The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ตำราเรื่อง แนวคิดและวิธีการประวัติศาสตร์ท้องถิ่น จัดทำขึ้นเพื่อใช้ประกอบการจัดการเรียนการสอนรายวิชาดังกล่าว ซึ่งเป็นรายวิชาเอกบังคับของหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนรู้และเข้าใจเกี่ยวกับพัฒนาการของการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น แนวคิด วิธีการ เครื่องมือศึกษา อีกทั้งมีเนื้อหาการเรียนรู้เกี่ยวกับพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงของชุมชนท้องถิ่นเพื่อให้นักศึกษาสามารถใช้เป็นกรณีศึกษาหรือเปรียบเทียบวิเคราะห์กับประเด็นร่วมสมัยได้ ตลอดจนให้ผู้เรียนเข้าใจ<br>ถึงความสำคัญและบทบาทของงานประวัติศาสตร์ท้องถิ่นกับการพัฒนาเชิงพื้นที่

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by teresio.natthawat, 2023-01-15 04:07:44

ตำราแนวคิดและวิธีการประวัติศาสตร์ท้องถิ่น

ตำราเรื่อง แนวคิดและวิธีการประวัติศาสตร์ท้องถิ่น จัดทำขึ้นเพื่อใช้ประกอบการจัดการเรียนการสอนรายวิชาดังกล่าว ซึ่งเป็นรายวิชาเอกบังคับของหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนรู้และเข้าใจเกี่ยวกับพัฒนาการของการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น แนวคิด วิธีการ เครื่องมือศึกษา อีกทั้งมีเนื้อหาการเรียนรู้เกี่ยวกับพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงของชุมชนท้องถิ่นเพื่อให้นักศึกษาสามารถใช้เป็นกรณีศึกษาหรือเปรียบเทียบวิเคราะห์กับประเด็นร่วมสมัยได้ ตลอดจนให้ผู้เรียนเข้าใจ<br>ถึงความสำคัญและบทบาทของงานประวัติศาสตร์ท้องถิ่นกับการพัฒนาเชิงพื้นที่

Keywords: ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น

141 ท้องถิ่นในมิติทางวัฒนธรรม การศึกษาแนวเศรษฐกิจวัฒนธรรมชุมชน การศึกษาที่มุ่งเน้นหาศักยภาพของชุมชนชาวบ้าน แนวทางการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยก็ได้เกิดการขยายตัวทั้งในแง่ ผู้ผลิตงานประวัติศาสตร์ ซึ่งมีทั้งผู้ที่ศึกษาทางประวัติศาสตร์โดยตรง และ นักวิชาการที่ได้รับการศึกษาทางสังคมศาสตร์แขนงต่างๆ เช่น รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ มานุษยวิทยา จึงก่อให้เกิดแนวการศึกษาประวัติศาสตร์หลาย แนวทาง ซึ่งการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นก็เป็นอีกแนวทางที่ได้รับความสนใจ ในช่วงเวลาดังกล่าว โดยเฉพาะความสนใจในการศึกษาประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ ประวัติศาสตร์ทางภูมิปัญญา และประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมที่จะช่วย ให้เข้าใจประวัติศาสตร์ในหน่วยที่เล็กลงมา ตัวอย่างแนวทางการศึกษาของฉัตรทิพย์ นาถสุภา ผู้บุกเบิกการศึกษา ประวัติศาสตร์ไทยแนวเศรษฐศาสตร์การเมืองที่ขยายความสนใจต่อการใช้ หลักฐานที่เป็นข้อมูลเอกสารมาสู่กับการลงพื้นที่ภาคสนามเพื่อเก็บข้อมูลจาก การสัมภาษณ์ชาวบ้าน โดยในช่วง พ.ศ.2521-2527 และในช่วง พ.ศ.2538- 2540 เดินทางไปหมู่บ้านรวมกันมากกว่า 200 หมู่บ้านทั่วประเทศ และ สัมภาษณ์ชาวบ้าน พ่อค้าและอดีตข้าราชการมากกว่า 200 คน7 เพื่อศึกษา ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจหมู่บ้านไทยในอดีต ซึ่งเป็นการศึกษาประวัติศาสตร์ ท้องถิ่นที่พยายามอธิบายเศรษฐกิจหมู่บ้านในภาคต่างๆ มีการวิเคราะห์ เศรษฐกิจหมู่บ้านไทยก่อนได้รับผลกระทบจากการขยายตัวของทุนนิยมว่า หมู่บ้านในแต่ละภาคของไทยมีระบบเศรษฐกิจแบบยังชีพและทุนนิยมไม่ได้เข้า 7 ฉัตรทิพย์ นาถสุภา, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2543), 45-48.


142 ไปแทรกแซงหรือเปลี่ยนแปลงหมู่บ้านอย่างรวดเร็วฉับพลัน เนื่องจากการเข้ามา ของทุนนิยมเป็นลักษณะของการดึงเอาทรัพยากรจากหมู่บ้านเท่านั้น รวมทั้ง ภายในหมู่บ้านของไทยก็มีระบบความสัมพันธ์แบบเครือญาติและการพึ่งพา ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน 8 นอกจากนี้ยังมีนักวิชาการที่สนใจเรื่องราวของ ท้องถิ่นในมิติประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมที่สำคัญ ดังเช่น มรว.อคิน รพีพัฒน์ ศรีศักร วัลลิโภดม และอานันท์ กาญจนพันธุ์ ซึ่งทั้งสามท่านนี้ล้วน เป็นนักมานุษยวิทยาแต่มีความสนใจและมีวิธีการศึกษาประวัติศาสตร์ที่ให้ ความสำคัญกับมิติเวลาอย่างมาก กล่าวคือ มองเห็นความแตกต่างของสังคมใน ช่วงเวลาต่างๆ และมุ่งอธิบายความเปลี่ยนแปลงและให้ความสำคัญกับการ แสวงหาและตรวจสอบหลักฐาน เห็นได้ว่าการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่ให้ความสำคัญต่อการศึกษา ประวัติศาสตร์หน่วยย่อย เพื่อให้ครอบคลุมทุกมิติ สร้างความเข้าใจและรู้จัก ประวัติศาสตร์ชาติในแง่มุมที่กว้างขึ้นแล้วยังให้ความสำคัญกับข้อมูลหลักฐาน จากการลงพื้นที่ภาคสนาม ดังนั้นผู้ศึกษาต้องคำนึงถึงบริบทความเปลี่ยนแปลง ของสังคมที่มีความเป็นพลวัตสลับซับซ้อนในทุกมิติ เช่น การเคลื่อนย้ายแรงงาน การต่อรองทางอำนาจ การขยายตัวของทุนและตลาดซึ่งผลักดันให้เกิดความ ซับซ้อนของสังคมภายใต้กระแสโลกาภิวัฒน์ วิธีการศึกษาในภาคสนาม มีหลากหลายวิธี ตั้งแต่การเข้าไปอยู่ร่วมกับชาวบ้าน สังเกตพฤติกรรม และ มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อทำความเข้าใจวิธีคิด การใช้ชีวิต ที่เรียกว่าวิธีการสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม ซึ่งหมายถึงการเป็นส่วนหนึ่งในวิถี 8 ดูเพิ่มเติมใน ฉัตรทิพย์ นาถสุภา, เศรษฐกิจหมู่บ้านไทยในอดีต, พิมพ์ ครั้งที่ 4 (กรุงเทพฯ: สร้างสรรค์, 2540).


143 ชีวิตของสังคมนั้นๆ หรือการใช้วิธีการสัมภาษณ์ เพื่อสอบถามทัศนคติ ความทรง จำประสบการณ์ร่วมที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการเก็บข้อมูลประชากร และวัฒนธรรม เพื่อรวบรวมข้อมูลที่ได้เข้าสู่กระบวนการบันทึก ตีความ และนำเสนอข้อมูลเพื่อ การเผยแพร่ต่อไป 4.1.2 วิธีการเก็บข้อมูลในภาคสนาม กระบวนการจัดเก็บข้อมูลทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เป็นแนวทางให้ผู้ ศึกษาสามารถเข้าถึงพื้นที่และข้อมูลได้หลากหลายวิธี ทั้งนี้สามารถนำไป ประยุกต์ใช้กับการจัดเก็บข้อมูลให้สอดคล้องกับบริบทพื้นที่และประเด็นคำถาม หลักในงานศึกษา โดยมีแนวทางการดำเนินงานที่สำคัญ ดังนี้ 1. การเตรียมตัวทำงานภาคสนาม ขั้นตอนเริ่มแรกของงานวิจัย คือ การเตรียมตัวทำงานในภาคสนาม เป็นขั้นตอนที่สำคัญและเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงเพื่อให้บรรลุเป้าหมายและ ประสบความสำเร็จในการเก็บข้อมูลในพื้นที่ สุภางค์ จันทวานิช ได้อธิบายถึง ขั้นตอนการเข้าสนามในการวิจัยเชิงคุณภาพ มี 4 ขั้นตอนสำคัญ9 ดังนี้ (1) การเลือกสนาม ต้องดูความเหมาะสมและสอดคล้องกับปัญหาที่ ต้องการศึกษาว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ รวมทั้งข้อจำกัดในเรื่องของตำแหน่ง ที่ตั้ง การเดินทาง ความปลอดภัย และจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ 9 สุภางค์ จันทวานิช, วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2555), 25-43.


144 สนาม การใช้เวลาในสนามว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน เก็บข้อมูลในช่วงเวลาใด ใครเป็นผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key informant) ตัวอย่างเช่น หากเราต้องการเก็บ ข้อมูลเกี่ยวกับฤดูกาลผลิตทางเกษตรกรรมในพื้นที่ต้องหาข้อมูลเบื้องต้นและ วางแผนการเก็บข้อมูลตามช่วงเวลาของฤดูกาลเก็บเกี่ยว หรือการเก็บข้อมูล แบบมีส่วนร่วมในกิจกรรมของชุมชน เช่น การเข้าร่วมพิธีกรรม งานบุญ ประเพณีของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ศึกษา หรืองานเทศกาลที่จัดขึ้นรอบปีละ หนึ่งครั้ง ทั้งนี้เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสที่จะได้ข้อมูล การเตรียมตัวเข้าสนามควรเตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ กล่าวคือ ผู้วิจัยควรพยายามวางตน แต่งกายให้เหมาะสม ผสมกลมกลืนและ เคารพในความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่นักวิจัย พึงมีและปฎิบัติ รวมทั้งการเตรียมอุปกรณ์อื่นๆ ที่จำเป็นในการปฎิบัติงาน ภาคสนาม เช่น สมุดบันทึก กล้องถ่ายรูป เครื่องอัดเสียง (2) การแนะนำตัว ในขั้นตอนนี้เป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ จริยธรรม เนื่องจากการเก็บข้อมูลวิจัยที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ กล่าวคือ การนำ ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ สังเกตการณ์ต่างๆ มาเรียบเรียงและเผยแพร่ ถือ ว่าเป็นการนำข้อมูลส่วนบุคคลมาเปิดเผยต่อสาธารณะ ดังนั้นในฐานะนักวิจัย ควรแนะนำตัวอย่างจริงใจว่าเป็นใครมาจากไหน มาทำอะไร นำข้อมูลที่ได้ไปใช้ ประโยชน์อย่างไร บอกถึงสาเหตุการเลือกและผลที่ผู้ให้ข้อมูลหรือพื้นที่จะได้ จากการทำงานวิจัยในครั้งนี้และสิ่งที่พึงระวังคือ การกำหนดบทบาทของผู้วิจัย จะมีผลต่อพฤติกรรมและการแสดงออกของผู้ให้ข้อมูล ดังนั้นควรวางตัวเป็น


145 กลาง และหมั่นเป็นคนช่างสังเกต ระมัดระวังและปฏิบัติตัวให้เหมาะสมในพื้นที่ ภาคสนาม เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดอคติหรือนำไปสู่ความขัดแย้งภายในชุมชน (3) การสร้างความสัมพันธ์ เมื่อนักวิจัยเข้าไปสนาม ควรสร้าง ความคุ้นเคย หรือสร้างความสัมพันธ์เพื่อให้เกิดความไว้วางใจ เช่น การเข้าร่วม กิจกรรม พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ทั้งความต่างทางวัฒนธรรมต่างๆ เพื่อเป็น เครื่องช่วยให้นักวิจัยเข้าใจโลกทัศน์ของชาวบ้านได้เร็วขึ้น หรือใช้เทคนิควิธีการ สร้างความสัมพันธ์ เพื่อเป็นกุญแจแนะนำคนอื่นๆ ต่อไป หรือที่เรียกว่า เทคนิค Snow Ball Sampling คือ การขยายจำนวนกลุ่มคนที่ต้องการศึกษาหรือผู้ให้ ข้อมูลที่ค่อยๆ พอกพูนขึ้นเหมือนก้อนหิมะที่กลิ้งไปแล้วมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เทคนิควิธีนี้ใช้ได้ดีในสังคมที่ค่อนข้างปิดที่ผู้วิจัยไม่อาจสร้างความสัมพันธ์โดย การแนะนำตนเองได้อย่างทั่วถึง ตัวอย่างเทคนิควิธีการสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ ได้แก่ -วางท่าทีสงบ อย่าทำตัวเด่นจนเป็นสิ่งแปลกปลอม -หลีกเลี่ยงคำถามที่ทำให้เกิดความอึดอัดหรือไม่สบายใจ -พยายามเข้าไปมีส่วนร่วม ส่วนเกี่ยวข้องในกิจกรรม เพื่อให้เกิดการ ยอมรับ -หาเครือข่ายที่แนะนำตัวเรากับสนาม -อย่าคาดหวังอะไรมากในวันแรกๆ เพราะเรื่องความสัมพันธ์ทำความ รู้จักกับผู้คนต้องใช้เวลา -เป็นมิตร ยิ้มแย้มกับทุกคน


146 (4) การเริ่มทำงาน ขั้นแรกของการเริ่มทำงานเก็บข้อมูลในภาคสนาม เราต้องทำความรู้จักพื้นที่ ซึ่งสามารถใช้เครื่องมือทั้ง “แผนที่ทางกายภาพ” เพื่อ ทราบลักษณะทางกายภาพโดยรวมของสนาม โดยอาจเริ่มจากการเดินเท้า สำรวจ และทำแผนที่อย่างคร่าวๆ เพื่อให้เห็นความสัมพันธ์ทางกายภาพใน ชุมชน เช่น วัด ตลาด โรงเรียน บ้าน แม่น้ำ คลอง พื้นที่ทำเกษตร การใช้ ประโยชน์จากแหล่งทรัพยากร หรือดำเนินการจัดทำแผนที่ทางกายภาพและ แผนที่ทางวัฒนธรรม ดังเช่น “แผนที่ทางประชากร” เป็นการทำแผนที่ในเชิงประชากร สำรวจ ครัวเรือน เพื่อบอกได้ว่าชุมชนมีกี่ครัวเรือน สมาชิกในครัวเรือนมีกี่คน “แผนที่ทางสังคม” เป็นการให้ข้อมูลทางสถานะทางสังคมของบุคคล ในชุมชน ได้แก่ ความเป็นเครือญาติ บทบาท สถานภาพทางสังคม ผู้นำทางการ และไม่เป็นทางการ ทั้งนี้เพื่อเป็นการวิเคราะห์โครงสร้างทางสังคม เรียนรู้ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของผู้คนในสังคมหรือชุมชนนั้นๆ และนำมาใช้เป็น ประโยชน์ วางแผนการทำงานในภาคสนามได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ในขั้นเริ่มต้นที่เราจะทำความรู้จักกับพื้นที่ จำเป็นต้องสังเกต เรียนรู้เรื่องของเวลาว่าอะไรเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เช่น ชาวบ้านทำงานในไร่นากี่โมง เวลาเปิดปิดของร้านค้า รถโดยสารเข้าออกในหมู่บ้าน ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเป็น ประโยชน์ให้นักวิจัยตัดสินใจว่าจะเริ่มต้นเก็บข้อมูลอะไร ที่ไหน กับใคร โดยโยง ความสัมพันธ์ที่ได้จากแผนที่และปัญหาของการวิจัยของตนเอง


147 2. การสังเกต การสังเกตเป็นวิธีการรวบรวมข้อมูลซึ่งทำในสถานการณ์ที่เป็น ธรรมชาติโดยเกาะติดกับกลุ่มคน ชุมชน เหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ที่ตน ศึกษาเป็นเวลานาน สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มเป้าหมายเพื่อได้รับความ ไว้วางใจในการเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือ10 โดยปกติผู้ศึกษาที่ใช้ วิธีการสังเกตจะใช้เทคนิคการเก็บข้อมูลหลายแบบควบคู่ไปด้วย เช่น การ สัมภาษณ์ การอภิปรายกลุ่ม การสนทนาอย่างไม่เป็นทางการ หรืออาจกล่าวได้ ว่าการสังเกตเป็นวิธีการที่พิจารณาสภาพการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งวิถีชีวิตของผู้คน ซึ่งหมายถึงการเฝ้าดูอย่างเอาใจใส่ วิเคราะห์ หาความสัมพันธ์ของ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นกับสิ่งอื่นซึ่งเป็นวิธีเบื้องต้นในการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับ ปรากฏการณ์ หรือพฤติกรรมของบุคคลโดยทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตและตั้งคำถาม เช่น “ใครเป็นบุคคลสำคัญในการประกอบพิธีกรรม” “ทำไมคนหนุ่มสาวไม่ ทำงานในหมู่บ้าน” “เขื่อนกักเก็บน้ำใน เกิดขึ้นเมื่อไหร่และส่งผลอย่างไรบ้าง” การสังเกตเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นหาความต่อเนื่องของเรื่องราว การสังเกตเป็นวิธีการเบื้องต้นในการเก็บข้อมูลโดยอาศัยประสาท สัมผัสของผู้สังเกตโดยตรง เป็นข้อมูลที่ผู้วิจัยควรทบทวนความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่ ตนต้องการศึกษาหรือประเด็นเรื่องใกล้เคียงกัน ซึ่งจะช่วยให้เป็นแนวทางการ 10 ชาย โพธิสิตา, ศาสตร์และศิลป์การวิจัยเชิงคุณภาพ, พิมพ์ครั้งที่ 9, (กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด, 2564), 218.


148 สังเกต มีกรอบคิดหรือข้อค้นพบที่หลากหลาย 11 การสังเกตแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ (1) การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (Participant observation) เป็น การสังเกตที่ผู้วิจัยเข้าไปมีส่วนร่วม ในแง่ของระเบียบวิธี การสังเกตแบบมีส่วน ร่วมต้องประกอบด้วยกระบวนการสามขั้น คือ การสังเกต การซักถาม และการ จดบันทึก นอกจากนี้ผู้วิจัยสามารถร่วมกระทำกิจกรรมหรืออาศัยอยู่ในชุมชนมี ความเป็นอยู่เสมือนเป็นสมาชิกคนหนึ่งแต่ต้องใช้ระยะเวลาในการสร้าง ความสัมพันธ์และการยอมรับ ( 2 ) ก า ร ส ั ง เ ก ต แ บ บ ไ ม ่ ม ี ส ่ ว น ร ่ ว ม ( Non- participant observation) เป็นการเฝ้าสังเกตที่ผู้วิจัยไม่ได้มีส่วนร่วมกับกิจกรรม วางตัว เป็นบุคคลภายนอกโดยไม่เข้าร่วมกิจกรรมที่ทำอยู่ จุดประสงค์ของการไม่เข้าไป มีส่วนร่วมก็เพื่อไม่ให้การปรากฏตัวนั้นไปมีผลกระทบทางใดทางหนึ่ง วิธีการ สังเกตแบบนี้มักใช้ในกรณีที่ผู้ถูกศึกษาไม่ต้องการถูกรบกวน เช่น การสังเกตใน ชั้นเรียน การดูแลผู้ป่วย ซึ่งวิธีการนี้บุคคลหรือกลุ่มที่ผู้วิจัยเข้าไปรวบรวมข้อมูล อาจมีความรู้สึกว่ามีคนเฝ้ามองและอาจมีผลกระทบต่อพฤติกรรมให้ผิดจากปกติ การแบ่งการสังเกตออกเป็นแบบไม่มีส่วนร่วมและแบบมีส่วนร่วม เป็นการแบ่งเพื่อความเข้าใจทางทฤษฎีเป็นหลัก แต่ในหลายกรณีความแตกต่าง ของการสังเกตสองแบบนี้ ไม่ได้อยู่ที่การมีหรือไม่มีส่วนร่วมของนักวิจัย แต่อยู่ที่ 11 ดูเพิ่มเติมใน สุภางค์ จันทวานิช, วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ, 46-48. และ ชาย โพธิสิตา, ศาสตร์และศิลป์การวิจัยเชิงคุณภาพ, 218.


149 ระดับของการมีส่วนร่วมมากกว่า 12 ในบางสถานการณ์ผู้ศึกษาอาจต้องจำกัด การมีส่วนร่วมให้อยู่ในระดับต่ำ แต่ในบางสถานการณ์การมีส่วนร่วมในระดับที่ สูงขึ้นจะช่วยให้เข้าถึงข้อมูลได้ดีกว่า กล่าวโดยสรุปวิธีการสังเกตทั้งสองแบบนี้ ต่างมีจุดมุ่งหมายเพื่อสังเกตพฤติกรรมและเหตุการณ์ในลักษณะที่สำคัญๆ เพื่อ หาความสัมพันธ์และความหมายของปรากฏการณ์สังคมด้วยวิธีการสังเกต ซึ่ง ต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมและสภาพการณ์ที่เกิดขึ้น “นักวิจัยควรมีแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องศึกษาก่อนจะลงมือ สังเกต พร้อมกับควรเตรียมตัวยืดหยุ่นที่จะสังเกตสิ่งอื่นด้วย เมื่อพบว่า มีความเกี่ยวข้องหรือมีความสำคัญกับสิ่งที่เราศึกษา ในเรื่องของการ สังเกต โดยเฉพาะการสังเกต เป็นความสามารถที่ต้องเรียนรู้เอาเอง จากการฝึกฝน ไม่ใช่สิ่งที่จะสอนหรือถ่ายทอดให้กันได้ด้วยวาจา” (สุภางค์ จันทวานิช: 2555, 54) แต่อย่างไรก็ตามเทคนิควิธีการที่ช่วยให้การสังเกตได้ดีขึ้น คือการ สังเกตและจดบันทึกในทุกสิ่งอย่างที่มองเห็น สังเกตสิ่งที่ขัดแย้งหรือแปลก สังเกตจากสิ่งที่ชาวบ้านมองเห็นร่วมกันว่าเป็นปัญหาใหญ่ เช่น การบ่น ปรับทุกข์ ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ ปัญหาและข้อพึงระวังในการสังเกต คือ การเข้าถึงผู้ที่จะถูกสังเกต โอกาสที่จะได้รับได้มากน้อยต่างกัน หรือแม้แต่บางครั้งมีเหตุการณ์หรือ สถานการณ์เกิดขึ้นพร้อมกัน อาจส่งผลให้ผู้วิจัยพลาดข้อมูลอย่างใดอย่างหนึ่งได้ 12 ชาย โพธิสิตา, ศาสตร์และศิลป์การวิจัยเชิงคุณภาพ, 220.


150 3. การสัมภาษณ์ การสัมภาษณ์เป็นวิธีการเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์บุคคลที่สามารถ เก็บข้อมูลได้ทั้งความเข้าใจ ทัศนคติ ความเชื่อ พฤติกรรมหรือการปฏิบัติ และมี ความแตกต่างจากการพูดคุยธรรมดา กล่าวคือมีเป้าหมายที่ชัดเจน เป็นรูปแบบ การสนทนาที่มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูล เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ถาม (ผู้ต้องการทราบข้อมูล) และผู้ตอบ (ผู้ที่มีข้อมูล) ซึ่งเป็นวิธีการสื่อสารสองทาง (Two-Way communication) 13 มีขอบเขตที่เฉพาะเจาะจง มีการคิดคำถาม หรือแนวคำถามล่วงหน้า แบ่งบทบาทชัดเจนว่าใครเป็นผู้สัมภาษณ์หรือใครเป็น ผู้ให้สัมภาษณ์รวมทั้งจะต้องมีการบันทึกข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ ลักษณะสำคัญของการสัมภาษณ์ คือ เป็นการถามตอบโดยตรง มีความ ยืดหยุ่นสูง ผู้สัมภาษณ์มีโอกาสขยายความหรือซักถามเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความ ชัดเจนในทันที ทั้งยังสามารถสังเกตพฤติกรรมต่างๆ ของผู้ตอบหรือผู้เล่าได้ ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ ต้องผ่านกระบวนการวิพากษ์หลักฐาน เช่นเดียวกับที่ใช้ในหลักฐานประวัติศาสตร์ประเภทอื่นๆ ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์จัดอยู่ในหลักฐานประเภทคำบอกเล่า ซึ่งเกิดจากประสบการณ์โดยตรงหรือความทรงจำร่วมของผู้เล่า อีกทั้งยังเป็น วิธีการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ร่วมสมัยที่ยังอยู่ในความทรงจำ ของผู้เล่าเพื่อช่วยสร้างภาพในอดีตให้มีความชัดเจนหรือเสริมข้อมูลหลักฐาน ประเภทอื่นๆ ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยเฉพาะข้อมูลที่ปรากฏในหลักฐานประเภท 13 ทวีศิลป์ สืบวัฒนะ, แนวคิดและแนวทางการศึกษาประวัติศาสตร์ ท้องถิ่น, (กรุงเทพฯ : อินทนิล, 2554), 94.


151 เอกสาร รวมทั้งเปิดโอกาสซักถามผู้ให้สัมภาษณ์ในแง่มุมต่างๆ เช่น เรื่องข่าวลือ เกร็ดประวัติศาสตร์ บรรยากาศของเหตุการณ์ อย่างไรก็ตามหลักฐานคำบอกเล่ามีข้อจำกัดเช่นเดียวกับประเภทอื่นๆ เพราะวิธีการสัมภาษณ์เป็นการดึงเรื่องราวเหตุการณ์ ความทรงจำของบุคคล ซึ่ง ความรู้สึกนึกคิดของคนปัจจุบัน ขณะที่ให้สัมภาษณ์อาจเหมือนเดิมหรือแตกต่าง จากอดีตก็ได้ ทั้งนี้เพราะความทรงจำของแต่ละคนจะถูกหยิบมาเล่าอย่างไร หรือเมื่อไหร่ขึ้นอยู่กับผู้เล่าที่จะใช้หรือไม่ใช้ ความทรงจำที่ถูกเลือกมาอาจจะ โดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวนั้นถูกนำไปใช้ประโยชน์ต่างกันไป ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า ความทรงจำไม่เพียงแต่เป็นเครื่องสะท้อนเรื่องราวในอดีตเท่านั้น แต่ความทรง จำยังทำหน้าที่ยึดโยงประวัติศาสตร์เข้ากับปัจจุบันและอนาคต เห็นได้ว่า หลักฐานจากคำบอกเล่าหรือข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ไม่ใช่หลักฐานทั่วไปที่ จับต้องได้แต่เป็นการถอดจากชั้นความทรงจำถึงข้อเท็จจริงที่ซ้อนทับอยู่ จึงอาจ เกิดความผิดพลาด สับสนเรื่องของลำดับเวลา ผู้สัมภาษณ์อาจแก้ปัญหาโดยการ กระตุ้นความทรงจำ โดยเปรียบเทียบกับเหตุการณ์สำคัญของชีวิตหรือสังคม เช่น การแต่งงาน การให้กำเนิดบุตร เหตุการณ์ทางการเมือง ภัยธรรมชาติของ หมู่บ้าน เป็นต้น รวมทั้งปัญหาที่เกิดอคติจากผู้ให้สัมภาษณ์ ซึ่งอาจมีทั้งการ บิดเบือนความจริง การไม่รู้ หรือการให้คุณค่าความหมายที่เกินเลย ทำให้เกิด ความคลาดเคลื่อนของข้อมูลได้


152 ประเภทของการสัมภาษณ์ นักวิชาการหลายท่านได้แบ่งประเภทการสัมภาษณ์แตกต่างกันออกไป ดังปรากฏในงานวิจัยทางสังคมศาสตร์มักแบ่งการสัมภาษณ์ที่ใช้ทั่วไปในการวิจัย ออกเป็น 2 แบบ คือ การสัมภาษณ์ที่ใช้ทั่วไปในการวิจัยเชิงปริมาณกับ การสัมภาษณ์ที่ใช้ทั่วไปในการวิจัยเชิงคุณภาพ แบบแรกเป็นการสัมภาษณ์ที่มี โครงสร้าง คือทุกคำถามจะมีคำตอบที่เตรียมไว้ล่วงหน้า เป็นมาตรฐานเดียวกัน ทั้งหมด แบบหลังเป็นการสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้างที่มีความยืดหยุ่นมาก มากกว่า ทั้งสองมีความต่างทั้งในเรื่องวิธีการดำเนินการและบทบาทของ ผู้สัมภาษณ์ ซึ่งส่งผลให้ข้อมูลที่ได้มีลักษณะแตกต่างกันออกไปด้วย14 โดย สามารถสรุปประเภทของการสัมภาษณ์ตามเกณฑ์ที่ใช้ได้หลายแบบ เช่น แบ่ง ตามลักษณะและจุดมุ่งหมายของการสัมภาษณ์ แบ่งตามเครื่องมือที่ใช้สัมภาษณ์ โดยมีรายละเอียดความสำคัญ ดังนี้ 1. แบ่งตามลักษณะและจุดมุ่งหมาย (ก) การสัมภาษณ์บุคคล เป็นการเก็บข้อมูลที่ผู้วิจัยใช้ในการเก็บ ข้อมูลด้านประวัติศาสตร์ ซึ่งในลักษณะการสัมภาษณ์ผู้ให้สัมภาษณ์กับผู้ สัมภาษณ์จะมีความยืดหยุ่นสูงในการสัมภาษณ์ โดยจำเป็นต้องเตรียมคำถาม ประกอบด้วยกลุ่มคำถามต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับจุดมุ่งหมายที่ต้องการตอบคำถาม ในการวิจัย อาจเริ่มต้นจากถามประวัติส่วนตัว เช่น ชื่อสกุล อายุ สถานภาพทาง สังคม ภูมิหลังประวัติชีวิตและคำถามที่ต้องการทราบ เช่น ถ้าต้องการทราบ เรื่องการตั้งถิ่นฐานของหมู่บ้าน ต้องถามเรื่องการอพยพโยกย้าย ปัจจัยการเข้า มาตั้งถิ่นฐาน หรือ สายตระกูลผู้นำทางวัฒนธรรมและการปกครองของชุมชน 14 ชาย โพธิสิตา, ศาสตร์และศิลป์แห่งการวิจัยเชิงคุณภาพ, 160-161.


153 ระบบเศรษฐกิจชุมชน ความสัมพันธ์กับท้องถิ่นอื่นๆ รวมทั้งช่วงเวลาความ เปลี่ยนแปลงของชุมชนและการปรับตัวของผู้คน เป็นต้น (ข) การสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) เป็นการสนทนา กับผู้ให้ข้อมูลในประเด็นที่เฉพาะเจาะจงถือว่าเป็นเทคนิควิธีการเก็บรวบรวม ข้อมูลวิธีหนึ่งซึ่งเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลจากการนั่งสนทนากันของกลุ่มผู้ให้ ข้อมูล (Key informant) โดยผู้เข้าร่วมสนทนากลุ่มจะถูกคัดเลือกจากผู้ที่มี ประสบการณ์โดยตรงหรือเป็นผู้ที่สามารถจะให้ข้อมูลที่ต้องการจะศึกษาได้ การสนทนาจะต้องมีผู้ดำเนินรายการ (Facilitator) ซึ่งอาจเป็นนักวิจัยหรือ คนอื่นๆ ที่รู้ประเด็น ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับกระบวนการ กลุ่มผู้เข้าร่วมสนทนา จะถูกเชิญเข้าร่วมวงสนทนากันในบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติคล้ายกับการนั่งคุย ในชีวิตประจำวัน เทคนิคการสนทนากลุ่ม มีข้อดีที่ผู้สนทนามีปฎิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ในลักษณะกลุ่มมากกว่าการสัมภาษณ์ตัวต่อตัวและเปิดให้มีปฏิกิริยาตอบโต้ได้ รวมทั้งเป็นการสร้างบรรยากาศของการคุยเป็นกลุ่มจะช่วยลดความระแวงที่จะ แสดงความคิดเห็นส่วนตัว แต่อาจมีข้อจำกัดในลักษณะที่ว่าหากมี ผู้ร่วมสนทนาเพียงไม่กี่คนที่แสดงความคิดเห็นอยู่ตลอดเวลา ทำหน้าที่เสมือน “ผู้รับเหมา” ก็จะทำให้ข้อมูลที่ได้เป็นเพียงข้อคิดเห็นส่วนน้อย ดังนั้นผู้ที่ทำ หน้าที่ดำเนินรายการจึงต้องระวังอย่าให้มีการผูกขาดการสนทนา อีกทั้งยังเป็น เทคนิควิธีการทำงานที่ให้ผู้เก็บข้อมูลและชุมชนท้องถิ่นร่วมกันทำเพื่อการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ นำเสนอปัญหา ปรึกษาหารือ แสดงความคิดเห็น หรือหาทาง ออกเพื่อการแก้ไขพัฒนาในประเด็นเรื่องสำคัญ


154 ภาพที่ 4.1 แผนผังการสนทนากลุ่ม 2. แบ่งตามเครื่องมือที่ใช้สัมภาษณ์ (ก) การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (Structured Interviews) เป็น ลักษณะการสัมภาษณ์ที่ผู้วิจัยกำหนดไว้แล้วและดำเนินการตามที่กำหนดไว้ ดังนั้นผู้ถูกสัมภาษณ์จะได้รับคำถามที่เหมือนกัน ดังนั้นข้อมูลที่ได้มาจะ สังเคราะห์ง่าย จัดหมวดหมู่ข้อมูลง่ายและสะดวกในการวิเคราะห์ข้อมูล วิธีการนี้จึงเหมาะกับการเก็บข้อมูลกลุ่มตัวอย่างที่มีจำนวนมากและผู้วิจัยมัก เลือกกลุ่มตัวอย่างตามหลักการเพื่อความเหมาะสมกับความต้องการ ผู้ที่เป็น ผู้สัมภาษณ์มักไม่ใช่ตัวผู้วิเคราะห์ข้อมูลเองหรือผู้วิจัยไม่ได้อยู่ร่วมหรือ สังเกตการณ์ในชุมชนเป็นเวลายาวนาน


155 (ข) แบบสัมภาษณ์ที่ไม่มีโครงสร้าง (Unstructured Interviews) เป็นวิธีการที่ใช้ในการวิจัยเชิงคุณภาพและมักใช้ควบคู่กับการสังเกตแบบมีส่วน ร่วม ใช้กับงานวิจัยเชิงมานุษยวิทยาชาติพันธุ์วรรณา15 ประวัติศาสตร์หรือ สาขาวิชาที่ต้องการข้อมูลที่ละเอียดลึกซึ้ง โดยผู้วิจัยทำหน้าที่เป็นผู้สัมภาษณ์ และสร้างแนวคำถามกว้างๆ ล่วงหน้าเพื่อเป็นการกำหนดประเด็นการซักถาม พูดคุยแบบกว้างๆ ได้หลากหลายเรื่องราวที่คาดว่าจะเชื่อมโยงหาคำตอบหรือ จุดประสงค์ของการวิจัย โดยไม่จำกัดจำนวนเวลาหรือจำนวนครั้งของการพบปะ เพื่อสัมภาษณ์ เช่น สัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการเพื่อให้อิสระ ให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ อธิบายความคิด ประสบการณ์ ความทรงจำไปเรื่อยๆ โดยใช้วิธีการแบบตะล่อม กล่อมเกลาที่คอยซักถามและสืบสวนความจริงหรือในกรณีที่ผู้ให้สัมภาษณ์ลืม จำไม่ได้ ผู้สัมภาษณ์อาจเทียบเคียงกับช่วงเวลาของเหตุการณ์สำคัญในชีวิตของ ผู้ให้สัมภาษณ์ก็ได้เพื่อเป็นการซักถาม สืบเสาะความถูกต้องชัดเจนของข้อมูล 15 สุภางค์ จันทวานิช, วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ, 76. ➢ ลักษณะสำคัญของ การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง - มีแบบคำถามกำหนดไว้แน่นอน - ผู้ให้สัมภาษณ์ได้รับคำถามที่เหมือนกัน (ยาก-ง่าย) - ลักษณะไม่ค่อยยืดหยุ่น - ข้อดี คือ จัดหมวดข้อมูลง่าย และสะดวกในการวิเคราะห์ข้อมูล - ใช้รวบรวมข้อมูลจากรายบุคคลหรือกลุ่มย่อย เหมาะสำหรับผู้ที่ มีความชำนาญในการสัมภาษณ์น้อย


156 ➢ ลักษณะสำคัญของการสัมภาษณ์ที่ไม่มีโครงสร้าง ขั้นตอนการสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์ต้องเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจบริบทพื้นที่ กำหนด ขอบเขตการศึกษาให้ชัดเจน ตลอดจนการทบทวนความรู้จากเอกสารหรือพื้นที่ ศึกษา เพื่อเป็นพื้นฐานในภาพกว้างของเรื่องราวที่ต้องการศึกษาก่อนที่จะ รวบรวมหลักฐานจากคำบอกเล่า เนื่องจากข้อมูลจากคำบอกเล่าเป็นเพียงส่วน หนึ่งที่เสริมเชื่อมโยงข้อมูลจากหลักฐานประเภทลายลักษณ์หรืออื่นๆ สามารถ แบ่งขั้นตอนการสัมภาษณ์เป็น 3 ขั้นตอน เพื่อประโยชน์ในการวางแผนและ ทบทวนวิธีการทำงานในภาคสนามให้เกิดประสิทธิภาพ ขั้นตอนที่หนึ่ง เตรียมการสัมภาษณ์ในขั้นตอนนี้เป็นขั้นแรกที่ผู้ศึกษา ต้องตระหนักถึงวัตถุประสงค์ของงานและวางแผนการดำเนินงานตั้งแต่การ คัดเลือกบุคคลผู้ให้สัมภาษณ์ ออกแบบแนวคำถามและการจัดการเมื่อสัมภาษณ์ เสร็จ


157 - ควรรู้ว่าจะถามอะไร: วัตถุประสงค์ของงาน หัวข้อ ประเด็นสำคัญ ประเมินความรู้ที่หามาก่อนหน้า รวมทั้งฝึกซ้อมการสัมภาษณ์ อันได้แแก่ ตัวอย่างคำถาม แบบสัมภาษณ์16 เทคนิคการสัมภาษณ์ มารยาท จรรณยาบรรณ และจริยธรรมในการดำเนินงานวิจัย - ควรรู้ว่าจะถามใคร: คัดเลือกบุคคลที่มีประสบการณ์และบทบาท เกี่ยวข้องโดยตรง (Key information) บุคคลผู้มีส่วนร่วมในระดับรองลงมา ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยอ้อม และบุคคลทั่วไป ทั้งนี้ ผู้วิจัยอาจวางแผนร่วมหรือขอคำปรึกษากับผู้มีประสบการณ์เพื่อติดต่อขอนัด สัมภาษณ์ โดยอธิบายวัตถุประสงค์ของการสัมภาษณ์ให้ชัดเจน - ควรรู้ว่าจะทำอย่างไรกับข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์: การพิจารณา คัดกรอง เรียบเรียงไปสู่การเขียนรายงานหรือการนำเสนอในรูปแบบต่างๆ นอกจากนี้ต้องเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นในการสัมภาษณ์ ได้แก่ แนว คำถามเพื่อเป็นแนวทางการสัมภาษณ์ ควรมีทั้งคำถามหลักและคำถามย่อยๆ เพื่อช่วยให้การสัมภาษณ์ไม่ติดขัด สมุดบันทึกภาคสนาม แบบฟอร์มต่างๆ เครื่องบันทึกเสียง โทรศัพท์มือถือ กล้องถ่ายรูป กล้องวีดีโอเพื่อการบันทึก ภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว 16 แบบสัมภาษณ์หมายถึง ชุดของคำถามที่ใช้ถามและใช้จดบันทึกคำตอบ ของการสัมภาษณ์โดยผู้สัมภาษณ์เป็นผู้บันทึกคำตอบที่ได้จากผู้ให้สัมภาษณ์ เป็น เครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการรวบรวมหลักฐานประเภทคำบอกเล่า


158 ตัวอย่าง แบบสัมภาษณ์ “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น” ส่วนที่ 1 : ข้อมูลเกี่ยวกับสถานภาพทั่วไปของผู้ให้สัมภาษณ์ 1. ชื่่อ..........................................นามสกุล....................................... 2. อายุ.....................ปี 3. ที่อยู่ปัจจุบัน............................................................................. 4. อาชีพ.................................................... 5. สถานภาพ/ตำแหน่งทางสังคม (ถ้ามี)......................................... 6. ความเชี่ยวชาญด้านภูมิปัญญา (ถ้ามี)......................................... 7. อยู่ในชุมชนมานาน...............ปี เป็นคนที่นี่โดยกำเนิด เป็นคนที่ย้ายมาจากที่อื่น ส่วนที่ 2 ประเด็นในการสัมภาษณ์ (สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามวัตถุประสงค์ของเรื่องที่ต้องการศึกษา) 1. ชื่อเรียก ของชุมชน มีที่มาจากอะไร และสะท้อนความสำคัญของ พื้นที่อย่างไร 2. ประวัติความเป็นมาของชุมชนมีที่มาอย่างไร -กลุ่มตระกูลสำคัญที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในระยะเริ่มต้น -อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานเนื่องจากสาเหตุอะไร -สภาพสังคม ผู้คนและวัฒนธรรมในพื้นที่เป็นอย่างไร -การดำรงชีพ สภาพเศรษฐกิจในยุคเริ่มต้นเป็นอย่างไร 3. ความเปลี่ยนแปลงจากอดีตถึงปัจจุบัน เป็นอย่างไร หมายเหตุ: ระบุวันที่เก็บข้อมูลสัมภาษณ์ด้วยทุกครั้ง


159 ขั้นตอนที่สอง การสัมภาษณ์ผู้วิจัยเริ่มต้นจากการแนะนำตัวเองและ บอกวัตถุประสงค์ของการวิจัยและคำถามที่ใช้ในการสัมภาษณ์เพื่อทำความ เข้าใจร่วมกันกับผู้ให้สัมภาษณ์ อีกทั้งยังเป็นการสร้างบรรยากาศ ตลอดจนการ ขออนุญาตบันทึกภาพ เสียง หรือจดคำสัมภาษณ์ ใช้คำถามที่เตรียมล่วงหน้า เป็นแนวทางการสัมภาษณ์ ผู้วิจัยควรเป็นนักฟังที่ดีมีความตั้งใจและติดตามกับ คู่สนทนา รู้จักป้อนคำถามให้เหมาะสมถูกจังหวะ คำถามควรเริ่มจากวงกว้าง ก่อนแล้วค่อยตีวงแคบ และควรเปิดโอกาสให้มีการสร้างคำถามจากภาคสนามใช้ ภาษาเข้าใจง่ายเป็นธรรมชาติ ชัดเจน กะทัดรัด ไม่ถามคำถามสับสนวกวน หรือ คำถามที่สะเทือนอารมณ์แก่ผู้ให้สัมภาษณ์ ทั้งนี้แนวคำถามสามารถปรับได้ตาม ความเหมาะสม เช่น การสลับลำดับการตั้งคำถาม การเพิ่มเติม ตัดทอนประเด็น คำถาม ขั้นตอนที่สาม การจัดเก็บข้อมูล หลังการสัมภาษณ์ ในขั้นตอนนี้ ผู้วิจัยต้องจัดเก็บข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ในรูปแบบแถบบันทึกเสียงและ ควรจัดทำเลขทะเบียน โดยระบุ รหัส ตัวย่อ หัวเรื่อง วันเวลาและรายละเอียด ผู้ให้สัมภาษณ์ รวมทั้งการถอดคำสัมภาษณ์เพื่อบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร โดยพยายามถอดคำให้สัมภาษณ์แบบคำต่อคำ แต่อาจขัดเกลาถ้อยคำได้บ้างแต่ ต้องไม่ทำให้เนื้อหาสาระเปลี่ยนแปลง เช่น ตัดคำอุทาน คำเสริมออกได้บ้าง ถ้ามีเสียงหรือเหตุการณ์อื่นสอดแทรกระหว่างการสัมภาษณ์อาจใส่ในวงเล็บ การจัดเก็บข้อมูลหลักการสัมภาษณ์ควรตรวจทานให้ถี่ถ้วนทั้งตัวสะกดและ เนื้อความและอย่าทิ้งเวลาไว้นานหลังจากเสร็จการสัมภาษณ์ ทั้งนี้เพื่อเป็น ประโยชน์ในการใช้ข้อมูลจากหลักฐานคำบอกเล่าและสะดวกต่อการจัดทำ รายการอ้างอิงในเนื้อหา


160 เทคนิคและกลยุทธ์การสัมภาษณ์ 1. การหาข้อมูลบริบทชุมชนหรือข้อมูลพื้นฐานของชุมชนที่ ทำการศึกษา ซึ่งหาได้จากเอกสาร หนังสือ การพูดคุย สำรวจเบื้องต้น เพื่อให้ได้ ข้อมูลในการนำไปตั้งประเด็นคำถามในการสัมภาษณ์ เช่น ประเด็นเกี่ยวกับ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเกิดถนนในหมู่บ้าน เรื่องอาชีพในอดีตและ ปัจจุบัน หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อไหร่ 2. เตรียมตัวให้พร้อม ทั้งร่างกาย จิตใจและบุคลิกภาพ เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้มีส่วนอย่างมากในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ ซึ่งเป็นการเริ่มต้นทำความ รู้จักและควรวางตัวให้สุภาพเหมาะสม มีความช่างสังเกต ไหวพริบดี มีความ อดทน อดกลั้น ใจเย็น รอบคอบ มีความยืดหยุ่น รวมทั้งเตรียมอุปกรณ์เครื่องมือ ในการลงพื้นที่ให้พร้อมใช้งาน 3. การนัดหมาย วัน เวลา สถานที่ ผู้ให้สัมภาษณ์ เพื่อให้มีการเตรียม ตัว เช่น การเตรียมข้อมูล เวลาว่างจากการทำงาน ไม่ติดธุระ ความพร้อมของ สภาพร่างกายของผู้ให้สัมภาษณ์ 4. จัดทีมสัมภาษณ์ การแบ่งหน้าที่ให้เหมาะสม เช่น คนคุยเก่งเป็นคน สัมภาษณ์ คนจับประเด็นเก่ง เขียนเร็วเป็นคนจดบันทึก 5. เตรียมแบบสัมภาษณ์ ประกอบด้วย คำถามเป็นกลุ่มๆ ที่เกิดจาก จุดมุ่งหมายและเรื่องที่ต้องการทำวิจัย แบบสัมภาษณ์มักเริ่มต้นด้วยข้อมูล ประวัติทั่วไป และต้องเป็นคำถาม ถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยผู้สัมภาษณ์ต้อง พยายามหาคำตอบในเรื่องของช่วงเวลาของความเปลี่ยนแปลงและการปรับตัว ของผู้ให้ได้ เมื่อได้ทราบถึงช่วงต่างๆ ของการเปลี่ยนแปลง ผู้สัมภาษณ์จึงนำ ข้อมูลกลับไปตั้งเป็นคำถามย่อยๆ เพื่อทราบในรายละเอียดอีกครั้ง


161 6. ต้องเป็นนักฟังที่ดี ฟังด้วยความอดทน แม้เห็นขัดแย้ง ระมัดระวัง การแสดงสีหน้า และต้องจับประเด็นให้ดี ติดตามประเด็นใหม่ที่เกิดขึ้นระหว่าง การสัมภาษณ์ ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อมูลเชิงลึกหรือบุคคลที่ควรสัมภาษณ์เพิ่มเติม 7. จรรยาบรรณในการสัมภาษณ์ซึ่งถือว่าเป็นจริยธรรมการทำงานวิจัย ในคนที่ต้องปฏิบัติตามหลักจริยธรรมการวิจัยสากล มีเป้าหมายสำคัญ เพื่อการ ปกป้องอาสาสมัครหรือผู้ให้ข้อมูลสัมภาษณ์ โดยยึดหลักสำคัญสามประการ คือ หลักเคารพในบุคคล หลักประโยชน์ และหลักยุติธรรม 4.2 เครื่องมือศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เมื่อการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเป็นการศึกษาเรื่องราวของผู้คน ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน โดยศึกษาวิถีชีวิต วัฒนธรรมทุกด้านเพื่อให้เห็นถึง พัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงของชุมชน สังคมหรือท้องถิ่น ซึ่งมีวิธีการที่ หลากหลายตั้งแต่การใช้เอกสารหลักฐานประเภทต่างๆ การสังเกต รวมทั้ง การสัมภาษณ์ที่เป็นวิธีการที่สำคัญ เพื่อให้ได้ข้อมูลจากชุมชนท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมือการศึกษาที่เราต้องทำความเข้าใจและเรียนรู้วิธีการใช้ประโยชน์ เช่น ลักษณะทางภูมิศาสตร์ ที่ตั้ง แผนที่ ลำดับเหตุการณ์ชุมชน (Timeline) ผัง เครือญาติ (Family tree) ปฏิทินฤดูกาล ซึ่งเครื่องมือแต่ละชิ้นมีจุดเด่น เฉพาะตัวและใช้ศึกษาชุมชนในแง่มุมที่แตกต่างกัน ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ศึกษาสามารถ เข้าถึงพื้นที่ เข้าถึงผู้คน เข้าถึงข้อมูลและทำให้เข้าใจรากเหง้า วิถีชีวิต วัฒนธรรม ภูมิปัญญา และการเปลี่ยนแปลงของท้องถิ่นจากอดีตถึงปัจจุบัน เครื่องมือศึกษา เหล่านี้เป็นตัวช่วยในการประเมินพื้นที่และวิเคราะห์องค์ประกอบที่สามารถ


162 สังเกตได้ เพื่อพยายามค้นหา เชื่อมโยงแง่มุมที่แตกต่างกันแล้วนำไป ตั้งสมมติฐานหรือเป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์ประเด็นเรื่องที่สนใจต่อไป 4.2.1 การศึกษาสภาพภูมิศาสตร์ สภาพแวดล้อม (รู้จักพื้นที่) (1) แนวคิดเรื่อง ภูมิวัฒนธรรม และแผนที่ชุมชน ศรีศักร วัลลิโภดม กล่าวว่าการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น คือ การศึกษาประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต (Living history) แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการ ทางสังคมและวัฒนธรรมของผู้คนกับพื้นที่วัฒนธรรมอันแตกต่างกัน “การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น คือ การศึกษาประวัติศาสตร์ของ ผู้คนในท้องถิ่น โดยมองจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจและ วัฒนธรรมของคนภายในเป็นสำคัญ” (ศรีศักร วัลลิโภดม: 2557, 11) การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเพื่อให้เห็นถึงพัฒนาการที่ เปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไปต้องมีการรับรู้ในเรื่อง พื้นที่วัฒนธรรม ในที่นี้ก็คือสิ่งที่เรียกว่า “ท้องถิ่น”17 ซึ่งเป็นอาณาบริเวณที่ ผู้คนจากภายในเท่านั้นที่จะรู้ขอบเขตและสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่ สัมพันธ์กับชีวิตวัฒนธรรม ดังนั้นกระบวนการเก็บข้อมูล เราต้องการทำความ เข้าใจและเรียนรู้พื้นที่วัฒนธรรม ใน 3 ระดับ คือ 17 ศรีศักร วัลลิโภดม, นครแพร่ จากอดีตมาปัจจุบัน ภูมินิเวศวัฒนธรรม ระบบความเชื่อและประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, (กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุน การวิจัย, 2551), 13.


163 ระดับที่มีขอบเขตกว้าง เรียกว่า “ภูมิวัฒนธรรม” (Cultural Landscape) คือ ความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรม เช่น บริเวณป่าเขา ท้องทุ่ง หนองบึง แม่น้ำลำคลอง หรือ ปากอ่าว ชายทะเล ที่สัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานบ้านเมืองของผู้คนในท้องถิ่น มีการกำหนดชื่อนาม แผนที่ ตำนาน เรื่องเล่า เพื่ออธิบายความเป็นมาและความหมายสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของท้องถิ่น ระดับกลาง ที่มีผู้คนหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์เข้ามาตั้งถิ่นฐาน ร่วมกัน เป็นบ้านเป็นเมือง เรียกว่า “นิเวศวัฒนธรรม” (Cultural Ecology) หมายถึง พื้นที่เฉพาะที่มนุษย์สร้างบ้านเมืองขึ้น มีความแตกต่างกันแต่ละท้องถิ่น เป็นการ มองจากคนในต่อสภาพแวดล้อมอย่างละเอียด มีความหลากหลายทางชีวภาพ ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ มีการกำหนดความรู้ การสร้างกติกา สร้าง ประเพณี ความเชื่อในพื้นที่เดียวกัน ระดับเล็ก คือระดับชุมชนบ้านที่เห็นคนและวิถีชีวิตในการอยู่ร่วมกัน เรียกว่า “ชีวิตวัฒนธรรม” (Cultural Life) อันเป็นวิถีชีวิตของผู้คนใน ชีวิตประจำวัน ประกอบด้วย โครงสร้างทางสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างกัน เช่น การเป็นเครือญาติ การเป็นกลุ่มทางสังคมต่างๆ ดังนั้นการที่จะเข้าใจวิถีชีวิตของมนุษย์หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “วัฒนธรรม” นั้น ต้องดูจากกระบวนการปรับตัวของมนุษย์เข้ากับสภาพ แวดล้อมดังกล่าว ศักยภาพและกระบวนการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมนั้น ทำให้เกิดรูปแบบทางวัฒนธรรมแตกต่างไปจากท้องถิ่นอื่นที่มีสภาพแวดล้อม ธรรมชาติแตกต่างกันออกไป


164 การรวมตัวเป็นกลุ่มของมนุษย์เพื่อการตั้งถิ่นฐานและสร้างบ้านเรือน นั้นจะมีลักษณะแตกต่างกัน กล่าวคือ บางกลุ่มอาจเลือกตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ที่เป็น ป่า บางกลุ่มเลือกพื้นที่ใกล้แม่น้ำหรือบางกลุ่มเลือกพื้นที่บนภูเขา โดยแต่ละ กลุ่มเลือกพิจารณาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการดำรงชีพ มีสภาพอากาศดี ความชื้นเหมาะสม มีน้ำใช้อุดมสมบูรณ์ ดังนั้นจึงส่งผลให้ชุมชนท้องถิ่นต่างๆ มีภูมิประเทศทั้งคล้ายคลึงและแตกต่างกัน ส่งผลให้มนุษย์ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานเพื่อ อยู่อาศัย ต้องมีการปรับตัวให้สอดคล้องและดัดแปลงลักษณะกายภาพของ สิ่งแวดล้อมให้เป็นลักษณะหรือรูปแบบทางสังคม ที่เหมาะสมต่อการดําเนินชีวิต เช่น ที่ราบเชิงเขา ที่ราบลุ่มแม่น้ำ ชายฝั่งทะเล โดยคนและสภาพแวดล้อมทาง กายภาพในพื้นที่เป็นปัจจัยที่กำหนดทิศทางสังคมและวัฒนธรรม ดังนั้น สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันจึงเป็นปัจจัยที่ทำให้วัฒนธรรมของคนในแต่ละพื้นที่ แตกต่างกันออกไปเช่นกัน เช่น พื้นที่ป่า เขตทุ่งหญ้า เขตพื้นที่ราบ พื้นที่ลาดเอียง พื้นที่สูง พื้นที่ต่ำ ดังนั้นการศึกษาเกี่ยวกับภูมิวัฒนธรรมจะเป็น แนวคิดที่ช่วยอธิบายกิจกรรมของมนุษย์รวมไปถึงพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงได้ ในประเด็นดังนี้ 18 1. การตั้งถิ่นฐาน ว่าด้วยเรื่องปัจจัยการตั้งถิ่นฐานของกลุ่มคน ที่มีการ ตั้งถิ่นฐานด้วยปัจจัยที่แตกต่างกันออกไป ตั้งแต่ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ สืบเนื่องจนถึงสมัยปัจจุบัน 18 ตรงใจ หุตางกุร และคณะ, รายงานวิจัยเรื่อง ภูมิสังคมและ ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสมุทรสาคร กรณีศึกษาภูมินามในอำเภอเมือง สมุทรสาคร, (กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, 2559), 18-19.


165 2. ความเชื่อและศาสนา ว่าด้วยเรื่องความเชื่อของคนในพื้นที่ หรือ พิธีกรรมท้องถิ่นหรือทางศาสนา 3. การดำรงชีพ หรือ วิถีชีวิต ว่าด้วยเรื่องสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ต่อการอยู่อาศัย ปัจจัยพื้นฐานเพื่อการบริโภคไปจนถึงการประกอบอาชีพและ การสร้างแหล่งกิจกรรมการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ 4. ระบบโครงสร้างทางสังคม ว่าด้วยเรื่องระบบชนชั้นทางสังคมจาก ลักษณะของพื้นที่ เช่น เมืองชั้นในและเมืองชั้นนอกหรือพื้นที่สำหรับชนชั้น ปกครอง ประชาชนทั่วไป พ่อค้า เกษตรกร หรือชนชั้นแรงงาน 5. ปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและสังคมระหว่างชุมชน ว่าด้วยเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างชุมชน โดยมีเครือข่าย เป็นตัวสัมพันธ์ ในประเด็นเรื่องการ ถ่ายทอดวัฒนธรรม เห็นได้ว่าสภาพแวดล้อมธรรมชาติมีอิทธิพลต่อการตั้งหลักแหล่งที่อยู่ อาศัยและที่ทำกินของมนุษย์เป็นอย่างมาก มนุษย์สามารถปรับตัวเข้ากับ สภาพแวดล้อมได้อย่างดี เช่น การสร้างบ้านเรือนสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น การใช้ พื้นที่ป่าเป็นที่อยู่อาศัยในกลุ่มปกาเกอะญอในทางภาคเหนือของประเทศ โดย แบ่งพื้นที่เป็นป่าใช้สอยและป่าอนุรักษ์ หรือการใช้ชีวิตของชาวบ้านสะเน่พ่อง ต. ไล่โว่ อ. สังขละบุรี จ. กาญจนบุรี ที่พึ่งพิงธรรมชาติเป็นหลัก ทำมาหากินอยู่ กับป่า อาศัยความอุดมสมบูรณ์ของดินในการเพาะปลูก รวมทั้งการให้ ความหมายพื้นที่ป่าที่สัมพันธ์กับชีวิตตั้งแต่เกิด แก่ เจ็บ ไปจนกระทั่งช่วงสุดท้าย ของชีวิต คือ ความตาย โดยแบ่งประเภทของป่าหลากหลายประเภท เพื่อให้ สอดคล้องเหมาะสมกับการดำรงชีพในแต่ละช่วงชีวิต “ป่าเดปอ” หรือ ป่าสะดือ เป็นป่าที่แสดงถึงรุ่งอรุณของชีวิต ชาวปกาเกะญอทุกคนต้องห้อยแขวนกระบอก


166 ไม่ไผ่บรรจุสายสะดือไว้กับต้นไม้ในป่า และต้องรักษาต้นไม้ที่เปรียบเสมือนชีวิต เริ่มต้นที่ตนเองได้ห้อยแขวนไว้เป็นอย่างดี19 หรือการตั้งถิ่นฐานของชุมชนริม แม่น้ำในเขตภาคกลาง เนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ของที่ราบลุ่มในภาคกลาง เหมาะแก่การเพาะปลูก มีแม่น้ำลำคลองหลายสายพัดพาโคลนตะกอนมาทับถม พื้นที่ในฤดูน้ำเหมาะสมกับการเพาะปลูกค่อนข้างถาวรไม่จำเป็นต้องโยกย้าย พื้นที่ทำกินและเหมาะกับการตั้งบ้านเรือน ด้วยเหตุนี้จึงมักมีการถิ่นฐานริมฝั่ง แม่น้ำ กำเนิดพัฒนาเป็นเมืองสำคัญ ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เช่น ชุมชน ตามบริเวณลำน้ำจระเข้สามพันใกล้เมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรีแหล่งโคก พลับที่จังหวัดราชบุรี เป็นต้น (2) ชื่อบ้านนามเมือง ชื่อบ้านนามเมือง หรือเรียกว่า “ภูมินาม”20 หมายถึง ชื่อเรียก รวมไป ถึงความหมายของคำที่ถูกนำมาใช้ในการตั้งภูมินาม ลักษณะของคำและ 19 ส่วยจีโหม่ง สังขวิมล และคณะ, รายงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นฉบับสมบูรณ์ “การปรับใช้ภูมิปัญญา ลือกาเวาะ ในการดูแลรักษาพื้นที่หาอยู่หากิน ของกลุ่มชาติ พันธุ์กะเหรี่ยง บ้านสะเนพ่อง ต. ไล่โว่ อ. สังขละบุรี จ. กาญจนบุรี”, (กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, 2554). 20 ตรงใจ หุตางกูร และคณะ (2559) ได้นิยามความหมายของคำว่า “ภูมิ นาม” (toponym) หรือ ชื่อสถานที่ (place name) หมายถึง ชื่อของสถานที่ต่างๆ ตัวอย่าง สิ่งก่อสร้าง อาคารบ้านเรือน สะพาน ถนน น้ำตก ภูเขา ป่า คลอง แหล่งน้ำ เป็นต้น ซึ่งอาจเป็นทั้งชื่อที่คนในพื้นที่เรียกขาน ให้ความหมายตามความเข้าใจร่วมกัน หรือชื่อที่ถูกกำหนดขึ้นภายหลังโดยคนนอกพื้นที่


167 ความหมายในภูมินามมักสะท้อนมโนทัศน์ ความคิดของคนในชุมชนในสมัยที่ เกิดภูมินามนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังแสดงถึงความสัมพันธ์กับ สภาพแวดล้อมหรือความเชื่ออันนำไปสู่การสร้างความเข้าใจประวัติศาสตร์ ท้องถิ่นที่มีฐานคิดที่สัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมของแต่ละพื้นที่ การตั้งประเด็นคำถามเกี่ยวกับชื่อเรียก ภูมินาม สามารถเริ่มจากการ ตั้งคำถามพื้นฐาน 3 ประเด็นเรื่องที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ 1) ชื่อเรียก ตั้งมาจากชื่อ อะไร 2) ชื่อเรียก มีความหมายว่าอะไร 3) ชื่อเรียก มีความสัมพันธ์กับสังคม วัฒนธรรม อย่างไร การศึกษาเรื่องภูมินาม ถือได้ว่าเป็นเครื่องมือศึกษาชนิดหนึ่งที่เชื่อมต่อ ความสัมพันธ์ระหว่างประวัติศาสตร์ท้องถิ่นกับภูมิสังคม ซึ่งอาจแสดงให้เห็นถึง ภูมิลักษณ์ เช่น ที่สูง (เขา ควน โคก) แหล่งน้ำ ที่ราบ ทุ่ง นา ป่า หาด ตัวอย่าง ชื่อเรียก เช่น บ้านนาโคก บ้านไร่ บ้านนาขวาง หรือจุดเด่นด้านพืชพรรณ สัตว์ ชนิดต่างๆ เช่น บ้านห้วยจระเข้ บ้านคอกควาย บ้านกาหลง หรือชื่อเรียกแสดง ถึงความสัมพันธ์ระหว่างอาชีพดั้งเดิมของคนในชุมชน เช่น บ้านท่าจีน บ้านท้าย ตลาด บ้านโรงหีบอ้อย หรือชื่อเรียกที่เกี่ยวข้องกับประวัติ ตำนาน เรื่องเล่า ที่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต หรือชื่อสถานที่ ศาสนสถาน วัตถุสิ่งของ บุคคลสำคัญของชุมชน เป็นต้น


168 ตัวอย่างการศึกษาชื่อบ้านนามเมืองในงานของจิดาภา ปิยะเนติธรรม21 ได้อธิบายถึง “บ้านแพน” ชุมชนเก่าริมแม่น้ำน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ว่า ประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับที่มาของชื่อบ้านแพน ที่มีความแตกต่างปรากฏให้ เห็นผ่านความทรงจำของผู้คนในชุมชนที่ถ่ายทอดออกมาผ่านคำบอกเล่า เรื่อง เล่าตำนาน (1) บอกเล่าสืบต่อกันมาว่า วันหนึ่งมีสำเภาใหญ่ล่องมาทางคลองราง จระเข้ โดยหารู้ไม่ว่าบริเวณปากคลองนี้มีกระแสน้ำวนเชี่ยวกราก สำเภาจึงเสีย การทรงตัวกระแทกเข้าริมตลิ่งแล้วบ่ายหัวไปอีกทาง กระทบกระทั่งทุกอย่างที่ ขวางหน้าอย่างไร้ทิศทาง จนเรือล่วงเข้าสู่ท้ายคลองจึงจมลงอย่างสงบนิ่ง มีเพียง เสากระโดงโผล่ขึ้นเหนือน้ำ บรรดาข้าวของและสัมภาระที่ติดมากับเรือต่างลอย กระจายอยู่ทั่วไป ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์จึงเข้าช่วยตามกำลัง ส่วนหนึ่งลาก เอาเสื่อลำแพนที่ลอยไปติดเนินดินขึ้นตากจนแห้ง ภายหลังจึงเรียกชื่อแห่งนั้นว่า “บ้านแพน” ส่วนเสื่อกกที่ลอยไปติดใกล้โคกใหญ่ชาวบ้านได้ช่วยกันนำตากบน โคก จึงเรียกบริเวณนั้นว่า “โคกเสื่อ” บริเวณเนินดินเมื่อสายน้ำเปลี่ยนทิศ ทางผ่านมายังจุดนั้นจึงกลายเป็นชุมทางเรือและการค้าขายปัจจุบันเป็นที่ตั้งที่ว่า การอำเภอเสนา เรื่องเล่าตำนาน (2) อดีตบ้านแพนนั้นเป็นชุมชนการค้าริมแม่น้ำ มี เรือนแพและบ้านเรือนริมแม่น้ำจำนวนมากเพื่อทำการค้าบริเวณริมแม่น้ำ นอกจากนี้ยังมีเรือพายและเรือส่งสินค้าอยู่กันอย่างหนาแน่นทำให้ผู้คนที่ 21จิดาภา ปิยะเนติธรรม, “การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจชุมชนริมแม่น้ำ น้อย: กรณีศึกษาตลาดบ้านแพน อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. 2503- 2560”, (รายงานการค้นคว้าเฉพาะบุคคล สาขาวิชาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น คณะ โบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2565).


169 เดินทางสัญจรผ่านไปผ่านมาในอดีตเรียกชุมชนแห่งนี้ว่า “บ้านแพ” ก่อนที่จะ เริ่มออกเสียงผิดเพี้ยนมาเรื่อยๆ จนเปลี่ยนมาเป็น “บ้านแพน” ในปัจจุบัน จากกรณีตัวอย่างศึกษาเรื่องภูมินาม นอกจากจะช่วยให้ทราบที่มาและ ความหมายจากชื่อเรียกสถานที่นั้นๆ แล้ว ข้อมูลจากคำบอกเล่าสืบต่อกันมา ของชื่อภูมินามยังสะท้อนให้เห็นถึงสภาพพื้นที่บริเวณตลาดบ้านแพนว่าเป็นชุม ทางเรือที่เต็มไปด้วยเรือค้าขายสัญจรจากหลายพื้นที่ และบรรดาสินค้าที่บรรทุก มากับเรือ ทำให้ตลาดบ้านแพนในอดีตนอกจากจะเป็นชุมทางของเรือสินค้าแล้ว ยังเป็นชุมทางการค้าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ณ ช่วงเวลาดังกล่าวอีกด้วย (3) การใช้แผนที่ การทำแผนที่ชุมชน หรือ แผนที่เดินดิน แผนที่คือ สิ่งที่แสดงลักษณะของพื้นผิวโลกและสิ่งที่ปรากฏอยู่บน พื้นผิวโลกทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ด้วยการย่อส่วน ให้มีขนาดเล็กลงตามอัตราส่วนที่ต้องการ เขียนเส้นโครงแผนที่แบบต่างๆ และ ใช้สัญลักษณ์แทนเพื่อสื่อความหมายให้เข้าใจ22 ทั้งนี้ยังคงความเหมือนจริงทั้ง ขนาด รูปร่าง ทิศทางและตำแหน่งที่ตั้งไว้ แผนที่สามารถแบ่งออกได้หลายชนิดหลายลักษณะขึ้นอยู่กับเกณฑ์ใน การพิจารณา โดยทั่วไปนิยมแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ 1) แผนที่ภูมิประเทศ (Topographic Map) เป็นแผนที่แสดงข้อมูล รายละเอียดของผิวโลกที่เกี่ยวกับภูมิลักษณ์แบบต่างๆ ทั้งที่เกิดขึ้นเองตาม ธรรมชาติเช่น ภูเขา ที่ราบ แม่น้ำ ทะเล ทะเลสาบ เป็นต้น และสิ่งที่มนุษย์ 22 ศรีศักร วัลลิโภดม และวลัยลักษณ์ ทรงศิริ, เรียนรู้จากแผนที่เพื่อรู้จัก ท้องถิ่น, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์, 2557), 34.


170 สร้างขึ้น เช่น เมือง หมู่บ้าน วัด สถานที่สำคัญ ที่ไร่ ที่นา ที่สวน อ่างเก็บน้ำ คลองชลประทาน ถนน ทางรถไฟ เป็นต้น แผนที่ภูมิประเทศ เป็นแผนที่ซึ่งให้รายละเอียดทั่วไปของภูมิประเทศ โดย สร้างเป็นแผนที่ภูมิประเทศ แสดงความสูงต่ำของผิวโลกด้วยเส้นชั้นความสูง (contour line) และหมุดระดับ (bench mark) จัดทำโดยกรมแผนที่ทหาร แผนที่ภูมิประเทศที่ใช้กันมากมี 2 มาตราส่วน ได้แก่ แผนที่มาตราส่วนเล็ก คือ มาตราส่วน 1: 250,000 และแผนที่มาตราส่วนใหญ่ คือ มาตราส่วน 1: 50,000 เนื่องจากแผนที่ภูมิประเทศทั้งสองมาตราส่วนจัดทำขึ้นจากข้อมูลที่ได้มาจากรูป ถ่ายทางอากาศ และภาพจากดาวเทียมจึงได้ข้อมูลที่ปรากฏอยู่บนพื้นผิวโลกที่ ถูกต้องและทันสมัย มีจุดพิกัดภูมิศาสตร์อ้างอิงได้จึงเป็นแผนที่ที่มีความนิยมใช้ ในงานสาขาต่างๆ เช่น การสร้างถนน การสร้างเขื่อน การสร้างเมืองใหม่ การ ป้องกันอุทกภัย ภาพที่ 4.2 ตัวอย่างแผนที่ภูมิ ประเทศ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี


171 เส้นชั้นความสูง ถ้าแผนที่แสดงเส้นชั้นความสูงแต่ละเส้นอยู่ชิดกันมาก แสดงว่าภูมิประเทศจริงของพื้นที่นั้นมีความลาดชันแต่ถ้าแผนที่นั้นแสดงเส้นชั้น ความสูงแต่ละเส้นห่างกัน แสดงว่าภูมิประเทศจริงของพื้นที่นั้นมีลักษณะ ราบเรียบ และถ้าแผนที่แสดงเส้นชั้นความสูงห่างกันมาก แสดงว่าภูมิประเทศ จริงของพื้นที่นั้นเป็นที่ต่ำมีระดับใกล้เคียงกัน ซึ่งมักปรากฏในบริเวณใกล้ชายฝั่ง ทะเล ภาพที่ 4.3 ลักษณะของเส้นชั้นความสูง พิกัดภูมิศาสตร์ ในปัจจุบันการอ่านแผนที่หรือการหาพิกัดบน พื้นผิวโลก ทำได้ง่ายและแม่นยำโดยใช้จีพีเอส (GPS: Global Positioning System) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีขนาดเล็ก สามารถพกพาหรือนำไปติดกับวัตถุหรือ ยานพาหนะก็สามารถทำได้สะดวก อีกทั้งยังให้ข้อมูลได้แม่นยำและตรงกับความ เป็นจริง


172 ดังนั้นจึงมีการใช้จีพีเอสในรูปแบบต่างๆ มากมาย เช่น ใช้ในการ เดินทาง เดินเรือ การท่องเที่ยว การเดินป่า ติดตามรถยนต์ เดินทางด้วยรถยนต์ แถมยังใช้งานง่ายดายอีกด้วย จึงเป็นประโยชน์อย่างมากในการดำเนินชีวิตใน ปัจจุบัน ทิศ (Direction) แปลว่า แนว, ด้าน, ข้าง, ทาง, เบื้อง โดยทิศมี ความสำคัญต่อการค้นหาตำแหน่งที่ตั้งของสิ่งต่าง ๆ 2) แผนที่เฉพาะเรื่อง (Thematic Map) เป็นแผนที่ที่จัดทำขึ้นเพื่อ แสดงข้อมูลหลักเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น แผนที่แหล่งโบราณสถาน แสดง แนวกำแพงเมืองหรือคูน้ำคันดิน แผนที่ประชากร แผนที่อากาศ แผนที่ดิน แผน ที่ป่าไม้ แผนที่ท่องเที่ยว แผนที่เหล่านี้จะมีการสำรวจเพิ่มเติมหรือปรับแก้ไข ข้อมูลให้ทันสมัยเป็นระยะๆ ภาพที่ 4.4 แผนที่แสดงตำแหน่งเมืองโบราณเมืองอู่ทอง ที่มา: https://www.facebook.com/Uthongmuseum/photos


173 ภาพที่ 4.5 แผนที่แสดงพื้นที่ป่าไม้ จ.กำแพงเพชร ปีพ.ศ. 2551 ข้อมูลศูนย์สารสนเทศ กรมป่าไม้ ที่มา: http://forestinfo.forest.go.th/55/UploadFiles/MAP/5.jpg


174 ภาพที่ 4.6 แผนที่ท่องเที่ยว จ.เพชรบุรี ที่มา: https://thai.tourismthailand.org


175 แผนที่ชุมชนหรือแผนที่เดินดิน เป็นแผนที่ชุมชนที่มีลักษณะพิเศษ สาเหตุที่เรียกว่า “แผนที่เดินดิน” ก็เพื่อที่จะให้แตกต่างจากแผนที่ชุมชนอีกชนิด หนึ่ง คือ แผนที่นั่งโต๊ะ โดยแนวคิดของการทำแผนที่เดินดินนั้นไม่ได้อยู่ที่ การเขียนแผนที่กายภาพให้ครบถ้วนสมบูรณ์แต่เป็นการทำแผนที่ภูมิสังคม (Geo-social mapping) คือ การทำแผนที่ทางภูมิศาสตร์และแผนที่ทางสังคม ไปพร้อมกัน23 เพื่อเข้าใจความหมาย และ “หน้าที่ทางสังคม” (Social meaning และ social function) ของ “พื้นที่ทางกายภาพ”(Physical space) เหล่านั้น แผนที่เดินดินจึงเป็นแผนที่ที่มีชีวิต เห็นภาพรวมของ “วิถีชีวิต” คนใน ชุมชนมากกว่าเห็นภาพบ้าน และจำนวนหลังคาเรือน นำไปสู่การเข้าใจมิติอื่นๆ ของชุมชน มองปรากฏการณ์ต่างๆ ได้อย่างลึกซึ้งซึ่งจะทำให้รู้ว่าคนในชุมชน มีความสัมพันธ์กับพื้นที่ของตัวเองอย่างไร และการใช้พื้นที่นั้นได้สร้าง ความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันในรูปแบบไหนบ้าง24 แผนที่เดินดินจึงต้องลงไป เดินดูสำรวจให้เห็นกับตาและได้พบปะพูดคุยจะช่วยให้เห็นพื้นที่ทางสังคม (Social space) เห็นรายละเอียดของชุมชน และบันทึกลงไปในแผนที่ด้วย ซึ่งจะทำให้เข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในชุมชนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น 23 โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์, วิถีชุมชน เครื่องมือ 7 ชิ้น ที่ทำให้งานชุมชน ง่าย ได้ผลและสนุก, (นนทบุรี : สุขศาลา, 2562), 28. 24 เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์, “ร่วมกัน อ่าน ชุมชน ด้วยแผนที่เดินดิน”, เอกสาร ประกอบงานประชุมวิชาการ HA National Forum ครั้งที่ 17 งานบันดาลใจ 15 ปี เครื่องมือ 7 ชิ้น, 10 มีนาคม 2559 ณ ศูนย์การประชุม IMPACT FORUM เมืองทอง ธานี.


176 การทำแผนที่เดินดิน หรือ แผนที่ชุมชน เปรียบเสมือนเครื่องมือสำรวจ ที่ช่วยเตรียมความพร้อมก่อนที่จะศึกษาชุมชนในประเด็นที่ลึกซึ้งมากขึ้น เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านอยู่อาศัย ใช้ประโยชน์ ซึ่งเป็นที่ทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน บ้านผู้นำทางการและไม่เป็นทางการ ทางเดินสาธารณะ ที่ทำกิน ที่ไร่นา ป่าช้า วัด ศาสนสถาน ร้านขายของชำ โรงสี ชุมชน และอื่นๆ อีกทั้งยังช่วยให้เราทำความเข้าใจเรื่องราวของชุมชนใน ระยะเวลาอันสั้นอีกด้วย ขั้นตอนการทำแผนที่เดินดิน 25 1. ถ้ามีแผนที่กายภาพอยู่แล้ว เช่น Google Maps ให้นำเอามาใช้ตั้งต้น เป็นพื้นฐานในการทำแผนที่เดินดินได้ แต่ต้องสังเกตดูด้วยว่าปัจจุบันมีสภาพ อะไรที่เปลี่ยนแปลงไปจากสภาพในแผนที่ที่นำมาใช้เป็นพื้นฐานด้วย 2. เติมข้อมูลพื้นฐานต่างๆ ลงในแผนที่พื้นฐาน เช่น บ้านเลขที่และชื่อนามสกุลของบ้านหรือเจ้าของบ้านที่สำคัญๆ เช่น โรงเรียน บ้านผู้นำชุมชน วัด สถานที่/เวลาที่พบปะกันระหว่างสมาชิกในชุมชนนั้นๆ เป็นต้น 3. ลงพื้นที่เพื่อสำรวจ พูดคุย สัมภาษณ์ไต่ถามเรื่องราวต่างๆ ตลอดจนเริ่ม สังเกตสภาพแวดล้อมและเหตุการณ์ภายในชุมชน โดยเน้นพูดคุยอย่างเป็น ธรรมชาติให้มากที่สุด ทั้งนี้การลงพื้นที่ด้วยการเดินนั้นเป็นวิธีการที่ดีมากกว่า การสัมภาษณ์โดยใช้ยานพาหนะ เนื่องจากเหมาะที่จะหยุดแวะเพื่อพูดคุย สัมภาษณ์ได้ทันทีและใช้สามารถเวลานานๆ ได้ 25 โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์, วิถีชุมชน เครื่องมือ 7 ชิ้น ที่ทำให้งานชุมชน ง่าย ได้ผลและสนุก, 34-35.


177 4. จากการสังเกต ให้เขียนอธิบายเพิ่มเติมลักษณะทางกายภาพของชุมชน ให้มากยิ่งขึ้น เช่น ที่อยู่หรือตำแหน่งที่ตั้งของแหล่งทรัพยากรหรือสาธารณูปโภค ที่สำคัญต่อชุมชน เช่น มีบ่อน้ำ แต่อยู่ในสภาพที่ค่อนข้างทรุดโทรม 5. สังเกตกิจกรรมทางสังคมที่เกิดขึ้นในพื้นที่กายภาพต่างๆ แล้วให้นำมา บันทึกลงในแผนที่ เช่น มีศาลาที่เป็นเหมือนศูนย์รวมชุมชนของชุมชน โรงงาน ทอผ้า ก. บริเวณหน้าโรงงาน โดยมักจะมีการไปพบปะพูดคุยกันของแรงงาน ในช่วงเย็นของทุกๆ วัน เป็นต้น 6. โยง “ความสัมพันธ์ในชุมชน” ด้วยเส้นและลูกศรพร้อมคำอธิบายที่ช่วย ให้เห็นความเชื่อมโยงที่เกิดขึ้นแต่ละกรณีๆ เช่น ตลาดกับผู้นำชุมชนเป็นอย่างไร วัดกับเยาวชนเป็นอย่างไร เครือข่ายแรงงานกับเจ้าของโรงงานเป็นอย่างไร เป็น ต้น 7. เขียนสัญลักษณ์ลงไป ตัวอย่างเช่น กากบาท หรือ ธง หรือ ดาว ในพื้นที่ ที่ควรต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ หรือมีคน กลุ่มคนในชุมชนที่เราควรให้ความ สนใจมากเป็นพิเศษ ซึ่งจะเป็นในเรื่องอะไรก็เขียนระบุลงไปให้ชัดเจน


178 ภาพที่ 4.7 ตัวอย่างแผนที่ชุมชน เห็นได้ว่าแผนที่เดินดินช่วยให้เราเห็นรายละเอียดของแต่ละพื้นที่ เรียนรู้ว่ามีความเชื่อมโยงอย่างไร มีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้พื้นที่เกิดความ เปลี่ยนแปลง เพื่อเป็นการทำความรู้จักและวิเคราะห์ขอบเขตพื้นที่ศึกษา อีกทั้ง ยังเป็นการประเมินคุณค่าและปัญหาที่เกิดขึ้นร่วมกับคนในชุมชนซึ่งเป็น สิ่งที่เกิดขึ้นจากกระบวนการทำแผนที่ร่วมกันระหว่างนักวิจัยและชาวบ้านที่เป็น คนในพื้นที่


179 4.2.2 การศึกษาประวัติชีวิต สายตระกูล-ผังเครือญาติและ โครงสร้างองค์กร (รู้จักผู้คน) การเรียนรู้เพื่อเข้าใจ ผู้คนในชุมชนที่มีความผูกพันกันทางสังคมและ อยู่ร่วมกันในระบบครอบครัว เป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานต่อการทำความเข้าใจชุมชน และมีความสำคัญยิ่งต่อการวิเคราะห์ เป็นเครื่องมือที่ทำความเข้าใจผู้คน ระบบ ความสัมพันธ์ของคนในชุมชนผ่านครอบครัว เครือญาติและรูปแบบ ความสัมพันธ์อื่นๆ (1) ประวัติชีวิต (Life Story) ประวัติชีวิต คือ เรื่องราวประสบการณ์ชีวิตของบุคคล เรื่องที่เล่ามี มากกว่าข้อมูลหรือข้อเท็จจริง เพราะการเล่าเรื่องราวของบุคคลนั้นจะให้ รายละเอียดเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ผ่านมา สะท้อนบุคลิกภาพ ความรู้สึกนึกคิด ของบุคคล นิสัย ทำให้เราเข้าใจตัวตนของผู้เล่าและชีวิตแล้ว ยังสามารถเข้าใจ สังคมและชุมชน รวมทั้งยุคสมัยความเป็นไปของแต่ละสมัยที่บุคคลนั้นมีชีวิตอยู่ วิธีการศึกษา ต้องเริ่มต้นจากการสร้างความคุ้นเคยและไว้วางใจ และ ควรเลือกบุคคลสำคัญ Key informant และซักถามประวัติชีวิตโดยเป็นการถาม หาเรื่องราว ไม่ใช่ถามหาข้อเท็จจริงเป็นข้อๆ โดยใช้คำถามปลายเปิดในบท สนทนา จากนั้นผู้สัมภาษณ์อาจเรียบเรียงประวัติชีวิตเป็นเป็นลำดับตามเวลา Timeline ซึ่งจะช่วยให้เห็นเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลาได้ง่ายขึ้น หลักการสำคัญของการทำประวัติชีวิต คือ 1) เป้าหมายสำคัญของการทำประวัติชีวิตคือการเรียนรู้มนุษย์ มุ่งทำ ความเข้าใจประสบการณ์ชีวิตของผู้คนที่หลากหลายในชุมชน


180 2) ประวัติชีวิตเน้นไปที่เรื่องราว ที่เกิดขึ้นมากกว่าข้อเท็จจริง ดังนั้น จำเป็นต้องอาศัยทักษะการเป็นผู้ถามและผู้ฟังที่ดี และควรตั้งคำถามปลายเปิด ประเภท ทำไม อย่างไร มากกว่าจะเป็นคำถามปลายปิด เพื่อให้บุคคลได้เล่า เรื่องราวต่างๆ ที่เป็นประสบการณ์จากชีวิต 3) การทำประวัติชีวิตอาจเขียนเรียบเรียงขึ้นเป็นเรื่องราว หรือนำเสนอ ในรูปแบบเส้นเวลา หรือผสมผสานกันโดยเขียนเรื่องราวที่น่าสนใจสั้นๆ ในเส้น เวลา การศึกษาประวัติชีวิตช่วยเติมเต็มเรื่องราวของผู้คนที่เป็น ประสบการณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกนึกคิดแล้ว ยังสะท้อนความ เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม รวมทั้งยังเป็น เครื่องมือสำคัญของการค้นหา “ทรัพยากรมนุษย์” ที่มีอยู่ในชุมชน (2) ผังเครือญาติ (Family tree) “ผังเครือญาติ” มีชื่อเรียกที่ต่างกัน เช่น ผังสาแหรก แผนภูมิลำดับ ญาติ ผังสายตระกูล ซึ่งหมายถึง แผนผังที่ที่เขียนขึ้นเพื่อแสดงความสัมพันธ์เชิง เครือญาติ โดยใช้สัญลักษณ์แทนตัวบุคคลและเส้นแสดงความสัมพันธ์ทาง สายเลือดและความสัมพันธ์จากการแต่งงาน26 การทำผังเครือญาติเป็นเครื่องมือศึกษาที่สามารถเชื่อมโยงตนเองกับ ประวัติศาสตร์ชุมชนได้เพราะข้อมูลที่ได้จากเครือญาติมีทั้งเรื่องเล่า เรื่องราว ของตระกูล การเคลื่อนย้าย การตั้งถิ่นฐาน ที่เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์บอกเล่า และแสดงสัญลักษณ์ในการทำเพื่อช่วยให้เขียนผังได้ง่ายและต้องทำความเข้าใจ 26 โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์, วิถีชุมชน เครื่องมือ 7 ชิ้น ที่ทำให้งานชุมชน ง่าย ได้ผลและสนุก, 56.


181 ร่วมว่าสัญลักษณ์แต่ละอย่างมีความหมายว่าอย่างไร หาผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้เรื่องราว ของเครือญาติเพื่อพูดคุย สอบถาม และระมัดระวังเรื่องคำถาม ควรตั้งคำถามที่ สร้างสรรค์ ไม่ทำให้ผู้สนทนารู้สึกอึดอัด หลักการทำผังเครือญาติคือ 1. ความสัมพันธ์แบบเครือญาติมีทั้งความสัมพันธ์โดยสายเลือดและ โดยการแต่งงาน การทำผังเครือญาติต้องครอบคลุมความสัมพันธ์ทั้งสองแบบ ทั้งความสัมพันธ์ที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ 2. เครือญาติเกี่ยวพันใกล้ชิดกับการนับญาติ ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ ละสังคมวัฒนธรรมหรือแต่ละท้องถิ่น เช่น การนับญาติฝ่ายพ่อหรือฝ่ายแม่หรือ ทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ยังมีแบบแผนการพักอาศัย เช่น แต่งเข้าครอบครัวฝ่าย ชาย หรือ แต่งเข้าครอบครัวฝ่ายหญิง 3. การนับญาติและแบบแผนการพำนักอาศัยในการแต่งงานมีส่วน สำคัญในการกำหนดอำนาจในครอบครัว สิทธิในทรัพย์สิน การแบ่งมรดกและ การใช้ประโยชน์จากของส่วนรวม 4. การทำผังเครือญาติไม่จำเป็นต้องจำกัดจำนวนรุ่นไว้ล่วงหน้า ใน กรณีสังคมสมัยใหม่ที่เครือญาติไม่ได้อาศัยอยู่ร่วมกันในชุมชนอาจทำผัง เครือญาตเพียงสามรุ่น แต่สำหรับในสังคมชนบท ที่เครือญาติยังคงความสัมพันธ์ สังคมแบบดั้งเดิมอาจทำมากกว่านั้นแล้วแต่ข้อมูลที่สอบถามได้หรือควร สอบถามเชื่อมโยงข้อมูลออกไปให้มากที่สุด


182 ภาพที่ 4.8 ตัวอย่างผังเครือญาติ


183 (3) โครงสร้างองค์กรชุมชน (Community Organization) โครงสร้างองค์กรชุมชน คือ ระบบความสัมพันธ์ที่หลากหลาย ซ้อนทับ กันอยู่ในชุมชน ประกอบด้วยบุคคลและองค์กรต่างๆ ที่มีบทบาทในชุมชน ประกอบด้วยความสัมพันธ์ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ 27 ทั้งความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม โดยผู้ศึกษาอาจจัดเรียง ความสัมพันธ์ที่ได้จากการเก็บข้อมูล โดยออกแบบตารางอย่างง่ายๆ แสดง รายละเอียดความสัมพันธ์ดังตารางด้านล่าง ดังนี้ ความสัมพันธ์ ทางเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ ทางสังคม ความสัมพันธ์ ทางการเมือง อาชีพ: อะไรบ้าง สัดส่วนอาชีพ อาชีพหลัก • ปัจจัยการผลิต อำนาจ การตัดสินใจ • ฐานะทางเศรษฐกิจ ภายในชุมชน แตกต่าง กันหรือไม่ กลุ่มทางสังคมนั้น จัดตั้งโดยรัฐหรือ ชุมชนเอง กลุ่มอาชีพ กลุ่มอิทธิพล • การศึกษา: ระบบ ระดับ • องค์การศาสนา ความเชื่อ ความอาวุโส • บทบาทของ หญิง ชาย ข้ามเพศ โครงสร้างการปกครอง ท้องถิ่น เช่น ผู้นำ กรรมการ องค์กรต่างๆ • ลักษณะทั่วไปของ การเมืองท้องถิ่น เช่น กลุ่มที่ได้ประโยขน์ และกลุ่มที่ความขัดแย้ง • ความสัมพันธ์ของ นักการเมืองท้องถิ่น 27 โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์, วิถีชุมชน เครื่องมือ 7 ชิ้น ที่ทำให้งานชุมชน ง่าย ได้ผลและสนุก, 81-83.


184 ความสัมพันธ์ ทางเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ ทางสังคม ความสัมพันธ์ ทางการเมือง • การใช้ชีวิต การหา รายได้ และแบ่งระดับ รายได้ • จำนวนครอบครัว: ฐานะ รายได้ประจำ เช่า ที่ทำกิน รับจ้าง ภาระ หนี้สิน • กองทุนหมุนเวียน • แหล่งเงินกู้ • ต้นทุนทางสังคม เช่น ภูมิปัญญาท้องถิ่น ผู้นำไม่เป็นทางการ ระบบความสัมพันธ์ ค่านิยม • ความสัมพันธ์เชิง โครงสร้างทางสังคม เช่น สามี-ภรรยา ผู้ปกครอง-ลูก ผู้นำลูกบ้าน กับ นักการเมือง ระดับชาติ • รูปแบบการมีส่วนร่วม ในชุมชน เช่น การเกิด มติ การแสดงความ คิดเห็น การตัดสินใจใน กิจการของชุมชน • เวทีสาธารณะใน ชุมชน เช่น วงเหล้าทุกเย็น สภา กาแฟตอนเช้า การศึกษาโครงสร้างองค์กรของชุมชนช่วยให้เข้าใจระบบความสัมพันธ์ ที่มีความหลากหลายและซับซ้อนที่นอกเหนือจากความสัมพันธ์แบบเครือญาติ เช่น ลูกหนี้-เจ้าหนี้ กลุ่มอาชีพ กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มเกษตรกร กลุ่มผู้ประกอบการ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน กลุ่มเยาวชน กลุ่มศาสนา เป็นต้น ซึ่งมีทั้งรูปแบบที่เป็น ทางการและไม่เป็นทางการ ดังนั้นการเก็บข้อมูลโครงสร้างองค์กรอาจต้องอาศัย ระยะเวลาในการทำความเข้าใจ เพราะข้อมูลบางอย่างอาจไม่สามารถมองเห็น ได้ชัดเจนจากการพูดคุยสัมภาษณ์ จึงควรใช้วิธีการสังเกตและเข้าร่วมกิจกรรม


185 ต่างๆ ของชุมชนร่วมด้วยเพื่อเรียนรู้และทำความเข้าใจระบบความสัมพันธ์ของ ชุมชน ประโยชน์ของการทำโครงสร้างองค์กรช่วยให้ผู้ศึกษาทำความเข้าใจ ผู้คน องค์กร ตำแหน่งแห่งที่หรือสถานภาพทางสังคม บทบาทภายในชุมชน ทั้งนี้เพื่อเห็นถึงระบบความสัมพันธ์ทางสังคม ที่ดำรงอยู่รวมทั้งรูปแบบ ความสัมพันธ์เชิงอำนาจและความหลายหลายของโครงสร้างสังคมในชุมชน ภาพที่ 4.9 ตัวอย่างแผนผังโครงสร้างองค์กร


186 4.2.3 การศึกษาเรื่องเวลา บริบทความเปลี่ยนแปลงและฤดูกาล ของชุมชน (รู้จักเวลา) การเรียนรู้ทำความเข้าใจเรื่องเวลาของชุมชนที่สัมพันธ์กับผู้คนและ พื้นที่ เป็นเครื่องมือสำคัญในการเก็บข้อมูลในภาคสนาม ซึ่งช่วยให้เห็นถึง เงื่อนไขและปัจจัยที่แตกต่างกันออกไป อีกทั้งเป็นการเชื่อมภาพของชุมชนจาก ความทรงจำและแบบแผนปฏิบัติร่วมกันของสังคมในแต่ละช่วงเวลา (1) ปฏิทินชุมชน (Community Calendar) ปฏิทินชุมชน หมายถึง ตารางกิจกรรมที่รวบรวมเหตุการณ์ทั้งหมดที่ เกิดขึ้นในรอบปีตามการนับเวลาของชุมชน บางชุมชนอาจมีการรวบรวม กิจกรรมในรอบเดือน โดยหลักสำคัญของการทำปฏิทิน คือการเรียนรู้วิถีชีวิต ของชุมชนผ่านเวลาของผู้คนว่าชุมชนทำอะไรบ้าง เพื่อจะได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับ กิจกรรมของชุมชน มีงานอะไรบ้าง มีการทำมาหากินแบบไหน หรือมีประเพณี พิธีกรรมอะไรส่งผลกับชุมชนอย่างไร เพื่อวางแผนการทำงานให้สอดคล้องกับ บริบทของพื้นที่ วิเคราะห์สถานการณ์และเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของชุมชนทั้ง เรื่องเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม28 28 จุไรรัตน์ ปิยะวัชร์, “ปฏิทินชุมชน เรียนรู้วิถีชุมชนผ่านงานและเวลา”, เอกสารประกอบงานประชุมวิชาการ HA National Forum ครั้งที่ 17 งานบันดาลใจ 15 ปี เครื่องมือ 7 ชิ้น, 10 มีนาคม 2559 ณ ศูนย์การประชุม IMPACT FORUM เมืองทองธานี.


187 แผนภูมิแสดงการทำกิจกรรมในแต่ละฤดูกาลมีหลายลักษณะ ขึ้นอยู่กับ วัตถุประสงค์ของการแสดงกิจกรรมในรอบปี เช่น ตารางกิจกรรมด้านเศรษฐกิจ เพื่อต้องการรู้ช่วงเวลาในระบบการผลิตรอบปี เรียกว่า “ปฏิทินฤดูกาล” หรือ “ปฏิทินการผลิต” ก็ได้ และถ้าต้องการแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับกิจกรรมทาง สังคม วัฒนธรรม ความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น เรียกว่า “ปฏิทินวัฒนธรรม” ตารางกิจกรรมที่เกิดขึ้นในชุมชนในแต่ละช่วงเวลา มีเป้าหมายเพื่อการ รวบรวมเหตุการณ์และปรากฏการณ์ในชีวิตประจำวันของชุมชนในรอบปี รอบเดือน หรือช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อทำความเข้าใจวงจรชีวิตของคนที่ผูกพัน กับฤดูกาลตามธรรมชาติ ซึ่งถือเป็นรากฐานการทำงาน เปรียบเสมือนเครื่องมือ ในการเรียนรู้มิติเวลา (Time) 29 และสามารถปรับเปลี่ยนตามบริบทของชุมชน ท้องถิ่น อีกทั้งยังพบการนับเวลาที่หลากหลายตามวัฒนธรรมของชุมชน เช่น การนับตามจันทรคติ นับตามข้างขึ้นข้างแรม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ช่วยให้ผู้ศึกษาเข้าใจ เรื่องราวผู้คนที่สัมพันธ์กับเวลาที่แตกต่าง และวางอยู่บนเงื่อนไขของสภาพสังคม และวัฒนธรรมในแต่ละพื้นที่อันจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการศึกษา ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น 29 โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์, วิถีชุมชน เครื่องมือ 7 ชิ้น ที่ทำให้งานชุมชน ง่าย ได้ผลและสนุก, 126.


188 ภาพที่ 4.10 ตัวอย่างปฎิทินฤดูกาล-การผลิต


189 เห็นได้ว่าปฏิทินชุมชนไม่ได้มีหน้าที่บอกเพียงว่าชุมชนมีกิจกรรมอะไร ในช่วงเวลาใดเท่านั้น หากแต่ยังช่วยให้เข้าใจชุมชนในมิติต่างๆ ที่สำคัญคือการ ทำความเข้าใจเวลาชีวิตของคนในชุมชน ทั้งมิติวัฒนธรรม การทำมาหากินและ งานที่เกิดขึ้นในชุมชน อีกทั้งยังสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมกับกิจกรรมของสังคม อย่างเหมาะสม ช่วยให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมหรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น รวมทั้งผู้ศึกษาสามารถวางแผนการทำงานให้เหมาะสมกับจังหวะชีวิต ของคนในพื้นที่ศึกษา (2) ประวัติศาสตร์ชุมชน (Local History) ประวัติศาสตร์ เปรียบเสมือนความทรงจำร่วมกันของสังคมที่ไม่ได้เกิด ขึ้นมาลอยๆ แต่ถูกกำหนดขึ้นโดยสถาบันทางอำนาจในแต่ละยุคสมัยอีกทั้งยัง เป็นกลไกสำคัญในการก่อรูปลักษณ์ของสังคมทั้งในปัจจุบันและอนาคต30 เช่นเดียวกันความทรงจำของคนหลายคนที่เกิดขึ้นในชุมชน ที่เชื่อมโยงและสร้าง สำนึกร่วมของผู้คน จึงกล่าวได้ว่า ประวัติศาสตร์ชุมชน คือ เรื่องราวความ เป็นมาที่เกิดขึ้นจากการบอกเล่า หรือถ่ายทอดผ่านหลักฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ความทรงจำ ตำนาน แบบแผนปฏิบัติต่างๆ ของชุมชน ซึ่งมีบทบาทในการ แสดงอัตลักษณ์ ความรู้สึกนึกคิด ทัศนคติของชุมชนต่อสิ่งต่างๆ จนอาจกล่าวได้ ว่าชุมชนเป็นผลผลิตของประวัติศาสตร์31 โดยส่วนใหญ่ประวัติศาสตร์ชุมชนมัก 30 อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์, ประวัติศาสตร์เพื่อชุมชน ทิศทางใหม่ของ การศึกษาประวัติศาสตร์, (กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนงานวิจัย, 2548), 7. 31 โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์, วิถีชุมชน เครื่องมือ 7 ชิ้น ที่ทำให้งานชุมชน ง่าย ได้ผลและสนุก, 150.


190 ไม่มีการจดบันทึกเป็นเอกสารหรือหาจากเอกสารโดยตรงได้ยากแต่มักอยู่ ในรูปแบบของความทรงจำ เรื่องเล่า หรือมีการบันทึกไว้ในนามประวัติความ เป็นมาของ สถานที่ สิ่งของ บุคคล ขนบธรรมเนียม แบบแผนที่เคยปฏิบัติ เป็นต้น การจัดทำเส้นเวลาของชุมชน (Timeline) ส่วนใหญ่มักจะย้อนหลัง ประวัติศาสตร์ไปได้ร้อยกว่าปีแต่มีบางชุมชนที่ย้อนไปพันกว่าปีโดยถือเอา ข้อมูลการบอกเล่าที่ได้รับฟังมาจากบรรพบุรุษหรือบันทึกตามแหล่ง ศาสนาสถาน เช่น วัด โบสถ์ มัสยิด มาเป็นข้อมูลในการเขียนประวัติศาสตร์ของ ชุมชน การเขียนข้อมูลที่ย้อนช่วงเวลาไปนานมากๆ อาจทำได้ด้วยการแบ่ง ข้อมูลออกเป็นช่วงเวลา ไม่ต้องต่อเนื่องเป็นรายปีหรืออาจมีบางชุมชนที่ทำเส้น เวลาแล้วเราสามารถนำเรื่องประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของชุมชนมาศึกษาต่อเป็น ประเด็นสำคัญ วิธีการการศึกษาประวัติศาสตร์ชุมชน เริ่มต้นจากการทำความเข้าใจ เกี่ยวกับเวลาของประวัติศาสตร์ชาติเพื่อรู้ว่ามีเหตุการณ์สำคัญอะไรที่เกิดขึ้น ซึ่ง จะช่วยให้เข้าใจประวัติศาสตร์ท้องถิ่นได้ดียิ่งขึ้น จากนั้นต้องอาศัยวิธีการ สอบถาม สัมภาษณ์จากผู้รู้ในท้องถิ่นหรือผู้ให้ข้อมูลหลัก (Key informant) โดยเริ่มจากการถามผู้อาวุโส คนที่อาศัยอยู่ในชุมชนมานาน พระสงฆ์ ผู้นำชุมชน ต่างๆ คำถามที่ใช้สัมภาษณ์อาจเริ่มต้นจากคำถามง่ายๆ โดยแบ่งเรื่องราว คำถามออกเป็นหมวดหมู่ เช่น ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ ประวัติศาสตร์การเมือง เริ่มต้นใช้คำถามง่ายๆ เช่น ใคร ทำอะไร ที่ ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร กับใคร


Click to View FlipBook Version