The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

อภินิหารการประจักษ์

พระนิพนธ์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์

พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช รัชกาลที่ ๔ เมื่อครั้ง เสด็จออกทรงผนวช จนถึงเหตุการณ์สำคัญในวันสวรรคต

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยจัดพิมพ์เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๙๐ พรรษา
๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๕

ดร.ศรัณย์ มะกรูดอินทร์ บรรณาธิการ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by panyabalo, 2022-08-23 10:10:01

อภินิหารการประจักษ์

อภินิหารการประจักษ์

พระนิพนธ์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์

พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช รัชกาลที่ ๔ เมื่อครั้ง เสด็จออกทรงผนวช จนถึงเหตุการณ์สำคัญในวันสวรรคต

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยจัดพิมพ์เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๙๐ พรรษา
๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๕

ดร.ศรัณย์ มะกรูดอินทร์ บรรณาธิการ

Keywords: อภินิหารการประจักษ์,สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์,พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าอยู่หัว,รัชกาลที่ ๔

พระพทุ ธชินราช
ประดิษฐานอยใู่ นพระวิหารหลวง ฝั่ งทศิ ตะวนั ตกของวดั พระศรี

รัตนมหาธาตุ

43

44

จนเวลาค�ำ่ ประมาณทุม่ เศษ ตาํ รวจถอื คบน�ำ เสดจ็ ไปสกั ห้าคู่ เสอื ใหญม่ าแอบอยู่ ณ ขา้ งทางสกั สองวา
พอเสดจ็ ไปถงึ ตรงนนั้ รอ้ งถวายเสยี งดงั กอ้ งทหี นง่ึ แลว้ กห็ ลกี ไป เวลาสที่ มุ่ ถงึ เมอื งสวรรคโลก ประทบั อยู่
ณ วดั เชงิ เขา วนั สามค�ำ่ ๓๙ ขา้ งเช้าลยุ ขา้ มล�ำ น�ำ้ เขา้ ไปในเมอื ง ประทบั อยใู่ นวดั มหาธาตุ เมอื งสวรรคโลก
ขา้ มที่วัดนอ้ ย๔๐ ระหว่างแกง่ หลวง๔๑กับแกง่ ยางสัก๔๒ต่อกัน นำ้�ที่นัน้ ต้ืนลุยขา้ มสบาย ริมฝั่ งนัน้ เป็น
ดนิ ทราย แกง่ นนั้ เป็นศลิ าผดุ ขวางล�ำ น�้ำ อยู่ ปลาทนี่ นั่ กไ็ มม่ เี ป็นทนี่ �ำ้ ต้นื ชาวบา้ นกอ็ ดอยาก คนขน้ึ ไปมาก
จะเทยี่ วซ้อื เน้อื ปลาอาหารกไ็ มม่ ี ประทบั อยใู่ นวดั มหาธาตสุ รี่ าตรี เวลาบา่ ยวนั ทสี่ อง๔๓ เสดจ็ ไปประพาส
แกง่ หลวงว่าจะสรงน้ำ� ครัน้ ไปถึงที่นัน้ แล้วรับสัง่ ว่าให้วิงเวียนไป ก็เสด็จลงประทม๔๔อยูท่ ี่ร่มไมใ้ กล้
แกง่ หลวง ครัง้ นนั้ ปลามาแตไ่ หนมากกวา่ มากเป็นมหศั จรรย์ ทีใ่ กลเ้ สดจ็ อยนู่ นั้ ปลาตะเพยี นใหญ่ ๆ
ผุดกระโดดข้นึ ตามกอตะไคร้น�ำ้ แล

๓๙ ตรงกบั วนั ที่ ๑๒ มกราคม พุทธศกั ราช ๒๓๗๖
๔๐ ยังคน้ ไมพ่ บ
๔๑ แกง่ น�้ำ หนา้ เมืองศรีสชั นาลัย
๔๒ ปั จจุบันคือ แกง่ สัก อยูห่ ่างจากแกง่ หลวงลงไปประมาณ ๑ กิโลเมตร เป็นที่กว้าง ขา้ งใต้เป็นลานศิลาแลง มีร่องรอยตัด
ศิลาแลงไปใช้
๔๓ ตรงกับวันที่ ๑๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๓๗๖
๔๔ ประทม เป็นค�ำ โบราณของบรรทม แปลวา่ นอน

45

46

วัดมหาธาตุ เมอื งสวรรคโลก
ปั จจบุ นั คอื วัดพระศรรี ัตนมหาธาตุ เชลียง อ�ำ เภอศรสี ชั นาลยั จังหวดั สุโขทยั

47

48

ตามรมิ ตลงิ่ มากกวา่ มาก คนทตี่ ามเสดจ็ ไปนนั้ จบั ปลาตะเพยี นรอ้ ยใสห่ าบไดค้ นละพวงบา้ ง คนละหาบบา้ ง
ไมใ่ ครเ่ วน้ ตวั เพราะเป็นคราวอตั คดั ทหี่ ่างแกง่ ออกไปสามวา ปลากรายแลปลาอ่นื ๆ ทเี่ ป็นปลาใหญ่ ๆ
ผดุ พลา่ นไปมากกวา่ มาก เหมอื นปลาในบอ่ สระเม่อื ฤดแู ลง้ เป็นมหศั จรรย์ ชาวบา้ นเหลา่ นนั้ กว็ า่ ไมเ่ คย
มีอยู่ ทนี่ ีอ่ ดจะตาย ชาวแพลอ่ งไมม้ าติดอยูท่ ีแ่ กง่ นัน้ กว็ า่ ไมเ่ คยเหน็ พวกทไี่ ปจบั มายา่ งกินเป็นเสบียง
ทวั่ ทุกกองจนกลับลงมา๔๕ ครนั้ เสดจ็ กลบั เสยี แลว้ ปลานนั้ กไ็ มม่ ีเหมือนแตก่ อ่ น นกี่ ็เป็นอัศจรรยด์ ว้ ย
พระบารมอี ยา่ งหน่งึ
ครัน้ ณ วันข้ึนหกคำ่�๔๖ กลบั มาลงเรือ เจ็ดคำ�่ ๔๗ เวลาเทีย่ งถงึ ทา่ ธานี๔๘ เดนิ ข้ึนไปเมืองสโุ ขทัย
ถงึ เวลาเยน็ อยทู่ นี่ นั้ ๔๙สองวนั เสดจ็ ไปเทยี่ วประพาสพบแทน่ ศลิ า๕๐ แห่งหน่งึ อยรู่ มิ เนนิ ปราสาท๕๑ เขา
กอ่ ไวเ้ ป็นแทน่ หกั พงั ลงมาตะแคงอยทู่ เี่ หลา่ นนั้ ชาวเมอื งเขาเคารพส�ำ คญั เป็นศาลเจา้ เขามมี วยสมโภช
ทุกปี

๔๕ กรงุ เทพฯ
๔๖ ตรงกับวันพุธที่ ๑๕ มกราคม พทุ ธศกั ราช ๒๓๗๖ เสด็จลงเรอื ลอ่ งลงมาประทับแรมทีว่ ดั ทุง่
๔๗ ตรงกบั วนั พฤหสั บดที ี่ ๑๖ มกราคม พทุ ธศกั ราช ๒๓๗๖
๔๘ ปั จจุบนั อยทู่ ีต่ �ำ บลธานี อ�ำ เภอเมือง จงั หวัดสโุ ขทัย
๔๙ ประทับทีศ่ าลาใหญว่ ดั กลางในเมืองสุโขทัย และเสด็จชมเมอื งเกา่ เตม็ วันเฉพาะในวนั ศกุ ร์ที่ ๑๗ มกราคมเทา่ นัน้
๕๐ พระแทน่ มนงั คศิลาบาตร
๕๑เนนิ ปราสาท เป็นเนนิ ดนิ ทีม่ รี ะดบั สงู กวา่ บรเิ วณอ่นื ๆ ในก�ำ แพงเมอื งสโุ ขทยั อยูท่ างตะวนั ออกของวดั มหาธาตุ จงั หวดั สโุ ขทยั
บนเนินดินมีฐานโบราณสถาน เป็นรูปสีเ่ หลีย่ มผืนผา้ กอ่ อฐิ มีร่องรอยการฉาบปูน

49

พระแทน่ มนงั คศลิ าบาตร
ภาพถ่ายสมยั รัชกาลที่ ๖

50

พระแทน่ มนงั คศลิ าบาตร
ปั จจบุ ันจดั แสดงอยูท่ พี่ พิ ธิ ภัณฑว์ ัดพระศรรี ตั นศาสดาราม

51

52
52

คนเดนิ กรายท�ำ อคารวะกไ็ มไ่ ดเ้ กดิ เจบ็ ไขไ้ มส่ บาย เขาห้ามไมใ่ ห้คนกล�ำ้ กรายเขา้ ไปใกล้ ทอดพระเนตร
เหน็ เสดจ็ ตรงเขา้ ไปทแี่ ทน่ ศลิ านนั้ พวกกรมการปากสนั่ กลวั เตม็ ที กราบทลู วา่ ทนี่ ขี่ ลงั นกั เสดจ็ ทรงยนื
ประทบั รบั สงั่ วา่ อยา่ ท�ำ ๆ แลว้ เสด็จข้นึ ทรงนงั่ บนแผน่ ศลิ า รับสงั่ วา่ อยทู่ �ำ ไมกลางป่ าไปอยบู่ างกอก
ดว้ ยกนั จะไดฟ้ ั งเทศนจ์ �ำ ศลี ครนั้ เหน็ เงยี บสบายอยู่ เม่อื จะเสดจ็ กลบั กร็ บั สงั่ ให้ชะลอลงมา กอ่ เป็นแทน่
ไวท้ ใี่ ตต้ น้ มะขามวดั สมอราย๕๒ กบั เสาศลิ าทจี่ ารกึ เป็นหนงั สอื เขมร๕๓ทอี่ ยใู่ นวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม
นัน้ เอามาคราวเดียวกันกบั แทน่ ศิลา ถึงเสาศลิ าทเี่ อาลงมานนั้ คดิ ดูกเ็ ป็นอศั จรรย์ ดเู หมือนเทพเจ้าใน
เมืองนัน้ จะบันดาล ดังจะทูลว่า นานไปทา่ นจะได้เป็นพระเจ้าแผน่ ดินใหญ่ มีพระเกียรติยศกิตติคุณ
เช่น พระบาทกัมรเตงอัญศรสี รุ ยิ พงษรามมหาธรรมราชาธิราช๕๔ ซ่ึงเป็นเอกราชในเมอื งสโุ ขทยั ดงั ทมี่ ี

๕๒ภายหลงั เสวยราชยแ์ ลว้ โปรดให้ร้อื เอาพระแทน่ และเสาศลิ าไปไวท้ ศี่ าลาราย วดั พระศรรี ตั นศาสดารามในพระบรมมหาราชวงั
๕๓ คือ ศลิ าจารึกวัดป่ ามะมว่ ง ภาษาเขมร บญั ชีทะเบยี น สท. ๓ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยูห่ ัว โปรดให้ชะลอลงแพ มา
พรอ้ มพระแทน่ มนงั คศลิ าบาตร นาํ มาเกบ็ รกั ษาไวท้ วี่ ดั ราชาธวิ าสวหิ าร ตอ่ มาเสดจ็ ประทบั ทวี่ ดั บวรนเิ วศวหิ าร กย็ า้ ยจารกึ และพระแทน่ ฯ
มาดว้ ย ครนั้ เสวยราชยแ์ ลว้ โปรดให้นาํ ไปไวท้ ศี่ าลารายในวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม จนถงึ รชั กาลท่ี ๖ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ให้ยา้ ย
ศลิ าจารกึ ทัง้ สองมารวมไวก้ บั จารกึ อ่ืน ๆ ทีห่ อพระสมดุ วชริ ญาณ และปั จจุบันเกบ็ รกั ษาอยูท่ ีพ่ ิพธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ กาญจนาภเิ ษก
อ�ำ เภอคลองหลวง จังหวดั ปทมุ ธานี
๕๔ พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลไิ ท)

53

54

จดหมาย๕๕ ในเสาศลิ าฉะนนั้ เพราะเม่อื เสดจ็ ไปประทบั อยใู่ นเมอื งนนั้ รบั สงั่ วา่ มาถงึ เมอื งนสี้ บายพระทยั นกั
ดูเหมือนเมอื งทีเ่ คยเสดจ็ อยมู่ าแตก่ อ่ นทเี ดียว
ครัน้ เวลากลางคืนทรงพระสุบินไป ว่าชาวเมืองนัน้ ทัง้ ไพร่ทัง้ ผูด้ ีมีบรรดาศักดิม์ าเฝ้ ามาก ทูล
เชญิ เสดจ็ จะให้ประทบั อยใู่ นเมอื งนนั้ ให้นาน ๆ เสาศลิ าคดิ ดเู หมอื นเทพยดาจะบนั ดาลให้เอามา เพราะ
ไมส่ ามารถทีจ่ ะทลู ดว้ ยวาจาให้ทราบได้ จ่งึ บนั ดาลเป็นปรยิ าย๕๖ ให้น�ำ มาเพ่อื จะให้ร้คู วาม เพราะเร่อื ง
ในหนังสือในเสาศิลานนั้ ถกู ตอ้ งกับรัชกาลทเี่ ป็นไปนโี้ ดยมาก๕๗ อันนีเ้ ป็นการคาดคะเน ครนั้ ณ วัน
อาทติ ย์ ข้นึ ๙ ค�ำ่ เดอื น ๓๕๘ กลบั ลงมาทา่ ธานี ลงเรอื กลบั ลงมาเมอื งพจิ ติ ร ณ วนั พฤหสั บดี ข้นึ ๑๓ ค�ำ่
เดือน ๓๕๙ ถึงบา้ นกะมงั ๖๐ ประทบั อยูท่ ีน่ ัน้ สีว่ นั ทำ�การฉลองวัดเขาลกู ช้าง ครนั้ เสรจ็ การทีน่ นั้ แลว้ ถงึ
ณ วันจันทร์ แรม ๒ ค่�ำ เดือน ๓๖๑ จะ เสดจ็ ไปเมอื งกำ�แพงเพชร หยดุ ประทับเชงิ ไกร๖๒ ถึง ณ วนั เสาร์
แรม ๗ คำ่� เดือน ๓๖๓ ประทับเมืองไตรตรึงษ์ นมัสการพระมหาธาตุตาลเอน๖๔ แปดคำ่�๖๕ ถึงเมือง
กำ�แพงเพชร ประทบั ทอดพระเนตรภูมิลำ�เนาอยทู่ นี่ นั้

๕๕ จดไว,้ หมายไว,้ จารกึ ไว้
๕๖ นัยทางอ้อม
๕๗ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงคาดคะเนวา่ ขอ้ ความทีจ่ ารึกในเสาศิลาจารึกหลักที่ ๔ ภาษา
เขมรนัน้ เม่อื ไดแ้ ปลทราบความแลว้ เห็นวา่ ใกลเ้ คียงกับเหตุการณใ์ นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยูห่ ัวเป็นสว่ นใหญ่
๕๘ ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๘ มกราคม พุทธศกั ราช ๒๓๗๖ ประทบั แรมทีศ่ าลาทา่ ธานี วันอาทิตยท์ ี่ ๑๙ มกราคม ประทับแรมวดั
บา้ นชมุ แสง วันจนั ทร์ที่ ๒๐ ประทับแรมบา้ นปากภงิ ค์ วันองั คารที่ ๒๑ ประทบั แรมบา้ นหาดขีค้ วาย
๕๙ ตรงกับวันพุธที่ ๒๒ มกราคม พทุ ธศกั ราช ๒๓๗๖
๖๐ ปั จจบุ นั เป็นตําบลฆะมัง อาํ เภอเมอื งพิจิตร จงั หวดั พิจิตร
๖๑ ตรงกบั วันอาทิตยท์ ี่ ๒๖ มกราคม พทุ ธศกั ราช ๒๓๗๖
๖๒ ปากนำ�้ เชิงไตร และวนั แรม ๓, ๔, ๕ และ ๖ ค�่ำ ประทบั แรมไปตามล�ำ ดับคอื บา้ นทา่ มะเกลอื บา้ นงิว้ บา้ นแสนตอ (ขาน)ุ
และบา้ นเกาะหมู
๖๓ ตรงกบั วันศกุ ร์ที่ ๓๑ มกราคม พทุ ธศักราช ๒๓๗๖
๖๔ วัดวังพระธาตุ (วัดท้าวแสนปม) ตําบลวังพระธาตุ อันมีต้นตาลมียอดน้อมลงมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัว
ทรงเช่อื วา่ เป็นเมอื งไตรตรงึ สข์ องพระเจ้าแสนปม
๖๕ ตรงกบั วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พุทธศกั ราช ๒๓๗๖

55

56
56

สามราตรี ณ วันอังคาร แรม ๑๑ คำ่� เดือน ๓๖๖ กลับจากเมืองกำ�แพงเพชรมานอนบางพุทรา๖๗
วนั สบิ สคี่ �ำ่ ๖๘ ถงึ นครสวรรค์ วนั อาทติ ย์ ข้นึ ๑ ค�่ำ เดอื น ๔๖๙ ถงึ คงุ้ ส�ำ เภา๗๐ วนั สามค�ำ่ เสดจ็ ถงึ กรงุ เทพฯ
ครัน้ ถงึ ศกั ราช ๑๑๙๘ ปีวอกอัฐศก ณ วันพธุ ข้นึ ๕ คำ�่ เดือน ๒๗๑ เวลาสามโมง ๘ บาท๗๒
เสด็จลงมาประทับอยูท่ ีว่ ัดบวรนิเวศ วันนัน้ พวกที่มาคอยรับเสด็จดูแห่๗๓ แลเห็นพระอาทิตยข์ ้ึนเป็น
สองดวง จนเวลาสามโมงเย็นเป็นอัศจรรย์ แสดงเหตุว่าทา่ นนัน้ ก็จะได้เป็นพระเจ้าแผน่ ดินองคห์ น่ึง
เคารพสองรองลำ�ดับแผน่ ดินพระนัง่ เกลา้ เจ้าสยามนีต้ อ่ ไป
ครนั้ อยมู่ าทรงพระปรารภรงั เกยี จดว้ ยสมี าคาบเกยี่ ว วา่ ทสี่ ามมขุ ผกู แตม่ ขุ เดยี วไมช่ อบกล จงึ ทลู
ขอทีเ่ สียใหมท่ งั้ สามมุข ปั กขยายออกไปเทา่ แนวพลสงิ ห์โดยรอบ แลว้ ชาํ ระถอนสมมติผกู อยหู่ ลายวนั
ไดน้ าํ ฉนั ทท์ าํ กันแตพ่ ระในวดั เป็นการเงยี บ ๆ ครัน้ ลว่ งไปสักปีเศษ ในเดอื นยี่ ปีระกา๗๔ ทูลขอให้เชญิ
พระชินสหี ์ออกมาจากมขุ ดา้ นตะวนั ตกมาประดิษฐานไวใ้ นพระอโุ บสถดา้ นตะวนั ออก๗๕

๖๖ ตรงกับวนั ที่ ๔ กมุ ภาพันธ์ พทุ ธศกั ราช ๒๓๗๖
๖๗ ท่าบ้านพุทราอยู่ระหว่างขานุกับบ้านโคนในลำ�นำ้�ปิง และแรม ๑๒ และ ๑๓ คำ่� ประทับแรมบ้านแดน และบ้านหัวดง
ตามลำ�ดับ
๖๘ ตรงกับวนั ที่ ๗ กมุ ภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๓๗๖ ประทบั แรมหาดทรายทา้ ยเมอื งนครสวรรค์
๖๙ ตรงกบั วนั เสาร์ที่ ๘ กมุ ภาพนั ธ์ พุทธศกั ราช ๒๓๗๖
๗๐ ตำ�บลหน่ึงในอําเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท เคยเป็นท่าที่จอดรับผู้โดยสาร และขนถ่ายสินค้าในสมัยที่ใช้การคมนาคม
ทางน�้ำ เป็นหลกั และข้ึน ๒ คำ�่ ประทบั แรมทปี่ ากน�ำ้ บางพุทรา ทอดพระเนตรพระนอนจักรศรี ข้นึ ๓ ค่�ำ ประทบั แรมหาดกรวด ข้นึ ๔ คำ�่
ทอดพระเนตรพระนอนวดั อนิ ทรประมูล เสดจ็ ลอ่ งลงมาถึงวดั มหาธาตุในวันข้ึน ๕ ค่�ำ เดือน ๔
๗๑ ตรงกับวนั ที่ ๑๑ มกราคม พทุ ธศกั ราช ๒๓๗๙
๗๒ เวลา ๙ นาฬิกา ๔๘ นาที
๗๓ พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกลา้ เจ้าอยูห่ วั ทรงพระกรณุ าโปรดให้จัดกระบวนแห่เสด็จตามประเพณี แห่พระราชาคณะไปครองวดั
ให้เหมอื นกระบวนแห่เสดจ็ พระมหาอุปราช เชิญพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัวมาประทับวดั บวรนิเวศวิหาร
๗๔ จลุ ศกั ราช ๑๑๙๙ ตรงกับพทุ ธศักราช ๒๓๘๐
๗๕ มขุ ดา้ นทิศใตม้ าประดษิ ฐานไวใ้ นทมี่ ุขดา้ นทิศเหนอื ของพระอโุ บสถ

57

พระอโุ บสถวดั บวรนเิ วศวหิ าร
58

พระอโุ บสถวดั บวรนิเวศวหิ าร

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัว เม่ือครัง้ ยังทรงผนวช และครองวัดบวร
นเิ วศวิหาร ครบขวบปีใน พ.ศ. ๒๓๘๐ ทรงทูลขอพระบรมราชานญุ าตพระบาทสมเดจ็
พระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ ัว เชิญพระพุทธชินสีห์จากมุขหลังมาไว้มุขหน้า เพ่ือกอ่ พระเจดีย์
ดา้ นหลังพระอโุ บสถ จึงแปลงพระอุโบสถจากจตรุ มุข เป็นตรีมุข
ทรงพระปรารภพัทธสีมาเดิมว่า พระอุโบสถเป็นสามมุข ผูกแต่มุขหนา้ แห่งเดียว
ดูเป็นคาบเกีย่ วอยูไ่ มช่ อบกล ได้ทรงขอพระบรมราชานุญาตท่เี ป็นวิสุงคามสีมาเพิม่ ทัง้
สามมุข ขยายออกไปเท่าแนวพลสิงห์โดยรอบ นับเป็นการผูกพัทธสีมาครัง้ ที่สองของ
วดั บวรนเิ วศวหิ าร

59

พระพทุ ธชนิ สหี ์
60

พระพุทธชินสีห์

พระพุทธรูปสำ�คัญองคห์ น่ึงในหัวเมืองฝ่ ายเหนือ ที่เดิมประดิษฐานอยูพ่ ระวิหาร
ทศิ เหนอื วดั พระศรรี ตั นมหาธาตุ จงั หวดั พษิ ณโุ ลก สมเดจ็ พระบวรราชเจา้ มหาศกั ดพิ ลเสพ
โปรดให้อัญเชิญมาประดิษฐานเป็ นพระประธานมุขด้านทิศใต้ของพระอุโบสถวัด
บวรนเิ วศวิหาร ตอ่ มาเม่อื พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั เม่ือครงั้ ยงั ทรงผนวช
เสด็จมาครองวัดบวรนิเวศวิหาร ทูลขอพระบรมราชานุญาตแปลงมุขด้านทิศใต้เป็น
พระเจดีย์ และขอให้ย้ายพระพุทธชินสีห์มาเป็นพระประธานภายในพระอุโบสถด้าน
ทศิ เหนือ คูก่ ับพระสุวรรณเขต

61

62

ในมุขนั้นเชิญพระพุทธไสยาสน์ไปไว้แทน แต่นั้นทรงทำ�นุบำ�รุงสั่งสอนบริษัท คฤหัสถ์บรรพชิตให้
เจริญยงิ่ ข้ึนไปดว้ ยขอ้ ปฏบิ ตั ิตา่ ง ๆ ทสี่ มควรแกธ่ รรมวนิ ัย ครัง้ นัน้ กลุ บุตรเกิดความเล่อื มใสพากนั มา
บวชเรียนมาก ภายในพรรษกาลมพี ระสงฆจ์ ำ�พรรษา ๑๕๐ เป็นมาก ๑๓๐ เป็นนอ้ ย ตลอดมาจนถงึ
ปีระกา๗๖ ความไข้
ครัน้ เม่ือศกั ราช ๑๒๐๙ ปีมะแม นพศก๗๗ สงั่ บวั ศิลานมิ ิตไปเมืองจนี ไดเ้ ขา้ มา ทรงพระปรารภ
จะตงั้ นิมิตสมมติสมี าวดั บวรนิเวศ จ่งึ ให้นำ�ฉันทพ์ ระทคี่ วรแกฉ่ นั ทใ์ ห้หมดทุกอาราม แลว้ บรรดาพระที่
บวชในนทีสีมาทุกอาราม ให้มาประชุมกนั เป็นสงั ฆกรรมใหญ่ รับสงั่ วา่ สมมตสิ ีมาวดั บรมนิวาส๗๘ แลว้
กลับเขา้ มาสมมติสีมาวัดเรา๗๙ เสียใหม่ ขยายให้โต ให้ควรแกส่ ังฆกรรมได้ทัง้ ในโบสถ์นอกโบสถ์
ดา้ นหนา้ เอาตน้ จนั ทนเ์ ป็นนิมิต ดา้ นหลงั เอาเสาศิลาปั กเป็นนมิ ิต ดา้ นขา้ งเอาบอ่ ทงั้ สองเป็นนมิ ิต ให้
มีสัณฐานดงั ตะโพน๘๐
ครนั้ ถึง ณ วนั ศกุ ร์ ข้ึน ๑๓ ค�่ำ เดอื น ๑๑๘๑ จึงไดน้ ำ�ฉนั ท์

๗๖ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัวทรงลาผนวช เม่ือปีกุน พุทธศักราช ๒๓๙๔ ดังน้ี ปีระกาในที่นี้จึงน่าจะหมายถึง
ปีพทุ ธศกั ราช ๒๓๙๒
๗๗ พุทธศักราช ๒๓๙๐
๗๘ วัดบรมนิวาส เป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัวทรงสร้างแต่ครัง้ ยังทรงผนวช เรียกกันว่า วัดนอก ต่อมา
พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั พระราชทานนามใหมว่ า่ วดั บรมนวิ าส พระราชประสงคใ์ นการสรา้ งวดั นี้ คงจะเพ่อื ให้เป็นวดั คกู่ นั กบั
วดั บวรนิเวศวิหาร กลา่ วคอื วัดบวรนิเวศวหิ ารเป็นวดั ของคณะสงฆฝ์ ่ ายคามวาสขี องธรรมยตุ ิกนิกาย สว่ นวัดบรมนิวาสเป็นวัดคณะสงฆ์
ฝ่ ายอรญั วาสีของธรรมยุตกิ นกิ าย
๗๙ หมายถึง วัดบวรนิเวศวิหาร
๘๐ จงึ นับเป็นการผกู พทั ธสมี าวดั บวรนเิ วศวิหาร ครงั้ ที่ ๓ โดยกําหนดนมิ ิตต์ ๖ แห่ง ปลายสอบป่ องกลางสณั ฐานดัง่ ตะโพน โดย
ดา้ นหนา้ กำ�หนดดว้ ยรุกขนิมิตต์ คือ ตน้ จันทน์ ๒ แห่ง ดา้ นขา้ งก�ำ หนดดว้ ยอทุ กนิมิตต์ คือบอ่ น�ำ้ ๒ แห่ง ดา้ นหลงั กำ�หนดดว้ ยปาสาณ
นิมติ ต์ คอื หลักศลิ า ๒ แห่ง
๘๑ ตรงกบั วนั ที่ ๒๒ ตุลาคม พุทธศกั ราช ๒๓๙๐
๘๐ จงึ นับเป็นการผกู พทั ธสมี าวัดบวรนิเวศวหิ าร ครัง้ ที่ ๓ โดยกําหนดนิมติ ต์ ๖ แห่ง ปลายสอบป่ องกลางสัณฐานดัง่ ตะโพน โดย
ดา้ นหนา้ กำ�หนดดว้ ยรกุ ขนิมิตต์ คอื ตน้ จันทน์ ๒ แห่ง ดา้ นขา้ งก�ำ หนดดว้ ยอุทกนิมิตต์ คือบอ่ น�้ำ ๒ แห่ง ดา้ นหลังกำ�หนดดว้ ยปาสาณ
นิมิตต์ คอื หลักศลิ า ๒ แห่ง
๘๑ ตรงกบั วนั ที่ ๒๒ ตลุ าคม พทุ ธศกั ราช ๒๓๙๐

63

พระไสยา
ภายในพระวหิ ารพระศาสดา วดั บวรนเิ วศวหิ าร

64

พระไสยา

พระพุทธรูปปางไสยาสน์ หล่อสำ�ริด ศิลปะสุโขทัย หมวดใหญอ่ งค์นี้ พระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัว เม่ือครัง้ ทรงผนวช โปรดให้อัญเชิญมาจากวัดพระพาย
หลวง จังหวดั สโุ ขทัย โดยในคราวทอี่ ญั เชญิ พระพทุ ธชนิ สหี ์ไปไวม้ ุขดา้ นทศิ เหนือ แลว้
ร้ือมุขด้านทิศใต้กอ่ เป็นพระเจดีย์ ทำ�ให้มุขด้านทิศใต้มีขนาดนัน้ ลง จึงให้ประดิษฐาน
พระไสยาทีม่ ุขนี้ ครนั้ ภายหลังเม่อื มกี ารสร้างพระวหิ ารพระศาสดา โปรดให้อัญเชิญพระ
ไสยาไวไ้ ปในพระวิหารมขุ ดา้ นทศิ ตะวันตก

65

บวั ศิลานิมติ ก�ำ กับตน้ จนั ทนด์ า้ นหนา้ พระอโุ บสถวัดบวรนเิ วศวหิ าร
66

บวั ศิลานิมติ กำ�กับบอ่ นำ�้ ดา้ นขา้ งพระอโุ บสถวัดบวรนเิ วศวหิ าร
67

68

ประชุมพระสงฆส์ มมติสีมาวัดบรมนิวาส ครัน้ เสร็จแล้วกลับมาประชุมกันสมมติสีมาวัดบวรนิเวศอีก
คราวหน่งึ พอพระสงฆป์ ระชุมพร้อมท�ำ สงั ฆกรรม เวลานนั้ ฝนตกลงมาใหญ่ น�้ำ ฝนไดถ้ งึ ๑๕๐ เซน๘๒
ทีไ่ ทยสมมติเรยี กวา่ ห่าหน่งึ ๘๓ เป็นอัศจรรย์ เม่อื สมมติสีมาเสร็จแลว้ เห็นน�ำ้ ฝนนนั้ นองขงั ทว่ มถึงเชิง
กำ�แพงแกว้ แตว่ ดั บรมนวิ าสนนั้ หาส�ำ เรจ็ ไม่ ตอ้ งกลับออกไปสมมตซิ �้ำ อกี ครงั้ หน่งึ เพราะพระพวกหน่งึ
น�ำ ฉนั ทม์ าทางน�้ำ ดว้ ยเรอื รบั สงั่ วา่ ฉนั ทล์ งถงึ นทสี มี าแลว้ ยอ่ มระงบั ไป ให้น�ำ ฉนั ทเ์ สยี ใหมไ่ ปทางบก ได้
ไปสมมตกิ นั อกี คราวหน่งึ ตอ่ เวลาจวนรงุ่ อนั นกี้ ช็ อบกลดว้ ยวดั บรมนวิ าสเป็นวดั ข้นึ ๘๔ ควรจะสมมตติ อ่
ภายหลงั วดั บวรนเิ วศเป็นวดั เดมิ ควรจะสมมตกิ อ่ น เหตดุ งั นนั้ จงึ บนั ดาลเป็น นวี่ า่ ดว้ ยเร่อื งสมมตสิ มี า ฯ
ต่อไปเป็นเร่ืองฝรัง่ ลังกามิได้จดจำ� ความสังเขปว่า เม่ือปีขาล จัตวาศก ศักราช ๑๒๐๔๘๕
พระปลดั สัง๘๖เป็นผใู้ หญ่

๘๒ เซนติเมตร
๘๓ ฝนตก ๑ ห่า เทา่ กับ ๓๕๐ เซนติเมตร
๘๔ การวดั ระดับนำ�้ ฝนในสมยั โบราณ ใช้บาตรหรือหอยโขง่ ตัง้ ไวก้ ลางแจ้ง ถ้าไดน้ ้ำ�ฝนเตม็ ในวนั นนั้ แลว้ เรียกวา่ ฝนตกห่าหน่งึ
บาตรทนี่ �ำ มารองรบั น้�ำ ฝนนนั้ เป็นบาตรตะกัว่ มีลักษณะปากกวา้ งแทงตลอด ๑๐ นิว้ ก่งึ สงู ๙ นวิ้ กระพงุ้ โดยรอบ ๑ คืบ ๑๐ นวิ้ สามารถ
จนุ ำ้�ได้ ๑๒ ทะนาน (๒๐ ทะนานเป็น ๑ ถัง)
๘๕ พทุ ธศกั ราช ๒๓๘๕
๘๖ พระปลดั สงั หรอื สังข์ วัดบวรนเิ วศวหิ าร เดมิ เป็นชาวบางไผ่ จงั หวดั นนทบุรี บดิ าช่อื จัน มารดาช่ือสุข เป็นพระอนชุ าในสมเดจ็
พระอรยิ วงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปสุ ฺสเทโว) ตอ่ มาไดอ้ ปุ สมบทในฝ่ ายธรรมยุติกา ไดร้ ับสมณฉายาวา่ “สุภูต”ิ และเขา้
สอบไลพ่ ระปรยิ ัตธิ รรมไดเ้ ปรียญ ๙ ประโยค พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั ทรงเลอื กพระปลัดสงั ข์ สภุ ตู ิ นเี้ ป็นสมณทตู ไป
สืบพระศาสนาทีล่ งั กาทวีป เม่ือกลับมาถงึ กรุงเทพฯ พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจ้าอยูห่ วั โปรดพระปลดั สังข์ สุภูตวิ า่ มคี วามชอบใน
ราชการ ดว้ ยไดส้ ืบพระพุทธศาสนามาดว้ ย จึงโปรดให้ตัง้ พระปลัดสังขเ์ ป็นพระราชาคณะที่ “พระสมุทมนุ ี” สถติ ณ วัดบวรนิเวศวหิ าร
ภายหลงั ไดล้ าสกิ ขา

69

70

พระทศพลญาณ พระประธานในพระอุโบสถวดั บรมนวิ าส
71

72

คมุ เคร่อื งราชบรรณาการออกไปบชู าพระทันตธาตุ ณ เมืองลงั กา และเทีย่ วสืบหาพระคัมภรี ์ทีไ่ มม่ ีใน
กรงุ เทพไดม้ ามาก และสงิ่ ของหลาก ๆ มีพระธาตุ เป็นตน้ มาถวาย มคี วามชอบไดเ้ ป็นพระสมทุ มุนี
ครั้งที่สอง พระสมุทมุนีเอาหนังสือออกไปส่ง ไปกับพระอมราภิรักขิต แต่ครั้งยังเป็นปลัด
วัดบรมนิวาสอยู่ ชักชวนชาวลังกาเขา้ มาได้เป็นอันมาก ต้องดังพระราชประสงค์ เป็นความชอบอีก
อยา่ งหน่ึงพระราชทานให้สร้างตึกอยูต่ ามชอบใจ พระอมราภิรักขิตนัน้ มีความชอบในลังกา พระสงฆ์
และคฤหัสถ์สรรเสรญิ เขา้ มา วา่ เป็นพหสู ตู ฉลาดในธรรมวินัย
ครัง้ ทสี่ าม พระอโนมมุนี๘๗ ออกไป ชาวลงั กากลา่ วโทษ บอกเขา้ มาเป็นความผดิ วา่ เป็นคน
ใจหงุดหงิด ไมเ่ หน็ แกร่ าชการ เขาจะฝากของราชบรรณาการถวายเขา้ มากจ็ ดั หาไมท่ ัน ความพสิ ดาร
ยดื ยาวทงั้ ปวงนนั้ มไิ ดจ้ ดไว้ เพราะไมม่ เี ร่อื งเหตอุ นั ใดทเี่ ป็นอศั จรรย์ ครนั้ กาลนนั้ ลว่ งไป ๆ ได้ ๑๔ ปีเศษ
ถึง ณ วนั พฤหัสบดี ข้นึ ๒ ค่�ำ เดือน ๕

๘๗ พระอโนมมนุ ี (ศรี อโนมสริ )ิ ภายหลังด�ำ รงสมณศกั ดิท์ ี่ สมเด็จพระพฒุ าจารย์ เจ้าอาวาสวดั ปทมุ คงคา

73

พระอมราภริ กั ขติ (เกดิ อมโร)

พระอมราภริ กั ขติ (เกดิ อมโร) เป็นศษิ ยห์ ลวงเดมิ ในพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้
เจ้าอยู่หัว เม่ือครั้งทรงผนวช และเป็นพระปลัด ฐานานุกรมในพระญาณรักขิต (สุข)
เจ้าอาวาสวัดบรมนิวาสรูปแรก เม่ือครั้งกลับจากลังกา พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้า
เจ้าอยหู่ ัว โปรดปรานวา่ มีความชอบมาก พระราชทานนติ ยภัตเทา่ พระราชาคณะ ตอ่ มา
ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ได้รับพระราชทานสมณศักดิเ์ ป็นพระราชาคณะทีพ่ ระอมราภิรักขิต
และไดร้ บั การแตง่ ตงั้ ให้เป็นเจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส

74

สมเด็จพระพฒุ าจารย์ (ศรี อโนมสริ )ิ เจ้าอาวาสวัดปทุมคงคา
เม่ือครัง้ ด�ำ รงสมณศกั ดเิ์ ป็นพระอโนมมนุ ี พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั
ทรงเห็นว่าท่านรู้ภาษาบาลีมาก จึงโปรดให้ท่านเป็นหัวหน้าสมณทูตนำ�คัมภีร์ทาง
พระพุทธศาสนาออกไปเผยแผใ่ นเกาะลังกา และสืบดูสถานการณท์ างพระพุทธศาสนา
ทีน่ ัน่ ในปี พ.ศ. ๒๓๙๕

75

76

ปีกุน๘๘ แตย่ ังอยใู่ นโทศก ศกั ราชยงั เป็น ๑๒๑๒ เวลาเช้าสองโมงเศษ ทา่ นอคั รมหาเสนาบด๘ี ๙ให้มา
เชญิ เสด็จไปเสวยราชสมบตั ิ เสดจ็ ไปประทับอยใู่ นวดั พระศรีรตั นศาสดาราม เวลาคำ่� เจ้าตา่ งกรมและ
พระองคเ์ จา้ ผใู้ หญผ่ นู้ อ้ ย ท�ำ สจั กริ ยิ าสาบานถวายตอ่ หนา้ พระแกว้ และพระราชาคณะผูใ้ หญป่ ระชมุ กนั
๑๒ รปู เสรจ็ แลว้
ครนั้ ณ วนั ศกุ ร์ ข้นึ ๓ ค่�ำ เดือน ๕๙๐ เวลา ๕ ทุม่ ทรงลาผนวชตอ่ หนา้ ราชาคณะฐานานกุ รม
เปรียญทเี่ ป็นพระศิษยห์ ลวงเดิม๙๑ ๓๐ รูปประชุมกันแลว้ เสด็จเขา้ ไปประทบั อยู่ ณ พลบั พลาตรงหนา้
คลงั ศุภรตั คิดการทีไ่ ดเ้ สดจ็ อยใู่ นวดั บวรนิเวศวหิ าร ๑๔ ปี กับสองเดือนกบั ๒๗ วัน ถ้าจะกระจายให้
ละเอียดเป็นโมงวันได้ ๕๑๙๖ วนั กับ ๒๒ โมง ดว้ ยประการดังนี้
เม่อื ถงึ วิสาขบูรณมดี ถิ ี วันพฤหสั บดี ข้ึน ๑๕ ค่ำ� เดอื น ๖๙๒ เวลาย่�ำ ร่งุ แลว้ สามบาท๙๓ ท�ำ การ
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ครนั้ ณ วนั ศกุ ร์ แรมค�ำ่ หนง่ึ ๙๔ เวลาเช้า ทรงตงั้ พระราชาคณะ เวลากลางวนั ตงั้ ขนุ นาง ขา้ ราชการ
ตอ่ ไปจ่ึงไดพ้ ระราชทาน

๘๘ ตรงกับวนั ที่ ๒ เมษายน พุทธศกั ราช ๒๓๙๔
๘๙ หมายถึง เจ้าพระยาพระคลงั (ดิศ บุนนาค) วา่ ทสี่ มุหพระกลาโหมและกรมทา่ ในรชั สมัยพระบาทสมเด็จพระนัง่ เกลา้ เจ้าอยหู่ วั
ตอ่ มาในรชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยูห่ วั ไดร้ บั พระราชทานบรรดาศักดิเ์ ป็น สมเดจ็ เจ้าพระยาบรมมหาประยรู วงศ์
๙๐ ตรงกับวันที่ ๔ เมษายน พุทธศกั ราช ๒๓๙๔
๙๑ หมายถึง สัทธิวิหาริกและอันเตวาสิกของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัว เม่ือครั้งยังทรงผนวช อาทิ สมเด็จพระ
มหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ วัดบวรนิเวศวิหาร สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว)
วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม สมเด็จพระวันรัต (ทับ พุทฺธสิริ) วัดโสมนัสวิหาร พระอมรโมลี (นพ พุทฺธิสณฺโห) วัดบุปผาราม
พระอมราภิรักขิต (เกิด อมโร) วัดบรมนิวาส พระเมธาธรรมรส (เรือง สุวฑฺฒโน) วัดพิชยญาติการาม พระอริยกวี (ทิง อิสิทตฺโต)
วดั โสมนัสวิหาร เป็นตน้
๙๒ ตรงกบั วันที่ ๑๕ พฤษภาคม พทุ ธศักราช ๒๓๙๔
๙๓ ๖ นาฬกิ า ๖ นาที
๙๔ ตรงกบั วนั ที่ ๑๖ พฤษภาคม พทุ ธศกั ราช ๒๓๙๔

77

78

นามวัดสมอรายช่อื วดั ราชาธิวาสวิหาร๙๕ เพราะเป็นทีไ่ ดเ้ คยเสด็จสถติ สำ�ราญแตก่ อ่ นมา
อน่ึงที่พระปฐมเจดีย์นั้นก็เป็ นที่ได้ทรงพระราชศรัทธาเล่ือมใสมากมาแต่ในกาลปางก่อน
จนถึงเม่ือไดพ้ ระบรมธาตุเป็นพลวเหต๙ุ ๖ ครัน้ เม่ือถงึ ปีชวด เดือนอ้าย๙๗ จ่งึ ไดม้ พี ระบรมราชโองการ
ให้กรมหม่ืนบวรรังษีสุริยพันธุ์๙๘ออกไปถ่ายอยา่ งรูปพระปฐมเจดียข์ องเกา่ เขา้ มาถวาย๙๙ โปรดให้
สมเด็จเจ้าพระยาองคใ์ หญ๑่ ๐๐ออกไปกะการทจี่ ะสร้างพระปฐมเจดียข์ องเกา่ ในศักราช ๑๒๑๔ ปีชวด
จตั วาศก๑๐๑ เป็นปีแรกเรมิ่ จับการ ครนั้ กอ่ ข้ึนไปจนถงึ ปากระฆังแลว้ ร้าวครากไปดว้ ยขา้ งลา่ งนัน้ บาง
หนกั ก็พงั ทลายเล่อื นลงมา ในวนั จนั ทร์ ข้ึน ๑๔ ค�่ำ เดอื น ๘ ศกั ราช ๑๒๒๒ ปีวอกโทศก๑๐๒ แตน่ นั้
จ่งึ ร้อื ขยายรากให้กวา้ งออกไปขา้ ง ๔ วา ครนั้ ถึง ณ วนั พฤหสั บดี ข้ึน ๕ คำ�่ เดือน ๑๑๑๐๓ วางอิฐฤกษ์
กอ่ ใหมต่ ัง้ ตน้ มาแตน่ ัน้ ๑๐๔
เม่ือเถลิงถวัลยราชสมบัติล่วงไปได้สี่ปี มีพระบรมราชโองการให้หม่อมเจ้าดิศ๑๐๕หล่อฐาน
พระชินสหี ์ดว้ ยทองสมั ฤทธิ์

๙๕ วัดราชาธิวาสวิหาร นามนี้มาจากพระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยทรงเห็นว่าวัดนี้เป็นที่
ประทับระหวา่ งทรงผนวชของพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลัยของพระองคเ์ อง และของสมเดจ็ พระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์
จงึ พระราชทานนามวา่ วดั ราชาธิวาสวหิ าร
๙๖ หมายถงึ เหตแุ ข็งแรง, เหตุทีม่ กี �ำ ลงั กลา้
๙๗ ตรงกบั เดอื นธนั วาคม พุทธศักราช ๒๓๙๕
๙๘ ภายหลังทรงไดร้ ับสถาปนาข้ึนเป็น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์
๙๙ เขา้ ใจว่าทรงดูอยา่ งจากพระมหาธาตุเจดีย์ วัดพระมหาธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช ตามคำ�สันนิษฐานที่สมเด็จพระเจ้า
บรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำ�รงราชานุภาพ ในพระนิพนธ์ “เร่ืองพระปฐมเจดีย”์ ความว่า “การที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา
ปวเรศวรยิ าลงกรณ์ เสดจ็ เมืองนครศรีธรรมราช บางทีจะเน่ืองดว้ ยเร่อื งคิดแบบอยา่ งรูปพระเจดีย์ ซ่งึ จะกอ่ ครอบพระปฐมเจดยี อ์ งคเ์ กา่
ให้เป็นพระมหาสถปู ใหญย่ ิง่ กวา่ พระเจดียอ์ งคอ์ ่นื ๆ ในสยามประเทศนี”้
๑๐๐ คอื สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดศิ บนุ นาค)
๑๐๑ ตรงกับปีพุทธศักราช ๒๓๙๕
๑๐๒ ตรงกบั วันที่ ๒ กรกฎาคม พทุ ธศกั ราช ๒๔๐๓
๑๐๓ ตรงกับวนั ที่ ๒๐ กนั ยายน พทุ ธศักราช ๒๔๐๓
๑๐๔ โปรดให้พระวรวงศเ์ ธอ กรมหม่นื บวรรังษสี รุ ยิ พนั ธุ์ และเจ้าพระยาทพิ ากรวงศ์ ออกไปกอ่ พระฤกษแ์ ทนพระองค์
๑๐๕ ตอ่ มาทรงไดร้ บั สถาปนาเป็น พระวรวงศ์เธอ พระองคเ์ จ้าประดษิ ฐวรการ

79

สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
เม่ือครัง้ ด�ำ รงพระยศที่ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหม่นื บวรรังษีสุรยิ พนั ธุ์

80

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์

พระนามเดมิ พระองคเ์ จา้ ฤกษ์ พระโอรสในสมเดจ็ พระบวรราชเจา้ มหาเสนานรุ กั ษ์
กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลท่ี ๒ ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาน้อยเล็ก
ทรงผนวชเป็ นสามเณรมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๒ ทรงเป็ นพระราชาคณะสถิต ณ
วัดบวรนิเวศวิหาร ในรัชกาลที่ ๓ และทรงไดร้ ับสถาปนาเป็นกรมหม่นื บวรรังษีสรุ ิยพนั ธุ์
ในสมยั รชั กาลที่ ๔ ทรงด�ำ รงต�ำ แหนง่ เจา้ คณะใหญค่ ณะธรรมยตุ กิ นกิ าย และทรงปกครอง
วัดบวรนิเวศวิหาร ต่อมาในรัชกาลที่ ๕ ได้เล่ือนพระยศเป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรม
พระปวเรศวริยาลงกรณ์ ภายหลังทรงเป็นพระราชอุปั ธยาจารย์ในพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัว เม่ือปี พ.ศ. ๒๔๑๖ และทรงพระราชดำ�ริท่จี ะสถาปนาข้ึน
เป็นสมเด็จพระสังฆราช แต่ว่าพระองค์ไม่ทรงรับถวายมหาสมณุตมาภิเษกในครั้งนั้น
จนในปี พ.ศ. ๒๔๓๔ สมเด็จพระวันรัต (ทับ พุทฺธสิริ) วัดโสมนัสวิหาร มรณภาพใน
วนั ที่ ๔ พฤศจกิ ายน จงึ ไดท้ รงพระกรณุ าโปรดตงั้ การมหาสมณตุ มาภเิ ษกเป็นกรมสมเดจ็
พระปวเรศวรยิ าลงกรณ์ ด�ำ รงพระเกยี รตยิ ศเป็นสงั ฆปรณิ ายก เม่อื วนั ที่ ๒๗ พฤศจกิ ายน
พ.ศ. ๒๔๓๔ กอ่ นทจี่ ะสนิ้ พระชนมเ์ ม่อื วนั ที่ ๒๔ กนั ยายน พุทธศกั ราช ๒๕๓๕ ตอ่ มา
ในรชั กาลที่ ๖ ทรงสถาปนาเป็นสมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์
เม่อื พุทธศักราช ๒๔๖๔

81

จติ รกรรมแสดงการบูรณะครอบพระปฐมเจดยี อ์ งคเ์ ดิม
ภายในพระวิหารทศิ ตะวนั ออก วดั พระปฐมเจดีย์

82

พระวรวงศ์เธอ พระองคเ์ จ้าประดิษฐวรการ

พระโอรสในพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหม่นื ณรงคห์ รริ กั ษ์ มพี ระนามเดมิ วา่ หมอ่ มเจา้
ดศิ ในสมยั รชั กาลที่ ๔ ทรงรบั ราชการในกรมช่างหลอ่ ซ่งึ มพี ระราชบดิ าเป็นผกู้ �ำ กบั กรม
และทรงรับราชการในกรมช่างสิบหมู่ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ ทรงได้รับสถาปนา
เป็น พระวรวงศ์เธอ พระองคเ์ จ้าประดษิ ฐวรการ และทรงไดร้ บั แตง่ ตัง้ เป็นอธิบดใี นกรม
ช่างสบิ หมู่

83

84

กระแหนะนนั้ เป็นลายบรุ าณ๑๐๖ ไดย้ กข้นึ ประดษิ ฐานประกับเทผูกในวันพฤหัสบดี ข้ึน ๗ ค่ำ� เดอื น ๘
ปีเถาะสัปตศก ศกั ราช ๑๒๑๗๑๐๗ ช่างเจาะฐานเทผกู ไดส้ ะเกด็ ทองหนกั ชงั่ เศษ เม่ือการขัดแตง่ ลงรัก
ส�ำ เรจ็ แลว้ ถงึ ณ วนั พธุ ขน้ึ ๑๓ ค�ำ่ เดอื น ๔๑๐๘ เสดจ็ ทรงปิดทองทงั้ ฐานทงั้ องคด์ ว้ ยทองประทากลอ้ ง๑๐๙
สองชนั้ แลว้ มีการสมโภช ๕ วัน เม่ือศกั ราช ๑๒๑๙ ปีมะเสง็ นพศก ณ วนั ศุกร์ แรม ๑ คำ�่ เดือน ๑๐๑๑๐
โปรดให้เอาสะเก็ดทองพระชนิ สีห์นนั้ ไปผสมกบั เงินทองตา่ ง ๆ หลอ่ เป็นรูปพระชนิ สหี ์นอ้ ยข้นึ ไว้ เพ่อื
จะไดเ้ ป็นทสี่ ักการบูชาในพระบรมมหาราชวัง กา้ ไหลด่ ว้ ยทองคาํ น�ำ้ หนกั ๕ ตาํ ลึง ครนั้ เสรจ็ แลว้ ถึง ณ
วันอาทิตย์ ข้นึ ๑๑ ค�่ำ เดอื น ๗ ปีมะเมยี สัมฤทธิศก๑๑๑ ทรงบรรจุพระธาตุแลว้ ให้มกี ารสมโภช ๔ วัน
แลว้ เชิญข้ึนพระราเชนทร์๑๑๒แห่ไปประดิษฐานไวใ้ นวดั พระศรีรตั นศาสดาราม
เม่อื ศกั ราช ๑๒๒๑ ปีมะแมเอกศก๑๑๓ ทรงพระกรณุ าโปรดให้สรา้ งวหิ ารพระศาสดา๑๑๔ ศกั ราช
๑๒๒๕๑๑๕ ปีกนุ เบญจศก ณ วันเดือนสี่ ขา้ งข้นึ ทรงพระกรณุ า

๑๐๖ ลายโบราณ
๑๐๗ ตรงกับวนั ที่ ๒๑ มถิ ุนายน พทุ ธศักราช ๒๓๙๘
๑๐๘ ตรงกบั วันพธุ ที่ ๑๙ มีนาคม พุทธศกั ราช ๒๓๙๔
๑๐๙ ท องประทากลอ้ ง หมายถึงทองคาํ เปลวอยา่ งหนาและเน้ือดเี หมือนทองของหลวง ใช้วา่ ทองประทาศี กม็ ี
๑๑๐ ตรงกับวันที่ ๔ กันยายน พุทธศกั ราช ๒๔๐๐
๑๑๑ ตรงกับวันที่ ๒๓ พฤษภาคม พทุ ธศกั ราช ๒๔๐๑
๑๑๒ พระทีน่ ัง่ ราเชนทรยาน เป็นพระราชยานทรงบุษบก ซ่ึงสร้างข้ึนในรัชกาลที่ ๑
๑๑๓ ตรงกับพุทธศักราช ๒๔๐๒
๑๑๔ พระวิหารพระศาสดา ตงั้ อยูท่ างทิศใตข้ องพระเจดยี ว์ ัดบวรนเิ วศวิหาร
๑๑๕ ตรงกับพทุ ธศกั ราช ๒๔๐๖

85

พระพุทธชนิ สีห์ ถ่ายข้นึ ในปี พ.ศ. ๒๔๐๐
ภายหลงั หลอ่ ฐานพระพุทธชนิ สีห์ เม่อื ปี พ.ศ. ๒๓๙๘

86

พระพทุ ธชินสีห์นอ้ ย
ปั จจุบนั ประดษิ ฐานภายในพระวิหารหลวง วดั ราชประดษิ ฐสถติ มหาสีมาราม

87

88

โปรดเกล้าให้พระยาอนุชิตชาญไชยชักพระศาสดามาแต่วัดสุทัศน์ข้ึนตั้งในวิหาร พระศอนั้นร้าวมา
นานกระเทอื นหกั แตค่ รงั้ ชกั มาพกั ไวว้ ดั สทุ ศั นใ์ นครงั้ กอ่ น๑๑๖ ทรงพระกรณุ าโปรดให้กรมหม่นื วรศกั ดา
พศิ าล๑๑๗เอาช่างหลอ่ มาเทผกู ดามให้มนั่ คง สะเกด็ ทองพระศาสดาทีต่ กลง เอาไปหลอ่ เป็นพระศาสดา
องคน์ อ้ ยประดิษฐานไวใ้ นวัดพระศรรี ัตนศาสดาราม
เม่อื ศกั ราช ๑๒๒๙ ปีเถาะนพศก๑๑๘ ไดพ้ ชื พระมหาโพธมิ าแตเ่ มอื งพทุ ธคยา๑๑๙ ทรงพระกรณุ า
โปรดให้สร้างแทน่ โพธสิ ถานเกง๋ ๑๒๐ เช่นวดั ปทมุ วนั ๑๒๑ จะทรงปลกู พระมหาโพธิ ครนั้ การเสรจ็ พอแขก
เมอื งฝรงั่ เศสเขา้ มาเฝ้าดว้ ยเร่อื งสรู ยก์ ารนนั้ สงบเลกิ ไป ครนั้ ถงึ เดอื นเกา้ แรมสองค�่ำ เสดจ็ ไปประพาส
ทะเล จะทอดพระเนตรสรู ย๑์ ๒๒ ประทบั ทีท่ า่ หวา้ กอ แขวงเมอื งประจวบครี ขี นั ธ์ วา่ สรู ยค์ รงั้ นีเ้ ป็นสูรย์
ใหญส่ ำ�คญั ในกรงุ เทพมหานครไมเ่ คยมี สูรยส์ รรพคราสสนิ้ ดวงเช่นนี้

๑๑๖ ในเดือน ๔ แรม ๑๐ ค�่ำ ปีฉลู ตรงกบั วันพฤหสั บดีที่ ๒๓ มนี าคม พุทธศกั ราช ๒๓๙๖
๑๑๗ พระนามเดิม พระองคเ์ จ้าอรุณวงศ์ พระราชโอรสในรชั กาลที่ ๒ ทรงไดร้ บั สถาปนาเป็นกรมหม่นื วรศกั ดาพิศาล และวา่ การ
กรมกองแกว้ จินดาและกรมช่างหลอ่ ในสมยั รชั กาลที่ ๔ แลว้ ไดร้ ับการสถาปนาเป็นกรมหลวงวรศกั ดาพิศาล สุพฒั นาการสวัสดิ ในสมัย
รชั กาลที่ ๕
๑๑๘ ตรงกับพุทธศักราช ๒๔๑๐
๑๑๙คอื ตน้ โพธทิ์ ไี่ ดพ้ นั ธมุ์ าจากเมอื งพทุ ธคยา ประเทศอนิ เดยี ซง่ึ ขณะนนั้ เพงิ่ เป็นทที่ ราบกนั โดยนกั โบราณคดชี าวยโุ รปสนั นษิ ฐาน
วา่ เป็นทตี่ รสั ร้แู ห่งพระพทุ ธเจ้า
๑๒๐ โพธฆิ ระ คอื การสร้างอาคารหลงั คาลอ้ มมีทับเกษตรลอ้ มรอบตน้ พระศรมี หาโพธิ์
๑๒๑ วัดปทมุ วนั นามเต็มคือ วัดปทมุ วนาราม
๑๒๒ เป็นคาํ เรียกอยา่ งหน่ึง (ภาษาปาก) ของสรุ ยิ ุปราคา หรอื สูรยคราส

89

พระศรีศาสดา

พระศรศี าสดา เป็นพระพทุ ธรปู สรา้ งคราวเดยี วกบั พระพทุ ธชนิ ราชและพระพทุ ธชนิ สหี ์
เดมิ ประดิษฐาน ณ พระวหิ ารทิศใต้ วัดพระศรรี ตั นมหาธาตุ จังหวดั พิษณโุ ลก ตอ่ มาได้
อัญเชิญลงมาไว้ที่วัดบางอ้อยช้าง จังหวัดนนทบุรี ภายหลังสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหา
พิชยั ญาติ อญั เชญิ ไปเป็นพระประธานวดั ประดูค่ ลองบางหลวง ครัน้ ถึงสมยั รชั กาลที่ ๔
ทรงพระราชดำ�ริว่า พระศาสดาเป็นพระพุทธรูปในพระอารามหลวงมาแต่โบราณ ไม่
ควรจะอยูว่ ัดอ่ืนจึงโปรดให้อัญเชิญมาประดิษฐานไวท้ ีพ่ ระอุโบสถวัดสุทัศนเทพวราราม
จนในปีพุทธศักราช ๒๔๐๖ โปรดให้สร้างวิหารข้ึนในวัดบวรนิเวศวิหาร แล้วเชิญ
พระศาสดาจากวัดสทุ ศั นเทพวราราม ไปประดษิ ฐานในวหิ ารนนั้

90

พระศรีศาสดานอ้ ย
ปั จจุบันประดิษฐานภายในพระวิหารหลวงวัดราชประดษิ ฐสถติ มหาสีมาราม

91

พระมหาเจดยี พ์ ทุ ธคยา เมืองคยา ประเทศอนิ เดยี
กอ่ นบูรณปฏสิ งั ขรณ์

92


Click to View FlipBook Version