พื้นภูมิเพชรบุรี ภูมิประชา มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี
พื้นภูมิเพชรบุรี ภูมิประชา เล่มที่ ๔ ISBN 978-974-7168-60-0 จัดท�ำโดย มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี บรรณาธิการอ�ำนวยการ รองศาสตราจารย์ ดร.กาญจนา บุญส่ง รองบรรณาธิการอ�ำนวยการ ผู้ช่วยศาสตราจารย์พจนารถ บัวเขียว กองบรรณาธิการ รองศาสตราจารย์นิภา เพชรสม ผู้ช่วยศาสตราจารย์อรอนงค์ ศรีพวาทกุล ผู้ช่วยศาสตราจารย์หรรษา ผลาทร ดร.สมสุข แขมค�ำ อาจารย์ปิยวรรณ คุสินธุ์ นางสาวศศิวิมล กาหลง ภาพ อาจารย์วิชิต แสงประทีป นายโอภาส ชาญมงคล นายบุญชัย น้อยชูชื่น นายชัยวัฒน์ ชาติปรีชา กราฟิกดีไซน์ อาจารย์ตรีวิทย์ แพทย์เพียร อาจารย์นันทพล ตาละลักษมณ์ อาจารย์วรรณุฉัตร ลิขิตมานนท์ อาจารย์เสาวลักษณ์ วิบูลกาล ผู้เขียน ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุวิทย์ เปียผ่อง อาจารย์ทองใบ แท่นมณี อาจารย์แสนประเสริฐ ปานเนียม อาจารย์ปิยชาติ สึงตี พิมพ์เมื่อ ธันวาคม ๒๕๕๘ พิมพ์ที่ บริษัท เพชรภูมิการพิมพ์ จ�ำกัด ๘๐ หมู่ ๔ ต�ำบลบ้านหม้อ อ�ำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี ๗๖๐๐๐ โทร. ๐๓๒ – ๔๑๗๐๓๑ – ๒ โทรสาร ๐๓๒ – ๔๒๔๑๔๕ สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย ห้ามผู้ใดใช้ภาพและเนื้อหาน�ำไปเผยแพร่ โดยมิได้รับอนุญาต 2 พื้นภูมิเพชรบุรี
ภูมิประชา 3
อาเศียรวาท ขอเดชะ ฝ่าละออง ธุลีพระบาท ทรงเปรื่องปราด เปล่งประกาย หลายกระแส ทุกโครงการ งานมาสู่ ให้ดูแล ทรงช่วยแก้ ทุกระดับ กลับคืนดี แดนกันดาร ย่านเขา ล�ำเนาไหน เสด็จไป ตรากตร�ำ น�ำทุกที่ ทรงเข้าช่วย ด้วยปัญญา พระบารมี ดั่งสุรีย์ สาดแสง แรงตระการ ทรงทศพิธ ราชธรรม อันล�้ำเลิศ ยิ่งก่อเกิด เกื้อหล้า มหาศาล พสกนิกร หลุดพ้น ผลภัยพาล พระปณิธาน แน่วแน่ เผยแผ่ไป พระราชด�ำริ ทุกโครงการ งานเสริมสร้าง วางแนวทาง ไว้ด้วย ช่วยแก้ไข พระทรงเกื้อ การุณย์ อบอุ่นใจ จากฟากฟ้า สุราลัย สู่ไทยเรา ภูมิประชา มาจาก หลากพื้นที่ ย่อมจะมี แตกต่าง ตามทางเขา ประเพณี มีมา ศึกษาเอา โน้มน�ำเข้า สู่บุญ คุณอนันต์ เป็นมิ่งขวัญ อันประเสริฐ ชูเชิดชาติ เหล่าทวยราษฎร์ ปราศทุกข์ ยิ่งสุขสันต์ ประชากร สามัคคี มีต่อกัน ทุกชาติพันธุ์ ใต้ร่ม โพธิสมภาร ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า นายนิวัต กลิ่นงาม ในนามคณาจารย์และบุคลากร มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี (นายส�ำราญ นุชถาวร ร้อยกรอง) 4 พื้นภูมิเพชรบุรี
ภูมิประชา 5
6 พื้นภูมิเพชรบุรี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ต่อประเทศชาติและจังหวัดเพชรบุรี ทรงเสด็จเยี่ยมราษฎรในจังหวัดเพชรบุรี ทุกพื้นที่ ทรงน�ำโครงการพระราชด�ำริลงสู่พื้นที่จังหวัดเพชรบุรี เพื่อพัฒนา แหล่งทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรที่เป็น รากฐานของเกษตรกรรม เป็นหลักส�ำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ของราษฎร ตามที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิและ คณะกรรมการได้ด�ำเนินการจัดท�ำหนังสือ “พื้นภูมิเพชรบุรี” โดยการรวบรวม ข้อมูลของจังหวัดเพชรบุรีในทุกด้าน ตั้งแต่ประวัติความเป็นมา ชาติพันธุ์ บุคคลส�ำคัญ ประเพณีและศิลปวัฒนธรรม ปรัชญาในการทรงงานของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในจังหวัดเพชรบุรี โครงการพระราชด�ำริ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในจังหวัดเพชรบุรีและด้านอื่น ๆ โดย จัดท�ำเป็นหนังสือ เพื่อน�ำทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเพื่อให้เยาวชนเมืองเพชรได้รับรู้และได้เห็นแบบอย่าง อันจะก่อให้เกิด ความภาคภูมิใจ และเกิดความศรัทธาที่จะร่วมอนุรักษ์และรักษาความเป็น เมืองเพชรให้คงอยู่และก้าวหน้าต่อไป ขอเป็นก�ำลังใจให้กับผู้เขียนและคณะกรรมการในการด�ำเนินการ ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุน และขออุทิศบุญกุศลและร�ำลึกถึงผู้มี คุณูปการต่อเมืองเพชร จนท�ำให้จังหวัดเพชรบุรีเป็นเมืองแห่งประวัติศาสตร์ และศูนย์รวมแห่งศิลปวัฒนธรรม ที่ข้าพเจ้าและคนเมืองเพชรเกิดความรัก และความภาคภูมิใจในความเป็น “เพชร” และเป็นคนเมืองเพชร ด้วยความภาคภูมิใจ (พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์) นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี พื้นภูมิเพชรบุรีแห่งความภาคภูมิใจ ภูมิประชา 7
8 พื้นภูมิเพชรบุรี
มรดกเมืองเพชรเพื่อแผ่นดินเกิด เมืองเพชรบุรีถือว่าเป็นเมืองที่เสมือนมีพลังแผ่นดินคุ้มครอง จึงรอดพ้นจาก การถูกท�ำลายจากข้าศึก เมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ ๒ เมืองเพชรบุรีจึงยังคง เหลือโบราณสถานสมัยอยุธยาให้ชมอยู่หลายแห่ง นอกจากนี้เมืองเพชรบุรีตั้งอยู่ใน ชัยภูมิที่ดี ปลอดจากภัยธรรมชาติ เป็นแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร มีศิลปวัฒนธรรมงดงาม และมีผู้คนอาศัยหลายกลุ่มชาติพันธุ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ เพชรบุรีได้ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิในสภามหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี จัดท�ำหนังสือ “พื้นภูมิเพชรบุรี” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมความดีงาม ความรุ่งเรือง และความ เป็นไปต่าง ๆ ของเมืองเพชรบุรีตั้งแต่โบราณกาล และพัฒนามาจนถึงปัจจุบันให้คน เพชรบุรี ลักษณะของหนังสือพื้นภูมิเพชรบุรี เป็นหนังสือชุดมี ๙ เล่ม ประกอบด้วย ๑) ภูมิปรัชญา ภูมิบารมี ๒) ภูมิลักษณะ ๓) ภูมิประวัติ ๔) ภูมิประชา ๕) ภูมิปัญญา ๖) ภูมิพลัง ๗) ภูมิศิลปกรรม ๘) ภูมิสถาน และ ๙) ภูมิทัศน์วัฒนธรรมเมืองเพชร ซึ่งชุดนี้ไม่จัดจ�ำหน่าย จะแจกจ่ายให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ที่จะใช้ประโยชน์ ในด้านการจัดพิมพ์หนังสือได้รับเงินสนับสนุนจากบริษัท ปตท. จ�ำกัด (มหาชน) และผู้บริจาคทุนอีกจ�ำนวนมาก ในนามของมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี ขอขอบคุณ ทุกท่านและทุกหน่วยงานเป็นอย่างยิ่งที่ให้การสนับสนุน เพื่อให้หนังสือ “พื้นภูมิ เพชรบุรี” เป็นมรดกของเมืองเพชรบุรีและของประเทศชาติ และขออุทิศบุญกุศลให้ ผู้มีคุณูปการต่อเมืองเพชรทุกยุคทุกสมัย ท�ำให้ลูกหลานเพชรบุรีได้ภาคภูมิใจในความ เป็นคนเมืองเพชรบุรีมาจนถึงทุกวันนี้ ด้วยความขอบคุณยิ่ง (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิวัต กลิ่นงาม) อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี ภูมิประชา 9
10 พื้นภูมิเพชรบุรี
หนังสือเล่มนี้ เป็นหนึ่งในหนังสือชุดพื้นภูมิเพชรบุรี เป็นเล่มที่ ๔ มี ชื่อเฉพาะเล่มว่า “ภูมิประชา” มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับประชาชนและวัฒนธรรม ดังนี้ ๑. ชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในเมืองเพชรบุรี ๒. ข้อมูลประชากร ๓. สภาพเศรษฐกิจและอาชีพของประชาชนพลเมือง ๔. วัฒนธรรมทางภาษา คือ ภาษาพื้นเมืองเพชรบุรี และวรรณกรรมเก่า ที่เขียนโดยบุคคลในท้องถิ่น หรือบุคคลพื้นถิ่นอื่นเขียนเกี่ยวกับพื้นภูมิเพชรบุรี ๕. การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งกล่าวแทรกไว้ในแต่ละหัวข้อ ขอขอบคุณคณะผู้เขียนร่วม คือ อาจาย์อติชาติ สึงตี ผู้เรียบเรียงเรื่อง หลากหลายชาติ (พันธุ์) ในเมืองเพชรบุรีนายแสนประเสริฐ ปานเนียม เรียบเรียง เรื่อง ข้อมูลประชากร และอาจารย์ทองใบ แท่นมณี ผู้เรียบเรียงเรื่อง ภาษาและ วรรณกรรมในจังหวัดเพชรบุรี ไว้ ณ โอกาสนี้ หวังว่าหนังสือ ภูมิประชา จะสะท้อนภูมิปัญญา ความคิด และแสดง วิวัฒนาการด้านการเรียนรู้ชีวิตและพัฒนาสังคมของบรรพบุรุษในอดีต และ จุดประกายความสนใจใคร่รู้ ตลอดจนความภาคภูมิใจของอนุชนที่มีต่อบรรพชน ของตน อันเป็นจะตัวอย่างและแรงจูงใจให้อนุรักษ์ พัฒนา และสืบทอดมรดก วัฒนธรรมไว้ต่อไป ผศ.สุวิทย์ เปียผ่อง ในนามคณะผู้เรียบเรียง เล่มที่ ๔ “ภูมิประชา” ๑ มกราคม ๒๕๕๗ ค�ำน�ำ ภูมิประชา 11
อาเศียรวาท.......................................................................................................... ๔ พื้นภูมิเพชรบุรีแห่งความภาคภูมิใจ............................................................................๗ มรดกเมืองเพชรเพื่อแผ่นดินเกิด................................................................................ ๙ ค�ำน�ำ ................................................................................................................ ๑๑ ๑. หลากชนหลายชาติ (พันธุ์) ในเมืองเพชรบุรี.................................................... ๑๔ ๑.๑ เกริ่นน�ำ............................................................................................. ๑๕ ๑.๒ เพชรบุรี : เมืองท่ากับความสัมพันธ์กับโลกทางทะเล................................... ๑๕ ๑.๓ หลากชนหลายชาติ (พันธุ์) ในเมืองเพชรบุรี.............................................. ๑๖ - ไทยพื้นถิ่น..................................................................................... ๑๖ - มอญ............................................................................................๒๐ - ลาวเทครัวจากแดนไกลสู่สังคมเพชรบุรี................................................๒๓ - จากมลายูสู่แขกตานีเมืองเพชรบุรี...................................................... ๓๑ - จีนโพ้นทะเลในเมืองเพชรบุรี.............................................................. ๓๓ - กะเหรี่ยงกะหร่าง............................................................................ ๓๔ ๒. ข้อมูลประชากร..........................................................................................๓๘ ๒.๑ การท�ำส�ำมะโนประชากรและเคหะของจังหวัดเพชรบุรี.................................. ๔๐ ๒.๒ จ�ำนวนประชากรและการกระจายตัว ........................................................๕๒ ๒.๓ จ�ำนวนและขนาดของครัวเรือนโดยเฉลี่ย ................................................... ๕๕ ๒.๔ ความหนาแน่นของประชากร.................................................................. ๕๖ ๒.๕ ประเภทที่อยู่อาศัยของประชากร............................................................. ๕๖ ๒.๖ อัตราการเพิ่มของประชากร...................................................................๕๗ ๓. สภาพทางเศรษฐกิจและการมีงานท�ำ............................................................. ๖๖ โครงสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดเพชรบุรี..................................................... ๖๖ ๓.๑ การประกอบอาชีพ............................................................................... ๖๙ - ด้านการเกษตรกรรม ....................................................................... ๖๙ - ด้านการประมง...............................................................................๗๑ ผลผลิตสัตว์น�้ำทะเล......................................................................๗๑ ผลผลิตสัตว์น�้ำจืด ........................................................................๗๓ - ด้านปศุสัตว์...................................................................................๗๓ - การท�ำนาเกลือ...............................................................................๗๖ - แนวโน้มของผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ............................................๗๘ - การพัฒนาเศรษฐกิจจังหวัดเพชรบุรีกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง.............๗๙ - แหล่งน�้ำ/ชลประทาน.......................................................................๗๙ ๓.๒ สภาพทางเศรษฐกิจ............................................................................. ๘๔ - ด้านอุตสาหกรรม............................................................................ ๘๔ สารบัญ 12 พื้นภูมิเพชรบุรี
- ด้านการท่องเที่ยว........................................................................... ๘๕ - สินค้า/อาหารพื้นเมือง...................................................................... ๙๖ - ด้านการเงิน การคลัง....................................................................... ๙๙ - การพาณิชย์และการบริการ............................................................. ๑๐๔ - การสหกรณ์................................................................................. ๑๐๔ - ด้านรายได้................................................................................... ๑๐๖ - โครงสร้างประชากรและการจ้างงาน.................................................. ๑๐๘ ๔. ภาษาและวรรณกรรมเพชรบุรี..................................................................... ๑๑๐ ๔.๑ ภาษาถิ่นเพชรบุรี............................................................................... ๑๑๑ - ตัวอย่างภาษาพื้นเมืองเพชรบุรี........................................................ ๑๑๕ - ศัพทานุกรมภาษาเมืองเพชรบุรี........................................................๑๒๑ ๔.๒ วรรณกรรมเพชรบุรี...........................................................................๑๔๗ - นิราศเมืองเพชรบุรี........................................................................๑๔๗ - นิราศเมืองเพชร............................................................................๑๔๗ - นิราศเขาลูกช้าง............................................................................ ๑๔๘ - นิราศเขาหลวง............................................................................. ๑๔๙ - นิราศบ้านแหลม ........................................................................... ๑๕๐ - ต�ำนานเมืองเพชร.......................................................................... ๑๕๐ - นิราศหาดเจ้าส�ำราญ..................................................................... ๑๕๑ - นิราศชะอ�ำ................................................................................... ๑๕๑ - มหาชาติเมืองเพชร........................................................................๑๕๒ - ศุภมิตรชาดกกลอนสวด..................................................................๑๕๒ - กฤษณาสอนน้องค�ำกลอน .............................................................. ๑๕๓ - ปัถเวนฝันฉบับเมืองเพชร............................................................... ๑๕๓ - ร้อยกรอง ๖ บท........................................................................... ๑๕๔ - หนังสืออื่น ๆ................................................................................ ๑๕๔ ๔.๓ วรรณกรรมร่วมสมัย .......................................................................... ๑๕๕ - วรรณกรรมของมนัส จรรยงค์......................................................... ๑๕๕ - วรรณกรรมของเรือเอก ขุนชาญใช้จักร.............................................. ๑๕๖ - วรรณกรรมของศาสตราภิชานล้อม เพ็งแก้ว....................................... ๑๕๖ - วรรณกรรมของธัญญา ธัญญามาศ..................................................๑๕๗ - วรรณกรรมของแดนอรัญ แสงทอง..................................................๑๕๗ เอกสารอ้างอิง ................................................................................................. ๑๕๘ คณะกรรมการด�ำเนินการจัดพิมพ์.......................................................................... ๑๕๙ รายนามผู้สนับสนุนในการพิมพ์หนังสือพื้นภูมิเพชรบุรี............................................... ๑๖๐ ภูมิประชา 13
หลากชนหลายชาติ (พันธุ์) ในเมืองเพชรบุรี ที่แล้วมา ความสนใจเรื่องอดีตเกี่ยวกับความเป็นมาของชาติบ้านเมือง มักเป็นเรื่องซ�้ำ ๆ ซาก ๆ ว่า “คนไทยมาจากไหน” หรือ “คนไทยไม่ได้อยู่ที่นี่” เพราะถูกขับไล่หรือเพิ่งอพยพเข้ามาในประเทศไทย จนกลายเป็นเรื่องของ ความเชื่อ (Myth) ที่ไม่มีทางจะสอบสวนหาข้อเท็จจริงได้ทางวิทยาศาสตร์ เพราะเป็นเรื่องที่ไปผูกกับคนเพียงกลุ่มเดียว เผ่าพันธุ์เดียวที่ไม่มีทางจะรักษา ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของสายเลือดให้สืบต่อแต่สมัยโบราณกาลมาจนปัจจุบันได้ โดยย่อก็คือไม่มีทางที่จะเป็นเรื่องของเชื้อชาติ (Race) เพียงเชื้อชาติเดียวได้ แม้ทุกวันนี้ก็ไม่มีบ้านเมืองใด หรือประเทศใดในโลกที่จะรักษาความเป็นเผ่าพันธุ์ หรือเชื้อชาติเดียวกันไว้ได้ ท�ำนองตรงข้ามยิ่งมีการผสมผสานของผู้คนหลายกลุ่ม หลายเหล่า หลายเผ่าพันธุ์มากขึ้นทุกทีจนอาจกล่าวได้ว่า ยิ่งมีความเจริญทางการคมนาคม จนทั่วทุกแห่งในโลกนี้ มีการติดต่อถึงกันได้อย่างสะดวกสบายนั้น ผู้คนของ แต่ละแห่ง แต่ละบ้านเมืองก็ยิ่งมีสภาพที่เรียกว่าร้อยพ่อพันแม่ขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน เพราะฉะนั้นความเชื่อในเรื่องที่ว่าคนไทยเป็นชาติพันธุ์บริสุทธิ์ที่สืบต่อมา ช้านานนั้นจึงเป็นความเชื่อและความคิดที่ล้าหลัง ไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงของ โลกโดยแท้... “เรื่องของเชื้อชาตินิยมนั้นเป็นเรื่องไม่มีตัวตน นอกจากเป็นการสร้างขึ้น หรือกุขึ้นมาท�ำให้เกิดความขัดแย้งกันในชาติมากกว่า” สยามประเทศ : ภูมิหลังของประเทศไทย ตั้งแต่ยุคดึกด�ำบรรพ์จนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา ราชอาณาจักรสยาม ภูมิประชา/สมุดเพชรบุรี 14 พื้นภูมิเพชรบุรี
๑.๑ เกริ่นน�ำ จากข้อความดังกล่าวข้างต้น โดยการตัดข้อความของผู้เขียนมาจาก หนังสือ “สยามประเทศ : ภูมิหลังของประเทศไทยตั้งแต่ยุคดึกด�ำบรรพ์จนถึง สมัยกรุงศรีอยุธยาราชอาณาจักรสยาม” ที่เขียนขึ้นโดยนักมานุษยวิทยา ประวัติศาสตร์ โบราณคดี นามอุโฆษของเมืองไทย ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๔ หรือ ประมาณกว่า ๒๐ ปีที่แล้ว โดยอาจารย์ศรีศักร นับได้ว่าเป็นผู้เริ่มจุดประกาย การมองความหลากหลาย “ชาติพันธุ์” ในเมืองไทย และเสนอสิ่งที่เราเรียกว่า ความเป็น “คนสยาม” ที่มีความหลากหลายของผู้คนในพื้นที่แห่งนี้ ไม่ใช่เพียง จ�ำกัดความเป็น “คนไทย” ไว้เพียงเชื้อชาติไทยเท่านั้น เพราะเอาเข้ากันจริง ๆ แล้ว ความเป็นเชื้อสายบริสุทธิ์ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งนั้น สะท้อนให้เห็นถึงลักษณะ ของการขาดการติดต่อสื่อสารกับผู้คนอื่น ๆ หรือบ้านเมืองอื่น ๆ และแปลกแยก ตนเองออกจากกลุ่มคนอื่น ๆ ในดินแดนต่าง ๆ เท่านั้น ทั้งนี้การน�ำเสนอภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ในเมืองเพชรบุรี จึงพยายาม น�ำเสนอและน�ำพาให้ร่วมเดินทางกันไปรู้จักกับความหลากหลายของกลุ่มคนต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ร่วมกัน ภายในพื้นที่เล็ก ๆ หากเปี่ยมไปด้วยความหลากหลายของผู้คน และเรื่องราวบนแผ่นดินเพชรบุรี ๑.๒ เพชรบุรี : เมืองท่ากับความสัมพันธ์กับโลกทางทะเล เพชรบุรีนับเป็นเมืองโบราณแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ร่วมกับกลุ่มบ้านเมือง อาณาจักรโบราณในอาณาบริเวณของสยามประเทศ ด้วยความเป็นเมืองที่มี ประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน ตลอดจนที่ตั้งของบ้านเมืองเปิดสัมพันธ์ ประจันหน้ากับโลกภายนอกอย่างผ่าเผย เผชิญหน้ากับชายทะเลอ่าวไทยที่ไม่เคย ว่างเว้นจากการมาเยือนของคนจากต่างแดน ภูมิประชา 15
เพชรบุรีเป็น “เมืองท่า” ส�ำคัญแห่งหนึ่งที่มีผู้คนเข้ามาแวะเวียนเยี่ยมเยือน กันเสมอ จากต�ำนานท้องถิ่นเพชรบุรี มหาเภตราเองก็ได้บอกเล่าเรื่องราวของ การสร้างบ้านแปงเมืองของผู้คนในแถบนี้ผ่านการเข้ามาของ “มหาเภตรา” ซึ่งคือมหาส�ำเภาล�ำใหญ่ ที่บรรทุกผู้คนรอนแรมเดินทางไปทั่วท้าวถิ่นแดน จนประสบพบกับความวิบากกรรมต่าง ๆ นานา ท�ำให้ส�ำเภาต้องหยุดการเดินทางลง ผู้คนต่างพากันลงมาจากมหาเภตราเพื่อสร้างบ้านแปงเมือง แม้แต่พงศาวดารฉบับวันวลิต เขียนขึ้นโดยเยเรเมียส ฟาน ฟลีต เจ้าหน้าที่การค้าบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดา เมื่อครั้งแผ่นดิน สมเด็จพระเจ้าปราสาททองแห่งกรุงศรีอยุธยา ที่เพียรเก็บเรื่องราวความเป็นมา ของกรุงศรีอยุธยาที่ได้รับมาจากการพูดคุยกับคณะพระสงฆ์ ในส่วนแรกของ พงศาวดารได้มีการเขียนถึงเรื่องเล่าความเป็นมา “พระเจ้าอู่ทอง” ผู้สถาปนา กรุงศรีอยุธยา โดยกล่าวว่าพระเจ้าอู่ทองเป็นโอรสของพระเจ้ากรุงจีน และ ได้เดินทางข้ามน�้ำข้ามทะเลเข้ามาตั้งบ้านตั้งเมืองเป็นใหญ่อยู่ ณ เพชรบุรี จนต่อมาเมื่อเก็บผสมรวบรวมก�ำลังคนจนได้เป็นปึกแผ่นแล้ว จึงได้ย้ายบ้านเมือง ไปตั้งเมืองใหม่อยู่ที่ลพบุรี จนไปตั้งกรุงศรีอยุธยาขึ้นในเวลาต่อมา หากเรามองต�ำนานเหล่านี้เพียงเรื่องเล่าปรัมปราหาแก่นสารความจริง ใด ๆ ไม่ได้นั่น ก็คงท�ำให้เรามองข้ามพลวัตขับเคลื่อนท้องถิ่นแห่งนี้ ทว่าต�ำนาน และเรื่องเล่าเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นสังคมที่มีการติดต่อสัมพันธ์กับ ผู้คนจากโลกภายนอกของเมืองเพชรบุรีอยู่เสมอ ความสัมพันธ์กับโลกภายนอก เช่นนี้เองที่ท�ำให้เพชรบุรีจึงมีความหลากหลายของผู้คน และกลุ่มคนมากหน้า หลายตาเดินทางเข้ามาแลกเปลี่ยนปะทะสังสรรค์กันทั้งทางการค้า ทางวัฒนธรรม ในสังคมเพชรบุรี จนเกิดเป็น “หลากชนหลายชาติ (พันธุ์) ในเมืองเพชรบุรี” ๑.๓ หลากชนหลายชาติ (พันธุ์) ในเมืองเพชรบุรี ไทยพื้นถิ่น คนไทยพื้นถิ่น คือ ประชากรดั้งเดิมของจังหวัดเพชรบุรีมีภาษาพูดใน ส�ำเนียงเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง นับเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ของจังหวัดเพชรบุรี 16 พื้นภูมิเพชรบุรี
ส�ำเนียงภาษาพูด - เสียงพยัญชนะไม่นิยมออกเสียง “ร” หรือเสียงควบกล�้ำ ออกเสียง เป็น กว ขว คว เป็นเสียง ฟ ฝ - เสียงวรรณยุกต์ เพิ่มจาก ๕ เสียง เป็น ๗ เสียง - ค�ำที่ใช้เฉพาะในท้องถิ่นเพชรบุรี เช่น ซึก หมายถึง ไส หรือขูดเป็นชิ้นเล็ก ๆ เช่น ซึกมะพร้าว ซึกมะละกอ ทือ หมายถึง ค�ำสั่งให้วัวชิดซ้าย พริกนก หมายถึง พริกขี้หนู ถั่วคุด หมายถึง ถั่วลิสง - การบอกปฏิเสธ มีลักษณะแปลกกว่าภาษาไทยถิ่นอื่น ๆ คือ ใช้ค�ำ ว่า “ไม่” ตามหลังค�ำกริยา เวลาพูดจะออกเสียงค�ำกริยาขึ้นสูงและลดเสียง “ไม่” ลงต�่ำหายลงไปในคอ เช่น ไม่กิน พูดว่า กินไม่ ไม่ไป พูดว่า ไปไม่ จากการศึกษาทางภาษาศาสตร์และประวัติศาสตร์ของภาษาแล้ว มี นักวิชาการเสนอว่าแท้จริงแล้วส�ำเนียงการพูดแบบส�ำเนียงของคนภาคกลางหรือ ส�ำเนียงใช้พูดกันในกลุ่มคนไทยตั้งแต่สมัยอยุธยา เป็นการใช้ส�ำเนียงภาษาพูด แบบที่คนปัจจุบันเรียกว่า “ส�ำเนียงเหน่อ” และยังได้มีการเสนอว่าเอาเข้าจริง ๆ แล้วส�ำเนียงภาษาพูดของคนสุพรรณ หรือที่เรียกกันว่าส�ำเนียงเหน่อสุพรรณ คือ ส�ำเนียงภาษาพูดของคนอยุธยา ส่วนส�ำเนียงภาษาพูดแบบคนกรุงเทพฯ ที่ถือ กันว่าเป็นส�ำเนียงภาษาพูดแบบภาษาพูด “กลาง” ที่เป็นสากลของประเทศไทย ในปัจจุบันนี้ นั้นในสมัยหนึ่งเคยถือกันว่าเป็นภาษาพูดส�ำเนียง “เหน่อเจ๊ก” หรือ การพูดส�ำเนียงแบบคนจีนที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทย อีกทั้งการผันวรรณยุกต์ที่ ตามหลักภาษาไทยมี ๕ วรรณยุกต์ ก็เป็นสิ่งเฉพาะส�ำหรับส�ำเนียงพูดกรุงเทพฯ เท่านั้น เพราะส�ำเนียงพูดในกลุ่มภาคกลางด้วยกัน หรือแม้แต่กลุ่มส�ำเนียงภาค อื่น ๆ ผันวรรณยุกต์ได้มากกว่า ๕ เสียงด้วยกันทั้งสิ้น ภูมิประชา 17
วัฒนธรรมประเพณีและการละเล่น วัฒนธรรมประเพณีของคนเมือง เพชรบุรีนั้น มีลักษณะร่วมกันกับกลุ่มวัฒนธรรม ประเพณีคนไทยในภาคกลางหรือภาคอื่น ๆ แต่ก็ มีวัฒนธรรมประเพณีที่เป็นจุดเด่น ได้แก่ พิธีศพ ชาวไทยพื้นถิ่นเมืองเพชรบุรีมีพิธี งานศพที่แตกต่างไปจากจังหวัดอื่น ๆ กล่าวคือ นิยมสร้างเมรุจ� ำลองเผาศพ และใช้โกศบรรจุศพ ซึ่งธรรมเนียมเหล่านี้เป็นธรรมเนียมของเจ้านาย โดยปกติห้ามไม่ให้สามัญชนกระท� ำตาม แต่ ชาวเพชรบุรีก็ได้รับพระบรมราชานุญาตเป็น กรณีพิเศษ ดังความในพระราชหัตถเลขา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า “อันบ้านอื่นในหัวเมืองนั้น การจัดท� ำเมรุ ตั้งศพนั้น ขอเสียทีเถิด อย่าริท� ำให้เป็นการเทียม เจ้านายเลย ยกให้แต่เมืองเพชรเขาเมืองหนึ่ง เพราะเขาท� ำกันมาช้านานแล้ว” รูปแบบและโครงสร้างของเมรุเผาศพ นั้น เดิมนิยมท� ำเป็นแบบฐานสี่เหลี่ยมย่อมุม ไม้สิบสอง หลังคาย่อมุมเป็นจัตุรมุข ส่วนกลาง ท� ำเป็นทรงสูงสามชั้น เรียว ปลายมียอดนพศูล หน้าบันจัตุรมุขลดหลั่นเป็นชั้น ๆ มีช่อฟ้า ใบระกา บราลีลายกนก ที่หน้าบันเขียนหรือ แกะด้วยลายเทพนม หรือท้าวสหัสบดีขี่ช้าง เอราวัณ หรือพระนารายณ์ทรงครุฑมีเสารับ หน้าจั่วมุขกระสันด้านละสองต้น สลักรูป นาคสะดุ้งรับกับเชิงชายและคันทวยที่เสาทุกต้น ส่วนเสาจัตุรมุขด้านในทั้งสี่ต้น มีพระยาครุฑ จับนาคระบายสีงดงาม 18 พื้นภูมิเพชรบุรี
วัวลาน - วัวเทียมเกวียน วัวลาน - วัวเทียมเกวียน นับเป็น การละเล่นพื้นบ้านที่มีความโดดเด่นและ สะท้อนเห็นถึงวิถีชีวิตสัมพันธ์กับท้องนาของ ชาวเพชรบุรี และที่นับว่าเป็นความโดดเด่นใน การละเล่นก็ด้วยว่า คนเพชรบุรีมีความแตกต่าง จากกลุ่มชาวนาในภูมิภาคอื่น ๆ ของประเทศไทย ซึ่งใช้ควายเป็นสัตว์ช่วยในการท�ำนา แต่ ชาวเพชรบุรีใช้วัวเป็นส�ำคัญในการบุกเบิกท�ำไร่ ไถนา เนื่องด้วยดินเพชรบุรีมีลักษณะนิ่ม การ ใช้ควายที่มีขนาดร่างกายใหญ่และมีน�้ำหนัก มากท�ำให้เมื่อควายเดินไปบนคันนาพังเสียหาย จึงนิยมใช้วัวในการท�ำนา ด้วยการท�ำนาใช้วัวเช่นนี้ ชาวเพชรบุรี จึงได้เกิดการละเล่นชนิดหนึ่งขึ้นมาคือการเล่น วัวลาน และวัวเทียมเกวียน การเล่นวัวลาน ประยุกต์ขึ้นมาจากการใช้วัวนวดข้าวเปลือก ที่เก็บเกี่ยวมาได้ โดยในลานวัวที่ใช้เล่นวัวลาน นั้น จะมีการจ�ำลองลานนวดข้าวขึ้นมา คือ มี การปักเสาสูงไว้กลางลานและผูกวัวอยู่โดยรอบ เสาจ�ำนวนหลาย ๆ ตัว และไล่ให้วัววิ่งไปรอบเสา ซึ่งวัวที่ใช้แข่งเป็นวัวที่อยู่ปลายสุดของเชือก หรือห่างจากเสามากที่สุดสองตัว โดยมีคนไล่ตี บังคับให้วัววิ่งไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเหนื่อย และหยุดวิ่งก็จะเป็นฝ่ายแพ้ การประดับลวดลายเมรุก็นิยมใช้งานแทงหยวกให้มีลวดลายต่าง ๆ อย่างงดงาม แล้วระบายสีให้โดดเด่น เพดานเมรุติดดาวประดับกระจก ในงานศพนั้นชาวเพชรยังนิยมใช้การจุดพลุเสียง เพื่อเป็นการให้สัญญาณ ในการประกอบพิธีกรรมขั้นตอนต่าง ๆ อีกด้วย ฉะนั้นหากใครผ่านไปผ่านมา ในเมืองเพชรบุรีก็จะได้ยินเสียงพลุดังสนั่นคล้ายเสียงประทัดขนาดใหญ่อยู่เสมอ ๆ ภูมิประชา 19
ส่วนการละเล่นวัวเทียมเกวียน เป็นการจ�ำลองวิถีชีวิตของคนเพชรบุรี ที่ใช้วัวและเกวียนในการเดินทางติดต่อกันทางบก จึงมีการจัดประกวดวัว เทียมเกวียนกัน โดยในสมัยแรก ๆ ก็ใช้เกณฑ์ในการประกวดจากลักษณะรูปร่าง ของวัว เพราะถือกันว่าวัวที่มีลักษณะดีสื่อนัยถึงความมั่งคั่งของเจ้าของ และ ลักษณะของเกวียนที่มีความสวยงามโดดเด่น ต่อมาในสมัยหลัง ๆ มีการ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม คือ มีการน�ำเอาวัวเทียมเกวียนมาแข่งขันความเร็วกัน ซึ่งก็ยิ่งเพิ่มความคึกคักของการละเล่นให้เพิ่มไปมากขึ้น มอญ มอญ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่เคยมีความยิ่งใหญ่ทั้งทางการเมือง และทางวัฒนธรรมอย่างมากในดินแดนภาคพื้นทวีปอุษาคเนย์สมัยโบราณ ดังเห็น ได้จากจารึกภาษามอญที่ไปปรากฏอยู่ในที่ต่าง ๆ ภายในวัฒนธรรมทวารวดี จนเกิดมีความเข้าใจกันว่าทวารวดี คือ มอญ แม้สุดท้ายการศึกษาปัจจุบัน จะกล่าวได้ว่าทวารวดีไม่ใช่มอญไปเลยเสียทีเดียว หากการใช้ภาษามอญ ในวัฒนธรรมทวารวดียังสะท้อนให้เห็นความยิ่งใหญ่ของวัฒนธรรมมอญ ที่ส่งออกไปยังบ้านเมืองใหญ่น้อยในแถบนี้ มอญกับสังคมไทย มีความใกล้ชิดกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ดังปรากฏ หลักฐานทางประวัติศาสตร์พงศาวดารมอญที่ไทยรับเข้ามา และรู้จักกันในนามของ “ราชาธิราช” ที่มีการกล่าวถึงมะกะโทชาวมอญจากเมาะตะมะ ที่เข้ามารับราชการ ในราชส�ำนักพระร่วงแห่งสุโขทัย และใช้ความฉลาดเฉลียวมีไหวพริบจนได้ดิบได้ดี จนได้เป็นลูกเขยของพระร่วง ต่อมาได้พาธิดาของพระร่วงหนีกลับไปสร้างบ้านเมือง ของตนเองขึ้นที่เมาะตะมะจนยิ่งใหญ่กลายเป็นอาณาจักรของ มอญในสมัยต่อมา และได้รับพระราชทานนามจากพระร่วงว่า “พระเจ้าฟ้ารั่ว” นอกจากนั้นในสารบบของการจัดก�ำลังทหารไทย ตั้งแต่โบราณมาก็จะมีชื่อของหน่วย “กองอาทมาต” เข้าร่วม อยู่ด้วยเสมอในฐานะของผู้เฝ้าระวังชายขอบระหว่างไทยกับพม่า เมื่อกองทัพพม่ายกล�้ำขอบขัณฑสีมาเข้ามาเมื่อใดก็ต้องรายงาน เข้าสู่ราชธานี เพื่อเตรียมพร้อมในการรบ ตลอดจนเมื่อแรกตั้งกรุงเทพมหานครขึ้นเป็นราชธานี แห่งใหม่ของไทยก็ได้มีเชื้อพระวงศ์มอญคนส�ำคัญ คือ เจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง คชเสนีย์) ได้น�ำคนมอญหนีจากพม่าเข้ามา พึ่งบรมโพธิสมภาร จนเกิดเป็นชุมชนมอญในกรุงเทพฯ และ ปริมณฑลสืบต่อมา 20 พื้นภูมิเพชรบุรี
แหล่งชุมชนของคนมอญที่ส�ำคัญในประเทศไทยมีกลุ่มใหญ่อยู่ที่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี อ.สามโคก จ.ปทุมธานี อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี อ.บ้านแพ้ว อ.มหาชัย จ.สมุทรสาคร อ.โพธาราม จ.ราชบุรี และ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี เป็นต้น ซึ่งคนมอญเหล่านี้เมื่อเข้ามาตั้งหลักแหล่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวแล้ว ต่อมาเมื่อชุมชนขยายตัวมากขึ้นก็ได้มีการผันตนเองออกไปสู่พื้นที่ชุมชนอื่น ๆ ที่ใกล้เคียง อย่างในจังหวัดเพชรบุรี ชุมชนมอญเพชรบุรี ชาวมอญที่อาศัยอยู่ภายในจังหวัดเพชรบุรีปรากฏมี ๒ ชุมชนใหญ่ คือ ๑. ชุมชนมอญบางล�ำภู ตั้งอยู่ที่ ต.บางครก อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี ที่มาของชุมชนมอญบางล�ำภูจากค�ำบอกเล่าของชาวบ้านและการนับเครือญาติ คาดว่าเป็นชุมชนคนมอญขยายตัวออกมาจากชุมชนชาวมอญจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นชุมชนชาวมอญเก่าแก่แห่งหนึ่งของประเทศไทย เนื่องด้วยความหนาแน่น ของประชากรที่อาศัยอยู่ จึงได้มีการบุกเบิกออกไปยังพื้นที่ท�ำกินแห่งใหม่ ๆ กรณี เช่นนี้เกิดขึ้นเช่นเดียวกันกับชุมชนชาวมอญที่ “บ้านมอญ” จ.นครสวรรค์ เป็น ชุมชนชาวมอญมีที่มาจากชุมชนชาวมอญ อ.สามโคก จ.ปทุมธานี ด้วยความ เป็นชาวพุทธที่เคร่งครัดในการสืบทอดพระพุทธศาสนาท�ำให้ชุมชนชาวมอญ แห่งต่าง ๆ โดยมีจุดร่วมส�ำคัญของทุกชุมชน คือ การมีวัดเป็นศูนย์กลางของ ชุมชน เข้าใจได้ว่าวัดคงเกิดขึ้นหลังจากที่ชุมชนเข้ามาตั้งถิ่นฐานแล้ว เมื่อมีคน เข้ามาตั้งถิ่นฐานร่วมกันจึงได้เริ่มมีการสร้างวัดขึ้นเป็นศูนย์กลางชุมชน ที่ใช้ ในการปฏิบัติการทางศาสนา ชุมชนมอญบางล�ำภูก็เช่นเดียวกันที่มีวัดบางล�ำภู เป็นศูนย์กลางของชุมชน ๒. ชุมชนมอญคุ้งต�ำหนัก ชุมชนชาวมอญ บ้านคุ้งต�ำหนัก ก็เป็นอีก สถานที่หนึ่งในจังหวัดเพชรบุรี ตั้งอยู่ที่ ต.บางตะบูน อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี เป็นชุมชนชาวมอญเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งของจังหวัดเพชรบุรี ชาวมอญที่อาศัย อยู่บ้านคุ้งต�ำหนัก คาดว่าคงเป็นชาวมอญกลุ่มเดียวกันเข้ามาพร้อมกับมอญ บ้านบางล�ำภู และได้ขยายตัวของชุมชนออกมาตั้งอยู่เป็นอีกชุมชน ในบริเวณ ที่ใกล้เคียงกัน โดยมีวัดคุ้งต�ำหนักเป็นศูนย์กลางของชุมชนเช่นเดียวกับวัดบางล�ำภู ของชุมชนชาวมอญที่บ้านบางล�ำภู ภูมิประชา 21
ภาษา ชาวมอญเป็นกลุ่มคนที่มีภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นของตนเองมาตั้งแต่ สมัยโบราณ และภาษามอญยังได้แพร่หลายออกไปสู่กลุ่มวัฒนธรรมอื่น ๆ อีก ไม่ว่าเป็นกลุ่มวัฒนธรรมทวารวดี พม่า ล้านนา ในปัจจุบันชาวมอญบ้านบางล�ำภู ยังมีการใช้ภาษามอญในการติดต่อสื่อสารกันบ้างในกลุ่มผู้สูงอายุ ด้วยคนรุ่นใหม่ ของชุมชนเริ่มกลืนกลายและไม่ได้มีการใช้ภาษามอญในการติดต่อสื่อสารกัน เช่นเดิม ทว่าจุดเด่นในการใช้ภาษามอญก็ยังปรากฏอย่างเด่นชัดในการสวดมนต์ ของพระสงฆ์ เพราะคณะสงฆ์รามัญนิกาย มีการใช้สวดมนต์เป็นภาษามอญ ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพุทธ วัฒนธรรม ประเพณี และการละเล่น วัฒนธรรมประเพณีของชาวมอญเพชรบุรี มีการปฏิบัติเช่นเดียวกับ ชาวมอญกลุ่มอื่น ๆ ในประเทศไทย แต่ก็มีบางประเพณีเริ่มจางหายไปบ้าง หรือ มีการปรับตัวออกไปพร้อมกับกาลเวลาที่ผันผ่านไป วัฒนธรรม ประเพณี และ การละเล่นที่ยังคงด�ำเนินอยู่ในชุมชนชาวมอญเพชรบุรี มีดังนี้ - นับถือผีบ้าน - ประเพณีสงกรานต์ มอญมีการละเล่นและประเพณีร่วมกันใน วันสงกรานต์ เช่น ออกข้าวแช่ กวนกะละแม กวนข้าวเหนียวแดง สรงน�้ำพระ (สรงน�้ำพระตามรางน�้ำ) การละเล่นสะบ้าทอย - ตักบาตรน�้ำผึ้ง (หรือน�้ำตาลทราย) และตักบาตรดอกไม้ ลอยโคม บูชาพระจุฬามณี (พระศรีอาริย์) ในวันออกพรรษา - ประเพณีลอยกระทงบูชาพระอุปคุต (มีวิธีการปฏิบัติ คือ น�ำไม้ไผ่ มาต่อเป็นแพ (ใช้แทนกระทง) พร้อมกับรูปองค์พระอุปคุต และลอยแพไว้ หน้าท่าน�้ำวัด โดยลอยไว้ประมาณ ๗ วัน เพื่อให้ชาวบ้านมาถวายดอกไม้ ผลไม้ และอาหารคาวหวาน ต่อจากนั้นจะให้เรือลากแพออกไปปล่อยยังปากแม่น�้ำ ลงไปทะเล) 22 พื้นภูมิเพชรบุรี
- การแต่งกาย ชาวมอญในจังหวัดเพชรบุรีมีการแต่งกายแบบมอญ คือ ใส่ผ้านุ่ง เสื้อแขนกระบอก สไบ และมวยผม ในวันงานเทศกาลต่าง ๆ เช่น วันสงกรานต์ วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา เป็นต้น “ลาว” เทครัวจากแดนไกลสู่สังคมเพชรบุรี ในเมืองเพชรบุรี มีที่มาจากการ “เทครัว” หรือการกวาดต้อนผู้คน ประชากรของเมืองที่พ่ายแพ้สงครามเข้ามาตั้งครัวบ้านเรือนในบ้านเมืองของ ผู้ชนะสงคราม ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะระบบการผลิตแบบการเกษตรดั้งเดิมและ จ�ำนวนประชากร ท�ำให้ในช่วงเวลาดังกล่าว “คน” เป็นปัจจัยที่มีความส�ำคัญ มากที่สุดในระบบการผลิต ด้วยจ�ำนวนประชากรที่ไม่มีจ�ำนวนมากเช่นในปัจจุบัน จ�ำนวนประชากรกับที่ดินจึงสวนทางกันอยู่มาก ฉะนั้นจึงมีที่ดินรกร้างว่างเปล่า จ�ำนวนมาก การท�ำสงครามสู้รบกันในสมัยอดีตจึงเป็นการต่อสู้กันเพื่อแย่งชิง “คน” ปัจจัยการผลิตส�ำคัญที่สุด ดังเห็นได้จากในการสงครามสู้รบระหว่าง รัฐโบราณผู้ได้รับชัยชนะต้องกวาดต้อนผู้คนของบ้านเมือง หรือรัฐของฝ่ายพ่ายแพ้ กลับไปยังบ้านเมืองของตนเอง เช่น การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๑ พระเจ้าบุเรงนอง กษัตริย์พม่าได้กวาดต้อนเทครัวชาวอยุธยาไปอยู่ในพม่าเป็นจ�ำนวนมาก ตลอดจน การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ให้กับราชวงศ์อลองพญาของพม่าก็ได้มีการ กวาดต้อนเทครัวคนอยุธยาเข้าไปตั้งบ้านอยู่ในพม่า ซึ่งยังคงด�ำรงอยู่จนปัจจุบัน ที่ชาวพม่ารู้จักกันในนามของ “บ้านโยเดีย” เป็นต้น เช่นเดียวกันกับการสงครามขยายอาณาเขตระหว่าง รัฐไทยลุ่มน�้ำเจ้าพระยากับรัฐอื่น ๆ ใกล้เคียง ภายหลัง การสถาปนารัฐไทยใหม่ขึ้นภายหลังการพ่ายแพ้สงคราม อย่างย่อยยับในคราวเสียกรุงครั้งที่ ๒ ผู้น�ำของรัฐไทยลุ่ม แม่น�้ำเจ้าพระยา ไม่ว่าเป็นธนบุรีและรัตนโกสินทร์ (ตอนต้น) ต่างก็ท�ำสงครามกับรัฐใหญ่น้อยรอบ ๆ บ้านเมืองอยู่เสมอ ภายใต้การท�ำสงครามเช่นนั้นจึงได้มีการกวาดต้อนเทครัวผู้คน ของรัฐฝ่ายพ่ายแพ้เข้ามาตั้งบ้านเรือนในไทยเป็นจ�ำนวนมาก ทั้งนี้ก็เพื่อบุกเบิกพื้นที่ท�ำการเพาะปลูกและลดทอน ความเข้มแข็งของฝ่ายผู้แพ้สงครามไปในตัวเองอีกด้วย โดยการท�ำสงครามระหว่างไทยกับลาวและการกวาดต้อน ครัวลาวมีอยู่ด้วยกัน ๓ ครั้งดังต่อไปนี้ ภูมิประชา 23
๑. การตีเมืองเวียงจันทน์ครั้งที่ ๑ ปี พ.ศ. ๒๓๒๑ (ตรงกับรัชสมัย ของพระเจ้าตากสินแห่งกรุงธนบุรี) หลังจากพระเจ้าตากสินมหาราชกู้เอกราช จากพม่าได้แล้ว พระองค์ทรงขุ่นข้องหมองใจกับ “เจ้าสิริบุญสาร” ผู้ครองเมือง เวียงจันทน์ เนื่องจากเจ้าสิริบุญสารช่วยเหลือพม่าในการตีกรุงศรีอยุธยา อีกทั้งเจ้าสิริบุญสารได้ผิดใจกับคนลาวด้วยกันคือ พระวอและพระตา ที่อยู่ใน ความคุ้มครองของธนบุรี ครั้นเดือนอ้าย ปีจอ พุทธศักราช ๒๓๒๑ (เดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๓๒๑) พระเจ้าแผ่นดินสยาม คือ พระเจ้าตากสินมหาราชแห่งกรุงธนบุรีทรงขุ่นข้อง หมองใจกับพระเจ้าสิริบุญสารแห่งกรุงศรีสัตนาคนหุต (นครเวียงจันทน์) เนื่องจากพระเจ้าสิริบุญสารน�ำเครื่องบรรณาการไปมอบแก่พระเจ้าอังวะ และ ขอให้กองทัพพม่าไปช่วยตีพระยาวรราชภักดีที่เมืองจ�ำปานคร (หนองบัวล�ำภู) ซึ่งเป็นกบฏต่อกรุงศรีสัตนาคนหุต (นครเวียงจันทน์) พระเจ้าตากสินมหาราชแห่งกรุงธนบุรีจึงโปรดให้สมเด็จเจ้าพระยา มหากษัตริย์ศึกฯ กับเจ้าพระยาสุรสีห์ฯ ยกกองทัพบกจ�ำนวน ๒๐,๐๐๐ ออกจาก กรุงธนบุรี ขึ้นไปตั้งประชุมพลที่เมืองนครราชสีมา จากนั้นสมเด็จเจ้าพระยา มหากษัตริย์ศึกฯ ให้เจ้าพระยาสุรสีห์ฯ แยกทัพลงไปกรุงกัมพูชา เกณฑ์กองทัพ ๑๐,๐๐๐ และต่อเรือรบ เรือไล่ แล้วให้ขุดคลองอ้อมเขาหลี่ผี ยกทัพเรือขึ้นไป ตามล�ำน�้ำโขง ไปบรรจบกองทัพบก ณ นครล้านช้างเวียงจันทน์ กองทัพธนบุรีล้อมนครเวียงจันทน์ไว้ ๔ เดือนถึงสามารถตีเมืองได้ เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงทราบ ก็ทรงพระโสมนัสให้มีตราหากองทัพ กลับยังพระมหานคร สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก จึงตั้งพระยาสุโภ ขุนนาง เมืองล้านช้างให้อยู่รั้งเมือง แล้วน�ำครอบครัวเชลยชาวเมืองเวียงจันทน์หลาย หมื่นครัวเรือน ขุนนางท้าวเพี้ยทั้งปวง และราชบุตรพระเจ้าสิริบุญสารทั้งสามองค์ คือเจ้านันทเสน เจ้าอินทวงศ์ เจ้าอนุวงศ์ กับทรัพย์สิ่งของเครื่องศาสตราวุธ ช้าง ม้า เป็นอันมาก และเชิญพระพุทธปฏิมากรแก้วมรกต กับพระบางเลิกทัพกลับยัง กรุงธนบุรี โดยพระราชก�ำหนดกองทัพมาถึงเมืองสระบุรีในเดือนยี่ ปีกุน หลังจากที่ตีและเข้ายึดเมืองเวียงจันทน์ได้แล้วก็จึงกวาดต้อนครอบครัว เชลยศึกชาวเมืองเวียงจันทน์หลายหมื่นครัวเรือน ประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ คน ข้ามแม่น�้ำโขงมาอยู่ในเขตจังหวัดสระบุรี จันทบุรี และบางยี่ขัน ในบรรดาชาวเมือง เวียงจันทน์ที่ถูกกวาดต้อนมาก็มีโอรสของเจ้าสิริบุญสารรวมอยู่ด้วย ๓ พระองค์ คือ เจ้านันทเสน เจ้าอินทวงศ์ และเจ้าอนุวงศ์ 24 พื้นภูมิเพชรบุรี
๒. การตีเมืองเวียงจันทน์ครั้ง ๒ ปี พ.ศ. ๒๓๓๕ (ตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๑) เจ้านันทเสนผู้ครองเมืองเวียงจันทน์ ได้ยกทัพไปตีเมืองพวนและเมืองแดง พร้อมกวาดต้อนครอบครัวลาวพวนและลาวทรงด�ำมาถวายเพื่อแลกเปลี่ยนกับ ครอบครัวชาวลาวเวียงจันทน์ที่อยู่ในไทย แต่รัชกาลที่ ๑ ทรงไม่พระราชทานให้ และทรงปลดเจ้านันทเสนออกจากต�ำแหน่งเจ้าเมืองเวียงจันทน์ พร้อมกับ ทรงยกกองทัพไปตีเมืองเวียงจันทน์กวาดต้อนครอบครัวชาวเวียงจันทน์เข้ามา ในหัวเมืองชั้นในอีก ๓. การตีเมืองเวียงจันทน์ครั้งที่ ๓ ปี พ.ศ. ๒๓๖๙ - ๒๓๗๑ (ตรงกับ สมัยรัชกาลที่ ๓) เจ้าอนุวงศ์เจ้าเมืองเวียงจันทน์ไม่ยอมเป็นเมืองขึ้นต่อกรุงเทพฯ ได้ยกกองทัพเมืองเวียงจันทน์และกองทัพเมืองจ�ำปาศักดิ์เข้ามายึดเมืองโคราช (นครราชสีมา) พร้อมกับยกกองทัพมากวาดต้อนครอบครัวชาวลาวเวียงจันทน์ ในสระบุรีกลับคืนไปยังเวียงจันทน์ รัชกาลที่ ๓ จึงโปรดให้ยกกองทัพไปปราบ เจ้าอนุวงศ์ แล้วกองทัพสยามก็ได้กวาดต้อนครอบครัวชาวลาวเวียงจันทน์เข้ามา ในประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง การกวาดต้อนชาวลาวเวียงครั้งนี้เป็นครั้งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์ที่ชาวลาวเวียงถูกกวาดต้อนมา ซึ่งอาจมีครอบครัวเชลยศึก ชาวลาวเวียงหลายแสนคนถูกกวาดต้อนมา และถูกจับแยกกันให้ไปอาศัยอยู่ ในหลายพื้นที่ของไทย เพื่อง่ายแก่การปกครอง และเพื่อไม่ให้ชาวลาวเวียง รวมกลุ่มกันได้ จังหวัดเพชรบุรีด้วยที่ตั้งเป็นหัวเมืองที่มีใกล้เคียงกับราชธานีในลุ่มแม่น�้ำ เจ้าพระยาเสมอ เมื่อมีการกวาดต้อนเทครัว จึงมีการน�ำผู้คนกลับลงมาไว้ที่เพชรบุรี เป็นจ�ำนวนมากหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งในจ�ำนวนกลุ่มคนถูกเทครัวมานั้น จ�ำนวนคนที่มีจ�ำนวนมากและขยายครัวขยายชุมชนของตนเองออกไปทั่วสังคม เพชรบุรีมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง คือ “คนลาว” “คนลาว” ในสังคมไทยนั้น ความหมายของค�ำเรียกกลุ่มคนว่า “คนลาว” ในสังคมไทยเมื่อสักประมาณเกือบศตวรรษที่แล้วไม่ได้มีนัยหมายถึงคนลาว อาศัยอยู่ภายในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในปัจจุบัน เท่านั้น คนไทยภาคกลางเหมารวมเรียกคนอาศัยอยู่ภายในบริเวณภาคเหนือและ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือว่าเป็นคนลาวด้วยกันทั้งสิ้น เนื่องด้วยมีภาษาพูด การแต่งกาย การกินแตกต่างกับทางผู้คนในภาคกลาง ส�ำหรับกลุ่มชาติพันธุ์ เรียกว่า “คนลาว” ในเพชรบุรีมีอยู่ด้วยกันดังนี้ ภูมิประชา 25
เมื่อไทยกับลาว (ล้านช้างในขณะนั้น) ได้ท�ำสงครามระหว่างกันทั้งในสมัยธนบุรีและ รัตนโกสินทร์ตอนต้น ก็ได้ท�ำให้มีการกวาดต้อน เทครัวผู้คนที่อาศัยอยู่ในบ้านเมืองลาวเข้ามาใน ประเทศไทย และพระมหากษัตริย์ไทยได้พระราชทาน ที่ดินให้ตั้งบ้านเรือนกันขึ้นในขอบเขตของเมือง เพชรบุรี หรือจังหวัดเพชรบุรีในปัจจุบัน ด้วยความที่คนเหล่านี้ถูกกวาดต้อนมาจาก ทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คนไทย พื้นถิ่นจึงพากันเรียกพวกเขาด้วยความเข้าใจของ ตนเองว่าเป็น “คนลาว” แรกเริ่มเดิมทีชาวโซ่ง ถูกกวาดต้อนเข้ามาในเพชรบุรี ได้รับพระราชทาน ที่ดินให้ตั้งครัวเรือนบริเวณ ต.ท่าแร้ง จ.เพชรบุรี แต่ด้วยพื้นที่บริเวณดังกล่าวติดชายทะเล ซึ่งไม่เข้า กับวิถีชีวิตของชาวโซ่ง มีวิถีชีวิตแบบคนดอนมาก่อน ต่อมาจึงได้พากันอพยพโยกย้ายเข้าไปตั้งถิ่นฐาน ในบริเวณ อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี (ในปัจจุบัน) และ ได้ขยายชุมชนของตนเองออกไปสู่ชุมชนต่าง ๆ ใกล้เคียง เช่น ต.หนองหญ้าปล้อง ต.ท่าตะคร้อ อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี ลาวโซ่ง, โซ่ง, ไททรงด�ำ ลาวโซ่ง เป็นกลุ่มคนเผ่าไทกลุ่มหนึ่ง ที่มีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ในเขต สิบสองจุไท หรือบริเวณลุ่มแม่น�้ำด�ำ และแม่น�้ำแดงในเวียดนามเหนือ ซึ่งเป็น ถิ่นที่อยู่ดั้งเดิมของชาวไตด�ำ และชาวไตขาว ต่อมาได้อพยพหนีสงครามเข้ามา อาศัยอยู่ภายในแขวงหลวงน�้ำทา แขวงบ่อแก้ว แขวงอุดมไซ และแขวงทั้งหมด ในประเทศลาว หญิงชาวไทยทรงด�ำ เขาย้อย ในยุค ๒๔๙๐ 26 พื้นภูมิเพชรบุรี
ภาษาและวัฒนธรรมประเพณี พิธีเสนเรือน ชาวลาวโซ่งจะประกอบพิธีนี้ในเดือน ๔ เดือน ๖ และเดือน ๑๒ เมื่อบ้านใดก�ำหนดงานว่า จะท�ำพิธีเสนวันใด ปีใด เจ้าของบ้านจะเลี้ยงหมูไว้ อย่างดี กะระยะเวลาให้ลูกหมูโตเต็มที่เมื่อถึงวันท�ำพิธี เพื่อที่จะได้เพียงพอส�ำหรับเลี้ยงผีและแขกที่มา ร่วมงาน แต่เดิมนั้นหากเป็นตระกูลผู้ท้าวจะใช้ควาย เลี้ยงผีปัจจุบันใช้หมูแทน ที่อยู่อาศัย บ้านเรือนของชาวโซ่ง นิยมมีลานกลางบ้าน ส�ำหรับเป็นที่เลี้ยงสัตว์ เก็บฟาง นวดข้าว เป็นที่ ชุมนุมพบปะสังสรรค์ เรือนเป็นเรือนเครื่องผูก หลังคามุงด้วยแฝกตรงเฉลียงด้านสกัดท�ำเป็น วงโค้งใหญ่ยาว ปัจจุบันเรือนโซ่งเหมือนบ้านไทย ชนบท อาชีพของโซ่ง คือ การท�ำไร่นา รองลงมา คือล่าสัตว์ เลี้ยงไหม ทอผ้า และจักสาน โซ่งมี ภาษาพูดและเขียนของตัวเอง ส�ำเนียงภาษาพูด ต่างจากลาวเวียงจันทน์ไม่มากนัก การเขียนนิยม เขียนในสมุดพับเป็นชั้น ๆ การแต่งกาย การแต่งกายของโซ่ง ผู้ชายนุ่งกางเกง ขาสั้น ปลายแคบเรียวยาวปิดเข่า นุ่งแบบกางเกงจีน เรียกว่า “ส้วงขาเต้น” หรือ “ส้วมก้อม” แปลว่า กางเกงขาสั้น ตัวเสื้อเป็นเสื้อแขนยาวทรงกระบอก ปลายแขนปล่อยกว้างขนาดข้อมือผ่าหน้าตลอด ติดกระดุมเงินยอดแหลมมีลวดลาย เรียงกันถี่ ประมาณ ๑๐ - ๑๙ เม็ด ตัวสั้นเลยเอวไปนิดหน่อย ตัวเสื้อเย็บเข้ารูปทรงกระสอบ หน้าอกผาย คอตั้ง ด้านข้างตอนปลายผ่าทั้ง ๒ ข้าง ใช้เศษผ้า ๒ - ๓ ชิ้น ภูมิประชา 27
ตัดขนาดรอยผ่าเย็บติดไปกับรอยผ่า เรียกว่า เสื้อชอน ส่วนผู้หญิงในชีวิตประจ�ำวันจะนุ่งผ้าถุงพื้นด�ำ ประกอบด้วย ผ้า ๓ ชิ้น ชิ้นที่ ๑ เป็นสีด�ำ ไม่มี ลวดลายกว้างประมาณ ๑๒ นิ้ว เป็นซิ่นทั้งผืน ชิ้นที่ ๒ เป็นซิ่นสีด�ำสลับลายสีขาว ชิ้นที่ ๓ กว้างประมาณ ๑ ฟุต มีลวดลายสีขาว สองสามริ้ว เย็บติดเป็น ตีนซิ่น ถ้าสามีตายต้องเลาะตีนซิ่นนี้ออกเพื่อไว้ทุกข์ ส่วนเสื้อใช้แขนยาวทรงกระบอก ตัวเสื้อเย็บเข้าตัว คอตั้งผ่าอกตลอด ติดกระดุม เงินถี่ ๑๐ เม็ด เรียกว่า เสื้อก้อม บางทีจะใช้ผ้าคาดอกเรียกว่า ผ้าเบี่ยว ปักลวดลายไว้ที่ชายทั้งสอง ชายหญิงที่แต่งงานแล้ว จะใช้ผ้าเบี่ยวสีด�ำ หรือครามแก่ ลาวพวน ชาวพวนเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่งถูกกวาดต้อนเทครัวเข้าสู่เพชรบุรี พร้อม ๆ กันกับครัวชาวลาวกลุ่มอื่น ๆ เมื่อคราวการท�ำสงครามระหว่าง ไทยกับลาวในสมัยธนบุรีและต้นรัตนโกสินทร์ 28 พื้นภูมิเพชรบุรี
ถิ่นฐานเดิมของชาวพวนอยู่ที่เมืองพวน แขวงเมืองเชียงขวาง ประเทศลาว ทางภาคอีสาน เรียกว่า ไทยพวน แต่ภาคกลาง เรียก ลาวพวน ชาวพวน ได้กระจายตัวอยู่บริเวณลุ่มแม่น�้ำงึมของลาว สมัยกรุงธนบุรี เมื่อลาวได้รวมเป็น อาณาจักร พลเมืองฝั่งซ้ายของแม่น�้ำโขงได้ถูกกวาดต้อนมาอยู่ทางฝั่งขวาของ แม่น�้ำโขง ชาวพวนได้ถูกกวาดต้อนมาด้วย และกระจายอยู่ในจังหวัดอุดรธานี พิจิตร แพร่ อุตรดิตถ์ สุโขทัย สิงห์บุรี ลพบุรี สุพรรณบุรี ฉะเชิงเทรา นครนายก ปราจีนบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี เพชรบุรี และสระบุรี ภาษาชาวพวนใช้ภาษาไทย ใกล้เคียงกันกับภาษาไทยภาคกลาง ชาวพวนในเพชรบุรี อาศัยอยู่ในพื้นที่บ้านดอนผิงแดด ต�ำบลบางขุนไทร อ�ำเภอบ้านแหลม บ้านมาบปลาเค้า อ�ำเภอท่ายาง และในต�ำบลหนองปลาไหล (1 หมู่) อ�ำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ประกอบอาชีพท�ำนาเป็นหลัก วัฒนธรรมประเพณี ที่อยู่อาศัย บ้านเรือนของชาวพวนเป็นเรือนสูง ใต้ถุนเรือนใช้ท�ำประโยชน์หลายอย่าง เช่น ท�ำคอกวัวควาย เล้าเป็ดไก่ ตั้งเครื่องส�ำหรับผูกหูกทอผ้า หลังคาทรง มนิลาหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ไม้เครื่องบนผูกมัดด้วยหวาย และหลังคามุง ด้วยหญ้าคา ถ้าเป็นบ้านผู้มีฐานะดีมุงด้วยกระเบื้องไม้เรียกว่า ไม้แป้นเกล็ด หรือกระเบื้องดินเผา พื้นและฝาเรือนปูด้วยกระดานไม้ไผ่สีสุกสับแผ่ออก เป็นแผ่น ๆ เรียกว่า ฟาก ฤกษ์ในการปลูก คือ เวลาเช้า การปลูกเรือนจะเสร็จในวันเดียวประมาณ ๕ - ๖ โมงเย็น ต่อจากนั้นจะเป็นหน้าที่ของฝ่ายหญิง บางพวกท�ำเล้าไก่ ท�ำเตาไฟ การขึ้นบ้านใหม่เจ้าของบ้านต้องหาบสิ่งของขึ้นไป ได้แก่ ไซ หัวหมู แห ไม้ค้อน สิ่ว และหอก ต่อจากนั้นจะมีคนถือเสื่อ ที่นอน หมอน มุ้ง ถาดข้าวต้มขนมหวาน ส�ำหรับท�ำขวัญเรือน เมื่อญาติพี่น้องมาพร้อมหน้าก็เริ่มท�ำพิธีสู่ขวัญเรือน ตามประเพณีการนอนเรือนใหม่จะต้องมีคนนอนให้ครบทุกห้องเป็นเวลา ๓ คืน คืนที่สี่เจ้าบ้านจะต้องจัดท�ำข้าวต้มขนมหวานเลี้ยงดูญาติพี่น้องที่มานอน เป็นเพื่อน เมื่อเจ้าบ้านจัดบ้านเสร็จ คนที่จะเข้าออกห้องนอนได้ต้องเป็นคนใน ครอบครัวเท่านั้น ภูมิประชา 29
การแต่งงานของชาวพวน ผู้ชายต้องหาเฒ่าแก่ไปสู่ขอหญิง เฒ่าแก่ต้อง ไปเป็นคู่และเป็นคนประพฤติดี มีครอบครัว แล้วอยู่กันอย่างราบรื่นไม่เป็นหม้าย เมื่อสู่ขอแล้วฝ่ายชายตกลงวันแต่งงานต้องน�ำหมากไปด้วย วันแต่งงาน ชาวพวน เรียกว่า วันก่าวสาว ชายต้องจัดขันหมาก ๑ ขัน ซึ่งเรียกว่า พานตีนสูง หรือขันโตก ของที่ใส่พาน ได้แก่ หมาก เต้าปูน พลู และมีดน้อย (มีดฮั่วมโฮง) เมื่อแต่งงานเสร็จฝ่ายสะใภ้ต้องเชิญญาติร่วมรับประทานอาหาร ในเวลาเย็น ของวันแต่งงาน และตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น ลาวเวียง เมื่อครั้งการเทครัวเข้ามาสู่เพชรบุรีนั้น นอกจากครัวพวกลาวพวน แล้วที่ถูกกวาดต้อนเข้ามาพร้อมกันคือกลุ่มลาวเวียง ซึ่งคือคนลาวเวียงจันทน์ ถูกกวาดต้อน เมื่อครั้งท�ำสงครามระหว่างไทยกับลาวในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ครัวลาวเวียงเมื่อถูกน�ำเข้าสู่ไทยแล้วก็ได้มีการให้ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ตามที่ต่าง ๆ ใน บริเวณภาคกลาง และโดยมีจ�ำนวนชุมชนหนาแน่นและมาในพื้นที่จังหวัดราชบุรี จังหวัดเพชรบุรีในปัจจุบัน ชาวลาวเวียงในจังหวัดเพชรบุรีเริ่มแรกอาศัยตั้งชุมชนอยู่ใกล้เคียงกับ ชาวลาวพวน เนื่องจากอพยพเข้ามาระลอกเดียวกัน โดยตั้งชุมชนอยู่ที่บ้าน ดอนผิงแดด ต�ำบลบางขุนไทร อ�ำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ต่อมาก็ได้ ขยายชุมชนออกไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ใกล้เคียงในเพชรบุรี ทั้งอ�ำเภอเขาย้อย อ�ำเภอ หนองหญ้าปล้อง เป็นต้น ชาวลาวเวียงนิยมการประกอบอาชีพท�ำนา และ มีภาษาพูดที่คล้ายกับภาษาไทยอีสาน วัฒนธรรมประเพณี สารทลาว เป็นประเพณีลาวเวียงสืบทอดกันมา เชื่อว่าถ้าเป็นลาวเวียงแล้วไม่ท�ำสารท คนในบ้านจะเป็นบ้าใบ้ ความจ�ำเลอะเลือน วันสารทจะเป็นวันกลางเดือน ๑๐ ของทุกปี คือวันขึ้น ๑๕ ค�่ำ เดือน ๑๐ วันนี้ลูกหลานซึ่งเป็นลาวเวียงจะต้องมาท�ำ สารทเป็นการระลึกถึงบุญคุณบรรพบุรุษและท�ำบุญให้บรรพบุรุษ อาหารประกอบ พิธีคือ ขนมกระยาสารท จะประกอบด้วย ข้าวตอก ข้าวเม่า ถั่ว งา น�้ำตาลปี๊บ ก่อนจะถึงวันสารทลาวเวียงจะมาช่วยกันกวนจนเสร็จครบกันทุกคน เป็นกิจกรรม ที่มีความสามัคคีเป็นรากฐาน 30 พื้นภูมิเพชรบุรี
การแต่งงาน การแต่งงาน หรือพิธีกินดองของคนลาวเวียงถือได้ว่าเป็นประเพณีเกี่ยวกับ ชีวิตประเพณีหนึ่งที่มีเอกลักษณ์ของตน สมัยก่อนเมื่อหนุ่มสาวชาวลาวเวียง ตกลงที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ฝ่ายชายจะจัดขันหมากมาสู่ขอหญิงเพื่อมาเป็น ภรรยา เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้วทั้งสองฝ่ายจะเริ่มเตรียมจัดหาของส�ำหรับ พิธีกินดอง ในวันพิธีกินดองฝ่ายชายจะเตรียมยกขันหมากไปที่บ้านของฝ่ายหญิง เมื่อไปถึงบ้านของหญิงก็จะมีตรวจนับเงินค่าดอง และมอบให้พ่อแม่ของเจ้าสาว จากนั้นคู่บ่าวสาวจึงมานั่งเพื่อท�ำการผูกข้อมือ และป้อนไข่ขวัญให้แก่กัน เสร็จแล้ว บ่าวสาวจะน�ำดอกไม้ ธูป เทียน และผ้าไปไหว้ญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย เสร็จแล้ว เจ้าบ่าวและญาติพี่น้องก็จะกลับไปบ้านของตน เมื่อได้เวลา ๒ - ๓ ทุ่ม ญาติพี่น้อง เจ้าบ่าวจะน�ำเจ้าบ่าวไปส่งที่บ้านสาวเพื่อท�ำพิธีปูที่นอน และสั่งสอนอบรม คู่บ่าวสาวในเรื่องของการใช้ชีวิตคู่ จากมลายูสู่แขกตานีเมืองเพชรบุรี “แขก ผู้มาหา, ผู้มาแต่ถิ่นอื่น, ผู้ที่มาร่วมงานพิธีของเจ้าภาพ...” ความหมายของค�ำว่า “แขก” จากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ดังกล่าวเช่นนั้นก็ด้วยว่าในสังคมไทยเรามีการใช้ค�ำว่า “แขก” ที่นอกเหนือไปจากแค่ผู้มาเยือนที่บ้านเท่านั้น นัยหนึ่งของค�ำว่า “แขก” ในสังคมไทย เราใช้มักใช้เรียกกลุ่มคนที่นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งเขาเหล่านั้นในสมัยหนึ่ง เป็นผู้มาเยือนจากต่างแดนจริง ๆ แขกในสังคมไทยเดิมนั้นเราใช้ค�ำว่า แขก ร่วมกับการบอกที่มาของเขา เหล่านั้นไปพร้อมกัน เช่น แขกเปอร์เซีย (คนอิสลามจากเปอร์เซียหรืออิหร่าน) แขกเจ้าเซ็น (คนอิสลามนิกายชีอะห์) แขกมัวร์ (คนอิสลามมาจากดินแดน ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา) แขกมลายู (คนอิสลามมาจากคาบสมุทรมลายู) เป็นต้น ในจังหวัดเพชรบุรีมีกลุ่มอีกกลุ่มหนึ่งเข้ามาอยู่ร่วมกับสังคมชาวเพชร ตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์ คือ แขกมลายู หรือที่คนเพชรรู้จักกันในนามของ “แขกตานี” ภูมิประชา 31
แขกตานี ที่ชาวเพชรบุรีเรียกคนกลุ่มนี้เช่นนั้น ก็ด้วยพวกเขาเหล่านี้ เป็นกลุ่มคนที่ถูก “เทครัว” มาตั้งบ้านสร้างชุมชนอยู่ในเพชรบุรีด้วยเช่นกัน แขกตานีในเมืองเพชรบุรีเหล่านี้ พวกเขาถูกเทครัวมาภายหลังเหตุการณ์สงคราม เมื่อครั้งสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (วังหน้าสมัยรัชกาลที่ ๑) ได้ยกก�ำลังทหารกรุงเทพฯ ลงไปปราบหัวเมืองปัตตานีแข็งเมืองต่อกรุงเทพฯ อันเป็นเหตุการณ์สืบเนื่องมาตั้งแต่ครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ปัตตานีในฐานะหัวเมืองประเทศราชของกรุงศรีอยุธยา ได้แข็งเมืองไม่ขึ้น ต่อราชธานีแห่งใหม่ทั้งกรุงธนบุรี และกรุงเทพมหานคร จึงท�ำให้พระบาท สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมีพระบรมราชโองการให้สมเด็จกรมพระราชวัง บวรมหาสุรสิงหนาทน�ำทัพลงไปปราบจนส�ำเร็จ ภายใต้ความส�ำเร็จในการปราบปรามครั้งนั้น นอกจากมีการริบเอาของ ส�ำคัญคู่บ้านคู่เมืองปัตตานีอย่าง “ปืนใหญ่พญาตานี” มาเก็บไว้ที่กรุงเทพฯ แล้ว ก็ยังได้มีการเทครัวคนปัตตานีส่วนหนึ่งมาไว้ที่ภาคกลางด้วย เพื่อเป็นการบั่นทอน ก�ำลังไม่ให้ปัตตานีได้แข็งเมืองอีก การเทครัวชาวปัตตานีมาที่ภาคกลางในครั้งนั้น ครัวชาวปัตตานีส่วนหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้โปรดฯ พระราชทานที่ดินให้สร้าง ชุมชนขึ้นในบริเวณบางล�ำภู (ถนนตานีบริเวณบางล�ำภูในปัจจุบัน) และอีกส่วนหนึ่ง ได้ส่งไปสร้างชุมชนขึ้น ณ เมืองเพชรบุรี ที่บริเวณต�ำบลท่าแร้ง อ�ำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรีในปัจจุบัน จนเกิดเป็นชุมชนของชาวปัตตานีชุมชนใหญ่ขึ้น ในเพชรบุรี ซึ่งชาวแขกตานี หรือชาวปัตตานีเหล่านี้เป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม จึงได้มีการสร้างศาสนสถาน หรือมัสยิดของตนเองขึ้น เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางของ ชุมชนและประกอบพิธีกรรมทางศาสนา หรือที่รู้จักกันในนามของมัสยิดท่าแร้ง ภาพถ่ายหมู่ ชาวมุสลิมที่หน้ามัสยิด ต�ำบลท่าแร้ง 32 พื้นภูมิเพชรบุรี
จีนโพ้นทะเลในเมืองเพชรบุรี ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนนับได้ว่าเป็นประเทศที่มีประชากรจ�ำนวน มากที่สุดในโลก แต่นั่นก็เป็นการนับกันเฉพาะชาวจีนที่อาศัยอยู่ภายในประเทศจีน เท่านั้น ซึ่งหากลองได้นับรวมชาวจีนโพ้นทะเล (ฮั่วเฉียว) ที่อาศัยอยู่ในประเทศ ต่าง ๆ ทั่วโลกแล้ว ก็คงจะต้องบอกได้ว่าชาวจีนเป็นกลุ่มคนที่มีจ�ำนวนมากที่สุด ในโลกกลุ่มหนึ่ง หนึ่งในพื้นที่ดินแดนประเทศที่มีชาวจีนโพ้นทะเลอาศัยอยู่เป็นจ�ำนวน มากนั้น คงกล่าวได้ว่าประเทศไทยนับเป็นหนึ่งในประเทศที่มีชาวจีนเข้ามาอาศัย อยู่ร่วมกันอยู่เป็นจ�ำนวนมาก อาจด้วยลักษณะของความเป็นสังคมเปิดและ อะลุ่มอล่วย จึงท�ำให้สังคมไทยพร้อมรับคนต่างชาติต่างภาษาเข้ามาอยู่ร่วมกันได้ โดยง่าย ตลอดจนความอุดมสมบูรณ์ของบ้านเมือง จึงท�ำให้มีกลุ่มคนต่าง ๆ รวมทั้งชาวจีนเข้ามาอยู่ร่วมในสังคมไทยด้วย ชาวจีนที่เมืองเพชรบุรี ชาวจีนที่เดินทางเข้ามาอาศัยอยู่ภายในประเทศไทยนั้น ส่วนใหญ่แล้วอพยพเดินทางเข้ามาจากมณฑลทางทะเลจีนใต้ คือ มณฑลฟุเกี๋ยน มณฑลกวางตุ้ง มณฑลไหหล�ำ ซึ่งสามมณฑล ดังกล่าวนั้นนับได้ว่าเป็นมณฑลที่มีพื้นที่ในการเพาะปลูกน้อย อีกทั้งพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสลับที่สูง ท�ำให้ชาวจีนใน สามมณฑลดังกล่าวเป็นกลุ่มคนที่ต้องประสบกับความ ยากล�ำบากในการด�ำรงชีวิตอย่างสูงมาก เมื่อเทียบกับชาวจีน ในภูมิภาคอื่น ๆ ดังนั้นจึงเป็นปัจจัยส�ำคัญที่ท�ำให้คนเหล่านี้ พากันเดินทางออกมาจากแผ่นดินแม่ เพื่อมาแสวงหาชีวิตใหม่ ในดินแดนใหม่ ซึ่งดินแดนไทยเป็นหนึ่งในจุดมุ่งหมายส�ำคัญ ที่เดินทางเข้ามา ส�ำหรับเพชรบุรีชาวจีนนับเป็นพลวัตส�ำคัญ ประการหนึ่ง เข้ามาร่วมขับเคลื่อนสังคมเมืองเพชรบุรี ให้เลื่อนไหล หากพิจารณากันตั้งแต่ครั้งโบราณกาลแล้ว เพชรบุรีในฐานะของเมืองท่าก็ย่อมมีความสัมพันธ์กับชาวจีน ผู้มาเยือนจากทางทะเลเสมอมา เห็นได้จากต�ำนานและ เรื่องเล่า เช่น ต�ำนานท้าวม่องล่าย ที่มีการกล่าวถึงพระเจ้ากรุงจีน เข้ามาติดพันลูกสาวตาม่องล่าย จนเกิดเป็นเหตุขัดแย้งกับ เจ้าล่ายและจบด้วยโศกนาฏกรรม ต�ำนานพระเจ้าอู่ทอง ภูมิประชา 33
ที่ปรากฏอยู่ในพระราชพงศาวดารฉบับวันวลิต ที่มีการกล่าวถึงที่มาของ พระเจ้าอู่ทองก่อนสถาปนากรุงศรีอยุธยา ว่าเป็นโอรสของพระเจ้ากรุงจีน ที่เดินทางเข้ามาสร้างบ้านแปงเมืองที่เพชรบุรีจนเติบใหญ่ก่อนไปสถาปนา กรุงศรีอยุธยา จากต�ำนานทั้งสองเรื่องดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์และ การปรากฏตัวขึ้น ชาวจีนในฐานะผู้มาเยือนในความทรงจ�ำของคนพื้นถิ่น เพชรบุรี จนกล่าวได้ว่าเพชรบุรีเองก็เป็นเมืองหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กับชาวจีน มาโดยตลอดในหน้าประวัติศาสตร์ ชาวจีนในเมืองเพชรบุรีปรากฏตัวขึ้นในฐานะของผู้สัมพันธ์ระบบ เศรษฐกิจของเพชรบุรีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ทั้งฐานะของพ่อค้าและเจ้าภาษี นายอากรคนส�ำคัญของเมืองเพชรบุรี เช่น ขุนไชยบาลบ�ำรุง นายอากรเตาสุรา จีนต�๋ำ เจ้าภาษีจากจีนเป้า เจ้าภาษีไม้ไผ่ป่า ไม้รวก หมื่นศุขประสารราษฎร์ (ป้าน ศุขพานิช) พ่อค้าคนกลางขายข้าวและน�้ำตาลคนส�ำคัญคนหนึ่งของเมือง เพชรบุรี ย่านชุมชนชาวจีนของเพชรบุรี มีอยู่ประมาณ ๓ ย่านส�ำคัญ คือ ตลาดเพชรบุรี อ�ำเภอบ้านแหลม ตลาดอ�ำเภอท่ายาง ในย่านตลาดเพชรบุรี มีชุมชนศาลเจ้าของชาวจีน เช่น ศาลเจ้าวัดลาด โรงเจเต็กฮวยฮุกตึ้ง ศาลเจ้าและ โรงเจเก่าแก่ของชาวจีนส�ำเนียงแต้จิ๋ว ศาลเจ้าจุ้ยบ่วยเนี่ยว หรือศาลเจ้าแม่ทับทิม ของชาวจีนส�ำเนียงไหหล�ำ ชุมชนชาวจีนส�ำคัญอีกแห่งหนึ่งตั้งอยู่อ�ำเภอบ้านแหลม ซึ่งชาวจีน อาศัยอยู่ในอ�ำเภอบ้านแหลม ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมง และกิจการเกี่ยวกับ เรือประมง ส่วนชุมชนชาวจีนอ�ำเภอท่ายางเกิดขึ้นภายหลังเป็นชุมชนชาวจีน เกิดขึ้นในช่วงเวลาของสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่มีชาวจีนจากเพชรบุรีและจังหวัด ใกล้เคียงเข้ามาบุกเบิกพื้นที่ท�ำสวนและท�ำการค้า ต่อเมื่อมีการตัดถนนเพชรเกษม ผ่านอ�ำเภอท่ายาง ยิ่งท�ำให้ชุมชนชาวจีนอ�ำเภอท่ายางขยายตัวเพิ่มมากขึ้น กะเหรี่ยงกะหร่าง ในจังหวัดเพชรบุรีนอกจากกลุ่มชาติพันธุ์ดังกล่าวถึงมาทั้งหมดก่อนหน้า นั้นแล้ว กลุ่มชาติพันธุ์ส�ำคัญอีกหนึ่งคือ ชาวกะเหรี่ยง อาศัยอยู่ที่อ�ำเภอ หนองหญ้าปล้อง อ�ำเภอแก่งกระจาน และกะหร่างที่อาศัยอยู่ในบริเวณ เทือกเขาตะนาวศรีทางอ�ำเภอแก่งกระจาน 34 พื้นภูมิเพชรบุรี
นักประวัติศาสตร์บางท่านสันนิษฐานว่าชนชาติกะเหรี่ยง มีถิ่นเดิม อยู่ในดินแดนตะวันออกของทิเบต แล้วเข้ามาตั้งอาณาจักรในประเทศจีนเมื่อ ๗๓๓ ปีก่อนพุทธกาล ชาวจีนเรียกว่า ชนชาติโจว ภายหลังถูกกษัตริย์จีนรุกราน เมื่อ พ.ศ. ๒๐๗ จึงพากันแตกพ่ายหนีลงมาอยู่บริเวณลุ่มน�้ำแยงซี ต่อมาเกิด ปะทะกับชนชาติไทจึงถอยร่นลงมาอยู่ตามลุ่มน�้ำโขงและแม่น�้ำสาละวินในเขต พม่า กะเหรี่ยงเคลื่อนย้ายลงมาอยู่ตอนใต้ก่อนชนชาติไท แต่ภายหลังพวกตระกูล มอญ - เขมร ชนชาติกะเหรี่ยง อาศัยอยู่ในเขตไทยก่อนชนชาติไทยจะเคลื่อนย้าย ลงมาสู่แหลมสุวรรณภูมิ การอพยพครั้งส�ำคัญของกะเหรี่ยงเกิดขึ้นในสมัย พระเจ้าอลองพญากษัตริย์พม่าท�ำสงครามกับมอญ พวกกะเหรี่ยงซึ่งมี ความสัมพันธ์อันดีกับมอญก็ช่วยเหลือให้ที่หลบภัยกับมอญ เมื่อพม่ายกทัพ ติดตามมา พวกกะเหรี่ยงหวั่นเกรงภัยที่จะเกิดขึ้นจึงอพยพเข้าสู่เขตไทย นอกจากนี้ยังมีการอพยพเนื่องจากการท�ำมาหากินทางเขตพม่าฝืดเคือง พวกนี้จึงเข้ามาหาที่ท�ำกินใหม่ในเขตไทย ปัจจุบันมีชาวกะเหรี่ยงในประเทศไทย อาศัยอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ แถบ ชายแดนไทย - พม่า ในภาคตะวันตกและภาคเหนือ เช่น กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ล�ำพูน ตาก และแพร่ เป็นต้น การแต่งกายชาวกะเหรี่ยง กะเหรี่ยงในประเทศไทย แบ่งออกเป็น ๔ กลุ่ม ใหญ่ ๆ ดังนี้ คือ ๑. กะเหรี่ยงสะกอ (Sgaw Karen) พวกนี้ เรียกตัวเองว่า กันยอ (Kanyaw) คนไทยเรียกว่า ยางขาว พวกกะเหรี่ยงสะกอในแถบตะวันตกของ เชียงใหม่ เรียกตัวเองว่า บูคุนโย (Bu Kun Yo) กะเหรี่ยงสะกอ ผู้ชายนิยมใส่เสื้อสีแดง รัดเอวด้วยเชือก มีพู่ และโพกผ้าสีต่าง ๆ ผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงาน นุ่งกระโปรงทรงกระสอบ สีขาวยาวมีปักบ้างเล็กน้อย ส่วนที่แต่งงานแล้วนิยมใส่เสื้อแขนสั้นสีน�้ำเงินเข้ม ส่วนล่างประดับด้วยลูกปัดสีแดงและขาว สวมกระโปรง สีแดงลายตัด โพกผ้าสีแดง ๒. กะเหรี่ยงโปว์ (Pwo Karen) คนไทย เรียกว่า ยางโปว์ พม่าเรียกว่า ตะเลียงกะยิน (Taliang Kayin) ผู้ชายกะเหรี่ยงโปว์แต่งตัวเหมือนชาวไทย ภูมิประชา 35
พื้นราบทั่วไป ผู้หญิงแต่งงานแล้วใส่เสื้อทรงกระสอบเหมือนพวกสะกอ แต่ยาวกว่าและสีแดงกว่า ท่อนบนปักลวดลายประดับลูกปัด เกล้าผม มีปิ่นเงิน ปักผม กระโปรงยาวคลุมข้อเท้า มีปักและพู่ห้อย ใส่ก�ำไลมือและแขน ผู้หญิง สักหมึกเป็นเครื่องหมายสวัสดิกะที่ข้อมือ ส่วนน่องสักเป็นรูปกระดูกงู เชื่อว่า สามารถป้องกันเวทมนต์คาถาและภูตผีปีศาจ ๓. กะเหรี่ยงบเว (B’ghwe Karen) หรือ แบร (Bre) หรือกะเหรี่ยงแดง กะเหรี่ยงพวกนี้เรียกตัวเองว่า กะยา (Ka - ya) คนไทยเรียกว่า ยางแดง พม่าเรียกว่า คะยินนี (Kayin - ni) แต่สมัยใหม่เรียกเป็น คะยา (Kayah) ชาวอังกฤษ เรียก คาเรนนี (Karen - ni) ซึ่งเอาแบบชื่อที่ชาวพม่าเรียก กะเหรี่ยงบเว ผู้ชายนุ่งกางเกงขาสั้นสีแดง โพกศีรษะ นิยมสักข้างหลัง ผู้หญิงนุ่งกระโปรงสั้น และสวมก�ำไลไม้ไผ่ที่ข้อเท้า กะเหรี่ยงแดงถือว่าตนเป็นชาติใหญ่ และไม่ยอมรับ พวกสะกอและโปว์ว่าเป็นพวกที่มีเลือดกะเหรี่ยงอย่างแท้จริง ๔. กะเหรี่ยงตองสู หรือปะโอ (Pa - O) คนไทยและพม่าเรียก ตองสู (Thaung thu) พวกไทยใหญ่เรียก ตองซู (Tong - Su) กะเหรี่ยงเผ่าสะกอเรียก พวกตองสูว่า กะเหรี่ยงด�ำ พวกตองสูแต่เดิมอาศัยอยู่บริเวณเมืองต่าง ๆ ใกล้ ทะเลสาบอินเล แห่งมะเยลัต ในรัฐฉานตอนใต้ประเทศพม่า เมืองที่ตองสูอยู่มาก ที่สุด คือเมืองหลอยโหลง และเมืองสะทุ่ง (บุญช่วย ๒๕๐๖, น.๑๓๐) ผู้หญิงตองสู นิยมแต่งชุดสีด�ำ โพกผ้าสีขาวหรือด�ำ ผู้ชายนุ่งกางเกงขายาวสีด�ำและสีขาว เสื้อแขนยาว ผ่าอกกลาง ใช้กระดุมผ้า ถิ่นที่อยู่อาศัยและบ้านเรือนของกะเหรี่ยง อาศัยรวมกันเป็นหมู่บ้าน ประกอบด้วยครัวเรือนและยุ้งฉาง บ้านของกะเหรี่ยงสร้างด้วยไม้ไผ่และแฝก เรียกว่า โขน ยกพื้นด้วยเสาไม้สูง ๕ - ๖ ฟุต บริเวณบ้านไม่มีรั้ว สัตว์เลี้ยง ต่าง ๆ จะปล่อยให้หากินในหมู่บ้าน กะเหรี่ยงสะกอและโปว์จะมีแบบแผน บ้านเรือนคล้ายกัน ส่วนพวกตองสูจะตั้งบ้านเรือนอยู่เนินเขาสูงกว่าระดับน�้ำทะเล ๓,๐๐๐ - ๓,๕๐๐ ฟุต แบบบ้านคล้ายชาวไทยใหญ่ หมู่บ้านของกะเหรี่ยงไม่มีวัด ไม่มีที่ส�ำหรับประชุมหรือลานเต้นร�ำ ลักษณะของหมู่บ้านกะเหรี่ยงพอจะจ�ำแนกได้เป็น ๓ ประเภท คือ ๑) หมู่บ้านถาวร ตั้งอยู่ตามหุบเขา เป็นหมู่บ้านค่อนข้างใหญ่ มีบ้าน ๑๖ - ๗๒ หลังคาเรือน ส่วนใหญ่ตั้งมานานกว่า ๕๐ ปีขึ้นไป ๒) หมู่บ้านค่อนข้างถาวร ตั้งอยู่ตามหุบเขาสูง ขนาดปานกลาง มีบ้าน ประมาณ ๑๑ หลังคาเรือน ทั้ง ๒ ประเภทนี้ ชาวบ้านจะด�ำรงชีพด้วยการท�ำนา เป็นหลัก 36 พื้นภูมิเพชรบุรี
๓) หมู่บ้านบนภูเขา ชาวบ้านมักท�ำไร่เลื่อนลอย หมู่บ้านมีขนาดเล็ก ในหมู่บ้านกะเหรี่ยงจะมีหัวหน้าหมู่บ้าน เรียกว่า เซี่ยเก็งคู หรือ ซะปร่า เปอฮี่ โดยได้มาจากการสืบช่วงตามสายบิดา หน้าที่ของหัวหน้าคือพิจารณาตัดสิน กรณีพิพาท ตัดสินคดีเกี่ยวกับความประพฤติผิดทางเพศ ลักขโมย เป็นต้น ระบบครอบครัวและตระกูลของกะเหรี่ยง โดยทั่วไปเป็น ครอบครัวเดี่ยว ปกติคู่สมรสจะตั้งครอบครัวของตนภายหลังที่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ของฝ่ายหญิง ชาวกะเหรี่ยงกล่าวกันว่าต้องสร้างหลังเล็กหลังแต่งงานและต่อเติมให้ใหญ่ขึ้น เมื่อมีบุตร กะเหรี่ยงเชื่อว่าบ้านเป็นสถานที่ทางวิญญาณของภรรยา โดยต้อง มีพิธีเตอะเซี่ย หลังจากภรรยาย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ เพื่อแจ้งแก่ผีสายมารดา ให้ทราบถึงการแต่งงาน ศาสนาของชาวกะเหรี่ยง บางส่วนนับถือศาสนาพุทธ เช่น กะเหรี่ยงโปว์ บางพวกนับถือคริสต์ คือ กะเหรี่ยงสะกอที่อาศัยในพื้นราบ แต่ชาวกะเหรี่ยง ทั้งหมดซึ่งรวมถึงผู้ที่นับถือศาสนาทั้งสองดังกล่าวข้างต้น นับถือผี พวกเขาเชื่อว่า แทบทุกหนทุกแห่งจะมีผีสิงสถิตอยู่ เช่น ในป่า ในไร่ หรือในหมู่บ้าน ผีที่กะเหรี่ยง นับถือคือ ผีเรือนและผีบ้าน ผีเรือน เป็นผีประจ�ำบ้านเรือน คือ วิญญาณของ ปู่ย่าตายายที่วนเวียนอยู่ภายในบ้านเรือน คอยป้องกันรักษาบุตรหลานให้อยู่ อย่างสงบสุข ส่วนผีบ้านเป็นผี หรือเทพารักษ์รักษาหมู่บ้าน บางทีเรียกว่า ผีเจ้าเมือง หรือผีเจ้าที่ ซึ่งมีความส�ำคัญมาก โดยเฉพาะในพิธีเกี่ยวกับการเกษตร และพิธีกรรมเกี่ยวกับความอยู่ดีมีสุขของคนทั้งหมู่บ้าน การเลี้ยงผีเจ้าที่นั้น กระท�ำปีละสองครั้ง ชาวกะเหรี่ยงถือว่าการเจ็บไข้ได้ป่วยเกิดจากการกระท�ำของผีร้ายต่าง ๆ ซึ่งสิงสถิตตามป่า เขา แม่น�้ำ ล�ำธาร เมื่อมีผู้เจ็บป่วยจะต้องจัดพิธีเลี้ยงผี โดยหมอผีในหมู่บ้านเป็นผู้ด�ำเนินการการเลี้ยงผีก็เพื่อเป็นการขอขมาผี จะได้ หายโกรธแค้นผู้ที่ไปลบหลู่โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ผู้ที่ประกอบพิธีเซ่นสังเวยผี ได้แก่ หมอผี ซึ่งมีสองคนคือ ตัวจริง และตัวส�ำรอง ทั้งสองคนต้องเป็นญาติกัน พวกกะเหรี่ยงแดงจะปลูกสร้างเสาสูงไว้ให้ผีหมู่บ้านอาศัยอยู่ เสานี้เรียกว่า เสามงคล มีพิธีปลูกเสา ปีละ ๑ ครั้ง ภูมิประชา 37
เพชรบุรีเป็นเมืองเก่าแก่มีประชากรอาศัยอยู่อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ประชากรเหล่านี้ประกอบด้วยชาวสยาม และกลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่อพยพโยกย้าย เข้ามาอยู่ในพื้นที่ เช่น ขอม แขก มอญ ทวาย ลาวโซ่ง ลาวเวียง กะเหรี่ยง กะหร่าง เป็นต้น ดังปรากฏหลักฐานอยู่ในเอกสารทางประวัติศาสตร์ เช่น หนังสือ SIAM : SOME GENERAL REMARKS ON ITS PRODUCTION AND PARTICULARLY ON ITS IMPORTS AND EXPORTS AND THE MADE OF TRANSACTING BUSINESS OF THE PEOPLE ซึ่งพิมพ์เผยแพร่เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๕ ได้ระบุข้อมูลประชากรของเมืองเพชรบุรีว่า ใน พ.ศ. ๒๓๙๒ เมือง เพชรบุรีมีชาวสยาม ๒,๗๐๐ คน ชาวจีน ๘๐๐ คน ชาวมาเลย์ ๔,๓๐๐ คน และชาวลาว ๕๓๐ คน เมื่อสมเด็จกรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เสด็จมาตรวจหัวเมืองเพชรบุรี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๑ ได้มีบันทึกถึงจ�ำนวนประชากร ของเมืองเพชรบุรีว่า บัญชีส�ำมะโนครัวเมืองเพชรบุรี ปรากฏว่ามี ๒ อ�ำเภอ มีก�ำนัน ๗๘ คน ผู้ใหญ่บ้าน ๖๒๗ คน ราษฎร ๗๔,๔๖๔ คน จ�ำนวนบ้าน ๑๐,๑๐๙ หลังคาเรือน ในหนังสือสมุดราชบุรีซึ่งจัดพิมพ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘ ว่าด้วยเรื่องราว ของมณฑลราชบุรี เนื้อหาส่วนที่กล่าวถึงชาติพลเมือง ได้ระบุว่ามณฑลราชบุรี มีประชากรประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ คน และในส่วนของจังหวัดเพชรบุรีซึ่งขึ้นกับ มณฑลราชบุรีนั้นมีประชากรประมาณ ๑๒๕,๐๐๐ คน ประชากรส่วนใหญ่เป็น คนไทยและชนชาติอื่น ๆ ในส่วนของอ�ำเภอได้ปรากฏหลักฐานว่าท้องที่อ�ำเภอเมืองเพชรบุรี มีประชากรราว ๖๐,๐๐๐ เศษ ข้อมูลนี้ปรากฏอยู่ในแจ้งความกระทรวงมหาดไทย เรื่องตั้งอ�ำเภอบ้านแหลม มณฑลราชบุรีราชกิจจานุเบกษา วันที่ ๑๕ พฤษภาคม รัตนโกสินทร์ศก ๑๒๓ (พ.ศ. ๒๔๔๙) ความว่า ข้อมูลประชากร 38 พื้นภูมิเพชรบุรี
“ด้วยพระยาอมรินทรฤๅไชย ข้าหลวงเทศาภิบาลส�ำเร็จราชการมณฑลราชบุรี มีใบบอกมาว่า ท้องที่อ�ำเภอเมืองเพ็ชร์บุรีมีท้องที่กว้างขวาง และพลเมืองถึง ๖๐,๐๐๐ เศษ เหลือก�ำลังกรมการอ�ำเภอ เมือง จะตรวจตรารักษาความสงบ ความเรียบร้อยให้ตลอดทั่วถึงได้ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต แบ่งท้องที่อ�ำเภอในเมืองเพ็ชร์บุรี จัดตั้งขึ้นอีกอ�ำเภอหนึ่ง กระทรวงมหาดไทยได้น�ำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้ว และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนาม อ�ำเภอที่จัดตั้งขึ้นใหม่นี้ว่า “อ�ำเภอบ้านแหลม” วันที่ ๙ พฤษภาคม รัตนโกสินทร์ศก ๑๒๓” ต่อมาในปีรัตนโกสินทร์ศก ๑๒๔ ซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๒๔๕๐ ได้มีการส�ำรวจส�ำมะโนครัว ของประชากรในเมืองเพชรบุรี ซึ่งประกอบไปด้วย ๗ อ�ำเภอ ได้แก่ อ�ำเภอเมือง อ�ำเภอบ้านแหลม อ�ำเภอเขาย้อย อ�ำเภอนายาง อ�ำเภอแม่ประจันต์ อ�ำเภอเมืองปราณบุรี และอ�ำเภอเมืองประจวบ (ระบบการปกครองแต่เดิมเมืองปราณบุรี และเมืองประจวบคีรีขันธ์ขึ้นต่อเมืองเพชรบุรี) พบว่ามี ประชากรทั้งสิ้น ๑๐๓,๘๐๑ คน และหากตัดในส่วนของอ�ำเภอเมืองปราณบุรี และอ�ำเภอเมืองประจวบ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในปัจจุบันนี้ออก ก็จะเหลือประชากรในส่วนพื้นที่ ที่เป็นจังหวัดเพชรบุรีในปัจจุบันจ�ำนวนทั้งสิ้น ๘๑,๑๘๓ คน ดังในตารางต่อไปนี้ ตารางแสดงจ�ำนวนประชากรเมืองเพชรบุรี จ�ำแนกตามเพศและอ�ำเภอ (เฉพาะเขตจังหวัดเพชรบุรีในปัจจุบัน ตัดส่วนของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ออก) อ�ำเภอ ชาย หญิง รวม เมือง ๑๙,๑๔๑ ๑๘,๖๐๒ ๓๗,๗๔๓ บ้านแหลม ๘,๙๘๓ ๑๐,๕๖๐ ๑๙,๕๔๓ เขาย้อย ๖,๗๑๔ ๗,๔๖๗ ๑๔,๑๘๑ นายาง ๖,๑๗๐ ๖,๔๓๓ ๑๒,๖๐๓ แม่ประจันต์ ๒,๖๖๖ ๒,๔๕๐ ๕,๑๑๖ รวม ๔๓,๖๗๔ ๔๕,๕๑๒ ๘๙,๑๘๖ ภูมิประชา 39
ยอดส�ำมะโนครัว อ�ำเภอ ๗ อ�ำเภอ เมืองเพ็ชรบุรี มณฑลราชบุรี ศก ๑๒๙ (รวมอ�ำเภอเมืองปราณบุรี และอ�ำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ด้วย) ประชากรเหล่านี้ประกอบไปด้วยคนเชื้อชาติไทยเป็นส่วนใหญ่ รองลงไปเป็นจีนนอก ลูกจีน หลานจีน (เกิดในสยาม) ลาว แขกมลายู กะเหรี่ยง มอญ พราหมณ์ เขมร ญวน แขกเทศ แขกลังกา ฝรั่ง กะหร่าง และแขกชวา) ส่วนการเสนอข้อมูลประชากรในยุคปัจจุบันจะน�ำเสนอข้อมูลที่จัดเก็บโดยส�ำนักงานสถิติ แห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ท�ำหน้าที่ส�ำรวจส�ำมะโนประชากรตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๓ เป็นต้นมา การท�ำส�ำมะโนประชากรและเคหะของจังหวัดเพชรบุรี พ.ศ. ๒๕๐๓ การท�ำส�ำมะโนประชากรและเคหะของจังหวัดเพชรบุรี ในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ พบว่า ประชากร ของจังหวัดเพชรบุรีมียอดรวมทั้งสิ้น ๒๓๗,๘๕๓ คน โดยแบ่งเป็นสัญชาติไทย ๒๓๔,๙๑๘ คน สัญชาติ อื่น ๒,๙๒๑ คน ในจ�ำนวนนี้เป็นสัญชาติจีนมากที่สุดคือ ๒,๘๘๗ คน จากยอดรวมสามารถจ�ำแนกเป็น เพศชายได้ ๑๑๗,๐๑๘ คน เพศหญิงได้ ๑๒๐,๘๓๕ คน และมีรายละเอียดดังปรากฏในตารางที่ ๑ 40 พื้นภูมิเพชรบุรี
ภูมิประชา 41
42 พื้นภูมิเพชรบุรี
อายุ และ เพศ รวม ทุก สัญชาติ สัญชาติตามชื่อประเทศ ไทย จีน เวียดนาม กัมพูชา ลาว พม่า สหพันธ์ มลายา สิงคโปร์ อินเดีย ปากีสถาน ลังกา ประเทศใน ยุโรปและ อเมริกา ประเทศ อื่น ๆ ไม่ทราบ สัญชาติ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ยอดรวม ๒๓๗,๘๕๓ ๒๓๔,๙๑๘ ๒,๘๘๗ ๔ ๒๐ ๑๐ ๑๔ - ชาย ๑๑๗,๐๑๘ ๑๑๔,๙๘๒ ๒,๐๐๕ ๑ ๑๕ ๔ ๑๑ - ต่ำกว่า ๑๐ ๓๕,๘๓๒ ๓๕,๘๑๗ ๑๑ - - - ๔ - ๑๐ - ๑๔ ๑๔,๐๑๙ ๑๔,๐๐๗ ๑๐ - - ๑ ๑ - ๑๕ - ๑๙ ๑๑,๓๙๐ ๑๑,๓๕๘ ๓๑ - ๑ - - - ๒๐ - ๒๔ ๑๐,๖๓๐ ๑๐,๕๘๗ ๔๓ - - - - - ๒๕ - ๒๙ ๘,๖๘๘ ๘,๖๐๕ ๘๒ - ๑ - - - ๓๐ - ๓๔ ๗,๕๗๖ ๗,๔๒๔ ๑๕๒ - - - - - ๓๕ - ๓๙ ๕,๙๕๘ ๕,๗๘๗ ๑๖๙ - ๒ - - - ๔๐ - ๔๔ ๔,๗๕๑ ๔,๕๖๙ ๑๘๑ - ๑ - - - ๔๕ - ๔๙ ๔,๕๓๑ ๔,๓๑๘ ๒๐๗ ๑ ๓ ๑ ๑ - ๕๐ - ๕๔ ๓,๘๗๗ ๓,๕๘๗ ๒๘๔ - ๔ ๑ ๑ - ๕๕ - ๕๙ ๓,๑๓๓ ๒,๘๘๗ ๒๔๖ - - - - - ๖๐ - ๖๔ ๒,๔๓๑ ๒,๒๒๑ ๒๐๗ - ๒ - ๑ - ๖๕ - ๖๙ ๑,๖๔๗ ๑,๕๐๔ ๑๔๓ - - - - - ๗๐ ขึ้นไป ๒,๒๙๑ ๒,๐๕๘ ๒๒๘ - ๑ ๑ ๓ - ไม่ทราบอายุ ๒๖๔ ๒๕๓ ๑๑ - - - - - ภูมิประชา 43
อายุ และ เพศ รวม ทุก สัญชาติ สัญชาติตามชื่อประเทศ ไทย จีน เวียดนาม กัมพูชา ลาว พม่า สหพันธ์ มลายา สิงคโปร์ อินเดีย ปากีสถาน ลังกา ประเทศใน ยุโรปและ อเมริกา ประเทศ อื่น ๆ ไม่ทราบ สัญชาติ หญิง ๑๒๐,๘๓๕ ๑๑๙,๙๓๖ ๘๘๒ ๓ ๕ ๖ ๓ - ต่ำกว่า ๑๐ ๓๕,๗๙๐ ๓๕,๗๘๔ ๕ ๑ - - - - ๑๐ - ๑๔ ๑๓,๕๔๗ ๑๓,๕๓๕ ๘ - ๑ ๒ ๑ - ๑๕ - ๑๙ ๑๐,๘๙๓ ๑๐,๘๗๘ ๑๓ - ๑ ๑ - - ๒๐ - ๒๔ ๑๐,๖๘๙ ๑๐,๖๗๗ ๑๐ ๑ - ๑ - - ๒๕ - ๒๙ ๙,๑๑๐ ๙,๐๘๕ ๒๓ - ๑ - ๑ - ๓๐ - ๓๔ ๗,๙๗๙ ๗,๙๓๘ ๔๐ - ๑ - - - ๓๕ - ๓๙ ๖,๔๗๑ ๖,๓๙๒ ๗๘ - ๑ - - - ๔๐ - ๔๔ ๕,๒๗๒ ๕,๑๕๓ ๑๑๘ ๑ - - - - ๔๕ - ๔๙ ๔,๙๒๐ ๔,๗๙๕ ๑๒๕ - - - - - ๕๐ - ๕๔ ๔,๓๓๔ ๔,๑๙๙ ๑๓๔ - - ๑ - - ๕๕ - ๕๙ ๓,๕๘๙ ๓,๔๙๔ ๙๔ - - ๑ - - ๖๐ - ๖๔ ๒,๙๐๖ ๒,๘๑๙ ๘๖ - - - ๑ - ๖๕ - ๖๙ ๑,๙๙๖ ๑,๙๓๖ ๖๐ - - - - - ๗๐ ขึ้นไป ๓,๑๔๗ ๓,๐๖๑ ๘๖ - - - - - ไม่ทราบอายุ ๑๙๒ ๑๙๐ ๒ - - - - - ตารางที่ ๑ จ�ำนวนประชากร จ�ำแนกตามเพศ สัญชาติ และหมวดอายุ ปี พ.ศ. ๒๕๐๓ 44 พื้นภูมิเพชรบุรี
การท�ำส�ำมะโนประชากรและเคหะของจังหวัดเพชรบุรี พ.ศ. ๒๕๑๓ การท�ำส�ำมะโนประชากรและเคหะของจังหวัดเพชรบุรี ใน ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ พบว่าประชากร ของจังหวัดเพชรบุรีมียอดรวมทั้งสิ้น ๒๘๙,๗๑๙ คน โดยแบ่งเป็นสัญชาติไทย ๒๘๗,๓๘๗ คน สัญชาติอื่น ๒,๓๔๑ คน ในจ�ำนวนนี้เป็นสัญชาติจีนมากที่สุดคือ ๒,๑๗๗ คน จากยอดรวมสามารถจ�ำแนกเป็น เพศชายได้ ๑๔๒,๓๐๑ คน เพศหญิงได้ ๑๔๗,๔๑๘ คน และมีรายละเอียดดังปรากฏในตารางที่ ๒ อายุ และเพศ รวม สัญชาติตามชื่อประเทศ ไทย จีน มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม ลาว กัมพูชา พม่า อินเดีย ปากีสถาน ซีลอน ประเทศ อื่น ๆ ใน เอเชีย ยุโรป ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อเมริกา และ แคนาดา ไม่ ทราบ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ๑๑ ชาย Total ๑๔๒,๓๐๑ ๑๔๐,๘๗๔ ๑,๓๓๖ ๓ ๕๖ ๑๘ ๔ ๒ ๔ ๔ PERCENT ๙๙.๙ ๙๘.๙ ๐.๙ ๐.๐ ๐.๐ ๐.๐ ๐.๐ ๐.๐ ๐.๐ ๐.๐ ต่ำกว่า ๑๐ ๔๕,๕๐๓ ๔๕,๔๘๔ ๑๒ - ๖ ๑ - - - - ๑๐ - ๑๔ ๑๙,๗๐๓ ๑๙,๖๔๐ ๔๖ ๑ ๑๓ - - - ๓ - ๑๕ - ๑๙ ๑๔,๘๔๙ ๑๔,๘๓๔ ๑๑ - ๒ - - - - ๒ ๒๐ - ๒๔ ๙,๙๖๖ ๙,๙๕๕ ๗ ๑ ๑ ๒ - - - - ๒๕ - ๒๙ ๘,๐๖๘ ๘,๐๔๑ ๒๑ - ๔ ๑ - - - ๑ ๓๐ - ๓๔ ๘,๓๓๕ ๘,๓๐๗ ๒๗ - - ๑ - - - - ๓๕ - ๓๙ ๗,๙๔๑ ๗,๘๕๑ ๘๑ - ๖ ๑ ๑ - - ๑ ๔๐ - ๔๙ ๑๑,๖๓๙ ๑๑,๓๖๗ ๒๖๖ ๑ ๕ - - - - - ๕๐ - ๕๙ ๗,๘๒๕ ๗,๕๑๙ ๓๐๑ - - ๔ - ๑ - - ๖๐ - ๖๙ ๕,๒๘๒ ๔,๙๓๘ ๓๓๑ - ๙ ๒ ๑ - ๑ - ๗๐ ขึ้นไป ๓,๐๗๙ ๒,๘๕๒ ๒๑๖ - ๖ ๔ - ๑ - - ไม่ทราบ ๑๑๑ ๘๖ ๑๗ - ๔ ๒ ๒ - - - หญิง Total ๑๔๗,๔๑๘ ๑๔๖,๕๐๔ ๘๔๑ ๓ ๕๑ ๔ ๑ ๕ ๘ ๑ PERCENT ๙๙.๙ ๙๙.๓ ๐.๕ ๐.๐ ๐.๐ ๐.๐ ๐.๐ ๐.๐ ๐.๐ ๐.๐ ต่ำกว่า ๑๐ ๔๔,๕๑๙ ๔๔,๔๘๖ ๑๘ ๑ ๑๑ ๑ - - ๒ - ๑๐ - ๑๔ ๑๙,๑๒๔ ๑๙,๐๘๕ ๓๐ ๑ ๒ ๑ - ๑ ๔ - ๑๕ - ๑๙ ๑๕,๒๖๖ ๑๕,๒๕๔ ๑๑ - - - - - ๑ - ๒๐ - ๒๔ ๑๐,๒๓๑ ๑๐,๒๒๔ ๓ - ๔ - - - - - ๒๕ - ๒๙ ๘,๗๙๖ ๘,๗๔๒ ๔๘ - ๖ - - - - - ภูมิประชา 45
อายุ และเพศ รวม สัญชาติตามชื่อประเทศ ไทย จีน มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม ลาว กัมพูชา พม่า อินเดีย ปากีสถาน ซีลอน ประเทศ อื่น ๆ ใน เอเชีย ยุโรป ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อเมริกา และ แคนาดา ไม่ ทราบ ๓๐ - ๓๔ ๙,๑๓๓ ๙,๑๐๐ ๓๒ ๑ - - - - - - ๓๕ - ๓๙ ๘,๒๒๕ ๘,๑๗๐ ๔๓ - ๑๐ - ๑ - - ๑ ๔๐ - ๔๙ ๑๒,๖๕๙ ๑๒,๕๒๙ ๑๒๓ - ๕ - - ๒ - - ๕๐ - ๕๙ ๘,๗๖๑ ๘,๕๔๕ ๒๐๘ - ๔ ๒ - ๑ ๑ - ๖๐ - ๖๙ ๖,๒๐๑ ๖,๐๑๙ ๑๗๗ - ๔ - - ๑ - - ๗๐ ขึ้นไป ๔,๓๙๘ ๔,๒๗๒ ๑๒๒ - ๔ - - - - - ไม่ทราบ ๑๐๕ ๗๘ ๒๖ - ๑ - - - - - ตารางที่ ๒ จ�ำนวนประชากร จ�ำแนกตามเพศ สัญชาติ และหมวดอายุ ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ การท�ำส�ำมะโนประชากรและเคหะของจังหวัดเพชรบุรี พ.ศ. ๒๕๒๓ การท�ำส�ำมะโนประชากรและเคหะของจังหวัดเพชรบุรี ใน ปี พ.ศ. ๒๕๒๓ พบว่าประชากร ของจังหวัดเพชรบุรีมียอดรวมทั้งสิ้น ๓๖๔,๙๐๐ คน จากยอดรวมสามารถจ�ำแนกเป็นเพศชายได้ ๑๗๘,๘๔๘ คน เพศหญิงได้ ๑๘๖,๐๕๒ คน มีรายละเอียดดังปรากฏในตารางที่ ๓ เขต ประชากร ประชากรในครัวเรือน ส่วนบุคคล ประชากร รวม ชาย หญิง รวม ชาย หญิง รวม ยอดรวมจังหวัด ๓๖๔,๙๐๐ ๑๗๘,๘๔๘ ๑๘๖,๐๕๒ ๓๕๘,๒๓๔ ๑๗๓,๑๗๓ ๑๘๕,๐๖๑ ๖,๖๖๖ ในเขตเทศบาล ๕๐,๗๒๗ ๒๔,๘๑๑ ๒๕,๙๑๖ ๔๘,๔๙๗ ๒๒,๙๕๘ ๒๕,๕๓๙ ๒,๒๓๐ เขตสุขาภิบาล - เขตเมือง ๗๒,๕๐๒ ๓๕,๔๓๓ ๓๗,๐๖๙ ๗๑,๗๓๑ ๓๔,๗๕๗ ๓๖,๙๗๔ ๗๗๑ เขตสุขาภิบาล - เขตชนบท ๑๔,๐๓๔ ๖,๗๕๘ ๗,๒๗๖ ๑๓,๘๔๐ ๖,๖๒๑ ๗,๒๑๙ ๑๙๔ นอกเขตเทศบาล - สุขาภิบาล ๒๒๗,๖๓๗ ๑๑๑,๘๔๖ ๑๑๕,๗๙๑ ๒๒๔,๑๖๖ ๑๐๘,๘๓๗ ๑๑๕,๓๒๙ ๓,๔๗๑ อำเภอเมืองเพชรบุรี ๑๐๑,๐๗๙ ๔๙,๒๖๑ ๕๑,๘๑๘ ๙๗,๖๗๘ ๔๖,๔๒๗ ๕๑,๒๕๑ ๓,๔๐๑ 46 พื้นภูมิเพชรบุรี
เขต ประชากร ประชากรในครัวเรือน ส่วนบุคคล ประชากร รวม ชาย หญิง รวม ชาย หญิง รวม ในเขตเทศบาล ๓๓,๗๒๐ ๑๖,๒๙๙ ๑๗,๔๒๑ ๓๒,๐๓๑ ๑๔,๘๙๘ ๑๗,๑๓๓ ๑,๖๘๙ เขตสุขาภิบาล - เขตเมือง - - - - - - - เขตสุขาภิบาล - เขตชนบท ๘,๐๑๐ ๓,๙๑๕ ๔,๐๙๕ ๗,๙๘๑ ๓,๘๘๘ ๔,๐๙๓ ๒๙ นอกเขตเทศบาล - สุขาภิบาล ๕๙,๓๔๙ ๒๙,๐๔๗ ๓๐,๓๐๒ ๕๗,๖๖๖ ๒๗,๖๔๑ ๓๐,๐๒๕ ๑,๖๘๓ อำเภอเขาย้อย ๓๕,๗๕๔ ๑๗,๓๗๔ ๑๘,๓๘๐ ๓๕,๒๘๖ ๑๗,๐๑๑ ๑๘,๒๗๕ ๔๖๘ ในเขตเทศบาล - - - - - - - เขตสุขาภิบาล - เขตเมือง ๑๔,๘๒๔ ๗,๑๖๑ ๗,๖๖๓ ๑๔,๕๖๔ ๖,๙๖๑ ๗,๖๐๓ ๒๖๐ เขตสุขาภิบาล - เขตชนบท - - - - - - - นอกเขตเทศบาล - สุขาภิบาล ๒๐,๙๓๐ ๑๐,๒๑๓ ๑๐,๗๑๗ ๒๐,๗๒๒ ๑๐,๐๕๐ ๑๐,๖๗๒ ๒๐๘ อำเภอชะอำ ๔๓,๑๗๘ ๒๑,๔๐๘ ๒๑,๗๗๐ ๔๒,๓๙๓ ๒๐,๗๓๔ ๒๑,๖๕๙ ๗๘๕ ในเขตเทศบาล ๑๗,๐๐๗ ๘,๕๑๒ ๘,๔๙๕ ๑๖,๔๖๖ ๘,๐๖๐ ๘,๔๐๖ ๕๔๑ เขตสุขาภิบาล - เขตเมือง ๑๒,๓๓๑ ๕,๙๙๔ ๖,๓๓๗ ๑๒,๒๒๕ ๕,๘๙๗ ๖,๓๒๘ ๑๐๖ เขตสุขาภิบาล - เขตชนบท - - - - - - - นอกเขตเทศบาล - สุขาภิบาล ๒๐,๙๓๐ ๑๐,๒๑๓ ๑๐,๗๑๗ ๒๐,๗๒๒ ๑๐,๐๕๐ ๑๐,๖๗๒ ๒๐๘ อำเภอท่ายาง ๘๑,๓๔๔ ๔๐,๐๒๒ ๔๑,๓๒๒ ๘๐,๗๗๓ ๓๙,๕๓๓ ๔๑,๒๔๐ ๕๗๑ ในเขตเทศบาล - - - - - - - เขตสุขาภิบาล - เขตเมือง ๒๓,๙๙๐ ๑๑,๖๖๘ ๑๒,๓๒๒ ๒๓,๗๖๔ ๑๑,๔๖๔ ๑๒,๓๐๐ ๒๒๖ เขตสุขาภิบาล - เขตชนบท ๑,๙๗๓ ๙๑๗ ๑,๐๕๖ ๑,๘๙๑ ๘๘๖ ๑,๐๐๕ ๘๒ นอกเขตเทศบาล - สุขาภิบาล ๕๕,๓๘๑ ๒๗,๔๓๗ ๒๗,๙๔๔ ๕๕,๑๑๘ ๒๗,๑๘๓ ๒๗,๙๓๕ ๒๖๓ ตารางที่ ๓ จ�ำนวนประชากร จ�ำแนกตามเพศ ครัวเรือน ปี พ.ศ. ๒๕๒๓ ภูมิประชา 47
การท�ำส�ำมะโนประชากรและเคหะของจังหวัดเพชรบุรี พ.ศ. ๒๕๓๖ การท�ำส�ำมะโนประชากรและเคหะของจังหวัดเพชรบุรี ใน ปี พ.ศ. ๒๕๓๖ พบว่า ประชากรของ จังหวัดเพชรบุรีมียอดรวมทั้งสิ้น ๔๐๑,๓๑๗ คน จากยอดรวมสามารถจ�ำแนกเป็นเพศชายได้ ๑๙๕,๓๔๖ คน เพศหญิงได้ ๒๐๕,๙๗๑ คน มีรายละเอียดดังปรากฏในตารางที่ ๔ อำเภอและ เขตการปกครอง ประชากร ประชากรในครัวเรือน ส่วนบุคคล ประชากร รวม ชาย หญิง รวม ชาย หญิง รวม ยอดรวม ๔๐๑,๓๑๗ ๑๙๕,๓๔๖ ๒๐๕,๙๗๑ ๓๙๕,๓๓๙ ๑๙๐,๔๗๑ ๒๐๔,๘๖๘ ๕,๙๗๘ ในเขตเทศบาล ๕๕,๔๑๙ ๒๖,๖๑๙ ๒๘,๘๐๐ ๕๓,๐๐๘ ๒๔,๘๙๗ ๒๘,๑๑๑ ๒,๔๑๑ เขตสุขาภิบาล ๙๐,๔๒๗ ๔๓,๗๙๗ ๔๖,๖๓๐ ๘๙,๔๕๙ ๔๒,๙๘๘ ๔๖,๔๗๑ ๙๖๘ เขตสุขาภิบาล - เขตเมือง ๗๖,๒๗๖ ๓๖,๙๘๔ ๓๙,๒๙๒ ๗๕,๔๗๗ ๓๖,๓๐๙ ๓๙,๑๖๘ ๗๙๙ เขตสุขาภิบาล - เขตชนบท ๑๔,๑๕๑ ๖,๘๑๓ ๗,๓๓๘ ๑๓,๙๘๒ ๖,๖๗๙ ๗,๓๐๓ ๑๖๙ นอกเขตเทศบาล - สุขาภิบาล ๒๕๕,๔๗๑ ๑๒๔,๙๓๐ ๑๓๐,๕๔๑ ๒๕๒,๘๗๒ ๑๒๒,๕๘๖ ๑๓๐,๒๘๖ ๒,๕๙๙ อำเภอเมืองเพชรบุรี ๑๐๐,๔๕๘ ๔๘,๐๑๗ ๕๒,๔๔๑ ๙๗,๘๘๕ ๔๕,๘๙๘ ๕๑,๙๘๗ ๒,๕๗๓ ในเขตเทศบาล ๒๘,๓๘๘ ๑๓,๓๐๗ ๑๕,๐๘๑ ๒๖,๘๔๗ ๑๒,๑๐๖ ๑๔,๗๔๑ ๑,๕๔๑ เขตสุขาภิบาล ๘,๑๐๒ ๓,๙๙๕ ๔,๑๐๗ ๘,๐๔๓ ๓,๙๓๖ ๔,๑๐๗ ๕๙ เขตสุขาภิบาล - เขตเมือง - - - - - - เขตสุขาภิบาล - เขตชนบท ๘,๑๐๒ ๓,๙๙๕ ๔,๑๐๗ ๘,๐๔๓ ๓,๙๓๖ ๔,๑๐๗ ๕๙ นอกเขตเทศบาล - สุขาภิบาล ๖๓,๙๖๘ ๓๐,๗๑๕ ๓๓,๒๕๓ ๖๒,๙๙๕ ๒๙,๘๕๖ ๓๓,๑๓๙ ๙๗๓ กิ่ง อ.แก่งกระจาน ๒๑,๓๓๓ ๑๐,๙๒๘ ๑๐,๔๐๕ ๒๑,๑๑๐ ๑๐,๗๑๑ ๑๐,๓๙๙ ๒๒๓ ในเขตเทศบาล - - - - - - - เขตสุขาภิบาล - - - - - - - เขตสุขาภิบาล - เขตเมือง - - - - - - - เขตสุขาภิบาล - เขตชนบท - - - - - - - นอกเขตสุขาภิบาล ๒๑,๓๓๓ ๑๐,๙๒๘ ๑๐,๔๐๕ ๒๑,๑๑๐ ๑๐,๗๑๑ ๑๐,๓๙๙ ๒๒๓ 48 พื้นภูมิเพชรบุรี
อำเภอและ เขตการปกครอง ประชากร ประชากรในครัวเรือน ส่วนบุคคล ประชากร รวม ชาย หญิง รวม ชาย หญิง รวม อำเภอเขาย้อย ๓๔,๙๑๕ ๑๗,๐๔๓ ๑๗,๘๗๒ ๓๔,๔๐๔ ๑๖,๖๒๖ ๑๗,๗๗๘ ๕๑๑ ในเขตเทศบาล - - - - - - - เขตสุขาภิบาล ๑๔,๘๐๖ ๗,๑๕๐ ๗,๖๕๖ ๑๔,๕๘๖ ๖,๙๘๗ ๗,๕๙๙ ๒๒๐ เขตสุขาภิบาล - เขตเมือง ๑๔,๘๐๖ ๗,๑๕๐ ๗,๖๕๖ ๑๔,๕๘๖ ๖,๙๘๗ ๗,๕๙๙ ๒๒๐ เขตสุขาภิบาล - เขตชนบท - - - - - - - นอกเขตเทศบาล - สุขาภิบาล ๒๐,๑๐๙ ๙,๘๙๓ ๑๐,๒๑๖ ๑๙,๘๑๘ ๙,๖๓๙ ๑๐,๑๗๙ ๒๙๑ อำเภอชะอำ ๕๖,๘๙๔ ๒๗,๙๗๒ ๒๘,๙๒๒ ๕๕,๘๓๐ ๒๗,๒๗๖ ๒๘,๕๕๔ ๑,๐๖๔ ในเขตเทศบาล ๒๗,๐๓๑ ๑๓,๓๑๒ ๑๓,๗๑๙ ๒๖,๑๖๑ ๑๒,๗๙๑ ๑๓,๓๗๐ ๘๗๐ เขตสุขาภิบาล ๑๗,๒๔๔ ๘,๓๙๕ ๘,๘๔๙ ๑๗,๑๓๖ ๘,๓๐๕ ๘,๘๓๑ ๑๐๘ เขตสุขาภิบาล - เขตเมือง ๑๗,๒๔๔ ๘,๓๙๕ ๘,๘๔๙ ๑๗,๑๓๖ ๘,๓๐๕ ๘,๘๓๑ ๑๐๘ เขตสุขาภิบาล - เขตชนบท - - - - - - - นอกเขตเทศบาล - สุขาภิบาล ๑๒,๖๑๙ ๖,๒๖๕ ๖,๓๕๔ ๑๒,๕๓๓ ๖,๑๘๐ ๖,๓๕๓ ๘๖ ตารางที่ ๔ จ�ำนวนประชากร จ�ำแนกตามเพศ ครัวเรือน ปี พ.ศ. ๒๕๓๖ ภูมิประชา 49