หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
จงึ อยากให้ใจของเราดี หรือว่าง น่ิง เฉย หรือเป็ นอเุ บกขาเม่ือ
ถูกกระทบ มนั เป็ น “อวิชชา” กิเลส ตณั หา… ทนั ที
ตรงน้ีตอ้ งใหแ้ ม่นมากนะ ผูป้ ฏบิ ตั ิธรรมถา้ ไม่แม่นในหลกั
ธรรมเหมือนกบั ไม่แม่นในขอ้ กฎหมายน่ีจะแปลความคลาด-
เคลอ่ื นหมดเลย แลว้ ปฏบิ ตั ผิ ดิ หมดเลย ทถ่ี ูกกลายเป็นผดิ ทผ่ี ดิ
กลายเป็นถูก ท่ีเราพูดมาน่ีไม่รูก้ ่ีคำ� แลว้ ท่ีเราพูดมาทงั้ หมดน่ี
ท่ีลว้ นแต่ว่าเอาผิดเป็ นถูกเอาถูกเป็ นผิด ปฏิบัติกลบั หัว
กลบั หางกนั น่ีกลบั ดา้ น มีแต่จะมีตวั เราไปเอา ไปไดอ้ ะไร หรือ
อยากใหเ้ ป็ นอย่างไร มนั จงึ เป็ นอวิชชา กิเลส ตณั หา อปุ าทาน
หมด แต่ธรรมแทน้ ้ันคือส้นิ ตวั เราจะไปเอาไปได้ ไปเป็ นอะไร
หรือส้นิ หมาย หรือส้นิ ปรารถนาว่าจะไปเอาอะไร หรือจะไปได้
อะไร หรือจะไปถึงอะไร แมแ้ ต่นิพพาน เพราะถา้ หมายหรือ
ปรารถนาจะไปเอาหรือไปไดอ้ ะไรแมแ้ ต่นิพพาน มนั ก็มตี วั เรา
ท่อี ยากได้ อยากเอา อยากเป็น อย่างน้ี “อวชิ ชา” กิเลส ตณั หา
อุปาทาน ภพ ชาติ… และทุกข์ หรือวงจรปฏจิ จสมปุ บาทก็ไม่ดบั
ไม่หกั เสยี ที
แลว้ ถามว่ามาปฏบิ ตั ิแลว้ ไดอ้ ะไร ตอบว่า “ไม่ไดอ้ ะไรเลย”
แมแ้ ต่วางหมดแลว้ ไมห่ ลงสงั ขารแลว้ เลยพบใจทว่ี า่ งเปลา่ แลว้ ก็
ตอ้ งวางใจท่วี ่างเปล่านน้ั ไปดว้ ย เพราะถา้ หลงยึดใจท่ีว่างเปล่า
ไว้ก็เป็ น “อวิชชา” ทดลองดูอย่างน้ีก็ได้ ใหย้ กมอื ถอื ของหรือ
100
อยา่ งไรจงึ เรียกอวชิ ชา : จบซะที
แบกของหนกั ๆ ไว ้ ซ่ึงเปรียบเหมือนแบกสงั ขารหรือขนั ธห์ า้
มนั หนกั และเมอ่ื ยมอื ไหม ท่นี ้ีปล่อยวางของหนกั เปรียบเหมอื น
สงั ขารหรือขนั ธห์ า้ ใหห้ มด บนมอื เหลอื แต่ความว่างแต่ยงั ยกมอื
แบกความว่างไว ้แลว้ จะเป็นอย่างไร มนั เมอ่ื ยมอื มนั ทุกข์ใช่ไหม
มนั ก็เหมอื นกนั ถา้ วางสงั ขารหรือขนั ธห์ า้ ก็พบใจท่วี ่างเปล่า แต่
ถา้ ยงั ยึดหรือแบกใจท่ีว่างเปล่าก็ยงั เป็นทุกข์ ตอ้ งวางใจท่ีว่าง
เปล่าเสยี จึงจะพน้ ทุกข์
ตรงน้ีหลวงตามหาบวั ญาณสมั ปนั โน พูดไวช้ ดั เจนมากว่า
“นอกจากขนั ธห์ า้ แลว้ ยงั มใี จท่ีบริสุทธ์ิ ปล่อยวางขนั ธห์ า้ หมด
เสยี แลว้ แต่มายดึ ใจจะใหว้ ่างก็เป็น “อวชิ ชา” ตอ้ งปล่อยวางใจ
แลว้ อวิชชา กิเลส ตณั หา อุปาทาน ภพ ชาติ… และทุกขจ์ ึง
ดบั สนิท”
101
“ อ่านใจตัวเองให้ขาด
ว่าปฏิบัติไป
เพ่ือจะเอา หรือ
เพื่อส้ินความหลงยึดมั่นถือม่ัน ”
จบซะที
๑๐
อ่านใจตัวเองให้ขาด
เรามกั จะมองไม่เหน็ หรือไม่รูต้ วั ว่า “ปฏิบตั ิธรรมเพ่อื จะไป
จะเอาอะไร” มกั มผี ูจ้ ะเอาหรือมผี ูอ้ ยาก เม่อื ชอบใจก็อยากได้
อยากเอา อยากใหเ้ ป็นอย่างน้ัน อยากใหเ้ ป็นอย่างน้ี เม่ือ
ไม่ชอบใจก็อยากไม่ใหเ้ ป็นอย่างนนั้ อยากไม่ใหเ้ ป็นอย่างน้ี เช่น
จะเอาจิตดี ไม่เอาจิตไม่ดี จะเอาความสงบ ไม่เอาความไม่สงบ
จะเอาสุข ไม่เอาทุกข์ แมจ้ ะไปเอาพระนิพพาน หรือไม่อยาก
ใหแ้ ก่ เจ็บ ตาย มนั เป็นกิเลส ตรงขา้ มพระนิพพาน จงึ ไม่พน้ ทกุ ข์
ในการปฏบิ ตั ิธรรม ถา้ มนั อยากจะไปเอาอะไร หรือหลง
เขา้ ไปเสพอารมณ์ใดๆ ก็มี “สติ” รูเ้ ท่าทนั อย่าไปด้ินตามมนั
มนั จะปรุงแต่งอย่างไร ถา้ เรามี “สติ” ไม่หลงไปตามมนั และ
ไม่พยายามไปดบั มนั มนั ก็ละจากอารมณ์น้ันๆ เองโดยไม่ตอ้ ง
103
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
ไปทำ� กรยิ าละปล่อยวาง จำ� ไวใ้ หข้ ้นึ ใจนะ ถา้ สตไิ ม่ขาด สกั แต่ว่ารู ้
ก็เท่ากบั ปล่อยวางไปในตวั แลว้ ไม่ตอ้ งไปทำ� อาการละอารมณ์
อะไรอกี ไม่มกี ารทำ� ไม่มกี ารเอาอะไรอกี ถา้ จะเอาแต่ความสุข
ทุกข์ไม่เอา แสดงว่ามนั ชอบฝ่ ายหน่ึงไม่ชอบอีกฝ่ ายหน่ึง คือ
ดรี กั ชวั่ ชงั หรือรกั สุขเกลยี ดทุกข์ นนั่ เป็น “กิเลส” ซ่งึ ตรงขา้ ม
พระนิพพาน มนั ไม่พน้ ทุกขก์ ็เพราะตรงน้ี ส่งิ ใดชอบก็อยากกอบ
เขา้ หาตวั ส่ิงใดว่าชวั่ เพราะไม่ชอบใจก็อยากผลกั ไสออกไป
ยงั มดี ูด มผี ลกั มนั เป็นกิเลส ตณั หาซ่งึ เป็นเหตุใหเ้ กิดทุกขอ์ ยู่
จงึ ไม่พน้ ทกุ ขใ์ นขณะปจั จบุ นั น้ี ถา้ มสี ตปิ ญั ญาเหน็ เหตตุ รงน้ีแลว้
ก็วางหมดทงั้ สองดา้ นเดยี๋ วน้ี ไม่เอาอะไรเลย ไม่ยดึ ถอื อะไรเลย
ทุกอย่างก็ว่างเปล่า
หลวงปู่ทา จารุธมั โม พ่อแม่ครูอาจารยเ์ คยพูดกบั คน
ท่ีมีความทุกข์ ความเครียด หงุดหงดิ กบั จิตใจท่ีไม่สงบเสียที
ในขณะทพ่ี บหนา้ ว่า “สงบกเ็ อา ไม่สงบกเ็ อา เอามนั ทง้ั น้นั แหละ”
แค่น้ันแหละเขาก็หวั เราะออกมาทนั ที คือท่านไม่ใหม้ ีกิเลส
ต่อความรูส้ ึกทง้ั สองฝ่ าย ไม่ใหม้ ีรกั มีชงั ต่อส่ิงท่ีเป็นของมีคู่
ตรงกนั ขา้ ม เช่น สุขกบั ทุกข์ จติ มอี าการโปร่ง โล่ง เบา สบาย ว่าง
กบั จิตมอี าการตรงกนั ขา้ ม กุศลกบั อกุศล เป็นตน้ ใหป้ ล่อยวาง
ความยึดถือเสีย ถา้ ยงั มีความหวงั ความปรารถนายงั จะไปเอา
อะไร แมจ้ ะไปเอาความสุขท่ีปราศจากทุกขห์ รือพระนิพพาน
104
อา่ นใจตวั เองให้ขาด : จบซะที
ก็ยงั ไม่พน้ ทุกข์ในปจั จุบนั ถา้ ยงั จะไปเอาอะไรมนั พน้ ทุกข์ใน
ปจั จุบนั น้ีไม่ไดห้ รอก เพราะยงั มีกิเลส มีความคาดหวงั ว่าเดี๋ยว
จะพน้ ทุกขใ์ นอนาคต มนั เป็ นกิเลสในปจั จุบนั ตอ้ งปล่อยวางผู้
จะเอา หรอื ปล่อยวางความอยากเสยี ทง้ั หมดในปจั จุบนั น้ี เดีย๋ วน้ี
จงึ พน้ ทุกขเ์ ดี๋ยวน้ี
เพราะฉะนนั้ เราตอ้ งอ่านใจเราใหข้ าดว่า วางเพ่อื จะเอาหรอื
วางเพ่ือปล่อยวางจริงๆ วางผูจ้ ะเอา ผูอ้ ยากได้ อยากเป็น หรือ
ถา้ ไม่ชอบใจก็ไม่อยากจะใหเ้ ป็น วางแลว้ วางเลย ไม่ใช่ปล่อยวาง
เพ่อื จะไปเอาอะไรอกี
จิตท่ดี ้นิ รนคน้ หาจะไปใหถ้ งึ “ใจ หรือ จิตเดมิ แท”้ ซ่งึ เป็น
ความว่างจากความปรุงแต่งหรือว่างจากตวั ตนก็เป็นกิเลสใน
ขณะปจั จุบนั ใหม้ ี “สติ” รูเ้ ท่าทนั ทนั ที ใหม้ สี ติปญั ญาเหน็ ขณะ
จิตเร่ิมคิดปรุงแต่งเป็นเราแลว้ เอาตวั เราไปคน้ หา ถา้ ไปคน้ หาไป
สงสยั ตามก็จะหลงไปเป็นจิตปรุงแต่งทนั ที และอย่าหลงไปมุ่ง
รูแ้ ต่ความไม่มีหรือความว่าง มนั จะเป็ นกิเลสเพราะหลงยึดถือ
ความว่าง ใหม้ สี ติปญั ญาสงั เกตเหน็ ว่า ในความว่างนน้ั มตี วั เราท่ี
เขา้ ไปดู เขา้ ไปเสพอาการของความว่าง พงึ พอใจกบั ความว่างนนั้
ถา้ ยงั มอี าการของผูด้ ู ผูเ้ สวย ก็หลงยดึ ถอื ทง้ั หมดนนั่ แหละ
105
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
ใหม้ นั เลยจาก... ความมีเราไปสู่ความไม่มีเรา โดยเห็นว่า
มีแต่สงั ขารท่ีเกิดข้ึนแลว้ ดบั ไป แมแ้ ต่จติ ปรุงแต่งเป็ นตวั เราผูร้ ู้
ผูเ้ ห็น ผูเ้ ขา้ ใจก็เป็ นสงั ขารหมด มีแต่สงั ขารท่ีเกิดข้ึนแลว้ ดบั ไป
ในความไม่มีอะไรเกดิ ดบั (วสิ งั ขาร) ปลอ่ ยวางหมดทง้ั สงั ขารและ
วิสงั ขาร คือไม่หลงเอาสงั ขารซ่ึงเป็ นขนั ธห์ า้ ไปยึดถือสงั ขารและ
วิสงั ขาร เพราะตอ้ งเอา “สงั ขาร” ไปปรุงแต่งจงึ จะไปยึดถือได้
สว่ น “วสิ งั ขาร” เป็ นธรรมชาติท่ีไม่ปรุงแต่ง จงึ ไม่อาจเอาวสิ งั ขาร
ไปปรุงแต่งยึดถือได้ ถา้ ยงั มีการยึดถือ แสดงว่าหลงเอาขนั ธห์ า้
ซ่ึงเป็ นสงั ขารมาปรุงแต่งเป็ นตวั เรา แลว้ เอาตวั เราไปยึดถือ
ส่งิ ต่างๆ ภายนอกขนั ธห์ า้ และยึดถือขนั ธห์ า้
ความหลงอย่างท่ีสุด คือความพยายามเอาขนั ธห์ า้ หรือ
จติ ปรุงแต่งซ่ึงเป็ นสงั ขาร ไปด้ินรนคน้ หาไปยึด “วิสงั ขาร” ซ่ึง
เป็ นความไม่มีอะไรท่ีจะปรากฏใหร้ บั รไู้ ดท้ างวิญญาณขนั ธ์ หรือ
เป็ นเหมือนความว่างของธรรมชาติหรือจกั รวาล แลว้ จะเอา
ความมี (มีความปรุงแต่งใหถ้ ูกรู้ได)้ ไปหาไปยึดวิสงั ขาร
(ความไม่ปรุงแต่ง ไม่มีอะไรใหถ้ ูกร้ไู ด)้ ไดอ้ ย่างไร มนั ตอ้ งเอา
สงั ขารไปหาไปยึดสงั ขาร จงึ จะพบและยึดกนั ได้ เม่ือเอาสงั ขาร
ไปหาวิสงั ขารก็หาไม่พบ เม่ือยึดก็ไม่มีอะไรใหย้ ึด ตอ้ งหยุดหา
หยุดยึด หยุดอยาก ตอ้ งปล่อยวางทง้ั สงั ขารและวิสงั ขาร และ
ปล่อยวางผูร้ ู้ ผูป้ ล่อยวางดว้ ย เพราะผูร้ ู้ ผูป้ ล่อยวางกเ็ ป็ นสงั ขาร
106
อา่ นใจตวั เองให้ขาด : จบซะที
เม่อื ส้ินความหลงยึดมนั่ ถือมนั่ แลว้ ในปจั จุบนั คงปล่อย
ใหส้ งั ขารหรือขนั ธห์ า้ เขาเกิดๆ ดบั ๆ ในธรรมชาติท่ีไม่เกิดดบั
โดยไม่มใี ครเขา้ ไปยดึ ถอื เมอ่ื ส้นิ ผูย้ ดึ ถอื สงั ขารก็คงเป็นสงั ขาร
วสิ งั ขารก็คงเป็นวสิ งั ขาร อยู่ตามปกติตามธรรมชาติของเขาอย่าง
นนั้ ธรรมชาตขิ องสงั ขารตกอยู่ใตก้ ฎไตรลกั ษณ์ คอื “อนิจจงั ” คอื
ความไม่เท่ยี ง “ทุกขงั ” คือความเป็นทุกข์ ทนอยู่สภาพเดมิ ไม่ได้
ตอ้ งเส่อื มไป ตอ้ งแก่เจ็บตาย เป็น “อนตั ตา” ไม่มตี วั ตนคงท่ี
ไม่ใช่ตวั เรา หรือไม่ใช่ตวั ตนของเรา จึงไม่อยู่ในบงั คบั ของเรา
ส่วนธรรมชาติของวสิ งั ขารไม่ปรากฏตวั ตนหรืออาการใดๆ ไม่มี
การเกิดดบั จึงไม่ตกอยู่ใตก้ ฎไตรลกั ษณ์ ทง้ั สงั ขารและวิสงั ขาร
เป็ นธรรมชาติท่ีมีคุณสมบตั ิเป็ นอย่างน้ันเอง ไม่ไดเ้ ป็ นของใคร
และไม่ใช่เป็ นเรา เป็ นตวั เรา หรอื เป็ นตวั ตนของเรา ซง่ึ ทงั้ สงั ขาร
และวสิ งั ขารก็ตอ้ งอยู่ดว้ ยกนั จนกว่าขนั ธห์ า้ จะแตกดบั ไป
ส่วนร่างกายและจติ ฝ่ายนามธรรมคอื เวทนา สญั ญา สงั ขาร
และวญิ ญาณเป็นสงั ขารหรือเป็นธรรมชาติปรุงแต่ง ส่วน “ใจ”
หรือ “จิตเดิมแท”้ เป็นวสิ งั ขารหรือเป็นธรรมชาติท่ีไม่ปรุงแต่ง
เป็นเหมอื นความว่างของธรรมชาติหรือจกั รวาล เม่อื ส้ินผูห้ ลง
ยดึ ถอื ทง้ั สงั ขารและวสิ งั ขาร “อวชิ ชา” ก็ดบั กเิ ลส ตณั หา อปุ าทาน
ภพ ชาติ… และทุกขก์ ็ดบั หมด
107
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
“อวิชชา” คือความหลงยึดมนั่ ถือมนั่ ว่าขนั ธห์ า้ เป็ นเรา
เป็ นตวั เรา เป็ นตวั ตนของเรา หรือตวั เราเป็ นขนั ธห์ า้ หรือความ
ไม่รูต้ น้ ไม่รูก้ ลาง ไม่รูป้ ลาย
ไม่รู ้ “ตน้ ” คือไม่รู ้ ไม่เหน็ ไม่พบ “ใจ” หรือ “จิตเดมิ แท”้
ซ่งึ เป็นความว่างตามปกติธรรมชาติของเขาตลอดเวลา ซ่งึ “ใจ”
เป็นธาตุรูต้ ามธรรมชาติท่ไี ม่มอี าการ แต่รู้ได้ ดงั นน้ั ใจย่อมรูว้ ่า
ใจว่างเหมอื นดงั่ จกั รวาลโดยไม่มอี ะไรอยู่ในใจเลย ไม่มอี าการ
ทม่ี คี ู่ตรงกนั ขา้ มอยู่ในใจ เช่น ไม่มเี วทนาสุขทกุ ข์ ไม่มผี ่องใสหรอื
เศรา้ หมอง ไม่มโี ปร่ง โล่ง เบา สบาย แมแ้ ต่ความรูส้ กึ ว่างๆ หรือ
อาการตรงกนั ขา้ ม ไม่มแี มแ้ ต่ตวั ใจทเ่ี ป็นจติ เดมิ แท้คงปรากฏแต่
สงั ขารท่เี กิดๆ ดบั ๆ แต่ไม่มผี ูร้ องรบั ไม่มผี ูเ้ สวย ไม่มผี ู้ยดึ ถอื
ไม่รู ้ “กลาง” คือไม่มสี ติปญั ญารูเ้ ท่าทนั ขณะจิตหลงปรุง
แต่ง หลงคิดตรึกตรอง ด้นิ รนคน้ หา พยายามทำ� อะไรเพ่อื ให้ได้
อะไร หลงคิดวเิ คราะห์ วจิ ารณ์ วจิ ยั เพ่อื จะใหม้ นั รู ้ ใหม้ นั เหน็
ใหม้ นั ได้ ใหม้ นั เป็น แอบมคี วามคาดหวงั อยู่ในใจลกึ ๆ เดยี๋ วๆๆ
ลองปฏบิ ตั ิก่อน เดยี๋ วเราจะได.้.. ไดร้ ู.้ .. ไดเ้ หน็ ... เราจะไดเ้ ป็น...
มแี ต่เรา... เรา... เรา... ยงั มผี ูจ้ ะเอาอยู่ ก็เป็นกิเลส ตณั หา
ไม่รู ้ “ปลาย” คือไม่รูว้ ่าจิตไปมกี ิเลส ตณั หา หรือไปมี
อารมณ์ร่วมกบั ส่งิ ท่ถี ูกรใู้ นขณะปจั จุบนั นนั้ แลว้
108
อา่ นใจตวั เองให้ขาด : จบซะที
ดงั นนั้ ตอ้ งมี “สติ ปญั ญา” รูเ้ท่าทนั กเิ ลส ตณั หา คอื รูเ้ทา่ ทนั
ขณะท่หี ลงคิดปรุงแต่ง คือหลงเป็นผู้คิด เป็นผูป้ รุงแต่ง ผูเ้ ล่น
ผูแ้ สดง เพราะทงั้ ในธรรมชาตปิ รุงแต่งและไมป่ รุงแต่ง ไมม่ ตี วั ตน
ของเราเลย คงมแี ต่ “อวิชชา” คือความหลงผดิ ยดึ ถอื ขนั ธห์ า้ ว่า
เป็นเรา เป็นตวั เรา เป็นตวั ตนของเรา หรือตวั เราเป็นขนั ธห์ า้ แลว้
เอาขนั ธห์ า้ ซ่งึ ยดึ ถอื เป็นตวั เราเขา้ ไปดูจติ ไปไล่ดบั ความคิด หรือ
ไปคิดตรกึ ตรอง ด้นิ รนคน้ หา หาถกู หาผดิ หาเหตหุ าผล พยายาม
ทำ� อะไรเพอ่ื จะใหไ้ ดใ้ หเ้ ป็นอะไร อยากเอา อยากได้อยากใหเ้ ป็น
อย่างนนั้ อยากใหเ้ป็นอย่างน้ี ถา้ ไมถ่ กู ใจกอ็ ยากใหไ้ มเ่ ป็นอย่างนน้ั
อยากใหไ้ ม่เป็นอย่างน้ี
อ่านใจตวั เองใหข้ าดทุกขณะปจั จุบนั หรือสงั เกตใหอ้ อก
ว่าทุกขณะปจั จุบนั ว่ามีกิเลส ตณั หา คือมีผูจ้ ะเอาหรือไม่ ถา้ ส้นิ
ความหลงว่ามีตวั เราผูจ้ ะเอาเดยี๋ วน้ี มนั ก็หมดทง้ั กิเลสโลกกิเลส
ธรรม คนไม่ไดป้ ฏบิ ตั ิธรรมก็จะเอา จะเอา จะเอา... ให้ไดม้ าก
ย่งิ ข้นึ ไป ข้นึ ไป... ไม่รจู้ กั พอ ส่วนผูป้ ฏบิ ตั ิธรรมก็จะเอา จะเอา
จะเอา... เอาธรรม เอาจติ ดี เอานิพพาน มแี ต่กิเลสดว้ ยกนั ทง้ั นน้ั
ถา้ ส้นิ หลงว่ามีตวั เราจะไปเอาอะไรทง้ั หมดในปจั จุบนั น้ี เดี๋ยวน้ี
ก็ส้นิ กิเลสหมดเลย
ใหย้ อ้ นถามตวั เองทกุ ครงั้ วา่ “เราหมกมนุ่ ทำ� อะไรอยู่อย่างน้ี
เพ่อื จะไปเอาอะไรหรือไม่” แมแ้ ต่เดนิ จงกรม นงั่ สมาธิ เราก็ตอ้ ง
109
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
ถามตวั เองอยู่ตลอดเวลาว่า “เราจะไปเอาอะไรหรือเปล่า” แต่
ไม่ใช่ไม่ใหเ้ ดนิ จงกรม ไม่ใหน้ งั่ สมาธินะ เดนิ จงกรมหรือนงั่ สมาธิ
ก็เพอ่ื จะดูใจเราวา่ มตี วั เราผูจ้ ะไปเอาอะไรไหม แค่รูเ้ ฉยๆ นะใช้ได้
ถา้ จะเอาจิตดี จะเอานิพพาน กิเลสทงั้ นน้ั เลยเป็นอวชิ ชาหมด
แค่รูแ้ ค่สงั เกตเห็นว่ามตี วั เราผูจ้ ะเอาไหม อ่านใจตวั เองใหข้ าด
ทุกคนนะ ถามว่าเราปฏิบตั ิธรรมเพ่อื จะใหไ้ ดอ้ ะไร ตอบว่าไม่ได้
อะไรเลย มีแต่กิเลส คือความโลภ โกรธ หลง หรือราคะ โทสะ
โมหะ ทิฏฐมิ านะหมดไปเท่าน้ัน หรือส้นิ ตวั ตนของผูอ้ ยากจะไป
เอาอะไรเดยี๋ วน้ี “อวชิ ชา” ก็ดบั จะเป็นเหตุใหส้ งั ขาร วญิ ญาณ
นามรูป สฬายตนะ ผสั สะ เวทนา ตณั หา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา
มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนสั อุปายาส คือความทุกขโ์ ศก
เศรา้ เสยี ใจคบั แคน้ ใจในวงจรปฏจิ จสมปุ บาทดบั หมด
ส้นิ ตวั เดียว คอื ส้นิ ความหลงคดิ ปรุงแต่งหลงยดึ ถอื ขนั ธห์ า้
ว่าเป็ นตวั เรา แลว้ เอาตวั เราไปยดึ ถอื สง่ิ ต่างๆ แมแ้ ต่ยดึ ถอื ขนั ธห์ า้
เสียเอง และจะพยายามยึดถือวิสงั ขาร หรือเอาตวั เราท่ีหลง
ปรุงแต่งยดึ ถอื นนั้ ไปเป็นผูด้ ู ผูร้ ู ้ ผูค้ ิด ตรึกตรอง ด้นิ รนคน้ หา
ไปเป็นผูเ้ ล่น ผูแ้ สดง เรียกว่าหลงยดึ ถอื สงั ขาร และหลงสงั ขาร
คือหลงคิดปรุงแต่งเป็นผูเ้ ล่น ผูแ้ สดง ท่ที ำ� อย่างน้ีก็เพราะหลง
เอาขนั ธ์หา้ มาคิดปรุงแต่งเป็นตวั เรา จึงมีตวั เราผูอ้ ยากหรือ
ไมอ่ ยากซง่ึ เป็นกเิ ลสตณั หาเมอ่ื มสี ติปญั ญาเหน็ ตามความเป็นจรงิ
110
อา่ นใจตวั เองให้ขาด : จบซะที
ว่า หลงเอาขนั ธ์หา้ มาคิดปรุงแต่งเป็นตวั เราแลว้ เอาตวั เราไป
ยดึ ถอื หรือคิดปรุงแต่งในลกั ษณะต่างๆ เพอ่ื ตวั เราจะไปเอาไปได้
อะไร ซ่งึ แทจ้ ริงในธรรมชาติปรุงแต่งและไม่ปรุงแต่งไม่มตี วั ตน
ของเราอยู่เลย เม่ือส้ินหลงเพราะรูเ้ ห็นตามความเป็ นจริง จน
ใจยอมรบั ตามความเป็ นจริง ความหลงผิด “อวิชชา” ก็ดบั เมอ่ื
“อวชิ ชา” ดบั กิเลส ตณั หา และความทุกขก์ ็ดบั พรอ้ ม เหมอื น
กบั เมอ่ื สบั สวติ ซห์ รือคทั เอาทใ์ หญ่คือ “อวชิ ชา” ลงเท่านนั้ กระแส
วงจรไฟฟ้าก็ดบั ทง้ั หมด
ผูป้ ฏิบตั ิธรรมตอ้ งรูว้ ่าจะดบั กระบวนการเกิดกิเลส ตณั หา
ท่ีเป็ นเหตุใหเ้ กิดทุกขแ์ ละเกิดการเวียนว่ายตายเกิดได้โดย
“ดบั อวิชชา” เหมอื นกบั เวลาไฟช็อต ก็จะตอ้ งรูว้ ่าจะสบั สวติ ซ์
หรอื คทั เอาทท์ ต่ี รงไหน จงึ ตอ้ งดบั ทค่ี วามเหน็ ผดิ หลงคิดปรุงแต่ง
ยดึ ถอื เอาขนั ธห์ า้ มาเป็นเรา เป็นตวั เรา เป็นตวั ตนของเรา หรือ
ส้นิ หลงคิดปรุงแต่งยดึ ถอื ว่ามตี วั เราอยู่ในขนั ธห์ า้ แลว้ เอาตวั เรา
ไปยึดถือส่ิงต่างๆ หรือหลงคิดปรุงแต่งในลกั ษณะต่างๆ เพ่ือ
จะเอาตวั เราไปเอาอะไร
ดงั นน้ั ตอ้ งทำ� ความเห็นผิดใหเ้ ป็นความเห็นถูก ว่าใน
ธรรมชาตมิ แี ต่ “สงั ขาร” ทเ่ี ป็นธรรมชาตปิ รุงแต่งเรยี กวา่ “ขนั ธห์ า้ ”
คือตวั สมมตุ ิของเราซ่งึ เป็นอนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา และนอกจาก
ขนั ธห์ า้ ก็มี “วสิ งั ขาร” ท่เี ป็นธรรมชาติไม่ปรุงแต่งเรียกว่า “ใจ”
111
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
หรือ “จิตเดมิ แท”้ มคี ุณสมบตั ิเป็นอสรีรงั ไม่มรี ูปพรรณสณั ฐาน
ใด เป็นสุญญตา มหาสุญญตา จกั รวาลเดมิ เป็นความว่างท่ไี ร้
รูปลกั ษณ์ ไรร้ ่องรอย เปรียบเหมอื นกบั ความว่างของธรรมชาติ
ดงั น้ันเม่ือส้นิ ความหลงผิดว่ามีตวั เราผูจ้ ะไปเอาอะไร “อวิชชา”
กด็ บั กจ็ ะส้นิ ผูห้ ลงยึดถอื ทง้ั สงั ขารและวิสงั ขาร ส้นิ กเิ ลส ตณั หา
จะพน้ ทุกข…์ นิพพาน
112
จบซะที
๑๑
รู้เดี๋ยวน้ี ละเด๋ียวน้ี วางหมดในปัจจุบัน
“อดีตเป็ นธรรมเมา อนาคตเป็ นธรรมเมา
รูป้ จั จุบนั ละในปจั จุบนั เท่าน้ัน
จงึ เป็ นธรรมะ”
ไม่ว่าจะเกิดความความอศั จรรยอ์ ย่างไรข้นึ ในใจ จะดเี ลศิ
ขนาดไหน จะเป็นอย่างไรก็ตาม จะตอ้ งไม่หลงไปกบั มนั ตอ้ ง
รูเ้ ท่าทนั ไดแ้ ต่วางอย่างเดยี ว เพราะสง่ิ ทเ่ี กิดข้นึ แลว้ ผ่านไปก็เป็น
อดตี ไปแลว้ เราตอ้ งรูล้ งปจั จุบนั และละวางลงในปจั จุบนั เท่านน้ั
รู้จิตปจั จุบนั ละจิตปจั จุบนั รู้จิตปจั จุบนั ปล่อยวางจิตปจั จุบนั
สกั แต่ว่า รู้จิตปจั จุบนั ส้นิ ผูเ้ สวย ส้นิ ผูย้ ดึ มนั่ ถอื มนั่ จิตปจั จุบนั
ก็จะส้นิ ตวั ตน ส้นิ มตี วั เราหลงไปยึดถอื ส่งิ ต่างๆ ไม่มอี ศั จรรย์
อะไรหรอก วางน้ันแหละคืออศั จรรย์ ถา้ ไม่วางก็ไม่มีอะไร
อศั จรรย์
113
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
ไม่ใช่เพยี งแค่วางสภาวะ เราตอ้ งอ่านใจตวั เองใหอ้ อก ว่าใน
ปจั จุบนั น้ีเราปฏบิ ตั ิเพ่อื อะไร เราจะไปเอาอะไร อยากจะไดอ้ ะไร
แลว้ ยงั ไม่สมปรารถนา ตอ้ งวางความปรารถนาใหห้ มดส้ินไป
แมแ้ ต่ผูป้ รารถนาความพน้ ทุกข์ ปรารถนาพระนิพพาน แลว้ ไม่
ไดอ้ ย่างใจจะเป็นทุกขท์ ่สี ุด ตอ้ งวางความปรารถนาแมค้ วามสุข
พระพุทธเจา้ ร�ำพึงตอนตรสั รูเ้ ป็นพระพุทธเจา้ ว่า “เม่ือความ
ปรารถนาความสุข หรือความปรารถนาพระนิพพานหมดไป
ความทุกขก์ ็หมดไปพรอ้ ม”
เมอ่ื ก่อนหลวงตาโดนพ่อแม่ครูอาจารยเ์ รียกไปหา ท่านว่า
“หลวงตาพจิ ารณาดูใหด้ ีๆ กิเลสไม่มแี ลว้ ทำ� ไมจึงยงั ไม่บรรลุ
นิพพาน” หลวงตาก็คิดว่า แหม! เราก็เจ็บปวดตรงจุดน้ีอยู่แลว้
ท่านเหมอื นตอกยำ�้ เขา้ มา โอ้โหย! นำ�้ ตาจะร่วงเลย เพราะในใจ
ของเรามคี วามหมายอย่างเดียว คือมนั โหยหา มนั หิวนิพพาน
อย่างเดียว อย่างอ่ืนไม่ไดม้ ีความหมายเลย มาบวชก็สละมา
ทง้ั หมดแลว้ ท้งิ ตำ� แหน่ง เงนิ ทอง ท่ดี นิ ครอบครวั ความสะดวก
สบายทุกอย่างแลว้ เราก็ไม่รูว้ ่าความปรารถนานิพพานอนั น้ี
แหละทำ� ใหเ้ ราเป็นทุกขอ์ ย่างมาก แลว้ เหตุท่ีทำ� ใหเ้ ราไม่บรรลุ
พระนิพพานก็เพราะเหตนุ ้ีอกี นนั่ แหละ เราก็พจิ ารณายอ้ นกลบั ไป
กลบั มา ค่อยๆ วางมนั ลง แต่ก็ไม่ใช่วางง่ายๆ นะ เพราะอยาก
มานาน วนั ดคี ืนดมี นั ก็กระโดดข้นึ มาอกี อยากๆ…. ไปนงั่ สมาธิ
114
รู้เดี๋ยวนี ้ละเดี๋ยวนี ้วางหมดในปัจจบุ นั : จบซะที
ไปเดนิ จงกรมมากๆ เผ่อื จะนิพพานบา้ ง มารูต้ วั อกี ทมี นั ไม่ไดส้ ้นิ
จริงๆ น่ีนา มนั หลอกอยู่ในใจ ยงั มผี ูจ้ ะไปเอาอยู่ ของเหล่าน้ีตอ้ ง
เหน็ ดว้ ยตวั เองเป็นปจั จตั ตงั ไมม่ ใี ครไปช่วยกนั ไดจ้ รงิ ๆ สมอย่าง
ท่พี ่อแม่ครูอาจารยท์ ่านบอก เราตอ้ งเหน็ เองและเราก็ตอ้ งวางไป
วางไป วางแมค้ วามอยากไดค้ วามสุขหรอื นิพพานเสยี ถา้ ยอมวาง
เพอ่ื จะไปเอานิพพาน แสดงว่าวางไม่จริง วางจริงคือไม่มีผู้ไปเอา
ปฏิบตั ิมีแค่น้ีแหละ การปฏิบตั ิท่ีดีท่ีสุด คือส้ินผูจ้ ะเอา
คือไม่มีการกระท�ำอะไรทางใจเพ่อื จะไปเอาอะไรเลย ตอ้ งอ่าน
ใจตนเองใหข้ าดทุกขณะปจั จุบนั
ไม่ใช่ว่าไม่ทำ� อะไรแลว้ ยดึ ทุกอย่าง อย่างน้ีก็ไม่ใช่ แต่ท่ถี ูก
คือไม่กระทำ� อะไรทางใจเพราะไม่มผี ู้ยดึ หรอื ไม่มผี ูจ้ ะไปเอาอะไร
ดงั คำ� สวดมนตท์ ่สี วดกนั ประจำ� ท่วี ่า
ภารา หะเวปญั จกั ขนั ธา
ขนั ธท์ งั้ หา้ เป็นของหนกั เนอ้
ภาระหาโร จะ ปุคคะโล
บุคคลทงั้ หลายแบกขนั ธห์ า้ ยดึ ถอื ขนั ธห์ า้
เป็นของหนกั ไป
ภาราทานัง ทุกขงั โลเก
การแบกขนั ธห์ า้ การยดึ ถอื ขนั ธห์ า้ เป็นทุกข์ในโลก
115
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
ภาระนิกเขปะนัง สุขงั
การปล่อยวางขนั ธห์ า้ เสยี ได้ เป็นความสุข
นิกขิปิ ตวา คะรุง ภารงั
ครนั้ ปล่อยวางขนั ธห์ า้ ไดแ้ ลว้
อญั ญงั ภารงั อะนาทิยะ
ไม่ยดึ ถอื อย่างอ่นื มาเป็นภาระหนกั อกี
คือส้นิ ผูจ้ ะเอา….
สะมูลงั ตณั หงั อพั พฬุ หะ
ก็เป็นผู้ร้อื ถอนตณั หา ซง่ึ เป็นตน้ เหตใุ หม้ กี ารเกดิ ทกุ ข์
และเกิดการเวยี นว่ายตายเกิด เสยี ได้
นิจฉาโต ปะรินิพพโุ ตติ
ดบั ความอยาก ความปรารถนา ดบั เพลงิ กิเลส
และความทุกขส์ นิทไม่มสี ่วนเหลอื
116
จบซะที
๑๒
ย่ิงหาย่ิงตัน (ตัณหา)
เมอ่ื “ตณั หา” ดบั จะเป็นเหตุใหอ้ ุปาทาน ภพ ชาติ ชรา
มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนสั อุปายาสดบั หมด คือความ
ทุกข์ โศกเศรา้ เสยี ใจ คบั แคน้ ใจ และความเวยี นว่ายตายเกิด
ดบั พรอ้ ม เพราะเหตุตณั หาดบั ตณั หาก็เกิดจาก “อวิชชา” คือ
หลงยึดมนั่ ถือมนั่ ว่าขนั ธห์ า้ เป็ นตวั ตนของเรา หรือตวั เราเป็ น
ขนั ธห์ า้ แลว้ เอาความหลงว่ามีตวั ตนของเราไปยึดถือ ท�ำให้
เกดิ กเิ ลส ตณั หา อปุ าทานต่อส่งิ ต่างๆ เพราะฉะน้ันถา้ อวิชชาดบั
กิเลส ตณั หาก็จะดบั เพราะส้ินผูย้ ึดถือ หรือไม่มีความรูส้ กึ ว่า
มีตวั เราเขา้ ไปมีส่วนไดเ้ สยี
การด้ินรนคน้ หา ย่ิงหา ก็ย่ิงไม่เห็นเพราะ “การหา” คือ
กิเลส ตณั หา มาบงั ตา บงั ใจ บงั นิพพาน ย่ิงหาก็ย่ิงตนั เพราะ
117
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
มนั เป็ นตณั หา คือ หาตนั แค่เส้ยี ววนิ าทเี ดยี วท่เี ราไป “หา” นนั่
เป็นตณั หาแลว้ ตอ้ งมสี ติเห็นขณะจิตท่ีเร่ิมตน้ เอาตวั เราไปคิด
ไปปรุงแต่งแสดงกรยิ าอาการ “หา” ข้นึ มา พอเร่มิ หาใหม้ สี ติ ปญั ญา
รูเ้ ท่าทนั ทนั ที ตณั หาก็ดบั อุปาทาน ภพ ชาติ…ทุกขก์ ็ดบั
ในการปฏบิ ตั ิธรรมอะไรท่คี ิดว่า “ใช่แลว้ … ใช่แลว้ …” เช่น
ความเบาสบายหรือความว่างน้ีใช่เลย อนั นนั้ กำ� ลงั ติดอยู่ คือ
ติดสบาย ติดว่าง การท่เี ราจะไปพยายามดบั อาการต่างๆ ท่ที ำ� ให้
ไม่สบายหรืออาการจุ๊กจิก๊ ๆ ในหวั ใจเพ่ือใหเ้ ราสบายข้ึน นนั่
เป็นกิเลส ตณั หา เป็นเหตุใหเ้ กิดทุกข์
อาการท่ีไม่ถูกใจเป็ นทุกขเวทนา อาการท่ีถูกใจเป็ น
สุขเวทนา อาการท่ีเป็นกลางๆ เป็นอทุกขมสุขเวทนา มนั คือ
“ขนั ธ์หา้ ” เป็นอนิจจงั มีความไม่เท่ียง เป็นทุกขงั คือเป็นทุกข์
ทนอยู่สภาพเดมิ ไม่ได้ เป็นอนตั ตาไม่ใช่ตวั ตน ไม่ใช่เรา ตวั เรา
หรือตวั ตนของเรา ดงั นน้ั จะใหม้ แี ต่อาการท่ีถูกใจคือสุขเวทนา
เพยี งอย่างเดยี วไม่ได้ และยงั ไม่ตายจะดบั อาการท่ไี ม่ชอบใจให้
หายขาดก็ไม่ได้ เราไปหลงเขา้ ใจผิดว่า ถา้ อาการท่ีไม่ชอบใจใน
ใจเราดบั หมด เราจะสบาย เราจะว่าง เรามีตวั ตนของเราไปติด
สบาย ติดว่างแลว้ ไปผลกั ไสอาการท่ีไม่สบาย อย่างน้ีเป็ นอวิชชา
กิเลส ตณั หา… และทุกข์
118
ยิ่งหาย่ิงตนั (ตณั หา) : จบซะที
อะไรท่เี กิดเองปล่อยมนั เดยี๋ วมนั ก็ดบั เอง สมดงั ท่วี ่า
“ยงั กิญจิ สะมทุ ะยะธมั มงั สพั พนั ตงั นิโรธะธมั มนั ติ”
“ส่งิ ใดส่งิ หน่ึงเกิดข้นึ มาเป็นธรรมดา ส่งิ ทง้ั หมดนน้ั
ย่อมดบั ไปเป็นธรรมดา”
หรือปล่อยใหอ้ าการต่างๆ เขาแสดงหรือเกิดข้ึนมาเอง
แลว้ ดบั ไปเอง โดยไม่มคี วามรูส้ กึ ว่ามตี วั เราเขา้ ไปเสวย เขา้ ไป
มสี ่วนไดเ้ สยี หรือเขา้ ไปยดึ ถอื อาการเหล่านนั้
ถา้ มีตวั เราไปเร่ิมลงมือกระทำ� อะไรภายในใจข้ึนมาก่อน
โดยท่ีไม่ใช่ว่าจิตเขาคิดหรือแสดงกริยาอาการต่างๆ ข้นึ มาเอง
แลว้ ดบั ไปเอง จะเป็นอวชิ ชาหมด ยกเวน้ แต่ตง้ั ใจจะคดิ เร่อื งอะไร
จบแลว้ ก็วางไป ไม่ใช่มแี ต่ตง้ั ใจคิดตลอดเวลาตลอดชีวติ โดย
ไม่หยุดพกั เสยี บา้ ง อย่างน้ีก็มแี ต่ความทุกข์ ความเครียดสะสม
แต่ท่ีบอกว่าหมดเร่ืองตง้ั ใจคิดแลว้ ก็ไปดูหนงั ฟงั เพลง เล่น
โทรศพั ทม์ อื ถอื ด่มื เหลา้ เล่นการพนนั สงั สรรคร์ ่ืนเริง แลว้ บอก
ว่าหยุดตงั้ ใจคิดเร่ืองการงาน แลว้ ไปพกั ผ่อนใหห้ ายทุกข์ หาย
เครยี ด อย่างน้ีมนั สบายบนกองทกุ ข์ ไมไ่ ดท้ ำ� ใหพ้ น้ ทกุ ขจ์ รงิ ยงั จะ
ตอ้ งทุกขก์ บั ความแก่ เจ็บ ตาย ความพลดั พรากจากส่ิงท่ีรกั
ความไม่สมหวงั ไม่สมปรารถนา ความกงั วลใจ ความไม่สบาย
กายไม่สบายใจ ความประสบกบั ส่งิ ท่ไี ม่เป็นท่รี กั ท่พี อใจ ซ่งึ ลว้ น
119
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
แต่เป็นทุกข์ แต่ทุกขแ์ ลว้ ทุกขอ์ ีกไม่รูจ้ กั เข็ดหลาบ แลว้ ก็เอา
อย่างอ่นื มากลบทุกข์ไดเ้ ป็นคราวๆ ในท่สี ุดก็หนีความทุกขอ์ ย่าง
แสนสาหสั ไม่ได้ คือความแก่ ความเจ็บไข้ไดป้ ่วยทุกขท์ รมานท่ี
โรงพยาบาล ความกลวั ตาย มฉิ ะนนั้ ก็ตอ้ งทุกข์ใจอย่างท่สี ุดเมอ่ื
คนท่รี กั จะตายจากไป หรือตอ้ งพลดั พรากไป ไม่มใี ครหลกี หนี
พน้ ไม่ว่าจะรำ�่ รวยปานใดก็ตอ้ งจบลงอย่างน้ี ทง้ั หมดท่มี อี ยู่ไม่
อาจจะเอาไปได้มแี ต่บญุ กบั บาปทต่ี ดิ จติ ทย่ี ดึ ถอื ไปเท่านน้ั หลาย
คนท่แี พทยบ์ อกว่าคุณเป็นมะเร็งระยะสุดทา้ ย จะอยู่ไดไ้ ม่ก่ีวนั
จะทุกขม์ ากจนสติแตก และมใิ ช่ตายแลว้ จะพน้ ทุกขน์ ะ ถา้ ยงั
ยึดถืออยู่ วญิ ญาณท่ีออกจากร่างไม่ดบั ก็จะแบกทุกข์ไปดว้ ย
จนกว่าจะไปเกดิ ในร่างใหม่ ส่วนใหญ่จะไปเกดิ เป็นสตั วเ์ ดรจั ฉาน
เปรต อสุรกาย สตั วน์ รก เพราะขณะท่มี ชี ีวติ อยู่มแี ต่ปล่อยใจไป
ตามกิเลส ตณั หาแทบทงั้ นน้ั ก็จะย่งิ ทุกข์ในร่างใหม่มากกว่าเดมิ
ตอ้ งเพียรปฏิบตั ิตามค�ำสอนของพระพุทธเจา้ เพ่ือให้
หลุดพน้ จากความหลงยึดมนั่ ถือมนั่ ในร่างกายและในจิต ซ่ึง
เป็ นธรรมชาติปรุงแต่งหรือเรียกว่าขนั ธห์ า้ ไดแ้ ก่ รูป เวทนา
สญั ญา สงั ขาร และวญิ ญาณ โดยตอ้ งมสี ติ ปญั ญาใหเ้ หน็ ตาม
ความเป็นจริงว่า ขนั ธห์ า้ เป็นส่งิ ผสมปรุงแต่งจากธาตุต่างๆ คือ
ธาตุดิน ธาตุนำ�้ ธาตุลม ธาตุไฟ และธาตุรู ้ เป็นของไม่เท่ียง
120
ยิ่งหายิ่งตนั (ตณั หา) : จบซะที
เกิดข้นึ แลว้ ก็ดบั ไป เป็นทุกข์ ทนอยู่สภาพเดมิ ไม่ได้ ตอ้ งแก่เจ็บ
ตายเน่าเป่ือยผุพงั กลบั ไปเป็นธาตุต่างๆ ตามเดิม ไม่ใช่ตวั ตน
คงท่ี จึงไม่ใช่เรา ตวั เรา หรือตวั ตนของเรา ดงั นน้ั อย่าไปหลง
ยึดมนั่ ถือเอาขนั ธห์ า้ ซ่ึงเป็นสงั ขารหรือส่ิงปรุงแต่งมาเป็นตวั เรา
หรือตวั ตนของเรา
เมอ่ื ส้นิ หลงยดึ มนั่ ถอื มนั่ ก็จะพบว่าในตวั ของเรามี “ใจหรือ
จติ เดิมแท”้ ซง่ึ เป็นธาตรุ ู้ซง่ึ เป็นธรรมชาตไิ ม่ปรุงแต่ง เป็นวสิ งั ขาร
หรืออสงั ขตธาตุ เป็นความว่างเหมอื นกบั ความว่างของธรรมชาติ
หรือจกั รวาล สาเหตุท่เี ราไม่พบใจหรือธาตุรูท้ ่ีว่างเปล่า ก็เพราะ
ยึดขนั ธ์ ขนั ธจ์ งึ บงั ธรรม
ดงั นนั้ ตอ้ งหยุดคิด หยุดปรุงแต่ง หยุดด้นิ รนคน้ หา เพราะ
เท่ากบั ยึดถือขนั ธ์หา้ เป็นตวั ตนของเรา แลว้ เอาตวั เราไปคิด
ไปปรุงแต่ง จึงเป็นอวชิ ชา กิเลส ตณั หา อุปาทาน…เป็นทุกข์
จึงตอ้ งใหม้ ีสติในทุกขณะท่ีไม่มีความจ�ำเป็ นตอ้ งตง้ั ใจ
คิดอะไร แลว้ ขณะจิตน้ันอย่ามีตวั เราคิดหรือปรุงแต่งแสดง
อาการใดข้ึนมาก่อน โดยปล่อยให้จิตเขาคิดหรือแสดงอาการ
ข้ึนมาก่อน แลว้ ดบั ไปของเขาเอง หรือเกิดเองดบั เอง... เกิดเอง
ดบั เอง... เกดิ เองดบั เอง... โดยไม่มีตวั เราเขา้ ไปยดึ ถอื กจ็ ะพบใจ
ท่ีว่างเปล่าจากความปรุงแต่ง หรือส้นิ สงั ขารก็มีธรรม
121
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
สงั เกตใหด้ ๆี ถา้ ขณะจติ ปจั จบุ นั ปรากฏกริยาอาการเร่ิมตน้
เขา้ ไปดูจิต หรือพยายามจะไปทำ� อะไรเพ่อื ใหเ้ ป็นอะไร หรือจะ
พยายามปล่อยวาง ตอ้ งรูเ้ ท่าทนั ปล่อยวางผูป้ ล่อยวาง ก็เท่ากบั
ปล่อยวางตวั เรา ถา้ ขณะจิตใดมตี วั เราเร่ิมตน้ คิดหรือปรุงแต่ง
จะทำ� อะไร ก็ตอ้ งมสี ติ ปญั ญาวางไปตลอดเวลา จนขณะจิตใด
ท่เี หน็ ว่า จิตเขาเร่ิมตน้ คิดหรือปรุงแต่งข้นึ มาเอง โดยไม่มตี วั เรา
เป็นผูเ้ ร่ิมตน้ คิดหรือแสดงกริยาอาการใดข้ึนมาก่อน คงมีแต่
จติ คิดเอง ปรุงเกิดข้นึ มาเอง แลว้ ดบั ไปเอง หรอื เกิดเอง... ดบั เอง
เกดิ เอง... ดบั เอง จงึ จะพบ “ใจ” ซง่ึ เป็นธาตรุ ูท้ ว่ี า่ งเปลา่ ไมม่ กี รยิ า
อาการใดปรากฏเลย
แมแ้ ต่ว่ามคี วามรูส้ กึ ว่าตวั เราเขา้ ใจแลว้ รูแ้ จง้ แลว้ ก็ตอ้ ง
ปล่อยวางตวั เราท่ีเขา้ ใจไป ขณะจิตใดมีความรูส้ ึกว่ามีตวั เรา
เขา้ ไปเสวยอะไร หรือมตี วั เราเขา้ ไปมสี ่วนไดเ้ สยี แสดงว่ายงั หลง
ยดึ ถอื ขนั ธห์ า้ ว่าเป็นตวั ตนของเรา วางตวั เรานน้ั เสยี ความรูส้ กึ
ว่ามีตวั เรา หรือยึดถือส่ิงใดว่าเป็ นของเราไดน้ ้ัน ก็เพราะมี
ตวั เราเร่ิมตน้ คิดหรือปรุงแต่งข้ึนมา แต่ถา้ เห็นจิตเขาคิดหรือ
แสดงกรยิ าข้ึนมาเอง แลว้ ดบั ไปเอง เกดิ เอง...ดบั เอง กจ็ ะไม่มีตวั
เราเกิดข้ึนมาในความรูส้ กึ จะมีแต่จติ ปรุงแต่งเกิดเอง...ดบั เอง
เกิดเอง...ดบั เอง ในใจท่ีว่างจากอาการปรุงแต่ง
122
ย่ิงหายิ่งตนั (ตณั หา) : จบซะที
ในความรูส้ กึ เป็นตวั เรา มนั หลงเอาขนั ธห์ า้ มาคิดปรุงแต่ง
ข้ึนมา ถา้ ไม่เอาขนั ธ์หา้ มาปรุงแต่งมนั จะเอาอะไรไปปรุงแต่ง
ขนั ธห์ า้ ไม่ใช่ปญั หา ปญั หาอยู่ตรงท่ีหลงยึดถือขนั ธห์ า้ มาเป็ น
ตวั เรา แลว้ กห็ ลงวา่ มตี วั เรายดึ ถอื อะไร หรอื จะไปเอาอะไร มตี วั เรา
พยายามจะทำ� อะไรเพอ่ื ใหเ้ ป็นอะไร หรือพยายามไปจดั การอะไร
ไม่หลงยึดถือขนั ธห์ า้ ว่าเป็ นตวั ตนของเราซะอย่างเดียว แมจ้ ะ
มีกริยาอาการอย่างไร ไม่ว่าจะถูกใจหรือไม่ถูกใจ เป็ นกศุ ลหรือ
อกุศลก็ตามก็เป็ นเพียงขนั ธห์ า้ ซ่ึงเป็ นธรรมชาติฝ่ ายปรุงแต่ง
ธรรมดา ไม่ไดเ้ ป็ นอวิชชา จงึ ไม่เป็ นกิเลส ตณั หา อปุ าทาน…
และทุกข์
ความคาดหวงั ความปรารถนานัน่ ก็เป็ นกิเลส ตณั หา
วางใหห้ มด ถา้ ยงั มคี วามคาดหวงั ความปรารถนาแสดงวา่ ยงั หลง
ยดึ ถอื ขนั ธห์ า้ ว่าเป็นตวั ตนของเรา แลว้ จะเอาขนั ธห์ า้ ไปเอา ไปได้
ไปเป็นอะไร แมแ้ ต่จะไปเอาความสุขหรือนิพพาน ถา้ ส้ินหลง
ยึดถือขนั ธห์ า้ ว่าเป็นตวั ตนของเราเสียเท่านน้ั ทุกขณะปจั จุบนั
มแี ต่ขนั ธห์ า้ ท่ีปรุงแต่งตามปกติธรรมชาติ ไม่มตี วั เราจะไปเอา
อะไรเลย ไม่ยึดอะไร ไม่เป็นอะไรสกั อย่างเดียว ก็ว่างเปล่า
“อวชิ ชา” ก็ดบั กิเลส ตณั หา อุปาทาน… และทุกขจ์ ะดบั หมด
ดงั นนั้ วางใหห้ มดเลยทงั้ ผูท้ ่เี ขา้ ไปดูและส่งิ ท่ถี ูกดูถูกรู ้ เพราะถา้
ยงั มตี วั เราเขา้ ไปดูจติ ก็ยงั เป็น “อวชิ ชา” ความทุกข์ กิเลส ตณั หา
123
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
อยู่ตรงน้ีแหละ วางแลว้ เน่ีย อวชิ ชา กิเลส ตณั หา อุปาทาน ภพ
ชาติ และทุกขก์ ็ดบั เดยี๋ วน้ี
ถา้ วางแลว้ ว่าง เบาสบาย ก็จะมอี ีกตวั มาเสพความว่าง
ความเบาสบาย แต่ไม่ไดไ้ ปทำ� ลายความว่าง ความเบาสบายนะ
แค่รูท้ นั ว่ายงั หลงยึดถือขนั ธ์หา้ ว่าเป็นตวั ตนของเรา แลว้ คิด
ปรุงแต่งเอาตวั เราไปยดึ หรือไปเสพความว่าง ความเบาสบาย
ตอ้ งมี “สติ ปญั ญา” รูเ้ ท่าทนั ขณะจิตท่ีหลงเอาตวั เรา
ไปเร่ิมตน้ คิดหรือปรุงแต่งแสดงกริยาอาการข้ึนมา โดยปล่อย
ใหจ้ ติ เขาคิดหรือแสดงอาการข้ึนมาเอง แลว้ ดบั ไปเอง เกิดเอง
ดบั เอง… เห็นอย่างน้ีจนส้ินหลงเอาตวั เราไปคิด ไปปรุงแต่ง
ข้ึนมาเอง ก็จะมีแต่จิตเกิดดบั ในใจท่ีไม่ปรุงแต่ง “อวิชชา”
ก็ดบั กิเลส ตณั หา อปุ าทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ และทุกข์
ก็ดบั พรอ้ ม
124
จบซะที
๑๓
มีตัวเราไปเอา
เราเคยถามตวั เองไหมว่า “เราปฏิบตั ิธรรมเพ่ืออะไร”
หลายๆ คนมกั เขา้ ใจคำ� ว่าปฏบิ ตั ิธรรมผดิ ตอนแรกก็ยงั ดๆี อยู่
พอเร่ิมตงั้ ใจปฏบิ ตั ิ ก็เร่ิมตง้ั ใจตง้ั เป้ าหมายว่าจะไปเอาอะไรแลว้
หลายๆ คนมกั จะเอาตวั เราไปหา ไปเหน็ ไปคน้ ไปพยายามด้นิ รน
เอาตวั เราถลำ� เขา้ ไปเป็นกิเลส ทงั้ มีตวั เราจะไปเอานิพพาน
ไปเอาแต่ความสุข อย่างนน้ั เป็นกิเลสก่อนแลว้ ไม่เป็นนิพพาน
หรอก “นิพพาน” คือส้นิ กิเลส มนั ตรงขา้ มกนั
ถงึ แมเ้ ราจะไม่ไดป้ ฏบิ ตั ิในรูปแบบ ในท่านงั่ สมาธิหรือ
เดนิ จงกรม แต่ตอ้ งมี “สติ” อยู่ตลอดเวลา สติขาดไม่ไดเ้ พราะ
“สติขาด สมาธิขาด ปญั ญาขาด ธรรมขาด... เป็ นทุกข์
สติมี สมาธิมี ปญั ญามี ธรรมมี... ไม่ทุกข์
สติเป็ นมหาสติ เป็ นมหาสมาธิ เป็ นมหาปญั ญา
เป็ นพระนิพพาน... พน้ ทุกข์
125
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
ถา้ “สติ” มี สมาธิและปัญญาก็มีหมด ดงั นั้น “สติ”
หายไม่ได้ อย่างอ่นื หายได้
บางครง้ั ท่ีเราตง้ั ใจปฏิบตั ิในรูปแบบ นงั่ สมาธิหรือเดิน
จงกรม แต่กลบั ไม่มี “สติ” ถา้ ตง้ั ใจปฏิบตั ิขณะใดแลว้ เครียด
ทุกที หรือปวดหวั หรือหนักๆ แน่นๆ ทึบๆ ต้ือๆ ทุกที แสดงว่า
ไม่มีสติ ปญั ญา คือขาด “สติ ปญั ญา” หลงยดึ ถอื ขนั ธห์ า้ ว่าเป็น
ตวั ตนของเรา แลว้ ปรุงแต่งเอาตวั เราไปพยายามกระทำ� อะไรเพอ่ื
จะใหไ้ ดใ้ หเ้ ป็นอะไร อย่างน้ีเป็นกิเลสตณั หา เป็นทางตรงขา้ ม
นิพพาน จงึ ทำ� ใหเ้ป็นทกุ ข์ รูส้ กึ ตงึ มนึ ทบึ จกุ แน่น เครยี ด ปวดหวั
แต่ท่ีรูต้ วั ว่าหลงมีตวั เราไปตง้ั ใจทำ� อะไรเพ่อื จะเอาอะไร น้ีคือตวั
สติ ปญั ญา ใหป้ ล่อยวางการกระทำ� ทางใจเช่นน้ันไป ส่วนท่าทาง
ของร่างกายก็คงปฏบิ ตั ิต่อไปได้
สง่ิ ท่ตี อ้ งจดจำ� ไว้ใหด้ คี ือ เมอ่ื เราตง้ั ใจมสี ติหรือตงั้ ใจลงมอื
ปฏบิ ตั ิเพอ่ื ใหม้ สี ติ แต่ไม่รูเ้ ท่าทนั ว่ามตี วั เราจะไปเอาอะไร แมแ้ ต่
จะไปเอาใจน่ิง ใจสงบ ใจว่าง ก็เท่ากบั ไม่มสี ติ เพราะมผี ูจ้ ะเอา
เป็นกิเลสตรงขา้ มนิพพาน หรืออยากมสี ติ อยากมสี มาธิ อยาก
สงบ อยากมปี ญั ญา อยากส้นิ กิเลส อยากส้นิ ยดึ อยากใหใ้ จว่าง
อยากพน้ ทกุ ข์ อยากมแี ต่ความสุข อยากบรรลนุ ิพพาน เหลา่ น้ีเป็น
กเิ ลสทง้ั หมด เป็นทางตรงขา้ มนิพพาน เท่ากบั ไมม่ สี ติ เมอ่ื ไมม่ สี ติ
ก็ไม่มสี มาธิ ไม่มปี ญั ญา
126
มีตวั เราไปเอา : จบซะที
แมแ้ ต่การทำ� งานในชีวติ ประจำ� วนั เราก็ตอ้ งมสี ติตงั้ ท่ีใจ
ดูท่ใี จ รูท้ ่ใี จ สงั เกตท่ใี จ ละท่ใี จ ปล่อยวางท่ใี จตลอดเวลา จึงจะ
ไม่ขาดสติหลงส่งจติ ออกนอกไปสนใจอยู่กบั อารมณ์คือรูป เสยี ง
กลน่ิ รส สมั ผสั และธรรมารมณ์ซง่ึ คือสง่ิ ทถ่ี ูกรู ้และอาการทถ่ี ูกรู ้
ในปจั จุบนั นนั้ โดยมสี ติ ปญั ญาสงั เกตเห็นว่าทุกขณะกระทบ
ในปจั จุบนั จิตหรือวญิ ญาณขนั ธจ์ ะทำ� หนา้ ท่ีร่วมกบั เจตสิกคือ
เวทนา สญั ญา สงั ขาร แลว้ จะมคี วามรูส้ กึ ว่าตวั เราเป็นผูร้ ู ้ เป็นผู ้
คิดตรกึ ตรองเหมอื นพากษ์ (วพิ ากษ)์ หรอื พูดอยู่ในใจตลอดเวลา
ก็สกั แต่ว่ารู ้ สกั แต่ว่าเหน็ ตรงความรูส้ กึ ว่าตวั เราท่เี ป็นผูร้ ู ้ ผูค้ ิด
ผูต้ รึกตรอง ผูพ้ ูดหรือพากษอ์ ยู่ในใจนนั้ ตลอดเวลา ก็จะปล่อย
วางตวั เราเสยี ได้ ซ่งึ เหตุท่มี คี วามรูส้ กึ ว่าตวั เราเป็นผูร้ ู ้ ผูเ้ หน็ ผู ้
คิดตรึกตรอง พูด บ่น วพิ ากษ์ วจิ ารณ์อยู่ในใจนนั้ ก็เพราะหลง
ยดึ ถอื จิตหรือวญิ ญาณขนั ธว์ ่าเป็นตวั ตนของเรา
ดงั น้ัน ทุกขณะปจั จุบนั ท่ีมีการกระทบ ไม่ใหส้ นใจแต่ส่งิ
ท่ีถูกรูค้ ือ รูป เสยี ง กล่ิน รส สมั ผสั และธรรมารมณ์ ใหม้ ีสติ
ปญั ญาสงั เกตตรงท่ีมีความรูส้ ึกว่าตวั เราเป็ นผูร้ ู้ ผูค้ ิด ผูแ้ สดง
อาการต่างๆ โดยสกั แต่ว่ารูเ้ ท่าน้ัน ก็จะปล่อยวางความรูส้ ึกท่ี
เป็ นตวั เราเสียได้ แลว้ จะพบใจท่ีว่างเปล่าจากอาการ น่ีแหละ
เป็ น “วิธีปล่อยวางความรูส้ กึ ว่าเป็ นตวั เรา”
127
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
บางครงั้ เรามคี วามรูส้ กึ ว่าจิตมนั ว่าง โล่ง โปร่ง เบา สบาย
ก็ไม่ใหส้ นใจอาการทถ่ี ูกรูเ้ หลา่ นนั้ มฉิ ะนน้ั จะหลงส่งจติ ออกนอก
ซ่ึงเป็นสมุทยั คือเหตุท่ีทำ� ใหเ้ กิดทุกข์ แต่ใหย้ อ้ นถามตวั เองว่า
ใครท่ไี ปรูอ้ าการเหล่านนั้ ก็จะไดค้ ำ� ตอบว่าตวั เราเป็นคนรู ้ ก็ให้
สกั แต่ว่ารูท้ ่ีตวั เราท่ีคิดตรึกตรองเหมือนพากษห์ รือพูด หรือ
แสดงอาการต่างๆ ในใจตลอดเวลา แมใ้ นความว่างก็มตี วั เราคิด
ตรึกตรอง เหมอื นพูดหรือพากษอ์ ยู่ในความว่าง ซง่ึ เป็นธรรมชาติ
ของจิตหรือวญิ ญาณขนั ธท์ ่ีตอ้ งทำ� หนา้ ท่ีร่วมกบั เวทนา สญั ญา
สงั ขารทกุ ขณะทม่ี กี ารกระทบ ตวั คิดนึกตรกึ ตรองน่ีแหละเหมอื น
พวกสิบแปดมงกุฎ จะลวงใหเ้ ราหลงไปตามมนั และจะไม่ดบั
จนกว่าจะตาย
ดงั นน้ั ตอ้ งมสี ติ ปญั ญา ตงั้ ท่ใี จ ดูท่ใี จ รูท้ ่ใี จ สงั เกตท่ใี จ
ตลอดเวลา จะไดไ้ ม่หลงไปตามเขา หรือไม่หลงส่งจิตออกนอก
ถา้ ไมม่ สี ติ ปญั ญา สงั เกตเหน็ ตวั เราพดู หรอื พากษอ์ ยู่ในใจคนเดยี ว
ตลอดเวลา เราจะกลายไปเป็นคนคิดฟุ้งซ่าน ข้บี ่น ข้หี งดุ หงดิ
ข้รี ำ� คาญ ถา้ เป็นมากๆ อาจตอ้ งไปพบจิตแพทย์ จงึ ใหร้ ู้ ใหล้ ะ
ท่ีตวั เราท่ีพูด คิด ตรึกตรอง แสดงอาการต่างๆ ในใจ ก็จะพบ
“ใจ” ไม่ใช่ไปละหรือปล่อยวางอาการหรือส่งิ ท่ีถูกรู้
ดงั นน้ั ไม่ว่าภายในใจจะพูด หรือพากษ์ หรือคิดตรึกตรอง
หรือแสดงอาการอย่างไรก็ตาม ก็ช่างมนั ไม่มใี ครไปเสวย หรือไป
128
มีตวั เราไปเอา : จบซะที
รองรบั ไปยดึ ถอื มนั ก็ดบั ของมนั เอง ตวั รู ้ ตวั จำ� ได้ ตวั เขา้ ใจก็
เป็นตวั สงั ขารในขนั ธห์ า้ อย่าไปหลงยดึ ถอื ว่าตวั เราเป็นผูร้ ู ้ผูเ้ หน็
ผูเ้ ขา้ ใจ ตอ้ งวางไปใหห้ มด มนั จะเป็นอย่างไรอย่าไปยุ่งกบั มนั
เพราะใจหรือจิตเดิมแทเ้ ป็นธาตุรูท้ ่ีไม่มปี ฏิกิริยาใดๆ จะไปยุ่ง
วุ่นวายกบั ใครไม่ได้ปล่อยใหต้ วั สงั ขารคิดนึก ตรกึ ตรองอยู่ในใจ
เพราะมนั เป็ นธรรมชาติปรุงแต่ง ก็สกั แต่ว่ารู้ หรือปล่อยวางไป
ใหห้ มด มนั ก็จะนึกคิดหรือปรุงแต่งอยู่ในใจท่ีว่างเปล่า แต่ไม่ใช่
หลงเอาตวั เราพยายามไปดู ไปรู ้ไปเหน็ ไปแยกแยะเพอ่ื จะไปเอา
อะไร ถา้ ยงั มผี ูไ้ ปรู ้ คอยตรวจสอบอยู่อย่างนน้ั เลยกลายเป็นมี
ตวั เราหลงไปกระทำ� เพอ่ื จะไปเอาอะไร ก็เป็นกิเลสตณั หาเป็นทาง
ตรงขา้ มนิพพาน แลว้ จะพน้ ทุกขไ์ ดอ้ ย่างไร
ตอ้ งเห็นว่าผูท้ ่ีไปดูไปรูเ้ ป็ นสงั ขารปรุงแต่ง แต่ใจหรือ
จติ เดิมแทเ้ ป็ นวิสงั ขารไม่อาจปรุงแต่งได้ ไม่มกี ริยาอาการใดๆ
ไม่มตี วั ตน ไม่มรี ูปร่าง ไม่มอี ะไรเลยซกั อย่างเดยี ว แต่เป็นความรู ้
ว่าส้นิ กิเลส ส้นิ ผูย้ ดึ มนั่ ถอื มนั่ ทุกอย่างท่มี ที ่ปี รากฏข้นึ มา ลว้ น
เกิดข้นึ แลว้ ดบั ไป ไม่เท่ยี ง แต่ “ใจ” ไม่มอี ะไรเกิดดบั เลย มแี ต่
ความรูท้ ่สี ้นิ กิเลส พน้ ทุกข์ นิพพาน และมคี วามรูต้ ามบุญบารมที ่ี
สงั่ สมมา จงึ เรยี กวา่ “พทุ ธะ” ซง่ึ ความรูข้ องพระพทุ ธเจา้ กบั ความรู ้
ของพระอรหนั ตแ์ ต่ละองคก์ ็ไม่เท่ากนั เพราะสงั่ สมบุญบารมมี า
แตกต่างกนั ความรูอ้ นั น้ีเป็นอมตะ
129
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
ส่วนส่ิงใดท่ีเปล่ียนแปลงไดเ้ กิดดบั ไดเ้ ป็นของไม่เท่ียง
แสดงอาการต่างๆ ใหป้ รากฏได้ เช่น ร่างกาย เวทนา สญั ญา
สงั ขาร และวญิ ญาณ ไดแ้ ก่ ความรูส้ กึ ความจำ� ไดห้ มายรู ้นึก คิด
ตรึกตรอง อาการต่างๆ ซ่ึงเป็นอารมณ์ท่ีถูกรู ้ รวมทง้ั ผูร้ ูท้ ่ีคิด
ตรึกตรองปรุงแต่งอยู่ในใจ ก็เป็นขนั ธห์ า้ เป็นสง่ิ ปรุงแต่ง เกิดข้นึ
แลว้ ก็ตอ้ งดบั ไป ตอ้ งแก่ เจ็บ ตาย ดบั ไปหมดส้นิ ดงั น้ันจงึ ให้
ปล่อยวางขนั ธห์ า้ ซ่ึงเป็ นสงั ขารปรุงแต่งทง้ั หมด หรอื ใหพ้ จิ ารณา
อยู่เป็ นประจำ� ว่า ถา้ เราตายตอนน้ี ไดป้ ล่อยวางสงั ขารหรือขนั ธ์
หา้ หมดหรือยงั หรือส้ินหลงยึดถือขนั ธห์ า้ ว่าเป็ นตวั ตนของเรา
หรือยงั ปล่อยใหจ้ ิตคิดหรือปรุงแต่งตามธรรมชาติปกติของ
ขนั ธห์ า้ เกิดเอง...ดบั เอง เกิดเอง...ดบั เอง ไม่มผี ูย้ ึดถอื หรือ
ส้นิ ผูเ้ สวย ก็จะส้นิ กิเลส พน้ ทุกข์ นิพพาน
130
จบซะที
๑๔
รักษาสติ ปล่อยวางผู้รู้
ผูป้ ฏิบตั ิมกั มีค�ำถามว่า “เราจะปล่อยวางผูร้ ูอ้ ย่างไร?”
เมอ่ื เราไดอ้ ่านหรือฟงั คำ� สอนพ่อแม่ครูอาจารยท์ ่บี อกว่า “พบผูร้ ู้
ใหฆ้ ่าผูร้ ู้ หรือ ใหป้ ล่อยวางผูร้ ู้ จึงจะพบพระนิพพาน” แลว้
เขา้ ใจผดิ เลยท้งิ สติไปหมด เพราะไปเขา้ ใจว่าท้งิ ผู้รู้จึงจะไดพ้ บ
พระนิพพาน ก็เลยไม่รูอ้ ะไรเลย
มนั เป็นผู้รูค้ นละตวั กนั ตวั สติตอ้ งรู้ไว ้ ตวั สติปญั ญาเป็น
ขนั ธห์ า้ เราตอ้ งอาศยั “สติ” เป็นเรือขา้ มฟากไปนิพพานจะปล่อย
ไปหมดไม่ได้ พระพทุ ธเจา้ ตรสั ว่า ใหเ้ อาสติ สมาธิ ปญั ญาน้ีเป็น
เรือขา้ มฟาก เม่อื เรือขา้ มฟากไปถงึ ฝงั่ พระนิพพาน ไม่มใี ครไป
ทำ� ลายเรือ และไม่มใี ครแบกเรือไปดว้ ย ท่ใี ห้“ปล่อย” คือปล่อย
จติ หรอื วิญญาณขนั ธท์ ่ีมีความรูส้ กึ ว่าเราเป็ นผูร้ ู้ แต่น่ีเรายงั ไม่ถงึ
131
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
ฝงั่ ยงั ไม่เป็นนิพพาน แลว้ เราไปท้งิ สติกลางทาง เหมอื นสละเรือ
แลว้ โดดลงนำ�้ ก็เลยจมนำ�้ ตาย
วิญญาณขนั ธ์ตอ้ งรูท้ างทวารตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจ
ท่ีถามว่าใครรู ้ ก็เราน่ีแหละรู ้ เรารูน้ ้ีเป็นจิตหรือวิญญาณขนั ธ์
ซ่ึงจะไม่ปรากฏอาการอะไรใหเ้ ห็น เพราะธรรมชาติสรา้ งมา
ใหม้ ีหนา้ ท่ีรูแ้ ละไม่มีหนา้ ท่ีจะถูกรู ้ ครนั้ เราจะกลบั ดา้ นคือเรา
จะเอาขนั ธห์ า้ ทง้ั หมดยอ้ นไปหาวญิ ญาณขนั ธ์ ไปหาผูร้ ู ้ มนั หา
ไม่เจอหรอกเพราะว่ามนั กลบั ดา้ นกนั แต่ดว้ ยสติ ปญั ญาสามารถ
สงั เกตเห็นมนั ได้ เพราะวิญญาณขนั ธห์ รือจิตน้ีท�ำงานร่วมกบั
เจตสกิ คือเวทนา สญั ญา สงั ขาร เกิดพรอ้ มจติ ดบั พรอ้ มจติ คือ
เม่ือจิตหรือวญิ ญาณขนั ธ์ไปรูอ้ าการทางตา หู จมูก ล้นิ กาย
ใจ รูธ้ รรมารมณ์ ก็ตอ้ งมคี วามรูส้ กึ ว่าถูกใจ หรือไม่ถูกใจ หรือ
เป็นกลางๆ ซ่งึ เป็นเวทนา แลว้ จำ� ไดห้ มายรูว้ ่าอะไรเป็นอะไรซ่งึ
เป็นสญั ญา แลว้ คิดตรึกตรองยุกยกิ ๆ คลา้ ยๆ พูดอยู่คนเดยี ว
พากษ์ (วพิ ากษ)์ อยู่คนเดยี วในใจตลอดเวลา จะดบั เขาไม่ได้
วิธีปฏิบตั ิ ใหส้ ติตง้ั ท่ีใจ ดูท่ีใจ รูท้ ่ีใจ สงั เกตท่ีใจ ละท่ีใจ
ปล่อยวางท่ีใจทุกขณะท่ีมีการกระทบทางตา หู จมูก ล้นิ กาย ใจ
ในทุกขณะปจั จุบนั ใหส้ งั เกตดูวญิ ญาณขนั ธต์ รงมคี วามรูส้ กึ ว่า
ตวั เราขณะท่ีรูอ้ ะไรจะคิดตรึกตรองเหมือนกบั พากษ์ หรือพูด
หรอื มอี าการยุกยกิ ๆ... อยู่ในใจตลอดเวลา อย่าไปสนใจสง่ิ ท่ีถูกรู้
132
รักษาสติ ปลอ่ ยวางผ้รู ู้ : จบซะที
ปลอ่ ยวางหมด ตอ้ งสนใจสงั เกตท่ผี ูร้ ู้ ซ่ึงจะทง้ั รูแ้ ละคดิ ตรกึ ตรอง
หรือมีกริยาอาการต่างๆ ในทกุ ขณะจติ ท่ีกระทบในปจั จุบนั กแ็ ค่
สกั แต่ว่ารู้ จะไดไ้ ม่มผี ูห้ ลงตามไป และตอ้ งไม่หลงไปพยายาม
ดบั เขา เพราะจะดบั เขาไม่ไดเ้ น่ืองจากเขาเป็นขนั ธห์ า้ ซ่งึ เป็นชีวติ
ท่ีตอ้ งเห็นผูร้ ูท้ ่ีคิดตรึกตรองก็เพราะตอ้ งการใหป้ ล่อยวาง
ผูร้ ู้ ถา้ ไม่ปล่อยวางผูร้ ูจ้ ะปล่อยวางวิญญาณขนั ธร์ วมทง้ั เวทนา
สญั ญา สงั ขารท่ีเกิดพรอ้ มวิญญาณขนั ธแ์ ละดบั พรอ้ มวิญญาณ
ขนั ธไ์ ม่ได้ หรือจะละอปุ าทานขนั ธห์ า้ ไปสู่พระนิพพานไม่ได้
วญิ ญาณขนั ธน์ น้ั ธรรมชาติสรา้ งมาใหเ้ ป็นผูร้ ู ้ ท่เี รารูม้ นั ได้
เพราะมีความรูส้ ึกว่ามีตวั เราเป็นคนรู ้ และตวั เราเป็นคนพูด
เป็นคนคิด เป็นคนตรึกตรอง คือมนั ทงั้ รู ้ ทง้ั คิด ทงั้ มอี ารมณ์
มนั เลยตอ้ งละผูท้ ท่ี งั้ รู ้ทงั้ คดิ ทง้ั มอี ารมณ์ ละตวั น้ีลงไปเลย ละมนั
ทงั้ ตวั ปลอ่ ยวางมนั ทงั้ ตวั ตลอดเวลา ปลอ่ ยมนั ไปทง้ั ยวงเลย เหน็
หมดรูห้ มด ปล่อยวางหมดทง้ั อารมณ์ท่ีถูกรูแ้ ละผูร้ ู้ ปล่อยวาง
หมดตลอดเวลา ก็ปล่อยวางอุปาทานขนั ธห์ า้ ไปไดห้ มดส้นิ ก็จะ
บรรลุพระนิพพาน
ทุกขณะปจั จุบนั ถา้ ไม่ไปสนใจส่ิงท่ีถูกรู ้ โดยสงั เกตแต่
ตวั เราผู้ไปรูต้ ลอดเวลา เราก็จะเห็นวญิ ญาณขนั ธท์ ่พี ูดไดบ้ ่นได้
เหมือนภายในร่างกายมีตวั เราท่ีเป็ นทงั้ ผูร้ ู ้ ผูค้ ิดตรึกตรอง
133
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
ผูแ้ สดงกริยาอาการต่างๆ ยุกยิก ยุกยิก ยุกยิก… ตลอดเวลา
เราไม่ไดม้ องเห็นมนั จริงๆ หรอก แต่จะรูส้ ึกว่าตวั เราน้ีเป็นผูร้ ู ้
ตวั เราเป็นผูค้ ดิ ตวั เราเป็นผูร้ ูส้ กึ ตวั เราเป็นผูบ้ น่ ในใจ ถา้ สกั แต่วา่
รูแ้ ต่ตวั เรา ตวั เรา ตวั เรา… ผูท้ งั้ รู ้ทง้ั คดิ ทง้ั แสดงกรยิ าอาการต่างๆ
ในทุกขณะท่ีมกี ารกระทบในปจั จุบนั ก็เท่ากบั ปล่อยวางตวั เรา
ไปเร่ือยๆ ทุกขณะปจั จุบนั ไม่ว่าจะไปรูอ้ ะไร จะรูส้ ึกว่าตวั เรา
เป็นผูร้ ู ้ ตวั เราเป็นผูค้ ิด ตวั เราเป็นผูร้ ูส้ กึ ตวั เราเป็นผูม้ อี ารมณ์
เราปล่อยวางตวั เราไปเร่ือยๆ ในท่สี ุดปล่อยวางไดห้ มด
ดงั นน้ั ความรูส้ กึ วา่ เป็น“ตวั เรา”ทกุ ครง้ั จงึ เป็นเพยี งจติ หรอื
วิญญาณขนั ธท์ ่ีท�ำงานร่วมกบั เวทนา สญั ญา และสงั ขารซ่ึงเป็ น
ขนั ธห์ า้ ตลอดเวลาเท่าน้ัน หาไดม้ ีตวั เราเป็ นตวั เป็ นตนจรงิ ๆ จงั ๆ
ส่วนตวั เราท่เี ห็นและจบั ตอ้ งไดน้ นั้ ก็เป็นเพยี งส่งิ ผสมปรุงแต่ง
ข้นึ มาจากธาตุ ขนั ธห์ า้ จึงเป็นอนิจจงั คือไม่เท่ยี ง เป็นทุกขงั คือ
เป็นทุกข์ ทนอยู่ในสภาพเดมิ ไม่ได้ เป็นอนตั ตา คือไม่มตี วั ตน
คงท่ี ไม่เป็นสาระแก่นสาร ไม่ใช่เป็นตวั เรา หรือไม่ใช่ตวั ตนของ
เรา หรือสมมตุ ิว่าเป็นเพยี งตวั เราชวั่ คราวเท่านนั้ จึงตอ้ งปล่อย
วางความหลงยดึ ถอื ขนั ธห์ า้ ว่าเป็นเรา เป็นตวั เรา เป็นตวั ตนของ
เรา หรือตวั เราเป็นขนั ธห์ า้ ไปเสยี “อวชิ ชา” คือความหลงยดึ ถอื
ก็จะดบั
134
รักษาสติ ปลอ่ ยวางผ้รู ู้ : จบซะที
ตวั ท่ีจะมาสงั เกตเห็นความจริงดงั กล่าวก็คือตวั “สติ
ปญั ญา” ตวั สมาธิสติปญั ญาในขนั ธ์หา้ น่ีแหละท่ีเรายืมมาใช้
เพราะฉะนนั้ เราท้ิงตวั สงั เกตไม่ได้ เราตอ้ งสงั เกตตลอดเวลา
ว่าท่รี ูส้ กึ ว่าตวั เราเป็นผูร้ ู ้ ผูค้ ิด ผูน้ ึก ผูต้ รึก ผูต้ รองต่ออารมณ์
ท่ถี ูกรูใ้ นทุกขณะปจั จุบนั จะรูไ้ ดก้ ็ตอ้ งอาศยั สติ สติน่ีแหละเป็ น
ตวั รู้ เพราะฉะน้ันตวั สติน้ีวางไม่ได้ ถา้ สติรูท้ ง้ั หมดเลยและ
ปล่อยวางท่ตี วั เราผูร้ ู ้ ผูค้ ิดตรึกตรองอยู่ในใจตลอดเวลา โดยสติ
ไม่ขาดวรรคขาดตอน เรียกมหาสติ มหาปญั ญา ก็จะปล่อยวาง
ตวั เราไดห้ มด
บางคนถามว่า รูต้ วั เราทไี รก็มแี ต่ว่างๆ ตลอดเลย ไม่ได้
คิดอะไรเลย แต่ไปรูแ้ บบกม้ หวั มองดูเขา้ ไปในร่างกายของตนเอง
เลยเหน็ แต่ความว่าง ความไม่มอี ะไร แต่ผูร้ ู ้ ผูค้ ิดจริงๆ อยู่ท่ผี ู ้
กม้ หวั ไปมองดูภายในร่างกาย คือเอาฝ่ายนามขนั ธท์ ่ที งั้ รู ้ ทงั้ คิด
ไดม้ าดูร่างกาย หรือเอาความคิดไปไวท้ ่สี มอง แลว้ เอาสมองกม้
หนา้ มาดูในตวั เอง ก็เลยเหน็ ร่างกายน้ีหรอื ช่องว่างภายในร่างกาย
แลว้ เขา้ ใจผดิ ว่าเป็นใจว่าง โดยเหน็ ความว่างนนั้ มนั ไม่คิด มนั ว่าง
มนั น่งิ มนั เฉยๆ แทจ้ รงิ ตวั ทด่ี ูและคดิ มนั อยู่ทจ่ี ติ หรอื วญิ ญาณขนั ธ์
ท่ไี ปดูร่างกาย ส่วนร่างกายมนั เป็นรูปขนั ธ์
135
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
สติ สมาธิ ปญั ญา เป็นสงั ขารขนั ธท์ ่เี อามาใชส้ งั เกตเหน็ จิต
หรือวญิ ญาณขนั ธ์ ท่ีทำ� งานร่วมกบั เวทนา สญั ญา และสงั ขาร
ตลอดเวลา จะดบั เขาก็ไม่ได้ เพราะเขาเป็นขนั ธห์ า้ หรือเป็นชีวติ
ตอ้ งอยู่กบั เขาจนกว่าจะตาย เพียงแต่มีสติปญั ญารูแ้ จง้ ถึงใจ
จนส้ินความหลงยึดถือว่า จิตหรือวิญญาณขนั ธร์ วมทง้ั เวทนา
สญั ญา สงั ขารทเ่ี กิดมาทำ� หนา้ ทพ่ี รอ้ มกนั แลว้ ดบั พรอ้ มกนั ตลอด
เวลานน้ั ไม่ใช่เป็นเรา เป็นตวั เรา หรือเป็นตวั ตนของเรา เป็นเพยี ง
ขนั ธห์ า้ หรือสงั ขารปรุงแต่งทไ่ี ม่เทย่ี ง เกิดข้นึ แลว้ ก็ตอ้ งดบั ไปเป็น
ธรรมดา ไม่อาจยดึ มนั่ ถอื มนั่ ได้
เม่ือปล่อยวางความหลงยึดถอื ขนั ธห์ า้ แลว้ ขนั ธห์ า้ กค็ งคิด
หรือแสดงกริยาอาการต่างๆ ไปตามปกติธรรมชาติของสงั ขาร
ฝ่ ายปรุงแต่ง ทง้ั ถูกใจหรือไม่ถูกใจ สุขหรือเป็ นทุกข์ กศุ ลหรือ
อกุศล ก็จะไม่มีความรูส้ ึกว่ามีตวั เราเขา้ ไปร่วมมีส่วนไดเ้ สีย
คือทง้ั ไม่หลงติดไปกบั เขาและไม่พยายามดบั เขา ก็จะไม่เป็ น
กิเลส ตณั หา ซ่ึงเป็ นเหตุใหเ้ กิดทุกข์ คงเป็ นแต่กริยาอาการ
ของขนั ธห์ า้ ตามปกติธรรมชาติ ก็จะพบธาตุรูท้ ่ีเป็ นความสงบ
ว่างจากความคิด ความปรุงแต่งใดๆ เรยี กว่า “ใจหรอื จติ เดิมแท”้
และเม่ือส้นิ หลงยึดถือขนั ธห์ า้ ว่าเป็ นตวั ตนของเราเสยี แลว้ ก็จะ
ไม่หลงเอาความรูส้ กึ ซ่ึงเป็ นขนั ธห์ า้ มาเป็ นตวั เรา แลว้ เอาตวั เรา
ไปยึดถือ “ใจหรือจติ เดิมแท”้ ท่ีเป็ นธาตุรู้ ก็จะเป็ นใจท่ีว่างเปล่า
136
รักษาสติ ปลอ่ ยวางผ้รู ู้ : จบซะที
เม่ือปล่อยวางอย่างอ่ืนหมดแลว้ ก็ตอ้ งอาศยั สติ สมาธิ
ปญั ญานัน่ แหละปล่อยวางตวั เอง ซ่ึงเป็ นผูป้ ล่อยวางเสียดว้ ย
เพราะสติ สมาธิ ปญั ญา ก็เป็ นขนั ธห์ า้ หรือเป็ นสงั ขารปรุงแต่ง
ท่ียืมมาใชเ้ ปรียบเหมือนเป็ นเรือท่ีใชข้ า้ มฟาก ครน้ั เม่ือปล่อย
วางอย่างอ่นื หมดแลว้ ก็ตอ้ งปล่อยวางตวั เอง คือไม่หลงยึดถือ
ว่าเราเป็ นผูร้ ูแ้ จง้ เราเป็ นผูป้ ล่อยวาง หรือผูป้ ล่อยวางเป็ นเรา
เป็ นตวั เรา หรือเป็ นตวั ตนของเรา
สรุปแลว้ สติ สมาธิ ปญั ญา ตอ้ งเอามาใชส้ งั เกต ดู รู้ เห็น
ปลอ่ ยวางจนถงึ จติ หรอื วญิ ญาณขนั ธใ์ นขนั ธห์ า้ ครน้ั ปลอ่ ยวางได้
จนถงึ วญิ ญาณขนั ธท์ ่ที ำ� หนา้ ท่รี ูร้ ูป เสยี ง กลน่ิ รส สมั ผสั และ
ธรรมารมณ์ไดแ้ ลว้ หรือไม่หลงยดึ ถอื ว่าวญิ ญาณขนั ธห์ รือผูร้ ูว้ ่า
เป็นตวั ตนของเราจรงิ ๆ จงั ๆ แลว้ ก็จะส้นิ หลงเอาตวั เราไปยึดถอื
ส่ิงท่ีถูกรูท้ ง้ั หมด เท่ากบั ปล่อยวางทง้ั ส่ิงท่ีถูกรูแ้ ละผูร้ ูไ้ ปดว้ ย
กจ็ ะพบ “ใจหรอื จติ เดมิ แท”้ ซง่ึ เป็นธาตรุ ู ้มคี ณุ สมบตั เิ ป็นความวา่ ง
เหมอื นกบั ความว่างของธรรมชาติหรือจกั รวาล
และเน่ืองจากส้ินความหลงยึดถือขนั ธ์หา้ ว่าเป็นตวั ตน
ของเราหรอื เป็นตวั เราเสยี แลว้ ก็ไมห่ ลงเอาความรูส้ กึ วา่ เป็นตวั เรา
ซ่ึงเป็นสงั ขารปรุงแต่งในขนั ธห์ า้ มายึดถือ “ใจหรือจิตเดิมแท”้
ดว้ ย แต่ก็ยงั เหลอื สติ สมาธิ ปญั ญาท่ยี มื ขนั ธห์ า้ มาใชส้ งั เกตให้
เหน็ ความจรงิ ดงั กลา่ ว จนสามารถปลอ่ ยวางวญิ ญาณขนั ธซ์ ่ึงเป็ น
137
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
ผูร้ ูแ้ ละสง่ิ ท่ถี กู รูไ้ ดแ้ ลว้ กต็ อ้ งปลอ่ ยวางสติ สมาธิ ปญั ญาเสยี ดว้ ย
แต่ความจริงถา้ รู้ซ้งึ แก่ใจมาตงั้ แต่แรกว่าสติ สมาธิ ปญั ญาเป็น
เพียงสงั ขาร ซ่ึงเป็นส่ิงปรุงแต่งในขนั ธห์ า้ ท่ียืมมาใชเ้ พ่ือความ
รูแ้ จง้ เพ่อื ความปล่อยวาง ก็จะไม่หลงยดึ มนั่ ถอื มนั่ ว่าสติ สมาธิ
ปญั ญาเป็นตวั เรา เป็นผูร้ ูแ้ จง้ เป็นผูร้ ู ้ เป็นผูเ้ ห็น เป็นผูเ้ ขา้ ใจ
หรือเป็นผูป้ ล่อยวาง
น่ีแหล่ะท่ีว่า “พบผูร้ ูใ้ หฆ้ ่าผูร้ ู้ หรือใหป้ ล่อยวางผูร้ ู”้ ก็
ส้ินความหลงยึดมนั่ ถือมนั่ ว่าเรามีตวั ตน หรือมีตวั ตนของเรา
เป็ นตวั เป็ นตนอยู่จริง เม่ือส้ินผูย้ ึดถือ ก็ส้ินกิเลส พน้ ทุกข์
นิพพาน
ดงั นน้ั “สติ” จึงเป็นตวั สำ� คญั ท่สี ุด จะขาดวรรคขาดตอน
เสยี มไิ ด้ เพราะ
“สติขาด สมาธิขาด ปญั ญาขาด ธรรมขาด... เป็ นทุกข์
สติมี สมาธิมี ปญั ญามี ธรรมมี... ไม่ทุกข์
สติเป็ นมหาสติ เป็ นมหาสมาธิ เป็ นมหาปญั ญา
เป็ นพระนิพพาน... พน้ ทุกข์
138
จบซะที
๑๕
รู้ทั้งสาม และการปล่อยวางตามล�ำดับ
“รู”้ มี ๓ รู ้
“รู”้ ตวั แรก คือ จติ หรือวิญญาณขนั ธ์ ซ่ึงเป็ นธรรมชาติ
ปรุงแต่งท่ีเกิดมารูอ้ ารมณ์ หรือรูอ้ ายตนะภายนอก ไดแ้ ก่ รูป
เสยี ง กลน่ิ รส สมั ผสั และธรรมารมณ์ ซ่งึ จิตหรือวญิ ญาณขนั ธ์
จะทำ� หนา้ ทร่ี ูแ้ บบปรมตั ถเ์ พยี งเส้ยี ววนิ าทเี ดยี ว คือยงั ไม่มเี วทนา
สญั ญา สงั ขาร ซ่งึ รวมเรียกว่าเจตสกิ มาปน แต่เมอ่ื รูแ้ ลว้ ก็ส่งต่อ
เวทนา สญั ญา สงั ขารทนั ที คือเกิดความถูกใจก็เป็นสุขเวทนา
ไม่ถูกใจก็เป็นทุกขเวทนา หรือเป็นกลางๆ ไม่ถงึ กบั ถูกใจหรือ
ไม่ถูกใจก็เป็นอทุกขมสุขเวทนาหรืออุเบกขาเวทนา แลว้ คิด
ตรึกตรอง ปรุงแต่ง ประมวลผล เหมอื นพูดหรือพากษ์ (วพิ ากษ)์
ในใจ หรือแสดงอาการต่างๆ ทำ� ท่า ทำ� ท่า... พยายาม พยายาม...
139
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
ซ่งึ เป็นเจตสกิ คือ เวทนา สญั ญา และสงั ขาร เป็นธรรมารมณ์
ท่ีถูกรู ้ แลว้ เกิดจิตหรือวิญญาณขนั ธ์ตวั ใหม่มารูธ้ รรมารมณ์
นนั้ แลว้ จิตหรือวญิ ญาณขนั ธต์ วั ใหม่ก็ทำ� งานร่วมกบั เจตสกิ จะ
เกิดเวทนา สญั ญา สงั ขารซ่งึ เป็นธรรมารมณ์ตวั ใหม่ แลว้ ก็เกิด
จิตหรือวญิ ญาณขนั ธต์ วั ใหม่มารูธ้ รรมารมณ์หรือเวทนา สญั ญา
สงั ขารตวั ก่อนหนา้ นนั้ แลว้ ส่งต่อเวทนา สญั ญา สงั ขารตวั ใหม่
แลว้ เกิดจิตหรือวญิ ญาณขนั ธต์ วั ใหม่มารูธ้ รรมารมณ์นนั้ แลว้
ส่งต่อเวทนา สญั ญา สงั ขารตวั ใหม่ อย่างน้ีเร่ือยไป ไม่จบส้นิ
จนกว่าจะตายไป
ดงั นนั้ ใหม้ สี ตติ งั้ ทใ่ี จ รูท้ ใ่ี จ สงั เกตทใ่ี จ ละทใ่ี จ ปลอ่ ยวางทใ่ี จ
อย่าไปสนใจอารมณ์ท่ีถูกรู ้ ใหส้ งั เกตเห็นแต่ตวั เราผูร้ ูน้ ่ีแหละ
ใครเป็นคนรู ้ ก็ตวั เราน่ีเป็นคนรู ้ เมอ่ื มนั รูอ้ ะไร มนั คิด ตรึกตรอง
ปรุงแต่ง พากษ์ พูดอยู่ในใจ ตวั เราท่ีเป็ นผูร้ ูน้ ้ี แลว้ คิด ตรกึ ตรอง
ปรุงแต่ง แทท้ ่จี รงิ เป็ นจติ หรอื วญิ ญาณขนั ธ์ ทำ� งานรว่ มกบั เจตสกิ
คอื เวทนา สญั ญา สงั ขาร ซง่ึ เป็นขนั ธห์ า้ แต่เมอ่ื “อวชิ ชา” ยงั มอี ยู่
ก็จะหลงยดึ ถอื ขนั ธห์ า้ เป็นเรา เป็นตวั เรา หรือเป็นตวั ตนของเรา
หรือตวั เราเป็นขนั ธ์หา้ โดยจะหลงรูส้ ึกว่าเราเป็นผูร้ ู ้ หรือผูร้ ู ้
เป็นตวั เรา แลว้ หลงเอาตวั เราไปหลงคิด หลงปรุงแต่ง หลงยดึ ถอื
ส่งิ ต่างๆ ดงั นนั้ ทุกขณะปจั จุบนั ในขณะท่จี ิตหรือวญิ ญาณขนั ธ์
เกดิ มารูอ้ ารมณใ์ ด อย่าไปสนใจอารมณท์ ถ่ี กู รู ้ใหส้ งั เกตแต่ตวั เรา
140
รู้ทงั้ สาม และการปลอ่ ยวางตามล�ำดบั : จบซะที
ผูร้ ูน้ ้ี รูต้ รงท่มี นั คิด ตรึกตรอง ปรุงแต่ง พากษ์ พูดไม่หยุดน่ี
แลว้ สกั แต่ว่ารูต้ วั เราน้ี หรือปล่อยวางตวั เราน้ี ถา้ สกั แต่ว่ารูห้ รือ
ปล่อยวางตวั เราน้ีจริงๆ แลว้ จะพบใจหรือจิตเดิมแทท้ ่วี ่างเปล่า
ซ่งึ เป็นธรรมชาติไม่ปรุงแต่ง
“รู”้ ตวั ท่ี ๒ คือ สติ สมาธิ ปญั ญา ซ่ึงเป็ นสงั ขารปรุงแต่ง
ในขนั ธห์ า้ แต่ยืมมาใชส้ งั เกตเห็นตวั เราดว้ ยความรูส้ กึ ตวั โดย
มสี ติ สมาธิ ปญั ญามาสงั เกตเหน็ ความจริงว่า ความรูส้ กึ ท่เี ป็น
ตวั เรานนั้ แทท้ ่จี ริงเป็นจิตหรือวญิ ญาณขนั ธ์ ไปรูอ้ ะไรทางตา หู
จมกู ล้นิ กาย ใจแลว้ จะตอ้ งทำ� งานร่วมกบั เจตสกิ คอื เวทนา สญั ญา
สงั ขารแลว้ เอามาคิด ตรกึ ตรอง ปรุงแต่ง พากษ์ พูด พมึ พำ� แสดง
อาการต่างๆ อยู่ในใจตลอดเวลา โดยสกั แต่ว่ารูแ้ ละปล่อยวาง
ตวั เราผูค้ ิดตรึกตรองหรือปรุงแต่ง ไม่หลงเอาตวั เราไปปล่อยวาง
อย่างอ่นื
ตวั ท่สี งั เกตเห็นตวั เราดว้ ยความรูส้ กึ ตวั ก็เป็นตวั รูอ้ ีกอนั
หน่งึ ซง่ึ เป็นสงั ขารในขนั ธห์ า้ ยมื เขามาใช้แต่ถา้ หลงยดึ ถอื วา่ ตวั เรา
เป็นผูร้ ู ้หรือหลงยดึ ถอื ว่าผูร้ ูส้ กึ ตวั เป็นเรา หรือพยายามใหต้ วั เรา
เป็นผูส้ กั แต่ว่ารู ้ หรือหลงยึดถอื ผูป้ ล่อยวางว่าเป็นตวั เรา หรือ
หลงเอาตวั เราไปปล่อยวางอย่างอ่ืน อย่างน้ีเท่ากบั ยึดถือสติ
สมาธิ ปญั ญา หรือยดึ ถอื สติ สมั ปชญั ญะซง่ึ เป็นขนั ธห์ า้ ว่าเป็นเรา
เป็นตวั เรา หรือเป็นตวั ตนของเรา หรือมตี วั ตนของเราในขนั ธห์ า้
141
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
ก็จะเป็น “อวชิ ชา” ตอ้ งเหน็ ตามความเป็นจรงิ ว่าสติ สมาธิ ปญั ญา
หรือสติ สมั ปชญั ญะเป็นสงั ขารปรุงแต่งในขนั ธห์ า้ เป็นอนิจจงั
ทกุ ขงั อนตั ตา เมอ่ื รูค้ วามจรงิ กส็ ้นิ ความหลงยดึ ถอื หรอื ปลอ่ ยวาง
ความหลงยดึ ถอื ว่าตวั เราเป็นผูร้ ู ้ เป็นผูม้ สี ติ สมาธิ ปญั ญา เป็น
ผูร้ ูส้ กึ ตวั แลว้ จะเหลอื แต่สกั แต่ว่ารู ้
“รู”้ ท่ี ๓ คือ พทุ ธะหรือวิญญาณธาตุ ซ่ึงเป็ นธรรมชาติท่ี
ไม่ปรุงแต่ง พุทธะแปลว่ารูพ้ น้ เพราะอวิชชาดบั รูต้ ่ืนจาก
ความหลง รูเ้ บิกบานเพราะไม่ยึดถือส่ิงใดใหเ้ ศรา้ หมองเป็น
ทุกข์ รูว้ ่าพน้ ทุกขเ์ พราะส้นิ หลงยดึ มนั่ ถอื มนั่ รูว้ ่าบรรลุนิพพาน
รูว้ ่าภพชาติจบแลว้ ชาติน้ีเป็นชาติสุดทา้ ย ใจเป็นความว่าง เป็น
มหาสุญญตา คือว่างเปล่าเหมือนความว่างของธรรมชาติหรือ
จกั รวาล เป็นมหาสุญญตาตลอดกาล ใจท่วี ่างเปล่าน้ีไม่เกิดดบั
ดบั ไม่ได้ ทำ� ลายไม่ได้ เป็นธาตุรู ้ วสิ งั ขาร หรืออสงั ขตธาตุ เป็น
พทุ ธะ มคี วามรูพ้ น้ ดว้ ยตวั ของมนั เอง
ตวั ท่ีมาช่วยใหพ้ บใจท่ีว่างเปล่าคือตวั สติ สมาธิ ปญั ญา
พอเป็นใจทว่ี า่ งเปลา่ แลว้ เป็นตวั รูพ้ น้ แลว้ ตวั สติ สมาธิ ปญั ญาทม่ี า
คอยสงั เกตช่วยไว ้ก็ไม่ตอ้ งมาช่วยสงั เกตอกี ต่อไป พระพทุ ธเจา้
ตรสั ว่า สติ สมาธิ ปญั ญา ซ่ึงเป็ นสงั ขารในขนั ธห์ า้ เป็ นเพียงแค่
อาศยั เป็ นเรือขา้ มฟากไปนิพพาน เมอ่ื อวชิ ชาดบั ก็ส้นิ ผูย้ ดึ ถอื
เมอ่ื ส้นิ ผูย้ ดึ ถอื กิเลส ตณั หา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ
142
รู้ทงั้ สาม และการปลอ่ ยวางตามล�ำดบั : จบซะที
และความทุกขก์ ็ดบั พรอ้ ม ตวั สติ สมาธิ ปญั ญาท่มี าคอยช่วย
สงั เกตไว้ก็ไม่ตอ้ งใชส้ งั เกตอีกแลว้ เหลอื แต่ใจท่เี ป็นธรรมชาติ
ไม่ปรุงแต่ง ซง่ึ มคี วามว่างดงั่ ความว่างของธรรมชาตหิ รือจกั รวาล
กบั ขนั ธห์ า้ ซ่งึ เป็นธรรมชาติปรุงแต่ง เกิดดบั ในความว่าง ขณะ
ยงั ไม่ตายก็เหลือแต่ตวั พูด ตวั พากษ์ พึมพำ� อยู่ในความว่าง
ไม่มีผูร้ ูส้ ึกว่ามีตวั ใจ หรือมีตวั เราไปเสวย หรือไปหลงยึดถือ
ขนั ธห์ า้ และส้นิ หลงยดึ ถอื ใจจะใหว้ ่าง
ในการปฏิบตั ิ ตอ้ งสงั เกตและปล่อยวางความหลงยึดถือ
ทง้ั หมด การปล่อยวางทงั้ ส่ิงท่ีถูกรูแ้ ละปล่อยวางผูร้ ูน้ ่ีน่ะ มนั
ปล่อยวาง ๓ คู่ คือ
คู่แรก คือปล่อยวางรูป เสียง กล่นิ รส สมั ผสั และ
ธรรมารมณ์ซ่งึ เป็นอายตนะภายนอกหรืออารมณ์ท่ีถูกรู้ กบั ผูร้ ู้
ซ่งึ เป็นจิตหรือวญิ ญาณขนั ธ ์
คู่ท่ี ๒ ปล่อยวางคู่แรกแลว้ ก็ปล่อยวางความหลงยึดถือ
สติ สมาธิ ปญั ญา หรือสติ สมั ปชญั ญะซง่ึ เป็นฝ่ายสงั เกตใหร้ ูเ้ หน็
ตามความเป็นจริงของขนั ธห์ า้ กบั ขนั ธห์ า้ ซ่งึ เป็นฝ่ายท่ถี ูกรูต้ าม
ความเป็นจริง
สติ สมาธิ ปญั ญา และสติ สมั ปชญั ญะเป็นสงั ขารในขนั ธห์ า้
ท่ยี มื มาใชร้ ูเ้ หน็ ตามความเป็นจริงของขนั ธห์ า้ หรือรูเ้ หน็ จิตหรือ
143
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
วญิ ญาณขนั ธท์ ่ที ำ� หนา้ ท่รี ่วมกบั เจตสกิ คือ เวทนา สญั ญา สงั ขาร
โดยไม่หลงยึดถอื ว่าเป็นตวั ตน เป็นเรา เป็นตวั เรา เป็นตวั ตน
ของเรา หรือมีตวั เราในขนั ธ์หา้ หรือหลงยึดถือว่าตวั เราเป็น
ผูร้ ูส้ กึ ตวั เป็นผูม้ คี วามรู ้ตวั เราเก่ง ตวั เรามคี วามรูม้ ากกว่าคนอ่นื
จะกลายเป็นคนหลงตนเอง เรียกว่าอีโก้ (ego) เม่ือส้ินหลง
ยดึ ถอื สติ สมาธิ ปญั ญา และสติ สมั ปชญั ญะก็จะเป็นแต่ความรู ้
ตามความเป็นจริงว่า ขนั ธห์ า้ รวมทง้ั สติ สมาธิ ปญั ญา และสติ
สมั ปชญั ญะไม่ใช่ตวั ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตวั เรา ไม่ใช่ตวั ตนของ
เรา หรือไม่มีตวั ตนของเราอยู่ในขนั ธห์ า้
ขนั ธห์ า้ เป็นเพยี งส่งิ ผสมปรุงแต่งจากธาตุทง้ั ส่แี ละธาตุรูท้ ่ี
ยงั มอี วชิ ชาผสมอยู่ และรูค้ วามจริงถึงใจว่าขนั ธห์ า้ เป็นอนิจจงั
ทกุ ขงั อนตั ตา คอื ไมเ่ ทย่ี ง เกดิ ข้นึ แลว้ ดบั ไป เป็นทกุ ข์ทนอยู่สภาพ
เดมิ ไม่ได้ เส่อื มไปสู่ความแก่ เจ็บตาย เน่าเป่ือยผุพงั สลายกลบั
ไปเป็นธาตุดนิ ธาตุนำ�้ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุรูท้ ่วี ่างเปล่าตามเดมิ
ไม่ใช่ตวั ตนคงท่ี จงึ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตวั เรา ไม่ใช่ตวั ตนของเรา หรือ
ไม่มตี วั เราในขนั ธห์ า้ เมอ่ื มสี ติ สมาธิ ปญั ญารูแ้ จง้ ในความจริง
ของขนั ธห์ า้ ใจก็ปล่อยวางความหลงยดึ มนั่ ถอื มนั่ ในขนั ธห์ า้ รวม
ทง้ั ไม่หลงยดึ มนั่ ถอื มนั่ สติ สมาธิ ปญั ญา และสติ สมั ปชญั ญะ
ซ่ึงเป็นสงั ขารในขนั ธ์หา้ อาศัยเอามารูเ้ ห็นตามความเป็นจริง
จนปล่อยวางความหลงยึดถือ และจะไม่หลงยึดถือจิตหรือ
144
รู้ทงั้ สาม และการปลอ่ ยวางตามล�ำดบั : จบซะที
วญิ ญาณขนั ธท์ ่ที ำ� งานร่วมกบั เจตสกิ คือ เวทนา สญั ญา สงั ขาร
ซ่งึ เป็นขนั ธห์ า้ ดว้ ย เมอ่ื ส้นิ หลงยดึ ถอื ขนั ธห์ า้ ก็ส้นิ ขนั ธบ์ งั ธรรม
แลว้ จะพบใจหรือจิตเดิมแทท้ ่ีเป็นธาตุรูท้ ่ีว่างเปล่า เหตุท่ีพบใจ
ว่างเปลา่ ก็เพราะปลอ่ ยวางความหลงยดึ ถอื จติ หรอื วญิ ญาณขนั ธ์
กับปล่อยวางความหลงยึดถือสติ สมาธิ ปัญญา และสติ
สมั ปชญั ญะว่าเป็นเรา เป็นตวั เรา หรือเป็นตวั ตนของเรา หรือมี
ตวั เราอยู่ในขนั ธห์ า้
คูท่ ่ี ๓ ปลอ่ ยวางความหลงยดึ ถอื ใจท่เี ป็นธาตรุ ูท้ ่วี า่ งเปลา่ ซง่ึ
เป็นธรรมชาตไิ มป่ รุงแต่ง ไมม่ ตี วั ตน ไมม่ รี ูปพรรณสณั ฐานใด เป็น
ความว่างดุจความว่างของธรรมชาติหรือจกั รวาล กบั ปล่อยวาง
ความหลงยึดถอื ขนั ธห์ า้ ซ่งึ เป็นธรรมชาติปรุงแต่งเกิดดบั ในใจ
ท่วี ่างเปล่า
การจะส้ินความหลงยึดถอื ใจหรือธาตุรูท้ ่ีว่างเปล่า ก็ตอ้ ง
มสี ติ สมาธิ ปญั ญาเขา้ ใจถงึ ใจว่า ขนั ธห์ า้ ก็ไม่ใช่นิพพาน เป็น
เพยี งธรรมชาตฝิ ่ายปรุงแต่ง ส่วนใจหรอื จติ เดมิ แท้ก็ไมใ่ ช่นิพพาน
เป็นเพยี งธาตุรูท้ ่ีว่างเปล่า หรือเป็นธรรมชาติไม่ปรุงแต่ง ตอ้ ง
ปล่อยวางหรือส้นิ หลงยึดถือขนั ธห์ า้ และปล่อยวางหรือส้นิ หลง
ยึดถือใจท่ีว่างเปล่า จึงจะพน้ ทุกขเ์ รียกว่านิพพาน ซ่ึงขนั ธห์ า้
เป็นธรรมชาติปรุงแต่งเกิดดบั ส่วนใจหรือจิตเดิมแทเ้ ป็นแต่
ความรูท้ ่วี ่างเปล่า ไม่ปรุงแต่งเกิดดบั อาการของขนั ธห์ า้ จะปรุง
145
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
แต่งเกิดดบั ในใจท่ีว่างเปล่า เปรียบเหมือนอาการของขนั ธห์ า้
เป็นดงั่ ฟ้ าแลบ ฟ้ าผ่า ส่วนใจท่ีว่างเปล่าเหมือนดงั่ ความว่าง
ของทอ้ งฟ้ า ซ่ึงฟ้ าแลบฟ้ าผ่าก็เกิดดบั ในท้องฟ้ าท่ีว่างเปล่า
เป็นอิสระแก่กนั ไม่เป็นอนั ตรายต่อกนั ไม่ยึดถือกนั เม่ือยงั
ไม่ตายก็เป็นธรรมชาติท่อี ยู่ดว้ ยกนั จนกว่าจะตาย ขนั ธห์ า้ ซ่งึ เป็น
ธรรมชาติปรุงแต่งก็จะดบั ไป ส่วนใจหรือจิตเดิมแทก้ ็หายไปใน
ความว่างของธรรมชาติ
ถา้ มีสติ สมาธิ ปญั ญาสูงสุดดงั กล่าวแลว้ กจ็ ะไม่หลงไปดบั
ความคิดหรืออาการของขนั ธห์ า้ เพ่ือจะใหว้ ่าง หรือจะไม่หลงไป
ยึดถืออเุ บกขาเวทนา คือไม่หลงรูเ้ ฉย... รูเ้ ฉย... รูเ้ ฉย... คือ
ขณะจติ หรือวญิ ญาณขนั ธร์ ูอ้ ารมณ์คือ รูป เสยี ง กลน่ิ รส สมั ผสั
และธรรมารมณ์แลว้ ปรุงแต่งใจไม่ใหเ้ กิดความรูส้ กึ เป็นสุขหรือ
เป็นทุกข์ ใหเ้ ป็นแต่อุเบกขาเวทนา อย่างน้ีหลงยึดถืออุเบกขา
เวทนาซ่งึ เป็นขนั ธห์ า้ แต่ไม่ไดป้ ล่อยวางความหลงยดึ ถอื ขนั ธห์ า้
และเม่ือมีสติ สมาธิ ปญั ญาสูงสุดแลว้ ก็จะไม่หลงเอาขนั ธห์ า้
มาปรุงแต่งยึดถือใจหรือจิตเดิมแทท้ ่ีเป็นความว่าง หรือหลง
ยดึ ถอื ใจจะใหว้ ่าง
เม่ือส้ินหลงยึดถือขนั ธ์หา้ และส้ินหลงยึดถือใจหรือ
จติ เดมิ แทแ้ ลว้ สติ สมาธิ ปญั ญาทย่ี มื ขนั ธห์ า้ มาใชเ้ป็นตวั สงั เกตให้
146
รู้ทงั้ สาม และการปลอ่ ยวางตามล�ำดบั : จบซะที
เหน็ ความจรงิ ก็ไมต่ อ้ งนำ� มาใชส้ งั เกตอกี ต่อไป คงเหลอื แต่อาการ
ของขนั ธห์ า้ เกิดดบั ในใจท่ีว่างเปล่าดุจความว่างของธรรมชาติ
หรือจกั รวาล ซ่งึ ใจเป็นธาตุรูท้ ่เี ป็นความว่าง ไม่มคี วามปรุงแต่ง
ก็จะรูใ้ จเองว่า ใจเป็นมหาสุญญตาเป็นเหมือนความว่างของ
ธรรมชาตหิ รอื จกั รวาล และกร็ ูว้ า่ ส้นิ หลงยดึ ถอื หรอื รูพ้ น้ จากทกุ ข์
เรียกว่านิพพาน ชาติน้ีเป็นชาติสุดทา้ ย ชาติหนา้ ไม่มอี กี
เม่ือส้ินอายุขยั ขนั ธห์ า้ ก็ดบั ไปเพราะเป็นธรรมชาติฝ่ าย
ปรุงแต่ง ส่วนใจหรือจิตเดิมแท้ ซ่ึงเป็นธรรมชาติไม่ปรุงแต่ง
ก็หายไปในความว่างของธรรมชาติ
ตอ้ งฝึกอย่างหนกั คือทุกขณะกระทบทางอายตนะในทุก
ขณะจิตปจั จุบนั อย่าขาดสติหลงส่งจติ ออกนอกไปสนใจ ใหค้ ่า
ใหค้ วามสำ� คญั ต่ออารมณ์ท่ีถูกรู้ แต่ใหส้ ติตง้ั ท่ีใจ ดูท่ีใจ รูท้ ่ีใจ
สงั เกตท่ีใจ ละท่ีใจ ปลอ่ ยวางท่ีใจตลอดเวลา สงั เกตขณะกระทบ
ทกุ ขณะปจั จบุ นั ว่าขณะทร่ี ูร้ ูป รูเ้ สยี ง รูก้ ลน่ิ รูร้ ส รูส้ มั ผสั รูอ้ าการ
ของใจ หรือธรรมารมณ์แลว้ จิตหรือวญิ ญาณขนั ธท์ ำ� หนา้ ท่รี ่วม
กบั เจตสกิ คือ เวทนา สญั ญา สงั ขารแลว้ คิดตรึกตรองปรุงแต่ง
อย่างไร โดยปล่อยวางหรอื สกั แต่ว่ารู้ ไม่หลงยึดมนั่ ถอื มนั่ ว่าเป็ น
ตวั ตน เป็ นเรา เป็ นตวั เรา หรือเป็ นของเรา หรือไม่หลงยึดถือ
ว่ามีตวั เราอยู่ในขนั ธห์ า้
147
หลวงตาณรงค์ศกั ด์ิ ขีณาลโย
ถา้ สติปญั ญาไม่ขาดจะเห็นอย่างน้ีตลอดเวลาว่า ไม่ว่าจิต
หรือวญิ ญาณขนั ธเ์ มอ่ื รูอ้ ารมณ์ใดก็จะตอ้ งถูกใจ ไม่ถูกใจ หรือ
เป็นกลางๆ แลว้ คิดตรึกตรอง ปรุงแต่ง ก็เหน็ ว่าเป็นขนั ธห์ า้ ซ่งึ
เป็นสงั ขาร หรือธรรมชาติฝ่ายปรุงแต่ง มคี วามไม่เท่ยี งทง้ั หมด
พอมสี ติปญั ญาสูงสุดเห็นว่าเป็นสงั ขารไม่เท่ียงทง้ั หมด ไม่อาจ
ยึดมนั่ ถือมนั่ ได้ จึงปล่อยวางความหลงยึดมนั่ ถือมนั่ ขนั ธ์หา้
ส้นิ หลงว่าเป็นตวั ตน เป็นเรา เป็นตวั เรา หรือเป็นตวั ตนของเรา
พอปลอ่ ยวางหรอื ส้นิ ความหลงยดึ มนั่ ถอื มนั่ ขนั ธห์ า้ และส้นิ ความ
หลงยดึ มนั่ ถอื มนั่ ใจท่วี ่างเปล่า ก็เป็นนิพพาน
148
จบซะที
๑๖
จบซะที
ปฏบิ ตั ิกนั มานาน เรียนกนั มาก็มาก ทำ� ไมจงึ ยงั ไม่ถงึ ธรรม
เสยี ที สาเหตุท่ยี งั ไม่จบเพราะยงั เขา้ ใจไม่ถูกตอ้ ง เช่น ครูอาจารย์
ท่านใหด้ ูความเป็นตวั เรา เพอ่ื ใหเ้หน็ ว่าความเป็นตวั ตนทเ่ี ทย่ี งแท้
ไม่มอี ยู่จริง เป็นของไม่เท่ียง มเี ส่ือมไปสู่ความแก่ ความเจ็บ
ความตาย เน่าเป่ือยผุพงั ตอ้ งเอาไปเผาหรือฝงั ใหก้ ลบั คืนสู่ธาตุ
ตามธรรมชาตเิ ป็นธาตดุ นิ ธาตนุ ำ�้ ธาตลุ ม ธาตไุ ฟ ส่วน “ธาตรุ ู”้ ซง่ึ
ขณะท่ยี งั ไม่ไดต้ รสั รูเ้ ป็นพระพทุ ธเจา้ หรือเป็นพระอรหนั ต์ ธาตุรู ้
จะยงั ไม่บริสุทธ์ิ ยงั มี “อวชิ ชา” ผสมอยู่คือรูห้ ลง ไม่รูแ้ จง้ หรือ
รูพ้ น้ จากความหลงยึดมนั่ ถือมนั่ ถา้ เปรียบธาตุรูท้ ่ีบริสุทธ์ิเป็น
เหมอื นแร่ทองคำ� ทบ่ี รสิ ุทธ์ิ ก่อนถลงุ ออกมาเป็นทองคำ� บรสิ ุทธ์กิ ็มี
แร่ธาตุอย่างอ่นื ๆ ผสมอยู่ ซ่งึ เปรียบเหมอื น “อวชิ ชา” เขาตอ้ งมี
กรรมวธิ ีและเคร่ืองมอื ทจ่ี ะใชถ้ ลุงแร่ธาตทุ ผ่ี สมออก เพอ่ื ใหเ้ หลอื
149