่บ้านและ กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ โดยเฉพาะในกลุ่มนักมานุษยวิทยาและนักสังคมสงเคราะห์ 3 นฤพล ด้วงวิเศษ, “งานภาคสนาม” ใน คำศัพท์ทางมานุษยวิทยา, เข้าถึง เมื่อ 25 พฤษภาคม 2565, เข้าถึงได้จากhttps://www.sac.or.th/databases /anthropology-concepts/glossary/52.
139 จากสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ ที่สนใจศึกษาเรื่องราวของชนบทที่เข้ามา สำรวจเศรษฐกิจชนบทในประเทศไทยในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ดังเช่น งานสำรวจ เศรษฐกิจในชนบทแห่งสยาม เรื่อง Siam, Rural Economic Survey ของ Carr C. Zimmerman4 ศาสตราจารย์ด้านสังคมวิทยา มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยในช่วงเวลานี้งานศึกษาในระยะแรกเป็นผลงานของนักมานุษยวิทยา นักวิชาการต่างชาติและนักวิชาการชาวไทยที่สำเร็จจากต่างประเทศ ส่งผลต่อ มุมมองต่อชุมชนหมู่บ้าน ซึ่งแม้จะเป็นงานศึกษาทางมานุษยวิทยาแต่ก็ให้มิติ ทางด้านประวัติศาสตร์ และมีคุณูปการอย่างมากต่อการบุกเบิกการศึกษา “ประวัติศาสตร์ชุมชนหมู่บ้าน” ในสังคมไทย ดังตัวอย่างงานศึกษาที่เป็น การศึกษาเศรษฐกิจและสังคมชาวบ้านในลักษณะที่มีพัฒนาการแบบ ประวัติศาสตร์และส่งอิทธิพลต่อนักวิชาการรุ่นหลังๆ ได้แก่ Lauriston Sharp, Michael Moreman และ David Bruce Johnston Michael Moreman นักมานุษยวิทยา ชาวอเมริกัน ที่ศึกษาประเด็น เรื่องการค้าทางไกล ในหมู่บ้านไทลื้อ อำเภอเชียงคำ จังหวัดเชียงราย เรื่อง ChiangKham’s Trade in the ‘Old Days’ (1975) โดยใช้วิธีการศึกษาจาก เอกสารลายลักษณ์อักษร และการลงพื้นที่สัมภาษณ์ในประเด็นเรื่องการค้า เส้นทางการค้าทางไกล(วัวต่าง) ลักษณะรูปแบบการค้า รวมทั้งกลุ่ม ความสัมพันธ์ทางเครือญาติ พบว่า เศรษฐกิจหมู่บ้านไทยในอดีตไม่ได้มีรูปแบบ การผลิตแบบยังชีพเพียงอย่างเดียว หากแต่มีการค้าภายในท้องถิ่นและระหว่าง 4 ดูเพิ่มเติมใน คาร์ล ซี ซิมเมอร์แมน, แปลและเรียบเรียงโดย ซิม วีระไวท ยะ, การสำรวจเศรษฐกิจในชนบทแห่งสยาม, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำรา สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2525).
140 ภูมิภาคอยู่แล้ว อีกทั้งผู้ประกอยการพ่อค้ามีทั้งกลุ่มคนในพื้นที่และยังสัมพันธ์ กับเครือข่ายการค้าภายในภาคเหนือของไทย พม่าและจีนตอนใต้ David Bruce Johnston ศึกษาชุมชนหมู่บ้านในพื้นที่ภาคกลางของ ไทยในช่วง พ.ศ. 2423-2473 ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลา “เศรษฐกิจข้าว” มี ความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างมาก ได้อธิบายถึงปัจจัยที่ส่งผลให้เกิด การขยายตัว เช่น การขุดคลอง การบุกเบิกพื้นที่ใหม่ รวมทั้งการอพยพของผู้คน เข้ามาในเขตภาคกลาง ตลอดจนการศึกษาในระบบการผลิตที่เปลี่ยนแปลงกับ สภาพทางสังคมที่พัฒนาไปในกระแสการขยายตัวของระบบทุนนิยมซึ่งมีผลต่อ การปรับตัวของชาวบ้าน5 ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าในช่วงหลังทศวรรษ 2500 เป็นต้นมา การศึกษา ชีวิตทางสังคมและวัฒนธรรมของชาวบ้านในชนบทที่มีความคึกคัก เกิดจาก ผลงานของนักมานุษยวิทยาและนักสังคมศาสตร์จากสหรัฐอเมริกาและประเทศ อื่นๆ เข้ามาทำการวิจัยควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจและ สังคมโดยรวม อันเนื่องมาจากนโยบายการพัฒนาของรัฐบาลที่เริ่มต้นขึ้นภายใต้ การสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง6 จากนั้นก็ได้ขยายผลสู่แนวทาง การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในมิติต่างๆ เช่น การศึกษาประวัติศาสตร์ 5 ดูเพิ่มเติมใน จอห์นสตัน, เดวิด บรูซ, บรรณาธิการแปลโดย พรภิรมณ์ เอี่ยมธรรม, สังคมชนบทและภาคเศรษฐกิจข้าวของไทย พ.ศ. 2423-2473, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2530). 6 ยงยุทธ ชูแว่น, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นไทย, (กรุงเทพฯ: ยิปซี กรุ๊ป, 2562), 92.