The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ตำราเรื่อง แนวคิดและวิธีการประวัติศาสตร์ท้องถิ่น จัดทำขึ้นเพื่อใช้ประกอบการจัดการเรียนการสอนรายวิชาดังกล่าว ซึ่งเป็นรายวิชาเอกบังคับของหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนรู้และเข้าใจเกี่ยวกับพัฒนาการของการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น แนวคิด วิธีการ เครื่องมือศึกษา อีกทั้งมีเนื้อหาการเรียนรู้เกี่ยวกับพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงของชุมชนท้องถิ่นเพื่อให้นักศึกษาสามารถใช้เป็นกรณีศึกษาหรือเปรียบเทียบวิเคราะห์กับประเด็นร่วมสมัยได้ ตลอดจนให้ผู้เรียนเข้าใจ<br>ถึงความสำคัญและบทบาทของงานประวัติศาสตร์ท้องถิ่นกับการพัฒนาเชิงพื้นที่

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by teresio.natthawat, 2023-01-15 04:07:44

ตำราแนวคิดและวิธีการประวัติศาสตร์ท้องถิ่น

ตำราเรื่อง แนวคิดและวิธีการประวัติศาสตร์ท้องถิ่น จัดทำขึ้นเพื่อใช้ประกอบการจัดการเรียนการสอนรายวิชาดังกล่าว ซึ่งเป็นรายวิชาเอกบังคับของหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนรู้และเข้าใจเกี่ยวกับพัฒนาการของการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น แนวคิด วิธีการ เครื่องมือศึกษา อีกทั้งมีเนื้อหาการเรียนรู้เกี่ยวกับพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงของชุมชนท้องถิ่นเพื่อให้นักศึกษาสามารถใช้เป็นกรณีศึกษาหรือเปรียบเทียบวิเคราะห์กับประเด็นร่วมสมัยได้ ตลอดจนให้ผู้เรียนเข้าใจ<br>ถึงความสำคัญและบทบาทของงานประวัติศาสตร์ท้องถิ่นกับการพัฒนาเชิงพื้นที่

Keywords: ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น

191 ตัวอย่างคำถาม เช่น ประวัติความเป็นมาของชุมชน ใครเป็นผู้ก่อตั้ง มาจากไหน เพราะอะไรมาที่นี่ วัดตั้งขึ้นเมื่อใด โดยใคร ถนน น้ำ ไฟฟ้าเข้ามา ในชุมชนตั้งแต่เมื่อใด อดีตมีกิจกรรมการผลิตอะไร ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ผู้นำชุมชนเป็นใคร ความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนกับองค์กรภายนอกที่เข้ามา เกี่ยวข้องเป็นอย่างไร ฯลฯ หลังจากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาเรียบเรียง หรือทำเป็น แผนผังเวลาเพื่อแสดงภาพทั้งหมดของเรื่องราวประวัติศาสตร์ท้องถิ่นให้เข้าใจ ง่าย ซึ่งการนำเหตุการณ์สำคัญ ทางประวัติศาสตร์ของชุมชนมาเขียนเป็น แผนผังเช่นนี้ ทำให้สามารถเทียบเคียงหลายเหตุการณ์ใน ช่วงเวลาเดียวกันได้ และทำให้เห็นภาพความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ต่างๆ ได้ดีขึ้น เห็นได้ว่าประวัติศาสตร์ชุมชนให้ความสำคัญกับเวลา เหตุการณ์สำคัญ และความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในชุมชนซึ่งช่วยให้เข้าใจประวัติความ เป็นมาของพื้นที่และสิ่งต่างๆ ได้ดี ลดอคติหรือการสร้างภาพลักษณ์แบบเหมา รวม ตลอดจนสามารถให้ผู้ศึกษาสามารถเลือกวิธีการทำงานกับชุมชนให้ สอดคล้องกับประสบการณ์ ความคาดหวังและศักยภาพของชุมชน


192 ภาพที่ 4.11 ตัวอย่างการจัดทำเส้นเวลาประวัติศาสตร์ชุมชน (Timeline)


193 4.3 กระบวนการวิจัยทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่น จากแนวคิดพื้นฐานในการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่ทำการศึกษา สังคมหรือชุมชนในอดีตของท้องถิ่นนั้นให้ครอบคลุมถึงกิจกรรมต่างๆ ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม โดยมีเป้าหมายสำคัญของ การศึกษา คือ การทำความเข้าใจต่อพัฒนาการต่างๆ โดยอาศัยแนวทาง วิธีการศึกษารวมทั้งเครื่องมือที่ใช้ในการทำความเข้าใจชุมชนท้องถิ่น เพื่ออธิบายความสัมพันธ์เชิงโต้ตอบกันระหว่างผู้คนกับบริบททางสังคมใน ช่วงเวลาหนึ่งๆ ซึ่งล้วนขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในและภายนอกเข้ามาเป็นเงื่อนไข กำหนดพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ ซึ่งในแต่ละท้องถิ่นมีขั้นตอนของการ เปลี่ยนแปลงหรือคลี่คลายแตกต่างกันไป การพัฒนาวิธีคิดและจัดการ กับหลักฐานเพื่อที่จะสร้างคำอธิบายอดีต มีขั้นตอนการดำเนินการ กระบวนการวิจัยทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่น 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่หนึ่ง การกำหนดประเด็นหรือปัญหาที่จะศึกษา การกำหนดประเด็นปัญหาหรือการเลือกหัวข้อมีความสำคัญที่ จำเป็นต้องมีในการวิจัยทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่น กล่าวคือ การกำหนดประเด็น ปัญหาหรือหัวข้อเรื่องเป็นกรอบกำหนดทิศทางการทบทวนวรรณกรรม เพราะ ถ้าหัวข้อชัดเจนก็จะช่วยในการทบทวนงานเขียนประเภทต่างๆ อีกทั้งยังช่วยใน การรวบรวมข้อมูลที่หลากหลาย เช่น เอกสารทางประวัติศาสตร์ การสัมภาษณ์ โบราณสถาน ฯลฯ และยังมีส่วนช่วยให้การวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม


194 การกำหนดประเด็นหรือปัญหาที่จะศึกษา อาจเป็นหัวข้อใหม่ที่ยังไม่ เคยมีการศึกษามาก่อน ต่อยอดประเด็นเดิมจากงานที่เคยศึกษา หรือเป็นการ ตอบคำถามใหม่จากประเด็นปัญหาเดิมของผู้ที่เคยศึกษาไว้ก่อนหน้าก็ได้ การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นมีเรื่องหลากหลายที่น่าสนใจ โดยเริ่มต้นจาก เรื่องใกล้ตัวแล้วค่อยขยายวงกว้างออกไปเป็นลำดับ กรอบแนวคิดที่นำมาศึกษา เรื่องของท้องถิ่นมักให้ความสำคัญกับองค์ประกอบทางสังคมซึ่งนำมาใช้ในการ วิเคราะห์ ดังนั้นการศึกษาจึงให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ขององค์ประกอบ ต่างๆ คือ โครงสร้างสังคม ระบบเครือญาติหรือโครงสร้างสังคมรูปแบบอื่นๆ สภาพแวดล้อมและระบบนิเวศ และกลไกหรือวัฒนธรรม อีกทั้ง การศึกษา ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นคือการศึกษาประวัติศาสตร์ของผู้คนในท้องถิ่น โดยมอง จากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรมของคนภายในเป็น สำคัญ32 ดังนั้นประเด็นคำถามมักให้ความสำคัญกับเรื่องของการเปลี่ยนแปลง และการปรับตัวที่เป็นกระบวนการที่บุคคลพยายามปรับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น หรือการปรับตัวให้เข้ากับสภาพใหม่ที่เกิดขึ้น กล่าวคือยอมรับสิ่งใหม่และนำมา ผสมผสานกับการดำรงชีวิตแบบเดิมเพื่อให้เกิดประโยชน์มากขึ้น 33 เช่น ประวัติการตั้งถิ่นฐาน การเคลื่อนย้ายของชุมชน การศึกษาเรื่องสายตระกูล 32 ศรีศักร วัลลิโภดม, คู่มือฉุกคิด ความหมายของภูมิวัฒนธรรม การศึกษาจากภายในและสำนึกของท้องถิ่น, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะ พันธุ์, 2557), 11. 33 ทวีศิลป์ สืบวัฒนะ, แนวคิดและแนวทางการศึกษาประวัติศาสตร์ ท้องถิ่น, 117.


195 โครงสร้างสังคม ความสัมพันธ์ของคนกับธรรมชาติ คนกับคน รวมทั้ง ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ เมื่อเลือกหัวข้อที่ต้องการจะศึกษาได้แล้ว ผู้ศึกษาต้องตั้งคำถาม พื้นฐานทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นหลักการเบื้องต้นของการศึกษาประวัติศาสตร์ การตั้งคำถาม เป็นหลักเกณฑ์เบื้องต้น เพราะในปัจจุบันการศึกษา ประวัติศาสตร์ไม่ได้ศึกษาเพื่อให้รู้ถึงลำดับของเหตุการณ์ก่อนหลัง หรือเป็น การศึกษาเพื่อที่จะท่องจำวันเดือนปี พ.ศ. หรือ ค.ศ. เท่านั้น การศึกษา ประวัติศาสตร์จะมีความหมายขึ้นมาได้ก็ด้วยการตั้งคำถาม คำถามพื้นฐานที่ สำคัญของประวัติศาสตร์ได้แก่ ใคร อะไร เมื่อไร ที่ไหน และทำไม จากนั้นผู้ศึกษาจำเป็นต้องอธิบายเนื้อหาไปตามโครงเรื่อง อันเป็น แนวทางหรือประเด็นต่างๆ ที่ถูกกำหนดขึ้นตามความสนใจ หรืออาจกล่าวได้ว่า “โครงเรื่อง” ทำหน้าที่ลำดับหรือกำหนดทิศทางของเหตุการณ์เพื่อเป็นแนวทาง ในการสร้างเรื่องราวต่างๆ ตามที่ต้องการศึกษาและนำเสนอ34 รวมทั้งต้อง กำหนดขอบเขตของเวลาที่ต้องการศึกษา ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับบริบทของพื้นที่ แต่ช่วงเวลาที่ศึกษาต้องมีระยะเวลาที่มากพอเพื่อให้เห็นการสืบเนื่องและความ เปลี่ยนแปลง ตลอดจนให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ภายในท้องถิ่น เช่น น้ำท่วม ไฟไหม้ อิทธิพลเถื่อน พืชเศรษฐกิจใหม่ ที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนท้องถิ่นทำให้ เกิดการเปลี่ยนแปลง หรือบางพื้นที่ศึกษาอาจมีหน่วยการศึกษาขนาดใหญ่ ที่สัมพันธ์กับประวัติศาสตร์ชาติ หรือการศึกษาประวัติศาสตร์ชาติที่รวมท้องถิ่น อันหลากหลาย 34 ยงยุทธ ชูแว่น, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นไทย, 384.


196 การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เน้นการศึกษาโครงเรื่องออกเป็น 2 ส่วน คือ (1) ศึกษาเน้นเฉพาะเรื่อง หมายถึง การศึกษาในประเด็นย่อยทาง ประวัติศาสตร์ เช่น การแลกเปลี่ยนการค้าขาย การจัดการน้ำ ประเด็นเรื่อง ความเชื่อ การปรับตัวของท้องถิ่นในด้านต่างๆ แต่ทั้งนี้ต้องสำนึกว่าในส่วนต่างๆ ของระบบนั้นมีความสัมพันธ์กัน จึงไม่ใช่แค่การศึกษาว่าสังคมเป็นอย่างไรใน อดีตแต่หมายถึงการศึกษาสังคมมนุษย์ที่ตั้งอยู่และพัฒนาการไปท่ามกลาง “เวลา” หรือท่ามกลางปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ในขณะนั้นด้วย เนื่องจากเวลาและ ปัจจัยแวดล้อมสังคมมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่หยุดนิ่งกับที่ แต่กลับมีการเปลี่ยนแปลง เสมอมาด้วยแรงผลักดันทั้งที่มาจากภายนอกหรือบางครั้งก็มาจากภายในด้วย35 (2) การศึกษาแบบประวัติศาสตร์ทั้งหมด (Total history) เป็น การศึกษาที่ให้เห็นกิจกรรมหรือปฏิบัติการณ์ในทุกๆ ด้านของสังคม เนื้อหา สาระของโครงเรื่อง มักนำเสนอให้เห็นถึงระบบโครงสร้าง พื้นที่รายละเอียดของ วิถีชีวิตทุกแง่มุมที่มีตัวละครย่อยๆ ออกมา อิทธิพลของสภาพแวดล้อมที่มีผลต่อ พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ในพื้นที่ศึกษา โครงเรื่องประวัติศาสตร์ทั้งหมด ถือได้ว่าเป็นการศึกษาประวัติศาสตร์แบบองค์รวม โดยพิจารณาความ เปลี่ยนแปลงต่างๆ ในภาพรวม อีกทั้งยังสามารถอธิบายกิจกรรมหรือปฎิบัติ การทั้งหมดที่มีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างเท่าเทียมกัน ตัวอย่างเช่น การศึกษา ประวัติศาสตร์ระดับลุ่มน้ำ โดยใช้ประเด็นสังคมวัฒนธรรม หรือการศึกษา 35 นิธิ เอียวศรีวงศ์ และอาคม พัฒิยะ, หลักฐานประวัติศาสตร์ในประเทศ ไทย, (กรุงเทพฯ: ดวงดีการพิมพ์, 2525), 10-11.


197 ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ในฐานะท้องถิ่นโลก) โดยใช้ประเด็น การค้าทางทะเล เป็นโครงเรื่องหลักในการศึกษา ดังนั้นการมองหาโครงเรื่อง เท่ากับการหาขอบเขตการศึกษา ประกอบด้วย 3 ลักษณะ ได้แก่ 1) หน่วยทาง กายภาพในการวิเคราะห์ เช่น ชุมชน เครือข่ายชุมชน เมือง เพื่อการกำหนด ประเด็นศึกษา 2) เนื้อหาหรือประเด็นในการวิเคราะห์ เช่น ความสัมพันธ์ทาง สังคม เศรษฐกิจสังคม การใช้ทรัพยากร เพื่อการกำหนดเนื้อหา 3) ช่วงเวลา ของการเปลี่ยนแปลงหน่วยการวิเคราะห์ เพื่อการกำหนดช่วงเวลาที่ศึกษา ซึ่ง สอดคล้องกับข้อเสนอแนะของ ธงชัย วินิจจะกูล ว่าประวัติศาสตร์ท้องถิ่นนั้น เล่าเรื่องที่ว่าด้วยหน่วยย่อยในเชิงภูมิศาสตร์ คือแทนที่จะเน้นประวัติศาสตร์ แห่งชาติเน้นราชธานีหรือเน้นระบบโลกก็กลับมาเน้นที่ “ท้องถิ่น”ซึ่งขึ้นอยู่กับ คำถามหลักในแต่ละกรณีศึกษา 36 ขั้นตอนที่สอง: การทบทวนวรรณกรรม (Review of Literature) การทบทวนวรรณกรรมหรือการสำรวจพรมแดนความรู้ คือ การรวบรวมเรื่องที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องที่จะทำการศึกษาเพื่อจะได้ทราบว่ามีคน เคยศึกษาเรื่องดังกล่าวหรือไม่ มีวิธีการค้นคว้าและข้อค้นพบที่ได้จากการศึกษา อย่างไร ทั้งนี้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการหาประเด็นในการทำวิจัยหรือเพื่อความ สะดวกในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยอ่านสรุปใจความสำคัญจากงานเอกสาร นั้นๆ ว่ามีวิธีการค้นคว้าเพื่อให้ได้คำตอบอย่างไรและข้อค้นพบ คำอธิบายหรือ 36 ธงชัย วินิจจะกูล, “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของชาติไทยกับประวัติศาสตร์ ท้องถิ่น (เฉยๆ)” ใน ประวัติศาสตร์นอกขนบ, อภิราดี จันทร์แสง (บรรณาธิการ), (กรุงเทพฯ: อินทนิล, 2555).


198 การตอบคำถามอย่างไร จากนั้นนำมาจัดหมวดหมู่ของงาน โดยลำดับเนื้อหา ก่อนหลังหรือความสอดคล้องสัมพันธ์ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการตั้งโจทย์วิจัย นับเป็นแนวทางการวิจัยที่ถูกต้อง ทำให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ขึ้นมา มีวิธีการ ดำเนินการ ดังนี้ 37 ก. รวบรวมเรื่องที่มีผู้เคยศึกษาไว้แล้ว ข. อ่านและสรุปใจความ รวมทั้งสรุปว่าหนังสือหรือข้อเขียนแต่ละชิ้น นั้นค้นพบหรือตอบคำถามอะไร และมีวิธีการศึกษาอย่างไร ค. จัดหมวดหมู่ของงานเขียนและข้อสรุปเหล่านั้นว่ามีลำดับก่อนหลัง อย่างไร มีความสอดคล้องใกล้เคียงกันอย่างไร และเกี่ยวข้องรวมทั้งส่งผลต่อกัน อย่างไร ง. หลังจากดำเนินการแล้วจึงทราบว่าเรื่องที่จะทำสามารถทำได้ เนื่องจากเนื้อหาและวิธีการศึกษาดังกล่าว ยังไม่เคยมีผู้ดำเนินการมาก่อน หรือ ต่อยอดจากงานที่เคยศึกษาไว้ ขั้นตอนที่สาม: การเก็บรวบรวมข้อมูล เมื่อตัดสินใจว่าจะเลือกหัวข้อ ประเด็นที่ต้องการศึกษาอะไรแล้ว สิ่งที่ต้องกระทำต่อคือการสำรวจและ เก็บรวบรวมข้อมูลหลักฐานที่เกี่ยวข้อง การเก็บข้อมูลมีทั้งจากเอกสารและ ข้อมูลจากภาคสนาม การศึกษาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ประกอบด้วย ขั้นตอนที่สำคัญ คือการค้นคว้ารวบรวมหลักฐานต่างๆ และการวิเคราะห์ หลักฐานเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล 37 ทวีศิลป์ สืบวัฒนะ, แนวคิดและแนวทางการศึกษาประวัติศาสตร์ ท้องถิ่น, 119.


199 การเก็บข้อมูลจากเอกสาร ผู้ศึกษาจำเป็นต้องจดบันทึก โดยสรุป ใจความสำคัญจากการอ่าน จดรายละเอียดรายการอ้างอิงจากเอกสารให้ ครบถ้วน เพื่อป้องกันการลืมและช่วยการค้นคว้าให้ครบถ้วน ประหยัดเวลาไม่ให้ ต้องกลับไปค้นหาอีกในภายหลัง อีกทั้งการจดรายละเอียดทางบรรณานุกรม อย่างครบถ้วนจะเป็นประโยชน์ต่อการทำเชิงอรรถและบรรณานุกรมในโอกาส ต่อไปด้วย รายละเอียดที่ควรระบุไว้ในบันทึก คือ ชื่อผู้แต่ง ชื่อหนังสือหรือชื่อ บทความ สถานที่พิมพ์ โรงพิมพ์ ปีที่พิมพ์ เลขหน้าของเอกสารที่ใช้อ้างอิง ส่วนการเก็บข้อมูลภาคสนาม ผู้ศึกษาต้องวางแผนก่อนออกไปเก็บข้อมูล ภาคสนาม รวมทั้งคำนึงถึงเครื่องมือการเก็บข้อมูลให้มีความเหมาะสม ไม่ยุ่งยาก ซับซ้อนทั้งแก่ตัวผู้ศึกษาและกลุ่มตัวอย่าง กำหนดให้ชัดเจนว่าจะเก็บข้อมูล อะไร ประเภทของข้อมูลเป็นแบบไหน เช่น ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง (Facts) ความคิดเห็น (Opinion) ความรู้ความเข้าใจ ทัศนคติ อารมณ์ความรู้สึก พฤติกรรม การกระทำ ซึ่งประเภทของข้อมูลต่างๆ เหล่านี้จะเชื่อมโยงไปสู่การ เลือกเครื่องมือเก็บแต่ละประเภทที่เหมาะสมกับประเภทของข้อมูลแต่ละชนิด การเก็บข้อมูล รวบรวมหลักฐานต่างๆ เหล่านี้ เพื่อช่วยให้มองเห็นถึง พัฒนาการของชุมชนและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของชุมชน ทั้งเรื่องการ อพยพตั้งถิ่นฐาน ของกลุ่มคนต่างๆ ในพื้นที่ศึกษาที่มีการใช้ทรัพยากรร่วมกันทั้ง ที่ดินและน้ำ รวมถึงทรัพยากรทางวัฒนธรรม นอกจากนั้นแล้วการทำงาน ภาคสนามยังเป็นขั้นตอนสำคัญของการรวบรวมข้อมูลที่ได้จากท้องถิ่นซึ่งต้อง อาศัยแนวคิดและเครื่องมือการศึกษาที่เหมาะสมและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ของการศึกษา เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลอื่นๆ ได้อย่างมีเหตุผล สอดคล้องและ กลมกลืน


200 ขั้นตอนที่สี่: การสังเคราะห์และวิเคราะห์ข้อมูล การสังเคราะห์และวิเคราะห์เป็นขั้นตอนหนึ่งในระเบียบวิธีทาง ประวัติศาสตร์ ที่จะช่วยให้การศึกษามีความชัดเจนมากขึ้น แทนที่จะเป็นแต่ เพียงการบันทึกหรือรวบรวมข้อมูลเท่านั้น ซึ่งเป็นวิธีการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ ของข้อมูล ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผู้ศึกษาที่เป็นผู้คัดเลือกสรรข้อมูล หรืออาจเชื่อมโยง ข้อเท็จจริงเข้าด้วยกันภายใต้กรอบทฤษฎีซึ่งขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายหรือวิธีการที่ ใช้ในการเชื่อมโยง โดยทั่วไปประวัติศาสตร์มักแสวงหาคำตอบของสาเหตุของ เหตุการณ์ เช่น “มีความเปลี่ยนแปลงอย่างไร” “ทำไมถึงเกิดการเปลี่ยนแปลง” ดังนั้นการค้นหาสาเหตุทางประวัติศาสตร์ควรพิจารณาจากปัจจัย หลายๆ ด้าน หรืออาศัยวิธีวิทยาของศาสตร์สาขาอื่นๆ มาอธิบายเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะสาขาวิชาทางด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ตัวอย่างเช่น บทบาทของบุคคลที่เป็นผู้กระทำการทางประวัติศาสตร์ ซึ่งในอดีตมักให้ ความสำคัญกับมหาบุรุษ ชนชั้นนำ ทั้งในด้านการปกครอง ศาสนาและ ความสัมพันธ์กับรัฐอื่นๆ แต่ในการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ต้องให้ ความสำคัญกับบุคคลต่างที่มีความแตกต่าง หลากหลายทั้งสถานภาพทางสังคม ตำแหน่งแห่งที่ บทบาททางสังคม หรือความต่างทางชาติพันธุ์และอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม ภูมินิเวศ ที่ส่งผลต่อการดำรงชีวิตของ มนุษย์ การปรับตัวให้สอดคล้องกับบริบทความเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตามปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างที่ช่วยให้ สามารถวิเคราะห์ถึงสาเหตุ ผู้ศึกษาควรให้ความสำคัญอย่างรอบด้าน หรืออาจ ใช้แนวคิดทฤษฎีทางสังคมศาสตร์เป็นเครื่องมือทางความคิด หรือเป็นแนวทาง ในการตั้งคำถามสำหรับการวิเคราะห์ อธิบาย ตลอดจนเป็นการให้ความหมาย


201 กับข้อมูล เพื่อเกิดมุมมองในมิติใหม่ๆ อย่างหลากหลายภายใต้โครงเรื่องที่ กำหนด ทั้งนี้เนื่องจากการวิเคราะห์ทางประวัติศาสตร์ ต้องคำนึงถึงปัจจัยหลาย ประการดังกล่าว เราอาจเริ่มจากพื้นฐานขั้นต้น อันประกอบด้วยตัวบุคคลใน ประวัติศาสตร์ สภาวการณ์ในขณะนั้นและพฤติกรรมที่เกิดขึ้น จากนั้นตั้งคำถาม เพื่อเชื่อมโยงเข้าด้วยกันว่าสิ่งเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร และทำไมจึง เกิดสภาวการณ์และการกระทำดังกล่าว การใคร่ครวญหาคำตอบของปัญหา ทั้งหมดนี้จะเป็นแนวทางในการหาสาเหตุของเหตุการณ์ที่กำลังศึกษาอยู่38 ทำให้ปรากฏการณ์นั้นมีความหมายที่เป็นเรื่องราวขึ้น ไม่ใช่แค่เพียงการรวบรวม หลักฐานไว้เท่านั้น สรุป การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นจำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับหน่วยทาง ภูมิศาสตร์ที่กว้างใหญ่ที่ไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวโดยไม่สัมพันธ์กับใคร ซึ่งไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่เพียงท้องถิ่นของประเทศไทยเท่านั้น ขณะเดียวกัน นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นต้องมีความรู้อย่างเพียงพอทั้งทางด้านโบราณคดี ประวัติศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คติชนวิทยา เพื่อเป็นประโยชน์ต่อ การทำงาน โดยเฉพาะการลงพื้นที่ภาคสนามซึ่งถือเป็นวิธีการที่สำคัญของ การทำงานประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ดังนั้นผู้ศึกษาควรมีการเตรียมตัวทั้งในแง่ของ ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับพื้นที่ศึกษา รวมทั้งเตรียมความพร้อมทั้งร่างกาย เปิดใจ รับฟังความคิดและเสียงที่มาจากภายในชุมชน เพื่อที่จะเข้าถึงพื้นที่และเข้าถึง ข้อมูลได้หลากหลายวิธี โดยสาระสำคัญของเครื่องมือศึกษาประวัติศาสตร์ 38 วีณา เอี่ยมประไพ, หลักกฐานทางประวัติศาสตร์, 143-144.


202 ท้องถิ่นนั้น เป็นความพยายามหาข้อมูลหลักฐานและทำความเข้าใจพื้นที่ ผู้คน และเวลาของชุมชนท้องถิ่น อีกทั้งการเลือกใช้เทคนิคและเครื่องมือเพื่อ การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นนั้นขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและปัจจัยของชุมชนที่มี ความหลากหลาย ตลอดจนโจทย์วิจัยหรือคำถามหลักที่ผู้ศึกษาต้องการหา คำตอบ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้การศึกษาประวัติศาสตร์มีชีวิต เรื่องราว และสร้างพื้นที่ทางความรู้ควบคู่ไปกับการสร้างสำนึกของผู้คนในท้องถิ่น


203 บทที่ 5 ความสำคัญและบทบาท ของประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในปัจจุบัน “....การช่วยกันฟื้นฟูรักษาจะทำให้เกิดความหมายที่งดงาม และสามารถเหยียบยืนบน ‘สวนสวรรค์’ แห่งนี้ได้อย่างเต็มเท้า เราจะรู้สึกสดชื่น เป็นอิสระ เมื่อได้สูดหายใจเอากลิ่นดอกไม้พื้นเมืองอันคุ้นเคย ก่อนย่างก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับอดีตอย่างมั่นคง ในท่ามกลางความผันแปรของมวลอากาศโลกที่ไม่แน่นอนมากขึ้นทุกที...” (ยงยุทธ ชูแว่น, 2562) ในอดีตประวัติศาสตร์ท้องถิ่นมีความสำคัญที่ช่วยสร้างเอกภาพและ ความมั่นคงให้กับรัฐและศูนย์อำนาจของชาติไทยในการเผชิญหน้าจักรวรรดิ นิยม แต่ในปัจจุบันบริบทสังคมไทยไม่ได้เป็นเช่นเดิมอีกแล้ว1 โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งในช่วงเวลาหลัง พ.ศ. 2500 ที่ผ่านมา สังคมไทยเผชิญหน้ากับความ เปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคมวัฒนธรรมและ สภาพแวดล้อมที่รายล้อมอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นจึง มีความจำเป็นและเป็นเครื่องมือสำคัญในการปรับตัวเองให้สอดคล้องกับความ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น รวมถึงการที่ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นมีพลังในการฟื้นอำนาจ ของท้องถิ่นให้มีความรู้ในการจัดการตนเองเพื่อเป็นการเสริมอำนาจของผู้คนใน 1 ยงยุทธ ชูแว่น, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นไทย, (กรุงเทพฯ: ยิปซี กรุ๊ป, 2562), 416.


204 ชุมชนท้องถิ่นและมีส่วนร่วมในการพัฒนาชาติที่กระจายความรับผิดชอบและ ผลประโยชน์ต่างๆ อย่างยุติธรรม หากเราในฐานะผู้ศึกษาและสนใจ ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นควรพิจารณาความสำคัญ และแนวทางในการใช้ประโยชน์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงบทบาทของประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในปัจจุบัน อย่างน้อย 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่การสร้างสำนึกทางประวัติศาสตร์ การเพิ่มเติมองค์ความรู้ ทางประวัติศาสตร์ และการใช้เป็นแนวทางการพัฒนานโยบายเชิงพื้นที่ได้ 5.1 การสร้างสำนึกทางประวัติศาสตร์ของประชาชนให้ตระหนักถึงคุณค่า ของตัวเองและชุมชนท้องถิ่น สังคมไทยมักคุ้นชินกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่นมานานแล้ว โดยที่ผ่านมา ความทรงจำเกี่ยวกับอดีตชุมชนปรากฏในรูปแบบตำนาน เรื่องเล่านิทาน ประวัติสถานที่ บุคคลสำคัญที่มีบทบาทในท้องถิ่นเป็นสำคัญ แต่การศึกษาที่มี ลักษณะการสืบค้นแบบวิชาการเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นภายหลัง พ.ศ. 2516 นับถึงปัจจุบัน เป็นระยะเวลาไม่นานเมื่อเทียบกับการศึกษาในโลกตะวันตกที่ได้ดำเนินการมานาน นับศตวรรษ2 อย่างไรก็ตามในช่วงหลังทศวรรษ 2530 การศึกษาท้องถิ่นในมิติ ประวัติศาสตร์เพิ่มจำนวนมากขึ้น เนื่องจากสถาบันการศึกษาส่วนภูมิภาคเติบโต และผลิตผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่น สถาบันวิจัยสังคม สถาบันวิจัย ชาวเขา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สถาบันวิจัยและพัฒนามหาวิทยาลัยขอนแก่น สถาบันเหล่านี้สนใจศึกษาเรื่องราวระดับหมู่บ้าน กลุ่มชาติพันธุ์ โดยให้ความ สนใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมที่ได้รับ 2 ยงยุทธ ชูแว่น, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นไทย, 40-41.


205 ผลกระทบจากนโยบายการพัฒนาและความทันสมัย เห็นได้ว่าการให้ ความสำคัญต่อแนวทางการศึกษานี้เชื่อว่า การศึกษาประวัติศาสตร์ชุมชน เป็นกลไกสำคัญในการปรับเปลี่ยนความทรงจำร่วมกันของสังคมที่มีความสำคัญ อย่างยิ่ง เนื่องจากความทรงจำร่วมกันของสังคม คือสิ่งที่ทำให้สมาชิก ของสังคมหนึ่ง รับรู้ได้ว่าอะไรคือความสำเร็จและความล้มเหลวในอดีตที่ผ่านมา สาเหตุปัจจัยของความสำเร็จหรือความล้มเหลวนั้นคืออะไร ทิศทางที่สังคม ให้ดำเนินมาในอดีตนั้นมีความเหมาะสมหรือไม่ เพียงใด และเป้าหมายที่สังคม กำลังดำเนินไปสู่คืออะไรและจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้อย่างไร การเติบโตของประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในทศวรรษ 2540 ส่วนหนึ่งเป็น ผลจากการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว) ที่ให้ ความสำคัญกับการศึกษาวิจัยประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอย่างจริงจัง การสนับสนุน ให้เกิดผลงานวิจัยทางด้านประวัติศาสตร์ชุมชนท้องถิ่นขึ้นมาจำนวนไม่น้อยกว่า 100 เรื่อง โดยมีทั้งชุดโครงการและโครงการวิจัยย่อย ตัวอย่างงานศึกษาที่ สำคัญ คือ การศึกษาแบบชุดโครงการ “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น 4 ภาค” ประกอบด้วย ชุดโครงการประวัติศาสตร์ท้องถิ่นภาคเหนือ ประวัติศาสตร์เพื่อ ชุมชน ประสานงานโดย อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ ชุดโครงการ “ประวัติศาสตร์ ท้องถิ่นภาคอีสาน: การขยายตัวของชุมชนลุ่มน้ำชี” ประสานงานโดยทวีศิลป์ สืบวัฒนะ ชุดโครงการ “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นภาคกลาง” ประสานงานโดย ชู พินิจ เกษมณี ชุดโครงการ “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นภาคใต้บริเวณลุ่มทะเลสาบ สงขลาในมิติประวัติศาสตร์” และชุดโครงการเครือข่ายปริญญาโทไทยศึกษา “เศรษฐกิจชุมชนหมู่บ้านบริเวณลุ่มทะเลสาบสงขลาในมิติประวัติศาสตร์” ประสานงานโดย ยงยุทธ ชูแว่น มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นงานศึกษาที่มีกรอบ


206 ความคิดที่ต้องการศึกษาชุมชนระดับย่อยลงมา โดยมองว่าการศึกษาเกี่ยวกับ เรื่องราวชีวิตชุมชนหมู่บ้านที่แตกต่างจากประวัติศาสตร์ชาติ เป็นการศึกษา ความเปลี่ยนแปลงและการดำรงอยู่ของชุมชน โดยเฉพาะความสัมพันธ์ภายใน ชุมชนและระหว่างชุมชนกับภายนอกที่มีผลต่อความเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตและ สมบัติชุมชน ดังคำอธิบายของอรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ ผ่านการสรุปบทเรียนจากการ ทำงานโครงการวิจัย ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นภาคเหนือ ประวัติศาสตร์เพื่อชุมชน ที่มีเป้าหมายเพื่อคืนประวัติศาสตร์ให้แก่ชาวบ้าน เนื่องจากความทรงจำเกี่ยวกับ อดีตของชุมชนถูกทำให้ลืมอันเป็นผลจากการขยายตัวของรัฐในช่วงเวลาที่ผ่าน มา นำไปสู่การล่มสลายของชุมชนในภาคเหนือและปัญหาสังคมอย่างกว้างขวาง รวมทั้งการสูญเสียคลังทางปัญญาของชาวบ้านที่จะใช้เป็นฐานในการปรับตัว เพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ให้แก่สังคมไทย และเป็นฐานที่มั่นของ สังคมไทยในการต่อรองและต่อสู้กับระบบเศรษฐกิจทุนเสรีนิยมใหม่ที่ผันผวน ตลอดเวลา3 และเน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการศึกษาประวัติศาสตร์ ท้องถิ่น ว่าหากปราศจากการศึกษาประวัติศาสตร์ของชุมชนแล้วย่อมสูญเสีย พลังการปรับตัวในที่สุดและมีแนวโน้มที่จะกลายเป็น “ชุมคน” ที่ปราศจาก สำนึกร่วมของความเป็น “ชุมชน” อันจะทำให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมาย ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือผสานคนในชุมชนให้มีสำนึกร่วมที่มีรากเหง้าร่วมกัน การสร้างประวัติศาสตร์ท้องถิ่นย่อมไม่ใช่ประวัติศาสตร์ที่สร้างขึ้นโดย 3 อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์, ประวัติศาสตร์เพื่อชุมชน ทิศทางใหม่ของ การศึกษาประวัติศาสตร์, (กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนงานวิจัย, 2548), 30.


207 นักวิชาการเท่านั้น แต่ต้องเป็นสำนึกร่วมและสำนึกรู้ของคนในชุมชนว่ามีที่มาที่ ไปอย่างไรหรือมีส่วนในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงในชุมชนอย่างไรจนทำให้ ชุมชนก้าวมาถึงปัจจุบันได้4 นอกจากนี้ยังสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ยังได้มีการ ส่งเสริมให้เกิดโครงการยุววิจัยประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในภูมิภาคต่างๆ ทั่ว ประเทศ เพื่อสนับสนุนให้เด็กนักเรียนมัธยมได้เข้าร่วมกระบวนการเรียนรู้โดยมี ครูเป็นผู้ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งโครงการนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่กระตุ้นให้ เยาวชนในสถานศึกษาหันมาสนใจศึกษาเรื่องราว ประวัติความเป็นมาและความ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นตนเอง อันเป็นจุดเชื่อมให้คนรุ่นใหม่ได้ตระหนัก ถึงคุณค่าของประเพณีท้องถิ่น พิธีกรรม ความเชื่อ โบราณสถาน โบราณวัตถุ และภูมิปัญญาของบรรพชน ซึ่งจะก่อให้เกิดสำนึกรัก ความหวงแหน และ มองเห็นเกียรติประวัติและศักดิ์ศรีของท้องถิ่นตนเอง 5 ตัวอย่างเช่น โครงการ ยุววิจัยประวัติศาสตร์ท้องถิ่นภาคกลาง มีหน่วยงานสถาบันวิจัยภาษาและ วัฒนธรรมเอเชียมหาวิทยาลัยมหิดล เป็นผู้ประสานงานและเป็นทีมนักวิจัยพี่ เลี้ยงให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการ ดำเนินการใน 7 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี ราชบุรี 4 อรรถจักร์สัตยานุรักษ์, ข้อเสนอในการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น: ประวัติศาสตร์ชุมชนท้องถิ่นภาคเหนือ ใน ธนาพล ลิ่มอภิชาติและสุวิมล รุ่งเจริญ (บรรณาธิการ), เจ้าพ่อประวัติศาสตร์จอมขมังเวทย์ รวมบทความประวัติศาสตร์ใน โอกาสครบรอบ 60 ปี ฉลอง สุนทราวาณิชย์, (กรุงเทพฯ: ศยาม, 2558) 5 ขวัญจิต ศศิวงศาโรจน์, “ท้องถิ่นภาคกลางท่ามกลางกระแสการ เปลี่ยนแปลง บทสังเคราะห์จากโครงการยุววิจัยประวัติศาสตร์ท้องถิ่นพื้นที่ภาค กลาง” ใน วารสารมนุษยศาสตร์สังคมศาสตร์ 30(2) พ.ค.-ส.ค., 2556.


208 สุพรรณบุรี เพชรบุรี นครปฐม สมุทรสาครและสมุทรสงคราม มีโรงเรียนที่เข้า ร่วมเป็นทีมยุววิจัยรวมโครงการ 98 โรงเรียน มีประเด็นวิจัยรวม 112 เรื่อง ซึ่งมี จุดร่วมของคำถามในประเด็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงด้านกายภาพและวิถีชีวิต ของคนลุ่มน้ำภาคกลาง 6 ปรากฏการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าประวัติศาสตร์ท้องถิ่นไม่ใช่ ผลิตผลทางความคิดที่มาจากศูนย์กลางแต่เป็นสิ่งที่ชุมชนท้องถิ่นสร้างขึ้นเพื่อทำ ความเข้าใจ ตัวตน มีส่วนช่วยให้รู้จักตัวตนและสร้างสำนึกท้องถิ่น ประวัติความ เป็นมาและเรื่องราวในอดีตของชุมชนสามารถบอกได้ว่าชุมชนนั้นเคยทำและ ทำอะไรได้บ้าง ทำอะไรไม่ได้บ้าง กลัวหรือชอบอะไร เชื่อหรือไม่เชื่ออะไร มีแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างไร สิ่งเหล่านี้ที่ได้รวบรวมกลายเป็นภูมิปัญญา และสิ่งที่สืบทอดต่อมายังผู้คนในท้องถิ่น การกลับไปทำความรู้จักตัวตนของผู้คน ในท้องถิ่นจึงมีความสำคัญสำหรับชีวิตในอนาคต7 6 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน ชูพินิจ เกษมณี และกุลวดี เจริญศรี, รายงาน การวิจัยฉบับสังเคราะห์ โครงการวิจัยประวัติศาสตร์ท้องถิ่นภาคกลาง, (กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, 2549). 7 ทวีศิลป์ สืบวัฒนะ, แนวคิดและแนวทางการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, (กรุงเทพฯ: อินทนิล, 2554), 156.


209 5.2 การขยายพื้นที่และเพดานความรู้ทางประวัติศาสตร์ การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเป็นการอธิบายตัวตนในการรับรู้ของ ผู้คนในชุมชน ซึ่งอาจไม่ได้เป็นประวัติศาสตร์ชุดเดียวกับประวัติศาสตร์ที่รัฐเป็น ผู้กำหนด รวมทั้งการอธิบายความเปลี่ยนแปลง โดยพิจารณาเรื่องของเวลาตาม สายตาของชาวบ้านซึ่งเป็นการระบุจากภายในถึงการเปลี่ยนแปลงสำคัญๆ ที่ กระทบต่อชีวิต รวมทั้งการแบ่งเวลา (periodization) จากความรู้สึกนึกคิดของ ชาวบ้าน ส่งผลให้เรื่องราวของผู้คนระดับล่างหรือระดับสามัญชนขึ้นมา มีความสำคัญ ดังนั้นความสำคัญในอีกมิติ คือ การยกระดับคุณค่าและการใช้ บริบทของท้องถิ่นเพื่ออธิบายหรือเพิ่มเติมประเด็นสำคัญในบริบทประวัติศาสตร์ รวมทั้งการเพิ่มพูนองค์ความรู้ทางด้านมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์อื่นๆ ทำให้ เกิดมุมมองใหม่ในการศึกษา มีคุณค่าและเห็นภาพของประวัติศาสตร์องค์รวมที่ ชัดเจนขึ้นและทำให้เกิดการศึกษาประวัติศาสตร์ในมุมกว้างโดยอาศัยบริบททาง เวลาและพื้นที่ชัดเจน ครอบคลุมและมีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น ตัวอย่างเช่น โครงการวิจัยของสุภาภรณ์ จินดามณีโรจน์และคณะเรื่อง ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นย่านเก่าในกรุงเทพมหานคร8 ที่มีวัตถุประสงค์ต้องการ ศึกษาค้นคว้าเก็บข้อมูลประวัติศาสตร์ท้องถิ่นกรุงเทพฯ อย่างจริงจังก่อนที่ ชุมชนและภูมิปัญญาชาวกรุงเทพฯ กำลังจะเลือนหายไปจากสังคม โดยมีพื้นที่ ศึกษาในย่านพระนคร ธนบุรีซึ่งส่วนใหญ่เน้นพื้นที่ย่านกรุงรัตนโกสินทร์ ย่านศิริ ราช วังหลัง ธนบุรี และย่านภูมิปัญญา ชาติพันธุ์ และศาสนาในพื้นที่รอบเกาะ รัตนโกสินทร์เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงและอัตลักษณ์ความเป็น 8 สุภาภรณ์ จินดามณีโรจน์ และคณะ, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นย่านเก่าใน กรุงเทพมหานคร, (กรุงเทพฯ: หจก.เอราวัณการพิมพ์, 2554).


210 ท้องถิ่นในพื้นที่ต่างๆ ของกรุงเทพฯ งานวิจัยชิ้นนี้ถือได้ว่าเป็นความพยายาม ถ่ายทอดข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่นกรุงเทพฯ ให้ครอบคลุม หลากหลายพื้นที่ ซึ่งช่วยเติมเต็มข้อมูลประวัติศาสตร์ในพื้นที่กรุงเทพฯ ให้มี ความสมบูรณ์และสะท้อนให้เห็นภาพความเป็นกรุงเทพฯ ในมุมมองของชุมชน ท้องถิ่นเป็นสำคัญ ภาพที่ 5.1 หนังสือ ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นย่านเก่าในกรุงเทพมหานคร จัดทำโดย คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร


211 รวมทั้งงานวิจัยที่ขยายองค์ความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของ พื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการสืบค้นและจัดการมรดก ทางวัฒนธรรมอย่างยั่งยืนในอำเภอปาย ปางมะผ้าและขุนยวม จังหวัด แม่ฮ่องสอน โดยมีรัศมี ชูทรงเดช จากภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดีเป็น หัวหน้าโครงการวิจัย9 โดยข้อค้นพบของงานวิจัยด้านประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นว่า พื้นที่อำเภอปาย ปางมะผ้าและขุนยวมนั้นประกอบด้วยความหลากหลายของ กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีการปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ในแต่ละช่วงเวลา โดยใช้ วิธีการสำรวจและรวบรวมข้อมูลทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเพื่อทำความเข้าใจ ท้องถิ่นในมิติทางวัฒนธรรม สังคมและเศรษฐกิจ อีกทั้งยังเป็นการศึกษา ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่ไม่ใช่การศึกษาเพื่อให้รู้ความเป็นมาของท้องถิ่นเท่านั้น หากแต่ยังช่วยเพิ่มพื้นที่ของท้องถิ่นในประวัติศาสตร์ชาติและสามารถดึง ศักยภาพทางวัฒนธรรม เช่น ภูมิปัญญาชาวบ้าน แหล่งโบราณคดี มรดกทาง วัฒนธรรมต่างๆ เพื่อนำไปสู่การจัดการมรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นได้ใน อนาคต10 9 ดูเพิ่มเติมใน รัศมี ชูทรงเดช และคณะ, รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการ สืบค้นและจัดการมรดกทางวัฒนธรรมอย่างยั่งยืนในอำเภอปาย-ปางมะผ้า-ขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน ระยะที่ 3, (กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย), 2556. 10 นุชนภางค์ ชุมดี, “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นปาย ปางมะผ้าและขุนยวมใน ประวัติศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2417-2530” ในวารสาร Veridian E-Journal, Silpakorn University สาขามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์และศิลปะ ปีที่ 8 ฉบับที่ 2(พฤษภาคมสิงหาคม), 2558, 2445-2465.


212 เช่นเดียวกับงาน ชัยพงษ์ สำเนียง เรื่อง พลวัตการสร้างและการรับรู้ ประวัติศาสตร์เมืองแพร่ พ.ศ. 2445-2549 ที่ศึกษาโดยเน้นไปที่ประเด็นเรื่อง การรับรู้ เมืองแพร่ รวมทั้งกบฏเงี้ยวเมืองแพร่ ซึ่งถือเป็นประวัติศาสตร์บาดแผล ของท้องถิ่นเมืองแพร่ ทั้งของรัฐ ตระกูลเจ้านายท้องถิ่นและชาวเมืองแพร่ ผ่าน เอกสารหลักฐานชั้นต้นและชั้นรอง งานศึกษาชิ้นนี้พยายามถอดรื้อความหมาย ของความเป็นประวัติศาสตร์ชาติไทย ความหมายของตัวตนคนล้านนาหรือ ภูมิภาค ทั้งนี้โดยมองว่าประวัติศาสตร์ คือปฏิสัมพันธ์ของอดีตกับปัจจุบัน ที่ขึ้นอยู่กับการตีความ จึงส่งผลให้การรับรู้ตัวตนและความทรงจำต่อเมืองแพร่ มีความแปรเปลี่ยนภายใต้บริบทที่แตกต่างกันในมิติของเวลา11 จากกรณีงาน ศึกษาทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่ยกมาสะท้อนให้เห็นว่านอกจากจะเพิ่มเติม ขยายขอบเขตของเนื้อหาในประวัติศาสตร์ชาติไทยแล้ว การศึกษาประวัติศาสตร์ ท้องถิ่นยังสามารถเพิ่มมุมมองใหม่ต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ที่มากกว่า การค้นหาและการนำเสนอความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคมและ วัฒนธรรมของท้องถิ่น นอกจากงานศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นได้เพิ่มพื้นที่ทาง ประวัติศาสตร์ให้กับผู้คนในชุมชนท้องถิ่นแล้ว ยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์เป็น บทเรียนเพื่อการต่อสู้กับอำนาจรัฐและทุนภายนอก กล่าวคือ ประวัติศาสตร์ ท้องถิ่นเป็นการศึกษาประวัติศาสตร์สังคมที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทาง สังคมที่เชื่อมโยงเกี่ยวพันกับผู้คนกับพื้นที่อันก่อให้เกิดสำนึกร่วม เพราะความ 11 ชัยพงษ์ สำเนียง, “พลวัตการสร้างและการรับรู้ประวัติศาสตร์เมืองแพร่ พ.ศ.2445-2549”, (วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2551).


213 เชื่อร่วมกันในทางประวัติศาสตร์เช่นนี้จะเชื่อมโยงคนในท้องถิ่นเดียวกัน มีจารีต ขนบธรรมเนียบ พิธีกรรมความเชื่อและกติกาการใช้ทรัพยากรร่วมกัน12 หากมี ข้อขัดแย้งเกี่ยวกับการแย่งชิงทรัพยากรหรือเรียกร้องสิทธิชุมชนย่อมสามารถใช้ เรื่องราวความเป็นมาของคนในท้องถิ่น เช่น การศึกษาในเรื่องชื่อสถานที่ใน รูปแบบของประวัติศาสตร์สังคมท้องถิ่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนในชุมชนท้องถิ่นต้องรู้ ร่วมกันและสื่อสารกันได้ อาจทำให้ท้องถิ่นที่เคยถูกแย่งชิงทรัพยากรและลดรอน สิทธิสามารถดำเนินการได้อย่างชอบธรรม ดังเช่น ในงานของสุนทรชัย ชอบยศ ศึกษาถึงบทเรียนจากท้องถิ่นอีสานในการนำประวัติศาสตร์มาใช้ในการพัฒนา ท้องถิ่น ในประเด็นเรื่องการเรียกร้องสิทธิในที่ดินทำกิน กรณีพื้นที่ บ้านป่าโนนยาง อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ ที่ชาวบ้านใช้หลักฐาน ประวัติศาสตร์ในการอ้างสิทธิ์ในที่ดินทำกินของตนที่มีมาก่อน พ.ศ. 2468 ประกอบกับหลักฐานการสร้างวัดบ้านโนนแย้ขึ้นใน พ.ศ. 2463 ก่อนที่จะมีการ ออกกฎหมายที่ดินใน พ.ศ. 2468 ย่อมชัดเจนว่าชุมชนย่อมเกิดขึ้นก่อน ดังนั้น ทางราชการจึงได้ยกเลิกกฎหมายทำเลเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ป่าโนนยาง ซึ่งถือเป็น ความสำเร็จในการใช้ประวัติศาสตร์มาเป็นหลักฐานในการต่อสู้เรียกร้องด้าน สิทธิในที่ดินทำกิน13 12 ศรีศักร วัลลิโภดม, วลัยลักษณ์ ทรงศิริ, ปฏิบัติการประวัติศาสตร์ ท้องถิ่น, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์, 2557), 9-10. 13 สุนทรชัย ชอบยศ, “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเพื่อการพัฒนารากฐาน ท้องถิ่นที่เข้มแข็งและยั่งยืน” ในวารสารสถาบันพระปกเกล้า (พ.ค.-ส.ค. 2562), 130.


214 5.3 การประยุกต์ใช้ความรู้ที่ได้จากการศึกษามากำหนดนโยบายเพื่อการ พัฒนาชุมชนท้องถิ่น ปัจจุบันมีการทบทวนแนวทางการพัฒนาให้เกิดความสมดุลและ เหมาะสมกับสังคมมากขึ้น กล่าวคือ เป็นการพัฒนาที่มุ่งเน้นไปที่ตัวคน ซึ่งหมายถึงการพัฒนาที่ทำให้เกิดความเติบโตและมั่นคงแก่ชีวิต เห็นได้ว่า การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเข้ามามีความสำคัญและมีบทบาทใน กระบวนการพัฒนาที่ทุกคนมีส่วนร่วม เพื่อเป็นพื้นฐานความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ตลอดจนแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้สอดคล้องกับบริบทเเละ เพิ่มศักยภาพของท้องถิ่นตามความเหมาะสม กระบวนการเรียนรู้ผ่านการทำงานศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น สามารถสร้างความผูกพันและการสร้างพลเมืองในทางอ้อมเนื่องจากมีความรู้สึก เป็นเจ้าของหรือนำมาเป็นเครื่องมือในการยืนยันสิทธิของชุมชน หากเกิดกรณี ปัญหาเรื่องการจัดการทรัพยากรหรือข้อพิพาทระหว่างรัฐและชุมชน นอกจากนี้ ยังมีการนำเรื่องราวประวัติศาสตร์ท้องถิ่นหรือการรับรู้เรื่องราวท้องถิ่นมาใช้เพื่อ ต่อสู้อำนาจรัฐแล้วยังมีพื้นที่อื่นๆ ที่นำมาใช้ในเชิงการพัฒนา เช่น ชุมชนบ้านภู อำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร ที่นำวิถีชีวิตและประวัติศาสตร์เรื่องเล่าของ ชุมชนชาวภูไท มาพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวในเชิงวัฒนธรรม14 การประยุกต์ใช้ ความรู้เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการกำหนดนโยบายการพัฒนามีทิศทางที่ น่าสนใจและเป็นประเด็นที่ควรพิจารณา ดังนี้ 14 สุนทรชัย ชอบยศ, “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเพื่อการพัฒนารากฐาน ท้องถิ่นที่เข้มแข็งและยั่งยืน”, 117.


215 (1) การจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นและหลักสูตรท้องถิ่น ประเด็นนี้มี ความเกี่ยวเนื่องกับการใช้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเพื่อการเสริมสร้างพัฒนา ด้านการศึกษาทั้งภายในและภายนอกท้องถิ่น ปัจจุบันหลายพื้นที่มีการส่งเสริม การเรียนรู้ท้องถิ่นผ่านกระบวนการสร้างชุดองค์ความรู้ในท้องถิ่นซึ่งอาจไม่ได้ สอนในตำราเรียน เช่น การสร้างองค์ความรู้ผ่านแบบเรียนหรือหลักสูตรท้องถิ่น การสร้างพื้นที่ในการรวบรวมความรู้ในรูปแบบของศูนย์เรียนรู้หรือพิพิธภัณฑ์ ท้องถิ่น ทวีศิลป์ สืบวัฒนะ กล่าวถึงบทบาทความสำคัญของประวัติศาสตร์ ท้องถิ่นในการพัฒนาเชิงพื้นที่ว่า การสร้างแบบเรียนเรื่องราวเกี่ยวกับท้องถิ่นไม่ ว่าจะเป็นเรื่องพัฒนาการประวัติศาสตร์ของพื้นที่ บุคคลสำคัญ อาหารท้องถิ่น เทคโนโลยี ภูมิปัญญาต่างๆ ของท้องถิ่นนั้นสามารถเป็นแบบฝึกหัดให้เด็ก เยาวชนทำความรู้จักพื้นที่ของตนเองว่ามีสภาพภูมิประเทศอย่างไร ความเปลี่ยนแปลงอย่างไรจนถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและผู้คนเหล่านั้นในแต่ละยุค สมัยแก้ไขปัญหาอย่างไร เรื่องต่างๆ เหล่านี้สามารถเป็นบทเรียนและแบบฝึกหัด สำหรับนักเรียนในท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี15 การศึกษาและรวบรวมข้อมูลประวัติศาสตร์หมู่บ้านหรือชุมชนท้องถิ่น นอกจากจะนำข้อมูลเหล่านั้นมาเป็นสร้างเป็นบทเรียน แบบเรียนหรือการ ออกแบบหลักสูตรเฉพาะของท้องถิ่นเพื่อให้คนในท้องถิ่นได้เข้าใจท้องถิ่นของ ตนมากขึ้นแล้ว ยังสามารถนำมาต่อยอดในเรื่องของการสร้างพื้นที่จัดเก็บและ กระจายความรู้ผ่านการศึกษาตามอัธยาศัย เป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิต เช่น 15 ทวีศิลป์ สืบวัฒนะ, แนวคิดและแนวทางการศึกษาประวัติศาสตร์ ท้องถิ่น, (กรุงเทพฯ : อินทนิล, 2554), 159.


216 การสร้างศูนย์เรียนรู้ พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ซึ่งเป็นการจัดการความรู้ ด้านประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรมและสามารถเชื่อมโยงกับประเด็น การประยุกต์ใช้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี ทั้งเรื่องการสร้าง ความผูกพันหรือเป็นฐานเรียนรู้มรดกทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ด้วยรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การดำเนินงานในรูปแบบพิพิธภัณฑ์ในระยะแรกมักอยู่ในรูปแบบของ การเก็บรวบรวมโบราณวัตถุ สิ่งของที่มีค่าและของแปลก เพื่อนำมาจัดแสดง ผ่านนโยบายของรัฐหรือสนับสนุนความพยายามของรัฐไทยที่ต้องการแสดงถึง ความเป็นอารยะ ต่อมาแนวคิดและวิธีการจัดการพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเข้ามายังวัด ประจำท้องถิ่นหรือจังหวัด เช่น พระปฐมเจดีย์พิพิธภัณฑสถาน จังหวัดนครปฐม (พ.ศ. 2454) พิพิธภัณฑ์วัดพระบรมธาตุไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี(พ.ศ. 2478) ต่อมามีการดำเนินการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมประจำภูมิภาค รวมทั้งการจัดตั้ง ศูนย์วัฒนธรรมอำเภอและจังหวัดในพื้นที่ที่มีความพร้อมและเหมาะสมตามมา16 อย่างไรก็ตามแนวคิดเรื่องของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่เกิดขึ้นและขยายตัว ในช่วง พ.ศ. 2530 ถือว่าเป็นความเคลื่อนไหวการทำงานที่ไม่ได้มาจากกลไก ของภาครัฐ แต่เป็นกลไกของชาวบ้านและนักวิชาการกลุ่มของอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม และมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ที่มีส่วนกระตุ้นและผลักดันให้ เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ได้เข้าไปมีส่วนร่วมให้คำปรึกษาการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ ท้องถิ่น จนเกิดกระแสการสร้างพิพิธภัณฑ์ขึ้นหลายแห่ง ซึ่งจำเป็นต้องเกิด 16 ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน), “การก่อตัวของพิพิธภัณฑ์ ท้องถิ่นไทยในบริบทของนโยบายรัฐ”, เข้าถึงเมื่อ 31 พฤษภาคม 2565, เข้าถึงได้จาก https://db.sac.or.th/museum/article/17.


217 กระบวนการเรียนรู้ของคนในเพื่อให้คนในชุมชนโดยเฉพาะเยาวชนได้รู้จักตัวเอง และมีความรู้ทางภูมิปัญญาที่ถ่ายทอดกันมา รู้จักบทบาทหน้าที่ของแต่ละฝ่าย เพื่อให้เข้าใจแนวคิด วิธีการ รวมทั้งภาพรวมของท้องถิ่นด้วยกัน17 อีกทั้งศรีศักร วัลลิโภดม ยังเน้นย้ำให้เห็นว่าการจัดการพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเพื่อการพัฒนาเชิง พื้นที่ ความสำคัญไม่ได้เกิดจากสิ่งของจัดแสดงหรือตัวอาคารที่เป็นโครงสร้าง ทางกายภาพเท่านั้น หากจะต้องสัมพันธ์กับเนื้อหาประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์สังคม และชีวิตวัฒนธรรมของผู้คนที่อยู่ในชุมชนท้องถิ่น เดียวกัน18 ตัวอย่างเช่น พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดม่วง จังหวัดราชบุรี พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นบ้านเขายี่สาร จังหวัดสมุทรสงคราม พิพิธภัณฑ์มีชีวิต ตลาดสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี กรณีการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดม่วง เป็นการดำเนินงานระหว่าง มหาวิทยาลัยศิลปากร เครือข่ายนักวิชาการ และชาวบ้านม่วง ทั้งในส่วนของ วัดม่วง โดยมีพระครูวรธรรมพิทักษ์ (พระอาจารย์ลม) ดำรงตำแหน่งเป็น เจ้าอาวาสในขณะนั้น ปราชญ์ผู้รู้ในพื้นที่จำนวนมาก โดยใช้ระยะเวลาใน การจัดทำพิพิธภัณฑ์ประมาณ 2 ปี (ระหว่าง พ.ศ. 2534-2536) ต่อมาได้มีการ จัดโครงการอบรม “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น: กระบวนการเรียนรู้ร่วมกันเพื่อ นำไปสู่การพัฒนา กรณีศึกษาลุ่มน้ำแม่กลองตอนล่าง บ้านโป่ง-โพธาราม” 17 ศรีศักร วัลลิโภดม, “พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น กระบวนการเรียนรู้”, เข้าถึงเมื่อ 31 พฤษภาคม 2565, เข้าถึงได้จาก https://lekprapai.org/home/view.php ?id=631. 18 ศรีศักร วัลลิโภดม, สังคมและวัฒนธรรมชุมชนคนยี่สาร. (กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, 2545).


218 นำโดยรองศาสตราจารย์สุภาภรณ์ จินดามณีโรจน์ หมวดวิชาประวัติศาสตร์ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร อธิบายถึงความสำคัญและบทบาทของ ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ว่าการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นมีความจำเป็น ซึ่งช่วย ให้สังคมเข้าใจรากเหง้า เข้าใจเอกลักษณ์ อัตลักษณ์ของตนเองและผู้อื่น ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจและความมั่นใจ สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการ พัฒนาชุมชนให้เข้มแข็งและยั่งยืน อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับ “คนใน” ซึ่งได้แก่ ชาวบ้าน พระสงฆ์ อาจารย์ ครูในโรงเรียน เจ้าหน้าที่หน่วยงานราชการในพื้นที่ ซึ่งจะเป็นพลังขับเคลื่อนให้เข้าใจการพัฒนาชุมชน งานพิพิธภัณฑ์ และการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในอนาคตได้19 19 สุภาภรณ์ จินดามณีโรจน์ (บรรณาธิการ), เอกสารประกอบการอบรม โครงการ “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น: กระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อนำไปสู่การพัฒนา” ระยะที่ 1 ณ ห้องประชุมสภา องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านม่วง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี วันที่ 20-22 กันยายน 2552.


219 ภาพที่ 5.2 พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดม่วง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ภาพที่ 5.3 ตัวอย่างการจัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดม่วง


220 ความสนใจของชุมชนท้องถิ่นที่ต้องการนำเสนอเรื่องราวทาง ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของตนเองด้วยการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นปัจจัยจากหน่วยงานภายนอกที่เข้ามาส่งเสริมและสนับสนุน การจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น โดยเฉพาะโครงการวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ ท้องถิ่น ของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ที่เริ่มต้นใน พ.ศ. 2546 ส่งผลให้เกิดการเชื่อมโยงความรู้ทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่นกับวัตถุสิ่งของ สถานที่ ความทรงจำและเรื่องเล่าของผู้คนจนสามารถผลักดันให้เกิดฐานข้อมูล พิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย20 (2) การเสริมสร้างด้านการท่องเที่ยว โดยนำข้อมูลทางวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์เป็นองค์ประกอบสำคัญในการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม กระแสการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเข้ามามีบทบาทอย่างมากในอุตสาหกรรม การท่องเที่ยวของประเทศไทย ดังเช่นใน พ.ศ. 2561 กระทรวงการท่องเที่ยว และกีฬากำหนดให้เป็นปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน21 การส่งเสริม ภาพลักษณ์อันสวยงาม การรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีของแหล่งท่องเที่ยว รวมทั้งข้อมูลทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่มีความสำคัญในการบอกเล่าเรื่องราว ประวัติความเป็นมาก็สามารถทำหน้าที่เชื่อมโยงเรื่องการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี 20 ดูเพิ่มเติมใน ศิริพร ศรีสินธุ์อุไร (บรรณาธิการ), พิพิธภัณฑ์ภาคสนาม: ประสบการณ์จากคนลองทำ, (กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, 2551). 21 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนการ พัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างยั่งยืนและสร้างสรรค์ พ.ศ. 2561-2565 และ เกณฑ์คัดเลือก 303 ชุมชน, เข้าถึงเมื่อ 30 พฤษภาคม 2565, เข้าถึงได้จาก https://www.mots.go.th


221 โดยการบอกเล่าเรื่องราวของชุมชนถือเป็นจุดดึงดูดที่สำคัญที่จะให้นักท่องเที่ยว เข้าชมและเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมหรือเข้าใจในเส้นทางท่องเที่ยวที่ถูกกำหนด โดยหน่วยงาน องค์กรหรือเครือข่ายชุมชนท้องถิ่น การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม หมายถึง การท่องเที่ยวในพื้นที่หรือ บริเวณที่มีคุณลักษณะที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม มีการบอกเล่า เรื่องราวในการพัฒนาทางสังคมและมนุษย์เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณีในท้องถิ่น อีกทั้งการท่องเที่ยวต้องไม่ส่งผลกระทบ ทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อสภาพแวดล้อม และรวมถึงการจัดการเพื่อให้เกิด ความยั่งยืนประกอบด้วย การจัดการด้านการอนุรักษ์แหล่งด้านท่องเที่ยว การจัดการให้ความรู้ การสร้างจิตสำนึกในเรื่องของคุณค่าของแหล่งวัฒนธรรม และการจัดการท่องเที่ยวอีกทั้งยังคงอนุรักษ์ไว้ซึ่งความเป็นเอกลักษณ์ของ สถานที่ท่องเที่ยวนั้น นอกจากสิ่งอำนวยความสะดวกและการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวที่เป็น องค์ประกอบสำคัญของการท่องเที่ยวแล้ว แหล่งท่องเที่ยวก็นับว่าเป็นส่วน สำคัญต่อการเลือกตัดสินใจเข้ามาท่องเที่ยวซึ่งต้องมีแรงดึงดูดใจที่เกิดจาก สถานที่ (Site) และเหตุการณ์(Event) ซึ่งอาจเกิดจากธรรมชาติหรือมนุษย์ สร้างขึ้น22 เพื่อให้เกิดความประทับใจต่อแหล่งท่องเที่ยว แนวคิดเรื่องการ ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่นำเอาเรื่องเล่า สถานที่ อาคารบ้านเรือน หรือ เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่น มาเป็นต้นทุนทางวัฒนธรรมที่ใช้ 22 สุกัญญา วงศ์เจริญชัยกุล, “การศึกษาแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยว เชิงวัฒนธรรม อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี”, (วิทยานิพนธ์หลักสูตรบริหารธุรกิจ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2561), 21.


222 ต่อรอง ปรับตัวของผู้คนให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนามีตัวอย่างให้เห็น มากมาย โดยเฉพาะในช่วงเวลาหลังทศวรรษ 2550 เป็นต้นมา ดังกรณีชุมชนตลาดหัวตะเข้ เขตลาดกระบัง ที่ต้องการฟื้นฟูชุมชนและ อนุรักษ์รูปแบบของสถาปัตยกรรมเรือนไม้แถวร้านค้าริมน้ำ เพื่อการพัฒนาให้ เป็นแหล่งท่องเที่ยวในช่วง พ.ศ. 2555 ซึ่งได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากสกว. ในโครงการวิจัยเรื่อง “รูปแบบและการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนที่เหมาะสม กับชุมชนหลวงพรต-ท่านเลี่ยม เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร” โดยเริ่มต้น จากการสืบค้นต้นทุนทางวัฒนธรรม ทั้งในเรื่องประวัติศาสตร์ของชุมชน ภูมิ ปัญญาของชาวบ้าน เช่น การต่อเรือ ต่อระหัดวิดน้ำ และการศึกษารูปแบบ สถาปัตยกรรมเรือนแถวไม้ชุมชนตลาดหัวตะเข้ โดยคณะอาจารย์และนักศึกษา จากสถาบันพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และวิทยาลัยช่างศิลป์ และ จัดกิจกรรม “ตลาดนัดศิลปะ/Art Market” จนกระทั่งนำไปสู่การรวมกลุ่ม คนรักหัวตะเข้23 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมมือ ช่วยเหลือและสนับสนุนกิจกรรม ฟื้นฟูตลาดหัวตะเข้และนำไปสู่การฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในตลาดหัวตะเข้ ต่อมา ในช่วง พ.ศ. 2555 ได้เข้าร่วมกับเครือข่ายการท่องเที่ยวภาคประชาสังคม24 ซึ่ง เป็นองค์กรภาคประชาชน โดยมุ่งหวังให้ชุมชนต่างๆ ค้นหามรดกทางวัฒนธรรม 23 สุรัมภา โสภา, “การเปลี่ยนแปลงสภาพเศรษฐกิจชุมชนตลาดหัวตะเข้ กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2488-2563”, (รายงานการค้นคว้าเฉพาะบุคคล สาขาวิชา ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2564), 54-60. 24 เครือข่ายการท่องเที่ยวภาคประชาสังคม, เข้าถึงเมื่อ 28 พฤศจิกายน 2565, เข้าถึงได้จาก https://www.facebook.com/thaitourismsociety /about_details.


223 และทรัพยากรที่มีคุณค่า อนุรักษ์ให้คงอยู่ นำมาฟื้นฟูต่อยอดและพัฒนา ศักยภาพในการจัดการโดยชุมชน โดยใช้ “การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือ” ในการพัฒนาสังคมและท้องถิ่นให้เข้มแข็ง กรณีการรวมกลุ่มภาคประชาคมในนามชมรม “อย่าลืมโพธาราม” ซึ่งเกิดจากแนวคิดที่ต้องการฟื้นวิถีชีวิตและวัฒนธรรมในชุมชนย่านตลาด โพธารามที่มีความสำคัญตั้งแต่อดีต เป็นจุดจอดพักเรือล่องกรุงเทพฯ และเมือง ต่างๆ ในเขตจังหวัดราชบุรี เป็นย่านการค้าศูนย์กลางขนส่งสินค้าเกษตรและ สินค้าอื่นๆ ภายหลังเมื่อมีเส้นทางรถไฟผ่านจึงเกิดการขยายตัวของคนค้าขาย โดยเฉพาะคนจีนที่เข้ามาตั้งร้านค้าและอยู่อาศัยในตลาดโพธารามจำนวนมาก ดังปรากฏในบันทึกพระราชหัตเลขาในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2452 กล่าวว่า “…ตำบลโพธารามนี้เป็นที่ตลาดอย่างสำเพ็ง ยืดยาวมาก ผู้คนหนาแน่น จำนวน คนในโพธารามมีถึง 40,000 มากกว่าอำเภอราชบุรีเสียอีก..”25 กลุ่มสมาชิกของชมรม “อย่าลืมโพธาราม” เป็นการรวมกลุ่มคนย่าน ตลาดโพธารามแต่กำเนิดอยู่อาศัยจนปัจจุบัน โดยทางกลุ่มเห็นความสำคัญใน เรื่องการอนุรักษ์และสร้างคุณค่าให้กับประวัติศาสตร์ในพื้นที่ เริ่มจากการจัด กิจกรรมปรับภูมิทัศน์ชุมชนและเก็บข้อมูลเพื่อสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับประวัติ ความเป็นมาของอาคารเก่าและวิถีชีวิตชาวบ้าน ฟื้นฟูประเพณีต่างๆ เพื่อนำไป พัฒนาเป็นกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมซึ่งเป็นที่นิยมสำหรับ นักท่องเที่ยว นอกจากนี้ในบางชุมชนยังมีการทำภาพแนว Street Art ที่สะท้อน 25 วลัยลักษณ์ ทรงศิริ, ฟื้นพลังความหลากหลายทางวัฒนธรรมในสังคม สยาม, (กรุงเทพฯ มูลนิธิเล็ก -ประไพ วิริยะพันธุ์, 2556), 29-39.


224 ความเป็นชุมชน เข้ามาเพิ่มเสน่ห์ให้ชุมชนมีสีสันและยังร่วมทำงานกับเครือข่าย ภายนอกอื่นๆ เช่น ช่างภาพกลุ่มสห+ภาพ จัดนิทรรศการภาพถ่ายและ ของดีโพธาราม โดยตั้งชื่อว่า “ลืมไม่ลง คงไม่ลืม..โพธาราม” 26 ทั้งนี้เพื่อมุ่งหวัง ปลูกจิตสำนึกรักบ้านเกิด การอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวเชิง อนุรักษ์ให้กับพื้นที่กลับมามีชีวิตและสร้างความหมายต่อสังคมที่กำลังเปลี่ยนไป 26 จิระนันท์ พิตรปรีชา, “อย่าลืมโพธาราม” เข้าถึงเมื่อ 30 พฤษภาคม 2565, เข้าถึงได้จาก https://d.dailynews.co.th/article/149285/. ภาพที่ 5.4 ตัวอย่างการประชาสัมพันธ์กิจกรรม ย่านตลาดโพธาราม จ.ราชบุรี ที่มา: เพจเฟซบุ๊ค อย่าลืมโพธาราม https://www.facebook.com/photaramclub.


225 หรือกรณีการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนเทศบาลตำบลนาอ้อ โดยเฉพาะในช่วงเวลาหลัง พ.ศ. 2538 เป็นต้นมา ที่มีการปรับปรุง บูรณะปฏิสังขรณ์ศาสนาคาร ศาสนสถานต่างๆ เช่น อุโบสถ ศาลาหอฉัน ส้วม โบราณ การรวบรวมเครื่องมือเครื่องใช้ในอดีต เพื่อจัดทำศูนย์เรียนรู้ชุมชนบ้าน นาอ้อ การจัดตั้งหอพิพิธภัณฑ์วิจารณ์สังฆกิจ ขณะเดียวกันทางเทศบาลตำบล นาอ้อยังได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในชุมชน โดยเฉพาะวัดศรีจันทร์ ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมประเพณีของ ชุมชนบ้านนาอ้อ ตลอดจนวัดศรีชมชื่นและสถาปัตยกรรมบ้านเรือนแบบเสาดิน ภายในชุมชน ส่งผลต่อการสื่อสารทำความเข้าใจเรื่องมรดกทางวัฒนธรรม และ ยังมีการจัดพื้นที่เป็นลานวัฒนธรรมเพื่อจัดแสดงสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นและใช้จัด กิจกรรมงานบุญประเพณีต่างๆ เช่น บุญข้าวจี่ บุญสงกรานต์ เป็นต้น 27 ตลอดจนมีการพัฒนาเป็นเส้นทางการท่องเที่ยว 3 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางที่ 1 ยินดีต้อนรับสู่เทศบาลตำบลนาอ้อ เส้นทางที่ 2 ยินดีต้อนรับสู่ดินแดนแห่ง วัฒนธรรม และ เส้นทางที่ 3 เส้นทางรอบตำบลนาอ้อ ยินดีต้อนรับสู่การเรียนรู้ อาชีพ28 27 ปฐมพร จำปาอ่อน, “การศึกษาบทบาทของพระครูวิจารณ์สังฆกิจ(ภา) ต่อการพัฒนาชุมชนบ้านนาอ้อ ตำบลนาอ้อ อำเภอเมือง จังหวัดเลย (พ.ศ. 2457- 2564)”, (รายงานการค้นคว้าเฉพาะบุคคล สาขาวิชาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น คณะ โบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2565), 146-148. 28 ดูรายละเอียดใน “เส้นทางท่องเที่ยว” เทศบาลตำบลนาอ้อ, เข้าถึงเมื่อ 30 พฤษภาคม 2565, เข้าถึงได้จาก http://www.tessabanna-o.go.th.


226 ภาพที่ 5.5 เส้นทางท่องเที่ยว ยินดีต้อนรับสู่ดินแดนแห่งวัฒนธรรม ที่มา: เทศบาลตำบลนาอ้อ อำเภอนาอ้อ จังหวัดเลย จากกรณีตัวอย่างทั้งชุมชนตลาดหัวตะเข้ ชุมชนท้องถิ่นโพธาราม และ บ้านนาอ้อ เห็นได้ว่าการถ่ายทอดและเก็บรวบรวมความทรงจำร่วมของสังคม ที่ผ่านเรื่องเล่า สถานที่สำคัญ ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ปูชนียบุคคลและ ประวัติศาสตร์ชุมชนท้องถิ่นล้วนเป็นองค์ความรู้ มรดกทางวัฒนธรรมและ ภูมิปัญญาที่สำคัญอย่างยิ่ง อีกทั้งยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์ต่อยอดเพื่อการ พัฒนาเชิงพื้นที่ในรูปแบบของการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของชุมชนได้


227 (3) การนำเสนอในรูปแบบต่างๆ แม้ว่าปัจจุบันประวัติศาสตร์ท้องถิ่น จะได้รับความสนใจและขยายตัวในเรื่องของประเด็นศึกษามากขึ้น แต่การเผยแพร่องค์ความรู้จากการศึกษา วิจัย ส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบงานเขียน วิชาการ รายงานวิจัย วิทยานิพนธ์ในสถาบันอุดมศึกษา จึงส่งผลให้เกิดข้อจำกัด ในการเผยแพร่ผลงานประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในวงกว้าง การนำเสนอและเผยแพร่ ความรู้สามารถทำได้หลากหลายรูปแบบและวิธีการ ทั้งที่เป็นเอกสารและ การปฏิบัติกิจกรรมในรูปแบบต่างๆ เช่น การจัดทำสารคดีเชิงประวัติศาสตร์ คลิปออนไลน์เพจเผยแพร่ความรู้ในช่องทางออนไลน์รวมทั้งการนำเสนอด้วย การเล่าเรื่อง นิทรรศการ เพื่อสร้างแรงจูงใจต่อผู้ชมในด้านความรู้ความเข้าใจ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เปลี่ยนแปลงทัศนคติ ดังกรณีตัวอย่างของกิจกรรมงาน Bangkok Design Week & Urban Ally Festival 2022 เทศกาลออกแบบกรุงเทพฯ ในย่านพระนคร และ เทศกาล “รวม-มิตร-เมือง” ซึ่งทางสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การ มหาชน) หรือ CEA ร่วมกับศูนย์เชื่อมโยงอาเซียนด้านการออกแบบเมืองและ สร้างสรรค์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากรและเครือข่าย มิตรเมือง นำเสนอกิจกรรมด้านการออกแบบเมืองสร้างสรรค์ที่น่าสนใจ โดยใช้ องค์ความรู้ คลังข้อมูลภูมิปัญญา เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ในพื้นที่ เป็นฐานข้อมูลในเล่าเรื่องย่านเก่าเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ จัดแสดงงานผ่าน ศิลปะสร้างสรรค์ บอกเล่าเรื่องราวตัวตนของพื้นที่ ตัวอย่างเช่น กิจกรรม “ตามรอยรส(ชาติ)ย่านบางลำพู” เป็นการนำวัฒนธรรมอาหารมานำเสนอใน มุมมองใหม่ เล่าเรื่องราวที่มาของอาหารที่ผสมผสานวัฒนธรรมชาติพันธุ์ต่างๆ ทั้งไทย มอญ จีน แขก เข้าด้วยกัน เรียนรู้เรื่องอาหารกับเมืองในชุมชนย่าน


228 บางลำพู เพื่อทำให้เข้าใจความหลากหลาย การตั้งถิ่นฐานของผู้คนที่มีความต่าง ทางวัฒนธรรม29 หรือกรณี “บ้านเก่าเล่าเรื่อง” ชุมชนเจริญไชย ที่จัดแสดง นิทรรศการ แสดงประวัติความเป็นมาของชุมชนและจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ ของคณะงิ้วจีน รวมทั้งภาพเก่าเล่าเรื่องวิถีชีวิตผู้คนและจำลองประเพณีจีนและ ส่วนประกอบที่ใช้ในงานพิธีกรรม30 ตลอดจนการจัดกิจกรรมเสวนาและเผยแพร่ ความรู้ด้านประวัติศาสตร์และภูมิปัญญาของชุมชนเจริญไชยที่มีความสำคัญและ มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่อดีตในฐานะเป็นย่านเศรษฐกิจการค้า เป็นแหล่งซื้อ ขายกระดาษไหว้เจ้าและของใช้ในประเพณีที่สำคัญแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ การนำเสนอองค์ความทางด้านประวัติศาสตร์หลากหลายรูปแบบ ทั้ง การจัดงานนิทรรศการดังที่กล่าวข้างต้นแล้วก็ยังมีการจัดเวทีเสวนาแลกเปลี่ยน เรียนรู้ รวบรวมความรู้หรือคืนความรู้ให้กับพื้นที่ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ทั้ง คนในชุมชนท้องถิ่น เครือข่ายทำงาน และสังคมภายนอกมากขึ้น ดังเช่นกรณี การจัดกิจกรรม โครงการในพื้นที่ย่านตลาดน้อย-ตรอกตัน อย่างต่อเนื่องของ สาขาวิชาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น คณะโบราณคดี ดังเช่น การจัดกิจกรรม “แต่งตัวให้ตรอก เพื่อบอกเล่าว่ามีตัวตน” ผ่านวงเสวนา ดวงตะวัน-ตรอกตันสว่างจิตต์ และนิทรรศการภาพถ่ายและผลงานของนักศึกษา ที่ได้จากการเก็บ ข้อมูลภาคสนามเล่าเรื่องราว ความสำคัญของผู้คน วัฒนธรรมในชุมชนตรอกตัน ตลาดน้อย 29 “รวมเมืองมิตร งานออกแบบพลิกโฉม ย่านพระนคร”, เข้าถึงเมื่อ 4 มิถุนายน 2565, เข้าถึงได้จาก https://www.thaipost.net/all-news/81683/. 30 “บ้านเก่าเล่าเรื่อง ชุมชนเมืองเจริญไชย”, เข้าถึงเมื่อ 4 มิถุนายน 2565, เข้าถึงได้จาก https://db.sac.or.th/museum/museum-detail/38.


229 ปัจจุบันหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชนและสถาบันการศึกษา ให้ ความสำคัญด้านงานบูรณาการ การทำงานในศาสตร์ความรู้ของตนเองกับชุมชน ท้องถิ่นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์และ นวัตกรรม (อว.) ที่มีภารกิจในการรบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาพื้นที่ และเป็นกลไกในการขับเคลื่อนยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ด้วย การวิจัยและนวัตกรรม ใน พ.ศ. 2562 ได้จัดตั้งหน่วยบริหารและจัดการทุน ด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) มีวิสัยทัศน์เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของ ประชาชนในพื้นที่ จากการวิจัยเพื่อพัฒนาพื้นที่ (Area-Based Collaborative ภาพที่ 5.6 ป้ายประชาสัมพันธ์กิจกรรม “แต่งตัวให้ตรอก เพื่อบอกว่ามี ตัวตน” ผ่านงานเสวนา นิทรรศการ ภูมิปัญญาอาหาร วันที่ 20-21 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 จัดโดย สาขาวิชาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น คณะ โบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร


230 Research) ซึ่งเป็นฐานงานเดิมจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ซึ่งเป็นผลจากการปฏิรูปโครงสร้างหน่วยบริหารและจัดการทุนใหม่ สำหรับ หน่วยบริการจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) มีหน้าที่จัดสรรทุน วิจัยและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่ การพัฒนาชุมชนหรือท้องถิ่น โดยมี วัตถุประสงค์ให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น โดยมีกรอบการวิจัยในหลาย ประเด็น เช่น การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Area-Based Creative Economy) เมืองศูนย์กลางที่น่าอยู่ เมืองอัจฉริยะ (Smart City) ดังกรณีตัวอย่างชุดโครงการ “การอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าราชบุรี เมืองสร้างสรรค์และน่าอยู่ เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ฐานวัฒนธรรมและความ เป็นอยู่ที่ยั่งยืน โดยมีรองศาสตราจารย์ดร. นันทนิตย์ วานิชาชีวะ มหาวิทยาลัย ศิลปากร เป็นหัวหน้าชุดโครงการ เป้าหมายการดำเนินงานเพื่อการอนุรักษ์ ฟื้นฟู ทรัพยากรที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรมของ เมืองเก่าราชบุรี 31 เห็นได้ว่าการสนับสนุนทุนวิจัยจากหน่วยงานภาครัฐและ การทำงานของเครือข่ายนักวิชาการจากสถาบันการศึกษา รวมทั้งหน่วยงาน เครือข่ายต่างๆ ในพื้นที่ ได้ส่งเสริมให้องค์ความรู้ด้าน “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น” ถูกหยิบมานำเสนอหรือต่อยอดเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของพื้นที่ เช่น การพัฒนาเส้นทางนำร่อง “ราชบุรีและชาวจีนโพ้นทะเล” จากวัดช่องลมซุ้มประตูจีน-ศาลเจ้าพ่อกวนอู ราชบุรี-พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติราชบุรี-ตลาด เก่าเมืองราชบุรี เพื่อรองรับการฟื้นฟูเส้นทางท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ หรือ 31 รายงานประจำปี 2563 หน่วยบริหารและจัดการทุน ด้านการพัฒนา ระดับพื้นที่ (บพท.) , เข้าถึงเมื่อ 30 พฤศจิกายน 2565, เข้าถึงได้จาก https://www.nxpo.or.th/A/3259/.


231 การเกิดกระแสความสนใจในกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่หันมาสนใจเรื่องราวของ ถิ่นฐานบ้านเกิด อีกทั้งยังส่งเสริมความเข้มแข็งของภาคีเครือข่ายภายในจังหวัด ราชบุรีและพื้นที่จังหวัดใกล้เคียง 32 สรุป ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นแสดงให้เห็นถึงเรื่องราวความเป็นมาของผู้คนใน ท้องถิ่นที่มีความเคลื่อนไหวจากภายในและไม่ได้เน้นการอธิบายที่อำนาจรัฐ ส่วนกลางหรือใช้ราชธานีเป็นโครงเรื่องหลัก แต่เป็นเรื่องราวความเปลี่ยนแปลง การเคลื่อนไหวและการปรับตัวของผู้คนในพื้นที่ นอกจากจะเพิ่มเติมเนื้อหาของ ประวัติศาสตร์ให้มีความสมบูรณ์มากขึ้นแล้ว ยังสามารถนำองค์ความรู้ที่ได้จาก การศึกษาไปสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือเป็นแนวทางการผลักดันนโยบาย เชิงพื้นที่ได้ เช่น การวางแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเชิงพื้นที่ การสร้างหลักสูตร ท้องถิ่นศึกษาหรือประวัติศาสตร์ในสถานศึกษา การจัดตั้งศูนย์เรียนรู้หรือ พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น เป็นต้น หรือไปพัฒนาต่อยอดให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ในรูปแบบต่างๆ เช่น การทดลองออกแบบเส้นทางการท่องเที่ยวเชิง ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม การพัฒนาอบรมบุคลากรเกี่ยวกับอาชีพที่สร้าง รายได้โดยใช้ฐานความรู้ทางประวัติศาสตร์และภูมิปัญญาในพื้นที่ เป็นต้น 32 ผู้จัดการออนไลน์, “ม.ศิลปากร” พลิกฟื้นราชบุรี จากเมืองเก่าสู่เมือง ร่วมสมัย, เข้าถึงเมื่อ 28 พฤศจิกายน 2565, เข้าถึงได้จาก https://mgronline. com/politics/detail/9640000094591.


233 บทที่ 6 บทสรุป การเติบโตของประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในวงวิชาการของประเทศไทย เริ่มปรากฏตัวในช่วงทศวรรษ 2510 เป็นต้นมา ก่อนหน้านั้นแม้จะมีการศึกษา ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นบ้างแล้ว แต่ไม่ได้เรียกว่า ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ผู้ที่ใช้คำ ว่าประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเป็นคนแรกน่าจะเป็น นิธิเอียวศรีวงศ์ เมื่อเขียนคำนำ หนังสือประวัติศาสตร์อีสาน ของเติม วิภาคย์พจนกิจ เมื่อ พ.ศ. 2513 และเริ่มขยายความสนใจโดยมีรายละเอียดเนื้อหา มุมมองทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมมากขึ้น การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นทำให้การศึกษาประวัติศาสตร์ของ สังคมไทยชัดเจนสมบูรณ์ยิ่งขึ้นนับจากอดีตการศึกษาประวัติศาสตร์ไทย ให้ความสำคัญกับการศึกษาประวัติศาสตร์ชาติโดยมีผู้นำและกลุ่มผู้ปกครองเป็น ศูนย์กลางของเรื่อง เรื่องราวของท้องถิ่นมักจะปรากฏในส่วนที่เกี่ยวพันกับ ผู้ปกครองหรือศูนย์กลางเท่านั้น ในช่วงเวลาถัดมาการศึกษาประวัติศาสตร์ เริ่มมีความใกล้ชิดกับการศึกษาในเชิงสังคมศาสตร์อื่นๆ และหยิบยืมแนวคิด ทฤษฎีทางสังคมศาสตร์มาใช้เพิ่มขึ้น เนื่องจากประวัติศาสตร์แบบเดิมเน้นการ พรรณนาวิเคราะห์และไล่เลียงเหตุการณ์ตามลำดับเวลานั้นไม่เพียงพอต่อการ คึกษาที่จำเป็นต้องอธิบายสภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและวัฒนธรรมที่ ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ดังนั้นประวัติศาสตร์ท้องถิ่นจึงเป็นการสร้างอดีต เรียนรู้ เข้าใจอย่างเป็นรูปธรรม มีพันธะและความผูกพันกับชุมชนและผู้คนตามท้องถิ่น


234 ต่างๆ ไม่ใช่ประวัติศาสตร์เดิมๆ ที่ขาดจินตนาการและไม่มีความสัมพันธ์กับ สังคมผู้คน อย่างไรก็ตามในด้านวิธีการและแนวทางการศึกษาประวัติศาสตร์ ท้องถิ่นนั้นไม่ได้มีความแตกต่างจากการศึกษาประวัติศาสตร์โดยทั่วไปมากนัก วิธีการศึกษายังคงเป็นแนวทางเดียวกัน เริ่มตั้งแต่การค้นหาเรื่องที่จะศึกษา มีคำถามการวิจัย ที่จะศึกษาในรูปคำถาม ใคร ที่ไหน อย่างไร เมื่อไหร่ ทำไม เพื่อเป็นแนวทางในการค้นคว้ารวบรวมหลักฐาน จากนั้นนำข้อมูลหลักฐานมา ตรวจสอบผ่านการวิพากษ์หลักฐานและนำข้อมูลที่ได้มาเชื่อมโยงความสัมพันธ์ กันและเรียบเรียง ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความสามารถในการถ่ายทอดเรื่องราว ตามโครงเรื่อง หากแต่ส่วนการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น นอกจากจะให้ ความสำคัญกับหลักฐานประเภทลายลักษณ์อักษรแล้วยังให้คุณค่ากับหลักฐานที่ บอกเล่าเรื่องราวของคนในท้องถิ่น โดยเฉพาะข้อมูลจากการลงพื้นที่ภาคสนาม ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้วิธีการสังเกต สัมภาษณ์บุคคลที่เป็นผู้รู้หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับ ประเด็นคำถามหลักในงานศึกษา วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากบุคคล ผู้ศึกษา สามารถได้ทั้งข้อมูล ทัศนคติ อารมณ์ความรู้สึก อีกทั้งยังสามารถสังเกต พฤติกรรมต่างๆ ของผู้ให้คำสัมภาษณ์ได้ โดยข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์นั้น เกิดจากประสบการณ์โดยตรงหรือความทรงจำร่วมของผู้เล่า อีกทั้งยังเป็น วิธีการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ร่วมสมัยที่ยังอยู่ในความทรงจำ ของผู้เล่าเพื่อช่วยสร้างภาพในอดีตให้มีความชัดเจนหรือเสริมข้อมูลหลักฐาน ประเภทอื่นๆ ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น


235 นอกจากนี้การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นยังมีเครื่องมือการศึกษาที่ ช่วยสร้างความเข้าใจต่อพื้นที่และประเด็นเรื่องที่ต้องการศึกษา เช่น ภูมิศาสตร์ ที่ตั้ง แผนที่ชุมชน ผังเครือญาติ ลำดับเหตุการณ์ชุมชน ปฏิทินฤดูกาล ซึ่ง เครื่องมือแต่ละชิ้นมีจุดเด่นเฉพาะตัวและใช้ศึกษาในแง่มุมที่แตกต่างกันของ ชุมชนทั้งนี้เพื่อให้ผู้ศึกษาสามารถเข้าถึงพื้นที่ เข้าถึงผู้คน เข้าถึงข้อมูลและทำให้ เข้าใจรากเหง้า วิถีชีวิต วัฒนธรรม ภูมิปัญญา และการเปลี่ยนแปลงของท้องถิ่น จากอดีตถึงปัจจุบัน ตลอดจนเงื่อนไขและบริบทของการปรับตัวของชุมชนในมิติ ต่างๆ เครื่องมือศึกษาเหล่านี้เป็นตัวช่วยในการประเมินพื้นที่และวิเคราะห์ องค์ประกอบที่สามารถสังเกตได้ เพื่อพยายามค้นหาเชื่อมโยงแง่มุมที่แตกต่าง กันแล้วนำไปตั้งสมมติฐานหรือเป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์ประเด็นเรื่องที่ สนใจในอนาคต ปัจจุบันความสำคัญและบทบาทของประวัติศาสตร์ท้องถิ่นนอกจากจะ เพิ่มเติมองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ให้ครอบคลุมในมิติของผู้คนและเรื่องราว ที่หลากหลายมากขึ้นแล้ว ยังมีส่วนช่วยให้ชุมชนท้องถิ่นบอกเล่าเรื่องราวของ ตนเอง และสามารถเป็นแนวทางปรับใช้เพื่อการกำหนดนโยบายการพัฒนาเชิง พื้นที่ ตัวอย่างเช่น เสริมสร้างการศึกษาให้กับคนในพื้นที่ การจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น รวมทั้งนำไปพัฒนาเป็นหลักสูตรท้องถิ่นให้กับสถานศึกษา และผู้สนใจในพื้นที่ เสริมสร้างการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์วัฒนธรรม การ พัฒนาออกแบบผลิตภัณฑ์ชุมชนท้องถิ่น เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ สร้างสำนึก ทางประวัติศาสตร์ร่วมกันของสังคม หรือนำมาใช้เป็นเครื่องมือการต่อรอง ต่อสู้ ทางอุดมการณ์ความคิด ปรับเปลี่ยนทัศนคติ สร้างพื้นที่ความเข้าใจร่วมในสังคม เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นให้เกิดความสมดุลและเหมาะสมกับบริบทพื้นที่


236 รายการอ้างอิง หนังสือ กาญจนา แก้วเทพ. หลักการและแนวคิดในการพิจารณาโครงการวิจัยเพื่อ ท้องถิ่น (CBR) แนวคิดและประสบการณ์ของ CBR ภาคกลาง ตะวันตก ตะวันออก. กรุงเทพฯ: มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อท้องถิ่น, 2564. โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์. วิถีชุมชน เครื่องมือ 7 ชิ้น ที่ทำให้งานชุมชนง่าย ได้ผลและสนุก. นนทบุรี: สุขศาลา, 2562. คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุฯ. วัฒนธรรม พัฒนาการ ทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัด สมุทรสาคร. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, 2543. จิตร ภูมิศักดิ์. ความเป็นมาของคำสยาม ไทย ลาว ขอม และลักษณะทาง สังคมของชื่อชนชาติ. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ดวงกมล, 2524. ฉัตรทิพย์ นาถสุภาและคณะ. เศรษฐศาสตร์กับประวัติศาสตร์ไทย. กรุงเทพฯ: สร้างสรรค์, 2524. ฉัตรทิพย์ นาถสุภา. ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจและสังคม. กรุงเทพฯ: สร้างสรรค์, 2527. _______. เศรษฐกิจหมู่บ้านไทยในอดีต. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ: สร้างสรรค์, 2540.


237 _______. ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2543. ฉัตรทิพย์ นาถสุภา (บรรณาธิการ). ด้วยรัก เล่มที่ 1: ปรัชญาและสาระของ ประวัติศาสตร์และ สังคมศาสตร์. กรุงเทพฯ: สร้างสรรค์, 2556. ฉลอง สุนทราวาณิชย์ (บรรณาธิการ). สมุดราชบุรี พ.ศ. 2468, พิมพ์ครั้งที่ 2, 2550. ชัยพงษ์ สำเนียง. พัฒนาการของกลุ่มทุนและเครือข่ายธุรกิจในภาคเหนือของ ประเทศไทย พ.ศ. 2446-ปัจจุบัน: โครงการวิจัยฯ ที่ 10. กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, 2560. _______. ประวัติศาสตร์เมืองแพร่ รัฐจารีตสู่การสร้างอาณานิคมภายใน ภายใต้วาทกรรม “รัฐชาติ”. พิษณุโลก: ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 2564. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และสุชาติ สวัสดิ์ศรี (บรรณาธิการ). ปรัชญา ประวัติศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำรา สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2527. ชาย โพธิสิตา. ศาสตร์และศิลป์การวิจัยเชิงคุณภาพ: คู่มือนักศึกษาและ นักวิจัยสังคมศาสตร์. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด, 2564. ชนิดา พรหมพยัคฆ์ และ ณัฏฐพงษ์ สกุลเลี่ยว (บรรณาธิการ). วิธีวิทยาใน การศึกษาประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ: ศยาม, 2563.


238 ณัฎฐพงษ์ สกุลเลี่ยว. วิธีวิทยาของการศึกษาประวัติศาสตร์ไทย: ศึกษาจาก วิทยานิพนธ์สาขา ประวัติศาสตร์ในประเทศไทย ทศวรรษ 2520 ถึง ทศวรรษ 2550. พิษณุโลก: ภาควิชา ประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 2564. ดนัย ไชยโยธา. พัฒนาการ วิธีการเขียนประวัติศาสตร์กับปรัชญา ประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ: โอ เอส.พริ้นติ้ง เฮาส์, 2537. ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จฯ กรมพระยา. นิทานโบราณคดี. กรุงเทพฯ: คลัง วิทยา, 2517. _______. พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา. กรุงเทพฯ: กรม ศิลปากร, 2505. ดำรงพล อินทร์จันทร์. นิทรรศการ มานุษยวิทยา พัฒนา-กาล. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร. (องค์การมหาชน), 2561. เติม วิพาคย์พจนกิจ. ประวัติศาสตร์อีสาน. กรุงเทพฯ: สมาคมสังคมศาสตร์แห่ง ประเทศไทย, 2513. แถมสุข นุ่มนนท์. หลักฐานประวัติศาสตร์ในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: โอเดียน สโตร์, 2533. ทวีศิลป์ สืบวัฒนะ. แนวคิดและแนวทางการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น. กรุงเทพฯ: อินทนิล, 2554. เทศบาลนครสมุทรสาคร, สำนักงาน. ประวัติศาสตร์ ท่าฉลอม สุขาภิบาลหัว เมืองแห่งแรกของไทย, ม.ป.ท., 2552. ธิดา สาระยา. ตำนานและตำนานประวัติศาสตร์กับการศึกษาประวัติศาสตร์ ท้องถิ่น. กรุงเทพฯ: พิทักษ์อักษรการพิมพ์, 2525.


239 _______. (ศรี) ทวารวดี: ประวัติศาสตร์ยุคต้นของสยามประเทศ. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, 2532. ธงชัย วินิจจะกูล. (2562). ออกนอกขนบประวัติศาสตร์ไทย ว่าด้วย ประวัติศาสตร์นอกขนบและวิธีวิทยาทางเลือก. กรุงเทพฯ: ฟ้า เดียวกัน, 2562. นาฏวิภา ชลิตานนท์. ประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการ ตำราสังคมศาสตร์และ มนุษยศาสตร์, 2524. นิธิ เอียวศรีวงศ์ และ อาคม พัฒิยะ. หลักฐานประวัติศาสตร์ในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: ดวงดีการพิมพ์, 2525. _______. ว่าด้วย “การเมือง” ของประวัติศาสตร์และความทรงจำ. กรุงเทพฯ: มติชน, 2545. _______. กรุงแตก, พระเจ้าตากฯ และประวัติศาสตร์ไทย ว่าด้วย ประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์นิพนธ์. พิมพ์ครั้งที่ 9. กรุงเทพฯ: มติชน, 2550. _______. ปากไก่และใบเรือ: รวมความเรียงว่าด้วยวรรณกรรมและ ประวัติศาสตร์ต้นรัตนโกสินทร์. พิมพ์ครั้งที่ 4. นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2550. ประชากิจกรจักร์ (แช่ม บุนนาค) พระยา, พงศาวดารโยนก. กรุงเทพฯ: แพร่ วิทยา, 2515. พันจันทานุมาศ (เจิม). พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา. กรุงเทพฯ: คลัง วิทยา, 2506.


240 พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหมอบรัดเล. กรุงเทพฯ: โฆษิต, 2549. เพชรรุ่ง เทียนปิ๋วโรจน์. “จดหมายเหตุเจมส์ โลว์ ในฐานะหลักฐานชั้นต้นใน การศึกษาประวัติศาสตร์หัวเมืองปักษ์ใต้” ใน 100 เอกสารสำคัญ: สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย. กรุงเทพฯ: ศักดิโสภาการพิมพ์, 2555. ยงยุทธ ชูแว่น. ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นไทย. กรุงเทพฯ: ยิปซี กรุ๊ป, 2562. โรเบอร์ต วี แดเนียลส์. ธิดา สาระยา (แปล). ศึกษาประวัติศาสตร์อย่างไรและ ทำไม แปลจาก Studying History How and Why. กรุงเทพฯ: ดวงกมล, 2520. วลัยลักษณ์ ทรงศิริ. ฟื้นพลังความหลากหลายทางวัฒนธรรมในสังคมสยาม. กรุงเทพฯ มูลนิธิเล็ก – ประไพ วิริยะพันธุ์, 2556. วัฒนธรรมจังหวัดสมุทรสาคร, สำนักงาน. สมุทรสาครเมืองแห่งทะเลและ สายน้ำ. ม.ป.ท., 2556. _______. มรดกภูมิปัญญา พหุวัฒนธรรม ชาติพันธุ์สาครบุรี. ม.ป.ท., 2563. วศิน ปัญญาวุธตระกูล. ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น วิธีการศึกษาเชิงปฎิบัติการ แบบมีส่วนร่วม. พิษณุโลก: ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 2562 วินัย พงศ์ศรีเพียร. คู่มือการจัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย: จะเรียนจะสอนกันอย่างไร. กรุงเทพฯ: กรม วิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, 2543. วีณา เอี่ยมประไพ. หลักฐานทางประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์, 2535.


Click to View FlipBook Version