หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
แต่แร่ทองคำ� บริสุทธ์ิ เคร่ืองมอื ท่จี ะใชถ้ ลุงเอา “อวชิ ชา” ออกเพอ่ื
ใหเ้ หลอื แต่ “ธาตุรูท้ ่ีบริสุทธ์ิ” คือ “สติ สมาธิ ปญั ญา”
“สติขาด สมาธิขาด ปญั ญาขาด ธรรมขาด... เป็ นทุกข์
สติมี สมาธิมี ปญั ญามี ธรรมมี... ไม่ทุกข์
สติเป็ นมหาสติ เป็ นมหาสมาธิ เป็ นมหาปญั ญา
เป็ นพระนิพพาน... พน้ ทุกข”์
“สติ อนั เดียว ก็ไม่หลาย”
เมอ่ื ถลุงเอา “อวชิ ชา” ซ่งึ เป็นความหลงปรุงแต่งยดึ ถอื ออก
หมดแลว้ ก็จะเหลอื แต่ “ธาตรุ ูท้ ่ีบริสุทธ์ิ” ในทน่ี ้ีจะเรียกช่อื สมมตุ ิ
ว่า “ใจ” หรือ “จติ เดิมแท”้ มีคุณสมบตั ิเป็ นเหมือนกบั ความว่าง
ของธรรมชาติหรือจกั รวาล แต่มีความรู้ คือรูจ้ ริง รูแ้ จง้ รูพ้ น้
จากความหลงยึดมนั่ ถือมนั่ เป็ นรูท้ ่ีไม่มีตวั ตน ไม่มีรูปร่าง ไม่มี
รูปพรรณสณั ฐานใด ไม่มีอะไรปรากฏเลย จงึ ไม่มีการเกิดดบั
“ธาตุรูท้ ่ีบริสุทธ์ิ” มีคุณสมบตั ิเป็นความว่างเหมือนกบั
ความว่างของธรรมชาตหิ รือจกั รวาล แต่จะแตกต่างจากความว่าง
ของธรรมชาติหรือจกั รวาล ตรงท่ธี าตุรูเ้ ป็นความว่างท่มี คี วามรู ้
ส่วนความว่างของธรรมชาติหรือจกั รวาลมีแต่ความว่างไม่มี
ความรู ้
150
จบซะที : จบซะที
ความเขา้ ใจตรงน้ีสำ� คญั เป็ นอย่างมาก เพราะผูป้ ฏิบตั ิผิด
จำ� นวนมากไปสรา้ งความรูส้ กึ ให้ใจว่างเปล่าเหมือนกบั ธรรมชาติ
หรือจกั รวาลไปเลย โดยไม่มคี วามรูค้ ือรูจ้ ริง รูแ้ จง้ รูพ้ น้ จาก
สงั ขารซ่ึงเกิดจาก “สติปัญญา” รูเ้ ห็นตามความเป็นจริงว่า
ธรรมชาติมเี พยี งสองอย่าง คือธรรมชาติปรุงแต่ง (สงั ขาร) กบั
ธรรมชาติไม่ปรุงแต่ง (วสิ งั ขาร)
ธรรมชาติปรุงแต่งภายใน (สงั ขาร) ไดแ้ ก่ ขนั ธห์ า้ และ
อายตนะ ซ่ึงเป็ นธรรมชาติผสมปรุงแต่งมาจากธาตุดิน ธาตุน้�ำ
ธาตุลม ธาตุไฟ และวิญญาณธาตุ (ธาตุรูท้ ่ีมีอวิชชาผสมอยู่)
จงึ เป็ นของไม่เท่ียง เป็ นทกุ ข์ ทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้ เกดิ ข้ึนแลว้
ก็ดบั ไป มีความแก่เจ็บตายเน่าเป่ื อยผุพงั หรือถูกเผากลายไป
เป็ นธาตุดิน ธาตุน้�ำ ธาตุลม ธาตุไฟ และวิญญาณธาตุตามเดิม
ส่วนธรรมชาติไม่ปรุงแต่ง (วิสงั ขาร) คือใจหรือจติ เดิมแท้
เป็ นความว่างจากตวั ตน เป็ นเหมือนกบั ความว่างของธรรมชาติ
หรือจกั รวาล แต่เป็ นความว่างท่ีมีความรู้ ไม่มีรูปร่าง ไม่มีกริยา
หรืออาการใดเลย เม่ือใดท่ีเป็ นธาตุรูท้ ่ีส้นิ อวิชชาแลว้ คือรูแ้ จง้
รูจ้ ริง รูพ้ น้ จากความหลงปรุงแต่งยึดถือสงั ขารและวิสงั ขารว่า
เป็ นเรา เป็ นตวั เรา หรอื เป็ นตวั ตนของเรา หรอื รูแ้ จง้ ว่าไม่มีตวั ตน
ของเราในสงั ขารและวิสงั ขาร จงึ จะเป็ นธาตุรูท้ ่ีบริสุทธ์ิ
151
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
ไม่ใช่หลงเขา้ ใจผิดไปสรา้ งความรูส้ กึ หรือไปปรุงแต่งจติ
ใหเ้ ป็ นความว่างแบบธรรมชาติข้ึนมาเลย มนั ตอ้ งเป็ นความว่าง
ท่ีเป็ นธาตุรูท้ ่ีบริสุทธ์ิ ความว่างของธาตุรูก้ บั ความว่างของ
ธรรมชาติไม่ใช่อนั เดียวกนั ความว่างธรรมชาติไม่มีความรูแ้ จง้
รูจ้ ริง รูพ้ น้ เหมือนกบั ธาตุรู้ ถา้ หลงปรุงแต่งจติ เป็ นความว่าง น่ิง
เฉย ท�ำเป็ นรูเ้ ฉย รูเ้ ฉย รูเ้ ฉยๆ… แลว้ หลงว่าเป็ นอเุ บกขา ก็จะ
ท�ำใหส้ มองทึบโง่ดกั ดานมากย่ิงข้ึนไปเร่ือยๆ เพราะไม่ไดม้ ีสติ
ปญั ญาท่สี ้นิ ความหลง (อวชิ ชาดบั ) จนเป็ นธาตรุ ูท้ ่บี รสิ ทุ ธ์ิ หลงั จาก
น้ันธาตุ ขนั ธ์ อายตนะ เขาก็ท�ำหน้าท่ีอย่างบริสุทธ์ิตามปกติ
ธรรมชาติของเขา คือสกั แต่ว่ารูท้ างตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจอย่าง
อเุ บกขา โดยไม่หลงมีตวั เราเขา้ ไปมีส่วนไดเ้ สยี
เม่ือส้นิ “อวิชชา” ใจหรือจติ เดิมแทเ้ ป็ นความรูพ้ น้ ท่ีมีแต่
ความว่าง เพราะเป็ นธาตุรูท้ ่ีบริสุทธ์ิแลว้ แต่ก็ยงั อยู่กบั ขนั ธห์ า้
และอายตนะท่ีเป็ นธรรมชาติฝ่ ายปรุงแต่ง และอยู่กบั ธาตุอ่นื ๆ
คือธาตุดิน ธาตุน้�ำ ธาตุลม ธาตุไฟ เพราะธาตุขนั ธย์ งั ไม่ถึงเวลา
แตกดบั (คือตาย) เม่ือตายแลว้ ขนั ธห์ า้ และอายตนะ ซ่ึงเป็ น
ธรรมชาติปรุงแต่งก็จะดบั หมด ธาตุต่างๆ ก็แยกไปเป็ นธาตุดิน
ธาตนุ ้�ำ ธาตลุ ม ธาตไุ ฟ และธาตรุ ูท้ ่บี รสิ ทุ ธ์ิ เพราะไม่มีอวชิ ชาหรอื
ความปรุงแต่งเขา้ ไปปนผสมแลว้ จึงกลืนหายไปในความว่าง
ของธรรมชาติ
152
จบซะที : จบซะที
แต่พวกเรากลบั หลงยดึ เอาขนั ธห์ า้ เป็นตวั เรา แลว้ หลงเอา
ตวั เราไปดูตวั เราท่ีเป็นขนั ธห์ า้ หรือหลงเอาขนั ธห์ า้ มาปรุงแต่ง
เป็นตวั เรา แลว้ เอาตวั เราไปดูจิตหรือดูความคิด อย่างน้ีก็ไม่มี
สติปญั ญารูเ้ ท่าทนั ขณะจิตท่หี ลง เพราะเป็นผูห้ ลงเสยี เองแลว้
ถึงจะพยายามดูจิตดูความคิดอย่างไร ก็หลงเอาขนั ธห์ า้
ปรุงแต่งเป็ นตวั เราไปดูจติ ดูความคิด มนั หลงวนเวียนเล่นอยู่
กบั ขนั ธห์ า้ ไม่หลุดพน้ จากขนั ธห์ า้ เสียที วางผูด้ ูผูร้ ูไ้ ดไ้ หมล่ะ
ปล่อยวางไปเลย ปล่อยวางขนั ธห์ า้ น้ีไป ตวั เราท่ีไหนล่ะขนั ธห์ า้
ถา้ ยงั หลงเอาขนั ธห์ า้ ไปคดิ ไปปรุงแต่ง กห็ ลงเป็ นสงั ขารปรุงแต่ง
อยู่นัน่ แหละ
“ในความคิดมีความไม่คิด
ในความปรุงแต่งมีความไม่ปรุงแต่ง
มนั อยู่ในท่ีเดียวกนั ”
เราเพยี งแต่เหน็ ว่ามคี วามคิด นึก ตรึกตรอง ด้นิ รน หรือ
มีอาการอะไรก็ตามท่ีเกิดข้ึนภายในจิตใจ ไม่ใช่ตวั เราทงั้ หมด
เพราะตวั เราไม่มี ใหเ้หน็ ว่ามแี ต่สงั ขารหรอื ธรรมชาตฝิ ่ายปรุงแต่ง
ท่เี กิดๆ ดบั ๆ ในใจท่เี ป็นธรรมชาติไม่ปรุงแต่งหรือปรุงแต่งไม่ได้
ไม่มตี วั เราเขา้ ไปทำ� อะไรได้ ท่พี ยายามเขา้ ไปทำ� อะไรเพ่อื ใหเ้ ป็น
อะไรนนั้ มนั หลงเอาขนั ธห์ า้ มาปรุงแต่งว่าเป็นตวั เรา แลว้ หลง
153
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
เอาขนั ธห์ า้ ท่ปี รุงแต่งเป็นตวั เราไปพยายามจะทำ� อะไรเพอ่ื ใหเ้ ป็น
อะไร หลวงปู่ดูลย์ อตโุ ล เคยกลา่ วไวท้ ำ� นองน้ีว่า “แค่เส้ยี ววินาที
เดยี วท่เี อาตวั เราไปคดิ กท็ ำ� ลายธรรมชาตขิ องความเป็ นพทุ ธะ คอื
จติ เดิมแทท้ ่ีเป็ นธรรมชาติไม่ปรุงแต่งไปเสยี แลว้ ” ทงั้ ชวี ติ เอาแต่
คิดปรุงแต่งจึงไม่เคยพบใจหรือจิตเดิมแทห้ รือพุทธะ แต่เม่ือ
ไม่หลงยดึ ถอื ขนั ธห์ า้ ซ่งึ เป็นสงั ขารปรุงแต่ง แต่ก็ไปหลงยดึ ถอื ใจ
หรือจิตเดิมแทท้ ่ีเป็นวิสงั ขารคือธรรมชาติไม่ปรุงแต่ง อย่างน้ี
จะหลงผิดเอาขนั ธห์ า้ ซ่ึงสามารถปรุงแต่งได้ มาปรุงแต่งยึดถือ
วสิ งั ขารท่ีไม่มอี ะไรปรุงแต่งใหถ้ ูกยึดได้ และจะพยายามเอาใจ
หรือจิตเดิมแท้ไปคิดปรุงแต่งปล่อยวางก็ไม่ได้ เพราะใจหรือ
จิตเดมิ แทเ้ ป็นธรรมชาติท่ไี ม่อาจปรุงแต่งได้
ดงั นน้ั มเี พียงอย่างเดียว จะตอ้ งมสี ติปญั ญารูเ้ ห็นตาม
ความเป็ นจรงิ ว่า ในธรรมชาติมีธรรมชาติสองชนิด คือ ธรรมชาติ
ท่ีปรุงแต่งเรียกว่า “สงั ขาร” ไดแ้ ก่ขนั ธห์ า้ และอายตนะ กบั
ธรรมชาติไม่ปรากฏการปรุงแต่งเรียกว่า “วิสงั ขาร” ไดแ้ ก่ใจ
หรือจิตเดิมแทห้ รือธาตุรูท้ ่ีบริสุทธ์ิ ซ่ึงในสงั ขารและวิสงั ขาร
ไม่ไดเ้ ป็ นเรา เป็ นตวั เรา หรือเป็ นตวั ตนของเรา ดงั น้ันจงึ ไม่มี
ตวั เราจะไปไดห้ รือไปถึงนิพพาน และแมจ้ ะพยายามคิดหรือ
ปรุงแต่งจิตอย่างไรก็ตาม ก็เป็ นการหลงจะเอาขันธ์หา้ ไป
นิพพาน และจะมีความหลงผิดกนั ว่าใจหรือจิตเดิมแทซ้ ่ึงเป็ น
154
จบซะที : จบซะที
วิสงั ขารหรือเป็ นความว่างเป็ นนิพพาน เขาเป็ นเพียงธรรมชาติ
ท่ีไม่ปรุงแต่งเท่าน้ัน ไม่ไดเ้ ป็ นนิพพาน แต่หลายคนกลบั
หลงพยายามท�ำใจใหว้ ่าง ซ่ึงสงั ขารและวิสงั ขารไม่ใช่นิพพาน
เป็ นเพียงธรรมชาติท่ีปรุงแต่งและไม่ปรุงแต่งเท่าน้ัน แต่
“นิพพาน” คือส้นิ หลงยึดถือทง้ั สงั ขารและวิสงั ขาร คือใจท่ีว่าง
เม่ือส้นิ หลงยึดถือก็พน้ ทุกขเ์ รียกว่า “นิพพาน”
“นิพพาน” จึงไม่ใช่เมืองนิพพานหรือสภาวะใดท่ีจะเอา
ตวั เราไปถึง ไปได้ ไปเป็ น ตอ้ งส้ินหลงยึดถือทง้ั สงั ขารและ
วิสงั ขารจงึ จะเป็ นนิพพาน
ดงั นนั้ ถา้ พยายามด้ินรนคน้ หา วเิ คราะห์ วจิ ารณ์ วจิ ยั
หาเหตุผล หาถูกผดิ หานิพพาน พยายามปล่อยวาง พยายามจะ
ท�ำอะไรเพ่อื ให้ได้ ให้ถึง ใหเ้ ป็ นอะไร ก็หลงปรุงแต่งจะไปเอา…
ทง้ั น้ัน แลว้ จะเป็ นนิพพานไดอ้ ย่างไร เพราะนิพพานมนั ส้ิน
ผูห้ ลงยึดถือ หรือส้นิ ผูจ้ ะเอา
ถา้ ยงั หลงปรุงแต่งยึดถือ แมจ้ ะเพยี รมีสติปญั ญารูเ้ ท่าทนั
อย่างไร ก็เป็ นอวิชชา เพราะมนั รูเ้ ท่าทนั เพ่อื จะไปเอาความว่าง
หรือจะไปเอานิพพาน ตอ้ งส้ินผูจ้ ะไปเอาอะไรจึงจะส้ินหลง
ปรุงแต่ง ถา้ ยงั พยายามปรุงแต่งอยู่ก็แสดงว่ายงั จะไปเอาอะไร
ต่อเม่ือส้นิ หลงปรุงแต่งก็เท่ากบั ส้นิ ผูจ้ ะเอา
155
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
ปุจฉาวิสชั ชนา
โยม : มนั เคยปฏบิ ตั แิ ลว้ ก.็ .. ใจเปลย่ี น อยู่ๆ ใจเปลย่ี น
ไปสงสารทวั่ ไปหมด ก็เห็นคนท่ีเคยขดั ใจ ก็ไปทกั ทายเขาได้
สงสาร ไปพบหลวงพ่อ… ก็ส่งอารมณ์ใหท้ ่านฟงั ท่านก็บอกว่า
ตอนน้ีมตี วั เราไหม ก็บอกวา่ ยงั มี ท่านบอกวา่ ใหไ้ ปดูซมิ ตี วั เราไหม
ก็ดูเป็นปีว่ามตี วั เราหรือเปล่า มอี ยู่วนั หน่ึงเมอ่ื ไม่นานมาน้ี นงั่ ดู
ทีวีอยู่สติสมั ปชญั ญะก็เขา้ มา โยมก็ดูไอต้ วั อยากท่ีมนั อยาก
ดูทีวี ขณะนน้ั แวบหน่ึงก็ไปเห็นม่านเหมอื นเป็นหมอกคลุมอยู่
ก็ออ๋ ข้นึ มาวา่ ความมตี วั เองมนั เป็นอย่างน้ีเอง มนั เป็นหมอกบางๆ
คลุมอยู่ ก็ปฏิบตั ิมาก็ดูว่ามตี วั เราไหม ก็ไม่ไดถ้ ามต่อว่าจะให้
ปฏบิ ตั ิอย่างไรต่อ
หลวงตา : ตอนน้ีรูห้ รือยงั
โยม : มนั ก็ยงั ถา้ ดูจริงๆ มนั ก็ไม่มี ดูอะไรต่ออะไร
รอบๆ ทงั้ หมด มนั ก็ไม่มตี วั เรา แต่คือมนั ยงั ไม่มสี ภาวะปจั จุบนั
ทนั ด่วนท่จี ะไม่เหน็ มตี วั เรา
หลวงตา : ก็ยงั หลงปรุงแต่งเอาตวั เราไปดูตวั เราน่ะแหละ
ไอต้ วั ท่ีมนั มตี วั เราก็คือไอต้ วั ท่ีเอาตวั เราไปดูตวั เราน่ีแหละ คือ
มนั มตี วั เรา มนั มไี อต้ วั ท่ดี ูตวั เราน่ีแหละ อนั นน้ั น่ะคือตวั เรา
156
จบซะที : จบซะที
โยม : พยายามจะดูทไี รก็มตี วั เรา
หลวงตา : ถูกตอ้ ง
โยม : ก็พยายามดู
หลวงตา : นนั่ ! พยายามดูอกี แลว้ ก็เมอ่ื ก้ีก็บอกว่า ไอต้ วั
ท่ดี ูตวั เรานะมนั ทำ� ใหเ้ กิดตวั เรา
โยม : แลว้ ดูยงั ไงคะ ท่จี ะไม่ใหม้ ตี วั เรา
หลวงตา : อา้ ว ก็อย่าไปดูมนั ซิ เพราะมนั ดูทไี รก็มตี วั เรา
ไปดูมนั ทกุ ทีอยา่ ไปดูมนั วางผูด้ ูไดไ้ หมละ วางผรู้ ไู้ ด้ไหม ปลอ่ ยวาง
ไปเลย
โยม : ถา้ เผ่อื เป็นดูทุกขห์ ละ
หลวงตา : ไม่ตอ้ งดูเลย
โยม : ไม่ตอ้ งดู
หลวงตา : วางผูด้ ูเดี๋ยวน้ีเลย เพราะถา้ เราไปดูมนั จะขอ
ดูหน่อย ขอดูโน่น ขอดูน่ี ก็เท่ากบั เราห่วงใยตวั เรา เราปล่อย
วางตวั เราไปเลย ตวั เราไม่มหี รอก ปล่อยวางขนั ธห์ า้ น้ีไป ตวั เรา
ท่ีไหนละ ก็ปล่อยวางขนั ธห์ า้ ไปเลย เราเอาขนั ธห์ า้ ไปปรุงแต่ง
ดูอยู่นนั่ แหละ เราก็หลงเอาขนั ธห์ า้ ไปปรุงแต่ง เราหลงเขา้ ไป
157
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
ในสงั ขารปรุงแต่งอยู่นนั่ แหละ ไม่ส้ินสงั ขารปรุงแต่ง ถา้ เรายงั
หลงเอาตวั เราไปดูตวั เรา ไปหาตวั เรา การท่ไี ปหาตวั เราได้ก็ตอ้ ง
เอาขนั ธห์ า้ ไปปรุงแต่งเอาตวั เราไปหาตวั เรา เอาขนั ธห์ า้ ไปเล่น
ขนั ธห์ า้ ไปดูขนั ธห์ า้ ไปหาขนั ธห์ า้ อยู่นนั่ แหละ มนั ก็ไม่ส้นิ สงั ขาร
ปรุงแต่ง
โยม : ไม่ดูตวั เรา แต่คิดว่าตวั เราเป็นผูอ้ ่นื
หลวงตา : ท้ิงไป อย่าไปหาความเขา้ ใจ ท้ิงใหห้ มด ท้ิง
ใหห้ มดเดยี๋ วน้ี แน่ะ!... ยงั หาความเขา้ ใจอยู่
โยม : ท้งิ ใหห้ มด วาง... เออ้ …
หลวงตา : ไม่ไปคิดว่าท้ิงใหห้ มดแลว้ จะเป็ นอะไร ท้ิง
ใหห้ มด แมแ้ ต่การหาความเขา้ ใจ ไปดูแลว้ พยายามหาความเขา้ ใจ
ท้งิ ใหห้ มดเดยี๋ วน้ีเลย แลว้ มนั จะเขา้ ใจเอง เน่ีย!...มนั ยงั ไม่ท้งิ
โยม : แลว้ จะทำ� ยงั ไง
หลวงตา : อา้ ว! จะทำ� ยงั ไง บอกใหเ้ ลกิ ทำ� แลว้ ยงั จะทำ�
อยู่นนั่ แหละ
โยม : ใหเ้ ลกิ ทำ� มนั ยงั งงอยู่เจา้ ค่ะ
หลวงตา : งง มนั จะงงยงั ไงล่ะ
158
จบซะที : จบซะที
โยม : มสี ติสมั ปชญั ญะใช่ไหม หรือไม่ตอ้ งทำ� อะไรทงั้
ส้นิ เลย
หลวงตา : ไม่ตอ้ งท�ำอะไรเลย ไม่ตอ้ งพูดถงึ ภาษาสมมตุ ิ
บญั ญตั ิเลย ไม่ตอ้ งเรียกสติสมั ปชญั ญะ ไม่ตอ้ งเรียกว่าอะไรเลย
วางหมดเดยี๋ วน้ีเลย เลกิ ๆๆ… สูงสุดกลบั คืนสู่สามญั เหมอื นคน
ปุถชุ นลองดูซิ เดยี๋ วน้ีเลย... อนั น้ียงั ไม่ยอม ยงั จะหาเหตุผลขา้ ง
ใน
โยม : ไม่ใช่ไม่ยอม
หลวงตา : มนั ยงั จะหาเหตุผลอยู่ขา้ งใน มนั ก็ยงั ปรุงแต่ง
ไอต้ วั ท่ีไปหาเหตุผลไดม้ นั ก็เอาขนั ธ์หา้ มาเป็นสงั ขารปรุงแต่ง
หาเหตุผล หาเหตุผลเพ่อื อะไรล่ะ
โยม : ไม่ใช่เพ่อื อะไร แต่กำ� ลงั จะวาง แต่ไม่รูจ้ ะวาง
ยงั ไง
หลวงตา : หยุดเดี๋ยวน้ีเลย ท่ีหลวงพ่อชา สุภทั โท ท่าน
ถามว่า ทำ� ไมเวลาวางจะตอ้ งหาเหตุผลในการวาง ถา้ ยงั พยายาม
จะหาเหตผุ ลในการวางเท่ากบั ไม่ยอมวาง ก็บอกใหว้ างเหมอื นกบั
วางพดั ท่ีกำ� ลงั ถืออยู่น่ีไปเลย แต่ก็บอกเดีย๋ วหาเหตุผลก่อนว่า
จะวางยงั ไง ขวนขวายไปไหนมนั ก็เท่ากบั ไม่ยอมวางอยู่นนั่ แหละ
159
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
วาง จะวางอยู่แลว้ ทำ� ไมตอ้ งถามหาเหตุผล วางก็วางไปเลย ถา้
ถามหาเหตุผลเท่ากบั ไม่ยอมวาง แลว้ จะคน้ ไปถงึ ไหน
โยม : ไม่รูจ้ ะคน้ ไม่รูจ้ ะวางยงั ไง ท่านรำ� คาญหรือไม่
ท่ที ำ� ไม่ไดอ้ ย่างท่ที ่านตอ้ งการ
หลวงตา : ไม่รำ� คาญเลย แต่เห็นใจ ไม่เห็นใจเปลย่ี นไป
ใหค้ นอ่นื พูดแลว้ อยากจะใหเ้ ขา้ ใจ ไม่รำ� คาญเลย เราน่ีเวลาเรา
หลงปรุงแต่งเอง เราจะมองไม่เหน็ ตวั เรา ว่าเรายงั ปรุงแต่งไม่เลกิ
ถา้ เราเหน็ คนอ่นื ทำ� เราจะไม่ทำ� แบบน้ี
โยม : เหรอค่ะ
หลวงตา : เออ ก็เรานงั่ ทำ� อยู่น่ี แลว้ อย่างน้ีมนั ปรุงแต่ง
ไหมเน่ีย หนา้ ตาดูไม่ไดเ้ ลย เอากระจกมาส่องซิ นงั่ ไม่ยอมพูดจา
กบั ใคร หนา้ น่ิวค้ิวขมวด ปากเมม้ แลว้ ก็บอกไม่ปรุงแต่ง ถา้
ไมส่ ้นิ ปรุงแต่งแลว้ มนั เรยี กวา่ ส้นิ ปรุงแต่งไดอ้ ย่างไร ก็เน่ียหนา้ น่ิว
ค้ิวขมวด ปากเมม้ หาเหตุผลอยู่นนั่ แหละ อนั น้ีมนั ปรุงแต่ง มนั
ตอ้ งส้นิ ปรุงแต่งมนั ถงึ จะเป็ นวิสงั ขาร วิสงั ขารแปลว่าไม่ปรุงแต่ง
ถา้ ยงั ปรุงแต่งมนั จะไปเป็ นวิสงั ขารไดย้ งั ไง วิสงั ขารมนั แปลว่า
ไม่ปรุงแต่ง มนั จะเป็ นขณะจติ เดียวกนั ไม่ได้
โยม : ขอให้โอกาสคนอ่นื ถามก่อน
160
จบซะที : จบซะที
หลวงตา : จะใหค้ นอ่ืนก็ได้ น่ีกลา้ หาญชาญชยั ดีนะ มี
อาชีพเป็นครูหรือเปล่า
โยม : เป็นครูและเป็นสถาปนิกดว้ ย
หลวงตา : เป็นครูและเป็นสถาปนิกดว้ ย ถึงกลา้ หาญ
ชาญชยั ดี ถอื ไมคพ์ ูดฉอดๆ ใช้ได้ ไม่เคอะเขนิ น่ีเราไม่เหน็ ตวั
เราเอง ว่าเราปรุงแต่ง เหน็ แต่คนอ่นื เขาปรุงแต่ง เวลาเขาปรุงแต่ง
มนั น่าเกลยี ด หนา้ น่ิวค้วิ ขมวด ปากเมม้ จะเอาใหเ้ป็น จะเอาให้ได้
มนั หลงเอาขนั ธห์ า้ ปรุงแต่งอยู่น่ี แลว้ มนั จะไปเป็นวิสงั ขารคือ
ความไม่ปรุงแต่งไดอ้ ย่างไร ถา้ ยงั ปรุงแต่งแบบน้ี มนั ก็ยงั เป็น
ปรุงแต่งเร่ือยไป ต่อใหป้ รุงแต่งหาเหตุผลเท่าไหร่มนั ก็ยงั เป็น
ปรุงแต่งเร่ือยไป มนั ไม่เป็ นวิสงั ขารท่ีไม่ปรุงแต่งไดห้ รอก
เพราะวสิ งั ขารคือมนั อยู่ฝงั่ ตรงขา้ มกบั ปรุงแต่ง วสิ งั ขารแปลว่า
ไม่ปรุงแต่ง
ธรรมชาติท้ังภายนอกและภายในร่างกายจิตใจมีอยู่
สองชนิดเท่าน้ัน คือธรรมชาติปรุงแต่ง เรียกว่า “สงั ขาร” กบั
ธรรมชาติไม่ปรุงแต่ง เรียกว่า “วิสงั ขาร”
“สงั ขาร” คือ ธรรมชาติปรุงแต่ง ไดแ้ ก่ ส่งิ ท่มี ี ท่ปี รากฏข้นึ
มาตามเหตปุ จั จยั ทกุ อย่างในธรรมชาตริ วมทงั้ ขนั ธห์ า้ ซง่ึ เป็นของ
ไม่เท่ยี ง เกิดข้นึ แลว้ ดบั ไป ตอ้ งเส่อื ม หรือแก่เจ็บตาย เน่าเป่ือย
161
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
ผุพงั สลายกลายไปเป็นธาตุดิน ธาตุนำ�้ ธาตุลม ธาตุไฟ และ
วญิ ญาณธาตุตามเดมิ จงึ ไม่มสี ่วนไหนท่เี หลอื คงทนเป็นเรา เป็น
ตวั เรา หรือเป็นตวั ตนของเรา กบั
“วิสงั ขาร” คือ ธรรมชาติไม่ปรุงแต่ง ไดแ้ ก่ ความว่าง
ของจกั รวาล กบั “ใจหรือจติ เดิมแท”้ ท่เี ป็นความว่างเหมอื นกบั
ความว่างของธรรมชาติหรือจกั รวาล ไม่มีตวั ตน ไม่มีรูปร่าง
ไม่มกี ารปรุงแต่งแสดงกริยาอาการใดๆ ได้เป็นธาตุว่างท่มี คี วาม
รูจ้ ริง รูแ้ จง้ รูพ้ น้ จากความหลงยดึ มนั่ ถอื มนั่ จึงมชี ่ือว่า “พทุ ธะ”
เม่ือวิสงั ขารเป็นความว่างท่ีไม่มีตวั ตนและไม่อาจปรุงแต่งได้
จึงไม่ไดเ้ ป็นเรา เป็นตวั เรา หรือเป็นตวั ตนของเรา และท่สี ำ� คญั
ไม่อาจเอาวสิ งั ขารมาคิดมาปรุงแต่งได้
ดงั น้ัน ท่ีหลงคิดหลงปรุงแต่งอยู่น้ี มนั หลงเอาสงั ขารซ่ึง
เป็ นขนั ธห์ า้ มาคิด มาปรุงแต่ง ซ่ึงแมจ้ ะคิดจะปรุงแต่งอย่างไร
เพอ่ื จะใหไ้ ปถงึ ใจว่าง ย่อมไม่อาจเป็ นไปได้ แมจ้ ะคดิ จะปรุงแต่ง
อย่างไรกค็ งเป็ นความปรุงแต่ง ไม่อาจเป็ น “ใจ” ท่ีว่างจากความ
ปรุงแต่งได้ ตอ้ ง “หยุด” เอาขนั ธห์ า้ มาคิด มาปรุงแต่ง จงึ จะ
เป็ น “ใจ” ท่ีสงบว่างโดยอตั โนมตั ิทนั ที เพราะใจท่ีสงบว่างโดย
ธรรมชาติเขาคิด เขาปรุงแต่งไม่ได้
เม่ือพบใจท่ีสงบ ว่างแลว้ ก็คงปล่อยใหเ้ ป็ นใจท่ีสงบ ว่าง
162
จบซะที : จบซะที
ไปตามธรรมชาติท่ีไม่ปรุงแต่งของเขาซะ โดยไม่มีผูห้ ลงยึดถือ
ใจท่ีสงบ ว่าง ว่าเป็ นใจเรา ใจของเรา หรือเราคือใจ และท่ีสำ� คญั
ตอ้ งไม่หลงยึดถือว่า เราเป็ นผูร้ ู้ รูจ้ ริง รูแ้ จง้ รูพ้ น้ หรือเราเป็ น
“พทุ ธะ”
เม่ือส้ินผูห้ ลงยึดถือทง้ั ขนั ธห์ า้ (สงั ขาร) และใจหรือจิต
เดิมแท้ (วิสงั ขาร) ก็พน้ ทุกขห์ รือนิพพาน
ดงั น้ัน ถา้ พยายามเอาขนั ธห์ า้ มาคิดมาปรุงแต่งอย่างไร
ก็ตาม ก็คงเป็ นสงั ขาร หรือไม่อาจพน้ จากสงั ขารแลว้ เป็ น “ใจ”
หรือ “จติ เดิมแท”้ ท่ีเป็ นวิสงั ขารได้ ตอ้ งหยุดคิด หยุดปรุงแต่ง
จงึ จะเป็ น “ใจ” ท่ีว่างจากการปรุงแต่ง
แลว้ ตอ้ งปล่อยวาง “ใจ” คือไม่ยึดถือใจท่ีว่าง จงึ จะเป็ น
นิพพานหรือ...
ถา้ พยายามคดิ หรอื ปรุงแต่งใหไ้ ปถงึ นิพพาน หรอื ใหบ้ รรลุ
นิพพาน ย่อมไม่อาจเป็ นนิพพาน ตอ้ งหยุดคิด หยุดปรุงแต่ง
จงึ จะเป็ นใจว่าง ปล่อยวางใจว่างหรือไม่ยึดถือใจว่าง จงึ จะเป็ น
นิพพาน
เม่ือตวั ตนของเราไม่มี แลว้ จะพยายามไปดู ไปคน้ หาตวั เรา
เพ่ือท�ำลายความเป็ นตวั ตนของเราไดอ้ ย่างไร จะพยายามดู
163
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
อย่างไรกห็ าตวั เราไม่เจอ เพราะตวั ตนของเราไม่มี ถา้ ยงั หลงเอา
ขนั ธม์ าปรุงแต่งเป็ นตวั เราเขา้ ไปดูจติ หรือดูตวั เรา ยงั พยายาม
ด้ินรน ยงั พยายามคน้ หา พยายามวิเคราะห์ พยายามปล่อยวาง
พยายามจะดู พยายามจะรู้ พยายามจะใหเ้ ห็น พยายามจะ
ใหเ้ ป็ น มนั หลงเอาสงั ขารเป็ นตวั เราตลอดเวลา ถา้ ยงั หลงเอา
สงั ขารมาเป็ นตวั เรา มนั จะพบ “ใจ” ท่ีว่างท่ีเป็ นวิสงั ขารได้
อย่างไร
เหมอื นกบั เราใส่เส้อื สดี ำ� มาวนั น้ี แลว้ จะบอกว่าเป็นสขี าว
มนั เป็นไปไม่ได้ อย่างแม่ชีเขาใส่เส้อื สขี าว สขี าวก็สขี าว สขี าว
กบั สดี ำ� มนั ไม่เหมอื นกนั สดี ำ� เปรียบเหมอื นความปรุงแต่ง สขี าว
เปรียบเหมือนความไม่ปรุงแต่ง ถา้ ยงั ปรุงแต่งอยู่จะใหม้ นั รู้
มนั เห็น มนั เป็ น… มนั ก็ยงั เป็ นเส้ือสีด�ำอยู่นัน่ แหละ ถา้ ไม่
หยุดปรุงแต่งแลว้ จะเป็ น “วิสงั ขาร” ธรรมชาติท่ีว่างจากความ
ปรุงแต่งเหมือนสีขาวอย่างแม่ชีไดอ้ ย่างไร ไหนตอบซิ อยากรู ้
เหมอื นกนั
โยม : ไม่ไดค้ ่ะ
หลวงตา : แลว้ จะเคลอื บใหม้ นั เป็นสขี าวได้ไหม
โยม : ไม่ไดค้ ่ะ
164
จบซะที : จบซะที
หลวงตา : ก็ไม่ได้ ตอ้ งทำ� ไง ถึงจะเปล่ยี นเป็นชุดสีขาว
อย่างแม่ชีได้ ตอ้ งทำ� ไง
โยม : ก็มนั เป็นสดี ำ� อยู่อย่างน้ี แลว้ จะทำ� อย่างไร
หลวงตา : ก็นนั่ นะซิ ตราบใดท่ยี งั ปรุงแต่ง ซกั ฟอกยงั ไง
มนั ก็ยงั เป็นสดี ำ� พยายามจะปรุงแต่งซกั ฟอก ปล่อยวาง ยงั ไง
ก็ตามมนั ก็ยงั เป็นสดี ำ� อยู่นนั่ แหละ มนั ตอ้ งทำ� ไง
โยม : ก็มนั เป็นสดี ำ� อยู่แลว้ มนั จะเป็นสขี าวก็ไม่ได้
หลวงตา : เออ นนั่ ซิ แลว้ ทำ� ยงั ไงมนั จึงจะเป็นสขี าว
โยม : จะใหเ้ป็นสขี าวเหรอ ใหเ้ป็นความคิดก็ไม่ได้ให้
คิดว่าน้ีคือสขี าว
หลวงตา : ไม่ใช่ ใชค้ วามคิดไปมนั จะเป็นวิสงั ขารยงั ไง
มนั ก็เป็นสงั ขารปรุงแต่งนะสิ มนั ก็พยายามปรุงแต่ง ใส่เส้อื สดี ำ�
แลว้ ฟอกเขา้ เอาสมี ายอ้ มจะใหเ้ ป็นสขี าวซิ มนั ก็ปรุงแต่ง ทำ� ยงั ไง
โยม : คือท่ที ่านถามน้ี คือจะให…้ .
หลวงตา : จะใหเ้ กิดปญั ญา
โยม : ถา้ หากในปจั จบุ นั น้ีไม่สามารถทจ่ี ะเป็นสขี าวได้
เพราะมนั เป็นดำ� อยู่แลว้ ในปจั จุบนั น้ีมนั ไม่มสี ่งิ อะไรจะไปทำ� ให้
165
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
มนั เป็นสขี าวได้ มนั ก็ตอ้ งเป็นสดี ำ�
หลวงตา : สีดำ� คือความปรุงแต่ง สีขาว มนั คือความ
ไม่ปรุงแต่ง
โยม : ก็ตอ้ งท้งิ สดี ำ� ไป
หลวงตา : ใช่ๆๆ
โยม : นึกถงึ สขี าว… ออ้ !.. ก็ไม่ตอ้ งนึกอกี
หลวงตา : ใช่ๆ นึกก็ปรุงแต่งอกี
โยม : จะให้ไม่คิดแต่ มนั ก็ยงั คิดอยู่
หลวงตา : ในธรรมชาติน้ัน ในความคิดมีความไม่คิด
ในความปรุงแต่งมีความไม่ปรุงแต่ง มนั อยู่ดว้ ยกนั ในท่ีเดียวกนั
นัน่ แหละ
โยม : เพราะตวั คิดมนั ก็ปรุงแต่งใช่ไหม
หลวงตา : แต่ตวั คิดมนั ปรุงแต่งอยู่ใน “ใจ” ท่ไี ม่ปรุงแต่ง
โยม : คิดอยู่ในความไม่ปรุงแต่ง
หลวงตา : ถูกตอ้ ง
โยม : มนั จะเป็นยงั ไงก็ช่างมนั ปล่อยมนั ไป
166
จบซะที : จบซะที
หลวงตา : พูดเมอ่ื ก้ีเกือบถูกแลว้ มนั จะเป็นยงั ไงก็ช่างมนั
เพราะมนั เป็นธรรมชาติฝ่ายปรุงแต่ง แต่ “ใจ” เป็นธรรมชาติฝ่าย
ไม่ปรุงแต่ง มนั ตอ้ งอยู่ดว้ ยกนั เพราะขนั ธห์ า้ มนั เป็นธรรมชาติ
ฝ่ ายปรุงแต่งท่ียงั มชี ีวติ อยู่ ยงั ดบั ไม่ไดต้ อนน้ี แต่ “ใจ” เป็น
ธรรมชาติไม่ปรุงแต่ง ขนั ธห์ า้ มนั ตอ้ งอยู่ดว้ ยกนั กบั ธรรมชาติ
ไม่ปรุงแต่ง รอจนกว่าส้ินอายุขยั ขนั ธห์ า้ ฝ่ ายท่ีปรุงแต่งมนั จึง
จะดบั ไป ตอนน้ีเราจะไปพยายามดบั ความคิดไดเ้ มอ่ื ไหร่ เพราะ
มนั ยงั มีขนั ธ์หา้ มนั ยงั มีชีวิตอยู่เราจะไปดบั มนั ไดย้ งั ไง แต่
ธรรมชาติท่มี นั คิดน้ีมนั เป็นธรรมชาติฝ่ายปรุงแต่ง เพราะมนั เป็น
ขนั ธห์ า้ มนั เป็นตวั สมมตุ ิ มนั เป็นเราชวั่ คราว
โยม : ก็มนั อยู่ในสภาพอย่างน้ีก็ตอ้ งปล่อยใหม้ นั เป็น
อย่างน้ี
หลวงตา : ตรงน้ีถูกตอ้ งมากเลยนะ คำ� พูดน้ี
โยม : ก็ไม่ตอ้ งไปคิดถงึ อะไร เมอ่ื มนั อยู่อย่างน้ี ก็ตอ้ ง
ใหม้ นั อยู่อย่างน้ีไปเร่ือยๆ ตามสภาพของมนั ท่มี นั เปลย่ี นไป
หลวงตา : ใช่แลว้ มนั เป็นสภาพของธรรมชาตฝิ ่ายปรุงแต่ง
ปล่อยใหธ้ รรมชาติฝ่ ายปรุงแต่งเป็ นธรรมชาติฝ่ ายปรุงแต่งของ
มนั ไม่มีใครเขา้ ไปแทรกแซง ไม่มีใครเขา้ ไปยึดถือมนั
167
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
โยม : ก็ปล่อยมนั ไป มนั จะเป็นยงั ไงก็เป็นเร่ืองของ
ธรรมชาติท่มี นั จะทำ� ไปอยู่เร่ือยๆ ตอ้ งยอมรบั
หลวงตา : ก็ไม่เหน็ จะเป็นอะไร อยากปรุงแต่งก็ปรุงแต่ง
ไปเพราะมนั เป็ นธรรมชาติฝ่ ายปรุงแต่ง มนั ก็ยงั เป็นธรรมชาติท่ี
ยงั มโี ลก ยงั ตอ้ งมสี วรรค์ ยงั ตอ้ งมนี รก เป็นเร่ืองของธรรมชาติ
ฝ่ายปรุงแต่งเขาตอ้ งไป แต่ธรรมชาติไม่ปรุงแต่ง ไม่มผี ู้ไป มนั ก็
มอี ยู่ของมนั มนั อยู่ดว้ ยกนั แต่ไม่มผี ู้ไปไหน ไม่เป็นอะไรทงั้ ส้นิ
ไม่ยุ่งเก่ียวกบั ธรรมชาตฝิ ่ายปรุงแต่งเลย เพราะมนั เป็นธรรมชาติ
ฝ่ายไม่ปรุงแต่ง ธรรมชาตฝิ ่ายไม่ปรุงแต่งเปรยี บเหมอื นความว่าง
ของจกั รวาล แต่ในจกั รวาลเต็มไปดว้ ยธรรมชาติฝ่ ายปรุงแต่ง
แมแ้ ต่โลกทงั้ สามน้ีก็หมนุ อยู่ สถติ อยู่ในความว่างของจกั รวาล
โลกทงั้ สามมนั เป็นโลกของธรรมชาติฝ่ายปรุงแต่ง โลกนรก โลก
สวรรค์ โลกมนุษย์ลว้ นแต่เป็นธรรมชาตฝิ ่ายปรุงแต่งทป่ี รุงแต่งไป
ปรุงแต่งเป็นบาปกรรมชวั่ ก็ไปนรก ปรุงแต่งเป็นกรรมดีก็ไป
สวรรค์ ไม่ติดชวั่ ไม่ติดดี แต่ยงั ไม่พน้ ทุกขก์ ็เป็นมนุษย์ พน้ ไป
เลยไม่ติดอะไรเลย ก็นิพพาน ไม่ติดอยู่ในโลกทง้ั สาม
ถา้ ยงั ไม่ตาย แมแ้ ต่พระพุทธเจา้ และพระอรหนั ตจ์ ะไป
ดบั ขนั ธห์ า้ ท่ีตรึกนึกคิดตามปกติธรรมชาติไม่ได้ เพราะมนั เป็น
ธรรมชาติฝ่ายปรุงแต่ง ก็ตอ้ งปรุงแต่งตามปกติธรรมชาติ จะดบั
เขาไม่ได้ ดงั นน้ั ขนั ธ์หา้ มนั อยากจะคิดปรุงแต่งก็ปรุงแต่งไป
168
จบซะที : จบซะที
แต่ไม่มใี ครยดึ ถอื เม่ือส้นิ หลงปรุงแต่งเพราะส้นิ ผูจ้ ะไปเอาอะไร
ก็พบใจท่ีว่างเปล่าซ่ึงเป็ นธรรมชาติท่ีไม่ปรุงแต่ง ซ่ึงความจริง
ธรรมชาติปรุงแต่งกบั ใจท่ีว่างจากความปรุงแต่งมนั มีอยู่ดว้ ยกนั
อยู่แลว้ แต่หลงคิดหลงปรุงแต่งอยู่ จงึ มาบงั ใจท่ีว่างเปล่า
โยม : มันเป็ นธรรมชาติปรุงแต่ง กบั ธรรมชาติ
ไม่ปรุงแต่งท่ีตอ้ งอยู่ร่วมกนั
หลวงตา : ถูกตอ้ ง คือมนั เหมือนกบั จกั รวาล มนั เป็น
ความว่าง แต่มนั ก็ตอ้ งอยู่ร่วมกบั สงั ขารปรุงแต่งทง้ั หมดท่ีอยู่
ในจกั รวาลน้ี โลกทง้ั ใบมนั เป็นธรรมชาติฝ่ ายปรุงแต่ง เพราะ
มนั ลอยอยู่ในจกั รวาลท่วี ่างเปล่าจากความปรุงแต่ง ส่วนร่างกาย
จิตใจเราก็อยู่บนผิวโลก ร่างกายก็เป็นธรรมชาติฝ่ ายปรุงแต่ง
และเวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณก็เป็นธรรมชาติฝ่ายปรุงแต่ง
มนั ปรุงแต่งอยู่ท่ไี หน มนั ก็ปรุงแต่งอยู่ใน “ใจ” ท่เี ป็นความว่าง
เหมือนกับความว่างในจกั รวาลน้ีแหละ แต่ใจมนั มีความรู ้
เป็นธาตุรู ้ มนั รูว้ ่ามอี ะไรปรุงแต่งอยู่ในใจ แต่ “ใจ” เป็นความว่าง
ท่ีไม่ปรุงแต่งเท่านนั้ แหละ และมนั ก็รูต้ วั มนั เองดว้ ยว่ามนั ว่าง
เหมือนกบั ความว่างของจกั รวาล จนกว่าถึงคราวส้ินอายุขยั
ธรรมชาติฝ่ ายปรุงแต่งก็ดบั ไป ส่วน “ใจ” ไม่ดบั ไปดว้ ยเพราะ
เป็นธรรมชาติท่ไี ม่ปรุงแต่ง จึงไม่มกี ารเกิดดบั เป็นความว่างท่มี ี
ความรูก้ ลนื หายไปในความว่างของจกั รวาล
169
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
โยม : เพราะไม่มรี ูป
หลวงตา : ถูกตอ้ ง
โยม : เพราะฉะนน้ั ใจท่แี ทจ้ ริงคือเป็นตวั รู ้ เป็นความ
ว่างเปล่า ท่มี อี ยู่ในจกั รวาลท่วี ่าง อย่างน้ีก็จะแผ่ไปทวั่ หมด
หลวงตา : นนั่ แหละท่สี ุดแลว้ มนั จึงเหลอื แต่ความเมตตา
เพราะมนั มแี ต่แผ่ความว่างไปเป็นอนนั ตท์ ุกทศิ ทุกทางไม่มที ่สี ุด
ไม่มีประมาณ มนั จึงมีแต่ความเมตตาเม่ือส้ินความปรุงแต่ง
เป็นความรกั ความเกลยี ดชงั แลว้ มนั เลยกลายเป็นเมตตาไม่มี
ท่สี ุดไม่มปี ระมาณ เพราะมนั เป็นความว่างท่แี ผ่ไปไม่มขี อบเขต
ไพศาล ท่หี ลวงปู่ดูลย์ อตุโล ใชค้ ำ� ว่า มหาสุญญตา ว่าง เว้งิ วา้ ง
ไพศาลเป็นหน่ึงเดียวกบั จกั รวาล ท่ีไม่มีขอบเขต ไม่มีตวั ตน
ไม่มรี ูปร่าง ไม่มอี ะไรเลย
โยม : ตอนน้ีเขา้ ใจแลว้ ค่ะ คือเขา้ ใจท่ที ่านพูดว่า “ใจ”
คือความว่างเปล่า แลว้ โยมจะปฏบิ ตั ิตนยงั ไง
หลวงตา : ก็อย่าไปเป็ นธรรมชาติฝ่ ายปรุงแต่งซิ มนั ก็
จะเป็ นธรรมชาติฝ่ ายไม่ปรุงแต่งโดยอตั โนมตั ิทนั ที ถา้ ยงั เป็ น
ผูป้ รุงแต่งอยู่ แลว้ จะเป็ นความไม่ปรุงแต่งไม่ได้
โยม : อย่าไปเป็นธรรมชาติฝ่ายปรุงแต่ง อย่าไปเป็น
170
จบซะที : จบซะที
ตวั ขนั ธห์ า้ ท่กี ำ� ลงั ปรุงแต่งน้ี
หลวงตา : ถา้ ยงั พยายามคิดตรึกตรอง ด้ินรนคน้ หา
พยายามจะใหร้ ูอ้ ะไร ใหเ้ ป็ นอะไร มนั กจ็ ะมีแต่ปรุงแต่ง ปรุงแต่ง
ปรุงแตง่ … จะไม่เป็ น “ใจ” ท่ไี ม่ปรุงแตง่ เสยี ที ท่หี ลวงปู่ดูลย์อตโุ ล
กล่าวว่า “แค่เส้ยี ววินาทีเดียวท่ีไปเป็ นผูค้ ิด ก็ท�ำลายธรรมชาติ
ของใจหรือจิตเดิมแท้ ท่ีเป็ นความว่างไปเสียแลว้ ” ธรรมชาติ
ท่ีปรุงแต่งก็ปล่อยใหม้ นั เป็ นธรรมชาติฝ่ ายท่ีปรุงแต่งไป ส่วน
“ใจ” ปรุงแต่งไม่ได้ ไดแ้ ต่สงบว่างอยู่อย่างน้ัน แต่มนั ตอ้ งอยู่
ดว้ ยกนั
โยม : คือใหร้ ูว้ ่าขนั ธ์หา้ น้ีมนั เป็ นของท่ีมนั เกิดข้ึน
มาเอง มนั เป็ นธรรมชาติท่ีมนั ปรุงแต่งข้ึนมาต้ังแต่เกิดมา
จนกระทงั่ ตาย ใหธ้ รรมชาติของมนั แปรเปล่ียนไปอยู่เร่ือยๆ
แลว้ ก็ไม่ตอ้ งไปคิดถงึ เร่ืองอะไร ใหค้ ิดว่ามนั ก็ตอ้ งเป็นอย่างน้ี
หลวงตา : ใหเ้ ห็นว่าตัวเราผู้ท่ีก�ำลังคิดอยู่น้ี มันเป็ น
ขนั ธห์ า้ มนั เป็ นตวั สมมตุ ิเพราะเป็ นธรรมชาติฝ่ ายปรุงแต่งเป็ น
ตวั เราชวั่ คราว เดี๋ยวก็แตกดบั ท�ำลายไป มนั จงึ ไม่ใช่ตวั เราจริงๆ
ส่วน “ใจ” มีแต่ความสงบ ว่างเปล่าจากความคิดปรุงแต่ง หรือ
ในความคิดมีใจท่ีสงบ ว่างเปล่า และใจท่ีสงบและว่างเปล่า
ไม่มีตวั ตน จงึ ไม่ใช่ตวั เราเช่นเดียวกนั
171
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
โยม : ตอ้ งไปเหน็ ท่ตี วั คิด
หลวงตา : เหน็ จติ คิดปรุงแต่ง แต่ “ใจ” สงบและว่างเปล่า
โยม : จะทำ� ยงั ไงดลี ่ะ
หลวงตา : ถา้ หลงปรุงแต่งอยู่อย่างน้ี กจ็ ะไม่อาจเป็ น “ใจ”
ท่ีไม่ปรุงแต่ง
โยม : ออ๋ พอจะเขา้ ใจ
หลวงตา : เราไม่มีหนา้ ท่ีอะไรท่ีไปพยายามไปดบั ขนั ธห์ า้
ตวั ผูก้ ำ� ลงั คิดน้ี เพราะมนั เป็ นธรรมชาติฝ่ ายปรุงแต่ง ไม่ใช่เป็ น
ตวั ตนของเรา ปล่อยใหเ้ ขาคิดปรุงแต่งตามปกติธรรมชาติ ส่วน
“ใจ” ไม่ไดค้ ิด มีแต่ความสงบว่าง เป็ นอสิ ระจากความปรุงแต่ง
โยม : ขอบคุณท่านอาจารย์
หลวงตา : แต่ขณะน้ีโยมกำ� ลงั หลงเป็นผูค้ ิดปรุงแต่ง ก็จะ
ไม่เป็น “ใจ” ท่สี งบว่าง
โยม : ใช่ๆๆ
หลวงตา : ถา้ ยงั เป็ นสงั ขาร ก็ไม่อาจเป็ นวิสงั ขารได้
โยม : มนั ติดมานาน ก็พยายามวาง แต่มนั ยงั ไม่ค่อย
172
จบซะที : จบซะที
จะวางเฉย พยายามปล่อยใหส้ ภาวะมนั เปล่ยี นแปลงไปเร่ือยๆ
แต่มนั ไม่ยอมวาง
หลวงตา : ถา้ โยมยงั หาวธิ ที จ่ี ะวางเฉยแบบนนั้ กย็ งั ปรุงแต่ง
ไม่เลกิ
โยม : มนั อยากหยุด
หลวงตา : อยากหยุด ก็หยุดซิ ก็หยุดไปเลย ทำ� ไมตอ้ ง
อยากหยุด ก็ยงั นงั่ ปรุงแต่งไม่เลกิ ยงั หาเหตุผลอยู่ แลว้ ทำ� ไม
ยงั หาเหตุผลอยู่ ทำ� ไม… ก็หยุดหาเหตุผลเสียซิ แลว้ ทำ� ไม
ยงั ไม่หยุดหาเหตุผล ทง้ั ๆ ท่ีรูว้ ่า การเขา้ ไปหาเหตุผลมนั หลง
เขา้ ไปเป็นธรรมชาติฝ่ายปรุงแต่ง ทำ� ไมมนั ยงั ไม่หยุดหาเหตุผล
อา้ ว ตอบซิ เพราะอะไรจึงยงั ไม่หยุดด้ินรนคน้ หา ถา้ ยงั เป็น
ผูด้ ้ินรนคน้ หาหาเหตุหาผล ก็ยงั เป็นธรรมชาติฝ่ ายปรุงแต่ง
เร่ือยไป ทำ� ไมจึงยงั ไม่หยุดด้นิ รน คน้ หา หาเหตุหาผล
โยม : มนั ยงั ทำ� ไม่ไดว้ ่าจะหยุดยงั ไง มนั ยงั ทำ� ไม่ได้
หลวงตา : ก็ไม่ตอ้ งทำ� อะไร
โยม : ก็ไม่ตอ้ งทำ� อะไร ดูมนั ไปเฉยๆ
หลวงตา : ก็ไม่ตอ้ งดูดว้ ย ไม่ตอ้ งทำ� อะไร
173
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
โยม : เฉยๆ ไม่ตอ้ งทำ� อะไร
หลวงตา : เพราะถา้ ทำ� มนั ก็เท่ากบั ปรุงแต่ง พยายามจะท�ำ
หยุด มนั ก็ปรุงแต่ง ก็ไม่ตอ้ งทำ� อะไร
โยม : อยู่เฉยๆ ใหส้ ภาวะน้ีมนั เปลย่ี นไปเร่ือยๆ ก็ไม่
ตอ้ งไปทำ� อะไร
หลวงตา : พูดอกี ก็ถูกอกี ไหนบอกว่าไม่รู ้
โยม : คือท่บี อกไม่รู ้ เอ่อ… ใช่... ใช่ อย่างท่ที ่านว่า
มนั หาวธิ ีท่จี ะใหม้ นั คือมนั เคยมาดูใจ ดูทำ� ไอ้โน่น ทำ� ไอน้ ่ี และ
มนั ก็มีความรูส้ ึกว่า เอ๊ะ ถา้ เผ่ือว่าเราอยู่เฉยๆ ดูสภาวะท่ีมนั
เป็นไปของมนั เอง โดยท่วี ่าไม่ตอ้ งไปคิดอะไรทง้ั ส้นิ เน่ีย มนั จะ
เป็นอย่างไรก็เป็นเร่ืองของมนั มนั รูส้ กึ เหมอื นมนั ไม่ไดท้ ำ� อะไร
หลวงตา : อา้ ว ก็ทำ� อะไรมนั ปรุงแต่งหมดไง
โยม : ไม่ตอ้ งทำ� อะไร ก็อยู่มนั เฉยๆ ไปเร่ือยๆ สภาวะ
มนั จะเป็นยงั ไงก็ช่างมนั ใหม้ นั เป็นของมนั ไปตามนน้ั ไม่ตอ้ ง
ไปคิดว่าเราจะตอ้ งปฏบิ ตั ิอย่างไร ไม่ตอ้ งอะไรทง้ั ส้นิ อยู่เฉยๆ
ไปเลย
หลวงตา : พูดอีกก็ถูกอีก ก็ถูกตอ้ งทง้ั หมดเลยท่ีพูด
ไม่ผดิ เลย แลว้ มนั หายเหน่ือยไหม
174
จบซะที : จบซะที
โยม : มนั เบาๆ อยู่เฉยๆ ก็ดีมนั ไม่ตอ้ งไปคิดถึง
อะไรเลย
หลวงตา : ก็ถา้ ไปคิดถงึ อะไรมนั ก็เป็นปรุงแต่งนะซิ
โยม : รูส้ กึ ท่านตะล่อมเขา้ มาให้โยมไดเ้ ขา้ ใจ จนไม่มี
ท่ไี ป
หลวงตา : มนั อยากจะคิด อยากจะนึก อยากจะด้ินรน
คน้ หาปล่อยมนั ไปเลย มนั อยากจะคิดยงั ไงก็ได้ เพราะมนั
เป็นธรรมชาติฝ่ ายปรุงแต่ง ปล่อยใหม้ นั เป็นไปอย่างท่ีมนั เป็น
มนั เกิดข้นึ เองได้ มนั ก็ดบั ของมนั ไปเองได้ ธรรมชาติฝ่ ายปรุง
แต่งมนั เกิดข้นึ เองได้ มนั ก็ดบั เองได้ ช่างมนั
โยม : คิดอย่างน้ีเหมือนใจมนั เหนือกว่าความคิด
ท่ปี รุงแต่ง
หลวงตา : ก็น่ีแหละท่ีมีค�ำกล่าวว่า “พบใจ พบธรรม”
เราเป็นคนพูดเองนะว่า “ใจมนั เหนือกว่าความคิดปรุงแต่ง”
เพราะมนั หยุดปรุงแต่ง มนั จึงเป็ นความว่าง ความคิดหรือ
ความปรุงแต่งมีอยู่ แต่ไม่ไดท้ �ำให้ใจท่ีว่างหายไป ก็เหมอื นกบั
ท่ีสุภทั ทะพระอรหันต์สาวกองค์สุดทา้ ย ไดก้ ราบทูลถาม
พระพุทธเจา้ ว่ารอยเทา้ ท่ีเหยียบไปในอากาศจะมีรอยหรือไม่
175
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
พระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ “ไมม่ รี อยเทา้ ในอากาศ” ทโ่ี ยมบอกวา่ ความคดิ
ปรุงแต่งเหมอื นลอยอยู่ไกลๆ ใจมนั เหมอื นไม่มอี ะไร มนั เหมอื น
อยู่ห่างไกลกนั มนั ไมต่ ดิ กนั จะบอกวา่ ไกล แต่มนั กใ็ กลก้ นั แต่มนั
ก็ไม่ติดกนั มนั เหมอื นกบั เป็นคนละส่วนกนั มนั ก็เหมอื นกบั ว่า
ความคิดปรุงแต่งมนั เป็นความคิดอยู่ในใจท่ีว่างเปล่า เหมือน
กบั รอยเทา้ ท่ีเหยียบไปในอากาศจะมรี อยหรือเปล่าล่ะ ทำ� นอง
เดยี วกนั ความคิดปรุงแต่งทงั้ หลาย ย่อมไม่สามารถประทบั รอย
ไว้ในใจท่วี ่างเปล่าได้
โยม : เพราะไม่มที ่เี หยยี บ มนั ว่างไปหมด
หลวงตา : มนั อยากจะนึก อยากจะคิด อยากจะด้ินรน
คน้ หาก็ปล่อยมนั ไป เห็นมนั ช่างมนั มนั เป็นเพียงรอยเทา้ ท่ี
เหยียบไปในอากาศ เหมือนกบั ใจท่ีไม่ปรุงแต่ง เราไม่ได้ไป
ท�ำลายธรรมชาติฝ่ ายปรุงแต่ง ไม่ได้ไปท�ำลายรอยเทา้ ไม่ได้ไป
ลบรอยเทา้ แต่มนั หายไปเอง มนั เกิดข้ึนเอง แลว้ ก็หายไปเอง
ดบั ไปเอง ในความว่างเปล่าน้ัน
โยม : มีความรูส้ ึกว่า ไอต้ ัวน้ีมนั ท�ำว่าจะรอ้ งไห้
มนั ก็เป็นของมนั อย่างน้ี ก็ใหม้ นั เป็นไป อนั น้ีคือ มนั มีความ
เหนือกว่าไอท้ ่ีคิด มนั ไปรูว้ ่าคิด ว่าไอต้ วั น้ีมนั กำ� ลงั จะอย่างงน้ั
อย่างง้ี เพราะฉะนนั้ มนั มตี วั ท่ีไปรูต้ วั น้ีอีกตวั หน่ึง ไอต้ วั ท่ีไปรู ้
176
จบซะที : จบซะที
ตวั น้ีมนั อยู่ห่าง อยู่เหนือกว่าตวั ท่ไี ปคิดน้ีอีกตวั หน่ึง มนั ก็บอก
ไม่ถูก
หลวงตา : ไอต้ วั ท่ีมนั รูว้ ่า มีความปรุงแต่งอยู่ในความ
ไม่ปรุงแต่งนนั้ มนั เป็นตวั สติ สมาธิ ปญั ญาในขนั ธห์ า้ ท่ยี มื มาใช้
ยืมขนั ธห์ า้ มาเป็นตวั สงั เกต มาใช้ เลยมาสงั เกตเห็นว่า “ใจ”
เป็นความว่างเปล่าท่ีไม่ปรุงแต่ง แต่ขนั ธ์หา้ เขาก็คงปรุงแต่ง
ของเขาไป แต่มนั อยู่คนละส่วนกบั ใจท่วี ่างเปล่า ไอต้ วั ท่สี งั เกต
เห็นเน่ียเป็นตวั สติปญั ญาของขนั ธ์หา้ ท่ียืมมาใช้ ก็เห็นมนั ไป
อย่างน้ี รูม้ นั ไปอย่างน้ีจนกระทงั่ มนั กลายไปเป็นใจว่างเปล่า
ท่ีรูต้ วั มนั เอง คือรูว้ ่าตวั มนั ว่างเปล่า และก็รูว้ ่ามีส่ิงท่ี
ปรุงแต่งเกิดดบั อยู่ในมนั แต่ใจไม่เกิดดบั ดว้ ย ไอต้ วั สติปญั ญา
ท่เี ป็นตวั สงั เกตมนั จะค่อยๆ เลอื นหายไป เหลอื แต่ใจท่รี ูเ้ ท่านนั้
เอง คอื รูว้ า่ ตวั มนั เองเป็นความวา่ ง เป็นหน่ึงเดยี วกบั จกั รวาล เป็น
ความวา่ ง เว้งิ วา้ ง ไพศาล ไมม่ ขี อบเขต ไมม่ ตี วั ตน ไมม่ รี ูปร่าง เป็น
มหาสุญญตา แต่ความคิดปรุงแต่ง มนั จะปรุงแต่งดี ปรุงแต่งชวั่
จะเป็นกุศล อกุศลอะไรก็ตาม มนั ก็เหมอื นรอยเทา้ ท่เี หยยี บยำ�่
ไปในอากาศ หรอื ฝูงนกทบ่ี นิ ไปในอากาศ ย่อมไม่ปรากฏร่องรอย
ไม่มีหนา้ ท่ีเราท่ีจะไปลบรอยเทา้ ในอากาศ ไม่ใช่หนา้ ท่ีเราท่ีจะ
ตอ้ งไปทำ� อะไรกบั ส่งิ ท่ปี รุงแต่งนนั้ เพราะเขาเกิดข้นึ เอง เขาก็ดบั
177
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
ของเขาไปเอง เขาเกิดข้นึ มาจากความไม่มอี ะไรในความว่างเปล่า
เขาก็ดบั หายไปในความว่างเปล่า
ความรูส้ ึกว่าตวั เราเป็นผูด้ ู ผูร้ ู ้ ผูเ้ ห็น อีกตวั หน่ึง ตวั น้ี
มนั เป็นวญิ ญาณขนั ธ์ ทำ� งานร่วมกบั เจตสกิ หรือเวทนา สญั ญา
สงั ขาร คือมนั รูเ้ สร็จแลว้ มนั ก็ส่งต่อเวทนา สญั ญา สงั ขาร และ
วญิ ญาณตวั ใหม่ต่อๆ ไป มนั เกิดดบั เร็วมาก มนั เลยเหมอื นกบั ว่า
ตวั เราผูร้ ู ้ คิด นึก ตรึกตรอง ปรุงแต่ง เมอ่ื มสี ติปญั ญาเหน็ ว่า
ทงั้ ผูร้ ูแ้ ละผูค้ ิดทุกตวั เป็ นขนั ธ์หา้ ซ่ึงเป็ นธรรมชาติปรุงแต่ง
ก็ปล่อยใหเ้ ขาปรุงแต่งไปตามปกติธรรมชาติของเขาเสีย ส่วน
“ใจ” เป็นธรรมชาติไม่ปรุงแต่ง เป็นความว่าง ไม่ใช่ขนั ธห์ า้
โยม : ขณะท่ีท่านพูด มนั มคี วามรูส้ ึกว่า ไอท้ ่ีเราไป
คิดว่าเป็นตวั เรา เป็นตวั เราท่ีพูดอยู่เน่ียเป็นตวั เรา แต่พอท่าน
พูดถงึ เร่ืองท่ีว่าจิต เจตสิกมนั ทำ� งานร่วมกนั กบั เวทนา สญั ญา
สงั ขาร มนั รูส้ ึกว่า มนั เป็นอีกส่วนหน่ึง ก็ไปเขา้ ใจท่ีคิดว่าเป็น
ตวั เรา ก็เพราะว่ามนั ไปเหน็ ไอต้ วั รูปเป็นตวั เรา แต่พอแยกออก
มาแลว้ จริงๆ แลว้ ก็เป็นตวั ทำ� งานของขนั ธห์ า้ ทง้ั หมด
หลวงตา : ถูกตอ้ งแลว้ มนั เป็นกระบวนการของขนั ธห์ า้
ซง่ึ ธรรมชาตสิ รา้ งมาใหฉ้ ลาดปราดเปร่อื งมาก เพราะฉะนน้ั ความ
รูส้ กึ ว่าตวั เรา... ตวั เรา... ท่ไี ปรู ้ ไปเหน็ เอาตวั เราวเิ คราะห์ ตวั เรา
178
จบซะที : จบซะที
วิจารณ์ ตวั เราเป็นผูค้ ิด ตวั เราเป็นผูต้ รึก ตวั เราเป็นผูต้ รอง
ตวั เราเป็นผูเ้ ขา้ ใจ ลว้ นแต่เอาวญิ ญาณขนั ธ์ เป็นวญิ ญาณขนั ธ์
ทำ� งานร่วมกบั เจตสกิ เป็นขนั ธห์ า้ ทง้ั หมด เมอ่ื เราเหน็ จนถงึ ทส่ี ุดวา่
ความรูส้ กึ เป็นตวั เราเป็นขนั ธห์ า้ เลยตวั เราไปก็เป็นความวา่ งเปลา่
มนั ก็เปรียบเหมอื นอย่างน้ี โยมนงั่ อยู่โยมเอาตวั เองเป็นคนนงั่
เกา้ อ้ี มองเลยตวั เองออกไปทุกทิศทุกทางเป็นอะไร ความว่าง
นนั่ แหละ เลยความรูส้ กึ เป็นตวั เราออกไป นอกตวั เราเป็นความวา่ ง
ท่ีโยมเขา้ ใจว่าความรูส้ ึกท่ีเป็นตวั เราในใจเป็นวิญญาณขนั ธ์
เป็นขนั ธห์ า้ เสยี แลว้ มนั ก็ปล่อยวางความรูส้ กึ ท่เี ป็นตวั เราซ่งึ เป็น
ขนั ธห์ า้ ไปเสยี
โยม : ขนั ธห์ า้ เขาจะตอ้ งปรุงแต่งของเขาอย่างนน้ั ไป
ตลอด
หลวงตา : ถกู ตอ้ ง เราจงึ มสี องตวั อยู่ดว้ ยกนั ตวั สมมตุ ิ กบั
วมิ ตุ ติ คือ ตวั ขนั ธห์ า้ ท่สี มมตุ ิว่าเป็นตวั เราเอาไว้ใชง้ าน เพราะตวั
วมิ ตุ ติมนั เอาไปทำ� งานไม่ได้ เรายงั ไม่ตายก็เอาตวั สมมตุ ิทำ� งาน
ไปอย่างเต็มกำ� ลงั ความสามารถ เก้ือกูลตนเองจนส้นิ ความหลง
ปรุงแต่ง กิจท่ตี อ้ งทำ� เสร็จแลว้ ไม่ยดึ แลว้ ไม่มตี วั ผูม้ ายดึ เพราะ
ตวั ผูท้ ่ียึดไดต้ อ้ งเป็ นตวั ปรุงแต่ง สว่ นใจท่ีว่างจากความปรุงแต่ง
ยึดอะไรไม่ได้ เม่ือหลุดพน้ จากตวั สมมุติ ไปเป็นวิมุตติแลว้
ก็ตอ้ งกลบั มาใชต้ วั สมมตุ ิทำ� ประโยชนเ์ ก้ือกูลผูอ้ ่ืน และช่วยแผ่
179
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
เมตตาใหแ้ ก่เทพ เทวดา อนิ ทร์ พรหม ยม ยกั ษ์ นาค ครุฑ มนุษย์
คนธรรพ์ สรรพสตั วท์ งั้ หลายท่ียงั เวยี นว่ายตายเกิด อธิษฐาน
ใหเ้ ขาพน้ ทุกข ์ ผู้ใดทุกขก์ ายอยู่ใหเ้ ขาพน้ ทุกขก์ าย ผู้ใดทุกข์ใจ
ใหเ้ ขาพน้ ทุกข์ใจ ให้ไดร้ ูธ้ รรม มใี จเป็นธรรมท่พี น้ ทุกข์ เรียกว่า
เป็นผูเ้ ก้ือกูลโลก ทำ� ประโยชนต์ นและประโยชนท์ ่าน น่ีแหละ
เอาขนั ธ์หา้ ท่ีบิดามารดาใหม้ าใช ้ นับว่าประเสริฐสูงสุดแลว้
ไดต้ อบคุณของบดิ ามารดาซ่งึ เทยี บเท่าคุณของพระอรหนั ต์
หลวงตา : อายุเท่าไหร่แลว้ ละเน่ีย
โยม : ๘๕ ค่ะ
หลวงตา : ๘๕ แลว้ ก็ยงั พอช่วยเหลือเก้ือกูลโลกได้
๘๕ แลว้ ธรรมมาทนั เวลาพอดี คงเป็นวาสนาอยู่เพราะว่า
พรุ่งน้ีหลวงตาจะกลบั แลว้ เอา้ !...อยากรอ้ งก็รอ้ งไหเ้ถอะ มนั ทกุ ข์
มาหลายภพหลายชาตแิ ลว้ ใหม้ นั รอ้ งไหภ้ พชาตนิ ้ีเป็นชาตสิ ุดทา้ ย
ขนั ธห์ า้ มนั พาเราไป ตกสูง ตกตำ�่ ตกนรก หลายภพหลายชาติ
ไปเป็นสตั วเ์ ดรจั ฉาน ไปทำ� บาปกรรมชวั่ เป็นเปรต อสูรกาย หลาย
ภพหลายชาติ แต่ในท่ีสุดแลว้ เราก็เอาคุณประโยชน์จากขนั ธห์ า้
น้ีแหละมาพาเราใหพ้ น้ ทุกขไ์ ด้ มนั อยากจะรอ้ งก็รอ้ งไปเหอะ
มนั ทุกขม์ ากมาหลายชาติแลว้ ใหม้ นั รอ้ งซะชาติสุดทา้ ยจะได้
ไม่ตอ้ งไปรอ้ งอกี
180
จบซะที
๑๗
เหนอื ค�ำอธิบาย
ธรรมชาติมีสองฝ่ าย คือ ธรรมชาติฝ่ ายปรุงแต่งได้ เรียก
ว่า “สงั ขาร” หรือ สงั ขตธาตุ กบั ธรรมชาติฝ่ ายปรุงแต่งไม่ได้
เรียกว่า “วิสงั ขาร” หรือ อสงั ขตธาตุ ซ่งึ จะมแี ต่ความรูเ้ ฉยๆ แต่
ไม่สามารถปรุงแต่งเป็นกริยาอาการใดๆ ได้
ธรรมชาติฝ่ ายปรุงแต่งหรือสงั ขารน้ี มนั ปรุงแต่งว่าเป็ น
ตวั เรา ใหเ้ รามีความรูส้ กึ ว่าเป็ นตวั เรา ปรุงแต่งว่าตวั เราผูป้ ฏบิ ตั ิ
ธรรมยงั ไม่รูพ้ น้ ยงั ไม่ถึง ยงั ไม่ได้ ยงั ไม่เป็นตามท่ีหมายไว ้
ยงั มกี ิเลส
พอเรารู้ไม่เท่าทนั หลงไปตามสงั ขาร ก็เลยหลงยึด หลง
ปรุงแต่งไปมตี วั เราท่ตี อ้ งเพยี รใหส้ ้นิ กิเลส มตี วั เราท่รี อไปบรรลุ
นิพพาน มตี วั เราไปพยายาม มกี ารเขา้ ไปยดึ ความเพยี รพยายาม
181
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
ผูป้ ฏิบตั ิธรรมตอ้ งพึงเห็นดว้ ยสติปญั ญาว่า ความรูส้ ึก
ขา้ งตน้ ท่ีเกิดข้นึ ลว้ นเป็นสงั ขารปรุงแต่ง อย่าเอาธรรมชาติฝ่ าย
ปรุงแต่งมาเป็นตวั เรา และท่ีสำ� คญั ย่ิงคืออย่าเอาตวั เราไปดบั
ธรรมชาติฝ่ ายปรุงแต่งท่ีปรุงเป็ นตวั เราอยู่ มิฉะน้นั จะกลายเป็ น
หลงปรุงซอ้ นเขา้ ไปอกี
พยายามไม่ไปยึดธรรมชาติฝ่ ายปรุงแต่ง แมม้ นั จะปรุง
อย่างไร ไม่ว่าจะปรุงข้นึ มาเป็นอะไรก็ตาม ก็เป็นแค่ธรรมชาติ
ฝ่ายปรุงแต่งท่เี รายมื มาใชท้ ำ� ความเขา้ ใจในการดำ� รงชีวติ ในการ
ปฏิบตั ิธรรม เราจะไม่หลงไปดบั เขาและไม่ยึดว่าเขาเป็นตวั เรา
คงปล่อยใหเ้ ขาเป็นอยู่อย่างนน้ั แต่ไม่มตี วั เราเป็น ไม่มใี ครเป็น
ไม่มีตวั เราเป็นผูร้ ูเ้ ห็น ทง้ั สภาวะท่ีถูกรูแ้ ละผูท้ ่ีรูส้ ภาวะว่าเป็น
อย่างไรหรอื มอี ะไรเกดิ ข้นึ ทงั้ สองส่วนลว้ นเป็นธรรมชาตปิ รุงแต่ง
ดว้ ยกนั ทง้ั คู่ ไม่มใี ครยดึ มนั่ ถอื มนั่ ต่อกนั
เมอ่ื ไมม่ ใี ครไปยดึ เอาสงั ขารมาเป็นเรา ตวั เรา ตวั ตนของเรา
คงปล่อยใหธ้ รรมชาติฝ่ ายปรุงแต่ง ปรุงแต่งไปตามธรรมชาติ
เม่ือส้นิ ผูย้ ึดมนั่ ถือมนั่ ต่อสงั ขาร ใจก็จะกลายเป็ นธรรมชาติฝ่ าย
ไม่ปรุงแต่งหรอื วสิ งั ขารโดยอตั โนมตั ิ เมอ่ื กลายเป็นธรรมชาตฝิ ่าย
ไม่ปรุงแต่งโดยอตั โนมตั ิแลว้ ปญั ญาก็ปล่อยวางไม่มผี ูม้ ายดึ ถอื
ธรรมชาติฝ่ ายไม่ปรุงแต่งท่ีเรียกว่าวิสงั ขารหรืออสงั ขตธาตุน้ี
ก็จะส้นิ กิเลส ส้นิ ทุกข์ บรรลุพระนิพพาน
182
เหนือค�ำอธิบาย : จบซะที
ผูป้ ฏิบตั ิธรรม พึงระลึกรู้ในหลกั ความจริงว่า
“ผูร้ ูไ้ ม่คิด (โดยธรรมชาติของรูเ้ ขาคิดไม่ได)้ ผูค้ ิดไม่รู”้
ตอ้ งฝึ กไปจนถึงขณะจิตหน่ึง แลว้ พบผูร้ ูท้ ่ีไรเ้ จตนารู ้
พบผูค้ ดิ ทไ่ี รเ้จตนาคดิ คดิ ข้นึ มาเองโดยทไ่ี มม่ เี จตนาคดิ พรอ้ มกบั
รูค้ ิดนนั้ ข้นึ มา โดยท่ไี ม่มเี จตนาจะไปรู ้ เรียกว่า พบธรรมแท้
เป็นธรรมแทท้ ่ีไม่ปรากฏตวั เราไปเป็นผูป้ รุงแต่ง
พบธรรมชาตฝิ ่ ายปรุงแต่งตามธรรมชาตแิ ทๆ้ คอื คดิ ข้ึนมา
โดยไรเ้ จตนาจะคิด
พบธรรมชาติฝ่ ายไม่ปรุงแต่งแทๆ้ คือ รูค้ ิดน้ันข้ึนมา
โดยไรเ้ จตนาทจ่ี ะไปรู ้
แลว้ อยู่กบั “รูท้ ่ไี รเ้ จตนารู”้ นนั่ แหละ
พระอรหนั ตท์ งั้ หลายท่านอยู่กบั รูน้ ้ี
เพียงแค่เส้ียววินาทีเดียวท่ีส้ินความหลงยึดมนั่ ถือมนั่
ในธรรมชาติฝ่ายปรุงแต่ง ก็กลายเป็นใจท่วี ่างเปล่า ใจท่วี ่างเปล่า
คือธรรมชาติฝ่ายไม่ปรุงแต่ง จะเหน็ ว่าธรรมชาติฝ่ายไม่ปรุงแต่ง
ไม่มตี วั เรา เม่อื รูแ้ จง้ ธรรมชาติฝ่ ายปรุงแต่งเสยี หมดแลว้ ก็คง
เหลอื ธรรมชาติฝ่ ายปรุงแต่งซ่ึงเป็นขนั ธห์ า้ ท่ียงั คงดำ� เนินต่อไป
คู่กบั ใจทว่ี า่ งเปลา่ ซง่ึ มแี ต่ความรูพ้ น้ รูจ้ รงิ รูแ้ จง้ รูส้ ้นิ ยดึ มนั่ ถอื มนั่
183
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
ใจหรือจิตดงั้ เดมิ แทๆ้ ไม่เคยเกิด ไม่เคยดบั ไม่เคยแตก
ไม่เคยถูกทำ� ลาย เหตุจากอวชิ ชาความหลงยดึ มนั่ ถอื มนั่ ท่ตี ิดมา
กบั จติ ดงั้ เดมิ แท้แลว้ มาผสมกบั ธาตดุ นิ นำ�้ ลม ไฟ สเปิรม์ ของพอ่
ไข่ของแม่ ซากพชื ซากสตั วท์ ่แี ม่กินเขา้ ไปแลว้ ตวั เราก็กินเขา้ ไป
จงึ เกิดเป็นขนั ธห์ า้ ก็คือชีวติ แม้ถงึ วนั ท่อี วชิ ชาดบั ไป ก็จะหายไป
เฉพาะอวชิ ชา ความโง่ ความหลงยดึ มนั่ ถอื มนั่ เหลอื จติ ดง้ั เดมิ แทๆ้
ซ่ึงเป็ นความรูท้ ่วี า่ งเปลา่ ไม่เกดิ ไม่ดบั เป็ นอมตะ สว่ นขนั ธห์ า้ กค็ ง
ทำ� งานไปตามหนา้ ท่ธี รรมชาติของชีวติ ดว้ ยความบริสุทธ์ิของมนั
รอจนส้นิ อายุขยั ขนั ธห์ า้ ค่อยดบั ไป
เม่ือความหลงยึดมัน่ ถือมัน่ ไม่มีแล้ว เลยเหลือแค่
ธรรมชาติสองอย่าง คือธรรมชาติฝ่ ายปรุงแต่งกบั ธรรมชาติ
ฝ่ ายไม่ปรุงแต่งท่ีท�ำงานคู่กนั เป็ นใจท่ีว่างเปล่าซ่ึงมีความรูอ้ ยู่
กบั กริยาอาการต่างๆ ของขนั ธห์ า้ ท่ีเกิดดบั เกิดดบั อยู่ในใจ
ท่ีว่างเปล่าเท่าน้ัน ไม่มีใครยึดมนั่ ถือมนั่ อกี ต่อไป
สุดทา้ ยเหลือแต่รูอ้ ยู่แก่ใจตนเองเท่านน้ั เป็นปจั จตั ตงั
ไม่มีภาษาสมมุติบญั ญตั ิใดๆ เม่ือใจส้ินหลงปรุงแต่งเสียแลว้
ไม่มีอะไรท่ีจะเรียกอีกแลว้ ไม่มีค�ำอธิบายต่อไป ไม่มีอะไร
ท่จี ะพูดอกี แลว้
184
จบซะที
๑๘
สมมุติในวิมุตติ
ธรรมชาติภายในใจมีสองส่วน คือส่วนท่ีเป็น “สมมุติ”
(ท่ีเป็นส่ิงท่ีเกิดดบั ) กบั “วิมุตติ” (ท่ีไม่มเี กิดไม่มดี บั ) สมมุติ
คือจิตปรุงแต่ง ส่วนวิมุตติคือใจหรือจิตเดิมแทท้ ่ีไม่ปรุงแต่ง
ไม่ปรากฏกรยิ าอาการใดเลย ไม่มรี ูปร่าง ไม่มตี วั ใจ เป็นความว่าง
เหมือนความว่างในธรรมชาติหรือจกั รวาล เราเอาจิตปรุงแต่ง
ท่เี ป็นสมมตุ ิมาใช้ ส่วน “ใจ” ท่เี ป็นวมิ ตุ ติเป็นแต่ความสงบว่าง
จากความปรุงแต่งเอามาใช้ไม่ได้ เม่ือส้ินหลงคิดหลงปรุงแต่ง
หรือส้ินหลงยึดสมมุติ ก็เป็ นใจหรือเป็ นวิมุตติหรือจิตบริสุทธ์ิ
โดยอตั โนมตั ิทนั ที
ไม่ใช่หลงเอาสมมุติไปหาใจหรือหาวิมุตติ เพราะ “ใจ”
ไม่มีเคร่ืองหมาย หรือไม่มีท่ีหมายใหค้ น้ หาพบได้ ถึงจะด้ินรน
185
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
คน้ หาดว้ ยความอยากความปรารถนาอย่างแรงกลา้ เพยี งใด กไ็ ม่
สามารถคน้ พบ “ใจ” ได้ มีวิธีเดียวเท่าน้ันท่ีจะพบ “ใจ” คือตอ้ ง
“หยุด” หยุดเอาขนั ธห์ า้ ไปคิดไปปรุงแต่ง เพราะถา้ เราเป็ นผูค้ ิด
ผูป้ รุงแต่ง ก็จะเป็ นขนั ธห์ า้ หรือสมมตุ ิ ส่วนใจหรือวิมตุ ติหรือจติ
ท่ีบริสุทธ์ิเป็ นธรรมชาติท่ีคิดปรุงแต่งด้ินรนคน้ หา หาถูก หาผิด
หาเหตุ หาผล หาความว่าง หาความสุข หาพระนิพพานไม่ได้
และถา้ ยงั “หา” มนั ก็ตนั เพราะมนั เป็ น “ตณั หา”
ทง้ั “สมมตุ ”ิ และ “วมิ ตุ ต”ิ มใี นใจเราอยู่แลว้ แต่เราเขา้ ใจผดิ
เราพยายามเอาตวั สมมุติตวั ปรุงแต่งไปช่วยตวั วิมุตติหรือใจ
ใหส้ ะอาด ใหบ้ ริสุทธ์ิ ใหน้ ่ิง ใหเ้ ฉย ใหพ้ บกบั ความสุข ใหพ้ บกบั
นิพพาน เราไม่ตอ้ งไปช่วย “ใจ” เพราะใจเป็ นความว่างท่ีไม่อาจ
ปรุงแต่งไปยึดติดยึดถืออะไรได้ ปญั หาความไม่พน้ ทุกขจ์ ึง
ไม่ไดอ้ ยู่ท่ใี จ แต่อยู่ท่ีเรายงั ไม่เลกิ พยายามท่ีจะช่วยใจให้ไม่ทกุ ข์
ใหม้ คี วามสขุ ความสงบ ความวา่ ง บรรลนุ ิพพาน เราจงึ ไม่หยดุ คดิ
หยุดปรุงแต่งเสยี ที เม่ือ“หยุด” ช่วยใจเม่ือใดกพ็ บใจว่าง ใจสงบ
เป็ นวิมตุ ติโดยอตั โนมตั ิทนั ที
เราไปช่วยใจไม่ได้ ถา้ ไปช่วยจะมตี วั เราเขา้ ไปยุ่งกบั ใจ ก็
จะหลงไปเป็นจิตปรุงแต่ง ไม่ตอ้ งช่วยใจไม่ใหย้ ึด เพราะใจยึด
อะไรไม่ไดเ้ น่ืองจากเป็นความว่าง แต่เราพยายามไปช่วยใจ ให้
สะอาด บริสุทธ์ิ ว่างๆ น่ิงๆ เฉยๆ ใหเ้ ป็นอย่างท่อี ยากใหเ้ ป็น
186
สมมตุ ใิ นวมิ ตุ ติ : จบซะที
ถา้ ใจพูดได้ มนั คงจะพูดว่า “มึงอย่าช่วยกูไดไ้ หม มึงนะ
ตวั ยุ่งท่ีสุด ไอจ้ ติ ปรุงแต่ง มึงจะช่วยกูอย่างเดียว จะช่วยใหก้ ูว่าง
ช่วยใหก้ ูเบา ช่วยใหก้ ูสบาย ช่วยใหก้ ูสงบ ช่วยกูตลอดเลย
มึงเลิกยุ่งกะกูแค่น้ัน กูจบ กูก็คือกู กูพูดไม่ได้ บ่นไม่ได้ มีกริยา
อาการใดๆ ก็ไม่ได้ ไม่มีอะไรเลยสกั อย่างเดียว”
เม่ือไม่หลงปรุงแต่ง ก็จะเป็นใจท่ีไม่ปรุงแต่งหรือวิมุตติ
ใหจ้ บลงท่ีใจในปจั จุบนั น้ี วางทุกอย่าง ไม่มีอดีตไม่มีอนาคต
แมป้ จั จุบนั ก็ไม่รกั ษาอะไร ในความไม่ปรุงแต่งมคี วามปรุงแต่ง
มีการกระเพ่ือมของขนั ธ์ตลอดเวลา ส่วนปรุงแต่งหรือสมมุติ
ก็ใช้ไป แต่ไม่มใี ครไปรองรบั ไม่มใี ครไปยดึ ถอื ความปรุงแต่งนน้ั
เรยี กว่าส้นิ ผูเ้สวย ส้นิ ผูย้ ดึ มนั่ ถอื มนั่ กลายเป็นใจทส่ี งบ ว่างเปลา่
มแี ต่ความสงบร่มเยน็ เป็นความสุขทไ่ี มท่ กุ ข์ ไมใ่ ช่สุขเพราะไปจบั
อารมณส์ ุข ดงั คำ� ทว่ี า่ “นิพพานงั ปรมงั สญุ ญงั นิพพานงั ปรมงั สขุ งั ”
นิพพานเป็นความว่าง ความสุขอย่างย่ิงท่ีเหนือสุขเหนือทุกข์
ส่วนขนั ธห์ า้ ก็ยงั มสี ุข ทุกข์ไปตามเหตุปจั จยั ท่ีมากระทบ และ
ความเส่ือมของขนั ธห์ า้ เอง และยงั มีการทำ� งานอยู่ก็ใชไ้ ปเต็ม
กำ� ลงั ความสามารถ ช่วยเหลอื เก้ือกูลผูอ้ ่ืน เก้ือกูลโลกจนกว่า
สงั ขารจะแตกดบั ไปจากโลก ก็จบสนิท......
ส้นิ โลก เหลอื ธรรม(ใจว่าง)... ส้นิ ยึดทง้ั โลกทง้ั ธรรม “ นิพพาน ”
187
“ ย่ิงหา... ก็ยิ่งตัน
เพราะมันเป็น
ตัณหา
คือ หา...ตัน ”
จบซะที
๑๙
อวิชชาคือม่านบังใจ
“ท้ิงใหห้ มดเลย สงั ขารท้งั น้ัน มีอะไรเกิดข้ึนในใจก็
สงั ขารปรุงแต่งทง้ั น้ัน” ความเขา้ ใจตรงน้ีเป็นสง่ิ สำ� คญั มากเพราะ
ธรรมชาตมิ ี๒ สง่ิ คอื ธรรมชาตทิ ป่ี รงุ แต่งกบั ธรรมชาตทิ ไ่ี มป่ รงุ แต่ง
สงั ขารเป็นธรรมชาตฝิ ่ายปรุงแต่ง คอื สง่ิ ใดก็ตามจากไมม่ .ี ..
มนั มขี ้นึ มา จากไม่ปรากฏ...ปรากฏข้นึ มา จากไม่คิด...เป็นคิด
ข้นึ มา จากไม่กระเพ่ือม...เป็นกระเพ่ือมข้นึ มา จากไม่มมี าแต่
เดิม...แลว้ ก็มขี ้นึ มา เปลย่ี นแปลงได้ มอี าการท่ีตรงกนั ขา้ มได้
ว่างบา้ งเดยี๋ วก็ไม่ว่างบา้ ง สบายบา้ งเดยี๋ วก็ไม่สบายบา้ ง สุขบา้ ง
เดีย๋ วก็ทุกขบ์ า้ ง ส่ิงเหล่าน้ีซ่ึงมีอาการท่ีเป็นของคู่ตรงกนั ขา้ ม
เป็นของปรุงแต่งทงั้ หมด เป็นสงั ขารเป็นธรรมชาติฝ่ายปรุงแต่ง
ทงั้ ส้นิ ไม่ใช่ตวั เรา ไม่ใช่ตวั ตนของเรา เป็นของไม่จริง เป็นของ
189
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
สมมุติ พอเราตายแลว้ ก็ดบั หมด เหมือนท่อนไม ้ คิดก็ไม่ได้
นึกก็ไม่ได้ มีความรูส้ ึกอะไรก็ไม่ได้ ความรูส้ ึกนึกคิดอารมณ์
ก็ดบั หมด ไม่เหลอื อะไรสกั อย่าง
ส่วนธรรมชาติอีกส่วนหน่ึงคือ ธรรมชาติท่ไี ม่ปรุงแต่งคือ
“ใจ” ท่เี ป็นแต่ความรู ้ ปรุงแต่งไม่ได้ ใจน้ีมแี ต่ความไม่ปรุงแต่ง
ไม่ปรากฏอะไรเลย มแี ต่ความรูว้ ่ามอี าการปรุงแต่งเกิดดบั อยู่
ในตวั มนั ใจเป็นธรรมชาตไิ มป่ รุงแต่ง จงึ ไมส่ ามารถเขา้ ไปพยายาม
ทำ� อะไรได้ ซ่งึ ตรงขา้ มกบั ความปรุงแต่งท่มี นั ทำ� ได้ ใจไม่มีท่ีอยู่
ไม่มีตวั ตน ไม่มีรูปร่าง ไม่รูว้ ่ามนั อยู่ตรงไหน แต่มนั อยู่ในส่งิ
ท่ีเรียกว่าตวั เราน่ีแหละ อาจจะสงสยั ว่ามนั อยู่ตรงไหน แต่ไม่ใช่
ไม่มี เพราะมนั รูแ้ ละบอกไดว้ ่ามีอะไรเกิดข้ึนในใจ แลว้ จะ
บอกว่าไม่มใี จไดอ้ ย่างไร ตรงน้ีสำ� คญั มาก มอี ะไรเกิดข้นึ ในใจ
ใจสบายก็รู ้ ใจไม่สบายก็รู ้ มคี วามคิดก็รู ้ ไม่มคี วามคิดก็รู ้ สงบ
กร็ ู ้ไมส่ งบกร็ ู ้วา่ งกร็ ู ้ไมว่ า่ งกร็ ู ้ฟ้งุ ซ่านกร็ ู ้ไมฟ่ ้งุ ซ่านกร็ ู ้คดิ กศุ ลกร็ ู ้
คิดอกศุ ลก็รู ้มนั รูท้ งั้ หมดเลย มอี ะไรก็เกดิ ดบั อยู่ในใจน่ีแหละ ใจ
มนั รูว้ ่ามอี ะไรเกิดดบั ในมนั มอี าการอะไรเปลย่ี นแปลงอยู่ในมนั
อาการท่เี ป็นของคู่ ตรงกนั ขา้ ม เกิดดบั เปลย่ี นแปลงตลอดเวลา
อยู่ในมนั ใจมนั ไดแ้ ต่รู ้ แต่ใจไม่มอี าการ ไม่มตี วั ตนของใจ ไม่มี
รูปร่างไม่มรี ูปพรรณสณั ฐานใด มนั เป็นเหมอื นกบั ความว่างของ
ธรรมชาติหรือจกั รวาล
190
อวิชชาคือมา่ นบงั ใจ : จบซะที
หลายคนเขา้ ใจผิดไปเอาส่งิ ต่างๆ หรืออาการท่ีเกิดดบั อยู่
ในใจเป็ นใจ แต่แทจ้ รงิ แลว้ ส่งิ ท่ีเกดิ ดบั คือเวทนา สญั ญา สงั ขาร
วิญญาณ เกิดพรอ้ มกนั ดบั พรอ้ มกนั เป็ นธรรมชาติของขนั ธห์ า้
ท่ีจะดบั ขาดไม่ได้
เราอย่าไปสนใจแต่ส่งิ ท่ถี ูกรู ้ ใหส้ นใจแต่ตวั เราท่มี นั เอามา
คิด ตรึกตรอง ปรุงแต่ง พากษ์ (วพิ ากษ)์ อยู่ในใจ คือสนใจแต่
วญิ ญาณขนั ธท์ ท่ี ำ� งานร่วมกบั เจตสกิ คอื เวทนา สญั ญา สงั ขาร ทร่ี ู ้
อะไรแลว้ ตอ้ งมาคิด ตรึกตรอง ปรุงแต่ง พากษอ์ ยู่ในใจ พูดอยู่
ในใจ รูอ้ ะไร เหน็ อะไร สมั ผสั อะไร อย่าไปสนใจอารมณ์ซง่ึ เป็นสง่ิ
ทถ่ี กู รู ้ไดแ้ ก่ รูป เสยี ง กลน่ิ รส สมั ผสั และธรรมารมณค์ อื เวทนา
สญั ญา สงั ขาร ใหส้ นใจสงั เกตแต่เพยี งว่า “สติตง้ั ท่ีใจ ดูท่ีใจ
รูท้ ่ีใจ สงั เกตอยู่ท่ีใจ ละอยู่ท่ีใจ ปล่อยวางอยู่ท่ีใจ” ตลอดเวลา
รูเ้ พ่ืออะไร เพ่ือเห็นว่ามนั เป็นสงั ขารทงั้ นน้ั แหละ มีแต่
สงั ขาร สงั ขาร สงั ขาร... ปล่อยมนั ไป มนั เป็นขนั ธห์ า้ ทำ� อะไร
กบั มนั ไม่ได้ คือตอ้ งปล่อยมนั อย่างเดยี วเลย ทำ� อะไรกบั มนั ไม่
ได้ จนมนั เบ่อื จิตหรือวญิ ญาณขนั ธท์ ่ีมนั พากษ์ มนั พูดไม่หยุด
น่ีแหละ พอเบอ่ื มนั จริงๆ ก็เกิดนิพพทิ าญาณเลย คือเบอ่ื หน่าย
ขนั ธห์ า้ ปลอ่ ยวางขนั ธห์ า้ ส้นิ อปุ าทานขนั ธห์ า้ แค่นนั้ แค่วางความ
หลงยึดถือเท่าน้ัน อวิชชาดบั เลย พออวิชชาดบั ก็พบใจท่ีว่าง
เปล่าทนั ที เปรียบเหมอื นเรานงั่ อยู่ในหอ้ งท่ปี ิดม่านอยู่ พอเปิด
191
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
ม่านออกมองเหน็ ความว่างขา้ งนอกเลย ความว่างขา้ งนอกมนั มี
อยู่แลว้ ใจท่ีว่างเปล่ามนั มีอยู่แลว้ ม่านในหอ้ งเราน่ีบงั ตาเน้ือ
ทำ� ใหเ้ รามองไม่เห็นขา้ งนอก แต่อวชิ ชามนั เปรียบเหมอื นม่านท่ี
บงั ตาใจ
ความว่างมีอยู่แลว้ ใจท่ีว่างมีอยู่แลว้ แต่มองไม่เห็น
หลวงปู่มนั่ ภูริทตั โต ท่านเขยี นในขนั ธะวมิ ตุ ิสะมงั คีธรรมะว่า
“รู้ไม่ทนั ขนั ธบ์ งั ธรรม” ธรรมน้ีคือธรรมชาติท่ไี ม่ปรุงแต่งหรือ
ใจหรือจิตเดิมแท้ ท่ีเป็นความว่างดุจความว่างของธรรมชาติ
หรือจกั รวาล เป็นมหาสุญญตามนั มอี ยู่แลว้ แต่เราเอาขนั ธห์ า้
ไปยุ่งวุ่นวายกบั ขนั ธห์ า้ คือเอาขนั ธห์ า้ ซ่งึ เป็นธรรมชาติท่ปี รุงแต่ง
มาปรุงแต่งยึดถือเป็นตวั เรา แลว้ เอาตวั เราไปปรุงแต่งยึดถือ
ส่งิ ต่างๆ หรือคนต่างๆ ส่วนใจหรือจิตเดิมแทเ้ ป็นแต่ความว่าง
เป็นธรรมชาติท่ีไม่อาจปรุงแต่งได้ จึงไม่อาจเอามาคิดปรุงแต่ง
ยึดถืออะไรได้ ไม่อาจคิดปรุงแต่งยึดถือขนั ธ์หา้ และไม่อาจ
ปรุงแต่งยดึ ถอื ใจจะใหว้ ่าง เพราะใจเป็นความว่างตามธรรมชาติ
อยู่แลว้
ดงั น้ัน ส่งิ ท่ีหลงเอามาคิดปรุงแต่งยึดถือไดก้ ็ตอ้ งหลงเอา
ขนั ธห์ า้ ซ่ึงเป็ นธรรมชาติท่ีปรุงแต่งได้ มาคิดปรุงแต่งยึดถือ
ขนั ธห์ า้ ยึดถอื สง่ิ อน่ื และพยายามยึดถอื ใจจะใหว้ ่าง เพราะไม่มี
สติปญั ญาหรือยงั โง่อยู่ เรียกว่า “อวิชชา” ขนั ธเ์ ลยมาบงั ธรรม
192
อวิชชาคือมา่ นบงั ใจ : จบซะที
พอม่านท่มี าบงั ตาใจถูกเปิดออก ขนั ธก์ ็ไม่สามารถบงั ธรรมท่ไี ม่
ปรุงแต่ง คือใจท่วี ่างเปล่าได้อกี ต่อไป
จึงจะพบว่า ความปรุงแต่งมนั ปรุงแต่งอยู่ในความไม่ปรุง
แต่ง ในความปรุงแต่งมีใจท่ีสงบและว่างเปล่า ไม่มใี ครไปยึด
มนั เป็ นธรรมชาติท่ีเป็ นความว่างเหมือนกับความว่างของ
ธรรมชาติหรือจกั รวาลอยู่แลว้ ไม่มใี ครยึดทงั้ ส่งิ ท่วี ่างและจิตท่ี
ปรุงแต่ง ใจก็ยงั คงเป็นความว่างอยู่อย่างนน้ั แหละ ความปรุงแต่ง
ขนั ธห์ า้ ก็ยงั ตอ้ งเป็นธรรมชาติปรุงแต่งไปตามธรรมชาติ เพยี งแต่
ส้นิ หลงยดึ ถอื หรือส้นิ อวชิ ชาเท่านนั้ รอจนกว่าเราจะตาย พอตาย
เม่อื ไหร่ขนั ธห์ า้ ก็ดบั เหลอื แต่ใจหรือจิตเดิมแทท้ ่ีเป็นความว่าง
ท่ไี ม่เกิดไม่ดบั มนั เป็นธรรมชาติท่มี อี ยู่แลว้ ในใจทง้ั คู่ คือมนั อยู่
คู่กนั แต่เรามองไม่เหน็ เพราะอวชิ ชาตวั เดยี ว
อวิชชาท่ีเปรียบเหมือนม่านบงั ตาใจเปิ ดออกเท่าน้ัน ก็พบ
ใจหรือจติ เดิมแท้ ซ่งึ เป็นเรามาตง้ั แต่ดง้ั เดมิ เป็นผูร้ ูแ้ จง้ เพราะ
รูส้ จั ธรรมความจริง รูพ้ น้ รูต้ ่ืนเพราะส้ินอวิชชาคือความหลง
รูเ้ บกิ บานเพราะไม่หลงยดึ ถอื สง่ิ ใดใหเ้ ป็นกิเลสเคร่ืองเศรา้ หมอง
และเป็นความทกุ ขม์ าปิดบงั ใจหรอื จติ เดมิ แท้เราไม่ไดต้ ายเพราะ
เราไม่เคยเกิด เราไม่เกิดไม่ดบั เป็นผูร้ ูท้ ่เี ป็นความว่างเหมอื นกบั
ความว่างของธรรมชาติหรือจกั รวาล มแี ต่ขนั ธห์ า้ แตกดบั เท่านน้ั
ถา้ ยงั ไม่ส้นิ อวชิ ชา ใจหรือจิตเดมิ แทท้ ่มี อี วชิ ชาผสมปนอยู่ก็ยงั
193
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
ไม่เป็นธาตุรูท้ ่วี ่างเปล่าอย่างบริสุทธ์ิตามธรรมชาติ จงึ ตอ้ งไปเกิด
ในภพต่างๆ คือกามภพ รูปภพ อรูปภพ มรี ูปร่างและมคี วามรู้สกึ
ความจำ� ไดห้ มายรู ้ ความนึกคิด และการรบั รูใ้ นร่างใหม่ๆ ต่อไป
แลว้ รูปร่างพรอ้ มกบั ความรูส้ กึ ความจำ� ไดห้ มายรู ้ ความคิดนึก
ตรึกตรอง ปรุงแต่ง และการรบั รูก้ ็ตอ้ งแตกดบั ทุกชาติไป ส่วนใจ
หรือจิตเดิมแท้ซ่งึ เป็นเราไม่เคยตายเลย เพยี งแต่ถ่ายร่างไปอยู่
ในร่างใหม่ต่อๆ ไป
ครน้ั ส้นิ อวชิ ชา ใจหรอื จติ เดมิ แทก้ เ็ ป็นธาตวุ า่ งทบ่ี รสิ ุทธ์ติ าม
ธรรมชาติ ไม่มธี าตุใดหรือส่ิงใดมาผสมปนใหต้ อ้ งไปเวยี นว่าย
ตายเกิดใหเ้ ป็นทุกขอ์ กี ต่อไป บาปกรรมทงั้ หลายก็ไม่อาจใหผ้ ล
ไดอ้ ีกเพราะไม่มตี วั ตนรองรบั ผลของกรรม เราจึงไม่ตอ้ งกลวั
ตายเพราะเราแทๆ้ ไม่ไดเ้ กิดไม่ไดต้ าย ใจหรือจิตเดิมแทซ้ ่ึง
เป็ นพทุ ธะหายตวั ไปเป็ นอมตะ จึงไม่ตอ้ งกลวั ตาย แต่ใหก้ ลวั
การเกิดอกี
194
จบซะที
๒๐
เหตุแห่งความว่างท่ีเที่ยงแท้
ธรรมชาตขิ องใจว่าง หรอื “พทุ ธะ” มอี ยู่แลว้ ในพระพทุ ธเจา้
ในพระอรหนั ต์ ในปุถชุ นทงั้ หมดทงั้ เด็กผู้ใหญ่ และมอี ยู่แลว้ ใน
เทวดา เปรต อสุรกาย สตั วเ์ ดรจั ฉาน สตั วน์ รก แต่นอกจาก
พระพุทธเจา้ และพระอรหนั ตแ์ ลว้ สรรพสตั วท์ งั้ หมดลว้ นยงั
มอี วชิ ชา ซ่ึงเปรียบเสมอื นมมี ่านมาบงั ใจ ม่านน้ีเกิดจากความ
หลงยดึ ถอื สงั ขารคือ “ขนั ธห์ า้ ” คือ รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร
วญิ ญาณ หรือร่างกายจติ ใจทเ่ี ป็นธรรมชาตฝิ ่ายปรุงแต่งซง่ึ แสดง
กริยาหรืออาการต่างๆ ได้ เมอ่ื ส้นิ หลงยดึ ถอื สงั ขาร ม่านอวชิ ชา
ก็เปิดออกก็จะพบใจท่วี ่าง ซ่งึ เป็นธรรมชาติท่ไี ม่อาจปรุงแต่งได้
เป็นอสงั ขตธาตุหรือวิสงั ขาร เป็นมหาสุญญตา เป็นความว่าง
เหมอื นกบั ความว่างของธรรมชาติหรือจกั รวาล แต่มคี วามรูแ้ จง้
195
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
รูส้ จั ธรรมความจริงจนส้ินความหลงยึดถือแลว้ ไม่มีตวั ตน
ไม่มีรูปร่าง ไม่มีรูปพรรณสณั ฐานใด ซ่ึงวิธีท่ีจะพบธาตุรูห้ รือ
ใจซ่ึงเป็ นความว่างไดน้ ้ัน มีวิธีเดียวเท่าน้ัน วิธีอ่ืนนอกจากน้ี
ไม่มี คือตอ้ งส้นิ หลงยึดถือสงั ขารหรือขนั ธห์ า้ ก็จะพบใจท่ีเป็ น
ความว่างเหมือนดงั่ ความว่างของธรรมชาติหรือจกั รวาลซ่ึงมี
อยู่แลว้ ในพระพุทธเจา้ พระอรหนั ต์ ปุถุชน และสรรพสตั ว์
เมอ่ื ส้นิ หลงยดึ ถอื สงั ขารแลว้ ก็จะเหน็ สงั ขารเกิดดบั ในใจท่วี ่าง
อะไรก็ตามท่ีไม่ว่าง มนั กลายเป็นสงั ขาร หรือเป็นส่ิงท่ีมี
การปรุงแต่งทงั้ หมด เม่ือปล่อยวางสงั ขารคือส่ิงท่ีมีทง้ั หมดก็
พบความว่าง แต่ก็จะหลงมายดึ ถอื ความว่างไว ้ ซ่งึ ผูท้ ่จี ะมายดึ
ความว่างไดต้ อ้ งหลงเอาขนั ธ์หา้ มาปรุงแต่งยึดถือความว่าง
พอปล่อยวางความปรุงแต่งหรอื ขนั ธห์ า้ หมดแลว้ กจ็ ะไม่หลงเอา
ความปรุงแต่งมายึดความว่าง เลยกลายเป็ นว่างแทๆ้ แต่ถา้ เรา
ไปยดึ ความรูส้ กึ ตวั ว่าเป็นเรา เป็นตวั เรา เป็นตวั ตนของเรา หรือ
ตวั เราเป็นความรูส้ กึ ตวั ก็จะหลงเอาตวั เราซ่งึ เป็นความรูส้ กึ ตวั
มายึดถอื ความว่างไว ้ ก็เท่ากบั ว่ามตี วั เราไปยึดถอื พอมตี วั เรา
หลงยดึ ถอื ก็ไม่พบความว่าง
หลายคนชอบทำ� ความรูส้ ึกว่างเหมือนดงั่ อวกาศข้ึนมา
ความว่างท่สี รา้ งข้นึ เองจากความปรุงแต่ง ตวั น้ีคือตวั “อวิชชา”
196
เหตแุ หง่ ความวา่ งที่เท่ียงแท้ : จบซะที
จะเป็ นม่านปิ ดบงั ใจ มันต้องว่างจากส้ินความหลงยึดถือ
มนั จงึ ว่าง ไม่ใช่ไปสรา้ งความรูส้ กึ ว่างข้ึนมา
ตวั ท่ีพยายามตง้ั สติหรือพยายามรูส้ ึกตวั แลว้ พยายาม
เขา้ ไปดู รู ้ เหน็ จิตหรือความคิด หรือพยายามไปปรบั แต่งเวทนา
คือ ดรี กั ชวั่ ชงั เกลยี ดทุกขร์ กั สุข หรือพยายามไปไล่ดบั ความคิด
หรืออารมณ์ไว ้ มนั เป็นการหลงปรุงแต่งสติ เราตอ้ งท้งิ ตวั น้ีไป
แมแ้ ต่เราพยายามไปตง้ั สติคอยรูล้ ะปล่อยวางอนั น้ีไม่ใช่สติ
สติท่ใี ชต้ ง้ั สตินน้ั ไม่ใช่สติ เป็นสติตวั ปลอม เป็นตวั หลงปรุงแต่ง
สติท่ีแทจ้ ริง คือตวั ท่ีมารูเ้ ท่าทนั ว่าเราเน่ียหลงตง้ั สติซ่ึงเป็ นตวั
ปลอม เม่ือสติปญั ญาท่ีแทจ้ ริงเกิดข้ึนมา จะท�ำใหส้ ติตวั ปลอม
หมดคุณค่าไป
เหมอื นท่หี ลวงปู่เทยี น จิตฺตสุโภ พยายามดู พยายามตงั้
สติมาดูความคิดทุกความคิด จนสามารถรูท้ ุกคิดแต่ยงั ไม่บรรลุ
นิพพาน ระหว่างนนั้ เหมือนมีใครมาผลกั สีขา้ งของท่าน ท่าน
ก็หนั หาผูท้ ่ีมาผลกั แต่ก็หาไม่เจอ พอหาไม่เจอก็ตง้ั สติเพ่อื จะ
มาดูความคิดใหม่ จึงรูว้ ่าตวั สติท่ีมนั ตง้ั มาดูความคิดน่ะเป็ น
ตวั ปรุงแต่ง มนั ไม่ใช่เป็ นสติ แต่สตปิ ญั ญาท่แี ทจ้ รงิ กค็ อื ตวั ท่มี ารู้
ว่าเราหลงตง้ั สติพยายามจะไปดูหรือไปรูอ้ ะไร “หลงเอาตวั เราไป
เลน่ ไปแสดง” หลงเอาตวั เราไปตง้ั สติ ไปรูล้ ะปลอ่ ยวาง เอาตวั เรา
197
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
พยายามไปทำ� อะไรเพ่อื อะไร จึงตอ้ งมสี ติ ปญั ญาท่แี ทจ้ ริงมารู ้
เท่าทนั หรือเหน็ ว่า ทง้ั สติท่ตี งั้ ข้นึ มาและอาการท่ปี รากฏข้นึ มาทุก
ขณะปจั จุบนั เป็นสงั ขารปรุงแต่งทงั้ หมด ใหป้ ล่อยวางไปเสยี ให้
หมดทุกขณะจิตปจั จุบนั
สติ สมั ปชญั ญะ คือความรูส้ กึ ตวั ทวั่ พรอ้ มตอ้ งมอี ยู่ตลอด
เวลาในชีวติ ประจำ� วนั ว่ากำ� ลงั คิด พูด ทำ� อะไรอยู่ จะไดไ้ ม่หลง
เหม่อ เผลอ เพลนิ หลงส่งจติ ออกนอกไปสนใจอยู่กบั อารมณ์ซ่งึ
เป็นรูป เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะหรือสมั ผสั และธรรมารมณ์
คือ เวทนา สญั ญา และสงั ขารท่ถี ูกรู ้ หรือจะไดไ้ ม่หลงคิดหลง
ปรุงแต่งไป
สติ สมั ปชญั ญะ ท่แี ทจ้ ริงน้ีเป็นขนั ธห์ า้ ซ่งึ ความรูส้ กึ ตวั
ตามปกตธิ รรมชาติ ไมใ่ ช่สติ สมั ปชญั ญะทห่ี ลงปรุงแต่งข้นึ มาเพอ่ื
พยายามจะไปดูหรอื ไปรูอ้ ะไร หรอื พยายามไปไลด่ บั ความคดิ หรอื
ดบั อารมณ์อะไร แต่แมส้ ติ สมั ปชญั ญะจะเป็นธรรมชาติปรุงแต่ง
ตามปกติของขนั ธ์หา้ ซ่ึงไม่ไดเ้ ป็นความหลงปรุงแต่งเป็นสติ
สมั ปชญั ญะก็ตาม แต่ก็จะตอ้ งไมห่ ลงยดึ สติ สมั ปชญั ญะทแ่ี ทจ้ รงิ
ว่าเป็นเรา เป็นตวั เรา เป็นตวั ตนของเรา หรือตวั เราเป็นผูม้ ี
สติ สมั ปชญั ญะ มนั มีอยู่แต่ไม่มีคนยึดถือ แต่ก็ตอ้ งอาศยั เป็ น
เรือขา้ มฟากเพ่ือให้ส้นิ หลงยึดถือ จงึ จะเป็ นนิพพาน หลายคน
ก็เขา้ ใจผดิ ในคำ� ว่า “ปล่อยวางผูร้ ู”้ หรือ “พบผูร้ ู ้ ฆ่าผูร้ ู”้ แลว้
198
เหตแุ หง่ ความวา่ งที่เที่ยงแท้ : จบซะที
ไปวางความรูส้ กึ ตวั ท้ิงหมด ก็จะหลงวางสติปญั ญาไปเสยี ดว้ ย
เลยไม่รูเ้ ร่ืองอะไรเลย
เม่ือส้ินความหลงยึดถือทงั้ ขนั ธ์หา้ ซ่ึงเป็นธรรมชาติฝ่ าย
ปรุงแต่ง และส้นิ หลงยดึ ถอื ใจหรือจติ เดมิ แทท้ เ่ี ป็นธรรมชาตฝิ ่าย
ไม่ปรุงแต่งแลว้ ใจก็คงเป็นความว่างของเขาอยู่อย่างนน้ั ส่วน
ขนั ธห์ า้ ก็คงปรุงแต่งทำ� หนา้ ท่ีของชีวิต ก็ปล่อยใหเ้ ขาปรุงแต่ง
ตามปกติธรรมชาติของเขาไปอย่างนนั้ ส่ิงท่ีมีก็มีอยู่ ส่ิงท่ีว่าง
ก็ว่างอยู่ ดบั ไปแต่ความหลงยดึ ถอื หรือส้นิ ผูเ้ สวย หรือส้นิ ผูห้ ลง
ยดึ มนั่ ถอื มนั่ เท่านน้ั
โดยมีสติ ปัญญาเห็นตามความเป็ นจริงว่า สังขาร
ทง้ั หมดเป็ นอนิจจงั เป็ นของไม่เท่ียง เป็ นทุกขงั เป็ นทุกข์
ทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้ ตอ้ งแก่เจบ็ ตาย ไม่อาจจะบงั คบั ใหเ้ ป็ น
อย่างอ่นื นอกจากน้ีได้ จึงเป็ นอนัตตา ไม่มีตวั ตนคงท่ี ไม่อาจ
บงั คบั ได้ ตอ้ งปล่อยวางความหลงยดึ มนั่ ถอื มนั่ ก็จะพบใจหรือ
จิตเดมิ แท้ซ่งึ เป็นธรรมชาติไม่ปรุงแต่ง มแี ต่ความรู ้ ไม่มตี วั ตน
ไม่มีรูปพรรณสณั ฐานใด ไม่มีกริยาอาการใด เป็นความว่าง
เหมอื นกบั ความว่างของธรรมชาติหรือจกั รวาล ซ่งึ มอี ยู่ดว้ ยกนั
กบั ธรรมชาติฝ่ายปรุงแต่งของทุกสรรพสตั วท์ งั้ หมด ไม่ไดม้ อี ยู่
แต่เฉพาะพระพุทธเจา้ และพระอรหนั ตเ์ ท่านน้ั แต่ปุถุชนและ
สรรพสตั วท์ วั่ ไปมวั แต่หลงยึดถือธรรมชาติปรุงแต่งหรือเรียก
199