The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การสอนประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย หลากหลายวิธีเรียน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

การสอนประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย หลากหลายวิธีเรียน

การสอนประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย หลากหลายวิธีเรียน

เรื่องท่ี ๓

หลกั ฐานทางประวัตศิ าสตร์ : ข้ันตอนส�ำคญั ของวธิ ีการทางประวัตศิ าสตร์

ประวัติศาสตร์ คืออะไร ส�ำคัญไฉน วธิ ีการทางประวตั ศิ าสตร์ คอื อะไร ส�ำคญั
แค่ไหน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ คืออะไร ส�ำคัญอย่างไร การอธิบายค�ำจ�ำกัดความ
เหลา่ นี้ ผสู้ อนประวตั ศิ าสตรค์ งพบเหน็ ไดใ้ นหนงั สอื เรยี นประวตั ศิ าสตรข์ องนกั เรยี นในระดบั
ชน้ั ต่างๆ แตก่ ารรแู้ ค่น้ันคงไมเ่ พยี งพอ ส�ำหรบั ผสู้ อนประวตั ศิ าสตร์ อนั ทจ่ี รงิ จุดเดน่ ของ
ประวตั ศิ าสตรค์ อื ขอ้ เทจ็ จรงิ (facts) ของอดตี และสงิ่ ทจ่ี ะใหค้ วามจรงิ ในอดตี ไดค้ อื หลกั ฐาน
ทางประวตั ิศาสตร์ หลักฐานจึงเปน็ สว่ นประกอบส�ำคญั ของประวัติศาสตร์ เพราะเราเรยี นรู้
เรอ่ื งราวในอดตี ได้ กเ็ พราะมรี อ่ งรอยการกระทำ� ของผคู้ นทง้ิ ไว้ รอ่ งรอยการกระทำ� ดงั กลา่ วนี้
เรียกว่า หลักฐานทางประวัติศาสตร์ อาจสรุปได้ว่าทุกสิ่ง ทุกอย่างที่มีอยู่ในสังคมมนุษย์
ลว้ นเปน็ หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรไ์ ดท้ งั้ สน้ิ และสงิ่ ทเี่ รากระทำ� และทง้ิ รอ่ ยรอยไวก้ จ็ ะกลาย
เป็นหลักฐานทางประวตั ศิ าสตรใ์ นอนาคต

ผู้ที่ให้ค�ำจ�ำกัดความหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้ครอบคลุม คือ มาร์ค บรอค
(Marc Block) นกั ประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศสได้อธิบายว่า “หลักฐานทางประวตั ศิ าสตร์
คือ ร่องรอยกระท�ำ การพูด การเขียน การประดิษฐ์ การอยู่อาศัยของมนุษย์หรือ
ลึกไปกว่าส่ิงที่ปรากฎอยู่ภายนอก น่ันคือ ส่ิงท่ีอยู่ภายในได้แก่ความคิดอ่านโลกทัศน์
ความรสู้ กึ ประเพณี ปฏบิ ตั ขิ องมนษุ ยใ์ นอดตี ทอี่ าจจะตกตะกอนซอ่ นเรน้ อยใู่ นความคดิ
โลกทัศน์ความรู้สึกของคนในปัจจุบันหรือส่ิงท่ีมนุษย์ได้จับต้องและทิ้งร่องรอยเหลือ
ไว้ ซ่งึ ส่วนใหญม่ ักจะอยใู่ นธรรมชาติและในวัฒนธรรมของมนุษย์นนั่ เอง”

99

ประเภทของหลักฐานทางประวตั ศิ าสตร์
เราอาจแบ่งหลักฐานประวัติศาสตรไ์ ดห้ ลายลกั ษณะ เชน่
- หลักฐานที่ผู้กระท�ำไม่ได้ต้งั ใจจะสรา้ งขน้ึ กบั หลกั ฐานที่ผูก้ ระทำ� ตงั้ ใจสรา้ งข้นึ
- หลกั ฐานสมัยก่อนประวัตศิ าสตร์กบั หลักฐานสมัยประวตั ศิ าสตร์
- หลักฐานโบราณคดี กบั หลักฐานท่ไี ม่ใชโ่ บราณคดี

ภาพ หลักฐานทางโบราณคดี
นกั ประวตั ศิ าสตรแ์ บง่ ประเภทของหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรอ์ อกเปน็ ๒ ประเภท

ได้แก่
๑. หลักฐานช้ันตน้ หรอื หลกั ฐานปฐมภูมิ (primary sources) หมายถงึ หลกั ฐาน

ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับเหตุการณ์น้ันหรือเป็นหลักฐานที่เกิดจากผู้ที่มีส่วนร่วมกับ
เหตุการณ์ หรือร้เู หน็ เหตุการณ์ด้วยตนเอง

๒. หลักฐานช้ันรอง หรือหลักฐานทุติยภูมิ (secondary sources) หมายถึง
หลักฐานที่เกิดข้ึนภายหลังการเกิดเหตุการณ์และจากท่ีผู้ไม่ได้มีส่วนร่วมกับเหตุการณ์
แต่ได้สืบค้นจากหลักฐานช้ันต้น หรือรับรู้เรื่องราวมาจากค�ำบอกเล่าของผู้ท่ีอยู่ร่วมกับ
เหตกุ ารณ์อกี ทหี นึ่ง

100

โดยปกติหลักฐานช้ันต้นมักเป็นที่สนใจและให้ความส�ำคัญ มากกว่าหลักฐาน
ชน้ั รองเพราะมคี วามคดิ วา่ หลกั ฐานทเ่ี กดิ ขน้ึ ใกลช้ ดิ เหตกุ ารณม์ ากเทา่ ไร ความถกู ตอ้ งยอ่ ม
มีมากขน้ึ เทา่ นัน้ แต่อย่างไรก็ตามหลักฐานช้ันต้น กอ็ าจใหข้ อ้ มลู ที่ผิดพลาดได้ เนอ่ื งจาก

(๑) ผู้สร้างหลักฐานไม่มีความเข้าใจอย่างแท้จริงในเหตุการณ์น้ัน ส่ิงที่
รายงานนนั้ เปน็ ความจรงิ โดยบรสิ ทุ ธใ์ิ จ ความคลาดเคลอ่ื นของขอ้ มลู จงึ เกดิ ขน้ึ ไดโ้ ดยไมเ่ จตนา

(๒) ตงั้ ใจปกปดิ หรอื บดิ เบอื นความจรงิ เพอ่ื ประโยชนส์ ว่ นตนหรอื รกั ษาสทิ ธิ
บางอย่างของผู้สร้างหลักฐานหรือกลุ่มคนท่ีตนรู้จักหรือความนิยมส่วนตัวท�ำให้ไม่เห็น
ข้อบกพร่องหรือข้อเสียของฝ่ายตน รวมท้ังน�ำความรู้สึกส่วนตัวไปปะปนหรือบิดเบือน
รายงานให้คลาดเคลอ่ื นได้

(๓) อยใู่ นบรบิ ทของเวลาทม่ี คี วามคดิ ความเชอื่ และอทิ ธพิ ลทางสงั คมครอบงำ�
(๔) ผสู้ รา้ งหลกั ฐานไมไ่ ดร้ ายงานความเจรญิ ทงั้ หมดใหค้ รบถว้ น แตร่ ายงาน
บางสว่ นหรอื รายงานคลาดเคลอื่ นจากความจรงิ เปน็ บางสว่ นอาจเพอื่ ความรกั ชาติ ปกปอ้ ง
สถาบนั หรือมีเจตนาอ่ืนแอบแฝง
ดังน้ัน หลักฐานช้ันรอง แม้จะมีข้ึนภายหลังเหตุการณ์ แต่ถ้าได้สอบสวน
ขอ้ เทจ็ จรงิ อยา่ งถอ่ งแทแ้ ลว้ กอ็ าจใหค้ วามจรงิ ทถ่ี กู ตอ้ งกวา่ กไ็ ด้ ดงั นน้ั ไมว่ า่ หลกั ฐานชนั้ ตน้
หรือหลักฐานชั้นรองก็ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบหรือประเมินค่าตามวิธีการ
ทางประวัตศิ าสตร์ ท้งั ส้นิ
ส่ิงท่ีครูควรท�ำความเข้าใจก่อนว่า เม่ือพูดถึงหลักฐานทางประวัติศาสตร์
เราเนน้ ท่ี “ขอ้ มูล” ทีบ่ รรจอุ ยู่ในหลกั ฐาน ซง่ึ โดยทั่วไปเราเรยี กข้อมูลท่เี กี่ยวข้องกับเรื่องที่
เราต้องการศึกษาว่า “ขอ้ เท็จจริง” อนั เป็นการเตือนใจผู้ศึกษาอดีตวา่ ข้อมลู ทไ่ี ด้อาจมีทง้ั
ขอ้ เทจ็ จรงิ และ ข้อจรงิ นักประวัติศาสตร์บางท่าน เชน่
นธิ ิ เอยี วศรวี งศ์ และ อาคม พฒั ยิ ะ ไดใ้ ชศ้ พั ทค์ ำ� วา่ “ขอ้ สนเทศ” หมายถงึ
ข้อความที่บรรจุอยู่ในหลักฐานและอธิบายว่า “ข้อสนเทศนี้แหละ คือ ตัวหลักฐาน
ทางประวตั ิศาสตร์” โดยยกตวั อย่างวา่ เจดยี ์ทรงลังกาในเขตเมอื งอโยธยา (เมืองที่ต้ังอยู่
ก่อนจะเกิดกรุงศรีอยุธยาในท้องท่ีเดียวกัน) อาจไม่มีข้อความใดจารึกไว้เลย แต่เป็น
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ เพราะรูปทรงของเจดีย์บอกให้เรารู้ว่า พุทธศาสนานิกาย
เถรวาทตามคตลิ ังกา อาจแพรม่ าถงึ แถบเมอื งอโยธยา กอ่ นหนา้ พ.ศ. ๑๘๙๓ ส่งิ ที่เจดีย์
ทางลงั กาบอกนี้ คือ ขอ้ สนเทศซึง่ ถอื เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เพราะฉะนน้ั เมื่อเรา
พดู วา่ หลกั ฐานใดนา่ เชอื่ ถอื หรอื ไม่ เราจงึ หมายถงึ ขอ้ สนเทศทถี่ กู บรรจไุ วใ้ นศลิ า กระดาษ
เจดีย์ ผ้า ฝาผนงั หรอื ความทรงจ�ำของคน ฯลฯ แตม่ ิได้หมายถึงวัตถุหรือบคุ คลทธ่ี ำ� รงขอ้
สนเทศน้ันๆ ไว้

101

ภาพ เปรียบเทยี บเจดียท์ เ่ี มืองโบโลนารวุ ะ ประเทศศรลี งั กาและพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม
ขอ้ ควรคำ� นงึ สำ� หรบั ผใู้ ชห้ ลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ คอื หลกั ฐานทกุ ชนิ้ เปน็ ไดท้ ง้ั

หลกั ฐานชนั้ ตน้ และหลกั ฐานชนั้ รอง ตวั อยา่ งทชี่ ดั เจน คอื จดหมายเหตุ ลา ลู แบร์ ฉบบั
สมบรู ณ์ ซงึ่ เขยี นโดย ทตู ชาวฝรงั่ เศสทเ่ี ดนิ ทางมากรงุ ศรอี ยธุ ยาในสมยั สมเดจ็ พระนารายณ์
มหาราช ในสว่ นทวี่ า่ ดว้ ยวถิ ชี วี ติ ไทยทไ่ี ดป้ ระสบพบเหน็ ถอื เปน็ หลกั ฐานชนั้ ตน้ แตเ่ รอื่ งราว
ทยี่ อ้ นไปถงึ ความเปน็ คนไทยกอ่ นการสถาปนากรงุ ศรอี ยธุ ยา ตอ้ งถอื วา่ เปน็ เอกสารชนั้ รอง

ภาพ จดหมายเหตุ ลา ลู แบร์ ราชอาณาจกั รสยาม
102

จะเหน็ วา่ หลกั ฐานชน้ั ตน้ และหลกั ฐาน ชนั้ รองปะปนรวมอยใู่ นเอกสารชน้ั เดยี วกนั
ไดเ้ สมอ แมห้ ลกั ฐานทเ่ี ขยี นขนึ้ รว่ มสมยั กบั เหตกุ ารณท์ ไ่ี ดบ้ นั ทกึ ไว้ กอ็ าจไมใ่ ชห่ ลกั ฐานชนั้
ตน้ เพราะผบู้ นั ทกึ ไมไ่ ดเ้ กยี่ วขอ้ งกบั เหตกุ ารณโ์ ดยตรง แตฟ่ งั ผอู้ นื่ เลา่ มาอกี ทหี นงึ่ ในกรณี
ท่ีหลักฐานชิ้นเดียวกันเป็นท้ังหลักฐานชั้นต้นและหลักฐานช้ันรอง ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์
อธิบายว่า เช่น พระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ เรื่อง ไทยรบพม่า
จดั เปน็ หลกั ฐานชน้ั รอง เพราะสมเดจ็ ฯ กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพ มไิ ดเ้ กยี่ วขอ้ งโดยตรง
อย่างใดกับสงครามระหว่างไทยกับพม่าทุกคร้ัง แต่ข้อสนเทศเกี่ยวกับความคิดของชนช้ัน
ปกครอง ในคร่งึ แรกของพุทธศตวรรษที่ ๒๕ ทเ่ี ก่ยี วกับพม่าถอื เปน็ หลักฐานชั้นต้น

ในการสบื คน้ เรอื่ งราวในอดตี ของสงั คมมนษุ ยส์ ว่ นใหญ่ ผสู้ บื คน้ ทางประวตั ศิ าสตร์
ให้ความสนใจ “เอกสาร” มากกว่าหลกั ฐานประเภทอน่ื ๆ ท่จี ะน�ำมาใชป้ ระกอบการสบื คน้
และเป็นยอมรับว่า ดินแดนในประเทศไทยก้าวเข้าไปสู่ยุคประวัติศาสตร์ เมื่ออารยธรรม
อนิ เดียได้มอี ิทธพิ ลตอ่ อาณาจักรท่ีต้งั อย่ใู นดินแดนไทย ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๒
ท�ำให้เกิดหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ท่ีสุด คือ “ศิลาจารึก” ซึ่งพบในอาณาจักร
โบราณของภมู ิภาคเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ อาจเพราะความเช่อื หรือความคงทนของวตั ถุ
(นอกจากนยี้ งั พบทฐ่ี านพระพทุ ธรปู ตามปชู นยี สถาน ปชู นยี วตั ถ)ุ ขอ้ ความทป่ี รากฏในศลิ า
จารกึ มหี ลายลกั ษณะ สว่ นใหญเ่ ปน็ ความเชอื่ ทางศาสนา และการประกาศบญุ แตจ่ ารกึ บาง
หลกั มีเรือ่ งราวส�ำคัญอืน่ ๆ เกีย่ วขอ้ งกบั การเมอื ง เศรษฐกิจและสงั คม เช่น จารกึ สโุ ขทยั
หลักที่ ๓๘ เป็นการประกาศกฎหมายของอยุธยาในดินแดนสุโขทัย จารึกศรีสองรัก
ทจี่ ังหวัดเลย เป็นประกาศความเป็นพนั ธมติ ร ระหว่างอาณาจกั รอยุธยาและล้านชา้ ง จารกึ
ท่ีพบในประเทศไทยมีเป็นจ�ำนวนมากและหลายยุคสมัย ท้ังก่อนสุโขทัย สุโขทัย อยุธยา
และรตั นโกสนิ ทร์ ซงึ่ กรมศลิ ปากรไดจ้ ดั พมิ พเ์ ผยแพร่ ผสู้ อนประวตั ศิ าสตร์ ควรทจี่ ะศกึ ษา
และน�ำเข้าสู่บทเรยี นประวตั ิศาสตร์ในชนั้ เรียน

ภาพ จารึกวดั พระธาตุศรสี องรัก จังหวัดเลย
เปน็ จารกึ ทแี่ สดงสมั พนั ธไมตรฉี นั ทม์ ติ รประเทศ
ระหว่างกรุงศรีอยุธยากับกรุงศรีสัตนาคนหุต
(ลา้ นช้าง)

103

ตัวอยา่ งหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตรไ์ ทย
ต�ำนาน เป็นเร่ืองราวที่มาจากการจดจ�ำและเล่าสืบต่อกันมาเป็นเวลานาน
หลายชั่วคน ก่อนที่จะได้มีการเรียบเรียงเป็นลายลักษณ์อักษร ต�ำนานจึงมักรวมนิยาย
นิทาน คติชาวบ้านและส่ิงท่ีคิดและเช่ือว่าเป็นข้อเท็จจริงหลายช่วงเวลาเข้าไป อาจกล่าวว่า
ต�ำนานเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่เช่นกัน ต�ำนานท่ีส�ำคัญคือต�ำนานของเมือง
เชน่ ตำ� นานพงิ ควงศ์ เปน็ เรอื่ งราวของนครเชยี งใหม่ ตำ� นานเมอื งหรภิ ญุ ไชย ของเมอื งลำ� พนู
ต�ำนานหิรัญนครและต�ำนานสิงหนวัติกุมาร เป็นเรื่องของการตั้งถ่ินฐานของคนไทย
ในบริเวณลุ่มน�้ำกก พงศาวดารนครศรธี รรมราช ในตอนต้นของภาคใต้ รวมทง้ั นทิ าน
เรอื่ งท้าวฮุ่ง ท้าวเจือง ของภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ ก็นับเป็นต�ำนานเช่นกนั
สว่ นตำ� นานเกย่ี วกบั ปชู นยี วตั ถุ และปชู นยี สถานทางพระพทุ ธศาสนา เชน่ ตำ� นาน
พระแก้วมรกต ต�ำนานพระธาตุช่อแฮ ต�ำนานพระธาตุจอมทอง ต�ำนานพระธาตุ
นครศรีธรรมราช ตำ� นานพระธาตุนครพนม แม้ “พงศาวดารโยนก” ของพระยาประชากิจ
กรจกั ร (แช่ม บนุ นาค) ก็จดั เป็นต�ำนานเช่นกนั เพราะเรยี บเรยี งจากต�ำนานพื้นเมอื ง
ในภาคเหนือ แม้ว่าต�ำนานส่วนใหญ่มีเร่ืองที่เป็นอิทธิฤทธ์ิปาฏิหาริย์ แต่มีข้อเท็จจริง
ทางประวตั ศิ าสตรแ์ ฝงอยู่ การใชต้ ำ� นานเปน็ หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรเ์ ปน็ เรอื่ งคอ่ นขา้ งยาก
ผู้สอนประวตั ิศาสตรพ์ งึ ระมัดระวังอยา่ งยิ่ง
จดหมายเหตุชาวต่างชาติ เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีคุณค่ายิ่ง ตั้งแต่
พุทธศตวรรษท่ี ๘ ชาวต่างชาติที่เป็นพ่อค้าและนักเดินทางได้สืบค้นสภาพบ้านเมือง
ในดนิ แดนทตี่ นเดนิ ทางมาถงึ เชน่ รายงานของนกั ภมู ศิ าสตรช์ าวกรกี ชอ่ื พโทเลมี ทตู ชาวจนี
พ่อค้าชาวอาหรับและเปอร์เซียและชาวตะวันตกในราวพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ เป็นต้นมา
ท้ังโปรตุเกส ฮอลันดา อังกฤษ ฝรั่งเศส โดยเฉพาะรายงานของการค้าของบริษัท
ชาวตะวนั ออก จดหมายเหตเุ หลา่ น้ี หลายเลม่ ไดถ้ กู แปลเปน็ ภาษาไทยแลว้ ผสู้ อนประวตั ศิ าสตร์
ควรสะสมไวเ้ ปน็ เครอ่ื งมอื สำ� หรบั จดั กจิ กรรมการเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตร์
พงศาวดาร หมายถงึ การบนั ทกึ เรอ่ื งราวในอดตี ภายใตก้ ารอปุ ถมั ภข์ องผปู้ กครอง
ส่วนใหญ่เป็นพงศาวดารแบบพุทธศาสนาลังกาวงศ์เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์
ท่ีมีลักษณะการเขียน โดยอาศัยประวัติพระพุทธศาสนาเป็นแกนเรื่อง ย้อนไปถึงสมัย
กอ่ นพทุ ธกาลทสี่ �ำคญั เชน่ หนงั สือมลู ศาสนา(ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑) ชนิ กาลมาลปี กรณ์
เป็นต้น
นอกจากน้ี ยงั มพี งศาวดารท้องถ่ิน และประเทศเพอ่ื นบ้าน เชน่ พงศาวดารเมอื ง
นครเชียงใหม่ พงศาวดารเมอื งพัทลงุ พงศาวดารเมอื งสงขลา พงศาวดารเขมร เปน็ ตน้

104

หนังสือค�ำให้การชาวกรุงเก่า ค�ำให้การขุนหลวง
หาวัด และพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับ
หลวงประเสริฐอกั ษรนิต์ิ

พระราชพงศาวดาร เป็นเอกสารทางราชการนับตั้งแต่สมัยอยุธยาเป็นต้นไป
เป็นการบันทึกพระราชกรณียกิจ และเหตุการณ์ส�ำคัญ ภายใต้การอุปถัมภ์ของกษัตริย์
พระราชพงศาวดารทเี่ กา่ ทสี่ ดุ คอื พระราชพงศาวดารฉบบั หลวงประเสรฐิ อกั ษรนติ ิ์ ซงึ่ เขยี น
ขน้ึ โดยพระบรมราชโองการของสมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช เนอ้ื เรอื่ งเรมิ่ ตง้ั แตก่ ารสถาปนา
พระพทุ ธรปู พนญั เชงิ ทอี่ ยธุ ยา เมอื่ พ.ศ. ๑๘๖๘ และจบลงเมอ่ื สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช
เสดจ็ ยกทพั ไปตเี มืองอังวะ และสวรรคต

พระราชพงศาวดารสว่ นใหญเ่ ปน็ พระราชพงศาวดารทผ่ี า่ นการชำ� ระในสมยั ธนบรุ ี
และรตั นโกสนิ เทร์ เชน่ พระราชพงศาวดารฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) พระราชพงศาวดาร
กรุงศรีอยุธยาฉบับเยเรเมียส ฟานฟลีต พระราชพงศาวดารฉบับสมเด็จพระพนรัตน์
พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหตั ถเลขา เปน็ ต้น

การพบพระราชพงศาวดารจ�ำนวนมาก ท�ำให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงทาง
ประวัติศาสตร์เพิ่มข้ึน นอกจากน้ี ยังมีบันทึกความทรงจ�ำท่ีส�ำคัญ คือ จดหมายเหตุ
กรมหลวงนรินทรเทวี พระน้องนางเธอในรัชกาลท่ี ๑ ที่เล่าเหตุการณ์ตั้งแต่เสียกรุง
แกพ่ มา่ พ.ศ. ๒๓๑๐ และเหตกุ ารณใ์ นสมยั ธนบรุ ี จนถงึ ตน้ สมยั รตั นโกสนิ ทร์ พ.ศ. ๒๓๘๑
(ส้ินพระชนม์ พ.ศ.๒๓๗๐ เข้าใจว่ามีแต่งต่อเติมต่อมา) เอกสารราชการ กฎหมาย
วรรณกรรม จดหมายส่วนตัว หนังสือพิมพ์ วารสาร ฯลฯ หลักฐานทางประวัติศาสตร์
ประเภทลายลักษณ์อักษรท่ียกมานี้ เพียงต้องการให้ผู้สอนประวัติศาสตร์ได้คุ้นเคยและ
น�ำมาใช้ให้เป็นประโยชน์

การตรวจสอบประเมนิ คา่ หลกั ฐานทางประวัตศิ าสตร์
การสืบค้นเร่ืองราวในอดีตด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ เมื่อมีประเด็นศึกษา

105

ท่ีสนใจอยากรู้ ส่ิงแรก คือ การรวบรวมข้อสนเทศหรือข้อเท็จจริงจากหลักฐานต่างๆ ท่ี
เก่ยี วข้อง อยา่ งไรก็ตาม เม่ือพบหลักฐานกไ็ มไ่ ดห้ มายความวา่ ขอ้ สนเทศในหลกั ฐานที่พบ
คอื ความจรงิ ในอดตี ซงึ่ นกั ประวตั ิศาสตรช์ อบคอ่ นแคะและเสียดสผี สู้ ืบค้นอดีตมือสมคั ร
เล่นว่า มกั จะเชื่อตามข้อมลู ทุกอย่างทีข่ วางหนา้ โดยไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน

กระบวนการในการตรวจสอบประเมินคุณค่าของหลักฐาน ถือเป็นเอกลักษณ์
เฉพาะของประวัตศิ าสตร์ จึงได้รับการกลา่ วขานว่าเป็น “ศาสตรข์ องการรวบรวม แยกแยะ
วิเคราะห์ วิพากษ์และการใช้ข้อมูลสนเทศเพื่อค้นหาข้อเท็จจริงในสังคมมนุษย์” ซึ่ง
ความพถิ ีพิถนั ในการใช้หลกั ฐานทางประวตั ิศาสตรน์ น้ั มาจากแนวคดิ ที่ว่า หลกั ฐานทกุ ชน้ิ
ไม่แนว่ า่ จะบอกความจรงิ เสมอไป ไม่วา่ จะเป็นผรู้ ่วมในเหตุการณ์ เอกสารช้นั ต้น เอกสาร
ช้ันรองกอ็ าจใช้ข้อเทจ็ จรงิ ทค่ี ลาดเคลือ่ นไดเ้ ช่นกัน

การตรวจสอบหลกั ฐานหรอื เรยี กวา่ การวพิ ากษว์ ธิ ที างประวตั ศิ าสตร์ มี ๒ ระดบั
คือ การตรวจสอบภายนอกหรือการวิพากษ์ภายนอก และการตรวจสอบข้อสนเทศ
ในหลักฐาน เรยี กวา่ การตรวจสอบภายในหรือการวิพากษภ์ ายใน

การวิพากษภ์ ายนอก คือ การตรวจสอบหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์โดยมจี ุดมุ่ง
หมาย เพอื่ ให้รูจ้ กั หลักฐานน้ัน ประกอบดว้ ยการสบื ค้นหรือความพยายามตอบค�ำถามว่า

๑. หลกั ฐานน้นั ใครท�ำขึ้น
๒. ผจู้ ดั ทำ� หลักฐานมบี ทบาท และฐานะอย่างไรในการสรา้ งหลกั ฐานนั้นขึ้น
๓. หลกั ฐานน้ันสรา้ งข้นึ ดว้ ยจดุ ประสงค์อะไร
๔. อายขุ องหลักฐานน้นั สรา้ งขึน้ เม่ือไร
๕. สภาพแวดลอ้ มท่หี ลกั ฐานนัน้ ท�ำขนึ้ เปน็ อยา่ งไร
๖. หลกั ฐานน้ันอย่ใู นรูปเดิมหรอื ไม่ หรอื มีการคัดลอกเพม่ิ เติมลอกเลยี นข้ึน

การท่ีผู้ศึกษาอดีตต้องตรวจสอบหลักฐาน ถือเป็นสิ่งจ�ำเป็นเพราะจะช่วยให้ใช้
หลักฐานได้อย่างมีประสิทธิภาพช่วยในการประเมินประเมินความน่าเชื่อถือในข้อสนเทศ
ท่อี ย่ใู นหลกั ฐานนัน้ ๆ และชว่ ยใหเ้ ราตีความหลักฐานไดช้ ัดเจนขนึ้

การวิพากษภ์ ายใน คือ การวพิ ากษข์ อ้ สนเทศ หรือขอ้ เท็จจริงในตวั หลกั ฐานวา่
มีความน่าเชื่อถือ (ความจริง) หรือน่าสงสัยที่อาจจะเป็นเท็จ ท้ังหลักฐานลายลักษณ์
และหลักฐานที่ไม่ใช่ลายลักษณ์ เช่น หลักฐานทางโบราณคดี ก็อาจให้ข้อสนเทศแก่
ผสู้ ืบคน้ อดตี ได้

การวพิ ากษภ์ ายใน คอื การวนิ จิ ฉยั ขอ้ เทจ็ จรงิ ในหลกั ฐานดว้ ยการรวบรวมขอ้ มลู
ทเี่ ปน็ ขอ้ สนเทศในหลกั ฐานนนั้ ๆ วา่ หลกั ฐานนน้ั บง่ บอกอะไรบา้ ง (ใคร ทำ� อะไร ทไี่ หน เมอ่ื ไร

106

อยา่ งไรและทำ� ไม) แล้วตรวจสอบกับขอ้ สนเทศกับหลักฐานอื่นๆ ท่เี กีย่ วขอ้ งกับเร่ืองราว
ทเี่ ราศกึ ษาวา่ สอดคลอ้ งกนั หรอื แตกตา่ งกนั หรอื ไม่ และทำ� ไมจงึ สอดคลอ้ ง ทำ� ไมจงึ แตกตา่ ง

ท่สี �ำคญั คอื เราไม่ไดส้ นใจปริมาณของความเหมือนหรือความต่างในข้อสนเทศ
และเช่อื ตามจ�ำนวนท่ีมากกว่า แต่ถือเปน็ บทบาทสำ� คัญทจ่ี ะสืบค้นว่า ทำ� ไมจึงมขี อ้ สนเทศท่ี
แตกตา่ ง ซ่งึ เมอ่ื ตอบค�ำถามไดย้ ่อมท�ำให้เราเขา้ ใจหลักฐานได้อยา่ งแท้จรงิ

การตรวจสอบข้อมูลของขั้นตอนน้ี นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่จะพิจารณาใน
หลักฐานแต่ละชิ้นอย่างละเอียดแล้วแยกแยะข้อมูลบันทึกเรียงตามล�ำดับเวลาหรือล�ำดับ
เหตุการณ์ตามเวลา (time line) เพ่ือสะดวกต่อการตรวจสอบ จากนั้นจะแยกแยะข้อมูล
ตามประเด็นเนอ้ื หา เพอื่ ให้รูว้ ่าหลักฐานแต่ละช้นิ ใหร้ ายละเอยี ดเกย่ี วกบั เรอ่ื งอะไรอยา่ งใด

ใบจุ้มหรือพระราชโองการสมัยพระเจ้าโพธิ

สาละราช ลงศักราช ๙๐๔(จุลศักราช) หรอื พ.ศ.๒๐๘๕

มีข้อความที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าในสมัยน้ัน

เวียงจันทน์ (ในอดตี เรียกว่าจันทบุร)ี ได้กลายเปน็ เมือง

ส�ำคัญของอาณาจักรล้านช้างเเล้ว พระเจ้าโพธิสาละราช

เองก็ได้เสด็จลงมาประทับที่เมืองเวียงจันทน์นี้ จนเมือง

เวียงจันทน์กลายเป็นศูนย์กลางทางการปกครอง เเม้จะ

ยังไม่มีการย้ายเมืองหลวงจากหลวงพระบางมา

เวียงจันทน์อย่างเป็นทางการก็ตามที เเต่หลังจากน้ัน

พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช (โอรสพระเจ้าโพธิสาละราช)

จึงได้ย้ายเมืองหลวงของอาณาจักรล้านช้างมาอยู่ท่ี

เวียงจนั ทน์ในปี พ.ศ.๒๑๐๓

จากข้อความในใบจุ้มบรรทัดท่ี ๑๐-๑๓

ภาพ ใบจมุ้ หรอื พระราชโองการสมยั พระเจา้ ความวา่ "มาตรานึง ไพรเ่ เลกลอง (กอง) ข้อยเสโล หาก
โพธิสาละราช ปี พ.ศ.๒๐๘๕ ยังส้านเส็นอยู่ดอมท้าวพระยาเเสนหมื่น พระสงฆ์เจ้าที่
ใดก่ดี ให้จัดทา่ วเอามาไวด้ งั เกา่ ผู้ใดหากว่าบ่ใชใ่ ห้น�ำมา

พจี ารณาในจนั ทบรุ ี ยงั ถกู หนก้ี นิ สนิ ทา่ น พนั เงนิ ใช้ ๓ คน ๓ ฮอ้ ยใชผ้ นู้ งื ลำ�้ นน้ั ใหท้ า่ วเอาตงเสย้ี ง (ทง้ั สน้ิ )"

จากขอ้ ความนเี้ เสดงใหเ้ หน็ วา่ นครจนั ทบรุ (ี เวยี งจนั ทน)์ ไดก้ ลายมาเปน็ ศนู ยก์ ลางของอาณาจกั ร

ลา้ นชา้ งเเล้ว เพราะการพจิ ารณาความท่ีหาท่ีส้นิ สดุ ไม่ได้ มักเอาความนัน้ มาพิจารณาท่ีเมืองหลวง

ใบจุ้มนป้ี จั จุบนั เก็บรกั ษาไว้ทีห่ อสมุดเเหง่ ชาติ กรุงเทพมหานคร ถอื เปน็ ใบจุ้มท่มี ีอายเุ ก่าเเก่

มากท่สี ุดในบรรดาใบจุ้มท่มี ีอยู่ในหอสมุดของไทยกว่า ๖๐ ฉบบั

ใบจุ้มดังกล่าวน้ี สยามหรือไทยน่าจะน�ำมาจากเวียงจันทน์ในคราวที่สยามยกทัพตี

กรุงเวียงจันทน์พร้อมน�ำพระเเก้วมรกตเเละพระบางมายังกรุงธนบุรีในปี พ.ศ. ๒๓๒๒ เอกสารส�ำคัญ

ของลา้ นชา้ งจำ� นวนมากไดถ้ กู นำ� มาดว้ ย ไม่ว่าจะเปน็ ใบจ้มุ ใบลาน คัมภีร์ทางพุทธศาสนา พระไตรปิฎก

หรอื เเมเ้ เต่มหากาพย์เเห่งอษุ าคเนยอ์ ยา่ งท้าวฮ่งุ ทา้ วเจอื งดว้ ย

(ขอ้ มลู จาก Facebook: guy intrarasopa)

107

การตีความ เป็นขนั้ ตอนส�ำคญั ของการวิพากษ์ภายใน ซึ่งเกิดจากการพิจารณา
ข้อสนเทศว่าบอกข้อเท็จจริงอะไรบ้าง น�ำข้อเท็จจริงประมวลเพ่ืออธิบายเหตุการณ์นั้นๆ
ว่าเป็นอย่างไร ปัจจัยท่ีท�ำให้เกิดเหตุการณ์คืออะไร และเหตุการณ์น้ันส่งผลต่ออะไรบ้าง
การตีความจะช่วยให้เกิดความเข้าใจเหตุการณ์นั้นอย่างแท้จริง ข้อเท็จจริงจากหลักฐาน
ประกอบดว้ ย

๑. ความหมายตามตัวอักษรอย่างตรงไปตรงมา ซ่ึงแน่นอนเราต้องท�ำ
ความเข้าใจในส�ำนวนภาษาท่ีใชใ้ นหลักฐานนัน้ ให้ชดั เจน เพือ่ ใหเ้ ข้าใจความหมายท่ีผ้สู รา้ ง
ต้องการบอก

๒. ความหมายทแี่ ทจ้ รงิ ซงึ่ เปน็ ความหมายตามเจตนารมณข์ องผสู้ รา้ งหลกั ฐาน
ท่ีแฝงอยู่ด้วย ทั้งน้ีเพราะมนษุ ย์ซ่ึงเปน็ ผ้สู รา้ งนน้ั ยอ่ มมีคา่ นยิ ม ความคดิ ความเชอ่ื ทาง
ศาสนา บรบิ ททางการเมอื ง เศรษฐกจิ เปน็ สิ่งแวดลอ้ มรอบตวั ของผูส้ รา้ ง ซงึ่ จะแฝงมากับ
ข้อสนเทศในหลักฐานนั้นด้วย ผทู้ ีส่ บื ค้นอดีตท่ีมปี ระสบการณแ์ ละไดร้ บั การฝึกฝนทักษะ
มาดี จะสามารถเข้าใจขอ้ นิเทศดังกล่าวนีไ้ ดม้ ากกวา่ ผทู้ ี่ไมไ่ ดฝ้ ึกฝน

อาจสรปุ ไดว้ า่ การตคี วาม คอื ความพยายามอธบิ ายเรอ่ื งราวโดยตงั้ อยบู่ นพน้ื ฐาน
ของข้อเท็จจริง หรอื ขอ้ สนเทศทป่ี รากฏในหลกั ฐานนัน้ ซึ่งจะแตกตา่ งข้อสันนษิ ฐานที่อาจ
เป็นความคดิ เหน็ สว่ นตัวของผ้ศู ึกษาอดตี

การประเมินคุณค่าของข้อสนเทศ น้ัน ย่อมมาจากการวิพากษ์ภายนอก และ
การวิพากษภ์ ายใน อย่างไรก็ตามผู้ศกึ ษาอดีต ย่อมตอ้ งเข้าใจดว้ ยว่า ความคลาดเคลือ่ น
ของขอ้ สนเทศเกดิ จากมนษุ ยเ์ ปน็ ผสู้ รา้ งหลกั ฐาน ซงึ่ อาจเกดิ ดว้ ยเจตนา หรอื ไมเ่ จตนากไ็ ด้

แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามการวพิ ากษด์ งั กลา่ ว จะทำ� ใหเ้ ราเขา้ ใจวา่ หลกั ฐานทกุ ชนิ้ แมว้ า่ จะ
มีความคลาดเคลื่อนจากความจริง ตามล�ำดบั ดงั นี้ คือ ความจรงิ -อคต-ิ ความไมร่ ูจ้ รงิ –
การบดิ เบอื น – ความเทจ็ แตท่ งั้ หมดนกี้ ค็ อื ประโยชนใ์ นการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรอ์ ยนู่ น่ั เอง
ดังนัน้ เราควรพจิ ารณาไตร่ตรอง ท�ำความเขา้ ใจวินิจฉยั ความหมายที่แทจ้ รงิ ของหลักฐาน
นัน้ ๆ และใชอ้ ยา่ งมีเหตผุ ล

หลกั การวพิ ากษข์ อ้ สนเทศเพอ่ื การประเมินคณุ คา่ ของหลักฐาน
๑. ช่วงเวลาของการสร้างหลักฐาน นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่มีความเชื่อว่า
ย่ิงใกล้เหตุการณเ์ พียงใดยง่ิ เก็บทัศนะของผู้สร้างหลกั ฐานไว้อย่างสมบรู ณ์ ดังน้นั หลกั ฐาน
ทีส่ รา้ งข้ึนภายหลงั เหตกุ ารณไ์ ม่นาน หรอื ใกลเ้ หตุการณม์ ากเพยี งใด ยิ่งไดร้ ับความนา่ เชื่อ
ถอื มากข้ึน ในทำ� นองตรงกนั ขา้ มหลักฐานทสี่ ร้างขึ้นภายหลังเหตุการณเ์ พยี งใด อาจให้
ข้อสนเทศที่คลาดเคลื่อนได้ ซึ่งอาจเกิดจากความหลงลืมหรือเกิดจากความพยายามที่จะ
แกต้ วั จึงมอี คติปนอยู่ด้วย

108

๒. ผูเ้ ขียนหรอื ผู้สร้าง พจิ ารณาวา่ มคี วามรู้ ความชำ� นาญและมคี วามเกยี่ วข้อง
กับเรื่องราวน้นั โดยตรง ยอ่ มได้รบั ความน่าเชอื่ ถอื มากกว่า แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามตอ้ งวิเคราะห์
ดว้ ยว่า ผูส้ รา้ งหลกั ฐานตอ้ งการท่ีจะรายงานความจริงหรือไม่ อาจเนอ่ื งจากการพิทักษ์ผล
ประโยชนข์ องฝา่ ยตน หรอื ไมส่ ามารถทจี่ ะรายงานความจรงิ ซง่ึ อาจสง่ ผลกระทบตอ่ ตนเอง
จงึ ต้องปดิ บงั หรือบดิ เบือน ขอ้ เท็จจรงิ ในประวตั ศิ าสตร์

๓. จุดมุ่งหมายของการสร้างหลักฐาน ส่วนใหญ่หลักฐานท่ีมุ่งให้มีผู้ศึกษา
มากเท่าใด ความน่าเชื่อถือย่อมลดลง ในทางกลับกันถ้ามิได้มุ่งหวังให้ใครศึกษาหรือลด
ผอู้ ยากให้รเู้ ร่อื งน้ัน นอ้ ยลงเพยี งใด ก็ย่ิงนา่ เชือ่ ถือย่งิ ขน้ึ

อย่างไรก็ตามผู้ใช้หลักฐานพึงระมัดระวังข้อสนเทศที่เต็มไปด้วยข้อความท่ีเป็น
วรรณศลิ ป์ (เพือ่ สร้างอารมณจ์ ับใจ) การคุยโวโออ้ วด การพรรณนาอารมณ์ ซ่ึงมีผลตอ่
การประเมินคุณค่าของหลักฐานทางประวตั ศิ าสตร์ทงั้ สิ้น

กระบวนการตรวจสอบประเมินค่าหลักฐาน

การวิพากยภ์ ายนอก การวพิ ากยภ์ ายใน

- ใครท�ำ ข้อมูล แยกแยะขอ้ เท็จจริง
- มีฐานะเกีย่ วของกับ บอกอะไรบา้ ง จากความคิดเหน็
เหตุการณน์ ั้น อย่างไร
- จุดประสงค์การทำ� คอื อะไร ตรวจสอบกบั ข้อมลู และข้อสันนษิ ฐาน
- สร้างข้นึ เมอ่ื ไร ในบรบิ ท จากหลกั ฐานอน่ื
อย่างไร

- รปู แบบเดิม หรือการคัดลอก

การตคี วามขอ้ มูล
บนพน้ื ฐานข้อเทจ็ จริง

แผนภูมิ กระบวนการตรวจสอบประเมินคา่ หลักฐาน

109

110

เร่ืองท่ี ๔

โครงงานทางประวัตศิ าสตร์ : การพฒั นาคนใหง้ อกงามในทุกมติ ิ

การน�ำเสนอบทความนม้ี แี รงจงู ใจมาจากการไดศ้ ึกษาผลงานของนักเรยี นและครู
โรงเรยี นเตรยี มอดุ มศกึ ษาจากโครงงานวทิ ยาศาสตร์ดเี ด่น “การแตกของฝกั ตอ้ ยติ่ง” และ
การยอ้ นพจิ ารณาการจดั กจิ กรรมการเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตร์ ทหี่ ลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษา
ขั้นพ้นื ฐาน ๒๕๕๑ ก�ำหนดตัวช้ีวดั ส ๔.๑ (๒) ในช่วงชน้ั ท่ี ๔ ว่า “สร้างองคค์ วามรู้ใหม่
ทางประวัติศาสตร์โดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์อย่างเป็นระบบ” และสาระการเรียนรู้
แกนกลางในสาระน้ี ระบชุ ัดเจนวา่ “ผลการศกึ ษาหรือโครงงานทางประวตั ิศาสตร์”

ขณะที่สาระวิทยาศาสตร์พัฒนาผู้เรียนทางด้านการจัดการเรียนรู้ “โครงงาน
วิทยาศาสตร”์ ประสบความส�ำเรจ็ สามารถก้าวเขา้ สเู่ สน้ ชัย และรับรางวัล Grand Awards
ในงาน Intel International Science and Engineering Fair ปี ๒๐๐๖ ณ ประเทศ
สหรัฐอเมริกา รวมทัง้ การพฒั นาท่ยี ังคงมีอยู่อยา่ งตอ่ เนอ่ื งสบื มาถึงปัจจบุ นั

แต่โครงงานทางประวัติศาสตร์ ยังวนเวียนอยู่กับการศึกษาพัฒนาการของ
อาณาจกั รไทยในชว่ งเวลาตา่ งๆ และประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถน่ิ เนน้ “ความเปน็ มาในนยั ของใคร
อะไร ท่ีไหน เม่ือไร” รวมทั้งเมื่อวิเคราะห์ผลงานการประกวดหน่วยการเรียนรู้ของครู
ประวตั ศิ าสตรแ์ ละศกึ ษานเิ ทศกท์ ดี่ ำ� เนนิ ตอ่ เนอื่ งมา ๒ ปกี ารศกึ ษา จำ� นวนกวา่ ๓๕๐ หนว่ ย
ซ่ึงพบว่า วิธีการจัดการเรียนรู้ส่วนใหญ่ยังคงเป็นการอ่านใบความรู้ หนังสืออ่านเพิ่มเติม
(ทีค่ รูจัดท�ำให)้ และการทศั นศึกษาแหลง่ เรียนรู้ท่ไี ม่มีเปา้ หมายชัดเจน

111

แม้ว่าโครงงานจะเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มุ่งให้ผู้เรียนได้พัฒนาตนเอง
ให้งอกงามในทุกมิติตามศักยภาพ และความสนใจ แต่พบว่า ครูประวัติศาสตร์ยังคง
แสดงความหว่ งใยในขอ้ มลู เนอื้ หามากกวา่ ทกั ษะ กระบวนการและการสรา้ งเจตคตทิ ถ่ี กู ตอ้ ง
ต่อความเป็นไทย วัฒนธรรมไทยและภูมิปัญญาไทย ส่วนศึกษานิเทศก์ผู้รับผิดชอบ
ประวัติศาสตร์ ก็ยังคงผูกมัดตัวเองกับกรอบแนวคิดทางการศึกษา ทฤษฎี และรูปแบบ
ท่ตี ายตัว ขณะทบี่ รบิ ทของสงั คมในแตล่ ะพนื้ ที่ แตกต่างกันตามสภาพแวดลอ้ มและเวลา
ซงึ่ เปน็ เอกลกั ษณเ์ ฉพาะตวั ของประวตั ศิ าสตร์ จงึ เหน็ วา่ ผสู้ อนประวตั ศิ าสตรน์ า่ จะยอ้ นกลบั
มาพิจารณาการใชว้ ิธีการทางประวัติศาสตร์ในโครงงานประวตั ศิ าสตร์ใหช้ ัดเจนเสียก่อน

อนั ทจ่ี รงิ วธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตร์ นน้ั หลกั สตู รกำ� หนดใหฝ้ กึ ทกั ษะกระบวนการ
สืบค้นเรื่องราวตามขั้นตอนของวิธีการทางประวัติศาสตร์ ต้ังแต่ชั้น ป.๑ (สอบถามและ
เล่าเรื่อง) และฝึกฝนต่อเนื่องทุกชั้นปีจนถึงช้ัน ม.๓ “ใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์
ในการศึกษาเรื่องราวต่างๆ ที่ตนสนใจ” และ ม.๔-๖ ท่ีให้ใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์
สร้างองคค์ วามรูใ้ หม่ในโครงงานทางประวตั ศิ าสตร์

อันท่ีจริง วิธีการทางประวัติศาสตร์นั้น แต่เดิมผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ในระดับ
ปริญญาโทข้ึนไป โดยจะใช้ทุกขั้นตอนเป็นกระบวนการหลักในการสืบค้นเรื่องราวในอดีต
ท่ีตนเองต้องต้ังประเด็นศึกษา “อะไร” ท่ีไหน ช่วงเวลาใด” โดยส่วนใหญ่เน้นอยู่ที่
การวเิ คราะหเ์ อกสารทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั เรอ่ื งทจี่ ะศกึ ษาใหค้ รอบคลมุ ครบถว้ น สว่ นหลกั ฐานอน่ื ๆ
นั้น มักใช้เป็นสาระประกอบเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร เช่น หลักฐาน
ทางศลิ ปกรรม พิธกี รรม สถานท่จี ริง การสมั ภาษณบ์ ุคคล เป็นตน้

ส�ำหรับการเรียนรู้ในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในปัจจุบันวิธีการ
ทางประวตั ศิ าสตรไ์ ดเ้ ป็น “ทักษะกระบวนการ” หน่ึงในการเรยี นรปู้ ระวตั ิศาสตร์ เชน่ เดยี ว
กับทักษะในการคิดวิเคราะห์ การสรุป การตีความและทักษะอน่ื ๆ ทห่ี ลกั สูตรการศึกษาขน้ั
พ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ และหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช
๒๕๕๑ ไดก้ �ำหนดการเรยี นรู้ของผู้เรียนในทุกชั้นปีตอ่ เนือ่ งจนจบหลกั สตู ร โดยแตล่ ะชน้ั ปี
จะได้ฝึกฝนทักษะแตล่ ะขน้ั ตอน (ไมใ่ ชท่ กุ ขัน้ ตอน) ดังนี้

ป.๑ : สอบถามและเล่าเรื่องประวัติความเป็นมาของตนเองและครอบครัว
ป.๒ : ใชห้ ลกั ฐานทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ตนเองและครอบครวั ลำ� ดบั เหตกุ ารณท์ เ่ี กดิ ขนึ้
ป.๓ : ระบุหลักฐานและแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียนและชุมชน และล�ำดับ
เหตกุ ารณส์ �ำคญั ทีเ่ กดิ ขึน้
ป.๔ : แยกแยะประเภทหลักฐานที่ใชใ้ นการศกึ ษาความเป็นมาของทอ้ งถิ่น
ป.๕ : สืบค้นความเป็นมาของท้องถิ่นโดยใช้หลักฐานท่ีหลากหลาย รวบรวม
ข้อมูลจากแหลง่ ตา่ งๆ และแยกแยะความแตกตา่ งระหว่างความจรงิ กบั
ข้อเทจ็ จรงิ เกยี่ วกบั เร่ืองราวในทอ้ งถ่ิน

112

ป.๖ : อธิบายความส�ำคัญของวิธีการทางประวัติศาสตร์ (อย่างง่ายๆ) และน�ำ
เสนอขอ้ มลู จากหลกั ฐานทห่ี ลากหลายในการทำ� ความเขา้ ใจเรอื่ งราวในอดตี

ม.๑ : น�ำวิธีการทางประวัติศาสตร์มาใช้ศึกษาเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์
(สุโขทัย)

ม.๒ : ประเมินความน่าเช่ือถือของหลักฐาน วิเคราะห์ความแตกต่างระหว่าง
ความเปน็ จรงิ กบั ขอ้ เทจ็ จรงิ และเหน็ ความสำ� คญั ของการตคี วามหลกั ฐาน
ทางประวตั ิศาสตร์ (อยธุ ยากับธนบรุ )ี

ม.๓ : ใช้วธิ กี ารทางประวตั ิศาสตร์ วิเคราะห์เหตุการณ์ส�ำคญั (รตั นโกสนิ ทร)์
และในการศกึ ษาเร่ืองราวต่างๆ ท่ีตนสนใจ

ม.๔-๖: สร้างองค์ความรู้ใหม่ทางประวัติศาสตร์อย่างเป็นระบบ (ผลการศึกษา
หรือโครงงานทางประวัตศิ าสตร์)

โครงงานทางการศึกษาเป็นรูปแบบหนึ่งของการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนมี
ความส�ำคัญที่สุด โดยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง มีกระบวนการท�ำงานและท�ำงาน
ร่วมกับผู้อ่ืนได้ ครูมีบทบาทเป็นผู้ให้ค�ำปรึกษา และกระตุ้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ โดยน�ำ
ความรู้จากกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆ มาบูรณาการ เพ่ือสร้างสรรค์ผลงานข้ึน แม้ว่า
โครงงานมีหลายประเภท แตโ่ ครงงานทางประวตั ศิ าสตรเ์ ป็นลักษณะของการ ศึกษาสืบค้น
ส�ำรวจ และรวบรวมขอ้ มลู ไดเ้ พียงประเภทเดียวเทา่ นน้ั

โครงงานประวตั ิศาสตร์ คืออะไร และส�ำคญั ไฉน
โครงงาน หมายถงึ กิจกรรมการจัดการเรียนรู้ ทีใ่ ห้ผ้เู รียนไดฝ้ ึกฝนทักษะในการ
ศึกษาค้นคว้า และลงมือปฏิบัติด้วยตนเองตามความสามารถ ความถนัดและความสนใจ
โดยอาศยั กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรห์ รือกระบวนการอื่นใดท่ีใช้ในการศึกษาหาคำ� ตอบ
ในเรอื่ งนนั้ ๆ โดยมผี สู้ อนเปน็ ผกู้ ระตนุ้ แนะนำ� ใหค้ ำ� ปรกึ ษาแกผ่ เู้ รยี นในกระบวนการทำ� งาน
ทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกหัวข้อเร่ืองท่ีจะท�ำการศึกษา ค้นคว้า วางแผนการด�ำเนินงาน
กำ� หนดขนั้ ตอนการทำ� งาน สำ� รวจรวบรวมขอ้ มลู ตรวจสอบความถกู ตอ้ งและความสมบรู ณ์
ของข้อมลู และออกแบบน�ำเสนอผลงาน โดยท่ัวไป การทำ� โครงงานสามารถทำ� ไดท้ ุกระดับ
การศึกษาทุกกลุ่มประสบการณ์ ทุกรายวิชา ซึ่งอาจท�ำเป็นบุคคลหรือรายกลุ่มก็ได้ เริ่ม
ต้งั แตโ่ ครงงานเลก็ ๆ ทเ่ี ปน็ เรือ่ งใกล้ตวั จนถึงโครงงานใหญๆ่ ที่ซบั ซอ้ นมากข้ึน ต้องใช้
ความรคู้ วามสามารถหลายดา้ น รวมทง้ั มผี เู้ ชย่ี วชาญใหค้ ำ� แนะนำ� ซงึ่ ตอ้ งใชค้ วามรู้ วธิ กี าร
และทกั ษะกระบวนการหลายๆ อยา่ งประกอบกนั จงึ จะไดผ้ ลการศกึ ษาจากโครงงาน ซง่ึ นบั
เปน็ ความรู้ใหม่ของผ้ศู กึ ษา
เน่อื งจาก ประวัติศาสตร์ หมายถงึ การศกึ ษาเหตกุ ารณ์ส�ำคัญในอดตี ของสงั คม
มนุษย์ท่ีเปลี่ยนแปลงไปตามเวลาและส่ิงแวดล้อมโดยการสอบสวนร่องรอยหลักฐาน
ทห่ี ลงเหลืออยู่อย่างเปน็ ระบบที่เรยี กว่า วิธีการทางประวัติศาสตร์

113

โครงงานทางประวัติศาสตร์ จึงหมายถึง กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเปิดโอกาสให้
ผู้เรียนได้สืบค้นเร่ืองราวในอดีตในสังคมมนุษย์ในพื้นที่ใดพ้ืนท่ีหน่ึง ช่วงเวลาใดช่วงหนึ่ง
(มติ ขิ องเวลา) ตามความสนใจและตามศกั ยภาพตน โดยใชว้ ธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตร์


ขั้นตอนของวธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตร์
๑. ต้งั ประเด็นศกึ ษา
๒. รวบรวมขอ้ มูลจากหลกั ฐาน
๓. วเิ คราะห์ตรวจสอบหลกั ฐาน
๔. การตคี วามหลกั ฐาน
๕. การประมวลสงั เคราะหข์ อ้ มลู
๖. การนำ� เสนอผลการศกึ ษา

องคป์ ระกอบของโครงงานทางประวัตศิ าสตร์ ประกอบดว้ ย ขอบเขตของสังคม
มนษุ ยใ์ นพื้นที่ศกึ ษา ชว่ งเวลาท่ีกำ� หนดชัดเจน ขอ้ มลู จากหลักฐานประเภทตา่ งๆ ท่ีมากพอ
ในการวิเคราะห์ตีความและกระบวนการสืบค้นตรวจสอบความถูกต้องของข้อเท็จจริง
ผลงานของการสบื คน้ นี้ เราเรียกว่า องคค์ วามรใู้ หม่ทางประวัติศาสตร์

โดยท่ัวไปการท�ำโครงงานไม่ว่าจะเป็นรายวิชาใดก็ตามจะเป็นกระบวนการศึกษา
คน้ ควา้ ของผเู้ รยี นทมี่ ลี กั ษณะเฉพาะทแี่ ตกตา่ งจากการทำ� รายงานหลายประการ เรม่ิ ตน้ คอื
ประเด็นศึกษาท่ีต้องการสืบค้น ต้องมาจากความสนใจของผู้เรียน (ไม่ใช่ของครู) ผู้เรียน
ตอ้ งคดิ และเลอื กประเดน็ ศกึ ษา (ซงึ่ จะพฒั นาเปน็ หวั เรอ่ื งของโครงงาน) ดว้ ยตนเองวา่ อยาก
จะศึกษาเร่ืองอะไร ทำ� ไมถงึ อยากศกึ ษา (มคี วามสำ� คัญอยา่ งไรต่อสงั คม)

นอกจากน้ี การสืบค้นเรื่องราวอะไรก็ตามควรเป็นเร่ืองที่ใกล้ตัวผู้เรียน มีความ
อยากรู้อยากเห็นรากเหง้าของเร่ืองราวท่ีใกล้ตัว เช่น นักเรียนเตรียมอุดมศึกษาสนใจ
ฝกั ตอ้ ยตงิ่ เพราะในบรเิ วณโรงเรยี นมตี น้ ตอ้ ยตงิ่ ขน้ึ อยกู่ ระจดั กระจาย นกั เรยี นในโรงเรยี น
มัธยมแห่งหน่ึงของอ�ำเภอศรีสัชนาลัยสนใจการทอผ้าของกลุ่มแม่บ้านท่ีครอบครัวของ
พวกเขาเป็นสมาชกิ

ส่ิงหน่ึงที่ควรตระหนัก คือ “ความเหมาะสมกับระดับความรู้ความสามารถของ
ผเู้ รยี น” เพราะโครงงานทางประวตั ศิ าสตรไ์ มใ่ ช่ “วทิ ยานพิ นธป์ ระวตั ศิ าสตร”์ ของนกั ศกึ ษา
ปรญิ ญาโททจ่ี ะตอ้ งใชค้ วามสามารถในการใชภ้ าษาโบราณหรอื ภาษาองั กฤษ ภาษาฝรงั่ เศส
ในการศกึ ษาเอกสารชน้ั ตน้ ดังนัน้ ผู้เรยี นในระดับมธั ยมศึกษา จงึ ไม่ควรเลอื กทจ่ี ะสืบคน้
เรอ่ื งราวทไ่ี กลตวั เชน่ สงั คมไทยในสมยั อยธุ ยา การสถาปนาอาณาจกั รสโุ ขทยั เพราะสงิ่ ที่
จะสืบค้นได้จะเพียงรวบรวมข้อมูลท่ีมีผู้ศึกษาไว้ก่อนเท่านั้น ไม่น่าจะเป็นความรู้ใหม่

114

ที่น่าสนใจอะไร (ยกเว้นกรณีที่ผู้เรียนมีคุณสมบัติพิเศษ เช่น ครอบครัวเป็นเช้ือสายที่
สืบทอดจากโปรตุเกส สามารถอ่านภาษาโปรตุเกสได้ สามารถท่ีจะสืบค้นเรื่องราวของ
ครอบครวั ตนเองทใ่ี กลต้ วั ออกไปได)้ อยา่ งไรกต็ าม โครงงานทางประวตั ศิ าสตรค์ วรเรม่ิ จาก
สงิ่ ทใี่ กลต้ วั จากเรอื่ งทผ่ี เู้ รยี นสงสยั อยากรู้ เพราะจะทำ� ใหเ้ กดิ แรงจงู ใจใหอ้ ยากทำ� ตอ่ ไป

ประการท่ีสอง การท�ำโครงงานต้องใช้เวลา และต้องทุ่มเทความเพียรพยายาม
ความอดทน อดกลนั้ ซงึ่ อาจตอ้ งมคี า่ ใชจ้ า่ ย จงึ เปน็ ไปไมไ่ ดท้ ผี่ เู้ รยี นจะสบื คน้ เรอื่ งใดเรอื่ งหนง่ึ
ภายในเวลาสัน้ ๆ สว่ นใหญม่ ักใช้เวลาประมาณ ๑ ภาคเรยี น (ซ่งึ จะแตกต่างจากรายงาน
ทจ่ี ะเปน็ การรวบรวมขอ้ มลู ทม่ี ผี ศู้ กึ ษาไวแ้ ลว้ ) ในกรณดี งั กลา่ วน้ี ผสู้ อนจงึ มบี ทบาทสำ� คญั
ในด้านการกระตกุ กระตุ้นให้ก�ำลงั ใจและกำ� กบั ติดตามอยา่ งตอ่ เนอื่ ง

ประการที่สาม จ�ำนวนกลุ่มคนที่ร่วมมือกันท�ำโครงงานต้องไม่มากเกินไป
และตอ้ งมคี วามสมั พนั ธอ์ นั ดตี อ่ กนั เพอ่ื ใหเ้ กดิ การเรยี นรอู้ ยา่ งมคี วามสขุ และรว่ มมอื รว่ มใจ
ท�ำโครงงานจนส�ำเรจ็ เรยี กว่า สามารถ “หลอมได้เปน็ หน่งึ เดยี ว” กไ็ ด้

โดยท่ัวไป การสืบคน้ เรอื่ งราวตา่ งๆ ท่ใี กลต้ ัวท่ีผศู้ กึ ษาสนใจใคร่รู้ อาจเร่ิมด้วย
การอยากรเู้ รอื่ งของตนเองและครอบครวั เรอื่ ง เชน่ ประเดน็ ศกึ ษาเรอื่ ง ประวตั คิ วามเปน็ มา
ของครอบครวั ขา้ พเจา้ อาชพี ครวั เรอื นของขา้ พเจา้ เปน็ ตน้ สำ� หรบั ประเดน็ สบื คน้ ดงั กลา่ ว
ข้อมูลและหลักฐานก็จะได้อยใู่ กลต้ ัวเด็ก เชน่ รูปภาพ ขอ้ มลู จากการซกั ถามพ่อ แม่ ญาติ
สนิท เคร่อื งมอื เครอ่ื งใชเ้ ป็นต้น

เร่ืองราวในชุมชนหรือท้องถิ่นก็เป็นสิ่งท่ีสืบค้นด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ได้
เชน่ ประเดน็ ศกึ ษาเรอ่ื ง ขนบธรรมเนยี มประเพณี การละเลน่ ในชมุ ชน ความเปน็ มาของชอ่ื ถนน
ชอ่ื สถานทสี่ ำ� คญั ขอ้ มลู และหลกั ฐานกย็ งั เปน็ สงิ่ ทใ่ี กลต้ วั เชน่ ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศ การสอบถาม
ผูเ้ ฒา่ ผูแ้ ก่ หรือ ผรู้ ู้ในชุมชนอา่ นจากบันทึก จดหมาย รวมทัง้ แหล่งความรู้ในชุมชนหรอื
ในท้องถิ่น

ขอ้ สำ� คญั คอื โครงงานทางประวตั ศิ าสตร์ มกั เปน็ เรอื่ งเกยี่ วกบั สงั คมมนษุ ยใ์ นอดตี
ในพ้ืนท่ีใดพื้นท่ีหน่ึง ซ่ึงมีการเปลี่ยนแปลงตามมิติของเวลา ผู้ศึกษาต้องสืบค้นให้ชัดเจน
ไดว้ า่ ประเดน็ ทศี่ กึ ษานน้ั (โดยพยายามหาคำ� ตอบในคำ� ถามทว่ี า่ ) มใี ครทำ� อะไร ทไ่ี หน เมอ่ื ไร
เปน็ อยา่ งไร มีการเปลีย่ นแปลงหรือววิ ฒั นาการไปอยา่ งไร ท�ำไมจงึ เกดิ การเปล่ยี นแปลง
และมผี ลอย่างไรบ้าง

โครงงานทางประวตั ศิ าสตร์เป็นกจิ กรรมท่ตี ้องท�ำอยา่ งตอ่ เนื่อง ต้งั แต่เร่มิ ต้นจน
กระท่ังสิ้นสุดโครงการ จึงเป็นการฝึกฝนทักษะที่จ�ำเป็นการด�ำรงชีวิต เช่น ทักษะการคิด
วิเคราะห์ การใช้ค�ำถาม การอ่าน การสังเกต การส�ำรวจพื้นที่จริง ได้ฝึกฝนคุณธรรม
ในการดำ� เนินชวี ติ เชน่ ความอดทน มารยาท และมนุษย์สัมพนั ธ์ ความซอื่ สัตย์ นอกจากนี้
ยังฝึกฝนความเป็นกลาง ความไม่มีอคติต่อความแตกต่างทางวัฒนธรรม ความคิด

115

ความเชือ่ ที่แตกตา่ งกนั กล่าวโดยสรุป คือ โครงงานทางประวตั ิศาสตร์ คือ การน�ำหลกั การ
และทฤษฎที ีเ่ รยี นร้จู าก “วธิ กี ารทางประวัตศิ าสตร์ไปปฏบิ ัตจิ รงิ ”

ข้ันตอนการท�ำโครงงานประวัติศาสตร์

การทำ� โครงงานเปน็ กจิ กรรมตอ่ เนอื่ งและมกี จิ กรรมการดำ� เนนิ งาน “นอกหอ้ งเรยี น”
ซงึ่ ตอ้ งมกี ารเตรยี มตวั เตรยี มเครอ่ื งมอื และเตรยี มความพรอ้ มอนื่ ๆ ตอ้ งปรบั ปรงุ เครอื่ งมอื
แบบสำ� รวจ แผนปฏบิ ตั กิ าร ฯลฯ ทสี่ ำ� คญั ตอ้ งรว่ มมอื รว่ มใจแกไ้ ขปญั หาตง้ั แตเ่ รม่ิ ตน้ จนถงึ
ขนั้ สดุ ทา้ ย

ข้นั เตรยี มการส�ำหรบั ครู คอื การกระตุ้นความสนใจของผู้เรยี นให้ “สามารถคิด
และเลือกประเดน็ ศึกษาได้ด้วยตนเอง” เช่น การจดั ใหม้ กี ารศกึ ษานอกสถานที่ จดั ใหช้ ม
ภาพยนตรห์ รอื วดี ทิ ศั น์เรอื่ งท่เี กี่ยวขอ้ งกับชุมชน ท้องถิ่น สงั คมไทย ให้เข้าชมนิทรรศการ
หรอื จดั ใหผ้ เู้ ชยี่ วชาญดา้ นตา่ งๆ มาบรรยายเรอื่ งทนี่ กั เรยี นมคี วามสนใจ ทงั้ นี้ เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี น
เกดิ ความอยากรู้อยากเหน็ เก่ียวกับเรอื่ งตา่ งๆ ของชมุ ชน ทอ้ งถิ่นตน หรือสังคมไทย เพราะ
ประเด็นศึกษาควรเร่ิมจากความสงสัย อย่างไรก็ตาม ส่ิงที่ส�ำคัญ คือ ผู้สอนควรระบุให้
ชดั เจนดว้ ยวา่ การทำ� โครงงานเปน็ สว่ นหนง่ึ ของกจิ กรรมการเรยี นทที่ กุ คนจะตอ้ งดำ� เนนิ การ
เพอื่ ใหผ้ า่ น “ตวั ชวี้ ดั ” และเกณฑก์ ารประเมนิ ผล คำ� ชแี้ จงดงั กลา่ ว เปน็ สว่ นหนงึ่ ของการกระตนุ้
ใหผ้ ูเ้ รียนมีความตระหนักในความส�ำคัญของการท�ำโครงงานดังกลา่ ว

สรุปล�ำดบั ข้นั ตอนการทำ� โครงงานได้ ดังน้ี

บทบาทของครู บทบาทของนักเรยี น

ขน้ั เตรียมการ ขัน้ เตรยี มการ

๑.๑ สร้างแรงจูงใจหรือกระตุ้นความสนใจของ ๑.๑ คดิ และเลือกประเดน็ ศึกษา
ผเู้ รยี น ๑.๒ ศึกษาเอกสารทเ่ี กีย่ วขอ้ ง

๑.๒ แนะน�ำวธิ ีการทำ� โครงงาน

๑.๓ เสนอแนะแหลง่ ศกึ ษาคน้ ควา้

ข้นั วางแผนงาน ข้นั วางแผนงาน

๒.๑ แนะน�ำการวางเคา้ โครงย่อและการวางแผนงาน ๒.๑ กำ� หนดขอบข่ายหรอื เคา้ โครงเรื่องที่จะศกึ ษา
๒.๒ ใหค้ �ำปรึกษาดูความเป็นไปได้ของเคา้ โครงของ ๒.๒ จดั ทำ� เค้าโครงงานนำ� เสนออาจารยท์ ่ปี รกึ ษา

โครงงาน

ขนั้ ดำ� เนนิ งาน ข้ันด�ำเนินงาน

๓.๑ ติดตามความกา้ วหน้าของการดำ� เนนิ งาน ๓.๑ ใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์สืบค้นเร่ืองราว
๓.๒ ใหค้ ำ� แนะนำ� คำ� ปรกึ ษา เสนอแนะอยา่ งใกลช้ ดิ ท่ีเก่ยี วข้องกบั ประเด็นศกึ ษา
๓.๓ ตรวจสอบความกา้ วหน้าของการดำ� เนินงาน ๓.๒ สร้างเครอ่ื งมือพรอ้ มการปรับปรุง
๓.๓ รวบรวมข้อมลู และบนั ทึกใหค้ รบถ้วน

๓.๔ ประมวลความรทู้ คี่ ้นพบ

116

สามารถตอบคำ� ถามที่เกิดจากความสงสยั ในประเดน็ ทส่ี บื คน้ ได้ว่า
ใคร ท�ำอะไร ท่ไี หนเมอ่ื ไร มีการเปล่ยี นแปลงอย่างไร ทำ� ไม และมีผลตอ่ สงิ่ ใดบ้าง

บทบาทของครู บทบาทของนกั เรยี น

ขัน้ สรปุ การด�ำเนนิ การ ขน้ั สรปุ การดำ� เนนิ การ
๔.๑ ตรวจสอบการเขยี นรายงานให้ถกู ตอ้ ง ๔.๑ เขียนรายงาน
๔.๒ ออกแบบการนำ� เสนอโครงงาน
ตามหลักวิชาการ

ขัน้ ประเมินผลงาน ขนั้ ประเมนิ ผลงาน
๕.๑ ค้นหาจุดเด่น จุดดอ้ ย น�ำเสนอผลงานได้หลายรูปแบบตามท่ีเหมาะสม
๕.๒ ตรวจสอบปญั หาการท�ำงานที่ผ่านมาและ
เช่น การเล่าเร่ือง การสร้างสถานการณ์จ�ำลอง
สรปุ ผลการด�ำเนินงาน การสาธิต การจัดนทิ รรศการ

ผปู้ ระเมินผลงาน คือ ผ้ทู ่ีเกี่ยวขอ้ งกับการทำ� โครงงาน ประกอบดว้ ย ผเู้ รียนทกุ คน
ครทู ี่ปรึกษา ผปู้ กครอง ชุมชน และผทู้ เี่ ก่ียวข้อง


ข้ันเตรียมการส�ำหรับนักเรียนไม่ง่ายนักที่จะเกิดความคิดที่จะสนใจได้ประเด็น
สืบค้นเร่ืองราวในอดีต ค�ำถามที่ดีอาจช่วยให้นักเรียนคิดประเด็นศึกษาได้ อาจเริ่มด้วย
การบอกเล่าเรื่องราวของตนเองกับเพื่อนๆ “ชอบอะไร ถนัดอะไร สนใจอะไร เคยมี
ประสบการณ์ด้านใดบ้าง” การส�ำรวจความสนใจของตนเอง อาจน�ำไปสู่ประเด็นศึกษา
“จะศกึ ษาเรอ่ื งอะไร ทำ� ไมจงึ ศกึ ษาเรอื่ งน”้ี หรอื การอา่ นจากหนงั สอื เรยี นรจู้ ากนอกสถานที่
จะน�ำสู่ประเด็นสงสัยท่ีจะน�ำไปสู่ชื่อโครงงานท่ีเฉพาะเจาะจงและชัดเจนที่เหมาะสมกับ
ความสามารถและระดบั ความรขู้ องผเู้ รยี น หวั เรอ่ื งของโครงงานมกั จะมาจากปญั หา คำ� ถาม
หรือความอยากรูอ้ ยากเห็นในประเดน็ เรอ่ื งต่างๆ
ขน้ั ตอนของการศกึ ษาเอกสารทเี่ กยี่ วขอ้ ง คอื ขนั้ ตอนรวบรวมความรทู้ เ่ี กย่ี วขอ้ ง
กับเรอ่ื งท่ศี ึกษาวา่ มีใคร ทำ� อะไร ทีไ่ หน อย่างไรแลว้ บา้ ง เปน็ การตรวจสอบว่าประเด็นที่
เราสนใจสบื คน้ มงี านทใ่ี ครเคยทำ� มากอ่ นหรอื ไม่ สว่ นใหญแ่ ลว้ ขน้ั ตอนนี้ คอื การตรวจสอบ
จากอนิ เทอรเ์ นต็ สอบถามจากบคุ คลทีเ่ ช่ือถอื ได้ ศึกษาจากตำ� ราและเอกสารทางวชิ าการ
และการปรกึ ษาจากผทู้ รงคุณวุฒิ
ผู้เรียนจะต้องใช้ทักษะกระบวนการตรวจสอบประเมินค่าข้อมูลหลักฐานตั้งแต่
ขั้นตอนนี้ เน่ืองจากข้อมูลและหลักฐานไม่ใช่จะให้ “ความจริง” ท่ีถูกต้อง และเชื่อถือได้
ทั้งหมด ครูจึงต้องทบทวนวิธีการท�ำโครงงานและขั้นตอนของวิธีการทางประวัติศาสตร์ให้
แกผ่ เู้ รยี นกอ่ นเริ่มทำ� โครงงาน

117

ในขน้ั ตอนของการเขยี นเคา้ โครงของโครงงาน จดั เปน็ ขนั้ ตอนของการวางแผน
การทำ� งานล่วงหนา้ โดยตรวจสอบความคดิ ใหช้ ัดเจน จะท�ำอะไร ท�ำไมต้องท�ำ ต้องการ
ใหเ้ กดิ อะไร จะทำ� ไดอ้ ยา่ งไร ต้องใช้ทรัพยากรอะไรบ้าง (วสั ดุ อปุ กรณ์ งบประมาณ
ระยะเวลา) ต้องท�ำอะไรกบั ใครบา้ ง และจะท�ำเมอ่ื ไร อย่างไร

การเขียนเค้าโครงของโครงงาน เป็นการแสดงแนวคิด แผนงาน และข้ันตอน
การทำ� โครงงานซึง่ ควรประกอบด้วย

(๑) ช่ือโครงงาน (สนั้ กระชบั ชัดเจน ส่ือความหมายได้ตรง)
(๒) ชอ่ื ผ้ทู ำ� / ชน้ั / ปกี ารศึกษา
(๓) ช่อื ทีป่ รึกษาโครงงาน
(๔) หลกั การและเหตผุ ลของโครงงาน เพ่ืออธบิ ายความส�ำคัญของโครงงานนี้
(๕) จุดม่งุ หมาย / วตั ถปุ ระสงค์ เพือ่ ระบขุ อบเขตของงานให้ชัดเจน
(๖) วิธีการด�ำเนินงาน เพ่ือระบุว่าจะรวบรวมข้อมูลอย่างไร อะไรบ้าง และวัสดุ
อุปกรณท์ ่ใี ชม้ อี ะไรบ้าง
(๗) แผนปฏบิ ัติการ ก�ำหนดระยะเวลาตั้งแตเ่ รม่ิ ตน้ วา่ จะด�ำเนนิ การอะไรบ้าง

ทุกขั้นตอนจนถงึ เสร็จสนิ้ การด�ำเนนิ งาน
(๘) ผลท่คี าดวา่ จะได้รับ
(๙) เอกสารอา้ งอิง
อนง่ึ การสบื คน้ อดตี ของสงั คมมนษุ ยม์ กั จะไมต่ งั้ สมมตฐิ านของการศกึ ษาคน้ ควา้
ไว้ล่วงหน้า เน่ืองจากจะเป็นการจ�ำกัดแนวคิดเพราะได้ต้ังการครอบทิศทางค�ำตอบไว้ก่อน
การหาขอ้ มลู กจ็ ะไมก่ ว้างขวาง ดังนัน้ ควรให้เปน็ ไปตามขอ้ เทจ็ จรงิ ทีสบื ค้นได้
ในขั้นตอนการด�ำเนินงานผู้เรียนต้องพยายามด�ำเนินงานตามแผนปฏิบัติการ
ท่ีวางไว้ เตรียมวัสดุ อุปกรณ์ สถานท่ีแหล่งสืบค้น การติดต่อประสานงานกับผู้เก่ียวข้อง
และต้องปฏิบัติงานด้วยความรอบคอบ ที่สำ� คัญต้องบันทึกข้อมูลและวิธีการด�ำเนินงานไว้
อยา่ งละเอียด ใหเ้ ป็นระเบยี บและครบถว้ นว่าไดท้ �ำอะไรบ้าง เมอื่ ไรกับใคร เวลาใด ไดผ้ ล
อย่างไร มปี ัญหา และขอ้ คิดเห็นอยา่ งไร น�ำผลทไี ด้มาแลกเปลี่ยนความคดิ กบั สมาชกิ ใน
กลุม่ มกี ารวิพากษว์ ิจารณเ์ พื่อก่อใหเ้ กดิ ขอ้ คิดหรอื ประเดน็ ค�ำถามข้อสงสยั ใหส้ ืบคน้ ตอ่ ไป
เมอ่ื สามารถตอบคำ� ถาม (ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั เรอ่ื งทส่ี บื คน้ ) ทงั้ ๓ ประเดน็ ไดแ้ สดงวา่
การสบื ค้นได้มาถงึ ข้ันตอนการสงั เคราะหข์ ้อมลู เพอื่ เขยี นโครงงานประเดน็ ๓ ข้อนี้ ไดแ้ ก่
(๑) รู้ขอ้ เทจ็ จริงเบื้องต้น (ใครท�ำอะไร ทไี่ หน เมอ่ื ไร อยา่ งไร)
(๒) ตอบได้ว่า ทำ� ไมจึงเกิดเรือ่ งราวนนั้ ขนึ้ ท�ำไมจึงเกิดการเปลยี่ นแปลง
(๓) แสดงผลหรอื ผลกระทบของเหตุการณท์ ี่มีตอ่ สงั คมได้วา่ เป็นอยา่ งไร

118

การเขยี นโครงงาน เปน็ การสื่อความหมายถงึ วิธคี ิด วิธกี ารดำ� เนินงานและผลท่ี
ได้รับ การเขียนโครงงานควรใช้ภาษาที่กระชับ เข้าใจง่ายชัดเจนและครอบคลุมประเด็น
ส�ำคัญๆ ของโครงงานเริ่มด้วย (๑) บทน�ำ (เล่าถึงที่มาความส�ำคัญและจุดหมายของ
การศึกษา) (๒) เอกสารท่เี กยี่ วขอ้ ง (๓) อุปกรณ์และวิธีการด�ำเนินการ (๔) ผลการศึกษา
(๕) อภปิ รายผล (สรุปผลการสืบคน้ และข้อคิดเหน็ / ข้อเสนอแนะ)

การเขียนโครงงานทางประวัติศาสตร์ ส�ำหรับนักเรียนในระดับประถมศึกษาและ
มธั ยมศกึ ษา ควรสนั้ งา่ ยและตรงไปตรงมา เรม่ิ ดว้ ยประเดน็ ศกึ ษา (ตอบคำ� ถามวา่ จะทำ� อะไร
บา้ ง เพอื่ อะไร ออกแบบวธิ กี ารศกึ ษาอยา่ งไร) การเขยี นวตั ถปุ ระสงค์ (ตอบคำ� ถามวา่ จะทำ�
เพอ่ื อะไร มปี ระโยชนอ์ ยา่ งไร) การเขยี นหลกั การทมี่ า (สะทอ้ นความคดิ วา่ มภี มู หิ ลงั อยา่ งไร
มกี ารอา้ งองิ ผลการศกึ ษาทผ่ี า่ นมาอยา่ งไร) วธิ กี ารศกึ ษา (เปน็ การสำ� รวจใหช้ ดั เจนวา่ จะทำ�
อะไร ทำ� อยา่ งไร ทำ� เพอื่ อะไรอนั เปน็ หวั ใจสำ� คญั ทจี่ ะระบไุ ดว้ า่ โครงงานจะสำ� เรจ็ หรอื ไม่ วธิ กี าร
ทจ่ี ะไดข้ อ้ มลู นา่ เชอื่ ถอื ไดแ้ คไ่ หน ความเปน็ ไปไดข้ องการสบื คน้ เรอื่ งดงั กลา่ ว)

คณุ ค่าของโครงงาน
๑. โครงงานเปน็ กระบวนการสร้างคนใหง้ อกงามในทุกมิติ ช่วยให้ผเู้ รยี นคิดเปน็
ท�ำเปน็ และแกป้ ญั หาเป็น มคี วามคดิ ทเ่ี ปน็ ระบบ มีแบบแผน เป็นข้ันตอน และเปน็ ระเบยี บ
โดยครเู ปน็ ผชู้ ว่ ยจดั ระบบความคดิ กระตนุ้ ใหน้ กั เรยี นมเี หตผุ ล และสนกุ ในการทจี่ ะสบื คน้
เรื่องราวในสงั คม
๒. โครงงานเป็นการเปล่ียนแปลงกระบวนการเรียนรู้และวัฒนธรรมการเรียนรู้
เดิมจากครูเปน็ ผบู้ อกความรู้ ผ้เู รยี นรับและจ�ำเป็น ผูเ้ รียนสามารถเรียนรู้และพัฒนาดว้ ย
ตนเอง
๓. โครงงานเป็นกิจกรรมการเรียนร้ทู ี่พัฒนาศกั ยภาพของผูเ้ รยี นตามความถนดั
ของแต่ละบคุ คลอย่างตอ่ เน่อื งและย่ังยืน ดงั น้ี

๓.๑ ผู้เรียนจะไดร้ บั ประสบการณต์ รงนอกเหนือจากหลักสตู ร
๓.๒ ได้รับการพฒั นาบุคลิกภาพผ่านการทำ� งานอย่างเป็นระบบ
๓.๓ ได้ฝึกฝนคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมในการดำ� เนินชีวติ
๓.๔ มีเจตคติทด่ี ีต่อการเรยี นร้เู ร่ืองราวตา่ งๆ เขา้ ใจสังคมไทยเพ่มิ ขึ้น
มคี วามผูกพันถงึ ชุมชน ท้องถิ่น เกดิ ความรกั และภมู ใิ จในท้องถิ่น

และประเทศชาติ
๓.๕ มีทักษะชีวติ รู้เทา่ ทันโลกในยคุ โลกาภิวัตน์
๔. โครงงานเปน็ กจิ กรรมการเรยี นร้ทู เี่ ช่ือมต่อทฤษฎี หลกั การ แนวคดิ ที่ไดจ้ าก
การเรียนรู้ในช้ันเรยี นกับสภาพจริงในสงั คมไทย ซ่งึ ส่งผลต่อทกั ษะการด�ำเนนิ ชวี ิตของผู้
เรยี นต่อไปในอนาคต

119

120

ตอนท่ี ๔

ประวัติศาสตรไ์ ทยหลากหลายวิธสี อน



แปดสาแหรก ย้อนรอยอดีต

โรงเรยี นบา้ นปากคะยาง
สำ� นักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศกึ ษาสโุ ขทยั เขต ๒

วชิ าประวตั ศิ าสตรส์ ำ� หรบั นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี ๑ ดเู หมอื นจะเปน็ เรอื่ งยาก
ส�ำหรบั เด็กๆ แต่ส�ำหรบั โรงเรียนบ้านปากคะยาง อ�ำเภอศรสี ชั นาลัย สำ� นกั งานเขตพ้นื ที่
การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต ๒ ท�ำให้เด็กได้เรียนรู้วิธีทางประวัติศาสตร์อย่าง
สนุกสนาน อกี ทัง้ ยงั เป็นการฝกึ ทกั ษะการต้ังค�ำถาม การรวบรวมข้อมลู การสงั เคราะห์
ตคี วาม ตลอดจนการน�ำเสนอ ดว้ ยการสืบคน้ เร่ืองราวในอดีตทใี่ กลต้ ัว คอื การสบื คน้
เครอื ญาติ หรือทเ่ี รยี กอีกอยา่ งหนงึ่ วา่ “สาแหรกครอบครัว”

คุณครูได้ศึกษาเอกสารหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช
๒๕๕๑ พบว่า ตัวช้ีวัดสาระประวัติศาสตร์
ส�ำหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ได้ระบุว่า
“เรียงล�ำดับเหตุการณ์ในชีวิตประจ�ำวัน
ตามวัน เวลาที่เกิดขึ้น” และ “บอกประวัติ
ความเป็นมาของตนเอง และครอบครัวโดย
สอบถามผู้ก่ียวข้อง” ซ่ึงคุณครูได้เห็นว่า
เปน็ การเรมิ่ ตน้ เรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตรอ์ ยา่ งงา่ ย
ใกล้ตัว นักเรียนจะได้เรียนรู้เก่ียวกับ

123

เหตกุ ารณท์ ีเ่ กดิ ขึ้นในอดีตท่สี ่งผลสืบเน่ืองมาจนถึงปจั จุบนั นอกจากนเ้ี รอ่ื งเกีย่ วกับตวั เอง
และครอบครัวกเ็ ปน็ ส่ิงทน่ี า่ สนใจทจี่ ะสบื เสาะค้นหาค�ำตอบ

ครูสนทนาเรื่องเครือญาติของนักเรียน โดยอธิบายว่าค�ำ “เครือญาติ” ว่าถ้าให้
ชดั เจน ก็ใหน้ กึ ถงึ เครือของกล้วย กล้วยหลายผลรวมกนั เขา้ เป็นหวี กล้วยหลายหวรี วมกนั
เป็นเครือ คนไทยสังเกตเห็นระบบความสัมพันธ์กันแบบนี้ จึงน�ำมาใช้เรียกกลุ่มคนท่ีมี
ความสัมพันธ์กันทางสายเลือด เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นญาติ เป็นพ่ี เป็นน้อง อย่างนี้ว่า
“เครือญาต”ิ

ครูต้ังคำ� ถามไปเรอื่ ยๆ วา่ เราเปน็ ลกู ใคร ค�ำตอบคือ “พอ่ กบั แม่” แลว้ ถามตอ่ วา่
“พอ่ ” เป็นลูกของใคร ค�ำตอบกจ็ ะเป็น “ปู่กบั ยา่ ” แล้วป่กู ับย่าเป็นลูกของใคร ครอู าจวาด
เปน็ ภาพการ์ตูน ทแี่ สดงความเกี่ยวเนอื่ งเปน็ เครอื ญาตกิ นั ไป ซง่ึ ในความเปน็ จรงิ เราจะไม่
เห็นความเก่ียวเน่ืองเช่ือมโยงในลักษณะลายเส้นอย่างนี้ แต่ลายเส้นการ์ตูนบนกระดานน้ี
ท�ำให้เขา้ ใจไดง้ ่ายขนึ้ ว่าใครเปน็ ลูกของใคร ใครเปน็ พ่อหรอื แมข่ องใคร ท้ังหมดนี้ เราจะ
เรยี กได้ว่าเป็น “เครือญาติ” กนั

เครือญาติน้ี บางทีก็อยู่รวมกันในบ้านหลังเดียวกัน บางทีก็แยกอยู่ในบ้าน
หลายหลงั นกั เรยี นบางคนอาจมลี งุ ปา้ นา้ อาและบคุ คลอน่ื ๆ รวมอยใู่ นบา้ นหลงั เดยี วกนั ดว้ ย
เราอาจเรยี กผ้คู นท่ีรวมอยใู่ นบา้ นหลงั เดียวกันน้ีวา่ “ครอบครัว” ก็ได้

เครอื ญาตติ ามทน่ี กั เรยี นเหน็ บนกระดาน มเี สน้ เชอื่ มโยงกนั อยา่ งนี้ คนไทยเราเหน็
ว่าเหมือนกับเครื่องหาบของอย่างหน่ึงท่ีเรียกว่า “สาแหรก” ด้วยเหตุที่มีด้วยกัน ๘ สาย
เหมือนเส้นเครือญาติปู่ ย่า ตา ยาย เลยเรียกว่า “แปดสาแหรก” หรือจะเรียกว่า
“สายสาแหรก” กไ็ ด้

124

ครชู วนนกั เรยี นสนทนาวา่ ตง้ั แต่ พอ่ แม่ ปู่ ยา่ ตา ยาย ทวด คำ� วา่ “แปดสาแหรก”
หมายถึงญาติข้างพ่อ ๔ คน (ปู่ ย่า ตา ยาย ของพอ่ ) ญาตขิ า้ งแม่ ๔ คน (ปู่ ย่า ตา ยาย
ของแม)่ รวมเปน็ ๘ คน ซึง่ ท�ำอยา่ งไรจึงจะร้วู ่าเขาเหล่านน้ั เป็นใครบา้ ง ชอื่ อะไร

ครสู นทนากบั นกั เรยี นวา่ ถา้ อยากรวู้ า่ เครอื ญาตขิ องเรามใี ครบา้ ง จะไปถามใครได้
บา้ ง นกั เรยี นสว่ นมากกจ็ ะตอบวา่ จะไปถามคนในครอบครวั ญาตผิ ใู้ หญ่ ครเู สนอแนะวา่ ให้
ลองชวนญาตพิ ูดคยุ เกีย่ วกบั ภาพถ่ายเก่าท่ตี ดิ ทฝ่ี าบา้ น หรือในอลั บมั้ ภาพ หากจะพอหาได้
ลองเสาะหาข้อมลู ว่ายังมีใครอีกบ้าง คนใดยังมีชวี ิตอยู่ ใครเสียชวี ิตไปแลว้ บ้าง นอกจากน้ี
นักเรียนสามารถถามถงึ รายละเอียดอื่น ๆ ของบคุ คลน้นั แตไ่ ม่จ�ำเปน็ ตอ้ งบันทึกข้อมูลมา
เพราะครูเพียงให้นักเรียนได้ลองสืบค้นข้อมูลเก่ียวตนเองและครอบครัว ได้เรียนรู้
กระบวนการสืบสอบมากกว่าตวั ค�ำตอบอย่างเดียว

หลังจากนั้นน�ำข้อมูลที่ได้ทั้งช่ือและนามสกุลของญาติที่ผู้ให้สัมภาษณ์เขียนมาให้
ภาพเกา่ ที่พอหาได้ น�ำมาจดั วางลงในกระดาษชาร์ททค่ี รอู อกแบบให้เปน็ แผนภูมิเครือญาติ
นอกจากเด็กๆ จะได้ร้จู กั ชือ่ นามสกลุ ของญาตแิ ตล่ ะคนแล้ว ยังได้รถู้ ึงคุณความดี อาชพี
หลายคนดีใจทญ่ี าตมิ ีผลงานเป็นท่ยี อมรบั และภมู ิใจท่ีจะน�ำเสนอ

125

เม่ือนักเรียนได้ท�ำแผนภูมิเครือญาติหรือสายสาแหรกของตนเองแล้ว ก็เป็นช่วง
เวลาที่นักเรียนอาจประหม่าหรือตื่นเต้นท่ีได้มาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังว่าตนเองเป็นใคร บุคคล
ในครอบครวั ของตนเองมใี ครบา้ ง

กิจกรรมทนี่ า่ สนใจคอื เด็กๆ ได้เรียนรถู้ งึ การปฏบิ ตั ิตน ในฐานะทเี่ ป็นลูกหลาน
ทีด่ ี ไดอ้ ยา่ งไร ซงึ่ เป็นการปลกู ฝงั พ้นื ฐานการสะท้อนคดิ ท่ีจะท�ำความดเี พ่ือเป็นพลเมืองดี
ของชาตใิ นโอกาสตอ่ ไป

หลังจากที่นักเรียนแต่ละคนได้น�ำเสนอข้อมูลแล้ว ครูให้นักเรียนได้เขียนแสดง
ความรูส้ ึก ความคิดเห็นที่ได้จากการศึกาขอ้ มูลครัง้ นี้ โดยนักเรยี นมที างเลือกในการเขียน
หลายวิธี บางคนสามารถเขียนได้เอง บางคนอาจมาเล่าให้ครูฟังแล้วครูเขียนให้ดู
ในแผน่ กระดาษ จากน้ันนักเรยี นกน็ �ำไปลอกตามลงในแบบสะทอ้ นคิดของตนเอง จากนนั้
ครูมอบให้นักเรียนน�ำแบบสะท้อนคิดน้ีเป็นการบ้าน ไปให้ผู้ปกครองเขียนกลับมา
เป็นกจิ กรรมหรือการบ้านงา่ ยๆ ที่ท�ำใหค้ นในครอบครวั และนกั เรียนไดม้ ีกิจกรรมทำ� ร่วม
กันในชว่ งเวลาว่างหลงั เลิกเรยี นและเวลาว่างจากการงานตา่ งๆ แลว้

เมื่อนักเรียนน�ำแบบสะท้อนคิดกลับมา คุณครูก็จะเขียนแสดงความคิดเห็นของ
คณุ ครลู งไปดว้ ย นกั เรยี นจะเกบ็ แผนภมู ิ และแบบสะทอ้ นคดิ ไวใ้ นแฟม้ เพอื่ ใชเ้ ปน็ สว่ นหนง่ึ
ของการประเมนิ ผลในชว่ งกลางภาคเรียนตอ่ ไป

ส า แ ห ร ก ค ร อ บ ค รั ว เ ป ็ น ง า น ที่
นักเรียนควรท�ำทุกคน เนื่องจากช่วยให้
นักเรียนได้รู้จักรากเหง้าของตน การสร้าง
สัมพันธภาพในวงศ์ญาติ เป็นการล�ำดับช้ัน
จากต้นตระกูลเป็นหลัก โดยการสืบค้น
ตามวิธีการทางประวัติศาสตร์ ท�ำให้ทราบถึง
ความดีของคนในตระกูลและนักเรียนสะท้อน
คดิ ถงึ สงิ่ ทสี่ ำ� คญั คอื ความภาคภมู ใิ จในความดี
ของบรรพบุรุษและความสัมพันธ์ของวงศ์
ตระกูล ที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้สืบสาน
ความดตี อ่ ตนเอง ครอบครวั และชาตบิ า้ นเมอื ง
อยา่ งไม่รจู้ บ

126

ลพบุรีเมอื งเก่า เลา่ ผ่านการสบื ค้นด้วยตนเอง

โรงเรยี นวดั โคกหม้อ : ส�ำนักงานเขตพนื้ ท่กี ารศกึ ษาประถมศึกษาลพบรุ ี เขต ๑
ผ้เู ขียน : นางสริ กิ ร กระสาทอง

เชา้ วนั หนง่ึ นกั เรยี นผา่ นมาทวี่ งเวยี นสมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช เหน็ มผี คู้ นมากมาย
มาทำ� พธิ วี างพวงมาลาทพี่ ระบรมราชานสุ าวรยี ์

เมื่อมาถึงโรงเรียน ในชั่วโมงประวัติศาสตร์ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ ๕
คนหนึ่งไดต้ ้งั ค�ำถามกับครูว่า

“ครเู พชราคะ่ เมอ่ื เชา้ นห้ี นเู หน็ ทวี่ งเวยี นสมเดจ็ พระนารายณม์ หาราชมคี นมากมาย
มาวางพวงมาลากนั เขาท�ำเพือ่ อะไรค่ะ”

ครูตอบว่า “วันน้ีเป็นวันส�ำคัญวันหนึ่ง เมื่อวันท่ี ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๒๓๑
เปน็ วนั สวรรคตขององคส์ มเดจ็ พระนารายณม์ หาราช เปน็ การระลกึ ถงึ พระองคท์ า่ นทสี่ รา้ ง
ความเจริญใหแ้ กเ่ มอื งลพบุรี”

นักเรยี นหลายคนสงสยั ต่อเนือ่ งและตงั้ ค�ำถามมากมาย เชน่
“ทา่ นเป็นพระมหากษัตริย์ของกรุงศรอี ยุธยา ท�ำไมมาสวรรคตทลี่ พบุรคี ะ่ ”
“ใครเปน็ ผู้สรา้ งพระนารายณ์ราชนเิ วศน์ สรา้ งขึน้ เมอื่ ไร และท�ำไมจึงสรา้ ง”
“สงิ่ ก่อสร้างในพระนารายณร์ าชนิเวศนม์ ีอะไรบา้ ง และใช้ประโยชน์ไดอ้ ยา่ งไร”
“ทำ� ไมจึงต้งั ชอื่ วา่ พระนารายณ์ราชนเิ วศน”์
“สมเด็จพระนารายณม์ หาราชสรา้ งความเจริญให้ลพบุรอี ย่างไรบ้าง”

127

นักเรียนหลายๆ คนอยากรู้ค�ำตอบทั้งหมด แต่ครูแนะน�ำว่า “ถ้าต้องการเรียนรู้
เร่ืองต่างๆ อย่างละเอียด เราควรเลือกศึกษาจากประเด็นค�ำถามท่ีเราสนใจมากท่ีสุด
มีความเป็นไปไดท้ ี่จะหาคำ� ตอบได้ไม่ยากนกั ”

นักเรียนกลุ่ม “เด็กอยากรู้” เสนอว่า “กลุ่มหนูอยากรู้เกี่ยวกับ “ส่ิงก่อสร้าง
ในพระนารายณร์ าชนิเวศนม์ ีอะไรบ้างและใช้ประโยชนไ์ ดอ้ ย่างไร”

ครูเห็นความสนใจใฝ่รู้ของนักเรียนดังกล่าว จึงได้ศึกษาสาระส�ำคัญจากเอกสาร
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ สาระท่ี ๔ ประวัติศาสตร์
ระดบั ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี ๕ เพ่ือใชป้ ระกอบการจดั การเรียนการสอน ดังน้ี

มาตรฐานที่ ส ๔.๑ ตวั ชว้ี ดั ท่ี ๑ “สบื คน้ ความเปน็ มาของทอ้ งถน่ิ โดยใชห้ ลกั ฐานที่
หลากหลาย” เนน้ การจดั การเรยี นรใู้ หน้ กั เรยี นเขา้ ใจเกย่ี วกบั ทอ้ งถน่ิ ของตนเอง เนน้ ใหน้ กั เรยี น
ภาคภมู ใิ จในทอ้ งถนิ่ ของตนเอง ใหร้ จู้ กั สถานทสี่ ำ� คญั และความสำ� คญั ของสถานทนี่ น้ั ๆ

มาตรฐานที่ ส ๔.๑ ตวั ชี้วดั ท่ี ๒ “รวบรวมขอ้ มลู จากแหลง่ ต่างๆ เพ่ือตอบค�ำถาม
ทางประวตั ศิ าสตรอ์ ยา่ งมเี หตผุ ล” เปน็ การใหน้ กั เรยี นไดฝ้ กึ การตงั้ คำ� ถามทางประวตั ศิ าสตร์
และน�ำคำ� ถามน้นั ๆ ไปสบื คน้ หาค�ำตอบดว้ ยตนเอง

มาตรฐานที่ ส ๔.๓ ตัวชี้วัดท่ี ๓ “อธิบายความแตกต่างระหว่างความจริงกับ
ข้อเท็จจริงเก่ียวกับเร่ืองราวในท้องถิ่น” เป็นการฝึกให้นักเรียนได้รู้จักและใช้ข้อมูล
ทส่ี ืบคน้ มาได้ เปน็ การฝกึ ฝนวธิ กี ารทางประวตั ิศาสตร์ ข้นั ท่ี ๓ อย่างง่ายๆ ซงึ่ เป็นข้ันตน้
ของการวิเคราะห์ ตรวจสอบ และประเมนิ ค่าขอ้ มูล กลา่ วคือให้นกั เรียนไดต้ ระหนัก เรียนรู้
และเตือนตนเองว่าทุกส่ิงท่ีได้อ่าน ได้ฟัง จากผู้ใดใครผู้หนึ่ง จากการอ่านหนังสือหรือ
จากการสบื ค้นจากอินเทอร์เนต็ นน้ั เรยี กว่าเปน็ “ข้อเท็จริง” กลา่ วคือมที ้งั ขอ้ เท็จ ข้อจริง
และความคดิ เหน็ ขอ้ สันนษิ ฐาน ค�ำโกหก ค�ำหลอกลวง อาจด้วยเจตนาหรอื ไม่เจตนาปะปน
รวมกันอยู่ ซงึ่ ในขอ้ เท็จจรงิ นนั้ ยอ่ มมี “ความจริง” รวมอยดู่ ว้ ย

นอกจากนี้คุณครูยังต้องพิจารณาส่ิงท่ีนักเรียนได้เรียนรู้ในวิชาประวัติศาสตร์
มาตั้งแต่ช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๔ ด้วย กล่าวคือ นักเรียนต้องได้เรียนเร่ือง “การแยกแยะ
หลกั ฐานทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษาความเปน็ มาของทอ้ งถนิ่ ” โดยแยกเปน็ หลกั ฐานชนั้ ตน้ หลกั ฐาน
ช้ันรอง ตัวอย่างหลักฐานที่ใช้ในการศึกษาความเป็นมาของท้องถิ่นของตนและเกณฑ์
การจ�ำแนกหลักฐานที่พบในท้องถิ่น เป็นหลักฐานชั้นต้นและหลักฐานช้ันรองอย่างง่ายๆ
คุณครูได้สอบถามคุณครูประจ�ำช้ันประถมศึกษาปีที่ ๔ ว่าในปีท่ีผ่านมาได้สอนนักเรียน
อย่างไรบ้าง ก็ได้ค�ำตอบว่า นักเรียนได้เรียนการแยกแยะหลักฐานจากจารึกประจ�ำวัด
และเอกสารตำ� นานตา่ งๆ ทชี่ าวบา้ นเคยเขยี นไวจ้ ากความทรงจำ� เกยี่ วกบั การสรา้ งบา้ นเรอื น
ของชมุ ชนทต่ี ง้ั โรงเรยี น ซง่ึ ครไู ด้ลองตรวจสอบประสบการณห์ รอื ความรเู้ ดมิ ของนกั เรยี น

128

โดยน�ำภาพหลักฐานในท้องถิ่น มีภาพวัดและเอกสารหลายช้ินให้นักเรียนลองจ�ำแนกว่า
ภาพใดเป็นเอกสารชั้นต้น และภาพใดเป็นเอกสารชั้นรอง ก็พบว่านักเรียนจ�ำนวนหน่ึง
จดจ�ำได้ แยกแยะเป็น แต่บางคนก็ลืมไปแล้ว ครูจึงคิดว่าในระหว่างการจัดกิจกรรม
กระบวนการสบื ค้นด้วยตนเองนีค้ งต้องจดั กจิ กรรมเสริมเพื่อทบทวนนักเรยี นไปด้วย

ครมู กี ระบวนการที่จะให้นักเรยี นไดฝ้ กึ การสบื ค้นด้วยตนเอง โดยน�ำแผนผงั ของ
พระนารายณ์ราชนิเวศน์มาติดที่หน้าช้ัน ในแผนผังจะประกอบด้วยส่ิงก่อสร้างในรัชกาล
สมเด็จพระนารายณม์ หาราช โดยมกี ารแบ่งออกเปน็ พระราชฐานชนั้ นอก พระราชฐานช้นั
กลาง และพระราชฐานชั้นใน แล้วให้นักเรียนแต่ละคนเลือกสถานที่เลือกคนละที่ เพื่อไป
สืบค้นข้อมูล

ท้ังน้ีให้เป็นงานรายบุคคล โดยให้นักเรียนไปสืบค้นประวัติความเป็นมาของ
สถานที่ส�ำคัญในพระนารายณ์ราชนิเวศน์ จากอดีตมาสู่ปัจจุบัน คุณค่าของสถานที่นั้นๆ
ลักษณะการใช้ประโยชนโ์ ดยใหบ้ นั ทกึ ลงในกระดาษ ๑ หน้า และนัดหมายใหน้ �ำมารวมกัน
ในสัปดาห์ตอ่ ไป

ชว่ั โมงวชิ าประวตั ศิ าสตรใ์ นสัปดาหต์ อ่ มา ครูให้นกั เรียนน�ำผลงานที่ไปสืบค้นมา
ประกอบด้วยภาพวาด ภาพถ่าย ข้อมูลท่ีได้จากการสอบถาม หรือสืบค้นจากแหล่งต่างๆ

129

นำ� มาจัดแสดงในหอ้ งเรยี น โดยใหจ้ ัดเลียนแบบดนทิ รรศการศิลปะ หรอื Gallery Method
โดยคนท่ีเลือกจัดแสดงข้อมูลของสถานท่ีที่เหมือนกันให้จัดรวมไว้ด้วยกัน จากนั้น
จึงแจกกระดาษให้นักเรียนไปเดินศึกษาข้อมูล แล้วสรุปการเรียนรู้ตามประเด็นที่ครู
มอบหมายให้ ดงั นี้

ชื่อเรื่องทสี่ บื ค้น ..........................................


วิธกี ารหาขอ้ มลู

๑. สอบถามจาก ...........................................................................
๒. อ่านจาก ....................................................................................
๓. วธิ กี ารอน่ื ๆ (ระบุ) ...................................................................
แหล่งขอ้ มูลและหลกั ฐานท่ีเกีย่ วขอ้ ง
๑. ....................................................................................................
๒. ....................................................................................................
คณุ ค่าของสง่ิ ทน่ี ักเรยี นไปสืบค้น
๑. ....................................................................................................
๒. ....................................................................................................
ส่ิงทนี่ ักเรียนได้รับจากการสบื ค้นด้วยตนเอง
……………………………………………………………………
…………………………………………………………………....

ในช่ัวโมงนี้เป็นช่วงเวลาที่นักเรียนได้น�ำเสนอประเด็นที่ตนเองไปสืบค้นมา
โดยการจัดแสดงผลงาน นักเรียนผู้ท่ีเป็นเจ้าของผลงานอาจอธิบายหรือให้ข้อมูลเพ่ิมเติม
มีการซกั ถามและให้ข้อเสนอแนะไดอ้ ยา่ งอสิ ระ

ประเดน็ สำ� คญั ของการเรยี นรใู้ นชว่ั โมงนี้ ไมไ่ ดอ้ ยทู่ ค่ี ำ� ตอบทถี่ กู ตอ้ งตายตวั แตอ่ ยู่
ท่ีครูก�ำลังฝึกให้นักเรียนได้สืบค้นเก่ียวกับประวัติของท้องถิ่นตนเอง ให้เป็นผู้สนใจใฝ่รู้
การให้เหตุผล ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติมากท่ีประเด็นท่ีนักเรียนสนใจน้ัน ในบางทีก็หาค�ำตอบ
ยังไม่ได้ ระหวา่ ง ๑ สปั ดาห์ทผี่ า่ นมาท่ีไปสืบเสาะหาขอ้ มลู มาน้นั จัดได้วา่ เป็นประสบการณ์
ทีด่ ีมากสำ� หรับนักท่จี ะน�ำมาแลกเปลี่ยนกนั

130

สงิ่ ทคี่ รตู อ้ งเตอื นตวั เองในชว่ งเวลานคี้ อื ครอู ยา่ งตงึ เครยี ดกบั คำ� ตอบทไี่ ดม้ ากนกั
แตส่ นใจทปี่ ญั หาหรอื ความสนใจใครร่ ขู้ องนกั เรยี นในการสบื คน้ มากกวา่ เพราะสงิ่ เหลา่ นน้ั
เป็นการฝึกฝนให้นักเรียนได้มีประสบการณ์ ได้เผชิญสถานการณ์ท่ีอาจท้ังมีความส�ำเร็จ
หรือความผิดพลาดบ้าง ซ่ึงว่าไปแล้วค�ำตอบก็ยังไม่ใช่ส่ิงจ�ำเป็นนักส�ำหรับเด็กในช่วงวัยน้ี
จงึ ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งสมบูรณ์หรือถกู ตอ้ งไปเสยี ทง้ั หมด

การเรียนการสอนในชั่วโมงน้ีจึงเป็นการให้ก�ำลังใจ น�ำปัญหามาพูดคุยกัน
พจิ ารณารว่ มกนั วา่ นกั เรยี นแตล่ ะคนมวี ธิ กี ารแกไ้ ขปญั หากนั อยา่ งไรบา้ ง ซง่ึ ครกู ย็ อ่ มเขา้ ใจ
ดวี า่ ปญั หาหนงึ่ กย็ อ่ มมวี ธิ แี กแ้ ตกตา่ งกนั ไป วธิ กี ารเดมิ แตส่ ถานการณใ์ หมก่ อ็ าจไมป่ ระสบ
ความสำ� รจ็ เหมอื นเดมิ กไ็ ด้ เพราะจดุ สำ� คญั ตรงนค้ี รกู ต็ อ้ งใหเ้ ดก็ ไดเ้ รยี นรวู้ า่ เวลาเปลย่ี นไป
เปลย่ี นสถานที่ เปลย่ี นสถานการณ์ กลา่ วคอื ไมม่ อี ะไรซำ้� กนั ไดใ้ นประวตั ศิ าสตร์ ตามสำ� นวน
ท่วี ่า “ประวัติศาสตร์ไม่ซ้�ำรอย”

ครตู งั้ เปา้ เพียงว่านักเรยี นจะเป็นผทู้ ต่ี ้ังค�ำถามได้ ซงึ่ กไ็ มจ่ ำ� เปน็ ต้องสมบูรณแ์ บบ
การตั้งค�ำถามท่ีดียากกว่าการหาค�ำตอบให้ตรงประเด็น ดังนั้นครูก็อาจให้นักเรียน
ตงั้ ค�ำถามอะไรมา ครูก็ต้งั ค�ำถามกลับ เป็นเช่นนอี้ ยู่หลายครัง้ เพือ่ ขอ้ ค�ำถามเหล่านัน้ ใหม้ ี
ความแหลมคมมากขนึ้ เปน็ กระบวนการทเี่ รยี กวา่ “การเหลาคำ� ถาม” คำ� ถามทดี่ ๆี กจ็ ะเปน็
ตัวจุดไฟใฝ่รู้ให้นักเรียนอยากไปสืบเสาะหาค�ำตอบ แต่ค�ำถามที่ดีและเหมาะสมกับวัย
ของนักเรียนก็จะช่วยให้สืบค้นหาข้อมูลได้ง่ายขึ้น เพราะบางค�ำถามก็อาจค�ำตอบไม่ได้เลย
หรือหาได้ยาก

สปั ดาหถ์ ดั มา ชว่ั โมงวชิ าประวตั ศิ าสตร์ เปน็ ชว่ งเวลาสำ� หรบั นกั เรยี นสรปุ การเรยี นรู้
ที่ได้กระบวนการสืบคน้ ท่หี ลากหลาย ไดแ้ ก่

๑. การศกึ ษาเอกสารทเี่ กยี่ วกบั กบั พระนารายณร์ าชนเิ วศน์ ซงึ่ สว่ นใหญเ่ ปน็ ขอ้ มลู
จากแบบเรียน หนังสือและเอกสารแผ่นพับ นักเรียนพบว่าเอกสารช้ันต้นท่ีเป็นเรื่องราว
เกี่ยวกับอยุธยาโดยเฉพาะเร่ืองที่สัมพันธ์กับพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์มีน้อยมาก
หรือหากมีอยู่บ้าง ก็น่าจะเป็นบันทึกจากเอกสารชาวต่างประเทศท่ีกล่าวถึงแผ่นดิน
พระนารายณ์มหาราช ซึ่งพ้นวิสัยของนักเรียนระดับประถมศึกษาท่ีจะไปสืบค้นได้
หรอื เสาะหาเอกสารเหล่าน้นั มาศึกษาได้

แม้กระท่ังเรื่องของ “พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท” ที่มีภาพวาดและ
เร่ืองเล่าว่าสมเด็จพระนารายณม์ หาราช เสด็จฯ ประทบั ณ พระสีหบัญชร ในทอ้ งพระโรง
พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท ออกรับคณะราชทูต ซ่ึงไม่ได้มีการจดบันทึกไว้
และยงั ไมพ่ บหลักฐานอ่นื ใด ทั้งหมดยังคงเปน็ เพยี งการเปรยี บเทยี บจากบันทึกเหตุการณ์
และภาพวาดที่คณะทูตฝรั่งเศส อัญเชิญพระราชสาสน์ของพระเจ้าหลุยส์ท่ี ๑๔ เดินทาง
มาเข้าเฝา้ ฯ ถวายแดส่ มเด็จพระนารายณ์มหาราช ณ พระราชวังกรุงศรีอยธุ ยา ดังน้ี

131

ภาพ ท้องพระโรงพระที่น่ังดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาทและภาพวาดที่ยังเป็นข้อสันนิษฐานว่า
ท่ีนีเ่ คยเปน็ ท่รี ับรองคณะราชทตู จากประเทศฝรั่งเศส

".... คณะทูตฝร่ังเศส มาถึงสยามเมื่อ ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๒๒๘ และในวันที่ ๑๘
ตุลาคม พ.ศ. ๒๒๒๘ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ให้มกี ารตอ้ นรับ
โดยเชอวาเลียร์ เดอ โชมองต์ ราชทูตอญั เชิญพระราชสาสนข์ องพระเจ้าหลุยสท์ ี่ ๑๔ มาถวายแก่
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ณ พระราชวงั กรงุ ศรีอยธุ ยา ทงั้ นต้ี ามบนั ทกึ ของบาทหลวงตาชารด์
ระบุว่า

.....พระเจ้าแผ่นดนิ สยาม ประทบั ณ สหี บัญชร ท่สี งู มาก การจะยืน่ พระราชสาสนถ์ วาย
ให้ถึงพระองค์ท่านนั้น จ�ำเป็นต้องจับคันพานท่ีปลายด้ามและชูแขนข้ึนสูงมาก ซ่ึงเม่ือพิจารณา
เหน็ วา่ การถวายพระราชสาสนใ์ นระยะหา่ งมากนน้ั เปน็ การไมส่ มเกยี รติ โดยควรทจี่ ะถวายใหใ้ กล้
พระองคม์ ากท่สี ดุ ราชทตู จึงจับพานทต่ี อนบนและยื่นขน้ึ ไปเพยี งครง่ึ แขนแค่นน้ั พระเจ้าแผน่ ดิน
สยามทรงทราบความประสงค์ว่าเหตุใดราชทูตจึงกระท�ำเช่นน้ัน จึงทรงลุกข้ึนยืนพร้อมกับ
แย้มพระสรวลและทรงก้มพระองค์ออกมานอกสีหบัญชร เพื่อรับพระราชสาสน์ตรงก่ึงกลางทาง
แลว้ ทรงน�ำพระราชสาสน์นนั้ จบเหนอื เศยี รเกล้า อนั เป็นการถวายพระเกยี รตใิ หเ้ ปน็ พเิ ศษ...."

ขอ้ มลู เหลา่ น้ี นกั เรยี นเองไดเ้ รยี นรวู้ า่ เรอื่ งราวในประวตั ศิ าสตรน์ นั้ มที ง้ั “ขอ้ จรงิ ” และ
“ข้อเท็จ” ปะปนกันไปหมดและเร่ิมตระหนักอย่างท่ีอาจารย์ทางประวัติศาสตร์ได้กล่าวไว้ว่า
“ประวตั ิศาสตร์จริงเจด็ สว่ นเทจ็ สามส่วน”

๒. สัมภาษณบ์ ุคคลเก่ียวกบั ส่ิงกอ่ สร้างในพระนารายณร์ าชนิเวศน์การสมั ภาษณ์
บุคคลต่างเก่ียวกับสิ่งก่อสร้างในพระนารายณ์ราชนิเวศน์ นักเรียนพบว่าข้อมูลส่วนหน่ึง
ก็สอดคล้องกับข้อมูลจากการศึกษาเอกสาร เพราะบุคลลเหล่านั้น ก็ศึกษาจากเอกสาร
มาดว้ ยเชน่ กนั อาจจะมแี ตกตา่ งไปบา้ งตรงทม่ี เี กรด็ ประวตั ศิ าสตรห์ รอื เรอื่ งเลา่ แทรกมาบา้ ง
เช่น คราวท่ีสมเด็จพระนารายณ์มหาราชประชวรและประทับอยู่ที่พระที่นั่งสุทธาสวรรค์
เขตพระราชฐานช้ันใน ระหว่างนน้ั พระเพทราชา ขุนหลวงสรศักด์ิ และขนุ นางไดป้ ระชุมกัน

132

ทีต่ กึ พระเจา้ เหา เพื่อวางแผนยึดอ�ำนาจ ตกึ พระเจ้าเหา มาจากภาษาลาวเวียงจนั ทน์ แปลวา่
“พวกเรา” ซ่งึ นักเรยี นกไ็ ด้เรียนรชู้ ื่อเรียกสถานท่บี างทกี ็ถกู เรียกมาในชั้นหลงั แล้ว เพราะ
ชาวลาวเวียงจันทน์ก็อพยพมาอยู่ที่ลพบุรีก็สมัยรัตนโกสินทร์ หลักฐานที่จะเรียกช่ือหรือ
ออกนามจรงิ ในสมยั น้นั กไ็ มป่ รากฏ

๓.ศึกษาแหล่งเรียนรู้จริงเกี่ยวกับส่ิงก่อสร้างส�ำคัญในพระนารายณ์ราชนิเวศน์
เป็นการให้ สังเกตรวมท้ังศึกษาบริเวณรอบๆ ศึกษาป้ายความรู้เพ่ือหาข้อมูลเก่ียวกับส่ิง
กอ่ สรา้ ง

หลงั จากศกึ ษาแลว้ นำ� ผลการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ทงั้ ๓ วธิ กี าร นกั เรยี นไดร้ วบรวบ
ใขอ้ มลู ท่แี ตล่ ะคนไปสบื คน้ มาดว้ ยวธิ กี ารตา่ งๆ มาจัดระบบข้อมลู ลงในตาราง ดังน้ี

133

สิง่ ก่อสร้างรัชกาลสมเด็จพระนารายณม์ หาราชในพระนารายณร์ าชนิเวศน์
เขตพระราชฐานชนั้ นอก

๑. อา่ งเก็บน้�ำหรือถังเกบ็ น�้ำประปา เอกสาร

เป็นท่ีกกั เกบ็ นำ้� ภายในพระราชวัง ท่อน�้ำท�ำ
จากดนิ เผา สรา้ งโดยวิศวกรชาวฝรงั่ เศสและ
บาทหลวงชาวอิตาลี

๒. ตึกสบิ สองท้องพระคลงั หรือพระคลงั ศภุ รตั น์ เอกสาร

จากลกั ษณะของหมอู่ าคารแลว้ นา่ จะเปน็ พระ
คลงั เกบ็ สนิ คา้ หรอื สง่ิ ของเพอื่ ใชใ้ นราชการท่ี
จะพระราชแก่ผู้ท�ำความดีความชอบ ใช้เป็น
คลงั เพือ่ เก็บสินค้า หรือเกบ็ สิง่ ของเพอื่ ใชใ้ น
ราชการ

๓. ตกึ เล้ยี งรบั รองแขกเมอื ง เอกสาร
เป็นสถานท่ีเลย้ี งต้อนรับคณะราชทตู ชาวตา่ ง
ประเทศ ทรงพระราชทานเลย้ี งแกเ่ ชอรว์ าเลยี
เดอ โชมองต์ จากประเทศฝรงั่ เศส ในปี พ.ศ.
๒๒๒๘ และ พ.ศ ๒๒๓๐ ด้านหน้าตึกมี
รากฐานเป็นอิฐแสดงให้เห็นว่าตึกหลังเล็กๆ
คงจะเป็นโรงมหรสพ ซ่ึงมีการแสดงให้แขก
เมอื งชม ภายหลังรับประทานอาหาร

134

การสมั ภาษณ์ ป้ายความรู้

เป็นอ่างเก็บน้�ำที่ก่อด้วยอิฐฉาบปูนและท่อ เป็นทอ่ ประปาทำ� จากดินเผา ท่ีกักนำ้� ท�ำดว้ ย
เปน็ ดนิ เผา ใชก้ กั เกบ็ นำ้� ทมี่ าจากพระทน่ี งั่ เยน็ การก่ออิฐฉาบปูน โดยวิศวกรชาวฝรั่งเศส
(ทะเลชุบศรและอ่างซับเหล็ก สร้างพ.ศ. และบาทหลวงชาวอติ าลสี ร้าง พ.ศ.๒๒๐๙
๒๒๐๙)

การสมั ภาษณ์ ปา้ ยความรู้

นอกจากใชเ้ ปน็ คลงั สนิ คา้ แลว้ ยงั เกบ็ อาหาร ใช้เป็นคลังเก็บสินค้าและใช้เก็บผ้าท่ีข้าราช
คาวหวาน และ เป็นทเี่ ก็บผ้าเหลอื งสำ� หรบั ให้ บริพารเบิกเพื่อใช้ในการบวชก่อนพระองค์
ขา้ ราชบรพิ ารทเ่ี ปน็ คนสนทิ ของพระนารายณ์ สวรรคต
๑๕ คนเบิกเพื่อใช้ในการบวชในปลายสมัย
ของสมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช

การสัมภาษณ์ ป้ายความรู้

เปน็ สถานทเี่ ลยี้ งตอ้ นรบั คณะทตู จากประเทศ เป็นสถานท่ีเลี้ยงต้อนรับคณะราชทูตจาก
ฝรัง่ เศส และแขกเมอื ง ประเทศฝรงั่ เศส เชอรว์ าเลยี เดอ โชมองต์
เมื่อ พ.ศ. ๒๒๒๘

135

เขตพระราชฐานชน้ั นอก เอกสาร
๔. ตึกพระเจ้าเหา
สันนิษฐานว่าเป็นหอพระประจ�ำพระราชวัง
๕. โรงชา้ งหลวง พระเจ้าเหา คงหมายถึงพระพุทธรูปเก่าแก่ที่
ส�ำคัญที่ประดิษฐานอยู่ภายในตึก ลักษณะของ
เขตพระราชฐานชัน้ กลาง ตกึ เปน็ ทรงยโุ รปผสมผสานแบบไทย สมเดจ็ พระ
๖. พระทีน่ ั่งจนั ทรพิศาล เพทราชาทรงประกาศยึดอ�ำนาจจากสมเด็จพระ
นารายณ์มหาราช ณ ตึกน้ี เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๒๓๑
136
เอกสาร

เป็นที่อยู่ของช้างพระท่ีนั่ง ของสมเด็จพระ
นารายณ์มหาราช และเจ้านายส�ำหรับใช้ใน
ราชการเสด็จประพาสปา่ ล่าสัตว์ และเปน็
ท่ีพักของควาญช้าง ที่หมุนเวียนกันมาดูแล
ชา้ งเผือก

เอกสาร

เป็นที่ประทับออกว่าราชการแผ่นดิน และ
ประชุมองคมนตรี ใช้เป็นท่ีประทับก่อนที่
สรา้ งพระทนี่ งั่ สทุ ธาสวรรค์ ใชเ้ ปน็ หอประชมุ
องคมนตรตี ามบันทกึ ของชาวฝรัง่ เศส

การสมั ภาษณ์ ปา้ ยความรู้

เป็นหอพระประจ�ำพระราชวัง เพราะมีทีส่ ำ� หรบั สันนษิ ฐานว่าเป็นหอพระประจำ� พระราชวงั
ประดษิ ฐานพระหรือฐานชกุ ชี ปรากฏให้เหน็ อยู่
ชาวฝรง่ั เศสระบุวา่ เปน็ วัด ค�ำวา่ “เหา” น่าจะมา
จากภาษาองั กฤษทเ่ี ขียนวา่ HOUSE ซง่ึ หมาย
ถึงบ้านที่อยอู่ าศัยบางต�ำรากบ็ อกว่า “เหา” จาก
ค�ำว่า “เฮา” แปลว่าหมเู่ รา พวกเรา เป็นค�ำ
ที่มาจากภาษามอญและภาษาลาวเวียงจันทน์
ส ถ า น ท่ี นี้ เ ป ็ น ที่ ป ร ะ ชุ ม ข อ ง พ ร ะ เ พ ท ร า ช า
ขุนหลวงสรศักด์ิและขุนนาง เพื่อวางแผนยึด
อ�ำนาจจากสมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช

การสัมภาษณ์ ปา้ ยความรู้

เ ป ็ น ท่ี อ ยู ่ ข อ ง ช ้ า ง พ ร ะ ที่ นั่ ง ข อ ง ส ม เ ด็ จ เ ป ็ น ที่ อ ยู ่ ข อ ง ช ้ า ง พ ร ะ ท่ี น่ั ง ข อ ง ส ม เ ด็ จ
พระนารายณ์มหาราชและเจ้านายคนสนิท พระนารายณม์ หาราช และเจา้ นายหรอื ขนุ นาง
สำ� หรบั ใช้ในราชการเสดจ็ ประพาสปา่ ลา่ สตั ว์ ชน้ั ผู้ใหญ่

การสัมภาษณ์ ปา้ ยความรู้

เป็นที่ประทับก่อนที่สร้างพระท่ีน่ังสุทธา เป็นที่ประทับออกว่าราชการแผ่นดิน และ
สวรรค์ ใชเ้ ปน็ หอประชุมองคมนตรี เปน็ ส่งิ ประชมุ องคมนตรี
ก่อสรา้ งที่เป็นแบบไทยแท้

137

เขตพระราชฐานชนั้ กลาง เอกสาร
๗. พระทีน่ ง่ั ดสุ ิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท

เป็นท่ีประทับออกว่าราชการแผ่นดิน และ
ประชมุ องคมนตรี / เปน็ ทอี่ อกรบั ราชทตู จาก
ฝรัง่ เศส เชอรว์ าลิเย เดอ โชมอง เมอื่ พ.ศ.
๒๒๒๘


เขตพระราชฐานชน้ั ใน เอกสาร
๘. พระท่ีนั่งสุทธาสวรรค์

เปน็ ทป่ี ระทบั สว่ นพระองคแ์ ละเปน็ ทสี่ วรรคต
ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อวันท่ี
๑๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๒๓๑ เปน็ ท่ปี ระทับ
ส่วนพระองค์และเป็นท่ีสวรรคตของ สมเด็จ
พระนารายณม์ หาราช เมอ่ื วนั ที่ ๑๑ กรกฎาคม
พ.ศ. ๒๒๓๑

หลังจากนักเรียนด�ำเนินการศึกษาตามวิธีการดังกล่าวแล้ว นักเรียนเขียนสรุปการเรียนรู้
ของตนเองดว้ ยรปู แบบต่างๆ ได้แก่ การเขียนเปน็ ความเรยี งเพ่อื เตอื นความจ�ำของตนเอง บางคน
เขียนเป็นจดหมายเพื่อบอกเล่าประสบการณ์การเรียนรู้ในการสืบค้นทางประวัติศาสต์ให้เพื่อน
ในจินตนาการได้อ่าน บางคนท่ีมีความสามารถด้านศิลปะก็ใช้วิธีการวาดภาพประกอบในลักษณะ
ของภาพวาดลายเสน้ (Info-Graphic) มีขอ้ มูลหลายอยา่ งทีน่ า่ สนใจ

นกั เรยี นไดเ้ รยี นรวู้ า่ บางทกี ารตงั้ คำ� ถามในสง่ิ ทกี่ ระหายใครร่ นู้ นั้ เปน็ เรอื่ งทด่ี ี แตเ่ มอ่ื ลงมอื
สบื คน้ กพ็ บวา่ มคี วามยากลำ� บากพอสมควร หรอื หาคำ� ตอบไมไ่ ดอ้ ยา่ งทต่ี ง้ั ใจไว้ เพราะประเดน็ คำ� ถาม
เก่ียวกับส่ิงก่อสร้างในพระนารายณ์ราชนิเวศน์ มีข้อมูลไม่มากนัก เอกสารชั้นต้นก็มีจ�ำกัดและ
เรอ่ื งราวต่างๆ กเ็ กดิ ข้ึนนานมากแลว้ ท�ำใหก้ ารสมั ภาษณ์บคุ คลท่เี กี่ยวข้องกอ็ าจไม่ได้ข้อมลู ทม่ี าก
ไปกว่าในเอกสาร เลยได้บทเรียนว่าการต้ังค�ำถามต้องลองตรวสอบดูว่าจะพอมีข้อมูลส�ำหรับตอบ
ค�ำถามไดม้ ากน้อยเพียงใด

138

การสัมภาษณ์ ป้ายความรู้

เปน็ ทเ่ี สดจ็ ออกรบั คณะราชทตู หรอื แขกเมอื ง เป็นท่ีเสด็จออกรับคณะราชทูตจากประเทศ
ตา่ งประเทศทม่ี าเขา้ เฝา้ ฯ ทงั้ ทีต่ ดิ ต่อราชการ ฝรัง่ เศสคือ เชอร์วาเลีย เดอ โชมอง และแขก
ตดิ ตอ่ คา้ ขาย และทมี่ าแสดงความจงรกั ภกั ดี เมือง
ครงั้ หนง่ึ ไดใ้ หร้ าชทตู จากประเทศฝรงั่ เศสคอื
เชอร์วาเลยี เดอ โชมอง เข้าเฝ้า ณ พระท่นี ั่ง
แหง่ นี้

การสมั ภาษณ์ ปา้ ยความรู้

เปน็ ทป่ี ระทบั สว่ นพระองคเ์ ปน็ เขตหวงหา้ มท่ี เปน็ ทป่ี ระทบั สว่ นพระองคแ์ ละเปน็ ทส่ี วรรคต
ใครจะเดนิ เขา้ ออกไมไ่ ด้ นอกจากคนสนทิ ของ ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อวันที่
พระองค์ ๑๕ คนเท่านน้ั และเป็นท่สี วรรคต ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๒๓๑
ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เม่ือวันท่ี
๑๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๒๓๑

การศึกษาครั้งน้ี ออกจะเน้นศึกษาไปที่เรื่องสถานท่ีโบราณสถาน แต่ข้อมูลที่ได้ก็พอเห็น
ภาพของชวี ติ ผคู้ นในยคุ สมยั ของสมเดจ็ พระนารายณอ์ ยไู่ มน่ อ้ ย โดยเฉพาะลกั ษณะการจดั พระราชฐาน
ท่ีมีการแบ่งเขตพ้ืนที่เป็นช้ันนอก ชั้นกลาง และชั้นใน ซ่ึงแบบแผนนี้ก็มีสืบเนื่องกันมากจนถึงยุค
รตั นโกสินทร์

จากค�ำถามและกระบวนการสืบค้นคร้ังนี้ ก็น�ำไปสู่การต้ังประเด็นค�ำถามที่จุดไฟใฝ่รู้
ให้นักเรียนอยากสืบค้นพอในหลายๆ เร่ือง โดยเฉพาะส่ิงของที่จัดแสดงในพิพิธภัณธ์หลายชิ้น
ท่ีนักเรียนเคยได้ยินค�ำบอกเล่าหรือเคยเห็น เช่น เคร่ืองจับสัตว์น�้ำแบบต่างๆ ที่ชวนให้ตั้งค�ำถามว่า
มกี ารเปลย่ี นแปลงอะไรเกิดขึน้ บ้าง ทีท่ �ำให้เคร่อื งมอื เหล่าน้ันทยอยสูญหายไป

139

140

การเรียนประวัตศิ าสตร์ โดยใชแ้ หล่งเรียนรูใ้ นชุมชนเป็นสอ่ื

โรงเรยี นชมุ ชนบา้ นกรือเซะ : สำ� นกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาปตั ตานี เขต ๑
ผเู้ ขยี น : นางนปภา ศรีเอียด

คุณครรู ะดับชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี ๕ โรงเรียนบ้านกรือเซะ จังหวัดปตั ตานี ได้เห็น
ความส�ำคญั ของ แหลง่ เรยี นรูใ้ นท้องถิ่น ตามวิธกี ารทางประวัตศิ าสตร์ โดยเฉพาะมัสยดิ
กรือเซะ โดยครูผู้สอนได้ศึกษาเอกสารหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน สาระ
ประวัติศาสตร์และออกแบบการจัดการเรียนรู้ ทีเรียกว่า “๖ ข้ันพาท�ำ” ประกอบด้วย
การให้นกั เรียนได้สบื ค้นความเป็นมาของทอ้ งถน่ิ การรวบรวมขอ้ มลู จากแหลง่ ต่างๆ และ
การแยกแยกความแตกตา่ งระหว่างความจรงิ กับขอ้ เทจ็ จรงิ โดยสง่ เสริมทกั ษะการฟัง พูด
อา่ น เขียน คดิ วิเคราะห์ สรุปความคิด สร้างองค์ความรู้ดว้ ยตนเอง สู่การนำ� เสนอผลงาน
สร้างสรรคอ์ ยา่ งหลากหลาย

ภาพชินตาที่นักเรียนโรงเรียนชุมชนบ้านกรือเซะเห็นทุกวันคือซากปรักหักพัง
ของโบราณสถานท่ีแสดงถึงความเป็นมาของเมืองปัตตานี ในอดีต “นักเรียนเดินทางมา
โรงเรยี นเห็นซากปรกั หกั พังของโบราณ สถานแล้วคิดอย่างไรบา้ งคะ” ครูสมสขุ แสงสว่าง
ถามนักเรียนเพื่อหยงั่ ดูความสนใจ

“อยากเรียนครับ และอยากท�ำผลงานเป็นหนังสือเล่าเร่ืองเล่มเล็กๆ โชว์ในห้อง
มัคคุเทศก์น้อยของโรงเรียนด้วยครับ” ค�ำตอบของนักเรียนคือประกายความคิดของ
การสอนประวัติศาสตร์โดยใช้แหลง่ เรยี นร้ใู นชุมชน ดว้ ยกระบวนการ ๖ ข้ันพาทำ� เพ่อื ฝกึ

141

นักเรียนให้มีทักษะการสืบค้นความเป็นมาของท้องถิ่นโดยใช้หลักฐานอย่างหลากหลาย
(มฐ.ส๔.๑,ตว.ป๕/๑) เปน็ การฝกึ นักเรยี นให้มีทักษะการรวบรวมขอ้ มลู

จากแหล่งความรู้ต่างๆ เพื่อตอบค�ำถาม ทางประวัติศาสตร์อย่างมีเหตุผล
(มฐ.ส๔.๑,ตว.ป๕/๒) และฝึกนักเรียนให้น�ำเสนอความเป็นมาของท้องถิ่นด้วยวิธีการ
อย่างหลากหลาย (มฐ.ส๔.๑,ตว.ป๕/๓) การสอนเพ่ือให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้
ประวัติศาสตร์ด้วยกระบวนการทางประวัติศาสตร์และใช้แหล่งเรียนรู้ในชุมชนเป็นสื่อ
ด้วยกระบวนการ ๖ ขัน้ พาท�ำ จึงเรมิ่ ขนึ้

พาทำ� พาท�ำ พาทำ�
น�ำเสนอผลงาน ก�ำหนดประเด็น ฝกึ ต้ังค�ำถาม

การศึกษา ๕ WH

๖ ข้ันพาท�ำ

พาท�ำ พาท�ำ
น�ำวิเคราะห์ เสาะหาสบื ค้น
หาค�ำตอบ
ข้อมลู

พาท�ำ
จดั การขอ้ มูล
เป็นหมวดหมู่

ขั้นที่ ๑ พาทำ� น�ำนักเรยี นใหก้ �ำหนดประเด็นการศึกษา ด้วยชุมชนบา้ นกรอื เซะมี
แหลง่ โบราณสถานหลายแหง่ นกั เรยี นลงมตเิ ลอื กศึกษามัสยิดกรือเซะกอ่ น เนอื่ งจากเป็น
โบราณสถานที่มีขนาดใหญ่ ตั้งอยู่หน้าโรงเรียน และเป็นโบราณที่ส�ำคัญท่ีสุดในชุมชน
นอกจากน้ียังมีเร่ืองราวที่น่าสนใจที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย โดยนักเรียนจะเรียนรู้ในเร่ือง
เดยี วกัน ส่วนแหลง่ เรยี นรอู้ น่ื ที่มนี กั เรียนบางคนให้ความสนใจอยู่บ้าง ก็จะมกี ารวางแผน
ไปสู่การเรียนร้ใู นโอกาสตอ่ ไป

ขน้ั ที่ ๒ พาทำ� นำ� นกั เรยี นฝกึ ตงั้ คำ� ถาม 5 WH (Who, What, Where, When, Why,
How) เพือ่ เปน็ แนวทางหาคำ� ตอบของนักเรยี น โดย ครู นักเรยี น รว่ มกันตง้ั คำ� ถาม เชน่
โบราณสถานตั้งอยู่ที่ใด ใครเป็นผู้สร้าง คนท่ีสร้างเป็นกลุ่มคนในยุคปัจจุบันหรือไม่
สรา้ งเมอ่ื ไหร่ สรา้ งทำ� ไม สรา้ งดว้ ยอะไร ประโยชนใ์ ชส้ อยตงั้ แตอ่ ดตี ถงึ ปจั จบุ นั เปน็ อยา่ งไร
เมอื่ ไดป้ ระเดน็ คำ� ถามแลว้ ครจู ดั ทำ� เปน็ ใบงานการศกึ ษาแหลง่ เรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตร์ เพอื่ เปน็
เครอื่ งมือใหน้ กั เรียนได้บันทกึ การศึกษาเรยี นรูใ้ นขัน้ ต่อไป

142

ขน้ั ท่ี ๓ พาทำ� ปฏบิ ตั กิ าร เสาะหา สบื คน้ ขอ้ มลู ของมสั ยดิ กรอื เซะดว้ ยวธิ กี ารดงั น้ี
๑) ใหน้ กั เรยี นอา่ นประวตั มิ สั ยดิ กรอื เซะ เปน็ เอกสารทต่ี ดิ อยรู่ ายรอบมสั ยดิ

ซ่ึงเปน็ บรกิ ารของจงั หวดั ปตั ตานีได้จัดไวส้ �ำหรับนกั ทอ่ งเท่ียวท่มี าเยอื นให้ได้ศึกษาเรยี นรู้
๒) ฟงั ค�ำบรรยายจากมัคคเุ ทศกป์ ระจ�ำมสั ยิดกรือเซะ
๓) ใหน้ กั เรยี นไดส้ มั ผสั โบราณสถานดว้ ยตนเอง ซง่ึ ทกุ วธิ กี ารนกั เรยี นตอ้ ง

ใชท้ ักษะการสังเกต การฟงั การอ่าน การสอบถาม และบันทึกความรู้ ตามใบงานที่ครู
ก�ำหนดให้

ขั้นที่ ๔ พาท�ำจดั การข้อมูลให้เปน็ หมวดหมู่ โดยฝึกนักเรียนใหแ้ ยกประเภทของ
ค�ำตอบในใบงาน ตามประเด็นค�ำถามทีต่ ง้ั ขน้ึ เป็นขอ้ ๆ เช่น ค�ำถามข้อท่ี ๑ ใครเป็นผสู้ ร้าง
มสั ยิดกรอื เซะ ก็ใหน้ �ำค�ำตอบของนักเรยี นทุกคนที่บนั ทกึ คำ� ตอบข้อที่ ๑ มาจดั อย่ใู นกลุ่ม
เดียวกัน ขอ้ อน่ื ๆ ก็ท�ำเชน่ เดียวกนั และแบง่ กลุม่ นักเรียนรับผิดชอบเปน็ ขอ้ ๆ

ข้ันท่ี ๕ พาทำ� นำ� วิเคราะห์ คำ� ตอบ โดย
๑) ชแ้ี นะให้นกั เรยี นแยกแยะขอ้ มลู โดยแยกเป็นความคดิ เหน็ และข้อเทจ็

จรงิ โดยใหน้ กั เรยี นพจิ ารณาขอ้ มลู ทแ่ี ตล่ ะคนไดไ้ ปศกึ ษามา โดยพจิ ารณาความขดั แยง้ หรอื
ความสอดคลอ้ งของค�ำตอบ

๒) สรปุ เรอ่ื งราวของมสั ยดิ กรอื เซะทเี่ ปน็ คำ� ตอบรว่ มหรอื สอดคลอ้ งกนั ทลี ะขอ้
๓) นำ� ข้อสรุปทุกขอ้ มารอ้ ยเรยี งกนั เปน็ เร่ืองราวของมสั ยิดกรอื เซะ
ขน้ั ท่ี ๖ พาทำ� นำ� เสนอผลงานซง่ึ การเรยี นการสอนครง้ั น้ี นกั เรยี นมคี วามประสงค์
ที่จะน�ำเสนอผลงานด้วยการจัดท�ำเป็นหนังสือเล่มเล่าเรื่องมัสยิดกรือเซะ รวมท้ังเขียน
สะท้อนประสบการณ์การไปเรียนรทู้ โี่ บราณสถานมสั ยดิ กรือเซะ

143

ครูผสู้ อน นางสาวสมสุข แสงสวา่ ง กล่าววา่ ครภู ูมใิ จท่ไี ดฝ้ ึกนักเรยี นให้มที กั ษะ
การค้นคว้า ศึกษาหาความรู้ การที่ผู้เรียนได้ลงมือฝึก ลงมือปฏิบัติด้วยตนเองจะเป็น
ความรู้ท่ีตกผลึกท�ำให้นักเรียนได้รับความรู้ท่ีถาวรและยั่งยืน ผลงานท่ีนักเรียนได้ท�ำขึ้น
ถือเป็นผลิตผลที่ได้จากการเรียนจริงๆ ของนักเรียน และขอเน้นย�้ำว่าการเรียนเรียนรู้
ของนกั เรยี นนนั้ เกดิ ขน้ึ ไดท้ กุ ที่ ทกุ เวลา เมอื่ นกั เรยี นเกดิ มปี ระกายความคดิ ทแ่ี ปลกออกไป
ครคู วรขยายความรู้และเพ่ิมพูนทักษะใหน้ ักเรียนเพือ่ เป็นส่ิงกระตนุ้ การเรยี นรู้ต่อไป

ผู้ปกครองกล่าวว่า ภูมใิ จท่เี หน็ บุตรหลานสนใจและเหน็ ความส�ำคญั ของโบราณ
สถานในชมุ ชนดใี จท่เี ปน็ ผู้ให้ค�ำตอบให้ความร้แู กน่ กั เรยี น ขอขอบคณุ ครโู รงเรยี นชุมชน
บ้านกรือเซะท่ีจัดการเรียนการสอนให้นักเรียนได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์โบราณสถานของ
ชุมชน

144

ยุวมัคคุเทศก์เปดิ เมืองจนั เสน

แหลง่ ประวตั ิศาสตรส์ มัยทวาราวดี


โรงเรียนวดั จันเสน : ส�ำนกั งานเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษานครสวรรค์ เขต ๓

ผเู้ ขียน : นางวันเพญ็ ศริ คิ ง

ยุวมัคคุเทศก์เป็นการพัฒนาศักยภาพก้าวแรกท่ีเด็กๆ ของเราท่ีจะสร้าง
กระบวนการเรยี นรจู้ ากพนื้ ฐานใกลต้ วั จากชมุ ชนในดา้ นมรดกทางวฒั นธรรม ซงึ่ จะเปน็ การ
บม่ เพาะจติ สำ� นกึ ในคณุ คา่ ของมรดกทางวฒั นธรรมเปน็ อกี กา้ วหนง่ึ ทจี่ ะชว่ ยกนั ดำ� รงรกั ษา
ภมู ปิ ญั ญาของทอ้ งถนิ่ ใหค้ งอยอู่ ยา่ งยง่ั ยนื นำ� สกู่ ารมที กั ษะกระบวนการทางประวตั ศิ าสตร์
มจี ติ อาสาในการทำ� งานใหก้ บั ชมุ ชน โดยการเผยแพรค่ วามรู้ แหลง่ ประวตั ศิ าสตรโ์ บราณคดี
โบราณวตั ถุ และภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ การทน่ี กั เรยี น พดู บรรยายนำ� ชมพพิ ธิ ภณั ฑส์ รา้ งเจตคติ
ทีด่ ีในการช่วยกันดแู ละรกั ษามรดกทางประวตั ศิ าสตร์

สอดคล้องกบั มาตรฐาน/ ตวั ชีว้ ดั ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ ๖
มาตรฐาน ส ๔.๑ เข้าใจความหมาย ความส�ำคัญของเวลา และยุคสมัยทาง
ประวตั ศิ าสตร์ สามารถใชว้ ธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตรม์ าวเิ คราะหเ์ หตกุ ารณต์ า่ งๆ อยา่ งเปน็ ระบบ

145

ตวั ชวี้ ดั ท่ี ๑ อธบิ ายความสำ� คญั และ ลำ� ดบั ขนั้ ตอน ของวธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตร์
ในการศึกษาเร่อื งราวทางประวตั ิศาสตร์อย่างงา่ ยๆ

ตัวชี้วดั ท่ี ๒ เขา้ ใจน�ำเสนอขอ้ มูลจากหลักฐานที่หลากหลายในการท�ำความเข้าใจ
เร่อื งราวในอดีต

พพิ ธิ ภัฑณจ์ นั เสน ตั้งอยู่หมู่ท่ี ๒ ตำ� บลจนั เสน สนั นษิ ฐานวา่ อยใู่ นสมยั ทวารวดี
บริเวณเมืองโบราณมีคูเมืองเป็นเนินดินโดยรอบ เป็นรูปส่ีเหลี่ยม แต่มุมทั้งส่ีเป็นรูปมน
จนเกือบเป็นวงกลม ซ่ึงเป็นลักษณะเฉพาะของเมืองโบราณสมัยทวาราวดี ล้อมรอบด้วย
คูเมืองซ่ึงกว้างประมาณ ๒๐ เมตร ปัจจุบันยังมีสภาพเป็นท่ีลุ่มน้�ำขัง แต่ยังเป็นร่องรอย
พอมองเหน็ เคา้ ของคูเมอื งไดอ้ ย่างชัดเจน มคี วามยาวประมาณ ๘๐๐ เมตร กวา้ ง ๗๐๐
เมตร คดิ เปน็ เนอ้ื ทป่ี ระมาณ ๓๐๐ ไรเ่ ศษ เนอื่ งจากบรเิ วณภายในคเู มอื งดงั กลา่ วมลี กั ษณะ
เปน็ เนนิ สงู กว่าพนื้ ท่ีรอบนอกคูเมือง ชาวบ้านเรยี กว่า “โคกจันเสน”

ภาพ แผนทเ่ี มอื งจนั เสน อำ� เภอตาคลี จังหวดั นครสวรรค์
ในบริเวณเมืองโบราณได้ขุดพบโบราณวัตถุหลายอย่าง ประเภทท่ีท�ำด้วยเศษ

ดนิ เผา อาทิ พระพิมพต์ า่ งๆ ตุ๊กตา ตะเกียง ประเภทท่ีท�ำดว้ ยหนิ ไดแ้ ก่ ฐานบวั ธรรมจักร
ขวานหินขัดที่ท�ำด้วยโลหะ มีตุม้ หูทำ� ดว้ ยตะก่วั หรอื ดบี ุก ใบหอกท่ีทำ� ดว้ ยส�ำรดิ ปัจจุบัน
โบราณวัตถดุ งั กลา่ วเกบ็ รกั ษาไว้ที่ พิพธิ ภัณฑ์จนั เสน ซ่งึ ตัง้ อย่ใู นวดั จนั เสน เริม่ ก่อสร้าง
146

โดยพระครูนิสัยจริยคุณหรือท่ีชาวบ้านเรียกว่า "หลวงพ่อโอด" ได้มีด�ำริท่ีจะสร้าง
พระมหาธาตุเจดีย์ขึ้นเพ่ือให้เป็นศูนย์กลางชุมชน ภายในจัดให้มีส่วนที่เป็นพิพิธภัณฑ์
เพ่ือใช้แสดงเรื่องราวของจันเสนในอดีตพร้อมกันไปด้วย พระครูนิวิฐธรรมขันธ์หรือ
หลวงพอ่ เจรญิ เจา้ อาวาสรปู ตอ่ มา เปน็ กำ� ลงั สำ� คญั ทสี่ านตอ่ งานพพิ ธิ ภณั ฑจ์ นเสรจ็ สมบรู ณ์
โดยงบประมาณในการก่อสรา้ งน้ันไดม้ าจากแรงศรทั ธาของประชาชน

ภาพ โบราณวัตถุท่พี บในบริเวณเมืองจันเสน
จนั เสนเมืองโบราณ หลวงพอ่ โอด อดตี เจา้ อาวาสวดั จันเสน ซงึ่ ท่านมรณภาพไป

ตั้งแตป่ ี พ.ศ. ๒๕๓๒ ท่านเป็นผูม้ ุ่งมั่นทีจ่ ะสรา้ งมณฑปเจดีย์ข้ึน โดยมคี วามมงุ่ หมายวา่
๑. ส่วนยอดของมณฑปเจดยี ์จะบรรจุพระบรมสารรี กิ ธาตุ
๒. องคเ์ รอื นธาตุประดษิ ฐาน "หลวงพอ่ นาค" พระพทุ ธรปู ปางนาคปรกที่

น�ำมาจากเมอื งลพบรุ ี เพื่อใหเ้ ปน็ พระพุทธรปู สำ� คัญของชมุ ชน
๓. อาคารสว่ นฐานของพระมหาเจดยี ์ เปน็ ทป่ี ระดษิ ฐานรปู ปน้ั ของทา่ น และ

เปน็ พพิ ิธภณั ฑ์เมอื งจนั เสน
พระมหาธาตเุ จดีย์จันเสน อยู่ในห้องชัน้ ฐานของพระมหาธาตเุ จดีย์ การออกแบบ

ไดใ้ ชล้ กั ษณะของสถปู ในสมยั ทวารวดเี ปน็ พนื้ ฐานในการพฒั นารปู แบบ ใชร้ ายละเอยี ดของ
ลวดลายทางสถาปตั ยกรรมในสมยั ทวารวดี ซงึ่ มคี ำ� จารกึ ทฐี่ านพระมหาธาตเุ จดยี ศ์ รจี นั เสน
ให้ผู้สนใจได้อ่านประวัติความเป็นมาด้วย พิพิธภัณฑ์น้ี เปิดให้เข้าชมในวันเสาร์-อาทิตย์
ผทู้ ต่ี อ้ งการเขา้ ชมในวนั ธรรมดา สามารถตดิ ตอ่ ทางวดั ใหเ้ ปดิ เขา้ ชมได้ มเี ยาวชนอาสาสมคั ร

147

จากโรงเรียนวัดจันเสน และโรงเรียนจันเสนเอ็งสุวรรณอนุสรณ์ บริการน�ำเท่ียวภายใน
บรเิ วณเมอื ง และนำ� ชมภายในพพิ ธิ ภณั ฑ์ดว้ ย

โรงเรยี นวดั จนั เสน ไดต้ ระหนกั เหน็ ศกั ยภาพของพนื้ ทใ่ี กลเ้ คยี งของโรงเรยี น ทอี่ ยู่
ในบริเวณของแหลง่ เรียนร้ทู างประวตั ศิ าสตรท์ ่ีส�ำคญั คอื พพิ ิธภณั ฑ์จนั เสน ซงึ่ ควรใช้เป็น
แหล่งเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี จึงได้คิดท�ำโครงการยุวมัคคุเทศก์เพ่ือให้นักเรียนได้เรียนรู้ทาง
ประวตั ิศาสตร์ พฒั นาสมรถนะด้านตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ ทกั ษะการสืบคน้ การสื่อสาร และสรา้ ง
คณุ ลกั ษณะของผมู้ จี ติ อาสา การทำ� งานทเี่ ปน็ สาธารณะประโยชน์ กระบวนการในการพฒั นา
ยุวมคั คุเทศก์ เปน็ ดงั น้ี

๑. การเตรยี มการเปน็ ยุวมัคคุเทศกเ์ มืองจนั เสน
โรงเรียนวัดจันเสนด�ำเนินการออกแบบหลักสูตรรายวิชาประวัติศาสตร์

ในระดบั ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ ๖ ใหส้ ว่ นหนง่ึ เปน็ การฝกึ การเปน็ ยวุ มคั คเุ ทศก์ ทง้ั นห้ี ลงั จาก
รับการพัฒนาแล้ว นักเรียนท่ีมีสมัครใจและสามารถจัดสรรเวลาได้สามารถไปปฏิบัติงาน
เปน็ ยุวมคั คเุ ทศกท์ พี่ ิพิธภัณฑไ์ ด้

ในชว่ งเวลาทเ่ี รยี นรกู้ ารเปน็ ยวุ มคั คเุ ทศก์ ครผู สู้ อนไดจ้ ดั ใหน้ กั เรยี นเขา้ รบั
การอบรม ซึ่งเป็นหลักสูตรการอบรม ๒ วัน วิทยากรโดยเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ร่วมกับ
คณะครู เน้ือหาสาระที่อบรมได้แก่ การศึกษาประเด็นเร่ืองราวของชุมชนและพิพิธภัณฑ์
จันเสน ความเป็นมาของชุมชนเมืองจันเสนและพิพิธภัณฑ์ ความรู้ความเข้าใจและทักษะ
การเป็นยุวมัคคุเทศก์ท่ีดี นักเรียนมีหน้าที่ตั้งค�ำถามเก่ียวกับเมืองจันเสนและพิพิธภัณฑ์
จากนั้นจึงเรียนรู้ในกระบวนการฝึกอบรมเพื่อหาค�ำตอบ มีการจดบันทึกข้อมูลที่ได้รับ
นอกจากเน้ือหาสาระที่ได้รับแล้ว ยังต้องฝึกสังเกตว่าเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์มีเทคนิค
ในการน�ำเสนอเน้ือหาสาระหรือวิธีการเป็นมัคคุเทศก์อย่างไรบ้าง เพ่ือให้สามารถเลือก
เทคนคิ ไปปรับใช้ในการทำ� งานของตนเอง

๒. แบ่งกลุ่มศึกษาตามประเด็นท่ีตนเองสนใจ หลังจากเสร็จส้ินกระบวนการ
อบรม ๒ วัน แล้ว นักเรียนแต่ละคนต้องทบทวนและสรุปบันทึกการเรียนรู้ของตนเอง
เอกสารฉบบั นถี้ อื เปน็ ขอ้ มลู สำ� คญั ทนี่ กั เรยี นจะใชเ้ ปน็ ขอ้ มลู ในการทำ� งานเปน็ ยวุ มคั คเุ ทศก์
และใช้ในการทบทวนตวั เองว่ามปี ระเด็นใดที่เรียนร้ไู ด้ยังไมค่ รบถ้วน ยังมเี ร่ืองใดทตี่ นเอง
อยากศกึ ษาหรอื เรยี นรเู้ พิม่ เติมอีกบ้าง

กิจกรรมในข้ันที่สองนี้ เป็นข้ันที่นักเรียนจะได้เรียนรู้ล�ำดับขั้นตอนของวิธี
การทางประวตั ศิ าสตร์ ในการศกึ ษาเรอื่ งราวทางประวตั ศิ าสตรอ์ ยา่ งงา่ ยๆ และฝกึ นำ� เสนอ
ข้อมูลจากหลักฐานท่ีหลากหลายในการท�ำความเข้าใจเรื่องราวในอดีต ในข้ันตอนนี้ครูให้
นักเรียนตรวจสอบข้อมูลจากบันทึกการเรียนรู้ และให้คิดประเด็นท่ีอยากเรียนรู้เพ่ิมเติม

148


Click to View FlipBook Version