The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การจัดการประมง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Fish_KU, 2022-10-12 05:38:57

การจัดการประมง

การจัดการประมง

37

เลยี งในรอ่ งสวน 4,430 ตนั (ร้อยละ 1.07) มูลค่า 185.11 ล้านบาท (ร้อยละ 0.82) และเลียงในกระชัง
22,509 ตัน (ร้อยละ 5.45) มลู คา่ 1,482.09 ลา้ นบาท (รอ้ ยละ 6.57)

ส่วนผลผลิตรายชนิดของสัตว์น้า พบว่าปลานิลเป็นสัตว์น้าจืดที่ผลิตได้มากท่ีสุด 217,928
ตนั (ร้อยละ 52.73) มูลค่า 9,975.40 ล้านบาท รองลงมา คือ ปลาดุก 105,144 ตัน (ร้อยละ 25.44)
มูลค่า 4,617.65 ลา้ นบาท ถดั ไปคอื ปลาตะเพยี น 23,647 ตัน (รอ้ ยละ 5.72) มลู คา่ 1,028.30 ล้านบาท

2) ผลผลิตจำกกำรเพำะเลียงสัตวน์ ำชำยฝ่ัง
สัตว์น้าจากการเพาะเลียงชายฝั่ง ประกอบด้วย กุ้งทะเล ปลาน้ากร่อย (ปลากะพงและ

ปลากะรงั ) และหอยทะเล (หอยนางรม หอยแครง หอยแมลงภู่) โดยในช่วงปี 2551 - 2559 มีจ้านวน
ฟาร์ม 37,798 - 43,583 ฟาร์ม มีเนอื ทีเ่ ลียง 403,824 - 484,338 ไร่ มีผลผลิตเฉล่ีย 682,796 ตันต่อปี
มูลค่า 5,971.03 ล้านบาทต่อปี ส่วนในปี 2560 มีจ้านวนฟาร์มทังหมด 37,028 ฟาร์ม มีเนือท่ีเลียง
374,827 ไร่ มผี ลผลิต 480,408 ตนั มลู ค่า 65,844.74 ล้านบาท โดยมรี ายละเอยี ด ดังนี

การเพาะเลียงกุ้งทะเล ในช่วงปี 2551 - 2559 มีจ้านวนฟาร์ม 21,071 - 25,131 ฟาร์ม
มีเนอื ท่เี ลียง 295,568 - 367,624 ไร่ มีผลผลิตเฉลยี่ 455,174 ตันตอ่ ปี มูลค่า 59,933 ลา้ นบาทต่อปี
ส่วนในปี 2560 มีจ้านวนฟาร์ม 21,561 ฟาร์ม เนือที่ 294,683 ไร่ ผลผลิต 359,697 ตัน มูลค่า
61,850.65 ลา้ นบาท จ้าแนกเป็นก้งุ แวนนาไน 346,309 ตนั (ร้อยละ 96.28) มลู คา่ 58,627.37 ล้านบาท
(ร้อยละ 94.79) กุ้งกุลาด้า 12,962 ตัน (ร้อยละ 3.60) มูลค่า 3,154.30 ล้านบาท (ร้อยละ 5.10)
กุ้งแชบ๊วย 129 ตนั (ร้อยละ 0.04) มูลค่า 36,890 ลา้ นบาท (ร้อยละ 0.06) กุ้งโอคัก 111 ตนั (รอ้ ยละ
0.03) มูลค่า 12,466 ล้านบาท (ร้อยละ 0.02) กุ้งอื่น ๆ 186 ตัน (ร้อยละ 0.05) มูลค่า 19,618
ล้านบาท (ร้อยละ 0.03) ปลา 201 ตัน (ร้อยละ 0.06) มูลค่า 9.40 ล้านบาท (ร้อยละ 0.02)
หากพิจารณาจ้าแนกตามประเภทการเลียง พบว่า การเลียงแบบกึ่งพัฒนามีจ้านวนฟาร์ม 3,171 ฟาร์ม
เนือท่ี 83,253 ไร่ มผี ลผลติ 3,828 ตัน มูลค่า 814.46 ล้านบาท จ้าแนกเป็นกุ้งกุลาด้า 1,992 ตัน
มูลค่า 479.11 ล้านบาท กุ้งแวนนาไม 1,410 ตัน มูลค่า 266.37 ล้านบาท กุ้งแชบ๊วย 129 ตัน
มูลค่า 36.89 ล้านบาท กุ้งโอคัก 111 ตัน มูลค่า 12.47 ล้านบาท กุ้งอื่น ๆ 186 ตัน มูลค่า 19.62
ล้านบาท ปลา 201 ตัน มูลค่า 9.40 ล้านบาท การเลียงแบบพัฒนามีจ้านวนฟาร์ม 18,390 ฟาร์ม
เนือท่ี 211,430 ไร่ มีผลผลติ 355,869 ตัน มูลค่า 61,036.19 ล้านบาท จ้าแนกเป็นกุ้งกุลาด้า 10,970
ตนั มลู คา่ 2,675.19 ลา้ นบาท กงุ้ แวนนาไม 344,899 ตนั มูลคา่ 58,361.00 ล้านบาท

การเพาะเลยี งปลาน้ากร่อย ในช่วงปี 2551 - 2559 มีจ้านวนฟาร์ม 10,696 - 11,988
ฟาร์ม มีเนือที่เลยี ง 5,034 - 10,711 ไร่ มผี ลผลติ เฉลย่ี 19,125 ตันต่อปี มูลค่า 2,617.64 ล้านบาท
ต่อปี ส่วนในปี 2560 มีจ้านวนฟาร์ม 10,592 ฟาร์ม พืนท่ีเลียง 13,529.18 ไร่ ผลผลิต 22,455.22
ตนั มูลค่า 3,118.83 ล้านบาท จ้าแนกเป็นเลียงในบ่อ จ้านวน 2,114 ฟาร์ม พืนที่เลียง 13,160.39 ไร่
ผลผลิต 12,433.17 ตัน มูลค่า 1,591.18 ล้านบาท และเลียงในกระชังจ้านวน 8,478 ฟาร์ม พืนที่เลียง

38

368.78 ไร่ ผลผลติ 10,012.05 ตนั มูลคา่ 1,527.65 ล้านบาท หากพิจารณาตามชนิดสัตว์น้า พบว่า
ปลากะรังมีฟารม์ เลียงจ้านวน 3,042 ฟาร์ม เนือท่เี ลียง 717.02 ไร่ ผลผลติ 2,001.34 ตนั มูลค่า 482.82
ล้านบาท เป็นการเลียงในบ่อ จ้านวน 218 ฟาร์ม พืนที่เลียง 597.71 ไร่ ผลผลิต 358.27 ตัน มูลค่า
81.94 ลา้ นบาท และเลยี งในกระชงั จ้านวน 2,824 ฟาร์ม พนื ทีเ่ ลียง 119.31 ไร่ ผลผลิต 1,643.07
ตนั มูลค่า 400.88 ลา้ นบาท ปลากะพงมีฟารม์ เลียงจ้านวน 7,550 ฟาร์ม เนือท่ีเลียง 12,812.18 ไร่
ผลผลติ 20,453.88 ตัน มลู ค่า 2,636.01 ล้านบาท เป็นการเลียงในบ่อ จ้านวน 1,896 ฟาร์ม พืนท่ี
เลียง 12,562.68 ไร่ ผลผลิต 12,084.90 ตัน มูลค่า 1,509.25 ล้านบาท และเลียงในกระชังจ้านวน
5,654 ฟาร์ม พืนท่เี ลยี ง 249.48 ไร่ ผลผลิต 8,368.98 ตนั มลู ค่า 1,126.77 ล้านบาท

การเพาะเลียงหอยทะเล ในช่วงปี 2551 - 2559 มีจ้านวนฟาร์ม 5,028 - 6,687 ฟาร์ม
มีเนือที่เลียง 80,500 - 107,544 ไร่ มีผลผลิตเฉล่ีย 208,497 ตันต่อปี มูลค่า 3,293.47 ล้านบาทต่อปี
ส่วนในปี 2560 มีจ้านวนฟาร์ม 5,055 ฟาร์ม เนือท่ีเลียง 66,614.32 ไร่ ผลผลิต 98,255.79 ตัน
มูลค่า 4,250.69 ล้านบาท หากพิจารณาจ้าแนกตามชนิดสัตว์น้า พบว่าหอยแครงมีจ้านวนฟาร์ม 1,907
ฟารม์ พืนที่เลียง 49,725.92 ไร่ มีผลผลิต 25,861.57 ตัน (ร้อยละ 26.32) มูลค่า 2,634.63 ล้านบาท
(รอ้ ยละ 61.98) หอยนางรมมีจา้ นวนฟาร์ม 985 ฟารม์ เนือท่เี ลยี ง 4,491.49 ไร่ ผลผลิต 21,921.83
ตัน (ร้อยละ 22.31) มูลค่า 90.65 ล้านบาท (ร้อยละ 23.31) หอยแมลงภู่มีจ้านวนฟาร์ม 2,163 ฟาร์ม
เนือท่ี 12,396.91 ไร่ ผลผลิต 50,472.39 ตนั (รอ้ ยละ 51.32) มลู ค่า 625,41 ลา้ นบาท (ร้อยละ 14.71)

39

การน้าเข้าสินคา้ ประมงจากต่างประเทศของไทยมีหลายชนิดจากหลายประเทศ สินค้าประมงท่ีไทย
นา้ เขา้ ทส่ี ้าคัญ โดยพิจารณาจากมูลคา่ การนา้ เขา้ รายสินค้าในปี 2561 ได้แก่ ทูนา่ สดแชเ่ ยน็ แชแ่ ข็ง ปลาสด
แช่เย็นแช่แข็ง และหมึกสดแช่เย็นแช่แข็ง มูลค่าการน้าเข้าสินค้าประมง 132,964.39 ล้านบาท ปริมาณ
การน้าเข้า 2,145,985.18 ตัน (ตารางท่ี 2 - 1) โดยในปี 2561 ตลาดหลักที่ส้าคัญ ได้แก่ ประเทศกลุ่ม
อาเซยี น สาธารณรฐั ประชาชนจนี สาธารณรัฐจนี (ไต้หวนั ) สหรฐั อเมริกา และสาธารณรัฐเกาหลี

ตำรำงที่ 2 - 1 กำรนำเขำ้ สนิ ค้ำประมงของไทย ปี 2551 - 2561

ปี กำรนำเขำ้ อัตรำกำรเปลี่ยนแปลง (%)

ปริมำณ (ตัน) มลู คำ่ (ล้ำนบำท) ปรมิ ำณ มลู คำ่

2551 1,537,386.24 81,128.97 - -

2552 1,586,809.75 68,525.01 3.21 - 15.54

2553 1,586,319.41 69,224.79 - 0.03 1.02

2554 1,670,068.28 84,975.94 5.28 22.75

2555 1,665,520.64 100,024.11 - 0.27 17.71

2556 1,670,239.22 99,564.17 0.28 - 0.46

2557 1,628,237.48 92,674.91 - 2.51 - 6.92

2558 1,626,642.45 90,249.91 - 0.1 - 2.62

2559 1,895,436.83 113,892.75 16.52 26.2

2560 1,939,169.75 136,104.65 2.31 10.72

2561 2,145,985.18 132,964.39 3.21 5.44

ท่ีมา : กลุม่ วิเคราะห์การคา้ สนิ ค้าประมง กองนโยบายและแผนพัฒนาการประมง กรมประมง
ประมวลจากกรมศลุ กากร

40

1. กำรนำเขำ้ สินค้ำประมงจำกตลำดต่ำงประเทศของไทย
ตลาดหลักทีส่ า้ คัญท่ไี ทยนา้ เข้าสนิ คา้ ประมง โดยพิจารณาจากมูลค่าการน้าเข้าตามล้าดับ ได้แก่

1) ประเทศกลุ่มอาเซียน 2) สาธารณรัฐประชาชนจีน 3) สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) 4) สหรัฐอเมริกา
และ 5) สาธารณรัฐเกาหลี การน้าเข้าจากกลุ่มอาเซียนส่วนใหญ่น้าเข้าจากเวียดนาม อินโดนีเซีย และพม่า
มีสัดส่วนมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 20.21 ของมูลค่าการน้าเข้าสินค้าประมงทังหมด ปริมาณน้าเข้า
661,415.52 ตัน มูลค่า 26,871.70 ล้านบาท รองลงมาเป็นการน้าเข้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
มีสัดส่วนเฉลี่ยร้อยละ 10.55 ของมูลค่าการน้าเข้าสินค้าประมงทังหมด ปริมาณน้าเข้า 200,932.03 ตัน
มูลค่าน้าเข้า 14,032.24 ล้านบาท และการน้าเข้าจากสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) มีสัดส่วนเฉล่ียร้อยละ
6.72 ปริมาณการน้าเข้า 147,117.51 ตัน มูลค่าน้าเข้า 8,932.44 ล้านบาท ส้าหรับการน้าเข้าจาก
สหรัฐอเมริกามีสัดส่วนร้อยละ 6.39 ปริมาณน้าเข้า 101,681.08 ตัน มูลค่าน้าเข้า 8,500.97 ล้านบาท
ส่วนการน้าเขา้ จาสาธารณรฐั เกาหลี มสี ัดส่วนรอ้ ยละ 5.63 โดยมีปริมาณน้าเข้า 95,394.53 ตัน มูลค่า
7,489 ล้านบาท (ตารางท่ี 2 - 2 และ 2 - 3)

ตำรำงที่ 2 - 2 สดั สว่ นของมูลคำ่ กำรนำเข้ำสินคำ้ ประมงของไทยจำกประเทศที่สำคัญ ปี 2551 - 2561

ปี อำเซยี น สำธำรณรฐั จีน สำธำรณรัฐ สหรัฐอเมริกำ สำธำรณรฐั
(ไตห้ วัน) ประชำชนจีน เกำหลี

2551 19.17 13.91 6.25 7.36 6.05

2552 20.16 10.99 6.01 10.86 7.39

2553 18.36 13.73 4.42 10.36 5.71

2554 16.64 10.28 7.92 10.24 6.51

2555 18.27 11.79 8.8 8.5 6.82

2556 16.96 9.81 9.39 10.36 6.61

2557 18.67 8.66 13.57 9.67 3.66

2558 18.26 7.55 15.06 8.09 4.68

2559 20.59 7.86 14.85 6.59 6.31

2560 20.84 7.1 11.42 6.54 5.59

2561 20.21 6.72 10.55 6.39 5.63

ท่ีมา : กลุ่มวิเคราะห์การค้าสนิ ค้าประมง กองนโยบายและแผนพัฒนาการประมง กรมประมง
ประมวลจากกรมศลุ กากร

41

ตำรำงท่ี 2 - 3 ปริมำณและมูลค่ำกำรนำเข้ำสนิ ค้ำประมงของไทยจำกประเทศที่สำคัญ ปี 2551 - 2561

ปรมิ าณ : ตัน
มูลค่า : ลา้ นบาท

ปี อำเซยี น สำธำรณรฐั จีน (ไต้หวนั ) สำธำรณรฐั ประชำชนจนี สหรฐั อเมริกำ สำธำรณรฐั เกำหลี
ปรมิ ำณ มูลค่ำ
ปริมำณ มลู คำ่ ปริมำณ มลู ค่ำ ปริมำณ มลู ค่ำ ปริมำณ มลู ค่ำ

2551 513,507.56 15,554.43 193,142.65 11,281.99 46,053.30 5,072.44 102,801.78 5,974.96 88,198.96 4,904.35
2552 476,541.34 14,124.22 174,413.76 7,528.12 42,755.05 4,115.23 168,204.11 7,443.17 129,842.37 5,065.42

2553 451,583.04 12,712.13 221,523.94 9,502.46 21,432.66 3,059.72 150,709.97 7,169.98 97,736.34 3,951.73

2554 437,306.98 14,139.66 158,675.32 8,739.65 40,235.99 6,703.81 149,209.95 8,698.63 90,386.59 5,531.65
2555 429,285.49 18,277.50 159,913.10 11,794.13 28,095.65 8,803.99 127,685.26 8,497.43 92,841.23 6,820.71
2556 388,849.56 16,883.19 149,722.46 9,771.38 41,173.69 9,352.86 154,460.22 10,312.29 90,718.45 6,586.14

2557 390,444.84 17,298.22 157,164.23 8,023.66 52,258.53 12,579.73 145,311.15 8,957.04 49,824.27 3,388.76

2558 320,228.71 16,475.58 144,776.31 6,815.77 50,455.62 13,590.48 126,265.87 7,304.04 90,892.97 4,227.86
2559 583,795.21 23,452.01 156,477.08 8,954.62 54,525.13 16,918.75 111,471.90 7,501.42 105,721.20 7,189.98
2560 661,731.21 26,282.46 129,406.94 8,953.92 202,585.19 14,399.22 108,128.81 8,250.18 71,526.67 7,054.74

2561 661,415.52 26,871.70 147,117.51 8,932.44 200,932.03 14,032.24 101,681.08 8,500.97 95,394.53 7,489.53

ทมี่ า : กลุม่ วิเคราะห์การค้าสินค้าประมง กองนโยบายและแผนพฒั นาการประมง กรมประมง
ประมวลจากกรมศลุ กากร

2. สินค้ำประมงนำเขำ้ ท่สี ำคัญ
การนา้ เข้าสินค้าประมง หากพิจารณาจากมูลค่าการน้าเข้ารายสินค้าสูงสุดตามล้าดับ ได้แก่

ทนู า่ สดแช่เยน็ แชแ่ ขง็ ปลาสดแช่เย็นแชแ่ ขง็ และหมกึ สดแชเ่ ย็นแช่แข็ง

(1) ทนู ำ่ สดแชเ่ ย็นแชแ่ ข็ง
การน้าเข้าทูน่าสดแช่เย็นแช่แข็ง ในปี 2561 จ้านวน 792,113.75 ตัน มูลค่า

45,158.37 ลา้ นบาท โดยไทยนา้ เขา้ ทูนา่ สดแช่เยน็ แชแ่ ข็งจากสาธารณรฐั จีน (ไต้หวัน) เป็นมากที่สุด โดยมี
ปริมาณน้าเข้า 136,292.99 ตัน มูลค่าการน้าเข้า 8,441.33 ล้านบาท มีสัดส่วนเฉลี่ยร้อยละ 18.69
ของมูลค่าการนา้ เขา้ ทนู ่าสดแชเ่ ย็นแช่แข็งทังหมด รองลงมาได้แก่ สาธารณรัฐเกาหลี ปริมาณการน้าเข้า
84,400.76 ตนั มลู คา่ การน้าเข้า 4,569.99 ล้านบาท มสี ัดส่วนรอ้ ยละ 10.12 การน้าเข้าจากปาปัวนิวกินี
มีปริมาณนา้ เขา้ 80,799.52 ตัน มูลคา่ การนา้ เขา้ 4,467.67 ล้านบาท มีสัดส่วนร้อยละ 9.89 การน้าเข้า
จากสหรัฐอเมริกา 70,462.31 ตัน มูลค่าการน้าเข้า 3,979.15 ล้านบาท มีสัดส่วนร้อยละ 8.81
และปริมาณการนา้ เข้าจากสาธารณรัฐคิริบาสและสาธารณรัฐประชาชนจีน 56,664.76 และ 40,252.07
ตนั มลู ค่าการน้าเขา้ 3,008.81 และ 2,602.12 ล้านบาท มีสัดส่วนร้อยละ 6.66 และ 5.76 ตามล้าดับ
การน้าเข้าสินค้าประมงประเภททูน่าสดแช่เย็นแช่แข็งยังคงมีความส้าคัญ เนื่องจากอุตสาหกรรมการแปรรูป
ทูน่าของไทยจ้าเป็นต้องพ่ึงพาการน้าเข้าทูน่าสดแช่เย็นแช่แข็งจากต่างประเทศ โดยส่วนใหญ่แปรรูปเป็น
ทูน่ากระป๋อง (ตารางท่ี 2 - 4 – 2 - 7)

42

ตำรำงท่ี 2 - 4 มลู ค่ำกำรนำเข้ำสนิ ค้ำประมง ปี 2551 - 2561

มูลคา่ : ลา้ นบาท

รายการ 2550 2551 2552 2553 2554 2555 2556 2557 2558 2559 2560 2561

1.1 กงุ้ สดแชเ่ ยน็ แชแ่ ขง็ 1,386.87 2,892.65 1,545.92 1,335.31 1,257.46 2,111.46 3,213.03 3,514.78 3,008.06 3,229.72 3,814.50 3,944.17

1.2 กงุ้ แหง้ 22.69 27.22 37.62 40.84 53.50 50.55 75.99 308.56 259.81 307.26 159.48 125.28

1.3 กงุ้ ตม้ หรอื นึ่ง 29.01 20.90 23.41 28.22 49.41 32.84 5.35 0.94 2.29 5.45 223.30 263.45

1.4 กงุ้ กระปอ๋ ง 6.81 8.71 4.52 7.07 0.77 15.60 13.00 18.72 5.26 10.61 1.99 2.79

1.5 กงุ้ ปรุงแตง่ หรอื ทาไวไ้ ม่ใหเ้ สยี 9.48 122.24 172.10 168.30 98.29 259.27 159.58 203.39 101.30 186.50 97.36 95.79

รวมกงุ้ 1,454.87 3,071.71 1,783.58 1,579.74 1,459.44 2,469.73 3,466.95 4,046.40 3,376.72 3,739.54 4,296.62 4,431.48

2.1 หมึกสดแชเ่ ยน็ แชแ่ ขง็ 1,909.89 2,351.97 3,031.30 3,766.65 4,478.82 5,044.60 7,890.92 8,270.11 8,823.35 11,057.63 12,068.73 12,551.61

2.2 หมึกแหง้ 276.82 584.06 760.53 690.39 913.02 1,222.73 1,265.01 1,641.31 1,627.58 1,621.51 1,962.53 2,309.96

2.3 หมึกแปรรปู หรอื ปรงุ แตง่ 16.16 37.77 50.49 31.49 46.48 229.27 267.89 274.54 266.78 328.09 838.56 922.99

รวมหมึก 2,202.87 2,973.80 3,842.32 4,488.53 5,438.32 6,496.61 9,423.82 10,185.96 10,717.71 13,007.23 14,869.81 15,784.56

3.1 ปลาสดแชเ่ ยน็ แชแ่ ขง็ (รวมตบั และไข)่ 16,640.75 18,959.75 19,269.19 18,981.58 23,485.37 25,072.92 22,605.32 23,918.86 24,744.23 29,248.27 33,537.60 35,141.43

3.2 เนื้อปลาสดแชเ่ ยน็ แชแ่ ขง็ 1,970.23 2,499.12 2,055.53 2,273.14 2,752.22 2,853.25 3,667.00 5,129.07 6,746.48 6,861.50 7,619.14 9,707.48

3.3 ปลาแหง้ ใสเ่ กลอื รมควนั 177.09 209.82 122.25 135.73 134.81 172.61 218.49 186.51 166.07 233.79 211.92 250.98

3.4 ปลามีชวี ติ และพนั ธปุ์ ลา 46.13 63.11 53.53 87.37 104.67 111.75 138.15 175.18 129.74 119.40 847.14 220.83

3.5 ทนู ่าสดแชเ่ ยน็ แชแ่ ขง็ 33,053.64 47,189.21 35,885.37 36,370.85 43,226.03 51,609.52 49,257.18 36,695.96 30,562.08 41,168.26 45,424.29 45,158.37

รวมปลา 51,887.84 68,921.01 57,385.87 57,848.67 69,703.10 79,820.05 75,886.14 66,105.58 62,348.61 77,631.23 87,640.10 90,479.09

4 อาหารทะเลกระปอ๋ ง(ไม่รวมกงุ้ ) 490.07 1,066.94 871.12 872.01 1,855.86 2,516.17 2,521.62 1,511.03 1,945.81 4,230.64

5 อาหารสนุ ขั และแมวกระปอ๋ ง 25.47 2.28 24.01 23.53 7.04 9.41 2.05 3.18 2.78 17.94

6 ผลติ ภณั ฑ์อาหารทะเลแปรรูป 1,122.92 1,935.28 1,408.77 1,409.60 2,564.77 3,233.48 2,911.84 3,284.50 3,197.16 2,591.60

7 หอยแครงสดแชเ่ ยน็ 117.67 110.81 68.77 120.23 145.91 87.64 71.06 76.66 30.88 25.87

8 ปลาปน่ 235.43 132.27 232.81 229.42 347.22 409.51 179.10 593.17 957.66 2,717.65

9 สนิ คา้ ประมงอน่ื ๆ 2,642.90 2,914.86 2,907.76 2,653.08 3,454.29 4,981.50 5,101.59 6,868.44 7,672.57 9,931.05

ผลรวมท้งั หมด 60,180.03 81,128.97 68,525.01 69,224.79 84,975.94 100,024.11 99,564.17 92,674.91 90,249.91 113,892.75 86,044.06

ทมี่ า : กลุ่มวเิ คราะหก์ ารคา้ สนิ คา้ ประมง กองนโยบายและยทุ ธศาสตร์พฒั นาการประมง กรมประมง ประมวลจากกรมศลุ กากร

ตำรำงท่ี 2 - 5 กำรนำเข้ำทนู ่ำสดแช่เยน็ แชแ่ ข็งของไทย ปี 2551 - 2561

ปี ปริมาณ (ตนั ) มูลคา่ (ลา้ นบาท) อตั ราการเปลยี่ นแปลง (%)

ปรมิ าณ มูลคา่

2551 809,516.85 47,189.21

2552 829,620.82 35,885.37 2.48 -23.95

2553 831,008.48 36,370.85 0.17 1.35

2554 787,088.77 43,226.03 -5.29 18.85

2555 728,191.33 51,609.52 -7.48 19.39

2556 760,610.73 49,257.18 4.45 -4.56

2557 700,985.70 36,695.96 -7.84 -25.50

2558 670,916.79 30,562.08 -4.29 -16.72

2559 761,102.40 41,168.26 13.44 34.70

2560 711,251.38 45,424.29 -6.55 10.34

2561 792,113.75 45,158.37 11.37 -0.59

ทมี่ า : กลมุ่ วเิ คราะห์การคา้ สนิ คา้ ประมง กองนโยบายและยทุ ธศาสตร์พฒั นาการประมง กรมประมง

ประมวลจากกรมศลุ กากร

43

ตำรำงที่ 2 - 6 สดั ส่วนของมูลค่ำกำรนำเขำ้ ทนู ่ำสดแชเ่ ยน็ แชแ่ ขง็ จำกประเทศที่สำคญั ปี 2551 - 2561

ปี สาธารณรฐั จนี สาธารณรฐั สหรฐั อเมรกิ า ปาปวั นวิ กนิ ี สาธารณรฐั สาธารณรฐั
(ไต้หวนั ) เกาหลี คิรบิ าส ประชาชนจนี

2551 23.54 9.77 8.70 0.70 212.23 0.45

2552 20.38 12.85 15.16 2.37 305.26 0.85

2553 25.53 9.77 13.65 1.58 322.77 0.89

2554 19.81 11.28 14.77 1.46 774.57 1.79

2555 22.53 11.06 11.90 1.94 1,116.37 2.16

2556 19.56 10.37 14.68 0.53 1,738.19 3.53

2557 21.13 5.69 15.09 1.67 1,314.63 3.58

2558 20.20 9.26 11.10 7.14 2,916.99 9.54

2559 20.94 12.25 10.52 10.51 3,234.42 7.86

2560 18.56 8.91 8.24 9.32 8.24 8.55

2561 18.69 10.12 8.81 9.89 6.66 5.76

ทม่ี า : กลมุ่ วเิ คราะหก์ ารคา้ สนิ คา้ ประมง กองนโยบายและยุทธศาสตร์พฒั นาการประมง กรมประมง

ประมวลจากกรมศลุ กากร

ตำรำงท่ี 2 - 7 ปริมำณและมลู คำ่ กำรนำเขำ้ ทนู ำ่ สดแช่เย็นแช่แขง็ ของไทยจำกประเทศทีส่ ำคัญ
ปี 2551 - 2561

ปริมาณ : ตนั

มลู คา่ : ล้านบาท

ปี สาธารณรฐั จนี (ไต้หวนั ) สาธารณรฐั เกาหลี สหรฐั อเมรกิ า ปาปวั นวิ กนิ ี สาธารณรฐั คิรบิ าส สาธารณรฐั ประชาชนจนี

ปรมิ าณ มูลค่า ปรมิ าณ มูลค่า ปรมิ าณ มูลค่า ปรมิ าณ มูลค่า ปรมิ าณ มลู ค่า ปรมิ าณ มูลค่า

2550 163,766.93 7,746.77 86,825.71 4,027.64 6,892.61 298.10 18,490.22 849.77 175.93 7.78 41,780.83 1,407.76

2551 190,008.01 11,108.26 81,515.05 4,610.81 73,008.86 4,105.29 5,083.51 329.98 3,596.00 212.23 46,053.30 2,142.59

2552 167,281.99 7,312.70 119,105.33 4,612.00 135,751.47 5,440.61 18,242.24 849.66 7,059.27 305.26 42,755.05 1,670.62

2553 215,284.82 9,286.39 89,916.96 3,554.36 122,642.96 4,965.13 10,754.48 573.13 7,207.15 322.77 21,432.66 881.06

2554 154,676.91 8,563.39 83,396.27 4,876.29 123,851.55 6,382.65 10,828.35 629.01 15,023.00 774.57 40,235.99 1,754.04

2555 156,784.98 11,629.17 82,949.71 5,708.45 89,303.39 6,142.07 13,787.39 1,000.19 16,403.48 1,116.37 28,095.65 1,816.35

2556 146,329.20 9,632.45 78,982.53 5,107.73 112,753.59 7,228.80 3,633.27 259.79 26,694.50 1,738.19 41,173.69 2,492.55

2557 149,655.56 7,754.73 40,974.50 2,086.87 115,759.26 5,538.00 11,800.73 613.04 26,959.59 1,314.63 52,258.53 2,702.54

2558 127,824.28 6,172.64 85,994.56 2,831.11 91,410.63 3,391.45 50,302.47 2,182.66 70,002.82 2,916.99 50,455.62 2,367.47

2559 148,574.71 8,619.45 98,782.80 5,044.09 87,838.80 4,332.85 91,041.16 4,327.98 64,962.75 3,234.42 54,525.13 3,035.33

2560 119,130.07 8,430.38 63,088.00 4,047.27 71,567.58 3,743.93 70,543.29 4,235.55 3,743.93 59,209.82 37,401.91 2,521.87

2561 136,292.99 8,441.33 84,400.76 4,569.99 70,462.31 3,979.15 80,799.52 4,467.67 56,664.76 3,008.81 40,252.07 2,602.12

ทมี่ า : กลมุ่ วเิ คราะหก์ ารคา้ สนิ คา้ ประมง กองนโยบายและยุทธศาสตร์พฒั นาการประมง กรมประมง ประมวลจากกรมศลุ กากร

44

(2) ปลำสดแช่เย็นแชแ่ ข็ง
การนา้ เขา้ ปลาสดแช่เย็นแช่แข็งของไทย ในปี 2561 จ้านวน 764,227.58 ตัน มูลค่า

35,141.43 ล้านบาท โดยน้าเข้าจากประเทศอินเดียมากที่สุด สัดส่วนร้อยละ 15.67 ของมูลค่าการน้าเข้า
ปลาสดแช่เย็นแช่แข็งทังหมด ปริมาณการน้าเข้าจากประเทศอินเดีย 87,771.96 ตัน มูลค่าการน้าเข้า
5,507.21 ล้านบาท รองลงมาเป็นการนา้ จากกลุ่มเอฟตา้ (ไอซแ์ ลนด์ นอร์เวย์ และสวสิ เซอร์แลนด์) สัดส่วน
รอ้ ยละ 15.14 ปรมิ าณน้าเข้า 30,819.83 ตัน มูลค่าการนา้ เขา้ 5,319.10 ลา้ นบาท การน้าเข้าจากอาเซียน
สดั สว่ นรอ้ ยละ 14.46 ปริมาณน้าเข้า 270,807.00 ตนั มลู ค่าการน้าเข้า 5,080.22 ล้านบาท และการ
นา้ เข้าจากญีป่ นุ่ สัดส่วนร้อยละ 9.90 ปริมาณการนา้ เข้า 102,541.40 ตัน มูลค่าการน้าเข้า 3,480.53
ลา้ นบาท สา้ หรับสัดส่วนการน้าเขา้ จากกลมุ่ อเมริกาใต้และสหรัฐอเมริกา ร้อยละ 8.95 และ 5.68 ปริมาณ
การน้าเข้า 15,139.08 ตัน และ 16,811.01 ตัน มูลค่าการน้าเข้า 3,144.34 ล้านบาท และ 1,996.66
ลา้ นบาท ตามลา้ ดับ (ตารางท่ี 2 - 8 – 2 - 10)

(3) หมกึ สดแช่เย็นแชแ่ ข็ง
การน้าเข้าหมึกสดแช่เย็นแช่แข็งในปี 2561 จ้านวน 141,594.80 ตัน มูลค่า

12,551.61 ล้านบาท การน้าเข้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีนมากที่สุด สัดส่วนเฉลี่ยร้อยละ 31.00
ของมลู คา่ การนา้ เข้ารวม ปรมิ าณการนา้ เข้า 42,513.11 ตัน มูลค่าน้าเข้า 3,811.34 ล้านบาท รองลงมา
ได้แก่ การน้าเข้าจากอินเดีย สัดส่วนร้อยละ 25.68 ปริมาณการน้าเข้า 26,785.07 ตัน มูลค่าการน้าเข้า
3,223.51 ล้านบาท และกลุ่มอเมริกาใต้ (เปรูและซิลี) สัดส่วนร้อยละ 15.90 ของมูลค่าการน้าเข้ารวม
ปริมาณน้าเข้า 27,099.55 ตัน มูลค่าน้าเข้า 1,996.06 ล้านบาท ส้าหรับการน้าเข้าจากกลุ่มอาเซียน
และแอฟริกา มีปริมาณการน้าเข้า 30,188.64 และ 1,223.14 ตัน มูลค่าการน้าเข้า 1,497.74
และ 282.97 ล้านบาท สดั สว่ นรอ้ ยละ 11.93 และ 2.25 ตามลา้ ดับ (ตารางที่ 2 - 11 – 2 - 13)

ตำรำงที่ 2 - 8 กำรนำเขำ้ ปลำสดแช่เยน็ แช่แขง็ (รวมตับและไข่) ของไทย ปี 2551 - 2561

อตั ราการเปลยี่ นแปลง (%)

ปี ปรมิ าณ (ตนั ) มูลคา่ (ลา้ นบาท) ปรมิ าณ มูลคา่

2551 564,885.71 18,959.75

2552 579,479.82 19,269.19 2.58 1.63

2553 574,946.20 18,981.58 -0.78 -1.49

2554 659,344.41 23,485.37 14.68 23.73

2555 695,443.26 25,072.92 5.47 6.76

2556 616,891.72 22,605.32 -11.30 -9.84

2557 597,975.07 23,918.86 -3.07 5.81

2558 553,294.52 24,744.23 -7.47 3.45

2559 650,670.19 29,248.27 17.60 18.20

2560 718,750.99 33,537.60 10.46 14.67

2561 764,227.58 35,141.43 6.33 4.78

ทมี่ า : กลมุ่ วเิ คราะหก์ ารคา้ สนิ คา้ ประมง กองนโยบายและยุทธศาสตร์พฒั นาการประมง กรมประมง

ประมวลจากกรมศลุ กากร

45

ตำรำงที่ 2 - 9 ปริมำณและมูลค่ำกำรนำเข้ำปลำสดแช่เย็นแช่แข็งของไทย จำแนกตำมประเทศท่ีสำคัญ
ปี 2551 - 2561

ปริมาณ : ตนั

มลู คา่ : ลา้ นบาท

ปี อาเซยี น กลุ่มเอฟต้า อนิ เดีย กลุ่มอเมรกิ าใต้ ญ่ีปนุ่ สหรฐั อเมรกิ า
ปรมิ าณ มูลค่า ปรมิ าณ มูลค่า ปรมิ าณ มลู ค่า ปรมิ าณ มลู ค่า ปรมิ าณ มลู ค่า ปรมิ าณ มลู ค่า

2551 339,945.77 5,660.63 12,541.33 2,467.75 18,571.06 805.63 14,524.39 2,067.81 34,816.64 1,703.84 28,750.17 1,618.82

2552 306,171.13 5,151.91 13,031.92 2,040.44 36,329.44 1,325.57 9,098.08 1,652.56 28,698.44 1,414.40 30,563.67 1,476.78

2553 309,080.19 5,293.11 14,930.76 2,372.00 58,607.59 1,912.11 10,366.45 1,929.28 23,510.25 1,327.56 25,377.82 1,436.39

2554 266,125.24 4,620.35 17,234.19 2,681.59 61,996.60 1,960.92 14,835.04 3,092.73 43,867.93 1,701.40 22,356.24 1,648.45

2555 231,194.72 4,193.54 23,772.87 3,055.08 44,104.91 1,480.05 16,624.42 2,780.53 59,720.12 2,400.37 36,119.07 1,680.01

2556 214,113.86 3,917.46 25,248.76 3,318.96 18,535.98 783.47 16,491.94 2,509.31 85,979.10 2,856.01 37,826.85 2,262.28

2557 184,871.98 3,745.21 22,747.77 3,343.69 40,712.07 1,380.98 16,109.70 3,322.12 38,893.60 1,798.09 24,169.51 2,067.18

2558 113,425.40 2,567.95 25,704.60 3,403.55 40,712.68 2,573.76 15,259.74 2,488.89 77,083.71 2,603.15 26,356.65 2,394.49

2559 266,756.04 5,605.78 27,483.43 4,806.85 59,141.60 3,907.17 14,907.87 2,808.60 68,522.58 2,606.10 15,277.12 1,602.22

2560 298,909.85 5,285.49 28,126.48 5,300.56 88,443.66 5,141.18 15,363.59 3,943.55 65,367.88 2,591.73 22,569.86 2,440.97

2561 270,807.00 5,080.22 30,819.83 5,319.10 87,771.96 5,507.21 15,139.08 3,144.34 102,541.40 3,480.53 16,811.01 1,996.66

ทมี่ า : กลุ่มวเิ คราะหก์ ารคา้ สินคา้ ประมง กองนโยบายและยทุ ธศาสตร์พฒั นาการประมง กรมประมง ประมวลจากกรมศลุ กากร

ตำรำงที่ 2 - 10 สดั ส่วนของมูลค่ำกำรนำเขำ้ ปลำสดแช่เย็นแช่แข็ง (รวมตบั และไข)่ จำกประเทศท่สี ำคญั
ปี 2550 - 2559

ปี อำเซียน กลุ่มแอฟตำ้ กล่มุ อเมรกิ ำใต้ ญีป่ ุ่น อนิ ดยี สหรัฐอเมริกำ
4.25 -13.33
2551 29.86 13.02 10.91 8.99 6.88 1.55
10.07 24.17
2552 26.74 10.59 8.58 7.34 8.35 -1.26
5.90 -5.75
2553 27.89 12.50 10.16 6.99 3.47 -27.62
5.77 33.17
2554 19.67 11.42 13.17 7.24 10.40 -38.45
13.36 -31.43
2555 16.73 12.18 11.09 9.57 15.33 7.28
15.67 5.68
2556 17.33 14.68 11.10 12.63

2557 15.66 13.98 13.89 7.52

2558 10.38 13.75 10.06 10.52

2559 19.17 16.43 9.60 8.91

2560 15.76 15.80 11.76 7.73

2561 14.46 15.14 8.95 9.90

ที่มา : กลมุ่ วิเคราะห์การค้าสินค้าประมง กองนโยบายและยทุ ธศาสตรพ์ ัฒนาการประมง กรมประมง
ประมวลจากกรมศุลกากร

46

ตำรำงที่ 2 - 11 กำรนำเข้ำหมกึ สดแชเ่ ย็นแช่แข็งของไทย ปี 2551 - 2561

ปี ปรมิ าณ (ตนั ) มูลคา่ (ลา้ นบาท) อตั ราการเปลยี่ นแปลง (%)

ปรมิ าณ มูลคา่

2551 39,350.59 2,351.97

2552 53,785.99 3,031.30 36.68 28.88

2553 62,751.82 3,766.65 16.67 24.26

2554 66,778.14 4,478.82 6.42 18.91

2555 77,422.39 5,044.60 15.94 12.63

2556 131,322.47 7,890.92 69.62 56.42

2557 137,406.93 8,270.11 4.63 4.81

2558 176,861.80 8,823.35 28.71 6.69

2559 140,046.92 11,057.63 -20.82 25.32

2560 133,985.28 12,068.73 -4.33 9.14

2561 141,594.80 12,551.61 5.68 4.00

ทมี่ า : กลมุ่ วเิ คราะห์การคา้ สนิ คา้ ประมง กองนโยบายและยุทธศาสตร์พฒั นาการประมง กรมประมง

ประมวลจากกรมศลุ กากร

ตำรำงที่ 2 - 12 ปริมำณและมูลค่ำกำรนำเข้ำหมกึ สดแช่เย็นแช่แข็งของไทย จำแนกตำมประเทศที่สำคัญ
ปี 2551 - 2561

มลู คา่ : ลา้ นบาท

ปริมาณ : ตนั

ปี สาธารณรฐั ประชาชนจนี กลุ่มอเมรกิ าใต้ อาเซยี น อนิ เดีย แอฟรกิ า

ปรมิ าณ มลู ค่า ปรมิ าณ มลู ค่า ปรมิ าณ มูลค่า ปรมิ าณ มลู ค่า ปรมิ าณ มลู ค่า

2551 1,376.85 126.09 4,623.09 160.05 17,468.89 661.55 4,326.30 314.18 1,618.39 275.01

2552 2,122.64 164.14 9,869.66 308.83 17,998.98 878.18 6,742.41 425.40 2,929.13 387.48

2553 3,825.07 255.00 12,508.22 423.06 17,853.96 734.86 12,156.87 866.07 3,448.27 478.21

2554 5,116.70 325.40 22,663.45 964.33 13,492.83 693.01 11,687.90 1,107.52 1,953.19 379.03

2555 6,471.65 458.39 35,005.34 1,170.79 9,222.98 509.49 13,305.76 1,321.31 3,406.82 596.42

2556 27,001.86 1,759.89 62,014.73 2,587.02 6,872.85 400.62 17,448.57 1,669.39 3,613.28 465.06

2557 51,319.74 3,203.83 56,309.59 2,430.61 4,370.80 277.43 8,162.98 759.88 2,487.80 355.89

2558 96,602.06 4,847.18 44,968.77 1,429.67 7,853.79 542.55 8,904.56 818.60 2,872.83 405.94

2559 68,680.47 5,134.58 21,951.94 999.95 23,571.99 1,583.92 11,497.98 1,679.00 3,477.73 532.41

2560 47,844.83 4,423.60 22,845.98 1,320.96 26,942.41 1,587.45 19,778.51 2,404.30 2,621.91 519.35

2561 42,513.11 3,891.34 27,099.55 1,996.06 30,188.64 1,497.74 26,785.07 3,223.51 1,223.14 282.97

ทมี่ า : กลุ่มวเิ คราะหก์ ารคา้ สินคา้ ประมง กองนโยบายและยุทธศาสตร์พฒั นาการประมง กรมประมง ประมวลจากกรมศลุ กากร

47

ตำรำงที่ 2 - 13 สดั ส่วนของมลู ค่ำกำรนำเข้ำหมึกสดแช่เยน็ แช่แข็ง จำกประเทศท่ีสำคญั
ปี 2551 - 2561

ปี สาธารณรฐั ประชาชนจนี กลุ่มอเมรกิ าใต้ อาเซยี น อนิ เดีย แอฟรกิ า

2551 5.36 6.80 28.13 13.36 11.69

2552 5.41 10.19 28.97 14.03 12.78

2553 6.77 11.23 19.51 22.99 12.70

2554 7.27 21.53 15.47 24.73 8.46

2555 9.09 23.21 10.10 26.19 11.82

2556 22.30 32.78 5.08 21.16 5.89

2557 38.74 29.39 3.35 9.19 4.30

2558 54.94 16.20 6.15 9.28 4.60

2559 46.43 9.04 14.32 15.18 4.81

2560 36.65 10.95 13.15 19.92 1.30

2561 31.00 15.90 11.93 25.68 2.25

ทมี่ า : กลมุ่ วเิ คราะห์การคา้ สนิ คา้ ประมง กองนโยบายและยทุ ธศาสตร์พฒั นาการประมง กรมประมง

ประมวลจากกรมศลุ กากร

4488

49

สัตว์น้าเมอ่ื ถกู จบั ขึนมาจากน้าแลว้ จะเนา่ เสียไดง้ า่ ย เนือ่ งจากสัตว์นา้ สามารถย่อยสลายดว้ ยตัวมันเอง
จากเอนไซม์ และจลุ นิ ทรยี ์ เกิดผลผลิตทางเคมีในตวั สตั ว์น้า ท้าให้ลักษณะทางกายภาพ เช่น เนือสัมผัส
สี กลิน่ และรสชาติ เปลย่ี นแปลงไป และไม่เหมาะตอ่ การบรโิ ภค ในการเก็บรักษาสัตว์น้าให้สดอยู่เสมอ
จึงมักใช้น้าแข็งหรือความเย็นช่วยชะลอการย่อยสลายดังกล่าว ส้าหรับการเก็บรักษาสัตว์น้าในระดับท้องถ่ิน
แต่โบราณมา เม่ือถึงฤดูกาลท่ีจับสัตว์น้าได้เป็นจ้านวนมาก จะมีการถนอมอาหารด้วยวิธีต่าง ๆ สืบทอด
ต่อกันมาจนเป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน เพื่อให้สามารถเก็บผลิตภัณฑ์ไว้ได้นานส้าหรับการบริโภคในยามท่ี
ขาดแคลน หรือจ้าหน่ายสร้างรายได้ให้กับครัวเรือน ซึ่งวิธีการถนอมอาหารที่ท้าในครัวเรือนตังแต่ดังเดิม
จนเป็นผลิตภัณฑ์พืนเมือง ส่วนใหญ่เป็นวิธีเรียบง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ใช้สัตว์น้าที่จับได้ในท้องถ่ิน และใช้
เกลือกับน้าตาลเปน็ ส่วนประกอบหลกั เช่น การทา้ เค็ม ตากแหง้ หมักดอง เป็นต้น

ปลาท่นี ยิ มนา้ ไปท้าเปน็ ผลิตภัณฑพ์ นื เมืองมีทงั ปลาน้าจืดและปลาทะเล และจับได้จากทังธรรมชาติ
และการเพาะเลียง จากสถิติของกรมประมง ปี 2561 ปลาน้าจืดที่จับได้และน้าไปท้าเป็นปลาเค็ม
ปลาตากแห้ง คิดเป็นร้อยละ 1.66 ปลาร้า ร้อยละ 1.34 ส่วนปลาทะเลท่ีน้าไปใช้ประโยชน์ในการท้า
ปลาเค็ม ปลาตากแห้ง คิดเปน็ รอ้ ยละ 5.16 น้าปลา ร้อยละ 1.91 และกะปิ ร้อยละ 1.11 ผลิตภัณฑ์
พืนเมืองต่าง ๆ ท่ีมีการแปรรูปมาจนถึงปัจจุบัน มีการผลิตท่ัวทุกภูมิภาคของประเทศไทย ผลิตภัณฑ์
บางชนดิ แม้จะเปน็ ชนดิ เดยี วกนั แตผ่ ลติ ในภูมภิ าคแตกต่างกัน รสชาติก็อาจแตกต่างกันได้ เน่ืองจากเป็น
การผลิตตามวิถีภูมิปัญญาท้องถ่ินที่สืบทอดกันมาและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่น เช่น ปลาส้ม ภาคอีสาน
จะหมักปลากับเกลือขา้ มคนื แล้วจึงผสมกับกระเทยี มและขา้ วเหนียว หมกั ตอ่ อกี 1 วัน ก่อนน้ามาบริโภค
ในขณะที่ภาคกลางจะหมักปลากับเกลือเพียง 1 - 2 ชั่วโมง แล้วผสมปลากับข้าวเจ้า กระเทียม และหมัก
ตอ่ อกี 3 วัน เพอ่ื ให้เกิดรสเปรียว จึงน้าไปบริโภค ส่วนภาคใต้ ใช้วิธีหมักเกลือกับน้าตาล 5 คืน แล้วจึง
คลุกเคล้าข้าวค่ัวให้เข้ากันกับตัวปลา และบรรจุถุงจ้าหน่าย ซ่ึงปลาส้มภาคใต้จะมีรสเปรียวแต่ไม่มาก
เท่ากับภาคอีสาน ส้าหรับปลาตากแห้ง ส่วนใหญ่ภาคอีสานและภาคเหนือจะใช้ปลาน้าจืดตัวเล็ก จ้าพวก
ปลาสร้อยขาว ปลาแป้นแก้ว ปลาสังกะวาด ส่วนภาคใต้ใช้ปลาทะเลทังตัวหรือผ่าแบะออกเป็นผีเสือ
ก่อนน้าไปตากแหง้ ที่เปน็ ตวั เล็กก็มี เช่น ปลากระตกั ตากแห้ง ปลาข้าวสารตากแหง้

50

ประเภทของผลิตภัณฑ์พืนเมอื ง

ผลติ ภณั ฑ์พนื เมอื งมคี วามหลากหลายตามแตก่ ระบวนการผลิตและความนยิ มบริโภคของแตล่ ะทอ้ งถิ่น
1. ผลิตภัณฑ์เค็มแห้ง การท้าเค็มมีทังท้าเค็มแบบแห้งและดองเค็ม แล้วน้าไปตากแดด

และผ่ึงลมให้แห้ง การท้าเค็มเป็นการรักษาคุณภาพของปลาโดยใช้เกลือซึมผ่านเข้าไปในตัวปลา ท้าให้
แบคทีเรียที่อยู่ในตัวปลาไม่สามารถเจริญได้ สามารถใช้ปลาได้ทุกชนิด ผลิตภัณฑ์ปลาเค็มท่ีเป็นท่ีนิยม
ในปัจจบุ นั และมรี าคาสงู เชน่ ปลาอนิ ทรยี ์เคม็ ปลากุเลาเคม็ ซง่ึ มกี ารท้ากันมากท่ีปัตตานี นราธิวาส ตราด
และเพชรบุรี นอกจากนียังมีปลาสลิดเค็ม ท่ผี ลติ กันมากทส่ี มทุ รปราการ สมทุ รสาคร ปทุมธานี และราชบรุ ี

2. ผลิตภัณฑ์ตำกแห้ง การตากแห้งท้าให้ปลาเกิดการสูญเสียน้า จึงท้าให้การเน่าเสียเกิดช้าลง
ทังนีขึนกับความชืนท่ีหลงเหลือในตัวปลาหลังท้าให้แห้งด้วย การท้าให้แห้งแต่ดังเดิมมักใช้วิธีการตากแดด
ในทเ่ี ปิดโล่ง ปัจจบุ นั เมือ่ มีการผลติ เพ่อื จ้าหน่ายมากขึน ได้มีการพัฒนาเป็นการตากแห้งในโรงเรือนหรือโดม
ท่ีออกแบบส้าหรับเพ่ือการนีโดยเฉพาะ เพื่อป้องกันแมลงและส่ิงปนเปื้อนอ่ืน ๆ หรือใช้ตู้อบแห้ง ซ่ึงสามารถ
ควบคมุ อุณหภูมแิ ละเวลาการอบไดด้ ีกว่าแบบทา้ ใหแ้ ห้งด้วยแสงแดด และอบได้ตลอดทงั ปี

ผลติ ภัณฑต์ ากแหง้ เปน็ วิธกี ารแปรรูปทงี่ ่าย มีหลากหลายรูปแบบขึนกับวิธีการเตรียมวัตถุดิบ
ก่อนน้าไปตากแห้ง มีทังล้างวัตถุดิบให้สะอาดแล้วท้าแห้งเลย เช่น ปลาตากแห้ง หมึกตากแห้ง ต้มวัตถุดิบ
ให้สุกก่อนท้าให้แห้ง เช่น กุ้งแห้ง หอยแมลงภู่ต้มตากแห้ง ปลิงทะเลตากแห้ง หรือปรุงรสวัตถุดิบด้วย
น้าตาลหรือสารปรุงรสอื่น ๆ ก่อนท้าแห้ง เช่น ปลาริวกิว ก้างปลาปรุงรสตากแห้ง ซ่ึงการท้าปลาแห้ง
สามารถใชไ้ ด้ทังปลาทะเลและปลาน้าจืด

ภำพท่ี 2 - 1 ผลิตภณั ฑ์ปลำตำกแหง้

51

3. ผลิตภัณฑ์รมควัน การรมควันมีทังแบบเย็นและแบบร้อน ส้าหรับประเทศไทย ผลิตภัณฑ์
รมควันส่วนใหญ่เป็นแบบรมควันร้อน ในกระบวนการรมควันจึงใช้ทังความร้อนซึ่งท้าให้ผลิตภัณฑ์สุก
และควันท้าให้ผลิตภัณฑ์มีกลิ่น รส เฉพาะตัว ทังนี วัสดุท่ีเลือกใช้ท้าควัน เช่น ไม้เนือแข็ง ขีเลื่อย
และชานอ้อย การรมควันผลิตภัณฑ์โดยตรง เป็นการออกแบบให้แหล่งก้าเนิดควันอยู่ชันล่าง และวางเรียง
ผลิตภัณฑ์ท่ีจะรมควันอยู่ชันบน เช่น การรมควันปลาช่อน ปลาสวาย ท่ีผลิตเป็นจ้านวนมากในปัจจุบัน
ในจังหวัดอยุธยา และบางจังหวัดในภาคเหนือและอีสาน ส่วนการรมควันอีกแบบ คือ การรมในตู้
ที่ประกอบด้วยส่วนท่ีให้ควันและส่วนรมควันแยกออกจากกัน การรมควันเป็นการแปรรูปที่ท้ากันมานาน
อาจมีการท้าเค็มหรือตากแห้งร่วมด้วย ผลิตภัณฑ์รมควันส่วนใหญ่จะแห้งและเค็ม ท้าให้ถนอมรักษาอาหาร
ได้นาน ผลิตภัณฑ์รมควันที่มีการผลิตและจ้าหน่ายทั่วไป ได้แก่ ปลาเนืออ่อน ปลาช่อน และปลาสวาย
รมควัน ซึง่ ปจั จบุ นั มกี ารส่งออกไปยังตา่ งประเทศโดยเฉพาะกลุ่มประเทศแอฟรกิ าดว้ ย

ภำพท่ี 2 - 2 ผลติ ภัณฑป์ ลำรมควัน

4. ผลิตภัณฑ์หมักดอง การหมักดองเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีของสารอินทรีย์
โดยการท้างานของเอนไซม์ การหมกั กรณีทใ่ี ช้เอนไซมจ์ ากเนือปลาและเครื่องในปลา จะเติมเกลือลงในสัตว์น้า
เพื่อยับยังการเจริญของจุลินทรีย์ท่ีท้าให้เกิดการเน่าเสีย ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี เช่น น้าปลา กะปิ
น้าบดู ู การหมกั กรณที ใ่ี ช้เอนไซม์จากจุลนิ ทรยี ์ร่วมกบั เอนไซมจ์ ากปลา จะตอ้ งเติมเกลือและคาร์โบไฮเดรท
เช่น ข้าวเจ้า ข้าวเหนียวด้วย ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี ได้แก่ ปลาร้า ปลาเจ่า ปลาส้ม ซึ่งมีผลิตและบริโภค
กันอย่างแพร่หลายในภาคอีสาน ผลิตภัณฑ์หมักดองหากแบ่งตามลักษณะทางกายภาพ สามารถแบ่งเป็น
ผลิตภณั ฑ์ท่ียังคงลักษณะเป็นชนิ ได้แก่ ปลาร้า ปลาส้ม ปลาทูเค็ม ปลาจ่อม ผลติ ภัณฑ์ทว่ี ัตถุดิบเปล่ียนไป
เป็นชินละเอียดหรือเป็นเนือบด เช่น กะปิ ส้มฟัก และผลิตภัณฑ์ที่ถูกย่อยจนเป็นของเหลว เช่น น้าปลา
นา้ บดู ู

52

ภำพท่ี 2 - 3 ผลติ ภัณฑ์ปลำรำ้ ปลำส้ม

ผ้ปู ระกอบกำรแปรรูปผลิตภณั ฑ์พืนเมือง

กลุม่ ผผู้ ลิตผลิตภณั ฑ์พืนเมืองมีขนาดก้าลังการผลิตหลากหลาย ตังแต่รายย่อย (กิจการที่มีรายได้
ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี1) ถึงขนาดย่อม (กิจการท่ีมีรายได้ไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อปี1) ขึนกับจ้านวน
แรงงานและการขยายทางการตลาด กลุ่มที่ผลิตเพ่ือจ้าหน่ายในตลาดท้องถิ่น ส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตรายย่อย
เช่น กลมุ่ แม่บ้าน กลุ่มเกษตรกรแปรรปู และกลุ่มวิสาหกจิ ชุมชนแปรรูป โดยผลิตครังละไม่มาก เช่น ปลาส้ม
ครังละ 50 กิโลกรัม และใช้แรงงาน 3 - 5 คน โดยสถานที่การผลิตเป็นโรงเรือนเรียบง่าย ในขณะท่ี
กลุ่มผูผ้ ลติ ที่มีการขยายตลาดไปยังจังหวัดต่าง ๆ หรือท่ีมีการส่งออกไปยังต่างประเทศ จะมีขนาดการผลิต
ท่ีใหญ่ขึน โดยเฉพาะผู้ประกอบการโรงงานน้าปลา ปลาแห้ง และน้าปลาปรุงรส มีโรงเรือนการผลิตที่เป็น
ลักษณะอาคารโรงงาน เน่ืองจากสินค้าต้องผ่านมาตรฐานกระบวนการผลิตของประเทศผู้ซือ กลุ่มผู้ผลิต
ที่รวมตัวแปรรูปผลิตผลิตภัณฑ์พืนเมืองจากภูมิปัญญาท้องถ่ิน ปัจจุบันได้รับการสนับสนุนและส่งเสริม
จากหน่วยงานราชการตา่ ง ๆ เพ่อื พัฒนาศักยภาพของกลุ่มและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้มากขึน
เกิดเป็นอาชีพที่ม่ันคง มีรายได้ท่ีย่ังยืน การส่งเสริมนีรวมไปถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีรูปลักษณ์ที่สวยงาม
ทงั ตัวผลิตภณั ฑ์ ภาชนะบรรจุภณั ฑ์ และเทคโนโลยีการผลิตท่ีช่วยให้อายุการเก็บรักษาของผลิตภัณฑ์นานขึน
สินค้าพืนเมืองที่ได้รับการส่งเสริมหลายชนิด ได้ผ่านมาตรฐานและได้รับเลขทะเบียนอาหารของส้านักงาน
อาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข และหลายชนิดได้รับการคัดสรรให้เป็นสินค้าโอท็อประดับประเทศ
เช่น ปลาร้าแจ่วบอง ปลาส้ม ปลากระตักตากแห้ง ท้าให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้า
กรมประมงได้เข้าไปมีบทบาทในการพัฒนาและส่งเสริมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูป ตังแต่ปี 2555 จนถึง
ปัจจุบัน มีจ้านวนทังสิน 121 ราย แบ่งเป็น กลุ่มน้าปลา 7 ราย กลุ่มปลาร้า ปลาส้ม กะปิ 59 ราย
กลุ่มตากแห้ง เค็มแห้ง 29 ราย และอ่ืน ๆ เช่น น้าพริก แจ่วบอง ข้าวเกรียบ 26 ราย ซ่ึงปัญหาที่พบ
ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการบริหารจัดการ การผลิตสุขลักษณะในการผลิต การขาดแคลนเงินทุน ท้าให้กลุ่ม
______________________________________
1 ตามค้านยิ ามของส้านกั งานส่งเสรมิ วิสาหกจิ ขนาดกลางและขนาดยอ่ ม

53

ไม่สามารถขยายก้าลงั การผลติ ได้ และโอกาสทางการตลาด อย่างไรก็ตาม มีหลายกลุ่มท่ีมีการด้าเนินการ
อย่างเขม้ แข็ง สามารถต่อยอดและพัฒนากลุ่มได้อยา่ งต่อเน่ือง

จากทป่ี จั จุบันเทคโนโลยีการผลิตผลิตภัณฑพ์ ืนเมอื งได้พฒั นาขึนมาก ขนาดของการผลิตได้เปลี่ยนจาก
ระดับครัวเรือนเป็นระดับอุตสาหกรรม มีการน้าเคร่ืองจักรท่ีทันสมัยมาใช้ในกระบวนการผลิตประเภทต่าง ๆ
เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน และมีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภคในประเทศและส่งออก
ไปยังต่างประเทศ เช่น โรงงานน้าปลา ใช้เครื่องบรรจุขวดที่ทันสมัย และระบบการตรวจสอบคุณภาพ
จนเป็นท่ียอมรับของประเทศคู่ค้า การผลิตผลิตภัณฑ์พืนเมืองมีปริมาณไม่มากเม่ือเทียบกับผลิตภัณฑ์กุ้งแช่แข็ง
และทูน่ากระป๋อง ซ่ึงเป็นสินค้าประมงหลักท่ีส่งออกในปัจจุบัน เช่น ปลาร้า มีการผลิตเฉลี่ย 40 ตันต่อปี
คิดเปน็ มลู คา่ 800 ล้านบาท และน้าปลา 110 ล้านลติ รต่อปี มลู ค่า 3,200 ลา้ นบาท (ส้านักเศรษฐกิจ
อุตสาหกรรม, 2563) ก่อให้เกิดรายได้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการที่เก่ียวข้อง ในส่วนของผู้ประกอบการ
โรงงานผลิตภัณฑ์พืนเมืองท่ีอยู่ในบัญชีรับรองการส่งออกของกรมประมง ในปี 2563 มีจ้านวน 63 ราย
แบ่งเป็นผู้ประกอบการน้าปลา 18 ราย ปลาร้า 5 ราย ปลาเค็ม ปลาตากแห้ง 15 ราย และอื่น ๆ เช่น
มนั กุง้ มันปู นา้ พรกิ ขา้ วเกรียบ 25 ราย (กองตรวจสอบคุณภาพสนิ คา้ ประมง, 2563)

แนวโน้มกำรผลติ ผลิตภณั ฑ์พนื เมอื ง

การส่งออกผลิตภัณฑ์พืนเมืองมีแนวโน้มขยายตัวมากขึน เนื่องจากการย้ายถิ่นฐานประกอบอาชีพ
ของคนไทยและคนเอเชียไปอยอู่ าศยั ตา่ งประเทศมากขนึ ผลิตภณั ฑ์พนื เมืองส่งออกส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่น้าไปใช้
ในการประกอบอาหาร เช่น น้าปลา ปลาร้า ปลาแห้ง กุ้งแห้ง ส่วนผลิตภัณฑ์พืนเมืองพร้อมบริโภค
ที่มีส่งออกบ้าง เช่น น้าปลาร้าปรุงรส หมึกปรุงรส น้าพริกเผา จากสถิติการส่งออกของกรมศุลกากร
ปี 2562 พบว่าการส่งออกน้าปลามีปริมาณ 61 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 2,078 ล้านบาท และปลาเค็ม
ปลาแหง้ ปลารมควนั มูลค่า 2,114 ล้านบาท

ด้วยวิถีความเป็นอยู่ของคนยุคปัจจุบันเปลี่ยนไป ประกอบกับมีการเคลื่อนย้ายการท้างานเข้าไป
ในชุมชนเมืองมากขึน การบริโภคผลิตภัณฑ์พืนเมืองจึงไม่ได้จ้ากัดเฉพาะประชากรในท้องถ่ินเหมือนท่ีเคย
เป็นมา ผู้บริโภคในชุมชนเมืองนิยมบริโภคอาหารแปรรูปมากขึน เน่ืองจากมีความสะดวกในการบริโภค
และรวดเรว็ ในการปรงุ อาหาร ดังนันผลิตภณั ฑ์พืนเมืองพร้อมบริโภค เช่น น้าปลาร้าปรุงรส ปลาส้มทอด
ปลาสลดิ ทอดกรอบ ปลาเส้น ปลาหยอง น้าพรกิ ปลาร้า น้าพริกปลาส้ม ผัดพริกขิงปลาสลิด ผัดพริกขิง
ปลาส้ม ปลาแห้งทอดคลุกผงปาปริก้าหรือผงชีส หรือเป็นผลิตภัณฑ์พร้อมปรุง เช่น ปลาส้มสายเดี่ยว
ปลาสม้ ไรก้ า้ ง จะสามารถตอบโจทยผ์ บู้ ริโภคไดม้ ากวา่ นอกจากนกี ารบรรจุท่ีทา้ ใหส้ ามารถเก็บรกั ษาผลติ ภัณฑ์
ได้นานขึนก็เป็นส่ิงจ้าเป็น เนื่องจากเป็นการเพิ่มโอกาสในการวางจ้าหน่ายสินค้าและการขยายทางการตลาด
ได้มากขึน ซึ่งผู้ประกอบการแปรรูปได้ปรับตัวและมีความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยีการผลิตและการบรรจุ
ในระดับหนึ่ง โดยการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ท่ีเหมาะสม สามารถแสดงรูปลักษณ์ของสินค้าได้ชัดเจน และรักษา
คุณภาพของผลิตภณั ฑ์ไดต้ ามระยะเวลาท่ตี ้องการ

54

ตามพระราชก้าหนดการประมง พ.ศ. 2558 และที่แก้ไขเพ่ิมเติมในพระราชก้าหนดการประมง
(ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2560 ไดก้ ้าหนดความหมายของผลติ ภณั ฑส์ ัตวน์ ้าและการแปรรปู สัตวน์ า้ ไวด้ ังนี

“ผลิตภัณฑ์สัตว์นำ” หมายความว่า ผลิตผลที่ได้จากการแปรรูปสัตว์น้าหรือที่ใช้สัตว์น้า
เป็นวัตถุดิบ

“กำรแปรรูปสตั วน์ ำ” หมายความว่า การกระท้าใด ๆ ที่เป็นการเปล่ียนสภาพสัตว์น้าส้าหรับ
ใช้เพื่อการอุปโภคหรือบริโภค แต่ไม่รวมถึงการบรรจุหีบห่อสัตว์น้าโดยไม่มีการเปลี่ยนสภาพของสัตว์น้า
หรือการเปลีย่ นสภาพสัตวน์ า้ เพ่อื บริการใหแ้ กผ่ ู้บริโภคโดยตรง

1) กำรแปรรปู สินคำ้ สตั วน์ ำ
การแปรรูปสินค้าสัตว์น้า เป็นการถนอมอาหารโดยใช้วิธีการต่าง ๆ เพ่ือยืดอายุการเก็บรักษา

ให้นานขึน ซ่ึงมีหลายวิธี เช่น การท้าแห้ง ท้าเค็ม รมควัน หมักดอง การถนอมอาหารโดยใช้ความร้อนสูง
การใหค้ วามเย็นและการแชแ่ ข็ง เป็นตน้ รูปแบบของวิธีการแปรรูปนันได้มีการพัฒนามาเป็นล้าดับ ในอดีต
การแปรรูปเป็นเพยี งการถนอมอาหารแบบง่าย เชน่ การทา้ แหง้ ท้าเคม็ เป็นตน้ ตอ่ มาเทคโนโลยีไดถ้ กู น้ามาใช้
เพื่อยืดอายุการเก็บรักษา เช่น การแช่แข็ง การให้ความร้อนด้วยอุณหภูมิสูง การฉายรังสี เป็นต้น จากสถิติ
การประมงแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2560 พบว่าผลผลิตจากการประมงของประเทศไทยนอกจากจะบริโภค
สดแลว้ ยังถูกใชป้ ระโยชน์ในรูปแบบตา่ ง ๆ จ้าแนกตามแหล่งท่มี าของวตั ถดุ บิ สตั วน์ า้ ไดด้ งั นี

1.1) การใชป้ ระโยชนผ์ ลผลิตสัตว์น้าจากทะเล โดยส่วนใหญ่ผลผลิตถูกใช้ประโยชน์ในรูปของ
การบรโิ ภคสดถงึ รอ้ ยละ 45.80 รองลงมาคือการแปรรูป โดยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 32.89 ได้แก่ สดแช่เย็น
แช่แขง็ กระป๋อง น่งึ ยา่ งรมควัน หมักดอง ท้าเค็มตากแห้ง อื่น ๆ และผลผลิตสัตว์น้าจากทะเลอีกร้อยละ
21.31 น้าไปผลิตเปน็ ปลาปน่ และอาหารสัตว์

1.2) การใช้ประโยชน์ผลผลิตสัตว์น้าจืด ผลผลิตสัตว์น้าจืดมีการใช้ประโยชน์ในรูปของ
การบริโภคสดถึงร้อยละ 78.26 รองลงมาคือการแปรรูป โดยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 21.74 ได้แก่ ท้าเค็ม
ตากแห้ง นึง่ ยา่ ง หมกั ดอง และอืน่ ๆ

55

2) โรงงำนแปรรูปสัตวน์ ำ

ในส่วนการแปรรูปสินค้าสัตว์น้าในเชิงอุตสาหกรรม โรงงานแปรรูปสัตว์น้าของไทย
มีจ้านวนมาก มีทังแปรรูปเพอ่ื จ้าหน่ายในประเทศและส่งออก จากข้อมูลสถิติการประมงแห่งประเทศไทย
พ.ศ. 2560 พบว่ามโี รงงานแปรรูปทังหมด 1,459 โรง แบง่ ตามประเภทโรงงาน ได้แก่ ห้องเย็น (Freezing)
147 โรง กระป๋อง (Canning) 66 โรง หมักดอง (Fermenting) 120 โรง น่ึงอบ (Steaming) 14 โรง
ย่างรมควัน (Smoking) 27 โรง ท้าเค็มตากแห้ง (Salting, Drying) 872 โรง ลูกชินปลา (Fish ball)
19 โรง ข้าวเกรียบกุ้ง - ปลา (Fish - Shrimp Cracker) 128 โรง และโรงงานปลาป่น (Reduction)
66 โรง ในสว่ นการแปรรูปสินค้าสัตว์น้าเพื่อการส่งออกในปี 2562 โรงงานแปรรูปสินค้าสัตว์น้าส่งออก
ของไทย ท่ีอยู่ในบัญชีรายช่ือการรับรองของกรมประมงมีจ้านวน 332 โรง แบ่งตามประเภทได้เป็น
3 ประเภทหลกั ไดแ้ ก่

2.1) โรงงานผลิตสินคา้ แชเ่ ยือกแขง็ เช่น กุ้งแชแ่ ข็ง หมกึ แช่แข็ง เปน็ ต้น
2.2) โรงงานผลิตสินค้าท่ีแปรรูปโดยความร้อนสูง เช่น ปลากระป๋อง หอยลายกระป๋อง
เปน็ ตน้
2.3) โรงงานผลติ สนิ คา้ พนื เมอื ง เช่น น้าปลา กะปิ เปน็ ตน้

ปัจจุบันรูปแบบสินค้าสัตว์น้าส่งออกของไทยถูกพัฒนาให้มีหลากหลายมากขึน เช่น สินค้า
มูลค่าเพิ่ม (Value added product) เช่น กุ้งชุบแป้ง เป็นต้น สินค้าพร้อมทาน (Ready to eat) เช่น
ปูเทียม เป็นต้น และสินค้าประเภท Composite food (อาหารท่ีมีส่วนผสมทังสินค้าจากสัตว์และจากพืช)
เช่น ข้าวผัดกุ้งแช่แข็ง ซูชิแช่แข็ง เป็นต้น ทังนีโรงงานท่ีอยู่ในการรับรองของกรมประมงจะต้องจัดท้า
ระบบการควบคุมสุขลักษณะ (GMP) และระบบการวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุม (HACCP)
โดยกรมประมงจะตรวจประเมินโรงงานที่ได้รับการรับรองอย่างสม้่าเสมอ รวมถึงจะออกใบรับรอง GMP
และ HACCP ให้กับโรงงานท่ีผ่านมาตรฐาน นอกจากนีกรมประมงจะออกใบรับรองสุขอนามัยผลิตภัณฑ์
สัตว์นา้ (Health Certificate) เพื่อรับรองว่าผลิตภัณฑ์สัตว์น้าส่งออกมีการควบคุมและดูแลคุณภาพ
วัตถุดิบ กรรมวิธีการผลิต และคุณภาพผลิตภัณฑ์สัตว์น้าเป็นไปตามหลักเกณฑ์ท่ีกรมประมงหรือประเทศ
ผ้นู า้ เข้าก้าหนด

ในปัจจุบันนอกจากโรงงานแปรรูปสินค้าสัตว์น้าส่งออกของไทยจะต้องควบคุมการผลิต
ให้ได้ตามเกณฑ์มาตรฐานสากลเพ่ือให้สินค้ามีคุณภาพ ความปลอดภัยต่อการบริโภคแล้ว โรงงานยังได้มี
การนา้ เทคโนโลยตี ่าง ๆ มาใชเ้ พ่ือสนับสนนุ การปฏิบตั งิ านด้วย เช่น การน้าเทคโนโลยีหรอื ระบบอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์
มาใช้ในการตรวจสอบย้อนกลับสินค้า (Traceability) เพ่ือให้สามารถตามสอบและตรวจสอบย้อนกลับ
ได้ตลอดสายการผลิต สามารถเรียกคืนสินค้าได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว อีกทังผู้ซือก็สามารถทราบถึง
แหล่งท่ีมาของวัตถุดิบสัตว์น้าว่ามาจากฟาร์มใดหรือแหล่งจับพืนที่ใด ท้าให้เป็นการเพ่ิมมูลค่าให้กับสินค้า
ได้อีกทางหนงึ่ ดว้ ย

56

เอกสำรอ้ำงอิง

กรมประมง, 2562. หนังสือสถิติการประมงแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2561. กรมประมง กระทรวงเกษตร
และสหกรณ์ เอกสารฉบับท่ี 10/2563.

กรมศุลกากร. สถิติการส่งออก. แหล่งทมี่ า http://www.customsgo.th 9 ธนั วาคม 2563.
กองตรวจสอบคุณภาพสินคา้ ประมง กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. รายชื่อสถาประกอบการ.

แหล่งทม่ี า https://www.fisheries.go.th/quality/ 27 พฤศจิกายน 2563.
สา้ นกั เศรษฐกจิ อุตสาหกรรม กระทรวงอตุ สาหกรรม. รายงานสถติ อิ ุตสาหกรรม. แหลง่ ทีม่ า

https://indexes.oie.go.th/ 27 พฤศจกิ ายน 2563.

57

58

ชื่อ นายวฒุ ชิ ัย วังคะฮาต
วฒุ ิ วทิ ยาศาสตรมหาบณั ฑิต (วิทยาศาสตรก์ ารประมง)
ตำแหน่ง ประมงจงั หวดั กาฬสินธ์ุ
หนว่ ยทีเ่ ขียน ตอนที่ 3.1 เรอื่ งที่ 3.1.1

ช่ือ นายปวโรจน์ นรนาถตระกูล
วฒุ ิ Doctor of Philosophy

(Aquaculture and Aquatic Resource Management)
ตำแหน่ง หัวหนา้ กลมุ่ ประเมนิ สภาวะทรัพยากรประมง
หน่วยที่เขียน ตอนที่ 3.1 เร่ืองที่ 3.1.2

ช่อื นายฎกี า รัตนชานอง
วุฒิ วทิ ยาศาสตรมหาบณั ฑติ (วิทยาศาสตรก์ ารประมง)
ตำแหนง่ หัวหนา้ กลมุ่ วิจัยการจัดการประมงนาจดื
หน่วยทเี่ ขียน ตอนท่ี 3.2

59

60

ในพระราชกาหนดการประมง พ.ศ. 2558 และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2560 หมวด 2 การบริหาร
จัดการด้านการประมง ได้กล่าวในมาตรา 12 บทบัญญัติในหมวดนี มีวัตถุประสงค์เพ่ือกาหนดนโยบาย
และกากับดูแลการบริหารจัดการด้านการประมง และการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์นาให้เป็นไปตามหลัก
ธรรมาภิบาล และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้ท่ีเก่ียวข้อง เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์นา
อยู่ในภาวะที่เหมาะสม และสามารถทาการประมงได้อย่างย่ังยืน โดยใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุด
และคานึงถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคม และส่ิงแวดล้อม ภายใต้แนวทางการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ
และหลักป้องกันล่วงหน้า ตลอดจนเพ่ือรักษาหรือฟื้นฟูระดับทรัพยากรสัตว์นาให้อยู่ในระดับที่สามารถ
ก่อให้เกิดผลผลิตสูงสุดของสัตว์นาท่ีสามารถทาการประมงได้อย่างย่ังยืน โดยมีการป้องกันและขจัด
การทาประมงท่ีเกินศักย์การผลิต และขีดความสามารถในการทาการประมงส่วนเกิน เพื่อควบคุมมิให้
การทาการประมงมีผลบน่ั ทอนความยั่งยืนของทรัพยากรสัตว์นา

จากบทบญั ญตั ิในพระราชกาหนดการประมง จงึ ทาใหก้ ารบรหิ ารจัดการดา้ นการประมง มีความ
สอดคลอ้ งกับมาตรฐานสากล สามารถกาหนดแนวทางในการอนุรกั ษแ์ ละบริหารจัดการแหล่งทรัพยากรประมง
และสตั ว์นาให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างยัง่ ยนื

การบริหารจัดการด้านการจับสัตว์นาในทะเลตามพระราชกาหนดการประมง ได้แบ่งการทาประมง
ในทะเลของประเทศไทยเป็น 2 ส่วน ตามมาตรา 5 ดงั นี

“ประมงพืน้ บ้ำน” หมายความว่า การประมงในเขตทะเลชายฝั่งไม่ว่าจะใช้เรือประมง หรือใช้
เคร่ืองมือโดยไม่ใชเ้ รอื ประมง ทังนี ทมี่ ิใช่เป็นประมงพาณชิ ย์

“ประมงพำณิชย์” หมายความว่า การทาการประมงโดยใช้เรือประมงตังแต่สิบตันกรอสขึนไป
หรอื ท่ใี ช้เครอ่ื งยนต์ทีม่ ีกาลงั แรงม้าถึงขนาดท่ีรฐั มนตรปี ระกาศกาหนด หรอื ใชเ้ รอื ประมงโดยมีหรอื ใช้เครื่องมือ
ทาการประมงตามประเภท วิธี จานวนแรงงานที่ใช้ หรือลักษณะการทาการประมงตามที่รัฐมนตรีประกาศ
กาหนด และให้หมายความรวมถึงการใช้เรือประมงดังกล่าวทาการแปรรูปสัตว์นา ไม่ว่าจะมี การทา
การประมงด้วยหรือไม่กต็ าม

61

สถิติปริมาณการจับสัตว์นาจากการทาประมงพืนบ้านปี 2561 (กรมประมง, 2562) รายงานว่า
ปริมาณการจบั สตั วน์ าจากการทาประมงพืนบา้ นปี 2561 มีปรมิ าณการจับรวมทังสิน 141,053 ตัน โดยในปีนี
สัตวน์ าประเภทแมงกะพรุน มีปริมาณการจบั มากทสี่ ดุ เมื่อเทียบกับสัตว์นาชนิดอ่ืน เท่ากับ 55,771.61 ตัน
รองลงมาเปน็ สัตวน์ าประเภทปลา มีปริมาณการจับจานวน 36,757.18 ตัน ซ่ึงเป็นปลาเศรษฐกิจมีราคา
จานวน 36,396.49 ตัน หรือร้อยละ 99.02 ของปริมาณปลาที่จับได้จากการทาประมงพืนบ้านทังหมด
ที่เหลอื เปน็ ปลาเป็ดจานวน 360.69 ตนั หรือรอ้ ยละ 0.98

สัตว์นาประเภทกุ้ง จับได้จานวน 16,964.09 ตัน โดยกุ้งท่ีจับได้มากท่ีสุด 3 อันดับแรก ได้แก่
เคย 9,924.6 ตัน ร้อยละ 58.50 ของปริมาณกุ้งทังหมด ซึ่งจับได้จากเครื่องมือประเภทอวนรุนเคย
รองลงมาคือกงุ้ แชบว๊ ย 3,256.17 ตนั และก้งุ อน่ื ๆ 1,717.38 ตนั

สัตว์นาประเภทปู จับได้จานวน 15,011.39 ตัน ปูม้าจับได้มากท่ีสุดเท่ากับ 13,583.31 ตัน
หรือร้อยละ 90.46 ของปริมาณปูทังหมด ส่วนใหญ่จับได้จากเครื่องมืออวนจมปู รองลงมาเป็นปูอื่น ๆ
1,182.22 ตัน และปูทะเลจานวน 245.86 ตัน

สัตว์นาประเภทหมึก จับได้จานวน 13,585.08 ตัน หมึกกล้วยจับได้มากท่ีสุดเท่ากับ 8,980.93
ตัน หรือร้อยละ 66.11 ของปริมาณหมึกทังหมด ส่วนใหญ่จับได้จากอวนครอบหมึก รองลงมาเป็น
หมกึ สาย จบั ได้จานวน 2,388.46 ตัน หมกึ หอม 1,867.87 ตัน และหมึกกระดองจานวน 347.82 ตนั

สตั วน์ าประเภทหอย มปี รมิ าณการจับ 2,559.64 ตัน โดยหอยท่ีจับได้มากท่ีสุดคือ หอยอ่ืน ๆ
จับได้ 2,522.36 ตัน หรือร้อยละ 97.82 ของปริมาณหอยที่จับได้จากการทาประมงพืนบ้านทังหมด
รองลงมาเป็นประเภทหอยลาย จับได้จานวน 20 ตัน หอยเชลล์ 16.37 ตัน และหอยแครงจานวน
0.91 ตัน

สัตว์นาอื่น ๆ (รวมปลิงทะเล และสาหร่ายทะเล) มีปริมาณการจับรวมทังสิน 404.01 ตัน
ดงั แสดงในตารางที่ 3 - 1

62

ตำรำงที่ 3 - 1 ปริมำณกำรจบั สตั ว์น้ำจำกกำรทำประมงพ้นื บ้ำนจำแนกตำมกล่มุ สตั วน์ ำ้
และแหลง่ ทำกำรประมง ปี 2561

กลุ่มสัตว์นำ้ รวมท้ังประเท อ่ำว ทย อนั ำมัน
ปลำ 36,757.18 24,998.75 11,758.43
กงุ้ 16,964.09 15,547.21 1,416.88
ป 15,011.39 11,455.48 3,555.91
หมก 13,585.08 12,766.33 818.75
หอย 2,559.64 2,541.92
55,771.61 7,779.26 17.72
แมงกะพรนุ 404.01 47,992.35
สัตวน์ ้ำอ่นื 141,053.00 29.88 374.13
75,118.83 65,934.17
รวม

จำนวนเรอื ประมงพ้ืนบำ้ น

เม่ือพิจารณาจากพระราชกาหนดการประมง เรือท่ีมีขนาดต่ากว่าสิบตันกรอส จะถือว่า
เป็นเรือประมงพืนบ้าน ยกเว้นเรือท่ีมีขนาดตามมาตรา 174 ซึ่งเป็นเรือที่มีขนาดตังแต่สิบตันกรอสขึนไป
แต่ไม่ถึงสิบห้าตันกรอส และได้จดทะเบียนเป็นเรือสาหรับการประมง และได้รับอาชญาบัตรอยู่ในวันที่
ก่อนพระราชกาหนดนีใช้บังคับ อธิบดีจะอนุญาตให้ทาการประมงพืนบ้านต่อไปจนกว่าจะเลิกทาการ
ประมงก็ได้

ข้อมูลเรือประมงพืนบ้านที่ได้จดทะเบียนที่กรมเจ้าท่ามีจานวน 26,788 ลา (กรมประมง,
2561) เป็นเรือประมงฝงั่ อ่าวไทยจานวน 21,086 ลา และฝง่ั อันดามนั จานวน 5,692 ลา

เครื่องมือประมงท่ีใช้เป็นประเภทอวนติดตามากท่ีสุด ร้อยละ 64.13 ซึ่งได้แก่ อวนจมกุ้ง
ร้อยละ 16.21 และอวนจมปู ร้อยละ 15.34

เคร่ืองมือประมงที่ใช้มากรองลงมาคือประเภทลอบ ร้อยละ 7.16 ได้แก่ ลอบปูม้า ร้อยละ
2.61 และลอบหมกึ ร้อยละ 2.56

63

กำรกำหน เขตทำกำรประมงพื้นบำ้ น

ในพระราชกาหนดการประมง พ.ศ. 2558 (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2560) ได้กาหนด
เขตทาการประมงสาหรับประมงพืนบ้านตามมาตรา 34 “ห้ามมิให้ผู้ได้รับใบอนุญาตทาการประมงพืนบ้าน
ทาการประมงในเขตทะเลนอกชายฝ่ัง เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากอธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายในการ
อนุญาตดังกล่าว อธิบดีจะอนุญาตเป็นการทั่วไปก็ได้ โดยจะกาหนดหลักเกณฑ์และเง่ือนไขในการทาการ
ประมงในเขตทะเลนอกชายฝ่ังดว้ ยก็ได้”

ดังนันภายใต้มาตรา 34 การประมงที่ได้รับอนุญาตให้ทาการประมงพืนบ้าน จึงต้องทา
การประมงในเขตทะเลชายฝ่ัง ซึ่งเป็นเขตพืนที่ตามมาตรา 5 “ทะเลชายฝ่ัง หมายความว่า ทะเลที่อยู่ใน
ราชอาณาจักรนับจากแนวชายฝ่ังทะเลออกไปสามไมล์ทะเล เว้นแต่กรณีที่มีความจาเป็นเพื่อประโยชน์ในการ
บริหารจัดการทรัพยากรสัตว์นา จะออกกฎกระทรวงกาหนดให้เขตทะเลชายฝั่งในบริเวณใด มีระยะนับจาก
แนวชายฝั่งทะเลออกไปน้อยหรือมากกว่าสามไมล์ทะเลก็ได้ แต่ต้องไม่น้อยกว่าหน่ึงจุดห้าไมล์ทะเล
และไมเ่ กินสิบสองไมล์ทะเล โดยให้มีแผนทแ่ี สดงแนวเขตบริเวณท่ีกาหนดแนบทา้ ยกฎกระทรวงดว้ ย”

จะเห็นไดว้ ่าในเขตทะเลชายฝงั่ ท่ีมีความออ่ นไหวของระบบนเิ วศ การบริหารจัดการจึงต้องการให้
มีการกาหนดเง่ือนไขในการทาประมง ท่ีอาจส่งผลกระทบต่อทรัพยากรสัตว์นาและระบบนิเวศ ซ่ึงนอกจาก
จะใช้ข้อมูลหลักฐานทางวิทยาศาสตร์แล้ว ยังต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของชุมชนประมงท้องถ่ินในการกาหนด
เงื่อนไขการทาประมงในแตล่ ะพืนทดี่ ้วย

เครื่องมอื ประมงทีท่ ำประมงในเขตทะเลชำยฝั่ง

ในการบรหิ ารจัดการการทาประมงในเขตทะเลชายฝั่งตามพระราชกาหนดการประมง พ.ศ. 2558
ได้กาหนดขนาดของเรือประมงท่ีให้ทาการประมงในเขตทะเลชายฝ่ัง ต้องเป็นเรือประมงท่ีมีขนาดไม่เกิน
สบิ ตนั กรอส และเรอื ประมงตามมาตรา 174 (“ผู้ใดทาการประมงโดยใช้เรือประมงท่มี ขี นาดตงั แตส่ ิบตันกรอส
ขึนไปแต่ไม่ถึงสิบห้าตันกรอส และได้จดทะเบียนเป็นเรือสาหรับการประมง และได้รับอาชญาบัตรอยู่ในวัน
ก่อนวันท่ีพระราชกาหนดนีใช้บังคับ อธิบดีจะอนุญาตให้ทาการประมงพืนบ้านต่อไปจนกว่าจะเลิกทาการ
ประมงก็ได”้ ) ดงั นัน เครื่องมือประมงที่สามารถทาการประมงในเขตทะเลชายฝ่ัง จึงเป็นเคร่ืองมือประมง
ที่มปี ระสิทธภิ าพต่า เชน่ อวนติดตา ลอบ เบ็ด เป็นต้น

ในการกาหนดเครอ่ื งมอื ประมงท่ไี มส่ ามารถทาการประมงในเขตทะเลชายฝ่งั ตามพระราชกาหนด
การประมงนัน ให้อานาจรัฐมนตรีหรือคณะกรรมการประมงประจาจังหวัดมีอานาจในการออกประกาศ
กาหนดตามมาตรา 71

64

ตวั อย่ำงเคร่อื งมือประมงท่ที ำกำรประมงในเขตทะเลชำยฝ่ัง

เครื่องมือประมงประเภทครำ (Dredges)

คราดหอยตลบั คราดหอยตลับ

ภำพที่ 3 - 1 เคร่ืองมอื ประเภทครำ

เครอื่ งมือประมงประเภทอวนชอ้ น อวนยก (Lift Nets)

จน่ั ปู ยอปกี
ภำพท่ี 3 - 2 เครอ่ื งมือประเภทอวนชอ้ น อวนยก

65

เครื่องมือประมงประเภทอวนครอบ (Falling Nets)

แห แหหมกึ
ภำพที่ 3 - 3 เครอ่ื งมอื ประเภทอวนครอบ

เครื่องมอื ประมงประเภทอวนติ ตำ (Gillnets and Entangling Nets)

อวนติดตาปลาทู อวนลอยปลากระบอก

ภำพที่ 3 - 4 เครอ่ื งมือประเภทอวนติ ตำ

66

อวนจมปลาเหด็ โคน อวนตดิ ตาปลาหลังเขยี ว

อวนจมหมึก อวนตดิ ตาปลากระบอก

ภำพที่ 3 - 4 เครอื่ งมือประเภทอวนติ ตำ (ต่อ)

เครอื่ งมอื ประมงประเภทอวนรนุ (Push Net)

ระวะรนุ เคย อวนรุนเคย

ภำพที่ 3 - 5 เครือ่ งมือประเภทอวนรนุ

67

เครื่องมอื ประมงประเภทลอบ (Pots, Traps)

ลอบปลา ลอบปลา
ลอบปลากะรงั
ลอบปลา

ลอบปลา

ลอบปู ลอบหมึกสาย (ก๊งุ กิ๊ง)
ภำพที่ 3 - 6 เครื่องมอื ประเภทลอบ

68

ลอบหมกึ หอม ลอบหอยหวาน

ภำพท่ี 3 - 6 เครอื่ งมือประเภทลอบ (ตอ่ )

เคร่อื งมอื ประเภทโป๊ะ (Pound Nets, Set Nets)

ภำพท่ี 3 - 7 เครื่องมอื ประเภทโป๊ะน้ำตนื้
เครือ่ งมือประเภทโพงพำง (Set Bagnets, Stow Nets)

ภำพท่ี 3 - 8 เครอ่ื งมอื ประเภทโพงพำง

69

เครอื่ งมือประมงประเภทเบ็ (Hooks and Lines)

เบด็ ตกปลา เบ็ดตกหมึก

เบ็ดลากปลาอนิ ทรี เบ็ดราวปลากะเบน

ภำพท่ี 3 - 9 เคร่อื งมือประเภทเบ็

เครื่องมอื ประมงประเภทเบ็ เตล็ (Miscellaneous Gears)

เฮยี หอยกระพง กระดานถบี

ภำพที่ 3 - 10 เครอ่ื งมือประเภทเบ็ เตล็

70

ตะขอ ฉมวก ส้อม เรือผีหลอก

ภำพท่ี 3 - 10 เครื่องมือประเภทเบ็ เตล็ (ต่อ)

กำรบริหำรจั กำรกำรทำประมงในเขตทะเลชำยฝ่งั

ในการบริหารจัดการประมงตามพระราชการหนดการประมง พ.ศ. 2558 และที่แก้ไขเพ่ิมเติม
พ.ศ. 2560 ได้กาหนดไว้ในหมวด 2 การบริหารจัดการด้านการประมง มาตรา 22 “บทบัญญัตินี
มีวัตถุประสงค์เพื่อกาหนดนโยบายและกากับดูแลการบริหารจัดการด้านการประมง และการอนุรักษ์
สัตว์นาให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้ท่ีเก่ียวข้อง เพ่ือให้การบริหาร
จัดการทรัพยากรสัตว์นาอยู่ในสภาวะท่ีเหมาะสม และสามารถทาการประมงได้อย่างยั่งยืน โดยใช้
หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ท่ีดีท่ีสุด และคานึงถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคม และส่ิงแวดล้อม ภายใต้
แนวทางการรักษาสมดุลของระบบนิเวศและหลักการป้องกันล่วงหน้า ตลอดจนเพ่ือรักษาหรือฟ้ืนฟูระดับ
ทรพั ยากรสตั ว์นา ท่ีสามารถทาการประมงไดอ้ ย่างยั่งยนื โดยใชห้ ลกั ฐานทางวิทยาศาสตร์ท่ีดีทีส่ ดุ และคานึงถงึ
ปจั จยั ทางเศรษฐกิจ สงั คม และส่ิงแวดล้อม ภายใต้แนวทางการรักษาสมดุลของระบบนิเวศและหลักการ
ป้องกันล่วงหน้า ตลอดจนเพื่อรักษาหรือฟื้นฟูระดับทรัพยากรสัตว์นาที่สามารถทาการประมงได้อย่างย่ังยืน
โดยมีการป้องกันและขจัดการทาการประมงที่เกินศักย์การผลิตและขีดความสามารถในการทาการประมง
ส่วนเกิน เพอื่ ควบคุมมใิ ห้การทาการประมงมผี ลบ่ันทอนความยง่ั ยืนของทรพั ยากรสตั ว์นา”

จะเห็นว่าในบทบัญญัตินี การบริหารจัดการประมงจึงให้ความสาคัญกับการมีส่วนร่วม
ของประชาชน และหลักฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ท่ีต้องรักษาสมดุลของระบบนิเวศ ดังนันจึงได้กาหนด
ให้กรมประมงต้องมีหน้าที่ในการให้การสนับสนุนส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการประมง
ตามมาตรา 25 แหง่ พระราชกาหนดการประมงฉบับนี

มาตรา 25 “เพอ่ื ส่งเสรมิ การมีสว่ นร่วมและสนบั สนนุ ชุมชนชาวประมงท้องถิ่นในการจัดการ
การบารุง รักษา การอนุรักษ์ การฟ้ืนฟู และการจัดการใช้ประโยชน์อย่างย่ังยืนจากทรัพยากรสัตว์นา

71

ภายในท่ีจับสัตว์นาเขตประมงนาจืดหรือเขตทะเลชายฝ่ัง ให้กรมประมงดาเนินการให้ความช่วยเหลือ
หรือสนบั สนนุ ในเรอ่ื งดังต่อไปนี

(1) สนบั สนุนการมีสว่ นรว่ มของชมุ ชนประมงทอ้ งถ่นิ ในการจัดทานโยบายตามมาตรา 19 (1)
“กาหนดนโยบายการพัฒนาประมงในนา่ นนาไทย ให้สอดคล้องกับปรมิ าณของทรัพยากรสัตว์นา และขีดความ
สามารถการทาการประมง โดยคานงึ ถึงจดุ อ้างอิงเปน็ สาคัญ”

(2) สนับสนุนให้มีการรวมกลุ่ม และจัดให้มีการขึนทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถ่ิน
ตามหลักเกณฑ์ทอ่ี ธิบดปี ระกาศกาหนด

(3) ให้คาปรึกษาแก่ชุมชนประมงท้องถิ่นในการจัดการ การบารุงรักษา การอนุรักษ์ การฟื้นฟู
และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรสัตว์นา รวมทังการช่วยเหลือและสนับสนุนการดาเนินงานโครงการ
หรือกิจกรรมของชมุ ชนในเรอ่ื งดงั กล่าว

(4) เผยแพรค่ วามร้หู รือข้อมลู ขา่ วสารเก่ยี วกบั การจัดการ การบารุงรักษา การอนุรักษ์ การฟื้นฟู
และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรสัตว์นา

ดังนัน ในการบริหารจัดการประมงในเขตทะเลชายฝั่งจึงกาหนดให้คณะกรรมการประมงประจา
จังหวัด เปน็ องค์กรทมี่ ีหนา้ ทใ่ี นการเสนอแนะแนวทางในการบรหิ ารจัดการการทาประมงและทรัพยากรสัตว์นา
ในเขตพนื ที่ รวมทังแนวทางในการพฒั นาและแกไ้ ขปญั หาการประมงด้วย

คณะกรรมกำรประมงประจำจังหวั

องค์ประกอบของคณะกรรมการประมงประจาจงั หวัดประกอบด้วยผู้ว่าราชการประจาจังหวัดเป็น
ประธานกรรมการ ผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้แทนกรมเจ้าท่า อัยการจังหวัด
ซึ่งเป็นหัวหน้าท่ีทาการอัยการจังหวัด พาณิชย์จังหวัด นายอาเภอในเขตท้องท่ีท่ีมีการประมง นายกองค์การ
บริหารส่วนจังหวัด ประธานสภาเกษตรกรจังหวัด เป็นกรรมการโดยตาแหน่ง และผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งผู้ว่า
ราชการจงั หวดั แตง่ ตงั จานวนไม่เกิน 13 คน เป็นกรรมการ โดยมปี ระมงจงั หวัดเป็นกรรมการและเลขานกุ าร

กรรมการผูท้ รงคณุ วุฒิซึ่งผวู้ า่ ราชการจังหวดั แต่งตังจานวนไม่เกิน 13 คน โดยพจิ ารณาจาก
(1) ผ้แู ทนองคก์ รชมุ ชนชาวประมงทอ้ งถนิ่ ในด้านการประมงทะเลชายฝั่ง ด้านการประมง

ทะเลนอกชายฝั่ง ด้านการประมงนาจืด ด้านการเพาะเลียงสัตว์นา หรือด้านการแปรรูปสัตว์นา ท่ีได้ขึน
ทะเบียนไว้

(2) ผู้มีความรู้หรือประสบการณ์การดาเนินงานในด้านการประมง หรือด้านทรัพยากร
ธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อมไม่เกินสามคน

72

กำรมีส่วนร่วมภำคประชำชนผ่ำนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นในกำรบริหำรจั กำรในพื้นท่ี
เฉพำะของกลุม่ ชำวประมง

องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นตาม พรก. ฉบับนีมคี ุณสมบัตดิ งั นี
1. ชุมชนประมงท้องถิ่น หมายความว่า กลุ่มประชาชนท่ีอยู่ร่วมกันในพืนที่หมู่บ้าน

ตาบล อาเภอ หรือจังหวัด ท่ีรวมตัวกันโดยมีวัตถุประสงค์หรือกิจกรรมท่ีเก่ียวข้องโดยตรงกับการประมง
ร่วมกัน เพือ่ ชว่ ยเหลอื หรือสนบั สนุนกนั หรอื ทากิจกรรมรว่ มกัน มีการดาเนินการอย่างต่อเน่ืองและมีระบบ
บรหิ ารจดั การและการแสดงเจตนาแทนกลุ่มได้

2. มสี มาชิกรวมกันไม่นอ้ ยกว่า 7 คน โดยบุคคลดงั กลา่ วตอ้ งไมอ่ ย่ใู นครอบครัวเดียวกนั
3. สมาชิกขององคก์ ร ต้องเป็นบคุ คลสญั ชาติไทย
4. สมาชิกขององค์กร ต้องเป็นผู้ประกอบอาชีพการประมง และมีภูมิลาเนาหรือประกอบ
อาชพี การประมงอยใู่ นเขตพนื ท่ีชมุ ชนประมงท้องถิ่นนัน
จากการขึนทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นตามประกาศกรมประมง เร่ืองหลักเกณฑ์
การขึนทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น พ.ศ. 2558 จากข้อมูลของกรมประมงเมื่อกันยาน 2562
มีองค์กรที่ขึนทะเบียนใน 23 จังหวัดชายทะเล จานวนทังหมด 546 องค์กร ดังแสดงตามภาพที่ 3 - 11
(กองนโยบายและยุทธศาสตร์พัฒนาการประมง, 2562)

ภำพที่ 3 - 11 จำนวนชุมชนประมงทอ้ งถิน่ ้ำนกำรประมงทะเลชำยฝง่ั ใน 23 จังหวั ชำยฝ่ังทะเล
ทั้งฝ่งั อ่ำว ทยและทะเลอนั ำมนั

73

จากรายงานของกองนโยบายและยทุ ธศาสตรพ์ ฒั นาการประมง (2562) รายงานถึงสภาพปัญหา
ของชาวประมงพืนบ้าน และความต้องการรับการสนับสนุนทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และการประกอบ
อาชพี ดังแสดงในตารางที่ 3 - 2 – 3 - 4

ตำรำงท่ี 3 - 2 สภำพปัญหำของชำวประมงพนื้ บ้ำนและควำมต้องกำรรับกำรสนบั สนุน ้ำนสงั คม

้ำนสงั คม สภำพปัญหำ ควำมต้องกำรรับกำรสนับสนนุ
1. บ้ำนเรือนท่อี ย่อำ ยั - ทีอ่ ยู่อาศัยค่อนข้างเสอื่ มโทรม - สนบั สนนุ วัสดุ อปุ กรณ์ในการซ่อมแซม
- ไม่มกี รรมสทิ ธิ์ในท่ีดิน - ต้องการเอกสารสทิ ธ์ิในทีด่ ิน
2. แรงงำน - จัดทากาแพงกนั คล่ืน
- มนี าทว่ มขงั และเกิดการกัดเซาะ
3. ทีท่ ำกิน บรเิ วณชายฝัง่
4. กำรสำธำรณสุข
- ขาดแคลนแรงงาน - แก้ไขกฎหมายใหต้ รงตามสภาพความ
5. สำธำรณปโภคขน้ั - แรงงานท่ีมอี ยเู่ ปน็ แรงงานสงู อายุ เป็นจรงิ ให้เดก็ อายตุ ่ากวา่ 18 สามารถ
พ้นื ฐำน - มีข้อจากดั ด้านอายใุ นการประกอบ ทาการประมงได้
6. อน่ื อาชีพ

- ไม่มที ี่ดนิ ทากนิ เป็นของตวั เอง - จัดสรรท่ีดินทาดนิ ให้เปน็ หลักแหล่ง
- พนื ทใ่ี นการทาการประมงไมเ่ พียงพอ ในรูปของนคิ ม
- จัดแบง่ เขตพืนท่เี ครื่องมือให้ชดั เจน
- ปญั หาของสตั วแ์ ละแมลงทีเ่ ปน็ พาหะ
ของโรคติดตอ่ - สนบั สนุนเจา้ หนา้ ท่ใี ห้บริการ
- สภาพแวดล้อมที่อยู่อาศยั ไมถ่ กู ประชาชน
สขุ ลักษณะ - ฝกึ อบรม ให้ความรดู้ ้านการจัดการ
สาธารณสุข

- ขาดแคลนนาประปาเพือ่ การอปุ โภค - ประสานหน่วยงานทเ่ี กย่ี วข้อง
บรโิ ภค เพือ่ พัฒนาระบบสาธารณปู โภค
- ขาดแคลนไฟฟ้า และระบบการ
คมนาคม

- ปญั หายาเสพตดิ ในพืนที่ - สง่ เสรมิ การรวมกลุ่มทากิจกรรมตา่ ง ๆ

- ส่งเสริมการศึกษาใหแ้ ก่เยาวชนในพืนท่ี

74

ตำรำงที่ 3 - 3 สภำพปญั หำของชำวประมงพน้ื บำ้ นและควำมต้องกำรรบั กำรสนับสนนุ ้ำนเ รษฐกิจ

้ำนเ รษฐกจิ สภำพปัญหำ ควำมตอ้ งกำรรับกำรสนบั สนุน
1. รำย ้เฉลีย่ - มีรายได้ท่ไี ม่แนน่ อน - สนบั สนุนการเพิม่ ทรพั ยากรสตั วน์ า
ของชำวประมง - สง่ เสริมให้ชาวประมง มรี ายได้เพิม่ ขึน
- ส่งเสริมใหส้ ามารถทาการประมงท่ี
2. สภำพหนส้ี ิน หลากหลายขนึ

3. แหล่งเงนิ ทุน - ส่วนใหญ่มีหนสี ินทงั ในและนอกระบบ - จดั ตังกองทุนเพือ่ จดั หาเครอื่ งมอื ในการ

4. สภำพกำรมงี ำน - เกิดจากการใช้เป็นตน้ ทุนในการทา ประกอบอาชีพ
ทำ
การประมงทงั การซ่อมแซมเรือ และ - ต้องการให้ภาครัฐสนับสนนุ เงินกู้
5. สภำพกำรตลำ
กำรจำหน่ำยสินค้ำ เครื่องมือประมง ดอกเบียต่า

- ในระบบ เชน่ ธกส. ธนาคาร - ตอ้ งการแหล่งเงนิ ทุนปลอดดอกเบยี หรือ

ออมสิน เปน็ ต้น ดอกเบียตา่ สาหรับชาวประมงพืนบา้ น

- นอกระบบ เชน่ นายทุน ญาติ

พนี่ อ้ ง เป็นตน้

- ชาวประมงพนื บา้ นเขา้ ถงึ แหล่งเงนิ ทนุ

ในระบบยาก

- ไม่สามารถทาการประมงไดท้ งั ปี - ฝกึ อบรมอาชีพเสรมิ เพอื่ เพ่ิมรายได้
เน่อื งจากมมี รสุม - พฒั นาความรู้เพอื่ ให้เกดิ การปรับเปลย่ี น
- ชาวประมงพืนบา้ นไมม่ อี าชีพเสรมิ อาชีพ
รองรับ

- ขายสนิ ค้าได้ราคาต่า เนอ่ื งจาก - จัดหาตลาดจาหนา่ ยสนิ ค้าสัตวน์ าชมุ ชน
ถกู กดราคาจากพ่อคา้ คนกลาง ช่วยเพิม่ ช่องทางการจาหน่ายสนิ ค้าสตั ว์นา
- ไม่มีตลาดกลางในการจาหนา่ ยสินคา้ - สนบั สนนุ งบประมาณตงั ตลาดกลางสินคา้
สตั วน์ าในชุมชน

75

ตำรำงท่ี 3 - 4 สภำพปัญหำของชำวประมงพ้ืนบำ้ นและควำมต้องกำรรับกำรสนับสนุน ำ้ นกำรประกอบอำชีพ

ำ้ นกำรประกอบอำชพี สภำพปญั หำ ควำมตอ้ งกำรรับกำรสนบั สนุน
1. เครอ่ื งมือทำกำร - เรือขนาดเล็กไมส่ ามารถออกทาการ - เพม่ิ ทรัพยากรสตั ว์นาในชุมชนผา่ นการทา
ประมง ประมงไดท้ ังปี แหล่งอาศัยสตั วน์ า
- เคร่ืองมอื ทาการประมงไดร้ บั ความ - การจัดทาธนาคารสตั ว์นา การปล่อยพันธ์ุ
เสยี หายจากภัยธรรมชาติ สัตวน์ า
- มีการลักลอบใช้เครอื่ งมือประมง - จดั ตังกองทนุ จดั หาเครือ่ งมือประมง
ผดิ กฎหมาย ปลอดดอกเบยี หรอื ดอกเบยี ตา่
- เครื่องมือประมงมรี าคาสงู อายุ - ตอ้ งการใหม้ ีเรือตรวจการประจาตาบล
การใชง้ านสัน เพอื่ ตรวจจับผกู้ ระทาผิดกฎหมายแก้ไข
กฎหมายใหส้ อดคลอ้ งกบั วถิ ีชีวิต

2. ควำมร้ ำ้ น - ด้านกฎหมาย ชาวประมงมีความรู้ - จัดอบรม ประชุมกลุม่ สัมมนาโดยชมุ ชน
กำรทำกำรประมง พอประมาณ แตย่ งั ลักลอบทาผิด มสี ว่ นร่วม เพื่อสรา้ งความรู้ความเขา้ ใจใน
กฎหมาย เร่ืองต่าง ๆ
- ด้านการเพาะเลยี ง ชาวประมง - ภาครฐั รับฟังความคดิ เหน็ ของชาวประมง
ขาดแคลนความรูแ้ ละความเข้าใจ ถงึ ความตอ้ งการทีแ่ ท้จรงิ ของชาวประมง
- ด้านการอนุรกั ษ์ ยงั มชี าวประมง
บางกลุม่ ขาดจติ สานกึ ในการอนรุ กั ษ์

3. อำชพี เสริมนอกจำก - ไม่มีอาชีพเสรมิ - ส่งเสรมิ อาชีพเสรมิ แก่ชาวประมง เชน่
กำรทำกำรประมง - ขาดความรู้ในการแปรรูปผลผลิต ส่งเสรมิ การเพาะเลียงสตั วน์ าชายฝงั่
- ส่งเสรมิ การแปรรูปผลผลติ สัตวน์ า
จากการประมง จากการประมง

76

จากการดาเนินงานในการส่งเสริมความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนประมงท้องถิ่น กรมประมงได้พัฒนา
คณุ ภาพชีวิตชาวประมงพืนบา้ นดงั นี

1. กำรเพิม่ ทรพั ยำกรสัตว์นำ้ ได้จัดให้มีกจิ กรรมต่าง ๆ เช่น
1.1 กำรจั ทำแหล่งอำ ัยสัตว์ทะเล หรือที่เรียกว่าปะการังเทียม บ้านปลา โดยได้จัดทา

ตังแต่ปี 2528 จนถึงปัจจุบัน มีพืนที่การจัดสร้าง 577 แห่ง รวมพืนที่ 2,025.59 ตารางกิโลเมตร
(ภาพท่ี 3 - 12)

ภำพท่ี 3 - 12 กำรสง่ เสริมและฟื้นฟระบบนิเว ทรพั ยำกรประมงและแหล่งประมง

77

1.2 กำรจั สร้ำงซั้งเชือก ซ้ังกอ และกระโจมปลำ เพื่อการอนุรักษ์สัตว์นาของชุมชน
(ภาพที่ 3 - 13 – 3 - 15)

ภำพที่ 3 - 13 กำรทำซ้งั เชอื ก

ภำพที่ 3 - 14 กำรทำซัง้ กอ

78

ภำพท่ี 3 - 15 กำรทำกระโจมปลำ
1.3 กำรทำธนำคำรสัตว์น้ำชุมชน โดยชุมชนประมงชายฝั่งนามาเพาะฟัก โดยมีการ
ดาเนินการในรูปแบบต่าง ๆ เช่น กระชัง โรงเรือน คอก เป็นต้น สัตว์นาท่ีได้มีการนามาฟื้นฟูและเพิ่ม
ผลผลิต ได้แก่ ปมู ้า หมกึ หอยแครง หอยจุบ๊ แจง และหอยชกั ตีน (ภาพท่ี 3 - 16)

79

ภำพท่ี 3 - 16 กำรจั ต้งั ธนำคำรสตั วน์ ำ้ ชุมชนเพอ่ื เพิ่มผลผลติ
1.4 กำรกำหน เขตอนุรักษ์สัตว์น้ำของชุมชน เพ่ือเสริมสร้างให้ชุมชนประมงชายฝ่ัง
เข้ามามีส่วนร่วมในการกาหนดระเบียบและขอบเขตพืนท่ีการจัดการประมง โดยชุมชนชาวประมงชายฝ่ัง
โดยการส่งเสริมให้ชุมชนได้เข้ามาร่วมทากิจกรรมร่วมกัน เป็นอีกแนวทางหน่ึงท่ีจะช่วยให้ชุมชนได้เรียนรู้
สภาพทรพั ยากรและการประมงโดยประสานภูมปิ ญั ญาท้องถ่ินที่มีอยู่ อันจะทาให้ชุมชนมีความเข้มแข็งมาก
ยงิ่ ขนึ (ภาพท่ี 3 - 17)

80

ภำพท่ี 3 - 17 กำรกำหน เขตอนุรักษ์สัตวน์ ้ำของชมุ ชน
1.5 กำรปล่อยพนั ธุส์ ตั ว์นำ้ เพอื่ เพมิ่ ผลผลิตให้กับชาวประมง สัตว์นาท่ีได้ปล่อยสู่แหล่งนา
ได้แก่ ปลา ปู กงุ้ และหอย (ภาพท่ี 3 - 18)

ภำพที่ 3 - 18 กำรปลอ่ ยพันธส์ุ ัตว์นำ้

81

ภำพท่ี 3 - 18 กำรปลอ่ ยพนั ธสุ์ ัตว์นำ้ (ตอ่ )
2. กำรเพ่มิ มลคำ่ สินค้ำประมง กรมประมงได้ส่งเสริมโดยผา่ นกิจกรรมดงั ต่อไปนี

2.1 การรวมกลุ่มชาวประมง เพื่อให้ชุมชนประมงชายฝ่ังมีความเข้มแข็ง โดยเน้นการมี
ส่วนร่วม รว่ มคิด ร่วมทา ร่วมใชป้ ระโยชน์ และรว่ มประเมนิ ผล

2.2 จัดตังกลุ่มชาวประมงเพื่อรวบรวมผลผลิต และประสานจาหน่ายสินค้าโดยตรงกับผู้ซือ
เชน่ โรงงาน สมาคมโรงแรม สมาคมรา้ นอาหาร สมาคมท่องเท่ียว บรษิ ัท/ห้างรา้ น เปน็ ต้น

2.3 เสริมสร้างความรูด้ ้านการแปรรปู สัตว์นา
2.4 สง่ เสรมิ การเพาะเลยี งสตั วน์ า
2.5 จัดทาแหลง่ ทอ่ งเที่ยว Home stay เพ่ือเพม่ิ รายได้
3. กำรบังคับใช้กฎหมำย และสร้างความเข้าใจในการป้องกัน และสร้างเครือข่ายการอนุรักษ์
ทรพั ยากรให้กับชุมชนประมงชายฝง่ั กจิ กรรมทีไ่ ด้ดาเนนิ การ (ภาพท่ี 3 - 19) เช่น
3.1 จับกุมผ้กู ระทาผดิ เช่น แรงงานตา่ งดา้ วผดิ กฎหมาย การใช้เคร่ืองมือประมงทาการ
ประมงผิดกฎหมาย เปน็ ต้น

82

3.2 เสริมสร้างกลุ่มชาวประมงพืนบ้านเพ่ือช่วยเจ้าหน้าที่ในการตรวจตรา เฝ้าระวังร่วมกับ
เจ้าหนา้ ท่ี และแจง้ เหตุผูก้ ระทาผดิ กฎหมาย

3.3 เสริมสร้างความรู้ให้แก่ชาวประมงพืนบ้าน ทังด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์นา
และความรดู้ า้ นกฎหมายท่เี ก่ยี วข้อง ผา่ นทางช่องทางต่าง ๆ เช่น วิทยุ สื่อสังคม รวมถึงผู้นาชุมชนท่ีอยู่
ใกล้ชดิ ชาวประมง

ภำพท่ี 3 - 19 เป้ำหมำยในกำรสง่ เสรมิ องค์กรชุมชนประมงท้องถนิ่

83

เอกสำรอ้ำงองิ

กรมประมง. 2562. สถิติการประมงแห่งประเทศไทย 2561. กล่มุ วิจยั และวเิ คราะห์สถิติการประมง กองนโยบาย
และยทุ ธศาสตร์พัฒนาการประมง. (ติดต่อสว่ นตัว).

กองนโยบายและยุทธศาสตร์พัฒนาการประมง. 2562. รายงานสภาพปัญหาของชาวประมงพืนบ้านและ
ความตอ้ งการรบั การสนบั สนนุ ทางด้านสงั คม เศรษฐกิจ และการประกอบอาชีพ. เอกสารฉบบั โรเนียว.

84

การประมงทะเลของไทยในอดีตเป็นการประมงแบบเสรี (Open access fishery) สิทธิในการทา
การประมงเปิดกว้างสาหรบั ผ้ทู ่ตี ้องการประกอบอาชีพการประมง ผู้ท่ตี อ้ งการประกอบอาชีพการทาประมง
ทะเลสามารถขอรับใบอนุญาตทาการประมงหรืออาชญาบัตรได้โดยไม่มีการจากัดจานวนเรือประมง ทาให้
จานวนเรือประมงเพิ่มขึนอย่างต่อเน่ือง โดยเฉพาะในช่วงปี 2505 - 2534 ถึงแม้ว่าเคร่ืองมือทาการประมง
ประสทิ ธิภาพสงู ได้แก่ อวนลากทุกชนิดและอวนรุน และเครื่องมืออวนปลากะตัก (อวนครอบ/ช้อน/ยก
ปลากะตัก และอวนล้อมจับปลากะตัก) ถูกควบคุมจานวน ไม่ให้มีการออกอาชญาบัตรเพ่ิมเติมตังแต่
ปี 2539 และปี 2543 ตามลาดับ แต่ยังสามารถทาการประมงได้อย่างเสรี ไม่มีการควบคุมจานวนวัน
ทาการประมง ส่งผลให้มีการลงแรงประมงมากเกินระดับท่ีเหมาะสม (Overfishing) และนาไปสู่ความ
เสื่อมโทรมของทรัพยากรประมง ซึ่งเห็นได้จากอัตราการจับสัตว์นาที่ลดลง และสัตว์นาขนาดเล็กถูกจับ
มาใช้ประโยชน์ในปริมาณมาก หรือเรียกว่าการทาการประมงเกินกาลังผลิตจนเติบโตไม่ทัน (Growth
overfishing)

ในเดือนพฤศจิกายน 2558 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบเอกสารที่เก่ียวข้องกับการจัดการประมง
ทะเลไทย จานวน 3 ฉบับ คือ พระราชกาหนดการประมง พ.ศ. 2558 แผนการบริหารจัดการประมง
ทะเลไทย นโยบายแหง่ ชาตดิ า้ นการจดั การประมง (Fisheries Management Plan of Thailand : FMP)
พ.ศ. 2558 - 2562 และแผนระดบั ชาติในการปอ้ งกัน ยบั ยงั และขจัดการทาการประมงทผ่ี ิดกฎหมาย ขาดการ
รายงานและไร้การควบคุม (National Plan of Action to Prevent, Deter and Eliminate Illegal,
Unreported and Unregulated : NPOA - IUU) หลักการสาคัญของเอกสารทัง 3 ฉบับ คอื การเปล่ยี น
รปู แบบการจัดการประมงจากการประมงแบบเสรี เป็นแบบจากัดสิทธิการเข้าถึง (Limited access fishery)
โดยมหี ลกั การสาคัญคอื การบริหารจดั การทรัพยากรสตั ว์นาต้องอยูใ่ นภาวะที่เหมาะสม มีความสมดุลระหว่าง
ปริมาณการลงแรงประมงกับการทดแทนของสัตว์นาตามธรรมชาติ และสามารถทาการประมงได้อย่างยั่งยืน
โดยใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ดีท่ีสุด และกาหนดให้แนวทางในการออกใบอนุญาตทาการประมงมีความ
สอดคล้องกับขีดความสามารถในการทาประมงได้อย่างย่ังยืน โดยใช้จุดอ้างอิงเป็นฐานในการพิจารณา

85

ซ่ึงถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครังสาคัญท่ีสุดของการจัดการประมงทะเลไทย โดยในปัจจุบันการขออนุญาต
ทาการประมงในน่านนาไทย จะให้สิทธเิ ฉพาะผู้ทเี่ คยมีอาชญาบัตรหรือใบอนุญาตทาการประมง

ตังแต่ปี 2559 เป็นต้นมา กรมประมงใช้ผลผลิตสูงสุดท่ีย่ังยืน (Maximum Sustainable Yield :
MSY) เป็นจุดอ้างอิงในการพิจารณาจัดสรรใบอนุญาตทาการประมงพาณิชย์ เช่น การกาหนดจานวนวัน
ทาการประมงของเคร่ืองมอื ทาการประมงแต่ละชนิด และจานวนใบอนุญาตทาการประมงท่ีสามารถอนุญาตได้
เป็นต้น นอกจากนีกรมประมงต้องเสนอผลการประเมินค่า MSY ต่อคณะกรรมการนโยบายการประมง
แห่งชาติให้รับทราบเป็นประจาทกุ ปี และคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติจะพจิ ารณาใหค้ วามเห็นชอบ
ปริมาณสัตว์นาท่ีอนุญาตให้ทาการประมงได้ทังหมด (Total Allowable Catch : TAC) ทุก 2 ปี เพื่อให้
กรมประมงนามาจดั สรรปริมาณสตั วน์ าใหก้ บั เรือประมงแต่ละลา

ผลผลิตสงสุ ทย่ี ัง่ ยนื หรอื MSY คือ ปริมาณสูงสดุ ของสัตว์นาท่ีสามารถนามาใชป้ ระโยชน์ได้
โดยสัตว์นาส่วนท่ีเหลือในธรรมชาติ ยังคงได้สืบพันธ์ุและเจริญเติบโตเป็นสัตว์นารุ่นใหม่เข้ามาทดแทน
สัตว์นาที่ถูกจับไปได้อย่างสมดุล การประเมิน MSY หากย้อนกลับไปในอดีตในช่วงท่ียังไม่มีการทาการ
ประมง ผลผลิตสัตว์นาจะไม่มีเนื่องจากยังไม่มีการลงแรงประมง (Fishing effort) เมื่อเริ่มมีการลงแรง
ประมง (การลงแรงประมงอาจหมายถึง จานวนเรือประมง จานวนช่ัวโมงการลากอวน หรือจานวนวัน
ทาการประมง เปน็ ต้น) จะเริม่ มผี ลผลิตสัตวน์ า เมอ่ื มกี ารลงแรงประมงเพ่ิมมากขึนเร่ือย ๆ ผลผลิตสัตว์นา
จะเพ่ิมขึนตามไปด้วย แต่การเพิ่มการลงแรงประมงจะเพิ่มได้สูงสุดระดับหน่ึงเท่านัน ซ่ึงเป็นระดับที่ให้
ผลผลิตสูงสุดท่ีย่ังยืน หากเพิ่มการลงแรงประมงมากขึนไปอีก ผลผลิตสัตว์นาจะลดลง (ภาพที่ 3 - 20)
เน่ืองจากทรัพยากรสัตว์นาในธรรมชาติมีปริมาณจากัด หากจับมาใช้ประโยชน์มากเกินควร จะทาให้สัตว์นา
เตบิ โตไมท่ นั ส่งผลใหผ้ ลผลิตสตั วน์ าลดลง

ภำพที่ 3 - 20 ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกำรลงแรงประมง (Fishing effort) และผลจับสัตว์น้ำ (Yield)
ท่ีมา : Sparre and Venema (1998)

86

การประเมนิ MSY มีจุดประสงค์เพ่อื หาจุดอา้ งอิงทางชวี วิทยา ซึง่ เป็นระดับท่ีสัตวน์ าในน่านนาไทย
สามารถถูกนามาใช้ประโยชน์โดยไม่มีผลกระทบด้านลบต่อทรัพยากร และมีความสมดุลกับการผลิต
ตามธรรมชาติ การประเมิน MSY ของทรัพยากรประมงในน่านนาไทยใช้แบบจาลองผลผลิตส่วนเกิน
ของฟอกซ์ หรือ Fox surplus production model (Fox, 1970) แบบจาลองนีต้องใช้ข้อมูลสถิติ
ผลจับสัตว์นาและการลงแรงประมง เพื่อวิเคราะห์อัตราการจับสัตว์นา (Catch Per Unit Effort : CPUE)
ผลผลติ สัตวน์ าทร่ี ะดบั สมดุลกบั ปริมาณการลงแรงประมง แสดงตามสมการดังนี

yi = ec+d fi
fi

โดยท่ี y คือ ปริมาณการจับสัตว์นาของปที ี่ i
f คือ การลงแรงประมงของปที ี่ I
c และ d คอื คา่ คงที่ ซึ่งไดจ้ ากการวิเคราะห์รีเกรสชน่ั เส้นตรง (Linear regression)

เมื่อวิเคราะห์ค่า c และ d ได้แล้ว สามารถคานวณค่า MSY และระดับการลงแรงประมงท่ีให้ผลผลิต
สูงสุดที่ยงั่ ยนื (FMSY) ได้ดังนี

MSY = - (1/d)ec-1
FMSY = - 1/d

การประเมนิ MSY ดาเนนิ การกับ 3 กลุม่ สตั ว์นา ประกอบด้วย 1) สัตว์นาหน้าดิน ประกอบด้วย
ปลาหน้าดิน ปลาหมึก กุ้ง ปู หอย และเคย 2) ปลากะตัก และ 3) ปลาผิวนา (ไม่รวมปลากะตัก)
แยกพืนท่เี ป็นฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน ผลจับสัตว์นาท่ีใช้ในการประเมิน MSY เป็นผลจับจากเครื่องมือ
ทาการประมงหลักของแตล่ ะกล่มุ สัตวน์ าตามตารางท่ี 3 - 5


Click to View FlipBook Version