The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การสอนประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย หลากหลายวิธีเรียน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

การสอนประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย หลากหลายวิธีเรียน

การสอนประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย หลากหลายวิธีเรียน

มาตรฐาน ส ๔.๑ : เขา้ ใจความหมาย ความสำ� คญั ของเวลาและยคุ สมยั ทางประวตั ศิ าสตร์
สามารถใช้ วธิ ีการทางประวัติศาสตร์ บนพ้นื ฐานของความเป็นเหตุ
เปน็ ผลมาวิเคราะหเ์ หตุการณต์ า่ งๆ อย่างเป็นระบบ

มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงช้นั

ช่วงช้ันที่ ๑ (ป.๑-๓) ชว่ งช้นั ที่ ๒ (ป.๔-๖) ชว่ งชน้ั ท่ี ๓ (ม.๑-๓) ชว่ งชน้ั ที่ ๔ (ม.๔-๖)

๑. เขา้ ใจเรอ่ื ง วนั เดอื น ปี ๑.เข้าใจเร่ืองทศวรรษ ๑.เขา้ ใจความหมาย ความ ๑.วิเคราะห์ความสัมพันธ์

และการนับช่วงเวลาตาม ศตวรรษ สหัสวรรษท่ี ส�ำคัญของการนับเวลา ร ะ ห ว ่ า ง ยุ ค ส มั ย ท า ง

ปฏิทินท้ังแบบไทย และ สัมพนั ธ์กับอดีต ปจั จบุ นั การแบ่งช่วงเวลาทาง ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร ์ แ ล ะ

แบบสากลที่สัมพันธ์กับ และอนาคต ประวัติศาสตร์ และการ ตระหนักถึงความส�ำคัญ

อดตี ปัจจบุ นั และอนาคต เทียบศักราชในระบบ ในความตอ่ เนอ่ื งของเวลา

ต่างๆ เพ่ือให้สามารถ

เ ข ้ า ใ จ เ ห ตุ ก า ร ณ ์ ท า ง

ประวัตศิ าสตร์ได้ถูกตอ้ ง

๒. เขา้ ใจขอ้ มลู ทเี่ กย่ี วขอ้ ง ๒.เข้าใจลักษณะของ ๒.ศึกษารวบรวมข้อมูล ๒ . เ ข ้ า ใ จ วิ ธี ก า ร ท า ง

กบั ตนเอง ครอบครวั และ ข้อมูลและการจัดระบบ และจัดระบบข้อมูลอย่าง ประวัติศาสตร์อย่างเป็น

ชุมชน ขอ้ มลู ระดบั จังหวดั ภาค เป็นระบบด้วยวิธีการทาง ระบบ และสามารถใช้ใน

และประเทศ ประวัติศาสตร์ เพ่ือใช้ใน การสร้างองค์ความรู้ใหม่

การศึกษา อภิปราย ทางประวัตศิ าสตร์

ประวัติความเป็นมาของ

ภูมิภาคของโลก

๓.เข้าใจประวัติความเป็น ๓ . เ ข ้ า ใ จ วิ ธี ก า ร ท า ง ๓ . เ ข ้ า ใ จ วิ ธี ก า ร ท า ง ๓.วิเคราะห์เปรียบเทียบ

มาตนเอง ครอบครวั และ ประวัติศาสตร์ในการ ประวัติศาสตร์ เพื่อน�ำมา ห ลั ก ฐ า น ท า ง

ชมุ ชนบนพน้ื ฐานของการ ศกึ ษาประวตั คิ วามเปน็ มา ใช้ศึกษาหาข้อสรุป และ ประวตั ศิ าสตร์ และความ

ใช้ ขอ้ มูลอย่างเปน็ ระบบ ของจงั หวดั ภาค ประเทศ น�ำเสนอเหตุการณ์ทาง แตกต่างของหลักฐานใน

โดยเปรียบเทียบให้เน้น ประวัติศาสตร์ไทยและ การศึกษาประวัติศาสตร์

การเปล่ยี นแปลง วิถชี ีวติ สากลอยา่ งมวี จิ ารณญาณ ไทย และสากล

ของคนในจังหวัด ภาค และมีความเป็นกลาง

และประเทศ เปรียบเทียบให้เห็นการ

เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของ

คนในประเทศไทยกับ

ประเทศทางซีกโลกตะวัน

ออก และทางตะวันตก






49

จากตารางมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น ส ๔.๑ ว่าด้วยเร่ืองความรู้พ้ืนฐาน
ทางประวัติศาสตร์ และวิธีการศึกษาประวัติศาสตร์ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เรียนสามารถใช้ความรู้
และวิธีการดังกล่าวไปประยุกต์ใช้ในการศึกษาเร่ืองราวต่าง ๆที่เกิดขึ้นที่เกิดขึ้นในพื้นท่ี
ที่ต่างเวลา และ ตา่ งสถานท่ี ได้อยา่ งเปน็ ระบบ

สาระเนอ้ื หามาตรฐาน ส ๔.๑ สามารถแบง่ ออกได้ ๒ เรอ่ื งคอื เรอื่ งเวลาและวธิ กี าร
ทางประวัติศาสตร์

สาระเรอื่ งเวลา
ชว่ งชน้ั ที่ ๑ เป็นการศึกษาเร่อื งเวลาในปฏทิ นิ ซง่ึ จะมีระบบเวลาท้งั ทางสรุ ิยคติ
ท่ีเป็นหลักสากลใช้กันท่ัวไปในปัจจุบันและระบบเวลาทางจันทรคติ ซึ่งในปฏิทินจะใช้
ในวันส�ำคัญทางศาสนา และประเพณีไทย เช่น วันลอยกระทง เป็นต้น การเรียนรู้เวลา
ในช่วงชั้นท่ี ๑ เพ่ือให้ผู้เรียนใช้เวลาที่มีความสัมพันธ์กับอดีต ปัจจุบัน อนาคต บอกเล่า
เร่ืองราวที่เกี่ยวข้องกับตนเอง ครอบครัวและชุมชนได้อย่างถูกต้องและให้สามารถเข้าใจ
ลำ� ดบั เหตกุ ารณไ์ ดถ้ กู ตอ้ ง เพราะการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรม์ หี ลกั การวา่ เหตกุ ารณท์ เ่ี กดิ กอ่ น
ย่อมเป็นเหตุท่ีมีผลต่อเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนที่หลัง จึงจ�ำเป็นท่ีจะต้องให้ผู้เรียนมีพ้ืนฐาน
ความรเู้ รอ่ื งเวลาอยา่ งงา่ ยๆ
ชว่ งชั้นท่ี ๒ เปน็ การศกึ ษาช่วงเวลา ประกอบด้วย ทศวรรษ (๑๐ ป)ี ศตวรรษ
(๑๐๐ ปี) และสหัสวรรษ (๑,๐๐๐ ป)ี ซึง่ จะเป็นชว่ งเวลาท่พี บเห็นเสมอในเอกสารทก่ี ลา่ ว
ถึงเหตกุ ารณส์ �ำคัญในอดตี นอกจากวนั เดอื นและศกั ราช ท่เี รยี นแล้วในช่วงชน้ั ท่ี ๑ ดังนนั้
การเรยี นรู้ในชว่ งชนั้ ที่ ๒ จึงเป็นการเรยี นเวลาท่ตี อ่ ยอดจากการเรียนในช่วงช้ันที่ ๑ และ
เพ่อื ใหเ้ ขา้ ใจเหตกุ ารณท์ างประวัติศาสตรไ์ ด้ชดั เจนถกู ตอ้ ง
ช่วงชั้นที่ ๓ ในระดับมัธยมศึกษาเป็นการศึกษาความส�ำคัญและวิธีการนับช่วง
เวลา ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ประวัตศิ าสตร์ เวลาในชว่ งชัน้ นจี้ ะศึกษาความหมายและการใชศ้ ักราช
ตา่ งๆ ทีป่ รากฏในเอกสารไทย ไดแ้ ก่ พ.ศ. / ค.ศ. / ม.ศ. / จ.ศ. / ร.ศ. สามารถเทยี บ
ศักราชในระบบตา่ งๆ ได้ รวมทั้งความหมาย และความส�ำคญั ของสมยั กอ่ นประวัตศิ าสตร์
สมัยประวัติศาสตร์ในดินแดนไทยและภูมิภาคเอเชีย ทั้งน้ีเพ่ือให้เข้าใจเหตุการณ์ทาง
ประวตั ิศาสตร์ได้ถูกตอ้ ง
ช่วงชั้นที่ ๔ เป็นการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างยุคสมัยในประวัติศาสตร์ไทย
กับประวัติศาสตร์สากลและภูมิภาคที่ส�ำคัญต่างๆ ของโลก เนื่องจากแต่ละสังคม
ตา่ งสรา้ งเกณฑก์ ำ� หนดชว่ งเวลาและยคุ สมยั ทางประวตั ศิ าสตรแ์ ตกตา่ งกนั ทง้ั นเี้ พอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจ
เหตุการณ์ส�ำคัญของมนุษยชาติท่ีเกิดข้ึนในพื้นที่ต่างๆ ที่มีความต่อเน่ืองของเวลา
ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง

50

ในสาระเรอ่ื งเวลาดงั กลา่ วน้ี จดุ เนน้ สำ� คญั คอื ใหผ้ เู้ รยี นเขา้ ใจความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง
เวลากับเร่ืองราวส�ำคัญของมนุษยชาติท่ีเกิดขึ้นในช่วงเวลาต่างๆ กัน มีความรู้พ้ืนฐาน
เพอ่ื ใหส้ ามารถนำ� ความรเู้ รอื่ งเวลามาใชใ้ นการศกึ ษาทำ� ความเขา้ ใจ และวเิ คราะหเ์ หตกุ ารณ์
ตามล�ำดับเวลาได้ถูกต้อง เน่ืองจากเหตุการณ์ที่เกิดก่อนย่อมเป็นเหตุ ซ่ึงจะส่งผล
ตอ่ เหตกุ ารณท์ เี่ กดิ ขนึ้ ทห่ี ลงั และใหผ้ เู้ รยี นใชเ้ วลาในการบอกเลา่ เหตกุ ารณต์ า่ งๆ ไดถ้ กู ตอ้ งดว้ ย

สาระเรอื่ งวธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตร์
วิธีการทางประวัติศาสตร์ หมายถึง วิธีการสืบค้นเรื่องราวในอดีตของ
สงั คมมนุษย์โดยใชห้ ลักฐานอย่างเปน็ ระบบ
ช่วงชั้นท่ี ๑ เป็นการฝึกฝนการสืบค้นเร่ืองราวท่ีเกิดข้ึนกับตนเองครอบครัว
และชุมชน โดยใช้หลักฐานที่หลากหลายได้อย่างเป็นระบบและน�ำเรื่องราวที่ค้นพบได้น้ี
มาบอกเล่าหรือน�ำเสนอด้วยวิธีการง่ายๆ เช่น การเล่าเรื่อง การใช้เส้นเวลาเรียงล�ำดับ
เหตกุ ารณ์ วธิ กี ารสบื คน้ ทใ่ี ชใ้ นชว่ งชน้ั น้ี เชน่ การสอบถาม ศกึ ษาจากภาพ เอกสาร แผนภมู ิ
แผนที่ แผนผัง สถานท่ีจริง หรือศึกษาจากหนังสือต่างๆ เพ่ือให้มีทักษะในการรวบรวม
ข้อมูลทใี่ กล้ตัวและน�ำเสนอไดอ้ ย่างสนุกสนาน น่าสนใจ
ช่วงช้ันที่ ๒ เป็นการสืบค้นเร่ืองราวเก่ียวกับประวัติความเป็นมาและวิถีชีวิต
ของทอ้ งถนิ่ และสงั คมไทย เช่น ประเพณี และวฒั นธรรมในพนื้ ทตี่ ่างๆ โดยเรมิ่ จากจงั หวดั
ภูมิภาคและประเทศไทยสามารถรวบรวมข้อมูลและจัดระบบข้อมูลได้ถูกต้อง แยกแยะ
และประเมินค่าของข้อมูลได้ชัดเจน ซึ่งการสืบค้นดังกล่าวจะเป็นพื้นฐานเบ้ืองต้น
ในการด�ำเนนิ ชีวติ ในโลกยุคโลกาภวิ ัตนไ์ ดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ
ช่วงชัน้ ที่ ๓ เป็นการศึกษาความหมาย ความส�ำคญั และขน้ั ตอนของวิธีการทาง
ประวัติศาสตร์อย่างง่ายๆ รู้จักประเภทของข้อมูลและแหล่งท่ีมาของข้อมูลหลักฐานทาง
ประวตั ศิ าสตร์และสามารถใช้วธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตรศ์ กึ ษาเร่ืองราวในอดีตที่ตนสนใจได้
ดังนั้นในช่วงชั้นท่ี ๓ ผู้เรียนจะได้รู้จักและเข้าใจวิธีการสืบค้นอดีต ในแต่ละข้ันตอน
อยา่ งงา่ ยๆ และนำ� ไปใชใ้ นการศกึ ษา อภปิ ราย ประวตั คิ วามเปน็ มาของไทยและสงั คมมนษุ ย์
ในภมู ภิ าคอื่นๆ ของโลกได้
ช่วงช้ันที่ ๔ เป็นการศึกษาขั้นตอนของวิธีการทางประวัติศาสตร์อย่างลุ่มลึกข้ึน
เพ่ือให้สามารถน�ำหลักการดังกล่าวไปใช้ในการสร้าง “ความรู้ใหม่” ทางประวัติศาสตร์
ทเ่ี รียกวา่ “โครงงานทางประวตั ิศาสตร”์ หรอื งานวิจยั เลก็ ๆ ท่ีเหมาะสมกับสภาพแวดลอ้ ม
ของผู้เรยี นและความสนใจของตน

โดยในข้ันตน้ คอื การรวบรวมขอ้ มูล เพอ่ื อธบิ ายไดว้ ่า ใคร ทำ� อะไร ที่ไหน
เมื่อไหร่ มีการเปลย่ี นแปลงอยา่ งไร

51

ขน้ั ทส่ี �ำคญั คอื การวิเคราะหป์ ัจจยั วา่ เพราะเหตุใด จึงเป็นเช่นนัน้
และข้ันสุดท้ายคือ การพิจารณาให้รอบด้านเพื่อตอบข้อประเด็นส�ำคัญ
ของเรื่องท่ีสืบค้นแสดง การวิเคราะห์ผลและผลกระทบท่ีเกิดขึ้นจากเหตุการณ์น้ัน ว่ามี
ด้านใดบา้ งและเปน็ อย่างไร
ความรู้ใหม่ในโครงงานทางประวัติศาสตร์จึงเป็นเรื่องของการสืบค้นเรื่องราว
ท่ีตนสนใจและหาค�ำตอบดว้ ยตนเอง ความรู้ทไี่ ดเ้ ป็นเรอื่ งทีต่ นไม่เคยรู้มากอ่ น การสืบคน้
จึงจ�ำเป็นท่ีต้องบูรณาการความรู้หลากหลายสาขาและเป็นไปตามหลักการของวิธีการ
ทางประวตั ิศาสตร์

มาตรฐาน ส ๔.๒ เข้าใจพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ในแง่

ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง

ตระหนกั ถึงความส�ำคัญและสามารถผลกระทบที่เกดิ ขนึ้

มาตรฐานการเรยี นรชู้ ่วงช้นั

ช่วงชนั้ ที่ ๑ (ป.๑-๓) ช่วงช้นั ที่ ๒ (ป.๔-๖) ช่วงชนั้ ที่ ๓ (ม.๑-๓) ช่วงชั้นที่ ๔ (ม.๔-๖)

๑ . เ ข ้ า ใ จ ป ั จ จั ย ท า ง ๑ . เ ข ้ า ใ จ ป ั จ จั ย ท า ง ๑.วิเคราะห์เปรียบเทียบ ๑ . เ ข ้ า ใ จ ป ั จ จั ย ท า ง

ภูมิศาสตร์ท่ีมีผลต่อการ ภูมิศาสตร์ท่ีมีผลต่อ ข้อดีและข้อจ�ำกัดของ ภูมิศาสตร์ที่มีผลต่อ

ตั้งถ่ินฐานและการด�ำรง พฒั นาการ การตงั้ ถนิ่ ฐาน ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ท่ีมี พฒั นาการของมนษุ ยชาติ

ชวี ติ ของครอบครวั ชมุ ชน ของมนษุ ยแ์ ละการดำ� เนนิ ผลต่อพัฒนาการในการ ในภมู ภิ าคต่างๆ ของโลก

และทอ้ งถิ่น ชีวิตของคนในจังหวัด ต้ังถิ่นฐานและการด�ำรง ในอดีตและปจั จุบนั

ภาค ประเทศ ชี วิ ต ข อ ง ป ร ะ ช า ก ร ใ น

ภมู ภิ าคต่างๆ ของโลก

๒. เข้าใจปัจจัยท่ีมีผลต่อ ๒. เข้าใจปัจจัยที่มีผลต่อ ๒. เข้าใจพัฒนาการของ ๒. วิเคราะห์ผลกระทบ

ก า ร ส ร ้ า ง ส ร ร ค ์ ก า ร ส ร ้ า ง ส ร ร ค ์ อารยธรรมตะวันออก ข อ ง ก า ร ส ร ้ า ง ส ร ร ค ์

วัฒนธรรมที่มีผลต่อการ วั ฒ น ธ ร ร ม ไ ท ย แ ล ะ และตะวันตกท่ีมีผลต่อ พฒั นาการของมนษุ ยชาติ

ด�ำเนินชีวิต ของคนใน วัฒนธรรมทอ้ งถนิ่ ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย ใ น ด ้ า น ในด้านต่างๆ ที่มีต่อ

ชุมชน เศรษฐกิจ การเมือง พั ฒ น า ก า ร แ ล ะ ก า ร

การปกครอง เปลยี่ นแปลงของโลก

๓. รู้จักผลงานที่เกิดจาก ๓. รู้จักและวิเคราะห์ผล ๓. วิเคราะหเ์ ปรยี บเทียบ ๓. วิเคราะห์ผลงานของ

ก า ร ส ร ้ า ง ส ร ร ค ์ ง า น ที่ เ กิ ด จ า ก ก า ร ผลงานท่ีเกิดจากการ มนุษยชาติที่น�ำไปสู่ความ

วฒั นธรรมทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั สร้างสรรค์วัฒนธรรมใน สร้างสรรค์อารยธรรมใน ร่วมมือและความขัดแย้ง

การด�ำเนินชีวิตของคน ภู มิ ภ า ค ต ่ า ง ๆ ข อ ง แหลง่ ตา่ ง ๆ ทั้งโลกตะวัน ตลอดจนแนวทางในการ

ไทย ประเทศไทย ออกและโลกตะวันตก ประสานประโยชน์เพ่ือ

เพ่ือเข้าใจภูมิปัญญาของ สนั ติ

มนุษย์ในอดีต อันจะเป็น

แนวทางการพัฒนา ผล

งานทม่ี ีคณุ คา่ ในอนาคต

52

จากตารางมาตรฐานการเรยี นรชู้ ว่ งชน้ั ส ๔.๒ วา่ ดว้ ยเรอ่ื งเกย่ี วกบั พฒั นาการและ
การเปลี่ยนแปลงของมนุษยชาติ เพ่ือให้เข้าใจสังคม เศรษฐกิจและการเมืองการปกครอง
ของกลุ่มคนที่กระจายอยู่ตามพ้ืนที่ต่างๆ ของโลก ท้ังน้ีเพื่อสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน
ยอมรบั ความแตกตา่ งทางวฒั นธรรมทเ่ี กดิ จากสภาพแวดลอ้ มทางภมู ศิ าสตรแ์ ละสงั คม รวม
ท้งั ความเปน็ มาทางประวตั ิศาสตร์

สาระเนอ้ื หาในมาตรฐาน ส ๔.๒ สามารถแบ่งออกได้ ๓ เรื่องคอื (๑) พฒั นาการ
ของมนุษยชาติ (๒) เหตุการณ์ส�ำคญั (๓) วฒั นธรรม และอารยธรรมของมนุษยชาติ

สาระพฒั นาการของมนษุ ยชาติ
ช่วงชั้นท่ี ๑ เป็นการศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการตั้งถิ่นฐานและพัฒนาการของ
ครอบครัว ชุมชนและทอ้ งถนิ่ ใกล้ตัว ซงึ่ จะประกอบดว้ ยปัจจัยทางภมู ศิ าสตร์ (ภมู ปิ ระเทศ
ภมู อิ ากาศและทรพั ยากรธรรมชาต)ิ ปจั จยั ทางสงั คม (การคมนาคม ความเจรญิ ความมนั่ คง
ความปลอดภัย) และลักษณะการด�ำเนินชีวิตของครอบครัว ชุมชนและท้องถ่ินของตนเอง
เพือ่ ให้เกิดความภาคภูมิใจในครอบครวั ชุมชนและทอ้ งถน่ิ ของตน
ชว่ งช้ันท่ี ๒ การศกึ ษาจะเป็นสาระเดียวกนั แต่จะขยายพื้นที่เป็นจังหวดั ภูมภิ าค
และประเทศไทย เพ่อื ใหเ้ ข้าใจความเปลีย่ นแปลงในด้านต่างๆ ในอดีตและปจั จุบัน
ช่วงชั้นที่ ๓ การศึกษาจะเป็นสาระเดียวกันแต่จะขยายพ้ืนท่ีเป็นประเทศไทย
ในภมู ภิ าคเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้ ทวปี เอเชยี และภูมิภาคต่างๆ ของโลกอยา่ งสงั เขป
ชว่ งชน้ั ที่ ๔ เปน็ การศึกษาปัจจยั ท่ีมีผลตอ่ พฒั นาการของมนุษยชาติใน ภูมภิ าค
ต่างๆ ในโลก ในอดีตและปัจจุบันและพัฒนาการของมนุษยชาติท้ังในด้านเศรษฐกิจ
การเมอื ง การปกครอง ศิลปะและวฒั นธรรม
สาระเรอื่ งเหตกุ ารณ์ส�ำคัญท่ีแสดงการเปลี่ยนแปลงของมนุษยชาติ
ชว่ งชน้ั ที่ ๑ เปน็ เรอ่ื งเหตุการณส์ �ำคัญในครอบครัว โรงเรยี นและชุมชนใกลต้ วั ที่
มีผลต่อการเปลย่ี นแปลง
ช่วงช้นั ท่ี ๒ เปน็ เรื่องเหตุการณ์สำ� คัญทีเ่ กี่ยวขอ้ งกบั การเปลยี่ นแปลงในจงั หวดั
ภูมภิ าคและประเทศไทย
ช่วงช้ันท่ี ๓ เป็นเร่ืองเหตุการณ์ส�ำคัญที่เก่ียวข้องกับการเปลี่ยนแปลงใน
ประเทศไทย ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ ทวีปเอเชียและภูมิภาคต่างๆ ของโลก
ช่วงชน้ั ที่ ๔ เปน็ เรือ่ งเหตกุ ารณ์ส�ำคัญท่ีเป็นความขัดแย้งหรอื ความร่วมมือหรือ
มผี ลทำ� ใหเ้ กิดการเปลยี่ นแปลงในดา้ นต่างๆ ของมนุษยชาติในด้านต่างๆ ของโลก รวมทงั้
เหตกุ ารณ์ทีแ่ สดงให้เห็นแนวทางในการประสานประโยชน์ เพอื่ สันตภิ าพของโลก

53

สาระเร่อื งวัฒนธรรมและอารยธรรมของมนษุ ยชาติ

ช่วงช้นั ท่ี ๑ เรียนรปู้ ัจจยั ท่มี ีผลตอ่ การสร้างสรรค์วฒั นธรรมท่เี กี่ยวขอ้ งกับการ
ด�ำเนนิ ชีวติ ในครอบครัว ในโรงเรียน และชุมชน

ช่วงชนั้ ที่ ๒ เรยี นรู้ปจั จยั ทมี่ ผี ลต่อการสรา้ งสรรคว์ ฒั นธรรมทอ้ งถ่นิ ในจังหวัด
ภมู ภิ าคและวฒั นธรรมไทย

ช่วงช้ันที่ ๓ เรียนรู้เกี่ยวกับอารยธรรมตะวันออกและตะวันตกท่ีมีผลต่อ
ประเทศไทยในสมัยสโุ ขทยั อยธุ ยา ธนบุรแี ละรัตนโกสนิ ทร์

ช่วงชั้นที่ ๔ เป็นการวิเคราะห์ผลกระทบของการสร้างสรรค์ของมนุษยชาติ
ในด้านตา่ งๆ ทง้ั ทางดา้ นการเมอื ง การปกครอง เศรษฐกจิ สงั คม ศิลปวัฒนธรรม ตัง้ แต่
อดีตจนถึงปัจจบุ ัน

จะเหน็ ว่ามาตรฐานการเรยี นรู้ ส ๔.๒ เปน็ ทงั้ เรอื่ งทอ้ งถ่นิ และขยายพนื้ ที่ เป็น
ประเทศ และเรียนรู้ความเป็นมาของภูมิภาคต่างๆ ของโลก มุ่งให้ผู้เรียนเข้าใจความเป็น
สากล และเข้าใจวฒั นธรรมอนั หลากหลาย และแตกต่าง เพื่อการอยรู่ ่วมกนั อยา่ งสันติสขุ

มาตรฐาน ส ๔.๓ เข้าใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย

มีความภูมใิ จและธ�ำรงความเป็นไทย

มาตรฐานการเรยี นร้ชู ว่ งชน้ั

ชว่ งชัน้ ที่ ๑ (ป.๑-๓) ชว่ งชนั้ ที่ ๒ (ป.๔-๖) ช่วงชนั้ ท่ี ๓ (ม.๑-๓) ช่วงชน้ั ที่ ๔ (ม.๔-๖)

๑.รู้จักและเข้าใจความ ๑.รู้และเข้าใจเกี่ยวกับ ๑.รู้และเข้าใจเกี่ยวกับ ๑ . ส รุ ป แ น ว คิ ด ข อ ง

เปน็ มาของทอ้ งถน่ิ ของตน พัฒนาการตั้งถิ่นฐานของ พัฒนาการของเศรษฐกิจ พั ฒ น า ก า ร ท า ง

ทส่ี มั พนั ธก์ บั ความเปน็ มา รั ฐ ไ ท ย ใ น ดิ น แ ด น การเมืองการปกครอง ประวัติศาสตร์ไทยโดยใช้

ของชาติไทย ประเทศไทยตง้ั แตอ่ ดตี ถงึ สงั คม ศลิ ปวฒั นธรรม และ วธิ กี ารทางประวัติศาสตร์

ปจั จบุ นั ความสัมพันธ์ระหว่าง

ประเทศของรัฐไทยในดิน

แดนประเทศไทยตง้ั แตอ่ ดตี

จนถงึ ปจั จบุ นั และเกดิ ความ

ภมู ใิ จในความเปน็ ไทย

๒.รจู้ กั และเขา้ ใจผลงานท่ี ๒.เข้าใจปัจจัยพื้นฐาน ๒.คิดวิเคราะห์ปัจจัยพื้น ๒.ศึกษากรณีตัวอย่าง

เกดิ จากภมู ปิ ญั ญาในทอ้ ง และผลกระทบภายนอกท่ี ฐาน และผลกระทบจาก ภู มิ ป ั ญ ญ า ไ ท ย ท่ี มี

ถนิ่ ของตน และ มี อิ ท ธิ พ ล ต ่ อ ก า ร ภายนอกท่ีมีอิทธิพลต่อ อิทธิพลต่อวิถีการด�ำเนิน

สามารถน�ำไปประยุกต์ใช้ สร้างสรรค์ภูมิปัญญา การสรา้ งสรรคภ์ มู ปิ ญั ญา ชีวิตของคนไทย และ

ในการดำ� เนินชีวิต ทอ้ งถนิ่ ของตนตงั้ แตอ่ ดตี ของมนุษย์ต้ังแต่อดีต อนุรักษ์ไว้เป็นมรดกของ

จนถึงปจั จุบัน จนถงึ ปัจจบุ นั ชาติด้วยความภูมใิ จ

54

มาตรฐานการเรียนร้ชู ่วงช้นั

ช่วงชัน้ ท่ี ๑ (ป.๑-๓) ชว่ งช้นั ที่ ๒ (ป.๔-๖) ชว่ งชน้ั ที่ ๓ (ม.๑-๓) ช่วงชน้ั ที่ ๔ (ม.๔-๖)

๓.รู้และเข้าใจประวัติ ๓.รู้และเข้าใจประวัติและ ๓.วิเคราะห์ และเปรียบ ๓.ศึกษาวิเคราะห์ผลงาน

บุคคลส�ำคัญในท้องถิ่น ผลงานของบุคคลส�ำคัญ เทียบผลงานของบุคคล ตัวอย่างของบุคคลส�ำคัญ

ของตนและนำ� ไปเปน็ แบบ ในประวัติศาสตร์ไทย ส�ำคัญท้ังในประเทศและ ทั้งในประเทศและต่าง

อย่างในการประพฤติ ต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ต่างประเทศ ท่ีมีผลกระ ป ร ะ เ ท ศ ที่ มี ส ่ ว น

ปฏบิ ัติ จนเกดิ ความภาคภมู ใิ จนำ� ทบต่อเหตุการณ์ ใน สร้างสรรค์วัฒนธรรม

ไปเป็นแบบอย่างใน การ ประวัติศาสตร์ ชาติไทย ไทยและประวัติศาสตร์

ด�ำเนนิ ชีวิต เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีน�ำ ชาติไทย

ไปใช้ในการดำ� เนนิ ชีวิต

จากตารางมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงช้ัน สาระมาตรฐาน ส ๔.๓ ว่าด้วยเร่ือง
ประวัตศิ าสตรไ์ ทยเพอ่ื ใหผ้ เู้ รียนเกิดความรัก ความภูมใิ จ และธ�ำรงความเปน็ ไทย

สาระเน้ือหาในมาตรฐาน ส ๔.๓ สามารถแบง่ ออกได้ ๓ เรอ่ื ง คอื (๑) ความเป็น
มาของชาติไทย (๒) บคุ คลส�ำคญั ของไทย (๓) วัฒนธรรมไทย และภูมิปญั ญาไทย

สาระเรอ่ื งความเป็นมาของชาตไิ ทย

ชว่ งชนั้ ที่ ๑ เปน็ การศึกษาเรื่องสญั ลกั ษณท์ ่แี สดงความเปน็ ชาตไิ ทย เช่น ธงชาติ
ไทย เพลงชาตไิ ทย พระมหากษตั รยิ ์ไทยและแผนท่ปี ระเทศไทย รวมท้งั เร่อื งราวของวตั ถุ
และสถานท่ใี นทอ้ งถนิ่ ทม่ี ีความสมั พนั ธก์ บั ความเปน็ มาของชาติไทย

ช่วงช้ันท่ี ๒ เป็นการศกึ ษาเรื่องการตง้ั ถิน่ ฐานและการสถาปนาอาณาจักรของรฐั
ไทยในดนิ แดนประเทศไทย พฒั นาการของอาณาจกั รสโุ ขทยั อยธุ ยา ธนบรุ แี ละรตั นโกสนิ ทร์
รวมทงั้ เหตกุ ารณส์ ำ� คญั ทมี่ ผี ลตอ่ การเปลย่ี นแปลง และความเจรญิ รงุ่ เรอื งในชว่ งสมยั ตา่ งๆ
โดยสังเขป

ช่วงช้ันท่ี ๓ ในระดับมัธยมศึกษา เป็นการศึกษาพัฒนาการทางประวัติศาสตร์
ของไทยในยุคก่อนสโุ ขทยั สมยั สโุ ขทยั สมยั อยธุ ยา สมยั ธนบรุ แี ละสมยั รตั นโกสนิ ทร์ รวม
ทง้ั เหตุการณ์ส�ำคญั ทางด้านการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สงั คม ศลิ ปวัฒนธรรมและ
ความสัมพันธร์ ะหวา่ งประเทศในช่วงสมัยตา่ งๆ

ช่วงช้ันท่ี ๔ เป็นการศึกษาประเด็นส�ำคัญท่ีเป็นแนวคิดและพัฒนาการทาง
ประวตั ศิ าสตร์ไทยในแต่ละชว่ งสมยั ต่างๆ ท้ังดา้ นการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม
ศิลปะ และวัฒนธรรม โดยวธิ กี ารทางประวัตศิ าสตร์

สาระเรอ่ื งบคุ คลส�ำคัญของไทย

ช่วงชนั้ ท่ี ๑ เปน็ การศกึ ษาประวัตแิ ละผลงานของพระมหากษัตรยิ ไ์ ทยและวรี ชน
ไทยในอดีตที่มีผลต่อการพัฒนาชาติไทย พระมหากษัตริย์และพระบรมราชินีนาถและ

55

พระราชวงศใ์ นรชั กาลปจั จบุ นั รวมทง้ั บคุ คลสำ� คญั ในทอ้ งถนิ่ ของตนทงั้ ในอดตี และปจั จบุ นั
เพือ่ ใหเ้ ป็นแบบอยา่ งในการดำ� เนินชีวติ

ช่วงชน้ั ที่ ๒ เป็นการศึกษาประวตั แิ ละผลงานของบคุ คลสำ� คัญในประวตั ิศาสตร์
ไทยต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจและเป็นแบบอย่างในการด�ำเนิน
ชีวิต

ชว่ งชนั้ ที่ ๓ ในระดบั มธั ยมศกึ ษา เป็นการวิเคราะหแ์ ละเปรยี บเทยี บผลงานของ
บคุ คลสำ� คัญท้งั ในประเทศ และตา่ งประเทศทมี่ สี ว่ นสร้างสรรคค์ วามเจรญิ และความมั่นคง
ของไทย

ชว่ งชน้ั ท่ี ๔ เปน็ การศกึ ษาวเิ คราะห์ผลงานของบุคคลสำ� คญั ท้งั ตา่ งประเทศและ
ในประเทศท่ีมสี ว่ นสร้างสรรค์วัฒนธรรมไทยและประวัติศาสตรช์ าติไทย

สาระเรอ่ื งวัฒนธรรมไทย และภูมปิ ัญญาไทย
ช่วงช้ันที่ ๑ เปน็ การศึกษาภมู ปิ ัญญาในครอบครัว ชมุ ชน และท้องถน่ิ ภาษาไทย
ชว่ งชนั้ ท่ี ๒ เปน็ การศกึ ษาปจั จยั ทมี่ อี ทิ ธพิ ลตอ่ การสรา้ งสรรคภ์ มู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ
และภูมิปัญญาไทย ต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและตัวอย่างของภูมิปัญญาท้องถ่ินและ
ภูมปิ ัญญาไทย
ช่วงช้ันที่ ๓ เป็นการศึกษาวิเคราะห์ปัจจัยพ้ืนฐานและผลกระทบท่ีมีต่อการ
สร้างสรรคภ์ ูมิปัญญาไทยในสมัยสุโขทยั สมัยอยุธยา สมยั ธนบุรีและสมยั รัตนโกสนิ ทร์
ช่วงช้ันท่ี ๔ เป็นการศึกษาวิเคราะห์ภูมิปัญญาไทยที่มีอิทธิพลต่อวิถีการด�ำเนิน
ชีวิตของคนไทย และการอนุรักษภ์ มู ปิ ญั ญาไทยไวเ้ ปน็ มรดกของชาติ
มาตรฐานการเรียนรู้ ส ๔.๓ เป็นสาระท่ีส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษา
ขัน้ พ้ืนฐานต้องการเนน้ เพือ่ สรา้ งสำ� นึกความเป็นไทยให้กบั เยาวชน

56

หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระ

สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สาระที่ ๔ ประวัติศาสตร์

กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศให้ใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน
พุทธศักราช ๒๕๕๑ เมื่อวนั ที่ ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยได้ระบุเจตนารมณ์ไวว้ ่า
เพ่ือให้การจัดการศึกษาข้ันพื้นฐานสอดคล้องกับสภาพความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
สงั คมและความเจรญิ กา้ วหนา้ ทางวทิ ยาการ เปน็ การสรา้ งกลยทุ ธใ์ หมใ่ นการพฒั นาคณุ ภาพ
การศึกษา ใหส้ ามารถตอบสนองความต้องการของบคุ คล สงั คมไทย ผู้เรียนมศี กั ยภาพใน
การแข่งขัน และร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ในสังคมโลก ปลูกฝังให้ผู้เรียนมีจิตส�ำนึก
ในความเป็นไทย มีระเบียบวินัย ค�ำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมและยึดมั่นในการปกครอง
ระบอบประชาธปิ ไตย อันมีพระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมุขเป็นไปตามเจตนารมณ์มาตรา
๘๐ ของรฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ และพระราชบญั ญตั ิการ
ศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และทแี่ กไ้ ขเพ่มิ เติม (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕ (ค�ำสั่งกระทรวง
ศกึ ษาธิการ ท่ี สพฐ. ๒๙๓ / ๒๕๕๑)

สาระประวัติศาสตร์ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช
๒๕๕๑ ยังคงไว้ซ่ึงหลักการส�ำคญั ของการเรยี นรปู้ ระวตั ิศาสตร์ในมาตรฐานการเรยี นรู้ ๓
มาตรฐาน ดังท่ีกล่าวมาแล้ว โดยได้ก�ำหนดตัวชี้วัดช้ันปี ในระดับประถมศึกษาและ
มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ และตวั ชว้ี ดั ชว่ งชน้ั ในระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย เพอ่ื ใหใ้ ชเ้ ปน็ ทศิ ทาง
ในการจดั ทำ� หลกั สตู รและการเรยี นการสอนในแตล่ ะระดบั นอกจากนน้ั ไดก้ ำ� หนดโครงสรา้ ง
เวลาเรยี นขนั้ ตำ�่ ของแตล่ ะกลมุ่ สาระการเรยี นรใู้ นแตล่ ะชนั้ ปไี วใ้ นหลกั สตู รแกนกลางและเปดิ
โอกาสให้สถานศึกษาเพ่ิมเติมเวลาเรียนได้ตามความพร้อมและจุดเน้น อีกท้ังได้ปรับ
กระบวนการวดั และประเมนิ ผลผเู้ รยี น เกณฑก์ ารจบการศกึ ษาแตล่ ะระดบั และเอกสารแสดง
หลักฐานทางการศึกษาให้มีความสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้และมีความชัดเจนต่อ
การน�ำไปปฏิบัติ (กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๕๑:๒ )

ท้ังนี้ได้มีการปรับปรุงและเพิ่มเติมเนื้อหาสาระประวัติศาสตร์ใหม่ท่ีปรากฏในตัว
ช้ีวัดช้ันปี และตัวช้ีวัดช่วงชั้น ซ่ึงไม่เคยปรากฏในมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้นในหลักสูตร
การศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ เพอ่ื เปน็ การพัฒนาการเรียนรใู้ ห้ชัดเจน และ
เหมาะสมย่ิงขึ้นในสถานการณ์ปัจจุบันที่เป็นโลกแห่งข้อมูลข่าวสาร โลกของกระแส
วฒั นธรรมของประเทศทีม่ ง่ั ค่ังทางเศรษฐกิจซ่ึงอาจท�ำลายวัฒนธรรมไทย และคา่ นยิ มอนั
ดงี ามตา่ งๆ ของไทยได้ รวมทัง้ การพัฒนาผู้เรยี นให้มคี วามรู้ ความเขา้ ใจประเทศเพ่ือน
บ้าน และภูมิภาคอ่ืนๆ เพื่อให้รู้เท่าทันและสามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนในสังคมโลกท่ีมีความ
แตกต่างทางวฒั นธรรมได้อยา่ งสนั ติสขุ

57

สาระประวตั ิศาสตร์ในมาตรฐานการเรียนรู้ และตวั ชีว้ ดั รายปี และชว่ งช้นั ดงั ราย
ละเอยี ดการวิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรูป้ ระวัติศาสตร์ ส ๔.๑ – ส ๔.๓ ดังน้ี

มาตรฐาน ส ๔.๑ เขา้ ใจความหมาย ความสำ� คญั ของเวลา และยคุ สมยั ทางประวตั ศิ าสตร์
สามารถใช้วธิ กี ารทางประวัติศาสตร์มาวเิ คราะห์เหตกุ ารณ์ตา่ งๆ อย่างเป็นระบบ

ตัวช้วี ัดชั้นปีระดบั ประถมศึกษา

ป.๑ ๑. บอกวัน เดือน ปี และการนบั ชว่ งเวลาตามปฏทิ นิ ท่ใี ช้ในชวี ิตประจ�ำวัน
๒. เรยี งล�ำดับเหตุการณ์ในชีวติ ประจ�ำวนั ตามวนั เวลาท่ีเกิดขน้ึ

๓. บอกประวตั คิ วามเป็นมาของตนเอง และครอบครัว โดยสอบถาม ผู้เก่ยี วขอ้ ง

ป.๒ ๑. ใชค้ ำ� ระบุเวลาที่แสดงเหตุการณใ์ นอดีต ปจั จบุ นั และอนาคต
๒. ลำ� ดับเหตกุ ารณ์ทเ่ี กดิ ขึน้ ในครอบครัวหรอื ในชีวิตของตนเองโดยใชห้ ลกั ฐาน

ที่เกี่ยวข้อง

ป.๓ ๑. เทียบศกั ราชทสี่ ำ� คัญตามปฏทิ นิ ทใ่ี ช้ใน ชีวติ ประจ�ำวัน
๒. แสดงลำ� ดบั เหตกุ ารณส์ ำ� คญั ของโรงเรยี นและชมุ ชนโดยระบหุ ลกั ฐานและแหลง่

ขอ้ มูลที่เกี่ยวขอ้ ง

ป.๔ ๑. นับชว่ งเวลาเป็นทศวรรษ ศตวรรษ และสหัสวรรษ
๒. อธิบายยคุ สมยั ในการศึกษาประวตั ขิ องมนษุ ยชาติโดยสังเขป

๓. แยกแยะประเภทหลกั ฐานทีใ่ ช้ในการศึกษาความเปน็ มาของท้องถน่ิ

ป.๕ ๑. สืบค้นความเปน็ มาของทอ้ งถ่นิ โดยใชห้ ลกั ฐานทีห่ ลากหลาย
๒. รวบรวมขอ้ มลู จากแหลง่ ตา่ งๆ เพอื่ ตอบคำ� ถามทางประวตั ศิ าสตรอ์ ยา่ งมเี หตผุ ล

๓. อธบิ ายความแตกตา่ งระหวา่ งความจรงิ กบั ขอ้ เทจ็ จรงิ เกยี่ วกบั เรอ่ื งราวในทอ้ งถนิ่

ป.๖ ๑. อธบิ ายความสำ� คญั ของวธิ กี ารทางประวตั ิศาสตรใ์ นการศึกษาเรอื่ งราว
ทางประวตั ิศาสตรอ์ ยา่ งงา่ ยๆ

๒. นำ� เสนอขอ้ มลู จากหลกั ฐานทห่ี ลากหลายในการทำ� ความเขา้ ใจเรอื่ งราวสำ� คญั ในอดตี

58

มาตรฐาน ส ๔.๑ เขา้ ใจความหมาย ความสำ� คญั ของเวลา และยคุ สมยั ทางประวตั ศิ าสตร์
สามารถใช้วถิ ีการทางประวตั ศิ าสตร์มาวิเคราะหเ์ หตกุ ารณต์ ่างๆ อย่างเป็นระบบ

ตวั ชวี้ ดั ชน้ั ปรี ะดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ และตวั ชวี ดั ชว่ งชน้ั ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย

ม.๑ ๑. วเิ คราะหค์ วามสำ� คัญของเวลาในการศึกษาประวัติศาสตร์

๒. เทยี บศกั ราชตามระบบตา่ ง ๆ ทใ่ี ช้ ศึกษาประวตั ิศาสตร์
๓. น�ำวิธกี ารทาง ประวตั ิศาสตร์มาใชศ้ กึ ษาเหตุการณท์ างประวัตศิ าสตร์

ม.๒ ๑. ประเมินความน่าเชอื่ ถอื ของหลักฐานทางประวตั ิศาสตร์ในลกั ษณะต่างๆ
๒. วเิ คราะหค์ วามแตกตา่ งระหว่างความจรงิ กบั ขอ้ เท็จจริง ของเหตุการณ์

ทางประวัติศาสตร์

๓. เห็นความส�ำคัญของการตคี วามหลักฐานทางประวัตศิ าสตรท์ ่นี า่ เช่อื ถอื

ม.๓ ๑. วิเคราะหเ์ รื่องราวเหตุการณส์ �ำคัญทางประวตั ศิ าสตรไ์ ด้อยา่ งมเี หตุผลตาม
วิธกี ารทางประวัติศาสตร์

๒. ใชว้ ธิ ีการทางประวัติศาสตร์ในการศกึ ษาเรื่องราวตา่ งๆ ทตี่ นสนใจ

ม.๔-๖ ๑. ตระหนกั ถึงความสำ� คญั ของเวลาและยคุ สมยั ทางประวตั ศิ าสตรท์ แ่ี สดงถึง
การเปลย่ี นแปลงของมนษุ ยชาติ

๒. สรา้ งองคค์ วามรใู้ หมท่ างประวตั ศิ าสตรโ์ ดยใชว้ ธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตรอ์ ยา่ ง

เป็นระบบ

จากตารางมาตรฐานการเรียนรู้ ส ๔.๑ ว่าด้วยเรื่องความรู้พื้นฐานทาง
ประวัติศาสตร์ และวธิ ีการทางประวตั ศิ าสตร์ ในสาระเน้อื หายังคงแบง่ ได้ ๒ เร่ืองเช่นเดมิ
คือเรือ่ งเวลา และวธิ ีการทางประวัติศาสตร์ แต่ไดก้ �ำหนดเนอ้ื หาท่เี รยี นในแต่ละเรอื่ ง และ
แตล่ ะชัน้ ไวช้ ดั เจน ดังนี้

สาระเรื่องเวลา
ชั้น ป.๑ เร่ิมให้เรียนรู้เวลาในปฏิทินท่ีใช้ในชีวิตประจ�ำวันที่มีทั้งเวลาในระบบ
สรุ ิยคติ และจันทรคติ และใช้ค�ำท่บี อกช่วงเวลาเรียงลำ� ดบั เหตุการณใ์ นชีวิตประจำ� วันได้

59

ช้นั ป.๒ เป็นเวลาท่ปี ฏิทนิ ที่แสดงเหตุการณส์ �ำคญั ในอดีต ปจั จุบนั และอนาคต
และใชค้ ำ� ทีแ่ สดงเวลาในอดตี ปจั จบุ ัน และอนาคตได้

ชน้ั ป.๓ ท�ำความเขา้ ใจเรื่องศกั ราชในปฏิทิน ไดแ้ ก่ พทุ ธศักราช คริสต์ราช (และ
ฮิจเราะห์ศักราช ส�ำหรับชาวมสุ ลมิ ) และเทยี บศกั ราชได้

ชนั้ ป.๔ การใช้ช่วงเวลา ๑๐ ป,ี ๑๐๐ ปี ที่เรียกวา่ ทศวรรษ ศตวรรษ และ
สหสั วรรษ และการแบง่ ยคุ สมัยในการศกึ ษาประวตั ิศาสตรข์ องมนษุ ยชาติ และช่วงสมัยใน
การศกึ ษาประวตั ศิ าสตร์ไทย

ชนั้ ป.๕ และ ป.๖ หลกั สตู รไมไ่ ดก้ �ำหนดใหเ้ รียนเรอ่ื งเวลา
ชั้น ม.๑ เปน็ การศกึ ษาวิเคราะห์ความส�ำคัญของเวลาในการศึกษาประวตั ิศาสตร์
และการเทยี บศกั ราชตามระบบตา่ ง ๆ ทปี่ รากฏในเอกสารประวัตศิ าสตรไ์ ทย
ช้นั ม.๒ และม.๓ หลักสตู รไมไ่ ด้ก�ำหนดให้เรยี นเรื่องเวลา
ชน้ั ม.๔ – ม.๖ ก�ำหนดใหศ้ ึกษาเวลา และยุคสมยั ทางประวตั ิศาสตร์ทีป่ รากฏใน
เอกสารประวัติศาสตร์ไทย และประวัติศาสตร์สากล ท่ีแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงและ
พัฒนาการของมนุษยชาติ
จะเห็นว่าการก�ำหนดตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้แกนกลาง จะเป็นการก�ำหนด
สาระเนอ้ื หาการเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตรอ์ ยา่ งชดั เจน ซงึ่ จะเปน็ การลดความซำ้� ซอ้ นของเนอื้ หา
ทเี่ ป็นปัญหาในการใชห้ ลกั สูตรการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๔๔ และเป็นเนอ้ื หา
ท่ไี มจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งเรยี นทุกชั้นปี

สาระเร่ือง วิธีการทางประวัติศาสตร์ เป็นเรื่องส�ำคัญและถือเป็นหัวใจของ
การศึกษาประวัติศาสตร์ หลักสูตรจึงได้ก�ำหนดเนื้อหา และทักษะที่ต้องฝึกฝนผู้เรียน
ทกุ ชั้นปี จากเร่ืองงา่ ยทใี่ กล้ตัวไปสู่เร่ืองทซี่ บั ซ้อน และไกลตวั ออกไป

ชนั้ ป.๑ ฝกึ ทกั ษะการสอบถามและการบอกเลา่ เรอ่ื งราวของตนเองและครอบครวั
ชั้น ป.๒ ฝึกทักษะการสืบค้นข้อมูลจากหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับตนเองและ
ครอบครวั และให้เรยี งลำ� ดับเหตุการณ์โดยใช้เสน้ เวลาได้
ชน้ั ป.๓ ฝกึ ทกั ษะการสบื คน้ ขอ้ มลู จากหลกั ฐานทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั โรงเรยี น และชมุ ชน
ใกล้ตัว และสามารถเรียงลำ� ดับเหตกุ ารณโ์ ดยใชเ้ ส้นเวลาได้
ชนั้ ป.๔ ฝกึ ทกั ษะการจำ� แนกแยกแยะหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรท์ ใี่ ชใ้ นการศกึ ษา
ความเปน็ มาของทอ้ งถน่ิ
ชั้น ป.๕ ฝึกทกั ษะการใชห้ ลักฐานทห่ี ลากหลาย แยกแยะความจรงิ กบั ข้อเทจ็ จรงิ
ในการศกึ ษาเร่อื งราวในท้องถิ่นทต่ี นสนใจ

60

ชนั้ ป.๖ ศกึ ษาความหมายและความสำ� คญั ของวธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตรอ์ ยา่ งงา่ ยๆ
และใช้วธิ ีการทางประวัตศิ าสตร์ในการศกึ ษาเหตกุ ารณท์ างประวัตศิ าสตร์ท่ีตนสนใจได้

ช้ัน ม.๑ ฝึกทักษะการใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ ศึกษาเหตุการณ์ทาง
ประวตั ิศาสตรท์ มี่ อี ยู่ในท้องถิ่นของตนเอง สามารถวิเคราะหห์ ลักฐานช้ันตน้ และชั้นรอง

ช้ัน ม.๒ ฝึกทักษะการประเมินความน่าเชื่อถือของหลักฐานทางประวัติศาสตร์
ในลักษณะต่างๆ วิเคราะห์ แยกแยะ ตีความและประเมินความน่าเช่ือถือของข้อมูลจาก
หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์

ช้ัน ม.๓ ฝึกทักษะการใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ ศึกษาเหตุการณ์ส�ำคัญทาง
ประวตั ิศาสตรไ์ ดอ้ ย่างมีเหตุผล

ชน้ั ม.๔–๖ ฝกึ ทกั ษะการใชว้ ธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตรต์ ามลำ� ดบั ขน้ั ตอนอยา่ งเปน็
ระบบ สบื คน้ เรอ่ื งราวทตี่ นสนใจและสรา้ งความรใู้ หมท่ างประวตั ศิ าสตร์ จดั ทำ� เปน็ โครงงาน
ทางประวตั ิศาสตร์ได้

จะเหน็ วา่ หลกั สตู รไดก้ ำ� หนดใหผ้ เู้ รยี นไดฝ้ กึ ทกั ษะการใชว้ ธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตร์
สืบค้นเร่ืองราวในอดีต ในทุกช้ัน โดยตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางจะเน้นเน้ือหา
ตามระดับ ความยากง่าย และความลุ่มลึกแตกต่างกัน ทักษะดังกล่าวนี้เป็นทักษะจ�ำเป็น
ในการดำ� เนนิ ชวี ติ ในโลกยคุ ขอ้ มลู ขา่ วสาร เพอื่ ใหผ้ เู้ รยี นสามารถแยกแยะขอ้ เทจ็ หรอื ขอ้ จรงิ
ข้อคิดเห็นหรือข้อสันนิษฐานที่ปรากฏในข้อมูลสารสนเทศต่างๆ รวมท้ังประเมินความน่า
เชอ่ื ถือของข้อมลู จากหลักฐานท่ีหลากหลายได้

เครื่องมือส�ำคัญส�ำหรับผู้เรียนในเรื่องน้ีประกอบด้วย ปฏิทิน หนังสือพิมพ์
อินเทอร์เน็ต เอกสารประวัติศาสตร์ แบบส�ำรวจ แบบสอบถามและวธิ ีการศึกษาอย่างเปน็
ระบบ เพื่อสืบค้นเร่ืองราวที่เกิดข้ึนรอบตัวผู้เรียนท้ังที่ผ่านมาแล้ว และเหตุการณ์ปัจจุบัน
แหล่งเรียนรู้น่าจะเป็นผู้รู้ บ้าน ตลาด วัดหรือศาสนสถาน ศูนย์วัฒนธรรมและแหล่ง
ภมู ปิ ญั ญาในชมุ ชน สว่ นหนงั สอื เรยี นมบี ทบาทเปน็ เพยี งขอ้ มลู และหลกั การกวา้ ง ๆ ผเู้ รยี น
จะบรรลุจุดมุ่งหมายตามหลักสูตรได้หรือไม่ ข้ึนอยู่กับกระบวนการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้
ผ่านการปฏิบัติจริงจากการจัดการเรียนรู้ ท่ีผู้สอนได้จัดให้ผู้เรียนฝึกทักษะหลายด้าน
เชน่ การสอบถาม การสงั เกต การส�ำรวจ การวเิ คราะห์ / วิพากษ์ข้อมูล การสงั เคราะห์
การสร้างความรู้ใหม่ การให้เหตุผล ฯลฯ บทบาทส�ำคัญจึงอยู่ที่ครูและเทคนิคการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีไม่ควรจ�ำกัดอยู่ในห้องเรียน ผู้รู้ก็ไม่ใช่ครูหรือหนังสือเรียนเท่าน้ัน
วิธกี ารเรยี นรู้ กไ็ ม่ใชก่ ารอ่าน การฟงั การจดและจ�ำใหแ้ ม่นยำ� เหมือนอดตี ทีผ่ ่านมา

61

มาตรฐาน ส ๔.๒ : เข้าใจพฒั นาการของมนษุ ยชาติจากอดตี ถงึ ปจั จุบันในดา้ นความ
สมั พนั ธ์ และการเปลยี่ นแปลงของเหตกุ ารณอ์ ยา่ งตอ่ เนอ่ื งตระหนกั ถงึ ความสำ� คญั และ
วิเคราะหผ์ ลกระทบท่เี กิดข้ึน

ตวั ช้ีวดั ช้นั ปรี ะดบั ประถมศึกษา

ป.๑ ๑. บอกความเปลย่ี นแปลงของสภาพแวดลอ้ ม ส่งิ ของ เครอ่ื งใช้หรือการด�ำเนิน
ชวี ิตของตนเองกบั สมัยของพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย

๒. บอกเหตุการณท์ เ่ี กิดขน้ึ ในอดีตทม่ี ผี ลต่อตนเองในปจั จุบนั

ป.๒ ๑. สบื คน้ ถงึ การเปลยี่ นแปลงในวถิ ชี วี ติ ประจำ� วนั ของคนในชมุ ชนของตนจากอดตี
ถึงปัจจุบัน

๒. อธบิ ายถงึ ผลกระทบของการเปลีย่ นแปลงทมี่ ีตอ่ วถิ ชี ีวิตของคน ในชุมชน

๑. ระบปุ จั จัยท่มี อี ทิ ธิพลตอ่ การต้ังถ่นิ ฐานและพัฒนาการของชมุ ชน

ป.๓ ๒. สรุปลักษณะทสี่ ำ� คญั ของขนบธรรมเนยี มประเพณีและวฒั นธรรมของชมุ ชน

๓. เปรยี บเทียบความเหมอื นและความต่างทางวฒั นธรรมของชุมชนตนเองกบั
ชมุ ชนอ่ืนๆ

ป.๔ ๑. อธิบายการต้งั หลกั แหลง่ และพฒั นาการของมนุษยย์ คุ กอ่ นประวัตศิ าสตรแ์ ละ
ยุคประวตั ศิ าสตรโ์ ดยสงั เขป
๒. ยกตวั อย่างหลกั ฐานทางประวัตศิ าสตรท์ ีพ่ บในท้องถ่ินทแี่ สดงพฒั นาการของ
มนุษยชาตใิ นดินแดนไทย

ป.๕ ๑. อธบิ ายอิทธพิ ลของอารยธรรมอนิ เดยี และจีนที่มีต่อไทยและเอเชียตะวนั ออก
เฉยี งใต้โดยสังเขป

๒. อภปิ รายอทิ ธิพลของวัฒนธรรมต่างชาติท่มี ตี อ่ สงั คมไทยปัจจบุ นั โดยสงั เขป

ป.๖ ๑. อธบิ ายสภาพสงั คม เศรษฐกจิ และการเมอื ง ของประเทศเพอ่ื นบา้ นในปจั จบุ นั
๒. บอกความสมั พันธข์ องกล่มุ อาเซียนโดยสงั เขป

62

มาตรฐาน ส ๔.๒ เข้าใจพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตถึงปัจจุบันในด้านความ
สัมพันธ์ และการเปล่ียนแปลงของเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง ตระหนักถึงความส�ำคัญ
และวิเคราะห์ผลกระทบที่เกดิ ขนึ้

ตวั ชว้ี ดั ชน้ั ปรี ะดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ และตวั ชวี้ ดั ชว่ งชน้ั ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย

ม.๑ ๑. อธิบายพฒั นาการทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองของประเทศตา่ งๆ

ในภูมภิ าคเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต้
๒. ระบุความสำ� คญั ของแหลง่ อารยธรรมในภมู ภิ าคเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้

ม.๒ ๑. อธบิ ายพัฒนาการทางสังคม เศรษฐกิจและการเมอื งของ ภมู ิภาคเอเชีย
๒. ระบุความสำ� คัญของแหล่งอารยธรรมโบราณในภมู ิภาคเอเชีย


ม.๓ ๑. อธบิ ายพฒั นาการทางสังคม เศรษฐกจิ และการเมืองของภูมภิ าคตา่ งๆ
ม.๔-๖ ในโลกโดยสงั เขป

๒. วเิ คราะห์ผลของการเปลีย่ นแปลงที่นำ� ไปส่คู วามร่วมมอื และความขัดแย้ง
ในครสิ ตศ์ ตวรรษที่ ๒๐ ตลอดจนในการขจัดปัญหาความขดั แย้ง

๑. วิเคราะหอ์ ิทธิพลของอารยธรรมโบราณและการติดต่อระหวา่ งโลกตะวนั ออก
กบั โลกตะวนั ตกทมี่ ีผลต่อพฒั นาการและการเปลยี่ นแปลงของโลก

๒. วิเคราะหเ์ หตุการณส์ ำ� คญั ตา่ งๆ ทส่ี ง่ ผลตอ่ การเปลย่ี นแปลงทางสังคม
เศรษฐกจิ และการเมอื ง เข้าสู่โลกสมยั ปัจจบุ ัน

๓. วเิ คราะห์ผลกระทบของการขยายอิทธพิ ลของประเทศในยุโรปไปยงั
ทวปี อเมรกิ า แอฟรกิ า เอเชีย

๔. วิเคราะห์สถานการณ์ของโลกในครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๒๑

มาตรฐาน ส ๔.๒ ว่าด้วยเรื่องพัฒนาการและการเปล่ียนแปลงของมนุษยชาติ
เพ่ือให้เข้าใจสังคม และวัฒนธรรม เศรษฐกิจและการเมืองการปกครองของกลุ่มคน
ที่กระจายกันอยู่ตามพ้ืนที่ต่างๆ ของโลก ท้ังน้ีเพ่ือสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน ยอมรับ
ความแตกต่างทางวัฒนธรรม ท่ีเกิดจากสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์และสังคม รวมท้ัง
ความเปน็ มาทางประวัตศิ าสตร์

63

ชนั้ ป.๑ จะไดเ้ รียนร้คู วามเปลี่ยนแปลงในบรบิ ทพืน้ ทีร่ อบตัวของตนเอง เริ่มจาก
สภาพแวดลอ้ ม สงิ่ ของเครอื่ งใช้ และบอกเลา่ เหตกุ ารณใ์ นอดตี ทสี่ ง่ ผลตอ่ ตนเองในปจั จบุ นั

ชน้ั ป.๒ เปน็ การสบื คน้ การเปลยี่ นแปลงในวถิ กี ารดำ� เนนิ ชวี ติ ของชมุ ชนจากอดตี
สปู่ จั จุบนั และผลกระทบของการเปล่ียนแปลง

ช้ัน ป.๓ เป็นการศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการต้ังถ่ินฐาน และพัฒนาการของ
ชุมชน

ชน้ั ป.๔ ศกึ ษาเก่ียวกับการต้งั ถ่นิ ฐานของมนุษยใ์ นแตล่ ะยุคสมัยในดินแดนไทย
จากหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ทพ่ี บในท้องถิ่นของตนเอง

ชั้น ป.๕ หลักสูตรไมไ่ ดก้ �ำหนดใหเ้ รยี นรู้
ชั้น ป.๖ ศึกษาเกยี่ วกบั ประเทศเพ่อื นบ้านในปจั จุบันและความสัมพันธข์ องกลุ่ม
อาเซยี นโดยสังเขป
ชน้ั ม.๑ ศึกษาเกยี่ วกบั พฒั นาการของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวนั ออก
เฉยี งใต้
ช้นั ม.๒ ศึกษาเก่ียวกับพัฒนาการของภมู ภิ าคตา่ งๆ ของทวีปเอเชีย
ชนั้ ม.๓ ศกึ ษาพฒั นาการของภมู ภิ าคตา่ งๆ ในโลกพอสงั เขป และเหตกุ ารณส์ ำ� คญั
ในครสิ ต์ศตวรรษท่ี ๒๐ ที่น�ำไปส่คู วามรว่ มมอื และความขดั แย้ง
ชั้น ม.๔–๖ ศึกษาเหตุการณ์ส�ำคัญที่ส่งผลต่อการเปล่ียนแปลงและโลกในยุค
จกั รวรรดินยิ ม จนถึง สถานการณ์โลกในคริสตศ์ ตวรรษที่ ๒๑

เร่ืองวฒั นธรรมและอารยธรรมของมนษุ ยชาติ
ป.๑ - ป.๒, ป.๔, ป.๖, และ ม.๓ หลกั สูตรไมไ่ ดก้ �ำหนดใหเ้ รยี น
ชั้น ป.๓ เรียนรู้ลักษณะส�ำคัญของวัฒนธรรมประเพณีในชุมชน เปรียบเทียบ
ความเหมอื นและความตา่ งกบั ชุมชนอน่ื ๆ
ชน้ั ป.๕ เรยี นรอู้ ทิ ธพิ ลของอารยธรรมอนิ เดยี และจนี ทม่ี ตี อ่ ไทยและภมู ภิ าคเอเชยี
ตะวนั ออกเฉยี งใต้ รวมทั้งอทิ ธิพลของวฒั นธรรมตา่ งชาตใิ นสงั คมไทยปัจจบุ ัน
ช้นั ม.๑ เรยี นร้เู กี่ยวกบั อารยธรรมในภูมิภาคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้
ช้ัน ม.๒ เรียนรู้เกย่ี วกบั อารยธรรมโบราณในภูมิภาคเอเชีย
ชนั้ ม.๔–๖ ศกึ ษาอทิ ธพิ ลของอารยธรรมโบราณและการตดิ ตอ่ ระหวา่ งโลกตะวนั
ออกกับโลกตะวันตก
ในมาตรฐานการเรียนรู้ ส ๔.๒ ระดับประถมศึกษาจะได้เรียนรู้ในบริบทพ้ืนที่
รอบตวั ของตนเอง เรมิ่ จากครอบครัว โรงเรยี น ชมุ ชน ทอ้ งถ่นิ ประเทศชาติและประเทศ
เพื่อนบ้าน ท้ังในแง่ให้รู้จักตนเอง ชุมชนและสังคมตนเอง เข้าใจความเหมือนและ

64

ความตา่ ง โดยเปรยี บเทยี บชมุ ชนตนกบั ชมุ ชนอน่ื ประเทศตนกบั ประเทศเพอื่ นบา้ น เพอ่ื ให้
เขา้ ใจและสามารถอยรู่ วมกบั ผอู้ น่ื ทตี่ า่ งชาติ ตา่ งศาสนา ตา่ งวฒั นธรรมในภมู ภิ าคนไ้ี ดอ้ ยา่ ง
มีความสุข เข้าใจอิทธิพลของวัฒนธรรมและความสัมพันธ์ของต่างชาติท่ีมีต่อสังคมไทย
ในปัจจุบัน บทบาทของไทยในกลุ่มอาเซียน ส่วนในระดับมัธยมศึกษาจะเรียนรู้เก่ียวกับ
อารยธรรม วัฒนธรรมและพัฒนาการของภูมิภาคต่างๆ ของโลก เริ่มท่ีเอเชียตะวันออก
เฉียงใต้ ทวีปเอเชียและภูมิภาคอ่ืนๆ จนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จะได้เรียนรู้
สถานการณ์ของโลกตามช่วงเวลาต่างๆ จนถึงโลกในคริสต์ศตวรรษท่ี ๒๑ ซ่ึงเป็น
สถานการณ์ของโลกปจั จบุ ัน ท่ีเตม็ ไปดว้ ยความขัดแยง้ และความพยายามที่จะแกไ้ ขปญั หา

จะเหน็ วา่ การเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตรใ์ นลกั ษณะน้ี จดุ มงุ่ หมายสำ� คญั ไมใ่ ชก่ ารจดจำ�
ขอ้ มลู จดุ เนน้ ของสาระน้ี คอื การศกึ ษาอดตี เพอ่ื เขา้ ใจปจั จบุ นั รเู้ ทา่ ทนั สถานการณข์ องโลก
ปจั จบุ นั เตรยี มตวั ใหพ้ รอ้ มสำ� หรบั อนาคตทจี่ ะมาถงึ และเปน็ พลเมอื งโลกทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ
ซงึ่ การที่จะฝกึ ฝนผเู้ รียนใหม้ ีคณุ ลักษณะน้ไี ด้นั้น ผู้สอนควรมงุ่ มีการวิเคราะห์ข่าวสารและ
เหตกุ ารณป์ จั จบุ นั ทป่ี รากฏในสงั คมไทย และใชข้ อ้ มลู สารสนเทศในสอ่ื ทหี่ ลากหลายใหเ้ ปน็
ประโยชนใ์ นการฝกึ ฝนทกั ษะ การวพิ ากษ์ วจิ ารณ์ วนิ จิ ฉยั การตคี วามบนพน้ื ฐานของขอ้ มลู
หลักฐาน เป้าหมายส�ำคัญจึงเป็นการสร้างคุณลักษณะที่พึงประสงค์ เจตคติ และค่านิยม
อนั ดงี ามใหเ้ กดิ ขน้ึ กบั เยาวชนในฐานะเปน็ พลเมอื งไทย และพลเมอื งโลกทมี่ คี วามรบั ผดิ ชอบ
ซ่ึงจะเกิดข้ึนได้ก็ต่อเมื่อผู้สอนประวัติศาสตร์เข้าใจเจตนารมณ์ของหลักสูตรอย่างถ่องแท้
และสามารถจดั กิจกรรมการเรียนรู้ไดเ้ หมาะสมกบั ศักยภาพของผู้เรียน

65

มาตรฐาน ส ๔.๓ : เขา้ ใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมปิ ญั ญาไทย มีความ
ภมู ิใจและธ�ำรงความเป็นไทย

ตวั ช้ีวดั ชน้ั ปรี ะดับประถมศกึ ษา

ป.๑ ๑. ระบคุ วามหมาย และความสำ� คญั ของสญั ลกั ษณส์ ำ� คญั ของชาตไิ ทยและปฏบิ ตั ิ

ตนไดถ้ กู ตอ้ ง
๒. บอกสถานท่สี �ำคญั ซึ่งเป็นแหลง่ วัฒนธรรมในชุมชน
๓. ระบสุ ่งิ ทตี่ นรกั และภาคภมู ิใจในทอ้ งถ่นิ

ป.๒ ๑. ระบบุ ุคคลทีท่ �ำประโยชน์ต่อทอ้ งถ่นิ หรือ ประเทศชาติ

๒. ยกตวั อย่างวฒั นธรรม ประเพณีและภูมิปัญญาไทยที่ภาคภูมใิ จและ
ควรอนุรักษ์ไว้

ป.๓ ๑. ระบุพระนามและพระราชกรณียกิจโดยสงั เขปของพระมหากษตั รยิ ์ไทย
ทีเ่ ปน็ ผู้สถาปนาอาณาจักรไทย

๒. อธิบายพระราชประวัติ และของพระราชกรณยี กิจของพระมหากษัตริย์

ในรชั กาลปัจจบุ ันโดยสงั เขป

๓. เลา่ วีรกรรมของบรรพบุรุษไทยที่มสี ่วนปกป้องประเทศชาติ

ป.๔ ๑. อธบิ ายพฒั นาการของอาณาจกั รสโุ ขทัยโดยสงั เขป

๒. บอกประวตั ิและผลงานของบุคคลสำ� คัญ
๓. อธิบายภมู ิปัญญาไทยทส่ี ำ� คญั ในสมัยสโุ ขทยั ทนี่ ่าภาคภูมใิ จและควรค่าแก่

การอนุรักษ์

ป.๕ ๑. อธิบายพัฒนาการของอาณาจกั รอยุธยา และธนบุรีโดยสังเขป

๒. อธบิ ายปจั จยั ที่สง่ เสรมิ ความเจรญิ รุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและการปกครอง
ของอาณาจกั รอยธุ ยา

๓. บอกประวตั แิ ละผลงานของบคุ คลสำ� คญั ในสมยั อยธุ ยาและธนบรุ ที น่ี า่ ภาคภมู ใิ จ
๔. อธบิ ายภูมิปัญญาไทยทสี่ ำ� คัญในสมยั อยธุ ยาและธนบรุ ีทีน่ า่ ภาคภมู ิใจและ

ควรค่าแก่การอนรุ กั ษ ์

ป.๖ ๑. อธิบายพัฒนาการของไทยสมัยรัตนโกสินทร์โดยสงั เขป

๒. อธบิ ายปจั จยั ท่สี ง่ เสรมิ ความเจริญร่งุ เรอื งทางเศรษฐกิจ และการปกครอง
ของไทยในสมยั รัตนโกสนิ ทร์

๓. ยกตัวอย่างของบุคคลสำ� คัญด้านตา่ ง ๆ ในสมัยรัตนโกสินทร์
๔. อธบิ ายภมู ปิ ญั ญาไทยทสี่ ำ� คญั ในสมยั รตั นโกสนิ ทรท์ นี่ า่ ภาคภมู ใิ จและควรคา่

แก่การอนรุ กั ษไ์ ว ้

66

มาตรฐาน ส ๔.๓ เขา้ ใจความเปน็ มาของชาติไทย วฒั นธรรม ภูมปิ ญั ญาไทย มคี วาม
ภูมิใจ และธ�ำรงความเป็นไทย

ตวั ชว้ี ดั ชนั้ ปรี ะดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ และตวั ชวี้ ดั ชว่ งชนั้ ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย

ม.๑ ๑. อธบิ ายเรอื่ งราว ทางประวตั ศิ าสตรส์ มยั กอ่ นสโุ ขทยั ในดนิ แดนไทยโดยสงั เขป

๒. วเิ คราะหพ์ ฒั นาการของอาณาจกั รสุโขทยั ในดา้ นต่างๆ
๓. วเิ คราะหอ์ ทิ ธพิ ลของวฒั นธรรมและภมู ปิ ญั ญาไทย สมยั สโุ ขทยั และสงั คมไทย

ในปัจจุบนั

ม.๒ ๑. วิเคราะห์พฒั นาการของอาณาจักรอยธุ ยาและธนบุรีในด้านต่างๆ

๒. วเิ คราะหป์ จั จยั ทส่ี ง่ ผลตอ่ ความมนั่ คงและความเจรญิ รงุ่ เรอื งของอาณาจกั รอยธุ ยา
๓. ระบุภูมิปญั ญาและวัฒนธรรมไทย สมัยอยุธยาและธนบรุ ี และอทิ ธพิ ลของ

ภูมิปัญญาดงั กลา่ วตอ่ การพัฒนาชาติไทยในยุคต่อมา

ม.๓ ๑. วิเคราะห์พัฒนาการของไทยสมยั รัตนโกสนิ ทรใ์ นดา้ นตา่ งๆ

๒. วิเคราะหป์ จั จยั ท่สี ง่ ผลตอ่ ความมน่ั คงและความเจรญิ รุ่งเรืองของไทย
ในสมยั รัตนโกสนิ ทร์

๓. วเิ คราะหภ์ ูมิปญั ญาและวฒั นธรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร์และอทิ ธิพล
ต่อการพฒั นาชาติไทย

๔. วิเคราะหบ์ ทบาทของไทยในระบอบประชาธปิ ไตย

ม.๔-๖ ๑. วิเคราะหป์ ระเดน็ ส�ำคัญของประวัติศาสตร์ไทย
๒. วิเคราะหค์ วามส�ำคญั ของสถาบนั พระมหากษัตรยิ ต์ อ่ ชาติไทย
๔. วเิ คราะหผ์ ลงานของบคุ คลส�ำคญั ทง้ั ชาวไทยและต่างประเทศ ที่มสี ว่ น

สรา้ งสรรค์วฒั นธรรมไทยและประวัตศิ าสตร์ไทย
๓. วเิ คราะห์ปจั จัยทีส่ ง่ เสรมิ การสร้างสรรค์ภมู ปิ ัญญาไทยและวัฒนธรรมไทย

ซง่ึ มผี ลตอ่ สังคมไทยในยุคปัจจุบัน
๕. วางแผนกำ� หนดแนวทางการมสี ว่ นรว่ มการอนรุ ักษภ์ ูมิปัญญาไทยและ

วฒั นธรรมไทย

มาตรฐาน ส ๔.๓ ว่าด้วยเร่อื งประวัติศาสตรไ์ ทยทง้ั ในเรื่องความเป็นมาของชาติ
ไทย บคุ คลสำ� คญั ของไทย วฒั นธรรมไทย และภมู ปิ ญั ญาไทย โดยมเี ปา้ หมายเพอ่ื ใหน้ กั เรยี น
เกดิ ความรกั ความภาคภมู ใิ จ และธำ� รงความเปน็ ไทย โดยในระดบั ประถมศกึ ษา เรม่ิ เรยี น
รูเ้ รือ่ งสัญลกั ษณ์ของชาติไทย (ธงชาติ เพลงชาติ ภาษาไทย ศลิ ปกรรมไทย มารยาทไทย

67

วัฒนธรรม และขนบธรรมเนียม ประเพณีไทย) รู้จักแหล่งวัฒนธรรม และภูมิปัญญา
ในชุมชน ศึกษาพระราชประวัติ และพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ ได้เรียนรู้
วีรกรรมบรรพบุรุษไทยที่มีส่วนปกป้อง และสร้างสรรค์ความเจริญให้ประเทศชาติ และ
พฒั นาการของรฐั ไทยในชว่ งเวลาตา่ ง ๆ ในระดบั มธั ยมศกึ ษาจะไดว้ เิ คราะห์ พฒั นาการของ
อาณาจกั รไทยในทง้ั ดา้ นการเมอื งการปกครอง เศรษฐกจิ สงั คม และความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง
ประเทศ รวมท้งั วิเคราะห์ภมู ปิ ัญญาและวัฒนธรรมไทย โดยก�ำหนดเนือ้ หาสาระในตัวชว้ี ัด
และสาระแกนกลางดงั น้ี

ชนั้ ป.๑ เรยี นรสู้ ัญลักษณ์ส�ำคัญของชาติไทย แหลง่ วัฒนธรรมในชมุ ชน และส่งิ
ทีต่ นภูมใิ จในท้องถนิ่

ชั้น ป.๒ เรียนรู้บุคคลที่ท�ำประโยชน์ต่อท้องถิ่น และประเทศชาติ รวมท้ัง
วัฒนธรรมประเพณที ี่ภาคภมู ใิ จ

ช้ัน ป.๓ เรียนรู้พระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ไทย และวีรกรรมของ
บรรพบุรุษไทยทมี่ สี ว่ นปกป้องประเทศชาติ

ชน้ั ป.๔ ศกึ ษาพฒั นาการของอาณาจกั รสโุ ขทยั บคุ คลสำ� คญั และภมู ปิ ญั ญาสมยั
สุโขทัยโดยสังเขป

ชั้น ป.๕ ศึกษาพัฒนาการของอาณาจักรอยุธยา และธนบุรี บุคคลส�ำคัญ และ
ภมู ปิ ญั ญาสมัยอยธุ ยา และธนบรุ ี โดยสังเขป

ชน้ั ป.๖ ศกึ ษาพฒั นาการของอาณาจกั รรตั นโกสนิ ทร์ บคุ คลสำ� คญั และภมู ปิ ญั ญา
สมยั รตั นโกสินทร์ โดยสังเขป

ช้ัน ม.๑ ศึกษาสมัยก่อนสุโขทัย และวิเคราะห์พัฒนาการของอาณาจักรสุโขทัย
บคุ คลสำ� คญั และภูมิปญั ญาไทยสมัยสุโขทยั

ชน้ั ม.๒ วิเคราะหพ์ ัฒนาการของอาณาจักรอยธุ ยา และธนบุรี บุคคลส�ำคัญ และ
ภมู ปิ ญั ญาไทยสมัยอยธุ ยา และธนบุรี

ช้ัน ม.๓ วิเคราะห์พัฒนาการของอาณาจักรรัตนโกสินทร์ บุคคลส�ำคัญ และ
ภูมิปัญญาไทย รวมทัง้ บทบาทของไทยในระบอบประชาธปิ ไตย

ชัน้ ม.๔ – ม.๖ วิเคราะหป์ ระเด็นส�ำคญั ของประวัตศิ าสตรไ์ ทย สถาบนั พระมหา
กษตั รยิ ์ บุคคลส�ำคัญ ภมู ปิ ญั ญา และวัฒนธรรมไทย รวมท้ังแนวทางการอนุรักษ์

จะเห็นว่ามาตรฐานการเรียนรู้ ส ๔.๓ หลักสูตรไดก้ �ำหนดชดั เจนถงึ เปา้ หมายการ
เรยี นรคู้ ือ การสร้างจิตสำ� นึกความเป็นไทย แต่อยา่ งไรก็ตามโครงสรา้ งหลักสตู รแกนกลาง
การศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ สาระประวัติศาสตร์ ยงั คงเป็นสาระวิชาหนงึ่ ใน
กล่มุ สงั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม

68

การปรบั ปรงุ หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐานพทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
และการบริหารจัดการการเรยี นรปู้ ระวัตศิ าสตร์

หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ ไดเ้ ริม่ ใช้ใในสถาน
ศึกษาจ�ำนวนหนึ่ง หลังจากนั้นจึงจะให้สถานศึกษาใช้หลักสูตรนี้ในปีการศึกษา ๒๕๕๓
ครบทุกช้ันปี โดยโครงสร้างของประวัติศาสตร์ยังคงเป็นหนึ่งในกลุ่มสาระการเรียนรู้
สังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม เช่นเดิม

เพ่ือสนองนโยบายท่ีจะพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ ตามพระราช
เสาวนีย์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษา
ข้ันพ้ืนฐาน จึงได้ก�ำหนดให้สถานศึกษาทุกระดับให้ความส�ำคัญกับการเรียนการสอน
ประวัตศิ าสตร์ โดยจดั กิจกรรมการเรยี นรูป้ ระวตั ิศาสตรอ์ ย่างมีประสิทธิภาพ และจัดเป็น
วชิ าเฉพาะอยา่ งน้อยสปั ดาหล์ ะ ๑ ชวั่ โมง ส�ำหรับสถานศกึ ษาที่มีความพร้อม สามารถจัด
สาระประวัติศาสตร์เป็นรายวิชาเพ่ิมเติมท้ังระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษาตามที่
หลกั สูตรการศึกษาข้ันพ้นื ฐานก�ำหนด

“สปั ดาหล์ ะ ๑ ช่ัวโมง” ตามนัยขอ้ ความข้างต้นนี้ ใหใ้ ช้ทั้งหลักสูตรการศึกษาขั้น
พื้นฐานพุทธศักราช ๒๕๔๔ และหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช
๒๕๕๑ กล่าวคือ สถานศึกษาจะต้องบริหารจัดการหลักสูตร และเวลาเรียน จัดรายวิชา
ประวัตศิ าสตร์ให้นกั เรยี นชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี ๑ – ๖ เรยี นปลี ะ ๔๐ ช่ัวโมง นกั เรยี นชน้ั
มัธยมศึกษาตอนต้นเรียนภาคเรียนละ ๒๐ ชั่วโมง หรือปีละ ๔๐ ช่ัวโมงเช่นกัน เพ่ือให้
นกั เรยี นไดเ้ รยี นประวตั ศิ าสตรไ์ ดอ้ ยา่ งตอ่ เนอ่ื งทกุ สปั ดาห์ ทกุ ภาคเรยี น และทกุ ปกี ารศกึ ษา
ส่วนระดับมัธยมการศึกษาตอนปลาย ก�ำหนดให้นักเรียนประวัติศาสตร์เพิ่มข้ึนอีก ๒
หนว่ ยกติ หรือ ๘๐ ชัว่ โมงตลอด ๓ ปกี ารศกึ ษา ท้ังนี้ ส�ำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษา
ขน้ั พ้ืนฐานไดด้ �ำเนินการเปน็ ลำ� ดบั ดังน้ี

๑. ประกาศแนวปฏบิ ตั เิ กย่ี วกบั การใชห้ ลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน
๒๕๕๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม (สาระที่ ๔
ประวตั ิศาสตร)์

สืบเน่ืองจากกระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรแกนกลาง
การศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ โดยกำ� หนดใหม้ กี ารใชห้ ลกั สตู รฯ ดงั กลา่ ว สำ� หรบั
โรงเรียนต้นแบบการใช้หลักสูตรฯ และโรงเรียนมีความพร้อมฯ ในปีการศึกษา ๒๕๕๒
เปน็ ต้นไป และใชใ้ นโรงเรยี นท่วั ประเทศ ในปีการศึกษา ๒๕๕๓ เป็นต้นไป (ค�ำส่งั สพฐ.
ที่ ๒๙๓/๒๕๕๑ ลงวนั ที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๑) และส�ำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษา
ขั้นพื้นฐาน ได้มีการท�ำหนังสือถึงส�ำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกเขตด�ำเนินการ แจ้งให้

69

สถานศกึ ษาทกุ แหง่ ได้จดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ประวตั ศิ าสตร์อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ ใหค้ วาม
ส�ำคัญกับการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ โดยให้สถานศึกษาจัดการเรียนการสอน
ประวตั ศิ าสตรเ์ ปน็ วชิ าเฉพาะอยา่ งนอ้ ย สปั ดาหล์ ะ ๑ ชวั่ โมง (หนงั สอื สพฐ. ท่ี ศธ ๐๔๐๑๐/
ว ๓๐ ลงวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๒)

ส�ำนักคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จึงได้จัดท�ำแนวปฏิบัติเก่ียวกับ
การใชห้ ลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ กลมุ่ สาระการเรียนรู้
สงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม (สาระที่ ๔ ประวัติศาสตร)์ โดยเชญิ ผู้ทรงคณุ วุฒทิ ี่
เก่ยี วขอ้ งมารว่ มพจิ ารณากำ� หนดแนวปฏบิ ัติฯ เพือ่ ใหส้ ถานศึกษาใชเ้ ป็นแนวทางในการจดั
ท�ำงานโครงสรา้ งหลักสูตรสถานศกึ ษา และจัดท�ำคำ� อธบิ ายรายวชิ าของกลุม่ สาระการเรียน
ร้สู ังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เพือ่ ให้สอดคลอ้ งกบั หลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ขัน้ พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ และนโยบายการจดั การเรยี นการสอนประวัติศาสตร์ โดย
มแี นวปฏิบัติฯ ดังน้ี

๑) ปรับโครงสร้างเวลาเรียนหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ ดงั น้ี

ระดบั ประถมศกึ ษา (ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ ๑-๖) เพม่ิ เวลาเรยี นสาระ
พ้ืนฐานในกลุ่มสาระ การเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม จาก ๘๐ ชั่วโมง
ตอ่ ปี เป็น ๑๒๐ ช่วั โมงต่อปี โดยก�ำหนดใหเ้ รยี นสาระประวตั ิศาสตร์ ๔๐ ชวั่ โมงต่อปี และ
เรียนสาระศาสนา ศีลธรรม จรยิ ธรรม สาระหน้าท่พี ลเมืองวฒั นธรรม และการด�ำเนินชวี ติ
ในสังคม สาระเศรษฐศาสตร์ และสาระภูมิศาสตร์ ๘๐ ช่ัวโมงต่อปี ปรับเวลาเรียนรวม
(พน้ื ฐาน) จาก ๘๐๐ ชว่ั โมงตอ่ ปี เปน็ ๘๔๐ ชว่ั โมงตอ่ ปี เปน็ ปลี ะไมเ่ กนิ ๔๐ ชว่ั โมงตอ่ ปี

ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๑-๓) เพิ่มเวลา
เรียนสาระพน้ื ฐานในกลุ่มสาระการเรียนรูส้ งั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม จาก ๑๒๐
ชวั่ โมงตอ่ ปี (๓ หน่วยกิต) เปน็ ๑๖๐ ชว่ั โมงต่อปี (๔ หนว่ ยกิต) โดยก�ำหนดให้เรยี นสาระ
ประวัตศิ าสตร์ ๔๐ ช่วั โมงต่อปี (๑ หนว่ ยกิต) และเรียนสาระศาสนา ศลี ธรรม จริยธรรม
สาระหนา้ ท่ีพลเมือง วัฒนธรรม และการด�ำเนินชีวิตในสังคม สาระเศรษฐศาสตร์ และสาระ
ภูมศิ าสตร์ ๑๒๐ ชัว่ โมงต่อปี (๓ หน่วยกิต) ปรบั เวลารวม (พน้ื ฐาน) จาก ๘๔๐ ช่ัวโมงต่อ
ปี (๒๑ หนว่ ยกติ ) เป็น ๘๘๐ ชวั่ โมงต่อปี (๒๒ หนว่ ยกิต) และปรบั รายวิชา / กจิ กรรมท่ี
สถานศึกษาจัดเพมิ่ เติมตามความพร้อมและจุดเนน้ จาก ๒๔๐ ชว่ั โมงตอ่ ปี เปน็ ปลี ะไม่เกนิ
๒๐๐ ชว่ั โมงตอ่ ปี

ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย (ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ ๔-๖) เพิ่มเวลา
เรยี นสาระพน้ื ฐานในกลุ่มสาระการเรียนรสู้ ังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม จาก ๒๔๐

70

ช่วั โมงตลอด ๓ ปี (๖ หน่วยกิต) เป็น ๓๒๐ ช่ัวโมงตลอด ๓ ปี (๘ หนว่ ยกิต) โดยก�ำหนด
ใหเ้ รยี นสาระประวตั ศิ าสตร์ ๘๐ ช่ัวโมงตลอด ๓ ปี (๒ หนว่ ยกติ ) และเรยี นสาระศาสนา
ศีลธรรม จริยธรรม สาระหน้าท่ีพลเมอื ง วฒั นธรรม และการด�ำเนินชวี ติ ในสงั คม สาระ
เศรษฐศาสตร์ และสาระภูมศิ าสตร์ ๒๔๐ ชวั่ โมงตลอด ๓ ปี (๖ หนว่ ยกติ ) ปรบั เวลารวม
(พืน้ ฐาน) จาก ๑,๕๖๐ ชวั่ โมงตลอด ๓ ปี (๓๙ หนว่ ยกติ ) เป็น ๑,๖๔๐ ช่วั โมงตลอด ๓
ปี (๔๑ หนว่ ยกติ ) และปรบั รายวชิ า/กจิ กรรมทสี่ ถานศกึ ษาจดั เพมิ่ เตมิ ตามความพรอ้ มและ
จุดเน้นจาก ไม่น้อยกว่า ๑,๖๘๐ ชวั่ โมงตลอด ๓ ปี เป็น ไม่น้อยกว่า ๑,๖๐๐ ช่วั โมงตลอด
๓ ปี

๒) ปรบั เกณฑก์ ารจบการศกึ ษาตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้
ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ และระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย
ดังน้ี

ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ปรับเกณฑ์การจบการศึกษา รายวิชา
พ้นื ฐาน จากเดิม ๖๓ หน่วยกติ เป็น ๖๖ หนว่ ยกิต และรายวชิ าเพ่ิมเติมจากเดมิ ไมน่ ้อย
กว่า ๑๔ หน่วยกติ เป็น ไมน่ อ้ ยกว่า ๑๑ หนว่ ยกติ

ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ปรบั เกณฑก์ ารจบการศกึ ษารายวชิ า
พน้ื ฐานจากเดิม ๓๙ หน่วยกติ เปน็ ๔๑ หน่วยกติ และรายวิชาเพม่ิ เติมจากเดิมไมน่ อ้ ยกวา่
๓๘ หน่วยกติ เปน็ ไมน่ ้อยกว่า ๓๖ หนว่ ยกิต

ท้ังนี้ได้มีค�ำสั่งเร่ือง การปรับปรุงโครงสร้างเวลาเรียนและเกณฑ์
การจบการศกึ ษาตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ ดังนี้

เกณฑก์ ารจบการศกึ ษา
๑. เกณฑ์การจบมัธยมศกึ ษาตอนตน้

(๑) ผเู้ รียนรายวชิ าพน้ื ฐาน และเพ่มิ เติมไมเ่ กิน ๘๑ หนว่ ยกติ โดย
เป็นรายวิชาพ้นื ฐาน ๖๖ หน่วยกิต และรายวิชาเพ่ิมเติมตามทส่ี ถานศกึ ษากำ� หนด

(๒) ผเู้ รยี นตอ้ งไดห้ นว่ ยกติ ตลอดหลกั สตู รไมน่ อ้ ยกวา่ ๗๗ หนว่ ยกติ
โดยเปน็ รายวิชาพนื้ ฐาน ๖๖ หนว่ ยกิต และรายวิชาเพม่ิ เติมไมน่ ้อยกวา่ ๑๑ หน่วยกติ

(๓) ผู้เรียนมีผลการประเมิน การอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน ใน
ระดบั ผ่านเกณฑ์การประเมินตามท่สี ถานศึกษาก�ำหนด

(๔) ผเู้ รยี นมผี ลการประเมนิ คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ในระดบั ผา่ น
เกณฑก์ ารประเมินตามท่สี ถานศกึ ษาก�ำหนด

(๕) ผเู้ รยี นเขา้ รว่ มกจิ กรรมพฒั นาผเู้ รยี น และมผี ลการประเมนิ ผา่ น
เกณฑ์การประเมินตามท่ีสถานศึกษาก�ำหนด

71

๒. เกณฑ์การจบระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย
(๑) ผเู้ รยี นรายวิชาพน้ื ฐาน และเพ่ิมเติม ไมน่ อ้ ยกวา่ ๘๑ หน่วยกิต

โดยเป็นรายวชิ าพื้นฐาน ๔๑ หน่วยกิต รายวิชาเพิ่มเติมตามท่สี ถานศึกษากำ� หนด
(๒) ผู้เรียนต้องได้หน่วยกิตตลอดหลักสูตร ไม่น้อยกว่า ๗๗

หน่วยกิต โดยเป็นรายวิชาพื้นฐาน ๔๑ หน่วยกิต และรายวิชาเพ่ิมเติม ไม่น้อยกว่า ๓๖
หนว่ ยกิต

(๓) ผู้เรียนมีผลการประเมิน การอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน ใน
ระดับผา่ นเกณฑ์การประเมนิ ตามทีสถานศึกษาก�ำหนด

(๔) ผเู้ รยี นมผี ลการประเมนิ คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ในระดบั ผา่ น
เกณฑ์การประเมินตามทส่ี ถานศึกษาก�ำหนด

(๕) ผเู้ รยี นเขา้ รว่ มกจิ กรรมพฒั นาผเู้ รยี น และมผี ลการประเมนิ ผา่ น
เกณฑ์การประเมนิ ตามทสี่ ถานศกึ ษาก�ำหนด

72

๓) ประกาศแนวปฏิบัติเก่ียวกับการใช้หลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน
พุทธศกั ราช ๒๕๔๔ กลุม่ สาระการเรียนรูส้ ังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม (สาระ
ที่ ๔ ประวัติศาสตร์)

ตามที่ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน (สพฐ.) ได้ออกแนว
ปฏิบัติเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการจัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ของกระทรวง
ศึกษาธิการ ท่ีก�ำหนดให้สถานศึกษาจัดให้ผู้เรียนทุกคนได้เรียนวิชาประวัติศาสตร์เป็น
รายวิชาพ้ืนฐานสัปดาห์ละ ๑ ชั่วโมง ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ แลว้ นัน้ เน่อื งจากในปีการศกึ ษา ๒๕๕๒-๒๕๕๔ ยังมสี ถานศึกษา
ท่ใี ช้หลักสตู รการศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๔ ดงั นั้นเพอื่ ใหส้ ถานศึกษาดงั กลา่ ว
มีแนวปฏิบัติท่ีสอดคล้องกับนโยบายในการจัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ สพฐ.
จึงก�ำหนดแนวปฏิบัติส�ำหรับสถานศึกษาท่ีใช้หลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช
๒๕๔๔ ดังนี้

๑. ช่วงชน้ั ที่ ๑-๓ (ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี ๑ ถงึ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ ๓) ให้
สถานศึกษาจัดการเรียนการสอนสาระประวัติศาสตร์เป็นรายวิชาพื้นฐานในกลุ่มสาระการ
เรยี นรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรมเป็นการเฉพาะ สัปดาห์ละ ๑ ชว่ั โมง

๒. ช่วงชั้นท่ี ๔ (ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๔-๖) ให้สถานศึกษาจัดการเรียน
การสอนสาระประวตั ศิ าสตร์ ดังน้ี

ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๔-๖ ให้สถานศึกษาจัดการเรียนการสอนสาระ
ประวัติศาสตร์เป็นรายวิชาพ้ืนฐานในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ
วัฒนธรรม สัปดาห์ละ ๑ ชัว่ โมงจ�ำนวน ๒ หนว่ ยกิตภายใน ๓ ปี

ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๕-๖ ให้สถานศึกษาจัดการเรียนการสอนสาระ
ประวัติศาสตร์เป็นรายวิชาพื้นฐานในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ
วฒั นธรรม สัปดาหล์ ะ ๑ ช่ัวโมงทุกภาคเรยี น

ในกรณีท่ีสถานศึกษาจัดให้เรียนสาระประวัติศาสตร์ครบทุกมาตรฐาน
การเรียนรู้ตามที่ก�ำหนดไว้ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ ในชั้น
มธั ยมศึกษาปีที่ ๔-๕ แล้ว อาจไม่ตอ้ งจัดให้เรยี นรายวิชาประวตั ศิ าสตร์ในชนั้ มธั ยมศึกษา
ปีที่ ๖ อกี ก็ได้

เพื่อสร้างความเข้าใจตรงกัน ส�ำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษาจึงได้
สรุปแนวปฏิบตั ิเป็นตารางเผยแพรใ่ หส้ ถานศกึ ษาดังน้ี

73

หลักสตู รโแคกรนงกโสคลรรางา้งสกงรเาวา้รงลศเึกวาเลษราายีเขรนน้ัียพน(แื้น(นแฐานบนบททพา้ า้ยุทยธคคศ�ำํากัสสรง่ัั่งาชสสพพ๒ฐฐ๕. .๕ทท๑่ี ๖่ี ๖ก๘๘าํ ๓ห/๓น๒/ด๕๒ก๕ร๕๒อบ๕ลโง๒ควรันงลทสงร่ี ว๑า้ ันง๓เทวพล่ี ๑ฤาเษ๓รภียพานคฤดมษัง๒นภี้๕า๕ค๒ม) ๒๕๕๒)
หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ก�ำหนดกรอบโครงสร้างเวลาเรียน ดังน้ี

กลุ่มสาระการเรียนรู้/กจิ กรรม ระดบั ประถมศึกษา เวลาเรยี น ระดับมธั ยมศกึ ษา
ระดับมัธยมศกึ ษา ตอนปลาย
ม.๔-๖
๑.กลุม่ สาระการเรียนรู้ ป.๑ ป.๒ ป.๓ ป.๔ ป.๕ ป.๖ ม.๑ ม.๒ ม.๓ ๒๔๐
ภาษาไทย (๖ นก.)
คณติ ศาสตร์ ๒๐๐ ๒๐๐ ๒๐๐ ๑๖๐ ๑๖๐ ๑๖๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๒๔๐
วิทยาศาสตร์ ๒๐๐ ๒๐๐ ๒๐๐ ๑๖๐ ๑๖๐ ๑๖๐ (๓ นก.) (๓ นก.) (๓ นก.) (๖ นก.)
สังคมศกึ ษา ศาสนา และ ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๒๔๐
วัฒนธรรม ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ (๓ นก.) (๓ นก.) (๓ นก.) (๖ นก.)
 ประวัตศิ าสตร์ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๓๒๐
 ศาสนา ศีลธรรม จรยิ ธรรม (๓ นก.) (๓ นก.) (๓ นก.) (๘ นก.)
 หนา้ ที่พลเมอื ง วัฒนธรรม ๑๖๐ ๑๖๐ ๑๖๐ ๘๐
และการดําเนนิ ชีวิตในสงั คม (๔ นก.) (๔ นก.) (๔ นก.) (๒ นก.)
 เศรษฐศาสตร์ ๒๔๐
 ภมู ิศาสตร์ ๔๐ ๔๐ ๔๐ (๖ นก.)
(๑ นก.) (๑ นก.) (๑ นก.)
๑๒๐
๘๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ (๓ นก.)
(๓ นก.) (๓ นก.) (๓ นก.) ๑๒๐
(๓ นก.)
สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๒๔๐
(๒ นก.) (๒ นก.) (๒ นก.) (๖ นก.)
การงานอาชพี และเทคโนโลยี ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๑,๖๔๐
(๒ นก.) (๒ นก.) (๒ นก.) (๔๐ นก.)
ภาษาต่างประเทศ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๖๐
(๓ นก.) (๓ นก.) (๓ นก.) ไมน่ อ้ ยกวา่
รวมเวลาเรยี น ๘๔๐ ๘๔๐ ๘๔๐ ๘๔๐ ๘๔๐ ๘๔๐ ๘๘๐ ๘๘๐ ๘๘๐ ๑,๖๐๐ ชั่วโมง
(พ้ืนฐาน) (๒๒ นก.) (๒๒ นก.) (๒๒ นก.) รวม ๓ ปี
 กิจกรรมพัฒนาผู้เรยี น ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ไม่น้อยกว่า
 รายวชิ า/กจิ กรรมที่ ๓,๖๐๐ ชัว่ โมง
สถานศกึ ษาจดั เพม่ิ เตมิ ตามความ ปีละไมเ่ กนิ ๔๐ ชั่วโมง ปลี ะไม่เกนิ ๒๐๐ ชั่วโมง
พรอ้ มและจุดเน้น
รวมเวลาเรยี นทั้งหมด ไมเ่ กิน ๑,๐๐๐ ชั่วโมง/ปี ไม่เกนิ ๑,๒๐๐ ช่วั โมง/ปี

74

ตอนท่ี ๓

หลกั คิดและหลกั การส�ำคญั ทางประวตั ิศาสตร์



เรือ่ งที่ ๑

ประวัติศาสตร์ คอื อะไร


คนส่วนใหญ่มักคิดว่าประวัติศาสตร์ คือ การศึกษาเรื่องราวในอดีต ซึ่งแม้ว่า
ไม่ผิด แต่ก็ไม่ใช่ความหมายที่ถูกต้องครบถ้วน เพราะไม่ว่าศาสตร์ใดท่ีศึกษากันอยู่
ในปัจจบุ ันลว้ นแต่เปน็ เร่อื งราวท่ีคน้ พบในอดีตแล้วท้งั สิน้ ท้ังวทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์
ภาษาศาสตร์ ฯลฯ ตัวอยา่ ง เช่น ก�ำเนดิ ของโลก วิวัฒนาการของพืช และสัตว์ การปะทุ
ของภเู ขาไฟ การค�ำนวณหาพนื้ ทีแ่ ละปริมาตรของรูปทรงเรขาคณิต แตค่ วามรูด้ งั กล่าวนี้
ไมใ่ ช่ประวตั ิศาสตร์
ผสู้ อนประวัตศิ าสตรค์ วรเขา้ ใจวา่ อดตี ส�ำหรับประวตั ศิ าสตร์ คอื อดตี ของสงั คม
มนษุ ย์ ซ่ึงยอ่ มไม่ได้หมายถึงมนุษย์แต่ละคน ทตี่ า่ งย่อมมีอดตี ของตนเอง เพราะไมม่ ีทาง
ทจ่ี ะศกึ ษาอดตี ของมนษุ ยท์ กุ คนไดท้ ง้ั หมด ดงั นนั้ ประวตั ศิ าสตรจ์ งึ หมายถงึ การศกึ ษาอดตี
ของมนุษย์จ�ำนวนมากที่อยู่รวมกันเป็นสังคม ณ พ้ืนที่ใดพื้นที่หนึ่งหรือมีส่วนร่วมกัน
ทางใดทางหนงึ่ เชน่ เชอ้ื ชาติ การประกอบอาชพี ความคดิ ความเชอ่ื การประกอบพธิ กี รรม
อยา่ งไรกต็ าม การศกึ ษาอดตี ของบคุ คลบางคน ถอื เปน็ ประวตั ศิ าสตรไ์ ด้ เนอื่ งจากคนผนู้ น้ั
ได้สรา้ งผลกระทบต่อสังคม เชน่ กรณีศึกษาประวัติความเปน็ มาหรอื เรื่องราวในอดีตของ
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชน์ อดตี นายกรัฐมนตรีของไทยท่ีไดใ้ ชแ้ ผนพัฒนาเศรษฐกจิ ข้ึนเป็น
คร้ังแรก ท�ำใหเ้ กดิ การเปลี่ยนแปลงในสังคมไทย

77

ท้ังน้ี ครูผูส้ อนประวตั ิศาสตรต์ ้องเข้าใจด้วยว่า วิชาในกลุ่มสงั คมศึกษากล็ ้วนเป็น
เรื่องราวของสังคมมนุษย์ท้ังส้ิน เพราะว่าด้วย เรื่องของการอยู่ร่วมกันในสังคม เช่น
ภมู ศิ าสตร์ วา่ ดว้ ยเรอ่ื งความสมั พนั ธข์ องมนษุ ยก์ บั สง่ิ แวดลอ้ ม เศรษฐศาสตร์ วา่ ดว้ ยเรอื่ ง
การบริหารจัดการทรัพยากรท่มี ีอยจู่ �ำกดั ไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพและคุ้มคา่ หนา้ ท่พี ลเมือง
ว่าด้วยการปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีของประเทศชาติและเป็นพลเมืองโลกที่มีประสิทธิภาพ
แตศ่ าสตรใ์ นกลมุ่ สงั คมศกึ ษาสว่ นใหญ่ จะสรา้ งทฤษฎหี รอื หลกั การทใี่ ชไ้ ดก้ บั สงั คมมนษุ ย์
ไดต้ ลอดไป ทงั้ อดตี ปจั จบุ นั และอนาคต เชน่ กฎอปุ สงค-์ อปุ ทาน ทมี่ อี ทิ ธพิ ลตอ่ ราคาสนิ คา้
ของเศรษฐศาสตร์หรือปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพก่อให้เกิด
การสร้างสรรค์วัฒนธรรมของภูมิศาสตร์ แต่ส�ำหรับประวัติศาสตร์ให้ความส�ำคัญกับ
“ความเปล่ียนแปลงตามกาละและเทศะ” หรือเวลาและสิ่งแวดล้อม นั่นย่อมหมายถึงว่า
ในวนั เขา้ พรรษาของชาวอบุ ลราชธานี ยอ่ มแตกตา่ งกบั ชาวกรงุ เทพฯ ทแ่ี มจ้ ะนบั ถอื ศาสนา
พุทธเหมือนกัน เป็นคนไทยและไปประกอบพิธีกรรมที่วัดเหมือนกันก็ตาม เรียกว่าเป็น
ความแตกตา่ งท่ีเกิดจากสง่ิ แวดลอ้ ม (ท้ังส่งิ แวดล้อมทางธรรมชาตแิ ละสงั คม) ในท�ำนอง
เดยี วกนั สงั คมไทยสมยั อยธุ ยายอ่ มแตกตา่ งจากสงั คมไทยในปจั จบุ นั เพราะเมอื่ เวลาผา่ น

78

ไปสังคมมนุษย์ก็มีพัฒนาการหรือมีการเปลี่ยนแปลงเรียกว่ามิติของเวลา ซึ่งเป็นปัจจัย
สำ� คญั ทท่ี ำ� ใหเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลงในสงั คมมนษุ ย์ กลา่ วไดว้ า่ ประวตั ศิ าสตรค์ อื การศกึ ษา
อดีตของสังคมมนุษย์ในมิติของเวลา น่ันคือ ประวัติศาสตร์ให้ความส�ำคัญกับเอกลักษณ์
เฉพาะในสังคมมนุษย์ท่แี ตกต่างกันตามสภาพแวดลอ้ ม (กาลเทศะ) นับเป็นความแตกตา่ ง
จากวชิ าอ่ืนๆ ในกลมุ่ สังคมศกึ ษาอยา่ งชัดเจน

อน่ึงผู้สอนประวัติศาสตร์ควรตระหนักด้วยว่า สังคมมนุษย์ก�ำเนิดข้ึนเมื่อล้าน
กวา่ ปมี าแลว้ จงึ เปน็ ไปไมไ่ ดท้ จ่ี ะศกึ ษาทกุ เรอื่ งราวในสงั คมมนษุ ยใ์ นอดตี ซง่ึ ยอ่ มไมม่ ใี คร
จะสามารถจำ� ลองอดตี ของสงั คมมนษุ ยม์ าไดอ้ ยา่ งสมบรู ณ์ แตจ่ ะเปน็ ตอ้ งเลอื กศกึ ษาเฉพาะ
เร่อื งราวสำ� คัญๆ หรือเหตกุ ารณ์ส�ำคญั ทม่ี ผี ลตอ่ สังคมสว่ นหน่งึ ซ่งึ อาจเปน็ คนสว่ นนอ้ ย
ในสงั คมน้ันหรอื สงั คมสว่ นใหญ่ เช่น ความเปน็ มาของชนชาตไิ ทย การตั้งถน่ิ ฐานของชาว
โยนกในจงั หวดั ราชบุรี เปน็ ตน้ ดว้ ยนยั น้ี ประวัตศิ าสตรจ์ งึ หมายถงึ การศกึ ษาเหตุการณ์
ส�ำคญั ในสังคมมนษุ ย์ในอดีตตามมิติของเวลา

ปญั หาท่นี า่ จะเกดิ ขึ้น คอื “อดตี ” ของประวัติศาสตรจ์ ะเปน็ เวลาเท่าไรค�ำตอบนี้
ยังไมส่ ามารถตอบได้ชัดเจน ซึ่งแตกตา่ งจาก “โบราณสถาน” หรอื โบราณวัตถทุ ่ีต้องมีอายุ
มากกวา่ ๑๐๐ ปี นักประวัติศาสตร์ถือว่าเรอื่ งราวทเ่ี กดิ ขน้ึ แล้ว ถอื วา่ เปน็ ประวตั ิศาสตร์
ทงั้ สิ้น แมว้ า่ จะเพงิ่ เกดิ ขึ้นไม่นานกต็ าม

ผศู้ กึ ษาประวตั ศิ าสตรส์ ว่ นใหญจ่ ะใชป้ ระเดน็ สำ� คญั ทตี่ นสบื คน้ วา่ สามารถอธบิ าย
เรื่องราวได้ว่าท�ำไมหรืออย่างไร อันเป็นเป้าหมายส�ำคัญของการศึกษาประวัติศาสตร์
ได้หรือไม่ อดีตหรือช่วงเวลาที่ผ่านมาแล้วของประวัติศาสตร์ จึงมีความสัมพันธ์กับ
การท�ำความเข้าใจเหตกุ ารณ์ส�ำคญั ของสงั คมมนษุ ย์ในมติ ขิ องเวลา

ภาพ ผนงั ถ้าฝา่ มอื แดง ประเทศอาเจนตินา่

79

เม่ือสังคมมนุษย์เกิดขึ้นมาแล้ว การจะท�ำความเข้าใจอดีตได้ ก็เพราะมีร่องรอย
กระทำ� ทเี่ กีย่ วขอ้ งกบั มนุษยใ์ นอดีต ซงึ่ เรยี กวา่ หลักฐานทางประวตั ศิ าสตร์ ซึ่งหมายรวม
เอาทกุ อยา่ งทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั เรอ่ื งทศ่ี กึ ษา ทงั้ สงิ่ ทเี่ กดิ ขนึ้ ตามธรรมชาติ เชน่ ชนั้ ดนิ สงิ่ ทมี่ นษุ ย์
สรา้ งข้ึน เช่น สิง่ กอ่ สรา้ ง เคร่ืองมือ เคร่อื งใช้ สิง่ ท่จี งใจสรา้ งขึ้น เชน่ บันทกึ ศาสนสถาน
ภาพวาด รปู ภาพ แผนทแี่ ละสงิ่ ทไี่ มจ่ งใจสรา้ ง เชน่ เปลอื กหอยหรอื กระดกู สตั ว์ ทหี่ ลงเหลอื
จากการเป็นอาหารของมนุษย์ เป็นต้น หากเรื่องราวใดที่ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์
ยืนยันเราย่อมไม่ถือว่าเรื่องนั้นเป็นประวัติศาสตร์ สิ่งท่ีผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ต้องการ
หลักฐานคือ “ข้อมูลที่เก่ียวข้องกับเรื่องท่ีศึกษา” ซึ่งนักประวัติศาสตร์บางคนเรียกว่า
“ขอ้ สนเทศ” หรอื “ขอ้ เทจ็ จรงิ ” อนั เปน็ การยำ�้ เตอื นวา่ ขอ้ มลู ทไี่ ดอ้ าจมที งั้ เทจ็ และจรงิ ปะปน
กันอยู่หรอื อาจสอดแทรกทศั นคติ ความคดิ ความเชื่อเข้าไปในหลักฐานทางประวตั ศิ าสตร์
จงึ ถอื เปน็ ความจำ� เปน็ ทจี่ ะตรวจสอบ ประเมนิ ความนา่ เชอ่ื ถอื ของขอ้ มลู นนั้ เสมอ โดยใชว้ ธิ ี
การศึกษาอย่างเป็นระบบท่ีเรียกว่า “วิธีการทางประวัติศาสตร์” เพื่อแยกแยะข้อเท็จจริง
จากความคดิ เหน็ แยกแยะความจริงออกจากขอ้ เท็จจริง เพื่อจะได้วิเคราะห์ สืบค้น และ
ตีความเร่ืองราวในอดีตได้อย่างถูกต้อง ด้วยเหตุดังกล่าว ประวัติศาสตร์ จึงหมายถึง
การศึกษาเหตุการณ์ส�ำคัญในสังคมมนุษย์ในอดีตตามมิติของเวลาโดยใช้ร่องรอย
หลกั ฐานทางประวัตศิ าสตรแ์ ละวธิ ีการทางประวตั ศิ าสตร์สืบค้นอยา่ งเป็นระบบ

เราอาจสรุปได้ว่า ความหมายทางประวัติศาสตร์ ข้ึนอยู่กับองค์ประกอบส�ำคัญ
ได้แก่ สังคมมนษุ ย์ อดตี หรอื มติ ขิ องเวลา เหตกุ ารณส์ �ำคัญ หลักฐานทางประวตั ศิ าสตร์
และวิธีการทางประวัติศาสตร์

ในนยั น้ี ผูส้ อนประวตั ิศาสตร์ต้องเขา้ ใจด้วยว่า เร่ืองราวในประวัติศาสตร์ทีน่ �ำมา
เป็นบทเรียนส�ำหรับนักเรียนน้ัน ไม่ใช่เรื่องราวส�ำคัญท้ังหมดของสังคมมนุษย์ในอดีต
แต่เป็นเร่ืองราวที่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ปรากฏเท่าน้ัน ทั้งส่ิงท่ีเรียนรู้ในปัจจุบัน
ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้ หากมีการพบข้อสนเทศใหม่ที่เชื่อถือได้ หรือมีการตีความใหม่
จากหลกั ฐานเดิม ซ่งึ มีอยเู่ สมอ เชน่ เดมิ นัน้ เราเรียนรวู้ า่ พระนามของกษัตริย์ผสู้ ถาปนา
กรงุ สุโขทัย คอื พ่อขุนบางกลางท่าว แตเ่ มอื่ ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบใหม่จงึ พบว่าพระนาม
ทถี่ ูกตอ้ ง คอื พ่อขนุ บางกลางหาว (เรยี กวา่ การตีความใหมจ่ ากหลกั ฐานเดมิ ) หรือเมอื ง
อู่ทอง ที่เดิมเชื่อกันว่าเป็นเมืองเดิมของพระเจ้าอู่ทองหรือสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑
ครองอยู่ก่อนสถาปนากรุงศรีอยุธยา แต่เมื่อพบข้อมูลทางโบราณคดี แสดงชัดเจนว่า
เมืองอ่ทู องมีอายกุ อ่ นหนา้ น้นั มากและคงร้างไป เม่ือราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๖ กอ่ นหนา้ ที่
พระเจา้ อทู่ องจะสถาปนากรงุ ศรอี ยธุ ยาถงึ ๒๐๐ - ๓๐๐ ปี สรปุ วา่ เรอ่ื งราวในประวตั ศิ าสตร์
สามารถเปลย่ี นแปลงได้ เมือ่ พบหลกั ฐานใหม่หรือมกี ารตีความใหมท่ นี่ า่ เช่ือถอื

80

อนั ทจี่ รงิ ความหมายของประวตั ศิ าสตร์ มผี ใู้ หน้ ยิ ามหลากหลาย ซง่ึ จะแตกตา่ งกนั

ตามบริบทของสังคมในช่วงเวลาต่างๆ ผู้สอนประวัติศาสตร์จะพบการให้ค�ำจ�ำกัดความ

ดงั กลา่ วในหนงั สอื เรยี นประวตั ศิ าสตร์ จากอนิ เทอรเ์ นต็ ซงึ่ ขอ้ มลู ตา่ งๆ นนั้ ผสู้ อนจำ� เปน็

ต้องรู้เท่าทันผู้ให้ข้อมูลและเลือกใช้ค�ำนิยามท่ีถูกต้องชัดเจนจากผู้รู้ทางประวัติศาสตร์

ทแ่ี ท้จรงิ เช่น

เฮโรโดตสั (Herodotus, ๔๘๔-๔๒๕ ปี

ก่อนคริสต์ศักราช) นักปรัชญาชาวกรีกโบราณท่ี

ตอ่ มาไดร้ บั การยกยอ่ งวา่ เปน็ บดิ าแหง่ ประวตั ศิ าสตร์

ได้บัญญัติศัพท์ค�ำว่าประวัติศาสตร์หรือในภาษา

อังกฤษว่า History ซ่ึงมีรากศัพท์จากค�ำในภาษา

กรีกว่า Historiai เม่ือราว ๒๕๐๐ ปีมาแล้วว่า

ประวัติศาสตร์ หมายถึง การแสวงหา การไต่ถาม

การสืบสวนค้นหาความจริง โดยใช้ชื่อน้ีต้ังเป็น

ช่ือหนังสือท่ีเขาได้สืบสวนค้นคว้าและรวบรวม

เรอ่ื งราวของสงครามเปอรเ์ ซยี (The Persian War :

เหตกุ ารณร์ ะหวา่ ง ๔๘๐-๔๗๙ ปกี อ่ นครสิ ตศ์ กั ราช)

และประเทศตา่ งๆ ที่เก่ยี วข้อง

เฮโรโดตสั (Herodotus) ส่วน ทิซิดดิ สิ (Thucydides) นกั ปรชั ญา
๔๘๔-๔๒๕ ปี กอ่ นครสิ ตศ์ กั ราช ชาวกรีก ผู้เขียนเร่ืองสงครามเพโลโพนีเซียน
(Peloponnesian War) ได้เสนอแนะให้สอบสวน

ข้อมูลให้ถูกต้องเสียก่อนที่จะใช้เป็นหลักฐาน

ทางประวัตศิ าสตร์ (historical sources) โดยแสดง

ทศั นะไวว้ า่ “ประวตั ศิ าสตรจ์ ำ� เปน็ ตอ้ งใหค้ วามถกู ตอ้ ง

และชัดเจนแก่ผู้อ่านว่าเร่ืองราวท่ีเกิดข้ึนน้ัน

เป็นอย่างไร ทั้งน้ี เพื่อให้คนเข้าใจเหตุการณ์

ในสมยั ปจั จบุ ันได้ถกู ต้อง”

ทิซิดิดีส เป็นนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกและเป็นผู้เขียน
เรื่องประวัติศาสตร์ของสงครามเพโลพอนนีซัส
ซึ่งบรรยายถึงสงครามระหว่างสปาร์ตากับเอเธนส์
ในช่วง ๕๐๐ ถึง ๔๑๑ ปีก่อนคริสต์ศักราช ทิซิดิดีส
ได้รับการขนานนามว่าเป็นบิดาแห่งประวัติศาสตร์
เชงิ วทิ ยาศาสตร์

81

ศาสตราจารย์ ดร.แถมสขุ นมุ่ นนท์ อดตี ผสู้ อนประวตั ศิ าสตร์ คณะอกั ษรศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร อธบิ ายว่า ความหมายของประวัตศิ าสตร์ไม่มคี �ำจำ� กดั ความตายตัว
โดยทั่วไปประวัติศาสตร์ หมายถึง การไต่สวนเข้าไปให้รู้ถึงความจริงเก่ียวกับพฤติกรรม
ของมนุษยชาติที่เกิดข้ึนในช่วงใดช่วงหน่ึงของอดีต ฉะน้ัน ประวัติศาสตร์จึงเป็นเร่ือง
ท่ีเกี่ยวข้องกับสังคมมนุษย์ ความเปลี่ยนแปลงของสังคม ความคิดที่ก่อให้เกิดพฤติกรรม
ต่างๆ ในสังคม และสภาพเหตุการณ์ท่ีส่งเสริมหรือขัดขวางวิวัฒนาการของสังคมหรือ
กลา่ วอกี นยั หนง่ึ วา่ วชิ าประวตั ศิ าสตรม์ คี วามสมั พนั ธก์ บั พฤตกิ รรมของสงั คมมนษุ ยท์ กุ คน

ดร.นิธิ เอียวศรวี งศ์ และศาสตราจารย์อาคม พฒั ิยะ อดีตผสู้ อนประวตั ิศาสตร์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้อธิบายว่า “ประวัติศาสตร์ คือ การศึกษาเพ่ืออธิบายอดีตของ
สงั คมมนษุ ยใ์ นมติ ขิ องเวลาหรอื ประวตั ศิ าสตร์ คอื การศกึ ษาเพอ่ื เขา้ ใจอดตี ของสงั คมมนษุ ย์
ในมติ ิของเวลา”

ดร.วนิ ยั พงศศ์ รเี พยี ร เมธวี จิ ยั อาวโุ สของสำ� นกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั และ
อดีตผ้สู อนประวตั ศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ไดอ้ ธบิ ายความหมายของประวตั ิศาสตร์
ไว้ ๓ ลักษณะ สรปุ คอื

(๑) ประวัติศาสตร์ คือ เร่ืองราว หรือเหตกุ ารณเ์ กีย่ วกับพฤติกรรมของมนุษยใ์ น
อดีตเพื่อรู้จักความเป็นมาตัวเอง หรือเพ่ือรู้จักประสบการณ์ในอดีตท่ีเช่ือมประสานจิต
วิญญาณของคนในสงั คมเข้าด้วยกนั

(๒) ประวตั ศิ าสตร์ คอื บันทกึ เกยี่ วกับพฤติกรรมของมนุษยใ์ นอดตี ท�ำใหเ้ กดิ
วชิ าท่ีเรยี กวา่ ประวัตศิ าสตร์นพิ นธ์ (Historiography)

(๓) ประวตั ศิ าสตร์เป็นเร่ืองเก่ยี วกบั วธิ กี ารทางประวตั ิศาสตร์ หรอื การวเิ คราะห์
วจิ ารณ์วิธีการไดม้ าซง่ึ ความรูท้ างประวัตศิ าสตร์

ทง้ั นี้ ไดอ้ ธบิ ายเพม่ิ เตมิ วา่ ประวตั ศิ าสตร์ ในฐานะทเี่ ปน็ ศาสตรห์ รอื สาขาวชิ าการ
หน่ึงน้นั หมายถึง การศึกษาเรอื่ งราวส�ำคัญๆ ทเี่ ชื่อว่าได้เกดิ ข้นึ จรงิ เกีย่ วกบั ประสบการณ์
ด้านตา่ งๆ ของมนุษยใ์ นสงั คมใดสงั คมหนึ่งบนพนื้ ฐานของการวพิ ากษ์ วเิ คราะหห์ ลักฐาน
เอกสารชนั้ ตน้ และหลกั ฐานรว่ มสมยั อนื่ ๆ เพอื่ เขา้ ใจปญั หาในสงั คมปจั จบุ นั จะเหน็ วา่ นยิ าม
หลงั น้ี มงุ่ เนน้ ไปทค่ี ำ� วา่ การศกึ ษาหรอื วธิ กี ารศกึ ษาอนั เปน็ ลกั ษณะเฉพาะของประวตั ศิ าสตร์
ในแง่น้ี ประวัติศาสตร์มีคุณค่าในทางการศึกษาเพราะเป็นกระบวนการสร้างภูมิปัญญา
(Intellectual process) และวธิ กี ารทางประวัตศิ าสตร์สามารถพัฒนาศกั ยภาพของผ้ศู กึ ษา
ให้เป็นนักคิด และปัญญาชนของสังคม

82

ประวตั ศิ าสตร์ คอื อะไร สำ� หรบั ผสู้ อนประวตั ศิ าสตร์ คอื พน้ื ฐานเบอื้ งตน้ ทจี่ ำ� เปน็
ส�ำหรับการสร้างความเข้าใจธรรมชาติของวิชา ขอบเขตและหลักคิด (Concept)
ทางประวัติศาสตร์ เพ่ือให้ตระหนักในคุณค่าและความส�ำคัญของประวัติศาสตร์ท่ีมี
มากกว่า “รู้จักอดีต” ที่แป็นรากเหง้าของตนเท่าน้ัน แต่เป็นเรื่องการคิดวิเคราะห์
คิดวิพากษ์ คิดวิจารณ์ คิดวินิจฉัยบนพ้ืนฐานของความเป็นเหตุเป็นผลจากข้อเท็จจริง
ที่หลากหลาย เป็นเร่ืองราวของการ “เข้าใจอดีต” เพื่อเข้าใจปัจจุบัน เข้าใจสังคมของ
มนุษยชาตทิ ม่ี คี วามแตกตา่ งตามบรบิ ทของส่ิงแวดล้อมและเวลา ซ่งึ นบั ว่าเป็นเรื่องจ�ำเปน็
อย่างย่ิงของการอยู่ร่วมกัน ด้วยความเข้าใจอันดี ประวัติศาสตร์กับผู้สอนประวัติศาสตร์
จึงหมายถึง การพัฒนาคน สู่ความเป็นคนไทยท่ีมีคุณภาพ ตระหนักและเห็นคุณค่า
ในความเปน็ ไทย เข้าใจวัฒนธรรมของตนและสงั คมอืน่ ๆ และเพ่ือใหผ้ สู้ อนและผู้เรียนมี
สว่ นรว่ มทจ่ี ะปกป้องรกั ษาชาติและความเป็นไทยสบื ไป

83

84

เรื่องท่ี ๒

ประวัตศิ าสตรส์ ำ� คัญไฉน

สังคมปัจจุบันเป็นโลกยุคข้อมูลข่าวสาร ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
และโลกของตลาดเสรที ีผ่ คู้ นสว่ นใหญ่ให้ความส�ำคัญกับความมั่งค่ังทางเศรษฐกจิ การใช้
ชีวติ แบบทันสมยั ทม่ี ีความเปน็ สากล ท้งั ภาษา การแตง่ กาย อาหารการกนิ ภาพยนตร์
ดนตรี เป็นยุคที่ผู้คนส่วนใหญ่หลงใหลกับโลกตะวันตก แม้จะมีสไตล์เกาหลีและญี่ปุ่น
ซงึ่ ล้�ำหนา้ และทนั สมยั ยุคทผี่ คู้ น (สว่ นหนง่ึ ) นิยมคนเก่ง คนฉลาด ทนั สมยั ทันเหตุการณ์
รู้เท่าทันเทคโนโลยี ยุคที่เด็กไทยเห็นและหลงใหลความเป็น “ปัจเจกชน” มากกว่า
จิตสาธารณะ ความคิดของผู้คนในความเป็นสากลยุคโลกาภิวัตน์ส่งผลกระทบต่อ
“คา่ นยิ มความเปน็ ไทย” อยา่ งหลกี เลยี่ งไมไ่ ด้ วฒั นธรรมไทยนบั วนั ยงิ่ จะถกู เมนิ จากเยาวชน
มากยิง่ ขนึ้

ทกุ วันนี้ “ประวตั ิศาสตร์” ส�ำหรับเยาวชนไทย จงึ อาจเปน็ เพยี งเรื่องราวในอดตี
ทเ่ี ตม็ ไปดว้ ย พ.ศ. สงิ่ ของเกา่ แก่ ผคู้ นทลี่ ม้ หายตายไปหมดแลว้ เหตกุ ารณท์ ตี่ อ้ งจดจำ� และ
จ�ำเรียน เพื่อ “สอบ” ตามเกณฑ์ในระบบการศึกษาเท่าน้ัน แม้ว่าจะมีผู้เรียนบางคนชอบ
และสนุกสนานท่ีจะฟังเกร็ดประวัติศาสตร์ได้เรียนรู้อดีต มีความภาคภูมิใจในชาติและ
บรรพบุรุษ แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงมีค�ำถามเสมอว่าจะเรียนประวัติศาสตร์ไปท�ำไม
ประวตั ศิ าสตรม์ ปี ระโยชนอ์ ยา่ งไรในโลกยคุ โลกภวิ ตั น์ จะใชป้ ระวตั ศิ าสตรไ์ ปประกอบอาชพี
อะไร ทสี่ ำ� คญั ยงั มีค�ำถามท่เี ปน็ ความคาดหวังของสงั คม “หลักสตู รประวัตศิ าสตรค์ วรเป็น
อย่างไร เยาวชนไทยจึงจะรัก และภาคภมู ใิ จในความเป็นชาตไิ ทย”

85

ในฐานะผสู้ อนประวตั ศิ าสตร์ คำ� ถามน้ี นา่ จะทา้ ทาย “ความเชอื่ และความศรทั ธา”
ในอาชพี ของครปู ระวตั ศิ าสตร์ ทา้ ทาย “ความคดิ และความสามารถ” ของผเู้ ปน็ ครทู มี่ บี ทบาท
หนา้ ทใ่ี นการพฒั นาผเู้ รยี นใหเ้ ปน็ คนไทยทเ่ี หน็ คณุ คา่ ของความเปน็ ไทย แมว้ า่ ครสู ว่ นหนงึ่
ยังคงคลางแคลงใจวา่ ประวัติศาสตร์ จะสร้างความเป็นชาตไิ ทยได้หรอื ไฉน

เราตอ้ งทำ� ความเขา้ ใจกอ่ นวา่ ศาสตรท์ งั้ หลายในโลกนี้ สามารถแบง่ ได้ ๒ ประเภท
ประเภทแรก คือ ศาสตร์ที่สามารถน�ำมาใช้ประโยชน์ได้โดยตรง เช่น ความรู้จาก
แพทยศาสตร์ ใชร้ กั ษาผปู้ ว่ ย ใชว้ ศิ วกรรมศาสตร์ และสถาปตั ยกรรมศาสตร์ ในการสรา้ ง
บา้ นเรอื น ถนน สะพาน สว่ นอกี ประเภทหนง่ึ เปน็ ศาสตรท์ ไ่ี มส่ ามารถใชป้ ระโยชนไ์ ดโ้ ดยตรง
หรือเป็นประโยชน์อย่างฉับพลัน แต่เป็นพ้ืนฐานความรู้ให้กับศาสตร์ประเภทอื่น เช่น
แพทย์ศาสตร์ ต้องอาศัยความรู้จากฟิสิกส์ ชีววิทยา กายวิภาค สรีรวิทยา ฯลฯ
วศิ วกรรมศาสตร์ ก็ตอ้ งใช้ความรูจ้ ากคณติ ศาสตร์ ประวตั ศิ าสตร์จดั เปน็ ศาสตรป์ ระเภทนี้
คือ ไม่สามารถก่อประโยชน์ได้โดยตรง แต่ให้ความรู้ที่จ�ำเป็นและสัมพันธ์เก้ือกูลกับ
ศาสตร์อื่น เช่น สื่อสารมวลชนเกือบทุกแขนงต้องรู้จักลักษณะเฉพาะหรือเอกลักษณ์
ของแตล่ ะสงั คมมนษุ ยท์ ไ่ี ดพ้ ฒั นาจากอดตี ถงึ ปจั จบุ นั หรอื รฐั ศาสตรค์ วามสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง
ประเทศ ตอ้ งเข้าใจความเปน็ มาทางประวตั ิศาสตร์ ความคดิ ความเช่ือและระบบการเมือง
การปกครองของประเทศต่างๆ นักกฎหมายจ�ำต้องรู้ท่ีมา และอดีตของการพิพากษาคดี
ความต่างๆ นักวิทยาศาสตร์ ก็ต้องใช้ความรู้พื้นฐานจากการค้นพบวิทยาการในอดีตของ
มนุษยชาติ ซึ่งความรู้เหล่านี้ เรียนรู้ได้จากประสบการณ์ของมนุษย์ในอดีต หรือ
“ประวัตศิ าสตร”์ นั่นเอง

จะเหน็ ไดว้ า่ ประวตั ศิ าสตร์ เปน็ พน้ื ฐานสำ� คญั ของการเรยี นรศู้ าสตรต์ า่ งๆ โดยทำ�
หนา้ ที่เช่ือมโยงศาสตรท์ ัง้ สามสาขา คอื มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และวทิ ยาศาสตร์

คุณค่าและประโยชน์ของประวัติศาสตร์สามารถแยะแยะแจกแจงอธิบายได้ตาม
ความหมายและธรรมชาตขิ องวิชา ดงั น้ี

๑. ประวตั ศิ าสตรใ์ นแงข่ องเรอื่ งราวหรอื เหตกุ ารณส์ ำ� คญั ของสงั คมมนษุ ยใ์ น
อดตี ซงึ่ ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการเรยี นร้หู ลายประการ ทส่ี �ำคัญ ไดแ้ ก่

๑.๑ ความเขา้ ใจปญั หาและสงิ่ แวดลอ้ มของสงั คมปจั จบุ นั ประวตั ศิ าสตร์
หรือการสืบสวนอดีตของสังคมมนุษย์ ท�ำให้เราได้รู้ว่า พฤติกรรมและความคิดความเชื่อ
ของผคู้ นในสังคมเกดิ ขน้ึ ได้อยา่ งไร มีการเปล่ยี นแปลงหรอื มพี ัฒนาการมาอย่างไร อันจะ
น�ำไปสกู่ ารวเิ คราะห์ เพอ่ื ใหเ้ ข้าใจปญั หาอยา่ งมีเหตุมีผล มาตรการในการแก้ปญั หา จึงจะ
มปี ระสิทธิภาพ และเหมาะสมมากยงิ่ ขนึ้ เรยี กวา่ เป็นการศึกษาอดีตเพอ่ื เข้าใจปัจจบุ ันเหน็

86

แนวทางกา้ วสอู่ นาคต ผสู้ อนประวตั ศิ าสตรต์ อ้ งทำ� ความเขา้ ใจใหช้ ดั เจนกอ่ นวา่ แตล่ ะสงั คม
ย่อมมีพัฒนาการหรือการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา ซ่ึงเกิดจากปัจจัยแวดล้อมต่างๆ
อนั เปน็ เอกลกั ษณ์เฉพาะ เรยี กวา่ “บรบิ ทของเวลา” สงั คมปจั จุบัน กค็ อื ผลพวงจากอดตี
นนั่ คอื ขอ้ เทจ็ จรงิ ทเี่ ราตอ้ งยอมรบั วา่ สภาพของสงั คมไทยในปจั จบุ นั ไมว่ า่ ดหี รอื เลว สงั คม
สมานฉันท์หรือแตกแยก ล้วนเป็นผลผลิตของประสบการณ์ในอดีตท่ีเราและบรรพบุรุษ
ของเราได้ก่อไว้ทั้งส้ิน การท่ีจะเข้าใจปัญหาสังคมไทยให้ชัดเจนได้ ก็ด้วยการศึกษาอดีต
วา่ มเี รอ่ื งใดเกิดขึน้ บ้าง การเปล่ียนแปลงในแตล่ ะชว่ งเวลาเป็นอยา่ งไร ท�ำไมจงึ เป็นเชน่ นัน้
การเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้ง มีผลอย่างไร การเรียนรู้และท�ำความเข้าใจเรื่องราวหรือ
เหตุการณ์ส�ำคัญของสังคมมนุษย์ เพื่อเข้าใจปัจจุบันถือเป็นคุณค่าท่ีส�ำคัญที่สุดของ
ประวตั ิศาสตร์

ขนึ้ ยุคกรีกแหง่ เอเธนส์ BC) อรสิ โตเตลิ (Aristotle, 384-322 BC) ซ่ึงถือกนั ว่า The School of Athens
เป็นตรโี ยนกมหาบุรุษ (the great trio of ancient
ตอ่ มาเม่อื พวกกรกี ทีเ่ อเธนส์ (Athens) เขม้ แข็ง Greeks) ผวู้ างรากฐานทางปรชั ญาของวัฒนธรรม กรีกแห่งมาซิโดเนยี (Macedonian Greeks) แต่แลว้ ถึงปี
ข้นึ พวกกรีกท่ีไอโอเนียอาศัยก�าลังจากพวกเอเธนส์ ตะวันตกและทา� ให้เอเธนสไ์ ดช้ อ่ื ว่าเปน็ แหลง่ ก�าเนิดของ 133 BC (นบั อย่างเรา=พ.ศ. ๔๑๐) พวกกรกี ส้นิ อา� นาจ
ท�าใหก้ รกี ชนะเปอรเ์ ซยี ไอโอเนียกเ็ ป็นอสิ ระในปี 479 BC อารยธรรมตะวนั ตก โยนกกลายเปน็ ดินแดนส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมนั จน
(นบั อย่างเรา=พ.ศ. ๖๔; นบั อย่างฝร่งั =พ.ศ. ๔) แต่ตอ่ น้ี กระทง่ั จกั รวรรดิออตโตมานของมสุ ลิมเตอร์กมาเขา้ ครอง
ไป ไอโอเนยี ต้องขนึ้ ตอ่ เอเธนส์ ตอ่ มา โยนก ตกเปน็ ของเปอร์เซยี อีกในปี 387 BC เปน็ ทา้ ยสดุ ใน ค.ศ. 1458 (พ.ศ. ๒๐๐๑)
จนกระท่งั อเลกซานเดอรม์ หาราช มาพิชิตจักรวรรดิ
แมแ้ ต่ศูนยก์ ลางทางปัญญาก็ยา้ ยจากไอโอเนยี เปอร์เซียลงในราวปี 334 BC ไอโอเนยี จงึ มาเปน็ ของ สว่ นในดา้ นศิลปวทิ ยา เมื่ออริสโตเติลส้นิ ชวี ิตลง
ไปอยทู่ ีเ่ อเธนส์ ดังทีต่ อ่ นไ้ี ปท่ีเอเธนส์ ได้มี โสเครตีส ในปี 322 BC (นับอย่างเรา=พ.ศ. ๒๒๑) ยุคคลาสสิกของ
(Socrates, 470?-399 BC) เพลโต (Plato, 427-347 กรกี กจ็ บลงด้วย

26 หา้ มซ้อื -ขาย อนญุ าตใหใ้ ชเ้ พื่อการศกึ ษาส่วนตวั เทา่ น้ัน ภาพประกอบสว่ นใหญม่ ลี ิขสิทธิ์ หากประสงคจ์ ะนาํ ไปใช้ต่อ ต้องติดตอ่ ขออนุญาตจากเจ้าของก่อน

ภาพ กาลานุกรมหรอื Time Line เป็นเครอ่ื งมือในการเรียนรปู้ ระวตั ิศาสตร์

๑.๒ รู้รากเหง้าความเป็นไทย เข้าใจและภูมิใจในชาติตน เหตุการณ์
สำ� คญั ในอดตี ของสงั คมไทย เรม่ิ ตงั้ แตก่ ารตง้ั ถน่ิ ฐาน การสรา้ งบา้ นเรอื น การขยายอาณาเขต
เพอ่ื สรา้ งความมน่ั คงและมงั่ คงั่ ซง่ึ เปน็ ผลมาจากวรี กรรมและความเสยี สละของบรรพบรุ ษุ
ล้วนเป็นความรู้จากประวัติศาสตร์ ซึ่งนอกจากจะสร้างความเข้าใจ และรู้จักความเป็นมา
ของชาตแิ ลว้ ยงั จะทำ� ใหผ้ เู้ รยี นรรู้ ากเหงา้ ความเปน็ ไทยวา่ กวา่ จะถงึ วนั นไี้ ดน้ น้ั บรรพบรุ ษุ
ของเราในอดีตได้อุตสาหะบากบั่น พยายามสร้างชาติไทยข้ึนมาอย่างไร ต้องต่อสู้

87

พลีชีพเพื่อปกป้องดินแดนไทยบนแหลมทองท่ีอุดมสมบูรณ์ไว้ให้เป็นมรดก สืบจนถึง
ปจั จบุ นั นี้ ความรปู้ ระวตั ศิ าสตรใ์ นแงน่ ยี้ อ่ มสรา้ งความรกั ความเขา้ ใจและภมู ใิ จในชาตติ น
ใหก้ บั ผ้เู รยี น ซง่ึ ศาสตรอ์ น่ื ๆ ยอ่ มไม่สามารถท�ำบทบาทหนา้ ทนี่ ไี้ ด้ดเี ท่าประวัติศาสตร์

ภาพ อนุสรณส์ ถานชาวบา้ นบางระจัน จงั หวัดสงิ ห์บุรี
๑.๓ บทเรยี นในอดตี เหน็ ขอ้ บกพรอ่ ง–ความผดิ พลาด ความสำ� เรจ็ ความดงี าม

ของบรรพบรุ ษุ ประวัติศาสตร์ไมใ่ ช่แตเ่ พยี งอดีตของความสำ� เร็จ และความดงี าม ซึง่ ยอ่ ม
สรา้ งความภมู ใิ จในบรรพบรุ ษุ ไทยเทา่ นน้ั แตก่ ารเรยี นรู้ เรอื่ ง ความลม่ สลายของอาณาจกั ร
ไทยในอดตี การเสยี เอกราช การเสยี ดนิ แดน ลว้ นเปน็ ความรจู้ ำ� เปน็ ซง่ึ ไดม้ าจากการวเิ คราะห์
เหตกุ ารณ์ในประวัติศาสตร์ ว่าทำ� ไม และอยา่ งไร (Why, How) ซึ่งไม่ใช่การสอน เพยี งให้
รู้วา่ มีใคร ไดท้ ำ� อะไร ท่ีไหน และเมอ่ื ไร (Who, What, Where, When) อันเปน็ แคข่ ้อเท็จ
จริงเบื้องต้น หรือข้อมูลพื้นฐานเท่าน้ัน แต่ผู้สอนประวัติศาสตร์จ�ำต้องช้ีถึงมูลเหตุ ปัจจัย
ของเหตุการณ์ต่างๆ เพ่ือให้ผู้เรียนเข้าใจประวัติศาสตร์ในแง่ที่เป็น “บทเรียนในอดีต” ว่า
ความโลภ ความเห็นแกต่ ัว ความออ่ นแอของผูน้ ำ� ความลุ่มหลงในอำ� นาจหรอื การสะสม
ปัญหาจนยากจะแก้ไข ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ทางการเมือง หรือขัดแย้งเร่ืองผล
ประโยชน์ ความไมร่ ูเ้ ทา่ ถึงการณ์และอืน่ ๆ อกี มากมาย รวมทั้ง ปจั จยั ทางธรรมชาตลิ ว้ น
ปจั จยั ทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ เหตกุ ารณส์ ำ� คญั ในอดตี ไดท้ ง้ั สน้ิ และศกึ ษาเหตกุ ารณน์ วี้ า่ มผี ลโดยตรง
และผลกระทบตอ่ สงั คมอยา่ งไรบา้ ง อนั เปน็ การหาคำ� ตอบวา่ ทำ� ไม (Why) และอยา่ งไร (How)
การเรียนรู้ในลักษณะน้ี จึงจะท�ำให้ “อดีต” เป็นบทเรียนส�ำหรับการมองเห็นปัญหาใน
ปัจจุบันได้ชัดเจนข้ึน ซ่ึงจะสามารถน�ำไปสู่การเป็นบทเรียนท่ีมีค่าส�ำหรับใช้เป็นแนวทาง

88

ปฏิบัติในอนาคตตอ่ ไป ซึง่ ย่อมแนน่ อน ประวตั ศิ าสตร์ไมใ่ ชเ่ ร่ืองของคนใดคนหนง่ึ แต่เปน็
เรื่องของความเป็นชาติ หรือสังคมโดยรวมจึงจ�ำเป็นต้องรวมพลังกันช่วยกันขับเคลื่อน
โดยใชอ้ ดตี เปน็ บทเรยี น ความรใู้ นแงน่ จี้ ะเกดิ ขนึ้ หรอื ไม่ ยอ่ มทา้ ทายตอ่ ผสู้ อนประวตั ศิ าสตร์
ในระดบั มอื อาชีพ

๑.๔ รู้ความเป็นมาและวัฒนธรรมของประเทศตนและประเทศอื่นๆ
วัฒนธรรมไทยในนัยของประวัติศาสตร์ย่อมรวมถึงวิถีคิด วิถีปฏิบัติซ่ึงสะท้อนออกมา
ในรูปแบบต่างๆ คงไม่ได้แสดงที่รูปร่าง หน้าตา การแต่งกาย การนับถือศาสนา อาหาร
การกิน ซ่ึงแทบจะแยกแยะไดย้ ากกับความเป็นคนในภูมิภาคเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใตห้ รือ
ชาวอาเซยี นหรอื ผคู้ นในภมู ภิ าคอนื่ ในยคุ โลกาภวิ ตั น์ การเรยี นรคู้ วามเปน็ มาของวถิ คี ดิ และ
วถิ ปี ฏิบัตหิ รือรากเหง้าของวฒั นธรรมไทยจะท�ำให้เราสามารถแยกแยะ “ความเป็นคนไทย
วฒั นธรรมไทย วถิ ไี ทย” ออกจากสงั คมมนษุ ยอ์ นื่ ๆ ได้ เชน่ ผเู้ รยี นนา่ จะไดเ้ รยี นรแู้ ละเขา้ ใจ
วา่ ดนิ แดนไทยตง้ั อยรู่ ะหว่างอารยธรรมโบราณ ๒ แหง่ คอื อินเดีย และจีน ท�ำให้ไทยตง้ั อยู่
ในเส้นทางค้าขาย ซ่ึงส่งผลให้ไทยอยู่ในกระแสวัฒนธรรมจากภายนอกที่หลากหลาย
ไม่เฉพาะอินเดียและจีนเท่านั้น แต่หมายรวมทุกชาติที่เดินทาง ค้าขายด้วย ผนวกกับ
การทดี่ นิ แดนไทย มผี คู้ นตง้ั ถนิ่ ฐานมาชา้ นาน ซง่ึ ยอ่ มมวี ถิ กี ารดำ� เนนิ ชวี ติ ของตนเอง ปจั จยั
ทงั้ ภายนอกและภายในเหลา่ น้ี ทำ� ใหว้ ฒั นธรรมไทยมลี กั ษณะผสมผสาน ซง่ึ มาจากการรบั
วฒั นธรรมจากชาวตา่ งชาตมิ าผสมผสานกบั ความเปน็ ทอ้ งถนิ่ ดงั นน้ั เราจงึ มที งั้ พราหมณ์
พทุ ธ ผี เทพารกั ษ์ ผสมสานในขนบธรรมเนยี มประเพณไี ทย ทางดา้ นศลิ ปกรรมมที ง้ั อนิ เดยี
จนี เปอรเ์ ซยี ตะวนั ตก ผสมผสานเปน็ รปู แบบทางสถาปตั ยกรรมและ ประตมิ ากรรมทเี่ ปน็
เอกลักษณ์ของไทยเช่นกัน ที่ส�ำคัญผู้สอนประวัติศาสตร์ต้องเช่ือมโยงด้วยว่าสภาพ
ภูมิศาสตร์ เป็นปัจจัยส�ำคัญ ท�ำให้เกิดวัฒนธรรม แต่ประวัติศาสตร์สร้างความเข้าใจว่า
กาลเทศะท�ำให้สังคมมนุษย์มีความแตกต่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งหมายถึงว่า ผู้ที่
อาศัยอยใู่ นพ้นื ท่ีราบลมุ่ ท่รี อ้ นช้ืนยอ่ มมีการปลูกข้าว มีความคิด ความเชื่อ และพธิ กี รรม
เกยี่ วกบั ขา้ ว เหมอื นกนั แตใ่ นความเหมอื นนี้ ยอ่ มมคี วามแตกตา่ งเกย่ี วกบั วถิ คี ดิ วถิ ปี ฏบิ ตั ิ
ซง่ึ เราจะทำ� ความเข้าใจได้จากการเรยี นรูจ้ ากประวัติศาสตรเ์ ท่าน้นั

89

ภาพ พัฒนาการของการปลูกข้าว จาก “ขา้ วป่า” การทำ� ขา้ วไร่ ส่กู ารการทำ� นาข้าวน้�ำตม

อนงึ่ ประวตั ศิ าสตรไ์ มไ่ ด้ หมายถงึ การทำ� ความเขา้ ใจรากเหงา้ ความเปน็ ไทยเทา่ นน้ั
แตห่ มายถงึ ความเขา้ ใจรากเหงา้ ของมนษุ ยชาตทิ อ่ี ยใู่ นพนื้ ทตี่ า่ งๆ กนั ดว้ ย ดงั นนั้ การเรยี นรู้
ประวัติศาสตร์อย่างถูกต้อง จะท�ำให้เข้าใจลักษณะเฉพาะของชนชาติอื่น ประเทศอ่ืนหรือ
ภูมิภาคอน่ื ดว้ ย อันเปน็ การสรา้ งความเขา้ ใจอนั ดีตอ่ กนั ได้อย่างแท้จริง

90

ในแตล่ ะประเดน็ ทย่ี กมานเี้ ปน็ คณุ คา่ ของประวตั ศิ าสตรท์ ไี่ ดจ้ ากการเรยี นรเู้ นอื้ หา

หรือสาระสำ� คญั ของประวัตศิ าสตร์ ซึง่ หากผู้สอนประวตั ศิ าสตร์ จะเน้นแคว่ า่ แต่ละประเดน็

ศกึ ษา “มใี คร ทำ� อะไร ทไ่ี หน เมอ่ื ไร” เทา่ นน้ั นอกจากจะสรา้ งความเบอ่ื หนา่ ยใหก้ บั ผเู้ รยี น

แลว้ ยงั จะไมส่ ามารถสรา้ งประโยชนท์ มี่ คี ณุ คา่ ตอ่ ผเู้ รยี นได้ หากแตเ่ มอ่ื ไดส้ รา้ งความเขา้ ใจวา่

“ทำ� ไมถงึ เกดิ ทำ� ไมถงึ เปน็ ทำ� ไมถงึ เปลย่ี น และเกดิ ขนึ้ ไดอ้ ยา่ งไร เปลยี่ นแปลงเปน็ อยา่ งไร

มผี ลตอ่ อะไรอยา่ งไรบ้าง จงึ จะเปน็ “มืออาชพี ” อย่างแท้จริง

๒. ประวตั ศิ าสตรใ์ นฐานะทเี่ ปน็ “บนั ทกึ เกยี่ วกบั พฤตกิ รรมของมนษุ ยใ์ นอดตี ”

คณุ คา่ ของประวตั ศิ าสตรใ์ นแงน่ ม้ี าจากแนวคดิ วา่ การรบั รเู้ รอ่ื วราวในอดตี ไมจ่ ำ� เปน็ ทจี่ ะตอ้ ง

มาจากการเรยี นจากครใู นห้องเรยี นเท่านน้ั แต่ผเู้ รียนหาความรูไ้ ดจ้ ากการอา่ นบนั ทึกของ

เหตุการณ์หรือศึกษาได้ด้วยตนเองจากเอกสารและหลักฐานอื่นๆ ในกรณีนี้ผู้สอนต้อง

ทำ� ความเขา้ ใจกอ่ นวา่ บนั ทกึ ของเหตกุ ารณท์ นี่ กั ประวตั ศิ าสตรบ์ างทา่ นเรยี กวา่ “ภาพอดตี ”

น้นั สร้างขนึ้ ในบรบิ ททแ่ี ตกตา่ งกัน ข้ึนอยู่กับข้อมูลทีม่ อี ยู่ คา่ นยิ มของสงั คมท่เี ปล่ียนตาม

เวลาและการครอบง�ำจาก “มอื ที่มองไม่เห็น” ทีม่ ีอทิ ธิพลตอ่ ผบู้ นั ทึกเหตุการณ์ (การเมือง

การปกครองหรือเศรษฐกจิ หรืออาจรวมถงึ ความเชอ่ื ความศรัทธาในศาสนา) ดงั นนั้ ในแงน่ ้ี

ประวตั ศิ าสตร์จงึ เน้นในเรื่องการอา่ นอยา่ งระมัดระวัง ผสู้ อนประวตั ิศาสตร์ จงึ ควรแนะน�ำ

วธิ กี ารคน้ หาหนงั สอื ทผ่ี เู้ รยี นตอ้ งการอา่ นจากหอ้ งสมดุ หรอื จากอนิ เทอรเ์ นต็ ขอ้ ควรระวงั

คอื ข้อมลู จากอินเทอร์เน็ตหรอื เวบ็ ไซต์ มิใช่ “ภาพอดีต” แตเ่ ป็นเพยี งขอ้ มลู บางสว่ นท่ไี ด้

จากการตดั ตอ่ ทไ่ี มย่ นื ยนั ความถกู ตอ้ ง สง่ิ ทสี่ ำ� คญั คอื สว่ นทเี่ ปน็ การอา้ งองิ ถงึ ซง่ึ ผอู้ า่ นควร

จะได้ตดิ ตามและตรวจสอบ “ภาพอดตี ” จากข้อมลู ชั้นตน้ ตอ่ ไป

การอ่านท่ีจ�ำเป็นในการเรียนรู้

ประวตั ศิ าสตร์ คอื การอา่ นอยา่ งกวา้ งขวาง

ซึง่ หมายถงึ ไมใ่ ช่อา่ นเลม่ ใดเล่มหน่งึ แลว้

เชอื่ ตามนน้ั และจบั ใจความสำ� คญั ใหช้ ดั เจน

การอา่ นเพอ่ื ใหไ้ ดข้ อ้ เทจ็ จรงิ จำ� เปน็ ตอ้ งใช้

ทักษะการสังเกต การเปรียบเทียบ การ

แยกแยะและจัดระบบข้อมูล การสรุป

ใจความสำ� คญั ความสขุ มุ รอบคอบในการ

ตรวจสอบขอ้ มลู ที่สำ� คญั คือ ความเพียร

พยายามและความอดทนอดกลั้นที่จะ

ภาพ สมดุ ภาพไตรภมู ิพระรว่ ง สบื คน้ ข้อเทจ็ จริง อันเป็นพลังสำ� คญั ที่จะ
ทำ� ใหเ้ กดิ การอ่านอยา่ งกวา้ งขวางได้

91

ส�ำหรบั ผ้อู า่ น คำ� ถามทน่ี า่ จะเรมิ่ ต้นด้วย “อ่านอะไรจึงจะด”ี ผสู้ อนจงึ ควรทจี่ ะ
แนะน�ำให้ผู้อ่านรูจ้ ักส่ิงทตี่ นก�ำลงั จะอ่านใหด้ เี สยี กอ่ น ไม่ใชว่ า่ รแู้ ตช่ ือ่ เร่อื งเทา่ นั้น ควรจะ
รดู้ ้วยว่า ใครเป็นผู้บนั ทกึ หรือเขยี นขนึ้ ผ้เู ขยี นมปี ระสบการณ์ด้านใด รหู้ รือมสี ว่ นรว่ มกบั
เหตกุ ารณน์ นั้ อยา่ งไร ทำ� ไมจงึ เขยี นขนึ้ เขยี นขนึ้ จากประสบการณต์ นเอง หรอื “เรยี บเรยี ง”
หรอื ปรบั ปรงุ หรอื คน้ ควา้ จากหนงั สอื อะไรบา้ ง ทง้ั หมดนไ้ี มใ่ ชก่ ารจะตดั สนิ ใจวา่ จะอา่ นหรอื
ไมอ่ า่ น ค้มุ ค่ากับเวลาทจี่ ะอ่านหรอื ไม่ เพราะส�ำหรบั ผ้ศู กึ ษาประวตั ิศาสตร์ การอา่ นอย่าง
กว้างขวาง และหลากหลายจะชว่ ยให้ “ภาพอดีต” ชดั เจนขน้ึ แตค่ �ำแนะน�ำดงั กล่าว จะชว่ ย
ในการกลนั่ กรองวา่ อะไร คอื ขอ้ เท็จจรงิ ที่ควรไดร้ บั ความเช่อื ถอื มากกว่า

คำ� ถามวา่ อา่ นอย่างไร จึงจะรูเ้ รอื่ งเร็ว เป็นทักษะทีจ่ ะต้องฝกึ ฝนอยา่ งสม�่ำเสมอ
และต่อเนื่อง จึงถือเป็นเร่ืองจ�ำเป็นท่ีผู้สอนจะต้องฝึกทักษะให้ผู้เรียนได้อ่าน ส�ำหรับเด็ก
ประถมศึกษา อาจจะเร่ิมอ่านเพียงไม่ก่ีบรรทัดแล้วตอบค�ำถามสั้นๆ แบบตรงไปตรงมา
(ในกรณีนี้ผู้สอน ต้องฝึกฝนตนเองให้อ่านและเข้าใจประเด็นหลักของเร่ืองท่ีอ่านได้ชัดเจน
กอ่ น) จากนนั้ จงึ เรม่ิ ฝกึ ฝนใหผ้ เู้ รยี นแยกแยะอะไร คอื ขอ้ มลู หรอื ขอ้ เทจ็ จรงิ ทพี่ บในเรอ่ื ง
การอ่าน แลว้ ผูอ้ า่ นเชอ่ื หรือไมเ่ ช่ือดว้ ยเหตุผลใด ก่อนจะฝึกฝนการอ่านเพอ่ื แยกแยะไดว้ ่า
อะไรคือข้อมูล อะไรคือข้อเท็จจริง อะไรคือความคิดเห็นส่วนตัว หรืออะไรคือความคิด
ความเชอื่ ของผเู้ ขยี นท่สี อดแทรกในบนั ทึกนน้ั กอ่ นจะกา้ วไปถงึ การตีความอย่างมีเหตผุ ล
บนพ้ืนฐานของขอ้ เทจ็ จริง ซ่ึงนา่ จะเหมาะสมกับเด็กในระดบั มัธยมศึกษามากกว่า

อยา่ งไรกต็ าม จดุ ประสงคข์ องการอา่ น คอื การรเู้ รอ่ื ง โดยเฉพาะประเดน็ หลกั ของ
เรอื่ งวา่ มอี ะไรบา้ ง ทสี่ ำ� คญั กค็ อื การอา่ นบนั ทกึ เหตกุ ารณใ์ นประวตั ศิ าสตร์ เปน็ การศกึ ษา
ในรูปแบบหน่งึ มิใชก่ ารอ่านเพือ่ พักผอ่ นหย่อนใจ จึงตอ้ งมกี ารจดชว่ ยจ�ำ เช่น จดขอ้ มูล
ในลกั ษณะเสน้ เวลา time line (เรยี งลำ� ดบั เหตกุ ารณต์ ามวนั เวลา) หรอื สรปุ สาเหตทุ ที่ ำ� ให้
เกดิ เหตุการณ์ โดยบันทกึ ทีม่ าของขอ้ มลู ไวด้ ว้ ย เชน่ ชือ่ ผูแ้ ตง่ ช่อื หนงั สือ เลขหนา้ เพอื่ ท่ี
จะกลับไปค้นหาหรอื สืบค้นเรือ่ งราวนัน้ ได้อกี

นอกจากนี้ การน�ำภาพอดีตจากหลายๆ แหล่งท่ีมาเรียบเรียง แยกแยะแจกแจง
ขน้ึ ใหม่ ภายใตบ้ รบิ ทเวลาในชว่ งขณะนนั้ ในรปู แบบตา่ งๆ เชน่ ผนวกกบั จนิ ตนาการสะทอ้ น
สภาพสงั คมเปน็ วรรณกรรม ผนวกกบั เหตุการณจ์ ริงทพ่ี บเหน็ เป็นบทความหรอื หนังสอื
ภายใต้ช่ือท่ีสละสลวยต่างๆ ก็นับว่าเป็นการเพ่ิมบันทึกพฤติกรรมของมนุษย์ เข้าไปสู่โลก
ของการเรยี นรปู้ ระวัติศาสตร์ตอ่ ไป

จะเห็นวา่ ประวัติศาสตร์ในแงข่ องการเปน็ “บันทึกเก่ยี วกับพฤติกรรมของมนุษย์
ในอดตี ” จะสรา้ งประโยชนโ์ ดยตรงในการฝกึ ทกั ษะใหก้ บั ผเู้ รยี น ในแงข่ องการคดิ วเิ คราะห์
รเู้ ทา่ ทนั ขอ้ มลู มคี วามรคู้ วามคดิ กวา้ งขวางทนั สมยั ทนั คน เหตกุ ารณท์ ส่ี ำ� คญั คอื การพฒั นา
ดา้ นสติปัญญา เพราะพฤตกิ รรมและความคดิ ของมนษุ ยน์ ั้น “ล�้ำลึกเหลอื กำ� หนด” เต็ม

92

ไปดว้ ยความซบั ซ้อน ความขดั แยง้ ความรกั ความชัง การพทิ ักษ์ การปกปอ้ งในการทจี่ ะ
เข้าใจสังคมมนุษย์จึงต้องอาศัยทั้งสติปัญญาและความสามารถทุกรูปแบบ จึงจะรู้จักอดีต
ของสังคมมนุษย์ได้อย่างแท้จรงิ

๓. ประวตั ศิ าสตรใ์ นฐานะ “วธิ กี ารศกึ ษาเรอ่ื งราวสำ� คญั ๆ ทเี่ ชอ่ื วา่ เกดิ ขนึ้ จรงิ ”
ถอื วา่ เปน็ หวั ใจของประวตั ศิ าสตรใ์ นแงข่ องการสรา้ งความรใู้ หม่ ทท่ี กุ คนสามารถทำ� ไดแ้ ละ
มคี ณุ คา่ สำ� คญั มากตอ่ มนษุ ยชาติ เนอื่ งจากการสรา้ งสรรคค์ วามรใู้ นเชงิ วทิ ยาการทง้ั หลาย
ในโลกนเี้ จรญิ สบื เนอ่ื งไดต้ ลอดมา กเ็ พราะการศกึ ษาในแงน่ ้ี ผสู้ อนประวตั ศิ าสตรต์ อ้ งเขา้ ใจ
กอ่ นวา่ การเรยี นรอู้ ดตี ของสงั คมมนษุ ยโ์ ดยผสู้ อนเปน็ ศนู ยก์ ลางการเรยี นรู้ ไมว่ า่ จะอธบิ าย
หรือจากการให้นักเรียนอ่านตามความสนใจใคร่รู้ของนักเรียนเองเป็นการ “รับความรู้”
ทมี่ ผี อู้ นื่ ไดศ้ กึ ษาไวก้ อ่ นแลว้ แตค่ วามรใู้ นโลกน้ี ยงั มอี กี มากมายทย่ี งั ไมม่ ใี ครรู้ โดยเฉพาะ
ในเรอื่ งพฤตกิ รรม ความคดิ ความเชอ่ื และคา่ นยิ มของมนษุ ยท์ มี่ อี ยใู่ นทกุ พนื้ ที่ เชน่ ประวตั ิ
ของตัวเราและครอบครัว ความเป็นมาของตระกูล หมู่บ้านและชุมชนที่เราอาศัยอยู่
ศาสนสถาน ตลาด ประเพณี ล้วนเป็นเร่ืองที่อยู่ใกล้ตัวเราเองและเป็นเรื่องท่ีเราทุกคน
สามารถสืบค้นหาความรู้เหล่าน้ีแล้วน�ำมาเสนอผู้อื่นรู้ได้ เรียกว่าการสร้างความรู้หรือ
การเตมิ ความรู้ใหแ้ กโ่ ลก

วิธีการศึกษาเร่ืองราวที่เกิดข้ึนมาแล้วในสังคมมนุษย์ มีวิธีการที่ไม่ยากและเป็น
ส่งิ ทที่ กุ คนสามารถท�ำไดใ้ นชีวติ ประจำ� วันเปน็ ปกติอยู่แลว้ เพียงแต่ในประวัติศาสตรไ์ ดจ้ ัด
ระเบยี บเรยี งลำ� ดบั ขน้ั ตอนเพอ่ื ใหเ้ ปน็ ระบบทชี่ ดั เจนขนึ้ โดยเรม่ิ ตน้ ทคี่ วามอยากรอู้ ยากเหน็
เรื่องใดเร่ืองหนึ่ง โดยที่ไม่สามารถหาค�ำตอบได้จากคนใดคนหน่ึงหรือหนังสือเล่มหน่ึงได้
เราจงึ ตอ้ งสบื สวนค้นควา้ หาค�ำตอบประเดน็ ทอี่ ยากรู้ดังกลา่ วด้วยตนเอง

ค�ำถามที่เกิดข้ึน คือ เราจะหาค�ำตอบได้จากที่ไหน มีหนังสือเล่มไหนเขียนไว้
หรอื ไม่ มผี รู้ อู้ ยู่ที่ไหน ใหเ้ ราสอบถามได้บ้าง มีสถานทีใ่ ดทีเ่ ราควรไปเพ่อื หาค�ำตอบนไ้ี ด้
หรือไม่ บทบาทของผ้สู รา้ งความรู้ใหมค่ ือการรวบรวมข้อมูลท่เี ก่ยี วข้องให้ครบถว้ น

สง่ิ ทเ่ี ปน็ รอ่ งรอยใหเ้ ราสบื คน้ นี้ เรยี กวา่ “หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร”์ ซง่ึ หมายถงึ
สิ่งท่ีจะบอกร่องรอยในอดีตได้ ไม่ว่าคน ส่ิงของ สถานท่ีจะเป็นหลักฐานที่มนุษย์จงใจ
สร้าง หรือไม่จงใจสร้างหรือหลักฐานท่ีมีลายลักษณ์อักษรหรือไม่มีลายลักษณ์อักษร
ลว้ นเปน็ หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรไ์ ดท้ ง้ั สนิ้ สง่ิ ทเี่ ราไดจ้ ากหลกั ฐานเราเรยี ก “ขอ้ มลู ” หรอื
“ข้อเทจ็ จรงิ ” ซ่ึงหมายถึงข้อมลู ท่ไี ดอ้ าจไมใ่ ชค่ วามจรงิ ทั้งหมด ทง้ั น้ี เน่ืองจาก หลกั ฐาน
ทางประวตั ศิ าสตรไ์ มว่ า่ จะเกดิ ขน้ึ ดว้ ยเหตใุ ดกต็ าม มนษุ ยจ์ ะเปน็ ผเู้ สนอเรอ่ื งราวในหลกั ฐาน
เหลา่ นแ้ี ทน เชน่ นกั โบราณคดจี ะเปน็ ผอู้ ธบิ าย โครงกระดกู สง่ิ ของทข่ี ดุ คยุ้ นกั ธรณวี ทิ ยา
อธิบายชั้นดิน ชั้นหินที่พบร่องรอยการต้ังถ่ินฐานของมนุษย์ นักภาษาโบราณเป็นผู้อ่าน
ศิลาจารึกที่ผู้คนโบราณจัดสร้างขึ้น อันท่ีจริงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ท่ีใช้

93

ในการสืบค้นเร่ืองราวในอดีตเป็นสิ่งท่ีมนุษย์ท�ำข้ึน ซ่ึงอาจไม่ให้ความจริงเสมอไป
อาจเพราะความไม่รูจ้ รงิ ไมร่ ูค้ รบถว้ น อาจเพราะหลงลืมหรอื ไม่ใหค้ วามส�ำคญั กับเร่ือง
บางเรื่อง อาจเจตนาปิดบังความจริงบางส่วน อาจต้องการประชาสัมพันธ์ความย่ิงใหญ่
ของตนหรือรัฐตน เป็นต้น ดังน้ันผู้ที่จะแสวงหาความรู้จากอดีต จึงต้องตรวจสอบ
ความถกู ตอ้ งของขอ้ มลู จากหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรเ์ สยี กอ่ น เพอ่ื ใหไ้ ดค้ วามจรงิ ในอดตี
เราเรียกขั้นตอนนี้วา่ ข้นั ตรวจสอบ ประเมนิ ค่าความจริงจากหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์
หรอื “วพิ ากษว์ ธิ ีทางประวตั ิศาสตร์”

ภาพ สมดุ ใบลาน
ในขั้นตอนนี้ เราต้องใช้หลักฐานทางประวัติศาสตร์อย่างกว้างขวาง ทั้งการอ่าน

เอกสาร การสอบถามจากผู้รู้ หรือผ้ทู ่ีมีส่วนเก่ยี วขอ้ งและหลักฐานทางโบราณคดีประกอบ
ในขนั้ น้ี เราจะไดข้ อ้ เทจ็ จรงิ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั เรอ่ื งทส่ี บื คน้ จนสามารถตอบคำ� ถามประเดน็ ทเี่ รา
ตง้ั ไวไ้ ด้

สดุ ทา้ ย คอื การเลอื กวธิ กี ารนำ� เสนอเรอื่ งราวทคี่ น้ พบไดใ้ หส้ าธารณชนไดร้ บั รเู้ ปน็
“ความร”ู้ ตอ่ ไป การนำ� เสนอทน่ี ยิ มกนั มากทสี่ ดุ คอื การเขยี นความเรยี งอนั เปน็ การรายงาน
ความรู้ที่ได้สืบค้นมาได้พร้อมอ้างอิงหลักฐานเพื่อให้ผู้อ่ืนตรวจสอบได้ภายหลัง ถือเป็น
การสรา้ งความรทู้ างประวตั ศิ าสตร์ แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามเราสามารถใชว้ ธิ อี นื่ ๆ เชน่ การเลา่ เรอื่ ง
พร้อมภาพ การจัดนิทรรศการและอื่นๆ อีกหลายวิธี จะเห็นว่าการสร้างความรู้ทาง
ประวตั ศิ าสตรเ์ ป็นส่งิ ทไี่ ด้ไมย่ าก นักเรยี นในระดับใดกส็ ามารถทำ� ได้

คณุ คา่ ของประวตั ศิ าสตรใ์ นแงข่ องการเปน็ “วธิ กี ารศกึ ษาเรอื่ งราวสำ� คญั ๆ ทเี่ ชอ่ื วา่
เกิดขนึ้ จรงิ ” นี้ เรียกว่า “วิธกี ารทางประวตั ิศาสตร”์ (Historical method) หรอื วธิ กี าร

94

สืบคน้ เร่ืองราวส�ำคญั ของสงั คมมนษุ ย์ในอดตี อันเป็นกระบวนการสรา้ งภูมปิ ญั ญา ทีจ่ ะ
สามารถพฒั นาผ้เู รยี นใหเ้ ป็นปัญญาชน ก่อใหเ้ กิดประโยชน์ ดงั นี้

๑. ส่งเสรมิ จติ ใจใฝ่รู้ (Inquiring mind) ในเรอ่ื งราวทเี่ กย่ี วข้องกับสงั คมมนุษย์
ท้ังในระดับ ทอ้ งถ่นิ ประเทศชาติ และสงั คมมนษุ ยชาตอิ ่นื

๒. มีทักษะในการจัดระบบข้อมูล ตรวจสอบและประเมินค่าข้อมูลเพื่อหาข้อเท็จ
จริงในประวตั ศิ าสตร์

๓. ปลูกฝังแนวคดิ เชิงวิเคราะห์ (Critical Thinking) วพิ ากษ์ วจิ ารณบ์ นพน้ื ฐาน
ข้อเทจ็ จริง ทีไ่ ดจ้ ากหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์

๔. มที กั ษะในการวนิ จิ ฉยั แยกแยะขอ้ เทจ็ จรงิ จากขอ้ สนเทศทห่ี ลากหลายทสี่ บื คน้
ไดจ้ ากหลักฐานทางประวัตศิ าสตร์

๕. มที กั ษะในการเขยี นความเรยี ง การเลา่ เรอื่ ง การนำ� เสนออยา่ งมเี หตผุ ล กระชบั
ชัดเจน น่าสนใจและนา่ เชอ่ื ถอื ได้

ที่ส�ำคัญ ประวัติศาสตร์ในยุคโลกาภิวัตน์ หรือโลกของข้อมูลข่าวสารท่ีรวดเร็ว
และมอี ทิ ธพิ ลขยายขอบเขตไดอ้ ยา่ งกวา้ งขวางน้ี ประวตั ศิ าสตรม์ บี ทบาทสำ� คญั ในการพฒั นา
ผู้เรียนให้เป็นผู้รู้จักใช้วิจารณญาณในการรับรู้ และประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล
ตา่ งๆ ในขนั้ ตอนทเ่ี รยี กวา่ “วพิ ากษว์ ธิ ที างประวตั ศิ าสตร”์ ดว้ ยการประเมนิ จากตวั หลกั ฐาน
ใครท�ำขึ้น ท�ำขึ้นท�ำไม ของจริงหรือของปลอม จากน้ันจึงประเมินข้อเท็จจริงท่ีปรากฏ
ในหลักฐานว่าขัดแย้งกับหลักฐานอื่นๆ หรือไม่ ท�ำไมจึงเหมือนกัน ท�ำไมจึงแตกต่าง
ส่ิงเหล่าน้ี ถือเป็นกระบวนการศึกษาข้อมูลที่จ�ำเป็นเพ่ือท่ีจะฝึกฝนผู้เรียนให้ยึดถือเหตุผล
เป็นส�ำคัญ ผ่านการตรวจสอบประเมินและให้น้�ำหนักความน่าเช่ือถือของข้อมูลหลักฐาน
รวมท้งั การขจัดอคติส่วนตวั และความเช่ือด้งั เดมิ ออกไป

อย่างไรก็ตามผู้สอนประวัติศาสตร์ควรเข้าใจด้วยว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ประวัตศิ าสตรท์ ี่ดีจะกอ่ คณุ คา่ ดา้ นเจตคติ และค่านยิ มที่ดีให้แกผ่ ู้เรียน ต่อทอ้ งถนิ่ และ
ประเทศชาติ ตอบสนองคณุ ลกั ษณะ อนั พงึ ประสงคใ์ นหลกั สตู ร คอื รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์
และรักความเป็นไทย ดังน้ี

- สรา้ งความรสู้ กึ รว่ มเปน็ อันหน่งึ อันเดียวกนั ทางสงั คม
- ตระหนกั ในคณุ ค่าของมรดกทางวัฒนธรรมของทอ้ งถ่ินและชาติ
- ยอมรับและเข้าใจความแตกต่างของมนุษยชาติท่ีเกิดจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์
และสงั คม
- อยรู่ ่วมกับสงั คมอ่นื ได้อยา่ งสันตสิ ุข และมจี ติ ส�ำนึกตอ่ สงั คมโดยรวม
- ใชเ้ หตุผลในการด�ำเนนิ ชีวิต

95

ภาพ รามเกียรติ์ วฒั นธรรมรว่ มของเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้

คุณคา่ ของประวัติศาสตรใ์ นนัยของความหมายดังกล่าวน้ีสามารถสรุปไดว้ า่
ประวตั ศิ าสตรเ์ ปรยี บเทยี บเสมอื นกระจกทสี่ อ่ งใหเ้ หน็ สงั คมมนษุ ย์ ณ ชว่ งเวลา
หนง่ึ ในพนื้ ทห่ี นง่ึ ทม่ี พี ฒั นาการสบื สานมาจนปจั จบุ นั
ท�ำไมจึงต้องเรียนประวัติศาสตร์ อาจเป็นค�ำถามท่ีผู้สอนประวัติศาสตร์ต้อง
ตอบผ้เู รยี น ซง่ึ นา่ จะเปน็ ดังนี้
๑. ประวตั ศิ าสตร์ สอนใหร้ จู้ กั ตนเอง รปู้ ระวตั คิ วามเปน็ มาของทอ้ งถน่ิ และประเทศ
ชาตขิ องตน เขา้ ใจพฒั นาการของผคู้ นทอ่ี าศยั อยใู่ นแผน่ ดนิ ไทยตง้ั แตอ่ ดตี และความรงุ่ เรอื ง
ท่วี วิ ฒั นาการสบื ทอดมาอย่างต่อเนอ่ื งจนถึงปจั จบุ ัน
๒. ประวตั ิศาสตร์ สรา้ งจิตสำ� นึกในความเป็นชาติ เกิดความรกั ความภาคภมู ิใจ
ในบรรพบรุ ษุ ทกี่ อ่ ตง้ั ชาตบิ า้ นเมอื ง ยงั ความเปน็ ปกึ แผน่ ดำ� รงเอกราชมาจนปจั จบุ นั รวมถงึ
การสบื ทอดขนบธรรมเนยี มประเพณี ศลิ ปวฒั นธรรมทค่ี งความเป็นเอกลกั ษณ์ ซ่ึงถอื เป็น
หน้าทค่ี นรนุ่ หลังจะต้องสืบทอดให้คงอยู่ตลอดไป

96

๓. ประวัตศิ าสตร์ ส่งเสรมิ ผูเ้ รียนใหเ้ ปน็ นักคิด มเี หตุมผี ลเพราะกระบวนการ
ศกึ ษาทางประวตั ศิ าสตรห์ รอื วธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตรม์ งุ่ เสรมิ สรา้ งจติ ใจใหใ้ ฝร่ ู้ (Inquiring
mind) ต้ังค�ำถามและค้นคว้าหาค�ำตอบ โดยศึกษาจากหลักฐานที่เก่ียวข้อง ให้ครบถ้วน
วเิ คราะห์ กลั่นกรองข้อเทจ็ จรงิ และสรปุ ผลการสืบคน้ อย่างมเี หตผุ ล

๔. ประวตั ศิ าสตร์ เปน็ บทเรยี นจากอดตี ทำ� ใหผ้ คู้ นไดเ้ รยี นรคู้ วามเปน็ มาในสงั คม
ในพน้ื ทแ่ี ละบรบิ ทของเวลาตา่ งๆ กนั เหน็ บทเรยี นในอดตี ทม่ี ที งั้ ความสำ� เรจ็ และความลม้ เหลว
เพอื่ เปน็ เครอ่ื งเตอื นใจและชว่ ยตดั สนิ ใจทจ่ี ะดำ� เนนิ การในเรอื่ งทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั สงั คมและชาติ
บา้ นเมอื ง นอกจากนี้ บทเรยี นในอดตี จะชว่ ยสรา้ งความรสู้ กึ รว่ มในชะตากรรมใหก้ บั คนใน
สงั คมเดยี วกนั ปลกู ฝงั ความรสู้ กึ ในความเปน็ ชาติ หวงแหนอสิ รภาพและเอกราชของชาตติ น

ค�ำตอบในเร่ือง ประโยชน์และคุณค่าประวัติศาสตร์ ดังกล่าวนี้ จะเกิดได้จาก
“ครูประวตั ิศาสตรม์ อื อาชีพ” ทีม่ จี ิตวญิ ญาณของการต้งั ใจจรงิ และมานะพยายาม (เพราะ
ปญั หาเรอ่ื งชาตบิ า้ นเมอื งถกู ละเลยมาเปน็ เวลานาน) เชน่ เดยี วกบั นกั ประวตั ศิ าสตรท์ ม่ี งุ่ สรา้ ง
ความรเู้ กีย่ วกบั อดีตของสังคมมนุษยน์ นั่ เอง

97

98


Click to View FlipBook Version