The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การสอนประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย หลากหลายวิธีเรียน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

การสอนประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย หลากหลายวิธีเรียน

การสอนประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย หลากหลายวิธีเรียน

การสอนประวตั ิศาสตร์
ประวตั ิศาสตรไ์ ทย หลายหลายวิธเี รียน

สำ� นักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน
กระทรวงศึกษาธิการ

ส�ำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน
กระทรวงศกึ ษาธิการ

พิมพค์ รง้ั แรก มนี าคม ๒๕๕๘

จำ� นวนพมิ พ์ ๓๒,๐๐๐ เลม่

ผ้จู ัดพิมพเ์ ผยแพร่ สำ� นกั วิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา
สำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน
กระทรวงศึกษาธิการ วงั จันทรเกษม
ถนนราชดำ� เนินนอก เขตดุสิต กรงุ เทพ ๑๐๓๐๐


สำ� นกั พิมพ์ โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำ� กดั
๗๙ ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจกั ร
กรุงเทพมหานคร ๑๐๙๐๐
โทร. ๐-๒๕๖๑-๔๕๖๗ โทรสาร ๐-๒๕๗๙-๕๑๐๑
นายโชคดี ออสุวรรณ ผู้พมิ พโ์ ฆษณา

ขอ้ มูลทางบรรณานกุ รม (CIP : Cataloging in Publication)

ส�ำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา

แนวการสอนประวัติศาสตร์ : ประวตั ศิ าสตร์ไทย หลากหลายวธิ เี รยี น.

กรงุ เทพมหานคร : ชุมนมุ สหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย. ๒๕๕๘.

๑. ไทย--ประวัตศิ าสตร์—การศกึ ษาและการสอน

๒. ไทย—ประวตั ศิ าสตร์

๓. ชอ่ื เรื่อง.

๙๕๙.๓

ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบแสดงที่มา-ไมใ่ ชเ้ พอ่ื การคา้ -อนุญาตแบบเดยี วกัน
(by-nc-as) เมื่อนำ� เน้อื หาในหนงั สอื เลม่ นี้ไปใช้ ควรอ้างอิงแหล่งทีม่ า
โดยไมน่ ำ� ไปใช้เพอื่ การคา้ และยนิ ยอมใหผ้ ูอ้ ่ืนน�ำเน้ือหาไปใชต้ อ่ ไดด้ ้วย
สัญญาอนุญาตแบบเดียวกันนี้ (http://cc.in.th/wiki/meet-the-licenses)
ไม่สงวนลิขสิทธ์ิหากนำ� ไปใชเ้ พอ่ื การศกึ ษาและไม่ใชก่ ารค้า

คณะผู้เรียบเรียงและบรรณาธิการ ขออภัยที่มิอาจแจ้งแหล่งท่ีมาของข้อมูลได้อย่างครบถ้วนและขอขอบคุณ
เจา้ ของผลงานทั้งข้อความ ภาพ และอน่ื ๆ นำ� มาใชใ้ นเอกสารฉบับนี้ ทง้ั น้ีเพอ่ื ประโยชน์แกก่ ารศกึ ษาโดยรวมของชาติ

แมจ้ ะมิไดม้ ีหนังสือขออนุญาตเปน็ ลายลักษณ์อักษรก็ตาม

“โบราณสถานนนั้ เป็นเกยี รตขิ องชาติ อฐิ เกา่ ๆ แผน่ เดยี ว มคี ่า
ควรทจ่ี ะชว่ ยกนั รกั ษาไว้ ถา้ เราขาดสโุ ขทยั อยธุ ยาและกรงุ เทพฯ แลว้
ประเทศไทยกไ็ มม่ ีความหมาย”

พระราชดำ� รสั พระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู วั ภูมพิ ลอดุลยเดช
ในวโรกาสเสด็จฯ ประพาสอยธุ ยา พ.ศ. ๒๕๐๖

3

.....ประเทศไทยบรรพบุรุษของเราสละชีวิตมาเพ่ือปกป้องผืนแผ่นดินมาด้วย
เลอื ดเนอื้ ดว้ ยชวี ติ แตเ่ สยี ดายตอนนี้ ทา่ นนายกฯ เขาไมใ่ หเ้ รยี นประวตั ศิ าสตรแ์ ลว้ นะ
ฉนั กไ็ มเ่ ขา้ ใจ เพราะตอนทฉ่ี นั เรยี นอยทู่ ส่ี วติ เซอรแ์ ลนด์ ไมม่ ปี ระวตั ศิ าสตรอ์ ะไรเทา่ ไหร่
แต่เรากต็ ้องเรยี นประวตั ิศาสตรข์ องสวติ ฯ แต่เมอื งไทยนี่ บรรพบุรษุ เลือดทาแผ่นดิน
กว่าจะมาถึงท่ีให้พวกเราอยู่ นั่งอยู่กันสบาย มีประเทศชาติ เรากลับไม่ให้เรียน
ประวตั ศิ าสตร์ ไม่รู้ว่าใครมาจากไหน เป็นความคิดท่ีแปลกประหลาด อย่างท่อี เมรกิ า
ถามไปเขากส็ อนประวตั ศิ าสตร์ สอนประวตั ศิ าสตรบ์ า้ นเมอื งของเขาทไี่ หน ประเทศไทย
เขาก็สอน แตป่ ระเทศไทยไมม่ ี ไม่ทราบว่าแผ่นดนิ น้ีมนั รอดมาอย่จู นบดั น้ไี ด้ เพราะ
ใครหรือวา่ อย่างไรกนั อนั นีน้ า่ ตกใจ....

พระราชเสาวนียใ์ นสมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชินนี าถ
เมอ่ื วันท่ี ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๑

4

คำ� นำ�


วิชาประวัติศาสตร์มีคุณค่าในการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้พัฒนาการของ
เรื่องราวในอดีต ซ่ึงมีการเปลี่ยนแปลงตามเหตุและปัจจัยต่างๆ ที่เกิดข้ึน เป็นบทเรียน
สอนใหเ้ ขา้ ใจปรากฏการณท์ เี่ กดิ ขน้ึ และไมใ่ หเ้ กดิ ซำ�้ รอยอกี ทง้ั สรา้ งใหเ้ กดิ ความตระหนกั รู้
เห็นคุณค่าของภูมิปัญญา อารยธรรม ที่บรรพชนได้สั่งสม สืบทอดกันมา ด้วยคุณูปการ
ของวชิ าประวตั ศิ าสตรด์ งั กลา่ ว ผคู้ นในสงั คมจงึ ใหค้ วามสำ� คญั กบั วชิ าประวตั ศิ าสตรใ์ นฐานะ
ที่เป็นเคร่ืองมือส�ำคัญในการพัฒนาเยาวชนของชาติ ให้เกิดส�ำนึกรักในชาติ เป็นนักคิด
ใครค่ รวญ ตงั้ คำ� ถาม และซอื่ สตั ยต์ อ่ หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ สมดงั ท่ี ดร.วนิ ยั พงศศ์ รเี พยี ร
ไดก้ ลา่ วไวว้ ่า “ประวัตศิ าสตร์ วิชาสรา้ งนักคดิ และปัญญาชน”
สำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน ไดด้ ำ� เนนิ การพฒั นาการเรยี นรวู้ ชิ า
ประวัติศาสตร์มาอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีความรู้
ความเขา้ ใจ “สาระประวตั ศิ าสตร”์ ในหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช
๒๕๕๑ ส่งเสริมวิธีการสอนประวัติศาสตร์ท่ีหลากหลาย ในแรกเร่ิมเน้นให้ครูผู้สอนได้มี

5

ความรู้ความเข้าใจในวิธีการสอน ๓ เรื่อง คือ การใช้เอกสารหรือหลักฐานชั้นต้นเป็นส่ือ
ในการเรียนรู้ การใช้แหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ในท้องถิ่นเป็นส่ือ และการใช้วิธีการ
ทางประวตั ศิ าสตร์ เอกสารฉบบั น้ี ไดป้ ระมวลและรวบรวมความรคู้ วามเขา้ ใจดา้ นการสอน
ประวัติศาสตร์และผลการด�ำเนินการที่ผ่านมา โดยน�ำเสนอเป็น ๔ ส่วน ประกอบด้วย
๑) พฒั นาการการจดั การเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตร์ ๒) พฒั นาการของหลกั สตู รวชิ าประวตั ศิ าสตร์
ไทย ๓) หลักคิดและหลกั การส�ำคญั ทางประวตั ศิ าสตร์ และ ๔) รปู ธรรมการจัดการเรยี น
การสอนของครผู ู้สอนและสถานศกึ ษาท่ีไดด้ �ำเนินการจนเปน็ แบบอยา่ งได้ จ�ำนวน ๘ เร่อื ง

ขอขอบคุณคณะวิทยากร คณะครูผู้สร้างสรรค์ผลงาน และผู้เรียนทุกคน ท่ีมี
ส่วนส�ำคัญให้เอกสารฉบับนี้เกิดรูปธรรมการจัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ที่ชัดเจน
มากข้ึน และขอขอบคุณคณะท�ำงาน ผู้เก่ียวข้องทุกฝ่าย ที่ได้ด�ำเนินการจัดการให้เอกสาร
ฉบบั น้ีส�ำเร็จลงด้วยดี

(นายกมล รอดคล้าย)
เลขาธกิ ารคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน

6

บทบรรณาธกิ าร

เอกสาร “การสอนประวตั ศิ าสตร์ : ประวตั ิศาสตร์ไทย หลากหลายวิธเี รยี น”
เปน็ ชดุ ความรแู้ ละประสบการณด์ ้านการสง่ เสรมิ การจดั การเรยี นร้วู ิชาประวตั ิศาสตร์ โดย
ประกอบดว้ ย ๔ สว่ น คือ

สว่ นท่ี ๑ นำ� เสนอขอ้ มลู เกยี่ วกบั สถานการณก์ ารจดั การเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตรต์ ง้ั แต่
ในอดตี จนถงึ ปัจจุบนั รวมทง้ั ประเดน็ ที่น�ำไปสกู่ ระแสการต่นื ตวั ของการพัฒนาการเรียนรู้
ประวตั ศิ าสตร์ ในฐานะทเ่ี ปน็ วชิ าสำ� คญั ทส่ี รา้ งสำ� นกึ ความรกั ชาติ เหน็ คณุ คา่ ของวฒั นธรรม
ประเพณีอนั ดีงาม และเป็นวชิ าที่สรา้ งใหค้ นคดิ อย่างมวี ิจารณญาณ มเี หตุมผี ล

สว่ นที่ ๒ เป็นขอ้ มลู วา่ ดว้ ยพฒั นาการของหลักสตู รการศกึ ษาดา้ นประวัตศิ าสตร์
ทม่ี กี ารปรบั เปลยี่ นมาอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง จวบจนมาเปน็ วชิ าประวตั ศิ าสตรท์ ใ่ี ชใ้ นปจั จบุ นั ซงึ่ เปน็
ฐานขอ้ มลู สำ� คญั ในการทบทวนอดตี และวางแผนการพฒั นาใหม้ ีความสอดคล้องเหมาะสม
กบั บริบททเี่ ปลย่ี นแปลงไป

สว่ นที่ ๓ เปน็ งานเขยี นของอาจารยร์ ะววิ รรณ ภาคพรต ขา้ ราชการบำ� นาญ สำ� นกั
วิชาการและมาตรฐานการศึกษา ได้เขียนเอกสาร เรื่อง “การพัฒนาการจัดกิจกรรม

7

การเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตร”์ สำ� หรบั ใชป้ ระกอบการอบรมครผู สู้ อนวชิ าประวตั ศิ าสตรถ์ อื เปน็
งานเขียนทรี่ วบรวมมาตง้ั แต่ ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ โดยใหห้ ลกั คดิ และหลักการส�ำคญั (Concept)
ทางประวัตศิ าสตร์ ซึ่งเรียบเรียงและรวบรวมความรู้ความเขา้ ใจจากหนงั สือประวัตศิ าสตร์
ที่เขียนขึ้นโดยผู้ทรงคุณวุฒิทางประวัติศาสตร์ไทย ท่ีได้รับการยอมรับในความสามารถ
จากวงการประวตั ศิ าสตร์ เชน่ ดร.นธิ ิ เอยี วศรวี งศ์ จากมหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ ศาสตราจารย์
ดร.แถมสขุ นมุ่ นนท์ ดร.วนิ ยั พงศศ์ รเี พยี ร จากมหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร ดร.วงเดอื น นาราสจั จ์
จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร และความรู้พื้นฐานจากการที่ผู้เขียน
ไดเ้ รียน เร่อื ง “ปรชั ญาประวตั ศิ าสตร์” ในระดบั ปรญิ ญาโท จากจุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย
ซ่ึงท่านท่ีสนใจสามารถตรวจสอบหรือสืบค้นความรู้เพิ่มเติมได้ จากบรรณานุกรม
ทา้ ยเอกสารน้ี ในการนี้ ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐานขอขอบคุณอาจารย์
ระวิวรรณ ภาคพรต ท่ไี ดอ้ ทุ ศิ เวลาใหก้ ับการพฒั นาการเรียนรปู้ ระวัติศาสตรม์ าตลอดชีวติ
ราชการ ซึง่ เป็นแบบอยา่ งทด่ี ขี องขา้ ราชการผู้หน่งึ

ส่วนที่๔ เป็นประสบการณ์การจัดการเรียนรู้ของคุณครูผู้มีความมุ่งม่ัน
ในการพัฒนาด้านการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ และได้ส่งเอกสารสรุปผลการจัด
การเรียนรู้ของตนเองมาให้ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐานพิจารณา ต่อมา
ไดม้ กี ารจดั ประชมุ ปฏบิ ตั กิ าร โดยเชญิ คณุ ครแู ละผทู้ เี่ กย่ี วขอ้ งเพอ่ื มาเขยี นขยายรายละเอยี ด
การจดั การเรยี นรดู้ งั กลา่ ว ดงั รายละเอยี ดในเอกสารการสอนประวตั ศิ าสตรส์ ว่ นนี้ สว่ นหนง่ึ
ไดน้ ำ� เสนอในหนา้ หนงั สอื พมิ พใ์ นชว่ งกอ่ นวนั เฉลมิ พระชนมพรรษาสมเดจ็ พระนางเจา้ สริ กิ ติ ์ิ
พระบรมราชินนี าถ ปี พ.ศ ๒๕๕๕ อยา่ งไรก็ตามในกระบวนการจดั การเรียนรู้เองก็ยงั มี
ประเด็นท่ีต้องปรับปรุงและพัฒนาต่อเน่ืองอีกมาก มิได้เป็นแบบอย่างได้เสียทั้งหมด
หากแต่เป็นฐานส�ำคัญส�ำหรบั การพัฒนาตอ่ ไป



8

หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

กล่มุ สาระการเรยี นรสู้ ังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม สาระประวัตศิ าสตร์

มาตรฐาน ส ๔.๓ เข้าใจความเป็นมาของ
ชาตไิ ทย วฒั นธรรม ภมู ปิ ญั ญาไทย มคี วามรกั
ความภูมิใจและธำารงความเปน็ ไทย

ใหร้ จู้ กั ความเปน็ ไทย ทั้งประวตั ิความเปน็ มา มาตรฐาน ส ๔.๑ เขา้ ใจความหมาย
วฒั นธรรมไทย ภมู ิปัญญาไทย ขนบธรรมเนยี ม ความสำาคัญของเวลาและยุคสมัย
ประเพณีไทย วีรกรรมของบรรพบรุ ุษ เพื่อให้เกดิ ทางประวัติศาสตร ์ สามารถใชว้ ิธีการ
ความรกั ความภมู ใิ จและธาำ รงรกั ษาความเป็นไทย ท า ง ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ม า วิ เ ค ร า ะ ห์
ไวใ้ หค้ งอยูต่ ลอดไป เหตุการณต์ า่ งๆ อย่างเป็นระบบ

มาตรฐาน ส ๔.๒ เขา้ ใจพัฒนาการของ ให้เรียนรู้เพ่ือใช้เป็นเครื่องมือ
มนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบันในแง่ สำาหรับการเรียนรู้ประวัติศาสตร์
ความสัมพันธ์และการเปล่ียนแปลงของ ชาตไิ ทยและพฒั นาการของมนษุ ยชาติ
เ ห ตุ ก า ร ณ์ อ ย่ า ง ต่ อ เ น่ื อ ง ต ร ะ ห นั ก ถึ ง ในพนื้ ท่ีต่างๆ ของโลก (มาตรฐาน
ค ว า ม สำ า คั ญ แ ล ะ ส า ม า ร ถ วิ เ ค ร า ะ ห์ ผ ล ส ๔.๓ และ ส ๔.๒)
กระทบท่ีเกิดขึ้น

ให้เรยี นรู้ไปส่สู ังคมโลก ด้วยการศึกษาพฒั นาการและความเปลีย่ นแปลงของ
เหตกุ ารณ ์ เริม่ ท่ชี าตขิ องตนเอง ขยายไปประเทศเพ่อื นบ้าน อาเซียน ภมู ภิ าค และ
เพอื่ นรว่ มโลก รวมทัง้ การเรียนรเู้ พ่อื วเิ คราะหส์ ถานการณแ์ ละการเปล่ียนแปลงและ
ผลกระทบที่เกดิ ขึน้ ทมี่ ีต่อตนเอง ประเทศชาติ และสังคมโลก

9

วิธกี ารทางประวตั ิศาสตร์ (Historical Method)

วธิ กี ารทางประวัตศิ าสตรเ์ ปน็ “ทกั ษะกระบวนการ”
ทใ่ี ช้ในการรวบรวม แยกแยะ จัดระบบ วเิ คราะห์
วิพากษ์ และการใชข้ ้อมูลสารสนเทศเพอ่ื การเรียนรู้
อดีต เข้าใจปจั จบุ ัน และมองสู่อนาคต ให้ไดม้ าซึ่ง
ความรทู้ างประวตั ศิ าสตร์

วธิ ีการทางประวตั ศิ าสตร์
๑. ตงั้ ประเด็นศึกษา
๒. เสาะหาแหล่งข้อมลู หลักฐาน
๓. รวบรวมขอ้ มลู ทเ่ี กย่ี วขอ้ งให้ครบถว้ น
๔. วเิ คราะหต์ รวจสอบ ประเมินคุณคา่ หลักฐาน
๕. ตีความเพอ่ื ตอบประเดน็ ศึกษาได้วา่ ทำาไม และอย่างไร
๖. นำาเสนอเรอ่ื งราวที่ค้นพบไดอ้ ยา่ งมีเหตผุ ลและน่าสนใจ

นกั เรยี นระดับประถมศกึ ษาปที ่ี ๑-๓ นกั เรียนระดับประถมศึกษาปที ี่ ๔-๖ นักเรียนระดบั มัธยมศึกษาปที ่ี ๑-๓ นกั เรยี นระดบั มัธยมศกึ ษาปีที่ ๔-๖
สบื คน้ เรอ่ื งราวของตนเองครอบครวั สบื คน้ เรอ่ื งราวของทอ้ งถน่ิ อยา่ งงา่ ยๆ ฝกึ ฝนใชว้ ธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตร์ ใชว้ ธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตรส์ บื คน้

โรงเรยี น และชมุ ชนใกลต้ วั ดว้ ยวธิ กี าร เรม่ิ ดว้ ยการรจู้ กั หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ ในการศกึ ษาเหตกุ ารณท์ างประวตั ศิ าสตร์ เร่ืองราวท่ีตนสนใจสร้างความรู้ใหม่
สอบถาม ศกึ ษาจากหลกั ฐานทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ตามแหล่งเรียนรู้ในท้องถ่ินและฝึกฝน และศกึ ษาเรอ่ื งราวตา่ งๆ ทใ่ี กลต้ วั รวม ทางประวตั ศิ าสตรท์ เ่ี รยี กวา่ “โครงงาน
กบั ตนเองและครอบครวั และแหลง่ ขอ้ มลู แยกแยะข้อมูลท่ีเป็นความจริงออกจาก ฝกึ ฝนทกั ษะการประเมนิ ความนา่ เชอ่ื ถอื ทางประวตั ศิ าสตร”์
ทใ่ี กลต้ วั ขอ้ เทจ็ จรงิ แยกแยะขอ้ คดิ เหน็ ไดอ้ ยา่ งมี ของข้อมูลจากหลักฐานประเภทต่างๆ ยวุ วจิ ยั ประวตั ศิ าสตร์ : ศกึ ษาประวตั ิ
การสบื ค้นเครอื ญาติ : รวบรวมขอ้ มลู เหตผุ ลรวมทง้ั รจู้ กั ขน้ั ตอนของวธิ กี ารทาง โดยเฉพาะหลกั ฐานทจ่ี ะใชใ้ นการศกึ ษา และเหตุปัจจัยการอพยพของกลุ่ม
เกี่ยวกับสาแหรกของครอบครวั ประวตั ศิ าสตรอ์ ยา่ งงา่ ยๆ ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยสมยั สโุ ขทยั อยธุ ยา ชาตพิ นั ธใ์ุ นหมบู่ า้ น
การศกึ ษาประวตั ศิ าสตรห์ มบู่ า้ น : ศกึ ษา ธนบรุ แี ละรัตนโกสินทร์
ประวตั ทิ ม่ี าของชอ่ื บา้ น นามเมอื ง การศกึ ษาแหลง่ เรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตร์ :
ศกึ ษาประวตั ศิ าสตรช์ าตจิ ากการศกึ ษา
ในแหลง่ เรยี นรู้

10

สารบญั

ตอนท่ี ๑ การเรยี นรู้ประวัติศาสตร์กับการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน

 ความเป็นมาของการพฒั นาการเรยี นรปู้ ระวัตศิ าสตร์ ................................................... ๑๕
 การด�ำเนนิ การดา้ นการพัฒนาการเรียนรู้ประวตั ิศาสตร์

ของส�ำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน ....................................................... ๒๗

ตอนท่ี ๒ หลักสูตรการศกึ ษาของไทยกบั การจดั การเรียนรปู้ ระวตั ศิ าสตร์

 พฒั นาการหลักสตู รวชิ าประวัติศาสตร์ของไทย ........................................................... ๓๗
 ความรคู้ วามเขา้ ใจวา่ ดว้ ยหลกั สตู รการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๔

และหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ กลมุ่ สาระ
การเรยี นรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สาระที่ ๔ ประวัติศาสตร์ ................. ๔๕
 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระ
การเรยี นรสู้ ังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม สาระที่ ๔ ประวัตศิ าสตร์ ................. ๕๗
 การปรบั ปรงุ หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
และการบรหิ ารจดั การ การเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตร์ ............................................................ ๖๙

ตอนท่ี ๓ หลักคิดและหลักการส�ำคัญทางประวัติศาสตร์

 ประวตั ิศาสตร์คอื อะไร......................................................................................................... ๗๗
 ประวตั ิศาสตรส์ �ำคญั ไฉน.................................................................................................... ๘๕
 หลกั ฐานประวัติศาสตร์ : ข้ันตอนส�ำคัญของวิธีการประวัตศิ าสตร.์ ............................. ๙๙
 โครงงานทางประวตั ิศาสตร์ : การพัฒนาคนใหง้ อกงามในทกุ มติ ิ ............................ ๑๑๑

11

ตอนท่ี ๔ ประวัติศาสตรไ์ ทย หลากหลายวิธเี รยี น

แปดสาแหรก ย้อนรอยอดตี ............................................................................................. ๑๒๓
โรงเรียนบา้ นปากคะยาง
ส�ำนกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศกึ ษาสุโขทัยเขต ๒

 ลพบุรีเมืองเก่า เล่าผา่ นการสบื ค้นดว้ ยตนเอง ............................................................. ๑๒๗
โรงเรียนวัดโคกหมอ้
สำ� นักงานเขตพื้นท่ีการประถมศึกษาลพบรุ ี เขต ๑
ผเู้ ขยี น นางสริ กิ ร กระสาทอง

 การเรยี นประวัติศาสตร์โดยใช้แหลง่ เรยี นรใู้ นชมุ ชนเปน็ สอื่ ...................................... ๑๔๑
โรงเรยี นชุมชนบ้านกรอื เซะ
ส�ำนักงานเขตพนื้ ทีก่ ารศึกษาประถมศกึ ษาปตั ตานี เขต ๑
ผูเ้ ขยี น นางนปภา ศรเี อียด

 ยุวมัคคเุ ทศก์เปดิ เมอื งจนั เสน แหล่งประวัตศิ าสตรส์ มยั ทวาราวดี ........................... ๑๔๕
โรงเรยี นวดั จันเสน
สำ� นักงานเขตพื้นท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษานครสวรรค์ เขต ๓
ผู้เขยี น นางวนั เพ็ญ ศิรคิ ง

 นักสืบนอ้ ย ย้อนรอยประวัตศิ าสตร์หมบู่ า้ น ................................................................. ๑๕๕
โรงเรียนวัดโคกเขมา
ส�ำนกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศกึ ษานครปฐม เขต ๒
ผเู้ ขียน คุณครพู ิมพน์ ภิ า ทรพั ย์โชคธนกุล

 ย้อนรอยอดีต “ศาลากลางหลงั เก่า...มรดกเมอื งนนท์” ............................................... ๑๖๓
ส�ำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบรุ ี เขต ๑
ผเู้ ขียน นางเบญจา ชวนวัน

 ค่ายประวตั ศิ าสตร์ : อารยธรรม หา้ พนั ปีเรยี นรวู้ ิถีบา้ นเชยี ง .................................... ๑๗๓
โรงเรยี นอดุ รพฒั นาการ
ผเู้ ขียน นายอนพุ งษ์ ชมุ แวงวาปี นายชลติ จันทะศรี นายคฑาวุธ ไชยสิทธ์ิ
นางสาวสทุ นิ า ขนิ านา และอาจารยส์ นทิ มหาโยธี

 ไมเ่ ห็นจะยาก…หากเด็กจะท�ำหนังประวตั ศิ าสตร์ ........................................................ ๑๘๑
โรงเรียนรตั นราษฎรบ์ �ำรุง
สำ� นักงานเขตพืน้ ท่ีการศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต ๘ (ราชบุร)ี
ผเู้ ขียน คุณครวู รรษิดา พิทกั ษ์พิเศษ

12

ตอนท่ี ๑

การเรียนรูว้ ิชาประวตั ศิ าสตรก์ ับการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน



ตอนท่ี ๑

การเรียนรวู้ ิชาประวัตศิ าสตร์กบั การศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน

ความเป็นมาของการพัฒนาการเรยี นร้ปู ระวัติศาสตร์

ปี ๒๕๕๒ ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐานได้พิจารณาทบทวน
การบรหิ ารจดั การ การเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตร์ ทง้ั ทางดา้ นหลกั สตู ร การจดั การเรยี นการสอน
ประวัตศิ าสตรใ์ นสถานศกึ ษา เพือ่ ส�ำรวจสภาพปัญหาและหาแนวทางการพฒั นา ทางดา้ น
หลักสูตรน้ัน หลักสูตรท่ีใช้อยู่ในปัจจุบัน คือ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน
พุทธศักราช ๒๕๕๑ ได้จัดให้สาระประวัติศาสตร์ เป็นหนึ่งในกลุ่มสาระการเรียนรู้
สงั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม ทว่ี า่ ดว้ ยเรอ่ื งการอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คม โดยกำ� หนดสาระ
และมาตรฐานการเรยี นรใู้ น ๕ สาระ คอื (๑) ศาสนา ศลี ธรรม จรยิ ธรรม (๒) หนา้ ทพ่ี ลเมอื ง
วัฒนธรรมและการด�ำเนินชวี ิต (๓) เศรษฐศาสตร์ (๔) ประวตั ศิ าสตร์ (๕) ภมู ศิ าสตร์

การบูรณาการเน้ือหาสาระดงั กล่าวไว้ในกลมุ่ สังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม
น้ี เป็นประเด็นหนึ่งที่ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ ในกลุ่มนักวิชาการโดยเฉพาะในระดับ
มหาวิทยาลัย ท่ีเห็นว่า มาตรฐานของวิชาประวัติศาสตร์ในระดับประถมศึกษาและ
มธั ยมศกึ ษาตำ�่ กวา่ ความคาดหมาย และสง่ ผลกระทบไปถงึ การศกึ ษาตอ่ อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ
ในระดับมหาวิทยาลยั นกั วชิ าการดงั กลา่ วนมี้ ีความเห็นรว่ มกันว่า มีปจั จยั หลายประการ
ท่ีมีอิทธิพลต่อความอ่อนด้อยของวิชาประวัติศาสตร์ในระดับโรงเรียน ท่ีให้เวลาเรียนวิชา
ประวตั ศิ าสตรแ์ ละวชิ าอนื่ ในกลมุ่ วชิ าทางดา้ นสงั คมศกึ ษานอ้ ยเกนิ ไป ทงั้ ทมี่ เี นอื้ หาและทกั ษะ
กระบวนการที่ตอ้ งฝึกฝนจ�ำนวนมาก และคณุ ภาพของบคุ ลากรผูส้ อนประวตั ศิ าสตรท์ เ่ี น้น
ไปทางด้านเนื้อหาสาระมากเกินไปจนละเลยเร่ืองทักษะกระบวนการและเจตคติค่านิยม

15

อนั เป็นผลสืบเนอ่ื งมาจากเวลาเรียนจ�ำกัด อีกประการหนงึ่ ในขณะทีม่ กี ารปฏิรปู การเรยี น
การสอนระดับโรงเรียน แต่วิชาประวัติศาสตร์ยังไม่ได้รับการเอาใจใส่อย่างแท้จริง ทั้งที่
กระแสความรับรู้ของสังคมได้เรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเรียนการสอนประวัติศาสตร์
เพราะต่างเป็นห่วงกันว่าคนไทยและเยาวชนไทยมีความรู้ประวัติชาติของตัวเองน้อยมาก
ท้ังนี้อาจเป็นด้วยความเข้าใจปรัชญาและประโยชน์ในทางปฏิบัติของวิชาประวัติศาสตร์
ต่อพัฒนาการด้านภูมปิ ัญญาของเยาวชนของชาตไิ มช่ ดั เจน (กรมวิชาการ , ๒๕๔๓ : ๕)

รายงานการศึกษาเรื่อง “สภาพและปัญหาการจัดการเรียนการสอนสาระ
หนา้ ทพี่ ลเมอื งประวตั ศิ าสตร์ ศลี ธรรม ศาสนา เรยี งความและยอ่ ความ” ของสำ� นกั งาน
เลขาธกิ ารสภาการศึกษากระทรวงศกึ ษาธิการ (๒๕๕๑ : ก-ง) โดยกระบวนการวเิ คราะห์
หลกั สตู ร เอกสารทเี่ กยี่ วขอ้ ง การสอบถามครตู น้ แบบ และการจดั สนทนากลมุ่ กบั ครผู สู้ อน
ศึกษานิเทศก์ และผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา เมอ่ื วนั ท่ี ๒๐ - ๒๑ ธนั วาคม ๒๕๕๐ ได้สรุปผล
การศกึ ษาสภาพและปัญหาทเี่ กย่ี วขอ้ งกับสาระสงั คมศกึ ษาไว้ ๗ ขอ้ ดังนี้

(๑) สภาพและปัญหาเก่ียวกับครู
๑.๑ ครผู สู้ อนสว่ นใหญไ่ มไ่ ดจ้ บวชิ าเอกเฉพาะทางดา้ นสงั คมศกึ ษา ในระดบั

ประถมศกึ ษามคี รูที่สำ� เรจ็ การศกึ ษาในสาขานี้น้อยมาก
๑.๒ ครูส่วนหน่งึ ตอ้ งสอนหลายกลมุ่ สาระการเรียนร้แู ละสอนหลายระดบั

ช้นั ทำ� ใหไ้ ม่มีความถนดั ยงั ขาดความลุ่มลกึ ในเนอื้ หาวิชา และความช�ำนาญในการสอน
๑.๓ ครูผู้สอนมีภาระงานอื่นที่ไม่เก่ียวข้องกับภาระงานสอนจ�ำนวนมาก

ท้ังงานภายในและภายนอกสถานศึกษา เชน่ งานธรุ การ การเงิน พัสดุ อนามยั การท�ำงาน
ร่วมกับชุมชนและหน่วยงานต่างๆ ท่ีเข้ามาประสานขอความร่วมมือจากสถานศึกษา
ทั้งดา้ นสาธารณสุข งานปกครอง งานจดั ท�ำขอ้ มูล สารสนเทศ ใหแ้ ก่หนว่ ยงานตา่ งๆ ทำ� ให้
ครูไม่สามารถให้เวลาและทุ่มเทในการสอนได้อย่างเพียงพอ ไม่มีเวลาเตรียมการสอน
การศกึ ษาคน้ ควา้ หาความรแู้ ละการตรวจแบบฝกึ หดั อยา่ งละเอยี ดทว่ั ถงึ รวมทง้ั การใหข้ อ้ มลู
ยอ้ นกลับเพ่อื ปรับปรงุ พฒั นาทกั ษะและผลงานของนกั เรยี น

๑.๔ ครูผู้สอนขาดความรู้ความเข้าใจในหลักสูตร สาระการเรียนรู้อย่าง
ลึกซึ้ง ศักยภาพยังไม่เพียงพอต่อการพัฒนาหลักสูตร การเช่ือมโยงจากหลักสูตรไปสู่
การจัดการเรียนการสอนยังท�ำไม่ได้ดี ครูไม่ได้จัดท�ำแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง
แต่ปรับจากแผนการจัดการเรียนรู้หรือใช้แผนการจัดการเรียนรู้ส�ำเร็จรูปของส�ำนักพิมพ์
เอกชน โดยขาดการวิเคราะหถ์ ึงความเหมาะสมกบั บรบิ ทท่ีเป็นจริงของสถานศกึ ษาตนเอง

๑.๕ ครผู สู้ อนไมไ่ ดร้ บั การฝกึ อบรมและพฒั นาทง้ั ในดา้ นความรเู้ นอื้ หาวชิ า
และ ทกั ษะในการจดั การเรยี นรู้ การจดั ฝกึ อบรมเนน้ จดั ใหส้ ำ� หรบั ครผู สู้ อนกลมุ่ สาระอนื่ ๆ

16

เช่น ภาษาไทย ภาษาต่างประเทศ วิทยาศาสตร์ แต่การฝึกอบรมให้แก่ครูสังคมศึกษา
ท้งั สาระหน้าทพี่ ลเมือง ประวัติศาสตร์ ศีลธรรมและศาสนายงั มนี อ้ ย

(๒) สภาพและปัญหาเกย่ี วกับนักเรยี น
นักเรียนไม่ให้ความส�ำคัญและขาดคุณลักษณะใฝ่เรียนรู้ในกลุ่มสาระ

สังคมศึกษา โดยมองว่า สาระสังคมศึกษาเปน็ วชิ าง่ายๆ อ่านเองได้
(๓) สภาพและปัญหาเก่ียวกับหลักสูตรและการบริหารการจัดการเรียน

การสอน
๓.๑ หลักสูตรสถานศึกษาไม่ครอบคลุมและไม่เหมาะสมกับบริบทของ

สถานศึกษา เพราะผู้บริหารและครูยังขาดความรู้และความเข้าใจในการจัดท�ำหลักสูตร
สถานศึกษาที่ถูกต้องตามหลักวิชา ซ่ึงท�ำให้ไม่ครอบคลุมสาระตามมาตรฐานหลักสูตร
และหลกั สูตรสถานศึกษาขาดเน้ือหาส�ำคัญบางส่วนไป

๓.๒ กลุ่มสาระสังคมศึกษามีเนื้อสาระมาก ท้ังประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์
หน้าท่ีพลเมือง ศีลธรรมและศาสนา แต่จัดเวลาเรียนในหลักสูตรไว้เพียงสัปดาห์ละ ๒-๓
คาบ เท่าน้ัน ท�ำให้ไม่สามารถจัดการเรียนการสอนให้ครบถ้วนตามเนื้อหาสาระ และช่วง
เวลาในการฝึกทกั ษะกระบวนการมีจ�ำกดั

๓.๓ ผบู้ รหิ ารสถานศึกษาใหค้ วามสำ� คญั กบั กลุ่มสาระสังคมศกึ ษา ศาสนา
และวัฒนธรรมค่อนข้างน้อย ยังขาดความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตรและมีทัศนะ
ที่คลาดเคล่ือนว่าวิชาในกลุ่มสาระสังคมศึกษาน้ัน ครูคนใดก็สามารถสอนได้ โดยเฉพาะ
อย่างย่งิ การสอนในระดบั ประถมศกึ ษา

(๔) สภาพและปญั หาเก่ยี วกับการจัดการเรียนการสอน
การจัดการเรียนการสอนในกลุ่มสังคมศึกษาส่วนใหญ่ยังคงเน้นข้อมูล

และสร้างความเข้าใจในสาระเน้ือหา แต่โดยท่ัวไปก็ใช้กิจกรรมการเรียนการสอนที่
หลากหลาย เช่น

สาระประวตั ศิ าสตร์ โดยการบรรยาย การเล่าเรอ่ื ง การใชส้ อื่ เช่น วีดทิ ศั น์
สอ่ื หนงั สอื การเรยี นผา่ นโครงการโทรทัศนข์ องโรงเรยี นวงั ไกลกังวล การเล่นละคร หรือ
บทบาทสมมติ การใช้แหล่งเรียนรู้ในชุมชน การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองและมีการศึกษา
จากสถานทท่ี างประวตั ิศาสตร์บ้าง

สาระหน้าท่ีพลเมือง สอนโดยการบรรยาย การจัดสถานการณ์จ�ำลอง
การใชภ้ มู ิปญั ญาท้องถิ่น

สาระ ศาสนา ศีลธรรม และจริยธรรม สอนโดยการบรรยาย การใชน้ ิทาน
การใชก้ รณศี ึกษา สอนโดยครูพระสอนศีลธรรมและผู้น�ำท้องถ่ิน

17

(๕) สภาพและปญั หาเกี่ยวกับสือ่ การเรยี นการสอน
๕.๑ ส่ือการเรียนการสอนกลุ่มสาระสังคมศึกษาไม่เพียงพอ และไม่เร้า

ความสนใจผู้เรียน สถานศึกษาให้ความส�ำคัญน้อยและไม่ค่อยจัดสรรงบประมาณเพ่ือ
จัดหาสือ่ ในกลมุ่ สาระนี้

๕.๒ ในการเรียนการสอน ครูผู้สอนใช้หนังสือเรียนเป็นส่ือการเรียน
การสอนมากไป ขาดการใช้สื่อที่ทันสมัย ส่ือสร้างสรรค์ และส่ือท่ีมีคุณภาพมาใช้
ในการจดั การเรียนการสอน

๕.๓ ครขู าดทักษะในการผลติ สอ่ื การเรียนการสอนที่เหมาะสมกบั ผเู้ รยี น
(๖) สภาพและปญั หาเกย่ี วกับการนิเทศการเรียนการสอน

๖.๑ ยังขาดศึกษานิเทศก์ท่ีมีความเช่ียวชาญเฉพาะกลุ่มสาระสังคมศึกษา
โดยตรง โดยเฉพาะทางด้านประวตั ศิ าสตร์ ศาสนาและวัฒนธรรม

๖.๒ ศกึ ษานเิ ทศกส์ ว่ นหนง่ึ เปน็ ศกึ ษานเิ ทศกใ์ นระดบั ประถมศกึ ษามากอ่ น
เมื่อปฏิบัติงานในเขตพ้ืนที่การศึกษาท่ีต้องให้นิเทศโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาด้วย จึงไม่
สามารถให้การนิเทศการเรียนการสอนกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ได้
อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพมากนัก

๖.๓ ศกึ ษานเิ ทศกม์ ภี าระงานอนื่ มาก โดยเฉพาะงานทไี่ มเ่ กยี่ วกบั งานนเิ ทศ
การเรียนการสอน เช่น งานธุรการ งานการเงิน งานบริการต่างๆ จึงไม่สามารถปฏิบัติ
งานนเิ ทศไดต้ ามภารกจิ หลัก

นอกจากนี้ระบบการนิเทศงานวิชาการภายในสถานศึกษายังไม่เข็มแข็ง
ไม่สามารถใหก้ ารนเิ ทศได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ

(๗) สภาพและปญั หาเกี่ยวกบั ปัจจัยแวดลอ้ มอืน่ ๆ
๗.๑ เนื้อหาที่ใช้สอบ O-Net ไม่สอดคล้องกับการสอนตามหลักสูตร

เป็นเหตุท�ำให้ครูผู้สอนต้องตัดสาระบางเรื่องออกไป เพื่อสอนให้ทันกับเวลาท่ีนักเรียน
ต้องสอบ

๗.๒ ปัญหาเชิงนโยบาย ได้แก่ การก�ำหนดนโยบายให้นักเรียนท่ีไม่ผ่าน
เกณฑไ์ ม่ตอ้ งเรียนซ�ำ้ ช้ัน สง่ ผลต่อคุณภาพการเรยี นการสอนและนโยบายทย่ี กเลิกระเบียบ
การลงโทษนักเรยี น ทำ� ใหค้ รจู �ำนวนหน่งึ ขาดความสามารถในการปกครองช้ันเรียน

๗.๓ นโยบายทางการศึกษามีการเปลี่ยนแปลง ขาดความต่อเนื่อง
ในการดำ� เนนิ การตามนโยบาย ขน้ึ อยกู่ บั การเปลย่ี นแปลงผบู้ รหิ ารระดบั สงู ซงึ่ มผี ลกระทบ
ต่อการเปลยี่ นแปลงนโยบายและการด�ำเนินงาน

18

รายงานการศึกษาของส�ำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
มีข้อมูลที่สอดคล้องกับการส�ำรวจสภาพปัญหาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ ของ
สำ� นกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา โดยไดศ้ กึ ษาวเิ คราะหเ์ อกสารหลกั สตู ร หนงั สอื เรยี น
การสัมภาษณ์ครูผู้สอน นักเรียน ผู้ปกครอง และผู้ทรงคุณวุฒิทางประวัติศาสตร์
พบว่า ปญั หาการเรยี นการสอนประวตั ิศาสตร์ ประกอบดว้ ย

(๑) ปัญหาจากหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน และการบริหารหลักสูตรของ
สถานศึกษา เน่ืองจากสาระประวัติศาสตร์รวมอยู่ในกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และ
วฒั นธรรม ซึ่งมีข้อมลู และเนอ้ื หาทตี่ อ้ งเรยี นจำ� นวนมาก เปน็ ผลให้การเรยี นการสอนส่วน
ใหญ่มีลักษณะการท่องจ�ำข้อมูล ยังขาดการพัฒนากระบวนการเรียนรู้อ่ืน ได้แก่ ทักษะ
กระบวนการคดิ การสบื คน้ ความรู้ การต้งั ค�ำถาม

(๒) ปัญหาจากครูผู้สอน เนื่องจากครูผู้สอนส่วนใหญ่ไม่มีพื้นฐานความรู้
ทางดา้ นประวตั ิศาสตร์ มีครวู ชิ าเอกประวตั ศิ าสตร์จ�ำนวนนอ้ ยมาก และเกือบทง้ั หมดสอน
ในระดบั มธั ยมศกึ ษา สว่ นครปู ระถมศกึ ษาแทบจะไมม่ เี ลย มคี รวู ชิ าเอกสงั คมศกึ ษาบา้ ง แต่
หลายคนต้องไปสอนรายวิชาอื่น เช่น ภาษาอังกฤษ ประกอบกับการพัฒนาครูผู้สอน
ประวตั ิศาสตร์ยังน้อยมาก เมอ่ื เทยี บกับการพฒั นาครูวชิ าอนื่ ๆ ตลอดชว่ งระยะเวลา ๓๐ ปี
ท่ีผ่านมามีเอกสารที่ให้ความรู้ความเข้าใจด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้ประวัติศาสตร์
จ�ำนวนน้อย มีเพียงเอกสารการจัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ ๒ เล่ม เร่ือง
“ประวตั ศิ าสตรไ์ ทย : จะเรยี นจะสอนกนั อยา่ งไร” และ “เพอ่ื นคคู่ ิด มติ รคู่ครู : แนวการ
จดั การเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตร”์ ทกี่ รมวชิ าการและ สำ� นกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา ได้
จดั พิมพเ์ ผยแพร่ใหส้ ถานศึกษา

ปญั หาจากครูผู้สอน จะมีผลตอ่ การจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนประวตั ิศาสตร์
สูงมากกว่าปัญหาด้านอ่ืน เพราะเม่ือครูขาดความรู้และความเข้าใจในทักษะการเรียนรู้
ประวัติศาสตร์ ย่อมไม่สามารถจัดกระบวนการเรียนรู้ได้ตามเป้าหมายของหลักสูตร รวม
ทง้ั ไม่สามารถตอบสนองความตอ้ งการของผ้เู รียนในยุคโลกาภิวัตน์ได้

(๓) ปญั หาสงั คม สภาพสงั คมในปจั จบุ นั สว่ นหนง่ึ ทำ� ใหผ้ เู้ รยี นไมเ่ หน็ ความสำ� คญั
ของวิชาประวัติศาสตร์ ที่ไม่สามารถเช่ือมโยงหรือประยุกต์ใช้ในการเพ่ิมคุณค่าและ
การพฒั นาตนในโลกปจั จบุ นั ทเ่ี ตม็ ไปดว้ ยขอ้ มลู ขา่ วสาร ทงั้ การสง่ เสรมิ ทางดา้ นการศกึ ษา
มุ่งด้านเทคโนโลยี และภาษาเพ่ือการสื่อสาร จะเห็นว่าในหลายปีที่ผ่านมาสถานศึกษา
เน้นไปท่ีการเรียนรู้คอมพวิ เตอร์ ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน วทิ ยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์

(๔) ปัญหาจากสอ่ื การเรียนรู้ ผ้สู อนสว่ นใหญใ่ ช้สอ่ื ในการจดั การเรียนการสอน
คือ หนังสือเรียนประวัติศาสตร์ที่มีลักษณะเป็นข้อมูลเนื้อหา เป็นผลให้การจัดการเรียน

19

การสอนจงึ เนน้ ทขี่ อ้ มลู เนอ้ื หาเปน็ หลกั แตส่ อื่ การเรยี นรดู้ า้ นอนื่ ๆ เชน่ สอ่ื บคุ คล (นกั วชิ าการ
ในท้องถ่ิน ปราชญ์ และผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่น ผู้เฒ่า
พระสงฆ์ นักบวช) แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น (ศูนย์วัฒนธรรม พิพิธภัณฑ์) ไม่ได้ถูก
น�ำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ ท้ังส่ือการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ท่ีมีอยู่
ยังไม่น่าสนใจ ขาดสีสันและไม่น่าเรียนรู้ (รายงานโครงการพัฒนาการเรียนการสอน
ประวัติศาสตร,์ ๒๕๕๑ : ๑)


อนงึ่ ดว้ ยภาวะปจั จบุ นั ความเจรญิ ทางเทคโนโลยแี ละการสอ่ื สารในยคุ โลกาภวิ ตั น์
ที่ข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายได้รวดเร็วและกว้างขวางนั้น ได้ส่งผลกระทบต่อสังคมไทย
และวถิ ชี วี ติ แบบไทยอยา่ งรนุ แรง เกดิ การเปลยี่ นแปลงทง้ั ทางดา้ นภาษา คา่ นยิ ม พฤตกิ รรม
และทศั นคติของคนในสังคมอยา่ งมาก แมว้ ่าก่อให้เกิดผลดี คอื ท�ำใหส้ ังคมไทยมลี กั ษณะ
เป็นสากลหรือตะวันตกมากข้ึน แต่ผลกระทบของกระบวนการโลกาภิวัตน์โดยตรง คือ
การท�ำลายวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติไทยและสภาพสังคมไทยได้เส่ือมโทรมลง
ส่งผลให้เกิดความฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย กระแสวัตถุนิยมและบริโภคนิยมได้ครอบง�ำวิถีไทย
วัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมท้องถ่ิน ที่ส�ำคัญคือ ความไม่สนใจหรือความไม่เข้าใจ
ความเป็นชาติไทยท่ีมีความเจริญรุ่งเรืองมาช้านานและไม่รู้จักซาบซ้ึงและความภาคภูมิใจ
ในประวตั ศิ าสตรช์ าติไทย (กรมวชิ าการ, ๒๕๔๓ : ๔ )
ซ่ึงแนวคิดดังกล่าวนี้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบบั ที่ ๑๐ (พ.ศ. ๒๕๕๐ - ๒๕๕๔) ไดก้ ลา่ วถงึ ผลการพฒั นาประเทศในชว่ งกวา่ สท่ี ศวรรษ
ทผี่ า่ นมาในช่วงแผนพฒั นาฯ ฉบับที่ ๑ - ฉบับท่ี ๙ วา่
“...การทร่ี ะบบเศรษฐกจิ และสงั คมไทยเปดิ กวา้ งสู่ โลกาภวิ ตั น์ โดยเนน้ การเตบิ โต
ทางเศรษฐกิจ เพื่อสร้างความม่ังค่ังและรายได้ของประเทศ ขณะท่ีการเล่ือนไหล
ของวัฒนธรรมอย่างไร้พรมแดนเข้าสู่สังคมไทย โดยขาดภูมิคุ้มกันในการกลั่นกรองที่ดี
ได้ส่งผลกระทบต่อระบบคุณค่า ความเช่ือ พฤติกรรมการด�ำรงชีวิตและการปฏิสัมพันธ์
ในสังคมไทยให้ปรับเปลี่ยนไปจากเดิม คนไทยมีค่านิยมและพฤติกรรมที่เน้นวัตถุนิยม
และบรโิ ภคนยิ มเพม่ิ มากขนึ้ ขาดจติ สำ� นกึ สาธารณะใหค้ วามสำ� คญั สว่ นตนมากกวา่ สว่ นรวม
การให้คุณค่าและศักด์ิศรีของความเป็นคนและการยึดหลักธรรมในการด�ำรงชีวิต
เรมิ่ เส่อื มถ อยลง วัฒนธรรม และภมู ปิ ัญญาของชาติ ถูกละเลย...”
กระแสของสงั คมทส่ี ะทอ้ นตอ่ การจดั การเรยี นการสอนประวตั ศิ าสตรช์ าตไิ ทยมมี า
อยา่ งตอ่ เนอ่ื งวา่ นกั เรยี นยงั ขาดความรคู้ วามเขา้ ใจ และความภาคภมู ใิ จในความเปน็ คนไทย
รวมทงั้ ยงั ไมส่ ามารถประพฤติ ปฏบิ ตั ติ นตามหลกั ศลี ธรรมและหลกั ศาสนาไดด้ ี นอกจากนี้

20

รฐั มนตรชี ว่ ยว่าการกระทรวงศกึ ษาธกิ ารในขณะน้นั (นายวรากรณ์ สามโกเศศ) ในฐานะ
ผู้มีบทบาทส�ำคัญในการก�ำหนดนโยบาย ก�ำกับดูแลการจัดการศึกษาของกระทรวง
ศึกษาธิการ ก็ได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับผลการเรียนรู้ท่ีเป็นปัญหาดังกล่าว ท้ังจากการรับฟัง
จากผู้ท่ีเก่ียวข้องและการตรวจเย่ียมสถานศึกษาด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง ก็เห็นพ้อง
กับข้อมลู จากสว่ นอนื่ ๆ ดังปรากฏในค�ำให้สัมภาษณ์แก่ส่ือมวลชนวา่

“จากการท่ี พล.อ. พิจิตร กุลละวณชิ ย์ องคมนตรีได้แสดงความหว่ งใยเกยี่ วกับ
การท่ีนักเรียน เรียนวิชาประวัติศาสตร์น้อยลง แม้แต่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชก็ยัง
ไม่รู้จัก มารู้จักตอนท่ีสร้างเป็นภาพยนตร์แล้ว รวมทั้งพันท้ายนรสิงห์ ก็รู้จักเป็นน�้ำพริก
ย่ีห้อหนึ่งเท่าน้ัน นอกจากนี้ยังได้รับจดหมายสอบถามจากผู้ปกครองว่าปัจจุบันโรงเรียน
ไม่มีการสอนวิชาประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมืองท่ีดีและศีลธรรมแล้วหรือ เพราะเด็ก
ส่วนใหญ่ก็ไม่รู้จักบุคคลส�ำคัญทางประวัติศาสตร์และไม่รู้จักการเป็นพลเมืองที่ดี รวมถึง
ยังขาด คุณธรรม ศีลธรรม ซ่ึงตนเองก็เกิดค�ำถามเช่นกัน...” (ส�ำนักงานเลขาธิการ
สภาการศ กึ ษา, ๒๕๕๑ หนา้ ๓)

ประวัติศาสตร์ เป็นศาสตร์ท่ีเกี่ยวข้องกับสิ่งท่ีมนุษย์คิดและกระท�ำ ตามมิติ
ของเวลา ประวัติศาสตร์จึงเป็นศาสตร์ที่ศึกษาประสบการณ์ของมนุษย์ได้ดีกว่าศาสตร์
แขนงอนื่ ทงั้ ยงั เปน็ วชิ าพนื้ ฐานสำ� คญั ของการเรยี นรู้ โดยทำ� หนา้ ทเ่ี ชอ่ื มศาสตรท์ งั้ สามสาขา
คือ มนุษย์ศาสตร์ สงั คมศาสตรแ์ ละวทิ ยาศาสตร์ ซง่ึ เปน็ ทย่ี อมรับกนั โดยท่วั ไปวา่ พ้นื ฐาน
ความรู้และความเข้าใจทางประวตั ศิ าสตร์ จะเปน็ รากฐานส�ำคัญของการเขา้ ในปัญหาตา่ งๆ
ว่าเกิดขึ้นได้อย่างมีเหตุผล มาตรการในการแก้ไขปัญหาก็จะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
และเหมาะสมเพิ่มมากข้ึน ในขณะเดียวกันการกระท�ำหรือการตัดสินใจใดๆ ท่ีมิได้ต้ังอยู่
บนพ้ืนฐานความรู้ทางประวัติศาสตร์แล้วมักจะผิดพลาดได้ง่าย วิชาประวัติศาสตร์จึงเป็น
ศาสตร์ทีส่ ำ� คัญยงิ่ ในการศึกษาระดับประถมศกึ ษาและมัธยมศกึ ษา

ในดา้ นเนอื้ หา การสอนประวตั ศิ าสตรท์ ด่ี จี ะเทา่ กบั เปน็ การวางรากฐานใหน้ กั เรยี น
มีความรู้ ความเข้าใจและความตระหนักถึงผลกระทบของอดีตที่มีต่อปัจจุบันทั้งในระดับ
ชุมชนและระดับสงั คมโลก

ในด้านการเสริมสร้างภูมิปัญญาและทักษะด้านมนุษยศาสตร์ การสอน
ประวัติศาสตร์ตามข้ันตอนที่ถูกต้อง จะเป็นการพัฒนาทักษะกระบวนการคิด จัดระบบ
ความคิดไปพร้อมกับการใช้ภาษา ด้วยการจัดระบบข้อเท็จจริงให้สัมพันธ์กับมิติเวลา
สถานที่ บุคคลส�ำคัญและเหตุการณ์ต่างๆ ในลักษณะท่ีสามารถอธิบายให้เข้าใจได้อย่าง
น่าสนใจ

21

ในดา้ นจรยิ ธรรมและวฒั นธรรม ประวตั ศิ าสตรจ์ ะเปน็ การนำ� ตวั อยา่ งเหตกุ ารณ์
ท่ีเป็นบทเรียนท่ีเกิดขึ้นแล้วในอดีตมาใช่ในการพิจารณา วิพากษ์วิจารณ์ในเชิงจริยธรรม
อันจะเป็นเคร่ืองกระตุ้นให้เยาวชนเกิดทัศนคติที่ดีต่อการพัฒนาตนเองและอนุรักษ์มรดก
ทางวัฒนธรรม

ประกอบกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ในการพัฒนาเยาวชนของชาติ
เขา้ ส่โู ลกยุคศตวรรษที่ ๒๑ โดยมงุ่ สง่ เสรมิ ผ้เู รียนมีคุณภาพ รกั ความเปน็ ไทย ให้มที กั ษะ
การคดิ วเิ คราะห์ สรา้ งสรรค์ มที กั ษะดา้ นเทคโนโลยี สามารถทำ� งานรว่ มกบั ผอู้ นื่ และสามารถ
อยรู่ ่วมกบั ผอู้ น่ื ในสังคมโลกไดอ้ ย่างสนั ติ (กระทรวงศึกษาธิการ ๒๕๕๑ : ๒)

ดว้ ยเหตดุ งั กลา่ ว สำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน ไดใ้ หค้ วามสำ� คญั
กบั การพฒั นากระบวนการเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตร์ โดยกำ� หนดเปน็ นโยบายในแผนปฏบิ ตั กิ าร
ประจ�ำปงี บประมาณ ๒๕๕๒ ในกลยทุ ธ์ทิ ่ี ๑ “ปลูกฝังคุณธรรมความส�ำนึกในความเป็น
ชาติไทย” และมอบหมายใหส้ �ำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา จัดทำ� แผนยทุ ธศาสตร์
เพ่ือพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ ประจ�ำปี ๒๕๕๒ โดยให้รีบเร่งด�ำเนินการ
อยา่ งเรง่ ดว่ น ทง้ั นี้ คณุ หญงิ กษมา วรวรรณ ณ อยธุ ยา เลขาธกิ ารคณะกรรมการการศกึ ษา
ข้ันพื้นฐาน ได้กล่าวในที่ประชุมผู้บริหารส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน
เมอ่ื วันท่ี ๒๖ สงิ หาคม ๒๕๕๑ ว่า

“ในเร่ืองของการปรับการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ให้โดดเด่น เพื่อสนอง
พระราชเสาวนีย์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จะรวมอยู่ในกลยุทธ์หลัก
ข้อที่ ๑ ซึ่งได้มอบหมายให้ฝ่ายที่เก่ียวข้องไปส�ำรวจว่า ความรู้ความเข้าใจในด้าน
ประวัติศาสตร์ของนักเรียนในแต่ละช่วงชั้นมีมากน้อยเพียงใด ท้ังนี้ได้มีการก�ำหนด
ยุทธศาสตร์และต้องดูว่าการเรียนการสอนควรเป็นเช่นไร ซ่ึงคิดว่าจะต้องมีการพัฒนา
สอื่ เสรมิ และสง่ เสริมกจิ กรรม รวมทงั้ จะตอ้ งมีการอบรมครสู อนวชิ าประวตั ิศาสตรใ์ นช่วง
เดอื นตุลาคมน้ีด้วย” (หนงั สือพิมพ์มตชิ นรายวัน : ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๑ : หน้า ๒๐)
โดยมอบหมายให้ นางออ่ งจิต เมธยะประภาส ท่ปี รกึ ษาดา้ นนโยบายและแผน (ต�ำแหนง่
ในขณะน้ัน) เป็นผู้ก�ำกับติดตามการพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ ให้เป็นไป
ตามนโยบายของส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน มีการก�ำหนดบทบาท
การท�ำงานขบั เคลอื่ นคณุ ภาพการเรียนรปู้ ระวตั ิศาสตร์ ดังน้ี

บทบาทของสำ� นกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน
๑. จัดท�ำหลักสูตรอบรมและด�ำเนินการการพัฒนาครูให้มีความเข้มแข็งในการ
จัดการเรียนการสอนประวัตศิ าสตรอ์ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ
๒. ส่งเสรมิ ใหม้ ีการจัดต้ังศูนย์การเรยี นรู้ประวัติศาสตรใ์ นพืน้ ท่ี

22

๓. สง่ เสรมิ สนบั สนนุ สอ่ื การเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตรแ์ กส่ ถานศกึ ษาอยา่ งหลากหลาย
ท้ังส่ือส่ิงพิมพ์ และส่ือเทคโนโลยี เช่น หนังสือเรียน คู่มือการจัดกิจกรรม ส่ือห้องเรียน
เสมือนจรงิ (virtual field trip)

๔. สง่ เสริมให้มเี ครอื ข่ายเพอื่ พฒั นาการเรยี นรู้ประวตั ิศาสตร์ทุกระดบั
บทบาทของสำ� นักงานเขตพื้นท่กี ารศึกษา
๑. ด�ำเนินการจดั ต้งั และพัฒนาศนู ยก์ ารเรยี นรู้ประวัติศาสตรใ์ นพนื้ ท่ี
๒. จดั กจิ กรรมสง่ เสรมิ และสนบั สนนุ ใหส้ ถานศกึ ษามคี วามพรอ้ มและมผี ลงานการ
พัฒนาการเรยี นรูป้ ระวตั ิศาสตร์
๓. ติดตามก�ำกบั ดแู ลให้มีการพัฒนาการเรียนรู้ประวัตศิ าสตร์อยา่ งตอ่ เนื่อง
บทบาทของสถานศึกษา
๑. จดั การเรยี นการสอนประวัตศิ าสตร์ สปั ดาห์ ๑ คาบ
๒. จดั กจิ กรรมสรา้ งเสรมิ ประสบการณแ์ ละศกั ยภาพแกผ่ เู้ รยี นดว้ ยวธิ กี ารทหี่ ลาก
หลาย ใหผ้ เู้ รยี นตระหนกั และเหน็ ความสำ� คญั ของความเปน็ มาของชาตไิ ทย และเอกลกั ษณ์
ความเปน็ ไทย
๓. ติดตามประเมินผลการเรยี นรปู้ ระวัตศิ าสตร์เพอ่ื การพัฒนาอย่างต่อเน่อื ง
การดำ� เนนิ การของสำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐานในการพฒั นาการ
เรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตรม์ าอยา่ งตอ่ เนอื่ ง โดยไดด้ ำ� เนนิ กจิ กรรมตา่ งๆไปพรอ้ มๆกนั ในกจิ กรรม
หลกั ๔ กจิ กรรม คือ
๑. การพฒั นาหลักสูตรและการบรหิ ารจดั การ การใชห้ ลกั สูตรในสถานศึกษา
๒. การพัฒนาครู ศกึ ษานิเทศก์ และกระบวนการเรยี นการสอนประวัตศิ าสตร์
๓. การพัฒนาผู้เรียนให้ตระหนัก และเห็นความส�ำคัญของความเป็นมาของชาติ
ไทยและเอกลักษณ์ความเป็นไทย
๔. การพฒั นา สอ่ื การเรียนรู้ทน่ี ่าสนใจและมีประสทิ ธภิ าพ

กรอบแนวคดิ และหลกั การดำ� เนินงาน
ในการด�ำเนินงานพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์น้ันได้ใช้ทฤษฏี
ทางสงั คมศาสตร์เป็นกรอบความคิดและเปน็ หลกั ในการด�ำเนนิ งานดังน้ี
๑. การพฒั นาหลักสูตรและการบริหารจัดการหลักสตู รในสถานศึกษา

การปรบั ปรงุ หลกั สตู ร หรอื การพฒั นาหลกั สตู รไมว่ า่ จะเปน็ รายวชิ าใดกต็ าม
ถือว่าเป็นสิ่งจ�ำเป็น ท้ังนี้เพ่ือให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางสังคมท่ีเปลี่ยนแปลงไป
การพัฒนาหลักสูตรของแต่ละประเทศนั้น ได้มีการก�ำหนดจุดหมายและจุดประสงค์ของ

23

การศกึ ษาแตกตา่ งกนั ไปในแตล่ ะประเทศทง้ั นขี้ น้ึ อยกู่ บั ปรชั ญาการศกึ ษา บรบิ ทของประเทศ
อันประกอบด้วยพื้นฐานทางสังคม วฒั นธรรม เศรษฐกจิ และนโยบายของรฐั บาล รวมทงั้
ตัวแปรอนื่ ๆ ที่แตกต่างกนั

ถ้าจะศึกษาย้อนหลังถึงการพัฒนาหลักสูตรในประเทศไทย โดยเฉพาะ
หลกั สตู รวชิ าสงั คมศกึ ษาแลว้ จะพบวา่ ในแตล่ ะชว่ ง แตล่ ะสมยั ไดม้ กี ารเคลอ่ื นไหวเกย่ี วกบั
การปรับปรุงวิชาสังคมศึกษาอยู่ตลอดเวลา การเคล่ือนไหวท่ีจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
ในแตล่ ะเรอื่ งนนั้ กลา่ วไดว้ า่ การปรบั เปลย่ี นเรอ่ื งทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั สงั คมดงั กลา่ วเปน็ เรอ่ื งปกติ
วสิ ัย เพราะสงั คมจะมกี ารปรบั เปลยี่ นไปตลอดเวลาไมห่ ยดุ อยกู่ ับท่ี แตจ่ ะหมุนเวยี นเปลยี่ น
ไปตามสภาพสภาพเศรษฐกิจและสังคมในแต่ละยุคแต่ละสมัย ซึ่งเป็นสิ่งจ�ำเป็น
ทไ่ี มส่ ามารถหลีกเลย่ี งได้ (กรมวิชาการ, มปพ.: ๙)

ดังน้ัน หลักการส�ำคัญของการด�ำเนินงานพัฒนาหลักสูตรและการบริหาร
จัดการหลักสตู รในสถานศึกษา ในครงั้ น้ี คอื การแยกการเรียนการสอนประวตั ิศาสตร์ให้
เปน็ วิชาเฉพาะ สัปดาหล์ ะ ๑ ช่วั โมง ตามนโยบายของส�ำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษา
ขน้ั พน้ื ฐาน

๒. การพฒั นาไดร้ บั ความเหน็ ชอบจากหนว่ ยงานทเ่ี กย่ี วขอ้ งและคณะกรรมการ
พฒั นาการเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตรไ์ ทย ของสำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน

ทง้ั นเี้ พอ่ื ความถกู ตอ้ งตามหลกั การดำ� เนนิ งาน และเหมาะสม หลกั การสำ� คญั
คอื การพฒั นาดงั กลา่ วควรไดร้ บั ความเหน็ ชอบจากหนว่ ยงานและบคุ คลทมี่ คี วามเชยี่ วชาญ
และรบั ผิดชอบโดยเฉพาะดงั นี้

๑. คณะกรรมการการศึกษาข้นั พื้นฐาน ซงึ่ รบั ผดิ ชอบหลกั สูตรการศึกษา
ขน้ั พนื้ ฐาน

๒. หนว่ ยงานทมี่ คี วามรบั ผดิ ชอบโดยตรงกับการพฒั นากระบวนการเรยี น
การสอนประวตั ศิ าสตร์ เชน่ กลมุ่ พฒั นาหลกั สตู ร กลมุ่ พฒั นาสอื่ การเรยี นรู้ ในสำ� นกั วชิ าการ
และมาตรฐานการศกึ ษา สำ� นกั เทคโนโลยที างการศกึ ษา และ สำ� นกั นวตั กรรมทางการศกึ ษา

๓. ผเู้ ชยี่ วชาญหรอื ผทู้ รงคณุ วฒุ ทิ างประวตั ศิ าสตรไ์ ทย เชน่ คณะกรรมการ
ชำ� ระประวตั ศิ าสตรไ์ ทย ราชบณั ฑติ ยสถาน สมาคมประวตั ศิ าสตรใ์ นพระราชปู ถมั ภ์ สมเดจ็
พระเทพรัตนราชสุดาฯ รวมทัง้ อาจารย์ผูส้ อนประวัตศิ าสตรใ์ นสถาบนั อดุ มศกึ ษา

๔. ศกึ ษานเิ ทศก์ – ครู – อาจารย์ ซึ่งเปน็ ผู้สอน หรือผ้ทู จี่ ะน�ำไปพฒั นา
กระบวนการเรียนรู้ หรือ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในระดับประถมศึกษา และ
มัธยมศึกษา

24

หลักการน้ีถือเป็นหลักการด�ำเนินงานทุกข้ันตอนของการด�ำเนินกิจกรรม
ต่างๆ กล่าวคือ ส�ำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา ซ่ึงได้รับมอบหมายให้ด�ำเนินการ
พัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์เพ่ือสร้างจิตส�ำนึกความเป็นไทย ได้ประสานงาน
เรยี นเชญิ ผทู้ รงคณุ วฒุ ทิ างประวตั ศิ าสตร์ และผรู้ บั ผดิ ชอบกบั การพฒั นาการเรยี นการสอน
ประวัติศาสตร์ในหน่วยงานดังกล่าวข้างต้น เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาและกรรมการในคณะ
กรรมการพัฒนาการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไทย ที่ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษา
ขนั้ พน้ื ฐานไดแ้ ตง่ ตงั้ ขน้ึ ใหม้ บี ทบาทหนา้ ทพี่ จิ ารณาจดั ทำ� แนวทางการดำ� เนนิ งานและกำ� กบั
ติดตามดูแล การด�ำเนินงานการจัดกิจกรรมตามโครงการส่งเสริมและพัฒนาการเรียนรู้
ประวัติศาสตร์ของส�ำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน

๓. หลักการมสี ่วนรว่ ม
การพัฒนาศักยภาพครู และกระบวนการเรียนการสอนเพ่ือให้มี

ประสทิ ธภิ าพสงู สดุ จึงใชห้ ลกั การมสี ว่ นรว่ มทุกข้นั ตอน โดยเฉพาะดา้ นการบริหารจัดการ
และ กระบวนการเรียนรู้ โดย

ด้านการบริหารจัดการ ได้ รว่ มมือกบั หนว่ ยงานทีเ่ ก่ียวขอ้ ง ประกอบด้วย
กรมศิลปากร ซ่ึงมีบุคคลากรและแหล่งเรียนรู้กระจายในพ้ืนที่ต่างๆ คณะกรรมช�ำระ
ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยและราชบณั ฑติ ยสถาน ซงึ่ เปน็ หนว่ ยงานทมี่ บี ทบาทหนา้ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั
การพฒั นาองคค์ วามรทู้ างประวตั ศิ าสตรท์ เี่ ปน็ ปจั จบุ นั สมาคมประวตั ศิ าสตรใ์ นพระบรม
ราชปู ถมั ภส์ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าและสำ� นกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั (สกว.)
ซ่งึ เปน็ หน่วยงานท่สี นบั สนนุ การวิจัยประวตั ิศาสตรแ์ ละองคค์ วามรู้ทเี่ ก่ยี วขอ้ ง

ส่วนทางดา้ นกระบวนการเรยี นรู้ ไดเ้ นน้ การประชมุ เชิงปฏิบตั ิการ เพือ่ ให้
ผู้เข้ารับการพัฒนาได้มีส่วนร่วมโดยได้ฝึกทักษะการปฏิบัติจริงและได้สังเคราะห์
กระบวนการเรียนรู้ในลกั ษณะต่างๆ

๔. หลักนโยบายของสำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน
ตามนโยบายของสำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐานเพอ่ื ปรบั ปรงุ

การจดั การเรยี นการสอนประวตั ศิ าสตรใ์ นครงั้ นี้ เปน็ การดำ� เนนิ การปรบั ปรงุ หลกั สตู รทจ่ี ะ
ใชใ้ น ปกี ารศกึ ษา ๒๕๕๒ คอื หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ซ่ึงปรับปรุงโครงสร้างเวลาเรียนในทุกระดับชั้น และปรับเกณฑ์การจบการศึกษาในระดับ
มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ และระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย ระดบั ประถมศึกษาและมัธยมศกึ ษา
ตอนต้นก�ำหนดให้สถานศึกษาจัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์เป็นวิชาเฉพาะ สัปดาห์
ละ ๑ ช่ัวโมง ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายก�ำหนดให้สถานศึกษาจัดการเรียนการสอน
ประวัติศาสตร์สปั ดาหล์ ะ ๑ ช่วั โมง จ�ำนวน ๒ หนว่ ยกติ

25

๕. การดำ� เนนิ งานพฒั นาการเรยี นการสอนประวตั ศิ าสตร์ เปน็ ไปตามหลกั การ
เรยี นรทู้ างสงั คมศกึ ษา

หลักการเรยี นรู้ทางสังคมศึกษา ทนี่ �ำมาใช้ไดแ้ ก่ การเรียนรคู้ วรเร่ิมจาก
เรอื่ งใกลต้ วั ไปหาสง่ิ ทไ่ี กลตวั จากสงิ่ ทเี่ ปน็ รปู ธรรมกอ่ นสงิ่ ทเี่ ปน็ นามธรรม การเรยี นการสอน
โดยเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ หมายความว่าใช้ฐานข้อมูลของนักเรียนและ
บริบททางสังคมของนักเรียนเป็นฐานในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ โดยมีกรอบของ
หลกั สูตรเป็นแนวทางในการพัฒนาของแต่ละชนั้ ปี

ในการน้ี ศาสตราจารย์ ดร. เอกวทิ ย์ ณ ถลาง ไดเ้ สนอแนะไวใ้ นการสมั มนา
เรอ่ื งทิศทางการพัฒนาสื่อการเรยี นการสอนประวัตศิ าสตรไ์ ทย มสี าระสรุปว่า “การท่จี ะ
ใหน้ ักเรียนมคี วามเขา้ ใจและเหน็ คณุ คา่ ของการเรยี นวิชาประวัตศิ าสตร์ ตอ้ งค�ำนงึ ถงึ ระดับ
ความพร้อม วุฒิภาวะและประสบการณ์ของผู้เรียนเป็นองค์ประกอบส�ำคัญและควรให้
นักเรียนได้เรียนรู้เรื่องใกล้ตัว ตามหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ โดยเรียนให้เช่ือมโยงกัน
จนกระทัง่ เข้าใจโลกในส่วนรวม” (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, ๒๕๓๙ : ๒๒-๒๓)

ดร.วฒั นาพร ระงบั ทุกข์ ไดน้ �ำเสนอวา่ “การจัดการเรยี นการสอนท่ีเน้น
ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง คือ วิธีการส�ำคัญที่สามารถสร้างและพัฒนา “ผู้เรียน” ให้เกิด
คุณลักษณะต่างๆ ท่ีต้องการในยุคโลกาภิวัตน์ เน่ืองจากเป็นการจัดการเรียนการสอน
ทใ่ี หค้ วามสำ� คญั กบั ผเู้ รยี น สง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นรจู้ กั เรยี นรดู้ ว้ ยตนเองอยา่ งเตม็ ท”ี่ (วฒั นาพร
ระงบั ทกุ ข,์ ๒๕๔๒ : ๔)

ดร.วินัย พงศ์ศรีเพียร ได้เสนอว่า “แนวการเรียนการสอนประวัติศาสตร์
ควรเน้นหลักการของเสรีนิยม ซึ่งสอดคล้องกับสภาพสังคมปัจจุบัน การสอนตามหลัก
เสรีนิยมจะชว่ ยพัฒนาศกั ยภาพความคิดรเิ ริ่ม การใชเ้ หตุผลท่อี ยูใ่ นตรรกวิสยั เปา้ หมาย
ของการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ควรอยู่ที่การกระตุ้นกระบวนการความคิดมากกว่า
ความจ�ำ” (ส�ำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตร,ี ๒๕๔๒: ๔)

ตามหลักการด�ำเนินงานดังกล่าว ส�ำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษาจึงได้มี
เจตนารมณส์ ำ� คญั ทจี่ ะใหน้ กั เรยี นระดบั ประถมศกึ ษาไดเ้ รยี นรสู้ าระสำ� คญั ในประวตั ศิ าสตร์
โดยนักเรียนได้เร่ิมเรียนรู้จากส่ิงที่เป็นรูปธรรม ที่มีอยู่ในท้องถิ่นอันเป็นการเปิดโลก
ประวัตศิ าสตรใ์ หแ้ กเ่ ด็ก ในโลกของทอ้ งถน่ิ ของตนเอง โลกของชุมชนและขยายการเรยี นรู้
ใหก้ วา้ งขวางออกไป ใหเ้ หน็ ภาพของพฒั นาการของชาตไิ ทยในภาพรวม ทงั้ นเ้ี ปน็ การเรยี นรู้
เนือ้ หาสาระเพยี งสงั เขปเทา่ นัน้ เพอื่ ให้เหมาะสมกบั วุฒภิ าวะของเด็ก เปน็ การ “จุดไฟใฝ่ร”ู้
ซงึ่ ไมใ่ ชอ่ ยทู่ กี่ ารยดั เยยี ดขอ้ มลู และรายละเอยี ดเนอ้ื หาใหแ้ กเ่ ดก็ ทอ่ี ยใู่ นวยั เลน่ อยากรอู้ ยากเหน็
และอยากสำ� รวจโดยธรรมชาติ (กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๔๓ : ๒๙)

26

ส�ำหรับนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ซ่ึงเป็นวัยที่อยากรับรู้ข้อมูล
ข่าวสารเบื้องต้นเพิ่มมากขึ้น กระบวนการเรียนรู้จึงควรจะได้น�ำสู่ข้อมูลพ้ืนฐานทาง
ประวตั ศิ าสตร์ โดยวธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตรแ์ ละเปดิ โลกการเรยี นรใู้ หก้ วา้ งขนึ้ จากการทไ่ี ด้
ท�ำความเข้าใจวิถีชีวิต วัฒนธรรมของสังคมของตนเองและขยายไปสู่ความเข้าใจในสังคม
นานาชาติและสังคมโลก รวมทั้งประเด็นหรือเหตุการณ์ส�ำคัญในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
ซงึ่ เป็นเรือ่ งทา้ ทายในอนั ที่จะน�ำความเข้าใจวกิ ฤตการณข์ องชาตใิ นปัจจุบนั

ส่วนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย นักเรียนควรได้เรียนประวัติศาสตร์ไทย
เพ่ิมขึ้น โดยได้เข้าถึงเอกสารช้ันต้น ได้เรียนรู้ด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ความน่าเชื่อถือ
ของหลกั ฐานต่างๆ ทางประวัติศาสตร์ รวมทั้งได้ถกเถยี งและไดร้ ับสาระเนือ้ หารายละเอยี ด
ข้อมลู ทางประวัติศาสตรม์ ากยงิ่ ข้นึ

การดำ� เนนิ การดา้ นการพัฒนาการเรียนรู้ประวัตศิ าสตร์ของส�ำนักงานคณะ
กรรมการการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน

ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ด�ำเนินการด้านการพัฒนา
การเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตห์ ลายประการ ไดแ้ ก่ (๑) การปรบั รายละเอยี ดในหลกั สตู รแกนกลาง
การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (๒) การประกาศแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พื้นฐาน ๒๕๕๑ กลุ่มสาระการเรียนรสู้ งั คมศึกษา ศาสนา
และวัฒนธรรม (สาระท่ี ๔ ประวัติศาสตร์) (๓) จัดท�ำค�ำอธิบายรายวิชาประวัติศาสตร์
เพื่อเป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์เพ่ือสร้างจิตส�ำนึกความเป็นไทยและ
(๔) การจัดกิจกรรมการพฒั นาการเรยี นรูป้ ระวตั ิศาสตร์ รายละเอยี ดในข้อ (๑) และ (๒)
น�ำเสนอในบทท่ี ๒ หลักสูตรการศึกษาของไทยกับการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์
ในสว่ นนีจ้ ะน�ำเสนอเฉพาะข้อ (๓) และ (๔) เปน็ ดังนี้

การจดั ทำ� คำ� อธบิ ายรายวชิ าประวตั ศิ าสตรเ์ พอ่ื เปน็ แนวทางการจดั การเรยี นรู้
ประวตั ศิ าสตร์ เพอ่ื สรา้ งจติ สำ� นกึ ความเปน็ ไทย

เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์มีประสิทธิภาพ ส�ำนักงาน
คณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐานจึงได้จัดท�ำค�ำอธิบายรายวิชาประวัติศาสตร์ในสาระ
แกนกลางในระดบั ประถมศกึ ษาและมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ ทกุ ชน้ั ปี สว่ นในระดบั มธั ยมศกึ ษา
ตอนปลายเปน็ ชว่ งชน้ั โดยแบง่ เปน็ ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยและประวตั ศิ าสตรส์ ากล เพอ่ื ใหเ้ ปน็
ตวั อย่างแนวคดิ ให้สถานศึกษาและผู้สอนน�ำไปปรบั ใหเ้ หมาะกบั สภาพภูมสิ ังคมของแต่ละ
แห่ง เพอ่ื จะได้น�ำไปสู่ออกแบบกระบวนการเรยี นรใู้ ห้สามารถพัฒนาผู้เรียนทั้งด้านความรู้
ความเข้าใจ (knowledge) ทกั ษะกระบวนการคดิ /ทกั ษะกระบวนการท�ำงาน (process) และ

27

เจตคติค่านิยม (attitude) ท่ีต้องการปลูกฝังให้เกิดข้ึนในตัวนักเรียนที่ก�ำหนดไว้ใน
คณุ ลกั ษณะทพ่ี งึ ประสงค์ คอื “รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ และรกั ความเปน็ ไทย” รวมทง้ั นโยบาย
ของกระทรวงศกึ ษาธกิ ารและส�ำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน ทว่ี ่า “ปลูกฝงั
คณุ ธรรมความสำ� นกึ ในความเปน็ ชาตไิ ทย” รวมทง้ั สรา้ งความชดั เจนใหค้ รผู สู้ อนตง้ั คำ� ถาม
และหาค�ำตอบได้ว่า “สอนเร่ืองอะไร สอนเพ่ือประโยชน์ใด และสอนอย่างไร” นักเรียน
จึงจะได้สัมฤทธิผลตามท่ีหลักสูตรก�ำหนด ค�ำอธิบายรายวิชาของแต่ละชั้นปีและช่วงช้ัน
(รายละเอียดของค�ำอธิบายรายวิชาในระดับช้ันต่างๆ สามารถศึกษาได้ในเอกสาร “เพื่อน
คคู่ ดิ มติ รคู่ครู : แนวทางการจัดการเรียนรู้ประวตั ิศาสตร”์ )

การจดั กจิ กรรมการพฒั นาการเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตร์ สำ� นกั งานคณะกรรมการ
การศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้ด�ำเนินการพัฒนาการเรียนรู้ด้านประวัติศาสตร์ด้วยวิธีการท่ี
หลากหลายมาอย่างต่อเนื่อง ซ่ึงในการด�ำเนินการยังมีโครงการ แผนงานและกิจกรรมท่ี
ส�ำนักงานเขตพ้นื ทก่ี ารศึกษา สถานศึกษา ได้ด�ำเนินการเอง ตลอดจนกจิ กรรมทีห่ นว่ ยงาน
หรืองค์กรต่างๆ ไปร่วมด�ำเนินการ ซ่ึงล้วนแต่มีส่วนช่วยหนุนเสริมการพัฒนาการเรียนรู้
ประวตั ศิ าสตรท์ งั้ สนิ้ เฉพาะกจิ กรรมทสี่ ำ� นกั งานคณะกรรมการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน สว่ นกลาง
ไดด้ ำ� เนนิ การไปแล้วนน้ั มหี ลากหลายลกั ษณะ ดังนี้

๑. การจดั ประชมุ อบรมด้านการพฒั นาการเรียนรูป้ ระวตั ศิ าสตร์ การพฒั นา
เน้นทั้งมิติด้านหลักสูตรสาระวิชาประวัติศาสตร์ แนวคิดและหลักการด้านประวัติศาสตร์
ตลอดจนวธิ กี ารสอนประวตั ศิ าสตร์ เพอ่ื ใหก้ ลมุ่ เปา้ หมายทเ่ี ปน็ กลไกสำ� คญั ในการขบั เคลอื่ น
คุณภาพการเรียนรู้ได้แก่ ศึกษานิเทศก์ผู้รับผิดชอบงานด้านสังคมศึกษาและครูผู้สอน
ซง่ึ มีการด�ำเนินการ ไดแ้ ก่

๑) การประชุมพัฒนาการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ จัดลักษณะการประชุม
เชิงปฏบิ ัตกิ ารให้แกศ่ ึกษานิเทศก์ และครผู ้สู อน ลักษณะการจัดประชมุ มี ๒ ลกั ษณะ คอื

ประชมุ รวม เพอ่ื ศกึ ษาแนวคดิ สำ� คญั ทางประวตั ศิ าสตรแ์ ละหลกั สตู ร
กจิ กรรมประกอบดว้ ย การชมวีดทิ ศั น์ การฟังค�ำบรรยายจากผ้ทู รงคุณวุฒิ และการศกึ ษา
วเิ คราะหส์ าระประวตั ศิ าสตรใ์ นหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

การประชุมปฏบิ ตั กิ าร เพ่อื การแบ่งเป็นศนู ยก์ ารเรยี นรู้ จำ� นวน ๓
ศูนย์ประกอบด้วย ศูนย์ที่ ๑ วิธีการทางประวัติศาสตร์และการประยุกต์ใช้ ศูนย์ที่ ๒
การจดั กจิ กรรมการเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตรโ์ ดยใชแ้ หลง่ เรยี นรใู้ นทอ้ งถน่ิ และผเู้ ชย่ี วชาญเฉพาะ
สาขาและศูนย์ท่ี ๓ กระบวนการเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ ด้วยการใช้ส่ือการเรียนรู้
การส�ำรวจและโครงงานทางประวัติศาสตร์ ทั้งนี้มีเป้าหมายที่ให้ผู้รับการอบรมได้เรียนรู้

28

แนวคดิ และขอ้ มลู ใหมท่ างดา้ นประวตั ศิ าสตร์ และใหเ้ กดิ เครอื ขา่ ยการเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตร์
นอกจากนย้ี งั มกี ารประชมุ แลกเปลยี่ นเรยี นรรู้ ะหวา่ งครผู สู้ อนประวตั ศิ าสตร์ เพอื่ ประมวลผล
การทำ� งานเปน็ ผลงานทเี่ ปน็ ตวั อยา่ งได้ (best practices) ใหเ้ กดิ รปู ธรรมทนี่ ำ� ไปขยายผลตอ่
ตลอดจนใชเ้ ปน็ ข้อมลู พื้นฐานในการวางแผนเชิงนโยบาย

ตัวอยา่ งกจิ กรรมที่ดำ� เนนิ การ ไดแ้ ก่
(๑) อบรมเพอ่ื ยกระดบั ผลสมั ฤทธด์ิ า้ นสงั คมศกึ ษาใหแ้ กศ่ กึ ษานเิ ทศก์
และคณะครูโรงเรยี น โดยกลุม่ เป้าหมายเปน็ การเลอื กเชงิ ยทุ ธศาสตรห์ ลายลกั ษณะ ได้แก่
การเลือกโรงเรียนจากส�ำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่มีผลสัมฤทธิ์เฉลี่ยกลุ่มสาระ
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ที่ต่�ำกว่าค่าเฉล่ียของประเทศเล็กน้อย เพื่อเร่งให้
ค่าเฉลี่ยโดยรวมของประเทศสูงมากขึ้น หรือการเลือกเฉพาะกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มโรงเรียน
ประถมศึกษา(ขยายโอกาสทางการศึกษา) เนื่องจากเป็นโรงเรียนท่ีมีครูผู้สอนมีครูผู้สอน
ที่ส�ำเร็จวิชาเอกด้านสังคมศึกษาจ�ำนวนไม่มากนัก และยังมีผลสัมฤทธ์ิเฉล่ียค่อนข้างต่�ำ
กว่าโรงเรียนแบบอ่ืน รวมทั้งจัดสรรงบประมาณและส่ือประกอบการจัดการอบรมให้ไป
ด�ำเนินการอบรมขยายผลใหแ้ กค่ รูในเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษา
(๒) การจัดประชุมพฒั นาการเรยี นร้ปู ระวัตศิ าสตร์ ซึง่ เปน็ การจัด
เน้นเฉพาะสาระการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ โดยมีการจัดการประชุมอบรมตามจังหวัดที่มี
แหลง่ เรียนรทู้ างประวัติศาสตร์ ได้แก่ พระนครศรอี ยธุ ยา สโุ ขทยั ก�ำแพงเพชร สุพรรณบรุ ี
ราชบรุ ี เชียงใหม่ นครราชสีมา นครราชสมี า กิจกรรมส�ำคัญ ๓ เรอื่ ง คอื การใชห้ ลักฐาน
และเอกสารชั้นต้น การใช้แหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ในท้องถิ่นเป็นส่ือ และการท�ำ
ความเข้าใจสาระประวัติศาสตร์ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐานพุทธศักราช
๒๕๕๑ สาระท่ีใช้ในการประชุมอบรมประกอบด้วย แนวคิดและหลักการส�ำคัญในสาระ
ประวัติศาสตร์ ที่ยงั คงมคี วามเขา้ ใจคลาดเคลอื่ นหรือยังไม่ถกู ต้องจ�ำนวนมาก ขอ้ มลู ใหม่
หรือผลการวิจัยด้านประวัติศาสตร์ รวมท้ังมีการศึกษานอกสถานที่ในแหล่งเรียนรู้ทาง
โบราณคดี ประวัตศิ าสตร์ และพพิ ธิ ภณั ฑ์ทีอ่ ยู่ในจงั หวัดทีเ่ ป็นจุดการอบรม
(๓) การรว่ มมอื กบั หนว่ ยงานหรอื องคก์ รทเี่ กย่ี วขอ้ งในการพฒั นา
การเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตรใ์ หแ้ กค่ ณะครแู ละผทู้ ส่ี นใจ ไดแ้ ก่ การประชมุ รว่ มกบั โครงการวจิ ยั
โดยมี ดร.วินัย พงษศ์ รีเพียร เมธีวิจยั อาวโุ ส ส�ำนกั งานสนับสนุนกองทุนวิจัย (สกว.) เปน็
หวั หนา้ โครงการ ในระยะแรกเปน็ โครงการ “๑๐๐ เอกสารสำ� คญั : สรรพสาระประวตั ศิ าสตร์
ไทย” เนน้ การศกึ ษาจารึก การประชมุ สมั มนาวิชาการ ประกอบด้วยเนอ้ื หาโดยสงั เขป คอื
การน�ำเสนอผลการศึกษาจารึกกับประวัติศาสตร์ไทย ภาษาและวรรณกรรมศึกษากับ
ประวตั ศิ าสตรไ์ ทย เอกสารตา่ งประเทศเกย่ี วกบั ประวตั ศิ าสตรไ์ ทย และเอกสารประวตั ศิ าสตร์

29

ท้องถ่ิน ซึ่งเป็นส่ือในการเรียนรู้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช
๒๕๕๑ และเอกสารบางฉบับนอกจากใช้จัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์แล้ว ยังสามารถ
ใชจ้ ดั การเรยี นรใู้ นกลมุ่ สาระการเรยี นรอู้ น่ื ๆ ได้ เชน่ “หนงั สอื ภาษาไทยของพระยาศรสี นุ ทร
โวหาร (นอ้ ย อาจาริยางกูร) : หนังสอื รวมสรรพความร้เู ก่ียวกับภาษาไทยและเมอื งไทย”
เป็นเอกสารที่เอ้ือต่อการเรียนรู้ประวัติด้านภาษาเป็นอย่างดี ในระยะต่อมาได้มี การปรับ
เป็นโครงการ “ปริทรรศน์ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” อันมี
เป้าหมายท่ีจะผลิตชุดวจิ ยั ในระดบั มาตรฐานและอ้างอิงได้เกย่ี วกับเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้
ซงึ่ ครอบคลุมถงึ ประวตั ิศาสตร์ วัฒนธรรมและประวตั ิศาสตรน์ พิ นธ์ ประวัติศาสตร์ศิลปะ
วรรณกรรมศึกษา การศึกษาเอกสารส�ำคัญเฉพาะเร่ือง ที่แสดงถึงความหลากหลาย
ทางวฒั นธรรมของภมู ภิ าคเอเซียตะวนั ออกเฉยี งใต้ การประชุมจะช่วยใหผ้ ้เู ข้ารว่ มประชมุ
ไดเ้ รยี นรงู้ านวจิ ัยต่างๆ ทีช่ ว่ ยขยายพรมแดนความร้ดู า้ นประวตั ศิ าสตร์ ไดแ้ ก่ “เอกสารจีน
สมัยราชวงศ์หมิงเกี่ยวกับรัฐในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตอนบน” “ล้านช้างในเอกสาร
ประวตั ศิ าสตรพ์ มา่ ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ ๑๖-๑๙” “คตคิ วามเชอ่ื เกย่ี วกบั พระพทุ ธรปู ศกั ดสิ์ ทิ ธิ์
ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” เป็นอาทิ นอกจากน้ียังมีการจัดไปทัศนศึกษาในประเทศ
เพ่ือนบ้านดว้ ย ซ่ึงครผู ูส้ อนสามารถเลอื กเขา้ ศกึ ษาเรยี นรู้ไดต้ ามความสมคั รใจ

(๔) รว่ มกบั กองอำ� นวยการรกั ษาความมน่ั คงภายในราชอาณาจกั ร
(กอ.รมน) จัดอบรมครูประวัติศาสตร์ ให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย
การสรา้ งสำ� นกึ รกั ในชาตแิ ละความจงรกั ภกั ดตี อ่ สถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ โดยมกี ารประชมุ
เตรียมการร่วมกัน ด้วยการทดลองใช้หลักสูตรท่ีวิทยาลัยอาชีวศึกษา จังหวัดกาญจนบุรี
กจิ กรรมสำ� คญั ประกอบดว้ ย (๑) การเรยี นรรู้ อยบาทยาตราของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั
ทีท่ รงเสด็จจังหวดั กาญจนบุรที ้ัง ๙ ครั้ง โดยการชมภาพยนตร์ส่วนพระองค์ ฟังเรอื่ งราว
จากผูท้ เ่ี คยอยู่ในเหตุการณ์เล่าเรื่องให้ฟัง และการเรียนรสู้ ถานที่ตา่ งๆ ที่เคยเสดจ็ ฯ ได้แก่
เขื่อนวชิราลงกรณ์ วัดพระแท่นดงรัง (๒) การเรียนรู้เกี่ยวกับการน�ำเสนอผลการศึกษา
เรยี นรู้ดว้ ยวิธีการต่างๆ ได้แก่ บทเพลง การปาฐกถา การแสดงละครสนั้ (๓) การศกึ ษา
นอกสถานที่ในแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ ได้แก่ เมืองกาญจนบุรีเก่า อนุสรณ์สถาน
สงครามเก้าทัพ อนุสรณ์ดอนเจดีย์จังหวัดกาญจนบุรี แนวทางการด�ำเนินการดังกล่าว
น�ำไปสู่การร่วมกันวางแผนระหว่าง กอ.รม.จังหวัดและส�ำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ด�ำเนนิ การจัดอบรมใหแ้ ก่เขตพื้นที่การศกึ ษา ๑๗ เขต มีครูทเี่ ข้ารับการอบรมเขตพืน้ ทล่ี ะ
๑๐๐ คน รวมทัง้ สิน้ ๑,๗๐๐ คน โดยปรับแนวคิดแนวทางการด�ำเนินการจากหลักสูตร
อบรมท่จี งั หวัดกาญจนบรุ ไี ปใช้

30

๒. จัดอบรมปฏิบตั ิการคา่ ยนักเรียน : หนงั สือการ์ตนู ประวตั ศิ าสตร์ โดยเชญิ
ผเู้ ชย่ี วชาญดา้ นประวตั ศิ าสตรแ์ ละนกั เขยี นการต์ นู จากสมาคมการต์ นู ผลงานการจดั การคา่ ย
น�ำไปสู่การจัดท�ำหนังสือ “เส้นทางสู่หนังสือการ์ตูนประวัติศาสตร์” ซ่ึงน�ำเสนอแนวทาง
การน�ำการ์ตูนมาช่วยน�ำเสนอผลการศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ หนังสือดังกล่าว
ไดจ้ ัดส่งไปใหเ้ ขตพน้ื ทกี่ ารศึกษาทกุ แห่ง เพ่อื ด�ำเนนิ การจัดสง่ ใหส้ ถานศึกษาทุกแห่ง

๓. ผลติ สอ่ื สง่ เสรมิ ความรคู้ วามเขา้ ใจในหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน
พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ สาระประวตั ศิ าสตรแ์ ละสอ่ื สง่ เสรมิ การจดั การเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตร์

สำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน ไดผ้ ลติ สอ่ื และเอกสารหลาย
รายการเพ่ือใช้สันับสนุนส่งเสริมให้ครูผู้สอนใช้เป็นแนวทางทางการจัดการเรียนรู้
ประวัตศิ าสตรใ์ ห้มีคุณภาพ ได้แก่

๓.๑ จดั ท�ำหนงั สอื “เพอ่ื นคคู่ ดิ มติ รค่คู รู : แนวทางการจดั การเรยี นรู้
ประวตั ศิ าสตร์” เปน็ เอกสารใหค้ วามร้คู วามเขา้ ใจเบ้อื งต้นเกีย่ วกบั หลักสูตร ได้แก่ เวลา
และยุคสมัยทางประวัตศิ าสตร์ วิธีการทางประวัติศาสตร์ (Historical method) พัฒนาการ
และการเปล่ยี นแปลงของมนุษยชาติและความเปน็ ไทย นอกจากน้ยี งั น�ำเสนอสาระเกยี่ วกบั
การสอนประวัติศาสตร์ โดยรวบรวมงานเขียนของครูประวัติศาสตร์ท่ีประสบความสำ� เร็จ
ไดแ้ ก่ การใชล้ ะครประวตั ศิ าสตร์ การใชแ้ หลง่ เรยี นทางประวตั ศิ าสตรแ์ ละยวุ วจิ ยั ประวตั ศิ าสตร์
จัดพิมพ์ จำ� นวน ๔๕,๐๐๐ เล่ม และจัดสง่ ให้กบั สถานศึกษาทุกแหง่ ตอ่ มาในปี ๒๕๕๗
ได้มีการจัดพิมพ์คร้ังที่ ๒ อีกจ�ำนวน ๔๐,๐๐๐ เล่ม เพ่ือใช้แจกให้สถานศึกษาในสังกัด
ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐานและสถานศึกษาในสังกัดอ่ืนๆ เพ่ือร่วม
ขับเคลอื่ นการเรียนรู้ประวัตศิ าสตร์ ตามนโยบายของรฐั บาลและกระทรวงศึกษาธิการ

เสนทางสู

หนังสอื การต นู ประวตั ศิ าสตร

“เพอ่ื นคคู่ ดิ มติ รคคู่ รู : แนวทางการจดั การ “เส้นทางสหู่ นังสอื การต์ นู ประวัติศาสตร์”
เรยี นรู้ประวตั ิศาสตร”์
31

๓.๒ จัดท�ำหนังสือ “เส้นทางสู่หนังสือการ์ตูนประวัติศาสตร์” สรุป

โครงการการใชก้ ารต์ นู เปน็ สอื่ ในการนำ� เสนอความรดู้ า้ นประวตั ศิ าสตร์ โดยการนำ� ประเดน็

ความรจู้ ากประวตั ศิ าสตร์ โดยเฉพาะเรอ่ื ง “ชาวบา้ นบางระจนั ” นำ� มาวางโครงเรอ่ื ง ตวั ละคร

และเขยี นเรอ่ื งราว นำ� เสนอ สอ่ื ความคดิ ความเขา้ ใจทเ่ี กดิ จากการตคี วามทางประวตั ศิ าสตร์

นอกจากน้ีเอกสารฉบับน้ีได้นำ� เสนอหนังสือการ์ตูนผลงานของนักเรียนท่ีร่วมกระบวนการ

อบรม พิมพ์จำ� นวน ๔,๕๐๐๐ เลม่ จดั สง่ ให้กบั สถานศึกษาทกุ แห่ง

๓.๓ “สื่อการเรียนรู้นอกห้องเรียนเสมือนจริง (Virtual

Field Trip) ประวัติศาสตร์” เปน็ ชุดสือ่ ทีม่ แี นวคดิ ในการส่ง

เสริมการเรยี นรูโ้ ดยใชร้ ะบบเทคโนโลยี ในการเขา้ ไปเรยี นรู้

ยังแหล่งเรียนโดยผู้เรียนไม่จ�ำเป็นต้องเดินทางไปยังแหล่ง

เรียนรู้น้ันๆ เป็นการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ มีการเรียน

เนื้อหาสาระ การเรยี นรกู้ ารถา่ ยทอดสถานการณจ์ รงิ สถาน

ท่ีจริงผ่านระบบออนไลน์ ซ่ึงการด�ำเนินการยังอยู่ในช่วง

การพฒั นาระบบ จงึ เปน็ การดำ� เนนิ การแบบเปน็ ภาพวดี ทิ ศั น์

ในระบบออนไลน์ ท่ีสามารถเลือกชมได้ตามความต้องการ

หรือเรยี กวา่ ระบบ on demand จัดท�ำเปน็ ๓ กลุ่มเรอ่ื ง ประกอบดว้ ย สุโขทัย อยุธยา และ

รัตนโกสนิ ทร์ จำ� นวน ๑๕ ตอน คอื

สโุ ขทัย

 การสถาปนาอาณาจักรสุโขทยั  ศลิ าจารกึ และกำ� เนดิ อกั ษรไทย

 สงั คโลก  ศิลปกรรมสมัยอยุธยา

 อทุ ยานประวตั ศิ าสตร์สุโขทัย

อยุธยา

 การสถาปนากรงุ ศรอี ยุธยา  วรี กษัตรยิ แ์ ห่งอยธุ ยา

 อยุธยาเมืองท่าการค้านานาชาติ  ประณีตศิลป์แหง่ อยุธยา

 นครประวตั ิศาสตรอ์ ยธุ ยามรดกโลก

รัตนโกสินทร์

 เกาะรตั นโกสินทร ์  พระบรมมหาราชวัง

 วัดพระศรรี ัตนศาสดาราม  พระอารามหลวงประจำ� รชั กาล

กรงุ รตั นโกสนิ ทร์

 อาหารไทย: ครัวไทยสูค่ รวั โลก

32

๓.๔ การด�ำเนินการจัดท�ำมโนทัศน์ส�ำคัญที่ปรากฏในหลักสูตรรวมทั้ง
วิธกี ารเชือ่ มโยงไปสู่การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ เช่น มาตรฐาน ส ๔.๑ “เขา้ ใจความหมาย
ความส�ำคัญของเวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ สามารถใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์
มาวเิ คราะหเ์ หตุการณต์ ่างๆ อย่างเปน็ ระบบ” เปน็ มาตรฐานด้านกระบวนการเรยี นรู้ ทค่ี รู
ตอ้ งฝกึ ซำ�้ ๆ อยา่ งตอ่ เนอื่ ง จนเปน็ ทกั ษะ โดยใชเ้ นอื้ หาสาระในมาตรฐาน ๔.๒ และมาตรฐาน
๔.๓ มาเป็นเนื้อหาที่ใช้ในการเรียนรู้ การน�ำไปสู่การสอนท่ีมีคุณภาพ ครูผู้สอนจึงต้อง
ท�ำความเข้าใจในค�ำส�ำคัญ (Key word) มโนทัศน์ (Key Concept) และเน้ือหาในสาระ
ประวตั ิศาสตร์

๓.๕ การจดั ท�ำเอกสาร “แนวปฏบิ ัตกิ ารจดั การเรยี นรู้ที่ดี (Best practices)
สาระการเรียนรู้ประวัติศาสตร์” เป็นการคัดเลือกผลงานการจัดการเรียนรู้ของครู
ประวัติศาสตร์ น�ำข้อมูลมาจัดระบบใหม่เพ่ือน�ำเสนอผลการปฏิบัติงานท่ีสามารถเป็น
แบบอย่างหรือเป็นข้อมูลส�ำหรับกระตุ้นคิดให้แก่ครูผู้สอนได้ไปด�ำเนินการเพิ่มพูน
การจัดการเรยี นรูข้ องตนเองได้

๔. การจดั กจิ กรรมสง่ เสรมิ การเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตร์ เปน็ กจิ กรรมทที่ งั้ ดำ� เนนิ การ
โดยสำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน และกจิ กรรมทด่ี ำ� เนนิ การโดยหนว่ ยงาน
อืน่ ๆ ไดแ้ ก ่

๔.๑ การประกวดหนว่ ยการเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตร์ มจี ดุ เรมิ่ มาจากมแี นวคดิ
วา่ ควรจะไดส้ ง่ เสรมิ ใหค้ รผู สู้ อนประวตั ศิ าสตรร์ ะดบั ประถมศกึ ษาและมธั ยมศกึ ษา ในสถาน
ศกึ ษาทกุ สงั กดั ไดพ้ ฒั นากระบวนการเรยี นการสอนตามวธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตร์ ทสี่ ง่ เสรมิ
ให้เยาวชนเห็นคุณค่าในการเรียนรู้ประวัติความเป็นมาของชาติไทย เกิดความภาคภูมิใจ
ในความเปน็ ชาตแิ ละเหน็ ความจำ� เปน็ ในการธำ� รงรกั ษาไวซ้ ง่ึ ความเปน็ ชาตไิ ทย วฒั นธรรม
ไทย และภมู ิปัญญาไทย โดยใหจ้ ดั ส่งผลงานการออกแบบหนว่ ยการเรยี นรปู้ ระวัติศาสตร์
และการจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพเข้าประกวด ผู้ชนะในระดับต่างๆ จะได้รับ
เกียรตบิ ัตรพร้อมการยกย่องเป็นผู้มีผลงานดีเด่นทางการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์

หน่วยการเรียนรู้และวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนประวัติศาสตร์
รวม ๔ ระดบั (ระดบั ละ ๓ รางวลั เหรยี ญทอง เหรยี ญเงนิ และเหรยี ญทองแดง) โดยแบง่ เปน็
ระดบั ประถมศกึ ษาปที ่ี ๑-๓, ประถมศกึ ษาปที ี่ ๔-๖, มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๑-๓, มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๔-๖

๔.๒ บริษัท บีบี พิคเจอร์ จ�ำกัด ได้เชิญบุคลากรและนักเรียน ในสังกัด
ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐานรับชมภาพยนตร์สารคดีประวัติศาสตร์เร่ือง
“ขุนรองปลัดชู : วีระชนคนถูกลืม” ท่ีมีเน้ือหากล่าวถึงเหตุการณ์การพลีชีพเพื่อแผ่นดิน
ในสมยั ปลายกรงุ ศรอี ยธุ ยา โดยจะมกี ารจดั ฉายภาพยนตรด์ ังกล่าวท่โี รงภาพยนตร์สกาล่า

33

สยามสแควร์ จำ� นวน ๓ รอบ เวลา ๑๒.๐๐ น. ของ
วันที่ ๙-๑๑ กรกฎาคม ๒๕๔๔ ซ่งึ เป็นรอบสำ� หรับ
นกั เรยี น โดยไมค่ ิดคา่ ใช้จา่ ยและรับบัตรเขา้ ชมได้
ก่อนเวลาฉายของแต่ละรอบได้ที่โรงภาพยนตร์
ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พิจารณาแล้วเห็นว่าภาพยนตร์ดังกล่าวมีประโยชน์
ในอนั ทจ่ี ะชว่ ยใหเ้ พมิ่ พนู ความรคู้ วามเขา้ ใจเกย่ี วกบั
ประวตั ศิ าสตรแ์ ละสรา้ งสำ� นกึ ความรกั ชาติ รกั แผน่ ดนิ
เกิด จึงได้ประชาสัมพันธ์ให้สถานศึกษาในสังกัด
ทราบ และเชิญชวนสถานศึกษาได้ส่งนักเรียน
นักเรียน เขา้ ชมภาพยนตร์ดังกล่าว

การพัฒนาตัวอย่างค�ำอธิบายรายวิชาประวัติศาสตร์ การพัฒนาครูและบุคลากร
ทางการศกึ ษา การพฒั นาสอื่ ส่งเสริมการจดั การเรียนร้ปู ระวัติศาสตรแ์ ละกจิ กรรมต่างๆ
ก็เพื่อหนุนเสริมและสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ให้สถานศึกษาได้ตระหนักในความส�ำคัญ
ของการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์และมีความสามารถท่ีเพียงพอต่อการน�ำความรู้ต่างๆ
ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นการเพม่ิ พนู คุณภาพของผู้เรียน

34

ตอนที่ ๒

หลกั สูตรการศกึ ษาของไทยกับการจัดการเรยี นร้ปู ระวัตศิ าสตร์



ตอนที่ ๒

หลกั สูตรการศกึ ษาของไทยกับการจดั การเรียนรูป้ ระวตั ิศาสตร์

พัฒนาการหลักสูตรประวตั ิศาสตร์ของไทย

ในการจดั การศกึ ษาของไทยแตเ่ ดมิ ตง้ั แตส่ มยั สโุ ขทยั จนถงึ สมยั รตั นโกสนิ ทร์ ใน
ต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ระบบการศึกษาของไทยยังไม่มี
หลกั สตู รการเรยี นการสอน ในความหมายทเี่ ปน็ ระเบยี บแบบแผน กำ� หนดเนอ้ื หาอตั ราเวลา
เรียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อใช้เป็นแนวทางในการวัดผล หรือแนวทางในการจัด
ช้ันเรียนเหมือนเช่นปัจจุบัน สิ่งท่ียึดถือว่าเป็นแนวทางจัดการศึกษาที่ถือเป็นหลักสูตร
คอื แนวปฏบิ ตั แิ ละแบบเรียน (กรมวิชาการ, ๒๕๔๖ : ๑๑๑-๑๑๒)

37

แนวปฏิบตั ิท่ีใชเ้ ปน็ แนวทางการจัดการศึกษาในสมัยน้ันที่ถือว่าเปน็ หลกั สูตรการ
ศึกษาฉบบั แรกของไทยคือ “ประกาศการเรียน พ.ศ. ๒๔๒๘ และพระราชบญั ญัติการสอบ
พ.ศ.๒๔๓๓”

พ.ศ. ๒๔๓๕ เมื่อมีการต้ัง กระทรวงธรรมการ จึงได้จัดท�ำเอกสารท่ีถือเป็น
หลกั สตู รทมี่ รี ะเบยี บแบบแผนฉบบั แรกขนึ้ และมกี ารพฒั นาหลกั สตู รตอ่ มาเปน็ ลำ� ดบั ดงั นี้

กระทรวงธรรมการประกาศใชใ้ นโรงเรยี นมลู สามญั คอื “พกิ ดั สำ� หรบั การศกึ ษา
ร.ศ.๑๑๑” (พ.ศ. ๒๔๓๕) ซ่งึ แบ่งการจัดการศกึ ษาเป็น ๒ ชน้ั คอื ชนั้ มลู สามญั ( ชน้ั ต่�ำ ๓
ปี ชน้ั สูง ๔ ปี ) และช้นั มธั ยมศกึ ษา (ชั้นกลาง ๔ ปี ช้ันสงู ๔ ป)ี สาระประวตั ิศาสตรน์ น้ั จะ
เรยี นในวชิ า “พงศาวดาร” ซึง่ จะเร่ิมเรียนในระดบั มลู สามัญชนั้ สูง

หลักสตู ร พ.ศ. ๒๔๓๘ แบง่ เปน็ ระดับช้นั เปน็ ประโยค ๑-๓ ประโยค ๑-๒ เรยี น
ประโยคละ ๓ ปี ส่วนประโยค ๓ เรียน ๔ ปี สาระประวตั ิศาสตร์ เรียนในวิชา “พระราช
พงศาวดาร” ตัง้ แตป่ ระโยค ๑ ชน้ั ๓ โดยให้อ่านพระราชพงศาวดารย่อ ตอนกรงุ เก่า และ
เรยี นต่อเน่ืองทกุ ประโยค

หลักสูตรสามัญศึกษาช้ันประถมและมัธยม ร.ศ. ๑๒๔ (พ.ศ. ๒๔๔๘) ได้มี
การปรับปรุงระบบการศึกษาคร้ังส�ำคัญ คือ แบ่งเป็นระดับชั้นประถมศึกษา ๔ ปี และ
มัธยมศึกษา ๔ ปี โดยให้เรยี นวชิ า พงศาวดารควบคกู่ บั ภูมิศาสตร์ ในระดบั มัธยมศึกษา

หลักสตู รสามัญศึกษาส�ำหรับสตรี ร.ศ. ๑๒๖ (พ.ศ. ๒๔๕๐) แบง่ เปน็ มูลศึกษา
๒ ปี ประถมศกึ ษา ๓ ปี และมัธยมศกึ ษา ๔ ปี สาระประวัติศาสตรจ์ ะเรยี นในระดับประถม
ศกึ ษาซ่งึ ประกอบด้วย ๘ วิชา ไดแ้ ก่ จรรยา ภาษาไทย ค�ำนวณวิธี ภูมศิ าสตร์ พงศาวดาร
สขุ วทิ ยา ศิลปะ และการเรือน

หลักสูตรสามญั ศกึ ษา ร.ศ.๑๓๐ (พ.ศ. ๒๔๕๔) แบง่ เป็นมูลศึกษา ๓ ปี ประถม
ศึกษา ๓ ปี มัธยมสูง ๓ ปี โดยระบุชัดเจนว่า ระดับมูลศึกษา เรียนพงศาวดารเพ่ือมุ่ง
ให้นักเรียนมีความรู้เกี่ยวกับประวัติของชาติจนเกิดความรักชาติบ้านเมือง ระดับประถม
ศึกษามุ่งให้มีความรู้ว่า ประเทศไทยเกี่ยวข้องกับประเทศอ่ืนๆ ในโลกอย่างไรและเพ่ือให้
เกดิ ความรักชาติ ส่วนในระดบั มธั ยมศึกษา มุ่งให้เกิดความรกั ชาติและปรารถนาที่จะบ�ำรงุ
ชาติบา้ นเมอื ง

จะเห็นว่า ต้ังแต่ พ.ศ. ๒๔๕๔ หลักสูตรการศึกษาของไทยได้ให้ความส�ำคัญ
ต่อการเรียนประวัติศาสตร์เพ่ือสร้างจิตส�ำนึกความเป็นไทย ความรักชาติบ้านเมือง
อย่างชดั เจนแลว้

38

หลักสูตรหลวง พ.ศ. ๒๔๕๖ มีการปรับเปลย่ี นโครงสร้างหลกั สูตรเปน็ ประถม
ศึกษา ๕ ปี และระดับมัธยมศึกษา ๘ ปี ส่วนเน้ือหาการเรียนยังคงเหมือนหลักสูตร
พ.ศ. ๒๔๕๔ เปน็ สว่ นใหญ่ โดยเพมิ่ วชิ าลกู เสอื เขา้ มาในหลกั สตู รตง้ั แตร่ ะดบั ประถมศกึ ษา

หลกั สตู รสามญั ศกึ ษา พ.ศ. ๒๔๖๔ มกี ารปรบั เปลย่ี นโครงสรา้ งหลกั สตู รสามญั
ศกึ ษาใน พ.ศ. ๒๔๖๔ และพ.ศ. ๒๔๖๗ แต่เนอ้ื หาการเรยี นยงั คงเหมอื นเดมิ

หลกั สตู รมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย พ.ศ. ๒๔๗๑ มกี ารเปลยี่ นโครงสรา้ งหลกั สตู ร
มธั ยมศึกษาตอนปลาย โดยแบง่ ออกเป็น ๓ แผนกคอื แผนกกลาง แผนกภาษา และแผนก
วทิ ยาศาสตร์ โดยใหแ้ ผนกกลางและแผนกภาษาเรียนประวตั ิศาสตร์ หรือ ภูมิศาสตร์ อยา่ ง
ใดอย่างหน่ึงเทา่ นั้น ส่วนแผนกวิทยาศาสตรไ์ มไ่ ด้ก�ำหนดใหเ้ รียนประวตั ิศาสตร์

ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้มีการประกาศใช้
แผนการศึกษาชาติ พ.ศ. ๒๔๗๕ ท�ำให้ขยายการศึกษาภาคบังคับออกไปมากย่ิงขึ้น
ในประมวลศึกษาภาค ๒ พ.ศ. ๒๔๘๐ กำ� หนดให้หลกั สูตรช้ันประถมศึกษา นกั เรียนจะ
ไดเ้ รยี น “ความรเู้ รอ่ื งเมอื งไทย” หลกั สตู รชนั้ มธั ยมตน้ และมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย นกั เรยี น
จึงได้เรยี นประวตั ิศาสตร์

หลักสูตรประถมศึกษาและหลกั สตู รเตรยี มอุดมศกึ ษา พ.ศ. ๒๔๙๑ กำ� หนด
ให้นักเรียนระดับประถมศึกษาเรียนวิชาประวัติศาสตร์ ส่วนนักเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กำ� หนดใหน้ กั เรยี นแตล่ ะแผนกเรยี น ๕ หมวดวชิ า คอื ภาษาไทย สงั คมศกึ ษา คณติ ศาสตร์
ภาษาองั กฤษและวิชาเฉพาะแผนก

จะเห็นวา่ หลกั สตู ร พ.ศ. ๒๔๙๑ หลักสตู รกำ� หนดให้มี หมวดวิชาสงั คมศกึ ษา
ซงึ่ มรี ายวิชา ๔ วิชา คือ หน้าทพ่ี ลเมือง ศลี ธรรม ภูมิศาสตร์ และประวตั ิศาสตร์ ตอ่ มาได้
มีการปรับปรุงโครงสร้างการจัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษา ใน พ.ศ. ๒๔๙๓ เป็น
มัธยมศกึ ษาตอนต้น ๓ ปี มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ๓ ปี

การบูรณาการเนื้อหาวิชาเป็นหมวดหมู่ เห็นได้ชัดเจนในหลักสูตรประถมศึกษา
และหลกั สูตรอุดมศกึ ษา พ.ศ. ๒๔๙๘ ท่มี ีจดุ เนน้ องค์ ๔ ของการศกึ ษา คอื จริยศึกษา
พทุ ธิศึกษา พลศึกษา และหัตถศึกษา หลักสตู รฉบบั นเ้ี น้นการเป็นหลกั สตู รที่มกี ารพฒั นา
มากทีส่ ดุ คือ ปรับเปล่ียนรูปแบบจากหลกั สตู รรายวิชา Subject Curriculum เปน็ Broad
Fields Curriculum แบ่งเป็น ๕ หมวดวชิ า คอื หมวดภาษาไทย หมวดเลขคณติ หมวด
ธรรมชาติศึกษา (รวมสขุ ศึกษา) หมวดสังคมศึกษา และกจิ กรรมพเิ ศษ

หลกั สตู รดงั กลา่ วนไ้ี ดม้ ีการปรบั ปรงุ ใน พ.ศ. ๒๕๐๑ โดยเพิ่มอีก ๑ หมวดวชิ า
คือ พลานามัย รวมสขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษาเขา้ ไวใ้ นหมวดเดยี วกัน

39

หลักสูตรพุทธศักราช ๒๕๐๓ ได้น�ำแนวคิดทางด้านการศึกษาและปรัชญา
การศกึ ษาทางตะวันตกมาใช้ แบ่งเปน็ ระดับประถมศึกษาตอนตน้ ๔ ปี ระดบั ประถมศึกษา
ตอนปลาย ๓ ปี มัธยมศึกษาตอนต้น ๓ ปี (ม.ศ. ๑-๓) และมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ๓ ปี
(ม.ศ. ๔-๖) รูปแบบของหลักสูตรเป็นแบบ Broad Fields Curriculum คือ เน้ือหาวิชา
มลี กั ษณะผสมผสานบรู ณาการกันมากขนึ้ โดยรวมวชิ าตา่ งๆ ทใ่ี กล้เคยี งกนั เปน็ หมวดวิชา
ด้วยเหตุดังกล่าว การเรียนรู้ประวัติศาสตร์จึงเป็นเนื้อหาที่บูรณาการในกลุ่มสังคมศึกษา
ซงึ่ การเรียนรู้ในกลุ่มวชิ าได้ปรบั ปรงุ ใน พ.ศ. ๒๕๒๐ โดยกระทรวงศึกษาธกิ ารได้ประกาศ
ใชห้ ลกั สูตรหมวดวชิ าสังคมศกึ ษาใหม่ทัง้ ๓ ระดบั คอื ประถมศึกษา มัธยมศกึ ษาตอนตน้
และมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย โดยใหห้ มวดวชิ าสงั คมศกึ ษาในหลกั สตู รประโยคประถมศกึ ษา
แบ่งเป็น ๓ เรอ่ื ง คือ ประชาธปิ ไตย สถาบนั กบั ความมั่นคงและความอยรู่ อดของชาติ ระดับ
มธั ยมศกึ ษาแบง่ เปน็ ๓ กลมุ่ วชิ า คอื ภมู ศิ าสตร์ ประวตั ศิ าสตร์ หนา้ ทพี่ ลเมอื งและศลี ธรรม
สว่ นระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลายแบง่ เปน็ ๔ กลมุ่ วชิ า คอื ภมู ศิ าสตร์ ประวตั ศิ าสตร์ หนา้ ท่ี
พลเมืองและศลี ธรรม

ในแผนพัฒนาการศึกษาของชาติ พุทธศักราช ๒๕๒๐ ได้ปรับระบบการศึกษา
เป็นประถมศึกษา ๖ ปี มธั ยมศกึ ษาตอนต้น ๓ ปี และมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ๓ ปี จึงได้
มกี ารพฒั นาหลกั สตู รอยา่ งเปน็ ระบบโดยอาศยั ผลการวจิ ยั การวเิ คราะหแ์ นวทางการจดั การ
ศกึ ษาของประเทศตา่ งๆ ทวั่ โลก และความคดิ เหน็ ของผทู้ รงคณุ วฒุ ทิ กุ สาขา หลกั สตู รฉบบั
ปรับปรงุ ใหมน่ ี้ประกอบด้วย

หลักสูตรประถมศึกษา พุทธศักราช ๒๕๒๑ ซ่ึงเป็นหลักสูตรที่ค�ำนึงถึงการ
ด�ำเนนิ ชวี ิตในสงั คม โดยจดั เนอ้ื หาสาระเป็นมวลประสบการณ์ ๔ กลุม่ ประกอบด้วย

(๑) กลมุ่ ทกั ษะ (รวมภาษาไทย และ คณิตศาสตร)์
(๒) กลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต หรือกลุ่ม สปช. (รวมวิชาสังคมศึกษา
วทิ ยาศาสตร์ และสุขศกึ ษา โดยบูรณาการกันเปน็ หน่วยการเรียนรู้ตา่ งๆ)
(๓) กล่มุ สร้างเสริมลักษณะนสิ ยั หรอื กลุ่ม สลน. (รวมวิชาจริยศึกษา พลศึกษา
ศลิ ปศกึ ษา ดนตรีนาฏศลิ ป์ กจิ กรรมลูกเสอื เนตรนารี และยุวกาชาด)
(๔) กลมุ่ การงานและพน้ื ฐานอาชพี หรอื กลมุ่ กพอ. และ กลมุ่ ประสบการณพ์ เิ ศษ
(ภาษาองั กฤษ และวิชาอาชพี )
หลกั สตู รมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๑ แบง่ ออกเปน็ ๕ กลมุ่ วชิ าคอื
(๑) กลมุ่ วชิ าภาษา (ภาษาไทย และ ภาษาตา่ งประเทศ)
(๒) กลุม่ วิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์
(๓) กล่มุ วชิ าสงั คมศึกษา

40

(๔) กลุ่มวิชาพัฒนาบุคลกิ ภาพ (พลานามยั และ ศลิ ปศึกษา)
(๕) กลุ่มวชิ าการงานอาชพี
หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย พุทธศักราช ๒๕๒๔ มีโครงสร้างเป็น
ระบบหน่วยการเรียนมีท้ังวิชาบังคับ วิชาเลือกและวิชาเลือกเสรี ในวิชาบังคับแบ่งเป็น ๒
ส่วน ส่วนแรกเป็นวิชาสามัญ (ภาษาไทย สังคมศึกษา พลานามัย วิทยาศาสตร์) ส่วนที่
สองเปน็ วิชาพนื้ ฐาน วชิ าอาชีพ (ช่างอตุ สาหกรรม เกษตรกรรม คหกรรม พาณิชยกรรม
ศลิ ปหตั ถกรรม ศลิ ปกรรม การสาธารณสุข)
จะเหน็ วา่ ในหลกั สตู ร พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๑ การจดั การเรยี นการสอนประวตั ศิ าสตร์
ในระดบั ประถมศึกษา จะหลอมรวมวิชาต่างๆ ในลักษณะบรู ณาการ อยู่ในกลุม่ สร้างเสริม
ประสบการณ์ชีวิต ซ่ึงกล่าวได้ว่าเป็นการสลายตัวตนของวิชาประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง
โดยมุ่งให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ชีวิตกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว ส่วนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
และตอนปลาย ยังคงเป็นวิชาหน่ึงในกลุ่มสังคมศึกษา ตามแนวคิดของหลักสูตร
พุทธศักราช ๒๔๙๘ ที่มีลกั ษณะเป็น Broad Fields Curriculums
ต่อมากรมวิชาการได้ประเมินผลการใช้หลักสูตรท้ัง ๓ ระดับ พบว่ามีปัญหา
หลายประการ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในด้านการพัฒนาคนให้มีความสามารถพ่ึงตนเอง
และการนำ� เทคโนโลยที เี่ หมาะสมมาใชใ้ นการพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ทำ� ใหก้ รมวชิ าการปรบั ปรงุ
หลักสูตรทุกระดับใหส้ อดคล้องกบั แนวทางการปฏริ ูปการศึกษา ใน พ.ศ. ๒๕๓๓ ซึง่ ได้มี
การประกาศใช้หลักสูตรประถมศึกษาพุทธศักราช ๒๕๒๑ (ฉบับปรับปรุง ๒๕๓๓)
หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น พุทธศักราช ๒๕๒๑ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๓๓) และ
หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย พุทธศักราช ๒๕๒๔ (ฉบับปรับปรุง ๒๕๓๓) ซึ่งท้ัง
๓ ระดบั ยงั คงโครงสรา้ งหลกั สตู รเดมิ แตไ่ ดม้ กี ารปรบั ปรงุ ใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาพและความ
ต้องการในท้องถ่ิน และให้โรงเรียนจัดการเรียนการสอนโดยใช้ “ทักษะกระบวนการ ๙
ประการ” ในกลมุ่ ประสบการณ์ ทกุ วชิ า และทกุ ระดบั ชน้ั หลกั สตู ร ดงั กลา่ วนใ้ี ชต้ อ่ มาจนถงึ
หลกั สตู รการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๔๔
สืบเน่ืองจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ และ
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่ก�ำหนดนโยบายการกระจายอ�ำนาจ
การจดั การศกึ ษาสทู่ อ้ งถน่ิ และการจดั การศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐานของปวงชน โดยขยายการศกึ ษา
ภาคบังคบั จาก ๖ ปี เปน็ ๙ ปี และขยายการศึกษาขั้นพ้ืนฐานเปน็ ๑๒ ปี ใหท้ ่วั ถึงและ
มีคุณภาพ ส่งผลให้กรมวิชาการได้ปรับปรุงหลักสูตร พ.ศ. ๒๕๓๓ มาเป็นหลักสูตร
การศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน ทีม่ งุ่ หวงั ให้หลักสตู ร เป็น “ยุทธศาสตร์” ส�ำคัญท่จี ะผลกั ดนั ให้เกดิ
การปรบั เปลยี่ นพฤตกิ รรมการสอนจากครจู ากผบู้ อกความรู้ มาเปน็ ผเู้ ออื้ อำ� นวยใหผ้ เู้ รยี น

41

เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง รวมทั้งปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการเรียนรู้ เจตคติ ความคิด
ความเชอื่ และพฤตกิ รรมของผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา ศกึ ษานเิ ทศก์ พอ่ แมผ่ ปู้ กครอง สอื่ มวลชน
และผู้เกย่ี วข้องทุกฝา่ ย

หลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ เป็นหลักสูตรแกนกลาง
ระดับชาติ ครอบคลุม การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เพ่ือความเป็น
เอกภาพแต่มคี วามหลากหลายในทางปฏิบัติ

สาระส�ำคัญของหลักสตู ร คอื เป็นหลักสูตรตอ่ เนอ่ื ง ๑๒ ปี ต้งั แตร่ ะดับประถม
ศึกษาจนถึงมัธยมการศึกษาตอนปลาย แบ่งเป็น ๔ ช่วงชั้นๆ ละ ๓ ปี คือช่วงชั้นท่ี๑ :
ประถมศึกษาปีที่ ๑-๓ ชว่ งชั้นท่ี ๒ : ประถมศกึ ษาปที ี่ ๔-๖ ชว่ งชนั้ ท่ี ๓ : มัธยมศึกษา
ปีที่ ๑-๓ ชว่ งชนั้ ท่ี ๔ : มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๔-๖ และเป็นหลกั สูตรท่ใี ช้มาตรฐานการเรยี นรู้
เป็นเป้าหมายในการพฒั นาผ้เู รยี นให้มีคณุ ลักษณะท่ีพงึ ประสงค์ มคี ณุ ภาพท้งั ด้านความรู้
ทักษะ เจตคติ ค่านิยม คุณธรรมและจริยธรรม โดยโครงสร้างหลักสูตรประกอบด้วย
๘ กลุ่มสาระการเรียนรู้ คือ (๑) ภาษาไทย (๒) คณิตศาสตร์ (๓) วิทยาศาสตร์
(๔) สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม (๕) สุขศึกษา และพลศึกษา (๖) ศิลปะ
(๗) การงานอาชีพและเทคโนโลยี และ (๘) ภาษาต่างประเทศ

จะเหน็ วา่ การจดั การเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตรใ์ นหลกั สตู รการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน ๒๕๔๔
เปน็ สว่ นหนง่ึ ของกลมุ่ สงั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม ซง่ึ ในระดบั มธั ยมศกึ ษานน้ั ถอื วา่
ไมไ่ ด้แตกตา่ งจากหลกั สตู รฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๓๓ แต่ส�ำหรับระดบั ประถมศกึ ษาน้นั
มีนัยทเ่ี ปลีย่ นแปลงไปจากเดิมมากพอสมควร เพราะในกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและ
วฒั นธรรมน้จี ะประกอบด้วยสาระ (๑) ศาสนา ศีลธรรม จรยิ ธรรม (๒) หนา้ ทพี่ ลเมือง
วัฒนธรรม และการดำ� เนินชวี ิต (๓) เศรษฐศาสตร์ (๔) ประวัติศาสตร์ (๕) ภูมศิ าสตร์
(กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๔๔ : ๘)

ต่อมาได้มีการประเมนิ ผลการใชห้ ลกั สตู ร พบวา่ หลักสูตรการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน
พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๔ ยงั มคี วามไมช่ ดั เจนของหลกั สตู รหลายประการทงั้ ในสว่ นของเอกสาร
หลักสูตร กระบวนการน�ำหลักสูตรสู่การปฏิบัติและผลผลิตที่เกิดจากการใช้หลักสูตร
ประกอบกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี ๑๐ (พ.ศ. ๒๕๕๐ – ๒๕๕๔)
ไดช้ ใี้ หเ้ หน็ ความจำ� เปน็ ในการปรบั เปลย่ี นจดุ เนน้ ในการพฒั นาคณุ ภาพคนในสงั คมไทยให้
มีคุณธรรมและมีความรอบรู้อย่างเท่าทัน ให้มีความพร้อมทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา
อารมณแ์ ละศลี ธรรม สามารถกา้ วทนั การเปลยี่ นแปลงเพอ่ื นำ� ไปสสู่ งั คมฐานความรไู้ ดอ้ ยา่ ง
มน่ั คง เปน็ ผลใหม้ กี ารปรบั ปรงุ หลกั สตู ร พ.ศ. ๒๕๔๔ มาเปน็ หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษา
ข้นั พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

42

หลกั สตู รทส่ี ถานศกึ ษาใชใ้ นปจั จบุ นั คอื หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน
พุทธศักราช ๒๕๕๑ ซึ่งเป็นหลักสูตรท่ีมีโครงสร้างหลักสูตรและใช้มาตรฐานการเรียนรู้
เป็นเป้าหมายในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนเหมือนกัน นัยส�ำคัญท่ีแตกต่างคือ หลักสูตร
แกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑ ก�ำหนดตัวชีว้ ัดชนั้ ปี ระบสุ ิ่งทีน่ กั เรียน
พึงรแู้ ละปฏิบตั ไิ ด้ ในระดับการศึกษาภาคบังคบั (ประถมศกึ ษาปที ่ี ๑ – มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๓)
และตัวช้ีวัดช่วงชั้นเป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
(มัธยมศึกษาปที ่ี ๔ – ๖)

สาระประวัติศาสตร์ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช
๒๕๕๑ ในมาตรฐานการเรียนรู้ ๓ ขอ้ คอื

มาตรฐาน ส ๔.๑ เข้าใจความหมาย ความส�ำคัญของเวลาและยุคสมัย
ทางประวัติศาสตร์ สามารถใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ บนพื้นฐานของความเป็นเหตุ
เป็นผล มาวเิ คราะหเ์ หตกุ ารณ์ต่างๆ อย่างเปน็ ระบบ

มาตรฐาน ส ๔.๒ เขา้ ใจพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถงึ ปัจจบุ ัน ในแง่
ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง ตระหนักถึงความส�ำคัญ
และสามารถวเิ คราะห์ผลกระทบท่เี กดิ ข้ึน

มาตรฐาน ส ๔.๓ เข้าใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย
มคี วามภาคภมู ิใจและธ�ำรงความเปน็ ไทย

มาตรฐานทัง้ สามขอ้ น้ี มีจดุ เน้นต่างกนั คือ
มาตรฐาน ส ๔.๑ เน้นความรู้และเข้าใจประวัติศาสตร์และวิธีการศึกษา
ประวตั ศิ าสตรส์ ามารถนำ� ไปใชส้ บื คน้ เรอ่ื งราวทตี่ นสนใจไดบ้ นพน้ื ฐานของความเปน็ เหตผุ ล
เป็นผล
มาตรฐาน ส ๔.๒ เนน้ ความรคู้ วามเขา้ ใจ ในเรอื่ งพฒั นาการและการเปลยี่ นแปลง
ของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบัน สามารถรู้เท่าทันโลกในยุคโลกาภิวัตน์และการอยู่
ร่วมกันไดอ้ ย่างสนั ตสิ ขุ
มาตรฐาน ส ๔.๓ เน้นเร่ืองความเปน็ มาของชาติไทย วัฒนธรรมและภมู ิปญั ญา
ไทยเพ่อื ใหเ้ กิดความรักและภาคภมู ิใจในความเป็นชาติ
โดยหลกั การของหลกั สตู รสาระประวตั ศิ าสตร์ การจดั หมวดหมกู่ เ็ พอื่ ใหก้ ลมุ่ กอ้ น
ของความรเู้ ปน็ หมวดหมู่ ใหเ้ ขา้ ใจแนวคดิ เชงิ หลกั สตู ร เมอื่ นำ� ไปสกู่ ารจดั การเรยี นการสอน
ควรมกี ารเรยี งลำ� ดบั ใหม่ กลา่ วคอื เรยี นมาตรฐาน ๔.๓ ในฐานะทเ่ี ปน็ เรอ่ื งทใ่ี กลต้ วั ผเู้ รยี น
ตามด้วย มาตรฐาน ๔.๒ ในฐานะที่เป็นเร่ืองพัฒนาการของมนุษยชาติที่มีพื้นท่ีและมิติ

43

ของเวลากว้างขวางไปสู่ระดับประวัติศาสตร์ของโลกและมนุษยชาติ โดยใช้มาตรฐาน
๔.๑ ในฐานะเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้สาระหรือเนื้อหาในมาตรฐานท้ัง ๒ ข้างต้น
ดังแผนภาพ ท้ังน้ีเนื้อหาอาจเช่ือมโยงกับสาระอื่นๆ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา
ศาสนา และวฒั นธรรม ทเ่ี กีย่ วกบั เนอ่ื งกบั เศรษฐศาสตร์ ภมู ิศาสตร์ การเมอื ง จริยธรรม

มาตรฐาน ส ๔.๓ เข้าใจความเป็นมา มาตรฐาน ส ๔.๑ เขา้ ใจความหมาย
ของชาติไทย วัฒนธรรมภูมิปัญญาไทย ความสําคญั ของเวลา และยคุ สมยั
มีความรัก ความภูมิใจและธํารงความ ทางประวตั ศิ าสตร์ สามารถใช้วธิ ีการ
เปน็ ไทย ทางประวตั ิศาสตร์มาวิเคราะห์
เหตกุ ารณต์ ่าง ๆ อย่างเปน็ ระบบ
ให้รูจ้ กั ความเปน็ ไทย ทงั้ ประวัตคิ วามเปน็ มา วัฒนธรรมไทย
ภูมิปัญญาไทย ขนบธรรมเนยี มประเพณไี ทย วีรกรรมของ
บรรพบรุ ุษ เพอื่ ใหเ้ กิดความรกั ความภูมิใจ และธาํ รงรักษาความ ให้เรียนรู้เพ่อื ใชเ้ ปน็ เครอ่ื งมือสาํ หรับ
การเรียนรปู้ ระวัตศิ าสตร์ชาติไทย และ
เป็นไทยไว ใ้ ห้คงอย่ตู ลอดไป พัฒนาการของมนุษยชาติในพ้นื ทตี่ า่ ง ๆ
ของโลก (มาตรฐาน ส ๔.๓ และ ส ๔.๒)
มาตรฐาน ส ๔.๒ เข้าใจพัฒนาการ
ของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ใหเ้ รยี นรู้ไปสู่สงั คมโลก ด้วยการศกึ ษาพัฒนาการและ
ใ น แ ง่ ค ว า ม สั ม พั น ธ์ แ ล ะ ก า ร ความเปลยี่ นแปลงของเหตุการณ์เรมิ่ ทีช่ าติของตนเอง ขยายไป
เปล่ียนแปลงของเหตุการณ์อย่าง ประเทศเพอ่ื นบ้าน อาเซียน ภมู ิภาค และเพ่ือนร่วมโลก รวมทั้ง
ตสา่อมเนา ร่ือถงวติเครระาหะนหัก์ผถลึงกคระวทามบสทํา่เี กคิดัญขแึน้ ละ การเรยี นร้เู พอ่ื วเิ คราะห์สถานการณแ์ ละการเปลยี่ นแปลงและ
ผลกระทบท่ีเกดิ ขึน้ ทมี่ ตี อ่ ตนเอง ประเทศชาติ และสังคมโลก

จากมาตรฐานทง้ั ๓ ขอ้ ในสาระประวตั ศิ าสตร์ กำ� หนดเปน็ ขอบขา่ ยการเรยี นรู้
ท่ีมีความคิดรวบยอดที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์ต่างๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับสังคมมนุษย์หลายศาสตร์
เช่น เศรษฐศาสตร์ ภูมศิ าสตร์ ปรชั ญา มานุษยวิทยา สงั คมวิทยา และ โบราณคดี ที่มุง่ ให้
แมลคี ปยะวอรเัชดาปญมทลา่ีเเกี่ยขมจี่ยนา้ าาวในกแขจุษม้ปอวยางลา่วตกิทงรับกยฐไศาปาาานรสสตทังตดาคั้งร�ำมม์ต๓เวยน่าิทงขคุนิ ย้อๆสาชมใทวีแนล่ีติเัยสกะข่ีายโรอวกบะขงราป้อามรรณงศนะกควับกึุษดัตสษีิยศทังาคาชี่มสเมุ่งารตใมตหื่อรนิน้ม์ งุษีคกัน้รยวําา์หาหวมมลนใเาีกขดนย้าเาปศใอรจา็นดวสสข่าตีตัง่อกรสทบ์าขม�ำเรช่าใดต่นยหําากเเ้นเมากศินรรกดิเชษราีวียฐิกตลนศขาเราอวรู้ทสงลเี่มตมราีคนรียอ์วุษภนายยูมมชา่ริคศางู้วิดาตตา่สริ นม่อวตบ้ันรเนน์ ษุ ือ่ ยง์
ใในนอมปเอดีัญวดีตลหทีตาาําตตเใผ่าห่อง้เชกมๆิญิดาใอนกกปาาเยัวญรรล่าเสรางญ่ังียตสไน่อรามรมตตู้วาาอ่า่าอมมงันยกนๆ่าาจุษงลไะยเรใเว์ใปนนลออาัน็นขอดจณกยีตะ่าเาเะผปงรดชต็นสิญ่อก�ำรเปารนร้าัญงื่อสงชงญรป้าีวแางรติตลปะ่าะอรงสเะปยๆบสลู่อบก่ียใกนยนาาขแ่ารรณปงณณะไล์ รดงแ์ ไําลแประมลงตทชาีวะาีวมทิธงิตยเีอกลาุคยงือสาู่อกเมรลยใัยจน่าืองกัดกกไารการใรดมานศํารีวกึกริธกงษีกาชับาารีวรเดปิตรจื่อแั�ำดัญงกรกร่คาหงานรวชากรใีวตันบุ่นิต่างแๆก่
คนหรลนุ่ังตห่อลไปงั ตอ่ ไป ในกาในรเกรายี รนเรรียนดู้ รงั ู้ดกังกลลา่ ่าววจจงึึงตต้ออ้ งงใหใ้ผหู้เผร้ ียเู้ นรไยี ดน้แสไวดงแ้หสาคววงาหมราู้แคลวะาปมระรสแู้ บลกะาปรณร์เะกสี่ยบวกกับารณ์
เกเคี่ยปววลาี่ยกมนัเบปแคป็นลวมงาามขมาอสเงปู่ปตัจ็นนจเมุบอันางอขคยอร่างองไตบรคนมรเีคัวอวงสามังคสคามรมแาอรลบถะใคขนอรกงาัวปรตรสีะคเวังทาคมศมชแาแลตละิวอะ่าธขมิบีอพาัฒยงนปนัยราสกะําาเครทัญมศขาอชองยาเ่าหตงติวตุก่า่อามเรนณีพ่ือ์ งัฒปญัแนหลาะาการ
มาแอลยะก่าางรตเป่อลเี่ยนน่ือแปงแลงลเชะิงเปรละ่ียวัตนิศแาสปตลร์งทมางาสสังคู่ปมัจขจองุบปันระอเทยศ่างแไลระสมังคีคมวอา่ืนมโสดยาใมชา้บรทถเรใียนจกาากรอตดีตคมวาาทมํา และ
อขอธคิบงวาปามยเรขนะา้ ห๑ใัยเจัว.ทสปขเวศจั�อ้ำลจสคแาบุาํ ัแญลคนั ลญั ะะขแชสอลทว่ ะัเี่งงงปสเกคน็หมากมรยัตรเทปออุกาลบ่ืนงาี่ยคปรนวรณาแะโมปวด์คตัลยดิศิปงใาใกนัญสชาอตรหนร้บจ์าาัดคทแกตาเลรระเีรยกียนานรรจใู้เหาป้ผกลู้เรอี่ยียดนนเีตรแียปมนลรา้สู งทาเร�ำชะคิงปปรวะราวมะตั วิศเาัตขสิศ้าตรใา์จสดงัตปนรั้ีจ์ทจาุบงันสังแคลมะ
การเปลีย่ ๓๒น.. แวพธิ ปฒั กี นลารางทกใาานรงปขออรนะงมวาตันคิศุษตายสชตารต์ ิ

44

หวั ขอ้ สำ� คญั ทเี่ ปน็ กรอบความคดิ การจดั การเรยี นรใู้ หผ้ เู้รยี นเรยี นรสู้ าระประวตั ศิ าสตร์
ดงั น้ี

๑. เวลาและชว่ งสมยั ทางประวัติศาสตร์
๒. วธิ ีการทางประวตั ศิ าสตร์
๓. พฒั นาการของมนษุ ยชาติ
๔. เหตกุ ารณส์ �ำคญั ทแี่ สดงความเปลยี่ นแปลงของมนษุ ยชาติ
๕. ความเปน็ มาของชาติไทย
๖. บุคคลส�ำคัญของไทย
๗. วฒั นธรรมและภูมปิ ญั ญาไทย

(กรมวชิ าการ, ๒๕๔๖ : ๔-๖)

ความรคู้ วามเขา้ ใจวา่ ดว้ ยหลกั สตู รการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๔
และหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ กลมุ่ สาระ
การเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม สาระท่ี ๔ ประวตั ิศาสตร์

แนวคดิ ในการพฒั นาการจดั การเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตรท์ อ่ี ยใู่ นกลมุ่ วชิ าสงั คมศกึ ษา
มีมาอย่างต่อเน่ือง ต้ังแต่หลักสูตรประถมศึกษา ๒๕๒๑ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๓๓)
ประวัติศาสตร์อยู่ในกลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น
พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๑ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๓๓) และหลกั สตู รมัธยมศึกษาตอนปลาย
พุทธศักราช ๒๕๒๔ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๓๓) ประวัตศิ าสตรอ์ ยใู่ นกลุ่มสังคมศกึ ษา
ทำ� ใหเ้ กดิ ปญั หาการจดั การเรยี นรหู้ ลายประการ ทสี่ ำ� คญั คอื นกั เรยี นจะตอ้ งเรยี นหลายอยา่ ง
แตม่ คี วามรู้นอ้ ย ดังนี้ ดร.เอกวทิ ย์ ณ ถลาง ได้เสนอความคดิ ในเรือ่ งนว้ี ่า

“ในมติ ทิ เ่ี ราพยายามจะบรู ณาการเอาเรอื่ งใกลต้ วั ใหร้ กู้ อ่ น แลว้ รแู้ ตกฉานมากขนึ้
เรื่อยๆ นนั้ ก็ยังมีจุดอ่อนอยตู่ รงท่เี ราพยายามใหเ้ ด็กรู้หลายอย่างเกนิ ไป จนเปน็ หลักสตู ร
“หวงั ด”ี นค่ี อื ขอ้ สงั เกตประเดน็ ทห่ี นงึ่ เรากลวั วา่ เดก็ จะไมร่ เู้ รอ่ื งเพอ่ื นบา้ นของเรา ไมร่ เู้ รอื่ ง
โลกของเรา จึงพยายามจัดเนื้อหาทุกอยา่ ง ดูประหนงึ่ ว่าเอาความรรู้ ะดับมหาวิทยาลยั มา
บรรจใุ หเ้ ดก็ มธั ยมเรียน จริงอยถู่ ้าถือตามทฤษฎขี อง Jerome Bruner นกั การศึกษาและ
นกั จติ วทิ ยาชั้นเยยี่ มคนหน่ึง ซ่งึ มีความเหน็ ว่าสงิ่ ท่ีบ้านเมืองเหน็ ว่าจ�ำเปน็ และสำ� คญั ทีค่ วร
เรยี น กส็ ามารถจดั เนอ้ื หาใหเ้ หมาะสมกบั ระดบั วฒุ ภิ าวะของผเู้ รยี น แตป่ ระเดน็ ปญั หาไมไ่ ด้
จบลงเพียงนัน้ เพราะความปรารถนาดขี องเราท�ำใหเ้ น้ือหาแน่นมาก เม่ือแนน่ มาก ผูส้ อนก็
ใชค้ วามเคยชินเดิม คอื สอนรายละเอียดให้หมดเท่าทจี่ ะพงึ กระท�ำ และต้องสอบใหห้ มดทกุ
เรอื่ ง จงึ หนไี มพ่ น้ ตอ้ งออกขอ้ สอบแบบปรนยั ในทส่ี ดุ กเ็ ปน็ การเรยี นการสอนทไ่ี รว้ ญิ ญาณ

45

กล่าวคือ รู้ส่ิงละอันพันละน้อยเพียงเพ่ือให้ตอบข้อสอบปรนัยได้เท่าน้ัน จึงสมควรจะได้
พิจารณาโครงสร้างของหลักสูตร ดูว่ามีอะไรท่ีจ�ำเป็นท่ีเด็กวัยน้ีควรรู้ ที่เราควรให้ส่วนท่ี
เหลือก็ให้โอกาสเด็กได้แสวงหาด้วยตนเองบ้าง ดังนั้นจึงควรลดเนื้อหาลงเพ่ือเปิดทางให้ผู้
สอนและผู้เรียนได้ลงลึกในสาระส�ำคญั เพอ่ื เปน็ รากฐานทดี่ ใี นการแสวงหาความรตู้ อ่ ไปใน
ภายภาคหนา้ ” (กระทรวงศกึ ษาธิการ, ๒๕๓๑ : ๙)

นอกจากนี้ เน่ืองจากสังคมเป็นวิชาที่หลากหลายเนื้อหาและกว้างขวางมาก
ครูผู้สอนไม่สามารถจะเชี่ยวชาญในทุกๆ วิชาได้ ดังน้ันครูส่วนมากจึงจะเน้นเฉพาะเรื่อง
ทตี่ นเองเชย่ี วชาญและละเลยคณุ ลกั ษณะเฉพาะ ซง่ึ เปน็ เอกลกั ษณข์ องวชิ าตา่ งๆ โดยเฉพาะ
ประวตั ศิ าสตร์ ซงึ่ ศาสตราจารยน์ ธิ ิ เอยี วศรวี งศแ์ ละศาสตราจารยอ์ าคม พฒั ยิ ะ ผทู้ รงคณุ วฒุ ิ
ทางประวัติศาสตร์ ได้อธิบายความแตกต่างของประวัติศาสตร์จากสังคมศาสตร์สาขาอ่ืนๆ
ว่า ประวัติศาสตร์ให้ความส�ำคัญกับลักษณะเฉพาะของสังคมมนุษย์ที่จะแตกต่างกันและ
พฒั นาไปทา่ มกลางเวลา หรอื ทา่ มกลางปจั จยั แวดลอ้ มตา่ งๆ ของสงั คม ทเ่ี รยี กวา่ “มติ ขิ อง
เวลา” (นธิ ิ เอียวศรวี งศ์ และอาคม พัฒิยะ, ๒๕๒๕ : ๖ – ๑๒) ซง่ึ สงั คมศาสตร์สาขาอืน่
ไม่ได้ให้ความส�ำคัญในเรื่องนี้ รวมทั้งหัวใจของการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่เรียกว่า
“กระบวนการทางประวัติศาสตร์” ที่เน้นความมีเหตุมีผลท่ีได้จากการประเมินคุณค่าของ
หลักฐาน ดร. วนิ ัย พงศศ์ รเี พยี ร กรรมการช�ำระประวตั ิศาสตรไ์ ทยได้แสดงความคดิ เห็น
เกี่ยวกับปัญหา และอุปสรรคในการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ว่า สาเหตุหน่ึงมาจาก
“การสลายความเป็นเอกเทศของวิชาประวัติศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ในประเทศไทยหลัง
การปรับปรุงหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการใน พ.ศ. ๒๕๒๑ ในขณะท่ีประเทศตะวัน
ตกทั้งหมด และประเทศเพ่ือนบ้านของเราต่างก็ยังถือว่าประวัติศาสตร์เป็นวิชาเอกเทศ
บางประเทศ เชน่ จนี เวยี ดนาม ญ่ปี ่นุ เกาหลี ฝรัง่ เศส เยอรมนี องั กฤษ สหรฐั อเมริกา
และมาเลเซีย ให้ความส�ำคัญแก่วิชาประวัติศาสตร์มากเป็นพิเศษ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการ
สัง่ สมด้านภูมปิ ญั ญาทย่ี าวนาน ส่วนหนึ่งเปน็ เพราะเหตุวกิ ฤตทช่ี าตเิ หลา่ น้ันเผชิญในยคุ
อาณานิคม แต่ที่ส�ำคัญท่ีสุดจากแง่มุมของการศึกษาก็คือ การตระหนักว่าการเรียนรู้
ประวตั ิศาสตรช์ าติ เท่ากับเปน็ การท�ำความร้จู กั สงั คมของตนเอง นอกจากน้ีประวัติศาสตร์
เท่าน้ันท่ีจะช่วยปลูกฝังความรักมาตุภูมิ ความมุ่งม่ันในปณิธานแห่งชาติและความเข้าใจ
วฒั นธรรมประจำ� ชาติ แมม้ ผี อู้ ธบิ ายวา่ จำ� นวนเนอื้ หาและชว่ั โมงเรยี นของประวตั ศิ าสตรไ์ ทย
ไม่ได้ลดน้อยลงกว่าสมัยก่อนเลยแต่น่ันไม่ใช่ประเด็นส�ำคัญ ตราบเท่าที่องคาพยพของ
ประวัติศาสตร์ ถูกแยกออกไปเป็นส่วน ในรายวิชาชื่อประหลาดต่างๆ” (กระทรวง
ศกึ ษาธิการ, ๒๕๔๓: ๓-๔)

46

ประกอบกบั กระแสสงั คมใหค้ วามสนใจการจดั การเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตร์ ดงั ปรากฏ
บทความในหนงั สอื พมิ พร์ ายวนั หลายฉบบั ตอ่ เนอ่ื งกนั ทแ่ี สดงความหว่ งใยและความตอ้ งการ
ใหก้ ระทรวงศกึ ษาธกิ ารเนน้ การเรยี นการสอนประวตั ศิ าสตรไ์ ทยในสถานศกึ ษา โดยกำ� หนด
เป็นหลักสูตรท่ีเข้มข้นขึ้นเพ่ือให้นักเรียนตระหนักและเกิดความรัก และภาคภูมิใจในชาติ
เพม่ิ มากข้นึ

นอกจากน้ียังได้มีหนังสือกราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ผ่านทางระบบ
“โฮมเพจสายตรง นายกรฐั มนตรี (นายชวน หลีกภยั )” เสนอข้อคิดเหน็ เก่ยี วกบั การศกึ ษา
ประวัติศาสตร์ มีข้อความว่า “ต้ังแต่เกิดเรื่องการเรียกร้องประชาธิปไตย เกิดนิมิต
พระสุพรรณกัลยา ฯลฯ ท�ำให้เป็นท่ีวิจารณ์กันว่าหลักสูตรการศึกษาของไทยละเลย
วิชาประวัติศาสตร์ไป ควรให้มีวิชาประวัติศาสตร์โดยเฉพาะและบรรจุเนื้อหานั้น
ลงในวชิ านน้ั ด้วย อันท่จี ริง ไมม่ อี ะไรทไ่ี ม่มปี ระวัติศาสตร์ กระผมจงึ เห็นวา่ ไม่จ�ำเปน็ ต้องมี
วิชาประวัติศาสตร์แยกเป็นวิชาเฉพาะต่างหาก แต่บรรจุเนื้อหาประวัติศาสตร์ของเน้ือหา
วิชาอื่นทุกวิชาลงไปด้วย น่าจะท�ำให้รู้สึกว่าประวัติศาสตร์มีความส�ำคัญมากยิ่งกว่า
แยกเฉพาะ เพราะท�ำให้ผู้เรียนเห็นว่าประวัติศาสตร์เป็นองค์ประกอบส�ำคัญของทุกส่ิง
เปน็ ตัวอยา่ งเหตกุ ารณท์ ่จี ะน�ำมาใช้ น�ำมาพัฒนาในวิชาน้ันๆ อยา่ งใกล้ชดิ เปน็ หน้าทีข่ อง
ครูทุกวิชาต้องสอนประวัติศาสตร์ด้วย แทรกในเนื้อหาวิชาของตนอย่างให้มีความส�ำคัญ
การวดั ผลตอ้ งวดั ดา้ นประวตั ศิ าสตรข์ องทกุ เนอื้ หาดว้ ย” (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, สำ� นกั งาน
ปลัดกระทรวง, ๒๕๔๓ : ๑)

ดว้ ยเหตผุ ลดงั กลา่ ว กระทรวงศกึ ษาธกิ ารจงึ ไดป้ รบั ปรงุ หลกั สตู ร โดยมอบหมาย
ใหก้ รมวชิ าการแยกวชิ าประวตั ศิ าสตรไ์ ทยออกมาเปน็ วชิ าเฉพาะ โดยในระดบั ประถมศกึ ษา
ให้บรรจุเนื้อหาในภาพรวมของประวัติศาสตร์ไทยที่มีรายละเอียดความลึกซึ้งตามระดับ
ท่เี หมาะสม ส่วนในระดับมธั ยมศึกษาไดก้ �ำหนดเปน็ วชิ าบงั คบั ที่นักเรยี นทุกคนตอ้ งเรยี น

เดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๒ กระทรวงศึกษาธิการได้ลงนามในค�ำส่ังปรับปรุง
เพ่ิมเติมรายวิชาประวัติศาสตร์ในหลักสูตรประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้นและ
มัธยมศึกษาตอนปลาย โดยก�ำหนดให้มีการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ไทยทุกระดับช้ัน
ตัง้ แตป่ ีการศึกษา ๒๕๔๓ เป็นต้นไป สาระส�ำคัญสรุปไดด้ ังน้ี

ในระดบั ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ ๑-๒ ใหน้ กั เรยี นไดเ้ รยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตรจ์ ากโบราณ
สถาน โบราณวัตถุท่ีมีอยู่ในปัจจุบันในท้องถิ่นของนักเรียน เช่น วัด อนุสรณ์สถาน
เจดยี สถาน เป็นตน้

ในระดับประถมศึกษาปีที่ ๓-๔ และ ๕-๖ ใหน้ กั เรยี นได้เรยี นรู้ประวตั ศิ าสตร์
ตั้งแต่ภูมิหลังการต้งั ถ่ินฐานของบ้านเมืองในดินแดนประเทศไทยจนถงึ ปัจจบุ ัน โดยสังเขป

47

ซงึ่ เปน็ การศกึ ษาประวตั ศิ าสตรใ์ นภาพกวา้ ง ทผ่ี สู้ อนจะสามารถนำ� ไปจดั กจิ กรรมการเรยี น
การสอนได้หลากหลาย น่าสนใจ และสนุกสนาน ท้ังน้ีเพื่อเสริมสร้าง เจตคติ ให้เยาวชน
ของชาตมิ จี ติ สำ� นกึ และภาคภมู ิใจในความเปน็ ชาตไิ ทยเพม่ิ มากขึ้น

ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น หลักสูตรประวัติศาสตร์ฉบับปรับปรุงได้เพิ่มเติม
รายวิชาประวัติศาสตร์ไทยเป็นวิชาบังคับเลือกในกลุ่มวิชาสังคมศึกษา รวม ๓ วิชา คือ
ส ๐๒๘ ประวัติศาสตร์การต้ังถ่ินฐานในดินแดนประเทศไทย ส ๐๒๙ ประวัติศาสตร์
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยและ ส ๐๒๑๐ ประวัติศาสตร์ยุคประชาธิปไตย
โดยกระทรวงศึกษาธิการได้ก�ำหนดเป็นนโยบายให้สถานศึกษาจัดให้นักเรียนทุกคน
ท่เี รม่ิ เขา้ ศกึ ษาในปกี ารศกึ ษา ๒๕๔๓ ได้เรียนประวัติศาสตรไ์ ทยเพ่ิมขึ้นและอยา่ งต่อเนื่อง
ตลอดทุกปีการศกึ ษา

ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย หลกั สตู รประวตั ศิ าสตรฉ์ บบั ปรบั ปรงุ ไดจ้ ดั รายวชิ า
เลอื กเสรี ๖ รายวชิ า ทีม่ เี นอื้ หาประวัติศาสตร์ (ตามหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย พ.ศ.
๒๕๒๔ ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๓๓) โดยก�ำหนดเป็นรายวิชาที่นักเรียนต้องเลือกเรียน
อยา่ งนอ้ ย ๑ รายวชิ า ส�ำหรบั นกั เรียนชั้น ม.๔ ทเี่ ข้าเรยี นตงั้ แต่ปีการศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๔๓
เป็นตน้ ไป โดยเน้นใหผ้ ู้เรยี น ได้ศกึ ษาคน้ คว้าด้วยวธิ ีการทางประวตั ศิ าสตร์ ทง้ั นี้ เนื่องจาก
นักเรยี นในระดบั นี้จะตอ้ งเรยี นวชิ าทจี่ �ำเปน็ สำ� หรบั การศกึ ษาต่อในระดับอดุ มศกึ ษา

จะเห็นว่ากระทรวงศึกษาธิการ ได้พยายามที่จะพัฒนาการจัดการเรียนรู้
ประวัติศาสตร์ โดยไดป้ รบั ปรงุ หลักสตู รประถมศึกษา พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๑ (ฉบับปรับปรุง
พ.ศ. ๒๕๓๓) หลกั สูตรมธั ยมศึกษา ตอนตน้ พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๑ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ.
๒๕๓๓) และหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย พุทธศกั ราช ๒๕๒๔ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.
๒๕๓๓) โดยปรบั ปรงุ หลกั สตู รใหเ้ พม่ิ เตมิ รายวชิ าประวตั ศิ าสตรใ์ นหลกั สตู รทกุ ระดบั สาระ
ที่ปรับปรุงประวัติศาสตร์ดังกล่าวน้ีใช้ในการเรียนการสอนต่อมาจนถึงการประกาศ
ใช้หลกั สตู รการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๔๔

เมอ่ื กระทรวงศึกษาธิการ ประกาศใช้หลกั สูตรการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช
๒๕๔๔ ก็ได้มีการน�ำแนวคิดและเน้ือหาสาระประวัติศาสตร์ ที่ได้ก�ำหนดให้เรียนเพ่ิมข้ึน
ในหลักสูตรฉบับปรับปรุง พุทธศักราช ๒๕๓๓ มาบูรณาการในมาตรฐานการเรียนรู้
ชว่ งชนั้ ในระดบั ตา่ ง ๆ ดงั รายละเอยี ดการวเิ คราะหม์ าตรฐานการเรยี นรู้ สาระประวตั ศิ าสตร์
ส ๔.๑ – ส ๔.๓ ดังน้ี

48


Click to View FlipBook Version