อภินิหารการประจักษ์
สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์ ทรงนิพนธ์
มหาวิทยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัยจดั พมิ พเ์ ฉลิมพระเกยี รติ
สมเดจ็ พระนางเจ้าสริ กิ ติ ิ์ พระบรมราชนิ ีนาถ พระบรมราชชนนพี นั ปีหลวง
ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๙๐ พรรษา
๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๕
F
อารมั ภบท
ในมงคลสมัยที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เฉลิม
พระชนมพรรษา ๙๐ พรรษา วนั ที่ ๑๒ สงิ หาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ มหาวทิ ยาลัยมหามกุฏราชวทิ ยาลัย เหน็
ควรให้มีการช�ำ ระจดั พิมพห์ นงั สือทีม่ คี ุณคา่ ไวเ้ ป็นหนงั สอื ทรี่ ะลกึ เฉลิมพระเกยี รตเิ น่อื งในวาระนี้
คณะทำ�งานไดค้ ัดเลือกหนงั สอื เร่อื ง “อภนิ ิหารการประจักษ”์ พระนิพนธข์ องสมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงบรรยายพระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทร
มหามงกุฎ พระจอมเกลา้ เจ้าอยูห่ ัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช รัชกาลที่ ๔ เม่ือครัง้ เสด็จออกทรง
ผนวช จนถงึ เหตุการณส์ �ำ คญั ในวันสวรรคต ตามความทรงจ�ำ ของสมเดจ็ พระมหาสมณเจ้าพระองคน์ ัน้ ทัง้ ยัง
ทรงบรรยายถงึ จารึก ๒ หลักส�ำ คญั
ดว้ ย พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรรามาธิบดศี รสี นิ ทรมหามงกฎุ พระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว พระสยาม
เทวมหามกฏุ วทิ ยมหาราช ทรงเป็นสมเดจ็ พระบรมปั ยกาธริ าชของสมเดจ็ พระนางเจา้ สริ กิ ติ ิ์ พระบรมราชนิ นี าถ
พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และทรงเป็นต้นวงศ์คณะธรรมยุติกนิกาย ทัง้ ยังเป็นพระนิพนธ์สมเด็จพระมหา
สมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ที่นอกจากจะแสดงพระราชประวัติแล้ว ยังทรงสอดแทรกความรู้
ดา้ นจารกึ สมยั สโุ ขทยั ส�ำ คัญ ๒ หลัก ทพี่ ระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั เม่ือครัง้ ยังทรงผนวชไดเ้ สด็จ
ธุดงคไ์ ปยังเมอื งเกา่ สุโขทัย ไดโ้ ปรดให้ชะลอจารกึ ทงั้ ๒ หลักนี้ พร้อมดว้ ยพระแทน่ มนังคศลิ าบาตร ลงมายงั
กรงุ เทพมหานคร ประกอบดว้ ยศิลาจารกึ หลกั ที่ ๑ ของพอ่ ขุนรามค�ำ แหงมหาราช และศลิ าจารกึ วดั ป่ ามะมว่ ง
ภาษาเขมร (หลักที่ ๔) ซ่ึงพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยูห่ ัวและสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา
ปวเรศวริยาลงกรณท์ รงร่วมกนั ศกึ ษาและถอดความจารกึ ดงั กลา่ วร่วมกนั ทัง้ สองพระองคจ์ ึงถอื ไดว้ า่ เป็นปฐม
บรู พาจารยด์ า้ นจารึกศกึ ษาของไทย อกี ดว้ ย
พระนพิ นธเ์ ร่อื ง “อภนิ หิ ารการประจกั ษ”์ ตพี มิ พค์ รงั้ แรกในหนงั สอื วชริ ญาณ ตอนที่ ๓๖ เดอื นกนั ยายน
รัตนโกสนิ ทรศก ๑๑๖ เม่ือปีพทุ ธศกั ราช ๒๔๔๐ ตอ่ มาในพทุ ธศักราช ๒๕๓๔ คณะอนุกรรมการมรดกของ
ชาติ ส�ำ นกั นายกรัฐมนตรี ไดน้ �ำ มาชำ�ระ เพมิ่ เชิงอรรถ และตพี มิ พเ์ ผยแพร่เป็นครงั้ ที่ ๒
เน่อื งในมงคลสมยั ทีส่ มเด็จพระนางเจ้าสิริกติ ิ์ พระบรมราชินนี าถ พระบรมราชชนนพี นั ปีหลวง เฉลิม
พระชนมพรรษา ๙๐ พรรษา วนั ที่ ๑๒ สงิ หาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๕ มหาวทิ ยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
เห็นควรแตง่ ตัง้ คณะท�ำ งานจัดพมิ พห์ นงั สอื “อภินหิ ารการประจักษ”์ ตามตน้ ฉบับหนังสอื ตวั เขียนในสมดุ ไทย
ขาวและสมดุ ไทยดำ� ซ่งึ เกบ็ รักษาไวท้ ีว่ ัดบวรนเิ วศวิหาร ตรวจสอบชำ�ระตน้ ฉบับน�ำ มาถ่ายถอด ทำ�คำ�อ่าน คำ�
อธบิ าย และเพมิ่ ภาพประกอบ เพ่อื รว่ มเฉลมิ ฉลองในวาระอนั เป็นมงคลดงั กลา่ ว ดว้ ยหวงั เป็นอยา่ งยงิ่ วา่ หนงั สอื
เลม่ นีจ้ ะอ�ำ นวยประโยชนแ์ กผ่ ทู้ สี่ นใจศกึ ษาหาความรู้โดยทัว่ กนั
1
2
อภินิหารการประจักษ์
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงนิพนธ์
๏ สารบาญเร่อื งตน้ บอกแถลง
เดิมแรกผนวชแสดง กลา่ วชี้
จนถึงทา่ นจตุ แิ ปลง ภพเคล่อื น
จรจากพภิ พน ี้ ยอ่ มลว้ นอศั จรรย์
3
4
4
๏ ราชประวตั ิเร่อื งตน้ จกั แถลง
แดเ่ หลา่ กัมรแตง๑ ทวั่ หลา้
ทําจิตรทเี่ คลอื บแคลง ตรงตอ่
คุณทา่ นเหมอื นตรงหนา้ แดผ่ ยู้ ินฟั ง ๚
๏ เรมิ่ ความแรกทรงผนวชดงั ไดท้ ราบมาดงั นี้ เม่อื พทุ ธศาสนากาลลว่ งแลว้ นนั้ โดยปี ได้ ๒๓๖๗
พรรษา จลุ ศกั ราชทสี่ งั เกตใช้มาในประเทศนี้ เป็นปีที่ ๑๑๘๖ ปีวอก ฉศก พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้
เจ้าสยาม เสดจ็ ออกทรงผนวช ประทับแรมอยใู่ นวัดมหาธาตสุ ามวัน ทรงปฏบิ ัติอุปั ชฌายวัตรตามควร
แกว่ ินัยนิยมแลว้ จึงเสด็จข้นึ ไปจําพรรษา ณ วัดสมอราย ครัน้ ไดท้ รงทราบวา่ ลัทธิสมถะ๒นัน้ มากมูล
วนุ่ วายไปดว้ ยสมั โมหวหิ าร๓
๑กมั รแตง มาจากค�ำ วา่ กมั รเตง หรอื กมรเตง เป็นภาษาขอมแปลวา่ เป็นเจา้ โดยปรยิ ายหมายวา่ เป็นทเี่ คารพนบั ถอื เช่นพระเจา้ แผน่ ดนิ
และครอู าจารยเ์ ป็นตน้
๒ การศึกษาทางฝ่ ายวิปั สสนาธุระ คือ เรียนวิธีที่จะชําระใจตนเองให้บริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลส สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ทรงอธิบายไว้ว่า ผู้บวชเป็นภิกษุต้องศึกษาเล่าเรียน กิจในพระพุทธศาสนามี ๒ อยา่ ง คือ คันถธุระ
และวิปั สสนาธุระ คันถธุระคือ เรียนคําสั่งสอนของพระพุทธเจ้าโดยพยายามอ่านพระไตรปิ ฎกให้รอบรู้พระธรรมวินัย ซ่ึงต้องใช้
เวลาหลายปี เพราะต้องเรียนภาษามคธก่อนจึงจะอ่านพระไตรปิ ฎกเข้าใจได้ เจ้านายที่ทรงผนวชแต่พรรษาเดียวไม่มีเวลาพอ
จงึ มกั จะเรียนทางวปิ ั สสนาธรุ ะ อนั เป็นการภาวนา เม่อื ชํานาญแลว้ อาจทรงอาคมซ่ึงจะเป็นประโยชนใ์ นการพิชยั สงคราม เป็นตน้
๓ สมั โมหวหิ าร หมายถึง การอยูด่ ว้ ยความลุม่ หลงวุน่ วาย
5
พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสนิ ทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั
พระสยามเทวมหามกฏุ วทิ ยมหาราช รชั กาลที่ ๔
พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ประสูติแต่สมเด็จพระศรี
สุริเยนทราบรมราชินี พระราชสมภพเม่ือวันพฤหัสบดี ข้ึน ๑๔ ค่ำ� เดือน ๑๑ ปีชวด ฉศก
จลุ ศกั ราช ๑๑๖๖ ตรงกับวนั ที่ ๑๘ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๓๔๗
เม่ือแรกพระราชสมภพนั้น เรียกกันโดยลำ�ลองว่า “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ า
พระองคใ์ หญ”่ หรอื “ทูลกระหมอ่ มฟ้ าใหญ”่ ตอ่ มาในปี พ.ศ. ๒๓๕๕ เม่อื เสรจ็ การพระราชพธิ ี
ลงสรงแลว้ จงึ ทรงไดร้ บั พระราชทานพระนามตามทจ่ี ารกึ ในพระสพุ รรณบตั รวา่ “สมเดจ็ พระเจา้
ลกู ยาเธอ เจ้าฟ้ ามงกุฎสมมติเทววงศ์ พงศ์อศิ วรกษตั ริย์ วรขตั ตยิ ราชกมุ าร”
ภายหลงั เม่อื ทรงผนวชเป็นพระภกิ ษุ ทรงมพี ระสมณฉายาวา่ “วชริ ญาณ” หากแตร่ าษฎร
ทวั่ ไปมักเรยี กวา่ “ทลู กระหมอ่ มพระ”
6
สมเดจ็ พระอริยวงษญาณ สมเดจ็ พระสังฆราช (ดอ่ น) วัดมหาธาตุ
พระราชอปุ ั ธยาจารยใ์ นรัชกาลที่ ๔
พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรรามาธบิ ดศี รสี นิ ทรมหามงกุฎ พระจอมเกลา้
เจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัด
พระศรรี ตั นศาสดาราม ภายในพระบรมมหาราชวงั โดยมสี มเดจ็ พระอรยิ วงษญาณ
สมเดจ็ พระสงั ฆราช (ดอ่ น) วดั มหาธาตเุ ป็นพระราชอปุ ั ธยาจารย์ณ วนั พธุ ขน้ึ ๑๒ ค�่ำ
เดือน ๘ ปีวอก ฉศก จุลศักราช ๑๑๘๖ ตรงกับวันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๖๗
เม่อื ทรงผนวชแลว้ ประทบั อยใู่ นพระอโุ บสถวดั พระศรรี ตั นศาสดารามคนื หนงึ่
รงุ่ ขน้ึ เลยี้ งพระแลว้ จงึ เสดจ็ ไปประทบั อยใู่ นวดั มหาธาตุ
7
วัดมหาธาตยุ ุวราชรงั สฤษฎิ์
8
วัดมหาธาตุ
วดั มหาธาตุ เป็นวดั โบราณทมี่ มี าตัง้ แตส่ มัยกรงุ อยุธยา เดิมช่อื “วดั สลกั ” ตัง้ อยู่
ในกำ�แพงพระนครเหนือพระบรมมหาราชวัง สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท
กรมพระราชวงั บวรสถานมงคลในรชั กาลที่ ๑ ทรงปฏสิ งั ขรณ์ สรา้ งพระอโุ บสถ พระวหิ าร
และพระมณฑปขน้ึ ใหม่ โดยหนา้ วดั หนั ออกทางฝั่ งทอ้ งสนามหลวง พระราชทานนามใหม่
วา่ “วดั นิพพานาราม” ตอ่ มาในปี พ.ศ. ๒๓๓๒ เม่อื จะมกี ารใช้วดั นีเ้ ป็นทสี่ ังคายนาพระ
ไตรปิฎกจงึ พระราชทานนามใหมว่ า่ “วดั พระศรสี รรเพช็ ญดาราม” ตอ่ มาเม่อื สมเดจ็ พระ
บวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทเสด็จสวรรคตแลว้ เม่ือวันที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๓๔๖
ถดั มาในเดอื นยี่ ปีกนุ นนั้ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราชจงึ ด�ำ รสั ให้ตงั้
การชุมนมุ พระราชาคณะ สมเดจ็ พระสงั ฆราชเป็นประธานพระสงฆ์ แปลพระคมั ภีร์ปริยัติ
ธรรมแลว้ พระราชทานนามพระอารามใหมว่ า่ “วัดมหาธาตุราชวรวหิ าร”
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว ทรงมพี ระบรมราชาธบิ ายถึงทมี่ าของการ
เปลีย่ นนามพระอารามเป็นวดั มหาธาตวุ า่ “...ในกรุงเทพบางกอกนีว้ ัดมหาธาตยุ ังไมม่ ี ก็
วดั มหาธาตเุ ป็นทอี่ ยสู่ มเดจ็ พระสงั ฆราช ๆ อยใู่ นวดั สลกั ซ่งึ แปลงมาเป็นวดั นพิ พานาราม
แลว้ แปลงมาเป็นวดั ศรสี รรเพช็ ญน์ นั้ ควรให้แปลงเป็นวัดมหาธาตุ ตามต�ำ แหนง่ สมเด็จ
พระสังฆราช เพราะฉะนนั้ วัดนนั้ จงึ เรยี กวดั มหาธาตจุ นทกุ วนั นี.้ ..”
ตอ่ มาพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว รชั กาลที่ ๕ ทรงบรู ณปฏสิ ังขรณ์
ดว้ ยพระราชทรพั ยข์ องสมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช เจ้าฟ้ ามหาวชิรณุ หศิ สยามมกฎุ ราช
กมุ าร จงึ พระราชทานเพิม่ สร้อยนามวา่ “ยุวราชรงั สฤษฎ”ิ์
9
วัดสมอราย ปั จจบุ ันคอื วัดราชาธวิ าสวหิ าร
10
วดั สมอราย
วัดสมอราย เป็นวัดโบราณที่มีมาตั้งแต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระบวร
ราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลท่ี ๑ ทรงปฏิสังขรณ์
โดยเป็นวดั ในฝ่ ายสมถะ ดงั ทีพ่ ระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้ าจุฬาโลกมหาราช ทรงตัง้
สมณศักดิ์พระอาจารย์ศรีวัดสมอราย ข้ึนเป็นพระราชาคณะฝ่ ายวิปั สสนาธุระ ที่
“พระปั ญญาวิสาลเถร”
เม่ือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ จึงทรง
พระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ พระราชทานนามวดั ข้นึ ใหมว่ า่ “วัดราชาธวิ าสวิหาร” ดว้ ยเป็นที่
ประทับเม่ือครัง้ ทรงผนวชของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัว พระบาทสมเด็จ
พระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั และสมเดจ็ พระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรกั ษ์
ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัว ทรงปฏิสังขรณท์ ัง้ พระอาราม
ดังทีพ่ บเห็นไดจ้ นทกุ วนั นี้
11
12
เหมอื นกบั ยมื จมกู ทา่ นมาหายใจ จะพดู จาอนั ใดกเ็ ป็นแตอ่ า้ งคติ เช่น อาจณิ กบั ปิกา๔ วา่ ทา่ นผใู้ หญเ่ คย
ทาํ มาอยา่ งนี้ ไมแ่ จง้ แสดงชเี้ หตอุ อกมาใหเ้ หน็ จรงิ ได้ ถอื แตล่ ทั ธขิ องตนนนั้ ดนั ด้อื ไป มไิ ดร้ วู้ า่ ผดิ แลชอบ
ไมเ่ ป็นทตี่ งั้ แห่งปั ญญา ทรงสงั เวช๕เหน่อื ยหนา่ ยขน้ึ มาดว้ ยเหตนุ นั้ จง่ึ ไดเ้ สดจ็ กลบั ลงมาประทบั อยทู่ วี่ ดั
มหาธาตุ ปรารถนาจะทรงเลา่ เรียนพทุ ธวจนะพระไตรปิฎก๖ ครัน้ ทรงไตถ่ ามศึกษาถงึ ขอ้ ปฏบิ ัตติ า่ ง ๆ
ทไี่ ดม้ มี าแตบ่ รุ าณ กไ็ ดท้ ราบวา่ ศาสนวงศน์ นั้ อนั ตรธานมาแตก่ รงุ เกา่ ๗แลว้ กบั ไดท้ รงเหน็ อาจารวบิ ตั ๘ิ
ของสมณเหลา่ นนั้ ไมน่ าํ มาซ่งึ ความเล่อื มใส จ่งึ ไดท้ รงพระปรารภสงั เวชพระทยั ดว้ ยการศาสนา คอื วงศ์
บรรพชาอุปสมบท เห็นว่าเป็นของมีรากเหงา้ อันเนา่ ผุ ไมม่ ีมูลที่จะเป็นที่ตัง้ แห่งความเล่ือมใส สลด
พระทยั ในการทจี่ ะทรงเพศเป็นบรรพชติ เหน็ วา่ จะเป็นอนั หลอกลวงเขาเลยี้ งชวี ติ ดไู มส่ มควร ครนั้ เพลา
กลางวนั เสด็จเขา้ ไปบรรทมกลางวันในอุโบสถวดั มหาธาตุ
๔ มาจากภาษาบาลี อาจณิ ณกัปปิกา แปลวา่ ขอ้ กาํ หนดทเี่ คยประพฤติปฏบิ ตั กิ ันมา
๕ สงั เวช มีทีม่ าจากภาษาบาลีวา่ สังเวช หรอื สังเวค หมายถงึ ความสลดใจ, ความกลัว, ความเดอื ดร้อน, ความรําคาญ
๖ การศึกษาพระพุทธศาสนาตามแนวคนั ถธุระ เพ่อื จะไดส้ ามารถอ่านพระไตรปิฎกและศึกษาหาความรู้ไดโ้ ดยลําพังพระองค์
๗ กรุงศรีอยุธยา
๘ ความประพฤติทีค่ ลาดเคล่ือน, ผดิ
13
14
พระศรสี รรเพชญ์
พระพทุ ธรปู ประธานภายในพระอโุ บสถวดั มหาธาตุยวุ ราชรงั สฤษฎิ์
15
16
ทรงตัง้ สัจจะกิริยาธิษฐานบูชาแด่ศาสนารักขเทพยดา ด้วยธูปเทียนมาลาทัง้ สีท่ ิศแปดทิศ วา่ ขา้ พเจ้า
นีอ้ ุทิศต่อพระผูม้ ีพระภาคออกบวชดว้ ยความเช่ือความเล่ือมใส มิได้เพง่ ต่ออามิสสิง่ หน่ึงสิง่ ใด มีลาภ
ยศความสรรเสรญิ เป็นตน้ ถ้าวงศ์บรรพชาอุปสมบททเี่ น่ืองมาแตพ่ ระสคุ ตทศพล ยงั มีอยเู่ หลอื อยู่ ณ
ประเทศใด ทิศใด ขอให้ไดป้ ระสบหรือให้ไดย้ นิ ขา่ วให้ไดใ้ นสามวนั เจด็ วัน ถ้าไมเ่ ป็นดงั นนั้ ขา้ พเจ้า
กจ็ ะเขา้ ใจวา่ ศาสนวงศน์ ัน้ สนิ้ แลว้ ก็จะสกึ เป็นฆราวาสไปรักษาศีลห้า ศลี แปดตามสมควร
ครัน้ ลว่ งไปประมาณสองวันหรือสามวัน ครัง้ นัน้ มีพระรามัญเถรองคห์ น่ึง๙เป็นผูฉ้ ลาดในวินัย
รู้พุทธวจนะ ชํานาญในอักขรุจจารณวิธี๑๐ มากล่าวศาสนวงศ์แสดงชีใ้ ห้เกิดความเล่ือมใส ทา่ นจึงได้
รบั เอาวินัยวงศ์นัน้ ไวเ้ ป็นขอ้ ปฏิบัติสบื มาในธรรมยตุ ิกนกิ าย ในศักราช ๑๑๘๗๑๑ ปีระกาสปั ตศก แลว้
เสดจ็ มาอยู่ ณ ทีน่ ัน้ ๑๒ ทรงเลา่ เรียนศกึ ษาพุทธพจนป์ รยิ ัติธรรมแตกฉาน จนเห็นวา่ สนิ้ วิชาที่
๙ พระซาย พุทฺธวํโส เป็นพระเถระที่บวชมาแต่เมืองมอญ มาอยูท่ ี่วัดบวรมงคล ภายหลังดำ�รงสมณศักดิ์ที่ พระสุเมธมุนี เป็น
ผูช้ าํ นาญพระวนิ ยั ปิฎก และประพฤติวตั รปฏบิ ตั อิ ยา่ งเคร่งครัด
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำ�รงราชานุภาพ ระบุความไว้ในพระนิพนธ์เร่ือง “ความทรงจำ�” ว่า พระบาทสมเด็จ
พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เม่อื ครงั้ ทรงผนวชประทบั อยทู่ วี่ ดั มหาธาตนุ นั้ มกั เสดจ็ ไปทรงท�ำ วสิ สาสะสนทนากบั พระสเุ มธมนุ ี พระสเุ มธมนุ ที ลู
อธบิ ายระเบยี บวตั รปฏบิ ตั ิของพระมอญคณะ (กลั ยาณี) ทที่ า่ นอุปสมบทให้ทรงทราบอยา่ งละเอยี ด ทรงยินดี ดว้ ยตระหนกั ในพระหฤทัย
วา่ สมณวงศไ์ มส่ ญู เสียแลว้ เหมือนอยา่ งทรงพระวิตก ก็ทรงเล่อื มใสใคร่จะประพฤติวตั รปฏิบัติตามแบบพระมอญ
๑๐ ผรู้ ้หู ลักอกั ขรวิธีภาษาบาลอี ยา่ งดี
๑๑ จุลศกั ราช ๑๑๘๗ ตรงกับพทุ ธศกั ราช ๒๓๖๘
๑๒ วดั มหาธาตุ
17
พระอโุ บสถวดั บวรมงคล
18
พระเจดยี ห์ งษา วดั บวรมงคล
พระเจดียอ์ งคน์ ี้ มีความเป็นเอกลักษณโ์ ดยสว่ นฐานมีลักษณะเป็นฐานสิงห์ยอ่ มุม
ไมย้ ีส่ ิบซ้อนกัน ๓ ชัน้ ตามรูปแบบทีน่ ิยมในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ในขณะ
ทีส่ ว่ นองคร์ ะฆังและสว่ นยอดนนั้ มรี ปู แบบเจดียศ์ ลิ ปะมอญ กลา่ วคอื ไมม่ ีบัลลงั ก์
ระหว่างองค์ระฆังกับปล้องไฉน และส่วนยอดพระเจดียข์ ้ึนไปเป็นปั ทมบาทและ
ปลียอดตามขนบรปู แบบเจดยี ม์ อญ
19
20
20
อาจารยจ์ ะพึงแสดงแลว้ แตน่ นั้ ทรงอนเุ คราะห์สงั่ สอนกลุ บุตรผมู้ ศี รัทธาให้เลา่ เรยี นศกึ ษาทงั้ กลางคืน
กลางวันมไิ ดย้ อ่ หยอ่ น ทรงสัง่ สอนในขอ้ วนิ ัยวัตรแลสุตตันตะปฏบิ ตั ิตา่ ง ๆ ให้ถูกตอ้ งสมอ้างกบั ธรรม
วินัยเป็นมหัศจรรย์ ครัง้ นัน้ กุลบุตรที่มีศรัทธาก็เกิดความเส่ือมใส เขา้ มาบรรพชาประพฤติตามมีข้ึน
เป็นหลายองค์
ครนั้ ศกั ราช ๑๑๙๑๑๓ ปีฉลเู อกศก ทรงพระดาํ รเิ หน็ วา่ ในทนี่ นั้ ๑๔ ไมเ่ ป็นทสี่ บาย เพราะเจอื ระคน
ไปดว้ ยอลัชชี ไมเ่ ป็นทีค่ วรจะประพฤติพรหมจรรย์ จงึ เสดจ็ กลบั ข้นึ ไปยงั วัดสมอราย ตัง้ คณะนิกายให้
บรรพชาอปุ สมบทแกก่ ลุ บตุ รทมี่ ศี รทั ธา สงเคราะหแ์ กค่ ฤหสั ถด์ ว้ ยธรรมกถา อนศุ าสโนวาทในธรรมสวน
กาล ประดษิ ฐานธรรมยตุ กิ นกิ ายให้ร่งุ เรอื งแพร่หลายข้นึ ในครงั้ นนั้ ภกิ ษสุ งฆใ์ นภายในพรรษา สามสบิ
หยอ่ นบา้ ง สามสบิ เศษบา้ งโดยชกุ ชมุ ครนั้ อยูม่ าทรงพระปรารภข้ึนดว้ ยเร่อื งสมี าวา่ การทที่ าํ ทกุ วนั นีก้ ็
เป็นการหยาบไม่
๑๓ ตรงกับ พทุ ธศักราช ๒๓๗๒
๑๔ วดั มหาธาตุ
21
22
มัน่ คง ไมส่ ําเร็จด้วยอํานาจสงฆเ์ ป็นการเน่ืองด้วยฆราวาสไป คนทุกวันก็ไมม่ ีใครรู้สีมาลักขณะโดย
พิสดาร ทําเอาตามลัทธอิ าจารยท์ ีต่ นไดเ้ หน็ มา ทรงรังเกยี จดังนจี้ ่ึงให้ขดุ กอ้ นศลิ านิมติ ในวดั สมอราย
นัน้ ข้นึ ดู ก็เห็นวา่ เล็กไมค่ วรจะเป็นนมิ ติ ได้ ทรงสังเวชสลดพระทัยดว้ ยสีมาพิบัติ จ่งึ สืบหาสงฆบ์ ริษัทที่
อปุ สมบทมาแตโ่ บราณ สีมาทเี่ ขาเลา่ วา่ เป็นของพระอรหนั ตผ์ ูกได้ ๑๘ รปู มาเป็นคณปูรกการกสงฆ์
ให้อุปสมบทกรรมซ้ำ�อีกครัง้ หน่ึง ในนทีสีมาหนา้ วัดสมอราย เม่ือศักราชล่วงไปได้ ๑๑๙๒๑๕ ปีขาล
โทศกอกี ครงั้ หน่ึง
ในปีขาลนั้นสั่งให้ขุนอินทรพินิจ เจ้ากรมช่างหล่อ ทําหุ่นพระพุทธรูปหน้าตักศอกเศษหล่อ
ข้นึ องคห์ น่งึ จาํ หลักพระนามวา่ พระสมั พุทธพรรณี ครนั้ เม่ือปีเถาะน�ำ้ มาก๑๖ ศักราช ๑๑๙๓๑๗ ไดไ้ ป
รับพระเจดียห์ ลอ่ ดว้ ยทองเหลืองมาจากวัดศาลาปูนองคห์ น่ึง๑๘ แลว้ รับสัง่ ให้ขุนอินทรฯ เอาเงินหลอ่
สวมลง๑๙ สงู ประมาณศอกเศษ ทีต่ าํ หนกั เกา่ วดั มหา-
๑๕ พทุ ธศักราช ๒๓๗๓
๑๖ ปีนัน้ น�้ำ ทว่ มพระมหานคร
๑๗ พุทธศกั ราช ๒๓๗๔
๑๘ พระเจดยี อ์ งคน์ ีฐ้ านหลอ่ ดว้ ยทองเหลืองเป็นของโบราณ เจ้าอธกิ ารวดั ศาลาปนู จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา ถวาย
๑๙มีรบั สงั่ ให้ขุนอินทรพนิ จิ ช่างหลอ่ เอาเงินขา้ หลวงเดิมมาหลอ่ สวมพระเจดียล์ งชนั้ นอก แลว้ นําไปประดิษฐานไวใ้ นตาํ หนกั เกา่
วัดมหาธาตุ
23
ศาลาโบสถแ์ พ วดั ราชาธิวาสวหิ าร
24
ศาลาโบสถแ์ พ วดั ราชาธิวาสวหิ าร
โบสถ์แพนี้ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั นับแตค่ รัง้ ยงั ทรงผนวช ทรง
พระกรณุ าโปรดใหม้ ไี วส้ �ำ หรบั ใช้ท�ำ อโุ บสถสงั ฆกรรมแลอปุ สมบทในคณะธรรมยตุ กิ นกิ าย
นบั ถอื กนั วา่ นทสี มี า หรอื สมี าน�้ำ นนั้ บรสิ ทุ ธิ์ เป็นทสี่ นิ้ สงสยั ไมว่ างใจในวสิ งุ คามสมี าอนั
ไมไ่ ดม้ าในพระบาลี เป็นแตพ่ ระอรรถกถาจารย์ แนะไวใ้ นอรรถกถาอนโุ ลมคามสมี า ครงั้
ยังไมม่ ีวัดอยตู่ ามลำ�พัง จงึ ใช้สมี านำ�้ เป็นทีอ่ ุปสมบท ดังมีธรรมเนียมตอ่ มาวา่ พระรปู ใด
จะอยเู่ ป็นหลักฐานในพระศาสนา พระผูใ้ หญจ่ ึงพาพระรปู นนั้ ไปอุปสมบทซ�้ำ อีกในสีมา
น�้ำ เรียกวา่ “ทฬั หกิ รรม”
การใช้โบสถ์แพนั้นเคร่งครัดอยู่มากในสำ�นักวัดโสมนัสวิหาร สมัยที่สมเด็จ
พระวนั รตั (ทบั พทุ ธฺ สริ )ิ ดงั มธี รรมเนยี มเม่อื อปุ สมบทภกิ ษใุ นพระอโุ บสถวดั โสมนสั วหิ าร
แล้ว เม่ือมีโอกาสก็จะนำ�ไปสวดญัตติภาษารามัญที่โบสถ์แพหน้าวัดราชาธิวาสวิหาร
เสมอ สว่ นผูท้ ีอ่ ุปสมบททีโ่ บสถ์แพ ไมจ่ ำ�เป็นตอ้ งสวดญัตติซำ�้ อีก เพราะสวดญตั ตดิ ว้ ย
ภาษารามญั ในวนั อปุ สมบทนนั้ แลว้
ดังในคราวที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ภายหลังได้
พรรษาหนง่ึ แลว้ ไดย้ า้ ยไปอยวู่ ดั มกฏุ กษตั รยิ าราม จงึ ทรงมพี ระด�ำ รกิ บั พระจนั ทรโคจรคณุ
พระกรรมวาจาจารย์ วา่ “...เป็นผจู้ กั ยงั่ ยนื ในพระศาสนาตอ่ ไป...” จงึ ทรงขออปุ สมบทซ�ำ้
ในนทีสีมา เม่อื วันที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๒
ภายหลงั เม่อื มกี ารเลิกใช้โบสถ์แพในการอุปสมบท เม่อื ปี พ.ศ. ๒๔๒๘ แตก่ ็ยงั มี
โอกาสใช้ในสว่ นอโุ บสถสงั ฆกรรมอยบู่ า้ ง ตอ่ มาเม่อื โบสถแ์ พนชี้ �ำ รดุ ทรดุ โทรมลง สมเดจ็
พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส โปรดให้บูรณะและยกข้ึน ปลูกไวใ้ นสระ
ของเดิมวดั ราชาธิวาสวิหารเป็นการถาวร
25
พระสมั พุทธพรรณี
26
พระสัมพทุ ธพรรณี
พระสัมพุทธพรรณี เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิหล่อกะไหล่ทอง พระบาทสมเด็จ
พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดให้สรา้ งขน้ึ เม่อื พ.ศ. ๒๓๗๓ ครงั้ ยงั ทรงผนวชเสดจ็ ประทบั
อยู่ ณ วัดสมอราย (วัดราชาธิวาสวิหาร) ตามแบบอยา่ งพุทธลักษณะ ซ่งึ ทรงสอบสวน
ไดส้ าํ เร็จแลว้ จงึ ทรงบรรจุดวงพระชนมพรรษาและพระสพุ รรณบฏั เดมิ ภายหลงั ทรงได้
พระบรมสารรี กิ ธาตจุ งึ นาํ ไปบรรจไุ ว้ แลว้ ประดษิ ฐานไวใ้ นพระตาํ หนกั เป็นทที่ รงนมสั การ
สักการะ และเป็นหอสวดมนต์ของสงฆธ์ รรมยุติกนิกายตลอดมา จนกระทงั่ เม่ือเสด็จไป
ครองวดั บวรนเิ วศวิหาร ก็โปรดให้อญั เชิญไปประดษิ ฐาน ณ พระปั้ นหยา่ และเม่อื เสดจ็
เถลิงถวัลยราชสมบัติ โปรดให้อัญเชิญข้ึนตั้งเหนือพระที่นั่งบุษบกมาลา ในพระที่นั่ง
อมรนิ ทรวนิ จิ ฉัย ในการพระราชพธิ บี รมราชาภเิ ษก เม่อื เสรจ็ พระราชพธิ แี ลว้ จงึ ไดโ้ ปรด
ใหอ้ ญั เชญิ ไปประดษิ ฐานไวบ้ นฐานชกุ ชหี นา้ พระพทุ ธมหามณรี ตั นปฏมิ ากรในพระอโุ บสถ
วดั พระศรีรตั นศาสดาราม แทนทีพ่ ระพทุ ธสิหิงค์
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณา
โปรดเกลา้ ฯ ให้ พระวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ ประดษิ ฐว์ รการ ทรงแปลงพระรศั มพี ระสมั พทุ ธ
พรรณถี วายเป็นพุทธบชู า ๔ องค์ คอื พระรัศมีสำ�ริดกะไหลท่ อง พระรศั มีนาก พระรศั มี
แกว้ ขาว และพระรัศมแี กว้ น�ำ้ เงิน ส�ำ หรบั เปลยี่ นถวายในคราวเสด็จพระราชดำ�เนนิ ทรง
เปลีย่ นเคร่อื งทรงของพระพทุ ธมหามณรี ัตนปฏิมากร
27
28
ธาตุ ครัน้ ฤดูแล้งเสด็จไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ พระสงฆไ์ ด้ตามเสด็จไปด้วยหลายรูป ครัน้ เวลาค่ำ�
เสดจ็ ขน้ึ ไปสวดมนตบ์ นลานพระ ครนั้ สวดจบแลว้ จ่งึ ทรงอธษิ ฐานดว้ ยภาษามคธความวา่ ทเี่ จตยิ ส์ ถาน
นขี้ า้ พเจา้ มคี วามเช่อื ความเล่อื มใสวา่ คงเป็นของเกา่ เป็นแท้ ในเขตแดนสยามนไี้ มม่ ที ไี่ หนทจี่ ะเป็นของ
บูราณยงิ่ ข้นึ ไปกวา่ องคน์ ไี้ มม่ ีแลว้ เพราะลวดลายนนั้ กป็ ระหลาดผดิ กนั กับของทุกวันนี้ จนคนเห็นเขา้
ไมร่ ู้จักว่าพระเจดีย์ อีกประการหน่ึงผูท้ ีเ่ ขาได้กอ่ สร้างลงไว้เห็นจะได้ปูชนียวัตถุของประณีตอุดมดี ท่ี
ควรจะเช่อื จะเล่อื มใส เขาจ่งึ บรจิ าคทรพั ยเ์ ป็นอนั มาก กอ่ สร้างลงไวใ้ ห้เป็นของถาวรโตใหญม่ ัน่ คงตงั้
อยสู่ ิน้ กาลนาน ถ้าพระธาตขุ องพระผมู้ พี ระภาคหากจะยงั ประดษิ ฐานเหลืออยใู่ นโลก ก็คงจะมอี ยใู่ นที่
เช่นนเี้ ป็นแนไ่ มส่ งสยั ถา้ ในเจตยิ ส์ ถานนมี้ พี ระธาตบุ รรจไุ วภ้ ายใน ขออารกั ษเทพยดาผรู้ กั ษา จงไดแ้ บง่
ให้สกั สององค์ จะเอาไปบรรจุไวใ้ นพระ-
29
พระปฐมเจดยี ์
30
พระปฐมเจดยี ์
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เม่อื ครงั้ ยงั ทรงผนวช ไดเ้ สดจ็ ธดุ งคม์ าทรง
คน้ พบพระปฐมเจดยี ์ และทรงพระราชดําริวา่ เป็นเจดยี ใ์ หญโ่ ตและเกา่ แกก่ วา่ แห่งอ่นื ๆ
สมควรจะบรู ณะปฏสิ ังขรณใ์ ห้ดี และรักษาไวใ้ ห้เป็นต�ำ นานพระศาสนา จึงทรงนํากระแส
พระราชดาํ รนิ ที้ ลู พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ครงั้ นนั้ สมเดจ็ พระบรมเชษฐาธริ าช
จึงทรงมีพระราชดำ�ริวา่ หากบูรณะพระเจดียแ์ ห่งนีแ้ ลว้ เป็นการยากทีจ่ ะเขา้ ไปดูแลด้วย
อยูห่ ่างไกลจากราชธานี จึงทรงระงับพระราชดาํ ริมา
จนกระทัง่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ จึง
ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ให้สมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาประยรู วงศเ์ ป็นแมก่ อง ดว้ ยการ
ร้อื อิฐเกา่ จากโบราณสถานใกลเ้ คยี งมาถมสร้างเจดีย์ จนเม่ือฝนตกหนกั มาก ๆ เจดีย์
ทงั้ หมดก็ถลม่ ลงมา จงึ ทรงปรกึ ษากับสมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวรยิ า
ลงกรณ์ เม่อื ครัง้ ยังด�ำ รงพระอสิ ริยยศที่ กรมหม่ืนบวรรังษสี รุ ยิ พันธุ์ ผูเ้ ป็นศษิ ยห์ ลวงเดิม
และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขนุ ราชสีหวกิ รม ให้ทรงช่วยกนั ออกแบบเจดียใ์ หญค่ รอบ
พระเจดียเ์ ดิม ด้วยการใช้ซุงขนาดใหญม่ าเรียงล้อมแล้วใช้โซ่รัด แล้วกอ่ อิฐข้ึนไปเป็น
ครอบองคพ์ ระเจดยี ์ ดงั เป็นรูปแบบทยี่ งั คงปรากฏมาจนทุกวนั นี้
31
32
พทุ ธรปู ทหี่ ลอ่ ใหมน่ นั้ องคห์ น่งึ ๒๐ ในพระเจดยี เ์ งนิ องคห์ น่งึ ๒๑ไวเ้ ป็นทไี่ หวท้ บี่ ชู าในกรงุ เทพฯ ให้สมควร
เพราะวา่ ในทนี่ เี้ ดยี๋ วนกี้ เ็ ป็นป่ าไปเสยี แลว้ ไมค่ วรจะเป็นทไี่ ปมาบชู าแห่งมหาชนเป็นอนั มาก ขอเทพเจา้
จงไดแ้ บง่ พระสารรี ิกธาตุให้สององคเ์ ถิด แลว้ รบั สัง่ ให้มหาศุข๒๒ เปรยี ญเอก เอาผอบใสพ่ านข้ึนไปตัง้
ไวใ้ นโพรงพระเจดยี ด์ า้ นตะวนั ออก
ครัน้ เวลาบา่ ยจะเสด็จกลับลงมา ไปเชิญเอาผอบลงมาก็หาได้อะไรไม่ ครัน้ กลับมาถึงวัดแลว้
ลว่ งไปไดป้ ระมาณสักเดือนหนึ่งหรือเดือนเศษ พระเนาวรัตน๒์ ๓องคห์ น่ึง ซ่ึงทรงสร้างไวเ้ กา่ ยังตกคา้ ง
อยูใ่ นหอพระวัดมหาธาตุ วันหน่ึงเวลาประมาณห้าทุม่ เศษ พระสงฆเ์ ขา้ ไปสวดมนต์อยูใ่ นนัน้ สวดไป
ไดค้ ร่งึ หน่งึ เห็นเป็นควนั กลุม้ ข้นึ สแี ดง ๆ กลิน่ หอมเหมือนควันธูปข้นึ ทีห่ ้องพระพทุ ธรูปอยู่ ควนั นัน้ ก็
มากข้นึ มากข้นึ จนพระพทุ ธรปู นนั้ แลดแู ดงเหมือนสีนากไป พระสงฆท์ งั้ ปวงก็ตกใจลกุ เขา้ ไปดู สาํ คญั
วา่ ไฟไหมข้ ้ึนใน
๒๐ พระสมั พทุ ธพรรณี
๒๑ เจดยี ท์ องเหลืองทีไ่ ดม้ าจากวัดศาลาปนู จงั หวดั พระนครศรีอยุธยา
๒๒ พระมหาศุข วัดบรมนิวาส เป็นพระเถระทชี่ ำ�นาญในพระปริยตั ธิ รรม เป็นเปรยี ญ ๙ ประโยค ในสมยั รัชกาลที่ ๓ และไดร้ บั
พระราชทานสมณศกั ดเิ์ ป็นพระราชาคณะที่ พระญาณรกั ขิต
ตอ่ มาในสมยั รัชกาลที่ ๔ ไดล้ าสิกขามารับราชการ และไดร้ บั พระราชทานบรรดาศักดิท์ ี่ พระธรรมการบดี
๒๓ พระพทุ ธเนาวรตั น์ (ยงั หาไมพ่ บ)
33
34
34
ทีน่ นั้ กห็ าเห็นอะไรไม่ กลับมานงั่ สวดมนตไ์ ปจนจบ ควนั นนั้ ก็จางไปหายไป ครนั้ สวดมนตแ์ ลว้ ออกมา
คน้ ดวู า่ ใครสมุ ไฟไวท้ ไี่ หนกห็ ามไี ม่ ครนั้ เวลารงุ่ ขน้ึ ไปกราบบงั คมทลู ให้ทราบ เสดจ็ ลงมาทอดพระเนตร
พระพทุ ธรปู จึงเหน็ พระธาตุในนนั้ มากข้นึ กวา่ เกา่ สององค์ จึงรบั สงั่ ถามพระสงฆก์ ็ไมม่ ีผใู้ ดทราบ แลว้
รบั สงั่ ถามนายช้างผรู้ ักษากญุ แจวา่ ใครเอาพระธาตุมาใสไ่ วใ้ นนีบ้ า้ ง นายช้างกราบทลู วา่ ไมท่ ราบ จงึ
ลงเห็นพร้อมกันว่า ของนัน้ ไมม่ ีเจ้าของเห็นจะมาเอง แล้วแปลกกันกับของที่เขามีอยูใ่ นกาลทุกวันนี้
องคน์ นั้ เลก็ เทา่ พรรณผกั กาด สขี าวเหมอื นกบั ดอกพกิ ลุ สดแลว้ มสี ขี าวดงั สสี งั ขจ์ ดุ อยสู่ องแห่งตรงกนั เ
ลือกคนเห็นว่าตรงกันนั้นตำ่�เข้าไปเหมือนกระดูกปลา เลือกคน๒๔เห็นว่าเป็นแต่จุดอยู่อย่างเดียว
พระธาตสุ ององคน์ นั้ เก็บไวใ้ นเจดยี ส์ พุ รรณผลึก๒๕ บรรจไุ วใ้ นพระสมั พุทธวรรณี
เม่อื ศกั ราช ๑๑๙๕๒๖ ปีมะเสง็ เบญจศก เสดจ็ ข้ึนไปประพาสเมอื งเหนอื
๒๔ เลอื กคน หมายถงึ บางคน
๒๕ พระเจดียท์ ไี่ ดท้ รงปฏิญาณขอพระบรมสารรี กิ ธาตทุ ีพ่ ระปฐมเจดีย์
๒๖ พทุ ธศกั ราช ๒๓๗๖
35
36
36
นมสั การเจดยี ส์ ถานตา่ ง ๆ ครนั้ ถงึ ณ วนั เสาร์ ข้นึ ๔ ค�่ำ เดอื น ๒๒๗ เวลาบา่ ย เสดจ็ ออกจากวดั สมอราย
จะขน้ึ ไปเมอื งพจิ ติ ร พระธรรมวโิ รจ๒๘ไปทาํ การฉลองวดั เขาลกู ช้าง๒๙ บา้ นรา่ ยแขวงเมอื งพจิ ติ ร ประทบั
แรมไปตามระยะทาง เม่อื ณ วนั องั คาร ขน้ึ ๗ ค�ำ่ เดอื น ๒๓๐ ประทบั อยหู่ าดหนา้ วดั มหาธาตุ เมอื งชยั นาท
เวลาห้าทุม่ ไดย้ ินเสยี งร้องใหญค่ ลา้ ยเสยี งช้างทีห่ น่ึง ริมฝั่ งฟากขา้ งโนน้ ตรงเรือพระทีน่ ัง่ ประทับ ครัน้
เช้าถามชาวบา้ นเขาวา่ ช้างทนี่ ไี่ มม่ ี เหน็ จะเป็นจระเขใ้ หญม่ าช่นื ชมพระบารมรี ้องถวายเสียงเป็นสําคญั
ครัน้ ณ วนั เสาร์ แรม ๒ คำ่� เดือน ๒๓๑ ถงึ เมอื งพิษณโุ ลก ประทับอยูห่ กวนั ปิดทองสมโภช
พระชินราช วันที่เจ็ดเสด็จออกจากเมืองพิษณุโลก ณ วันพุธ แรม ๑๓ คำ่� เดือน ๒๓๒ เสด็จไป
พระแท่นศิลาอาสน์๓๓กลับมาในเวลาเย็น ณ วันพฤหัสบดี แรม ๑๔ ค่ำ� เดือน ๒๓๔ เสด็จไป
วัดพระฝาง๓๕ค้างอยู่คืนหน่ึงกลับมาในเวลา ครั้น ณ วันเสาร์ ข้ึน ๑ ค่ำ� เดือน ๓๓๖ จะเสด็จไป
เมืองสวรรคโลก แวะนมัสการพระแท่น๓๗ อีกครั้งหน่ึง เวลาค่ำ�ประทับศาลาแม่รมัน สองค่ำ�๓๘
ขา้ งเช้าเดินข้นึ ไป
๒๗ วนั ที่ ๑๔ ธนั วาคม พทุ ธศักราช ๒๓๗๖
๒๘ พระธรรมวิโรจน์ พระราชาคณะวัดสมอรายในขณะนนั้
พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยูห่ วั ทรงพระราชนิพนธไ์ วใ้ น “เร่อื งวัดสมอราย อันมนี ามวา่ ราชาธิวาศ” ความวา่
“...เม่อื พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั เสดจ็ มาประทบั คราวแรก ตอ่ นนั้ มธี รรมวโิ รจนอ์ กี องคห์ น่งึ จะช่อื อะไรไมท่ ราบ มคี ณุ วเิ ศษ
ในการเศกเป่ าตา่ งกัน...”
๒๙ ปั จจบุ นั เพีย้ นเป็น วัดเขารปู ช้าง ซ่ึงดจู ากลกั ษณะหนิ บนยอดเขา ซ่ึงมลี ักษณะเหมือนรปู ช้าง
๓๐ วนั ที่ ๑๗ ธนั วาคม พุทธศกั ราช ๒๓๗๖
๓๑ ตรงกับวนั ศุกร์ที่ ๒๗ ธันวาคม พุทธศกั ราช ๒๓๗๖
๓๒ ตรงกบั วนั อังคารที่ ๗ มกราคม พทุ ธศักราช ๒๓๗๖
๓๓ วดั พระแทน่ ศลิ าอาสน์ ตําบลบรมอาสน์ อําเภอเมอื ง จงั หวัดอตุ รดติ ถ์
๓๔ ตรงกับวันพุธที่ ๘ มกราคม พทุ ธศกั ราช ๒๓๗๖
๓๕ ปั จจบุ นั ช่ือ วดั พระฝางสวางคบรุ ีมนุ นี าถ อยูท่ ีบ่ า้ นฝาง ตําบลผาจุก อําเภอเมือง จังหวดั อตุ รดติ ถ์
๓๖ ตรงกบั วันศกุ ร์ที่ ๑๐ มกราคม พทุ ธศกั ราช ๒๓๗๖
๓๗ พระแทน่ ศลิ าอาสน์
๓๘ ตรงกบั วันที่ ๑๑ มกราคม พทุ ธศกั ราช ๒๓๗๖
37
พระตำ�หนักพระจอมเกลา้ ฯ วดั ราชาธิวาสวหิ าร
ทีป่ ระทับของพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัวเม่ือครงั้ ทรงผนวช
38
กอ้ นหินรปู ลกู ช้าง วัดเขารูปช้าง จังหวดั พิจติ ร
39
วัดพระบรมธาตุ จงั หวัดชยั นาท
40
พระฝาง
ปั จจบุ ันอยทู่ ีพ่ ระวหิ ารสมเดจ็ วัดเบญจมบพติ ร
41
42