The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การสอนประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย หลากหลายวิธีเรียน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

การสอนประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย หลากหลายวิธีเรียน

การสอนประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย หลากหลายวิธีเรียน

ครูมีหน้าที่ช่วยต้ังค�ำถามและชวนให้นักเรียนพิจารณาว่าค�ำถามของตนเองน้ันจะสามารถ
สืบค้นได้เพียงใด ในพิพิธภัณฑ์จะมีข้อมูลหลักฐานเพียงพอท่ีค้นคว้าหาท�ำตอบได้หรือไม่
นักเรียนที่มีความสนใจคล้าย ๆ กันก็ให้รวมกลุ่มเพื่อได้รวมกันท�ำงาน ประเด็นคำ� ถามท่ี
นกั เรยี นสนใจมีดังนี้

 พัฒนาการลกั ษณะของคูนำ้� คันดนิ และประโยชน์การใช้สอย
 หลวงพอ่ โอดกับการเปลยี่ นแปลงของหมู่บา้ นในเขตเมอื งจันเสน
 พฒั นาการของเครื่องมือการจับสตั วน์ ำ้�
 สิ่งของทขี่ ุดคน้ พบในแหลง่ เรียนรูท้ างประวตั ศิ าสตรแ์ สดงใหเ้ ห็นวิถีชีวิต
ของผู้คนยุคนั้นอยา่ งไรบา้ ง
๓. การสรปุ ความรทู้ ไ่ี ดร้ บั นกั เรยี นไดม้ โี อกาสในรวบรวมความรจู้ ากหลากหลาย
แหลง่ ทงั้ จากการฟงั การบรรยายของวทิ ยากรประจำ� พพิ ธิ ภณั ฑจ์ นั เสน ขอ้ มลู จากการศกึ ษา
ค้นคว้าเพ่ิมเติมทั้งจากเอกสาร และอินเทอร์เน็ต ข้อมูลที่ส�ำคัญมากอีกประการหน่ึงคือ
นกั เรยี นไดก้ ารศกึ ษาในเรอ่ื งทตี่ นเองสนใจเปน็ พเิ ศษ มที งั้ เปน็ การเดยี่ วหรอื กลมุ่ ยอ่ ยตาม
ความสนใจ ซ่ึงการศึกษานี้ช่วยให้นักเรียนได้รวบรวมข้อมูลที่หลากหลาย ได้มีโอกาสได้
ลองการใช้วิธกี ารทางประวัติศาสตรใ์ นการศึกษาเรอื่ งราวอยา่ งง่ายๆ ตลอดจนไดใ้ ชข้ ้อมูล
อยา่ งหลากหลายในการท�ำความเข้าใจเร่ืองราวในอดตี
นอกจากนักเรียนได้ฝึกกระบวนการประมวลข้อมูลต่างๆ แล้ว เอกสารสรุป
ความรู้น้ี ยังช่วยให้นักเรียนเกิดความม่ันใจในการเตรียมการเป็นยุวมัคคุเทศก์มากยิ่งข้ึน
นักเรยี นได้ค้นพบวา่ ขอ้ มลู ต่างๆ มีการเปลีย่ นแปลงได้ถา้ มกี ารตีความใหม่ หรอื เม่ือมีการ
ค้นพบหลักฐานชิ้นใหม่ การฝึกในการตั้งค�ำถามและเช่ือมโยงข้อมูลต่างๆ จึงเป็นทักษะ
ท่ีส�ำคัญ การเป็นยุวมัคคุเทศก์ก็อาจลองต้ังค�ำถามหรือเชื้อเชิญให้ศึกษาเพ่ิมเติม โดยไม่
จ�ำเป็นต้องให้ค�ำตอบส�ำเร็จรูปเสมอไป การตอบไม่ได้จึงไม่ใช่เรื่องของการ “เสียหน้า”
แต่อย่างใด
ขอ้ มลู หลายอยา่ งกส็ รา้ งแรงบนั ดาลใจใหส้ บื คน้ หาคำ� ตอบตอ่ ไป บางเรอ่ื งการทำ� ให้
เกิดความภาคภูมิใจในวิธกี ารคิดและภมู ิปญั ญาของผคู้ นในยคุ สมยั น้นั ได้แก่
การขุดคูน�้ำคันดินซ่ึงเป็นแบบแผนของเมืองโบราณสมัยทวาราวดี นอกจากนี้ยัง
พบสระนำ้� ทช่ี าวบา้ นเรยี กวา่ “บงุ่ ยายคำ� ” และ “คนั คหู นมุ าน” ทเ่ี ปน็ ภมู ปิ ญั ญาในการบงั คบั
น้�ำเขา้ มาใช้ จากหลัก,ฐานทพี่ บไดแ้ ก่ ภาชนะดินเผา กแ็ สดงให้เหน็ วา่ มกี ารตั้งถน่ิ ฐานอยใู่ น
บริเวณนส้ี ืบเน่ืองกนั มาหลายยุคหลายสมยั



149

เรอื่ งราวของ “หวงี าชา้ ง” ทค่ี น้ พบในแหล่งโบราณคดีจนั เสน พบว่า หวนี อกจาก
ใช้ในการจัดแตง่ ทรงผมแลว้ หวยี งั เป็นเครอื่ งประดบั จากหลักฐานท่คี น้ พบในบา้ นเราอายุ
ไม่น้อยกวา่ ๑,๕๐๐ ปี ลวดลายของหวีในอดีตยังมีความหมายนา่ สนใจ

ภาพ หวีงาช้างอายุ ๑,๕๐๐ ปี ภาพ ลายเสน้ ลวดลายมงคลบนหวงี าชา้ ง
หวสี ับจากงาชา้ งทีซ่ ห่ี วียาวไมถ่ ึง ๕ มิลลิเมตร ทม่ี อี ายกุ ว่า ๑,๕๐๐ ปี ขดุ พบท่ี

ต�ำบลจนั เสน จังหวดั นครสวรรค์ มลี วดลายมงคล ๘ สญั ลักษณค์ วามอุดมสมบรู ณ์ และ
พลงั อ�ำนาจ รวมท้ังวสั ดจุ ากงาช้าง เชื่อวา่ เปน็ เคร่ืองใชข้ องชนชน้ั สูง เปน็ หลักฐานแสดงถึง
การจัดแตง่ ทรงผมดว้ ยหวที ี่มมี าแต่อดีต ไม่เพยี งทรงผมท่ีบอกค่านิยม และชนชน้ั แตก่ าร
ใช้หวียังบอกถึงกลุ่มคนแตกต่างหญิงในราชส�ำนักจะใช้หวียี และแปรงเพ่ือการเกล้าผมให้
สวยงาม แตกต่างจากคนท่วั ไปทีใ่ ชห้ วีเสนียดเพ่อื การดูแลสขุ ภาพหนงั ศีรษะ กำ� จดั เหา และ
ตดั ผมสัน้ เพอ่ื ใหด้ ูแลง่าย

ในอดตี หวที �ำขนึ้ จากวสั ดตุ ามธรรมชาติ เช่น ไม้ หรอื กระดกู สัตว์ การคน้ พบหวี
งาชา้ ง ซงึ่ ถอื วา่ เปน็ วสั ดทุ มี่ คี า่ ประกอบกบั มกี ารแกะลายทงี่ ดงามนน้ั แสดงถงึ การเปน็ ของใช้
ของกลุ่มคนช้ันสูง เป็นหลักฐานว่าเมืองจันเสนเป็นเมืองใหญ่มาก มีระบบของสังคมท่ีซับ
ซอ้ น มกี ารแบง่ กลมุ่ คนดว้ ยข้าวของเครอ่ื งใชท้ แ่ี สดงถงึ ลำ� ดับและสถานะของผคู้ น

วัตถุชิ้นน้ียังแสดงถึงการติดต่อค้าขายกับผู้คนในดินแดนอ่ืนๆ ด้วย เพราะอาจ
ตดิ ตวั คนทเ่ี ขา้ มาตดิ ตอ่ คา้ ขายในพนื้ ทขี่ องเมอื งจนั เสน ยง่ิ นกั เรยี นไดเ้ หน็ แผนทท่ี อ่ี ธบิ ายวา่
พ้ืนท่ีราบลุ่มภาคกลางเคยเป็นทะเลมาก่อน และเมืองจันเสนในอดีตก็เคยเป็นเมืองท่ีเชื่อม
โยงระหวา่ งชายฝง่ั ทะเลกบั พนื้ ทต่ี อนใน กย็ ง่ิ ยำ้� ใหเ้ หน็ วา่ ในอดตี เมอื งจนั เสนเปน็ เมอื งสำ� คญั
ทอ่ี ดุ มสมบูรณ์มาก

150

ภาพ ขอบเขตของอ่าวไทยในอดีต ที่ราบลุ่มภาคกลางกว่าครึ่งเป็นทะเล เมืองจันเสนจึงเป็น
เมอื งสำ� คญั ทต่ี งั้ อยตู่ อนใน ไมไ่ กลจากทะเลมากนัก

๓. การน�ำเสนอเรือ่ งราวเมอื งจนั เสน และแลกเปลยี่ นเรียนรู้
เมอื่ นกั เรยี นแตล่ ะคนไดท้ ำ� บนั ทกึ การเรยี นรรู้ ายบคุ คลแลว้ ในขน้ั นเ้ี ปน็ การนำ� เสนอ
ความรู้ความเข้าใจของแต่ละคนให้เพื่อนในช้ันและการฝึกน�ำเสนอให้แก่นักเรียนช้ันอื่นๆ
เป็นช่วงเวลาท่ีนักเรียนแต่ละคนได้สอบทานความรู้ที่ได้รับมาว่าเหมือนหรือแตกต่างกัน
อย่างไร ข้อมูลบางส่วนของเพื่อนท�ำให้ต้องกับมาทบทวนความรู้ของตนเองหรือแสวงหา
ความรเู้ พม่ิ เตมิ สว่ นการน�ำเสนอก็เป็นโอกาสใหน้ ักเรยี นไดค้ ิดในการสื่อสาร การวิเคราะห์
กลุ่มเป้าหมายว่าจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับเมืองจันแสนด้วยรูปแบบหรือวิธีการจึงจะเหมาะสม

151

น้องในระดับช้ันเล็กอาจสนใจส่ือที่น่าต่ืนตาตื่นใจมากกว่าการบอกเล่าธรรมดาและข้อมูล
ก็ไม่จ�ำเป็นต้องละเอียดมากนัก เพราะน้องๆ มีช่วงความสนใจไม่นานนักและทักษะ
การใช้ภาษายังจ�ำกัด เม่ือแต่ลคน แต่ละกลุ่มน�ำเสนอแล้วก็มีการให้ข้อมูลป้อนกลับ
แก่กันและกัน เพ่ือให้พัฒนาทักษะการเล่าเรื่องหรือการส่ือสารข้อมูลให้มีประสิทธิภาพ
มากยิ่งขน้ึ

๔. การเตรยี มการเป็นยุวมัคคเุ ทศก์
ในขน้ั ตอนน้ี เปน็ ขน้ั ทนี่ กั เรยี นเตรยี มการเปน็ ยวุ มคั คเุ ทศก์ นอกจากขอ้ มลู

ความรูท้ ่ีได้ศกึ ษาอย่างแจ่มแจ้ง ทักษะการเป็นมคั เุ ทศกท์ ไี่ ด้ฝึกฝนมาดแี ลว้ ก็ยงั มีประเด็น
อื่นๆ ที่ต้องเตรียมการ ประกอบด้วยการวางแผนการท�ำงาน แม้ว่าจะใช้เวลาช่วงวันหยุด
เสารแ์ ละอาทติ ยห์ รอื ในชว่ งเวลาหลงั เลกิ เรยี นกต็ าม แตน่ กั เรยี นกต็ อ้ งมบี ทบาทและหนา้ ท่ี
ทตี่ อ้ งรบั ผดิ ชอบอยา่ งอนื่ ไดแ้ ก่ การทำ� การบา้ น การชว่ ยงานทบี่ า้ น ดงั นน้ั ทกั ษะการบรหิ าร
เวลาจึงเป็นเรื่องส�ำคัญ ส�ำหรับนักเรียนที่ไม่มีภารกิจมากจนเกิดไปและสมัครใจเป็น
ยวุ มคั คุเทศก์ ก็ต้องมีการจดั การเรื่องตารางเวลาใหไ้ ด้ รวมทง้ั ตอ้ งสอ่ื สาร ท�ำความเข้าใจ
กับผปู้ กครองของนักเรียนด้วย เร่ืองสขุ ภาพอนามัยกเ็ ป็นเรือ่ งส�ำคัญ เพอื่ ใหม้ คี วามพร้อม
อยูเ่ สมอ เรื่องอาหาร การพกั ผ่อนและการออกก�ำลังกายจึงเปน็ เรื่องสำ� คัญ

การเป็นมัคคุเทศก์นอกจากการนส่ือสารข้อมูลด้วนยการบอกเล่าแล้ว
นักเรียนคิดว่าข้อมูลหลายอย่างที่ได้ค้นคว้ามาก็น่าจะมีประโยชน์ส�ำหรับผู้เข้ามาเย่ียมชม
พิพิธภัณฑ์จันเสน จึงได้ร่วมกันจัดท�ำเอกสารคู่มือน�ำชมพิพิธภัณฑ์ขึ้น โดยให้ข้อมูล
ภาพรวมของพพิ ธิ ภัณฑ์ ขอ้ มลู เกีย่ วกับโบราณวตั ถุที่ส�ำคัญ และเรื่องราวทีเ่ ปน็ เอกลกั ษณ์
ของเมอื งจนั เสน

152

วันท่ี ๔ กรกฏาคม ๒๕๔๒ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ า เสดจ็ เปดิ พพิ ิธภณั ฑจ์ นั เสนอยา่ งเปน็
ทางการและทอดพระเนตรภายในพิพิธภัณฑ์อย่างทั่วถึง ยังความปลาบปลื้มมาสู่พสกนิกร
ชาวชมุ ชนจนั เสนอย่างยง่ิ

๕. การด�ำเนินการเปน็ ยุวมคั คเุ ทศก์
ช่วงเวลาของการปฏิบัติหน้าท่ียุวมัคคุเทศก์ มี ๒ ช่วง คือ ช่วงเวลาเย็น

หลังเลิกเรียนเป็นช่วงเวลาฝึกหัดการเป็นยุวมัคคุเทศก์ โดยมีคุณครูช่วยให้ค�ำแนะน�ำ
และดูแล ช่วงวันเสาร์และวันอาทิตย์เป็นช่วงเวลาของการปฏิบัติจริง ในการต้อนรับและ
ให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยวที่มาเยือนเมืองโบราณจันเสน นักเรียนได้เรียนรู้การบรรยาย
ใหค้ วามรเู้ ก่ยี วกับลักษณะ ความส�ำคญั ของพน้ื ท่ีเมืองจนั เสน การตง้ั ถ่ินฐานของคนในยุค
สมัยทวาราวดี ประวัตบิ คุ คลส�ำคัญ และสง่ิ ของของตา่ งๆ ทจี่ ัดแสดงในพิพิธภัณฑ์

153

แลกเปล่ียนมมุ มองสะทอ้ นคิด ปลุกจิตส�ำนึกรกั และภมู ิใจในทอ้ งถิ่น
นกั เรียน มปี ระสบการณ์ตรงจากการฝกึ ปฏบิ ัติจรงิ สามารถน�ำไปใช้ในชวี ิตจริง

ไดเ้ หน็ คณุ คา่ ของเวลา ตระหนกั ในการมีสว่ นร่วมในชุมชน ภาคภมู ใิ จ ท�ำประโยชนใ์ ห้แก่
ชมุ ชนได้

ครู นักเรียนท่ีเป็นยุวมัคคุเทศก์ จะเป็นผู้ท่ีมีด้านทักษะกระบวนการเรียนรู้
กลา้ แสดงออก มคี วามรบั ผดิ ชอบและทส่ี ำ� คญั เปน็ ผใู้ ฝร่ ู้ มจี ติ อาสาและพดู นำ� เสนอผลงานได้

ผู้ปกครอง สังเกตวา่ นกั เรยี นมีความรบั ผดิ ชอบมากขน้ึ พูดชัดเจน เด็กชอบเปน็
ยุวมัคคเุ ทศก์

ชุมชน จากการท่ียุวมัคคุเทศก์ เป็นผู้ บรรยายน�ำชม ท�ำให้พิพิธภัณฑ์จันเสน
เป็นท่ีรู้จักทั้งด้านแหล่งการเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวที่ส�ำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัด
นครสวรรค์ ยุวมัคคุเทศก์ ไดท้ �ำชือ่ สียงใหช้ มุ ชน โดยน�ำเสนอกระบวนการของการฝกึ เปน็
ยุวมคั คุเทศก์ใหก้ บั ชุมชนอืน่ ทเ่ี ชญิ มา

154

นักสืบนอ้ ย

ย้อนรอยประวัติศาสตร์หมู่บา้ น

โรงเรยี นวัดโคกเขมา : สำ� นกั งานเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษานครปฐม เขต ๒
ผูเ้ ขียน : คณุ ครูพมิ พ์นิภา ทรพั ย์โชคธนกุล

จุดเร่ิมต้นของนักสืบน้อยเกิดจากความสงสัยป้ายชื่อหมู่บ้าน ในแต่ละช่วงเวลา
ท่ีมีการเปล่ยี น แปลงผนู้ ำ� (ผูใ้ หญ่บา้ น) ท�ำไมเขียนช่อื หมูบ่ า้ นไมเ่ หมอื นกนั ช่อื ไหนถูกตอ้ ง
ใครเป็นคนต้ังชอ่ื ทำ� ไมจึงชอ่ื นี้ กลมุ่ นกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ ๖ จงึ ใชร้ ่วมกนั สบื คน้ หา
ข้อเท็จจริง เพื่อหาค�ำตอบ โดยคุณครูได้พิจารณาว่าในเร่ืองที่สงสัยน้ัน ตรงตามตัวช้ีวัด
ในสาระการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม สาระที่ ๔ ประวตั ศิ าสตร์ ชนั้ ประถม
ศึกษาปีที่ ระบุว่า “อธิบายความส�ำคัญของวิธีการทางประวัติศาสตร์ในการศึกษา
เรื่องราวทางประวัติศาสตร์” และ “น�ำเสนอข้อมูลจากหลักฐานท่ีหลากหลายในการท�ำ
ความเข้าใจเร่อื งราวในอดตี ”

เป้ : ครูครับเดี๋ยวนี้วัดเราดังแล้วนะครับ ต้ังแต่หลวงพ่อเป็น
อุปชั ฌาย์ มคี นมาหาทกุ วันเลย มคี นถามผมว่าชื่อวัดน้ีอา่ นว่า
อะไรกันแน่ บางคนเรียก วัดโคก - เข - มา บางคนเรียก
วดั โคก - ขะ - เหมา

155

แฟรง้ : ครูครับ บ้านผมอยู่หมู่ท่ี ๖ ชื่อบ้านโคกช้าง บางคนเรียก
คอกชา้ ง มันน่าสนใจนะครบั ท�ำไมถงึ ช่ือบา้ นโคกชา้ ง

เล็ก : บา้ นผมอยหู่ ม่ทู ี่ ๔ ผ้ใู หญ่ชบั เขยี น “บา้ นลาดสแก” แต่ผใู้ หญ่
เครอื เขยี น “บ้านลาดสะแก” ผมอยากรวู้ า่ ท�ำไมเขาจงึ เรยี กว่า
“บ้านลาดสะแก”

ประเด็นเกี่ยวกับ “ภูมินาม” หรือช่ือบ้านนามเมือง เป็นประเด็นท่ีนักเรียนให้
ความสนใจ เนื่องจากน่าจะมีที่ไปที่มาที่น่าสนใจ เหมือนท่ีนักเรียนแต่ละคนท่ีมีช่ือตัว
ชอ่ื สกุลและชอ่ื เล่น ก็มีทมี่ าที่ไป มีความหมายท่ีเปน็ เอกลกั ษณ์เฉพาะ หลายประเด็นกช็ วน
ให้คิดสงสยั คาดเดาและหาค�ำตอบ เช่น นักเรยี นทช่ี ่ือ “เลก็ ” กอ็ าจมาจากเปน็ นอ้ งเลก็ คน
สุดทอ้ งของบ้าน หรอื เพราะครอบครัวมีลกู หลายคน คนแรกไดช้ ื่อว่า “ต้น” คนทส่ี องชื่อ
“กลาง” จงึ ไดช้ อ่ื วา่ เลก็ ในฐานะทเี่ ปน็ ลกู คนทส่ี าม หรอื อาจเพราะวา่ พอคลอดมาตวั เลก็ มาก
จึงไดช้ อื่ ตามขนาดตวั เม่อื แรกคลอด

เมื่อประเด็นเปล่ียนมาเป็นช่ือหมู่บ้าน ชื่อวัด และช่ือสถานท่ีต่างๆ ก็เป็นเรื่อง
ชวนสนุกท่ีจะไปสืบค้นเร่ืองท่ีไกลจากเรื่องใกล้ตัวออกไปสู่ชื่อของหมู่บ้านนามเมืองที่ไกล
ตวั ออกไป และเป็นเรือ่ งท้าทายท่ีจะสืบคน้ หาขอ้ มูลมากข้ึน ครูใหน้ กั เรยี นทีม่ าจากหม่บู ้าน
ท่ีเป็นเขตบริการของโรงเรียน ได้เลือกประเด็นในการสืบค้นหาที่มาของช่ือหมู่บ้านและ
สถานทส่ี ำ� คญั ต่างๆ

ครู : ใหค้ ิดวา่ การหาข้อมลู เกีย่ วกบั ช่อื ของหมบู่ า้ นจะใชว้ ธิ ีการอะไร
บ้าง เพือ่ ใหไ้ ดข้ อ้ มูลมาตอบขอ้ สงสัยของพวกเรา

กอล์ฟ : ผมคิดว่าการสอบถามข้อมูลจากคนในหมู่บ้านน่าจะได้ข้อมูล
มากทสี่ ดุ เพราะถา้ จะหาหนงั สอื อา่ นกไ็ มน่ า่ จะมี ไมน่ า่ จะมใี คร
เขียนเอาไว้

ครู : แลว้ เธอจะไปถามเขาวา่ อยา่ งไร
กอ้ ย : หนยู งั คดิ ไมอ่ อกเลยคะ่ นา่ เสยี ดาย ยายทวดของหนพู ง่ึ เสยี ชวี ติ
ไปปีที่แล้วตอนอายุ ๙๑ ปี น่าจะมีเร่ืองราวดีๆ เยอะมาก
หนูเลยไม่รู้จะไปถามใคร แล้วก็รู้สึกไม่กล้าที่จะถามคนอ่ืน
ดว้ ยค่ะ
ครู : ตรงน้ีเป็นประเด็นท่ีดี เพราะก้อยคิดว่าคนที่มีอายุมากน่ามี
ข้อมูลที่น่าเช่ือถือกว่าใช่ไหม เอาล่ะ ลองคิดว่ามีใครอีกไหม
ท่จี ะพอให้ข้อมลู แบบคณุ ยายทวดได้อกี เรอื่ งไมม่ ั่นใจ ไม่กล้า
เรามาชว่ ยกนั วางแผนและซกั ซอ้ มการถามคำ� ถามไปกอ่ น เวลา
ถามจรงิ จะไดค้ ล่อง หรือจะไปกนั สัก ๒-๓ คน จะไดช้ ว่ ยกัน

156

ถาม เผื่อคนหนึ่งลืม อีกคนจะได้ช่วยเสริมกันได้ ช่วยกันคิด
ค�ำถามกันก่อนนะและอย่าลืมข้อมูลคนท่ีเราไปสัมภาษณ์ด้วย
วา่ ชอ่ื อะไร อายุเท่าไร เผอื่ ว่าอยากไดข้ อ้ มลู เพ่ิมอีก จะได้ถาม
ถกู คน

กอล์ฟ : ครูครับ ถ้าแต่ละคนได้คำ� ตอบมาไมเ่ หมอื นกนั ละครบั
ครู : ไม่เปน็ ไร แลว้ ค่อยมาคยุ กัน คอ่ ยนำ� ข้อมูลมาปะตดิ ปะตอ่ กนั
ดูว่าจะลงข้อสรปุ ว่าอยา่ งไรกันดี
สปั ดาหต์ อ่ มานกั เรยี นมคี ำ� ตอบของทม่ี าของชอ่ื ของหมบู่ า้ นและสถานทตี่ า่ งๆ ทไี่ ด้
บนั ทกึ ลงในกระดาษบนั ทกึ บางคนถามภาพผใู้ หส้ มั ภาษณม์ าดว้ ย บางคนมภี าพปา้ ยสถาน
ทีแ่ ละรายละประกอบ บางคนมเี อกสารที่อาจพอหาได้ ติดมือมาดว้ ย
ครู : หมู่บ้านเดียวกนั ได้คำ� ตอบเหมอื นกนั ไหม
นกั เรยี น : ไม่เหมือนกนั ครับ คุณครวู า่ ของใครถูกครับ
ครู : ยังลงข้อสรุปไม่ได้หรอก มาดูกันสิว่าไปสอบถามใครมาบ้าง
บคุ คลเหลา่ นน้ั ใหข้ ้อมลู ทนี่ า่ เชือ่ ถอื แคไ่ หน
นกั เรยี น : ผมถามพอ่ แม่ครบั ผมถามยาย ถามตา ถามปู่
ครู : แต่ละคนก็อาจมีประสบการณ์ต่างกัน บางคนอยู่ที่นี่นานแล้ว
แต่บางคนก็เพิ่งยา้ ยมาจากท่อี ่ืน ซึ่งเขาอาจได้ยินได้ฟงั มาอีกที
นกั เรียน : นัน่ นะสิ แลว้ ทำ� อย่างไรเราถงึ จะรู้ค�ำตอบท่ถี กู ต้องล่ะคะ
ครู : นกั เรียนว่า นอกจากคนในครอบครวั เราแล้ว ใครนา่ จะให้คำ�
ตอบเราได้มากกว่าน้ี
นักเรียน : คนแกๆ่ ครับ คนท่ีอายุมากๆ
ครู : กอล์ฟได้ค�ำตอบแล้วหรือยังท่ีครูให้ถามอายุคนที่ให้ข้อมูล
มาดว้ ยนะ่ แลว้ กอลฟ์ ถามครวู ่ามันเกี่ยวอะไรดว้ ย นักเรยี นไป
สบื คน้ มาใหมไ่ ดไ้ หม ทน่ี กั เรยี นไปสอบถามมาน่ี ไมใ่ ชไ่ มถ่ กู นะ
แต่ครูต้องการให้ไปหาข้อมูลมาเพิ่ม เพ่ือให้เกิดความแน่ใจ
หมบู่ ้านเดียวกนั ช่วยกันคดิ ตกลงกนั ให้ดี ว่าจะไปพบใครทจ่ี ะ
ให้คำ� ตอบได้ นดั กนั ไปด้วยกนั ถ่ายรปู มาดว้ ย และอยา่ ลืม
เรอ่ื งมารยาทต่างๆ
สปั ดาห์ต่อมานกั เรยี นแตล่ ะคนไดข้ ้อมลู ต่าง ๆ ทนี่ ่าสนใจ ดงั น้ี
คณุ ยายตอ่ ม สุขาบรู ณ์ อายุ ๘๓ ปีเกดิ ทบ่ี ้านลาดสะแก เลา่ ว่า พ่อแมข่ องคณุ ยาย
ตอ่ ม ตอนทม่ี าตงั้ หมบู่ า้ น บรเิ วณนมี้ ตี น้ สะแกจำ� นวนมาก ประกอบกบั พน้ื ทท่ี ำ� นาเปน็ ทเ่ี อยี ง
และลาดเท จึงเรียกรวมกนั วา่ บา้ นลาดสะแก

157

158

นายธวัชชัย เนียมพูนทอง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ท่ี ๔ บ้านลาดสะแก เล่าว่าบริเวณน้ี
เคยเปน็ ปา่ ทต่ี น้ สะแกขนึ้ เปน็ จำ� นวนมาก ตอ่ มาปา่ ถกู ทำ� ลายเปน็ ทอี่ ยู่ และมตี ดั ถนนผา่ น ปา่
สะแกกห็ มดไป บา้ นลาดสะแก สภาพพน้ื ทล่ี าดเอยี งไปทางทศิ ใตเ้ ขาเลยเรยี กบา้ นลาดสะแก

หลวงตาบัว เกตกุ งิ่ แกว้ พระวัดโคกเขมา อายุ ๘๘ ปี หมู่ท่ี ๕ บา้ นโคกเขมาบวช
เป็นพระมาเกอื บ ๕๐ พรรษา บอกวา่ ได้ยินได้ฟงั มาจากหลวงพอ่ คนเกา่ วา่ เขากเ็ รียกกนั
อยา่ งนม้ี าแต่ไหนแต่ไร ซ่ึงก็ไมเ่ คยสงสัยอะไร

คุณยายสวิง นาคจนิ วงศ์ อายุ ๘๐ปี อยู่บ้านโคกเขมาเลา่ วา่ สมัยที่ท่านเป็นเด็ก
ปที ีเ่ กดิ นำ้� ทว่ มใหญ่ประมาณ พ.ศ. ๒๔๘๓ ทนี่ ี่น้�ำทว่ มไม่ถงึ เพราะเป็นที่สูงเปน็ โคกใหญ่
มีพมุ่ ไมข้ นาดกลาง เยอะมากมีผลเป็นพวงๆ กินไดแ้ ต่รสเปร้ียวมาก คนแถบน้นั เรียกต้น
ข้าวเม่า ต่อมานา่ จะเกดิ การออกเสียงเพย้ี นไป กร่อนส�ำเนยี งเปน็ “โคก-ขะ-เหมา”

คณุ ตาไร เขม็ ทอง อายุ ๘๓ ปี เป็นคนโคกช้าง โดยก�ำเนดิ เล่าว่าท่ีแถบนแ้ี ตก่ ่อน
เปน็ ปา่ เปน็ โคกสงู

เป็นที่พักช้างท่ีลากซุงมาลงแม่น�้ำทางท่ีช้างเดินเป็นล่องลึกเป็นล�ำคลอง ปัจจุบัน
ยังมีต้นซุงใหญ่ฝังอยู่ในคลองเอาข้ึนมาไม่ได้ ทางการเขาจะยึดเอาไป เขาเรียกกันว่าบ้าน
“คอกชา้ ง” บา้ ง “โคกช้าง” บ้าง มาแตไ่ หนแต่ไรนั้นตาไม่รู้ แตแ่ ถวนีป้ ยู่ า่ ตาทวดเคยพดู วา่
มาตา่ งอพยพจากเวยี งจันทน์

นายเทียน ญาติบรรทงุ อายุ ๘๐ ปี อตีตข้าราชการครู เเกดิ และเตบิ โตทคี่ อกชา้ ง
นเ้ี ลา่ วา่ สมยั ทย่ี งั เปน็ เดก็ เคยวง่ิ เลน่ บนทอ่ นซงุ ตอ่ มาเขาเอาไปถวายวดั ทงุ่ นอ้ ย แปรรปู สรา้ ง
ศาลาวดั ข้างหมู่บ้านเป็นป่าชา้ ปา่ ไผ่ใหญ่ และรกทึบ เขาวา่ เป็นทเ่ี ล้ียงช้าง ปจั จบุ ันพืน้ ทีด่ งั
กลา่ วเป็นท่ตี ง้ั โรงเรยี น

ครู : เป็นอย่างไรบ้าง งานส�ำเร็จไหม ได้อะไรมาบ้าง เอามาดกู นั ซิ
นกั เรียน : ครูครบั หมูท่ ี่ ๖ ผมยงั ไมร่ ้เู ลยวา่ ชือ่ บา้ นโคกชา้ ง หรอื “บ้าน
คอกช้าง” กันแน่ แตท่ ี่หนา้ หมูบ่ า้ นเขยี นว่า “บา้ นคอกช้าง”
: หมู่ท่ี ๔ ก็เหมือนกันบางคนเรียกบ้าน “สาดสะแก” บางคน
เรยี กบา้ น “ลาดตะแก” ทสี่ ำ� คญั นะครบั สมยั ผใู้ หญค่ นเกา่ เขยี น
ชื่อ “หมูบ่ ้านลาสแก” แต่ปจั จบุ ันเขยี น “บา้ นลาดสะแก”
ครู : แล้วหมทู่ ี่ ๕ บ้านโคกเขมาล่ะมีปญั หาอะไรไหม
นักเรียน : ไม่มีครับ ผมเชื่อว่ามาจากต้นข้าวเม่าน่ันแหละครับแล้ว
กรอ่ นเสียงเหลือแต่ โคก-ขะ–เหมา

159

จุดส�ำคัญของการเรียนรู้ช่ือบ้านนามเมืองท่ีครูตั้งเป้าหมายไว้ ประการแรกคือ
ให้นักเรียนฝึกการสืบค้นความรู้ด้วยวิธีการง่ายๆ คือ “การสัมภาษณ์” เป็นการศึกษา
ประวตั ศิ าสตรบ์ อกเลา่ อยา่ งงา่ ย ใหเ้ ขา้ ใจวา่ ขอ้ มลู หลายอยา่ งอยใู่ นความทรงจำ� ของผคู้ น ไม่
ไดอ้ ยใู่ นเอกสารหรือตำ� ราเทา่ นัน้

นอกจากน้ีการสรุปผลการเรียนรู้ จากขอ้ มลู ท่กี ระจัดกระจาย เพ่อื ใชเ้ ป็นขอ้ สรปุ
เบื้องต้นส�ำหรับการคน้ คว้าและสืบค้นตอ่ ไป นกั เรยี นไดข้ ้อสรปุ ดังนี้

๑. การตงั้ ชอ่ื หมบู่ า้ นของชมุ ชนในแถบภาคกลาง มกั ใชช้ อื่ ลกั ษณะของภมู ปิ ระเทศ
ของหม่บู ้าน ไดแ้ ก่ ทงุ่ หว้ ย โคก ลาด สระ แล้วตามด้วยเอกลกั ษณเ์ ฉพาะไดแ้ ก่ พันธ์ุไมท้ ่ี
ขนึ้ บรเิ วณนน้ั ไดแ้ ก่ ตน้ สะแก ตน้ ขา้ วเมา่ หรอื เปน็ สตั วท์ เี่ คยอยหู่ รอื รอ่ งรอยตา่ งๆ เชน่ ชา้ ง
เป็นตน้

๒. สาเหตุทมี่ ีการเรยี กช่ือแตกตา่ งกัน เนือ่ งจากแต่เดมิ เปน็ บอกเลา่ ตอ่ กันมา ยงั
ไมม่ กี ารเขียนเปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษรอย่างเปน็ ระบบ ท�ำใหเ้ กดิ การเพยี้ น หรอื กร่อนคำ� ไป
ตามการรบั รขู้ องผู้คนในช่วงเวลานั้นๆ

๓. การเปลยี่ นแปลงของสภาพสงั คม และภมู ศิ าสตร์ ทำ� ใหส้ งิ่ ทเ่ี คยปรากฏในอดตี
เปลยี่ นแปลงไปดว้ ย นกั เรยี นพบวา่ ตน้ ไมห้ รอื สตั วท์ เี่ คยปรากฏในชอ่ื หมบู่ า้ นลดนอ้ ยลงหรอื
สูญหายไปหมดแล้ว

๔. ในอดีตเคยมเี หตุการณข์ องการอพยพของผคู้ นเขา้ มาอย่ใู นพ้นื ท่ีแถบนี้ ได้แก่
ชาวลาวจากเวียงจนั ทน์ ชาวเขมร ขอ้ มลู นท้ี �ำให้นักเรียนบางคนต้งั ข้อสงั เกตวา่ ช่อื ของบา้ น
โคกเขมา ที่อ่านว่า “ขะ-เหมา” จะมาจากภาษาเขมรทแ่ี ปลวา่ “สีด�ำ” หรอื ทีภ่ าษาไทยยมื มา
ใชเ้ รยี กส่ิงทเ่ี ปน็ สีดำ� วา่ “เขม่า” เช่น เขมา่ ควนั เปน็ ประเด็นที่จดุ ประกายใหน้ ักเรียนอยาก
ไปสบื คน้ ตอ่ ไปอกี

ประการต่อมาคือ เรื่อง กระบวนการสบื ค้น ซง่ึ นกั เรียนไดเ้ รยี นร้หู ลายประการที่
สามารถน�ำไปปรบั ใชใ้ นการเรียนรเู้ รอ่ื งอื่นๆ ได้ ดงั น้ี

๑. ผคู้ นทจ่ี ะไปถามนน้ั เปน็ เรอ่ื งสำ� คญั เรอื่ งราวในอดตี กต็ อ้ งไปถามผทู้ ม่ี อี ายมุ าก
แล้ว และอยปู่ ระจำ� ท่ี ไมไ่ ดย้ า้ ยมาจากทอ่ี น่ื

๒. ขอ้ มูลจำ� นวนมากจ�ำเป็นตอ้ งมกี ารบันทึกสิ่งทไ่ี ดย้ นิ ได้ฟังเก็บไว้ เพราะอาศยั
เพยี งการจดจำ� ในสมองกไ็ ม่เพยี งพอและมขี อ้ จ�ำกัด อาจลมื ไดง้ า่ ย

๓. การสัมภาษณ์ ต้องเข้าใจว่าบางทีผ้ใู ห้ข้อมลู ก็อาจมที ักษะการเล่าเรอ่ื งไม่ดนี กั
ผสู้ มั ภาษณจ์ ำ� เปน็ ตอ้ งซกั ถามตอ่ ดว้ ยชดุ คำ� ถามตา่ งๆ เพอื่ ใหไ้ ดข้ อ้ มลู ทกี่ ระจา่ งชดั เพยี งพอ
ส�ำหรบั การตีความและหาค�ำตอบเบอ้ื งต้นได้

160

๔. เป็นเรื่องธรรมดาท่บี างทอี าจไม่ได้ขอ้ มลู อะไรมาเลย หรือมีขอ้ มูลทข่ี ดั แย้งไม่
เปน็ ไปในทศิ ทางเดยี วกนั กท็ ำ� ใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจไดว้ า่ แตล่ ะคนกม็ ปี ระสบกาณท์ แี่ ตกตา่ งกนั
บางคนทสี่ นใจกอ็ าจใหค้ �ำตอบได้ บางคนอยา่ ง “หลวงตา” ซงึ่ เร่อื งทม่ี าของชอ่ื หม่บู า้ นกลบั
ไม่ใช่ส่ิงที่อยู่ความสนใจของท่าน นักเรียนเลยไม่ได้ค�ำตอบอะไรมาเลย ล้วนแต่เป็น
ประสบการณ์ส�ำคญั ของการสืบคน้ ขอ้ มูลแบบนกั ประวัตศิ าสตรน์ อ้ ยๆ

ครู : จากการท�ำงานนี้นกั เรียนได้อะไร รสู้ กึ อยา่ งไรบ้างกับงานนี้
นกั เรยี น : สนกุ ครบั ไดไ้ ปคยุ กบั คนแก่ ไดฟ้ งั เรอ่ื งสนกุ ๆ ทไี่ มเ่ คยรมู้ ากอ่ น
: ครคู รบั ผมไมเ่ คยคดิ วา่ มนั เปน็ เรอ่ื งสำ� คญั อะไรเลย เขากเ็ รยี ก
กันแบบนี้ มาแต่ไหนแต่ไรผมก็เรียกตามไม่เคยคิดอะไรเลย
พอได้ไปสอบถามผู้เฒ่าผู้แก่ ท�ำให้เราได้รู้อะไรเพิ่มขึ้นอีกว่า
บรรพบรุ ษุ ของผมเขาอพยพมาจากเวยี งจนั ทน์ ใกลๆ้ หมบู่ า้ น
ผมเขาอพยพมาจากเขมร
: ผมว่าผมไดฟ้ งั เร่ืองท่ไี ม่เคยรู้มาก่อน ท่ผี ใู้ หญ่เลา่ ใหฟ้ งั สมัย
กอ่ นแห้งแล้ง ลำ� บากมแี ตป่ า่ ผมยงั นึกภาพไม่ออกเลย ทำ� ไร่
ทำ� นาก็ไมไ่ ด้ สมยั เมอ่ื มรี ถแทรกเตอร์ ป่าหายหมดเลย
ครู : ผู้ปกครองของเธอวา่ อย่างไรบ้าง
นกั เรียน : แมบ่ อกวา่ ย่งุ ยาก จะอยากรู้ไปทำ� ไม
ยายบอกวา่ ถ้าพวกเอ็งไมม่ าถามข้ากล็ ืมไปแลว้ ละ่
: พอ่ บอกวา่ คนสมยั กอ่ นเขาฉลาดตง้ั ชอื่ เขาเอาชอ่ื ตน้ ไม้ ลำ� คลอง
: หรือลักษณะพ้ืนบ้านที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครมาต้ังชื่อ
ใหจ้ �ำง่าย เช่น บา้ นสระน้�ำหวาน บา้ นคลองตอ้ น ทุ่งแหลมบวั
ฯลฯ เปน็ คำ� ไทยๆ ง่ายๆ


161

162

ยอ้ นรอยอดีต

“ศาลากลางหลงั เก่า...มรดกเมืองนนท์”

สำ� นกั งานเขตพืน้ ท่กี ารศกึ ษาประถมศึกษานนทบรุ ี เขต ๑
ผเู้ ขยี น : นางเบญจา ชวนวัน

การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการศึกษาแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์
วัตถุประสงค์เพ่ือใหผ้ ูเ้ รยี นได้เรยี นร้ปู ระวัตศิ าสตร์จากสถานที่จรงิ ซ่งึ เป็นหลักฐานช้ันตน้
ใชเ้ วลาในการเรยี นรู้ ๒ วัน ประกอบด้วยการเตรียมการก่อนการเดินทาง ๑ วัน และการ
ออกไปเรยี นรู้ ณ ศาลากลางเกา่ นนทบุรี อีก ๑ วัน

วันแรก เร่ิมต้นด้วยการ จุดประกายใฝ่รู้ สู่ประเด็นค�ำถาม ครูทักทายสวัสดี
ชวนนักเรียนกล่าว ค�ำขวัญจังหวัดนนทบุรี “พระต�ำหนักสง่างาม ลือนามสวนสมเด็จ
เกาะเกร็ด แหลง่ ดนิ เผา วดั เก่างามระบือ เล่อื งลอื ทุเรยี นนนท์ งามน่ายลศูนย์ราชการ”
จากคำ� ขวญั จงั หวดั นนทบรุ ที ำ� ใหน้ กั เรยี นเกดิ ความรสู้ กึ ภาคภมู ใิ จในจงั หวดั นนทบรุ ขี องเรา
นักเรยี นหลายคนพูดวา่ คุณครูคะ่ คุณครูครบั อยากไปดู ไปเหน็ สถานทีส่ �ำคัญของจังหวัด
บ้าง บางอย่างเคยผ่าน เคยไดย้ นิ ไดฟ้ ัง แตย่ งั ไมเ่ คยเหน็ ของจรงิ เลย นักเรียนต่างก็เสนอ
สถานท่ีตา่ งๆ ไดแ้ ก่ เกาะเกรด็ วดั ชมภูเวท วดั เฉลมิ พระเกยี รติ วัดบางไกรใน พิพธิ ภัณฑ์
ศาลากลางจงั หวดั หลังเก่า เปน็ ตน้

ดังนั้นเราจะไปศึกษาแหล่งเรยี นรู้ทางประวัติศาสตรก์ ัน นักเรยี นก็ช่วยกันเลอื ก
วา่ อยากจะเรียนรเู้ ร่อื งราวประวัติของสถานทใ่ี ด เปน็ ท่ตี กลงว่าสว่ นใหญ่เลอื กทีอ่ ยากจะรู้

163

164

เรื่องประวัติความเป็นมาของศาลากลางหลังเก่าของจังหวัดนนทบุรีท่ีมีสถาปัตถกรรม
สวยงาม นักเรยี นก็ช่วยกนั ตั้งชอ่ื เรือ่ ง เพือ่ จะออกไปศึกษาแหล่งเรยี นรู้ ว่า ย้อนรอยอดตี
“ศาลากลางหลงั เกา่ ...มรดกเมอื งนนท”์ จากจดุ ประกายใฝร่ ู้ กน็ ำ� สปู่ ระเดน็ คำ� ถาม (ซง่ึ เปน็
ขนั้ ก�ำหนดหวั ขอ้ ) โดยใหน้ ักเรียนชว่ ยกนั คิดตงั้ ประเด็นค�ำถามอยากรู้เร่ืองอะไรบ้างเก่ยี ว
กับศาลากลางจงั หวดั หลงั เก่า ประเดน็ ค�ำถามทไี่ ด้ คือ ศาลากลางจงั หวดั หลังเก่าสรา้ งขึ้น
ตง้ั แตเ่ มอ่ื ใด สรา้ งขน้ึ ในสมยั ใด สรา้ งขน้ึ เพอ่ื อะไร ลกั ษณะของอาคารเปน็ อยา่ งไร มขี นาด
เท่าไร เป็นศาลากลางจังหวัดนนทบรุ ีตงั้ แตเ่ ม่ือใด มอี ายกุ ่ปี ี ความส�ำคัญตั้งแต่อดีตจนถึง
ปจั จบุ นั

จากนน้ั กใ็ หน้ กั เรยี นแบง่ กลมุ่ ๆ ละ ๕- ๘ คน ตามความสมคั รใจ ครชู แ้ี จงขน้ั ตอน
การสบื คน้ ขอ้ มลู ตามวิธกี ารทางประวตั ิศาสตร์ ขอ้ ตกลงรว่ มกนั ให้นักเรยี นทราบ วิธกี าร
ออกไปศึกษาแหล่งเรยี นรู้ ในการท�ำงานร่วมกนั แต่ละกลมุ่ กจ็ ะต้งั ประธาน เลขากล่มุ
และรว่ มกนั การวางแผน การแบง่ ภารกจิ หนา้ ทก่ี นั ทำ� ผบู้ นั ทกึ ขอ้ มลู การสบื คน้ ขอ้ มลู การ
บนั ทกึ ภาพ การนดั หมาย การเตรยี มตวั สว่ นครกู ต็ อ้ งมกี ารวางแผนในการพาเดก็ นกั เรยี น
ออกไปศึกษาแหลง่ เรยี นรู้ เร่ิมก�ำหนดเสน้ ทางที่จะไป การนดั หมาย การตดิ ต่อสถานท่ีที่
จะไป ชว่ งสุดท้ายของวนั แรกครนู ัดหมายเด็กนักเรียนอกี ครั้งก่อนท่ีจะให้นกั เรียนกลบั ไป
เตรยี มตัวที่จะออกเดินทางในวันต่อไป

วันทีส่ อง ตามไปดู สถานทีจ่ ริง (ขน้ั รวบรวมขอ้ มูล) เวลา ๐๗.๓๐ น. ตามเวลา
นดั หมาย ออกเดนิ ทางจากโรงเรยี นไปยงั แหลง่ เรยี นรู้ ถงึ ศาลากลางหลงั เกา่ จงั หวดั นนทบรุ ี
เวลา ๐๘.๓๐ น.

พอลงจากรถกม็ วี ิทยากรเจา้ หน้าท่ี ใหก้ ารต้อนรับ และพาน�ำชมพร้อมให้ความรู้
เกี่ยวกับประวัติความเป็นมา บรรยากาศ นักเรียนมีความตื่นตา ช่ืนชมในความงาม
ของสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้น ความเก่าแกข่ องอาคาร เด็กนกั เรียนมีความสงสัย จึงถามว่า
นา่ จะมอี ายุ ถงึ ๑๐๐ ปี วทิ ยากรกต็ อบวา่ ถกู ตอ้ งอาคารหลงั นสี้ รา้ งขน้ึ มาตง้ั แตส่ มยั พระบาท
สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลท่ี ๖ นับจนถึงปัจจุบัน เม่ือชมจนครบหมดแล้ว
ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มสืบค้น รวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม จากหลักฐานช้ันต้น ช้ันรอง
แหลง่ ขอ้ มลู ทนี่ กั เรยี นจะไปสบื คน้ ได้ ไดแ้ ก่ หอ้ งสมดุ ประชาชน เอกสารหนงั สอื พพิ ธิ ภณั ฑ์
บคุ คล

ก�ำหนดเวลา ๑๑.๓๐ น. กลับมาพบกันท่ีจุดเดิม ก่อนแยกย้ายกันไปหาสืบค้น
รวบรวมข้อมลู ตามประเด็นค�ำถามท่ีตั้งไว้ในวนั แรก

กลมุ่ แรกกม็ งุ่ ไปทว่ี ทิ ยากรบคุ คล ถามวา่ ศาลากลางหลงั นสี้ รา้ งขนึ้ เมอื่ ใด ในสมยั ใด
ทำ� ไมถงึ สรา้ งขน้ึ ผจู้ ดบนั ทกึ ขอ้ มลู ลงในสมดุ บนั ทกึ

165

กลุ่มที่สอง ไปที่ห้องสมุดประชาชนท่ีอยู่ใกล้ๆ ค้นคว้าจากเอกสารหนังสือที่
เกย่ี วขอ้ ง แล้วจดบนั ทกึ ลงในสมุดบนั ทกึ

กลุ่มท่ีสามไปที่พิพิธภัณฑ์จังหวัดนนทบุรี เด็กนักเรียนมีความสนใจพยายามหา
ขอ้ มูลเพอ่ื ตอบประเด็นคำ� ถามท่ตี ัง้ ไวใ้ หไ้ ด้มากทีส่ ดุ ทั้งบนั ทึกจดลงสมดุ บันทกึ ภาพ พอ
ถงึ เวลานัดหมายทุกกลมุ่ กก็ ลบั มาพบกันตามจดุ นดั หมาย เพอื่ กลบั ไปทานขา้ วกลางวนั ท่ี
โรงเรยี น

ชว่ งบา่ ยของวนั ทส่ี องหลงั จากทานขา้ วกลางวนั เรยี บรอ้ ยแลว้ แตล่ ะกลมุ่ นำ� ขอ้ มลู
ทไี่ ดร้ วบรวมมา วเิ คราะหป์ ระเมนิ คา่ รใู้ หเ้ ปรอ่ื ง สมาชกิ แตล่ ะกลมุ่ ทำ� การวพิ ากษ์ วเิ คราะห์
ข้อมลู ความรู้ ท่ีไดจ้ ากแหลง่ ขอ้ มูลหลกั ฐานต่างๆ จัดกระท�ำข้อมูล เปน็ หมวดหมู่ ลำ� ดับ
ความน่าเชอ่ื ในกรณที ื่นกั เรยี นมปี ญั หา เชน่

นกั เรยี น : คณุ ครูขา คุณลงุ สมคิดเลา่ ใหห้ นฟู ังว่าศาลากลางหลังเกา่ สรา้ งเมอ่ื ใด
ใครเปน็ ผสู้ ร้างนน่ั ไมต่ รงกับแผน่ พับทีห่ นูได้จากเจ้าหน้าที่เลยค่ะ หนจู ะเชื่อใครดคี ะ่

ครู : หนตู อ้ งไปสืบค้นเพิม่ เติมจากหลกั ฐานชน้ั ต้นดูสิค่ะ เช่นจดหมายเหตุรายวัน
หรือบันทึกเหตกุ ารณส์ ร้างอาคารศาลากลางหลงั เกา่ น้ี ซ่ึงเอกสารเหลา่ นี้อาจไปสบื คน้ ไดท้ ่ี
หอสมุดประชาชน หรือหอจดหมายเหตุ

ในขน้ั ตอนน้ี ครจู ะตอ้ งเขา้ ไปชว่ ยใหค้ ำ� แนะนำ� แกน่ กั เรยี น เกย่ี วกบั ความนา่ เชอ่ื ถอื
ของข้อมูล

หลังจากท่ีนักเรียนล�ำดับความส�ำคัญของข้อมูลแล้ว ก็เป็นขั้นประเทืองปัญญา
(ตีความและสังเคราะห์ ) สมาชิกกลุ่ม ชว่ ยกนั ตคี วามข้อมูลท่ไี ดม้ า นกั เรียน : คณุ ครขู า
หนูไปสืบค้นเพิ่มเติมจากจดหมายเหตุรายวันหรือบันทึกเหตุการณ์สร้างอาคารศาลากลาง
หลังเก่านี้ มาแลว้ ค่ะ ศาลากลางสรา้ งเม่ือ พ.ศ. ๒๔๕๔ สมัยรชั กาลท่ี ๖ คะ่

ครู : แลว้ หนูเชือ่ ขอ้ มลู จากไหนละคะ่
นกั เรียน : หนเู ช่ือขอ้ มลู จากแผน่ พับของเจ้าหน้าทค่ี ะ

166

ครู : เพราะอะไรค่ะ
นกั เรยี น : ขอ้ มลู จากแผน่ พบั สอดคลอ้ งกบั ขอ้ มลู ในจดหมายเหตรุ ายวนั หรอื บนั ทกึ
เหตกุ ารณ์สรา้ งอาคารศาลากลางหลังเก่าน้ี
ครู : เกง่ มากคะ่ เพราะจดหมายเหตุ เปน็ เอกสารช้นั ต้นทางประวตั ศิ าสตร์ ทนี่ ่า
เช่ือถอื เพราะเขียนหรอื บันทึกขน้ึ ในขณะที่เกดิ เหตุการณ์นน้ั ๆ
เมอื่ นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ ตคี วามสงั เคราะหข์ อ้ มลู เรยี บรอ้ ยแลว้ บางกลมุ่ พรอ้ มลงมอื
ชว่ ยกันออกแบบ การน�ำเสนอข้อมูลท่ีได้

จากแหลง่ ขอ้ มลู ตา่ งๆ ของกลมุ่ มคี วามสอดคลอ้ งหรอื ขดั แยง้ กนั อยา่ งไร จะเลอื ก
ใชข้ อ้ มลู จากแหลง่ ใด เพราะอะไร หรือหากไม่เลอื กข้อมลู น้ัน เพราะอะไร ครตู อ้ งเข้าไป
ช่วยใหค้ �ำแนะน�ำแกน่ ักเรียน

นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันสรุปข้อมูล ที่ตีความสังเคราะห์แล้ว ถือว่าข้อมูลที่ได้
เปน็ คณุ คา่ ทางประวตั ศิ าสตร์ ( ขนั้ นำ� เสนอผลงาน) แตล่ ะกลมุ่ ชว่ ยกนั ออกแบบการนำ� เสนอ
ผลงานที่หลากหลาย เช่น ผังความคิด (Maind Mapping) การใช้โปรแกรมการน�ำเสนอ
(PowerPoint) หนังสอื เลม่ เลก็ เปน็ ตน้ ข้อมลู ท่ไี ดถ้ ือเปน็ องค์ความรทู้ ่ีนกั เรียนหาค�ำตอบ
ดว้ ยตนเองและเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง

167

สะทอ้ นคิดของเกยี่ วกบั การศึกษาประวตั ิศาสตรจ์ ากแหล่งเรยี นรู้
สะทอ้ นคดิ จากนกั เรยี น : สนุกมาก ตนื่ เต้น เพลินเพลดิ หนูชอบมาก ไดไ้ ป

ดูสถานทจี่ ริง ทำ� ให้ได้รปู้ ระวัติความเป็นมาของศาลากลางหลงั เกา่ จงั หวดั นนทบุรี เดิมเป็น
อาคารของโรงเรียนราชวทิ ยาลัยตอ่ มา ก็เป็นทีท่ �ำการศาลากลางจงั หวดั นนทบรุ ี เม่อื พ.ศ.
๒๔๗๑ มีพระยาศริ ชิ ัยบรุ นิ ทร์ (เปย่ี ม หงสเดช) เป็นผวู้ า่ ราชการจงั หวดั คนแรก ท�ำให้จำ�
ไดแ้ มน่ มาก รสู้ กึ รกั ในโบราณสถาน โบราณวตั ถขุ องจงั หวดั เรามาก ซงึ่ อยากจะเรยี นรแู้ บบ
นีอ้ ีก มีความรู้สกึ รักและภาคภมู ใิ จ หวงแหนชาตขิ องเรามากค่ะ

สะทอ้ นคิดจากคร:ู เปน็ การจัดการเรยี นร้ทู ดี่ ีมาก เปน็ การเปลยี่ นบรรยากาศ
การเรยี นรจู้ ากหอ้ งเรยี น เปน็ นอกหอ้ งเรยี น เปน็ การเรยี นทส่ี ง่ เสรมิ ศกั ยภาพของนกั เรยี น
อย่างแทจ้ ริง สามารถแสวงหาความรใู้ นประวตั ิศาสตรท์ อ้ งถ่ินของตนเอง ผเู้ รยี นสามารถ
สรุปองค์ความร้ไู ด้ โดยการใชว้ ิธีการทางประวัติศาสตร์ ผูเ้ รยี นเกิดทักษะ ความสามารถ
น�ำเสนอผลงานได้ โดยใช้เทคนิคการน�ำเสนอทที่ นั สมัยใชเ้ ทคโนโลยี

สะท้อนคิดผู้ปกครอง : เป็นการสอนท่ีดีนะ ไม่ค่อยเคยเห็น เด็กๆ มาเล่าว่า
สนกุ มาก ชอบไปเรยี นแบบนี้ มีความกระตือรอื ร้นในการเตรยี มตัวที่บ้าน เป็นการฝึกให้
มคี วามรับผิดชอบ ความตรงตอ่ เวลา

ขอ้ เสนอแนะ
๑. การจัดกจิ กรรมการเรยี นรคู้ วรมคี วามสอดคลอ้ งกับมาตรฐานและตวั ช้ีวัด
ส ๔.๑ เขา้ ใจความหมาย ความสำ� คญั ของเวลา และยคุ สมยั ทางประวตั ศิ าสตร์

สามารถใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์มาวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ อย่างเป็นระบบ (ป.๖/๑
ป.๖/๒)

ส ๔.๓ เข้าใจความเป็นมาของชาติ วฒั นธรรม ภมู ปิ ญั ญาไทย มีความรกั
ความภูมิใจ และธำ� รงความเปน็ ไทย (ป.๖/๑ ป.๖/๓)

168

๒. ครูต้องเป็นคนทต่ี ัง้ ใจจรงิ อดทนและจรงิ จังกบั สงิ่ ที่ท�ำ และควรระมดั ระวงั
เรื่องความปลอดภยั ของเดก็ เปน็ อนั ดับหน่ึง

๓. บทบาทของครแู ละนักเรียน

บทบาทของครู บทบาทของนักเรยี น

๑. ตดิ ตอ่ หรอื ประสานงานกบั สถานท่ี / แหลง่ เรยี นรู้ ๑. เข้าร่วมประชุมนัดหมายกับครู นักเรียนแบ่ง
และบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยหนังสือราชการ หรือ กลมุ่ ๆ ละ ๕-๑๐ คน รว่ มกนั วางแผนการเรียนรู้
โทรศพั ท์ หรือไปพบด้วยตนเอง พาหนะส�ำหรับ และมอบหมายภารกจิ ใหแ้ กส่ มาชกิ
เดนิ ทาง อาหารว่าง อาหารกลางวนั น�้ำด่มื แหลง่
เรยี นรู้

๒. ส�ำรวจแหล่งเรียนรู้ ณ สถานท่ีจริง เพ่ือจัด ๒. เตรียมเรื่องส่วนตัวในการไปศกึ ษาแหล่งเรียน
เตรยี มสถานท่ี หรอื จดุ หรอื แหลง่ สำ� หรบั การเรยี น รู้ เชน่ กระเป๋าสะพาย สมุดบันทกึ ปากกา ดินสอ
รขู้ องนกั เรียน หมวก/ร่ม กล้องถา่ ยรูป

๓. พบกับผู้รู้ /วิทยากร เพื่อชี้แจงลักษณะ ๓. มาให้ตรงเวลาตามท่ีนัดหมาย ปฏิบัติตาม

การจัดการเรียนรู้ และหนา้ ทข่ี องวิทยากร ขอ้ ตกลงอยา่ งเครง่ ครดั

๔. ประชุมชี้แจงกับทีมงานเพ่ือช้ีแจงข้ันตอน ๔. ศึกษาแหล่งเรียนรู้ ณ สถานท่กี ำ� หนด ดว้ ยวิธี
การศกึ ษานอกสถานทแี่ ละหนา้ ทที่ ไ่ี ดร้ บั มอบหมาย การทางประวัติศาสตร์ และจดบันทึกข้อมูลท่ีได้
ประชุมนักเรียน เพ่ือรับทราบข้ันตอนการศึกษา ตามประเดน็ ศึกษาลงในสมดุ บนั ทกึ ทีค่ รแู จกให้
แหล่งเรียนรู้ ข้อตกลงร่วมกัน นัดหมายเวลา
ภาระงาน/ชิ้นงาน เกณฑก์ ารวัดและประเมนิ ผล

๕.พานักเรยี นศกึ ษาแหล่งเรียนรู้ และคอยอ�ำนวย ๕. นำ� เสนอผลงานดว้ ยวิธีการทางเทคโนโลยีหรือ
ความสะดวกใหน้ ักเรยี น บรรลุการเรียนรตู้ ามจดุ ผังความคิด

ประสงค์การเรียนรู้ และปฏิบัติภาระงานได้ตามท่ี
ก�ำหนดไว้


ขน้ั สรปุ ผล

๑. สมาชิกกลมุ่ ร่วมกันสรุปข้อคน้ พบ หรือความจริงในเรื่องท่ที �ำการศกึ ษา ลง
ในสมดุ บนั ทึก

๒. ครู นักเรียน สะท้อนความคิดของตนเองเป็นรายบุคคลเกี่ยวกับการศึกษา
ประวัตศิ าสตร์จากแหลง่ เรียนรู้ และน�ำเสนอในกลุ่มใหญ่

169

ส่ือและแหลง่ เรียนรู้
สมุดบันทึก ประเด็นการศกึ ษา แหล่งเรียนรู้ ศาลากลางหลงั เกา่ จังหวัดนนทบรุ ี

การวัดและประเมินผล
ผลงาน ประเมินดว้ ยเกณฑค์ ุณภาพรูบคิ
กระบวนการกลมุ่ ประเมนิ ดว้ ยแบบสงั เกตพฤติกรรม

กลุม่ เปา้ หมาย นกั เรยี นช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี ๖
เอกสารอ้างอิง/แหลง่ เรยี นรู้เพิ่มเติม

ศาลากลางหลงั เกา่ นนทบรุ ี หอ้ งสมดุ ประชาชนจงั หวดั นนทบรุ ี พพิ ธิ ภณั ฑส์ ถาน
แหง่ ชาตนิ นทบรุ ี หนงั สอื นนทบรุ ที อ้ งถนิ่ ของเรา หนงั สอื จงั หวดั นนทบรุ ี หนงั สอื นนทบรุ ี
ศรีสยาม

170

ศาลากลางจงั หวัดนนทบรุ ี (หลังเก่า)

ตั้งอยู่ท่ีฝั่งซ้ายของแม่น้�ำเจ้าพระยาด้านใต้ของปากคลองบางซื่อ เดิมเป็นอาคาร
ของโรงเรียนราชวิทยาลัย เป็นโรงเรียนประเภทอยู่ประจ�ำ ลักษณะอาคารจึงมีหลายหลัง
ตดิ ตอ่ กันเกือบจะเป็นวงกลม มหี อประชมุ เปน็ ตึกสองชัน้ สีขาวอยทู่ า้ ยสดุ สร้างมาตงั้ แตป่ ี
พุทธศักราช ๒๔๕๔ ในรชั สมัยของพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจ้าอยูห่ วั รชั กาลที่ ๖
โรงเรียนราชวิทยาลัยเป็นโรงเรียนที่ตั้งข้ึนแบบมีนักเรียนประจ�ำลักษณะคล้ายคลึงกับ
โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ท่ีพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ทรง
สถาปนาข้ึนและในรัชกาลปัจจุบันก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนลักษณะ
เดียวกันน้ี คอื โรงเรยี น ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ท่ีจงั หวัดนครปฐม โรงเรียนราชวทิ ยาลัยเดิม
ตั้งอยู่ท่ีกรุงเทพฯ สาเหตุที่ย้ายมาอยู่จังหวัดนนทบุรีเพราะกระทรวงยุติธรรม ในสมัยน้ัน
ยังขาดผพู้ พิ ากษาทีม่ คี วามรู้ภาษาองั กฤษ จึงได้สร้างโรงเรียนเตรียมเพือ่ เปน็ นกั กฎหมาย
ให้เรียนภาษาองั กฤษไวก้ อ่ น ซ่งึ จะต้องศึกษาจากต�ำราภาษาฝรง่ั เป็นส่วนใหญ่

171

โรงเรยี นราชวทิ ยาลยั เปดิ สอนตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๕๔ ถึง พ.ศ. ๒๔๖๙ จึงไดโ้ อนไป
รวมกับโรงเรียนวชิราวุธที่กรุงเทพฯ เน่ืองจากในระยะน้ันเศรษฐกิจตกต่�ำ จึงต้องยุบ
โรงเรียนราชวิทยาลัยลงแล้วมอบอาคารเรียนให้เป็นท่ีท�ำการศาลากลางจังหวัดนนทบุรี
เมอื่ พ.ศ. ๒๔๗๑ มพี ระยาศริ ชิ ยั บรุ นิ ทร์ (เปย่ี ม หงสเดช) เปน็ ผวู้ า่ ราชการคนแรก ลกั ษณะ
อาคารเป็นลักษณะส่ีเหล่ียมผืนผ้ามีสนามอยู่ตรงกลาง มีขนาดกว้าง ๑๑.๕๕ เมตร
ยาว ๒๘๗.๔ เมตรเนื้อที่ทั้งหมดของตัวอาคาร ๒ ไร่ ๒ งาน ๕๑ ตารางวา ตัวอาคาร
เป็นตึกพ้ืนไม้สักทาสีไข่ไก่ ประตูหน้าต่างทาสีเขียวใบไม้ หลังคามุงด้วยกระเบ้ืองลูกฟูก
ประดับด้วยงานไม้ลายวิจิตรท่ีท�ำจากไม้สักท้ังหลัง มีร้ัวเหล็กล้อมรอบตัวอาคาร ๓ ด้าน
ดา้ นหนา้ เปน็ สถานทพ่ี กั ผอ่ น ชมบรรยากาศรมิ แมน่ ำ�้ เจา้ พระยา สว่ นดา้ นหลงั ตดิ กบั โรงเรยี น
อนบุ าลนนทบรุ แี ละหอประชมุ จังหวดั นนทบุรี เนอ่ื งจากอาคารศาลากลาง จังหวัดนนทบรุ ี
หลังนี้ มลี ักษณะการสรา้ งแบบพิเศษฝีมืองานไมป้ ระณตี มาก กรมศิลปากรจงึ ไดข้ นึ้ บัญชี
เป็นโบราณสถานแหง่ หนง่ึ ตามประกาศลงวันที่ ๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๒๔ ตอ่ มาใช้
เป็นพิพิธภัณฑ์จังหวัดนนทบุรี โดยมีการปรับปรุงอาคารเรือนไม้ด้านหน้าทั้งช้ันหนึ่งและ
ช้ันสองจัดท�ำเป็นห้องจัดแสดงนิทรรศการถาวร พ้ืนท่ีประมาณ ๒๐๐ ตารางเมตร เพ่ือ
น�ำเสนอวิถชี ีวิตความเปน็ อยแู่ ละวฒั นธรรมความเป็นคนจงั หวัดนนทบรุ ีที่มีประวัติศาสตร์
อันยาวนานตง้ั แตส่ มยั สุโขทยั อยธุ ยา จนถงึ ปจั จบุ นั

172

ค่ายประวตั ศิ าสตร์

อารยธรรมหา้ พนั ปี เรยี นรวู้ ิถบี ้านเชยี ง

นายอนุพงษ์ ชุมแวงวาปี นายชลิต จันทะศรี นายคฑาวธุ ไชยสทิ ธ์ิ
นางสาวสทุ ินา ขนิ านา และอาจารยส์ นิท มหาโยธี
โรงเรยี นอุดรพัฒนาการ : ส�ำนกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศกึ ษามัธยศกึ ษา เขต ๒๐

ขอ้ มลู พนื้ ฐานของจงั หวดั อดุ รธานี มกี ลมุ่ ชาตพิ นั ธท์ุ หี่ ลากหลาย รวมทง้ั เปน็ พน้ื ท่ี
แหล่งมรดกโลกบ้านเชียง ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ส�ำคัญมาก ทั้งมีรายละเอียดท่ีควรเรียนรู้
มากมาย คุณครูได้พิจารณาเห็นว่านักเรียนส่วนใหญ่ได้ไปทัศนศึกษาในแหล่งเรียนรู้น้ี
บา้ งแลว้ คณุ ครไู ดต้ ระหนกั วา่ สำ� หรบั นกั เรยี นในระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย (ม. ๔- ๕)
มปี ระสบการณท์ ไ่ี ดเ้ รยี นเกย่ี วกบั เนอ่ื งหาสาระและฝกึ วธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตรม์ าพอสมควร
แล้ว จึงควรมีช่วงเวลาท่ีได้ประมวลความรู้ท่ีได้เรียนมา ได้ท�ำงานท่ีท้าทายความสามารถ
มากขน้ึ คณะครจู งึ เหน็ รว่ มกนั วา่ ควรจดั การเรยี นรใู้ นลกั ษณะของ “คา่ ย” โดยมรี ายละเอยี ด
การดำ� เนินการ ดังน้ี
วัตถปุ ระสงค์

๑. เพื่อให้นักเรียนสร้างองค์ความรู้ใหม่ทางประวัติศาสตร์โดยใช้วิธีการทาง
ประวตั ศิ าสตร์อย่างเปน็ ระบบ

173

๒. เพ่ือสร้างจิตส�ำนึก ความรัก ความภาคถูมิใจและธ�ำรงความเป็นท้องถ่ินและ
ความเปน็ ไทย

มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐานการเรียนรู้ท่ี ส ๔.๑ เข้าใจความหมาย ความสำ� คัญของเวลาและยุค

สมัยทางประวัติศาสตร์ สามารถใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์มาวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ
อยา่ งเป็นระบบ

มาตรฐานการเรียนรู้ ที่ ส ๔.๓ เข้าใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรม
ภูมปิ ัญญาไทย มคี วามรกั ความภาคภมู ใิ จและธ�ำรงความเปน็ ไทย

ขน้ั ตอนการจัดกิจกรรม
๑. การเตรยี มค่ายประวัติศาสตร์
ผจู้ ดั กจิ กรรมคา่ ยประวตั ศิ าสตร์ ตอ้ งเตรยี มความพรอ้ มและสำ� รวจพนื้ ทป่ี ระสาน

งานกับองค์กรและผู้นำ� ในท้องถิ่น ปราชญ์ทอ้ งถ่ินท่ีเป็นวิทยากรในแตล่ ะกจิ กรรมของค่าย
ประวัติศาสตร์ พร้อมทั้งเตรียมคู่มือค่ายประวัติศาสตร์ และเตรียมวิทยากรค่าย
ประวัตศิ าสตรใ์ นทกุ กิจกรรม

๒. การดำ� เนนิ กจิ กรรมคา่ ยประวัตศิ าสตร์
ด�ำเนินกิจกรรมค่ายประวัติศาสตร์ จ�ำนวน ๘ กิจกรรมตามขั้นตอนวิธีการทาง
ประวตั ศิ าสตร์
๓. การสรปุ บทเรยี น
เม่ือด�ำเนินกิจกรรมค่ายประวัติศาสตร์เสร็จแล้ว ท�ำการสรุปผลการด�ำเนินการท่ี
สะทอ้ นความคิดจากนักเรียนทเ่ี ข้าร่วมกิจกรรม และชมุ ชนทอ้ งถิ่น

ข้นั ตอนการจดั กิจกรรมค่ายประวัตศิ าสตร์
๑. เปิดประตู สู่การเรียนรู้
เรมิ่ ตน้ ดว้ ยกจิ กรรมกลมุ่ สมั พนั ธ์ กจิ กรรมละลายพฤตกิ รรม เพอื่ การเตรยี มความ

พรอ้ มในการเรยี นรดู้ ว้ ยกจิ กรรมคา่ ย แลว้ เตมิ ตอ่ ดว้ ยกจิ กรรมการกระตนุ้ การเรยี นรเู้ กย่ี ว
กบั ข้อมลู ทางประวัตศิ าสตร์ในทกุ ดา้ น เช่น ด้านประวัติความเปน็ มา วรรณกรรม ปราชญ์
ชาวบ้าน ความเชื่อ ประเพณี วัฒนธรรม ชาติพันธุ์ บุคคลส�ำคัญในท้องถ่ินและศิลป
หัตถกรรมพื้นฐาน

174

วธิ กี ารทางประวัตศิ าสตร์กับค่ายประวตั ศิ าสตร์ รายละเอยี ดกจิ กรรม
เทคนคิ / วธิ กี าร
วธิ ีการทางประวตั ศิ าสตร์ กจิ กรรมค่ายประวัตศิ าสตร์
ขัน้ ท่ี ๑ กาํ หนดหัวขอ้ ประเดน็ กิจกรรมท่ี ๑ เปิดประตสู ูก่ ารเรียนรู้ กิจกรรมท่ี ๑ เปิดประตสู ู่กาเรียนรู้
กิจกรรมที่ ๒ มุง่ สวู่ ธิ ีการทางประวัตศิ าสตร์ กิจกรรมการกระต้นุ การเรียนรู้เกี่ยวกับขอ้ มลู ทางประวตั ศิ าสตร์ในทุกด้าน
กจิ กรรมท่ี ๓ ฉลาดเลอื กคาํ ถามตามประเด็น
กจิ กรรมท่ี ๒ มงุ่ สู่วิธีการทางประวตั ิศาสตร์
ข้นั ท่ี ๒ รวบรวมข้อมลู กจิ กรรมที่ ๔ เป็นอยู่กนิ นอนตะลอนเกบ็ ขอ้ มูล กจิ กรรมการเรียนรวู้ ธิ กี ารทางประวัติศาสตรแ์ ละหลักฐานทางประวตั ิศาสตร์
ขน้ั ที่ ๓ วเิ คราะห์ประเมนิ คา่ กจิ กรรมท่ี ๕ รวมศูนยก์ ิจกรรมนาํ ประเมนิ ค่า
กิจกรรมที่ ๓ ฉลาดเลอื กคาํ ถามตามประเดน็
ข้ันท่ี ๔ ตคี วาม/ สังเคราะห์ กิจกรรมท่ี ๖ นําหลักฐานมาตคี วามวเิ คราะหผ์ ล รว่ มกนั กําหนดขอบขา่ ยเนื้อหาว่าต้องการศึกษาเรื่องใด โดยการให้นกั เรียน
ขน้ั ที่ ๕ นําเสนอผลงาน กิจกรรมท่ี ๗ ระดมบม่ เพาะความสามารถใหผ้ ลิบาน
เดาคําตอบหรือกําหนดแนวทางท่ีคาดว่าจะเปน็ ไปได้เก่ยี วกบั คาํ ตอบปัญหา
กจิ กรรมท่ี ๘ ลกู หลานจดจาํ ชุมชนภาคภมู ใิ จ กจิ กรรมที่ ๔ เป็นอยกู่ ินนอนตะลอนเก็บข้อมลู

รวบรวมขอ้ มลู ต่างๆ ท่เี ก่ียวข้อง จากหลกั ฐานชัน้ ต้นและหลกั ฐานชน้ั รอง โดย
ผา่ นวถิ กี ารดําเนนิ ชีวิตของคนในชมุ ชน
กิจกรรมที่ ๕ รวมศนู ยก์ จิ กรรมนําประเมนิ ค่า

พจิ ารณาหลกั ฐานต่างๆ มคี วามสาํ คญั มากน้อยเพียงใด โดยการวิเคราะห์และ
ประเมนิ คุณคา่ ภายนอก การวิเคราะหแ์ ละประเมินคา่ ภายใน
กจิ กรรมท่ี ๖ นําหลักฐานมาตีความวิเคราะห์ผล

เลอื ก จัดระเบยี บ เรียบเรยี งขอ้ มูลท่ีผา่ นการประเมนิ คา่ โดยนํามาพจิ ารณา
อธบิ าย วพิ ากษ์ วิจารณ์ และแสดงความคิดเห็นประกอบกันแล้วจงึ ดําเนินการ
ผสมผสานและสงั เคราะห์เข้าดว้ ยกนั
กิจกรรมท่ี ๗ ระดมบ่มเพาะความสามารถให้ผลิบาน

เรียบเรียงขอ้ มูลจากข้นั การนาํ หลกั ฐานมา ตีความวเิ คราะหผ์ ล เตรียมความ
พร้อมในการนําเสนอ
กจิ กรรมท่ี ๘ ลกู หลานจดจําชุมชนภาคภมู ใิ จ

ร่วมกนั แลกเปลี่ยนเรยี นรแู้ ละถอดบทเรยี นกับทางชมุ ชน

175

๒. มุง่ สวู่ ธิ ีการทางประวัติศาสตร์
กจิ กรรมการเรยี นรวู้ ธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตรแ์ ละหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ เกดิ
กระบวนการเรยี นรู้ มากกว่าความรู้
๓. ฉลาดเลอื กคำ� ถามตามประเดน็
กิจกรรมการร่วมกันก�ำหนดขอบข่ายเน้ือหาว่าต้องการศึกษาเร่ืองใด โดยการ
ก�ำหนดให้นักเรียนเดาค�ำตอบหรือก�ำหนดแนวทางที่คาดว่าจะเป็นไปได้เกี่ยวกับค�ำตอบ
ปัญหา เรยี นรู้ ในส่งิ ทอ่ี ยากรู้
๔. เป็นอยู่ กนิ นอน ตะลอนเก็บข้อมลู
กจิ กรรมการรวบรวมขอ้ มลู ตา่ งๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งเพอื่ ใชใ้ นการแกป้ ญั หาจากหลกั ฐาน
ชนั้ ตน้ และหลกั ฐานชนั้ รอง โดยผา่ นวถิ กี ารดำ� เนนิ ชวี ติ ของคนในชมุ ชน พธิ กี รรมทางศาสนา
และประเพณศี ลิ ปวัฒนธรรมทอ้ งถิ่น ครแู ละนักเรียน เรยี นรูไ้ ปด้วยกัน

176

๕. รวมศูนย์กจิ กรรม น�ำประเมนิ ค่า
กจิ กรรมการพจิ ารณาหลกั ฐานตา่ งๆ มคี วามสำ� คญั มากนอ้ ยเพยี งใด โดยการวเิ คราะห์
และประเมนิ คณุ คา่ ภายนอกและการวเิ คราะหแ์ ละประเมนิ คา่ ภายใน ทำ� งานรว่ มกบั ครู
๖. น�ำหลักฐานมา ตคี วามวเิ คราะหผ์ ล
กิจกรรมการเลือก จัดระเบียบ เรียบเรียงข้อมูลที่ผ่านการประเมินค่ามาแล้วนั้น
โดยนำ� มาพจิ ารณาอธบิ าย วพิ ากษ์ วจิ ารณ์ และแสดงความคดิ เหน็ ประกอบกนั แลว้ จงึ ดำ� เนนิ
การผสมผสานและสงั เคราะหเ์ ขา้ ดว้ ยกนั ท�ำงานในบริบททห่ี ลากหลาย เพื่อการสร้างสรรค์
สังคม
๗. ระดมบม่ เพาะความสามารถ ใหผ้ ลิบาน
กจิ กรรมการเรยี บเรยี งขอ้ มลู จากขนั้ การนำ� หลกั ฐานมา ตคี วามวเิ คราะหผ์ ล เตรยี ม
ความพร้อมในการน�ำเสนอ เช่น วดี ทิ ศั น์ การจดั นทิ รรศการ การเขียนรายงาน การทำ� ป้าย
นิเทศ หนงั สั้น เปน็ ตน้ ใชส้ ่ือสร้างสรรค์ทันการณ์
๘. ลกู หลานจดจ�ำ ชุมชนภาคภูมิใจ
กิจกรรมการเขียนข้อสังเคราะห์ท่ีนักเรียนได้ศึกษา ค้นคว้า มาโดยไม่มีความ
ล�ำเอียงหรือบิดเบียนข้อเท็จจริง ต่อชุมชนท้องถ่ิน ร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้และถอดบท
เรยี น แลกเปล่ยี น ปรับเปล่ยี น มุมมอง สะทอ้ นความคิด ปลุกจิตส�ำนึก

177

สอื่ และแหล่งเรียนรู้
๑. พพิ ิธภณั ฑสถานแห่งชาตบิ า้ นเชียง
๒. หลุมขุดค้นวัดโพธศ์ิ รีใน
๓. เฮอื นไทพวน
๔. บ้าน วดั โรงเรียน ชมุ ชนต�ำบลบ้านเชยี ง

การวดั และประเมินผล
๑. ช้นิ งาน/ภาระงาน
๒. การถอดบทเรยี น

178

ระยะเวลา
ระยะเวลาในการจดั คา่ ยประวตั ศิ าสตร์ ใชเ้ วลาทง้ั สิ้น ๓ วัน ๒ คนื

กลุม่ เปา้ หมาย
นักเรียนระดับมัธยมศึกษา โดยสามารถประยุกต์ใช้ในระดับประถมศึกษาตาม

ความเหมาะสม
รอ่ งรอย/หลักฐานกจิ กรรม

๑. ภาพถา่ ย/หนงั สอื เล่มเลก็
๒. ผงั กราฟฟิค
๓. รายงานเชงิ วชิ าการ
๔. หนงั สั้น
๕. การจดั นิทรรศการ
ถอดบทเรยี นสะท้อนคดิ จากนกั เรียน

179

ถถออดดบบททเรเยีรนยี สนะสทะ้อทน้อคนิดคจิดาจกาชกุมชชุมนชน

“...ดีใจครับท่ีได้เลือกบ้านเชียงเป็นค่ายประวัติศาสตร์อารยธรรม ๕,๐๐๐ ปี
เห็นความตั้งใจของนักเรียนและขอชื่นชม บ้านเชียงเป็นแหล่งมรดกโลก จึง
จําเป็นจะต้องอนุรักษ์วิถีชีวิตของตนแบบเก่าเอาไว้ ซ่ึงมีปราชญ์ชาวบ้านจะ
คอยให้ความรู้แก่คณะนักเรยี นเสมอ...”

นายกเทศมนตรตี ําบลบา้ นเชียง

“...ขอแสดงความชื่นชม ที่สร้างเยาวชนให้เป็นนักคิด ซ่ึงเป็นการปลูก 26 ก.ค. 55
จิตสํานึกให้เยาวชน การทําค่ายประวัติศาสตร์เพื่อตามรอยสืบค้น
ครบกระบวนการ เป็นการเรียนรู้ที่มุ่งให้เด็กได้สร้างองค์ความรู้ ที่ครบ
สมบูรณ์ เดก็ สามารถคดิ เป็น ทาํ เปน็ แก้ปัญหาเป็น ทาํ ใหเ้ กดิ การเรียนรู้
ทมี่ ีความหมายและย่ังยืน...”

ประธานสภาวัฒนธรรมตําบลบ้านเชยี ง

180

ไมเ่ ห็นจะยาก

หากเด็กจะทำ� หนงั ประวตั ศิ าสตร์

โรงเรียนรตั นราษฎร์บ�ำรุง : ส�ำนกั งานเขตพืน้ ท่กี ารศึกษามัธยมศึกษา เขต ๘
ผู้เขียน : คณุ ครูวรรษิดา พิทกั ษ์พเิ ศษ

โปสเตอร์ขา้ งตน้ เปน็ ฝมี อื ของทัดเทพ แซล่ ี้ หนึง่ ในแกง๊ เดก็ ทำ� หนงั ทีจ่ ัดทำ� ขึ้นดว้ ย
ความภาคภูมิใจในผลงานการสร้างหนังสารคดีประวัติศาสตร์เพื่อประกอบการเรียนใน
รายวชิ าประวัตศิ าสตร์ชมุ ชนท่สี อนโดยครูวรรษดิ า พทิ กั ษพ์ ิเศษ ภายหลังทีค่ ุณครูได้สรา้ ง
แรงจงู ใจในการเรียนโดยใหน้ ักเรียนท�ำภาพยนตรส์ ารคดสี ่งเป็นชน้ิ งาน แทนการสอนด้วย
การบอกความรู้ หรือการท�ำรายงานส่งครู และท�ำให้ผลงานชิ้นหน่ึงของเด็กกลุ่มน้ีได้รับ
รางวัลชนะเลิศระดับประเทศในการประกวดภาพยนตร์สารคดีเทิดพระเกียรติพระบาท
สมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ของกระทรวงวัฒนธรรม ภายใต้ช่อื เร่ือง “พระบารมีปกเกล้าฯ ชาว
บา้ นโปง่ ” และรางวลั อนื่ ๆ อีกหลายรายการ เม่ือรายการขา่ ว ๓ มติ ิมาถา่ ยทำ� การเรยี นรู้
ของพวกเขาเพอ่ื ถา่ ยทอดใหผ้ คู้ นรบั รคู้ วามนา่ สนใจของการเรยี นประวตั ศิ าสตรด์ ว้ ยการให้
นกั เรยี นสรา้ งเปน็ ภาพยนตร์ เมอ่ื ขา่ วไดน้ ำ� เสนอ พวกเขากลายเปน็ คนดงั ชวั่ ขา้ มคนื นกั เรยี น
และครูท้ังโรงเรียนต่างสนใจการเรียนรู้ของพวกเขา นักเรียนคนอื่นๆ ต้องการเรียน
ประวัติศาสตร์ด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์และน�ำข้อมูลมาน�ำเสนอเป็นภาพยนตร์บ้าง
พลังของหนังประวัติศาสตร์มีมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ ท้ังท่ีก่อนหน้านี้ นักเรียนท่ีมาเรียน
ล้วนเปน็ เดก็ เกรด D ของโปรแกรมสงั คม ใครๆ กร็ ะอา ไม่อยากสอนให้เปน็ ภาระ เมอ่ื ฉนั

181

ต้องมาสอนพวกเขา ก็เครียดอยเู่ หมอื นกัน แตฉ่ ันเชื่อวา่ มนษุ ยท์ กุ คนทีเ่ กดิ มาในโลกนไี้ ม่มี
คนโง่ แตพ่ วกเขาไมส่ นใจเรียนอาจจะเปน็ เพราะวิธเี รยี นไมน่ า่ สนใจ หรอื เบื่อการเรยี นกับ
ครทู องใบ (ใบงาน ใบความร)ู้ ทค่ี รชู อบใชก้ ไ็ ด้ พฤตกิ รรมของเดก็ วยั รนุ่ อยใู่ นวยั ทชี่ อบการ
แสดงออก มพี ละกำ� ลงั มากมาย และอยากทำ� กจิ กรรมทผ่ี ใู้ หญท่ ำ� กนั ใหพ้ วกเขาลองทำ� หนงั
นา่ จะดี ฉันจึงวางแผนดังนี้

๑. เปดิ หวั ใจใหค้ รรู ู้ ครสู นทนากบั นกั เรยี นเกยี่ วกบั วธิ กี ารเรยี นทน่ี กั เรยี นๆ แลว้
มคี วามสขุ

๒. มุง่ สูว่ ิธเี รยี น ครแู ละนกั เรียนก�ำหนดวธิ ีเรยี นเปน็ ตัวต้งั เพ่อื สร้างแรงจูงใจใน
การเรยี น

๓. เปล่ยี นช้นิ งานใหเ้ คลือ่ นไหว นกั เรียนน�ำเสนอชนิ้ งานดว้ ยภาพยนตรส์ ารคดี
ประวตั ศิ าสตร์

๔. ห่วงใยเออื้ อาทร เน้นการเรียนรู้ทดี่ ูแลเอาใจใส่ ชว่ ยเหลือ แกป้ ญั หาเพอ่ื ให้
นักเรียนประสบผลสำ� เรจ็ ในการเรียนดว้ ยการท�ำภาพยนตร์สารคดี

การวางแผนรว่ มกนั ในการเรยี นทำ� ใหน้ กั เรยี นในชน้ั เรยี นเรม่ิ มที ที า่ กระตอื รอื รน้
ในการเรียน ทัดเทพ หนุ่มนอ้ ยหนา้ ต๋ี พูดน้อย ท่าทางข้ีอาย เปดิ เผยความในใจของเขาว่า
“…ในความคิดของผม การสร้างหนังสักเรื่องนับว่าเป็นเร่ืองท่ียากย่ิง แต่ถ้าท�ำได้สักเรื่อง
คงเปน็ ความสุขไปทง้ั ชีวติ มันเป็นความฝันของผม…” เพือ่ นๆ ของเขาอกี หลายคนต่างรุม
ต้ังค�ำถามจนตอบไม่ทนั เชน่ แล้วเราจะเริ่มต้นอยา่ งไรกันครบั แล้วหนูจะท�ำไดม้ ้ยั หนคู ดิ
วา่ เสียงหนูพอจะเปน็ นักพากยไ์ ดค้ ่ะ หนูจะตัดตอ่ ภาพยนตรไ์ ดอ้ ย่างไร เราจะเอาเครอ่ื งมือ
ทไ่ี หน หนูไม่มกี ล้องวดี ีโอและ…. ฯลฯ ฉนั คิดในใจว่าครูก็ไมร่ ูเ้ หมือนกนั วา่ จะนกั เรียนได้
มากนอ้ ยแคไ่ หนแตค่ รสู ัญญาว่าจะจัดการให้ไดท้ ุกเรอ่ื ง

การเรยี นด้วยการท�ำหนังเรม่ิ ต้นด้วยการใหน้ กั เรียนก�ำหนดประเดน็ ที่สนใจ โดย
นักเรียนท่ีสนใจเรื่องเดียวกันร่วมกันอภิปราย น�ำเสนอข้อมูลเบ้ืองต้นเกี่ยวกับเร่ืองน้ันๆ
เมอ่ื ตกลงกนั ได้นกั เรยี นตอ้ งช่วยกันตง้ั ค�ำถาม

ภาพ การศกึ ษาจากเอกสารช้นั รองเพื่อหาความรู้เบอ้ื งต้น
182

ผเู้ ขยี นขอยกตวั อยา่ งการตง้ั คำ� ถามเพอ่ื การทำ� ภาพยนตรส์ ารคดเี รอื่ ง “พระบารมี
ปกเกล้าฯ ชาวบ้านโป่ง” ของนักเรียนกลุ่มหน่ึง ค�ำถามท่ีนักเรียนสนทนาและต้องการค�ำ
ตอบคือ นักเรียนเคยได้ยินมาว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่เสด็จพระราชด�ำเนินมาเยี่ยม
ราษฎรเม่ือเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้บ้านโป่ง จึงอยากสืบค้นว่ามใี ครอยู่รว่ มเหตุการณืในครงั้
นน้ั บา้ ง มภี าพภา่ ย หรอื เอกสารอะไรบา้ ง จะหาไดท้ ไี่ หน โดยวางแผนเกบ็ ขอ้ มลู ดว้ ยแผนผงั
KWL คือ อะไรท่รี ้แู ลว้ (K-Know) อะไรที่ตอ้ งการรเู้ พ่ิมเติม (W-Want to know) และสง่ิ ท่ี
ไดเ้ รียนรู้ (L-learned)

ภาพ นกั เรยี นรวบรวมขอ้ มลู ชั้นต้นจากหนังสือพมิ พ์เมือ่ พ.ศ. ๒๔๙๗

แหล่งข้อมูลท่ีนักเรียนใช้ในการศึกษาเร่ืองนี้ เร่ิมต้นด้วยการศึกษาภาพยนตร์
สารคดีของรุ่นพ่ีเรื่อง “โลภล้างเมือง” ที่กล่าวถึงเร่ืองการเสด็จพระราชด�ำเนินมาเยี่ยม
ราษฎรเมอ่ื เกดิ เหตกุ ารณไ์ ฟไหมบ้ า้ นโปง่ เมอ่ื ไดข้ อ้ มลู เบอื้ งตน้ นกั เรยี นไดส้ บื คน้ ขอ้ มลู จาก
หนงั สอื พมิ พท์ ร่ี ายงานขา่ วเหตกุ ารณไ์ ฟไหมบ้ า้ นโปง่ เมอื่ พ.ศ. ๒๔๙๗ หาหลกั ฐานภาพถา่ ย
จากร้านถ่ายรูปท่ีบันทึกภาพการเสด็จพระราชด�ำเนินมาเยี่ยมราษฎร สอบถามผู้รู้ที่มี
ประสบการณ์การเฝ้ารับเสด็จและบุคคลที่ได้รับเงินพระราชทานจากพระบาทสมเด็จ
พระเจา้ อยหู่ วั นำ� ขอ้ มลู มาตรวจสอบความถกู ตอ้ งโดยการเปรยี บเทยี บกบั หลกั ฐานทห่ี ามาได้

ในการท�ำงานนักเรียนจะแบง่ หนา้ ทว่ี ่าใครถนัดในการทำ� หนา้ ท่ีใด คอื ทุกคนช่วย
กันการเก็บข้อมูล รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล วิพากษ์หลักฐาน โดยมีผู้ท�ำหน้าที่
สงั เคราะห์ข้อมลู ท่ีผา่ นการวพิ ากษห์ ลักฐานแลว้ ๒ คน เขียนสคริป (บทภาพยนตร์) ๑ คน
เมอ่ื ออกภาคสนามทกุ คนตอ้ งชว่ ยกนั ในทกุ เรอื่ ง แตบ่ ทบาทสำ� คญั จะอยทู่ คี่ นเขยี นบทจะทำ�
หนา้ ทเ่ี ปน็ ผ้กู �ำกบั มคี นถา่ ยวีดีโอ ถ่ายภาพนงิ่ และจะท�ำหนา้ ท่ตี ดั ตอ่ ด้วย สมาชิกกลมุ่ อาจ
มากกว่าน้ีได้แตต่ อ้ งไมน่ ้อยกวา่ ๕ คน

ครูตั้งค�ำถามว่านักเรียนจะเตรียมตัวอย่างไรก่อนการไปเก็บข้อมูลภาคสนาม
ขอ้ สรุปที่ได้ คอื ใช้วธิ ีศกึ ษาเอกสารชน้ั ตน้ จากศนู ยข์ ้อมลู ท่ีห้องบ้านโปง่ ศกึ ษาของโรงเรยี น

183

การสัมภาษณ์บุคคลร่วมสมัยจ�ำนวน ๒ คน เตรียมอุปกรณ์ที่ใช้ในการบันทึกข้อมูล
จากหนังสือพิมพ์ด้วยกล้องบันทึกภาพน่ิง เทปบันทึกสียง สมุดบันทึกช่วยจ�ำและ
กลอ้ งวีดีโอ ก�ำหนดวนั เวลา การนดั หมายกับกลมุ่ เปา้ หมาย เม่อื ทุกอยา่ งพร้อม การท�ำงาน
ก็เริม่ ข้นึ ได้ทนั ที

ถ่ายทำ� บทสมั ภาษณค์ ุณวิรตั น์ จารพุ ูนผล

ในการออกภาคสนามครจู ะอยเู่ คยี งคกู่ บั นกั เรยี นเพอ่ื ใหค้ วามชว่ ยเหลอื ถา้ นกั เรยี น
มีปญั หาติดขดั ในการทำ� งาน เวลาทีใ่ ชใ้ นการออกภาคสนามเพอ่ื สัมภาษณแ์ ละถา่ ยทำ� จะใช้
ตอนเย็นและและวันหยุด ส่วนเวลาในช่ัวโมงเรียนเป็นเวลาของการน�ำเสนอผลการศึกษา
ความก้าวหน้าในการเรียน การอภิปรายแสดงความคิดเห็นของนักเรียนในช้ัน เม่ือตัดต่อ
ภาพยนตร์เรียบร้อยแล้ว เพื่อนนักเรียนและสมาชิกท่ีเก่ียวข้อง ซึ่งรวมถึงผู้ท่ีให้ข้อมูลใน
การทำ� สารคดรี ว่ มกนั วจิ ารณภ์ าพยนตรเ์ พอ่ื การปรบั ปรงุ แกไ้ ขใหม้ คี วามสมบรู ณม์ ากทส่ี ดุ
เม่อื ปรบั ปรุงเรียบร้อยแลว้ ผู้ทม่ี ีส่วนเก่ยี วข้องประเมนิ ช้ินงานนกั เรยี น

กระบวนการเปลี่ยนตัวหนังสือให้เป็น
ภาพยนตร์โดยสรุปดูได้จากแผ่นโปสเตอร์ข่าว
วงการหนังเด็ก (a month) ของนักเรียน
ประวัติศาสตร์ของโรงเรียนรตั นราษฎร์บำ� รุง

การเรยี นดว้ ยการทำ� ภาพยนตรส์ ารคดจี ะ
ท�ำให้ผู้เรียนบรรจุเป้าหมายในการเรียนสาระ
ประวัติศาสตร์ มาตรฐาน ส ๔.๑ ในเรื่องความ
สามารถในการใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ในการ
ไต่สวนหาความจริงทางประวัติศาสตร์อย่างเป็น
ระบบ สามารถรวบรวมหลักฐานเพ่ืออธิบาย
เหตุการณ์ส�ำคัญในท้องถิ่นอย่างเป็นเหตุเป็นผล
สามารถอธิบายประวัติศาสตร์ร่วมกันของคนใน

184

ชุมชน และมาตรฐาน ส ๔.๓ เข้าใจพัฒนาการความเป็นมาของชุมชนในฐานะท่ีเป็นส่วน
หน่ึงของชาติไทย ผลงานที่สร้างข้ึนช่วยให้คนในชุมชนเกิดส�ำนึกในประวัติศาสตร์ร่วมกัน
ของเหตกุ ารณส์ ำ� คญั รวมทง้ั ตระหนกั ในบทบาทของสถาบนั พระมหากษตั รยิ ท์ ม่ี ตี อ่ ราษฎร
สอดคล้องกับพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ท่ีต้องการให้
นักเรียนได้เขา้ ใจประวตั คิ วามเปน็ มาของชาตขิ องตนเอง การเริม่ เรียนรู้ประวตั ิศาสตรข์ อง
ชุมชนตนเองและพัฒนาสู่การศึกษาประวัติศาสตร์ชาติจะท�ำให้นักเรียนเข้าใจรากเหง้าของ
สงั คมไทย จะชว่ ยปลกู ฝงั ความรกั ความผกู พนั ระหวา่ งกนั ของคนในชาตไิ ดเ้ ปน็ อยา่ งดี การ
สอนประวัติศาสตร์ชุมชนเปรียบเหมือนการน�ำต้นกล้ามาปลูก หม่ันดูแลด้วยการจัดการ
เรยี นรทู้ เี่ หมาะสมจะทำ� ใหต้ น้ กลา้ เตบิ โตเปน็ ไมใ้ หญท่ มี่ รี ากแกว้ แขง็ แรง ไมไ่ หวเอน โคน่ ลม้
ไดง้ า่ ย

การจัดท�ำภาพยนตร์สารคดีประวัติศาสตร์เร่ืองพระบารมีปกเกล้าฯ ชาวบ้านโป่ง
ส่งผลให้เกิดส�ำนึกร่วมในพระมหากรุณาธิคุณท่ีเสด็จมาเย่ียมในคราวท่ีสิ้นเน้ือประดาตัว
และความหมดหวังในชีวติ จงึ ช่วยปลูกฝงั ให้คนในอ�ำเภอบ้านโป่งมิเพียงแตเ่ ยาวชนเทา่ น้ัน
ทีต่ ระหนกั ในคณุ ค่าของสถาบันพระมหากษัตรยิ ์ ผ่านการน�ำเสนอบางตอนของภาพยนตร์
ในวันเฉลมิ พระชนมพรรษา ณ โรงเรยี นรตั นราษฎร์บ�ำรงุ

นอกจากน้ีการจัดการเรียนรู้ด้วยการท�ำภาพยนตร์สารคดีเป็นการเรียนรู้ท่ี เน้น
การแสวงหาความร้อู ย่างเป็นกระบวนการ เกิดสมรรถนะส�ำคัญ ๕ ประการสอดคล้องกับ
ความตอ้ งการของหลกั สตู รการศกึ ษา ขน้ั พน้ื ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ และแสดงใหเ้ หน็ การบรู ณา
การรายวชิ าต่างๆ เพือ่ น�ำมาใชใ้ นการเก็บขอ้ มลู โดยมีวิชาประวตั ศิ าสตร์ชมุ ชนเป็นแกน ใช้
วธิ กี ารเรียนรู้ทาง มานษุ ยวิทยา สงั คมวทิ ยามาบรู ณาการ รายวชิ าอ่นื ๆ ทีน่ �ำมาใช้ คือ วชิ า
ภาษาไทย ใช้ในการสอ่ื สารระหว่างการเกบ็ ข้อมลู และการเขยี นบทภาพยนตร์ ความรเู้ รือ่ ง
คอมพิวเตอร์ในการตัดต่อภาพยนตร์ ความรู้วิชาศิลปะในการถ่ายภาพ การเลือกดนตรี
ประกอบเร่ือง การออกแบบโปสเตอรภ์ าพยนตร์ การบรู ณาการระหว่างวชิ าจะปรับเปลี่ยน
ตามบริบทของภาพยนตร์สารคดที ่ีนกั เรยี นต้องการจะสรา้ ง

185

เสนห่ ข์ องการเรียนรดู้ ว้ ยวธิ กี ารทางประวตั ิศาสตร์
๑. ครแู ละนักเรียนตา่ งแสดงบทบาทที่แตกตา่ งไปจากเดมิ คอื บทบาทของครทู ี่มา

กกวา่ ความเปน็ ผบู้ อกความรู้ การบอกความรใู้ หน้ อ้ ยจะทำ� ใหก้ ารเรยี นรมู้ คี วามหมายเพราะ
ค�ำถามที่ต้องการค�ำตอบควรเกิดจากความสนใจของนักเรียนเอง ครูสอนวิธีการใช้
กระบวนการวิจัยทางประวัติศาสตร์ด้วยการศึกษาข้อมูลด้วยวิธีการที่หลากหลายร่วมกับ
การเก็บข้อมูลภาคสนามเป็นวิธีการเรียนรู้ที่ครูบอกความรู้น้อย แต่บอกวิธีการหาความ
รู้มาก ครทู ำ� หน้าท่เี ปน็ ท่ีปรึกษา ฝึกใหน้ ักเรยี นรจู้ กั วางแผนในการเรียนและเรียนรเู้ ป็นทีม
ไปพร้อมๆ กนั ครเู ปน็ ผชู้ ่วยเหลอื ช้ีแนะ บอกแหลง่ ข้อมลู ตดิ ตอ่ ประสานงานให้นักเรยี น
ออกไปเก็บข้อมูล ให้ความช่วยเหลือ แก้ปัญหา เป็นผู้จัดการเรียนรู้ให้นักเรียนสามารถ
บรรลเุ ปา้ หมายในสงิ่ ทต่ี อ้ งการจะรู้ ชว่ ยนกั เรยี นตรวจสอบขอ้ มลู เมอื่ พบวา่ ขอ้ มลู ไมต่ รงกนั
คอยเตือนนกั เรยี นวา่ อยา่ ด่วนสรุปค�ำตอบ แตต่ ้องตรวจสอบขอ้ มูลใหม้ าก ให้ถูกตอ้ ง

ครทู �ำหนา้ ที่ประสานและจดั การความรู้

๒. ฝา่ ยนกั เรยี นจะมปี ระสบการณใ์ นการเรยี นรู้
ด้วยตัวเอง เพราะนักเรียนจะได้ฝึกการท�ำโครงงาน
นักเรียนเป็นผู้หาความรู้ด้วยตัวเอง เรียนรู้จากผู้เฒ่า
ผู้รู้ในชุมชนการที่นักเรียนได้เรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้
จริง เป็นการเรียนรู้เร่ืองทักษะการคิดและทักษะ
การเผชญิ ปญั หาดว้ ยการเผชญิ ความจรงิ และการเรยี นรู้
ที่จะแก้ปัญหาด้วยตนเอง เป็นวิธีการปลูกฝังความรัก
ความภาคภูมิใจในท้องถ่ินโดยครูไม่ต้องบอกความรู้
นักเรียนเห็นคุณค่าของวัฒนธรรมประเพณี นักเรียน
เคารพในวถิ ชี วี ติ ของคนทแ่ี ตกตา่ งจากตวั เอง การเรยี นรู้
จากเร่ืองท่ีต้องการจะรู้ ย่อมท�ำให้ผู้เรียนได้แสดง
ศกั ยภาพ จงึ ท�ำใหเ้ กดิ ความภาคภมู ใิ จในตนเอง

186

๓. การเรยี นดว้ ยวธิ กี ารนจี้ ะทำ� ใหน้ กั เรยี นลด
การคดั ลอกความรจู้ ากผอู้ น่ื มาเปน็ การเขยี นองคค์ วาม
รู้ด้วยตนเอง ส่งผลให้นักเรียนมีทักษะในการจัดการ
ขอ้ มลู ใหเ้ ปน็ ระบบระเบยี บ สามารถคดิ แยกแยกความ
จริงออกจากความความเทจ็ เป็นวธิ กี ารเรียนที่ใช้การ
ท่องจำ� น้อย ไดค้ วามรูม้ าก รู้วธิ กี ารหาความร้ดู ้วยตัว
เอง ฝึกการคิดวิเคราะห์ คิดอยา่ งมวี จิ ารณญาน

๔. ข้อค้นพบที่ได้จากการสอน คือในการ
ก�ำหนดประเด็นในการเรียนรู้ควรให้ผู้เรียนเป็นผู้
กำ� หนดเองจากเรอ่ื งทพี่ วกเขาอยากรู้ จะทำ� ใหก้ ารเรยี น
รู้มคี วามหมายส�ำหรับเขา และมคี วามกระตือรือร้นใน
การเรียนและสามารถท�ำใหพ้ วกเขาค้นพบความรใู้ หม่
ได้ ดงั จะไดก้ ลา่ วต่อไป

๕. การค้นพบความรู้ใหมใ่ นการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ชุมชนไดเ้ กิดข้นึ เมื่อครง้ั
หนึ่งนักเรียนต้องการศึกษาเหตุการณ์ไฟไหม้บ้านโป่ง และได้เรียนรู้ด้วยวิธีการทาง
ประวัติศาสตร์ตามล�ำดับเม่ือถึงขั้นการวิเคราะห์ข้อมูล ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล
โดยใชห้ ลักกาลามสูตร นกั เรยี นตอ้ งตรวจสอบความถูกตอ้ งของเอกสารเกย่ี วกับบคุ คลคน
หน่ึงซ่ึงเป็นนกั เรียนของโรงเรยี นรัตนราษฎรบ์ �ำรงุ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ท่หี นงั สอื พิมพใ์ นปี
นน้ั ลงขา่ ววา่ ไดเ้ สยี ชวี ติ ในกองเพลงิ ขณะเขา้ ไปชว่ ยเหลอื คนในตลาด และยงั พบเรอ่ื งการเสยี
ชวี ติ ของนกั เรยี นคนนใ้ี นหนงั สอื ทเ่ี ขยี นเกย่ี วกบั เหตกุ ารณไ์ ฟไหมบ้ า้ นโปง่ ซง่ึ นบั วา่ เปน็ เรอ่ื ง
ทนี่ ่าเชื่อถือแล้ว แต่นักเรยี นไดค้ ้นเรื่องราวของนกั เรยี นคนนต้ี ่อเพ่อื ต้องการทราบเรือ่ งราว
จากญาติและเพ่ือนของนักเรียนคนน้ี กระบวนการไต่สวนหาความจริงของนักเรียนกลุ่มน้ี
ทำ� ใหค้ น้ พบความจรงิ วา่ นกั เรยี นคนนนั้ ไมไ่ ดเ้ สยี ชวี ติ และยงั มชี วี ติ อยจู่ นเกษยี ณอายรุ าชการ
ในต�ำแหน่งนายต�ำรวจและนักเรียนยังได้พูดคุยกับนายต�ำรวจผู้นี้อีกด้วย ความจริงท่ีรับรู้
กันมาถึง ๕๗ ปี ซ่ึงทุกท่านสามารถชมได้จากงานประวัติศาสตร์ที่น�ำเสนอในรูปของ
ภาพยนตร์สารคดเี ร่ือง โลภลา้ งเมอื ง

หรือกรณีค้นพบความรู้ใหม่เรื่องสามเณรเพิ่ม ศิริพิบูลบุคคลส�ำคัญท่ีท�ำให้เกิด
วกิ ฤตกิ ารณบ์ า้ นโปง่ ทเ่ี ปน็ บคุ คลสำ� คญั ทที่ ำ� ใหก้ ระทบตอ่ ความสมั พนั ธแ์ บบโดมโิ นระหวา่ ง
ไทยกับญ่ีปุ่น และอเมริกา จนน�ำไปสู่การยุติสงครามโลกด้วยการทิ้งระเบิดปรมาณูของ
อเมรกิ าในทสี่ ุด

187

๖. ทุกครั้งที่ใช้วิธีการไต่สวนความจริงทางประวัติศาสตร์ด้วยวิธีการทาง
ประวัติศาสตร์นักเรียนจะพบหลักฐานใหม่ในชุมชนอยู่เสมอ เช่น ภาพถ่ายประวัติศาสตร์
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่ีเสด็จมาเย่ียมราษฎร์ในคราวเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้
บ้านโป่ง ที่ท�ำให้คนในอ�ำเภอบ้านโป่งขอส�ำเนาและเก็บไว้บูชาท่ีบ้าน การพบสมุดธนาคาร
ออมสินที่เป็นหลักฐานส�ำคัญว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานเงินช่วยเหลือ
แก่คนในอ�ำเภอบ้านโป่ง เจ้าหน้าที่ของอ�ำเภอบ้านโป่งใช้วิธีการน�ำจ�ำนวนนักเรียน
มาหารเฉลี่ยและเด็กทุกคนได้เงินคนละ ๑๐๘.๙๕ บาท ในการสร้างภาพยนตร์สารคดี
เรอ่ื งพระบารมปี กเกลา้ ฯ ชาวบา้ นโปง่ นกั เรยี นจงึ ไดน้ ำ� หลกั ฐานชนั้ ตน้ มาใชใ้ นการบอกเลา่
เรื่องราว หลายภาพยังไม่แพร่หลาย หลายภาพยังคงอยู่แต่ไม่มีผู้ใดรับรู้ การสืบค้นด้วย
วิธีการทางประวตั ศิ าสตร์ท�ำให้ได้มาซง่ึ หลักฐานทางประวตั ิศาสตร์ท่ีมคี ณุ ค่า

สภาพอ�ำเภอบา้ นโป่งภายหลงั การเกดิ เหตุการณ์ไฟไหม้ (รถยนตท์ ่ีเห็นคือรถยนตพ์ ระที่นงั่ )

คนบ้านโปง่ มีภาพประวัติศาสตรน์ ี้ในทุกบา้ น
188

คณุ ประสาร สภุ ากรเดช กบั รปู
ประวัติศาสตร์ท่ีน�ำมาบอกเล่า
ข้อมูลให้นักเรียนทราบในการ
เกบ็ ขอ้ มลู ทำ� ภาพยนตรส์ ารคดี
พระบารมีปกเกล้าฯ ชาว
บา้ นโปง่

คณุ วริ ตั น์ จารุพนู ผล บอกเลา่
พระเมตตาของพระบาทสมเดจ็
พระเจา้ อยหู่ วั ผา่ นสมดุ ฝากเงนิ
ของธนาคารออมสินที่เก็บ
รักษาไว้อย่างดี ด้วยส�ำนึกใน
พระมหากรณุ าธคิ ณุ

สมดุ ธนาคารออมสนิ พระราชทาน หลกั ฐานชน้ั ตน้ ชน้ิ สำ� คญั ทบ่ี อกความจรงิ ใหมท่ างประวตั ศิ าสตร์

189

ภาพประวัตศิ าสตร์
ที่นกั เรียนนำ� มาจัดท�ำเปน็ โปสเตอรใ์ นการน�ำเสนอภาพยนตร์สารคดีประวตั ิศาสตร์

190

สะท้อนความคิด
ทดั เทพ กลา่ วว่า “…ผมภมู ใิ จในตวั เองมากครับ ผมเคยถามตวั เองวา่ ชอบอะไร

ตอนนผ้ี มรแู้ ลว้ วา่ ผมชอบทำ� หนงั และผมกค็ น้ พบวา่ ประวตั ศิ าสตรส์ นกุ มาก มเี รอ่ื งอกี มาก
ทีเ่ รายังไมร่ ู้ แม้จะเห็นอยทู่ ุกวันแตไ่ ม่รวู้ ่าส�ำคญั ทำ� ใหผ้ มร้วู า่ บ้านเรามคี นทำ� ลายหลักฐาน
ทางประวัติศาสตรก์ นั มาก เพราะเขาไม่รู้ถงึ ความส�ำคัญ การเรียนวชิ านท้ี ำ� ใหผ้ มรู้ว่า ผมจะ
ต้องเรียนตอ่ ในมหาวิทยาลัยในสาขาภาพยนตร์ ผมต้องขยันเรยี น มนั น่าจะทนั นะโตข้ึนผม
จะเปน็ คนทำ� หนังใหไ้ ด้ โดยเฉพาะหนงั แนวประวัตศิ าสตร์…”

ทัดเทพ แซล่ ้ี ผมู้ ีความฝนั ว่าโตขนึ้ ผมจะเป็นคนท�ำหนัง

ณัฐ สาวน้อยที่เปลี่ยนใจมาหลงรักวิชาประวัติศาสตร์กล่าวว่า “ …การเรียนรู้
ประวตั ศิ าสตรแ์ บบนเ้ี ปน็ การใชช้ วี ติ ทเ่ี ปน็ หนง่ึ เดยี วกบั ชมุ ชนการออกไปเกบ็ ขอ้ มลู ภาคสนาม
เปน็ บทเรียนที่สนกุ สนาน มีชีวติ ชีวา นา่ ตืน่ เต้น ท�ำใหช้ ่วยจุดประกายความคดิ จะหาความรู้
เพม่ิ เตมิ ใหม้ ากขน้ึ ปกตหิ นเู ปน็ คนชอบอา่ นและเขยี นหนงั สอื หนทู ำ� หนา้ ทเ่ี ขยี นบท ยง่ิ ทำ� ให้
อยากอา่ นหนังสอื อยากคน้ คว้า เปน็ การเรยี นท่มี ีอิสระในการหาความรู้ ท�ำใหร้ ู้วา่ ทกุ พืน้ ท่ี
ในชุมชนของเรามปี ระวัติความเปน็ มา …”

(ณัฐพร สนุ ันตาวงศ์) คน้ พบตวั เองว่าเขียนบทภาพยนตร์ได้ดีมาก

191

หมวิ ผู้ชอบเปล่ยี นตัวหนงั สอื ให้เป็นภาพยนตร์ กล่าวว่า “…ความรู้ที่หาเองจาก
ผู้รูใ้ นชุมชนเปน็ ความรู้ทสี่ ามารถน�ำมาใชไ้ ด้เลย เราอยากท�ำหนงั เร่อื งอะไรกไ็ ปหาผู้รู้เร่อื ง
นั้น ความรู้ทไี่ ด้จึงมปี ระโยชนท์ ันที ประโยชน์ของการเรียนแบบนจี้ งึ มีมากกวา่ การจ�ำความ
รู้ เพราะต้องไต่สวนหาความจริง…”

หมิว (ศวิ ัชญา สัมพนั ธ์ประเสริฐ) ให้สมั ภาษณ์ โศธิดา โชติวิจติ ร

เมน่ (พชร เก็งวเิ ชยี รไชย) บอกว่า “…
การเรยี นดว้ ยการทำ� หนงั เปน็ ความฝนั ของผมเลย
ทเี ดยี ว ผมมีความสขุ ในการเรยี น ทำ� ให้ผมมอง
เห็นอนาคตวา่ ผมต้องเรียนตอ่ ทางด้านนี้ แมก้ าร
เรียนในรายวิชาจะจบลง แต่เส้นทางแห่งฝันของ
ผมยังไม่จบ ผมและเพ่ือนๆ จะท�ำหนังสารคดี
ประวตั ิศาสตร์ต่อไป พวกผมเปดิ เปน็ ชุมนมุ ครบั
หาคนรว่ มฝนั ท�ำหนงั ด้วยกันครบั …”

ลซิ า่ (อลิสา ประเสริฐ) บอกวา่ “…การ
เรียนในวิชาประวัติศาสตร์ชุมชนจะจบแล้ว แต่
ภารกจิ ของหนยู งั ไมจ่ บ หนูตอ้ งเกบ็ ขอ้ มูลเพื่อท�ำ
หนังต่อไป หนูและเพื่อนๆ ออกภาคสนามทุก
อาทิตย์ ก�ำลังเร่งท�ำหนังอยู่เร่ืองหนึ่ง น่าสนใจ
มาก พวกเราพบหลักฐานใหมอ่ ีกแล้ว และหนจู ะ
ช่วยครูวรรษิดา สอนน้องให้ท�ำหนังสารคดี
ประวตั ศิ าสตร์

192

คุณวริ ัตน์ จารุพูนผล เจา้ ของสมุดธนาคาร
ออมสนิ เล่มประวตั ิศาสตร์ กล่าวว่า “…ไม่
เ สี ย แ ร ง ที่ ผ ม เ ก็ บ ส มุ ด ธ น า ค า ร เ ล ่ ม
ประวัติศาสตร์น้ีไว้ ด้วยส�ำนึกในพระ
มหากรุณาธคิ ุณ เวลาผ่านมากว่า ๕๐ ปี มี
นักเรียนมาสืบค้นเร่ืองราวของเหตุการณ์
ไฟไหม้บ้านโป่งและได้ใช้สมุดเล่มนี้เป็น
หลักฐานส�ำคัญในการบอกเล่าเร่ืองราวเม่ือผมดูหนังเรื่องพระบารมีปกเกล้าฯชาวบ้านโป่ง
ท�ำให้ผมเห็นภาพแห่งความหลังได้อย่างชัดเจน ผมภูมิใจมากท่ีเป็นพสกนิกรของพระองค์
ดใี จทค่ี รวู รรษดิ าสอนนกั เรยี นดว้ ยวธิ นี ้ี ดหู นงั แลว้ ผมขนลกุ และนำ�้ ตาไหล อยา่ ทงิ้ การเรยี น
ดว้ ยการทำ� ภาพยนตร์ ผมจะสนบั สนนุ ทกุ เร่อื งครบั …”

อาจารย์นวลฉวี สันทัดพร้อม กล่าวว่า
“…ครนู ำ้� ตาไหลทกุ ครงั้ ทช่ี มพระราชกรณยี กจิ
ของพระองคท์ า่ น เมอ่ื นกั เรยี นมาสมั ภาษณ์
เรื่องไฟไหม้บ้านโป่ง ครูน�ำเรื่องน้ีไปคุย
กับแม่ ท่านเล่าเร่ืองราวมากมายให้ครูฟัง
ครูน�ำพระราชกรณียกิจของพระองค์
ไปสอนนักเรียน ครูอยากให้นักเรียน
ท�ำภาพยนตร์เรื่องนี้ต่อ เพ่ือให้คนในอ�ำเภอบ้านโป่งได้ส�ำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
ของพระองคแ์ ละขอใหน้ อ้ งสม้ (ครวู รรษดิ า) สอนนกั เรยี นดว้ ยวธิ นี ต้ี อ่ ไปนะคะ เพราะพเี่ หน็
ความเปล่ียนแปลงทเ่ี กิดกบั เด็ก พวกเขาชอบเรยี นวิชาประวตั ิศาสตร…์ ”

รายการข่าว ๓ มติ ิ เหน็ ความส�ำคญั ของการจดั การเรียนร้ปู ระวตั ิศาสตรด์ ้วยการ
ท�ำภาพยนตร์สัน้ คุณโศธิดา โชติวจิ ติ รและทมี ขา่ ว ได้เดนิ ทางมาขอบนั ทึกรายการเพอ่ื น�ำ
เสนอใหส้ าธารณชนไดร้ บั รเู้ รอ่ื งการสอนวธิ นี ี้ โดยเธอไดส้ รปุ วา่ “…การสอนดว้ ยวธิ นี ท้ี ำ� ให้
นกั เรยี นหาความรแู้ ละเจอเอง จงึ มคี วามสขุ ในการเรยี น เปน็ ความรทู้ คี่ งทน ชว่ ยใหน้ กั เรยี น
ทไ่ี มส่ นใจเรียนมคี วามกระตอื รอื รน้ ในการเรียน พวกเขาเกง่ มาก หนไู มเ่ ช่อื ว่าพวกเขาเปน็
เด็กเกเร นอ้ งๆ สมารท์ มาก หนูว่าเปน็ เพราะเด็กๆ ลงมือหาความรู้เอง จึงพบความรู้ทห่ี า
มาได้และภาคภูมิใจในตัวเองและมคี วามม่นั ใจในการให้สมั ภาษณ์…”

193

คุณโศธิดา โชตวิ ิจติ ร พธิ ีกรรายการข่าว ๓ มติ ิ และทีมงานครอบครัวขา่ ว ๓
มาถา่ ยทำ� การเรียนวิชาประวตั ศิ าสตร์ชมุ ชนของนักเรียน

สง่ิ เปลยี่ นแปลงประการสำ� คญั คอื แตเ่ ดมิ ครเู ปน็ ผบู้ อกความรู้ แตก่ ารเรยี นรดู้ ว้ ย
วธิ กี ารใหน้ กั เรยี นทำ� ภาพยนตร์ เขาตอ้ งหาความรเู้ อง นกั เรยี นกลบั เปน็ ผบู้ อกความรใู้ หค้ รู
ฟงั พวกเขาเลา่ อยา่ งกระตอื รอื รน้ มชี วี ติ ชวี า พวกเขาอยากบอกใหผ้ ใู้ หญร่ วู้ า่ การเรยี นรขู้ อง
พวกเขาสนกุ สนาน มคี วามสุขและไดค้ วามรู้ท่หี ามาเอง ไม่ต้องเชอ่ื หนังสือเท่านนั้ และเกดิ
เปน็ ความรทู้ คี่ งทนและเปน็ ประสบการณก์ ารเรยี นรทู้ มี่ คี วามหมาย สามารถนำ� ไปใชใ้ นชวี ติ
จริงได้และทีส่ �ำคัญพวกเขารู้จักตัวตนของตวั เองและสามารถประกาศให้ทุกคนรวู้ ่า “เราทกุ
คนมคี วามเกง่ อยู่ในตัว มันอยทู่ วี่ ่าคุณจะกลา้ หรือเปล่า ?”

ประโยคส้ันๆ บนแผ่นโปสเตอร์ที่เด็กท�ำหนัง
ประวัติศาสตร์กล้าประกาศบน Facebook น่าจะ
บอกความสำ� เรจ็ ของการเรยี นประวตั ศิ าสตรด์ ว้ ย
การใหน้ กั เรยี นทำ� หนงั ไดเ้ ปน็ อยา่ งดแี ละสามารถ
ทดสอบสมมติฐานของครวู รรษดิ า พทิ ักษพ์ ิเศษ
ทเี่ ช่อื วา่ “โลกนไ้ี ม่มเี ด็กโง่” ไดอ้ กี ครั้งหนงึ่ แล้ว

194

รายการอา้ งองิ และคณะผู้จดั ท� ำ

รายการอ้างองิ

กรมวิชาการ. (๒๕๔๖). วชิ าการวจิ ักษณ.์ กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์องคก์ ารรับสง่ สินค้าและพสั ดุภณั ฑ์.
กรมวิชาการ. (๒๕๔๓). เอกสารทางวิชาการ เรื่องการพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ไทย.
กรุงเทพมหานคร (เอกสารโรเนยี ว).
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. (๒๕๔๓). คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนประวตั ศิ าสตร:์
ประวตั ศิ าสตรไ์ ทย จะเรยี นจะสอนกนั อยา่ งไร. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์การศาสนา.
กรมวชิ าการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (๒๕๔๓). เอกสารชดุ เทคนคิ การจดั กระบวนการเรยี นรทู้ ผี่ เู้ รยี นสำ� คญั
ทีส่ ดุ : โครงงาน. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พก์ ารศาสนา.
เฉลิม นติ เิ ขตต์ปรีชา (มลลิ า). (๒๕๔๕). เทคนคิ วิธีการสอนประวัตศิ าสตร์. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์
ไทยวฒั นาพานิช.
เฉลมิ มลิลา. (๒๕๒๓). เทคนิควธิ กี ารสอนประวตั ิศาสตร.์ กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพไ์ ทยวัฒนาพานิช.
ชาญวทิ ย์ เกษตรศริ แิ ละสชุ าติ สวสั ดศิ ร.ี (๒๕๑๘). ปรชั ญาประวตั ศิ าสตร.์ กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พพ์ ฆิ เณศ.
แถมสขุ นุม่ นนท.์ (๒๕๒๐). ประวัติศาสตร์ไทย : งานวจิ ัย. (เอกสารโรเนียว) มหาวทิ ยาลัยศิลปากร.
แถมสขุ นมุ่ นนท.์ (๒๕๔๕). เจาะเวลาหาอดตี หลกั ฐานประวตั ศิ าสตรไ์ ทย. กรงุ เทพมหานคร : อกั ษรเจรญิ ทศั น.์
นวลศิริ เปาโรหิตย์ และคณะ. (๒๕๑๘). จิตวิทยาพัฒนาการ. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัย
รามคำ� แหง.
นิธิ เอยี วศรวี งศ์และอาคม พฒั ยิ ะ. (๒๕๕๒) หลกั ฐานประวตั ิศาสตร์ในประเทศไทย. กรุงเทพมหานคร :
สำ� นกั พิมพบ์ รรณกจิ .
สมพร สทุ ศั นยี .์ (๒๕๓๑). จติ วทิ ยาการปกครองชนั้ เรยี น. กรงุ เทพมหานคร : ไทยวฒั นาพานชิ .
ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (๒๕๕๒). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน
พุทธศักราช ๒๕๕๑. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมชุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย.
สำ� นกั งานเลขาธกิ ารสภาการศึกษากระทรวง ศึกษาธิการ. (๒๕๕๐). ต้นไมท้ ีไ่ รค้ า่ ทางเดนิ สู่เสน้ ชยั บนั ทึก
ประสบการณ์ โครงงานวิจัยวทิ ยาศาสตร์ดีเด่น “การแตกของฝกั ตอ้ ยตง่ิ ”. โรงเรียนอดุ มศกึ ษา
: กรงุ เทพมหานคร.
สชุ า จันทนเ์ อม. (๒๕๓๖). จติ วทิ ยาเดก็ . กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานิช.
วฒั นาพร ระงบั ทกุ ข.์ (๒๕๔๒). แผนการสอนทเ่ี นน้ ผเู้ รยี นเปน็ ศนู ยก์ ลาง. กรงุ เทพมหานคร:วฒั นาพานชิ .
ศนู ยพ์ ฒั นาหนงั สอื กรมวชิ าการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (๒๕๓๙). รายงานการสมั มนาโตะ๊ กลม เรอ่ื ง ทศิ ทาง
การพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ไทย. ระวิวรรณ ภาคพรต และบุญสม น้�ำจริง
บรรณาธกิ าร. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์ครุ ุสภาลาดพรา้ ว.

196

คณะผู้จัดท�ำ

ท่ปี รกึ ษา เลขาธกิ ารคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พื้นฐาน
รองเลขาคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน
นายกมล รอดคล้าย ผ้อู �ำนวยการสำ� นกั วิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา
นายอนุสรณ์ ฟเู จรญิ ผู้อ�ำนวยการสำ� นักพัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษา
นางสกุ ัญญา งามบรรจง ผอู้ �ำนวยการกลมุ่ สถาบันสังคมศึกษา
นายพิธาน พ้ืนทอง ส�ำนักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา
นางสดุ าวรรณ เครอื พานิช


วทิ ยากร เมธีวจิ ัยอาวโุ ส ส�ำนกั งานกองทุนสนบั สนุนการวจิ ยั (สกว.)
เจ้าหนา้ ที่ มลู นิธเิ ลก็ ประไพ-วิริยะพนั ธุ์
๑. นายวินยั พงศ์ศรเี พียร คณบดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศลิ ปากร
๒. นางสาววลยั ลักษณ์ ทรงศริ ิ อาจารย์คณะมนษุ ยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบรู พา
๓. นางเพ็ญพรรณ เจริญพร ข้าราชการบ�ำนาญ
๔. นายปรดี ี พศิ ภมู ิวิถี ข้าราชการบ�ำนาญ
๕. นางระวิวรรณ ภาคพรต ขา้ ราชการบ�ำนาญ
๖. นางสาวมาลี โตสกุล
๗. นายสนทิ มหาโยธี

คณะผเู้ ขียนและเรยี บเรยี ง

๑. นางกาญจนา พฒุ ฉาย ศกึ ษานิเทศก์
สำ� นกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาพระนครศรอี ยธุ ยา เขต ๑
๓. นางน้อยประนอม เคียนทอง ศึกษานเิ ทศก์
สำ� นกั งานเขตพน้ื ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษานครราชสีมา เขต ๑
๔. นางสาวรงุ่ ทวิ า จนั ทน์วฒั นวงษ์ ศกึ ษานิเทศก์
สำ� นักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษาอดุ รธานี เขต ๓
๕. นายมงคล จนั ทรง์ าม ศกึ ษานิเทศก์
สำ� นักงานเขตพน้ื ที่การศกึ ษาประถมศึกษาอดุ รธานี เขต ๓
๖. นายอนิ สวน สาธเุ ม ศึกษานเิ ทศก์
สำ� นกั งานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสนิ ธ์ุ เขต ๑
๗. นายชีวิน จนิ ดาโชติ ศกึ ษานิเทศก์
สำ� นักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต ๑

197

๘. นางประภัสสร โกศลั วัฒน ์ ศึกษานิเทศก์
ส�ำนักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต ๑
๙. นางสาวฉลไุ ล ประชุมวงษ ์ ศึกษานิเทศก์
สำ� นักงานเขตพน้ื ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาสกลนคร เขต ๒
๑๐. นายสมเกยี รติ ตุงคะเสรรี กั ษ ์ ศึกษานิเทศก์
สำ� นกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาชยั ภมู ิ เขต ๓
๑๑. นายวิรัตน์ บรรจง ศึกษานิเทศก์
สำ� นกั งานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษามกุ ดาหาร
๑๒. นางเบญจา ชวนวัน ศกึ ษานเิ ทศก์
ส�ำนักงานเขตพน้ื ที่การศึกษาประถมศกึ ษานนทบรุ ี เขต ๑
๑๓. นางสาวสริ กิ ร กระสาทอง ศึกษานิเทศก์
สำ� นกั งานเขตพื้นที่การศกึ ษาประถมศึกษาลพบุรี เขต ๑
๑๔. นางเยาวภา รัตนบัลลังค ์ ศกึ ษานิเทศก์
สำ� นักงานเขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาสิงหบ์ รุ ี
๑๕. นางสาววิไลวรรณ โอรส ศกึ ษานเิ ทศก์
สำ� นกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศกึ ษานครปฐม เขต ๒
๑๖. นางประนอม เคยี นทอง ศกึ ษานเิ ทศก์
สำ� นกั งานเขตพื้นทก่ี ารศึกษาประถมศึกษานครราชสมี า เขต ๑
๑๗. นายศักด์ิชาย อนันตพานชิ ศึกษานเิ ทศก์
สำ� นกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชียงใหม่ เขต ๑
๑๘. นางสาวประพิณศิริ อนิ ทธิรา ศึกษานเิ ทศก์
ส�ำนักงานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต ๑
๑๙. นายณรงค์ ชา้ งยัง ศึกษานิเทศก์
สำ� นักงานเขตพื้นท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษาอุทัยธานี เขต ๑
๒๐. นางวันเพญ็ ศิริคง ศึกษานเิ ทศก์
สำ� นกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศกึ ษานครสวรรค์ เขต ๓
๒๑. นายธนพรรณ รอดก�ำเนดิ ศกึ ษานเิ ทศก
สำ� นักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษาพจิ ติ ร เขต ๑
๒๒. นางอุรัย พรรณพมุ่ พฤกษ ์ ศึกษานิเทศก์
สำ� นกั งานเขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาชัยนาท
๒๓. นายประหยัด รอดแสน ศกึ ษานิเทศก์
เขตพ้นื ท่กี ารศกึ ษาประถมศึกษาเพชรบรู ณ์ เขต ๓
๒๔. นางสาวสมศิลป์ ชชั วาลปรชี า ศึกษานิเทศก์
สำ� นักงานเขตพื้นทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษานครราชสมี า เขต ๕

198


Click to View FlipBook Version